แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2560 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2560 แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

2561-01-13 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二○一八年歲次丙申十一月廿七日                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑          สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ทำผิดศีลอย่าพูดว่าจำเป็น              แล้วที่เป็นตัวเราก็ต้องเปลี่ยน
ตัดอวัยวะรักษาชีวิตดุจเล่มเทียน         อย่าวนเวียนติดนิสัยกิเลสอารมณ์
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง ไม่ลองดูเหมือนจะง่าย ถ้าไม่ทุกข์จะเป็นจะตาย ก็ไม่ทำใจโลกที่ท่านรู้กัน ชีวิตของคนที่มีทุกข์ สร้างบุญไม่หวังผลบ้าง ไม่รู้
ก็ไม่ระวัง ไม่เกิดทุกข์ก็ไม่พบธรรม

* อย่าได้หลงรักความโลภแบบไม่ลืมตา อย่าเสียปัญญา อุตส่าห์ฝึกฝนไว้จนได้ คิดจนหลับใหล ทุกข์มาจากไหน ก็ยิ่งหนักหัวตา ไม่ใช้ความเครียดเพราะหมายถึงความเศร้าหมอง ทุกข์สุขเป็นกองอากาศ ก็พัดผ่านได้ ทุกข์แค่ไหนท้อแค่ไหนแค่ใจหลอก
การบำเพ็ญเป็นการพัก วันหนึ่งประจักษ์กับหัวใจ ถอนสลักไร้ตัวตน หลุดพ้นได้
** ถ้าบำเพ็ญได้ไม่พอ พร้อมทะเลาะกับผู้คนเสมอ เตือนท่านควานที่แผลจนเจอ เจ็บที่สุดอย่าเผลอลืมแก้ไข ซ่อนกิเลสบำเพ็ญสร้างปัญหา
ไม่ศึกษาแล้วจะพูดธรรมแบบไหน ท่านเกิดแก่เจ็บและตายได้ ชีวิตเพื่ออะไร

(ซ้ำ **, *, *, เบิ่งให้ออกเด้อ…คนดี)
                                         ทำนองเพลง : คำแพง
                                         ชื่อเพลง : ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

เกิดเป็นคนถ้าไม่ซื่อตรงแล้วยังผิดศีลธรรม จะหาความเป็นมงคล ความประเสริฐ ความดีในชีวิตก็คงยาก ดังที่มนุษย์พูดว่า หว่านพืชเช่นไร
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าหมั่นสร้างความดี กรรมดีย่อมนำพาให้เราพบความสุข ความเจริญ แต่ถ้าเราสร้างกรรมชั่ว ประพฤติปฏิบัติผิดศีลธรรม จะหวังความเป็นมงคลให้กับชีวิต ก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำผิดศีลธรรม ก็คือคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี เมื่อประพฤติปฏิบัติไม่ดี หวังจะมีความสุขก็เป็นไปได้ยาก หวังจะก่อเกิดชีวิตอันร่มเย็นก็ยิ่งยาก ถามตัวเองว่าวันนี้เป็นเช่นไร จะโทษฟ้าโทษดินได้กระนั้นหรือ ควรจะถามตัวเองว่าแต่ก่อนทำเช่นไรมา วันนี้ถึงต้องพบพาลเรื่องราวแบบนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ หวังให้ชีวิตดีงาม มีสิ่งมงคล มีโชคลาภ ถามตัวเองว่า ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อศีลธรรม มีความซื่อตรงหรือไม่ เหมือนเราถามท่านว่า เกิดเป็นคนเอาแต่โลภ มีหรือจะไม่ถูกลวงให้หลง เกิดเป็นคนเอาแต่หลงหัวปักหัวปำ มีหรือจะไม่ทำผิดพลาด เกิดเป็นคนเอาแต่ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่รับฟังความคิดของใคร คิดว่าตัวเองถูกอยู่ร่ำไป มีหรือชีวิตจะพานพบสิ่งที่ดีงาม ไม่พบความเสียใจ ฉะนั้นก่อนที่จะถามคนอื่นว่ามา
ทำร้ายเราทำไม ควรจะหันมาย้อนมองและถามตัวเองก่อนว่า ตนเองปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องในศีลธรรมแห่งความเป็นคนหรือไม่

ท่านอยู่กับใครก็อยากอยู่อย่างมีความสุข แล้วอยู่อย่างไรให้มีความสุข เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ โกหกผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้หรือเรียกว่ามีความสุข ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว กระทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ เปิดใจกว้าง เห็นใจและให้อภัย มีหรือผู้คนจะไม่จริงใจ ซื่อตรง เห็นใจ และให้อภัยเรา แต่คนโดยส่วนใหญ่ต่างคนต่างเอาตัวเองรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราพบความสุขไหม (ไม่)  แต่ไยมนุษย์จึงชอบบ่นตัดพ้อว่า ทำไมต้องทำดีกับคนที่ไม่ดี ทำไมฉันต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมฉันต้องเป็นคนยอม ทั้งที่คนที่เรายอมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ จนบางครั้งเราท้อจนไม่อยากทำ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความคิดที่ยึดติดในตัวตนเป็นหนทางแห่งความเห็นแก่ตัว และนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะหลงทำผิดพลาด แต่การที่รู้จักอุทิศเสียสละให้ ยอมทำดี เป็นมงคลอันประเสริฐแก่ชีวิต
ถ้าเราพยายามที่จะให้ พยายามที่จะเสียสละ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เรายังทำดีไหม (ทำ)  เพราะอะไร เพราะความคิดที่ยึดติดว่าคนนั้นถูก คนนี้ผิด แล้วไม่มุ่งมั่นทำดีตลอด ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเราเห็นแก่ตัว และก็ง่ายที่จะทำให้หลงผิดพลาด ไม่เหมือนกับจิตใจที่เราอุทิศให้ เสียสละ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงามอันเป็นมงคลที่เรียกว่า คุณธรรม เมตตา ความซื่อตรง ความเสียสละ ยิ่งทำให้เป็นมงคลกับชีวิตและเป็นความสุขกับชีวิต เรียกง่ายๆ ว่า กรรมดีกับกรรมชั่ว
กรรมชั่วเมื่อทำ ผลที่ได้ก็คือเป็นทุกข์ ทำลายชีวิต ถ้าถึงที่สุดก็หนี
ไม่พ้นผลชั่วที่ตัวเองสร้าง แต่การประพฤติปฏิบัติความดีโดยไม่ย่อท้อ ความดีเป็นชื่อของความสุข เป็นชื่อของชีวิต ความสว่างไสว ความเจริญเติบโต
ยิ่งทำยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำยิ่งสว่างยิ่งโล่ง ถ้าเมื่อไรเลิกทำความดี ก็ง่ายต่อการที่จะเดินไปสู่หนทางที่เรียกว่า นรก คือคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ใครจนถึงที่สุด เมื่อไรที่ทำดีแล้ว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เมื่อนั้นไม่อาจเรียกว่า ความดี

ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมีศีลมีธรรมไหม มีคำกล่าวว่า เกิดเป็นคนถ้าผิดศีลขาดธรรม แม้จะไม่มีภัยภายนอก แต่ภายในใจก็ยากหาความสงบได้  ฉะนั้นแม้มีความสำเร็จมากมาย แต่ใจลึกๆ หาความสุขกายสบายใจไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวท่านต้องถามตัวเองและยอมรับว่าศีลธรรมเรามีครบหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลเป็นสิ่งที่นำพาให้เป็นทุกข์ แต่มนุษย์ก็อ้างว่าจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ช่างน่าเสียดาย ฉะนั้นถ้าถอนเสียได้ซึ่งจิตอกุศล ถอนเสียได้ซึ่งความผิดบาปทั้งมวล มุ่งมั่นเติมจิตใจให้มีแต่ความดีงามถูกต้อง แผ่ขยายต่อชีวิตตัวเองและไปสู่ชีวิตของผู้อื่น มีหรือวันหน้าจะไม่พบสุข มนุษย์เอาแต่ผิดศีลขาดธรรม แล้วผลที่สุดก็ต้องมานั่งแก้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ หยุดยั้งความชั่วร้ายในใจนั้นหยุดยากหรือ เราว่าทำดีง่ายกว่าทำชั่วอีกนะ เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ กับเดินไปต่อว่าให้เขาเจ็บปวด อะไรง่ายกว่ากันหรือ (เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ)  แต่เมื่อถึงเวลา ทำไมคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” จึงออกจากใจของเราได้ยากกว่า
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเองกำหนดตัวเอง

เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเรา หรือเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ท่านมักจะปล่อยให้ชีวิตไปตามยถากรรมมากกว่า ถูกไหม (ถูก)  เกิดเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองแล้ว อย่าพูดถึงศีลธรรมเลย แค่พูดกับเรายังโกหกเลย แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
เราเคยคิดไตร่ตรองไหมว่า ถ้าเราเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับอะไร ทำไมบางครั้งจึงอยากทำดี บางครั้งไม่อยากทำดี ท่านคิดว่า ตัวเรานี้มักจะปล่อยให้ตัวเราทำไปตามอะไร (ตามใจ)  ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่ใจ ใจดีก็ (ดี)  ใจร้ายก็ (ร้าย)  ถ้าใครว่าเรา ตอนนั้นเราใจดี เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ตกลงชีวิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่ที่ (ตัวเราเองกำหนด)  ฉะนั้นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ชะตาดีหรือชะตาร้าย อย่างนี้จะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะโทษที่ไหน (โทษที่ตัวเราเอง)
ฉะนั้นถ้าอยากจะแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ก็ต้องแปรที่ใจ
ใจของเราจะดีหรือจะร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอารมณ์ดี อะไรๆ ก็ดี ถ้าอารมณ์ร้าย อะไรๆ ก็ร้าย ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา หากเราอารมณ์ดี ใจของเราก็ (ดี)  อย่างนั้นหากเขาชมเรา
แต่เราอารมณ์ร้าย ผลก็ไม่ดี เพราะอารมณ์ของเราไม่ดี ฉะนั้นดีหรือร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด แต่ดีหรือร้ายก็ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจของเราเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)

ท่านเคยได้ยินไหม “ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ผลของการกระทำแห่งชีวิตล้วนมาจากใจที่นึกคิดเช่นไร” สิ่งที่ควบคุมใจเราได้คือ “ความคิด”  ฉะนั้นถึงตามใจได้ ถึงรู้ทันใจ แต่ถ้าไม่เท่าทันความคิด ความคิดก็ชักพาใจให้หลงผิดได้ ลองมองดูว่าความคิดมีอิทธิพลต่อใจไหม ความคิดบงการทั้งกายและใจ และความคิดยังอิทธิพลต่อคำพูด การกระทำและชะตากรรม เราคิดเช่นไรเราก็ดำเนินชีวิตเช่นนั้น เราคิดตัดสินแบบใดเราก็พูดแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโดยส่วนใหญ่มนุษย์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นทันที ไม่เคยฝืนความคิด คิดจะว่าก็ว่า คิดจะโมโหก็โมโห แปลว่าใจมักไหลไปตามความคิด ถ้าอยากเปลี่ยนใจเปลี่ยนชะตากรรมเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เรามาดูหน่อยว่าความคิดของคนน่ากลัวไหม มนุษย์มักคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง แล้วเมื่อความคิดรวมกับนิสัยของใจคน ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก เพราะใจคนมักเป็นใจที่ไม่ค่อยยอมแพ้ เอาแต่ได้ ถือดี เมื่อใจรวมกับความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยอมคนไหม ท่านแพ้เขาชนะ ท่านยอมไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใจอย่างเดียว แต่เป็นนิสัยของใจที่รวมกับความคิด นิสัยของใจชอบระแวงมากกว่าระวัง คิดร้ายมากกว่าคิดดี และเมื่อคิดร้ายแล้วก็ชอบเชื่อมั่นยึดติดว่าตัวเองคิดถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพูดออกมา กระทำออกมา แสดงออกมา จึงกลายเป็นชะตากรรมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ไม่ค่อยซื่อตรงและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ความคิดและนิสัยของใจ เปลี่ยนเป็นคิดดีๆ เข้าไว้ดีไหม (ดี)  ดีแต่น่ากลัวตรงที่พอคิดดีแล้วกลายเป็นคนชอบจับผิด เหมือนที่ท่านบอกว่าให้มองแง่ดีไว้ แต่มองแง่ดี มองไปมองมากลายเป็นคนจับผิด ไม่เห็นดีเลย ธรรมะจึงสอนว่าจงเอาธรรมะมาช่วยขัดเกลาความคิด จงเอาธรรมะมาช่วยชำระล้างใจให้ถูกต้อง เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรม มนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดและปล่อยตามนิสัยของใจที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ที่ชอบเอาดีเอาได้มากกว่ารู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วนำธรรมะอะไรมาคอยควบคุมความคิด และชะล้างนิสัยของใจที่ชอบหลงผิด ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดอย่างคนมีสติ รู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำชักนำความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยอารมณ์ครอบงำความคิด จึงเป็นยารักษาที่ดี ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุขุม ใจเย็นและระมัดระวัง อันนี้แค่เป็นความเข้าใจ เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ช่วยยับยั้งความคิด
ชะล้างนิสัยของใจ

นิสัยของใจอีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ แล้วรู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ชอบจมอยู่ในความทุกข์ เราจะมาช่วยแก้ วิธีที่จะแก้ก็คือ จงรู้จักนำธรรมะมาควบคุมความคิด มาชะล้างใจ เคยไหมเวลาเจอคนที่หน้าบึ้ง จิตเราก็ตก พูดไม่ไพเราะ ใจก็แย่ ใช่ไหม (ใช่)  แค่คนที่ขายของสะบัดเสียงใส่เรา เราก็อารมณ์เสีย นั่งรถด้วยกัน เจอใครพูดนินทา เราก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ก็บอกว่า ชีวิตขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ถึงเวลาเราก็อดผันแปรไปตามสิ่งที่กระทบที่เรียกว่า แวดล้อมพัดผ่านมาไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธะท่านสอนว่า จงรู้จักนำธรรมมาใช้ควบคุมความคิด ชำระล้างใจ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมสอนให้เราพบเจอความสว่าง ความสงบ ความเย็นและพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งคิดแล้วยิ่งมืด ยิ่งทุกข์ ยังจะคิดต่อไหม ก็ยังคิด แถมหาดนตรีมาบรรเลงขับกล่อมให้ยิ่งเศร้า แถมอะไรมาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ถ้าคิดแบบนี้ทำให้พ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ธรรมสอนว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วทำให้สว่าง สงบเย็นและพ้นทุกข์  เคยไหม คิดแบบคนสว่าง คิดแล้วทำให้เราสงบ คิดแล้วทำให้เราใจเย็น คิดแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ คิดแบบไหน (ปล่อยวาง)  ปล่อยได้ไหม ก็ยากใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์มักเป็นคือการจ้องจับผิด เมื่อจ้องจับผิดก็จะเห็นคนโน้นก็ไม่ดี เห็นคนนั้นก็แย่ การจ้องจับผิดคือทางที่ทำให้เรามืด ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราไม่สงบ ฉะนั้นไม่จ้องจับผิดใคร เอาแต่ขัดเกลาแก้ไขตนเอง อย่างนี้จะสว่างไหม (สว่าง)  จะสงบไหม (สงบ)  พ้นทุกข์ไหม (พ้น)  ฉะนั้นถ้าอยากสว่างก็เลิกจับผิด แล้วเปลี่ยนระแวงเป็นระมัดระวังใจ อยากแก้ความคิด อยากแก้นิสัย ก็เลิกระแวงผู้อื่น แล้วทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วเอาเวลาจับผิดผู้อื่นนั้นมาเป็นเวลาแก้ไขตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองจะได้ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดับให้เราสามารถคลายความเศร้า คลายความรังเกียจเขาได้ ก็คือ แปรความเกลียดความไม่ชอบ เป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ไม่เกลียดไม่โกรธ สิ่งนี้จะแปรเปลี่ยนใจที่คิดร้าย ใจที่ทุกข์ ให้เป็นใจที่สงบเย็น หากเราว่าเขา เราก็เจ็บ เขาผิดเราก็ไม่ได้ถูกกว่าเขา เขาแย่เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา จริงไหม (จริง)  ว่าเขาไม่ดี แล้วเราดีกว่าเขาสักเท่าไรหรือ เห็นเขาแล้วไม่เห็นเรา หรือว่าเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย เขานิสัยไม่ดี เราก็ (ไม่ดี)  ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ากล้ายอมรับอย่างนี้ การที่เราจะมองเขาแย่ การที่เราจะรังเกียจ การที่เราจะโกรธ จะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความมืดความทุกข์จะกลายเป็นความสว่าง สงบเย็นและสบายใจ และธรรมะก็สอนให้สร้างบุญอย่าสร้างบาป ทำคนอื่นเจ็บก็คือบาป ทำคนอื่นมีสุขก็คือบุญ ท่านอยากสร้างบุญหรือสร้างบาป (บุญ)  และทุกครั้งที่ว่าผู้อื่นบาปหรือบุญ (บาป)  ทำบุญแต่ที่วัด กับคนไม่เคยทำบุญเลย รู้จักแต่ให้ทาน แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานเลยใช่ไหม ให้อภัยเป็นทานไม่ได้หรือ  ฉะนั้นก่อนจะคิดอะไรตามใจตัวเอง ตามนิสัยของใจ จงมีสติคิดทบทวนก่อนว่า ถ้าความคิดนั้นพาไปสู่ความมืด ความวุ่นวายและความทุกข์ นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าความคิดใดทำแล้วสว่าง ทำแล้วพ้นทุกข์ ทำแล้วบังเกิดบุญ คิดแบบนั้น
ไม่ดีกว่าหรือ คิดได้ทันอย่างนั้นไหม นิสัยของใจชอบขึ้นแล้วก็ลง ดีแล้วก็ร้าย ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติที่มีขึ้นได้ก็ลงได้ ลงได้ก็ขึ้นได้ แต่แปลกเวลาลงทำไมขึ้นยาก แล้วเวลาขึ้นหรือลงกลับมาปกติไม่ได้หรือ ทำไมต้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เป็นคนปกติไม่เป็นใช่ไหม น้ำยังมีวันขึ้นและลง ใจของคนมีขึ้นและลง แต่อย่าลืมกลับมาปกติ และอยู่กับความปกติธรรมดา ธรรมชาติของใจก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของน้ำ ขึ้นได้ลงได้และกลับมาปกติได้ ความปกติคือคุณธรรมของความเป็นคน แต่ความเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คือความผิดปกติที่ทำให้มนุษย์ง่ายที่จะขาดศีลธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าลืมใจอันเป็นกลาง แต่มนุษย์ใจมักจะติดร้าย ติดดี แล้วก็บอกว่า ก็เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ แล้วมีอีก คือความธรรมดา

อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะจากกัน มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เวลามีความสุข ก็ชอบคิดในเรื่องที่พาลให้ทุกข์ เจอคนชมน่าจะดีใจก็กลับระแวง เจอเรื่องที่ได้ น่าจะสุขใจก็กลับวิตกกังวล ฉะนั้นถ้าเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะถ้าคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆ ถ้ากลัวแล้ว
ทำให้ทุกข์ วิตกกังวล กลัวตัวเองเจ็บปวด ทำไมไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ใจของคน ชีวิตของคน ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสมอไป แล้วเมื่ออารมณ์มาแล้ว จำไว้นะว่าเราเลือกได้ที่จะจมอยู่กับอารมณ์หรือจะหลุดพ้นจากอารมณ์

เราหนีให้เราไม่คิดไม่ได้ เราหนีให้เราไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมีอารมณ์แล้วพ้นทุกข์ เห็นแจ้งจริง หรือวิตกกังวลและจมกับทุกข์ เราเลือกได้ ใช่ไหม (ใช่)  ขอแค่เพียงมีสติ รู้ทันความคิดและนิสัยของใจตน แล้วชะตาชีวิตก็ไม่ต้องกราบฟ้า ไม่ต้องไหว้ดิน ไม่ต้องขอใครให้ชม เราก็สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เพราะเรารู้จักคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดให้สว่าง คิดให้สงบเย็น และพ้นทุกข์
ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็แปลว่าใจไม่ได้จดจ่อ ไม่ได้ใส่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีใจอันประเสริฐอยู่หนึ่งอย่าง ขอแค่เพียง
ใส่ใจและรักที่จะทำ สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ดูเป็นปกติ
ก็จะกลายเป็นคุณงามความดีได้ ขอแค่เพียงการใส่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่น่าเสียดายลืมใส่ใจที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง มัวแต่ห่วงคนอื่นว่ารักหรือไม่รักเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใส่ใจและรักคุณค่าของตัวเองให้เดินไปสู่ทางที่ถูกต้องและดีงาม สุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการกระทำคือตัวเรา แล้วทำไมไม่คิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะทำ คิดอย่างคนสว่าง คิดอย่างคนสงบ คิดอย่างคนพ้นทุกข์ ไม่ใช่คิดอย่างคนวุ่นวาย มืดมน หลงผิดบาปและจมในห้วงทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ชีวิตอยู่ที่ความคิด ความคิดควบคุมได้ด้วยคุณธรรม ความคิดชีวิตและจิตใจควบคุมได้ด้วยธรรม อย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงภายนอก แต่ลืมเอาธรรมมาควบคุมนำพาชะตาชีวิตและจิตใจตน หว่านพืชเช่นไรรับผลเช่นนั้น ไยจึงไม่สร้างธรรมเพื่อรับผลธรรม ไยจึงสร้างกรรมแล้วผลสุดท้าย
ก็ต้องรับกรรม

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสนี้กันให้ดี มีชีวิตคิดอย่างสว่าง คิดอย่างสงบ และคิดอย่างคนพ้นทุกข์ อย่าคิดอย่างคนจมอยู่ในทุกข์ และนำพาให้ตนเองมืดมนเลยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑       สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  บำเพ็ญนอกแต่ภายในไม่ฝึกฝน         ท้ายก็พ่ายติดขัดวนนิสัยเก่า
ติดอัตตาตัวตนความเป็นเรา              ยอมขัดเกลาหรือว่าทำตัวแบบเดิม
ใจที่วุ่นก็วุ่นไปทุกสิ่ง                      ใจที่นิ่งทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่ม
ทุกสิ่งล้วนเริ่มจบที่ใจเดิม                 ไม่โทษเขาแต่เริ่มย้อนดูตน
        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่

  เพราะศรัทธาจึงพร่ำยกมือไหว้         ศรัทธาใดไม่ปฏิบัติไร้ประโยชน์
มีศรัทธาไม่ปฏิบัติย่อมเกิดโทษ           แสนปราโมทย์ปฏิบัติเป็นธรรมบูชา
ฝึกธรรมะฝึกปัญญาฝึกพลิกแพลง        ฝึกความแกร่งฝึกนิสัยฝึกจิตนิ่ง
ฝึกยอมรับโดยไม่แบกไว้ทุกสิ่ง            ฝึกวางจริงแต่ไม่ใช่แล้งน้ำใจ
โลกที่รู้ไม่เป็นอย่างที่เห็น                 เรื่องที่เจนไม่เป็นอย่างที่หมาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป                  ไม่ยึดในรูปธรรมนามธรรม
บำเพ็ญจิตให้เป็นไทไม่เป็นทาส          บำเพ็ญกายไม่ให้พลาดไม่ให้พลั้ง
คำพูดจาต้องไม่สร้างวจีกรรม            หนทางธรรมไม่สร้างหนี้จองเวรใคร
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีนกตัวหนึ่งที่พยายามบินและบินให้สูงที่สุด ชีวิตของนกตัวนี้ต้องหมดสิ้นแล้ว แต่ใจของนกตัวนี้ยังอยากที่จะบินให้สูงที่สุด แม้ร่างกายตัวนี้จะหมดไปแล้ว แต่ใจที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่สูงที่สุด ดีที่สุด ยังคงมีอยู่
ศิษย์เกิดเป็นคนย่อมหนีไม่พ้นความแก่เจ็บตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะลืมได้คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น แม้สังขารและร่างกายเราจะไม่มี แต่เรามีใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น ใจดวงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมทิ้งร่างกาย ยอมทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เคยทอดทิ้งมา ไม่ห่วงแล้วร่างกาย ขอกลับไปสู่ใจที่เป็นสภาวะเดิมที่ประเสริฐที่สุด ที่งามที่สุด ที่ดีที่สุดดวงนั้นดีกว่า
ความเป็นคนมีเวลาจำกัด แต่ใจที่เข้าถึงธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ที่จะมุ่งมั่นไปสู่สิ่งที่ดีงามที่สุด ไม่มีเวลาจำกัด สามารถสละตัวตนและกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ ความมุ่งมั่นของคนเป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าทำอะไรด้วยใจที่สู้ไม่ถอย แม้สังขารจะละแล้วแต่ใจที่สู้ไม่ถอยสามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้
ถึงเวลาศิษย์ต้องทิ้งร่างกายไหม (ทิ้ง)  ระหว่างนรกกับฟ้า เราอยากไปไหน (ฟ้า) หลายคนก็อยากเลือกไปฟ้า แล้วฟ้าเป็นแบบไหน (กว้าง)  แล้วใจเรากว้างหรือแคบ วันนี้เราอยู่บนโลกถ้าตายไปเราก็อยากกลับสู่ฟ้า ไม่อยากลงนรก นรกใจกว้างหรือแคบ (แคบ)  แคบมากใช่ไหม แคบจนดำมาก แล้วใจเราตอนนี้ใจขาวหรือใจดำ กว้างหรือแคบ (กว้าง)  ขาวหรือดำ (ขาว)  หนักหรือเบา (หนัก)
หากอยากขึ้นฟ้า นอกจากต้องใจกว้าง ใจสะอาด ใจเบา แล้วเบาไหม (เบา)  เห็นยึดถือทุกอย่าง สิ่งนั้นก็ไม่ยอม สิ่งนี้ก็ไม่ยอม อย่างนี้เรียกว่า หนักหรือเบา (หนัก)  ตอนนี้มีความสุขหรือความทุกข์ ถ้าอยู่บนโลกแล้วทุกข์มากกว่าสุข นั่นก็แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ นั่นคือนรก เพราะนรกเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่สวรรค์เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างนี้ไม่ต้องถามแล้วว่าตายแล้วไปไหน
สวรรค์เป็นที่ที่มีธรรมหรือไร้ธรรม แล้วตอนนี้เรามีธรรมหรือไร้ธรรม มีเมตตา มีความซื่อตรง มีความเสียสละ มีจิตใจกรุณาปรานี เรามีแบบนี้ไหม นานๆ ถึงจะมีใช่ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ แค่นี้ ศิษย์ก็ดูตัวเองออกแล้วว่าชีวิตตัวเองจะไปทางไหน จะไปสุขหรือไปทุกข์ ไปนรกหรือไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของศิษย์ เมื่อรู้อย่างนี้อยากมีใจที่เป็นสุขไม่มีใจที่เป็นทุกข์กันบ้างไหม ถ้าอยากแล้วทำแบบไหน กลับไปทำแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต)  ทำไมอาจารย์เห็นหลายๆ คนหาเงินแบบลืมชีวิต หาเงินแบบไม่คิดชีวิต และบางคนหาเงินจนทำร้ายชีวิตก็มี หรือยิ่งหนักเข้าไปอีกคือทำร้ายชีวิตแล้วยังไปผูกเวรผูกกรรมก็มี นั่นแปลว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ในใจก็บอกอาจารย์ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินมันก็ตายนะ ตกลงจะเอาเงินหรือเอาชีวิต แต่ตอนนี้เอาเงินก่อน ชีวิตไว้ที่หลังใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  อาจารย์ขอเวลาสักช่วงหนึ่งสนทนาธรรมกับศิษย์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนนี้เผื่อจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้ศิษย์มองเห็นโลก เห็นชีวิตได้เข้าใจยิ่งชัดขึ้น เหมือนที่ตอนแรกศิษย์บอกว่า เงินกับชีวิตอะไรสำคัญ เราก็พูดได้ว่าชีวิตสำคัญ แต่บางครั้งเราหาเงินจนลืมชีวิต เราว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญแต่บางครั้งเรามัวสนใจอารมณ์ ความรู้สึกตนจนทำร้ายชีวิต ห่วงแต่ความรู้สึกว่าตัวเราทุกข์ แล้วก็ฆ่าชีวิตตัวเองให้ตายทั้งเป็น อารมณ์สำคัญกว่าชีวิตหรือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตกว่าชีวิตนั่นก็คือการยังมีลมหายใจเพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่บางครั้งความคิดสั้น ความคิดง่ายๆ ก็ทำร้ายชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตคือร่างกาย แต่ในชีวิตก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าจิตใจ เรามัวแต่บำรุงร่างกาย เรารู้วิธีบำรุงร่างกายให้ดีให้งดงาม แต่เราอย่าลืมบำรุงใจ มนุษย์มักสนใจเพียงกายภายนอกจนลืมสนใจจิตใจ เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่เข็มแข็ง ถ้าไม่มีจิตใจที่รู้จักคิด รู้จักเข้าใจชีวิต เราก็ไม่สามารถทำชีวิตภายนอกให้เติบโตได้ ฉะนั้นภายในก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเท่ากับภายนอก ถ้าเราสนใจแต่ภายนอก จนลืมดูแลภายใน เราก็จะพบทุกข์และแก้ไขทุกข์ไม่ออก
เคยเห็นไหมคนที่ใจสลาย เคยเห็นไหมคนที่ตรอมใจจนตาย ร่างกายของเขาก็ดีๆ แต่เพราะอะไรหรือที่เขาใจสลาย เพราะอะไรหรือที่เขาตรอมใจ เพราะอะไรหรือที่เขาทุกข์เจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิต เราไม่เคยฝึกจิตให้ยอมรับความจริงเลย ทุกขณะที่มีชีวิตเราเอาแต่ตามใจตัวเองตลอด สนองใจของตัวเองตลอด แล้ววันหนึ่งให้มายอมรับความจริง อย่างนี้ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาศิษย์ตามใจตัวเองมาโดยตลอด แล้วถ้าวันหนึ่งเจอเรื่องที่ขัดใจ เจอเรื่องที่ไม่ใช่กับใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้น ศิษย์จะทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  เมื่อไม่ทัน บางคนก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกเลย เพราะรับความจริงไม่ได้ อายที่จะต้องเจอกับความจริง แล้วทำไมตอนนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะฝึกใจของตัวเราเอง ฝึกใจที่จะยอมรับความจริงบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตามใจตัวเองมาเยอะ วันนี้ลองมาฝึกใจเรียนรู้ความจริง เพื่อให้ภายในเข้มแข็งและภายนอกแข็งแกร่ง
การยอมรับความจริงคือเรียนธรรมะ เรียนความจริงให้ฝึกฝนที่จะอยู่บนโลกความจริงนี้ให้ได้ ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่เรียนรู้รับความจริงได้แล้ว จะสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนพลิกผันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ทุกข์ ปัจจุบันนี้เราไม่คิดจะมองความจริง เรามองแต่สิ่งที่ตามใจ พอความจริงฟาดเข้ามาทีหนึ่ง เราก็ทุกข์ทีหนึ่ง พอเข้ามาหลายๆ ที ก็เกือบตายทั้งเป็น ถ้าเรารู้จักยอมรับความจริง ไม่เอาแต่โทษและไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็ไม่ทุกข์ แต่คนในโลก ชอบคิดว่าผู้อื่นทำเราลำบาก ไม่ยอมช่วยเรา แต่ลืมมองว่าตัวเรายึดติดความคิดตัวเราเองหรือไม่
ใจของมนุษย์ที่รับความจริงไม่ได้เพราะมนุษย์อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ความจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร และเราไม่เคยได้อะไร เมื่อถึงเวลาจะได้จะมีจะเป็นหรือจะไม่ได้จะไม่มีจะไม่เป็น ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความต้องการของมนุษย์กับความจริงมักตรงข้ามกันเสมอ มนุษย์ต้องมีต้องเป็นต้องได้ต้องยิ่งใหญ่ แต่การเรียนรู้ธรรมกลับทำให้เรายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยมี ไม่เคยเป็น และไม่เคยได้ ถึงที่สุดเราก็เล็กจนแทบไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะไม่ทุกข์ แต่มีมนุษย์กี่คนที่จะเข้าใจประโยคที่อาจารย์พูดตรงนี้
เรามีไปเรื่อยๆ มีก็เหมือนไม่มี เราพยายามจะเป็นคนเก่งเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถเป็นคนที่สำเร็จ แต่ยิ่งเป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น สำเร็จอย่างหนึ่งถึงเวลาอีกอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จ สำเร็จที่เคยคิดว่าเป็นแบบแผนของความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะใช้ได้อีก
ธรรมสอนให้เรารู้ว่า เรียนรู้ให้เป็น ให้มี แล้วอย่าไปเอา เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริงๆ เราว่าเรามีแฟน ถึงเวลาแฟน (ไปมีคนอื่น)  เราว่าเรามีเงินมากมาย ถึงเวลาตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  โมโห เกลียด ด่าเขา ถึงเวลาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เอาไปได้แต่ความเจ็บแค้นในใจ แล้วก็เผาใจ ทำให้ใจหนักและตกนรก แล้วควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  โกรธไปก็ไม่ได้อะไร หลงไปก็ไม่ได้อะไร แต่พอโกรธไป หลงไป แต่ได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเป็นของแถมคือ ตกนรก แต่ถ้าไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ยึดมั่น ได้ของแถมคือ ขึ้นสวรรค์
อาจารย์ขอถาม เราอยู่เพื่อให้หรือเราอยู่เพื่อรับ คนที่รับมาแล้วค่อยให้ กับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยรับมีแต่ให้ ควรเอามาก่อนแล้วค่อยให้ หรือควรจะให้ไปเลยแล้วไม่ต้องเอา (ควรให้ไปเลย)  ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ควรจะให้ไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะจะได้เบาที่สุด จะได้ไม่มืด ไม่หนัก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตของเราจะรับหรือให้ คนที่ไปรับมาก่อนแล้วค่อยให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม
ศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ)  แล้วเคยได้ยินไหม การถวายสังฆทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆ สังฆทานคือทางที่ไม่เจาะจง ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นถ้าเราอยากทำบุญที่ดีเราต้องถวายสังฆทาน เพราะเป็นทานที่ไม่เจาะจง ดังนั้นไม่ว่าจะกับใคร ศิษย์ก็ไม่เจาะจง ศิษย์ก็ให้ อย่างนี้ศิษย์ก็ได้ให้ตลอดชีวิตเพราะไม่เจาะจงว่าให้กับใคร ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน การให้นั้นได้ถอนความเป็นตัวตน ถอนความงง ถอนความงก ถอนกิเลส ถอนอัตตา ถอนความยึดติด คนดีเขาจะเลือกที่รักมักที่ชังไหม (ไม่) ถ้าคนที่ดีจริง เขาต้องทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเดินหนทางที่แท้จริง หนทางที่กลับคืนสู่ความจริง ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่า โลภไปแล้ว หลงไปแล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการให้ เราดำเนินชีวิตทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะเรามีความสุขที่ได้ทำงาน ความสุขเราไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ตำแหน่ง และศักดิ์ศรี ความสุขเราอยู่ที่ทำตัวเป็นคนให้ดีที่สุด
เราก็รู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วศิษย์อยากมีกรรมเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อศิษย์ไม่อยากมีกรรม แค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำงาน ได้ปลูกข้าว ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีความสุขแล้ว ความสุขมีอยู่ทุกวันที่ได้ทำงาน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ความสุขอยู่ที่การเอาเงินไปเที่ยว ความสุขอยู่ที่การได้รับเงินเดือน ความสุขอยู่ที่การได้กำไร ความสุขมีอยู่วันเดียว แต่ความสุขของอาจารย์มีทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตัวและไม่ผิดศีลธรรม อาจารย์มีสุขทุกวันแล้ว อาจารย์ต้องง้อใครไหม ว่าคนนี้ต้องให้ตำแหน่งอาจารย์ ต้องชมอาจารย์ อาจารย์ไม่ง้อแล้ว เพราะอาจารย์มีสุขทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ สุขเมื่อผู้อื่นชม แล้วเราไม่รู้คุณค่าตัวเองหรือ สุขเมื่อเลื่อนตำแหน่ง สุขเมื่อได้รับคำชมได้รับเกียรติ
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นหนทางกลับคืนสู่ฟ้า ฟ้าต้องการให้เราเบา ให้เราสูง ให้เรามีธรรม ให้เราให้ ฟ้าไม่เคยให้แล้วเรียกร้องผล ฉะนั้นอยากกลับสู่ฟ้า อยากเป็นใจฟ้า อยากมีใจธรรม ศิษย์ลองไปให้คนที่เขายากไร้มากๆ เราคิดว่าเราช่วยเขา เราให้เขาแล้วเขายิ้มและขอบคุณ เราได้สุขกลับมาทันที ป้าๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูขนาดนั้น หนูมีเยอะหนูเลยแบ่งให้ป้า เราคิดว่าเราช่วยเขาแต่ไปๆ มาๆ เขากลับ (ช่วยเรา)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ความสุขของพระพุทธะคือ การกระโดดลงไปช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์คือ ความสุขอย่างเห็นแก่ตัวที่นิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยใคร นี่คือใจเราต่างจากใจฟ้ายิ่งนัก เพราะเริ่มต้นเราไม่คิดจะให้ เราคิดแต่จะรับ ศิษย์รู้ไหมการให้คือ รากฐานแห่งความดีงามทั้งปวง ถ้าศิษย์ให้ไม่ได้ ศิษย์จะเมตตาใคร ยอมใครและซื่อสัตย์กับใคร ให้ได้ไหม (ให้ได้)  การให้ที่ง่ายที่สุดคือ ให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้น้ำใจไมตรี ให้ความซื่อตรง ให้ความน่าเคารพเชื่อถือ ให้ความน่าศรัทธา ให้เกียรติ แบบนี้ต้องเสียทรัพย์ไหม (ไม่เสีย)  ซื่อตรงได้ไหม ไม่ใช่ซื่อแต่ไม่ตรงนะ
เคยถวายสังฆทานกับคนไหม (เคย)  อะไรก็ถวายได้โดยไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ให้น้ำใจเขา ให้อภัยเขา ไม่เคืองโกรธเขา ไม่ผูกใจเจ็บเขา ให้เมตตาเขา นี่เรียกว่าให้ธรรม ทำได้โดยการให้ธรรมะเป็นทาน สร้างบุญแล้ว สร้างสังฆทานแล้วยังสร้างกุศล ได้ชำระล้างตัวตนไม่ยึดถือด้วย ฉะนั้นการเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วศิษย์ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าเรามีโอกาสเจอหน้าใคร เราจะให้อะไรเป็นทาน
(ให้โอกาสคนผิด)  ให้โอกาสคนผิดด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง (ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ ไม่ว่าคนนั้นเขาจะจริงใจหรือไม่จริงใจ (ให้อภัยและมีความเป็นมิตรกับทุกคน ให้อภัย ความรู้) ก่อนที่จะให้อภัยแปลว่า โกรธ ฉะนั้นถ้าพยายามให้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องพยายามอภัยใครเลย ยิ่งถ้าเราเมตตาเขามากๆ เรายังต้องให้อภัยใครไหม (ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น)  โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าสอนด้วยคำพูดอีก (ให้ความรักความเมตตา)  แต่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ รักแล้วต้องรักเท่าๆ กันถึงจะไม่บาป ไม่สร้างกรรม รักแล้วยึดติดก็ก่อเกิดทุกข์ รักแล้วต้องวางให้เป็นด้วย (ให้รอยยิ้ม)  รอยยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ปากยิ้มแต่ใจคดโกงไม่เอา ปากยิ้มแต่ตาแอบไปมองคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีความซื่อตรงจริงใจ
รู้จักให้เกียรติไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แล้วก่อนที่จะให้เกียรติผู้อื่น เราก็ต้องทำตัวเองให้น่าเคารพด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าเป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำให้ได้ด้วย จริงไหม (จริง)
(ความเมตตาและรักกัน)  แต่รักกันก็อย่ารักกันเฉพาะแค่พวกพ้อง ถ้าจะรักก็ต้องรักให้เท่ากันทุกคนใช่ไหม (ใช่)  (รู้จักบุญคุณคน)  แปลว่าทุกคนมีบุญคุณเราก็จะไม่นินทาใช่ไหม (ใช่)  (ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ เพราะถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ จงอย่าท้อ (ความรักความเมตตา)  ความรักนั้นต้องไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น (ให้รอยยิ้มและกำลังใจ)  บางครั้งก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนที่เขาผิดพลาดด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเจอโลกที่ไม่ยุติธรรมไม่ซื่อสัตย์แล้วเรายังจะให้อยู่ไหม (ให้อภัย)  ศิษย์เอ๋ยถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะให้อภัย แปลว่าลึกๆ แล้วศิษย์แอบโกรธเขาก่อน ไม่พอใจเขาก่อน ใช่ไหม (ใช่)  (ให้อภัยและให้ธรรมะ)  ธรรมะอะไรหรือ (ให้เขามาปฏิบัติธรรม)  สู้เราปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้เขาดูดีกว่า
(อภัยและรอยยิ้ม)  ถามจริงๆ ตอนที่รู้สึกต้องให้อภัยเรายิ้มออกไหมศิษย์ พยายามให้ความเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจให้มากที่สุด แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เพราะเขาผิดได้ เราผิดได้ เขาแย่ได้ เราแย่ได้เหมือนกัน (รักกันและชอบกัน)  แต่บางคนเหม็นขี้หน้ากัน ยังไม่ทันได้ชอบกัน ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ทำให้ได้อย่างนี้นะ (เขาไม่ดีเราต้องให้โอกาสและต้องซื่อสัตย์)  เราต้องอดทนให้ได้ในสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้น บางครั้งนอกจากให้คนอื่นเป็นแล้ว ศิษย์ต้องให้ใจตัวเองทำอย่างไรให้รับกับคนแบบนั้นให้ได้ ศิษย์อย่าลืมสังฆทานให้คนอื่น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง หนูจะต้องทนให้ได้ (ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)  ตอบได้ดี เพิ่งก้าวแรกเองไปรอดไหม เริ่มต้นทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้จักให้ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการยอมรับผู้คนที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
รู้จักถวายสังฆทานให้ผู้อื่น อย่าลืมสังฆทานให้ตัวเองด้วยนะ อดทนให้ได้กับสามีที่เป็นแบบนี้ เข้มแข็งให้ได้กับลูกที่เป็นแบบนี้ ยอมรับให้ได้กับเพื่อนที่เป็นแบบนั้น เมื่อเคลียร์ใจตัวเองได้ เราก็ยอมให้ได้ เขาไม่จริงใจแต่เราจะจริงใจ เขาไม่ดีแต่เราจะดี ให้รู้กันไปชีวิตนี้ดีไม่ได้แต่เราจะดีให้ได้ เราจะสู้และไปต่อ ก้าวแรก คือ “ให้”
ก้าวที่สอง คือ ต้องละชั่วให้ได้ ต้นเหตุแห่งบาปทั้งมวลล้วนก่อเกิดมาจากกิเลสที่เรียกว่า “โลภ โกรธ หลง” ถึงแม้เราจะขจัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ แต่ตัวต้นเหตุที่สร้างโรงงานโลภ โกรธ หลง คือ (ความคิด)  ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ้นกิเลสยังไม่สิ้นทุกข์ ตราบใดตัวสร้างทุกข์ยังคิดไม่เป็น ยังไม่มีสติยังไม่มีธรรมะพอ อย่างนั้นคนที่จะเดินขึ้นสวรรค์นอกจากให้แล้ว อยู่เพื่อสนองกิเลสหรืออยู่เพื่อลดละกิเลส (ลดละกิเกส)  เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยหล่อ ถ้าศิษย์จะก้าวต่อไปศิษย์ต้องละกิเลสให้ได้ ถ้าศิษย์ยังละกิเลส ละความโลภโกรธหลงไม่ได้ ศิษย์ก็จะก้าวต่อไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่เท่ากับความโลภ” ถ้ารู้จักพอก็สงบได้ รู้จักพอรู้จักหยุดก็หลีกหนีภัยพิบัติได้
แต่มนุษย์มีใครบ้าง มีแบงก์ร้อยแล้วไม่มีแบงก์พัน ได้เงินมาสนองกิเลสอารมณ์ แต่ครอบครัวแตกแยก ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีเพื่อนจริงเอาไหม (ไม่เอา)  มีบ้านมีรถครบครันแต่ลูกอยู่ทาง พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังคงผิดศีลขาดธรรม ศิษย์ก็จะไม่มีวันครอบครัวร่มเย็นได้ เมื่อละบาปได้ก็ต้องบำเพ็ญบุญ เมื่อเราไม่ผิดศีลแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องสร้างให้คนที่ดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป นั่นก็คือการมีคุณธรรมต่อกัน การมีคุณธรรมต่อกันทำให้ครอบครัวร่มเย็น ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่มีความซื่อตรงจริงใจกับใคร ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครรักไหม (ไม่มี)  อาจารย์ถามศิษย์เจอใครหล่อ สวย มองไหม (ไม่มองแค่เหล่ๆ)  หลงไหม (ไม่หลงแต่ขอดูอีกสักทีหนึ่ง)  ไม่ได้นะศิษย์ ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา เรายังอยากได้คนซื่อตรงแต่ตัวเราไม่ซื่อตรง เรายังอยากได้คนจริงใจไม่เอาเปรียบไม่เอาแต่ได้ แต่เราเอาเปรียบเอาแต่ได้ไม่จริงใจ ฉะนั้นก้าวที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้คือ หนึ่งต้องไม่เบียดเบียนทั้งตา กาย ใจ สองต้องไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา สามซื่อตรงจริงใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด คำไหนคำนั้นถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละก้าวที่สอง
ซื่อตรงไหม (ซื่อตรง)  เบียดเบียนไหม (ไม่เบียดเบียน)  จริงใจไหม (จริงใจ)  แน่ใจนะ อย่างนี้แปลว่ากลับบ้านไปจะไม่เบียดเบียนชีวิตของใครให้เป็นชีวิตของเราใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ก็แปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม เอาไหมอาจารย์ให้ ไม่กิน 3 อย่างเอง แค่ไม่กินสัตว์บนฟ้า สัตว์บนบก และสัตว์ในน้ำ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะได้รับผลไหม (ไม่รับ)  แล้วศิษย์ไปเบียดเบียนชีวิตของเขาเพื่อชีวิตของเรา แล้วศิษย์คิดว่าเขาจะไม่เบียดเบียนศิษย์กลับหรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในใจของศิษย์จำคนที่ด่าศิษย์ได้แม่นกว่าจำคนที่ชมศิษย์ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันกับที่ศิษย์ไปเอาชีวิตของเขา แล้วคิดว่าเขาจะไม่จำศิษย์ฝังใจหรือ แล้วศิษย์กินเขา คิดว่าเขาจะไม่แค้นศิษย์หรือ แล้วถ้าศิษย์ตบเขาแล้วเขาขอตบคืน คิดว่าเขาจะตบกลับเท่ากับที่ศิษย์ตบเขาไหม (ไม่)  เขาก็เอาคืนให้ศิษย์เจ็บที่สุด ถ้าศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็เอาคนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วทำให้ศิษย์ทรมานแล้วตายทั้งเป็น เอาแบบนี้ไหม (ไม่เอา)  จงไปคิดดูนะ
ละบาปบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญบุญด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา รักแค่ไหน ดีแค่ไหน ได้แค่นี้พอแล้ว ดีกว่านี้ก็ไม่เอา แต่มนุษย์ไม่ใช่มีแต่เรียกร้องให้เธอต้องดีกับฉันอีกนิด เธอไม่เหมือนเดิมนะ เธอต้องดีกว่านี้อีกสิ ใช่ไหม เพียงแค่คิดว่าเขาต้องดีกับเรา นั่นก็แปลว่า อยากได้ของเขามาเป็นของเรา แล้วเมื่อได้แล้ว เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  ฉะนั้นเมื่ออยากลดความโลภ ก็ต้องรู้จักพอ รู้จักหยุดเป็น
อาจารย์ถาม กิเลสอะไรที่ศิษย์อยากกำจัดทิ้งที่สุด (กิเลสตัณหา)  อายุขนาดนี้แล้วยังมีตัณหาอีกหรือศิษย์ อาจารย์ตกใจนะ ตัณหาแบบไหน ไม่ใช่แบบชายหญิงนะ ตัณหาคือ ความอยากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความโลภ)  ต้องไม่โลภ เพราะถ้าโลภมากจะเป็นเปรตนะศิษย์ (ใจเย็นมีสติ)  ทำอะไรอย่าใจร้อน (น้อยใจ, อย่าเห็นแก่ตัว)  ตัวโตทำไมขี้น้อยใจ กล้าตอบก็ตอบได้ดี บางทีน้อยใจที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบเลยน้อยใจ เราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเราเอาแต่เห็นแก่ตัว เราก็จะไม่มีน้ำใจให้กับใคร
(กิเลสตัณหา)  ยังเหลืออยู่หรือ (ยังเหลือ)  อายุเท่าไร (62 ปี)  ยังมีตัณหาอีกหรือ อายุขนาดนี้ไม่ควรมีแล้ว ควรจะต้องปลงและปล่อยวางได้แล้ว (ไม่โกรธมากลาภหาย)  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่า โลภมากลาภหาย (ต้องมีศีลห้าเป็นหลัก)  เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดคือ ศีลห้า คือความเป็นปกติ คนที่ไม่มีศีลห้าคือ คนที่ผิดปกติ แล้วชีวิตนี้ศีลห้าถือได้ครบไหม (ครบครับ)  แค่นี้ก็โกหกแล้ว ศีลห้าทำคนให้เป็นคนปกติ แต่ถ้าไม่มีศีลห้าก็ไม่ปกติ
(ไม่โลภ ไม่โกรธและไม่หลงตัวเอง)  ไม่หลงตัวเองหรือเพศตรงข้าม ต้องระวัง (ความใจร้อน)  ตอนนี้ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ไตร่ตรองให้ดี (กิเลสในใจเรา)  ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน มักคิดว่า ตนถูกเสมอ

ข้อที่สาม มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด จนไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งตัวตน เมื่อเข้าถึงสภาวสัจธรรม สัจธรรมจะสลายความเป็นตัวตนจนหมดสิ้น จนเข้าถึงสภาวะว่าง หรือเรียกว่า “ธรรมอันเดิมแท้”  แต่มนุษย์มักจะชอบใช้ความคิดความเข้าใจจนลืมมองความจริง ในโลกนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไหม คงอยู่ไหม ทุกสิ่งมีเหมือนไม่มี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราเข้าใจว่าสิ่งที่คงอยู่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราจะทุกข์กับมันไหม ถ้าวันหนึ่งหน้าเราจากดีๆ กลายเป็นเหี่ยว มีแขนขาครบกลายเป็นแขนด้วน วันหนึ่งชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วศิษย์จะทุกข์ไหม ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์มองแล้วเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์จะรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่คงที่ตลอด เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนเกิดการพลิกผัน ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องก้าวไปให้ถึงก็คือ พิจารณาธรรมแห่งความเป็นจริงจนบังเกิดความรู้แจ้ง และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ในใจตน นั่นแหละคือสิ่งที่ศิษย์ต้องพิจารณาให้เนื่องๆ ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หมั่นพิจารณาแล้วศิษย์จะเข้าใจในธรรมอันแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างแค่คงอยู่ชั่วคราว แล้วถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ระหว่างไฟกับน้ำอะไรน่ากลัวกว่า (ไฟ)  อะไรดีกว่า (น้ำ)  ถ้ามีแต่น้ำแต่ไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบไฟเหมือนความโกรธ ความเกลียด น้ำเหมือนความเมตตา จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เสียสละ เราอยู่ในโลกมีแต่น้ำไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ในโลกนี้มีแต่คนมีเมตตา ไม่มีคนน่ากลัว (เป็นไปไม่ได้)  เป็นไปได้ไหมที่ภูเขากับพื้นดินต้องเป็นระนาบเดียวกัน (ไม่ได้)  ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า สูงและต่ำ แล้วเราอยู่ระหว่างสูงกับต่ำได้ จึงเรียกว่า ชีวิต ถ้าคำชมเหมือนการขึ้นภูเขาสูง คำด่าเหมือนกับคนที่กดให้เรามาเหยียบพื้นดิน อยู่บนพื้นดินน่ารังเกียจสู้ไม่ได้กับการอยู่บนภูเขาสูงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะมีแต่พื้นดินไม่มีเขาสูง และมีเขาสูงไม่ยอมรับพื้นดิน (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แท้จริงแล้วโลกมีความเป็นกลางอยู่ แต่มนุษย์ยึดติดชอบชัง จึงรู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้แย่ แต่ถามจริงๆ คำด่าของเขาแย่ไหม (ไม่แย่)  คำด่าทำให้เราเห็นตัวเองชัด แต่คำชมทำให้เราลืมความจริงและหลงตัวเอง เหมือนที่ศิษย์ว่า “ไฟมันร้อนแต่ก็ขาดไฟไม่ได้ น้ำมันเย็นแต่ถ้าอยู่กับน้ำจนเกินไปก็ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น”  ธรรมะจึงสอนให้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรแย่ แต่สิ่งที่เรียกว่า ดี แย่ คือใจของศิษย์ที่ยึดติดแบ่งแยก แท้จริงแล้วฟ้าสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง เมื่อไรที่ศิษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลางได้ เมื่อนั้นบาปกรรมจะไม่เกิดขึ้นในใจศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาปกรรมและการเวียนว่าย เราอยากอยู่เพื่อทุกข์หรืออยากอยู่เพื่อสุข (สุข)  ในทุกข์ยังมีสุข ในสุขยังมีทุกข์ แล้วชีวิตนี้เราด้อยปัญญาจนหาสุขในทุกข์ไม่เจอหรือศิษย์ คนเราเข้มแข็งขนาดไหนยังต้องมีอ่อนแอ แต่อ่อนแอขนาดไหนเราหาความเข้มแข็งไม่ได้หรือ แล้วในความอ่อนแอเข้มแข็งเรากลับมาปกติ ไม่ต้องเข้มแข็งไม่ต้องอ่อนแอไม่ได้หรือ แล้วเราอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรัก แต่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นไม่ได้หรือ (ได้) ทำไมต้องรอให้ใครมารัก ต้องรอให้ใครมาเห็นค่าด้วย ตัวเองไม่เห็นค่าตัวเองหรือ สร้างสรรค์คุณงามความดีด้วยชีวิตตัวเอง ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง
ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนไม่มีใครหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ เพราะความเจ็บความตายมันทำให้ศิษย์เด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งมั่นว่าจะกลับคืนฟ้า และกลับสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่างเปล่า สังขารนี้ไม่ต้องห่วงมัน อยากตายๆ ไป รักษาใจดีกว่า ใจมันไม่มีกรรม ใจมันไม่มีอยากได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และกลับสู่ความจริงแท้ ถ้าชีวิตได้เดินกลับสู่ความจริง และทำให้เราว่างเปล่า ทำให้เราปลดปลง ทำไมต้องกลัวความจริงข้างหน้า สู้เข้มแข็งไปให้ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก ที่ไม่ต้องพึ่งใครแต่พึ่งตัวเอง เชื่อมั่นในความดีตัวเอง และนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยหัวใจความเป็นพุทธะ ด้วยใจที่แจ้งถึงความเสียสละ ถอนตัวตนจนหมดสิ้น กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ที่เป็นรากเดิมของใจศิษย์ อย่ามัวหลงกับโลภ กิเลส อย่ามัวหลงกับร่างกายอันไม่เที่ยงแท้ แต่ต้องตื่นขึ้น และเห็นความจริง ไม่มีอะไรเป็นของเรา และเราไม่เคยได้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร แค่กลับสู่ที่เดิมที่เรามา มีชีวิตไหนบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่กลับสู่ความว่าง ถ้ายังหลงมีอีกมันก็จะมีไม่จบสิ้น แต่ถ้าปล่อยความมีได้ กลับสู่ความว่างได้ นั่นแหละพ้นทุกข์โดยแท้จริง แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม
อาจารย์อยากให้ขวัญและกำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นก้าวต่อไป ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง หรือสังขารอันไม่เที่ยงแท้นี้ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่แจ่มชัด โลกนี้น่าหลงใหลนักหรือ ตัวตนนี้น่ายึดถือจนทิ้งวางไม่ลงเลยหรือ รักษากายใจและความมุ่งมั่นให้เด็ดเดี่ยว เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีแต่ให้ แล้วก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกหรือกับโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั้นคือความสุขที่สุด สุขที่เย็นที่สุด สุขที่พ้นทุกข์ที่สุด ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของหัวใจนี้ ลองดูนะ ลองนำธรรมไปพิจารณาให้เห็นแจ้งความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของเนื้อเพลง “ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ”)
“ทุกข์แค่ไหน ท้อแค่ไหน แค่ใจหลอก” ใจนั้นหลอกให้ไหลไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความท้อก็เป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่ง ทุกข์ก็เพียงแค่ช่วงหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงแท้ สำคัญที่ใจ อย่าให้ไหลไปตามอารมณ์ ต้องเป็นแบบใจเดิม ใจที่ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรจะเกิดก็กล้ารับได้ คำว่า “จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง”แปลว่า ยิ่งเราฝึกฝนบำเพ็ญมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า เรายังพร่องอยู่ เรายังไม่ดีอยู่ เราจึงต้องแก้ไขให้มากที่สุด
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ มุ่งมั่นในการทำความดีต่อไปนะ จิตที่อุทิศเสียสละคือจิตแห่งโพธิสัตว์ จิตที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น จิตที่ไม่กลัวความเหนื่อยยากคือจิตแห่งพุทธะที่ศิษย์ต้องรักษาให้ดี ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อนำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ เพื่อให้คนได้กินอิ่มมีสุข นี่คือจิตแห่งพุทธะ
เดินให้ถึงที่สุดนะ ไม่รักศิษย์ตรงนี้แล้วจะไปรักศิษย์ที่ไหนใช่ไหม
มีโอกาสคงได้กลับมาร่วมบุญศึกษาธรรมร่วมกันอีกนะ  อย่าปล่อยชีวิตให้ซัดเซพเนจร หลงโลก หลงกิเลส จนลืมมองความจริง อย่าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ จนลืมความจริงแท้ที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์เศร้า ทุกข์ของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพื่อช่วยเวไนย อย่าท้อ เพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ เข้มแข็งให้ได้นะ


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-23 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

西元二○一七年歲次丁酉十一月初六日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ยิ่งทำดีพบคนดีอยู่มากมาย แม้ว่าทำเพื่อผู้อื่นใช่ใจตนนี้

ยอมลำบากยอมเหนื่อยเพื่อสิ่งดีดี ความดีกลับหนุนคนดีให้พบเจอ

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

ความคิดจะการุณย์เพราะจิตอ่อนโยน ทะเยอทะยานออกทโมนมีแต่แย่

อยากเหมือนนักธรรมธรรมะเป็นกุญแจ ไขปริศนาออกแค่ต้องทำจริง

บำเพ็ญกันแบบประจำไม่ทำเล่น เดินน้ำแข็งบางเว้นบุ่มบ่ามวิ่ง

ใดสำคัญอันสิ่งสรรพสรรพสิ่ง รู้สำนึกในทุกข์ยิ่งต้องพยายาม

เข้าออกอยู่ตอนนี้ห้วงคะนึง ใช้ธรรมะแทรกดึงไม่ใช่ห้าม

ไฟหัวใจไม่อาจรู้โมงยาม ใช้ธรรมะที่สอนปรามกำราบตน

แพร่ธรรมออกไปสู่ผู้ประสงค์ บุญมาส่งชนะจิตเป็นกุศล

ฝึกตัวเองการบำเพ็ญต้องอดทน ตัดตัวกิเลสใจตนคุมอายตนะ

เรียกว่าแพ้ในโลกีย์เวิ้งว้าง ทว่าทางคุณธรรมเรียกว่าชนะ

ใจกายละลดพิชิตทุกขณะ คนมีกรรมโมหะไฟสุมทรวง

ไม่ไว้กันต่ออารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เศร้ามานานเกินจนชีวิตหน่วง

อย่าได้หมักหมมไปว่างทั้งปวง ฝึกไร้จำนวนฝึกไปช่วงอายุขัย

ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เคยเจอคนที่ทำสิ่งดีๆ เพื่อผู้อื่นไหม แล้วยิ่งเขามุ่งมั่นทำแม้เหนื่อยแม้ลำบากก็ไม่ท้อ เป็นความดีที่เสียสละเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง ยิ่งทำให้เขาได้ปลุกคนดีให้ตื่น ทำให้เขายิ่งพบสิ่งดีๆ เกิดขึ้นและรายล้อมเขามากขึ้นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นลองหันกลับมาถามตัวเรา หากเราทำสิ่งที่ดีแล้วแต่เราไม่เคยพบเจอคนที่ดีรายล้อม นั่นอาจแปลว่าความดีที่เราทำยังไม่ใช่เพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามีคนหนึ่งคนใดที่มุ่งมั่นทำสิ่งถูกต้องและดีงามเพื่อผู้อื่นโดยไม่เพื่อตัวเองเลยสักนิด ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก สิ่งนั้นจะกลับเป็นการปลุกคนดีให้ยิ่งตื่นขึ้นและปลุกคนดีให้เขาได้พบเจอ และยิ่งปลุกคนดีให้ยิ่งเข้มแข็ง เช่นนี้จึงเรียกว่ายอมลำบากยอมเหนื่อยเพื่อสิ่งดีๆ แล้วความดีกลับหนุนคนดีให้พบเจอ

มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า การจะรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัย ให้พ้นเวรพ้นภัยในโลกนี้ คือทำดีให้ถึงที่สุด ประกอบคุณธรรมให้ถึงที่สุด ความดีจะคุ้มครองผู้ประพฤติดีเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) และหากเราอยากรักษาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุขเราควรทำเช่นไร สิ่งที่เราต้องมีคืออะไร (รักษาธรรม, ต้องรักษาศีล) สิ่งที่ดีที่สุดคือ ต้องอดทน สองต้องไม่เบียดเบียน และสามต้องมีเมตตา

เมื่อไรที่เกิดปัญหาแปลว่าเรายังไม่อดทน เมื่อไรที่มีเรื่องมีราวนั่นแปลว่า เราเริ่มจะเบียดเบียนไร้ความเมตตา ฉะนั้นรักษาตัวเองรอดแต่รักษาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นไม่รอดก็เปล่าประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) ทำให้ได้นะ

โดยส่วนใหญ่อยู่ในโลกเราเป็นผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง เป็นผู้กระทำมากกว่าผู้นิ่งใช่หรือไม่ วันนี้สอนให้เราต้องฟังและนิ่งมากกว่า นี่ก็เป็นธรรมะเหมือนกันนะ เพราะเราอยู่ในโลกเอาแต่ทำจนลืมการนิ่งไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการนิ่งการหยุดบางทีก็ให้แง่คิดอะไรดีๆ ได้เหมือนกัน การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เป็นเรื่องยากไหม (ยาก) บางครั้งก็เหมือนยากมาก บางครั้งก็เหมือนง่าย ตั้งแต่เด็กจนโตเรามักจะถูกอบรมสั่งสอนมาว่า เกิดเป็นคนต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ เกิดเป็นคนต้องทำอะไรรวดเร็ว อย่าเชื่องช้า เกิดเป็นคนต้องฉลาดปราดเปรื่อง อย่าโง่งม เกิดเป็นคนต้องได้มากกว่าให้ แต่พอเราใช้ชีวิตจริงๆ จึงได้รู้ว่าการเกิดเป็นคน ถ้ายิ่งต้องพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งก็ยิ่งอ่อนแอ ท่านเคยศึกษาคัมภีร์ของปราชญ์โบราณหรือไม่ พูดตรงกันข้ามกับความเป็นมนุษย์ในโลก มนุษย์ในโลกให้เข้มแข็ง แต่ปราชญ์ท่านสอนว่าเกิดเป็นคนต้องอ่อนโยน ตำราทางโลกเขาให้หาเยอะๆ แต่ตำราสายปราชญ์ท่านสอนว่าให้ให้เยอะๆ คนในโลกสอนให้ฉลาด แต่สายปราชญ์บอกว่าให้โง่มากๆ คนในโลกบอกให้เข้มแข็ง ตำราสายปราชญ์บอกว่าให้อ่อนน้อมเข้าไว้ แล้วระหว่างอ่อนน้อมกับเข้มแข็งอะไรอยู่ได้ดีกว่ากัน (อ่อนน้อม) แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เราอยู่กันอย่างอ่อนน้อมสุภาพหรือว่าแข็งกระด้างดื้อดึง (แข็งกระด้างดื้อดึง) คนเราในโลกส่วนใหญ่ชอบคนสุภาพอ่อนน้อม แต่เวลาเราอยู่ในโลกเราดื้อดึงแข็งกระด้าง ทำไมเราจึงทำตรงกันข้ามเช่นนั้น ทั้งที่ใจลึกๆ ในความเป็นคนของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาคนสุภาพอ่อนน้อม คนใจดี ไม่ใช่คนเอะอะมะเทิ่ง แข็งกระด้าง ดื้อดึง ดันทุรัง แต่เรามักจะเป็นในทางตรงข้ามมากกว่าใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินไหมว่าแข็งมากๆ ถึงที่สุดก็กลายเป็นแตกหัก ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้ว่าการเรียนรู้จากความอ่อนแอ ความสุภาพอ่อนน้อม จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งได้ แต่มนุษย์เอาแต่เข้มแข็งและไม่ยอมรับความอ่อนแอ พอถึงเวลาก็รับความอ่อนแอไม่ได้ ฉะนั้นเรียนรู้การอ่อนแอเพื่อเข้มแข็ง เรียนรู้ความสุภาพอ่อนน้อมเพื่ออยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างเป็นสุขถูกหรือไม่ ดังที่พูดไว้ว่าแข็งมากๆ ถึงที่สุดก็ต้องกลับมาอ่อน ยึดติดกับความแข็งกระด้างก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกและยอมแพ้ในที่สุด เหตุผลนี้ทุกคนต่างรู้กัน แต่ไร้คนทำได้จริง

ยังมีคำกล่าวว่า ความอ่อนคือความเป็น ความแข็งคือความตาย เราถามท่านว่าระหว่างลิ้นกับฟันอะไรอยู่ได้คงทนกว่ากัน (ลิ้น) สังเกตต้นไม้ เมื่อต้นไม้ยังอ่อนนั่นแปลว่าอายุของการเป็นต้นไม้ยังไม่มาก แต่เมื่อไรที่ต้นไม้แข็งกระด้างแปลว่าต้นไม้ใกล้สู่ความตาย ฉะนั้นถ้าจิตใจมนุษย์แข็งกระด้าง นั่นก็ไม่อาจเรียกว่าชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นชีวิตที่กำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ชีวิตตายทั้งเป็นก็อย่าดื้อดึงแข็งกระด้างถูกหรือไม่ (ถูก) ดั่งมีคำกล่าวว่า ความอ่อนย่อมชนะความแข็ง ความนุ่มย่อมชนะความแกร่ง มนุษย์ต่างก็รู้แต่หาผู้ใดทำได้จริงถูกหรือไม่ (ถูก) ความสุภาพอ่อนน้อมเป็นสิ่งที่สามารถทำให้มนุษย์เราอยู่ที่ใดก็เป็นที่รัก อยู่ที่ใดก็มีสุข แต่มนุษย์กลับไม่เลือกความสุภาพอ่อนน้อม แต่มักเลือกการกระทำที่ดื้อดึงแข็งกระด้าง ช่างน่าเสียดาย

เราอยู่ในโลกเราอยากเข้มแข็งไม่อยากอ่อนแอ อยากมั่งมีอยากมีมากๆ ไม่อยากว่างเปล่า ไม่อยากไร้ค่า ไม่อยากกลายเป็นคนจน ถูกหรือไม่ (ถูก) เราจึงกำหนดว่าการมีทรัพย์สินคือคนที่โชคดี คนที่ร่ำรวย การมีทรัพย์สิน การมีชื่อเสียงคือคนที่เหมือนโชคดีมีบุญวาสนา แต่เมื่อไรที่เรายกคุณค่าของทรัพย์สินให้สูงก็หนีไม่พ้นการแก่งแย่งช่วงชิงและก่อเกิดความวุ่นวาย

ในที่นี้ใครบ้างไม่มีเงิน ทุกคนต่างมีเงินใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจคิดว่าตัวเองไม่มีเงินนั่นแหละจนแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เต็มล้นสักวันย่อมล้มคว่ำ มั่งมีถึงที่สุดสักวันย่อมหนีไม่พ้นภัยพิบัติและอันตราย เมื่อไรที่อยากมี เราก็หนีไม่พ้นการแก่งแย่ง

อยากเป็นคนที่ไปอยู่ที่ไหนก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ศัสตราวุธอันตรายใดๆ ก็ทำอันตรายเขาไม่เข้าไหม อยากได้วิชานี้ไหม (อยาก) ปราชญ์ท่านได้สอนว่า ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่แก่งแย่งแข่งขัน อาวุธศัสตราและคมมีดจะทำอะไรเราได้ แต่ถ้าเมื่อไรอยากมีอยากได้ แม้ไม่โดนอาวุธก็เหมือนโดน ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ถ้าไม่อยากต้องแก่งแย่ง ถ้าไม่อยากต้องผิดบาป บางครั้งให้รู้จักไม่มีมากกว่ามี แต่มนุษย์ทำไม่ได้ ช่างน่าเสียดายนะ จริงหรือไม่ (จริง) เราถามหน่อยนะ ห้องนี้จะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีทุกสิ่งเต็มไปหมดหาที่ว่างไม่เจอ ใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่างนั้นแปลว่าห้องนี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อต้องมีที่ว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เหมือนกัน หวังมีทุกสิ่ง หวังมีทุกอย่าง หวังต้องได้ทุกสิ่ง หวังต้องได้ทุกอย่าง ถึงเวลาความมีทุกสิ่งมีทุกอย่างกลับทำให้เราไม่เกิดปัญญาในการสร้างสรรค์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) วางสิ่งที่มีแล้วเราจึงจะคิดออกและทำออก ใช่หรือไม่ (ใช่)

อุตส่าห์ตั้งใจมา เผื่อเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ขอสองตัวสามตัว ใช่ไหม แต่ปรากฏว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับบอกว่าไม่ต้องมี ไม่ต้องอยากได้ จะได้พ้นภัย จริงไหม (จริง) คนที่ใส่ทอง ในกระเป๋ามีเงิน มีทอง เดินไปที่ไหน ไม่มีมีดก็มีคมมีดมาจ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อีกคนหนึ่งเดิน ตัวเองไม่มีอะไร มีใครจะเอามีดมาจ่อ มีใครจะเอาภัยมาให้เป็นอันตรายไหม (ไม่) ก็ยังมี ขนาดเราไม่มีแล้ว แต่คนก็ยังเอาความอยากมาหลอกลวงเรานะ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรวยไวไหม พรุ่งนี้รวยไวไหม พรุ่งนี้เป็นเศรษฐีไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรามีความอยากจะทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ หนีไม่พ้นเวรภัย ทำไมเราไม่รู้จักหยุดอยากบ้าง เพราะบางครั้งจิตที่สงบ จิตที่ว่างๆ จิตที่นิ่งๆ ก็ทำให้ชีวิตเรามีค่า มีความหมายกว่าจิตที่ดิ้นรนขวนขวายต้องมีให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จริงหรือไม่ (จริง)

ธรรมะสอนไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าคิดว่ามีแล้วเรียกว่าสุข บางครั้งการไม่มีก็มีสุข เพราะใจที่ว่างๆ ใจที่เบิกบานบริสุทธิ์ กลับสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมาย ไม่เหมือนกับใจที่อยากได้ใคร่มี กลับทำให้เราไม่สามารถมีปัญญาอันปราดเปรื่องได้ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วมีสุขมากกว่าทุกข์ บางครั้งก็ต้องไม่มีบ้าง และบางครั้งความไม่มีก็ก่อให้เกิดประโยชน์ และถึงที่สุดก็ไม่มี เพราะถึงที่สุดเรามีชีวิตไหม ชีวิตเป็นของเราไหม แล้วพรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตไหม ฉะนั้นอย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองมีนั้นจะมีอย่างแท้จริง บางทีอาจจะไม่มี เพราะทุกสิ่งล้วนเดินไปสู่ความมีเพื่อไม่มี หรือจริงๆ แล้วมันไม่เคยมีเลยสักขณะหนึ่งเลย เหมือนเห็นแต่จริงๆ แล้วไม่เห็น คิดให้ดีๆ นะ

ปกติอยู่ในโลกเรามักจะถูกสอนให้ต้องเป็นคนเก่ง ให้ฉลาด แต่ทางสายปราชญ์กลับสอนว่าให้โง่ โง่ได้ไหม (ได้) มนุษย์ทุกคนเรียนรู้หมดทุกอย่างแต่กลับไม่เก่งจริงสักอย่าง มนุษย์รู้หมดทุกอย่างแต่เรากลับไม่เคยรู้อะไรแท้จริง และก็ยังดันทุรังตอบว่าตัวเองรู้ แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่า คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ยอมโง่ที่สุด เก่งมากก็เหนื่อยมาก บางครั้งต้องไม่เก่งต้องไม่เป็นบ้างใช่ไหม

อย่างนี้เรียกว่าเจ้าเล่ห์มากกว่านะ ฉลาดเกินเก่งเกินไปก็เหนื่อยเกินไปถูกไหม (ถูก) แล้วเรายังอยากฉลาดไหม (ไม่) แต่ถึงเวลาใครว่าเราโง่ยอมได้ไหม (ไม่) ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้ว่าจริงๆ ยอมโง่บ้าง ยอมไม่รู้บ้าง แล้วทุกวิชาความรู้จะไหลลงสู่เรา แต่ถ้าพูดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ตัวเองฉลาด เราจะไม่ได้วิชาความรู้ใดๆ จากใครในโลกเลย ฉะนั้นคนที่เก่งคนที่ฉลาดจริงๆ จึงต้องเป็นคนโง่ แล้วยอมไหม (ยอม) เราขอถามท่าน ไม้ที่มีประโยชน์กับไม้ที่ไร้ประโยชน์ อะไรถูกทำลายบ่อยมากกว่ากัน (ไม้ที่มีประโยชน์) อะไรที่ถูกทำให้สูญพันธุ์ไวกว่ากัน (ไม้ที่มีประโยชน์) ยิ่งมีประโยชน์ยิ่งมีค่าสูงกลับยิ่งถูกทำลาย เช่นนั้นอยากเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดที่มีปัญญาปราดเปรื่องที่สุดในโลกไหม (ไม่) ยิ่งเก่งยิ่งฉลาดคนยิ่งอยากกดอยากข่ม แต่ยิ่งโง่ยิ่งไม่รู้คนยิ่งอยากสอนอยากให้ความรู้ แต่เดี๋ยวนี้คนในโลกทั้งเก่งและไม่เก่งก็โดนทำร้ายได้เหมือนกัน ฉะนั้นผู้มีปัญญาจะต้องก้าวมากกว่าคือ รู้ตอนไหนควรฉลาด ตอนไหนควรโง่ นี่จึงเรียกว่าเก่งแท้จริง ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกให้รอดไม่ยากลำบาก ถามตัวเองก่อน อ่อนน้อมไหม รู้จักได้ รู้จักให้ หรือรู้จักแต่จะเอา รู้จักแต่เป็นคนฉลาดแล้วโง่ไม่เป็นอย่างนั้นหรือ เราก็คงไม่เป็น

มนุษย์ทุกคนอยู่ในโลกก็อยากมีสุขมากกว่ามีทุกข์ ถามต่อว่าแล้วความสุขของท่านอยู่ในความฝันหรือในความจริง ส่วนใหญ่มักจะมีสุขอยู่ในความฝัน ไม่เคยมีสุขกับความจริง อยู่ในโลกยากแล้วยังหาความสุขได้ยากอีก ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขในชีวิตควรจมอยู่ในความฝัน ความคาดหวังหรือกล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง (กล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง) แล้วทุกวันความจริงจะกลายเป็นความสุข ไม่ใช่รอฝันแล้วถึงจะ (มีความสุข) ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขจงเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่าความฝัน แล้วทำอย่างไรที่เราจะอยู่กับความจริงได้แล้วเป็นสุข ถ้าอยากมีความสุขในความจริงง่ายๆ คือลดความอยากในใจตนให้มากและอยู่กับปัจจุบันและกล้าเรียนรู้ความจริง

ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุข จงพอใจในปัจจุบันและปัจจุบันจะทำให้เราได้เรียนรู้ความจริงได้อย่างมีความสุขและสามารถที่จะปล่อยวาง ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวังได้ แต่ทำได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะในใจมักชอบเปรียบเทียบ เพราะในใจชอบยึดติด จึงไม่สุขถูกไหม (ถูก) สมมติวันนี้มีคนชม แต่ก่อนเคยได้รับคำชมมากกว่านี้ แล้ววันนี้เราจะมีสุขไหม เมื่อก่อนได้รับคำชมและตอนนี้โดนคำว่า จะมีสุขไหม (ไม่มี) ที่ไม่มีสุขเพราะไม่ยอมรับความจริงกับใจยึดติดแต่อดีตที่เคยได้รับคำชมถูกหรือไม่ (ถูก) ท่านเคยได้ยินไหม ปัจจุบันคือชีวิต คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้วถูกหรือไม่ (ถูก) ทำไมเราจึงบอกให้ท่านจงมีความสุขในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต คนที่จมอยู่กับอดีตแล้วหมกมุ่นอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว หาปัจจุบันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขจงกล้าที่จะเรียนรู้ความจริงและมีสุขกับปัจจุบันได้หรือไม่ (ได้) ขอเพียงใจไม่ยึดติด ถ้ามัวยึดติดกับอดีตก็คือคนที่ยอมตายมากกว่าคนที่อยากมีชีวิตต่อ

เหมือนวันนี้ถ้านั่งฟังแล้วมีความสุขได้ แปลว่าท่านกล้าที่จะอยู่กับปัจจุบันและเรียนรู้ความจริงเพื่อเข้าใจชีวิตและเอาธรรมะมาทำให้เราพ้นทุกข์ ไม่ใช่เอาธรรมะที่ฟังกลับมาทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นตอนนี้นั่งฟังแล้วยังทุกข์หรือนั่งฟังแล้วพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์) ถ้าอยากมีความสุขอยู่ในโลกนี้ไม่อยากทุกข์ จงรู้จักการให้มากกว่าการรับ เพราะจิตที่รู้จักการให้จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า และจิตที่รู้จักสร้างสรรค์ความดีงามนั้นจะทำให้เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ ทำให้เรารู้ว่าลมหายใจที่มีอยู่นั้นมีค่ามีความหมาย อยากมีสุขจงมีศีลมีธรรม จงใจเย็น อยากมีสุขจงรู้จักตัวเองให้มาก และรู้จักผู้อื่นให้น้อย แต่มนุษย์กลับรู้ผู้อื่นมากและไม่เคยรู้จักตัวเองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์สุขไม่ใช่ใครกำหนดแต่เราเป็นผู้กำหนด แล้วชีวิตจะดีหรือจะร้ายไม่ใช่ใครเป็นผู้แก้ไขแต่คือเราเป็นผู้จัดการ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตอนนี้อยู่ในโลกอย่างมีสุขได้หรือยัง ถ้ายังเป็นคนใจเย็นไม่ได้ ให้ไม่เป็น และเอาแต่มองผู้อื่นลืมมองตัวเอง เอาแต่มองความฝันมากกว่าความจริง ตลอดชีวิตท่านจะไม่มีวันพบความสุขเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นลองถามตัวเองว่าที่ยังทุกข์อยู่นั้น ทุกข์เพราะขาดศีลขาดธรรม เอาแต่เพ่งโทษผู้อื่น เอาแต่อยากได้อยากมี และลืมมองความจริงหรือไม่

กล้าเรียนรู้รับความจริงนั่นจึงเป็นความสุขที่ดีที่สุด ใจไม่ยึดติด ใจไม่เปรียบเทียบ ใจไม่คาดหวัง ใจเบิกบาน ใจเปิดกว้าง นั่งฟังนานแค่ไหนก็เป็นสุขได้ แต่ถ้าใจยึดติด ใจคาดหวัง ใจเรียกร้อง นั่งฟังตรงนี้แม้หนึ่งนาทีก็ไม่มีวันเป็นสุข

มองความจริง รู้จักพอ ใจเย็น มีศีลธรรม หันกลับมาตรวจสอบตัวเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก การอยู่ร่วมกับผู้อื่นทำให้ผู้อื่นมีความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก

อย่างนั้นวันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่างที่เราบอก ทุกสิ่งทุกอย่างมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีใครมีสิ่งใดแท้จริงแม้กระทั่งชีวิตตนฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราควรหาคุณค่าที่มีมากกว่าไม่มี นั่นคือ ทางพ้นทุกข์ที่เราเรียกว่า “ธรรมะ” ซึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่อยู่ที่ใจ รู้หรือยัง (รู้แล้ว) รู้แล้วปฏิบัติได้ถึงหรือยัง (ยัง) มีโอกาสคงได้มาศึกษากันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มองเห็นคุณทุกคนก็มีค่า จ้องจับผิดก็ไร้ค่าไร้ความหมาย

ดั่งเรื่องสองคนยลตามช่องมาสอนใจ ถึงต่างแต่ทุกแง่ให้สอนชีวี

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน แฝงกายน้อมกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีนะ

เกิดเป็นคนหมั่นสร้างบุญบารมี สร้างความดีปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจิต

ภัยภายนอกไม่ร้ายเท่าใจหลงผิด ภัยภายในคือความคิดกิเลสเคยชิน

ชีวิตคนดั่งความฝันแสนสั้นนัก หาใช่เพื่อโลภโกรธรักไม่เคยสิ้น

เวียนในสุขทุกข์เปลี่ยนหน้าไม่ชาชิน เป็นโขดหินกลางกระแสน้ำที่แรง

การบำเพ็ญก็เพื่อฉุดช่วยตน เพื่อฝึกตนเพื่อพ้นให้รู้แจ้ง

ความยากเข็ญมาลับคมให้สำแดง ความพลิกแพลงด้วยปัญญาช่วยย่นทาง

บำเพ็ญธรรมตั้งแต่ง่ายจนยากสุด ไม่รอดพ้นปัญญาธรรมแสงสว่าง

จากเบื้องบนลงสู่คนเบื้องล่าง มีเมตตาเป็นสื่อกลางระหว่างกัน

จงศรัทธาด้วยปัญญาจึงยั่งยืน จิตสดชื่นท่ามกลางความแปรผัน

ปัญหาคนคือคนงานคืองาน อย่ามัวค้างสร้างทุกข์กรงขังตน

ฮา ฮา หยุด

การจะคิดออก ออกเหมือนนักธรรม มีธรรมะกันแบบประจำ บางสิ่งอันสำคัญนึกออก ธรรมะแทรกอยู่ในทุกตอน ดึงธรรมะที่ไม่อาจสอน มาส่งออกไป

* ชนะใจตัวเอง กิเลสแพ้ทางคุณธรรม ลดละกายกรรมต่อกันไว้ พิชิตไฟอารมณ์ที่หมักหมมมานานเกินไป ฝึกจนไร้ จนว่างไป

** หากใครคิดมาก ยากไปแสนนาน วางความคิดให้จิตเบิกบาน แสงแรกแห่งใจ

(ซ้ำ *, **)

ทำนองเพลง : เพียงกระซิบ

ชื่อเพลง : นักธรรมที่ดีดีอย่างไร

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสองย่อหน้าแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “นักธรรมที่ดี”

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)

รักษาจิตอันดีงามไว้ให้คงอยู่ ไม่จืดจางไปไหน ไม่พลาดพลั้งเพราะความผิด ไม่พลาดพลั้งเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ใช่ไหม (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)

ชีวิตนี้สุขหรือทุกข์ ส่วนใหญ่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ใช่ไหม (ใช่) แต่ส่วนใหญ่ทุกข์มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งว่า “ผู้ใดถึงซึ่งความสุข โดยอาศัยการทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามอยู่เป็นนิจ จะมีชีวิตที่ร่มเย็นและเป็นสุข” เคยได้ยินสิ่งนี้ไหม ผู้ใดอาศัยความดีงามที่ประกอบธรรมอยู่ทุกวัน จะนำพาให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นและเป็นสุขได้

ศิษย์เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมว่า “บุญคือความสุข บาปคือความทุกข์” “บุญคือสวรรค์ บาปคือนรก” ฉะนั้นผู้ใดที่หมั่นทำบุญ แปลว่าผู้นั้นย่อมอาบอิ่มไปด้วยความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าผู้ใดอาบอิ่มไปด้วยความทุกข์ ใบหน้าเศร้ามอง จิตใจหดหู่ นั่นแปลว่าเขาอาบอิ่มไปด้วยบาป ฉะนั้นในทางย้อนกลับ ตอนนี้ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์มีทุกข์มากกว่ามีสุข แปลว่าศิษย์ดำเนินชีวิตในทางบาปมากกว่าบุญ ถูกไหม (ถูก) แล้วโดยส่วนใหญ่จิตใจเบิกบาน โปร่งเบา โล่งเบา หรือจิตใจหนักหน่วง กลัดกลุ้ม วิตกทุกข์ร้อน ส่วนใหญ่มันจะหนักกลุ้ม โปร่งโล่งไม่ค่อยมีในชีวิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ใดมีชีวิตหวานอมขมกลืนเต็มไปด้วยความทุกข์หม่นหมองใจ นั่นแปลว่าศิษย์ไม่ค่อยได้ทำบุญสุนทาน จริงไหม (จริง) คนทำดีทุกวันหน้าจะหม่นหมองหดหู่ไหม หน้าจะปิติยินดี ศิษย์รู้ไหมการทำบุญบ่อยๆ การทำดีบ่อยๆ เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่เหมือนทำบาป ยิ่งทำยิ่งหดหู่หม่นหมองไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร แล้วชีวิตเราอยู่ไปเพื่ออะไร (เพื่อทำความดี) แต่ส่วนใหญ่ไม่ดีมากกว่าใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์เคยได้ยินไหม ขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล ความดีงามอะไรก็ตาม ถ้าทำอยู่เนืองๆ ทำอยู่เป็นนิจ ถ้าทำบ้านทำโลกนี้ให้เป็นสวรรค์ ตายไปก็ขึ้นสวรรค์ แต่ปัจจุบันนี้อยู่บนโลกเหมือนนรกหรือเหมือนสวรรค์ ถ้าทำนรกวันนี้ให้บังเกิด ชาติหน้าอย่างไรก็ต้องตกนรก ถูกไหม (ถูก)

ถ้าเรารู้ว่ารากฐานแห่งความดีคืออะไร เราก็ย่อมจะทำดีต่อไปได้ แต่ถ้ารากฐานแห่งความดีเรายังไม่รู้ เราจะสร้างความดีต่อได้ไหม (ไม่ได้) แล้วอะไรคือรากฐานแห่งความดีงามทั้งมวล (จิตใจ) จิตใจก็เป็นรากฐานแห่งความชั่วได้เหมือนกัน (คิดดี ทำดี) คิดดี ทำดี พูดดี แต่ต้องละชั่วด้วย (คุณธรรม) เมื่อเรามีคุณธรรมก็ย่อมมีความดี แต่เมื่อวานหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอสอนไว้ว่า “ถึงเราจะพยายามมีคุณธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น คุณธรรมก็ไม่มี”

(ความเมตตา ความเข้มแข็ง) ใช่หรือไม่ ถ้าเราเกิดมาแล้ว คิดแต่จะเอา เราอยู่ในโลกนี้จะไม่มีวันทำความดีได้เลย ฉะนั้นรากฐานของความดีเริ่มต้นที่ (การให้ การเสียสละ) ถูกไหม (ถูก) ถ้าศิษย์ไม่เคยคิดจะให้ อยู่บนโลกเอาอย่างเดียว ทำอะไรก็ไม่ให้ความดีจะเกิดได้อย่างไร ถ้าทุกชีวิตคิดแต่จะเอาไม่เคยคิดจะให้ เมตตาจะสำแดงได้อย่างไร คุณธรรมจะสำแดงได้อย่างไรถ้าศิษย์คิดว่า เธอดีขนาดไหนฉันถึงต้องดีกับเธอเมตตากับเธอ ทำไมถึงต้องให้ก่อน ทำไมถึงต้องยอมก่อนล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ลืมรากฐานของความดีสิ่งนี้ ศิษย์เกิดมาเพื่อที่จะเอาศิษย์ย่อมไม่มีวันเป็นคนดีได้แน่นอน

พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า การให้เป็นบันไดขึ้นสู่สวรรค์ การให้เป็นเครื่องผูกมิตร และการให้ยังเป็นที่รักของมนุษย์และเทพเทวาทั้งปวง แล้วที่เราไม่สามารถทำดีได้ เป็นเพราะว่าเอามากกว่าให้ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์ถามหน่อยไปเอาของเขามาแล้ว ทำเขาเจ็บแล้วค่อยไปดีกับเขาทันไหม (ไม่ทัน) แล้วปัจจุบันเราเป็นเช่นนี้ไหม เป็นทั้งนั้นเลย ไปฆ่าคนนี้ ไปตีคนนั้น แล้วก็ไปทำบุญกับคนโน้นแล้วก็ท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดใช่หรือไม่ แล้วเราทำอย่างนี้ไหม ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ รากฐานของความดีง่ายๆ คือให้ ให้ได้ เราก็หยุดยั้งกิเลสได้ ให้ได้ เราก็หยุดผิดบาปได้ แต่ถ้าให้ไม่ได้ เราก็มีแต่สนองกิเลสตัณหาตัวเอง ฉะนั้นถ้าให้แล้วมันทำให้เราว่าง ทำให้เราโปร่ง ทำให้เราไม่ต้องไปแข่งขัน ไม่ต้องไปกดขี่ ไม่ต้องไปผิดบาป ไม่ต้องไปเบียดเบียน ทำไมไม่ให้ ทำไมต้องกลัวเสียเปรียบ บางครั้งการให้เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย อย่างเช่นเขาร้ายมาเราให้อภัยไหม เขาเอาเปรียบเรามา เราไม่ถือสาหาความได้ไหม เขาเอาภรรยาสามีเราไป (ให้ไม่ได้ค่ะ) สุดท้ายตัวอยู่แต่ใจไม่อยู่จะเอาหรือ อยู่แล้วหวานอมขมกลืนจะเอาหรือ ทำไมไม่แปรทุกข์ให้เป็นบุญ แปรบาปให้เป็นกุศล ไม่ต้องทำบุญกับใครทำบุญกับสามีเรานี่แหละ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เคยสร้างบาปที่ไหนก็สร้างบาปกับสามีหรือไม่ก็สร้างบาปกับภรรยานี่แหละถูกไหม แล้วเวรกรรมก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราให้เจ็บปวดจริงไหม (จริง) ฉะนั้นอาจารย์ถึงได้บอกไง ถ้าให้แล้วทำให้เราบังเกิดความสบายใจ บังเกิดเป็นบุญเป็นสุขก็ให้ไปเถิด

อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้ว ทำบุญก็คือสวรรค์ ถ้าตรงนี้เป็นสวรรค์ภพภูมิหน้าก็เป็นสวรรค์ แต่ถ้าตรงนี้เป็นนรกภพภูมิหน้าศิษย์ก็หนีไม่พ้นนรก แล้วทำไมไม่แปรบาปให้เป็นบุญ แปรร้ายให้เป็นดี เราเกิดมาถึงเวลาเขาก็ไม่ไปกับเราหรอกนะศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) รักกันปานจะกลืนกินถึงเวลาก็ต่างคนต่างตาย ตัวใครตัวมันใช่หรือไม่ (ใช่)

ในโลกนี้แม้เราจะทำดีแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเป็นได้ดั่งใจเราสักอย่าง ความทุกข์มีกี่อันก็นับไม่ถ้วนความทุกข์ทำเราเจ็บช้ำแค่ไหนก็ไม่รู้จะพูดบรรยายว่าอย่างไร อาจารย์ถามหน่อย ถ้าทุกข์มาแล้วทำให้เราเจ็บช้ำและเจ็บปวด ทำไมเราไม่รู้จักพลิกทุกข์ให้มาสอนใจเราบ้าง จริงหรือไม่ (จริง) มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ของบางอย่างทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าเราไม่อับจนปัญญา ของนั้นก็ทำให้เราสิ้นทุกข์และพ้นทุกข์ได้ เหมือนพระพุทธะสอนไว้ว่า สิ่งใดเป็นกิเลสสิ่งนั้นก็สามารถเป็นปัญญา สิ่งใดเป็นสิ่งเกิดดับสิ่งนั้นก็เป็นหนทางพระนิพพานได้

บางอย่างถ้ารู้ว่าคิดแล้วจะเป็นทุกข์ ก็ควรที่จะหยุดความคิด หยุดทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ด้วยการรู้ทันความคิดแล้วไม่ยึดติดในความคิด ถ้าใจของศิษย์ไม่มีกรอบ ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความยึดถือ มันก็ไม่มีการโดนอะไรให้เจ็บช้ำ แต่ถ้าใจของศิษย์มีกรอบ มีความยึดถือ มีความเป็นตัวตน อะไรนิดอะไรหน่อยมันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้าใจมันว่างจากตัวตน ว่างจากการยึดถือ สิ่งใดจะทำให้ทุกข์

จำไว้นะศิษย์ คนก็เป็นอย่างนี้ ตอนแรกปากก็พูดดีว่าให้ พอถึงเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงกลับไม่ให้เสียอย่างนั้น แล้วเราควรจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ฉะนั้นถ้าศิษย์รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่เที่ยงไม่แน่นอน วัดค่าอะไรไม่ได้ และก็ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ เราควรเอาสิ่งนั้นมาสอนใจหรือเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจ (สอนใจ)

หนทางที่จะทำให้เรามีความสุข ก็คือมีชีวิตอยู่เพื่อให้ แล้วเราทำได้ไหม (ได้) สมมติเราเป็นอาจารย์ มีความรู้แต่ไม่เคยคิดให้สิ่งที่ดีที่สุดกับนักเรียนจะเรียกว่าอาจารย์ได้ไหม (ไม่ได้) สอนอะไรก็สอนแบบกั๊กๆ สอนเก็บๆ สอนแบบไม่เต็มใจไม่สุดใจ กับคนที่ทำอะไรอย่างสุดจิตสุดใจเต็มกำลังทุกขณะ ความสุขมีอยู่ทุกขณะที่ได้ทำ แล้วเราจะต้องหวังผลอะไรอีกไหมศิษย์ แต่ถ้าอาจารย์สอนแบบสอนบ้างเก็บบ้าง สอนบ้างหวงบ้าง ให้บ้างงกบ้าง ให้บ้างไม่ให้บ้าง จะมีความสุขไหม ชีวิตเราไม่ว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกศิษย์ เป็นอาจารย์ เป็นคนค้าขาย ถ้าศิษย์ทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะที่ทำคือสิ่งที่ดีที่สุด มันมีความสุขที่ได้ทำ มันมีความสุขที่ได้ให้สิ่งที่ดี มันมีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุด ผลของการกระทำมันให้อยู่ทุกขณะ แล้วศิษย์จะต้องหวังผลอะไรอีกไหม แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราไม่ใช่ เราทำทุกขณะเพื่อหวังจะเอาตำแหน่ง จะเอาเงินเยอะๆ จะเอากำไรเยอะๆ จะเอาให้มากที่สุด จะทำอย่างไรให้ได้ตำแหน่งใหญ่สุด ทุกขณะที่คิดจะเอาๆ มันไม่เคยสุข เราหวังแค่เพียงสุขแบบนั้นจึงไม่เคยสุข

ฉะนั้นคนที่ทุกขณะให้เต็มที่ ทำเต็มที่ ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด มันมีสุขทุกขณะ ปลูกข้าวก็ข้าวดีที่สุด ปลูกผักก็ผักสะอาดปลอดภัยที่สุด เป็นครูก็สอนดีที่สุด เป็นนักเรียนก็ให้ความเคารพซื่อสัตย์และทำหน้าที่ดีที่สุด เป็นพ่อก็เป็นพ่อที่ดีที่สุด เป็นแม่ก็เป็นแม่ที่ดีที่สุด เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีที่สุด ยังต้องหวังอะไรอีกไหม ไม่ต้องหวังแล้ว เพราะทุกขณะที่ทำเราได้สุขที่สุดในใจอยู่แล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำนิดๆ หน่อยๆ กินแรงเอาเปรียบแล้วก็หวังว่าจะได้คนชมใช่หรือไม่ แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ เมื่อศิษย์ไม่สามารถทำอย่างที่อาจารย์บอกได้ศิษย์ก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ ศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์หนูพยายามทำดีที่สุดแล้วนะ หนูหวังดีกับเขามากแล้วนะ ผมทำดีที่สุดแล้วนะทำไมฟ้ายังทำให้ผมเป็นแบบนี้อีก เหมือนบอกว่าผมเป็นคนดีแล้วนะ อาจารย์ แต่บาปผมไม่เคยละเท่านั้นเอง ดีผมก็ทำ แต่ชั่วผมยังลดไม่ได้เท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)

อาจารย์ถามว่าเวลาที่ศิษย์มีชีวิตอยู่ ศิษย์เคยทำงานๆ หาเงินๆ เที่ยวๆ แล้วสักพักศิษย์รู้สึกว่าไม่ได้ทำบุญเลยอยากทำบุญ รู้สึกว่าความดีมันหายไปจากใจอยากทำดี เป็นไหม (เป็น) ถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าทั้งชีวิตไม่ค่อยได้ทำดี นานๆ ค่อยทำ แล้วพอนานๆ ค่อยทำแล้วพยายามทำดี พยายามเมตตา เสียสละอุทิศให้ อันนั้นไม่เรียกว่าความดีที่แท้จริง อันนั้นเป็นความดีที่พยายามจะชดเชยความไม่ดีที่ทำมา เป็นความดีที่ศิษย์ใช้ปลอบประโลมใจตัวเองว่า ฉันก็ยังพอมีอะไรที่ดีเหลือไว้ให้ภูมิใจบ้าง (ใช่) ทั้งที่ตลอดชีวิตมานั้นไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นสิ่งที่ศิษย์ทำดีแบบนี้จะทำให้ศิษย์พบกับสิ่งที่ดีเป็นไปได้ไหม แล้วบอกว่าศิษย์เป็นคนดีคนหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)

การให้บุญที่บริสุทธิ์ ความดีที่บริสุทธิ์แบบไหนที่เห็นชัดเจน อย่างเช่นมีเด็กกำลังเดินข้ามถนน ตอนนั้นศิษย์จะทำอย่างไร (จับไว้ก่อน) ไม่รู้ว่าลูกใครไปอุ้มไว้ก่อนใช่ไหม (ใช่) ชั่วขณะที่ศิษย์คิดจะช่วยเด็กคนนั้นโดยไม่สนใจว่าเราจะต้องเป็นคนดีหรือไม่ คิดแต่เพียงว่าจะให้เด็กคนนั้นรอดปลอดภัย นั่นเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์ นั่นคือความดีอันบริสุทธิ์ เพราะเราไม่คิดว่าจะทำเพื่ออะไร แต่มนุษย์เวลาทำดีอะไรมักจะคิดว่าเพื่อจะได้มีเมตตาเยอะๆ จะได้บุญเยอะๆ จะได้หน้าบานๆ หรือจะได้ขอต่อ ถ้าบุญยังแอบอิงไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นก็เรียกว่าบาป บุญนั้นก็เรียกว่าบุญที่ไม่บริสุทธิ์แท้จริง แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ทำบุญไม่เคยขอเลยใช่ไหม รากฐานแห่งความดีคือการทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อเอา ถ้ายังทำเพื่อเอาก็ยังตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป

เราทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกบ้าง คนใจร้อนเราชอบไหม (ไม่ชอบ) เย็นแบบเช้าชามเย็นชามชอบไหม (ไม่ชอบ) ถ้าเราเจอคนประเภทนี้เราจะทำอย่างไร อารมณ์เย็นเกินไปเราก็ไม่ชอบ ร้อนเกินไปเราก็ไม่ชอบ แล้วโลกนี้เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนไม่ร้อนไม่เย็น เวลาเจออากาศร้อนเราทำตัวให้เย็นไว้ แล้วเวลาเจออากาศเย็นเราทำตัวให้อบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอยอยู่ในโลกเราหนีไม่พ้น คนบางคนเย็นชาจนเรารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง มีเขาอยู่แต่เย็นชาเกินไป ฉะนั้นเหมือนใส่เสื้อ เจอใครเย็นต้องทำตัวให้อบอุ่น เจอใครร้อนต้องทำตัวให้เย็น เอาธรรมะมาใช้ในชีวิต เอาธรรมะที่เรียกว่าความจริงมาสอนใจ ไม่ใช่เจอใครร้อนศิษย์ก็ร้อนก็มีแต่พัง เจอใครเย็นศิษย์ก็หนาวเหงาอย่างนี้ก็แย่ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาร้อนมาเราต้องเย็นให้ได้ เขาเย็นจนดูเหมือนแล้งน้ำใจ เราก็ต้องสร้างความอบอุ่นให้กับกายใจตนเองก่อนที่จะเอาแรงนั้นไปดันเขา ถ้ายังเอาตัวไม่รอดอย่าเพิ่งไปช่วยใคร ฉะนั้นเวลามีปัญหาอย่าเพิ่งไปจัดการใคร ไม่ใช่ไปแก้ใคร แต่เอาตัวเองให้รอดก่อน เมื่อเอาตัวเองรอดแล้วก็ไม่ทำให้เขาทุกข์ เขาก็ไม่ทำให้เราทุกข์ เราก็สามารถแปรทุกข์เป็นสุขได้ เมื่อเราทำให้ตัวเองมีสุขได้เราก็จะทำให้คนข้างๆ เขาได้ข้อคิดตามด้วย

แล้วเรายังมีทุกข์อีกไหม บางครั้งชีวิตเหมือนขึ้นที่สูงเหมือนโชคดี แต่บางครั้งมันก็ตกลงต่ำ ขึ้นที่สูงมันก็ได้เห็นอะไรชัดเจนดี แต่เมื่อมันต้องกลับมาลงที่ต่ำ มันก็แค่มองไม่ชัดหรือกลับมายืนที่เดิม คนเราไม่มีใครสูงหรืออยู่เหนือใครตลอดไป ขึ้นสูงขนาดไหนอย่างไรก็ต้องลง หนีพื้นดินอันธรรมดาไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งชีวิตได้เจอเรื่องที่ดี แล้ววันหนึ่งชีวิตได้เจอเรื่องที่ร้าย ก็จงอย่าลืมว่าแค่กลับมายืนที่เดิม แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้สูงแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยชีวิตหนึ่งเราได้เคยสูงสักวันหนึ่งก็ยังดี

ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิต เราก็จะรู้ว่าฟ้ายังมีสิ่งที่เรียกว่าภูเขาสูง ยังมีสิ่งที่เรียกว่าพื้นพสุธา แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะขึ้นสูงแล้วไม่มีวันลงสู่พื้นดิน แล้วเป็นไปไม่ได้หรือที่ยืนอยู่บนพื้นดินแล้วจะใฝ่สูงบ้างไม่ได้ แล้วเรายืนอยู่บนพื้นดินเราจะสูงที่สุดไม่ได้เลยหรือ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) สิ่งที่ไกลกลายเป็นใกล้ก็เพราะความเพียร สิ่งที่ยากกลายเป็นง่ายก็เพราะความวิริยะอุตสาหะ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นได้ก็เพราะใจที่สู้ไม่ถอยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่บนโลกบางครั้งอยู่สูงแต่ก็ต้องกลับมาต่ำให้เป็น เมื่อต่ำเป็นแล้วสูงบ้างไม่ได้หรือ เมื่อร้ายแล้วทำไมจะดีไม่ได้ แล้วดีจนถึงที่สุดจนสุดๆ ไม่มีหรือ (มี) แล้วเมื่อไรจะทำ เกี่ยงกันอยู่ให้เขาดีก่อนฉันยังชั่วอยู่ใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์เคยเห็นใบไม้ไหม สักวันมันต้อง (ตาย) ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตเราหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสูญเสียไม่ได้ แต่ถ้าต้นไม้งก ไม่ให้ใบไม้ร่วงเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ยอมให้มันร่วงหล่น จึงเห็นหน่อใหม่ที่ได้แตกออก ยอมให้มันร่วงหล่นจึงก่อเกิดเป็นปุ๋ยที่บำรุงเลี้ยงให้เติบโต บางครั้งยอมเสียเพื่อได้อะไรที่ดีกว่า ยอมเจ็บ ยอมให้ ยอมพลัดพราก ยอมทุกข์ ยอมแพ้แล้วทำให้คนอื่นเป็นสุขใจไม่ได้หรือ (ได้) แล้วเราเกิดเป็นคน เสียบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาว่าบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาเข้าใจผิดบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาเอาเงินไปแล้วไม่คืนไม่ได้หรือ เพราะในความเสียมันอาจจะมีอะไรที่เราได้แอบแฝงอยู่ ถ้าเราไม่เจ็บเราจะรู้จักความเข้มแข็งไหม ถ้าเราไม่ป่วยเราจะรู้ไหมว่าใครห่วงใครรักเราจริง เมื่อเราตกต่ำเราจึงได้รู้ว่าใครที่เป็นมิตรแท้ ถ้าเราไม่ถูกสามีทิ้งเราจะรู้หรือว่าฉันก็ยืนคนเดียวได้ สามีหรือภรรยาตายไปแล้ว ลูกก็ไม่ดูแล เรายืนคนเดียวไม่ได้หรือ ดูแลตัวเองไม่ได้หรือ ต้องรอสามี ภรรยา ลูก มาเลี้ยงตลอดเลยหรือ ทำไมต้องเป็นใจที่ว่างเปล่าแล้วรอคนมาเติมเต็ม แต่เราเป็นใจที่สามารถเต็มล้นและพร้อมให้ทุกคนไม่ได้หรือ เอาธรรมะที่เห็นทุกวันมาสอนใจ ไม่ต้องเอาตำราหรือคัมภีร์จากไหน แต่เอาที่เห็นทุกวันมาสอนใจเรา สอนแล้วให้มันเกิดธรรม ไม่ใช่สอนแล้วให้มันเกิดกิเลส เกิดความโง่ ไร้ปัญญา อย่างนี้เกิดมาเสียเปล่า แต่สอนแล้วมันต้องได้ธรรมได้ความตื่นรู้ ได้ความพ้นทุกข์

สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีอะไรเป็นได้ดั่งใจศิษย์ไหม (ไม่มี) แล้วมีอะไรสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่มี) ศิษย์เคยเห็นนิ้วเท่ากันไหม อย่างนั้นชีวิตคนเหมือนกันไหม แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทุกชีวิตต้องเหมือนกันและเท่ากัน ฉะนั้นเจอคนไหนที่ขาดไปบ้างเกินไปบ้างก็คิดว่าอย่างน้อยก็เป็นชีวิตๆ หนึ่ง แต่ว่าเราขาดเขาได้ไหม บางครั้งการมีอยู่ของเราก็ต้องเป็นการมีอยู่ของเขาด้วย แต่บางครั้งถ้าการที่เขาอยู่แล้วทำให้เขาเป็นทุกข์ เราก็ต้องสามารถอยู่คนเดียวให้ได้ด้วย เหมือนนิ้วเราให้มันสมบูรณ์เท่ากันไม่ได้ แล้วมันมีคุณค่าและความสามารถที่ไม่เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้นคนในโลกก็เหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน ถนัดไม่เหมือนกัน ดีไม่เหมือนกัน แล้วจะหวังให้เป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่) เวลาตอบอาจารย์ตอบดีหมดแต่ถึงเวลาทำไมไม่เห็นดีแบบนี้เลย ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราตระหนักรู้อย่างนี้เสมอ คนนั้นจะทำให้เราทุกข์ไหม ถ้าคนนั้นเกินเลยไปบ้างเขาจะทำให้เราเจ็บไหม คนนั้นขาดไปบ้างจะทำให้เราทุกข์ไหม แล้วถึงเวลาเราทุกข์ไหม ถ้าศิษย์เอาความจริงมาสอนใจแล้วศิษย์กล้ายอมรับในความจริง ศิษย์จะได้เรียนรู้ว่า ทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้ทุกข์ แต่ทุกข์มีไว้เพื่อเรียนรู้แล้วก้าวต่อไป

ทุกข์แปลว่า สิ่งที่ทนได้ยากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร พอเราทนได้ยากเราต้องเปลี่ยนเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อเราไม่ต้องทุกข์กับมันถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนอาจารย์ถามว่า หน้าตาของเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไหม จะเปลี่ยนไหม ฉะนั้นถ้าวันนี้คนดีๆ เขาเปลี่ยนแปลงเราทุกข์ไหม คนดีๆ เขาเปลี่ยนใจเราทุกข์ไหม และคนที่ไม่ดีควรจะเปลี่ยนแต่ไม่ยอมเปลี่ยน เราทุกข์ไหม อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริงเหมือนนิ้วมือ ใช่ไหม (ใช่) บางคนได้แค่นี้ บางคนสูงตั้งเท่านี้ เหมือนเอานิ้วโป้งเปรียบกับนิ้วกลางต่างกันเยอะไหม คุณค่าเหมือนกันไหม ฉะนั้นถ้าเราเกลียดนิ้วโป้ง ตัดนิ้วโป้งทิ้งดีไหม ตัดแล้วเรียกว่าอะไร (ด้วน) มันเป็นธรรมดาศิษย์เอ๋ย คนที่เคยดีแล้วเปลี่ยนเป็นไม่ดี และคนที่ไม่ดีน่าเปลี่ยนเป็นดีแต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเป็นดี แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะทุกข์กับเขาหรือว่าเราแค่เรียนรู้และยอมรับกับมัน (ยอมรับกับมัน) ใช่ไหม (ใช่) เพราะในความที่เขาดีแล้วเปลี่ยนเป็นไม่ดี แล้วความดีเขาไม่เหลือเลยหรือ ยังเหลือไหม (เหลือ)

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งมายืนหน้าห้อง)

สมมติว่าอะไรอาจารย์ก็รู้สึกดีกับเขาหมด ยกเว้นอย่างเดียวอาจารย์ไม่ชอบความดำ อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ถึงแม้เขาจะดำ เขาจะสูญเสียความดีที่อาจารย์ชอบในใจไหม (ไม่) ดีก็ส่วนดี ดำก็ส่วนดำใช่ไหม เราแก้อะไรเขาไม่ได้

วันหนึ่งถึงคนที่ดีที่สุดของศิษย์เขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ดี แต่ใช่ว่าความดีเขาจะไม่มี ความดีเขาจะหดหายไป แต่มนุษย์เวลาเกลียดก็เกลียดมาก เวลารักก็รักมาก จนบางครั้งมองไม่เห็นเลยว่าจริงๆ แล้วในความรักก็มีความน่าเกลียด ในความน่าเกลียดก็ยังพอมีอะไรดีๆ ฉะนั้นเวลาศิษย์มองสิ่งใด เวลาเราเห็นคนที่ไม่เป็นดั่งใจเรา หรือมองเขาว่าน่าจะดีกว่านี้แล้วเขาไม่ดี ศิษย์จะต้องปรับความคิดให้ได้ อย่าปล่อยให้ความคิดนั้นสร้างกิเลสแล้วทำให้เกิดทุกข์ ตอนนั้นศิษย์จะให้ความสุขเขาให้บุญเขาให้ทานเขา หรือศิษย์จะก่อเกิดเป็นกรรม วิบากกรรม ด่าเขาให้ไม่เหลือดีเลย ว่าให้เจ็บปวดไปเลย ในเมื่อเคยดีมาก่อนแล้วกล้าทำแบบนี้ก็ทำให้จมไม่มีที่อยู่เลยดีไหม (ไม่ดี) ถ้าเจอคนไม่ดีนอกจากจะทำให้เราทุกข์ใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องระมัดระวังที่สุดคือ อย่าสร้างวิบากกรรม หรืออย่าเกี่ยวกรรม เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ศิษย์เกลียดที่สุดก็จะมาจองเวรจองกรรมศิษย์ แล้วเราเกิดมาเพื่อสิ้นกรรมหรือเกิดมาเพื่อสร้างกรรม (สิ้นกรรม) ถ้าเพื่อสิ้นกรรมควรด่าให้ไม่มีชิ้นดีหรือควรเข้าใจแล้วตื่นรู้เห็นแจ้งในธรรม (เข้าใจแล้วตื่นรู้เห็นแจ้งในธรรม) ฉะนั้นถ้ากลับไปเจอสามีด่าหรือเจอภรรยาบ่น เจอลูกไม่เป็นดั่งใจ ก็มองว่าถึงเขาจะแย่อย่างไร เขาก็ยังมีดีอยู่ แล้วเราจะได้มองเห็นสิ่งที่ดีในใจเขาได้ใช่ไหม (ใช่)

ฉันใดก็ฉันนั้นให้อภัยใจตัวเองได้ ไม่ถือโกรธเกลียดตัวเองได้ ทำไมไม่ให้อภัยไม่ให้ทานไม่ให้เมตตาผู้อื่น ในเมื่อบุญของการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมเป็นทาน แต่เราอยู่ด้วยกันเรากลับให้กิเลสอารมณ์เพื่อเกี่ยวกรรมหรือ ในเมื่อศิษย์อยากสร้างความดี เขามาให้เราได้สร้างทานที่ยิ่งใหญ่ ทำไมเราไปไม่ถึง ทำไมเราอยากไปเกี่ยวกรรมจองเวรจองกรรม ทำไมเราอยากไปสนองกิเลสอารมณ์ ทำไมเราไม่ตื่นรู้แล้วพบธรรม ตื่นรู้แล้วได้ให้ธรรมที่ประเสริฐ เขาร้ายเราต้องดี เขาแย่เราต้องดีให้ถึงที่สุดใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหนักแน่นหน่อยนะศิษย์เอย แล้วเมื่อไหร่ศิษย์หนักแน่นศิษย์จะพบว่าถึงที่สุดไม่มีใครดีงามสมบูรณ์พร้อม หาไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวไม่มีใครดีที่สุดและไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและมองเห็นธรรมมากกว่ามองแล้วเห็นกรรม เราจะอยู่เพื่อเห็นธรรมหรืออยู่เพื่อก่อกรรม ถามใจศิษย์เองนะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “นักธรรมที่ดีดีอย่างไร” ทำนองเพลง “เพียงกระซิบ” และให้ผู้นำร้องเพลงออกมานำเพลงหน้าห้อง)

จงเป็นพลังเสียงกระบอกเสียงอันไพเราะ นำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ด้วยเพลงของเรา ปลุกให้เขาตื่นและปลุกให้ใจเรารู้ตื่นด้วย

(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนในชั้น)

เรื่องบางเรื่องคิดมากไปก็ทุกข์ ทุกสิ่งที่เรากระทำ ไม่ว่าพูดหรือกระทำอะไรก็ตาม ล้วนเป็นการแสดงออกของจิตใจเรา เห็นอะไรที่ชอบก็เข้าหา เห็นอะไรที่ไม่ชอบก็หนีห่าง แสดงว่าใจเรามีความชอบชังอันนั้นอยู่ในใจ แสดงว่าใจของมนุษย์มีอะไรอยู่ข้างใน ถ้ามีอะไรอยู่พอเจอสิ่งที่ชอบเราก็บอกว่าชอบ เจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็บอกว่าไม่ชอบ เจอสิ่งที่ถูกใจเราก็บอกว่าเป็นสุข เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราก็บอกว่าเป็นทุกข์ ถ้าในใจเราไม่มีอะไรที่เรียกว่าชอบชัง อะไรจะเรียกว่าสุขอะไรจะเรียกว่าทุกข์ ก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้เราเจ็บแค้น ไม่มีอะไรที่ทำให้ใจเราโลภ โกรธ หลง แปลว่าต้องไม่มีทั้งข้างนอกและข้างใน เมื่อข้างในไม่มี เห็นอะไรมันก็ไม่รู้สึก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ตัดสิน เทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์เคยกินเหล้า เคยสูบบุหรี่ แม้อาจารย์ไม่เห็นเหล้าไม่เห็นบุหรี่ อาจารย์ก็ยังอยากดื่มอยากสูบอยู่ เพราะมันติดในรสเหล้าบุหรี่อยู่ ถึงแม้จะไม่เห็นเหล้าบุหรี่ ใจมันก็ยังใฝ่หาเหล้าบุหรี่ แม้จะหนีปรากฏการณ์ทั้งมวล พยายามไม่เจอเหล้าบุหรี่ แต่ถ้าใจมันยังชอบอยู่ เราก็จะเดินไปหาเหล้าบุหรี่จนได้

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าสมมติว่าใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสุข ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแย่ อะไรจะทำให้อาจารย์ทุกข์ อะไรจะทำให้อาจารย์รู้สึกแย่และเกลียด ฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า มนุษย์พยายามแก้กิเลส หนีกิเลส วิ่งให้พ้นกิเลส แต่มนุษย์ลืมกิเลสที่อยู่ในใจ มนุษย์พยายามหนีให้พ้นความวุ่นวาย หนีให้พ้นตัวปัญหา แต่มนุษย์ลืมว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ใจ ศิษย์มัวแต่แก้กิเลสแต่ลืมแก้ต้นเหตุที่สร้างกิเลส พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า โลภโกรธหลงสุขทุกข์แท้จริงไม่เคยมีตัวตน แต่กลับมีตัวตนเพราะมนุษย์ยึดติดใจ มนุษย์พยายามแก้โลภโกรธหลง ความยึดติดทิฐิ ความเกียจคร้าน แต่มนุษย์ลืมแก้ต้นเหตุ ฉะนั้นศิษย์จะไปด่าเขา ไปเปลี่ยนเขาไม่มีประโยชน์ ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจ เห็นก็ไม่อยากกิน ถ้าความเกลียดไม่อยู่ในใจ คนน่าเกลียดขนาดไหนเราก็ไม่เกลียด ถึงเขาจะน่ารักขนาดไหน เราไม่รู้ความรักคืออะไรเราก็จะไม่รัก ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหาทั้งมวล ไม่ใช่พยายามหนีเหตุการณ์แต่ลืมหลีกหนีใจ ไม่ใช่พยายามแก้คนอื่นแต่ลืมแก้ที่ต้นเหตุที่จิตใจ

มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า ในตัวของเราประกอบไปด้วยกายกับใจ กายหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม หนีไม่พ้นกฎของไตรลักษณ์ ที่จะต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระพุทธกล่าวว่าแท้จริงใจหรือจิตเดิมแท้ไม่มีตัวตน ไม่ต้องการเจ้าของ และพ้นจากกฎของไตรลักษณ์มานานแล้ว เพราะจิตหรือใจแท้จริงเป็นของว่าง เป็นสภาวะธรรมที่ว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบใจว่างๆ จึงพยายามยัดเยียดความเป็นตัวตนให้มียัดเยียดอารมณ์ให้ตัวเองมี แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนนิสัยอย่างนั้น ชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนี้ เมื่อชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนี้ ก็เลยก่อเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าทุกข์สุขหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็สนองกรรมตัวเองก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและเรียกว่าวัฏสงสาร และเราก็ต้องมานั่งแก้เหตุด้วยการสร้างบุญ สร้างคุณธรรม สร้างความดีเพื่อที่จะได้พ้นจากเหตุแห่งกรรมใช่หรือเปล่า ฉะนั้นจึงบอกว่าใจของมนุษย์จริงๆ ว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีอารมณ์มาสนองใจ และชอบยึดติดอารมณ์ เอาอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่เรียกว่าใจของตัวเอง อารมณ์ใดเป็นใหญ่ อารมณ์นั้นเป็นนายของกาย อารมณ์ใดที่มาบ่อยแล้วเราติดใจ เราพอใจ เราชอบใจก็จะสั่งสมจนฝังแน่นในใจจนก่อเกิดเป็นตัวตน แล้วใจก็มีอำนาจอยู่อย่างหนึ่งคือชอบสะสมสิ่งที่ชอบ อารมณ์ก่อเกิดเป็นกรรมที่สะสมในใจ ฉะนั้นการที่เราทำอะไรก็ได้ที่เราพอใจ ทำอะไรก็ได้ที่สนองใจ ทำอะไรก็ได้ที่ถูกใจ นั่นคือการพยายามสะสมให้ใจมันมีกรรม มีความเป็นตัวตน มีที่อยู่ เมื่อมีที่อยู่จึงง่ายที่จะถูกกระทบ จึงง่ายที่กิเลสจะมาเกาะติด เมื่อกิเลสมาเกาะติดก็เกิดเป็นวิบากกรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์หันกลับไปมองแล้วไม่ยึดติดอะไร ไม่เกลียดอะไร ใจเราว่างๆ อะไรจะทุกข์ อะไรจะสุข มีไหม

ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่าใจไม่ใช่มีไว้เพื่อยึดดี ใจไม่ใช่มีไว้เพื่อต้องเป็นคนดี แต่ใจเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า กระทบได้ กระเพื่อมได้ แล้วมันก็กลับมานิ่งได้ แต่ด้วยความที่ไม่รู้ มนุษย์จึงบอกว่าฉันก็คือสังขาร สังขารก็คือฉัน รูปก็คือตัวฉัน ฉันก็คือตัวรูป รูปฉันเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามอารมณ์ที่ฉันยึดติด จนพระพุทธะย้อนกลับมาถามว่า รูปที่ศิษย์ยึดติดมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วมันควรไหมที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา (ไม่ควร) เมื่อไม่ควรแล้วอะไรคือของเรา ฉะนั้นสังขารจึงหนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์ที่เรียกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่จิตเดิมแท้ว่างเปล่าอยู่แล้ว แต่มนุษย์ไม่เคยกลับไปสู่ความว่าง มนุษย์กลับชอบเอาความเป็นตัวตนใส่เข้าไปในใจ แล้วก็บอกว่าใจหนูชอบแบบนั้น ใจผมติดแบบนี้ แล้วก็เกิดเป็นวิบากกรรมที่เรียกว่า ทุกข์สุขดีร้าย พุทธะจึงสอนไว้ว่า พยายามอย่ามีใจมาก ให้กลับไปสู่ทางสายกลาง แล้วก็มองให้ชัดว่าจริงๆ แล้วไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรร้าย ทุกสิ่งถึงที่สุดล้วนคงอยู่เพียงชั่วคราว แล้วที่สุดก็ว่างเปล่า ถ้าเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับใจแล้วเรารู้ทันความคิด เราจะไม่ทุกข์เพราะความคิด แต่ถ้าเมื่อไรความคิดเกิดแล้วเรารู้ไม่ทัน เมื่อนั้นเราจะทุกข์จากความคิด

หลังจากที่ศิษย์ฟังสามวันนี้ขอให้เป็นนักปฏิบัติธรรม อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม อยู่เพื่อให้ธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองกิเลสแล้วก่อเกิดเป็นเวรกรรมดีไหม (ดี) สิ่งใดที่ทำแล้วก่อเกิดเป็นธรรมจงทำ อาจารย์พูดไม่ใช่เรื่องยากแต่ปฏิบัติยากไหม ขอเพียงมีความเพียรและตั้งใจ เอากลับไปพิจารณาต่อนะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นักธรรมที่ดี”)

เพลงเพราะก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่ได้เอาไปย้อนใช้ ไม่ได้เอาไปหยั่งรู้ให้เห็นแท้ความจริงในใจตนเอง การฝึกฝนบำเพ็ญธรรม สิ่งที่น่ากลัวจึงไม่ได้อยู่ที่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ รู้เท่าทันใจตัวเองไหม เพราะโลภ โกรธ หลง แท้จริงมันไม่มีตัวตน แต่มันมีตัวตนเพราะเรายึดติด เพราะชอบมัน ฉะนั้นเรากำจัดมันได้ เราอย่ามัวแต่กำจัดกิเลสจนลืมกำจัดที่อยู่ของกิเลส ให้มันตั้งอยู่นานแล้วเมื่อไรจะเอามันออกไปจากใจ มีใครบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โลภ โกรธ หลง มันไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่มองไม่เห็นชัด แล้วก่อเกิดเป็นความโลภ ใจที่มองไม่เห็นโลกกระจ่าง จึงก่อเกิดเป็นความหลง เงินมันแค่ต้องใช้แต่บางครั้งมันก็ไม่ต้องใช้เงินในทุกเรื่อง อย่างน้อยเงินก็ซื้อความสุขและความพ้นทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าหลงเงินมันจะทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายแล้วทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าใช้เงินอย่างขาดศีลขาดธรรม

เมื่อเวลาใดที่ไม่มีตัวเรา เวลานั้นจะเป็นเวลาที่มีความสุข เมื่อเวลาใดที่เราว่างจากความยึดถือในตัวเรา เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่ว่างจากความทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ สิ่งนี้ก็ของฉัน สิ่งนั้นก็ของฉัน เมื่อยึดติดจึงหนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเราจะยึดจนทุกข์หรือเรียนรู้แล้วไม่ยึด ยืมใช้แล้วปล่อยวางหรือยืมใช้แล้วหน่วงเหนี่ยวไว้เป็นของเราตลอดเวลา

เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่พยายามควบคุมทุกสิ่งให้ต้องเป็นดั่งใจฉัน ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แม้ตัวเองจะเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งใดก็ตามก็จะไม่ยึดติด แม้จะบำรุงเลี้ยงร่างกายหรือบำรุงเลี้ยงใครก็ตามก็จะไม่เห็นแก่ตน ไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตน มีแต่ความดีเพื่อให้และให้ เมื่อนั้นความดีของศิษย์อันนั้นจะเป็นความดีที่แท้จริงและไม่มีวันเลือนไปจากโลกใบนี้ แต่ศิษย์ของอาจารย์ สิ่งนั้นฉันก็จะคุม สิ่งนี้ฉันก็จะหวัง สิ่งนั้นฉันก็จะเอา สิ่งนี้ฉันก็ต้องได้ เลี้ยงมาแล้วมันต้องได้ดั่งใจ ดูแลมาแล้วมันต้องดีใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยสังขารดีได้ดั่งใจไหม นิสัยดีได้ดั่งใจไหม แม้แต่ตัวเองยังคุมไม่ได้ทำไมยังคิดจะไปคุมคนอื่น แปลกจริงที่ไหนอร่อยรู้หมด ที่ไหนสนุกรู้หมด ที่ไหนน่ารื่นรมย์รู้หมด แต่มีอยู่ที่ใจที่เดียวที่ทำอย่างไรให้ดีที่สุดและสงบที่สุดไม่เคยรู้ ใช่ไหม

คนเราเจ็บแล้วอย่าเจ็บซ้ำในเรื่องเดิมๆ ถ้าเจ็บซ้ำในเรื่องเดิมๆ แปลว่าไม่ฉลาด แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนั้น รู้ว่าโมโหไม่ดีก็ยังโมโหแล้วโมโหอีก รู้ว่าโลภแล้วทำให้ผิดศีลขาดธรรมก็ยังโลภอีก แล้วถึงที่สุดก็หนีไม่พ้นอบายภูมิและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย

(ไม่คาดหวัง) ถ้าอยู่ในโลกอย่างไม่คาดหวังเราก็จะไม่ผิดหวัง ปล่อยวางความคิดได้ ยอมรับในทุกสิ่งด้วยจิตใจที่กล้าหาญ

(ฝึกการให้ ฝึกให้คนอื่นก่อน) ฝึกให้มากกว่าเอา

(มีศีลธรรมป้องกัน) ศีลคือตัวป้องกันใจ คุณธรรมคือตัวป้องกันกายที่จะไปกระทบผู้อื่น เพราะฉะนั้นมีแต่ศีลแต่ขาดธรรมก็ไม่ได้ คุณธรรมในการอยู่ร่วมกันคือหัวใจที่มีความเมตตา

(ไม่โกรธไม่โลภไม่หลง) ทำได้หรือ อาจารย์ขอแค่อย่างเดียว ทำอย่างไรให้ตลอดชีวิตไม่โกรธเลย (ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธ) ใครเอาอะไรไปก็ (ไม่โกรธ) ใครเอาสามีไปก็ (ไม่โกรธ) ใครทำร้ายลูกเราก็ (ไม่โกรธ) ใครทำร้ายเราก็ (ไม่โกรธ) ทำได้อย่างนี้ก็ดีนะศิษย์เอย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผลและเหตุปัจจัย ถ้าทำแล้วสิ้นเวรสิ้นกรรมปลดปล่อยวางได้บางทีเราก็ต้องยอม เคืองแค้นไป โกรธไปก็มีแต่เจ็บ

(ต้องชนะใจตนเอง) (คิดดีทำดี ไม่หวังโลภจากคนอื่น) แล้วอย่าลืมละชั่วด้วยนะ (ขัดจิตให้สว่างสงบจะได้มีธรรม ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง) เอาอะไรขัดดีศิษย์ (เอาใจ) เอาใจขัดกับใจใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเจออะไรที่ขัดใจก็ต้องขอบคุณ และถ้าเจออะไรที่ถูกใจก็ต้องเอามาขัดใจด้วย ถ้าเจออะไรถูกใจแล้วดีใจ แบบนี้เรียกว่าไม่ได้ขัดใจ ถ้าอยากขัดใจง่ายๆ ทำใจให้ว่าง ไม่มีคำว่าตัวตนอยู่ในใจถูกไหม (ไม่ยึดติดแล้วปล่อยวาง) ถึงเวลายึดติดไหม เงินก็ไม่ยึดใช่ไหม สามีก็ไม่ยึดใช่ไหม

สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำให้เราสามารถพ้นจากโลภ โกรธ หลง ได้ก็คือ อยู่เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป สังขารเราก็ยืมเขาใช้ ยืมธรรมชาติใช้ ถึงเวลาก็ต้องวาง เพราะธรรมชาติก็ต้องเรียกคืนกลับสู่ธรรมชาติ จึงมีคำกล่าวว่า ถ้าเมื่อใดมนุษย์ประจักษ์ชัดในหลักสัจธรรม และมีจิตตรงเที่ยงต่อ สัจธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นบาปพ้นบุญ และสามารถกลับคืนสู่สภาวะความว่างได้ แล้วจิตที่ตรงเที่ยงต่อสัจธรรมหรือสภาวะธรรมนั้นก็คือ จิตที่เห็นชัดต่อโลกใบนี้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ เมื่อเข้าใจและหยั่งรู้จนเห็นชัด ศิษย์จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โดยที่ไม่ต้องพยายามกดใจตัวเองเลย

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก รักษาใจเดิมแท้อันนี้ไว้ อย่าปล่อยให้ใจนี้แปดเปื้อนไป เพราะความไม่รู้และหลงผิด ตกเป็นทาส โลภ โกรธ หลง เลยนะ จิตดีงามมันมีอยู่ในใจศิษย์แล้วนะ เราอยู่เพื่อกายหรือกลับคืนสู่สภาวะธรรม เราอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาหรืออยู่เพื่อตื่นรู้ในธรรม ธรรมอันแท้จริงในตัวตน ที่ทำให้เราตื่นและเบิกบาน และพ้นทุกข์ด้วยสติ

รักษาใจอันดีงามไว้นะศิษย์ อย่ายอมแพ้เพียงเพราะความโลภ โกรธ หลง ที่ศิษย์มองไม่เห็นชัด เมื่อไรที่ศิษย์เห็นชัดศิษย์จะรู้ว่า ไม่ควรเลยที่จะเอาชีวิตทั้งชีวิต ไปพลาดผิดเพราะความโลภ โกรธ หลง และทิ้งปัญญาอันดีงาม ปัญญาที่ทำให้ศิษย์ตื่นรู้และพ้นทุกข์น่าเสียดายนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ เข้มแข็งนะไม่ว่าเจอเรื่องอะไร

มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะศิษย์เอย ถ้าฉุดศิษย์พ้นทุกข์ได้ เวลานี้อาจารย์ก็อยากจะดึงให้พ้นทุกข์ รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล มีศีลธรรมคุ้มครองชีวิตและจิตใจ อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง มุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด บำเพ็ญธรรมอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นให้ตื่นรู้และพ้นทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมุ่งมั่นก้าวเดิน

สังขารเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญคือจิตใจต้องเข้มแข็ง ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของสังขาร แต่จิตใจเข้มแข็งและตื่นรู้ เรามุ่งมั่นทำให้ถึง ไปให้สุดกำลังเท่าที่ตัวเองจะทำได้ อย่าหลงกับโลก อย่าให้เสียชื่อที่เป็นศิษย์ของอาจารย์ ทำให้อาจารย์ภูมิใจ ให้อาจารย์มั่นใจ ทำให้อาจารย์เชื่อใจว่าศิษย์จะไปให้ถึง เดินจนถึงที่สุด แม้กายจะเจ็บ แต่ใจจะหนักแน่นมั่นคง แม้กายจะสูญสลาย แต่หัวใจแห่งความเป็นพุทธะยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง สังขารเจ็บเป็นทุกข์เป็นธรรมดา แต่จิตเราพ้นทุกข์ได้ด้วยความตื่นรู้

อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ หัวใจที่ดีงามจะมีอยู่ในใจศิษย์ตลอดไป หัวใจแห่งความมั่นคงและงดงามจงคงอยู่ต่อไป อย่าแพ้ใจตัวเองนะ เข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ กลับมาร่วมเดินหนทางที่ศิษย์เคยทอดทิ้งไปนาน หนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์และนำพาให้ผู้คนพ้นทุกข์ ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ในจิตที่ตื่นรู้ในธรรมนะศิษย์

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นักธรรมที่ดี”

การจะคิดออก ออกเหมือนนักธรรม มีธรรมะกันแบบประจำ บางสิ่งอันสำคัญนึกออก ธรรมะแทรกอยู่ในทุกตอน ดึงธรรมะที่ไม่อาจสอน มาส่งออกไป

ชนะใจตนเอง กิเลสแพ้ทางคุณธรรม ลดละกายกรรมต่อกันไว้ พิชิตไฟอารมณ์ที่หมักหมมมานานเกินไป ฝึกจนไร้จนว่างไป

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-16 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์

西元二○一七年歲次丁酉十月二十九日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                        สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ใครช่วยตนไม่สู้ตนพึ่งตัวเอง            แม้แสนเก่งยังมีเรื่องทำไม่ได้
พยายามด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย           พ้นเวียนว่ายเป้าหมายนี้ใช้ปัญญา
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

  แม้ความจริงนั้นยากเกินรับไหว        สำรวมตาไม่มองหูไม่ฟังบ้าง
เท็จหรือจริงตามตามกันต้องระวัง        เมื่อมองตามใจตนห่างไกลธรรม
เรื่องไม่คุ้นมั่นใจไปไร้ประโยชน์           ไม่สว่างเพราะใจโกรธดั่งจมน้ำ
จิตหมายรู้คิดวางต้องรีบทำ              หยุดไม่ทันจึงปล่อยกรรมลิขิตตน
บำเพ็ญได้ก็ยากตกทุกข์เวียนว่าย        บำเพ็ญได้ไม่เห็นไกลการหลุดพ้น
ปฏิบัติด้วยได้จริงกว่าจริงสู่คน           ยิ่งเกิดกิเลสปัญญาตนยิ่งลับคม
ตื่นจากความคิดแห่งตนซับซ้อน          เก็บอารมณ์จนเป็นก้อนโรคเพาะบ่ม
คนชอบใช้นิสัยนำธรรมหมดคม          คิดต่างหนาตนมองชมใจสบาย
บ่าวไม่ไปนายประหนึ่งดูว่านิ่ง                    ที่เห็นความจริงจริงอาจไม่ใช่
จิตตลอดมายึดติดใกล้เหมือนไกล              จิตหลงเพราะแต่ไหนกายพาเพลิน

                                                                                                       ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ฟังธรรมะง่วงไหม เหนื่อยไหม หลับไหม (หลับ)  ฟังธรรมแล้วจิตใจต้องกระปรี้กระเปร่า จิตใจโล่งเบาสบาย เเต่ทำไมยิ่งฟังหัวยิ่งหนัก ตกลงว่ามาฟังธรรมเพื่อหลับหรือมาฟังธรรมเพื่อปลุกจิตใจให้ตัวเราตื่น (ปลุกจิตใจให้ตื่น)  มาฟังเพื่อปล่อยวางหรือมาฟังเพื่อยึดมั่น (ปล่อยวาง)  มาฟังเพื่อสละความเป็นตัวตนหรือยึดถือความคิดแห่งตน (สละความเป็นตัวตน)
วันนี้มาฟังธรรมะ อย่ากดดันตัวเอง ปล่อยจิตให้เบา ฟังไปเรื่อยๆ ถ้ามัวแต่จมอยู่กับความคิด สิ่งที่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าปล่อยวางความคิดสิ่งที่เราฟังเราก็จะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ กระจ่างแจ้ง จริงหรือไม่ (จริง)
การมาเรียนรู้ธรรมอย่าใช้แค่ความคิด แต่ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรอง เพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลลงไปตามกิเลส นิสัย อารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรด้วยปัญญา ปัญญาจะทำให้เรารู้จักยั้งคิดและมองให้กว้าง ถ้าอยากฟังธรรมจงเปิดใจให้กว้างอย่าเอาแต่จมอยู่กับความคิด เพราะธรรมนั้นทำให้เราไม่หลงทำให้เราเกิดปัญญาในการเรียนรู้ความจริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ศิษย์น้องเอ๋ยบางทีการพยายามยกย่องหรือชื่นชมอะไรสักอย่างก็ทำให้อีกสิ่งหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  เหมือนศิษย์พี่ชมว่าคนนี้ดี และคนที่ไม่ได้ชมแปลว่าไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  งั้นเราควรชมหรือไม่ชม (ควร)  ถ้ามีใครทำดีสักอย่างแต่เราไม่เคยให้กำลังใจเลย เขาจะมั่นใจและทำสิ่งดียิ่งขึ้นไหม (ไม่)  ลองคิดดูนะ
สมมติศิษย์พี่มีศิษย์น้องสองคน คนหนึ่งมีความขยัน และอีกคนก็มีความดี แต่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ขยันแต่ก็ไม่ได้ดีมาก แต่พอเวลาเราชื่นชมคนนี้ว่าดีมาก เก่งมาก ให้เขามีกำลังใจในการทำสิ่งที่ดีมันก็เป็นสิ่งดี เขาทำอะไรเหมือนกันเราให้รางวัลเท่าๆ กัน คนที่ทำดีมากๆ เขาก็จะไม่รู้สึกว่าเขาอยากทำ เพราะว่าผลลัพธ์ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขี้เกียจเลย ถูกไหม (ถูก)  บางครั้งการชมอะไรแบบพร่ำเพรื่อ ชมแบบไม่มีเหตุ บางครั้งการชมคนหนึ่ง ก็กลายเป็นด่าอีกคนหนึ่ง จริงไหม (จริง) คนนี้ดีมากทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ส่วนอีกคนก็จะรู้สึกว่าตัวเราไม่มีอะไรดีเลยหรือ บางครั้งสิ่งที่ศิษย์น้องยกค่าให้สูง แท้จริงแล้วบางสิ่งนั้นมันไร้ค่าจริงๆ หรือ
ศิษย์น้องยกค่าว่าสิ่งนี้คือสุข เเท้จริงแล้วสิ่งที่ไม่เห็นค่า สิ่งนั้นเป็นทุกข์จริงไหม เรามักบอกว่าได้เงินคือความสุข สำเร็จคือความสุข คนชมคือความสุข แล้วคนด่าคนอื่นที่ไม่ให้เงินคือความทุกข์หรือ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกแดนสมมติ เราก็ติด “สมมติ” จึงไม่เข้าถึงคำว่า “วิมุตติ” ติดอยู่ในโลกสมมติก็ติดอยู่ในความสมมติไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรวางสมมติ ศิษย์น้องจะพบคำว่า “วิมุตติ” คือคำว่าพ้นทุกข์
มนุษย์สร้างกฎเกณฑ์แต่ผลสุดท้ายมนุษย์ก็ถูกกฎเกณฑ์ทำให้ตัวเองตาย มนุษย์เรียกกฎเกณฑ์ว่าความสุขเเต่ผลสุดท้ายกฎเกณฑ์ก็ทำให้มนุษย์ทุกข์ ฉะนั้นอะไรดี อะไรไม่ดี ความเข้าใจในความจริงอันเป็นกลางคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด การเอียงซ้ายเอียงขวาล้วนทำให้มนุษย์เวียนว่ายทุกข์สุขไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)
ถ้าอยากพ้นทุกข์ไม่ต้องติดทุกข์ไม่ต้องติดสุข ไม่ต้องติดดีไม่ต้องติดร้าย อะไรๆ ก็ได้ เราทำแบบนี้ได้แต่อยู่กับบางคนเขายังมีดี มีเสีย มีทุกข์ มีสุข จงเอาธรรมนี้เตือนใจตน หลักธรรมที่สำคัญสอนให้เรารู้ตน ไม่ต้องไปรู้เรื่องของใคร รู้ใจตนให้มากๆ เข้าใจตนให้มากๆ เเละนำพาตนให้ถูกทาง เมื่อเราถูกแล้วเราก็พ้นทุกข์ คนที่เกี่ยวข้องกันมาเห็นแล้วก็หมดทุกข์ไปด้วย
ถ้าทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ศิษย์น้องไม่ตัดสินว่าดีหรือร้าย ไม่ตัดสินว่าทุกข์หรือสุขคงจะดีไม่น้อย ถ้าเรามองแล้วตัดสินใจทันทีว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี เวลาใครพูดอะไรเเล้วตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินปักใจเชื่อ เราจึงหนีไม่พ้นดีเเละไม่ดี ทุกข์และสุข แต่ถ้าศิษย์น้องไม่ปักใจไม่ตัดสินก็จะไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลส เเละไม่มีผลที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ความผิดหวังความเสียใจ
โดยส่วนใหญ่ทุกคนอยากมีชีวิตที่สุขสบายไม่มีเรื่องไม่มีเคราะห์ภัย ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสวัสดิ์ มีแต่โชคดี อย่างนั้นไปเปลี่ยนชื่อเลยดีไหม (ไม่ดี) เปลี่ยนชื่อเป็นมงคล ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่มงคล ชีวิตจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ชื่อไหม (ไม่ใช่)  อยู่ที่ตัวเลขไหม (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่มักบอกว่าชะตาชีวิตไม่ดีไปเปลี่ยนชื่อ ไปเปลี่ยนเลขใหม่เผื่อจะเป็นมงคล แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แต่นิสัยยังเหมือนเดิมจะดีขึ้นไหม มงคลหรือไม่มงคลอยู่ที่เบอร์โทรศัพท์อยู่ที่ชื่อไหม อยู่ที่ความประพฤติไม่เคยทำดีก็ไม่มงคล ใจดีแต่ไม่เคยพูดอะไรดีๆ เลย อ้าปากทีก็ไปด่าเขา จะมงคลไหม (ไม่)  อยากมีชีวิตมงคลก็ไปทำบุญเยอะๆ ทำบุญให้ครบเก้าวัด ชีวิตจะได้มงคลฟาดเคราะห์ฟาดภัย แต่ศิษย์พี่ถามหน่อยนะทำดีตั้งเยอะแยะแต่ถึงเวลาบาปกรรมชั่ว นิสัยที่ชอบเอาเปรียบกินแรงคนอื่น ด่าคนอื่นลับหลัง ไม่ซื่อสัตย์ ไม่แก้ มันจะดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นอยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่สวัสดิภาพ อยากมีชีวิตที่มงคล อยากมีชีวิตที่สงบราบรื่น ควรแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ไปให้พระแก้ ไปให้วัดช่วยสะเดาะ กลับออกมาจากวัดยังด่าพระอีกจะมงคลได้ไหม
ธรรมใดหรือที่ยังโลกให้สันติสุข เคยได้ยินไหม เมตตาธรรมค้ำจุนโลกความละอายเกรงกลัวต่อบาปทำให้โลกสงบสุข ที่ใดไร้คนละอายเกรงกลัวต่อบาป ที่นั่นโลกย่อมพบภัยพิบัติ ฉะนั้นอยากมีความสุข อยากมีชีวิตสงบสุข ก็ต้องรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วเราละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม (นิดหน่อย)
มีคนหนึ่งตลอดชีวิตเขาทำบาปทำกรรมฆ่าคน แล้ววันนี้เขารู้แล้วว่าถ้าอยากให้ชีวิตมีความสงบเขาต้องหยุดฆ่า เขาต่อรองกับพระพุทธะบอกว่าปกติฆ่าทุกวัน ตอนนี้ฆ่าวันเว้นวันได้ไหมจะช่วยให้ดีขึ้นไหม (ไม่)  แล้วที่บอกว่าละอายเกรงกลัวต่อบาปมีไหม แล้วจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นไหม แล้วเราเป็นประเภทกล้าทำบาป ไม่กล้าทำสิ่งถูกหรือเปล่า อย่าเอามือไปให้คนอื่นดู เเต่ลืมดูมือตัวเองว่าทำอะไรไปบ้าง อย่าเอาชีวิตไปให้คนอื่นเขาช่วยทำนายบอกทาง แต่เราไม่รู้จักนำทางตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าผู้มีปัญญาหรือ แล้วตัวเราไม่ฟังใคร ฟังแต่หมอดู คนในบ้านพูดไม่ฟังเเต่หมอดูบอกอะไรก็เชื่อ นั่นคือนิสัยตัวเราเองล้วนๆ แล้วต้องให้คนอื่นมาบอกหรือ เเค่หันมองเเล้วยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากมีชีวิตสุขสงบไม่ใช่แค่ทำดีแล้วพอ ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสงบต้องละชั่ว ถึงจะเรียกว่าดี ดั่งที่มนุษย์บอกว่าโรคภัยเข้าทางปากเคราะห์ภัยออกจากปาก กินอะไรไม่ระวังก็หาโรคมาสู่ตัว พูดอะไรไม่รู้จักคิดก็หาภัยมาหาตน ปรารถนาชีวิตสงบแต่ทำไมไม่รู้จักพอ ปรารถนาชีวิตมีสุขทำไมไม่รู้จักยินดีในสิ่งที่มี เมื่อไม่พอจึงไม่สงบ เมื่อไม่เคยยินดีในสิ่งที่มีสิ่งที่ได้มาจึงไม่มีความสุข ถ้าอยากพ้นเคราะห์เวรกรรม เราต้องไม่ทำชั่ว ไม่ทำบาป แต่หลายคนมักบอกว่า โอกาสทำดีนั้นทำยาก ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสงบบาปกรรมเราต้องไม่สร้าง
คนมักจะพูดว่าทำดีทำยาก ทำชั่วทำง่าย แล้วศิษย์น้องเคยได้ยินไหม โอกาสของคนทำชั่วมีเสมอสำหรับผู้ขาดธรรมในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกวันเรามีโอกาสทำดี แปลว่าเรามีธรรมอยู่เสมอ แต่ถ้าทุกวันเราทำชั่ว แปลว่าเราไม่เคยมีธรรมในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องอยากมีชีวิตที่สงบสุข พ้นเวรพ้นภัย เราก็ไม่ควรทำชั่ว เพราะผลของความชั่วมักจะแผดเผาคนที่ทำชั่วในภายหลัง ถ้าเราจะมีเหตุในอนาคตที่ไม่ดี เราจะทำชั่วไหม (ไม่ทำ) ศิษย์น้องชอบความทุกข์ไหม อยากมีชีวิตที่มีแต่ทุกข์ไหม (ไม่ชอบ)  ความทุกข์คือผลของกรรมชั่ว ผลของบาปที่เราผิดศีลขาดธรรม ถ้าเราไม่อยากมีทุกข์เราจะทำกรรมชั่วไหม (ไม่ทำ)  ในเมื่อทำชั่วแล้วมันก็ให้ผลแผดเผาและเป็นทุกข์ เราอยากทำไหม (ไม่อยาก)  ไม่มีแรงใดเสมอแรงกรรม ไม่มีกำลังใดน่ากลัวเท่ากับกำลังแห่งกรรมชั่ว เมื่อมันตกผลแล้ว ต่อให้หนีสุดหล้าฟ้าเขียวเราก็หนีไม่พ้น อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่แจ้ง อย่าทำสิ่งที่ผิดศีลขาดธรรมต่อชีวิตตน เพราะอนาคตต้องรับผลทุกข์เป็นแน่แท้ หรือแม้แต่ปัจจุบันก็หนีไม่พ้นไฟเผาใจที่รู้อยู่เเก่ใจว่าทำผิด
ตอนเด็กๆ ใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ยกมือขึ้น ขนาดพ่อเเม่เรายังทำได้ ต้องระวังให้มาก อะไรเรียกว่ากรรมชั่ว อะไรเรียกว่าความไม่ดี ความชั่วที่ก่อเกิดเป็นบาปกรรม (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น รู้ว่าผิดก็ยังทำ) ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เหมือนห้ามบ่นห้ามโกรธก็ยังอดใจไม่ได้ ใส่ร้ายป้ายสี (ไม่มีความซื่อตรง)  บางครั้งอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเราประมาทเรื่องเล็กก็ทำให้ชีวิตเราพังได้ อย่ามองว่าเป็นบาปกรรมนิดๆ หน่อยๆ เมื่อรวมตัวกันตกผลก็น่ากลัวได้ ใช่หรือไม่ต้นเหตุของบาปกรรมและความทุกข์มาจากไหน (การกระทำของเรา ความคิด, ตัวเอง)  กิเลสและความคิดตัวเอง (มาจากกิเลสความชั่วกับความเห็นแก่ตัวเอง)  ทุกอย่างที่เป็นบาปกรรมก็เพราะว่าเราเห็นแก่ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์เราหนีไม่พ้นทุกข์ในโลกนี้ เรารู้จักโลกก็เพราะความอยาก เราเจ็บช้ำในโลกก็เพราะเรายึดอย่างไม่ปล่อยวาง และเราไม่มีวันพ้นโลกก็เพราะเรามองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม ก็ควรหยุดการสร้างบาปสร้างกรรม เหตุแห่งการเวียนว่ายล้วนเกิดมาจากตัวตนที่อยากได้ใคร่ดี ใช่ไหม (ใช่)  
เราก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่ทำให้เจ็บช้ำ เพราะอยากแล้วก็ทำให้เรายึด ถ้าเมื่อไหร่เห็น ช่วงใช้ แล้ววางทิ้งนั่นเรียกว่า “ธรรม” แต่ถ้าเมื่อใดเห็นแล้วอยากแล้วยึด ไม่ปลดปลง ไม่ปล่อยวาง นั่นเรียกว่า “โลภ” เราอยากทำดีแต่บางครั้งเราก็ละชั่วไม่ได้ แล้วต้นเหตุของความชั่วมาจากไหน ก็มาจากตัวตนที่อยากได้ใคร่ดีจนลืมผิดชอบชั่วดี แล้วพออยากเสร็จเราก็หนีไม่พ้นทุกข์เพราะเราอยากแล้วเรายึดว่ามันต้องได้ มันต้องดี แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นชัดเราก็จะพ้นโลกได้ เราทุกข์ในโลกก็เพราะยึด หนีไม่พ้นในโลกก็เพราะไม่เคยเห็นแจ้งจริง เมื่อใดที่เราอยู่ในโลกมองเห็นสรรพสิ่ง รู้จักใช้แล้ววางลงได้ นั่นเรียกว่าธรรม แต่ถ้าใช้สรรพสิ่งอย่างยึดมั่นเเละไม่ปลดปลงก็เรียกว่าทุกข์ หากไม่อยากทุกข์ เมื่อเราแสวงหาอะไรมาใช้แล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ต้องยึดมั่นจนก่อเกิดทุกข์ จะได้จะเสียก็ไม่เป็นไร นี่เรียกว่ายืมใช้ เเต่มนุษย์ใช้แล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ครอบครองเเละหวังว่าต้องให้เป็นไปตามใจเรา จึงมีคำพูดว่า “ยิ่งคิด ยิ่งพูดก็ยิ่งยึดติด ยิ่งจำก็ยิ่งไม่จบ” ถ้าเราเลิกคิด ยอมรับความจริงก็จบได้ แต่มนุษย์ไม่ยอมให้จบ เอาเรื่องมาเล่าต่อ สร้างวิบากกรรม สร้างกรรมไม่จบสิ้น เห็นใครไม่ดี ก็เอาไปเล่าต่อๆ แล้วก็จำฝังใจ แล้วก็ก่อเกิดเป็นบาปกรรม ถ้าอยากเข้าใจธรรม เมื่อเห็นอย่าเพิ่งตัดสิน เมื่อมองอะไรอย่ายึดติด 
ศิษย์น้องเคยโดนคนว่าไหม เคยโดนคนโกงไหม เคยโดนคนทำร้ายไหม (เคย)  แล้วคนที่ว่าเอาเปรียบ โกง ทำร้าย ดีไหม (ไม่ดี)  เราเคยว่าแม่ไหม (เคย)  เราเคยเอาเปรียบพ่อแม่ไหม (เคย)  เราเคยแอบด่าพ่อแม่ไหม (เคย) แล้วศิษย์น้องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วเราไม่ดีจริงๆ ไหม (ไม่ดี)  ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเราที่โดนเขาโกง โดนเขาด่า เขาไม่ดีจริงๆ ไหม ก็ไม่ใช่ ศิษย์พี่จะบอกต่อว่า ถ้าศิษย์น้องรู้จักเรียนรู้ธรรม ธรรมจะสอนว่า อย่าทำอะไรตามความคิด อย่าทำอะไรตามความรู้สึก แต่จงทำด้วยสติ เพราะเมื่อไหร่ที่ทำอะไรด้วยความคิด ทำอะไรด้วยความรู้สึก มันง่ายที่จะวุ่นวาย และมันง่ายที่จะไหลลงตกไปเป็นพวกของความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ถ้าทำอะไรด้วยสติ มันจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง เห็นจริง และสงบ แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำอะไรมักชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง มันคือรากเหง้าของความโลภ โกรธ หลง และอารมณ์ก็เป็นต้นเหตุของกิเลสทั้งมวลที่ก่อให้เกิดทุกข์และบาปกรรม ฉะนั้นทำอะไรเราจึงไม่ควรใช้อารมณ์ ใช้ความคิด ใช้ความรู้สึก แต่ควรใช้สติ เพราะในโลกของความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนมีหลายสิ่งซ่อนอยู่ สิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ามันดี หรือสิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ามันไม่ดี แท้จริงแล้วมันมีกลลวงอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ ถูกไหม (ถูก)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้น)
สมมติว่าถ้าคนนี้ไม่ดี เเต่ถึงที่สุดในชีวิตของคนจมอยู่กับตรงนี้ไหม จะพูดอะไร ทำอะไรเดิมๆ ไหม (ไม่)  ความไม่ดีของเขาแค่ไม่ดีตรงนี้ สมมติว่าศิษย์พี่ไม่ได้มีอารมณ์อะไรเเต่เเค่ไม่ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนตัวดำ พุงใหญ่ สักลาย รู้สึกไม่ดี เป็นอารมณ์ล้วนๆ เราไม่มีเหตุผลแค่เห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบ ถ้าเราทำอะไรแล้วใช้แต่อารมณ์ เราจะมองเห็นสิ่งที่มากกว่านั้นไหม (ไม่เห็น) เราก็จะรู้สึกว่ามันไม่ดี เเละไม่ดีจนจบ เคยได้ยินไหมว่าทุกสรรพสิ่งในโลกในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย ในมืดก็มีสว่าง ในอ้วนก็มีผอม ในเตี้ยก็มีสูง ถ้าเราหมั่นใช้สติเเละพิจารณาจนบังเกิดธรรม เราจะไม่ก่อเกิดกิเลสที่นำพาให้เราประพฤติผิดชั่ว เพราะความคิดเเละนิสัยของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คิดต่ำมากกว่าคิดสูง คิดร้ายมากกว่าคิดดี ถ้าศิษย์น้องอยากหยุดกิเลส หยุดบาป หยุดกรรม ศิษย์น้องต้องหยุดการตามใจตัวเองเเละทำอะไรเอาแต่อารมณ์ธรรมไม่ได้สอนให้เราจมอยู่กับความคิด เพราะความคิดนิสัยอารมณ์ ง่ายที่จะพาให้มนุษย์หลงผิด ทุกคนมีทั้งดีและไม่ดี และเมื่อเราตอกย้ำตัวเองอยู่อย่างนี้ เข้าใจตัวเองอยู่อย่างนี้ เวลาโดนเขาว่า เราจะได้ไม่โกรธ เมื่อเจอคนที่ไม่ดีเราก็จะไม่โกรธ อยากจะพ้นทุกข์ จงเห็นจริง ความเห็นจริงคือทุกสิ่ง ไม่เคยมีอะไรเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา ใครจะยิ้มได้ตลอดเวลาถูกไหม (ถูก)  ร้องไห้บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องทำให้ร้องไห้ก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  เจอเรื่องสูญเสียก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริง เห็นโลกชัดเราจะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ถ้ายังหลงยึดมั่นก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วก็สร้างวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วก็ต้องไปชดใช้กรรมไม่จบสิ้น บาปกรรมแห่งการหลงผิดที่คิดว่า ผิดนิดผิดหน่อยไม่เป็นไรช่างมัน กรรมชั่วช่างมัน เชื่อไหมว่าต่อให้พุทธะอยู่ตรงหน้าก็นำให้ท่านพ้นทุกข์ไม่ได้ แล้วกรรมนี้ถ้ามันฝังลงไปในจิต ต่อให้เกิดกี่ภพกี่ชาติ มันก็ทำให้ศิษย์น้องไม่มีวันพ้นทุกข์ได้เลย
ทุกสิ่งที่เราเห็น แต่จริงๆ แล้วเราก็เหมือนไม่เห็น บางครั้งเราคิดว่ามันดีแต่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะ (ไม่ดี)  บางครั้งเราก็อาจคิดว่ามันไม่ดีแต่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะ (ดี)  ถ้าเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ยึดมั่นกับความคิด สิ่งใดจะทำให้เราโกรธ สิ่งใดจะทำให้เรารัก สิ่งใดจะทำให้เราทุกข์ได้ใช่ไหม (ใช่) ธรรมสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าความจริง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดติดแต่ความคิดในตัวตน เพราะเรื่องราวในโลก เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต ล้วนหมุนเปลี่ยนแปรผัน ไม่มีอะไรคงที่และตายตัว แต่สิ่งที่คงที่และตายตัวคือความรู้สึกที่ยึดมั่นในตัวตน มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องปล่อยวางความคิด
แต่ใครที่จะรู้ทันความคิดจนสามารถปล่อยจนไม่ทุกข์ได้ จะปล่อยได้ต่อเมื่อเราเห็นแจ้งชัด ฉะนั้นการเข้าใจหลักความจริง การเข้าใจหลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่าถ้าเราทุกข์ อย่ามัวแต่แก้คนอื่น ถ้าเราทุกข์อย่ามัวแต่เปลี่ยนแปลงคนอื่น เเต่เราต้องกล้ารับความจริง เเละยอมรับได้ไหมถ้าทุกสิ่งไม่เป็นดั่งใจคิด มีอะไรเป็นดั่งใจศิษย์น้องบ้าง ถ้ามีบ้างไม่มีบ้างก็จะสุขบ้างทุกข์บ้าง หรือว่าควรเห็นชัดจริงสักทีบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อใดที่มีสติจนเป็นปกติเราจะไม่หลงในอวิชชา เเต่จะสามารถดูจิตใจไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ตาม ถ้าทำได้เราจะพ้นบ่วงมารที่เรียกว่าความทุกข์ได้ ศีลคือความปกติ เมื่อมีสติจนจิตปกตินั่นเรียกว่าผู้มีศีล ถ้าเมื่อใดสามารถห่างไกลกรรมชั่วได้เเละดำเนินชีวิตปกติจะเป็นผู้ที่มีศีลโดยที่ไม่ต้องพยายามบังคับให้ตัวเองมีศีล เเต่ถ้าเมื่อใดศิษย์น้องโมโหแล้วบอกให้ใช้เมตตา ใช้ขันติ นั่นเเปลว่าศิษย์น้องผิดปกติ การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรากลับมาสู่ความปกติเเละเรียกว่าคนมีศีลธรรม โดยเป็นธรรมดา
ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์น้องมีความโลภโกรธหลง นั่นเรียกว่าคนผิดปกติ เมื่อใดที่ศิษย์น้องไม่มีอารมณ์อะไรครอบงำนั่นเรียกว่าปกติ โลภโกรธหลงไม่มีตัวตนเเต่ชอบอาศัยกับคนที่ยึดติด เมื่อเราไม่ยึดติดเราจะมีอะไรที่ทำให้เราโลภโกรธหลงแล้วทุกข์สุขดีร้าย ถ้าเราไม่ตัดสินว่าอะไรร้ายอะไรดี เมื่อนั้นคือทางสายกลางที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ เเต่มนุษย์ตัดสินว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ เเล้วในที่สุดก็เรียกสิ่งที่ชอบว่าสุข สิ่งที่ไม่ชอบว่าทุกข์ ผลสุดท้ายก็หนีสุขเเละทุกข์ที่ตัวเองยึดติดไม่พ้น แล้วจึงก่อเกิดเป็นบาปกรรม แล้วมาสร้างกรรมดีเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องมีกรรมชั่วมาทำลาย ไม่ต้องมาเจอเภทภัย
ธรรมสอนให้เรากลับสู่ความปกติ เมื่อปกติเราก็สงบสุข ไม่ก่อบาปกรรม เเละไม่ต้องพยายามเป็นคนดีเพื่อหนีกรรม มีความน่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งคือ มนุษย์ยังระงับความอยากไม่ได้ อยากแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ทุกข์เเละหนีไม่พ้น ฉะนั้นจำที่ศิษย์พี่บอกไว้ “เห็น ช่วงใช้ แล้ววางได้ ปลดปลงได้ เรียกว่าธรรม แต่ถ้าเห็นแล้วช่วงใช้ยึดมั่น ยึดติดและปลดปลงไม่ได้ เรียกว่า โลภ” ศึกษาธรรมอย่ามัวแต่สงสารตัวเอง เห็นว่าตัวเองน่าสงสาร เราจะตีกรอบแบ่งแยกและยึดติด และเรียกคนนั้นว่าดี คนนี้ไม่ดี แต่เมื่อใดเราศึกษาธรรม เปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง เราจะไม่แบ่งแยก เราจะไม่ยึดติด เราจะไม่ตีกรอบ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้
ฟังศิษย์พี่พูดถ้าไม่มีสติ จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามีสติแล้วคิดตาม ศิษย์น้องจะได้ปัญญาที่นำพาให้ศิษย์น้องพบความสว่าง ไม่ต้องสว่างตอนตาย แต่สว่างตอนมีชีวิต ไม่ต้องรอพ้นทุกข์ตอนตาย ต้องพ้นทุกข์ตั้งแต่ตอนมีชีวิตธรรมมีไว้ปลุกให้เราตื่น
วันนี้คงมีโอกาสมาผูกบุญกัน แต่สิ่งสำคัญคือขอให้มีสติรู้จักยั้งคิด อย่าทำอะไรเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ เรื่องราวในโลกมีเกิด มีดับ บางครั้งความดับไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าใจ แต่บางครั้งความดับและการสูญเสียอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้พ้นทุกข์พ้นโศกก็ได้ เกิดเป็นคนอย่ากลัวการสูญเสีย เกิดเป็นคนอย่ากลัวการเสียเปรียบ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้เปรียบใคร จำไว้นะศิษย์น้อง โดนใครเอาเปรียบ โดนใครกินแรง ในโลกนี้ไม่มีใครเอาเปรียบใครได้แท้จริง เมื่อยังตกอยู่ในเหตุและผลของการเวียนว่ายอยู่ในกระแสวิบากกรรม เมื่อเขามาให้เราได้ใช้กรรม แล้วเราอยากจะเกี่ยวกรรมต่อหรือจะจบเวร จบกรรม (จบเวร จบกรรม)  ถ้าจะจบเวรจบกรรมควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ควรจะด่าไหม (ไม่ควร)  ควรจะนินทาไหม (ไม่นินทา)  ควรจะต้องไปสะเดาะเคราะห์ไหม (ไม่)  ชีวิตอยู่ที่การเรียนรู้ถ้าเรียนรู้จนเห็นธรรมจะได้พ้นทุกข์ ไม่ใช่เรียนรู้แล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิม น่าเสียดาย จริงไหม (จริง) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะได้ไหม (ได้)  เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วปล่อยวางจะได้ไม่ทุกข์ แต่รู้เขาไม่สู้รู้เรา แก้ไขคนอื่นไม่สู้แก้ไขที่ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อย่าถือตัวดื้อดึงมีทิฐิ                    คนชอบติบ่นว่าจึงก้าวหน้า
ใช้อารมณ์ผสมโรงหักด้ามพร้า            ใช้ความกล้าไม่ไตร่ตรองย่อมอันตราย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

  ความคิดความในใจช่างร้อนรน         ชวนตนปลงจริงเท็จล้วนระหกระเหิน
รู้ปัจจุบันคือความจริงไม่ขาดเกิน         ลาภยศเงินที่สุดไม่เคยพอ
มั่นยึดแล้วสุดชีวิตไปทางไหน             ได้อะไรไม่ได้อะไรกันบ้างหนอ
ปลงคงแคล้วติดไม่ตามรังควานต่อ       ไยต้องทุกข์หนอคนแค่ปล่อยวาง
ศิษย์เอ๋ยอย่ากล้าทำบาปทำกรรม        อย่ามัวฝันจงทำดีทุกอย่าง
สติรับเพื่อตื่นรู้สู่ความว่าง                ซื่อความจริงเพื่อมิคว้างสู่อบาย
จริงใจต่อทุกคนใสดั่งน้ำ                  กุศลทำใครรีรอแล้วทำไม่ได้
คนซื่อตรงต่อความจริงสุขฤทัย           ไม่ทำผิดพลั้งไปหลอกลวงตน
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราอยู่ในโลกเราเบื่อการเป็นผู้ฟัง เราอยากเป็นผู้พูดมากกว่าเป็นผู้ฟัง เราชอบที่จะพูดมากกว่าที่จะฟัง แต่หลายครั้งปัญหาเกิดจากพูดหรือเกิดจากฟัง (พูด)  แล้วเราเคยหยุดไหม (ไม่หยุด)  มนุษย์ชอบที่จะแก้ปัญหามากกว่าหยุดสร้างปัญหา ปล่อยให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยวิ่งไปตามแก้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  หลายต่อหลายครั้งบางครั้งชีวิตมักพูดว่าไม่น่าเลย แต่เราก็ทำทุกที มนุษย์รู้จักที่จะก้าวเดิน แต่ลืมไปอย่างหนึ่งว่า บางครั้งต้องรู้จักหยุดให้เป็น อย่าก้าวเป็นแต่หยุดไม่เป็น อย่าเอาแต่โต้แย้ง บางครั้งต้องรู้จักนิ่งให้ได้ อย่าเอาแต่มั่นอกมั่นใจเพราะบางทีสิ่งที่เรามั่นอกมั่นใจมันอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้จริงก็ได้
ทำอะไรเอาแต่ถือตัวถือทิฐิว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง ไม่รับฟังคำติจากใคร ไม่รับคำเตือนจากใครย่อมเป็นอันตราย เมื่อไม่ฟังแล้วยังใช้อารมณ์ผสมเข้าไปย่อมมีแต่หัก บางครั้งพูดไปเพื่อความสะใจ พูดไปเพื่อความสบายใจ เเต่จริงๆ เเล้วกลายเป็นทุกข์ใจไม่ต่างจากเดิม เขาทำให้เราโมโหเราก็ว่าเขากลับ ว่ากันไปมาได้อะไรไหม (ไม่ได้)  สบายใจทั้งคู่ไหม (ไม่สบายใจ)  ทำดีมาแทบตายแต่หลุดบ่นมาเพียงหนึ่งครั้งความดีกลับสูญหาย บางครั้งอยู่แค่เสี้ยวขณะที่คิด เรามักพูดว่าคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก แล้วถ้าพ้นจากความนึกคิดในตัวตน (สบายไม่มีความคิดก็ไม่ทุกข์อะไร)  ใช่ไหม (ใช่) แต่เราเคยไปถึงความคิดตรงกลางนั้นไหม ส่วนใหญ่ชอบคิดไปทางที่ดีบ้างไปทางที่ร้ายบ้าง ธรรมะสอนให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่ถึงที่สุดมนุษย์กลับไม่เป็นกลางจริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางไหม (มี)  ก็แค่หยุด หยุดความคิดให้ได้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ทางสายกลางนั้นมีให้เราเลือกเดิน แต่เราไม่เคยฉุกคิด เราติดแต่เพียงว่าเราศึกษาธรรม เรามีชีวิตรู้แต่เพียงไม่ร้ายก็ดี ไม่ดีก็ชั่ว แต่เราลืมทางสายกลางที่อยู่ระหว่างดีและชั่ว ซึ่งทางสายกลางนั้นเรียกว่า ธรรมอันเป็นแก่นแท้ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์ เราจะแก้อย่างไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
มองธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่มองธรรมจงมองที่หลักธรรมความจริง เพราะไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลักธรรมก็ยังคงอยู่เช่นนั้น เราตอนนี้ศิษย์กำลังมองธรรมหรือมองแต่ตัวอาจารย์
ธรรมสอนให้เราปลดปลง ปล่อยวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดมั่นแล้วลุ่มหลง อาจารย์ก็ต้องชี้นำให้ถูกทาง ไม่ใช่ให้หลงผิด อาจารย์ควรชี้ให้ศิษย์พ้นทุกข์แค่หนึ่งเปราะ หรือพ้นทุกข์แล้วจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร (พ้นทุกข์จากการเวียนว่าย)  จะเอาแค่พ้นโรคพ้นภัยหรือว่าพ้นจากการเวียนว่ายในวัฎสงสาร ช่วยให้ศิษย์หายป่วยหนึ่งครั้ง ถ้าศิษย์ไม่รู้จักดำเนินชีวิตตัวเองให้เป็น ศิษย์ก็ต้องกลับมาป่วยอีก และถึงที่สุดทุกชีวิตก็หนีความเจ็บป่วยไม่ได้ สู้พ้นเกิดพ้นตายและไม่ต้องกลับมาเจ็บไม่ต้องกลับมาทุกข์ย่อมประเสริฐกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าศิษย์หวังจะเป็นเช่นนั้น ศิษย์ก็ต้องมองที่ตัวธรรม อย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะเห็นคนย่อมไม่เห็นธรรม ถ้าเห็นธรรมในผู้คนก็จะเห็นธรรมในใจตน แต่ทำอย่างไรหนอในเมื่อตาของมนุษย์นั้นฝ้าฟางเหลือเกิน เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้ก็เหมือนไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกใบนี้จะงดงามและน่าอยู่ได้ ก็ต้องมีคนที่กล้าเสียสละ คนที่กล้าทำอะไรมากกว่าผู้อื่นหนึ่งก้าว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะถ้าศิษย์อยากจะช่วยคนให้พ้นทุกข์ ศิษย์ต้องก้าวมากกว่าเขาหนึ่งก้าว แล้วเขาถึงจะตามศิษย์ เขาถึงจะเคารพให้เกียรติศิษย์ เขาถึงจะเชื่อฟังศิษย์ แต่ถ้าศิษย์ไม่ต่างอะไรกับเขา ศิษย์พูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์สบาย อาจารย์ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ยอมลำบาก นี่ถึงเรียกว่าผู้นำคน ผู้ที่จะฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์ ถ้าตัวเราอยากฉุดช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ แต่เราไม่มีอะไรที่ดีเด่นหรือเด่นในด้านคุณธรรม เราก็ไม่สามารถดึงใครให้ตามมาได้ ฉะนั้นถ้าอยากช่วยคนให้พ้นทุกข์ จงก้าวให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว จงดีให้มากกว่าผู้อื่น แล้วเชื่อไหมบางครั้งศิษย์ไม่ต้องพูดอะไรเลย เขาก็ยิ้มรับว่าคนดีมาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เรามุ่งมั่นศึกษาธรรม เริ่มต้นพื้นฐานคือเป็นคนดี ถูกต้องต่อศีลธรรมหรือยัง ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ ยังไม่สามารถมีศีลธรรมความเป็นคนที่ถูกต้องได้ ศิษย์เอ๋ยอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์เลย การพ้นเวียนว่ายก็คงเป็นเรื่องยาก รู้ว่าทำดีต้องทำมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว แต่ถึงที่สุดแล้วใครที่กล้าเริ่มทำ รู้ว่าการทำความดีต้องเสียสละความเป็นตัวตน ยอมลำบาก ใครที่คิดจริงจังจะทำจริงๆ มีแต่คนพูด มีแต่คนรู้ แต่ขาดคนทำ น่าเสียดายนะ
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นจะนั่งหรือไม่นั่ง)
ไม่ยอมลำบากสักหนึ่งก้าว ไม่ยอมสละตัวเองสักหนึ่งก้าว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผลของการทำดีมีค่าแค่ไหน
ผลของการอุทิศเสียสละทำให้เราปล่อยวางตัวตน เเล้วทำให้เราโปร่งโล่งสบายดีเช่นไร ยอมเก่าจึงได้ใหม่ ยอมถอยจึงได้ก้าวหน้า ยอมเสียสละจึงมีคนอุทิศให้
ชีวิตนี้ที่ยุ่งยากเพราะไม่รู้เเละพยายามบอกว่ารู้ วิธีการอยู่กับผู้คนอะไรคือการทำดี ถ้าทำดีต้องมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว เเละกล้าเสียสละนั่นคือทำดี ในเมื่อรู้ว่าชีวิตหนีไม่พ้นทุกข์เเละอดไม่ได้เมื่อมีเรื่องมากระทบ เรามักจะคิดดีหรือไม่ก็คิดร้าย การคิดดีก็ทำให้เราอดยึดติดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนดีจริง แต่เมื่อเขาทำร้ายเราก็เสียใจ เมื่อเราติดในความร้ายเราก็เป็นทุกข์ ทำไมเขาทำร้ายเรา ฉะนั้นจะพ้นจากความทุกข์ได้อย่างไร (ต้องเดินทางสายกลาง)  ทำอย่างไรให้ตัวเองพ้นทุกข์
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักจะกลัวความเหงา กลัวโดดเดี่ยวกลัวถูกทอดทิ้ง กลัวอ้างว้าง กลัวสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ มนุษย์เราทุกวันนี้ที่ทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามีเราแค่คนเดียวและเรายังเอาตัวไม่รอด หรือว่ามีทั้งเราแล้วก็มีคนอื่นและยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน อะไรที่ทำให้เราทุกข์มากกว่า (หลายคน)  ถ้าเราเห็นชัดว่า การทุกข์คนเดียวก็พอแล้ว เราอย่าไปเกี่ยวให้ทุกข์อีกมากมายเลย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เรามักคิดว่าเราเอาตัวไม่รอด อยู่คนเดียวไม่ได้ สูญเสียไม่ได้ เหงาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาตัวเปล่าแล้วเราก็มาคนเดียว สุดท้ายก็ต้องกลับไปตัวเปล่า ก็ต้องกลับไปคนเดียว ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เรากำลังสูญเสียอะไร เราก็แค่ได้กลับมาสู่ความจริงอันเป็นของเดิม ฉะนั้นเราแค่ได้กลับมาเร็วขึ้น อยู่คนเดียวไม่ได้หรือ รักเขามากกว่าตัวเองจนยอมฆ่าตัวตายเพราะเขาทิ้งหรือ รักเขามากจนยอมผิดศีลขาดธรรม นั่นคือเรารักตัวเองนั่นคือทำให้ตัวเองทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
ความเป็นจริงของโลกกำลังสอนให้รู้ว่าทุกชีวิต แล้วเมื่อถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ทางเดิมที่ตัวเองจากมา แล้วเราจะนำธรรมมาปลอบประโลมใจ หรือนำกิเลส ความเสียใจ ความทุกข์ใจ ความผิดศีลขาดธรรมมาทำร้ายใจ ธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อปลดปลงปล่อยวาง ไม่ได้สอนให้ยึดมั่นทุกข์ทนไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าศิษย์เป็นคนที่เรียนรู้ใคร่ปฏิบัติธรรม นำธรรมมาปลอบประโลมใจ นำธรรมมายั้งเตือนใจ หรือนำกิเลสอารมณ์ความผิดศีลขาดธรรมมาทำร้ายชีวิตให้อับจน ศิษย์เลือกได้ เพราะถึงที่สุดเเล้วไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากเราต้องดูเเลตัวเราเอง รักที่สุดก็ยังต้องต่างคนต่างไป ดีที่สุดก็ต้องต่างคนต่างไปไม่มีใครช่วยได้ ถึงเวลาป่วยคำพูดของใครก็ไม่มีประโยชน์นอกจากคำพูดของตัวเองที่ปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นสู้ หรือจะยอมเเพ้เเล้วตายไปเลยตรงนี้ ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาเป็นห่วงมารัก ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ไม่ห่วงตัวเองหรือ ถ้าตัวเองยังมีคุณค่าพอ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ความเจ็บปวดเเละกิเลสที่หลงผิดมาชักนำให้ศิษย์ต้องตกลงไปในอบายภูมิเเละเวียนว่ายไม่จบสิ้น ในเมื่อธรรมนี้เป็นทางสายเก่าที่สักวันชีวิตต้องเดินเเล้วทำไมไม่เดินให้ดีๆ เพราะชีวิตเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า อีกสิ่งที่หนีไม่พ้นคือเกิดมาพร้อมกับกรรม
กรรมนั้นมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้าตอนนี้ชีวิตจะกลับไปสู่ทางเก่า ซึ่งทางเก่านั้นควรจะเป็นทางที่สิ้นเวรสิ้นกรรมหรือเกี่ยวกรรมต่อไป (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  อย่างนั้นการที่ชอบต่อว่าเขาที่เขาทิ้งเรา การชอบด่าเขาให้รู้สึกเจ็บ การประชดตัวเอง นั่นคือการเกี่ยวกรรมหรือสิ้นกรรม (เกี่ยวกรรม)  ถ้าเขาทำเราเจ็บขนาดนี้ ถ้าเขาทิ้งเรา เจ็บแล้วต้องจำ ไม่ใช่เจ็บแล้วกลับไปเหมือนเดิม อย่างนี้เรียกว่าคนไม่ฉลาด ฉะนั้นเมื่อจำแล้วจะทำอีกไหม (ไม่ทำ)  ดังนั้นควรจะขอบคุณเขา ขอให้หมดกรรมกันชาตินี้ ไม่ติดค้างอะไรกันอีก ศิษย์เอ๋ยถ้าของนั้นจะเป็นของๆ เรา ทำอย่างไรก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าอยู่แค่ตัว แต่ใจเขาไม่ได้อยู่กับเรา จะรั้งจะยึดทำไมให้เจ็บปวด
โลกของความเป็นจริงมีสองด้าน มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีหน้ามือก็มีหลังมือ มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง ในเมื่อมีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีทุกข์ได้ก็ต้องมีสุขได้ อาจารย์ขอถามว่าสุขกับทุกข์ ดีกับร้าย อยู่กันคนละฟากฝั่งหรืออยู่ฝั่งเดียวกัน (คนละฟากฝั่ง)  ถ้าเลือกมองแต่ข้างหน้าแล้วเจ็บแล้วทุกข์ ทำไมไม่หันหลังกลับ ถ้าเลือกจมอยู่กับใจที่คับแคบแล้วมีแต่ความเจ็บปวด ทำไมไม่ลองเปิดใจให้กว้าง อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วมันเหมือนอยู่คนละฝั่ง แต่จริงๆ แล้วมันคืออันเดียวกัน จริงไหม (จริง)  หน้ามือกับหลังมือรวมกันเราเรียกว่า (มือ)  ฉะนั้นถ้าคิดแล้วเจ็บ ทำไมไม่รู้จักคิดให้เป็น พลิกใจให้ได้ ด่าเขาเราก็ทุกข์ ถ้ามันเป็นทุกข์ แล้วตรงนี้เป็นสุข ถ้าไม่อับจนปัญญา เราจะหาสุขในทุกข์ไม่ได้หรือ จริงไหม (จริง)  คิดสูงก็พ้นทุกข์ คิดต่ำก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าพ้นจากคิดสูง คิดต่ำ นั่นเรียกว่าสงบ เย็น ไม่ร้อนรุ่ม ไม่คาดหวัง ไม่ยึดติด กลับคืนสู่ทางสายเดิม ที่ถึงที่สุดแล้วเราต้องเดินสายนี้
มาคนเดียวก็ (ไปคนเดียว)  เงินหายช่างมันขอให้ปัญญาและใจอย่าสูญเสีย มีเงินไร้ปัญญา เงินก็หมดได้ ถ้าไม่มีเงินแต่มีปัญญา เงินก็มีได้จริงไหม (จริง)  เหมือนกันศิษย์เอ๋ย คิดว่าไม่มีคนนี้หาใหม่ก็ได้ ก็ไม่ได้จริงจังอะไร แต่พอเขาไม่เอาเรา มันกลายเป็นเจ็บมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคนนะศิษย์เอ๋ย อย่าล้อเล่นกับความคิดหรือความรู้สึกของใจตน เพราะเมื่อพลาดพลั้งหลงไปเป็นทาสของกิเลส อารมณ์แล้ว มันถอนตัวยาก จริงไหม
ถ้าอาจารย์บอกว่าในสิ่งที่มันดูเหมือนตรงกันข้ามศิษย์ว่าจะหาสุขในทุกข์ไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์ไม่อับจนปัญญาพลิกความคิดได้ มองเห็นเป็นฟากฝั่งแห่งความพ้นทุกข์ มันไม่ได้อยู่ตรงข้าม แต่มันอยู่ที่ใจนี้เอง ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีทางพ้นทุกข์ ทำไมต้องรอให้คนข้างนอกมาแก้ ทำไมเราไม่แก้ที่ตรงใจนี้ เพราะมันอยู่ด้วยกันตลอด ศิษย์มักจะมองว่ามันเป็นฝั่งตรงข้าม ฉะนั้นอ่อนแอได้ก็เข้มแข็งได้ ทุกข์ได้มันก็สุขได้ สุขทุกข์มาหลายรอบแล้ว มันก็เย็นและปลดปลงได้ ตราบที่ชีวิตยังไม่หมดลมหายใจและไม่อับจนปัญญา ทำไมเราต้องยอมแพ้ จริงไหม (จริง)  นั่งเมื่อยได้ก็ลุกขึ้นยืนได้ ที่ยืนเมื่อยได้ก็นั่งได้ เพราะมันคือชีวิต แต่ถ้าเมื่อไหร่ยืนแล้วไม่ได้นั่งนั่นคืออัมพาตกิน เหมือนกันใจศิษย์ยังมีชีวิตมันยังพลิกได้ ถ้ามันพลิกไม่ได้มันคือตายทั้งเป็น แล้วใจศิษย์ตายทั้งเป็นไหม (ไม่)  ยังรู้สึกอยู่แล้วทำไมยอมตายล่ะ เจ็บนิดหน่อย เรียกให้อาจารย์จี้กงช่วยที อาจารย์อยากจะบอกว่า ถึงอาจารย์จะมาพัดให้ ถึงอาจารย์จะเอาน้ำมนต์ให้ แต่ถ้าใจศิษย์ไม่ลุกขึ้นสู้อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอาจารย์จะชี้นำทางสว่างแต่ถ้าศิษย์ไม่เดินทางสว่าง ศิษย์จะคิดมืดมน อาจารย์ก็เปลี่ยนแปลงชะตากรรมไม่ได้ อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้นำแนวทาง ตักเตือนให้ศิษย์เดินให้ถูก แต่ถึงเวลาเมื่อใช้ชีวิตศิษย์ต้องตัดสินใจเอง เพราะชีวิตไม่ใช่ฟ้าลิขิต ไม่ใช่คนอื่นกำหนด แต่เราต้องกำหนดตัวเอง อย่ารออาจารย์จี้กงชี้ อย่ารออาจารย์บอก แต่ศิษย์ต้องตื่นรู้ด้วยตัวเองพอถึงเวลา คำว่าทำใจ มันเป็นเรื่องที่ทำยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ แล้วเราก็ไม่ควรจะคิด แต่คนก็อดคิดไม่ได้
ของบางอย่างเมื่อมันขึ้นสู่ที่สูง สักวันก็ย่อมตกลงมา มันธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครที่จะพบสุขแล้วไม่มี (ทุกข์)  ไม่มีใครที่จะพบดีแล้วไม่ (พบร้าย) ธรรมสอนว่าทุกขณะของการดำเนินชีวิต คือทุกขณะของการตื่นรู้ สิ่งใดที่เรียกว่ากิเลส สิ่งนั้นก็เรียกว่าปัญญาญาณ สิ่งใดที่เรียกว่าเกิดดับ สิ่งนั้นก็สามารถเรียกได้ว่า “พระนิพพาน” เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นว่า สิ่งใดที่เรียกว่าด้านหน้า สิ่งนั้นก็คือ (ด้านหลัง)  และในด้านหน้าด้านหลังมีกลางไหม (มี)  ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งใดที่ก่อให้เกิดกิเลส สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดเป็นปัญญาญาณ สิ่งใดที่เป็นความเกิดดับ สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดนิพพาน สิ่งที่ศิษย์มองว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ แล้วอยู่คนละด้าน ถ้าเรามองให้เห็นชัดแท้ที่จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่าเราพลิกใจได้หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่รู้ สิ่งที่แสดงออกจึงกลายเป็นกิเลส บาป กรรม เมื่อรู้ สิ่งที่แสดงออกจึงกลายเป็นปัญญาญาณ” เพราะเราไม่รู้ เห็นไม่ชัด เราเลยทุกข์ ถ้ามนุษย์เลือกแต่หนีทุกข์ ปฏิเสธทุกข์ กลัวทุกข์ พ้นไหม (ไม่พ้น) เพราะฉะนั้นทำอย่างไร (ทำใจยอมรับแล้วก็สู้ต่อไป บำเพ็ญธรรม ยอมรับความจริง)  สิ่งที่ศิษย์ตอบล้วนเป็นคำตอบที่ดี แต่สิ่งที่ศิษย์กำลังพยายามทำใจและยอมรับ พระพุทธะกลับนำสิ่งนั้นมาทำให้ตัวท่านตื่นรู้แล้วกลายเป็นพุทธะและนำสิ่งที่ตื่นรู้มาโปรดเวไนย ยอมรับความจริง แล้วเราเคยเห็นความจริงไหม ความจริงที่ทำให้เราเห็นจริงแล้วยิ่งกว่าจริงขึ้นไปอีก แล้วไม่ทุกข์อีกต่อไป แล้วเราเคยนำสิ่งที่เป็นความจริงนั้นมาพิจารณาจนบังเกิดการตื่นรู้ไหม แล้วสิ่งที่เป็นความจริงนั้น เรียกว่า สัจธรรม ในโลกล้วนเต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่เรียกว่าชีวิตและทุกชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม เมื่อไรที่มนุษย์ประจักษ์แจ้งในสัจธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะตื่นรู้ความจริง
ทุกสรรพสิ่งล้วนเรียกว่าชีวิต สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตหรือที่เรียกอีกอย่างว่ารูปนาม รูปนามหนีไม่พ้นความจริงแห่งสัจจะ เมื่อไหร่ที่มนุษย์ตื่นรู้ เมื่อนั้นมนุษย์จะเห็นความจริง และเมื่อไหร่ที่มนุษย์เอาความจริงนั้นมาไตร่ตรองพินิจจนเห็นแจ้ง มนุษย์จะสามารถเป็นอิสระต่อกิเลสสิ่งแวดล้อม เข้าถึงความบริสุทธิ์และพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
สัจจะความจริงอะไรที่เราเข้าใจแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ สัจจะความจริงอะไรถ้าเราเห็นแล้วจะสามารถทำให้เราปลดปลงและพ้นทุกข์ (ยอมรับความจริงแล้วสู้ไปกับมันได้)  (มีเกิดก็มีดับ ตั้งอยู่เเล้วดับไป ความจริงที่ดำรงอยู่)  นั่นคือสัจธรรม สัจจะคือความจริงที่คงอยู่เป็นนิจนิรันดร์เปลี่ยนแปลงไม่ได้
(ทำตัวเป็นกลางปล่อยวางทุกอย่าง)  ทำให้ดีที่สุดเเละยอมรับทุกสิ่งเเม้ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี แต่มองให้เป็นกลาง
(บำเพ็ญบุญ)  บำเพ็ญบุญและต้องละบาปด้วย ถ้าบำเพ็ญบุญเเต่บาปไม่ละเรียกว่าดีไม่แท้จริง
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดมาตัวเปล่าเเละไปตัวเปล่า)  ตอบได้ดี ความจริงอันเป็นสัจจะที่หมั่นพิจารณาเเล้วหยั่งให้ถึงธรรมตลอดเวลา จะทำให้เราพ้นทุกข์ ความจริงที่ทำให้ตื่นรู้เเล้วทำให้ไม่ทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องไปทุกข์ก่อน เเต่สามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเห็นชัด
(ความจริงในธรรมชาติที่ดำรงอยู่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ถ้าเรายอมรับในความจริง มองเห็นความจริงตลอดเวลาก็จะไม่ทุกข์ ในโลกของความจริงมีสิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์กับความจริงที่แอบแฝงซ่อนอยู่ สมมติว่านำผลไม้ปาใส่หน้าคนนี้ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาทุกข์หรือศิษย์ทุกข์ (เขาทุกข์) เราเห็นเเล้วทุกข์ตามไหม (ไม่)  ถ้านำสาลี่ปาใส่ศิษย์ ศิษย์จะทำให้ตนเองไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้)  ด้วยการทำอย่างไร มีสองทางคือหลบให้พ้นกับรับให้ได้ รับได้มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าหลบพ้นก็ไม่ทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดคนเขาอยากจะปาให้มันโดน ยังไงก็หลบไม่พ้น (ต้องมีครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2) เพราะฉะนั้นถ้าอาจารย์ปาปุ๊บ (เฉย)  เฉยมันก็เจ็บนะ ศิษย์เอ๋ย เวลาเจอเรื่องทุกข์มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่เราจะรับมือกับมัน บางครั้งศิษย์ต้องนิ่งเฉย (เหมือนเวลาอาจารย์ตีก้น ลงโทษอย่างไรเราก็ต้องนิ่งเฉย โดนตีเจ็บ แต่ก็ต้องรับผิดเราต้องยอมรับ เหมือนเป็นนักเรียน)  ศิษย์พูดได้ถูกต้อง แต่ว่าเมื่อปรากฏการณ์มันมาอย่างนี้ เราจะมองเห็นความจริงไหม มองเห็นความจริงแค่เพียงว่าโดนด่า โดนว่าเป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็หนีไม่พ้น นั่นเรียกว่าปรากฏการณ์ภายนอก แต่ปรากฏการณ์ภายในที่แท้จริงคือความเจ็บ ศิษย์ว่าความเจ็บมันอยู่นานไหม (ไม่)  ศิษย์จะมองแค่ความเจ็บแล้วจำความเจ็บ หรือศิษย์มองความเจ็บไปจนถึงที่สุดจนถึงความจริง (เราต้องดูว่าการกระทำนั้นเราผิดไหม แล้วมาปลงว่า การที่ทำผิดเราต้องโดนทำโทษ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำผิดไป)  ส่วนใหญ่เราจะมองเห็นว่าทำผิดแล้วก็ทำโทษเป็นเรื่องปกติ โดนว่าก็ต้องทุกข์เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าศิษย์คิดเช่นนี้ ก็จะได้แค่นี้ๆ ไปตลอด แต่สิ่งที่อาจารย์กำลังจะบอกมากกว่านั้นก็คือ อย่ามองแค่ความเจ็บ อย่ามองแค่การโดนด่า อย่ามองแค่การโดนตี แต่มองให้เห็นจริงว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต มันไม่มีอะไรที่จะคงอยู่อย่างนั้น มันต้องแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึก มันก็จะเจ็บไปตลอด แต่ถ้าเรามองความรู้สึกให้จริงแท้จนถึงที่สุด เราจะลากความเจ็บไปตลอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ความเจ็บเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ความเจ็บเปลี่ยนแปลงไหม ความเจ็บถึงที่สุด ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วเราจะยึดมันให้ทุกข์ หรือเราจะมองให้ถึงที่สุดแล้วเห็นแจ้งประจักษ์จริง (มองให้ถึงที่สุด)  เมื่อเรามองให้ถึงที่สุด จนเห็นแจ้งประจักษ์จริง เราจะไม่จมอยู่กับความเจ็บ แต่จะเห็นได้ว่าเราเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่น แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ควรหรือที่จะเอามาคิดเจ็บตัวเจ็บใจ ฉะนั้นถ้าเกิดว่าศิษย์เจอเรื่องราวที่ไม่ถูกใจ เจอเรื่องราวที่ไม่เป็นดั่งคิด จงมองให้เห็นความจริงว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง และถึงที่สุดก็ต้องกลับไปสู่ความว่างเปล่าอันเป็นกลาง จริงไหม (จริง)
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะทุกข์กับโลกใบนี้ไหม (ไม่)  อย่ามัวติดยึดอยู่แต่ปรากฏการณ์ จนลืมมองความจริงแท้ เพราะถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงแท้และเห็นแจ้งจริง มนุษย์จะเป็นอิสระ พ้นจากกิเลส แต่ถ้าเรายังไม่ยอมเห็นแจ้งจริง เกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แล้วกรรมดีนั้นเป็นกรรมที่เราต้องเวียนว่ายรับไหม (รับ)  กรรมชั่วเป็นสิ่งที่เราต้องรับไหม (รับ)  เมื่อเราหลงไปกับกิเลส ก็หนีไม่พ้นกรรม เมื่อหนีไม่พ้นกรรม ก็หนีไม่พ้นทุกข์ที่แท้จริง ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติรู้ทันความคิด ไม่ตกไปเป็นทาสของความดี ความร้าย หรือเรียกว่ากระแสแห่งวิบากกรรม
บางทีสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากแต่ศิษย์เคยนำสิ่งนั้นมาคิดพิจารณาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งไหม ถ้าในใจศิษย์ไม่มีคำว่ายึดติดว่าอะไรเรียกว่าดี อะไรเรียกว่าไม่ดี ดีก็ไม่กลายเป็นสุข ไม่ดีก็ไม่กลายเป็นทุกข์ ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียน 3 คน ออกไปยืนหน้าชั้น)
โดยส่วนใหญ่เรามักจะมองเปรียบเทียบกัน มีคนเตี้ยและมีคนสูง อาจารย์ถาม จริงๆ เขาเตี้ยไหม (เตี้ย,ไม่เตี้ย)  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เราจึงเป็นอิสระไม่เกิดกิเลสและสามารถพ้นทุกข์แห่งพันธนาการได้ เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าอาจารย์บอกว่า คนนี้เตี้ยไม่ดี แล้วชมคนที่สูงว่าดี ถามจริงๆ มีเตี้ยกว่านี้ไหม มีแย่กว่านี้ไหม แล้วที่สูงกว่ามีไหม ฉะนั้นวันนี้ศิษย์โดนเขาด่าและอีกคนชม คนที่ด่าเขาแย่กว่าเราจริงไหม (ไม่จริง) คนที่ทำร้ายเราให้เจ็บปวดเขาไม่ดีกับเราจริงๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าเรายังมีลมหายใจยังมีสิ่งที่มีมากกว่า แล้วยังมีสิ่งที่ทุกข์มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อย่ามัวแต่ยึดติดปรากฏการณ์ที่ศิษย์เห็นจนลืมมองความจริงที่มากกว่านั้น ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจความจริง มนุษย์จะรู้ว่าทุกสิ่งมีแค่ชั่วคราว ตราบที่ยังมีลมหายใจเเล้วมนุษย์ยังครองสติได้ไม่ดี บางครั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่มีอะไรทุกข์เเละไม่มีอะไรสุขเพราะทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ในสูงยังมีสูงกว่า ชีวิตคือความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน อย่ามัวจมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจนลืมมองว่าชีวิตยังต้องก้าวต่อไป อย่ามัวทุกข์อยู่กับสิ่งเดียวจนลืมมองว่ามีอะไรต่อไปอีก อย่ามองแค่ปรากฏการณ์รูปแบบที่เเสดงให้เห็น เเต่ต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ความจริง ซึ่งจะทำให้ศิษย์พ้นจากกิเลสและเป็นอิสระจากความทุกข์ แต่มนุษย์กลับยึดติดแค่เท่านี้ ถ้าเปิดใจให้กว้างมีสูงกว่าอีกไหม (มี)  มนุษย์มองแค่ตรงนี้เลยรู้สึกว่าตัวเองแย่ ทำไมไม่หันกลับมามองว่ายังมีที่แย่กว่า ถึงตอนนี้จะทุกข์เเต่ก็มีทุกข์กว่า ทุกข์เเละสุขไม่ได้อยู่ที่ด้านตรงข้ามเเต่อยู่ที่เราพลิกใจเป็นไหม พลิกใจเป็นหันหลังกลับก็พบความจริง ความจริงนั้นจะปลดเปลื้องให้ไม่ต้องทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าโลกไม่เที่ยงเราจะเกลียดอะไร จะรักอะไร เพราะสิ่งที่น่ารักก็พร้อมจะน่าเกลียด เมื่อเราไม่ปักใจใส่ลงไปก็ไม่มีอะไรทำให้ใจเราทุกข์ เพราะเรายึดติดแต่ความคิดจนขาดสติเเละมองความจริง การศึกษาหลักธรรมสอนให้เราอย่ามองเพียงเปลือกนอกเเต่จงมองให้เห็นถึงแก่นแท้ความจริงเพราะแก่นแท้ความจริงจะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นตราบยังมีลมหายใจอย่าจมอยู่กับความทุกข์ แต่จงค้นพบทางพ้นทุกข์ด้วยปัญญาของตนเอง จำไว้นะศิษย์น้อยเอ๋ย สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นกิเลส เป็นบาป เป็นกรรมนั้นก็เป็นปัญญาญาณแห่งความตื่นรู้ ทุกขณะแห่งการดำเนินชีวิต ที่เราประพฤติปฏิบัติ คือทุกขณะที่สามารถทำให้เราตื่นรู้ได้ สมมติอาจารย์โดนด่า โดนเบียดเบียน โดนทำร้าย อาจารย์คิดร้าย ผูกใจเจ็บ เจอหน้าจะไปจองเวรจองกรรม นั่นก็คืออาจารย์ไม่สิ้นเวรสิ้นกรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์คิดดี มองในแง่ดี และปฏิบัติดี มันก็ยังเป็นกรรมอยู่ ถูกหรือไม่ เพราะมันยังมีความเป็นตัวตนที่ยึดติดว่า ฉันต้องพยายามทำดีให้กับเขาถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองจนถึงความเป็นจริง ไม่ว่าฉัน หรือ เขา ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไร แล้วเราต้องพยายามทำดีเพื่อหวังผลไหม (ไม่)  เราดีเพื่อแค่ดี เป็นดีที่ไม่ยึดติด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์คิดว่า หนูจะต้องเป็นคนมีเมตตา หนูจะต้องเป็นคนเสียสละ หนูจะต้องเป็นคนใจกว้าง คิดแบบนี้ก็คือยังทำดีเพื่อหวังผล ยังทำดีเพื่อยึดติด ว่าสิ่งที่ดีนั้น ทำแล้วมันจะทำให้เราสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดศิษย์โดนเขาด่า ไม่เป็นไร ถึงที่สุดทั้งเธอและฉัน ก็คือความว่าง ไม่มีฉันไม่มีเขาในโลกแห่งความเป็นจริง มีแต่สรรพสิ่งที่แปรเปลี่ยน เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนจนถึงที่สุด เราจึงมีกรรมแค่สังขาร หามีกรรมที่จิตใจไม่ เมื่อนั้นเราจึงมีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมของสังขาร จิตจึงว่างจากการยึดติดแห่งตัวตน กลับสู่ภาวะธรรมอันแท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าทางหู ทางตา แล้วมีโลภโกรธหลงก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องเวียนว่าย เเต่ถ้าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นั่นคือสิ้นวิบากกรรม สิ้นเวรกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อสิ้นเกิดดับหรืออยู่เพื่อเกิดแล้วดับไม่จบสิ้น เมื่อฟังเเล้วเข้าใจ จะเข้าใจว่าทำไมต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อหลุดพ้น เมื่อฟังธรรมไประดับหนึ่งเเล้วจะปฏิบัติธรรมอย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญ นั่นคือเรามีหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ไม่ขาดศีล ไม่บกพร่องธรรม เเละทำด้วยความสุขไม่ได้ทำเพราะโลภตำแหน่ง หรือสนองกิเลสตัณหา ถ้าทำได้เช่นนี้จึงเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ทุกขณะที่ปฏิบัติคือทุกขณะที่ตรัสรู้ ทุกขณะที่ได้ปฏิบัติทำให้เราตื่นรู้ว่าจะไม่ตกเป็นทาสกิเลส เช่น อาจารย์ให้เงินหนึ่งร้อยบาท รับไหม (รับ)  เเล้วค่อยไปทำบุญทำทาน โลภแล้วค่อยให้ทานกับไม่ต้องโลภแต่ได้ให้ทาน สิ่งใดดีกว่ากัน (ไม่โลภแต่ได้ให้ทาน)  เพราะความโลภถมอย่างไรก็ไม่เต็ม ศิษย์ก่อเกิดกิเลสแล้วค่อยทำดีกับไม่สร้างกิเลสเลยเรียกว่าการทำดีปฏิบัติธรรม อะไรประเสริฐกว่ากัน
ศิษย์บอกว่า ขอให้ไปโลภก่อน ขอไปผิดศีลก่อน แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญทำทาน เหมือนอาจารย์บอกว่า อาจารย์ตบศิษย์คนนี้ แล้วอาจารย์ไปอุทิศบุญให้กับอีกคนหนึ่ง ชดเชยกันได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไปด่าคนนี้ แต่อาจารย์ไปทำดีกับคนนี้ มันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ฉันใดก็ฉันนั้นศิษย์ ทำไมต้องปล่อยให้ตัวเองไปโลภ ไปโกรธ ไปหลง แล้วค่อยมาประพฤติดีปฏิบัติดี ทำไมไม่หยุดตั้งแต่ก่อนโลภ โกรธ หลง ก่อนที่จะกลายเป็นวิบากกรรมให้เราต้องรับล่ะ
พ่อแม่ตีก็ไม่ใช่ไม่รัก แต่ก็เพราะยิ่งรักก็เลยยิ่งตี การโดนตี การโดนด่าใช่แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี การสูญเสียการถูกทำร้ายใช่เป็นสิ่งที่แย่และเป็นทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรามองให้เห็นชัดในโลกแห่งความเป็นจริงว่า อะไรดีแท้จริง อะไรแย่แท้จริง อยู่ที่เราสามารถมองเห็นชัดแล้วไม่ยึดติดความคิดตัวเองได้หรือเปล่า หนทางแห่งการบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติคือ เดินสู่ทางสายกลาง ไม่ตัดสินว่าใครดีหรือใครร้าย ไม่ยึดติดว่าใครแย่ใครดี มุ่งกลับสู่ทางสายกลางคือความสงบเย็นที่แท้จริง
หลายคนมักถามอาจารย์ว่า ทำไมเขาไม่ดีอาจารย์ไม่ว่า อาจารย์อยากจะบอกว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจ แปลว่าฟ้ายังให้โอกาสศิษย์แก้ตัวและทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าศิษย์ไม่มีลมหายใจแปลว่าฟ้าไม่มีโอกาสให้ศิษย์ได้มีชีวิตแล้วทำตัวให้ดีที่สุดแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก็ต้องจากลากันแล้วนะ ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งชีวิตต้องพบความแก่ ความเจ็บ ความตาย จำคำที่อาจารย์จี้กงพูดให้ได้นะ ว่าเรากำลังกลับสู่ทางสายเก่าที่มีกรรมแค่สังขาร แต่จิตพ้นกรรมมานานแล้ว อย่าสร้างตัวตนยึดติดกับกรรมจนก่อเกิดเป็นทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ศิษย์เอ๋ยศิษย์รู้ไหมว่าตัวตนที่ศิษย์บอกว่าอันนี้เรียกว่าของตน อันนี้เรียกว่านิสัยตน มันเป็นความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แท้ตัวตนของศิษย์คืออะไร มันไม่มี มีแต่อารมณ์ นิสัย ที่ศิษย์บอกว่าก็ฉันเป็นคนแบบนี้ ก็ฉันชอบอย่างนี้ แต่จริงๆ มันเป็นของศิษย์จริงๆ ไหม (ไม่จริง)  มันไม่มี แต่เราไปยึดติดมัน พอไปยึดก็สร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าเรามองเข้าใจความจริงว่า มันว่างเปล่า มันไม่มี มันก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง นั่งอยู่ตรงนี้ถือว่าเสียสละเพื่อผู้อื่นเป็นจิตใจที่ดีงาม อยากให้อาจารย์จับมือ อาจารย์จับมือแล้วจะเป็นมงคลหรือเปล่าอยู่ที่การกระทำของศิษย์นะ หวังจะให้อาจารย์ตีจะได้หายโรคหายภัยหรือ หายโรคหายภัยบางครั้งมันก็ยังไม่ดี เพราะว่าเมื่อถึงเวลาเราก็หนีไม่พ้นความจริงก็คือ เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่สิ่งที่สำคัญเหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นคือจิตที่ตื่นรู้ในความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงแค่สังขาร แต่จิตพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายมานานแล้ว แต่เราเคยมองเห็นจิตตัวเองไหม มองเห็นแต่ใจ มองเห็นแต่สังขารอันไม่เที่ยง เราบำเพ็ญเพื่อกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ ไม่ใช่เราบำเพ็ญเพื่อความมีตัวตน เราบำเพ็ญเพื่อละวางตัวตนกลับคืนจิตอันเดิมแท้ ฉะนั้นต้องรู้จักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าหวังแต่จะพึ่งอาจารย์อย่างเดียว แต่ศิษย์ต้องรู้จักพึ่งปัญญาญาณที่ตื่นรู้ในความจริงแห่งตนด้วย ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรจงคิดด้วยปัญญา จงมองด้วยปัญญา อย่าติดอยู่กับความคิดและอารมณ์ความรู้สึก เพราะอย่างไรทุกชีวิตก็หนีความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ ฉะนั้นตายแค่สังขาร จงเอาจิตที่ว่างเป็นสภาวธรรม เป็นตัวตนอันแท้จริงที่ไม่มีอะไรที่ต้องเกาะเกี่ยว ได้หรือไม่ (ได้)  ไม่ได้กลับไปนิพพานแล้วไปเสวยสุข อันนั้นก็ยังไปยึดตัวตน แต่กลับคืนสู่ธรรมที่ว่าง ธรรมที่ไม่ต้องยึดถือ เพราะถ้ายังยึดถือเราก็ยังมีที่ให้ต้องทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเรายังยึดติดก็แปลว่าเรายังอยากมีทุกข์เวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นกลับคืนสู่สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่เอาอะไรแล้ว ทำเต็มที่แล้ว ดีที่สุดแล้ว ศีลก็ไม่ขาด ธรรมก็ไม่พร่อง ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันดูแลตัวเอง ฉันเอาชีวิตตัวเองให้รอด กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้คือความว่างให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะมีตัวตนให้ทุกข์ทำไม มัวแต่กำจัดกิเลส มิสู้กำจัดที่สร้างกิเลส กิเลสน่ากลัว แต่ตัวตนที่สร้างกิเลสน่ากลัวกว่ากิเลสอีกนะ อย่ามัวแต่หยุดกิเลส แต่ต้องหยุดการยึดติดตัวตนที่เป็นเหตุให้กิเลสอิงอาศัย ฉะนั้นมองตัวเองว่างเปล่าๆ บ้าง ไม่มีบ้าง ยึดลูกหลาน ยึดทรัพย์สินไป ยึดสามี ยึดภรรยาไปก็มีแต่ทุกข์ ถึงที่สุดแล้วก็ต้องตัวใครตัวมัน จงเข้มแข็ง มองความจริงให้ถ่องแท้ เพื่อเราจะได้กลับสู่ความอิสระ และพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ได้ไหมหนอ เข้มแข็งนะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากลับเข้ามาส่งเสริมนักเรียนในชั้น)
ศิษย์เอ๋ยดูแลตัวเองให้ดี ถึงที่สุดแล้วทุกคนล้วนมีชะตาชีวิต อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ เข้มแข็ง ขออย่าสร้างปัญหาเพิ่มก็พอ รอดมาได้ก็ดีแล้ว ใจสู้แค่นั้นเอง ถ้าใจไม่สู้มันก็ต้องแพ้แล้วใช่ไหม เลิกจมอยู่กับความคิด มีสติได้แล้วนะศิษย์เอ๋ย เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ มีโอกาสมาฟังธรรมอีกนะ ขอให้รู้จักดำเนินชีวิต ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี อยู่ที่บุญกรรมที่เราสร้าง ถ้าเราไปเบียดเบียนชีวิตเขาก็ต้องสำนึกขอขมากรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ศิษย์ผู้ที่มีปัญญา ตั้งใจบำเพ็ญอย่าปล่อยให้กิเลสอารมณ์ชักนำทำให้ก่อเกิดวิบากกรรมเเล้วทำให้เราต้องทุกข์ไม่จบสิ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยต้องถามตัวศิษย์เองว่าไปสร้างกรรมอะไรมา ถ้าศิษย์ไม่สำนึกขอขมา กรรมนั้นก็ไม่มีวันจบสิ้น กรรมบางอย่างเป็นกรรมของสังขารที่หนีไม่พ้นความเจ็บเป็นเพียงแค่สังขารอย่าให้เจ็บไปถึงใจเลย เราหนีความเจ็บของสังขารไม่ได้ หนีความทุกข์ของสังขารไม่ได้ เเต่มีจิตที่ตื่นรู้ เข้าใจความจริง เเล้วไม่ทุกข์ในสังขารได้ ไม่ใช่หรือ ให้อาจารย์ลูบหัวเพื่อให้หายจากโรคภัยเเต่คนที่สร้างโรคภัยคือตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่รู้จักดูเเลตัวเองให้ดี ให้อาจารย์ช่วยก็ได้เพียงชั่วคราว ถ้าศิษย์ไม่ดูเเลตัวเองให้ดี ไม่รู้จักนำพาชีวิตให้ถูกต้อง ศิษย์ก็จะเจ็บทั้งกายเเละใจ ถ้าศิษย์เข้าใจก็จะรู้ว่ามีแค่กายเท่านั้นที่เจ็บเเต่ใจของเราไม่เคยเจ็บ เรามักหลงในสิ่งที่ไม่ควรหลง ผิดในสิ่งที่ไม่ควรผิด ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่ดี ศิษย์ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าหาเหตุให้ตนเองทุกข์ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องนะ
ศิษย์เอ๋ยว่างๆ หมั่นสวดมนต์ กราบพระเยอะๆ ทำจิตให้สงบ อย่าฟุ้งซ่านเข้าใจนะ เพราะอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์เป็นแบบนี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์เองนะ ตื่นรู้ในความจริงมากกว่าสิ่งที่เห็นเพียงปรากฏการณ์ชั่ววูบ ตื่นรู้ในสัจจะอันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และนำพาให้จิตพบอิสระอย่างแท้จริง กลับคืนความบริสุทธิ์ เกิดตายไม่น่ากลัว เจ็บตายก็ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือจิตที่ยึดติดไม่ยอมนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ต่างหาก เอาแต่ทุกข์อยู่นั่นแหละ ทำไมไม่คิดให้พ้นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองไตร่ตรองให้ดีนะ ไม่ต้องยึดอาจารย์จี้กง แต่มองที่หลักสัจธรรมเอาหลักสัจธรรมไปไม่ต้องเอาอาจารย์ไป เอาหลักสัจธรรมไปใช้ในชีวิตนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ และเมื่อเข้าใจเราจะได้กลับคืนสู่สภาวธรรมเดียวกันที่ทำให้คนทุกคนเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความแตกต่าง ดีหรือไม่ (ดี)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ซื่อสัตย์ต่อความจริง”
     มองตามจริงหรือมองตามใจตน               หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย
รู้ไม่ทันจึงคิดปล่อยวางไม่ได้                       ก็ยากเห็นจริงได้ด้วยปัญญา
กิเลสเกิดจากความคิดแห่งตน                      ใช้อารมณ์จนเป็นนิสัยตนหนา
ตามองไปไม่เห็นความจริงนา                      เพราะตลอดมายึดแต่ในความคิดตน
ปัจจุบันคือความจริงที่สุดแล้ว                      ยึดติดคงไม่แคล้วต้องทุกข์หนอ
อย่ามัวฝันจงกล้ารับความจริงพอ                  ตื่นเพื่อรู้มิรีรอใครทำใจ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมถงซิน วันที่ ๑๘-๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐  
เพลงพระโอวาทพระอาจารย์หน้า ๑๔ บรรทัดที่ ๒
เดิม     ตาไม่ฟังปัญหาเพื่อก้าวมิก่าย  แก้เป็น       ตาไม่ฟังไม่คิดมิก้าวมิก่าย
บรรทัดที่ ๓
เดิม     ศิษย์ช่วยตน ช่วยคนเมตตาลึกล้ำ
แก้เป็น    ศิษย์ช่วยกัน ช่วยช่วยกันเมตตาลึกล้ำ
บรรทัดที่ ๙-๑๐
เดิม     ตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรมดีไหม เห็นไม่ดี ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้แท้จริง
แก้เป็น ตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรมให้ดี เห็นไม่ดีก็ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้ความจริง
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย วันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐   หน้า ๑๙
เดิม     ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าแง่ลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวมิได้
แก้เป็น    ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจมิได้

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา