แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิต แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

2556-06-01 สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่


西元二O一三年歲次癸巳二十三 仙佛慈
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ


ทุกข์สุขหรือเช่นนั้นเองในโลกนี้ ปัญหามีจากนอกหรือในใจหนา
ทุกสิ่งล้วนคือธรรมะอันธรรมดา แต่เพราะยึดติดหนักหนาเลยทุกข์ใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


มีแล้วสิ่งของอาการทุกข์สุขไหว เมื่อไม่สุดท้ายรู้คือสติจับ
การที่ฉุกใจคิดจิตย่อมดับ ดีเท่ากับการได้กัลยาณมิตรช่วยเตือน
เตือนคนอื่นคนด้วยปรารถนาดีแน่ พูดแรงไม่ได้แม้ความเป็นเพื่อน
แม้หวังดีหยิบยื่นค่อยค่อยเตือน การกดข่มให้ฟังเหมือนประหารใจ
เรื่องขมขื่นมักผ่านไปแสนช้า ขมผ่านหวานตามมาจะทนไหว
ใช้ชีวิตด้วยรู้การทนไม่ตาย อย่าข้องใจตนใหม่รู้ที่ปัญญา
เหตุการณ์เองมีหลายแง่ด้วยกัน เรื่องคนอื่นผู้ต้องการฟังมีปัญหา
บำเพ็ญอย่ามีโกรธเคืองและช่างนินทา ไม่ใช่ข้อเดียวหนาการพิจารณาธรรม
วันหนึ่งถ้าใดสิ่งได้เปลี่ยนแปลง คนสำแดงย่อมมีคุณธรรมสูงต่ำ
เป็นคนอย่าทิฐิเกินจนใจดำ ตาคนวัดคุณธรรมไม่เคยตรง


ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ฟังธรรมะแล้วจิตใจ รู้สึกเบิกบานบ้างไหม คนฟังธรรมะแล้วจิตใจเบิกบานไม่ง่วงไม่ใช่หรือ ถ้าง่วงแปลว่าไม่เบิกบาน ฟังธรรมะแล้วไม่สบายใจ เรามาฟังธรรมะเพื่อเป็นคนดี ใช่ไหม อย่างนั้นแปลว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรมะแปลว่าไม่ดีเลย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนดีอยู่แล้ว แล้วคนดีมีศีลห้าครบไหม คนดีละชั่วได้หมดหรือยัง แล้วอย่างนี้ดีตรงไหน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเป็นคนดีศีลห้าต้องครบ ถ้าเป็นคนดีความชั่วทั้งหมดต้องไม่ทำ
ฉะนั้นการมาฟังธรรมะคือมาตรวจสอบย้อนมองดูจิตใจตน ว่าที่เราอยู่ในโลก เราบอกว่าเราเป็นคนดี คนดีที่ว่านี้มีศีลห้าครบหรือยัง (ไม่ครบ)  คนดีไม่ทำความชั่วเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังทำไหม ยังด่าคนอื่นไหม ยังแอบนินทาคนอื่นไหม ไม่แอบแต่ทำต่อหน้าเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อตรง บริสุทธิ์ ยุติธรรม เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นคนดีได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหลายครั้งที่มนุษย์มักจะได้ยินบ่อยๆ หรือมักจะบ่นตัดพ้อต่อว่าเสมอๆ ว่าการเป็นคนดีในโลกเป็นเรื่องยาก   ทำดีเกินไปคนก็ว่าอยากเด่น อยากดัง ไม่ทำดีเลยคนก็ว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นดำรงอยู่ในโลกนี้ บางทีเราก็เลยดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็เลยพูดว่าทำดีไม่ได้ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
คนที่ทำดีโดยแท้จริงส่วนใหญ่ไม่กลัวการตัดพ้อต่อว่า คนที่ทำดีโดยส่วนใหญ่ไม่หวังผล คนที่ทำดีนั้นทำเพราะว่ายึดมั่นในความถูกต้อง ในคุณธรรมแห่งตนต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอให้ทำดีจริงๆ หลายๆ คนก็มักจะลังเล ไม่มั่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้คนดีในโลกมีน้อย คนที่ไม่ดีมีเยอะ แต่เราจะมาพูดแค่เรื่องการทำดี ทำไม่ดีหรือ ก็คงไม่ใช่ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราแค่อยากจะบอกท่านนะว่า ถ้าอยากจะเป็นคนดี อย่ากลัวคนว่า ถ้าอยากเป็นคนดีอย่าสูญเสียศรัทธาในความดีงามของตน แม้ว่าทำดีแล้วจะไม่ได้ดีก็ตาม เพราะว่าความดีมันมีค่าอยู่ในตัวของมันแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอฟังคำพูดจากใครมายกย่องมาเชิดชู ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวอย่างเดียวทำความดีแล้วคนยกย่องเชิดชูจะทำให้เราไขว้เขว ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
การเรียนรู้ศึกษาธรรมะออกจะเรียบง่ายไร้หวือหวา ยังยินดีอยากจะฟังไหม (ยินดี) เพราะเรามาคงไม่มีสนุกสนานมากเท่าไร ใช่ไหม เป็นแบบเรียบๆ ง่ายๆ พร้อมจะฟังไหม (พร้อม)
มีหลายครั้งที่บางคนบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมมามาก แต่ทำไมการเรียนรู้ธรรมะปฏิบัติธรรมจึงไม่สามารถทำให้เราก้าวข้ามผ่านความทุกข์ได้ เรียนรู้ปฏิบัติธรรมมามากแต่ทำไมกลับไม่สามารถทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ เราเคยถามตัวเองแบบนี้บ้างไหม  หรือแม้กระทั่งความดีที่เราทำ บางครั้งทั้งที่น่าจะทำให้เราพ้นทุกข์แต่ก็กลับทำให้เรายิ่งทุกข์ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราบอกตั้งแต่ต้น เกิดเป็นคนถ้ารักษาศีลได้ครบก็เรียกว่าบริสุทธิ์ ถ้าความชั่วไม่คิดประพฤติก็เรียกว่าคนดี แต่ทำไมเราทำความดีแล้วยัง ไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์ได้ แต่ทำไมเราทำดีแล้วเรากลับไม่สามารถเข้าถึงธรรมอันกระจ่างแจ้งได้ เคยเป็นแบบนั้นไหม ทำดีแต่ไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราทำดี ถามว่าทำบุญสุนทานไหม (ทำ)  มีเมตตาจิตมีไหม (มี)  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นมีไหม (มี)  เป็นคนซื่อตรงไหม    เราก็มีทุกอย่างใช่หรือไม่ แต่ทำไมหนอความดีที่เราทำกลับไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้  ทำไมเหมือนความดีมันบดบังอะไรทำให้เราก้าวข้ามความทุกข์ไม่ได้ ทั้งที่บางทีความทุกข์เราเห็นไหม ก็เห็น แต่ทำไมความทุกข์เราถึงก้าวไม่พ้นและไปไม่ถึงซึ่งธรรมะอันแท้จริง เราเคยเป็นคนที่ไม่อยากทำชั่ว เกลียดความชั่วมากๆ แล้วพยายามทำดี ใช่หรือไม่ ยิ่งอะไรเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเราไม่ชอบเลย  ฉะนั้นเราก็เลยศรัทธาในความถูกต้องดีงามและก็มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงาม แต่พอเราทำดีมากๆ แล้วเรากลายเป็นคนที่เกลียดชั่วแล้วรักดีไหม เวลาเราทำอะไรได้ดีแล้วพอใครทำอะไรไม่ได้ดีเรารู้สึกไม่ชอบเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ส่วนใหญ่การมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม  สิ่งที่ดีจึงกลายเป็นว่าเรากำลังหลุดจากสิ่งหนึ่งแล้วมาติดอีกสิ่งหนึ่งหรือไม่ คือกลายเป็นคนที่ไม่ชอบความเลวร้ายแต่ชอบสิ่งที่ดีแล้วก็กลายเป็นยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองทำดี ว่าเราคือคนดี เมื่อทำดีแต่ยังติดยึดในลักษณะ จะไม่มีวันพ้นทุกข์ เมื่อทำดียังยึดติดในความดีแล้วยังหลงว่าตัวเองเป็นคนดีก็ไม่ต่างอะไรกับฝุ่นผง ถึงแม้จะว่าฝุ่นผงนั้นจะเป็นฝุ่นผงของทองคำก็ตาม 
เราเคยเห็นพระจันทร์ที่สะท้อนเงาอยู่ในน้ำไหม บางครั้งเราเห็นจันทร์สะท้อนเงาอยู่ในน้ำทะเล บางครั้งเราก็เห็นจันทร์สะท้อนเงาอยู่ในปลักวัวปลักควาย  แต่แท้จริงแล้วจันทร์นั้นได้เปียกน้ำไหม (ไม่เปียก)  ฉะนั้นการดำเนินชีวิตในโลกนี้ บางครั้งขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และปัจจัย ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และการปรุงแต่งของปัจจัย อยู่ตรงนี้เราอาจจะเป็นเหมือนพระจันทร์ที่สะท้อนอยู่ในทะเล แล้วกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ อยู่อีกที่หนึ่งเราอาจจะกลายเป็นพระจันทร์ที่อยู่ในปลักวัวปลักควาย อาจจะดูสกปรกโสมม ใช่ไหม (ใช่)  แต่แท้ที่จริงแล้วสกปรกหรือเปล่า (ไม่)  แต่ทำไมเราหงุดหงิดใจเมื่อพระจันทร์ต้องสะท้อนในปลักวัวปลักควาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการดำเนินชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน ถ้าเราถูกต้อง เที่ยงตรงแม้เราจะอยู่ภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี เราจำเป็นต้องไม่ดีไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าเราถามว่า วันหนึ่งเราดำเนินชีวิต แต่มีคนด่าเราให้เจ็บปวด เราจำเป็นต้องทุกข์ทนไหม (ไม่)  แม้วันหนึ่งเราดำเนินชีวิต เราเที่ยงตรงถูกต้อง แต่มีคนยกย่องสรรเสริญให้เราดีงาม เราจำเป็นต้องหลงเลิศเลอไหม (ไม่) แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า


ฉะนั้นพระจันทร์มีดวงเดียวแต่ผิวน้ำมีหลายที่ ฉะนั้นการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน ผลของการกระทำที่แตกต่างกันอาจได้บทสรุปที่ต่างกัน แต่ต่างกันแล้วใช่ว่าเราจะต้องทุกข์เสมอไปไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราต้องการจะบอกท่านว่าการเรียนรู้ธรรมะนั้นไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่เป็นคนดีแล้วต้องเข้าถึงธรรมด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วความเป็นคนดีของเราที่ยึดมั่นในลักษณะ จะทำให้เราทุกข์ และไปไม่ถึงธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะอะไร  เพราะการเข้าถึงธรรมไม่ใช่การเป็นคนดี แล้วละชั่วเท่านั้น แต่การเข้าถึงธรรมยังมีอีกอย่างที่มองข้ามไม่ได้ คือการรู้แจ้งเห็นจริง  ท่านเคยได้ยินคำพุทธะโบราณกล่าวไว้หรือไม่ว่า “แม้เราจะทำบุญมากนานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการรู้แจ้งเห็นจริงในหนึ่งจิตตัวเอง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  คงไม่เคยได้ยินถูกหรือไม่ รู้แต่ว่าเราศึกษาธรรมต้องทำบุญ ต้องตักบาตร ต้องเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราขอย้อนทบทวนธรรมะในใจท่านหน่อย  ธรรมะที่ท่านนับถือคือศาสนาพุทธ ถูกไหม (ถูก) ศาสนาพุทธประกอบด้วยสิ่งสำคัญ ๓ ประการ ประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ คือ ปัญญาที่รู้แจ้งถ่องแท้ใดๆ ในโลกนี้   พระธรรม คือความมั่นคงในความถูกต้อง  พระสงฆ์ เทียบได้กับ ความบริสุทธิ์ถูกต้อง ความดีงาม  ฉะนั้นเวลาเราสวดมนต์จึงสวดว่า พุทธัง (สะระนังคัจฉามิ)  ธรรมมัง (สะระนังคัจฉามิ) สังฆัง (สะระนังคัจฉามิ)


ฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่องค์พระที่นุ่งจีวร พระธรรมไม่ใช่พระไตรปิฎก พระพุทธไม่ใช่องค์พระพุทธรูปหรือแค่พระพุทธเจ้าแต่มีความหมายโดยนัยคือ พระสงฆ์คือผู้บริสุทธิ์ พระธรรมคือความถูกต้องอันดีงาม ส่วนพระพุทธคือความรู้แจ้งเห็นจริง ฉะนั้นการปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อให้เป็นคนดีบริสุทธิ์ ถูกไหม (ถูก) เมื่อสักครู่เราบอกว่าถ้ามีศีลและไม่ประพฤติชั่วเราก็เทียบได้กับพระสงฆ์ใช่ หรือไม่ (ใช่)  และถ้าเรามั่นคงในความถูกต้องจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้ง เราก็คือพระธรรมและพระพุทธที่อยู่ในตัวตนเดียวกัน ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นการศึกษาธรรมจะแค่เป็นคนดีพอไหม เป็นคนดีก็ยังไม่พ้นทุกข์ถูกหรือไม่ (ใช่)  เป็นคนดีแล้วต้องมั่นคงในความดีงามแล้วเกิดปัญญาแจ่มแจ้งจึงจะสามารถพ้น ทุกข์ได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นธรรมะที่แท้จริงคืออะไร  ธรรมะคือ ธรรมชาติอันเป็นจริงที่อยู่แวดล้อมตัวเรา เป็นภาวะกลาง เป็นภาวะปรกติถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นสิ่งใดก็ตามในโลก แท้จริงแล้วไม่มีสูง ต่ำ ดำ ขาว ดีร้าย ได้เสีย ทุกสิ่งล้วนเป็นเอกภาพ หนึ่งเดียว แต่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเรา ทำให้เกิดการแบ่งแยก และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านความทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าพูดจนถึงที่สุดก็ยังเป็นเรื่องยากใช่ไหม
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้เขียนเลข 0 ถึง 9 บนกระดาน)
เห็น 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ไหม อะไรมีความเป็นหนึ่ง หรืออะไรมีความหนึ่งอยู่ (ศูนย์ ละทิ้งกิเลส)  ศูนย์มีความเป็นหนึ่งอยู่ใช่ไหม แล้วเมื่อสักครู่บอกว่าละทิ้งว่างเปล่าแล้วจะมีความเป็นหนึ่งหรือ เขาตอบว่าศูนย์ถูกไหม แล้วเลขอื่นล่ะมีความเป็นหนึ่งอยู่ไหม (เลขหนึ่ง)  เลขหนึ่งมีความเป็นหนึ่งอยู่ใช่หรือไม่ เราว่าแล้ว หาได้ยากนะที่จะตอบว่าศูนย์มีความเป็นหนึ่ง ส่วนใหญ่จะตอบว่าหนึ่งมีความเป็นหนึ่งอยู่ ถูกหรือไม่ แล้วเลขอื่นไม่มีความเป็นหนึ่งอยู่เลยใช่หรือไม่ มีไหม 
เราจะบอกว่าทุกเลขล้วนมีความเป็นหนึ่งอยู่ ทำไมมองไม่เห็น จริงหรือไม่ (จริง) เราบอกตั้งแต่แรกว่าธรรมะไม่มีการแบ่งแยก ดี-ร้าย ได้-เสีย ทุกข์-สุข เพราะธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติที่แวดล้อมเราอยู่ มีความเป็นกลางและมีความเป็นปรกติอยู่แล้ว  อย่างนั้นเราถามว่า เลข 0  1  2  3  4  5  6  7  8  9 เลขไหนที่ผิดปรกติ (ไม่มี) ใช่  แล้วเลขไหนเป็นกลาง มีไหม (มี, ไม่มี)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมอย่าตีกรอบธรรมะ ไม่เช่นนั้นการยึดมั่นอย่างตีกรอบในรูปลักษณ์จะทำให้เราไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงบอกว่าในเลข 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ล้วนมีความเป็น “หนึ่ง” อยู่ ถ้าไม่มีหนึ่งจะมีสองหรือ ถ้าไม่มีหนึ่งจะมีสามหรือ และในสามก็คือมีหนึ่งตัวหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรามักมองเห็นสามเป็นสาม ไม่มีความเป็นหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉันใดก็ฉันนั้น จันทราที่สะท้อนในทะเล จันทราที่สะท้อนในปลักโคลนปลักควาย อะไรดีกว่ากัน (เหมือนกัน) อะไรแย่กว่ากัน (เหมือนกัน) ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตต่างหากที่ยึดมั่นถือมั่นจึงเกิดการเปรียบเทียบว่าทะเลดีกว่าปลักควาย อย่างนั้นเราถามต่อว่า 1 กับ 9 อะไรดีกว่ากัน  แล้ว 0 กับ 6 อะไรแย่กว่ากัน 
1 กับ 9 ใครว่า 1 ดีกว่า 9 ยกมือขึ้น ใครว่า 9 ดีกว่า 1 ยกมือขึ้น ก็รู้สึกว่า 9 ต้องดีกว่า 1 ใช่ไหม เราถามท่านทำบุญเลขอะไร เลข 9 หรือ 999 เราบอกว่า 1 กับ 9 อะไรดีกว่ากัน เด็กน้อยๆ อาจจะบอกว่า 1 กับ 9 อะไรดีกว่ากัน (หนึ่ง, เท่ากัน)  ถ้าวันใดสอบได้ที่ 9 แล้วไม่ได้ที่ 1 จะเสียใจไหม ฉะนั้น 1 หรือ 9 อะไรดีกว่ากัน 0 หรือ 6 อะไรแย่กว่ากัน
ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าถึงธรรมะ  จิตใจจะไม่แบ่งแยก ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ทุกข์หรือสุข เพราะทุกสิ่งล้วนคือสภาวะธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเรายังยึดมั่นถือมั่น อันนี้ดีอันนี้ร้าย อันนี้ 1 อันนี้ 9 อันนี้ 6 อันนี้ 0 วันนั้นท่านจะไม่มีวันพบธรรมและก้าวข้ามความทุกข์ได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเอกภาพ แต่ความยึดมั่นถือมั่นจึงทำให้เกิดดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข ใช่หรือไม่ ฉะนั้นตอนนี้พอมองเห็นหรือยัง ถ้าวันหนึ่งเหตุการณ์หรือปัจจัยทำให้เรากลายเป็นคนโดนว่าโดยที่เราไม่ผิดเรา จะเสียใจไหม แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งเรากลายเป็นคนผิดโดยที่เราไม่รู้ว่าเราผิดเราจะยอมรับ ไหม ยอมรับแต่ไม่ทุกข์ทน ผิดหวังแต่ไม่สูญเสียกำลังใจตน ถูกหรือเปล่า ฉะนั้นเหมือนมองดีๆ เราถามว่า 6 ถ้ากลับก็กลายเป็น 9  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมแท้ที่จริงแล้วคืออะไร
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้ละทิ้งหน้าที่ จำไว้นะการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้ละทิ้งหน้าที่  แต่การบำเพ็ญธรรมคือการละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นที่ผ่านมาผ่านไปว่าอันนี้ เรียกว่าดี อันนี้ไม่ดี การบำเพ็ญธรรมคือมีชีวิตอยู่กับทุกๆ เหตุการณ์โดยที่ไม่นำพาให้ใจตนต้องทุกข์ นี่แหละที่เรียกว่าบำเพ็ญ หรือเรียกง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งว่า    ถ้าปัญหาภายในใจไม่มี ปัญหาภายนอกจะเกิดไหม
ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ใดๆ ในโลกจะเรียกว่าทุกข์ สุข ดี ร้าย หรือไม่ ก็ไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามองเห็นอย่างที่เราบอกหรือเปล่า ฉะนั้นมองให้ดีนะว่าชีวิตที่บอกว่าแย่ มัน 6 หรือมัน 9 ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตที่บอกว่ามีความสุข แท้ที่จริงมันคือ 9 หรือมัน 6 ถูกหรือไม่
ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความคิด ความรู้ ความเข้าใจของเราตัดสินคนแบบผิดๆ มองคนแบบยึดติด ใช่หรือไม่ เราชอบยกตัวอย่างที่ง่ายๆ แล้วเป็นบ่อยๆ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งในชั้นเรียนลุกขึ้นยืน) สมมติว่า เราอยู่ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นตั้งเดี่ยวโดยลำพังได้ ต้องมีสิ่งแวดล้อมมาปรุงแต่ง มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราถามท่านว่าคนๆ นี้ อ้วนหรือไม่อ้วน (ไม่อ้วน)  คนนี้สูงหรือเตี้ย  (สูง, เตี้ย) ใช่หรือ จำไว้นะเรียนรู้ธรรมะอย่าเห็นแค่ที่เห็น อย่าคิดว่าตนเองรู้ในสิ่งที่ตนเองเห็น เพราะใดๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้  หากนำคนนี้มาเปรียบเทียบเขาก็ (เตี้ย)  แต่ถ้าเอาคนนี้มาเทียบเขาก็ (ไม่เตี้ย)
เราบอกท่านแล้วนะ ถ้าเรียนรู้ธรรมะแล้วอยากก้าวข้ามความทุกข์ให้พ้น อย่ายึดติดในภาวะการณ์เพียงชั่วครู่ อย่าแค่เห็นแล้วมั่นใจในสิ่งที่รู้ เพราะว่าหากอยู่กับคนนี้เขาอาจจะดูเตี้ย แต่อยู่กับคนนี้เขาไม่เตี้ย ฉะนั้นเขาเตี้ยหรือไม่เตี้ย  เห็นอะไรหรือยัง ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมะอย่ามั่นใจในสิ่งที่เห็น อย่ามั่นใจไปหมดทุกเรื่อง เพราะพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่เห็นแท้จริงแล้วยังไม่เห็น  สิ่งที่รู้ แท้จริงแล้วมนุษย์ยังไม่รู้ ผู้เข้าถึงการเห็น แล้วไม่เห็น นั้นเรียกว่า ปล่อยวางจากทิฐิ  ผู้เข้าถึงความรู้แล้วไม่รู้นั้นเรียกว่า เข้าถึงความรู้”   ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่เรียกว่าคนนั้นสูงหรือเตี้ยกำหนดได้หรือไม่ (ไม่ได้) ผู้ที่เห็นแล้วไม่สามารถกำหนดได้ว่าดีหรือเสีย สูงหรือต่ำ ทุกข์หรือสุข ยังไม่ปักใจเชื่อ นั่นเรียกว่าเข้าถึงปัญญาธรรม เพราะมนุษย์มักจะยึดมั่นว่าสิ่งที่เห็นสิ่งที่เกิดต้องเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วใช่อย่างนั้นไหม (ไม่ใช่)
ถามใหม่ก็ได้ คนนี้อ้วนหรือไม่อ้วน (ไม่อ้วน) แปลว่าฟังแล้วไม่ได้อะไรเลย ไม่สามารถรู้ได้ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราจะบอกว่าอยู่กับเราเขาอาจจะดูอ้วน แต่ถึงที่สุดแล้วเขาอ้วนไหม ไม่รู้ เพราะเราไม่รู้ว่าต่อไปภายหน้าเขาจะกินมากกว่านี้อีกไหม ใช่หรือไม่ ตอนนี้อาจจะบอกว่าอ้วน แต่จริงๆ อาจจะยังไม่อ้วนถ้าเทียบกับอนาคตที่ไม่รู้จักระมัดระวังการกิน ใช่หรือไม่  เราต้องการเทียบให้ท่านรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่มนุษย์พูดว่าทุกข์แท้จริง แล้วถ้ามองให้ถึงที่สุดของชีวิต นั่นอาจไม่ใช่ทุกข์ แต่อาจจะเป็นสุข เพราะถ้าเจอทุกข์ที่มากกว่าทุกข์ที่เราร้องไห้วันนี้  อาจจะบอกว่ามันเบาเสียด้วยซ้ำ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมะอย่าปล่อยให้ปรากฎการณ์เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราว มาบดบังปัญญา อย่าให้ปรากฎการณ์ที่เราเคยยึดติดในหัวใจในรูปลักษณ์มันบดบังปัญญาธรรม เพราะท่านรู้ไหมว่าเมื่อไรที่เราบอกว่าเห็นแต่เหมือนไม่เห็น รู้แต่เหมือนไม่รู้ ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรชั่ว ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรแย่ นั่นแหละเรียกว่าปัญญาธรรม
ผู้ที่เข้าถึงปัญญาธรรมและเข้าถึงความว่างเสมอๆ จะสามารถปล่อยวางทิฐิลงได้ และก้าวข้ามพ้นเกิดตายและมัจจุราชก็มายื้อชีวิตคนๆ นั้นไม่ได้ นี่คือจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ถ้าท่านเข้าถึง แต่ส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร อย่างนั้นเราจะสรุปง่ายๆ หลักธรรมวันนี้เราพูดทั้งหมดทั้งมวล มีข้อเดียวคือ ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็คือว่างเปล่า เคยได้ยินคำนี้ไหม เมื่อไม่เที่ยงเราควรยึดมั่นไหม  เมื่อไม่เที่ยงเราควรดีใจไหม เพราะถึงที่สุดก็คือความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราสามารถรักษาความว่างเปล่าในหัวใจได้นั่นเรียกว่า “ยิ่งใหญ่”  เมื่อยิ่งใหญ่แล้วถอนอัตตาลุทิฐิ ได้หมด ก้าวข้ามความเกิดตายได้ มัจจุราชก็มองไม่เห็นคนประเภทนี้ แต่เรายังไปไม่ได้
ฉะนั้นวิธีปฏิบัติของเราง่ายๆ คือ ก่อนที่จะบอกว่าทุกข์-สุข ดี-ร้าย ตัดความสัมพันธ์ก่อนได้ไหม เมื่อเวลาที่เกิดอะไรขึ้นเราสามารถปล่อยวางความชอบ-ชัง ได้ไหม  หากสามารถตัดความสัมพันธ์ ผูกพันธ์ได้ ปล่อยวางความยึดมั่น ชอบ-ชัง ได้ เมื่อนั้นท่านก็เข้าถึงธรรมะได้ แต่รู้สึกว่ายังไปไม่ถึงใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นเราเปลี่ยนเป็นเรื่องง่ายๆ ดีกว่า  เหมือนเราถามบ่อยๆ ว่าถ้าเราเจอเงินร้อยบาทดีใจไหม (ดีใจ) แล้วถ้าจู่ๆ เสียเงินร้อยบาทเสียใจไหม (เสียใจ) แล้วอะไรดีกว่ากันระหว่างเจอเงินร้อยบาท กับเสียเงินร้อยบาท ไม่ดีสักอย่าง เพราะว่าไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรรมะไม่ใช่แค่การเป็นคนดี มีศีล มีธรรม แต่การเรียนรู้ธรรมะยังต้องก้าวข้ามเข้าไปอีกก็คือมองให้เห็นความเป็นจริง ของโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้มันไม่เที่ยง มีทุกข์แล้วก็ว่างเปล่า ใช่หรือเปล่า แต่มนุษย์มักจะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด เข้าใจ และเรียนรู้มา จึงทำให้มองไม่เห็นธรรมะ
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งดอกไม้ต้องร่วงโรย ถ้าวันหนึ่งชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงแท้จริงแล้วมันคือความทุกข์หรือ ถ้าวันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ถ้าวันหนึ่งเราต้องเจ็บปวด แท้จริงแล้วมันคือความเศร้าหรือ เราอยากให้ท่านมองชีวิตให้ดีและเรา จะรู้ว่า ทุกข์สุข ดีร้าย ได้เสีย ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจที่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ ที่เข้าถึงปัญญาตัวเองได้เลย แต่เพราะมนุษย์ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความเข้าใจจึงมองไม่เห็นธรรม หยั่งไม่ถึงซึ่งปัญญาอันเดิมแท้ จริงหรือเปล่า ท่านมองไม่เห็นหรือเปล่า ฉะนั้นทุกข์หรือสุข เมื่อยหรือไม่เมื่อย เรากำลังเปรียบเทียบหรือเรากำลังยึดติดกับสิ่งใด ใช่หรือไม่
เราว่าธรรมะที่เราพูดไม่มีอะไรเลยที่ลึกซึ้ง ธรรมดาเสียด้วยซ้ำไป แต่คนที่เข้าถึงความธรรมดานี่แหละจะไม่ธรรมดา แต่เรามองเห็นไหม
อย่างนั้นยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นนิ้วมือไหม ทำไมนิ้วมือจึงไม่เท่ากัน  ชีวิตก็เหมือนกัน ทำไมบางครั้งดี บางครั้งร้าย แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าร้ายคือนิ้วโป้ง ดีคือนิ้วกลาง อย่างนั้นเรารักนิ้วกลางเกลียดนิ้วโป้งได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องรักให้ได้ทั้งโป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย นั่นแหละเรียกว่าชีวิต ถ้าแบ่งแยกก็จะมองไม่เห็นความจริงของชีวิต ถ้ายึดติดก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์  ก็เกลียดนิ้วโป้งแล้วรักนิ้วกลาง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมองชีวิตให้ดี ไม่ว่าจะขึ้นสูง หรือลงต่ำ มันคือธรรมข้อหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตว่า ยึดติดไปทำไม ยึดแล้วทุกข์  ควรเห็นว่ามันคือส่วนหนึ่ง ที่ว่าวันนี้ทุกข์มองให้ดีๆ อาจจะมีทุกข์ที่น่ากลัวกว่า ใช่หรือไม่ ตราบยังไม่หมดลมหายใจ ที่บอกว่าทุกข์แน่ใจหรือว่าที่สุด จริงไหม (จริง) ที่บอกว่าวันนี้สุข แน่ใจหรือว่าคือสุขที่แท้จริง
ฉะนั้นเห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ อะไรยาวอะไรสั้น อะไรดีอะไรร้าย สรุปไม่ได้ มีอารมณ์ไม่ได้ เพราะยังไม่รู้  ถ้าคิดว่ารู้เราก็คือคนหลอกลวง เรากำลังมองไม่เห็นความจริง เหมือนนั่งตรงนี้แล้วบอกว่าทุกข์   บอกว่าเมื่อย  แล้วถ้าวันหนึ่งเป็นอัมพาตถามว่าอะไรทุกข์กว่า เมื่อยกว่า  ใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าบอกว่าเป็นอัมพาตแล้วทุกข์ ถามว่าความตายทุกข์กว่าไหม ที่บอกว่าอัมพาตแย่ แต่ถ้าใจคิดไม่ได้ ร่างกายอัมพาตอาจจะดีกว่าใจที่เป็นอัมพาตก็ได้ ฉะนั้น 6 หรือ 9  และ 9 หรือ 6 อยู่ที่เหตุการณ์หรืออยู่ที่หัวใจ
ฉะนั้นถ้าข้างในไม่มีปัญหา  ใดๆ ในโลกก็ (ไม่มีปัญหา) ถ้าในใจไม่มีความทุกข์ ใดๆ ในโลกก็ (ไม่มีความทุกข์)  จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นมองดูให้ดีมันอาจไม่ใช่ทุกข์ ที่บอกว่าแย่อาจจะไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช  ๒๕๕๖
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ถูกกระทบมีสติสยบไหม นิ่งจนเห็นความเป็นไปในจิตนี้
เห็นธรรมอันจริงแท้ไม่เที่ยงมี หรือเห็นแต่สิ่งที่รู้สึกไป
การเดินทางที่ไร้ร่องรอยนั้น คือหลักแห่งอกรรมอันยิ่งใหญ่
ยิ่งเดินยิ่งเห็นธรรมถ่องแท้ไป ไม่ยิ่งเดินยิ่งได้กิเลสอารมณ์
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหงหยัง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม


รักอะไรก็เป็นตามนั้นเล่า รักตัวเราแล้วตามใจตัว แล้วจะบ่นใคร คำว่าคนรู้ตัว รู้แต่ว่าไม่ห้ามหักใจ กรรมนั้นมาส่งผลใคร  เห็นไม่ทันไร รวบทีเดียวล้มทีเดียว ที่จิตเจ้าถอนไม่ทัน เพราะยึดมั่นสุขสันต์นักเชียว ชีวิตฟั่นเป็นหลายเกลียว คิดได้เมื่อเดี่ยวไม่พอช่วยตน


รักสบายมากไปไม่เห็นดี แม้ความดียังรอคอยคนที่เห็นค่ามาทำ ทำดีแค่นิดเดียว หมั๊นหมั่นไส้คนบ่นงึมงำ โยนทิ้งไปไม่เห็นทำ สองตาแดงก่ำโทษแรงกรรมหรือตัวเอง
ลุ้นมากก็คือลุ้นคน ลุ้นลุ้นบ่นบ่นหลายหลายเพลง คนรู้ยังไม่เห็นเร่ง ถึงเหนื่อยศิษย์เอง ต้องทำให้ดี
* รักอะไรก็เป็นตามนั้นเล่า รักตัวเราแล้วตามใจตัว แล้วจะบ่นใคร คำว่าคนรู้ตัว รู้แต่ว่าไม่ห้ามหักใจ กรรมนั้นมาส่งผลใคร  เห็นไม่ทันไร รวบทีเดียวล้มทีเดียว
** ที่จิตเจ้าถอนไม่ทัน เพราะยึดมั่นสุขสันต์นักเชียว ชีวิตฟั่นเป็นหลายเกลียว คิดได้เมื่อเดี่ยวไม่พอช่วยตน (ซ้ำ *, **, *)


ชื่อเพลง : ทำดีไม่ต้องรอ
ทำนองเพลง: รักปักใจ


หมายเหตุ  เพลงย่อหน้าแรก และย่อหน้าที่ ๒ พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้ที่ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันที่ ๒๕ – ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖
     เพลงย่อหน้าที่ ๓ และย่อหน้าที่ ๔ พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหงหยัง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๑ – ๓ มิถุนายน  ๒๕๕๖
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เหมือนเดิมเลย อาจารย์มีข่าวดีอยากบอก อยากรู้ไหม ข่าวดีก็คือว่าถ้าเราฟังอีกหัวข้อเดียวก็จบวันนี้แล้ว แต่ถ้าฟังอาจารย์แล้วค่อยฟังหัวข้อก็จะจบช้าหน่อย จะยอมอยู่ฟังอาจารย์ไหม (ฟัง)  ไหนใครไม่ได้นอนพักที่นี่บ้างยกมือขึ้น อย่างนั้นถ้าวันนี้ไม่ฟังอาจารย์ แล้วได้ฟังอีกหัวข้อหนึ่งแล้วได้กลับบ้านไวเลย เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ก่อนใช่ไหม ถ้ายินดีให้อาจารย์อยู่อาจารย์ก็อยู่ แต่ถ้าไม่ยินดีให้อาจารย์อยู่ อาจารย์ก็กลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ไม่ฝืนใจนะ จะได้อยู่ด้วยกันไม่มีความทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์ถามนะ การเป็นคนดีในโลกนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  ไหนใครว่ายากยกมือขึ้น (มีนักเรียนสองท่านยกมือ)  สองคนนี้ยกมือใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์มีวิธีให้ศิษย์ไปทำสองอย่าง อย่างแรกคือ เรากินข้าวที่แม่ครัวทำมาหลายมื้อแล้วใช่ไหม (ใช่)  การเป็นคนดียากไหม ศิษย์บอกว่ายากใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นศิษย์เดินไปหาแม่ครัวเลย แล้วบอกว่าอาหารไม่ได้เรื่องเลย แย่มากๆ กับอีกอันหนึ่งแค่เดินไปบอกว่า อาหารอร่อยมากเลย ศิษย์ว่าอะไรมันง่ายกว่ากัน ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามศิษย์ ศิษย์ว่าอะไรทำง่ายกว่า เมื่อสักครู่ศิษย์บอกว่าทำดีทำยาก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่าเดินออกไปพ้นประตูเจอหน้าใคร เตะคนนั้นเลย (ทำไม่ได้)  ศิษย์บอกว่าทำดีมันยาก ทำชั่วง่าย (เอาเข้าจริงทำไม่ได้)  ถ้าอาจารย์บอกว่าพอออกพ้นประตูไป เจอใครให้ยิ้ม ศิษย์ว่าอันไหนง่ายกว่า (ยิ้มง่ายกว่า)  ตกลงทำดียากหรือง่าย (ง่าย)  พูดแล้วมันมีแต่เรื่อง พูดแล้วมันมีแต่ปัญหา พูดน้อยๆ ยิ้มเยอะๆ ง่ายไหม (ง่าย)  ฟังแล้วทำให้หงุดหงิด ฟังแล้วทำให้รำคาญใจก็ปิดหูเลยดีไหม (ดี)  ยิ้มเข้าไว้ อะไรๆ มาก็ขอบคุณเขาไว้ก่อน ดีไหม (ดี)  ไม่ใช่อะไรๆ มาก็บ่น อย่างนี้มีแต่แย่ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นทำดี ทำง่ายหรือยัง (ง่าย)  แค่ขอบคุณเขา กับ เอาแต่ว่าเขา อะไรง่ายกว่ากัน 
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเราทำดีบ่อยไหม (บ่อย)  อาจารย์ว่าออกไปก็บ่นมากกว่าชม ติมากกว่าขอบคุณ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยกินอาหารเจอร่อยไหม (อร่อย)  แล้วเคยเดินไปบอกแม่ครัวไหมว่าอาหารอร่อยมาก เคยไปบอกเองโดยไม่มีใครต้องพูด ต้องชวนไหม (ไม่เคย)  เหมือนคนในบ้านเราดีไหม (ดี) ก็ดีนะแต่เราเคยชมเขาว่าดีไหม (ไม่เคย)  นั่นแหละมนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์  เราอยู่ในโลกนี้อยากให้คนรักหรืออยากให้คนเกลียด (รัก)  อาจารย์จะบอกว่ามีวิธีทำให้คนรักเราง่ายๆ อาจารย์อยากจะมาบอกศิษย์ เอาไหม (เอา)  เอานะ ถ้าไม่เอา อาจารย์กลับก็ได้นะ
มนุษย์เกิดมาในโลกพร้อมกับกรรมใช่ไหม (ใช่)  ไม่เป็นกรรมดี ก็เป็นกรรมชั่ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่มีอีกวิถีทางหนึ่งที่มีชีวิตแล้วไร้กรรมที่ต้องมารับผล เราเคยคิดบ้างไหม ไม่เคยใช่ไหม (ใช่)  ทำบาปก็เป็นบาปกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากเจอกรรมแต่ก็ยังทำบาป ก็เลยเป็นบาปกรรม ทำดีเป็นกรรมไหม ก็เป็นกรรมเรียกว่ากรรมดี
ฉะนั้นอะไรที่เหนือกรรม เหนือดี เหนือชั่ว ทำอย่างไรที่ไม่ต้องมีกรรม เพราะทำกรรมชั่วก็ยังได้รับทุกข์ของความชั่ว ทำกรรมดีก็ได้ผลของการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำกรรมดีทั้งหมด เราก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายกับกรรมดีอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดอย่างนี้ไหม (ไม่)  หรือคิดแต่ว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน ใช่ไหม
ศิษย์เอยถ้าศิษย์คิดว่าพรุ่งนี้มี แล้วศิษย์คิดหรือว่าชาติหน้าจะไม่มี แน่ใจหรือว่าชีวิตจะไม่มีชาติหน้า แล้วชาติหน้าเป็นไปตามอะไรล่ะ ก็เป็นไปตามกรรม แล้วศิษย์ทำกรรมอะไรล่ะ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกว่าทำอะไรหนอเรียกว่ากรรมดี อยากรู้ก่อนไหม (อยากรู้)  ฉะนั้น หลักแห่งอกรรมก็คือ ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ตกผลเป็นกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามีชีวิตอยู่แล้ว ทำสิ่งใดแล้วไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดโลภ ไม่เกิดโกรธ ไม่เกิดหลง นั่นแหละเรียกว่าอกรรม ทำแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นั่นแหละะเรียกว่าอกรรม พูดเท่านี้เข้าใจไหม ไม่เข้าใจใช่ไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนประเสริฐตรงไหน ดีตรงไหน มีค่ากว่าสรรพสัตว์ตรงไหน สัตว์ก็มีความรู้สึก มนุษย์ก็มีความรู้สึก แต่ความรู้สึกของมนุษย์ที่แตกต่างจากสัตว์คือ รู้แล้วนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ แต่สัตว์นั้นรู้แล้วทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์บางทีรู้แล้วก็ยังไม่ยอมพ้นทุกข์ก็เลยต้องน่าตี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้แล้วว่าทำอย่างนี้ดีทำแล้วไม่บาป กลับไม่ทำ แต่ทำอะไร บุหรี่สูบไหม (สูบ) เหล้ากินไหม (กิน)  
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ศิษย์เอ๋ย บางทีไม่ต้องพูด แค่ยิ้มก็ชื่นใจแล้ว แค่ศิษย์ยิ้มอาจารย์ก็หายเหนื่อยแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นประเภทยิ้มง่ายหรือยิ้มยาก  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันหน้ายิ้มเข้าไว้ ไม่ว่าจะเจอร้าย เจอแรงขนาดไหนก็ยิ้มเข้าไว้ ได้หรือเปล่า (ได้)  ยิ้มหรือยัง คนพูดธรรมะก็เหนื่อย คนฟังธรรมะก็เหนื่อย ฉะนั้นคนพูดก็ยิ้มคนฟังก็ยิ้มให้กำลังใจกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ใช่คนพูดก็หน้าบึ้งคนฟังยังเบะปากอีกอย่างนี้จะไปไหวไหม (ไม่ไหว)  แล้วที่นั่งฟังมานี่ยิ้มหรือเบะ จริงหรือ อย่างนั้นต้องถามคนที่พูดธรรมะมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่สอง นักเรียนในชั้นยิ้มหรือไม่ยิ้ม (ยิ้ม)
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะว่า การทำดีอย่างง่ายๆ เวลาอยู่ร่วมกับใคร ใครก็รัก คือทำอะไร
นอกจากยิ้มมีอะไรอีก ก่อนเราจะยิ้มออกมาได้ต้องรู้สึกอย่างไรเราถึงยิ้มออกมาได้ (รู้สึกดี)  แต่ถ้าแย่แล้วยังยิ้มออกนี่ บางทีความทุกข์จะค่อยๆ หายไปนะศิษย์ จริงไหม ถ้าทุกข์แล้วเรายังแย่เรายังยิ้มไม่ออกอีก ยิ่งทุกข์หนัก ใช่ไหม (ใช่) ทุกข์กายยังพอไหวแต่ทุกข์ใจรักษาอย่างไรก็รักษาไม่หาย ไปหาหมอที่ไหนก็เยียวยาไม่ได้นอกจากตัวเราเอง
อย่างนั้นอาจารย์อยากถามศิษย์ว่า จริงๆ มนุษย์มีจิตใจพื้นฐานเหมือนๆ กันอยู่ ถ้าจับจุดได้เราก็ทำคนในโลกให้รักเราได้ แม้ไม่รักมากก็อย่าเกลียดก็ยังดี แล้วมีอยู่จุดหนึ่งที่เหมือนกันทุกคนศิษย์รู้ไหมคืออะไร คนในโลกชอบเหมือนกัน คืออะไร
(อารมณ์ดี,ความจริงใจ)  เราไปไหนเราชอบคนอารมณ์ดีแม้โดนว่าก็หัวเราะ หรือเราชอบความจริงใจ อาจารย์อยากจะบอกว่าคนในโลกมีจุดหนึ่งที่คล้ายกัน และในจุดนั้นถ้าขยายออกแล้วทำให้กว้าง ทำให้ยิ่งใหญ่ คือทำความดีแค่หนึ่งอย่างก็เปรียบปานเทพไทในแดนสรวงแล้ว เมื่อสักครู่ศิษย์บอกคือชอบการยิ้ม ฉะนั้นเจอเรื่องอะไรให้ยิ้ม ยิ้มให้ตลอด ยิ้มให้ทุกเรื่องทุกราว เชื่อไหมเรื่องยากๆ ก็จะผ่านไป ลองยิ้มสู้ก่อนสิ ถ้าเกิดเจออะไรแล้วร้องไห้ อย่างนี้ก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้มอง  อะไรอีกที่มนุษย์ทุกคนชอบเหมือนกัน
(ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน)  ในตัวมนุษย์ทุกคนมีใครบ้าง เกิดมาอยู่ร่วมกัน มีแต่จะรับจากคนอื่นไม่เคยให้ใคร คนแบบนี้อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเกลียด ฉะนั้นตอบได้ถูกส่วนหนึ่ง อาจารย์จะบอกว่า ไปอยู่กับใครแล้วอยากให้ใครรัก ไม่มีใครเกลียด อย่าคิดแต่จะรับ แต่จงมีแต่จะให้ ได้ไหม (ได้)  ให้ไปเรื่อยๆ ให้ไม่มีวันสิ้นสุด ให้ไม่มีวันเบื่อ ได้ไหม (ได้) จริงหรือ (จริง)  ให้วันแรกก็ยินดี วันที่สองก็ยังยินดีวันที่สามมาทำไม วันที่สี่ไล่ไปไกลๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ ในหัวใจเรา ถ้ามีคนหนึ่งให้เราไม่เคยเหนื่อย ให้เราไม่เคยหยุด ให้เราจนเรารู้สึกว่าทำไมถึงให้อะไรเรามากมายขนาดนี้ จนเรารู้สึกว่าเลิกให้เถอะ เราว่าคนแบบนั้นดีไหม (ดี) แล้วศิษย์ว่าในโลกนี้มีใครบ้างที่ให้ศิษย์ไม่เคยเหนื่อย (พ่อ แม่) แล้วเราทำหัวใจแบบนั้นกับทุกคนได้ไหม ถ้าเราทำได้เราก็เป็นที่รักปานประหนึ่งพ่อแม่เลยใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำได้อย่างนั้นไหม
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า แค่จับกุมการทำดีข้อใดข้อหนึ่งแล้วทำให้ถึงที่สุด ทำจนตัวตายศิษย์ก็เป็นเทพไทได้ ศิษย์ก็เป็นพุทธะได้ ศิษย์ก็ทำให้คนยกย่องได้ ถ้าคนในโลกยกย่องว่าศิษย์ดีจริงๆ ศิษย์ไปอยู่สวรรค์ก็ได้ แต่ถ้าทำในโลกแล้วยังไม่มีคนยกย่องว่าดี ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าความดี การเป็นพุทธะต้องเกิดตั้งแต่ในโลก ถ้าเขาชมสวรรค์ก็มีที่ให้ แต่ถ้าในโลกเขาด่าสวรรค์ก็ไม่มีที่ให้ แต่เป็นนรกแทน ใช่ไหม (ใช่) 
(นักเรียนเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง)
ถ้าอาจารย์ได้นั่งแต่อาจารย์ไม่แยแสศิษย์ล่ะ อย่างนี้เกลียดอาจารย์ไหม (ไม่เกลียด)  ถ้าอาจารย์ยืนสองชั่วโมงแล้วไม่ให้ศิษย์นั่งเลยล่ะ ศิษย์ว่าอย่างไร เริ่มพูดไม่ออกแล้ว
ฉะนั้นอะไรล่ะศิษย์เอ๋ย ถ้าเราสบายแล้วคนอื่นลำบาก หัวใจแห่งการทำดีข้อหนึ่ง ที่เป็นข้อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ เมตตา นะศิษย์ อยากเข้าถึงความดี ศิษย์ต้องกุมหัวใจคำว่าเมตตา ถ้าเมตตาได้ก็ยิ้มออก ให้คนอื่นได้ เมตตาได้ก็จริงใจจนถึงที่สุดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเดี๋ยวนี้ที่ไม่สามารถเมตตาได้เพราะห่วงแต่ตัวเอง ไม่ห่วงใคร รักแต่ตัวเองจึงไม่รักใคร คิดแต่ตัวเองจะได้เลยไม่ให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์นะว่า ถ้าอยากเป็นคนดี แค่เมตตาให้กว้าง ให้ยิ่งใหญ่ จนหาที่สิ้นสุดของหัวใจ ที่เรียกว่าเมตตาหาที่สุดไม่เจอ ยังทำดีได้อีก ด่าก็แล้ว ว่าก็แล้วก็ยังเมตตา ก็ยังมีน้ำใจ ก็ยังให้ ศิษย์ทำได้ถึงขนาดนั้นไหม พูดได้ ต้องทำให้ได้ แม้จะลำบาก ก็ต้องทำให้ถึง อยากไปให้ถึงที่สิ้นสุด ความเมตตาที่ไม่มีที่สิ้นสุด คือความเมตตาที่ไม่ห่วงตัวเอง ถ้าห่วงตัวเองความเมตตาก็จะมีกรอบขีดจำกัด  ฉะนั้นอาจารย์จะทำให้ศิษย์บรรลุถึงความเมตตา คือยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีหรือเปล่า (ดี)
เมื่อสักครู่ก็มีคนตอบอาจารย์ ว่าอยากเป็นคนดีต้องรู้จักเสียสละให้ อย่างนั้นให้ศิษย์ยืนแทนคนอื่นแล้วให้คนอื่นๆ ได้นั่ง ดีไหม (ดี)  แล้วคนอื่นๆ หากมีเมตตา ถ้ามีคนเสียสละให้แล้วเราจะกล้านั่งไหม คนมีเมตตา ถึงแม้จะมีคนเสียสละให้แต่เราก็ยังต้องยืนหยัดความเมตตานั้น ต้องบอกว่าไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดานเป็นข้อๆ ว่าการทำดีอย่างง่ายๆ เวลาอยู่ร่วมกันแล้วใครๆ ก็รัก มีอะไรบ้าง)
๑. เมตตา
๒. เสียสละ รู้จักให้ แต่ไม่คิดที่จะเอา
๓. ซื่อสัตย์
๔. อ่อนน้อมถ่อม
๕. รับฟังผู้อื่น
การอยากจะเป็นคนดี การทำดีแล้วใครก็รัก นอกจากเมตตา เสียสละให้ จริงใจแล้ว ยังมีอะไรอีก (ไม่เห็นแก่ตัว)  รู้จักนึกถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตน (เอาใจเขามาใส่ใจเรา)  ก็ตกอยู่ในคำว่าเมตตา
(ความจริงใจ)  ความจริงใจก็คือเป็นคนซื่อตรง เราอยากให้ใครๆ รักก็ต้องเป็นคนซื่อตรง
แล้วอาจารย์อยากจะให้ศิษย์ดูว่าที่อาจารย์บอกมานี่ จริงๆ คืออะไร แล้วมองให้ดีๆ ถ้าศิษย์ทำได้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คืออะไร
อีกอันหนึ่ง คิดออกไหม เวลาเราอยู่ร่วมกันแล้วอยากให้ใครๆ รัก เราไม่ชอบคนที่ชอบพูด คำหนึ่งก็ดูถูก คำหนึ่งก็ว่า คำหนึ่งก็เหน็บแนม ฉะนั้นเราอยากให้คนรักเราต้องเป็นคนแบบไหน
(สามัคคี)  ยังไม่ถูก (ให้กำลังใจ)  ก็ยังไม่ใช่ ศิษย์นึกออกไหมอะไรเอ่ย เราชอบคนให้อะไร (ให้อภัย)  เราอยู่ในโลกเราชอบให้คนให้อภัย ชอบคนให้ทาน อาจารย์ก็บอกแล้วว่าการให้ไม่ว่าจะเป็นให้อภัย ให้ทาน มันก็คือให้
(ให้เกียรติ)  จริงไหม ทำไมเรารักเขา เพราะเขาให้คุณค่าเรา ให้เกียรติเรา อ่อนน้อมถ่อมตนกับเรา ไม่ใช่เห็นเราก็ดูถูก เห็นเราก็กดขี่ เห็นเราก็เหยียดหยาม เห็นเราเป็นแค่ชาวบ้าน เห็นเราบ้านนอก ชอบไหม (ไม่ชอบ)  การที่มีคนให้เกียรติเป็นสิ่งที่ดี
ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกคือ เกิดเป็นคนอยากให้คนอื่นรัก อย่ามือแข็ง หัวแข็ง ไม่อย่างนั้นไม่มีใครรัก ถึงจะมีเมตตารู้จักให้ซื่อตรงแต่หัวแข็ง มือแข็ง มองใครตาแข็ง เมตตาไหม (เมตตา)  ให้ไหม (ให้)  ซื่อตรงไหม (ซื่อ)  แต่ตาแข็งไหม (แข็ง)  ใครรักไหม (ไม่รัก)  เพราะอะไร เพราะว่าไม่อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนที่พอทำดีแล้วยึดมั่นถือมั่น คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เป็นคนที่ไม่รู้จักเคารพให้เกียรติกัน ฉะนั้นอยากให้คนอื่นรักจงรู้จักหัวอ่อน ตาอ่อน มืออ่อน ฟังแล้วอ่อนได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นทำอย่างไร การทำดีของอาจารย์ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วเราอ่อนหรือยัง ศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่มีข้อ ๔ บางทีข้ออื่นอาจจะไม่ทำเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าไม่รู้จักให้ บางทีก็อาจจะไม่มีเมตตาเลย
ฉะนั้นที่อาจารย์บอกไป ถ้าศิษย์ทำได้หมดศิษย์ก็เป็นคนดีที่หนึ่งได้เหมือนกัน แต่ยังมีอีกข้อหนึ่ง ศิษย์รู้ไหมทำไมเมื่อวานท่านแปดเซียนถึงบอกว่า ทำดีถึงที่สุดยังไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าความดีที่ศิษย์ทำยังไปไม่ถึงขอบข่ายของการตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง แล้วความดีที่อาจารย์บอกศิษย์ ถึงแม้จะทำถึงที่สุดก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด  อย่างมากสุดก็แค่เป็นเทพเซียนแต่ยังไม่พ้นกรรม ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์บอก ๕ ข้อนี้ ศิษย์รู้ไหมว่ามันคืออะไร
๑. เมตตา
๒. ไม่อยากได้ของๆ คนอื่นมาเป็นของตัวเอง
๓. รู้จักเคารพให้เกียรติ
๔. รู้จักซื่อตรง
๕. รู้จักรับฟังคำคน
เกิดเป็นคนอยากให้คนอื่นรักแต่ถ้าหัวแข็งไม่ฟังใครก็ไม่มี ประโยชน์ อ่อนน้อมแล้วยังต้องรู้จักรับฟังนี่คือข้อใหญ่  คนที่จะมีปัญญาที่ยิ่งใหญ่ก็คืออ่อนน้อมแล้วยังรู้จักรับฟังเรียนรู้กับคนที่ฉลาดกว่า แต่โดยส่วนใหญ่เราเป็นคนดี พอเจอคนดีกว่า เราอยากอยู่ใกล้ไหม (ไม่)  ยิ่งเขาดีมากเท่าไรแต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราก็กลายเป็นคนแย่ สมมติว่าเดินผ่านขอทานแล้วคนอื่นเขาให้ทานกัน แต่เราทำเฉยๆ คิดว่าให้ทำไม ยิ่งให้ก็ยิ่งเป็นขอทาน  ยิ่งเขาทำดีมากเท่าไร แต่เราเฉยๆ กลับเป็นเหมือนเราไม่มีดีเลย
อาจารย์อยากจะบอกว่า อยู่ใกล้คนที่มีความรู้กว่า ยิ่งจะทำให้เราผลักดันให้ตัวเองยิ่งมีความรู้ให้เท่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์กลับเกลียดคนที่รู้มากกว่า พบคนที่ฉลาดกว่า กลับบอกว่าไม่เอา เพราะเราจะดูโง่ เลยคบเพื่อนโง่กว่า จริงไหมศิษย์ (จริง)  อย่างนั้นกลับจากประชุมธรรมให้ไปดูว่า เพื่อนที่ศิษย์คบฉลาดหรือโง่กว่าศิษย์ (โง่)  เขาโง่ แต่อาจารย์จะบอกว่าคนที่เลือกคนโง่เป็นเพื่อนนั้นโง่กว่า ถูกไหม (ถูก) 
ฉะนั้นคนในโลกที่ไม่สามารถมีปัญญาที่ยิ่งใหญ่และกว้างไกลมากกว่าเดิมได้ เพราะไม่รักคนฉลาด ไม่ยอมใกล้ชิดคนฉลาด เพราะกลัวว่าใกล้ชิดแล้วตัวเองจะโง่ จริงๆ โง่แล้วค่อยฉลาดกับฉลาดแล้วถึงที่สุดก็โง่ เอาอันไหน (โง่แล้วฉลาด)  ฉะนั้น ถ้าเขามีประกาศว่า จบจากประชุมธรรมแล้ว จะมีอบรมธรรมะอีก ศิษย์จะยอมมาโง่แล้วค่อยฉลาดไหม (ยอม)


(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานผลไม้ลูกใหญ่ให้นักเรียนฝ่ายชายที่ตอบถูกว่า ทั้ง ๕ ข้อ ของการทำดี ตรงกับศีล ๕ แล้วถามนักเรียนท่านนี้ว่า)
ได้ผลไม้นี้แล้ว เอาไปทำอะไรดีศิษย์ รู้ขนาดนี้แล้ว (เก็บไว้ หรือเอากินเองก็ได้) จากที่ตอนแรกอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้อาจารย์ไปไกลเลย เอาไปทำอะไรดี อย่าพูดได้ คิดได้ แต่ทำไม่ได้ คนในโลกเป็นแบบนี้คือ รู้อะไรรู้หมด แต่ถึงเวลาจุกอก กลับลืมแล้วไม่ทำ เอาไปทำอะไรดี (ให้คนอื่น บริจาคให้คนอื่น)  ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่รู้จักแบ่งปัน รู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรื่องราวบางเรื่องที่เราตอบได้ถูก เป็นเพราะมีหลายๆ คนช่วย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่ออาจารย์ยกย่องศิษย์ว่าเก่งจังเลยที่ตอบได้ ศิษย์ต้องไม่ลืมบุญคุณคนที่ร่วมทำให้เราสำเร็จได้ในวันนี้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้เราก็ต้องรู้จักแบ่งปันเข้าใจไหม
อาจารย์อยากจะบอกว่าทั้ง ๕ ข้อนี้คือศีล ๕ คนใดถ้าทำได้ ถึงศีล ๕ ครบก็เรียกว่าเป็นคนดีได้
(พระอาจารย์ให้ผลไม้นักเรียน แล้วนักเรียนกล่าวขอบคุณพระอาจารย์)
ขอบคุณตัวเองและขอบคุณทุกคน ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์ อาจารย์แค่ชี้นำ ส่วนคนจะเดินก็คือตัวศิษย์เอง อาจารย์ที่ดีต้องสามารถปลุกศักยภาพความสามารถของศิษย์ให้บรรเจิดและกว้างไกล ไม่ใช่ตีให้ศิษย์กลัวหงอ
อันนี้คือศีล ๕ แต่ขอบข่ายของศีล ๕ ทำได้มากสุดคือไม่เบียดเบียนคนอื่น ทำให้เป็นที่รักและไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ร้อน แต่ว่าจะถึงขนาดพ้นเวรพ้นกรรมนั้น ยังยากอยู่ หากเรายังทำไม่ถึงที่สุด ใช่หรือไม่
การเกิดเป็นคนดี การมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ทำดีแล้วบางครั้งทำไมเราไม่พ้นทุกข์ อาจารย์บอกศิษย์ไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าทำชั่วก็มีผลคือกรรมชั่ว ทำดีถ้ายังยึดติดในลักษณะก็ยังมีผลของการกระทำคือกรรมดี แต่ทำอย่างไรล่ะที่ทำแล้วไม่ให้เกิดกรรมในการเวียนว่าย กรรมที่ทำให้เราต้องกลายเป็นทุกข์ เราเคยคิดไหม แล้วเราเคยรู้ไหมว่า ทำอะไรแล้วมันกลายเป็นกรรมให้เราต้องเวียนว่าย ก่อนจะไปหากรรมที่ไม่ต้องเวียนว่าย อย่างนั้นมาดูก่อนว่ากรรมอะไรที่ทำแล้วทำให้เราต้องเวียนว่ายในโลกนี้
(ฆ่าสัตว์ , ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน)  อาจารย์ให้รางวัลดีกว่า เลือกลูกเล็กหรือลูกใหญ่ ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าถ้าบางครั้งเราทำแล้ว ผลของการกระทำมันให้ผลที่ต่างกันเราก็ต้องไม่น้อยเนื้อต่ำใจนะศิษย์ สมมติถ้าเมื่อสักครู่เขาได้ผลไม้ลูกใหญ่ แต่อีกสองคนตอบได้ผลไม้ลูกเล็กเราจะท้อไหม เราจะบ่นไหม แล้วถ้าทำแล้วอาจารย์บอกว่าจะให้แล้วเปลี่ยนใจไม่ให้ล่ะ
(ติดบ่วงตัณหาและกรรม) เพราะเราไม่ละกิเลสจึงติดบ่วงตัณหาและกรรม ใช่ไหม โดยส่วนใหญ่มนุษย์บอกว่าโลภโกรธหลงเป็นต้นเหตุของความทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์บอกว่ายังเห็นไม่ค่อยชัด อย่างนั้นอาจารย์สมมติว่าถ้าวันหนึ่งอาจารย์ทำอาหารจานใหญ่ที่ศิษย์ไม่เคยได้กินมาก่อนในโลก พอศิษย์ได้กินคำเดียว อร่อยมากๆแล้วพอกินแล้ว พอรู้สึกว่าอร่อย อาจารย์บอกว่า กรรมแล้ว
ศิษย์เคยไหมอยู่ในโลกนี้ เคยมีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำไหม (มี)  มีร้านข้าวมันไก่เจ้าประจำไหม (มี)  เพราะอะไร (เราชอบ)  แล้วกรรมไหม กรรมอะไร กรรมที่จะยังไงถ้าจะทานข้าวมันไก่ก็ต้องไปเจ้านี้ ยังไงก๋วยเตี๋ยวก็ต้องไปเจ้านี้  ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์บอกว่า อืม อร่อยอาจารย์จะบอกว่า นั่นกรรม  เพราะติดในรสอร่อยมันเลยเป็นกรรมให้ศิษย์ต้องกลับมาหาเขาอีก ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาศิษย์เจอคนสวย ทำไมยังไงๆ ต้องวนเวียนมามองบ้านนี้ เหมือนเวลาที่ศิษย์เจอคนดี ไม่รู้นึกยังไงก็ต้องมาหาเขา เพราะรู้สึกดี รู้สึกอร่อย เมื่อรู้สึกอร่อยมันก็เลยกลายเป็นกรรม พอคิดถึงข้าวมันไก่ต้องร้านนั้น พอคิดถึงอยากกินของอร่อยๆ ต้องร้านนั้น ฉะนั้นอร่อยปุ๊บมันก็เลยกรรมปั๊บ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นโลภ โกรธ หลง แม้แต่รักมันก็กลายเป็นกรรมได้นะ แล้วถ้ารักแล้วไปถึงร้านแล้วเขียนว่าหยุดสิบวันกรรมไหม ทุกข์ไหม แล้วพอร้านเปิดไปทานข้าวมันไก่เจอเจ้าของร้านจะบ่นไหม ขนาดปิดร้านแล้วยังมากินอีกไหม (มา)  กรรมอะไร (ยึดติด)  ติดอะไรศิษย์หาให้เจอแล้วเราจะได้หยุดกรรมมันได้ (รสชาติอร่อย)  แล้วถ้าทำแล้วไม่อร่อยล่ะ จะกลับมาไหม จะมีกรรมกับเขาไหม จะมีทุกข์กับเขาไหม ฉะนั้นยิ่งรู้สึกอร่อยยิ่งรู้สึกดีมันก็เลยยิ่งมีกรรมแล้วก็ยิ่งมี (ทุกข์) ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอย่าคิดว่าทำดีแล้วจะพ้นกรรมพ้นทุกข์ ถ้ายังติดในความรู้สึกดี ความรู้สึกดีนั้นจะทำให้เราต้องมีกรรมกลับมาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นอยู่กับเพื่อนคนนี้ทำอะไรก็ชม ดีไม่ดีก็ชม ขนาดเราแย่แล้วนะเขาก็ยังชม เราจะไปหาไหม แต่ส่วนอีกคนไปหาแล้วถูกด่า ไปหาเขาไหม (ไม่ไป)
แต่มีกรรมอีกประเภทหนึ่งนะ บางคนแม้ไปหาเขา เขาด่าอย่างไรก็ยังไปหาเขา  แล้วกรรมประเภทนี้ อาจารย์จะบอกให้ว่าเกิดจากอะไรรู้ไหม เกิดจากกรรมเก่ายังล้างกันไม่หมด เลยต้องพยายามเอาหน้าไปให้เขาด่าให้จบกรรม จริงไหมศิษย์ (จริง)  เขารักไหม ไม่รัก เขาเกลียดไหม ก็รู้ว่าเกลียด แต่ไปไหม ไป เพราะอะไร กรรม จริงๆ เขาไม่รักแต่เรารักเขา ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งนะ อยู่ในโลกไม่ใช่เกิดเป็นคนทำดีอย่างเดียวก็พอแล้ว ทำดีอย่างเดียวก็พ้นทุกข์แล้ว บางทีทำไมทุกข์เหลือเกินรักเขาแล้วแต่เขาก็ด่า รักเขาแล้วแต่เขาก็ว่า มันกรรมอะไรของศิษย์ ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเป็นกรรมเก่าที่ศิษย์ต้องชดใช้ ฉะนั้นทนให้เขาด่าให้จบดีไหม (ดี)  แล้วจะผูกใจเจ็บต่อไหม (ไม่)  ถ้าผูกใจเจ็บ เดี๋ยวศิษย์ก็กลับมาเจอกันใหม่ เอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าเราเรียนรู้ในโลกนี้ เราอยากพ้นทุกข์ได้ รู้อะไรแล้วทำให้เราพ้นทุกข์มีแค่สองอย่างไม่มากกำลังดี อยากรู้ไหม
ถ้ารู้อันที่หนึ่งจะสามารถตัดโลภโกรธหลงได้
ถ้ารู้อันที่สองจะสามารถสลายอัตตาตัวตนได้ คนเราที่ทุกข์อยู่เพราะวันนี้ มีโลภโกรธหลง กับตัวหนึ่ง แต่ทุกข์เพราะวันนี้มีตัวตน ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์จะบอกว่าโลภ โกรธ หลง รัก มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์รู้จักนิสัยและดัดสันดานได้ โลภโกรธหลงก็ทำอะไรกับชีวิตศิษย์ไม่ได้ รู้ไหม ไม่รู้ ใช่ไหม
อาจารย์จะบอกไอ้โลภ ไอ้โกรธ ไอ้หลงมันเกลียดคนรู้ทัน จำไว้เลย  พอเวลาเราจะโกรธแล้วเราบอก อย่านะตู ตูอย่าโกรธนะ โกรธจะหาย อย่านะอย่าโกรธ อย่าโลภนะ มันจะอยู่เฉยๆ แล้วมันจะทำอะไรเราไม่ได้ ลองรู้ให้ทัน แล้วรู้ให้ทันด้วยอะไร  รู้ให้ทันคือเมื่อโดนกระทบแล้วเรานิ่ง แล้วเรียกสติได้ไหม เพราะสติอยู่ตรงกันข้ามกับสิ่งปรุงแต่ง แล้วเมื่อเราไม่มีสิ่งปรุงแต่ง โลภ โกรธ หลงก็ทำอะไรเราไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ใช่หรือ ถ้าใช่ ศิษย์ก็ไม่ทำแล้ว ใช่ไหม จำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตน แต่เมื่อไรศิษย์ให้ความหลงยึดติด มันก็จะเกาะติดตัวเราทันทีแล้วก็จะลากเราให้ทำทุกๆ อย่างตามที่มันสั่ง
ฉะนั้น โลภ โกรธ หลง กลัวอยู่อย่างหนึ่งคือ กลัวคนมีสติ ถ้ามีสติ โลภ โกรธ หลง จะไม่อยู่ ถ้าขาดสติ โลภ โกรธ หลง จะมาหา ฉะนั้นถ้าศิษย์รู้ทัน มีสติ โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ แต่ถ้าขาดสติ รู้ไม่ทัน โลภ โกรธ หลง จะชักนำให้ชีวิตเราต้องทุกข์ ต้องรับกรรมและก็เวียนว่ายไม่จบสิ้น 
เหมือนตอนนี้นึกถึงข้าวมันไก่ อาจารย์ไม่น่าพูดเลย นึกถึงแล้วอยากกิน แต่พอพูดว่าอยากกิน กินทำไม อยากไปก็แค่นั้น แกอยากแต่ฉันไม่อยาก มันก็จะหยุดทันทีใช่ไหมถ้าเรามีสติแต่ชีวิตมนุษย์ปัจจุบันนี้ตามอารมณ์มากกว่าตามสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอีกอย่างหนึ่งอยากรู้หรือไม่  กรรมเกิดจากอะไร (การกระทำ)  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนแรกอาจารย์บอกว่าสิ่งที่ทำให้เกิดกรรม ความทุกข์และการเวียนว่ายคือ โลภโกรธหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรารู้จักนิสัยของโลภโกรธหลงดี แล้วเราควบคุมได้ ก็จะไม่ทำให้เกิดกรรม ความทุกข์ และการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราต้องกลัว ไม่ใช่กลัวโลภโกรธหลง แต่สิ่งที่เราต้องกลัวคือตัวเอง ตัวเองที่คิดจะมีโลภโกรธหลง แล้วคุมโลภโกรธหลงไม่อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า เมื่อไรที่ตาเราเห็น แล้วไม่มีตัวเรามันก็จบแค่เห็น แต่พอมีตัวเรา สิ่งที่เห็นเริ่มมี สวย ไม่สวย ดี ไม่ดี ใช่ไหม พอมีตัวเราจึงเห็นแยกเป็น สวยกับไม่สวย
หูถ้าเราได้ยินแล้ว ไม่มีตัวเรามันก็จบ แต่เมื่อมีตัวเราเข้าไปได้ยิน มีตัวเราเข้า ไปปุ๊บเราเริ่มแบ่งเสียงนั้นว่า เพราะไม่เพราะ น่าฟัง ไม่น่าฟัง ศิษย์เห็นอะไรไหม ยิ่งอาจารย์เขียนศิษย์ยิ่งเห็น ใช่ไหม ศิษย์จะเห็นเลยว่าตัวปัญหาคือใคร (ตัวเรา
ปากพอเราได้รส มีตัวเราปุ๊บก็เกิดอร่อย ไม่อร่อย 
ใจพอเรามีหัวใจมีความรู้สึก พอรู้สึกเอาตัวเราเข้าไปใส่เกิดอะไร เกิดชอบ ไม่ชอบ
มือเวลาสัมผัสถ้าไม่มีตัวเราก็แค่สัมผัส แต่พอมีตัวเราเราเริ่มบอกว่านุ่ม แข็ง นิ่ม อ่อน แล้วตอนนี้เห็นชัดหรือยังปัญหาอยู่ที่ไหน (ตัวเรา) 
จมูก ดมกลิ่นแล้วพอมีตัวเรา ก็เกิดหอมหรือเหม็น
ฉะนั้นถ้าไม่มีตัวนี้จะมีสิ่งที่แยกว่าสวยไม่สวยไหม ถ้าไม่มีตัวนี้จะมีคนที่แยกว่าเพราะไม่เพราะไหม ถ้าไม่มีตัวนี้จะมีคนแยกว่าอร่อยไม่อร่อยไหม เพราะมีตัวนี้แล้วยึดติดในอร่อยหรือไม่อร่อยจึงเกิดกรรม เกิดทุกข์เกิดการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถ้าอยากดับทุกข์ตัดปัญหาคือตัด (ตัวเรา)  เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนไว้ว่าถ้าข้างในไม่มีปัญหาข้างนอกก็ไม่มีปัญหา  ถ้าข้างในไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งต่างๆ ก็ไม่มีผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงเรียก เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  รับรู้ก็สักแต่รับรู้  พอรู้รสชาติแล้วจะกลายเป็นโลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้เพราะเราดักได้ตั้งแต่ (ตัวเรา) แล้วเราตัดตัวเราได้ไหม ตัดอย่างไร อันนี้เป็นประเด็นใหญ่ รู้ไหม (ตัดกิเลส)
อาจารย์บอกว่า กิเลสมันไม่มีผลถ้าศิษย์มีสติและศิษย์นิ่งพอ แต่ตัวเรายากที่สุดที่ศิษย์จะตัดอย่างไรให้มันขาด และไม่เกิดกรรม ไม่เกิดการยึดติด มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องรู้ ตอบได้ไหม (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางใช่ไหม เมื่อไรที่ศิษย์บอกว่าปล่อยวางหมายถึงศิษย์จับมาแล้วค่อยปล่อยมันได้ แล้วศิษย์จับอะไรที่ทุกข์ (ปลง)  ปลงแปลว่าต้องเห็นมันเรียบร้อยแล้วเกิดความรู้สึกแล้วค่อยมาปลงทีหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์บอกแล้วนะ (ตัดความโลภ)  รู้ไหม (ตัดกิเลส) อาจารย์บอกแล้วจริงๆ กิเลสไม่มีผล ถ้าเรามีสติ และเรารู้ ใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้เพราะเรามีตัวเรา เรารู้อยู่ ตัวนี้ยังมีอยู่ ทำอย่างไร ตัวนี้ยังมีอยู่ บำเพ็ญธรรมคืออะไร เราก็ยังเห็นก็ยังได้ยิน แต่ทำอย่างไรที่ทำให้ตัวเราไม่เป็นปัญหาแล้วไม่แบ่งว่า สวย-ไม่สวย เพราะ-ไม่เพราะ อร่อย-ไม่อร่อย ดี-ไม่ดี เราต้องทำอย่างไรให้ตัวเราอยู่ตรงนี้แล้วตัวเราไม่เป็นปัญหาแล้วสร้างทุกข์ ให้เรา เราจะตัดอะไร เราจะรู้อะไร ถึงจะทำให้เราพ้นทุกข์ ตัดจิตใจเลยใช่ไหม
วิธีที่จะดับทุกข์คือวางใจเป็นกลางหรือ ได้ไหม ได้หรือ อย่างนั้นมานี่อาจารย์จะทำอะไรให้ดู เขาบอกว่าวิธีที่จะดับทุกข์คือวางใจให้เป็นกลาง ใช่ไหม ศิษย์ช่วยหน่อยนะ ดูสิว่าจะวางใจเป็นกลางได้ไหม สมมติว่าอาจารย์มีศิษย์ ๒ คน อาจารย์จะให้แอปเปิล อาจารย์ก็ต้องแบ่งให้เท่าๆ กันใช่ไหม ถ้าคนนี้ได้ คนนี้ก็ต้องได้  แต่ถ้าอาจารย์ให้คนที่หนึ่งบอกว่าอาจารย์ให้เต็มที่เลย แต่ศิษย์อีกคน แอปเปิลอยู่นั่นไปเอาซิ(พระอาจารย์จี้กงกลิ้งแอปเปิลไว้ที่พื้น)  หากเจอแบบนี้วางใจเป็นกลางได้ไหม ถ้าศิษย์ยังตัดตัวเองไม่ได้ ยังยึดมันอยู่ ยังถือมันอยู่ ทำไมอาจารย์ไม่ให้ดีๆ แบบคนแรก ทำไมอาจารย์ส่งด้วยวิธีนี้ให้เรา ใช่ไหม
ฉะนั้นวางใจเป็นกลางคืออะไร  จริงๆ มนุษย์เรามีความเป็นกลางอยู่นะ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่น ติดในเหตุการณ์ชั่วขณะ เราจึงเป็นกลางไม่ได้ เหมือนตอนนี้ ศิษย์เห็นว่าอาจารย์ปฏิบัติดีกับคนนี้ แต่ทำไมปฏิบัติกับผมเหมือนโยนให้  ฉะนั้นที่ทุกข์เพราะอะไร ถึงศิษย์จะรู้ว่าคนเราต้องวางใจเป็นกลางแต่ถึงเวลา เมื่อโดนกระทบ เมื่อตากระทบ หูได้ยิน ใจรู้สึก เราจะทำอย่างไรให้ตัวนี้ไม่ทุกข์แล้วสามารถก้มไปเก็บแอปเปิลได้ด้วยหน้าชื่นไม่อกตรม (การวางเฉย)  วางเฉยได้หรือ ถ้าศิษย์วางเฉยได้จริงๆ นะ อาจารย์กลิ้งแอปเปิลศิษย์ก็วิ่งไปเก็บแล้ว (ไม่รับครับ)  ไม่รับเลยหรือ แน่นะ ทำได้หรือ
อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า อาจารย์ก็รักศิษย์นะ แต่แอบหยิกข้างหลัง เราอยู่ในโลกอาจารย์จะบอกว่ามนุษย์เราก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้บางทีโลภผมก็ไม่อยากโลภ โกรธผมก็ไม่อยากโกรธ หลงผมก็ไม่อยากหลง แต่บางทีคนที่มากระทบตา กระทบหู กระทบใจ ชวนให้ผมอยากเตะไปไกลๆ เมตตาก็แล้ว ให้ก็แล้ว อดทนก็แล้ว แต่พอเผลอ รักแต่แอบหยิก จริงๆ นะ เราอยู่ในโลกก็เป็นแบบนี้ รักไหม รักแต่พอเผลอถ้าทำอะไรไม่ถูกใจทิ่มแทงด่าเขาให้เจ็บ ถามว่ารักไหมรัก เวลาอารมณ์ดีก็ให้อย่างเต็มใจ อู้ย เอาไปเลยแต่เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ให้อย่างเสียไม่ได้ อืม เอาไป”  ฉะนั้นเวลาเราเจอคนประเภทนี้เราจะทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์ (การปล่อยวาง)  อาจารย์บอกแล้วถ้าปล่อยแปลว่าเราจับแล้วมันต้องปล่อย รู้อะไรล่ะที่ทำให้เราไม่ทุกข์ (รู้สติ)  แต่ก่อนเราจะมีสติเราต้องนิ่ง นิ่งแล้วมองให้เห็น  อาจารย์ถึงบอกว่าอะไรมากระทบนิ่งให้ได้ก่อน นิ่งแล้วมีสติไหม มีสติแล้วทันความคิดไหม โกรธไหม เกลียดไหม โลภไหม
ถ้าเป็นอย่างนี้ เมื่อเรานิ่งเสร็จแล้วเราจะเอาอะไรมาตัดตัวเราให้พ้นทุกข์ได้ นั่นคือ “ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง”
ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบศิษย์ คือตัวอาจารย์ที่มากระทบนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) ตัวศิษย์เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ความรู้สึกของศิษย์เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  แอปเปิลเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) 
ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยปัดตัวเราให้พ้นทุกข์ได้ จำไว้นะศิษย์ ตัวเราไม่เที่ยงอยู่แล้ว ถึงเวลาก็ต้องทิ้งมัน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นกายเจ็บ ใจไม่เจ็บ เมื่อไรที่รู้สึกว่ากายเจ็บ แล้วใจก็เจ็บ แล้วยึดแล้วต้องปล่อย นั่นแปลว่าไม่เข้าใจสัจจะความเป็นจริงของโลกใบนี้
ฉะนั้นมีธรรมะข้อหนึ่งที่แม้จะมีชีวิตอยู่จนตัวตายศิษย์ก็ลืมไม่ได้ ก็คือ
ความจริงอันดั้งเดิม
ความจริงอันนิรันดร์  ความจริงอันหนีไม่พ้น
ซึ่งคนเราทุกคนลืมไม่ได้ ถ้าลืมเมื่อไรเราจะหลงยึดตัวตนและหาเหตุให้ตนทุกข์ เพราะอะไรอาจารย์ถึงบอกว่าความจริงอันดั้งเดิมกับความจริงอันนิรันดร์ ความจริงอันหนีไม่พ้นนั้นลืมไม่ได้ ที่ศิษย์ไม่ควรลืมเพราะว่า นั่นคือรากฐานของชีวิต รากฐานของตัวตนที่ศิษย์ยึดว่า ของหนู ของหนู แต่จริงๆ แล้ว มาจากฟ้าดิน และการรวมตัวกันของสรรพสิ่งจึงเกิดเป็นร่างกาย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นความจริงอันดั้งเดิมคือมาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า มาคนเดียว ไป (คนเดียว)  นี่คือความจริงอันดั้งเดิม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะยึดมันทำไม ไม่ต้องยึด ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็ไปของมันเอง แล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายึดก็ต้องปล่อย ถ้ายึดก็ต้องทุกข์ ถ้ายึดก็คือสร้างกรรม แต่ถ้าเรามองเห็นความจริง เราจะยึดไหม (ไม่ยึด)  และในตัวตนนี้ มีความจริงอันนิรันดร์ ความจริงอันหนีไม่พ้นคืออะไร จงยิ้มได้เมื่อเจ็บ เพราะดีกว่าตายแล้วไม่ได้เจ็บ ฉะนั้นอย่ากลัวการเจ็บ ดีที่ได้เจ็บเมื่อเจ็บเพราะดีกว่าไม่ได้เจ็บแต่ตายเลย ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์บอกไว้อย่างอย่ากลัวตาย เพราะความตายคือความเป็นจริงของชีวิตที่มีอยู่ในทุกคนที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก มีเกิดก็มีตาย ในเกิดก็คือตาย นั่นคือความจริงอันเป็นนิรันดร์ ความจริงอันหนีไม่พ้น
ฉะนั้นเมื่อเราเห็นว่าตัวเราก็ไม่เที่ยง สวยหรือไม่สวยสำคัญไหม เมื่อเราเห็นตัวเราก็ไม่เที่ยงจะฟังเพราะหรือไม่เพราะจำเป็นไหม เมื่อเราเห็นตัวเราไม่เที่ยงจะอร่อยไม่อร่อยเอาไหม เพราะเมื่อเวลาเจ็บมันไม่อร่อยแล้ว เพราะถึงที่สุดเราก็ตาย อร่อยไปแล้วเป็นทุกข์ อร่อยไปแล้วมีกรรม อร่อยไปแล้วเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น เอาอร่อยไหม (ไม่)
ฉะนั้นเมื่อไรที่นึกถึงข้าวมันไก่ให้นึกถึงกรรม ต้องกลับไปหาเจ้าของร้านเดิมที่ติดใจ ฉะนั้นถ้ารู้สึกแล้วมันต้องชอบและไม่ชอบ ไม่รู้สึกเลยดีไหม เหมือนที่ศิษย์บอกว่ากระทบแล้ววางเฉย วางเฉยตรงนี้ได้ไหม เพราะเมื่อไรที่ศิษย์มีชอบก็มีเกลียด โลกวุ่นวายอย่างทุกวันนี้เพราะคำว่าชอบตัวเดียว  เราทำทุกอย่างเพราะอะไร หนูชอบตัวเอง หนูชอบเขาแล้ววุ่นวายไหม วุ่น เหนื่อยไหม เหนื่อย เพราะอะไร หนูชอบใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแค่ชอบกับไม่ชอบ พอถึงเวลาตายไหม เมื่อชอบ ก็ยิ่งสร้างตัวตนให้มีที่เกาะยึดของกิเลส เมื่อใดก็ยิ่งมีตัวตนให้ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเมื่อนั้น  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ กินอะไรแล้วบอกอร่อย จำไว้ว่าอร่อยแล้วกรรม เวลาเจอใครแล้วรู้สึกดีอาจารย์จะบอกว่ากรรม จริงๆ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์  ความรู้อันสุดท้ายคือความรู้แจ้งเห็นจริงในตัวตนนี้  ที่มันจะรู้แล้วสลายอัตตาตัวตนให้หายไปได้ ไม่แบ่งแยกว่าเขาว่าเรา ว่านอกว่าใน ว่าสวยไม่สวย เพราะมีตัวเราจึงเห็นว่าสวยไม่สวย แต่เราเข้าถึงแล้วว่าทั้งตัวเราทั้งสวยไม่สวยก็หนีไม่พ้นความจริง เมื่อหนีไม่พ้นความจริงควรหรือที่จะยึดว่าต้องสวย ควรหรือที่จะต้องยึดว่าอร่อย มันไม่เที่ยงตั้งแต่แรกแล้ว
ฉะนั้นเมื่อไรที่สูญเสีย ดีใจเถอะได้เป็นเทพีเสรีภาพ จริงไหมศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์สูญเสียแล้วทุกข์จังเลยแต่อาจารย์อยากจะบอกว่าเมื่อไรที่เราได้สูญเสียเมื่อนั้นเรากำลังได้เป็นอิสระเสรีเสียที  เราได้ปลดทุกข์แล้ว ฉะนั้นมองให้เห็นนะศิษย์  เราเกิดมาเพื่อยืมใช้ ฉะนั้นทำอย่างไรไม่ให้เกิดกรรมที่ต้องทุกข์ พอเข้าใจหรือยัง (ยังไม่เข้าใจ)
อธิบายใหม่ก็ได้ คือทำอย่างไรก็ได้ กระทบแล้วเราก็เห็นตัวเราก็ไม่เที่ยง เอาสติมาดู เอาความนิ่งมาดู เมื่ออะไรกระทบทางตา เมื่ออะไรกระทบทางหู ควรไหมที่จะไปตามกิเลส ถ้าไปตามกิเลสก็คือกรรม คือการเวียนว่าย คือความทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไร มีสุดยอดยิ่งกว่านั้น ถ้าเมื่อไร ตัวเรามากระทบ สวย-ไม่สวย ก็แค่นั้น  ตัวเรามากระทบ เพราะ-ไม่เพราะ ก็เท่านั้น ตัวเรามากระทบ อร่อย-ไม่อร่อย ก็เช่นนั้น ถ้าตัวเรามากระทบ ชอบ-ไม่ชอบ อ๋อก็แค่นั้น แล้วรู้ไหมว่า แค่นั้น เช่นนั้น คือการเห็นธรรม แต่ก่อนเราเห็นรู้สึก แต่ต่อไปเมื่อกระทบปุ๊บเห็นธรรมทันที ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็น (ตถาคต)
ฉะนั้น กระทบปุ๊บเห็น รู้สึกก็คือกิเลส อารมณ์ กรรม การเวียนว่าย  แต่กระทบปุ๊บอ๋อ เห็นแจ้งในธรรม กระทบปุ๊บ อ๋อไม่เที่ยงเช่นนั้นเอง มันคือธรรม ยิ่งเห็น ยิ่งรู้ ยิ่งชัดในธรรม และเมื่อเราเป็นธรรม ทำอะไรก็มองเห็นธรรม เราก็คือพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ หรือการดำเนินชีวิตของเราไม่ใช่การแสดงกรรม แต่คือการแสดงธรรม
ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมะ มองให้ถึง ไม่ใช่มองข้างนอกแต่หันมามองข้างใน รู้ด้วยสติ รู้ด้วยปัญญาแห่งความจริงของโลกใบนี้ แล้วจะนำพาให้ศิษย์เข้าถึงธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท       รู้ด้วยผู้อื่น)
(รู้ด้วยผู้อื่น)  อาจารย์ก็คือผู้อื่น ที่อาจารย์บอกการทำดี ขอเพียงศิษย์รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเราก็จะได้ความรู้ รู้ด้วยตนเองก็ประเสริฐ แต่การรู้ด้วยการฟังจากคนอื่นก็ได้ปัญญาเหมือนกัน
ฉะนั้นเขาก็คือเรา ถ้าเขาพูดแล้วทำให้เราตื่นก็น่าจะรับฟังไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
รู้แล้วไม่ทุกข์คือ  รู้ด้วยสติ  รู้ด้วยปัญญา  รู้ด้วยปฏิบัติ  รู้ด้วยฝึกฝน  รู้ด้วยตนเอง  ถ้ารู้ด้วยอาจารย์แล้วยังไม่พ้นก็มาฟังบ่อยๆ จะได้รู้ให้ชัดๆ ดีไหม (ดี) เพราะกายนี้เรายืมเขามา


ศิษย์มีสิ่งที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่ากายนี้ คือจิตญาณ ที่ศิษย์ได้รับหนึ่งจุดชี้ จิตนั้นพ้นทุกข์มาตั้งแต่ไหนแล้ว แต่ความหลงผิดที่ไปยึดเอาความรู้สึกเป็นตัวตน ไปยึดเอาตัวนี้ว่าเป็นของๆตน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าทั้งความรู้สึกทั้งร่างกาย ไม่ใช่ของศิษย์ ของศิษย์ที่แท้จริงคือจิต จิตที่พ้นทุกข์ จิตที่มองเห็นความทุกข์ความสุข จิตที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าเมื่อไรที่ถูกกระทบ จำไว้ว่าปล่อยวางความผูกพันธ์ ตัดมันทิ้งแล้วจะเห็นความจริง เมื่อไรที่ถูกกระทบ ให้ปล่อยวางความยึดมั่นชอบ-ชัง ปล่อยวางนิสัยที่ชอบตีกรอบ นิสัยที่ชอบคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วศิษย์จะเข้าถึงความว่างและเห็นสรรพสิ่งได้อย่างจริงแท้ 
เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบ แล้วปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น  รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นความว่าง เมื่อนั้นศิษย์จะพบธรรม  ธรรมที่ไม่ได้อยู่ที่อื่น แต่อยู่ในตัวเรา จริงไหม (จริง) ธรรมที่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นจริงๆ เสียที ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบให้ตัดความรู้สึกทิ้ง จะได้พบความจริง เมื่อใดที่ถูกกระทบแล้วเราปล่อยวางรสชาติ ก็จะไม่หลงสร้างกรรม ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะ ยิ่งโดนกระทบยิ่งเห็นความจริง ยิ่งเห็นธรรม แต่จะเห็นได้ต้องนิ่งมีสติ และรับรู้ความจริง อย่ายึดมั่นความคิด เพราะความคิดไม่เที่ยง ความรู้สึกก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีแต่ความจริงที่ว่า ใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยง คนโง่เท่านั้นที่พยายามยึด แล้วตีกรอบ แล้วก็สร้างนิสัยตัวตน ฉะนั้นศิษย์อาจารย์ไม่โง่แล้วนะ
จำไว้ ยิ่งมีนิสัย ยิ่งมีตัวตนมากเท่าไรก็มีที่ให้ทุกข์เกาะมากเท่านั้น แต่เมื่อนิสัยเราไม่มี ส่วน ตัวตน คือ อะไรก็ไม่รู้สิ่งนั้นเรียกว่า นิรมารกาย คือกายที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จำเพาะเจาะจง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่เจอกระทบ อดทนได้ไหม บางทีไม่ถึงต้องอดทน แค่เมตตามากๆ ที่เราต้องอดทนเพราะเรายึดมั่นใช่ไหม (ใช่)  ที่เราต้องพยายามเมตตาเพราะว่าเราตีกรอบ ใช่ไหม (ใช่)  ที่เรารู้สึกว่าต้องเสียสละเพราะเรายึดมั่นถือมั่นในตัว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าถึงธรรม เราจะสามารถเมตตาได้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องอดทนกับใคร แต่เราเห็นเขาก็คือธรรม ธรรมอันไม่เที่ยง
ฉะนั้นคาถาเด็ดของอาจารย์คือ ทุกสิ่งมา แล้วเดี๋ยวก็ไป เหมือนอาจารย์มาแล้วอาจารย์ก็ไป ฉะนั้นอย่าโกรธ จงอยู่กับปัจจุบัน บางครั้งที่หัวใจเราทุกข์ เพราะเราเก็บอดีตไว้ในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ที่เราทุกข์เพราะเรายังไม่ลืมความทุกข์ที่จำฝังใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้เป็นอดีตหรือปัจจุบัน (ปัจจุบัน)  แล้วใจเราควรอยู่กับปัจจุบันหรืออดีต (ปัจจุบัน)  แล้วเราจะไปลากของเสียของเน่ามาเก็บไว้ทำไม จบไปแล้วก็จบกัน ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด บำเพ็ญธรรมก็คืออยู่ที่ไหนก็ได้ต้องไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  กินอะไรก็ได้ไม่บ่น ถ้ากินแล้วยังบ่น ก็แปลว่ายังยึดติด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นกินอะไรก็ไม่ (บ่น) 
อาจารย์อยากบอกศิษย์นะ คราวหน้าถ้าเป็นพี่เลี้ยงคุมนักเรียนในชั้นให้พยายามใส่เน็คไทปั้นซื่อ ดีไหม เขาจะได้รู้ว่าใครทำหน้าที่ดูแลนักเรียนในชั้น ได้ไหม
อย่างนั้นถึงเวลาอาจารย์ก็ไปแล้วนะศิษย์เอย ธรรมะอาจารย์วันนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแล้วนะ ง่ายที่สุดแล้วนะ อาจารย์อุตส่าห์ทั้งย่อย ทั้งบด ทั้งขยี้ แล้วก็รอศิษย์อ้าปากแล้วก็กลืนลงไป แค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเอาไปทำนะจะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้ แล้วจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ใช่หรือเปล่า กรรมใดๆ ไม่น่ากลัวเท่ากับกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนในโลกไม่จบสิ้น แต่จะไม่เวียนได้ก็ต่อเมื่อ ไม่ลืมว่าตัวตนนี้ ไม่เที่ยง อย่าไปยึด อย่าไปสร้างที่ให้มันมีทุกข์ ยิ่งมีนิสัยก็คือสร้างที่ให้ทุกข์ยิ่งใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อย่ากลัวความทุกข์ยากอย่ากลัวความลำบากนะศิษย์เอ๋ย ชีวิตมีความยากแล้วอย่าสร้างความยากให้เพิ่มอีกนะ บำเพ็ญธรรมไม่เหนื่อยนะ บำเพ็ญธรรมไม่ลำบากนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ยินดีด้วยนะที่บำเพ็ญกันได้ทั้งครอบครัว ไม่ต้องร้องไห้เป็นศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วต้องเข้มแข็งสิ มีโอกาสกลับมาอีกนะ เดินหน้าแล้วถอยไม่ได้แล้วนะ รู้เรื่องไหมศิษย์ เหนื่อยไหม ลำบากไหม ไม่หวานอมขมกลืนใช่ไหม
ศิษย์เอยบำเพ็ญธรรมอย่ากลัวลำบากยิ่งลำบากยิ่งได้ขัดเกลาใจไม่ใช่หรือ ยิ่งทรมานยิ่งทุกข์ทนยิ่งได้หมดยิ่งได้ปล่อยวางตัวตน ใช่หรือเปล่า ต้องเข้มแข็งใช่ไหม อย่ากลัวความทุกข์นะ อาจารย์อยากให้กำลังใจศิษย์ในการรู้จักสู้ชีวิตให้เป็น



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ รู้ด้วยผู้อื่น ”

สิ่งสุดท้ายของการรู้แล้วไม่ทุกข์ คือการฉุกใจคิดได้ด้วยคนอื่น
กัลยาณมิตรปรารถนาดีหยิบยื่น แม้ฟังให้ขมขื่นหวานตามมา
การรู้ด้วยตนเองมีหลายข้อ รู้ด้วยผู้อื่นมีข้อเดียวหนา


คือการฟังและการพิจารณา สิ่งใดถ้ามีคุณอย่าทิฐิเกิน




พระอาจารย์เมตตาแก้กลอนนำ ที่ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๒๕ - ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
จากเดิม
สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต ความคิดปรุงแต่งยึดมั่น
จำได้หมายรู้สำคัญ รูปขันธ์หลงนามอัตตา
สร้างโลภโกรธหลงนิสัย ครองกายปรองโลกหนักหนา
หลงรูปสมมติมายา ความจริงลวงตาบังใจ
แก้ไขเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต ความคิดปรุงแต่งยึดมั่น
จำได้หมายรู้สำคัญ รูปขันธ์หลงนามอัตตา
สร้างโลภโกรธหลงนิสัย ครองกายปองโลกหนักหนา
หลงรูปสมมติมายา ความจริงลวงตาบังใจ





อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา