วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-09 สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย

西元二〇一七年嵗次丁酉十月二十二日          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐      สถานธรรมหงเต้า  จ.เชียงราย
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่ 
  อย่าอยู่อย่างรอวันตายจนไร้ค่า       ปลุกปัญญาขึ้นท่ามกลางความแปรเปลี่ยน
ทุกเรื่องราวทั้งร้ายดีที่หมุนเวียน        จงใช้เรียนเพื่อรู้ให้จิตสูงส่ง
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา       ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ถนัดมองออกจนลืมมองตน           ทิฐิจนหลงผิดไม่ฟังบ้าง
อนิจจาตาไม่ดูหูไม่ฟัง                   คนลุ่มหลงไม่ว่างทบทวนตน
อริยะไม่เจาะจงมองใครผิด              จ้องจดจ่อไม่พ้นจิตอกุศล             
ราศีอันหมองเศร้าเคล้าแววกังวล       ธรรมธาตุ[1]เป็นเพียงจิตพ้นอารมณ์
ฝึกที่กายแค่ที่ใจคะนึง                   ฟอน[2]กองหนึ่งเถ้าจองแทนอาศรม[3]  
คนเท่าไรจำบำเพ็ญญาณไม่กลม        ปฏิบัตินั้นทำการสมคุณธรรม
วันนี้โลกในความคิดปุถุชน              ดั่งถนนไม่สิ้นสุดสายน้ำ
ธรรมใดสิ่งมีเกิดดับลำนำ               พูดคิดทำเที่ยงตรงเดินปลอดภัย

ที่เกิดล้วนแท้จริงใช่มายา               ถัดไปเป็นปัญหาหรือทางแก้ไข
ก่อนตายเจ็บแก่เตือนให้เข้าใจ          เคี่ยวเข็ญทุกข์ให้ตั้งใจใฝ่บำเพ็ญ
คนรู้คนทำลายกันไม่รู้                  สติอยู่กับความจริงที่เห็น
ไม่มีอะไรแล้วยังจะเป็น                 ถ้าเพื่อบำเพ็ญต้องรู้ระงับเหตุ
อยากพ้นเวรพ้นกรรมต้องอภัย         อยากพ้นว่ายเวียนต้องละกิเลส
ไม่สร้างกรรมต้องชนะอารมณ์เจ็ด[4]     เมื่อสำเร็จไม่ต้องเหนื่อยตลอดกาล

                                                                 ฮา  ฮา  หยุด


[1] ธรรมธาตุ          ธรรมารมณ์  อารมณ์ที่ใจรู้, อารมณ์ที่เกิดทางใจ
[2] ฟอน                กองฟอน กองขี้เถ้าศพที่เผาแล้ว
[3] อาศรม             ที่อยู่ของนักพรต
[4] อารมณ์เจ็ด        ความรัก  ความโกรธ  ความสุข  ความเศร้า  ความแค้น 
                        ความอยาก  ความยินดี

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
หากเราเข้าใจธรรม กระจ่างในธรรมจากการฟังธรรมะ จะทำให้เกิดความปิติใจอาบอิ่มใจ เกิดความปรีดิ์เปรมเกษมใจ จนลืมกินลืมนอน สุขจนล้นปรี่นอนไม่หลับ กินไม่ลง ทุกท่านเคยเป็นสุขแบบนั้นบ้างไหม
ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้มาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กันดีไหม (ดี)  อย่าเพิ่งรำคาญคนพิการอย่างเรานะ รำคาญไหม (ไม่รำคาญ) หรือท่านอาจจะพูดในใจ ตัวเองยังเอาไม่รอดจะมาสอนอะไรฉัน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  คิดแบบนี้หรือเปล่านะ (ไม่คิด)
การได้ค้นพบความธรรมดาสามัญนั่นแหละ ที่สามารถทำให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาสามัญ เราอยู่ในโลกมนุษย์ เรารู้จักหยกได้ก็เพราะต้องผ่านการเจียระไนจากแร่หินหรือหินธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้จักทองคำได้ก็ต้องผ่านการหล่อหลอมและค้นพบสิ่งที่มีค่าในที่สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญจากพื้นดิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งที่สำคัญคือ อย่าขลาดกลัวในการที่จะค้นหาความถูกต้องดีงามในใจตน เกิดเป็นคนอย่าขลาดกลัวต่อความเพียรพยายามที่จะหาคุณค่าความดีงามที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตตน  “สัจธรรมที่แท้จริงยังค้นพบได้ในความทุกข์บนโลกมายา เทพเทวายังพบได้ในความเป็นคน”  ฉะนั้นหากมนุษย์ไม่ขลาดกลัวต่อความเพียรพยายามที่จะใฝ่หาสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อย่างสู้ไม่ถอย ผิดยอมแก้ไข เพียรพยายามค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด ในชีวิตที่อัปลักษณ์ ในชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ หาให้ได้ หาให้พบอย่างไม่ย่อท้อ มีหรือเราจะไม่พบสิ่งล้ำค่าในใจเรา
พระพุทธะที่ท่านกราบไหว้ ยังต้องเกิดกายมาเป็นมนุษย์สามัญ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเรา เราก็เกิดกายมาเป็นคนธรรมดาสามัญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะต่างกันก็ตรงที่ว่า ในคนธรรมดาสามัญ ถ้าไม่ขลาดกลัว มีความหาญกล้าในการที่จะค้นหาความดีอันประเสริฐ ค้นหาคุณค่าอันยิ่งใหญ่ ที่มีมากกว่าการเกิดเป็นคนตลอดชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ มุ่งมั่นในสิ่งที่ดีอย่างสุดจิตสุดใจ ผิดก็แก้ไข ดีก็ทำต่อไปไม่ย่อท้อ คนเช่นนี้ทั้งชีวิตจะไม่พบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตหรือ ต้องพบในสักวัน อย่ากลัวความยากลำบาก ขอเพียงเกิดเป็นคน อย่าสูญสิ้นความดีงาม เพราะแพ้ใจตัวเอง  ฉะนั้นอย่าได้ดูถูกดูเบาคุณค่าในตน หินธรรมดายังมีวันเจิดจรัสกลายเป็นหยก กลายเป็นทอง กลายเป็นเพชร  เทพเทวาล้วนเกิดกายมาจากความเป็นคน แล้วนับประสาอะไรกับตัวเรา ถ้ามีความเพียรมุ่งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอย่างไม่ย่อท้อ สู้จนสุดจิตสุดใจ มีหรือเราจะไม่พบสิ่งที่ดีงามในใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงอย่าดูถูกดูเบาตัวเองว่าเกิดมาดีได้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ ใช่ไหม (ใช่)  ลองดูเราสิ พิการอย่างนี้ ก็ยังกลายเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนกราบไหว้ แล้วตัวท่านที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ไยจึงปล่อยให้ใจพิการในความดีงาม และความถูกต้องกันเล่า
อย่าดูถูกว่าตัวเองไม่รู้ คงไม่มีวันศึกษาธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้ อย่างนั้นเราขอถามท่านว่า โดยส่วนใหญ่เรารู้จักคนมากเราก็ทุกข์มาก ยิ่งเรารู้จักเขามากเท่าไรเราก็ยิ่งทุกข์มาก เราว่าเรารู้จักเขา เราเกลียดเขาเพราะว่าเรารู้ว่าเขานั้นเป็นอย่างไร เราไม่ชอบเขาก็เพราะเราคิดว่าเรารู้  ฉะนั้นคนที่พ้นทุกข์คือคนที่รู้หรือคนที่ไม่รู้ โดยส่วนใหญ่ทุกข์เพราะเราคิดว่าเรารู้ ใช่ไหม  “ฉันรู้จักเธอและฉันก็ทุกข์เพราะเธอ เธอไม่ต้องมาพูดเพราะฉันรู้จักเธอดี”  เราทุกข์เพราะเราพูดว่าเรารู้หรือเราไม่รู้ (รู้)  ที่เราว่าเขาไม่ดีเพราะเรารู้ว่าอะไรดี แล้วเขาทำแบบนี้ไม่ดีเราเลยว่าเขา ใช่ไหม อย่างนั้นความรู้ทำให้เราทุกข์หรือไม่ทุกข์ (ทุกข์)  อย่างนั้นควรไม่รู้หรือควรรู้ (ไม่รู้) รู้มากๆ ทุกข์มากกว่า หรือไม่รู้ทุกข์มากกว่า (รู้)  
เราบอกว่าเรารู้เขามากเท่าไร ก็ทำให้เราทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)   แต่ถ้าเราไม่รู้แล้วเขาทำให้เราทุกข์ เราก็จะเจ็บน้อยกว่าใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรหรือ (เพราะเราไม่รู้)  บางครั้งเรามักจะคิดว่า การศึกษาทางการเรียนรู้ธรรม ต้องรู้มากๆ เพื่อจะได้พ้นทุกข์ ต้องรู้มากๆจะได้เก่ง ฉลาด เท่าทันโลก เพื่อจะได้เก่งเท่าทันคนไม่ถูกใครหลอกลวง แต่คนโง่กับคนฉลาดเวลาถูกหลอกใครเจ็บมากกว่ากัน (คนฉลาด)  ท่านก็รู้ เวลาเราโง่แล้วเราถูกเขาทำร้ายเราบอกไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  ก็ฉันไม่รู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าฉันรู้แล้วถูกคนทำให้ฉันทุกข์ ถูกทำให้ฉันโง่นี่ เจ็บกว่าไหม (เจ็บ)  
ฉะนั้นถึงวันนี้ที่เราบอกว่า  ฟังธรรมไม่รู้เรื่องหรอก ความรู้ก็ไม่ค่อยมี จะรู้จะเข้าถึงธรรมได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก แต่บางทีเราว่าไม่รู้อาจจะเข้าถึงธรรมได้มากกว่าพวกที่รู้อีกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพวกที่ไม่รู้อาจจะพ้นทุกข์มากกว่าพวกที่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมควรรู้หรือไม่รู้ดี วันนี้เรามาฟังธรรมเพราะเราอยากได้ความรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และยิ่งฟังมากๆเผื่อเราจะได้ยิ่งรู้ชัดยิ่งขึ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่บ่อยครั้งสิ่งที่เรารู้ เป็นเพียงแค่การรู้ ไม่ใช่เรียกว่าปรีชาญาณ  “ปรีชาญาณ คือญาณอันแจ่มแจ้งเห็นชัด” บ่อยครั้งสิ่งที่เรารู้ เป็นแค่เพียงการรู้หาใช่ปรีชาญาณ หมายความว่าอย่างไรหรือ ก็หมายความว่าโดยส่วนใหญ่เรามักจะชอบฟัง ฟังแล้วก็ถมความรู้ตัวเองให้เต็มๆ ให้มากๆ แต่กระจ่างแจ้งสักเรื่องหนึ่งมีไหม (ไม่มี)  จึงเหมือนคนที่รู้มากแต่ไม่รู้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่มนุษย์ชอบพูดว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด  รู้มากๆ ก็ไม่เคยพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นจึงมีสิ่งๆหนึ่งที่เราอยากจะบอกว่า ถ้าอยากพ้นทุกข์ อยากค้นหาทางพ้นทุกข์ พุทธะจึงชี้นำว่า จงปล่อยวางสิ่งที่ตัวเองรู้ แล้วท่านจะพ้นทุกข์ แม้จะรู้จักเขามากแค่ไหน แม้จะรู้จักใจตนมากแค่ไหน แต่ถึงเวลาตัวเองก็ทำในสิ่งที่ตัวเองคาดไม่ถึง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็ต้องเจ็บใจกับสิ่งที่ตัวเองทำแล้วมักจะพูดว่า “ไม่น่าทำเลย” ทั้งๆที่ตัวเองบอกว่า รู้ตัวเองดีว่าทำอะไร แต่พอมานั่งนึกได้ทีหลังกลับคิดว่า “ไม่น่าทำเลย”
ฉะนั้นถ้าเราศึกษาหลักธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เราคิดว่ารู้ แท้จริงแล้วเราไม่เคยรู้ นี่คือความจริงแห่งธรรม สิ่งที่เราเหมือนว่าเราเห็น แท้จริงแล้วเราไม่เคยเห็น สิ่งที่เราบอกว่าเราได้ยิน แท้จริงแล้วยังมีสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมที่แท้จริงจึงสอนให้เราเข้าใจว่า เมื่อไม่รู้ต้องพึ่งผู้อื่น หรือเมื่อไม่รู้ต้องพึ่งตัวเอง (พึ่งตัวเอง)  ธรรมะสอนให้เราอย่ามัวแต่พึ่งผู้อื่นจนลืมพึ่งตัวเอง ถ้าตอนนี้ท่านคือผู้หนึ่งที่ใคร่ศึกษาปฏิบัติธรรม ใคร่ศึกษาเรียนรู้เข้าใจธรรม ตอนนี้ท่านปฏิบัติธรรม แต่เอาแต่พึ่งพระจนลืมพึ่งตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าท่านกำลังหลงต่อการปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีทุกข์พึ่งพระหรือว่าพึ่งตัวเอง (พึ่งตัวเอง)  
ต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากฉันที่คิดว่า “ฉันรู้” ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่รู้  แล้วเคยศึกษาต่อไหมว่า ในเมื่อพระธรรมสอนให้ต้องรู้จักพึ่งตัวเอง ธรรมยังสอนให้พึ่งแล้วยึดหรือพึ่งแล้วรู้จักละวาง (รู้จักละวาง)  แล้วทุกวันนี้ปฏิบัติพึ่งแล้วละวางหรือว่าพึ่งแล้วยึดจนตายตัว (พึ่งแล้วยึด)  แล้วขณะนี้พึ่งแล้วยึดหลง หรือพึ่งแล้วละวาง (พึ่งแล้วละวาง)  ที่แล้วมายึดหลงมาตลอดเลย ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเมื่อทำดีถึงที่สุดแล้วควรละวางหรือยึดมั่นหวังวอนผล (ละวาง)  ดังนั้นอย่าลืมหลักของการปฏิบัติธรรม ธรรมสอนให้เราพึ่งตัวเอง พึ่งแล้วต้องละวางไม่ใช่พึ่งเพื่อยึดหลง แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ พึ่งตัวเองแล้วก็หลงในความดีงามของตนเอง พึ่งตัวเองแล้วก็ยึดมั่นหลงว่า ตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ เช่นนั้นล้วนคือผู้ที่หลงต่อการปฏิบัติทั้งมวล ละวางเพื่อให้ธรรมหรือละวางเพื่อให้เกิดกิเลสอารมณ์ ละวางเพื่อให้อยู่ร่วมกันโดยให้คุณธรรมต่อกัน หรือละวางเพื่อให้มีกิเลสอารมณ์ต่อกัน (ให้คุณธรรมต่อกัน)  เมื่อเราพึ่งตัวเองแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ทำให้ถึงที่สุดก็ต้องละวาง แล้วปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรมที่เรียกว่าการถือหลักปฏิบัติธรรมคือทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อยึด การให้ที่ประเสริฐคือการให้ธรรม  แต่ทุกวันนี้เราอยู่ร่วมกัน เราให้คุณธรรมต่อกันหรือให้กิเลสอารมณ์ที่สนองใจตน (กิเลส)  ฉะนั้นอย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงปาก อย่าปฏิบัติธรรมแค่ภายนอก แต่ลืมลงแรงปฏิบัติที่ใจและในคนหมู่มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ทุกที่ก็คือที่ปฏิบัติธรรม ทุกคนก็คือคนที่เราสามารถร่วมปฏิบัติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านเข้าถึงหลักธรรมท่านจะสามารถปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นที่แล้วมาเราปฏิบัติธรรมเพื่อให้คุณธรรมหรือเพื่อสนองกิเลสอารมณ์ของตน (สนองกิเลสอารมณ์ของตน)
ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ศึกษาธรรม ฉะนั้นศึกษาธรรมจึงต้องเข้าใจธรรม ธรรมสอนให้พึ่งตนเองหรือพึ่งผู้อื่น ธรรมสอนให้ละหรือให้รับ  ธรรมสอนให้เราให้ธรรมะเป็นทานหรือให้กิเลสอารมณ์เป็นทาน แต่ทุกวันนี้ให้ธรรมะหรือให้กิเลสอารมณ์เป็นทาน
มาฟังธรรมก็ต้องเข้าใจหลักธรรม อย่างนั้นเราถามต่อว่า ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจในการศึกษาหลักธรรม ธรรมสอนให้เราทุกข์หรือสอนให้เราตื่นรู้ในทุกข์ และทุกวันนี้ปฏิบัติธรรมแล้วทุกข์หรือไม่ทุกข์ ฉะนั้นถามก่อนว่าเราเคยปฏิบัติธรรมแท้จริงหรือยัง (ยัง)  เรายังไม่ได้ลงแรงปฏิบัติมากกว่า ฉะนั้นจะปฏิบัติธรรมต้องเข้าใจหลักแห่งธรรมที่แท้จริง แก่นแห่งธรรมที่แท้จริงว่าจุดมุ่งหมายที่เราศึกษาธรรมแท้จริงคือเพื่ออะไร ธรรมสอนให้ทุกข์หรือตื่นรู้จากทุกข์ (ตื่นรู้จากทุกข์)  ธรรมสอนให้ละหรือธรรมสอนให้หลง (ละ)  ธรรมสอนให้เรามีแต่ให้หรือธรรมสอนให้เรามีแต่เอา (มีแต่ให้)  ฉะนั้นถ้าคิดแต่จะพึ่งคนอื่น คิดแต่จะได้ คิดที่จะยึด คิดที่จะหลงก็ย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ และไม่มีวันค้นพบธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ขณะนี้ท่านปฏิบัติถูกต่อธรรมหรือปฏิบัติผิดต่อธรรม (ถูกต่อธรรม) พอจะเข้าใจธรรมคร่าวๆ บ้างหรือยัง (เข้าใจ)  ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าพยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่มักจะไม่ค่อยได้ดี จึงทำให้ไม่อยากทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อย่างนั้นเราถามนะ ถ้าเราทำดีสักเรื่องหนึ่ง เราไม่เคยแอบแฝงเจตนา ไม่เคยหวังผลอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไม่แอบแฝงเจตนาอะไรเลย จริงๆหรือ (แอบแฝง)  โดยส่วนใหญ่ทุกครั้งที่เราทำดีกับใคร  มักจะแอบแฝง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำบุญกับพระแอบแฝงหรือไม่ (แอบแฝง) หวังวอนขอหรือไม่ (ขอ) ยึดมั่นลุ่มหลงหรือไม่ (ลุ่มหลง) จำไว้นะ ความดีถ้าไม่บริสุทธิ์อย่างถ่องแท้ผลย่อมไม่ตกซึ่งความงดงาม ถ้าทำดียังหวังผล ผลนั้นย่อมอิงแอบไปด้วยการสนองกิเลสอารมณ์  ซึ่งไม่อาจเรียกว่าดีที่แท้จริงได้ อย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ต้องพูดว่ายังไม่เคยทำดีที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เรามาช่วยแก้ไขความให้กระจ่างจะได้เข้าใจการทำดีให้ถูกต้องเสียที ถูกหรือไม่ (ถูก)  คนทำดีที่แท้จริงจิตต้องบริสุทธิ์ คนทำดีที่แท้จริงต้องไม่ยึดมั่นหรือหลงแอบอิงกิเลสตัณหาเพื่อความมั่งมีในตัวตน นี่ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรมเข้าถึงความบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลายคนก็บอกว่าเป็นไปได้ยาก ทำดีใจต้องคิดนิดคิดหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขนาดพูดดีกับสามี พูดดีกับภรรยาลึกๆ ยังหวังแอบแฝง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำดีกับลูกลึกๆ ยังหวังผล ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำดีกับเพื่อนลึกๆ ยังหวังอะไรเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำดีแล้วยังไม่ได้ดีจงอย่าได้น้อยใจ อย่าได้เสียใจ ท้อใจ แต่ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าดีแท้จริง ซื่อตรง จริงใจไหม เพราะตัวเราเองยังอยากได้เพื่อนที่ดีจริงๆ ไม่หวังผล  อยากได้สามีที่ซื่อตรงจริงๆ ไม่แอบแฝง อยากได้ภรรยาที่น่ารักไม่แอบนินทาว่าร้าย  ดังนั้นถ้าอยากเข้าถึงความดี จงถือหลักการปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างที่เราว่านี้ ถ้าทำจนถึงที่สุดไยต้องกลัวผลที่จะตามมา  
แล้วอะไรคือธรรม ตอบได้ยาก  เพราะกว้างไกล กำหนดไม่ได้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากปฏิบัติธรรมแล้วไม่ก่อเกิดเป็นทุกข์ จำไว้นะ ปัจจุบันขณะคือธรรม ถ้าคิดว่า ทำไมไม่เป็นแบบนั้นทำไมเป็นแค่นี้ นั่นไม่ใช่ธรรม ถ้าคิดว่าทำไมไม่ดีแบบนี้ทำไมเลวร้ายแบบนั้น นั่นก็ไม่ใช่ธรรม
ธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้ นั่นแหละเรียกว่าธรรม  แต่ถ้าเมื่อไรอยากให้เป็นอย่างที่ตัวเราคิด ตัวเรายึด นั่นเรียกว่าการสนองกิเลสอารมณ์ จริงไหม (จริง)  โดยส่วนใหญ่ที่เราไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้เพราะว่าเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด เหตุการณ์ไม่ใช่อย่างที่หวัง ถ้าทุกขณะเรายอมรับว่านี่คือธรรม ตอนนี้คือธรรม เขานั้นให้ธรรมเรา เรานั้นกำลังเห็นธรรม ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแค่เพียงขณะนี้ นั่นเรียกว่าธรรมจริงแท้ พบธรรมตอนนี้ก็เห็นธรรมในตน ถ้าตอนนี้ยังเห็นแต่ความคิด เห็นแต่ความถูกผิด นั่นยังไม่เรียกว่าธรรม แต่เป็นความยึดติด ความถูกต้องที่เรียกว่าเป็นคนที่ยึดถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้สรุปดังนี้)
  • ธรรมสอนให้พึ่งตนเอง หรือพึ่งผู้อื่น
  • ธรรมสอนให้ละ หรือให้หลงยึดมั่นถือมั่น
  • ธรรมสอนเพื่อให้หรือเพื่อเอา
  • ธรรมสอนให้เราให้ธรรมะเป็นทาน หรือให้กิเลสอารมณ์เป็นทาน
  • ธรรมสอนให้ทุกข์ หรือตื่นรู้จากทุกข์
ถามว่าเราเคยปฏิบัติธรรมแท้จริงหรือยัง ปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติผิดต่อธรรม
ฉะนั้นอย่าแค่ฟังแต่จงเอาสิ่งที่ฟังไปหยั่งรู้ให้ตื่นในธรรมในตน แล้วท่านจะเข้าใจว่าธรรมไม่เคยสอนให้เราทุกข์แต่ธรรมได้สอนให้เราตื่นรู้แจ้งในทุกข์  เพราะทุกข์ไม่ได้มาเพื่อให้เราทุกข์ แต่ทุกข์มาเพื่อให้เราเรียนรู้และก้าวให้พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)   ทุกข์ไม่ใช่เกิดขึ้นที่สถานการณ์ สถานการณ์ไม่เคยทำให้ใครทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  เขาด่าเรา เขาทำร้ายเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาขโมยเงินเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาโกงเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  สามีไปมีใหม่ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ภรรยาทิ้งเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  อย่าลืมนะ ธรรมสอนให้เราไม่ทุกข์ ตื่นรู้ในทุกข์ จำไว้อย่างหนึ่งนะ เราเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่เรา (เปลี่ยนใจเราได้)  เราคุมโลกให้เป็นดั่งใจเราไม่ได้ แต่เรา(คุมใจได้)  จริงหรือไม่ (จริง)  ทุกข์จะมาอย่างไร ใจเราสำคัญที่สุด คุมใจตัวเองได้ไหม จะทุกข์มาก ทุกข์น้อย หรือไม่ทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับเราเลือก  ไหนบอกว่าชีวิตเลือกได้ไม่ใช่หรือ  ไหนบอกว่าชีวิตเดินหน้าได้ก็ถอยหลังได้  ชีวิตเลือกได้ ถอยก็ได้ ทำไมจะถอยไม่ได้ล่ะ เพราะทุกขณะของชีวิตล้วนกำลังถอยหลัง ใจเรามองว่าก้าวหน้า แต่ความจริงถอยหลังตลอดเวลา
ฉะนั้นถ้าท่านยึดหลักธรรม ท่านจะมองเห็นความจริงอย่างแจ่มชัดและธรรมจะทำให้ท่านไม่ทุกข์ แต่ตื่นรู้ในความทุกข์จนบังเกิดจิตที่สว่างแจ้ง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราสว่างแจ้งแล้วอะไรจะทำให้ทุกข์ สำคัญคือ คุมใจตัวเองได้ไหม คุมใจตัวเองได้หรือเปล่า อะไรๆ เราก็คุมได้ แต่น่าเสียดาย ใจตัวเองกลับคุมไม่ได้ อะไรๆ ก็บังคับได้ อะไรๆ ก็สอนเขาได้ แต่น่าเสียดาย ลืมสอนใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าลืมนะ สถานการณ์ทำให้เราทุกข์ได้ แต่เราเลือกใจเราได้ว่าจะทุกข์มาก ทุกข์น้อย หรือไม่ทุกข์ ในเมื่อทุกข์มันก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  ห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราห้ามได้คือใจเราเอง  ฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมผู้ปฏิบัติธรรมจึงจะไม่เอาแต่หนี คนที่ปฏิบัติแล้วหนีทุกข์ นั่นคือคนที่ไม่เข้าใจธรรม คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วเอาแต่หนีความจริง หนีคนว่า หนีคนด่า หนีคนทำให้ทุกข์ หนีคนทำให้เจ็บปวด นั่นแปลว่ายังไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะคนที่เข้าใจธรรมจะไม่หนีเหตุการณ์ แต่จะหันกลับมาดูใจตน เคยได้ยินไหม ถ้าใจมันว่างทุกอย่างก็ว่างใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจมันวุ่นสิ่งที่มันนิ่งๆ เราก็ทำให้มัน (วุ่น)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นทุกสิ่งว่าง อะไรเล่าคือความทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเรานิ่ง อะไรล่ะที่ทำให้เราวุ่นวายและเจ็บปวด เขาหรือใจเราที่ไม่รับความจริง (ใจเรา)  เป็นเช่นนั้นหรือ (ใช่)  แต่พอถึงเวลาก็เอาแต่ชี้หน้าโทษเขาเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อไรที่พบเรื่องราวต่างๆจงใช้ความนิ่ง เพราะเมื่อนิ่งสรรพสิ่งจะสะท้อนความจริงอย่างแจ่มชัด ฉะนั้นเมื่อไรพบเรื่องอะไร ให้นิ่ง ถามใจก่อนว่านิ่งหรือยัง ว่างไหม เราไม่ต้องไปจัดการใคร จัดการใจตนเองก่อน ว่านิ่งหรือยัง ว่างไหม และความนิ่ง มีคุณค่าอย่างไร ความนิ่งเป็นรากฐานของความเข้าใจอันกระจ่างแจ้งในโลกทั้งมวล และความนิ่งยังเป็นรากฐานของความแข็งแกร่ง เมื่อนิ่งได้เราจึงได้ฝึกใจ ฝึกใจที่จะเรียนรู้ความจริงอย่างกระจ่างชัด บ่อยครั้ง เราทุกข์เพราะเราไม่เคยเห็นความจริง เราทุกข์เพราะความคิดของเราที่มันบิดเบือนและไม่เข้าใจ จริงไหม (จริง) 
ฉะนั้นฟังธรรมแค่นี้พอเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจนิดเดียว)  แต่ถ้านิดเดียวทำได้ ก็กระจ่างแจ้ง ไม่ทุกข์อีกนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฟังธรรมแล้ว รู้ก็เหมือนไม่รู้ ตอนนี้เหมือนรู้ แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้ว ก็ไม่รู้เหมือนเดิม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ก็เป็นสิ่งดี เพราะถึงที่สุดแล้ว เรารู้อะไรจริงแท้หรือ ไม่เคย ฉะนั้นเมื่อพบอะไร ก่อนที่จะไปจัดการเขา ให้จัดการใจตัวเองก่อน  ก่อนจะไปเกิดเป็นกรรม วิบากกรรม ให้หยุดที่ใจตัวเองก่อน ดีไหม (ดี)  แล้วเราจะได้ตื่นรู้ในธรรมกันเสียที ไม่ใช่ถนัดแต่ปฏิบัติภายนอก แต่ลืมลงแรงที่ใจตน จริงไหม (จริง)  ฟังธรรมแล้วต้องได้ธรรม ฟังธรรมแล้วต้องกระจ่างชัดในธรรม จึงจะไม่เสียทีที่เกิดมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าดูถูกคุณค่าแห่งใจเดิมแท้ ที่แท้จริงแล้วมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จึงทำให้จิตเดิมแท้เหมือนไม่มีคุณค่าอะไร ใช่ไหม (ใช่)  อย่ายึดมั่นในความเป็นตัวตน แล้วท่านจะพบว่าแท้จริงแล้วจิตเดิมแท้มีอานุภาพที่กว้างใหญ่และสามารถเป็นได้มากกว่าสิ่งที่ท่านรู้และเข้าใจ  ดั่งที่มนุษย์หรือพระพุทธะกล่าวไว้ว่า จิตเดิมแท้คือความว่าง เมื่อว่างจึงขับเคลื่อนก่อเกิดสรรพสิ่ง แต่เพราะความไม่ว่างจึงกลายเป็นสิ่งที่จำกัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองศึกษาดูนะ วันนี้เราอาจจะพูดเรื่องยากนิดหนึ่ง ไม่ยากมากเกินที่ท่านจะเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ  ฉะนั้นทำอะไรจงมีสติรู้เท่าทัน ก่อนที่คิดพูดอะไรกลายเป็นต้นเหตุให้เราต้องทุกข์นะ ไม่ว่าพบเรื่องราวอะไร นิ่งเข้าไว้ ความนิ่งเป็นรากฐานของความกระจ่างแจ้งในทุกเรื่องราว ความนิ่งเป็นภาวะที่แข็งแกร่ง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ

วันเสาร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐    สถานธรรมหงเต้า  จ.เชียงราย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อย่าปล่อยชีวิตผ่านไปอย่างเลื่อนลอย  เฝ้ารอคอยบุญวาสนามาหล่นทับ
มิสู้ใฝ่เพียรพยายามตามลำดับ              มีสุขกับในทุกวันที่ควรเป็น
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานหงเต้า แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม ดีไหม สบายดีไหม

    ความรักคือความกล้า สุขในทุกข์กันเป็นประจำ ละครชีวิต อะไรสำคัญเท่าอะไร ผูกเป็นเกลียวรัด ผลัดกันทำร้าย หนึ่งเดียวดาย สองคนไม่มองตา (สบตา)
    ธรรมะฟังดูง่าย ตื่นเองรู้เองความเข้าใจ ถึงตายตรงนี้ อะไรสำคัญเท่ากับใจ ไม่เคยมีทุกข์ สุขจะไม่หวาน   ธรรมร้อยพันบำเพ็ญที่จิตใจ
    ตื่นจากความหลง ไม่มีใครไม่เคยทุกข์ ทุกข์ใช้กรรม รู้ซึ้งมีพลัง ฝึกจิตตน ก็พึงต้องรู้ตอนนี้  สร้างความดีมีแต่รักกัน

                         ทำนองเพลง จดหมายฉบับสุดท้าย
                         ชื่อเพลง  รักกันไม่ทะเลาะกัน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อากาศเย็นไหม แล้วใจเย็นด้วยไหม
“อย่าปล่อยชีวิตผ่านไปอย่างเลื่อนลอย     เฝ้ารอคอยบุญวาสนามาหล่นทับ
มิสู้ใฝ่เพียรพยายามตามลำดับ               มีสุขกับในทุกวันที่ควรเป็น”
เราเป็นแบบนั้นหรือไม่ ปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ รอวันที่จะโชคดีใช่หรือเปล่า หรือไม่ก็เอาชีวิตไปเสี่ยง อาจจะโชคดีหรือไม่ก็โชคร้าย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราไม่เคยปล่อยชีวิตให้อยู่ในความเสี่ยงเลยใช่หรือไม่ เสี่ยงไหม (เสี่ยง)  ชีวิตปกติอยู่ดีๆ ก็ดีแล้ว ทำไมชอบเอาชีวิตไปเสี่ยง เสี่ยงแล้วโดนหวยกินทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  ชอบชีวิตหวือหวาขึ้นลงหรือชอบชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ (เรียบๆ ง่ายๆ)  ปกติมนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะชอบชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่ชอบเอาชีวิตไปเสี่ยงถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่พอเรียบง่ายไปนานๆ เข้าก็เริ่ม (เบื่อ)  ขอเสี่ยงสักหน่อยใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายคุ้มเสี่ยงไหม (ไม่คุ้ม)  แล้วก็อยากกลับมาเรียบง่ายเหมือนเดิมอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าลืมว่าบางครั้งเสี่ยงไปแล้วมันถอยกลับมาเรียบง่ายเหมือนเดิมไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราคิดว่าเราจะได้ขึ้นสวรรค์ ถึงเวลาเราขึ้นสวรรค์หรือไม่ (ไม่ขึ้น)  กลายเป็น (ตกนรก)  คิดเองแล้วนะคิดว่าสิ่งที่เราหวังว่าจะดีกลับกลายเป็น (ร้าย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราทำอย่างไรดี ก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป  หรือจะเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนใจ (เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนใจ)  ศิษย์ในชั้นนี้ใจเปลี่ยนไวจริงๆ เลยนะ พออาจารย์พลิกก็พลิกตามพออาจารย์ไหวก็ไปตาม ไม่มีความมั่นคงเลย  วันนี้มาร่วมกันศึกษาธรรม หรือไม่ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนคุยเรื่องธรรมะกันดีไหม (ดี)
ศิษย์เอยเราอยู่ในโลกนี้อยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก หรือใครๆ ก็ไม่รัก (อยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก)  ใครที่ไปอยู่ที่ไหนแล้วใครๆ ก็รัก คนแบบนั้นคือคนที่มีรัก แล้วพยายามให้รักกับทุกคน ถ้าเราอยากเป็นที่รักของทุกคนเราต้องรู้จักเป็นคนที่รู้จักแจกจ่ายความรัก มีรักที่เหลือเฟือ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะรอให้คนมารัก แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าคนที่มีรัก แล้วรู้จักแจกจ่ายความรักให้ทุกคน มีรักให้ทุกคน เมื่อเทียบกับคนที่เอาแต่รอให้ทุกคนทำให้ตัวเองมีสุข ทำให้ตัวเองได้รัก ศิษย์ว่าคนไหนน่ารักกว่ากัน (คนที่แจกความรัก)  แล้วคนที่แจกความรักยิ้มง่ายหรือยิ้มยาก เป็นคนที่อัธยาศัยดี หรืออัธยาศัยไม่ดี ใบหน้ายิ้มแย้ม หรือหน้าตาหม่นหมอง แล้วตอนนี้ศิษย์อยู่ที่นี่ศิษย์ทำตัวให้เขารักหรือศิษย์รอคอยคนมารัก ถ้าศิษย์ชอบให้มีคนรักมากกว่ามีคนเกลียด ศิษย์ชอบจะเป็นที่รักของทุกคน ทำไมเราไม่แจกจ่ายความรักให้กับทุกคน ทำไมต้องรอทุกคนมารักเราแล้วเราจึงจะรักกลับ การให้ ทำให้เราสุขใจ อิ่มใจ แต่การเป็นคนเห็นแก่ตัว และไม่เคยคิดจะรักใครเพราะรักแต่ตัวเอง อย่างนั้นตลอดชีวิตที่ผ่านมาเราเป็นคนที่มีรักแล้วมีแต่ให้ หรือเอาแต่รอที่จะรัก ถ้าอยากเป็นที่รักของคนอื่นอย่าโทษว่าเขาไม่น่ารัก อย่าไปบอกว่าไม่มีใครรักฉันเลยแต่จงหันกลับมามองตัวเองว่าหน้าตัวเอง นิสัยตัวเองนั้นน่ารักพอที่จะให้รักหรือยัง  ต้องถามตัวเองก่อน ถ้ารักตัวเองเป็นจะรักคนอื่นไม่เป็นหรือ แล้วความหมายของคำว่ารักก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนา จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเรารักแบบให้หรือรักแบบจับจองครอบครอง รักที่งดงาม รักที่บริสุทธิ์ รักที่เที่ยงแท้ ต้องเป็นรักที่มีแต่ให้  แต่รักที่เต็มไปด้วยความทุกข์ รักที่ทำให้เรามืดบอด รักที่ไม่ทำให้เรามีสุขได้อย่างแท้จริง คือรักที่เอาแต่จับจองครอบครอง  เพราะแค่คิดว่าจะจับจองครอบครองแล้วไม่ให้เป็นของใคร ก็ทุกข์แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  แต่รักแล้วให้ รักแล้วเสียสละ รักแล้วเป็นสุขที่ได้รัก นั่นคือรักที่บริสุทธิ์  แต่มนุษย์ในทุกวันนี้รักแบบไหน (แบบครอบครอง)  รักแบบจับจองครอบครอง แล้วก็หนีไม่พ้นความระแวงสงสัย เป็นทุกข์กัดกินใจ  แบบนี้เรารักเขาหรือรักตัวเอง (รักตัวเอง)  แต่ก็บอกว่ารักเขา แท้จริงแล้วเราไม่ได้รัก  เพราะถ้าเรารักเขาจริง เมื่อเขาทิ้งเราไปมีความสุข เราก็ต้องกล้าเสียสละให้เขาไป  แต่ถ้าเราเสียใจที่เขาจากไป นั่นแปลว่าเราไม่ได้เสียใจที่เขาไม่รักเรา แต่เราเสียใจที่เราจะเสียคนที่เรารัก อย่างนั้นก็แปลว่าเราห่วงตัวเองไม่ได้ห่วงเขา เรารักตัวเองไม่ได้รักเขา 
ฉะนั้น ถ้าถึงเวลาคนที่เรารัก คนที่เรารู้สึกดีต้องจากไป เขาไปสู่ที่ดีกว่า เขาไปสู่ที่ทำให้เขาหมดความทุกข์ เราควรจะร้องไห้หรือเราควรจะ (ยินดี)  ถ้าเราร้องไห้แปลว่าเราเห็นแก่ตัว  จะให้เขามาจมทุกข์อยู่กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาจะไปมีใหม่ เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  อยู่ในโลกนี้ อยากร่วมบุญหรือร่วมกรรม อยากร่วมกันสร้างสรรค์สวรรค์บนดินหรือสร้างนรกบนแดนดิน (สร้างสวรรค์บนดิน)
ทุกสิ่งที่ศิษย์สร้างล้วนแต่ออกมาจากความคิดของตัวศิษย์เอง แล้วสิ่งที่ศิษย์สร้างนั้นมันเป็นอะไรหรือ ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่สิ่งที่ดีแต่ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่าสนองกิเลสอารมณ์ตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแล้วเราเกิดมา เพื่อใช้กรรมแล้วสร้างกรรม หรือเพื่อจบเวรจบกรรม (จบกรรม)  ที่แล้วมาจบไหม (ไม่จบ)  แล้วตอนนี้อยากจะจบบ้างไหม ชีวิตไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีเวร ไม่อยากมีกรรม แล้วทำไมไม่ค่อยยอมจบ ฉะนั้นถ้ายอมจบได้ทุกเรื่องทุกราวมันก็สงบ กรรมก็สิ้นสุด ฉะนั้นไม่อยากมีกรรม ไม่ต้องไปขอพระ ไม่ต้องไปขอเจ้า แต่ขอจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
แปลกนะอยู่คนเดียวก็เหงา แต่อยู่สองคนก็ไม่มองหน้ากัน แต่ก็ตัดกันไม่ขาดใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่คนเดียวก็กลัวเหงาแต่สองคนก็หามีสุขไม่ แต่ก็ยังต้องทนอยู่กันไป โดยส่วนใหญ่ในโลกนี้มนุษย์หนีไม่พ้นความ (ตาย,ทุกข์)  ศิษย์ก็พูดจริงนะ เราหนีไม่พ้นความตาย แต่ก่อนจะตายเราจะทำอย่างไรให้ตัวเองสิ้นทุกข์ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้เราหนีไม่พ้นความทุกข์  ทำอะไรก็ทุกข์ไม่ทำก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทุกข์เพราะอะไร โดยที่เป็นพื้นฐานเหมือนกันหมดคือเรารู้จักสุข ทุกข์ เพราะความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งอยากมากเท่าไรเราก็ยิ่งรู้จักสุขและทุกข์มากเท่านั้น ถ้าไม่อยากสุขและทุกข์กลับไปกลับมาขนาดนี้ เราทุกข์เพราะอะไร เราก็ควรจะดับที่ตรงนั้น โดยส่วนใหญ่เราคิดว่าทุกข์เกิดจากความอยาก แล้วอยากมากๆ ก็ทำให้เราสูญเสียจิตใจที่ดีงามและยากที่จะทำอะไรได้ดี
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “หนทางแห่งการสนองความอยาก เป็นหนทางที่อันตรายและไม่มีความหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้จักพอ และไม่มีภัยพิบัติใดที่น่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากอย่างไม่มีวันเต็มเสียที” โดยเฉพาะผลาญทรัพย์สินทางโลก ผลาญสรรพสิ่งในโลกเพื่อสนองกิเลสของตน โดยไม่สนใจผิดชอบชั่วดี ล้วนเป็นหนทางที่น่ากลัวยิ่งนัก เหมือนถามศิษย์ว่าให้ศิษย์หยุดอยากได้หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อยังอยากก็หนีไม่พ้นทุกข์ สุข
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า “เราอยู่ในโลกนี้เราเป็นนายเหนือสรรพสิ่งหรือเราเป็นทาสสรรพสิ่ง” (ทาสสรรพสิ่ง)  สรรพสิ่งมีไว้เพื่อให้ใช้หรือสรรพสิ่งมีไว้เพื่อใช้เรา (เราใช้)  เราเกิดมาเพื่อใช้ทุกสิ่งไม่ใช่ให้ทุกสิ่งใช้เรา เราเกิดมาเพื่อเป็นนายของทุกสิ่ง ไม่ใช่ให้ทุกสิ่งเป็นนายเหนือเรา ศิษย์จะไม่อยากก็ไม่เดือดร้อน ศิษย์จะไม่เอาก็ไม่ทุกข์ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐควรเป็น ใช่หรือไม่
พระพุทธะบอกว่า คนที่เป็นนายเหนือทุกสิ่งนั้นมีหน้าที่ใช้ทุกสิ่งไม่ให้ทุกสิ่งมาใช้  สมมติว่าเวลาทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วไม่สำเร็จ ทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  แล้วเวลาทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วสำเร็จ ทุกข์หรือสุข (สุข)  ถ้าสมมติว่ามีคนประเภทหนึ่งสำเร็จก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่สำเร็จก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข ศิษย์ว่าเขาเป็นนายเหนือสรรพสิ่งไหม  ถ้าศิษย์ว่าศิษย์เป็นนายเหนือสรรพสิ่งและมีหน้าที่ใช้สรรพสิ่ง ไม่ใช่สรรพสิ่งมาใช้ศิษย์  ฉะนั้นอะไรๆก็จะบีบใจศิษย์ไม่ได้ จะทำร้ายใจศิษย์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   มันจะไปซ้าย  มันจะไปขวาและถ้ามันจะไม่ไปซ้ายไม่ไปขวา เราก็ต้องไม่รู้สึกอะไร ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่ามันไม่สามารถมาบีบใจเราได้ มันไม่สามารถมาทำร้ายเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ามันเป็นนายเหนือเราก็คือ พอมันบีบใจเรา พอมันทำร้ายใจเรา เราก็รู้สึกยอมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าถูกเขาว่า โกรธหรือไม่โกรธ (ไม่โกรธ)  ถูกเขาด่าเกลียดหรือไม่ (ไม่เกลียด)  แต่ถ้าถูกเขาด่าแล้วก็ด่ากลับ ถูกเขาชมก็ดีใจลำพองใจ นั่นแปลว่าใจของศิษย์มันง่ายที่จะถูกผูกมัดและเกี่ยวรัดและตกเป็นทาสของสรรพสิ่งทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่เป็นนายเหนือทุกสิ่ง ถูกเขาด่าก็เฉย ถูกเขาชมก็ (เฉย)  ได้ก็ (เฉย)  ไม่ได้ก็ (เฉย)  อย่างนั้นตกลงว่าตอนนี้ที่มันไม่เฉย ด่ามาด่ากลับ แรงมาแรงกลับ นั่นแปลว่าใจของศิษย์ง่ายที่จะถูกเขาชักจูง ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์ไม่ได้เป็นนายเหนือสรรพสิ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อเป็นทาส หรือเราเกิดมาเพื่อเป็นไท  (เพื่อเป็นไท)  เป็นไทจริงๆ หรือ ถูกกระทบนิดหน่อยก็ไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถามนะศิษย์เราเกิดมาเพื่อใช้ทุกสิ่งให้เป็น หรือเราเกิดมาเพื่อตกเป็นทาสของทุกสิ่งทุกวี่ทุกวัน (ใช้ทุกสิ่ง)  อย่าตอบอาจารย์เลย แต่ควรไปทำให้ได้ต่างหากจริงไหม (จริง)  แล้วตอนนั้นความอยากของศิษย์มันจะไม่ทำให้ศิษย์ต้องเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเพราะใจศิษย์ไม่ไหวไปตามสิ่งที่ถูกกระทบ ศิษย์เกิดเป็นไท ถูกปลดเปลื้องจากความเป็นทาส แต่ทำไมจึงให้สรรพสิ่งในโลกนี้มาทำให้เรากลายเป็นทาส ไม่เป็นไทที่แท้ทั้งกายและใจถูกไหม (ถูก) 
ฉะนั้นเขาว่าเราบ้าเราก็บ้า เขาว่าเราโง่เราก็โง่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาทำเราเจ็บเราก็เจ็บ ตกลงใจเราหรือใจของเขา (ใจเขา)  ใจเป็นของเราที่ควรดูแล หรือใจเราเป็นของเขาที่ให้เขาบีบเล่น (ใจเราเอง)  ธรรมะฟังดูง่ายตื่นเองรู้เอง ความเข้าใจถึงตรงนี้ อะไรสำคัญเท่ากับใจ
(ถ้าแฟนทิ้งเราต้องตามไปล้างแค้น)  แล้วเราก็ต้องจองเวรจองกรรมกันไม่จบสิ้นใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ก่อนเราจะไปแก้แค้นจนสะใจแล้วค่อยหาหนทางกลับ มันไม่ทันนะ มันควรจะหยุดก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  พออาจารย์พูดถึงตรงนี้ศิษย์ก็จะมีเหตุผลอีก บอกว่า ทำไม่ได้ ทำยากนะอาจารย์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้นิ่งๆ เฉยๆ ไม่สนใจยากไหม (ยาก)  ที่ยากเพราะอะไรรู้ไหมศิษย์ เพราะศิษย์ไม่เห็นชัด อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ ถ้าศิษย์เห็นชัดว่าสิ่งที่ศิษย์พยายามจะไปยึด ไปอยาก ไปมี ไปเอา มันคือกองทุกข์ มันคือทุกข์ที่ไม่สิ้นสุด  อาจารย์จะบอกให้ สิ่งที่ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ พูดมันก็ง่ายนะ อะไรศิษย์ก็รู้หมด ใช่หรือไม่ อยากเป็นไท ไม่อยากกระเพื่อมไหวตามสิ่งที่เข้ามากระทบ ศิษย์ก็อยากเป็น แต่มันทำยาก”
อย่างนั้นวิธีที่ทำง่ายๆ ก็คือ ถ้าสิ่งที่เห็น เราเห็นชัดว่ามันเป็นทุกข์ มีแต่ทุกข์ไม่สิ้นสุด ศิษย์ว่าศิษย์จะอยากไปยึดไปเกี่ยวรั้งมันมาเป็นของเราไหม อยากไหม (ไม่อยาก)  โดยส่วนใหญ่ก็ไม่อยาก แต่ศิษย์อย่าลืมนะว่า โลกมันเป็นมายา ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ มันจะไม่มาให้เราเห็นทุกข์ทันที แต่มันจะมาหลอกว่ามันคือสุข มันคือสวย มันคือดี แล้วตบท้ายด้วยทุกข์ทุกที จริงไหม (จริง)  แล้วถูกตบมากี่ที (หลายที)  รู้อยู่ เห็นชัดๆ สวยไหม สวย หล่อไหม หล่อ  ดีไหม ดูดี แต่จบท้ายเป็นอย่างไร ตายทั้งเป็น แต่เอาไหม เอา ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  มนุษย์แปลกอย่างหนึ่ง รู้อยู่ เห็นก็เกือบจะชัดแล้ว แต่ไม่ยอมรับความจริงว่ามันคือทุกข์ คิดแค่เพียงว่า “อาจารย์มันอาจจะสุข มันอาจจะดีก็ได้นะ”  ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมองเห็นไม่ชัด ก็เลยบอกว่า “อาจารย์เมื่อมองไม่ชัด ก็ขอให้รักให้สุดๆ ไปเลย เมื่อสุดไปเลย แล้วทุกข์จนถึงที่สุด เดี๋ยวหนูค่อยปล่อยวาง”  แล้วปล่อยวางได้ไหม ยึดได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ถามหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์แสวงหา ศิษย์ว่ามันคือความอยากที่ศิษย์ต้องได้ แต่เมื่อได้มาแล้ว เราถือได้ตลอดเวลาไหม  เป็นของเราตลอดไหม อยู่กับบ้านเราคิดว่าเขาเป็นของเรา แต่ใจเขาเป็นของเราไหม (ไม่)  เงินอยู่ในกระเป๋าเรา ถึงเวลามันอยู่กับเราตลอดไหม (ไม่)  แล้วอะไรคือความแน่นอน เรายังยึดไม่ได้เลย ฉะนั้นก็ขอใช้ให้มันสุดๆ แล้วค่อยปล่อยใช่ไหม (ไม่ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าใช้จนสุดแล้วค่อยทุกข์ เจ็บช้ำแล้วค่อยปล่อย ถึงเวลาปล่อยลงไหม (ไม่ลง)  กับอีกแบบหนึ่ง ไม่เอาดีกว่า ถ้าจับแล้วมันจะทุกข์ ถ้ามีแล้วมันจะเจ็บปวด ไม่เอาดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ลองถามคนที่แต่งงานแล้วทั้งร้อยทั้งพันล้วนพูดว่า “ไม่แต่งดีที่สุด” แต่ทุกคนก็อยากแต่งก่อนใช่ไหม (ใช่)  รู้ว่าโลภแล้วมันไม่ดี โลภแล้วทำให้เราผิดศีลขาดธรรม แต่ก็ขอโลภก่อนนะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนั้นไปทำเลวร้ายมาแทบแย่แล้วค่อยมาคิดที่จะทำดี มันทันหรือ (ไม่ทัน)  อาจารย์จึงบอกว่าถ้าเราสามารถมองเห็นชัดจนวางเฉยได้ อะไรมันจะทำเราเจ็บปวด อะไรมันจะทำเราทุกข์ทน มันไม่มี จริงไหม (จริง)เพราะอะไรเราถึงมีความอยาก ถ้าสาวไปให้ถึงต้นเหตุ เพราะเราไม่อยากว่าง เพราะเราไม่อยากไม่มี ใช่ไหม(ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตต้องกลับสู่ความว่าง และความ (ไม่มี)  ฉะนั้นที่มนุษย์ดิ้นรนทุกวันนี้ จริงๆ ไม่ใช่เพราะอยาก แต่เพราะไม่อยากอยู่กับคำว่าไม่มี จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์ถามกลับ ที่พูดว่ามีสามี มีก็เหมือนไม่มี ที่พูดว่ามีภรรยา มีก็เหมือนไม่มี ที่พูดว่ามีเงิน มีก็เหมือน (ไม่มี)  ถ้าเช่นนั้น เมื่อความมีทำให้เป็นทุกข์ จึงค่อยไปทำใจให้ไม่มีหรือ หรือเรียนรู้ความไม่มี แล้วมีแบบไม่มีดีกว่ากัน ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าวิธีง่ายๆ ที่จะอยู่บนโลกแล้วแสวงหาแล้วไม่ทุกข์ก็คือ มีเหมือนไม่มี ทำได้ไหม(ยาก) 
ศิษย์เอย ถ้าพูดคำว่ายากก็ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่ทันฟังเหตุผลก็ยกธงขาวแล้วอาจารย์ “หนูแพ้แล้ว” ยังไม่ทันรบก็แพ้แล้ว อย่างนี้น่าเสียดายนะ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)   มีสามีแล้วเป็นดั่งใจไหม มีเงินแล้วเป็นดั่งใจไหม แล้วมีเหมือนไม่มี ใช่ไหม เหมือนร่างกายเรา เหมือนว่ามันเป็นของเรา มันเป็นของเราใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  มันเหมือนมี แต่จริงๆ มัน (ไม่มี)  แต่ก็ทุกข์กับมันไหม (ทุกข์) ฉะนั้นเวลาร่างกายมันเจ็บ มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะถ้าไม่มีความรู้สึกว่าเจ็บ นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวแล้วนะ
ฉะนั้นขอบคุณที่ได้เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ เอาไหม อย่างนั้นควรจะเจ็บควรจะรู้สึก ดีไหม สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องเรียนรู้อีกอย่างก็คืออย่ามองแค่สิ่งที่ตัวเองอยากมองหรืออย่าเห็นแค่สิ่งที่ตัวเองยึดติด ว่าไม่มีแล้วจะทุกข์ ไม่มีแล้วจะลำบาก หรือที่เรียกว่ามนุษย์ทั้งหลายทั้งมวลล้วนติดคำว่า “ดี”
(แต่ทุกอย่างก็ต้องใช้เงิน)  ศิษย์เอย เงินไม่มีไม่เป็นไร แต่ปัญญาไม่มีไม่ได้เพราะคนมีปัญญาจึงมีเงิน แต่มีเงินไร้ปัญญาสักวันเงินก็หมด ฉะนั้นมีเงินดีกว่าหรือมีปัญญาที่เห็นชัดดีกว่า (ปัญญา)  อย่างนั้นวันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อเห็นแจ้งในปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราไม่โง่ สอนให้เราฉลาด อย่างนั้นเราก็ต้องเข้าใจว่า “ถ้ามันทุกข์อย่างนี้ เราจะทำอย่างไรต่ออาจารย์” มีเหมือนไม่มีได้ไหม (ไม่ได้)  จะรอจนตราบลมหายใจหมดแล้วถึงจะบอกว่าค่อยทำได้หรือ ชีวิตตอนนี้มัวห่วงโน่นห่วงนี่ ถึงเวลาลืมตัวเองห่วงตัวเองหรือเปล่านะ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงที่สุดก็ไม่มีใครไปกับเราใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้นที่จะพ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์ ถ้าไม่พ้นทุกข์ก็ยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าพ้นทุกข์ก็สิ้นเวรสิ้นกรรมพ้นเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามองว่ามันยังไกลมันก็ไกล แต่ถ้ามองมันใกล้แค่ตรงนี้ มันก็สิ้นสุดได้ที่ตรงนี้ จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ชีวิตเป็นไปได้ไหม ที่จะดีอย่างเดียว สุขอย่างเดียว มีแต่ความสำเร็จ มีแต่คำชม (ไม่ได้)  ฉะนั้น ถ้าเราเห็นชัดอย่างนี้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เราควรจะติด ดีไหม (ไม่ดี)  ควรจะติดมันไหม (ไม่ติด)  ที่เราบอกว่าไม่ได้เพราะเรายึดดีเกินไปใช่ไหม (ใช่)  อะไรตามใจฉันเรียกว่าดี อะไรเป็นอย่างใจฉันเรียกว่าปกติ แต่ถ้าอะไรผิดจากใจที่ฉันคิด มันไม่ดี มันผิดปกติ ใช่ไหม (ใช่)  นั่นคือปัญหาถูกไหม (ถูก)  มันเป็นไปได้หรือที่จะเป็นอย่างใจทุกวัน
เอาง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์เดินมาตั้งแต่ตรงนี้ ไปถึงตรงโน้น ทุกคนจะชมอาจารย์หมด ไม่มีใครด่าอาจารย์เลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเวลาอาจารย์เดินจากตรงนี้ไปถึงตรงโน้น ทุกคนจะให้เงินอาจารย์หมด อาจารย์จะไม่เสียเงินเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกคนก็รู้ อาจารย์ถามหน่อย แล้วมันเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีความสุขตลอดไม่มีทุกข์เลย (ไม่ได้)  แล้วมันเป็นไปได้ไหมที่ตลอดชีวิตศิษย์จะอารมณ์ดีไม่อารมณ์เสียด่าใคร (ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหมว่าสามีเขาจะดีแล้วไม่เสีย (ไม่ได้)  ศิษย์จำไว้นะ ศึกษาธรรมเรามีหน้าที่ต้องทำดี แต่ไม่ใช่บังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดีและทำดีกับเรา เป็นไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)
อาจารย์ถามนะให้ศิษย์ทำดีกับคนอื่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยห้ามว่าเลยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเป็นไปได้ไหมที่เขาจะดีกับศิษย์โดยที่ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ใจ (ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่เงินมันมาแล้วมันจะไม่เสียไป (เป็นไปไม่ได้)  เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีแต่ความแข็งแรงไม่มีความแก่ไม่มีความเจ็บ (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วศิษย์จะอยากผูกใจเจ็บหาเรื่องหาราวหรือจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)  ถ้าอยากผูกใจเจ็บก็แปลว่าศิษย์อยากเจอหน้าเขาอีก แล้วกลับมาใช้เวรใช้กรรมอีกเอาไหมล่ะ (ไม่เอา) ศิษย์เอยอาจารย์จะบอกให้นะวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ เราห้ามคนตรงข้ามให้เป็นดั่งใจเราไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างแรกก็คือศิษย์ต้องปรับใจตัวเองก่อนอย่ายึดติดดี เพราะว่าสิ่งที่มองดูไม่ดีอาจารย์ถามว่ามันมีดีไหม (มี)  สิ่งที่ร้ายมันมีดีไหม (มี)  สิ่งที่ดีมันมีร้ายไหม (มี)  ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราจะโกรธเขาไหม (ไม่โกรธ)  อย่าเอาแต่เพ่งมองแต่สิ่งที่เราเห็นว่าร้ายจนลืมเห็นดี เพราะในโลกของความเป็นจริงใบนี้ไม่มีชีวิตไหนที่มีด้านหน้าแล้วไม่มี ด้านหลัง ถูกไหม (ถูก)  และไม่มีหน้ามือแล้วไม่มี (หลังมือ) ถูกไหม (ถูก) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่ว่าจะเจออะไรศิษย์จะเฉยๆ คำว่าเฉย ไม่ใช่หมายถึงไม่ดูดำดูดี แต่หมายถึงว่าเมื่อเขาร้ายเราต้องเย็น เมื่อเขาดีเราต้องดียิ่งขึ้น เมื่อเขาน่ารัก เราต้องยิ่งน่ารักสุดจิตสุดใจ แล้วครอบครัวจะอบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อวานท่านหลี่ต้าเซียนก็สอนไม่ใช่หรือว่า ความนิ่งจะทำให้เราเข้าใจ ประจักษ์แจ้งในทุกสรรพสิ่ง และทำให้เราแข็งแกร่งเมื่ออยู่บนโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ถ้าศิษย์ไม่ยึดติดดีมากเกินไป ศิษย์จะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีสองหน้า และในสองหน้านั้น ในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย แต่เป็นเพราะว่าเราตาบอดมองไม่เห็น มัวแต่ใจจดจ่อว่าเขาร้าย เขาด่าเรา แล้วที่เขาด่าเรา เขารักเราไหม (รัก)  ถ้าไม่รักจะด่าให้เหนื่อยไหม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้น ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ ศิษย์จะต้องเรียนรู้ธรรม เพราะการเรียนรู้ธรรม จะทำให้ศิษย์มีปัญญาเข้าใจปัญหาชีวิต และสามารถมีจิตที่เบา ไม่ยึดติด และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด จนไม่มีพิษภัยกับใคร และทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นพิษภัยกับใจเรา  ขัดเกลานิสัยจนไม่สามารถสร้างเหตุแห่งทุกข์ได้อีกเด็ดขาด นี่คือหลักสำคัญของการศึกษาธรรม  แล้วยิ่งศึกษาธรรมมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เราเห็นโลกชัด  โดยปกติเรามักจะมองแต่คนอื่น แล้วก็จ้องจับผิด ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า เห็นเขาเป็นพญามาร เราก็เป็นพญามาร จริงไหม (จริง)  ใจเรารู้สิ่งไหน ก็เห็นสิ่งนั้นชัด ใช่ไหม (ใช่)  ใจเราเคยเป็นอะไร เราก็สามารถบอกได้ว่าที่เป็นอยู่นั้นคืออะไร ถูกไหม (ถูก)  ถ้าใจเราเคยเลวร้าย พอเห็นคนเลวร้าย เราก็รู้เลยว่านี่เรียกว่าเลวร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราชี้หน้าด่าเขาก็แปลว่าเราเคยเป็น เมื่อไรที่ด่าเขาเรานั้นเป็นแบบนั้นมาก่อนแล้ว ธรรมอะไรที่ทำให้เราพิจารณาแล้วบังเกิดความประจักษ์แจ้ง แล้วก่อเกิดปัญญาไม่ทุกข์
(ใช้เหตุผล)  เหตุผลยังไม่ใช่ที่สุดของความจริง ว่าเขาถูกแต่ถึงเวลาเขาถูกจริงไหม ว่าเขาผิดว่าเขาไม่ดี ถึงที่สุดเขาไม่ดีจริงไหม ถ้าเขายังมีลมหายใจเขายังมีโอกาสแก้ตัว คนไม่ดีก็กลายเป็นคนดีได้ ฉะนั้นใช้อะไรพิจารณาและทำให้เราเห็นโลกชัดและไม่ทุกข์อีกต่อไป
(ปัญญา)  ปัญญาก็ง่ายที่จะเข้าข้างตัวเอง ปัญญาง่ายที่จะคิดไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้เข้าใจ อาจารย์จึงบอกว่าพิจารณาธรรมจนเกิดปัญญา ปัญญาจะไม่มี ถ้ายังไม่เห็นแจ้งในธรรม
(ทำดี)  ทำดีเต็มที่แล้วก็ยังไม่พ้นทุกข์ ใช่ไหม เพราะบางทียึดติดดีมากเกินไปก็กลายเป็นทุกข์เพราะยึดดี
(มองตามความจริง)  ทำให้เราเกิดปัญญาใช่ไหม (ใช่)  แล้วความจริงนั้นเรียกว่าอะไร (ความจริงคือการกระทำ)  การกระทำคือความจริง การกระทำมันเรียกอีกอย่างว่ากรรม ซึ่งแบ่งออกเป็นกรรมดี กรรมชั่วและอกรรมตกลงความจริงคืออะไรหรือ
(สติ)  สติมาปัญญา (เกิด)  สติเตลิดปัญญา (หาย)  สติเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวล แต่มีสติแล้วต้องพิจารณาอะไรอยู่เนื่องๆ จึงก่อเกิดปัญญามีแค่สติอย่างเดียวไม่พอ  ธรรมอะไรที่หมั่นพิจารณาเนื่องๆ แล้วจะทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงจนเกิดปัญญา และทำให้เราสามารถปล่อยวางไม่ทุกข์ได้อีกต่อไป แล้วศิษย์รู้ไหมธรรมนี้ถ้าพิจารณาเนื่องๆ จนจิตตรงต่อหลักสัจธรรม เชื่อไหมว่าวิบากกรรมหรือกรรมทั้งมวลจะจบสิ้นได้ในทันที
(ความตาย)  คือตายก่อนตาย อย่าตายโดยที่ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ตายนั้นมันก็ยังทำให้เราเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  เราต้องพ้นวิบากกรรมก่อน
ผู้ปฏิบัติงานธรรมช่วยตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยได้ไหม ศิษย์ตอบว่าอะไรนะ (ความไม่แน่นนอน) ชื่นใจ
ศิษย์รู้ไหม มีธรรมข้อหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาเนื่องๆ และจะทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริงจนเกิดปัญญา และเมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงต่อหลักสัจธรรม เมื่อนั้นดีร้ายจะไม่เกิด เราจะกลับไปสู่ทางสายกลางที่ทำให้เราจบสิ้นวิบากกรรมได้ในชาตินี้ ไม่ตกไปดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข นั่นก็คือความไม่เที่ยง
ความไม่เที่ยง คือธรรมที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เอาไปพิจารณาเนื่องๆจนหยั่งรู้ในธรรม และนำพาให้เราใจเที่ยงตรงต่อสัจธรรม และกลับสู่ความเป็นกลาง
(ทำบุญ)  บุญยังเป็นรากฐานของความดี บุญยังไม่สู้กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)  บุญแค่ตัวชำระล้างให้จิตบริสุทธิ์ แต่กุศลถึงขนาดไม่มีอะไรที่เรียกว่าให้ยึดติดแล้ว ฉะนั้นมนุษย์เราศึกษาธรรมเราเรียนรู้แค่เพียงดีกับชั่ว ดีกับไม่ดี แต่หลักธรรมสอนว่านอกจากดีและชั่วยังมีอีกทางสายหนึ่งที่เรียกว่าทางสายกลาง ที่เรียกว่าพ้นชั่วพ้นดี นั่นก็คิอ ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่ทำ เข้าใจถึงความเป็นจริง แล้วใครจะเลวก็เลวไป ใครจะดีก็ดีไป แต่ฉันรักษาใจให้เป็นปกติ
(ความเมตตากรุณา)  เป็นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันให้บังเกิดสุขเพื่อไม่ก่อเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าศิษย์เมตตากรุณาแล้วศิษย์ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แปลว่าศิษย์ยังยึดความมี เมื่อมีก็เรียกว่ากรรมดี เมื่อทำกรรมดีก็สนองวิบากกรรมของกรรมดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำแล้วไม่มีตัวตนให้ยึดถือ นั่นเขาเรียกว่าสิ้นวิบากกรรม สิ้นเวรกรรม แต่มนุษย์ไปไม่ถึง ติดอยู่แค่ดี ไม่ดี แล้วก็หนีไม่พ้นกรรม
(ว่างเปล่า)  เวลาเขาด่าเรา เราบอกว่า “มันไม่เที่ยงๆ มันเป็นทุกข์จะยึดทำไม ถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า” แล้วเรานะโกรธเขาไหม เคยพิจารณาแบบนี้บ้างไหม ส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์ก่อนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้ธรรมะเป็นทานคือเขาโกรธมาเราเมตตาไหม เราใจเย็นได้ไหม เราสันติไหม แล้วการพิจารณาเนื่องๆ แบบนี้ จะทำให้ศิษย์เห็นชัดถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า พิจารณาเนื่องๆ จนเห็นว่า
เมื่อไม่เที่ยงอย่าหาความสมบูรณ์แบบในโลกนี้ ใครบ้างหล่อที่สุด ใครบ้างสวยที่สุด ใครบ้างดีที่สุด ใครบ้างแย่ที่สุด ตราบที่ยังไม่หมดลมหายใจ  ที่เห็นว่าดีย่อมมีดีกว่า ที่เห็นว่าแย่ย่อมมีแย่กว่า เมื่อเรามองเห็นว่าไม่เที่ยงตลอด จะโกรธไหม จะทุกข์ไหม พอถึงที่สุดก็ว่างเปล่า เรายังจำฝังใจไหม ถ้ายังจำฝังใจแสดงว่าผูกเวรผูกกรรม เห็นหน้ายังจำได้อีกและยังแอบด่าในใจ  อย่างนั้นเรียกว่าจองเวรจองกรรม  ถ้าเห็นหน้าด่าเขาทันทีเรียกว่าอาฆาต  อย่าเกี่ยววิบากกรรมไม่จบสิ้น
ฉะนั้นเมื่อใดที่จิตวิ่งไปยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน หรือยึดเข้ามาเป็นตัวเรา ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์กลับไปรับ แม้แต่กินขนมแล้วชอบเกิดวิบากกรรมไหม (เกิด)  ไปร้านนั้นอีกไหม (ไป)  กินขนมแล้วไม่ชอบเกิดวิบากกรรมไหม ถ้ายึดติดในความคิดแล้วคิดว่า “ทำมาได้อย่างไรแพงก็แพง เดี๋ยวเจอหน้าจะด่าเลย” ใช่ไหม ศิษย์ก็สร้างกรรมไปเรื่อยๆ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้รู้จักว่าร้านนี้ไม่อร่อย จะโกรธ เกลียด ด่าเขาไหม จบไหม สิ้นกรรมไหม อยากเกี่ยวกรรมไหม แล้วศิษย์รู้ไหมไม่ด่าแต่แอบบอกว่า “แกอย่าไปร้านนั้นเลย ไม่อร่อยเลย” เกี่ยวกรรมไหม (เกี่ยว) 
ศิษย์เอย ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาเนื่องๆ ศิษย์จะสามารถตัดความ โลภ โกรธ หลง อยากได้ใคร่ดีในโลกนี้ได้สิ้น แม้กระทั่งความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็มลายหายไป เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า แล้วยึดทำไมให้ทุกข์ ยึดทำไมให้ก่อเกิดกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเข้าใจตรงนี้ จะมองเห็นว่าแท้จริงแล้วทุกสิ่งที่เห็นว่ามี  คือไม่มี เพราะทุกสิ่งล้วนเดินไปสู่ความดับ สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั่นมีความดับ ฉะนั้น ถ้าพยายามจะปล่อย แปลว่าศิษย์ไม่เคยดับและไม่ยอมรับที่จะดับมัน พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  และยังต่อได้อีกว่า เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราก็จะรู้ว่าในโลกนี้อย่าไปหาคนดีที่สุด และอย่าไปเกลียดคนที่แย่ที่สุด เพราะมันไม่มีจริง และอย่าไปหวังชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ และก็อย่าไปโกรธ เพราะอะไรมันก็ต้องเกิดไปตามวิบากกรรม
เมื่อเข้าใจถูกทั้งมวลทั้งสิ้น ศิษย์ก็จะตอบอาจารย์ว่า ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่เอาแล้ว จริงๆ ถ้าศิษย์ประจักษ์แจ้งในสิ่งที่อาจารย์พูด ศิษย์จะตอบอาจารย์เลยว่า อะไรศิษย์ก็ไม่เอา ศิษย์แค่ใช้มันเฉยๆ ถึงเวลาก็ปล่อยมันไป ถูกไหม (ถูก)  ไม่มีอะไรดั่งใจศิษย์ แล้วทำไมปล่อยให้ใจตัวเองถูกบีบด้วยล่ะ ทำไมไม่ยอมรับความจริง ที่เราทุกข์ทุกวันนี้เพราะเราไม่รับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  เขาด่าเราไม่ดีหรือเราไม่ดีที่ยอมรับการโดนด่าไม่ได้ (เรายอมรับการถูกด่าไม่ได้)  เขาไม่ดีที่ทิ้งเราหรือเราไม่ดีที่ไม่รับการถูกทิ้ง เราแค่ได้กลับมาสู่ทางสายเก่าที่ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องเกี่ยวพัน น่าจะขอบคุณเขานะ จริงไหม (จริง)  จากเป็นดีกว่าจากตาย เขาสิ้นเวรสิ้นกรรมกับเราก็ดีแล้ว ดีกว่าอยู่กันแล้วมองหน้ากันไม่ติด ถ้าเข้าใจจนถึงที่สุดอะไรก็ไม่เอาไม่ยึดมั่นไว้ ฟังพอเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)   
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้นที่ตอบคำถาม)
เอาผลไม้ไหม เอาไปทำอะไรดี (เอาไปบูชา)  เอาไปบูชา อาจารย์ไม่ให้ (เอาไปกิน)  เอาไปกิน อาจารย์ไม่ให้  (เอาไปแบ่งเพื่อน) เอาไปแบ่งเพื่อน อาจารย์ให้นะ อย่าให้ผลไม้ที่อาจารย์ให้กลายเป็นการสนองกิเลส แต่จงให้ผลไม้นี้ก่อเกิดเป็นการสร้างคุณงามความดี  ถ้าเราเรียนรู้จนเข้าใจ หมั่นพิจารณาธรรมอยู่ตลอดเวลา จนก่อเกิดสติมองเห็นความจริงชัด เราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  เราจะเกิดโลภโกรธหลงอีกไหม (ไม่เกิด)  เราจะเกิดกิเลสไหม (ไม่เกิด)
เราจะทำอย่างไรที่จะพิจารณาบ่อยๆ แล้วทำให้เราไม่ทุกข์เมื่อเจอสิ่งที่มากระทบจิตใจ กระทบตา กระทบหู ก่อนจะแสดงอารมณ์ออกไป ศิษย์ย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองว่า สิ่งที่เขาทำกับเรา เราอยากจบกรรมไหม เราอยากสิ้นเวรกรรมไหม (อยาก)  ฉะนั้นถ้าอยากจบสิ้นเวรกรรม ไม่อยากมีกรรมอีก ก็มีสองทางคือเลือกเดินตามทางธรรม หรือเลือกเดินตามทางสนองกิเลสอารมณ์ (ทางธรรม)
ถ้าเราพบกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเรา เราจะทำอย่างไรดี ปฏิบัติต่อเขาด้วยอะไรดี แม้เขาจะแกล้ง อย่าแค่พูดได้ แต่ต้องทำได้ด้วย
(มองให้เห็นความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน)  ต้องทำให้ได้นะ ต้องมองให้เห็นเขาเป็นความว่าง เพราะเราเป็นไท เราไม่ได้เป็นทาสใคร ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร สิ่งแรกที่ทำได้ง่ายๆ คือวางเฉย เมตตา ใจเย็น ใจดีไว้ ง่ายไหม (ง่าย)  ใจเย็นใจดีและเมตตาแบบไม่หวังผล แม้ว่าเขาจะดีกลับมาหรือไม่ดีกลับมา ได้ไหม (ได้)  มีอะไรอีก
เราจะมาคุยกันต่อว่าในเมื่อเราเข้าใจหลักธรรมแล้ว เราจะปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อเวลาเราต้องออกไปอยู่กับสังคมคนข้างนอก สิ่งสำคัญคืออย่าคิดไปจัดการใครแต่ให้จัดการตัวเอง ถูกไหม (ถูก) 
ถ้าเราเข้าใจในหลักสัจธรรมและพิจารณาธรรมอยู่เนื่องๆ จะทำให้เวลาที่เราเจอเรื่องที่มากระทบจิตกระทบใจเราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อเวลาเราโดนเขามากระทบจิตกระทบใจอย่างเช่น ถูกคนตบ ศิษย์จะทำอย่างไร (มาตบผมทำไม)  บางครั้งศิษย์อาจจะบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ศิษย์ก็พยายามพิจารณาธรรมแล้วนะ แต่คนบางคนมันแปลก กับใครมันไม่ทำ มันทำกับเรา กับใครมันไม่โกง มันโกงเรา  กับใครมันไม่ด่า มันด่าเรา” ใช่ไหม (ใช่)   ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่เชื่อและศรัทธาในกรรมดีกรรมชั่ว อาจารย์ก็จะบอกว่า ในโลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกคนพบกันล้วนมีบุญสัมพันธ์กัน  เราอยากจบเวรจบกรรม เราก็แผ่เมตตาให้ อดทนให้ ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ถ้าเราไม่อยากจบเวรจบกรรม อยากพบเขาอีกก็สวนกลับทันทีใช่หรือไม่ ศิษย์ก็จะสวนกลับทันทีถูกหรือไม่ (ถูก)  นี่คือสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า เมื่อเราเข้าใจธรรม ธรรมจึงสอนต่อไว้ว่า ถ้าเราเอาธรรมมาประพฤติปฏิบัติและทำตัวเองให้ถูกต้อง อยู่ในร่องในรอยแล้วไม่ประพฤติผิดเรียกว่าคุณธรรมหรือศีลธรรม
เมื่อสักครู่รู้ธรรมแล้วใช่ไหม ถ้าเราโดนด่าว่า โดนโกรธเกลียดชิงชังแล้ว เราเอาธรรมมาปฏิบัติ เช่น เมตตา ซื่อตรง อดทนอดกลั้น   เมื่อเราเข้าใจธรรมแล้ว เราจะปฏิบัติอย่างคนมีศีลหรือปฏิบัติทั้งศีลและธรรม  ศีลคือการควบคุมให้ใจปกติ ธรรมคือการอยู่ร่วมกับผู้คนด้วยสันติ ถ้าเราอยู่กับคนแล้วเรามีธรรมเตือนใจแต่เราไม่ปฏิบัติธรรมเราก็ยากจะเป็นคนดีได้ ใช่ไหม (ใช่) แต่ไม่ใช่ว่าก็อาจารย์จี้กงบอกให้เฉยไว้ คนจะเป็นจะตายก็เฉยได้ไหม (ไม่ได้) แต่ควรช่วยเหลือจนไม่คิดชีวิต ยอมแลกชีวิตเพื่อธรรม นั่นเรียกว่าพระพุทธะ แต่มนุษย์ไม่ใช่แบบนั้น ขอรักษาชีวิต เรื่องธรรมเอาไว้ทีหลัง จึงไม่สามารถเป็นพระพุทธะได้สักที รักษาธรรมยิ่งกว่าชีวิต แต่มนุษย์ไม่มีใครยอมสละชีวิตเพื่อธรรม พระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านเห็นธรรมยิ่งกว่าชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  หนทางในการศึกษาธรรมไม่ใช่แค่เข้าใจธรรม แต่ต้องปฏิบัติให้ถึงซึ่งความเป็นธรรมด้วย 
อาจารย์ถามว่าธรรมอะไรที่ควรประพฤติปฏิบัติอยู่บ่อยๆ เนื่องๆ และทำให้เราอยู่ห่างไกลความชั่วร้าย
(ความดี)  ความดีอะไร (เช่นเขาทำอะไรก็ไปช่วยเหลือ) เรียกว่ามีน้ำใจเอื้อเฟื้อก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง 
(เมตตากรุณา , การรักษาศีล)  ศีลข้อแรกคือไม่ฆ่าสัตว์ ยุงกัดตบไหม (ไม่ตบ)
(ใครจะผิดจะถูกไม่เป็นไร)  แต่มนุษย์เราความเป็นจริงพอใครผิดเราก็มองไม่วางตา พอใครถูกก็อิจฉาริษยา
(อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น)  ไม่ตีค่า ไม่ยึดติด และก็ไม่จำเป็นต้องเติมเต็มหัวใจเพราะใจว่างแล้ว  (คิดดีทำดี)  สิ่งที่ทำให้เราดีมากที่สุดคือการละชั่ว ถ้าละชั่วได้นั่นแหละดีที่สุดแล้ว
(ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส)  การเข้าถึงความบริสุทธิ์นั่นก็คือจิตที่ว่างและจิตที่เป็นกลาง  (หมั่นศึกษาธรรม)  อย่าเอาแต่ศึกษาแต่ไม่ลงมือปฏิบัตินะ ไม่เช่นนั้นจะเปล่าประโยชน์
โดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่าศึกษาธรรมแล้วต้องพบแต่สิ่งที่ดี ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่จน มาไหว้พระแล้ว ต้องพบแต่สิ่งที่ดีๆ มีแต่เรื่องมงคล เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์ การเรียนรู้ศึกษาธรรม ธรรมสอนให้เรายอมรับความจริง แต่เรื่องที่เกิดขึ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่เราหนีไม่พ้น ถูกไหม (ถูก)  แต่สิ่งหนึ่งที่เราหนีพ้นก็คือเวรกรรมที่เราสร้าง
ถ้าศิษย์ไม่อยากมีเวร มีภัยในอนาคต ศิษย์ก็ต้องระมัดระวังกิเลสอารมณ์ของตน เพราะกิเลสอารมณ์ของตนคือต้นเหตุแห่งกรรมเวรและเภทภัยทั้งมวล  รากเหง้าของความทุกข์ล้วนก่อเกิดจากกิเลส กิเลสที่เป็น โลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์เพิ่มก็จงอย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสที่ร้ายที่สุดในตัวเราคืออะไร กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน นึกคิดว่าแบบนี้ฉันเกลียด นึกคิดว่าแบบนี้ฉันชอบ นึกคิดว่าแบบนี้ฉันหลง  ฉะนั้นถ้าเรามีธรรมแล้วรู้เท่าทันสติ หยุดความคิดได้ เราก็จะหยุดกิเลสได้ แต่ใครล่ะจะมีสติแล้วหยุดความคิดได้
จิตเดิมแท้คือสิ่งที่ประภัสสรแล้วว่างอยู่ตลอดเวลา แต่ใจแห่งความเป็นตัวตนมักจะบดบังจิตทำให้เรามองไม่เห็นความสว่างใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตัวร้ายคือใจหรือจิต (ใจ)  ใจแห่งความเป็นตัวตน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “โลกคือทางผ่าน”
ได้คำว่า “โลกคือทางผ่าน” เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ชีวิตคือความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน  มนุษย์กลัวความแก่ เจ็บ ตาย แต่จริงๆ แล้วความแก่ เจ็บ ตาย ก็คือการหมุนเวียนเปลี่ยนผันของชีวิต ถ้าเราคิดว่าตัวเราเป็นสิ่งสำคัญ โลกนี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่แน่ เราอาจจะแค่หมุนเวียนมาอยู่บนโลกแล้วถึงเวลาเราก็จะหมุนเวียนไปอีกที่หนึ่ง ถูกไหม (ถูก)  แต่หมุนเวียนอย่างคนที่มีกรรมหรือหมุนเวียนอย่างคนที่สิ้นเวรสิ้นกรรม (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  ก่อนจะพูดกับอาจารย์ทำให้ได้ก่อนนะ
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์ก็จะรู้ว่าโลกนี้มันแค่ทางผ่าน จะโกรธอะไรกับคนนั้นจะเกลียดอะไรกับคนนี้ จะเอาอะไรนักหนากับคนแบบนั้น และจะถือสาอะไรกับคนแบบนี้ และจะเคืองแค้นทำไมกับคนเช่นนั้น เพราะมันก็แค่ทางผ่าน เราจะผูกกรรมให้ไม่จบสิ้นไปทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นแจ้งในชีวิตและไม่ทุกข์กับชีวิตอีกต่อไป นี่คือเป้าหมายของการศึกษาปฏิบัติธรรม เมื่อเราพ้นทุกข์เราก็ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้ แต่เมื่อเรายังทุกข์อยู่เราจะช่วยใครได้  และเมื่อศิษย์เข้าใจในความเป็นจริงแห่งชีวิต ก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องพบล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าความเจ็บ ไม่ว่าความทุกข์สอนให้เราเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ว่าเราไม่มีอะไร และเราก็ไม่ได้เป็นอะไร อย่าพยายามจะมีจะเป็นเพราะเมื่อไรที่พยายามจะมีจะเป็นแล้วยึด  นั่นคือทุกข์และวิบากกรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเข้าใจว่าแท้จริงเราไม่มีอะไร เราจะสิ้นสุดกรรม เมื่อเข้าใจและแจ่มแจ้ง แล้วศิษย์จะรู้ว่าชีวิตคือสิ่งที่มีค่าและประเสริฐที่สุดที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ และนำพาให้ผู้คนพ้นทุกข์ ศิษย์จะไม่รู้สึกว่าสุขบนโลกนี้คือสุข แต่มันเป็นสิ่งจอมปลอม มีสิ่งที่ประเสริฐกว่า กว่าความมีความเป็น มันคือสุขที่ว่างเปล่า สุขที่ไม่ต้องยึดอะไร ไม่ต้องมีอะไร  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ใจมนุษย์มีขอบเขตถ้าไม่มีขอบเขตก็ง่ายที่จะเจ็บปวด แต่ถ้าเมื่อไรใจเราสิ้นขอบเขต สิ้นความยึดถือ สิ้นความมีตัวตน ตรงไหนจะทุกข์ ทุกข์จะเป็นแค่ทุกข์ของสังขารแต่ไม่ใช่ทุกข์ของจิตที่เข้าถึงธรรม กรรมก็กรรมแค่สังขารแต่จะไม่ไปที่จิต จิตเรามันพ้นแล้วจากความยึดถือ พิจารณาให้ดี คุณค่าของชีวิตไม่ใช่แค่เรียนเก่ง ไม่ใช่แค่คนดี แต่คือคนที่ค้นพบธรรมและนำพาให้ผู้อื่นเห็นแจ้งในธรรม อย่ามัวจมอยู่กับกิเลสตัณหาเลยศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ ที่ศิษย์บอกว่าทุกข์เพราะกิเลสตัณหา เจ็บปวดเพราะกิเลสตัณหาความยึดมั่น อาจารย์จะบอกว่า ทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดคือทุกข์แห่งความหลงผิด ที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ คิดว่าตัวเองไม่มีทางพ้นทุกข์ นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด และมันจะทำให้ศิษย์ไม่มีวันสิ้นเวรสิ้นกรรมได้
โลภ โกรธ หลง มันยังมีวันหมดอายุ แต่ความหลงผิดในใจของศิษย์ที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ได้แค่นี้ ดีแค่นี้ มันทำให้ศิษย์ไม่มีวันสิ้นเวรสิ้นกรรมและต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วสนองกิเลสไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  ความโลภ ความโกรธน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์ว่า ความหลงผิดที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ นั่นแหละน่ากลัวยิ่งกว่า ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาศึกษากันอีกดีไหม (ดี)  ถึงเวลาอาจารย์ก็แค่ คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีค่าอะไรในใจศิษย์ ตราบจนศิษย์ทุกข์ ศิษย์จะนึกถึงคำพูดอาจารย์ ศิษย์เอ๋ย อย่ารอตัวเองทุกข์ จนเจ็บปวด แล้วค่อยคิดอยากจะเข้าใจธรรม มันช้าไป เข้าใจแล้วทำให้แจ่มแจ้ง จนไม่มีอะไรให้เราทุกข์นั่นดีกว่านะ จริงไหม (จริง)  เป็นธรรมดา ศิษย์ของอาจารย์มีความตื้นลึกในความเข้าใจธรรมแตกต่างกัน แม้ในใจของบางคนจะไม่ใยดีอาจารย์เลยก็ตาม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
ศิษย์ได้แค่นี้อาจารย์ก็ต้องทำใจใช่ไหม ลองดูนะ ศึกษาธรรม ไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่ศึกษาธรรมคือการรู้แจ้งเห็นจริง  ไม่ทุกข์ก็ไม่เห็นธรรมใช่ไหม ไม่ทุกข์อาจารย์ก็ไม่เห็นหน้าศิษย์ใช่ไหม เข้มแข็งนะ เรียนรู้หลักธรรม เพื่อก่อเกิดปัญญา นำพาจิตให้พ้นทุกข์ เรียนรู้ธรรมเพื่อควบคุมดูแลใจตัวเอง เรียนรู้ธรรมเพื่อรู้จักคุมกิเลสนะ ไม่เหนื่อยนะ ไม่ท้อ ฉุดช่วยผู้คนด้วยหัวใจแห่งพุทธะ ด้วยจิตใจที่ยิ่งใหญ่นะ ทำให้ได้นะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "โลกคือทางผ่าน"
ตาไม่ดูหูไม่ฟังไม่ลุ่มหลง ไม่เจาะจงไม่จดจ่อไม่เศร้าหมอง
อันกายธาตุเป็นเพียงแค่เถ้าหนึ่งกอง จิตที่จองจำเท่านั้นทำการบำเพ็ญ
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ล้วนเกิดแก่เจ็บตายไปให้ทุกข์เข็ญ
คนอยู่กับความจริงแล้วต้องบำเพ็ญ เพื่อพ้นเวรพ้นกรรมพ้นว่ายเวียน


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา