PDF 2543-10-14-ฮุ่ยอวี้ #16.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อย่าปล่อยให้โลกีย์ครอบงำจิตใจ ความหลงใหลตนต้องขจัดเองหนา
วันเวลาผ่านไปไม่คอยท่า ดวงปัญญาไม่นำใช้มอดดั่งไฟ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกที่มากผู้คนกลับโดดเดี่ยว เพราะกรรมเคี่ยวเห็นแต่ตนสำคัญหนา
บำเพ็ญธรรมต้องเปลี่ยนแปลงซึ่งตนนา จะคอยท่าแต่เวลาไม่คอยใคร
กระทำการอัตถจริยา แด่ผู้คน เมื่ออับจนเปลี่ยนแปลงตนจะรอดได้
เมื่อได้รู้ธรรมะแท้บำเพ็ญไว หนทางไกลย่อมพ่ายคนพยายาม
เกิดมาแล้วอย่าให้เสียเวลาเปล่า อย่าแบ่งเขาแบ่งเราให้วายวุ่น
อยู่ร่วมฟ้ากันได้ด้วยการุณย์ ทางอบอุ่นอยู่ในโลกคนเมตตา
แม้คนน้อยให้มากคุณภาพ หมั่นกำราบจิตตนเองอย่าว่าคนอื่น
ย้อนส่องตนไม่หลับหลับตื่นตื่น ทางกลับคืนเปิดกว้างหนาน้องเมธี
ขี้ระแวงจะเห็นผีในที่มืด เดินชักช้าอืดอาดจะถึงไฉน
อย่าล้มเลิกกลางคันขาดตั้งใจ ฟังบรรยายให้สำรวมทบทวนกัน
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม จงควบคุมกายและใจให้สงบ
พุทธระเบียบให้จิตแท้มาเคารพ บำเพ็ญพบพุทธะสถิตอยู่กลางตน
แต่ละคนไม่ใช่ง่ายมาวันนี้ จะต้องพลีเวลาทำจิตว่าง
บำเพ็ญจริงมากไม่พ้นเรืออับปาง พี่จึงหวังน้องระวังกว่าระวัง
อย่ามัวพายเรือวนอยู่ในอ่าง อย่าอำพรางจิตกังขาทำดั่งเข้าใจ
คนรู้จริงปฏิบัติจริงจิตแจ่มใส ไม่หวังผลมรรคผลได้เป็นกอบกำ
หวังศิษย์น้องก้าวหน้าด้วยพยายาม มารคุกคามเบื้องบนไม่กลัวหรอก
แต่ที่กลัวคนหลอกคนตนยังหลอก ตนหลอกตนทางออกย่อมหายไป
สองวันนี้ตั้งใจอยู่ให้ครบ เรียนให้จบปฏิบัติให้ดีที่สุด
โลกมายาอย่ามัวหลงสิ่งสมมติ ต้นไม้กุดหากเหลือรากโอกาสยัง
ชีวิตคนดั่งใบไม้ต้องร่วงหล่น เร่งขวนขวายอดทนช่วยเวไนย
คนที่รู้อย่าเบื่อหน่ายคนรู้ไม่ คนตั้งใจมีมั่นคงคู่ถึงนาน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอจิตใจน้องทั้งหลายเร่งเปิดกว้าง
ชาติสุดท้ายบำเพ็ญดีคืนฟ้ากว้าง เบื้องบนร้างพุทธบุตรรอน้องคืน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
อัตถจริยา : ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็น ๑ ใน ๔ ข้อของสังคหวัตถุ ๔ คือ
๑. ทาน ๒.ปิยวาจา ๓. อัตถจริยา ๔. สมานัตตตา
วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
มัวแต่ห่วงพะวงเรื่องตนเอง ชอบอวดเบ่งว่าตนดีกว่าใครเขา
กลัวไม่พอสะสมไปไล่จับเงา กลัวแพ้เขาแต่เรากลับแพ้ใจ
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายก้มกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกทุกท่านอยากร่วมศึกษาธรรมพร้อมกับเราไหม
เปลี่ยนความโลภกลายเป็นความเสียสละ เปลี่ยนความโกรธเข้าปะทะเป็นสุขุม
เปลี่ยนความหลงด้วยปัญญามาควบคุม ขอให้กุมโอกาสก้าวของชีวิต
มนุษย์พ่ายอวิชชาชอบความเลือดเย็น ประมาทเห็นผิดเป็นถูกเนืองนิตย์
คลุมครอบมารจิตเป็นผู้พิชิต ทะนงผิดบาปทำซ้ำเวียนวน
ถอนกิเลสสิ้นซากไม่ยึดติด มีแต่คิดบำเพ็ญหวังผลไม่
อยู่เพื่อตนพ้นน้ำอุบลใส กิเลสตัดยากกลับง่ายเพราะมั่นคง
หรือไม่หากลำบากตัดเองเอย คนเตือนเอ่ยใจกว้างใครส่งเสริม
ดีใช้ได้ช่วยร่วมกันเติม สติดีชนะใจเพิ่มทุกวัน
คนแสวงความรู้ไม่รู้จักตัว วุ่นกันทั่วคนค้นแม้สวรรค์
ทว่าให้อดทนทนได้ไม่นาน ชีวิตสั้นชนะใจไฉนไม่มั่นคง
ฮิ ฮิ หยุด
ยกตนสำคัญเหนือคนทั้งมวล ในจิตใจล้วนมีแต่ร้อนรน หวาดระแวงทุกสิ่งทุกคน จิตใจคอยวกวนเพราะตนทำเอง
ละวางแล้วมีน้ำใจให้กัน ดังขึ้นสวรรค์ไปเองรู้เอง จิตสำรวมมิติดนักเลง ร่วมมือกันครื้นเครงร่วมทุกข์โดยจริงใจ
* หลงโลกทิ้งธรรมไกลตา หาญกล้าหวนไปเดินใหม่ ก่อเกิดจุดหมายแข็งแรงครั้งใหม่ ในครานี้ไประวัง
หลงทางถามคนขอคำแนะนำ เป็นสิ่งส่งเสริมคือการรับฟัง ถูกหรือยังหรือผิดหรือยัง เปิดใจยอมรับฟังระวังความคิดตน
(ซ้ำ *)
เพลง : อย่าหลงตัวเองในสิ่งที่ผิด
ทำนองเพลง : ชมไพร
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลงในจังหวะเร็วและช้าสลับไปมาในเพลงเดียวกัน )
ชีวิตของมนุษย์เป็นแบบดนตรีนี้ไหม ตื่นเช้ามาก็รีบๆๆ พอค่ำลงก็หมดเวลาทีหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งก็รู้สึกว่า กว่าจะผ่านไปได้หนึ่งวันช้าเหลือเกิน แต่พอเหลือเวลาน้อยนิด เรากลับบอกตัวเองว่า ไม่ได้เราต้องทำให้เสร็จๆ แปลว่าเราไม่รู้จักควบคุมเวลาของชีวิตให้ดี จึงกะไม่เคยถูกใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเรากะถูกเราก็คงไม่ต้องช้าเกินและก็เร็วเกิน เราคงดำเนินได้อย่างพอดิบพอดี แล้วก็ลงตัวได้อย่างพอดีและเหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนปรบมือสิบครั้งจากช้าไปเร็ว และจากเร็วไปช้าโดยการนับย้อนกลับ) ง่ายไหม (ไม่ง่าย) ถ้าเรารู้จักพอเหมาะพอดีแล้ว และบางครั้งถึงคราวที่เราต้องเร่งรีบ ถึงคราวที่เราต้องรู้จักช้าๆ แต่มั่นคง เราก็ต้องควบคุมให้ได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) บางเรื่องมีเวลาจำกัด เราต้องรีบๆ ทำ บางเรื่องมีเวลายาวนานแต่ช้าๆ ทำอย่างมั่นคงและไปถึงในที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้ว่าเราจะควบคุมได้อย่างพอเหมาะแล้ว แต่คน แต่เวลาบางครั้งก็ไม่เป็นใจให้เราทำได้อย่างพอเหมาะ บางครั้งก็บอกต้องเสร็จเดี๋ยวนี้ เราจะค่อยๆ ทำ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์แสดงท่าค่อยๆ เดิน) เสร็จไหม (ไม่เสร็จ) ได้เจอบ่นแน่เลยใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยเสร็จ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์แสดงท่าเดินเร็วๆ ) เป็นอย่างไร แล้วแต่ใครจะเลือกทางใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนมักจะคิดว่าพรุ่งนี้เสร็จ แต่เมื่อวันนี้เสร็จแล้ว พอถึงพรุ่งนี้ค่อยมาดูและตรวจสอบแก้ไขก็ยังได้ ใช่หรือไม่ นั่นก็คือผู้ที่รู้จักมองตัวเองแล้วยังรู้จักที่จะดำรงตนแบบไม่ประมาทด้วยใช่ไหม (ใช่) แต่ว่าเรื่องของชีวิตนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากเลย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะยึดกุมโอกาส เวลา และตัวตนเองได้อย่างถูกต้องไหม เมื่อสามารถยึดกุมได้อย่างถูกต้อง เราก็จะรู้สึกสบายจังเลยกับชีวิตนี้ ไม่ใช่รู้สึกแต่ว่าทุกข์อีกแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าคนทุกคนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง รู้จักดำรงตน จะมีใครมาคอยชี้นำเรา จะมีใครมาต่อว่าเราอีกไหม (ไม่มี) อาจจะมีก็ได้นะจริงหรือเปล่า (จริง) เราว่าทุกคนมักจะพูดว่าฉันถูกแล้ว ฉันดีแล้ว ฉันเก่งแล้ว ฉันเลิศ เพอเฟ็คแล้วใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งเจอคนว่า เจอคนพูด บางครั้งเราต้องหวนกลับมามองตัวเอง จากที่หน้าเชิดต้องหันกลับมามอง และก็ตรวจสอบตนเองและพร้อมที่จะแก้ไข อย่างนี้เราถึงจะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่เชิดอย่างไรก็จะเชิดอย่างนั้น แน่อย่างไรก็จะแน่อย่างนั้น แล้วเป็นอย่างไร แรงกับแรง ตากับตา ฟันกับฟัน เจ็บไหม (เจ็บ) ทุกข์ไหม (ทุกข์) ก็ทุกข์เห็นไหมล่ะ ชีวิตจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายเลย หากเราทำสมองให้โปร่งใสบริสุทธิ์แล้ว เราจะมองได้ออกเลยว่าผู้อื่นเป็นอย่างไร แล้วตัวเราเป็นอย่างไรจริงไหม (จริง)
“มัวแต่ห่วงพะวงเรื่องตนเอง ชอบอวดเบ่งว่าตนดีกว่าใครเขา
กลัวไม่พอสะสมไปไล่จับเงา กลัวแพ้เขาแต่เรากลับแพ้ใจ”
บางทีเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะให้เหนือกว่าเขา เขาผมสวย เราต้องสวยกว่าเขา เขาตาสวย เราต้องมีตาสามชั้นเหนือกว่าเขา เขาหล่อกว่า เราต้องหล่อกว่าเขา อย่างน้อยการที่หล่อกว่าเขาไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลใช่หรือเปล่า (ใช่) จึงทำให้เราเป็นอย่างไร ผลสุดท้ายอยากเอาชนะเขา แต่แท้ที่จริงแล้วเราแพ้ใจตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) เราลืมเห็นความสำคัญว่าแม้ตาจะเล็กอย่างนี้แต่ก็มองเห็นได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องมีตาใหญ่ แล้วมีสามชั้นเลยจริงหรือเปล่า (จริง) หล่อๆ แบบนี้ก็มีคนมองถ้าใจงามใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นภูมิใจในสิ่งที่เป็นของเรา สิ่งที่เรามี สิ่งที่เราได้ สิ่งที่เราสามารถทำถึง แล้วเราก็จะเป็นคนที่มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี โดยที่ไม่ต้องไขว่คว้าก่อนแล้วถึงจะสุข หลายต่อหลายคนนั่งอยู่บ้าน ร้อนรนไม่สุขเลย มันทุกข์เพราะต้องการมีเงินๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่กับแม่ อยู่กับพ่อ ไม่สุขเลย ต้องไปนั่งคุยกับเพื่อน เห็นแต่หน้าพ่อและหน้าแม่ ก็มีแต่แก่ๆ เหี่ยวๆ ผมขาวๆ หงอกๆ สู้ไปมองสาวๆ ดีกว่าปิ๊งปั๊งสดใสใช่ไหม (ใช่) เห็นแฟนเราเอง เห็นมาเกือบยี่สิบปีแล้ว เหี่ยวอย่างไรก็เหี่ยวอย่างนั้น ไปหาคนอื่นดีกว่าที่ตึงกว่าเยอะ แต่พอไปนั่งมองแล้วเขาไม่ชอบด้วย เขาไม่ส่งตาหวานด้วย เขาค้อนกลับ เขาด่าให้ ทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นสู้นั่งมองคนในบ้าน เธอดีจังเลย เธอสวยจังเลย รับรองปิ๊งๆๆ กลับมาเป็นสิบปิ๊งเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนพ่อแม่เรา เมื่อก่อนต้องพูดตั้งแต่เช้ายันเย็นกว่าจะได้เงินหนึ่งร้อย แต่พอเรานวดหน่อย เอาใจหน่อย ถามแม่ว่ามีอะไรให้หนูช่วย มีอะไรให้หนูทำ แม่ก็จะบอกเราว่า โอ๋..ลูกไม่ต้องทำหรอก ลูกไปทำการบ้านเถอะ จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเมื่อไหร่ลูกเอาแต่ทำการบ้าน เมื่อนั้นแม่ก็จะเรียกให้ลูกลงมาช่วยทำเร็วๆ จริงหรือเปล่า (จริง) เห็นไหม แค่นี้เอง เรามองง่ายๆ แต่ไม่ใช่เอาความดีแบบนี้ไปหลอก โอ๊ย..ขยันถูๆๆ รอให้แม่บอกไม่ต้องทำ อย่างนี้ไม่ได้นะ เขาเรียกว่าเจ้าเล่ห์ใช่หรือเปล่า (ใช่) โอ๊ย..เขาไม่สงสารเรา เราแกล้งทำตัวน่าสงสาร หกล้มเจ็บ โอ๊ยๆๆ นี่เขาแอบส่งตาปิ๊งให้แล้ว อย่างนี้เรียกว่าเอาความดีไปหลอกลวงคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) พอถึงคราวเราจะจริงใจให้กับเขา เราจะดีกับเขาโดยไม่หวังผล ในใจเราลึกๆ เรากลับกลัวว่าเขาจะคิดว่าเราหลอกเขาไหม ใช่ไหม (ใช่) อยู่ในโลกนี้ต้องรู้จักเรียนแต่สิ่งที่ดี อย่าโยนทิ้งสิ่งดีแล้วไปเอาความชั่วมาใช้ เช่นนั้นแล้วจะไม่มีวันได้ดี แล้วเมื่อทำดีก็จะกลัวว่าดีของตัวเองนั้น ไม่สัมฤทธิ์ผล ไม่เชื่อก็ลองดู
วันนี้เห็นวัยรุ่นก็เยอะ เห็นผู้อาวุโสก็เยอะ ก็เลยอยากลงมาผูกบุญสัมพันธ์สนทนาธรรมกับทุกท่านได้ไหม (ได้) แต่ก่อนท่านเคยฟังธรรมะกับพระภิกษุสงฆ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มาวันนี้ท่านมาฟังธรรมะกับนักธรรมอาวุโส มาฟังธรรมะกับผู้หญิง มาฟังธรรมะกับเด็ก ใช่หรือไม่ (ใช่) พอกลับไปท่านจะได้คิดว่าผู้หญิงก็พูดธรรมะได้ เด็กก็พูดธรรมะได้ แล้วตัวเรามีธรรมะเหมือนกัน แล้วทำไมจะพูดธรรมะไม่ได้ มีหลายคนที่อายุมากกว่าเรา มีหลายคนที่อายุน้อยกว่าเรา ฉะนั้นอย่าได้ดูเบาตัวเอง หากทุกขณะจิตเรามีความหวังดีและมีจิตเมตตา เรามีธรรมะกล่อมเกลาจิตใจ เวลาพูดเราก็อาจจะสามารถพูดออกมาเป็นธรรมะ ธรรมะสอนคนได้เหมือนกันน้อมนำให้คนทำดีได้เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองนะ
“ในจิตใจล้วนมีแต่ร้อนรน” เราอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ใจมากที่สุด นั่นก็คือกิเลส ซึ่งมักจะนำพาให้เราไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสุขใจ กิเลสมาเมื่อใดจิตใจมักว้าวุ่น แล้วกิเลสในโลกนี้มีอะไรบ้าง (โลภ, โกรธ, หลง) จริงๆ แล้วถ้ามนุษย์ไม่มีกิเลสเราจะสามารถเป็นคนที่มีความสุขได้ในความสงบ ไม่ต้องออกไปวุ่นวาย ไม่ต้องออกไปกระทบกระทั่ง ไม่ต้องออกไปแก่งแย่งชิงดี และไม่ต้องออกไปเบียดเบียนทำร้ายใคร จริงหรือเปล่า (จริง) แต่ว่ามนุษย์มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง เกิดมาต้องทุกข์ในการเลี้ยงดูชีวิตตนเอง ถ้ามีปัจจัยสี่ครบก็สามารถดูแลชีวิตตนเองได้ แต่ถ้าปัจจัยสี่ครบแล้ว เราก็ยังวุ่นอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก ยังเบียดเบียนอีก รังแกคนอื่นอีก นั่นเรียกว่าเป็นกิเลส นั่นเรียกว่าเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์ในตัว หรือทุกข์ในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าท่านหาปัจจัยสี่ครบแล้ว พอแล้ว หยุดแล้ว วางแล้ว สงบแล้ว ก็จะสุขแล้วจริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเกิดหาปัจจัยสี่ยังไม่ครบแถมเบียดเบียน ยังไม่ครบแถมทำร้าย ยังไม่ครบแถมผิดกฎหมาย อย่างนี้แล้ว การหาปัจจัยสี่ในการเลี้ยงชีวิตก็ยังถือเป็นกิเลสที่ก่อให้เกิดสิ่งผิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการหาปัจจัยสี่ในการมีชีวิตอยู่ จึงต้องไม่กระทบเบียดเบียนและทำร้ายใคร และในการหาปัจจัยสี่นี้จะต้องไม่มีอารมณ์ โลภ โกรธ หลง และกามราคะมาบดบัง หรือรวมกับการแสวงหาด้วย เพราะถ้าเกิดมีความอยากในการหาปัจจัยสี่ และอยากจนเกิดความโลภ ความโลภนั้นจะบ่อนทำลายเรา นั่นคือจะต้องหาอย่างไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักพอ และถ้าเกิดว่าเราไม่พอใจ ความไม่พอใจรวมกับความโกรธก่อเป็นกิเลสในใจ เราย่อมสามารถที่จะกระทบกระทั่งและว่าคนอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเกิดว่าความรักใคร่รวมกับความหลงกามตัณหาราคะ ย่อมทำให้เราผิดต่อผู้อื่น และประพฤติผิดต่อจารีตประเพณีที่กำหนดไว้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นในการหาปัจจัยสี่ของมนุษย์ต้องควบคุมและระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นแล้วจะก่อให้เกิดความโลภ
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าวันนี้เราออกมาจากบ้าน เราต้องการออกไปหาเงิน เพื่อจะกลับมาซื้ออาหารเลี้ยงดูชีวิตตัวเองและครอบครัว เผอิญว่าเราไปเห็นเงินของคนๆ หนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ แล้วเขาลุกไป ไปทำธุระอะไรก็ไม่ทราบ เราอยากหาเงิน เราก็ลุกไปหยิบกระเป๋าเงินมาใส่กระเป๋าเรา แล้วก็บอกตัวเองว่าเราหาเงินได้แล้ว แต่หาเงินได้แล้วในใจเรารู้สึกกลัวไหม (กลัว) ถ้าเราเห็นหน้าคนๆ นั้น หรือเห็นหน้าคนที่อยู่บริเวณนั้นที่เห็นเราไปหยิบ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่นอนหลับ กินอิ่ม กลัวจะจับได้ไหม นั่นคือความต้องการ สุดท้ายความต้องการของเรากลายเป็น (โจร) ก็ถูกเหมือนกันใช่ไหม ความต้องการของเราจากการที่เราเป็นมนุษย์ธรรมดา กลายเป็นอีกตำแหน่งหนึ่ง “โจรเล็กๆ” ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดมองกันในด้านธรรมะ ไม่ได้มองกันด้านหน้าที่ ความต้องการ กลายเป็นทำให้เราก่อผิดบาป ก่อกิเลสในใจตนใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือเราระแวง เราหวาดกลัวใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งนั้นแหละที่ทำให้เราเกิดทุกข์ แต่ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนใหม่ พอเราเห็น อ้อ! เขาไปแล้ว เราก็ยืนเฝ้าใครอย่าเอานะ ใครอย่าเอานะ แต่พอเขาไปแล้วไปลับ เราก็คว้ากระเป๋ามาปุ๊บ คุณๆ ลืมกระเป๋า หรือไม่ก็เอาไปส่งให้ตำรวจ ที่เราอยากตอนนั้นเปลี่ยนเป็นอะไร (เป็นความดี) เป็นความดีแม้จะเฝ้าตาไม่ห่างเลยก็ตาม ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่ก็คิดกันเอาเอง เอาดีไม่เอาดี เอาดีไม่เอาดี แล้วก็ทำให้เราได้เกิดธรรมะข้อหนึ่งนั่นก็คือละอายเกรงกลัวต่อบาป
ฉะนั้นการดำเนินชีวิตของเรานั้น จึงต้องรู้จักระมัดระวังและควบคุมตัวเองด้วย กายควบคุม ใจก็ต้องควบคุมเหมือนกัน แล้วเราจะทำอย่างไรให้เรารู้จักควบคุมตนเองได้อย่างดี และไม่ให้กิเลสนั้นพุ่งพล่านจึงเกิดความคิดและเกิดการกระทำที่ผิดกฎหมาย นั่นก็คือเปลี่ยนจากการเข้มงวดคนอื่นมาเป็นเข้มงวดตนเอง ท่านเคยเห็นไหมเวลาที่ท่านอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูทีวี พอคนถูกจับได้ว่ากระทำผิด หลายคนบันดาลโทสะต่อยหน้าเขาเลย หลายคนต่อยๆ เหยียบให้จมดินไปเลย ดินดำอย่างไร ใจท่านก็เหมือนดิน เหยียบให้จมดินไปเลย แต่เวลาที่เราโมโห เวลาที่เราทำร้ายผู้อื่น ทำไมท่านไม่เอาสิ่งที่ท่านกระทำกับคนอื่นมาย้อนกระทำกับตนเองบ้าง เปลี่ยนจากการลงโทษคนอื่น เป็นมาลงโทษตนเอง กระทืบตนเองไปเลย ให้จมดิน ทำได้ใช่หรือไม่ นั่นก็คือขจัดความไม่ดีในตัวเองให้หายจมดินไปเลย เหมือนกับการที่เราเกลียดคนขี้ขโมยอย่างไรก็เกลียดความขี้ขโมยของตนเองอย่างนั้น ลงโทษคนขี้ขโมยอย่างไร ก็ลงโทษตนเองอย่างนั้น แล้วจะได้เข็ดหลาบใช่ไหม (ใช่) เรานั่นแหละเข็ดหลาบ ไม่ใช่เขา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราลงโทษตัวเอง อยากขี้ขโมยดีนัก คราวหน้าถ้าเกิดมือนี้ขโมยนะ ก็จับมือไว้แล้วก็มัดๆ ลงโทษไว้สักหนึ่งอาทิตย์ คราวนี้มือจะไม่ขโมยอีกต่อไปเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ทำผิดแล้วผิดอีก ก็เพราะไม่ยอมลงโทษตัวเองอย่างเข้มงวดและกวดขันใช่หรือไม่ (ใช่) มักให้อภัยตนเอง ช่างเถิด ไม่เป็นไรเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าเป็นคนอื่น ก็จะบอกว่า อย่าให้อภัยเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถก่อเรื่องใหญ่ๆได้ เช่นนี้ไม่ถูกต้องนะ ดังนั้นเปลี่ยนจากการลงโทษผู้อื่นมาเป็นลงโทษตัวเอง เข้มงวดคนอื่นมาเป็นเข้มงวดตัวเอง แล้วตัวเราเองนั่นแหละจะไม่เป็นผู้กระทำผิดแล้วหาทุกข์มาใส่ตัว จริงหรือไม่ (จริง) ทำเรื่องของเราให้ดีก็พอแล้ว เพราะตอนนี้ในสังคมขาดคนดีก็เพราะว่า เรามัวแต่ไปสนใจคนอื่น เราไม่ยอมสนใจตัวเองว่าดีหรือยัง เรามัวแต่บอกว่าคนนั้นไม่ยุติธรรม คนนั้นคดโกง แต่เราลืมถามตัวเองว่าตัวเราเองยุติธรรมหรือยัง ตัวเราเองซื่อสัตย์ไหม จริงหรือไม่ (จริง) ในที่นี้ทุกคนถามว่า “ยุติธรรม”อยู่ที่ไหน ใจเราเองยังไม่ค่อยยุติธรรมเพราะอะไร ที่ทำให้เราไม่สามารถยุติธรรม (ขาดธรรมะอยู่ในใจ) ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ได้ผลไม้แล้วเอาอีกไหม ได้แล้วไม่เอาอีกแต่ขอคืนได้ไหม (ไม่ได้) นั่นก็คือเมื่อเรารู้จักรับไปแล้ว เราก็ต้องรู้จักให้กลับเป็นด้วย นั่นก็คือการที่เราพอในสิ่งที่ควรมีก็พอแล้ว แต่ถ้าเกิดถึงคราวที่แบ่งได้ก็แบ่งไป ก็ควรบอกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไปครึ่งลูกแล้วขอเก็บไว้ครึ่งลูกได้ไหม นี่คือการใช้ปัญญานะ
ละวางแล้วมีน้ำใจให้กัน ดังขึ้นสวรรค์ไปเองรู้เอง นั่นก็คือว่าบางครั้งแม้มีหนึ่งก็จงพอใจในหนึ่งนี้ ถึงคราวที่มีคนมาขอแบ่งเราก็ปันส่วนให้ อย่าได้เป็นคนในโลกนี้มีหนึ่งแล้วจะต้องมีสอง มีสองแล้วจะต้องมี (สาม) มีสามจะต้องมี (สี่) ฉะนั้นบางครั้งแม้มีเท่านี้ก็จงพอใจในเท่านี้ แต่ว่าก่อนจะพอใจ เราต้องสำรวจก่อนว่าสิ่งที่เราบอกว่าจะพอนั้นเหมาะที่จะไปเลี้ยงดูทุกๆ คนหรือเปล่า เหมาะที่เราจะเอาไปเลี้ยงดูชีวิตได้พอหรือไม่ ไม่เช่นนั้น เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกให้พอ ก็พอเท่านี้ก็เลยยากจนข้นแค้นไม่ใช่แบบนี้นะ สมถะก็คือการรู้พออย่างเหมาะสม แล้วก็การพอดีกับการดำรงชีวิตใช่หรือไม่ เมื่อเราสามารถละวางกิเลสได้หมดสิ้น
แก้ที่ยากๆ ความสุขอาจจะอิ่มเอิบใจและเป็นความสุขใจยิ่งนัก ไม่เหมือนที่ง่ายๆ ไปเที่ยวแป๊บเดียว ดิ้นๆ ๆ กลับมาเมื่อยจังเลย กลับมาจะโดนดุไหม จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นอย่ามัวแต่เห็นความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ จนมองข้ามความทุกข์หรือความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่จะตามมา เมื่อไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่มีกามตัณหาราคะ ชีวิตก็เป็นสุขขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่เมื่อเรารู้จักดำเนินชีวิตแล้ว เราก็อย่าได้แต่หลับหู หลับตา ไม่ฟังเสียงใดๆ ทั้งสิ้น เช่นนี้แล้ว เราก็จะดำเนินชีวิตได้อย่างยากเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อรู้แล้วก็จงรีบปฏิบัติและนำไปใช้ให้ถูกทาง ไม่ใช่เมื่อรู้แล้วกลับบ้านแล้วก็ยังงงๆ มืดมัวทำเหมือนเดิม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมปิดตาหาเก้าอี้ตัวเอง โดยเวลาคนเล่มเกมเดินใกล้เก้าอี้ตัวเองให้นักเรียนในชั้นปรบมือให้เสียงดังขึ้นๆ แต่เวลาคนเล่นเกมเดินห่างเก้าอี้ให้ปรบมือเสียงเบาลงๆ)
การปิดตาแล้วให้คนบอก บางครั้งก็ยากเหมือนกัน ยิ่งเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะไปนั้นอยู่ไกลเพียงไหน ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตก็เช่นเดียวกัน จุดหมายบางครั้งต้องมีแต่ไม่ใช่มีแล้วหลับหู หลับตา เดินไปหาจุดหมาย ไม่เช่นนั้นแล้วจะทุกข์ทรมาน ทุกข์หรือไม่ที่โดนปิดตา (ทุกข์)
บางครั้งแม้เราจะมีจุดมุ่งหมายแล้ว หรือบางครั้งตัวเองจะมีความมั่นใจในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม บางครั้งเราก็ต้องรู้จักเปิดหู เปิดตาที่จะรับฟังผู้อื่นด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว ความมั่นใจที่เรามีอยู่อาจจะมีความผิดพลาดก็เป็นได้
การที่เราเป็นทุกข์ตอนแรกนั้นเป็นอะไรรู้ไหม พอมีกายก็มีคำว่า “ตัวตน” ใช่ไหม (ใช่) พอตัวตนขยับได้ก็เกิดการมีชีวิต แต่ถ้ามีกาย มีตัวตน แต่ขยับไม่ได้ เรียกว่าวัตถุ ใช่ไหม พอมีกายก็เรียกว่า "ตัวตน" พอขยับได้ก็เรียกว่า “ชีวิต” แต่ “ชีวิต” พอขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงก็มีความไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่) พอหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว สิ่งที่เคยเคลื่อนไหว พอหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว ก็เรียกได้อย่างน่าฟังว่า “พักผ่อน” แต่พักผ่อนไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นั้นพอมีร่างกายเป็นของตัวเองก็ตั้งชื่อให้กับตัวเอง พอตั้งชื่อให้กับตัวเองก็มีตัวตน ว่าเป็นตน ว่าเป็นเขา พอตัวตนเกิดขยับเขยื้อนได้ก็มีชีวิต อยากทำโน่น อยากทำนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่) พออยากทำโน่น อยากทำนี่มีการเปลี่ยนแปลงไหม (มี) มีการเดินไปซ้าย เดินไปขวา จากอายุเท่านี้ล่วงเลยผ่านปีๆ ก็อายุมากขึ้นๆ พออายุผ่านมากขึ้นๆ หยุดอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนแล้ว นิ่งอยู่เท่านี้ นั่นคือการได้ "พักผ่อน" นี่คือสัจธรรมความเป็นจริงของตัวคนทุกๆ คน ใช่หรือไม่ ทุกคนรู้ทุกคนเข้าใจ แต่ถึงคราวเจ็บป่วย อย่าป่วยสิ บำเพ็ญธรรมะแล้วยังเจ็บป่วยอีก เป็นคนดีแล้วทำไมยังโดนว่าอีก ทำความดีแล้วทำไมยังโดนเขาตีจนเจ็บอีก อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจธรรมะไหม (ไม่เข้าใจ) เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนคนๆ หนึ่งว่า ลองไปถามทุกๆ บ้าน มีบ้านไหนที่ไม่มีคนตาย เฉกเช่นเดียวกัน วันนี้เราสอนเพิ่ม ท่านไปถามทุกๆ บ้าน มีบ้านไหนบ้างที่ไม่เจ็บ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นหากบำเพ็ญธรรมเกิดความเจ็บป่วย อย่าได้โทษว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นคนดีแล้ว ถึงโดนคนว่าทำให้เจ็บป่วย โดนคนว่าทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ นี่เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เป็นความจริงของตัวมนุษย์ทุกคนที่ต้องมีใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมลูกของฉันรับธรรมะแล้วจึงตาย ท่านลองคิดดูว่าท่านพูดอะไรผิดไหม แล้วมีใครบ้างที่รับธรรมะแล้วไม่ตายจริงไหม (จริง) แล้วมีใครทำดีแล้วไม่โดนต่อว่า มีไหม (ไม่มี) แม้พระพุทธองค์ดีถึงขนาดเป็นพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า ยังโดนว่า แล้วนับประสาอะไรกับเราที่ทำดี ฉะนั้นเวลาที่ท่านทำดีแล้ว ตั้งใจจะเป็นคนดีหรือตั้งตนจะบำเพ็ญตนช่วยผู้อื่น โดนเขาว่า โดนทำให้เจ็บ มีเรื่องเกิดดับ เกิดขึ้นกับในชีวิต เราต้องปลงได้ ผู้ที่ปลงได้และรู้จักยึดกุมความเป็นจริงของชีวิตได้ เขาจะสามารถรักษาคุณค่าแห่งชีวิตและดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข แม้จะเจอเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ปลงได้ และเข้าใจได้อย่างแท้จริง ทำได้หรือไม่ (ได้)
ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่ารุ่นน้องหรือรุ่นหลัง คราวนี้คงไม่ได้ยินว่า บำเพ็ญแล้วทำไมยังเจ็บอีก บำเพ็ญแล้วทำไมต้องตายด้วย คงไม่ได้ยินแล้วนะ แต่คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น เราต้องรู้ว่ามันเป็นสัจธรรมหรือเป็นธรรมดาของโลก ฟ้ายังมีมืดมีสว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ใจคนมีมืดมีสว่างผลัดไปผลัดมา ดีหรือไม่ (ไม่ดี) จงสว่างตลอด อย่าบอกว่าทีฟ้ายังมีมืดได้มีสว่างได้ ทำไมฉันจะดีบ้างไม่ดีบ้างไม่ได้ ได้ไหม อย่างนี้เรียกว่าแทนที่จะเอาธรรมะมาเป็นสิ่งคุ้มครองตนเอง มาเป็นสิ่งดำเนินชีวิต ป้องกันอันตราย แต่เอาธรรมะมาเป็นเหมือนดาบ ลองว่าสิ ฟันเข้าให้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) คุ้มครองแบบผิดทาง ใช่หรือเปล่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลง : อย่าหลงตัวเองในสิ่งที่ผิด ทำนองเพลง : ชมไพร)
นั่งฟังธรรมะมากๆ บางครั้งก็รู้สึกเบื่อ ใช่ไหม (ไม่เบื่อ) เราพูดอะไรยากหรือเปล่า (ไม่ยาก) ยังมีคนไม่ค่อยเข้าใจ นั่นก็คือว่าในโลกนี้สิ่งที่ท่านกลัวมากที่สุดก็คือความตาย แต่ในบางครั้งเรามีชีวิตอยู่สิ่งที่ท่านกลัวก็คือความทุกข์ วันนี้เรามาบอกถึงต้นเหตุที่ทำให้ท่านไม่ต้องมีทุกข์ นั่นก็คือเรารู้จักแสวงหา แต่แสวงหาอย่างถูกควรไม่เบียดเบียนทำร้ายใช่หรือไม่ แล้วก็รู้จักเข้าใจชีวิตและความเป็นไปของชีวิตว่าต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตายแล้วก็ไปเกิด เกิดแล้วก็ไปตาย แต่เมื่อบำเพ็ญ ตายแล้วจะไม่เกิดอีก แต่การที่จะทำให้เราสามารถที่จะเกิดมาแล้ว พอตายไปแล้วไม่ต้องเวียนมาเกิดอีก นั่นก็คือว่า เราจะต้องทำตัวเองให้พ้นจากวัฏสงสารอันนี้ นั่นก็คือทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติ เมื่อไรที่เราสามารถบำเพ็ญและมีความสุขในการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ พอจะตายไปห่วงโน่น ห่วงนี่ กังวลโน่น กังวลนี่ นี่แหละจะเป็นตัวฉุดดึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถกลับคืนเบื้องฟ้าได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) หรือห่วงแม้กระทั่งตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากว่าท่านอยู่แล้วมีความสุขกับสิ่งที่มี ไม่ยึดติด ไม่ห่วงกังวล อยู่ก็สบาย ไปก็จะสบาย แต่ถ้าหากอยู่อย่างทุกข์ ไปก็ยังยึดติดในทุกข์อยู่จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นทำอย่างนี้ยากไหม (ไม่ยาก) เข้าใจไหม (เข้าใจ) นั่นก็คือรู้จักดำเนินชีวิตให้ถูก แต่ว่าบางครั้งก็ติดอยู่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท)
บทเพลงบางครั้งช่วยทำให้เราผ่อนคลายความกลุ้มกังวลในจิตใจ และปล่อยวางอารมณ์ที่กำลังหน่วงเหนี่ยวใจอยู่จริงหรือไม่ (จริง)
“ยกตนสำคัญเหนือคนทั้งมวล ในจิตใจล้วนมีแต่ร้อนรน
หวาดระแวงทุกสิ่งทุกคน จิตใจคอยวกวนเพราะตนทำเอง”
เกิดเป็นคนนั้น ถ้าเห็นตัวเองสำคัญจะไม่มีความสำคัญให้คนเห็น เข้าใจตรงนี้ไหม หลายต่อหลายคนนั้นอยากให้ทุกๆ คนเห็นความสำคัญของตัวเรา แต่บางครั้งยิ่งเรียกร้องคนกลับยิ่งไม่สนใจ บางครั้งเราอยู่เฉยคนอาจจะสนใจกว่าคนที่เอาแต่เรียกร้องตัวเองใช่หรือไม่ ฉะนั้นจงจำไว้ว่ายิ่งเห็นตัวเองสำคัญจะไม่มีความสำคัญให้ใครเห็น และถ้ายิ่งเห็นตัวเองสำคัญแล้วคนอื่นแย่ไปหมด ตัวเราเองก็จะเป็นอย่างไร ระแวงตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็รู้สึกร้อนรนที่เวลาไม่มีใครเห็นตัวเองสำคัญจริงๆ อย่างที่ตัวเองอยากเป็นใช่ไหม ฉะนั้นบางครั้งตัวเราเองต้องรู้จักสร้างแต่สิ่งที่ดี ละวางสิ่งที่เห็นว่าตัวเองสำคัญปล่อยลงไปบ้าง แล้วรู้จักส่งเสริมแจกน้ำใจไมตรี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยิ่งให้เขามากเท่าไหร่ เราจะยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น คนที่มีน้ำจิตน้ำใจเมตตาปรานี ก็เหมือนคนที่อยู่สวรรค์บนดิน ดำเนินชีวิตเหมือนเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีแต่จิตใจเมตตารักใคร่ทุกๆ คน ใช่ไหม (ใช่) แต่เรามักจะอยู่บนโลกแล้วเหมือนในนรกใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่ามีแต่แก่งแย่งแข่งขันกัน แล้งน้ำใจกัน แล้วก็ โป้ปดมดเท็จต่อกันใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นขอให้เมื่อตั้งใจจะบำเพ็ญธรรมแล้ว เมื่อตั้งใจจะเป็นคนดีแล้ว ขอให้มีความสุขในการกระทำ และมั่นคงในการกระทำ อย่าได้ทอดทิ้งไป ไม่อย่างนั้นแล้วพอท่านทิ้งธรรมไป ธรรมก็เหมือนกับเสียง เสียงอะไรดี เรียกก็มาหา ทิ้งก็เดินหายไปจริงไหม (จริง)
หลงโลกทิ้งธรรมไกลตา หาญกล้าหวนไปเดินใหม่ ถ้าเกิดคิดจะทำดีแล้ว ไม่มีคนร่วมทำดีกับเราด้วย เราก็ไม่ยอมแพ้ จงทำต่อไป ถ้าเกิดเมื่อไรเราทิ้งความดี ความดีนั้นก็เหมือนกับสิ่งๆ หนึ่งเรียกก็มา ทิ้งก็หาย ถ้าเรียกบ่อยๆ ก็จะอยู่ใกล้เรา แต่เมื่อเรียกไปแล้วก็ใช่ว่าจะหายแล้วหายลับ จงเรียกกลับมาแล้วหวนพยายามสู้ต่อใหม่ได้ไหม (ได้) วันนี้พ่ายแพ้กับคนที่ต่อว่าแต่ก็ยังลุกขึ้นมาสู้ทำดีใหม่ อย่างกล้าหาญได้ไหม (ได้) แล้วครั้งใหม่นี้จะต้องเป็นครั้งที่แข็งแรงกว่าเดิม มั่นคงกว่าเดิม แน่ใจกว่าเดิม และไม่ยอมแพ้เหมือนดั่งครั้งเดิม ทำได้หรือเปล่า
หลงทางถามคนขอคำแนะนำ เป็นสิ่งส่งเสริมคือการรับฟัง ถูกหรือยังผิดหรือยัง เปิดใจยอมรับฟัง ระวังความคิดตน และช่วงที่เกิดตั้งใจทำดีนั้น หรือตั้งใจบำเพ็ญนั้นหลงทางไปบ้าง พลาดผิดไปบ้าง แต่ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะบำเพ็ญอยู่ มีคนสะกิดบอกก็จงรับฟัง การรับฟังเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งส่งเสริมในการรับฟังนะ เขาจะช่วยบอกเราว่า สิ่งที่เราทำนั้นถูกหรือยัง หรือว่าผิดหรือเปล่าใช่ไหม (ใช่) แต่บางครั้งอย่าถึงขนาดไม่มั่นใจเลย พอเดินไปอีก ถูกหรือยัง ผิดหรือยัง เช่นนี้ก็ไม่ได้ ต้องมีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำด้วยเข้าใจไหม (เข้าใจ) แล้วเปิดใจยอมรับฟัง ระวังความคิดตัวเอง มนุษย์เราง่ายที่จะไหลลื่นไปยังเบื้องต่ำ ง่ายที่จะคิดผิด คิดชั่วร้าย เราจึงต้องควบคุมกายใจให้มั่นคง โดยเอาธรรมะมาเป็นหนึ่ง อย่าเอาอารมณ์มาเป็นหนึ่ง ทำได้ไหม (ได้)
“คนเตือนเอ่ยใจกว้างใครส่งเสริม” มีคนเตือนก็ใจกว้างรับฟัง ไม่ว่าใครคนนั้นจะมาส่งเสริม
(นักเรียนในชั้นจำลัญจกรไม่ได้) จำไม่ได้ไปทบทวนนะ คนที่เป็นหัวหน้าแถวของแต่ละแถวคอยดูด้วยนะเวลาเขารับผลไม้เขาทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้มีโอกาสท่านต้องเดินเข้าไปบอกเขาแล้วก็สอนตอนเลิกนะ
ความปรารถนาของมนุษย์หรือความต้องการของมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดว่าปรารถนามากจะมองเห็นได้แค่ภาพที่ปรากฏ แต่ถ้าเกิดเราสามารถยุติความปรารถนาได้ เราจะเห็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าภาพที่ปรากฏ เข้าใจคำนี้ไหม ใครเข้าใจบ้าง เวลาเราอยาก เราจะเห็นแค่แอปเปิ้ลเป็นแอปเปิ้ลลูกหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดเราไม่อยาก เราจะเห็นแอปเปิ้ลเป็นอย่างไร (มีแต่ความว่างเปล่า ) ลึกซึ้งมากเลย เขาบอกว่าจะเห็นแอปเปิ้ลนี้มีแต่ความว่างเปล่าถูกต้องใช่ไหม (ใช่) แต่ก่อนที่จะลึกซึ้งจนถึงบั้นปลายที่เขาสรุปลงไปนั้น ยังมีอะไรมากกว่านั้น ถ้าเราไม่ชอบเราจะเห็นแอปเปิ้ลเบี้ยว มีตำหนิ ไม่สวย แล้วถ้าเกิดว่าเรามองเขาไปอีกในแง่ของธรรมะ เรายังจะรู้ว่าแอปเปิ้ลนี้ท่าทางจะเก็บไว้นาน เหี่ยวไปนิดนึงใช่ไหม (ใช่) และถ้ามองให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก แอปเปิ้ลนี้เดี๋ยวก็เป็นแอปเปิ้ล และเดี๋ยวก็เป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลง ย่อยสลาย แล้วก็หายวับไปใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือการมองโดยที่ไม่ติดความปรารถนาแล้วเราจะเห็นอะไรที่ลึกซึ้งๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าเกิดมนุษย์เราอยู่ในโลกนี้ หรือตัวท่านเองอยู่ในโลกนี้จะไม่หลงโลก ก็ต่อเมื่อมองทุกอย่างอย่างไม่ปรารถนา ไม่หวัง ไม่หลง ไม่โลภ แล้วท่านจะเห็นอะไรที่เป็นจริง มากกว่าสิ่งที่ปรากฏ แล้วเมื่อไรที่ท่านสามารถอยู่ในโลกแล้วมองเห็นได้อย่างนี้ ท่านจะปลงต่อชีวิต และเข้าใจทุกๆ คนที่ทำไมเขาจึงพูดแบบนี้ ว่าเราแบบนี้ใช่ไหม (ใช่) เราจะไม่โกรธเขา และเราจะไม่หลงต่อสิ่งนั้น และเราก็จะไม่โลภต่อสิ่งนั้น ฉะนั้นตาจึงมีความสำคัญ หูจึงมีความสำคัญ มือที่สัมผัสก็มีความสำคัญ แต่สำคัญที่ไหน สำคัญที่ใจ ใจมองเป็นภาพหรือมองให้ลึกซึ้ง เข้าใจตรงนี้ไหม (เข้าใจ) เมื่อทำได้ถึงขนาดมองให้ลึกซึ้งทุกๆ อย่างแล้ว โลภ โกรธ หลง และกามราคะก็จะไม่เกิด เมื่อกามราคะ โลภ โกรธ หลงไม่เกิด ใจก็จะไม่วุ่น กายก็จะสงบ ความร่มเย็นก็จะบังเกิด ในความเป็นธรรมดา เป็นตัวตนนี่แหละ แล้วเมื่อนั้นท่านจะค้นพบความเป็นพุทธะที่แท้จริง แล้วท่านก็จะกลับเบื้องบนได้ทันที จนกว่าท่านจะสิ้นจากกายนี้ดีไหม (ดี ) เกิดเป็นคนนั้นทุกข์เหลือแสน ทุกข์ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไร ทุกข์ที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร และทุกข์ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีอะไรมาทำให้ทุกข์ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรามองอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าสิ่งใดเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไปแล้วดีไหม (ดี)
ขณะที่ท่านซ้อมร้องเพลงเราได้ให้กลอนต่อไว้ข้างหลังนะ แต่กลอนนี้ได้อธิบายไปเมื่อตอนต้นที่เรามาถึงแล้ว ให้ท่านเอาไปพิจารณาแล้วก็ไตร่ตรองดูว่า วันนี้ที่เราผูกบุญสัมพันธ์กัน มาพูดธรรมะให้แก่ท่านนั้นเป็นสิ่งที่น่านำไปปฏิบัติไหม “อย่าเรียนรู้แล้วไม่คิด อย่าเอาแต่คิดแล้วไม่เรียนรู้” สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายกับชีวิตใช่ไหม เรียนรู้แต่ไม่คิดก็เรียกว่า “เสียเปล่า” จะเอาแต่คิดแล้วไม่เรียนรู้ก็เรียกว่า “อันตราย” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกลับไปขอให้เอาไปคิด คิดแล้วรู้ว่าดีก็จงเอาไปปฏิบัติ ดีได้ไม่ใช่ตัวเรา ก็คือตัวท่าน ชนะได้ไม่ใช่ชนะคนอื่นแต่ต้องชนะที่ใจของตัวเราเอง แล้วชนะจึงจะเป็นชนะที่ยิ่งใหญ่ เมื่อชนะแล้ว การชนะหรือความดี หรือการบำเพ็ญตนนั้น จะนำพาและส่งเสริมให้ท่านกลับคืนสู่เบื้องบนในที่สุด อย่าไปเอาความชั่วร้ายมาเลย ความชั่วร้ายนั่นก็จะเป็นตัวผลักดันให้เราไปอยู่กับสิ่งที่ชั่วร้ายเหมือนๆ กัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตนี้เกิดมามีค่าอย่าได้ประมาทและอย่าได้หลงติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ อย่าได้หลงใหลจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเกิดมาแล้วก็เกิดซ้ำอีก เมื่อมีชีวิต ค่าของชีวิตไม่ใช่นำมาเสี่ยงกับการคึกคะนอง มาเสี่ยงกับอันตราย ไม่เช่นนั้นเกิดมาแล้วก็สั้นนิดเดียว ใช่ไหม จงทำให้มีค่า มีค่ายิ่งใหญ่กว่าภูผาใดๆในโลกนี้ อย่าคิดว่าเรามาหลอกเลยนะ
“คนแสวงความรู้ไม่รู้จักตัว” แสวงหาความรู้มากมาย แต่ถ้าไม่เข้าใจตัวเองจะมีประโยชน์อะไร เรียนรู้แต่ไม่รู้จักใช้ปัญญา ไม่รู้จักใช้คุณธรรมมาน้อมนำก็ไม่มีประโยชน์ จะเรียกว่าผู้ประเสริฐก็ไม่อาจเรียกได้ เพราะไม่ทำอะไรที่เหมาะสมกับคำว่า “ประเสริฐ” สักคราหนึ่ง เกิดเป็นคนก็ต้องหัดเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้ให้กับตน หาแต่ที่เชิดชูชีวิต เชิดชูจิตใจ อย่าไปหาในเรื่องที่หาแล้วไร้คำตอบ หาแล้วไร้ประโยชน์ คนปัจจุบันนี้อยากจะรู้ว่าสว่างคืออะไร นรกคืออะไร แต่พอรู้แล้วก็กลับเฉยเมย ไม่หวาดกลัว ไม่เอาไปปฏิบัติแล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการหามาใช่ไหม (ใช่) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เคยบอกไว้ เคยพาคนไปดูว่านรกมีจริงนะ สวรรค์มีจริงนะ แต่หลายคนที่ขึ้นสวรรค์แล้วไม่อยากลงมาอีก ทุกคนเห็นแต่นรกใช่ไหม ฉะนั้นถ้ากลัวขนาดนี้อย่าได้คิดไปลองเสี่ยง อย่าได้เอาตัวไปเกลือกกลั้วเลย จงทำดีเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ พยายามเข้านะทุกคน ทำได้ไหม แต่ต้องอดทนให้ได้นานๆ นะ อย่าได้เป็นคนที่มีความรู้มากมายแต่อดทนได้ไม่นาน ชนะใจได้ครั้งหนึ่งแต่ชนะได้ไม่มั่นคง อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์
วันนี้เรามาก็ทำให้ท่านเสียเวลาไปมากเลย มีโอกาสก็ขอให้กลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกดีไหม (ดี) ตั้งใจบำเพ็ญกันให้ดีนะ อย่าท้อแท้สู้ต่อไปนะ ผู้บำเพ็ญ (สู้) ไม่ได้สู้กับคนอื่นนะแต่ให้สู้กับกิเลสในใจตัวเองนี้ได้ไหม (ได้) ไปละนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่ดีดีใครเขาจะอภัยให้ หากศิษย์ไม่พูดหรือแสดงอาการขอโทษ
อยู่ดีดีใครเขาจะปราโมทย์ หากศิษย์โกรธอยู่ร่ำไปอยู่เรื่อยไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ขอศิษย์รักทุกคนวันหลังอย่ามาสายอีก
เมตตากว้างสร้างศรัทธาในใจกัน เป็นกาวใจให้กันสามัคคีส่ง
ประมาทเป็นจิตใจคลอนความมั่นคง เป็นไทจากกิเลสหลงบำเพ็ญจริง
หยิ่งปานใดเหงาเป็นฟ้าสลัว ผ่อนจิตทั่วผ่อนคลายไร้เย่อหยิ่ง
จิตเป็นธรรมเมฆฝนสลายจริง สงบทิ้งกังวลในโลกมายา
ธรรมคุณอเนกอนันต์ช่วยแพร่งาม กระจ่างความสังขารเรื่องนี้ใช่ปัญหา
ความสามารถเก็บงำใช้ทุกเวลา ทั่วถึงเมื่อผ่านตาพิจารณาพอ
วารีกาลจำต้องไหลไม่พัก ประสบง่ายก่อนยากจักลำบากหนอ
จดจำจงดีอาจารย์ยังรอ เห็นศิษย์ท้ออาจารย์แสนทรมานใจ
ให้กำลังใจซึ่งกันแทนอาจารย์ อย่าซ้ำเติมซึ่งกันใจสลาย
แม้ว่าอยู่ในโลกจะสบาย แต่ถ้าคืนกลับได้เกษมกว่า
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้มาประชุมธรรมเป็นวันที่สองแล้วใช่หรือไม่(ใช่) เมื่อวานก็มาสาย วันนี้ก็มาสาย แล้วเวลาที่บำเพ็ญธรรมจะบำเพ็ญอย่างคนขี้เกียจหรือไม่ (ไม่) จะให้เชื่อได้อย่างไรล่ะ ว่าอย่างไร การที่เรามาสายนั้นก็แสดงว่าเรานั้นไม่ได้ตั้งใจใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเราก็คิดว่า เราตั้งใจแล้วแต่เพียงแค่เรามาสายเท่านั้นเอง แต่ว่าอันที่จริงเวลาที่คนเขามองเรา เราบอกว่าใจเราไม่ได้คิดอะไร แต่หน้าเราขมวดคิ้ว คนจะเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) เขาต้องคิดว่า เรานั้นคิดอะไรอยู่ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราแสดงออกเป็นเรื่องที่สำคัญไหม (สำคัญ) สมมติว่าเรานั้นเพิ่งจะทะเลาะกับเขามาหมาด ๆ พอครึ่งชั่วโมงให้หลังเจอกัน เราก็ยังหน้าบึ้งใส่เขาอีก แบบนี้จะให้เขาคิดว่าเราหายโมโหแล้ว หรือยังโมโหเขาอยู่ (ยังโมโหอยู่) ยังโมโหอยู่
สองวันนี้เรามานั่งฟังธรรมะ เริ่มเก้าโมงหรือเปล่า(แปดโมง) แล้วเรามากี่โมง อย่างนี้ก็แสดงว่า เราแสดงความไม่ตั้งใจให้พุทธะสิ่งศักด์สิทธิ์เห็น แล้วเราก็ทำความร้อนใจให้กับผู้บรรยายใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นวันหลังเวลาที่เราตั้งใจทำอะไร ก็ต้องทำอย่างคนที่ตั้งใจทำใช่ไหม (ใช่)
การที่เราบอกว่าเราบำเพ็ญนั้น จะต้องทำอย่างไร เวลาที่เราจะบำเพ็ญเราก็ต้องรู้จักแก้ไขปรับปรุงนิสัยของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ลองดูตัวเองหน่อยสิว่าเรานั้นยังมีนิสัยเสียๆ อยู่อีกไหม (มี) เรามีนิสัยดีๆอยู่ไหม (มี) แล้วระหว่างนิสัยเสียกับนิสัยดีอะไรที่ขึ้นไปสูงกว่ากัน (ไม่ดีสูงกว่า) ทำไมล่ะ เราเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี) เราเป็นคนดีแต่เรามีนิสัยเสียใช่หรือเปล่า เราเป็นคนดีแต่มีนิสัยเสียจะนับว่าเป็นคนดีได้ไหม (ไม่ได้) จริงๆแล้วคนทุกคนบอกว่าตัวเองเป็นคนดีเพราะว่าเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เราดีกว่าคนอื่น แต่เรายังไม่ดีกว่าคนอื่นอีก เพราะอะไร เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถ้าหากว่าเราเป็นคนดีแล้ว มีนิสัยที่ดีแล้ว ลองเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่าหน่อยสิ พ่อแม่ดีกว่าเราหรือไม่ แล้วเราเป็นลูกของพ่อแม่ แสดงว่าเราทำให้วงศ์ตระกูลของพ่อแม่ตกต่ำไปหรือไม่ (ต่ำลง) พ่อแม่ดีกว่าเราไหม (ดีกว่า) พ่อแม่ดีกว่าเรา เราต้องทำให้ดีกว่าพ่อแม่ ไม่ใช่ดีกว่าด้วยการเปรียบเทียบหรือประชันขันแข่ง แต่ต้องดีด้วยการที่เราเอาคุณธรรมของพ่อแม่ อย่างเช่นพ่อแม่ชอบทำบุญ พอมาถึงรุ่นเราเห็นพ่อแม่ทำบุญเสียจนชินตา เกิดความรู้สึกไม่ค่อยอยากทำขึ้นมา แสดงว่าเราไม่ได้ดีกว่าท่านใช่หรือไม่ พ่อแม่รักพี่น้อง มาถึงรุ่นเรา อาเราก็ไม่ค่อยดี น้าเราก็ไม่ค่อยดี แล้วอย่างนี้ถือว่าเราสืบทอดคุณธรรมของพ่อแม่ไหม (ไม่) ถ้าเรามองเห็นความผิดของคนอื่นเราจะเห็นความดีของตัวเองไหม (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นเราต้องมองเห็นความไม่ดีของใครเป็นอันดับแรก (ของตัวเอง) เมื่อเรามองเห็นความผิดของตัวเราเองเมื่อไร ศิษย์ก็สามารถแก้ไขความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อเห็นตัวเองว่าตัวเองนั้นเป็นคนขี้โมโห เวลาที่ใครคุยกับเราถึงคุยได้ไม่ถึงสิบนาที อย่างนั้นหรือเปล่า หรือว่าเห็นตัวเราเองว่าเป็นคนขี้โมโห เวลาที่ใครคุยกับเราถึงคุยได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง พอหรือยัง เวลาเราคุยกับคนอื่นเราคุยได้นานเท่าไหร่ ถ้าหากว่าตัดเรื่องนินทาออกไปจะเหลือกี่นาที (ห้านาที) สั้นลงไปทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่เราคุยกันเราจะต้องคุยเรื่องอะไรให้มากๆ (เรื่องธรรมะ) แล้วธรรมะเป็นอย่างไร (ทำให้จิตใจของเราดีขึ้น) แล้วเป็นอย่างไรอีก (จิตแจ่มใส) แล้วเป็นอย่างไรอีก(จิตแจ่มใสขึ้นรับรองว่าไม่เคย...) นี่คุยกันยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยนะ เวลาที่เราไปเจอคนที่ถามเราว่า “ทำไมล่ะ อะไรล่ะ อย่างไรล่ะ” เราต้องมีเหตุผลที่จะตอบไปได้ แล้วเราจะตอบเขาได้อย่างไร ถ้าเราไม่เคยศึกษาเลยใช่หรือไม่ (ใช่) หรือว่าบางคนรู้เยอะ ตอบได้มากแต่ไม่เคยทำดีเลย ถามว่าเรานั้นจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ถ้าหากว่าคนหนึ่งพูดจ๋อยๆเลย แต่ว่าสิ่งที่พูดไม่เคยได้ทำเลย (โกหก) เราก็รู้สึกว่าเราไม่อยากฟังคนนี้เท่าไหร่หรอกใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จะถามว่าศิษย์ทุกคน เคยถูกคนอื่นโกรธไหม (เคย) เคยโกรธคนอื่นไหม (เคย) ดีหรือไม่ดี คนส่วนใหญ่ เวลาคนโกรธกันหรือมีความไม่พอใจกัน คนหนึ่งก็ว่าคนอีกคนหนึ่ง เขาผิดหรือเขาถูก (ผิด) เวลาเราโกรธกันสองคนใครผิด (คนอื่นผิด) ทำไมเขาผิดล่ะ เราไม่เคยทำอะไรผิดเลยใช่ไหม (เคย) ใครไม่เคยทำอะไรผิดเลยยกมือขึ้น เราทุกคนเคยทำผิดใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าเราทำไม่ผิด แต่ลองเอาใจของเราออกไปข้างนอก แล้วมองกลับเข้ามาที่ตัวเราเองสิ ลองดึงใจของเราออกไปข้างนอกตัว ไม่ผูกพันกับตัวของเราอันนี้ แล้วมองเข้ามาสิว่า เอ๊ะ...คนนี้ใคร คนนี้ทำผิดหรือเปล่า แล้วเราจะมองเห็นความผิดของเราไหม (เห็น) ที่เราไม่ยอมรับว่าเราผิดเพราะว่าเราผูกพันกับตัวของเรามากเกินไป ใช่หรือเปล่า บางคนกลัวเสียหน้า ไหนลองจับหน้าดูสิ หน้าเป็นอย่างไร ดีไหม บางคนกลัวเสียเงิน ตบกระเป๋าตัวเองสิ มีเงินไหม (ไม่มี) กลัวเสียเงินก็ไม่มีเงินเท่าไหร่ให้เสียใช่ไหม (ใช่) กลัวเสียใจ จับใจ ใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จับไม่ถึงใช่ไหม (ใช่) กลัวเสียคน ต้องจับทั้งตัวเลยนะ แต่เราไม่รู้หรอกเวลาที่เราทำอะไรผิดแล้วเราไม่ยอมรับ เราเสียคนยิ่งกว่าเสียคน เราเสียใจยิ่งกว่าเสียใจ เราเสียหน้ายิ่งกว่าเสียหน้า เราเสียรู้ยิ่งกว่าเสียรู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีก็คืออะไร อาจารย์จะสอนให้ศิษย์ยอมรับผิดทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองนั้นผิดหรือเปล่า เราลองยอมรับดูก่อน เวลาเรายอมรับผิดแล้วเราคิดว่าเรามีอะไรเสียหายล่ะ เสียใจไหม ถ้าหากว่าใจของเรามันกว้างเหมือนอะไร (แม่น้ำ) ถ้าหากว่าใจเรากว้างเหมือนแผ่นดิน หากเป็นแม่น้ำเดี๋ยวจะหายต๋อมไปหมดนะ โยนอะไรไปก็เรียบเลย ถ้าหากใจเรากว้างเหมือนแผ่นดิน แม้ว่าเรายอมรับผิดแล้วก็ไม่มีอะไรเสียหาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ความผิดก็กองอยู่ที่พื้น ถ้าหากว่าไม่ใช่ของเราแต่ถ้าเป็นของเรา เราต้องทำอย่างไร ทำครั้งต่อไปให้เหมือนเดิมใช่ไหม ก็ผิดแล้วนี่ ได้ไม่ได้ (ไม่ได้) ทำอย่างไร (แก้ไข) ต้องแก้ไขไม่ใช่แก้ (ตัว) แก้ไขไม่ใช่แก้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เห็นศิษย์อาจารย์ชอบแก้ตัวมากกว่าแก้ไข แก้คำ คนนี้พูดผิด มีแต่เราพูดถูก แต่เราไม่ชอบพูด ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ก็แย่ เราต้องรู้ว่าบางทีที่เราทำอะไรสักอย่างหนึ่งขึ้นมา ทุกๆ อย่างนั้นมีทั้งทำผิดและทำถูกอยู่ในเรื่องเดียวกัน เรานั้นเพียงแต่แกล้งมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง แล้วเราบอกว่าเรื่องถูกส่วนใหญ่ทำไมเรามองไม่เห็น
อาจารย์จะยกตัวอย่างให้ศิษย์ฟังเรื่องหนึ่ง เวลาศิษย์มองใคร คนๆ นั้นก็ดีตลอด แต่เผอิญวันหนึ่งเขาทำผิดขึ้นมา ศิษย์จะปักใจในความดีของเขาหรือปักใจในความไม่ดีของเขาล่ะ เอาเขามาเป็นลูกเป็นหลานไหม เผอิญวันหนึ่งเขาทำผิดไป เสร็จแล้วเรากล้าเอาเขามาเป็นลูกเป็นหลานไหม (กล้า) ทำไมคนขอนแก่นกล้าจัง อาจารย์จะบอกให้ ในความเป็นจริงแล้วคนนั้นไม่ยอมอภัยให้ในความผิดครั้งเดียวของคนอื่นหรอกนะ ฉะนั้นเวลาที่เรามาบำเพ็ญธรรม เราอยากฝึกฝนเป็นพุทธะ เราต้องพยายามลืมข้อเสียของคนอื่น หมายความว่าเรากลับข้างใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าสีดำอยู่ข้างบน สีขาวอยู่ข้างล่าง เราก็กลับสีดำไปอยู่ข้างล่างแล้วสีขาวมาอยู่ข้างบน เรากลับข้างกับปุถุชนทั่วไป แต่ไม่ใช่เพี้ยนกว่าชาวบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเราก็ทำอะไรเพี้ยนๆ จนคนอื่นเข้าใจไม่ได้ แล้วถ้าเราทำอะไรที่ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้แล้ว เราจะสอนให้คนเป็นพุทธะได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่อาจารย์เพี้ยน ในสมัยก่อนแต่อาจารย์มีอิทธิฤทธิ์นะ คนถึงจะไม่ชอบอาจารย์เพี้ยนๆ แต่ก็ชอบอาจารย์มีอิทธิฤทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สงสัยศิษย์จะไม่มีอิทธิฤทธิ์ มีแต่หาเรื่องใส่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นปกติใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จิตใจของเรานั้นต้องประเสริฐใช่หรือเปล่า (ใช่)
ขอศิษย์รักทุกคนวันหลังอย่ามาสายอีก ได้ไหม (ได้) ขอให้เป็นรุ่นแรกที่มาสายและเป็นรุ่นสุดท้ายที่มาสายดีหรือไม่ (ดี) ตื่นให้เช้าหน่อย ออกจากบ้านให้เช้าหน่อยแล้วมาฟังธรรมะให้มากหน่อยดีหรือไม่ (ดี)
ไหนๆ ยืนแล้วพายเรือหน่อยดีกว่า แต่ต้องไม่เหมือนวันแรกที่องค์ประธานคุมสอบสามภูมิบอกว่า พายเรือวนอยู่ในอ่าง ทำไมคนถึงพายเรือวนอยู่ในอ่าง คือ พายเรือวนไปวนมาไม่ไปไหน เพราะแทนที่เราจะพายเรือไปในทางเดียวกันเรากลับเอาไม้พายมาตีกันเอง ถ้าคิดถึงในแง่ของการเปรียบเทียบนัยสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ การที่เรานั้นแทนที่จะร่วมมือร่วมใจกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ ก็กลับมาขัดแย้งกันเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราขัดแย้งกันเอง ก็ไม่มีทางที่จะก้าวหน้ากว่านี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนนั้นขัดแย้งกันตั้งแต่ในบ้านตัวเอง คนบ้านเดียวกันพูดไม่ยอมฟัง ขัดแย้งในงานนั้นๆ งานเดียวกันเอง ขัดแย้งในสังคมเดียวกันเอง เพราะฉะนั้นอย่างนี้จึงเจริญอยู่ไม่ได้ อย่างนี้จึงพายเรือวนอยู่ในอ่าง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพายเรือ)
ฝนกรำซ้ำลมโบกกระหน่ำ ศิษย์ออกแรงมากกว่าตอนทำท่าพายอีก อยากจะเรียกพายุให้มาเยอะๆ ใช่หรือเปล่า เวลาเราพายเราต้องดูความเหมาะสมของเพลงด้วย ตอนฝนกรำซ้ำ ก็กรำธรรมดาก็พอเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) เวลาเราพายเรือก็ต้องออกแรงพายให้มากๆ ถึงเวลาเจอฝนกรำซ้ำ เราก็พยายามเก็บตัวเงียบๆ ธรรมะไม่ใช่ธรรมะที่ให้ศิษย์นั้นเอาไปสร้างชื่อ สร้างเงิน แต่ธรรมะนั้นมีใว้ให้ศิษย์บำเพ็ญใจ บำเพ็ญตัวเราให้ดี บำเพ็ญพี่น้องเราให้ดี บำเพ็ญคนในบ้านของเราให้ดี บำเพ็ญคนรอบข้างญาติพี่น้องของเราให้ดี แล้วก็บำเพ็ญสังคมของเราให้ดี ค่อยๆ ไป เหมือนกับเวลามดขโมยอาหาร ขโมยทีเยอะไหม (ไม่เยอะ) คนเวลาขโมยอาหารเยอะไหม (เยอะ) คนกับมดอะไรชัดเจนกว่ากัน (คน) เพราะอะไร เพราะว่าคนตัวใหญ่กว่าใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเรารู้จักแต่ใช้แรง แต่ไม่รู้จักใช้อะไร (สมอง) เราใช้แต่แรงไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่ได้ใช้สมองใช่หรือไม่ (ใช่) สมองใหญ่แต่ปัญญาเล็กนิดเดียว เวลาจะใช้อะไรทีก็เหมือนกับว่าไม่ได้ใช้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมะอย่างคนที่บำเพ็ญจริงๆ ไม่ใช่บำเพ็ญแต่ชื่อใช่หรือไม่ (ใช่) คนเรียกเรามาบำเพ็ญธรรม ถ้าเราบอกว่าตัวเรากำลังฝึกหัดบำเพ็ญธรรมก็แล้วแต่ แม้ว่าศิษย์ใช้ข้อความ ใจความ การพูดที่อ่อนน้อมเท่าไหร่ แต่หากในความเป็นจริงเราไม่ได้บำเพ็ญเลย ยิ่งผ่านไป เวลายิ่งผ่านไป เราจะยิ่งรู้สึกท้อแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งทรมานใจ เพราะว่าเราไม่ได้บำเพ็ญเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจะต้องรู้จักบำเพ็ญจริง บำเพ็ญด้วยการลงแรงที่ใจของเราจริงๆ อย่าไปกลัวจิตใจของเรานั้นใจบุบสลาย ถ้าหากว่าเราจะลงมือขัด เราต้องขัดเกลาใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) หลายคนไม่ชอบให้คนอื่นเตือน จะต้องให้ตัวเองเตือนตัวเองให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเราไม่ชอบให้คนอื่นเตือน เราต้องเตือนตัวเองให้จำให้ได้ให้หมดใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่ชอบให้คนอื่นเตือนแสดงว่าเราเก่งพอ เราสามารถพอ ศิษย์ของอาจารย์ลองจับปากของเราตอนนี้ปากของเราก็อยู่ที่นี่ แต่เราจะต้องพูดในสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) เจอคนไม่ชอบให้เราเตือนเราต้องทำอย่างไร (เตือนตัวเอง) นอกจากเราจะต้องเตือนตัวเองแล้ว ยังจะต้องหาวิธีการเตือนอีกอย่างที่เตือน ไม่ใช่ไปตีแสกหน้าใช่หรือไม่ (ใช่) ไม้ท่อนหนึ่งเอาขึ้นมาเป็นเสาคาน ไม้ท่อนหนึ่งเอามาต่อเรือ ไม้ท่อนหนึ่งเอามาทำนุบำรุงตกแต่งตึกได้ ไม้ท่อนหนึ่งจะหยิบขึ้นมาตีคนอื่นก็ได้ หรือไม้ท่อนหนึ่งจะเอามาทำสิ่งใดก็ได้ เอามาหั่นให้เล็กหรือรวมกันให้ใหญ่ก็ได้ อยู่ที่เรานั้นรู้จักใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)
โอ้..ไม่มีใครรักอาจารย์เลย นั่งทุกคนเลย แสดงว่าเรื่องเมื่อยนี้ไม่เข้าใครออกใครใช่หรือเปล่า (ใช่) จะเป็นคนแก่ก็เมื่อยได้ จะเป็นคนสาวก็เมื่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเป็นคนหนุ่มก็เมื่อยได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แสดงว่าเดี๋ยวนี้เกิดมาก็แก่แล้วนะ รู้สึกว่าทุกอย่างจะย่นให้สั้นลงใช่หรือไม่ (ใช่) มีอะไร เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างเป็นอะไรของมนุษย์ (เป็นสัจธรรม, เป็นอนิจจัง, เป็นวัฏสงสาร, เป็นทุกข์) เกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นในสมัยก่อนเราพูด กว่าคนจะเกิด กว่าจะแก่ กว่าจะเจ็บ กว่าจะตายอีกนานใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับว่าเป็นชีวิตสี่ช่วงอย่างนั้นแต่ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว พอเกิดขึ้นมาก็ทำไมเลย เมื่อยเลย แสดงว่าแก่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วยังไม่ทันจะแก่จริงๆ เลยก็เจ็บแล้ว เจ็บหนักด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วโรคในสมัยนี้ก็มีเยอะมากมาย มีโรคที่ศิษย์นั้นไม่เคยรู้จักเลย มีอยู่เยอะแยะไปหมดเลยที่เกิดขึ้นมาใหม่เพราะว่ามนุษย์นั้นแปลกประหลาด โรคภัยก็เลยแปลกประหลาดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วบางคนนั้นยังไม่ทันจะแก่ก็ทำไมแล้ว ตายแล้ว เพราะฉะนั้นแสดงว่าชีวิตเรานั้นมันไม่แน่ไม่นอน อย่าบอกว่ารอให้ฉันแก่แล้วฉันถึงจะบำเพ็ญ บางคนแก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ เพราะว่าดูผมขาวบนศีรษะนั้นก็เยอะใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางคนนั้นจะบอกว่าไม่แก่เหรอ ก็ไม่ใช่ เพราะถึงยังไม่แก่ ถึงผมบนศีรษะยังดำอยู่ก็เมื่อยเป็นแล้ว ขี้บ่นแล้ว มีโรคแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) สุขภาพเราบางทียังสู้คนที่อายุมากๆ ไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าเรานั้นต้องสังวรไว้ว่าชีวิตของเรานั้น มันก็รวดเร็วเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าหากว่าเราคิดว่าการบำเพ็ญเป็นสิ่งที่ดีก็ต้อง รีบๆ บำเพ็ญหรือช้าๆ บำเพ็ญ (รีบๆ บำเพ็ญ) เรานั้นควรที่จะบำเพ็ญหรือไม่ เราลองดูชีวิตของเรานั้นเกิดมามีอะไร ทุกอย่างที่เราทำตั้งแต่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ถือว่ามีคุณค่าไหม มีไหม (มี) เป็นคุณค่าที่ควรให้ผู้อื่นเขายกย่องสรรเสริญเมื่อเราจากไปหรือเปล่า อาจารย์เห็นแต่ว่าคนตายไปไม่ทันจะสามปีห้าปีก็ทำไมแล้ว (ลืม) ลืมไปแล้ว แสดงว่าที่ผ่านๆ มาเราลองคิดดูว่าเรานั้นทำตัวแตกต่างกับคนที่เราลืมเขาไปหรือเปล่า บางทีก็อาจจะไม่แตกต่างเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้ว่าชีวิตของเราเกิดมานอกจากสร้างคุณค่าให้ดีแล้ว เรายังต้องมองการณ์ไกลไปจนถึงว่าเวลาเราสิ้นร่างกายอันนี้ไปแล้ว เราจะไปไหน ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ อาจารย์เชื่อว่าส่วนมากเชื่อเรื่องเวรกรรม แล้วถามว่าศิษย์ของอาจารย์จะไปไหนล่ะ ไปสวรรค์ใช่ไหม เชื่อว่าเรานั้นทำอย่างนี้อย่างที่ทุกวันเราทำอยู่นี้ไปถึงสวรรค์ไหม (ไม่ถึง) เราไม่มีความเชื่อว่าเราจะไปถึงสวรรค์เลย ทำไมล่ะ เราเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เราดูว่าเราเป็นมนุษย์ในโลกมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่ำลงไปกว่าเราเป็นอะไร (สัตว์เดรัจฉาน) แล้วต่ำจากสัตว์เดรัจฉานเป็นอะไร (เปรต อสูรกาย) รู้จักนรกไหม เชื่อไหมว่านรกมีจริง (เชื่อ) คนไม่เชื่อต้องปล่อยไปเจอเองใช่ไหม เราอยู่ในโลกมนุษย์ลงต่ำไปก็เป็นนรก ขึ้นสูงไปก็เป็นสวรรรค์ ระหว่างนรกและสวรรค์ที่เรารู้จักกันอย่าเพิ่งพูดถึงนิพพานนะ ระหว่างนรกและสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร เราคิดว่าทำอย่างที่เราทำอยู่นี้ ตลอดชีวิตอย่างนี้อย่างที่ศิษย์เป็นอยู่ สมมติอีกสามวันห้าวันอาจจะต้องม่องเท่งไป ถามว่าเราไปที่ไหนดีระหว่างสวรรค์และนรก (สวรรค์) ทุกคนอยากไปสวรรค์ไปถึงไหมทำอย่างนี้ ไหนใครว่าถึงยกมือขึ้น ใครที่ยกมือตรงนี้เล่นหวยเอามือลง ใครที่เล่นเอามือลง ซื่อสัตย์ต่อตัวเองนะ เล่นแค่ครั้งเดี๋ยวก็ไม่เอานะ ยกมือไว้ ทีนี้คนที่เล่นหวยจะบอกว่าถ้าเราเล่นหวยแต่เราทำตัวเป็นคนดี เล่นหวยนั้นอาจจะไม่ใช่บาปแต่เป็นข้อผิดพลาดใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเราขึ้นไปถือว่าเราเล่นอบายมุข แล้วสวรรค์มีอบายมุข มีหวยให้เราเล่นไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นคนที่เล่นก็ตัดทิ้งไป ผู้ชายใครกินเหล้า สูบบุหรี่เอามือลง ผู้หญิงด้วยนะถ้ามี ทีนี้คนที่เหลือเคยว่าพ่อแม่ไหม เคยนินทาผู้อื่นไหม ถ้าเคยเอามือลง เหลือกี่คน เห็นไหมว่าผู้หญิงมีจำนวนมาก แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงแทบจะไม่เหลือเลย ผู้ชายเหลือกี่คนซื่อสัตย์กับตัวเอง ยังเหลือห้าคนนะ ผู้หญิงเหลือสองคน อาจารย์จะบอกว่าผู้หญิงนั้นบำเพ็ญธรรมเยอะ แต่คนสำเร็จธรรมน้อยเพราะมีนิสัยที่ติดมาตั้งแต่กำเนิดเลย คือนิสัยช่างพูด ช่างเจรจา ช่างคุย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงยากมากที่จะไม่สร้างวจีกรรมถูกหรือเปล่า (ถูก) ส่วนผู้ชายก็มีนิสัยห้าวหาญ กล้าผิดปกติติดมาตั้งแต่กำเนิด บางทีเราชอบทำอะไรที่มันบ้าบิ่น ให้ใครท้าไม่ได้ ถ้าท้านี่ชนอย่างเดียวใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจึงมีข้อผิดพลาดจากนิสัยอันนี้เหมือนกัน คนที่ยกมือค้างไว้เมื่อสักครู่ อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า เราถึงแม้จะมีผิดบาปที่โดยทั่วไป ถ้าหากเปรียบเทียบไปก็เหมือนตะแกรง เราก็ถูกร่อนมาหนที่สาม หนที่สี่แล้ว ถึงแม้เราจะไม่หล่นคราวนี้ แต่เราจะประมาทได้ไหม (ไม่ได้) และศิษย์อาจจะเผลอๆ วันไหนเกิดมีลูกมีหลานแล้วลูกไม่ดี หลานไม่ดี สามีไม่ซื่อสัตย์ ภรรยาไม่รักเรา เราก็อาจเผลอทำบาปใหญ่ขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราโมโหเขา เราก็แทบจะฆ่าเขาตายอยู่แล้วถูกหรือเปล่า (ถูก) อาจารย์คงไม่ถามลึกไปว่าศิษย์ยังมีความโลภไหม มีความโกรธไหม เคยขโมยเงินคนอื่นไหม ซื่อสัตย์ต่อตัวเองไหม ถ้าหากถามไปขนาดนั้น สวรรค์ชั้นนี้คงไม่มีใครไปถึงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์พูดให้ฟังว่าโดยทั่วๆ ไปการไปสวรรค์นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ว่าจำเป็นต้องไปไหม (จำเป็น) ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ไปจะไปไหนล่ะ (นรก) ฉะนั้นก็ต้องเลือกใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ไม่สามารถเลือกแทนศิษย์ได้ว่าให้ศิษย์นั้นไปทางไหน ระหว่างสวรรค์และนรก ถึงแม้อาจารย์จะชี้ให้ แทบจะอุ้มไปส่งเลย แต่ถึงสุดท้ายก็ต้องอยู่ที่ใคร (ตัวเอง) อยู่ที่ตัวเราเอง หากเราไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์แม้อาจารย์จะอุ้มไปถึงปากประตูสวรรค์ศิษย์ก็เข้าไม่ได้ ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ทำบาปหนัก ทำบาปเยอะแยะมากมาย ตอนนี้ถึงแม้ว่าอาจารย์จะอุ้มศิษย์ขึ้นมาพ้นจากประตูนรก แต่กรรมก็จะดึงเรากลับลงไป ฉะนั้นย่อมขึ้นอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง) และขึ้นอยู่กับทุกวันๆ ที่ศิษย์นั้นเป็นผู้ทำการกระทำ
กรรมแปลว่าอะไร (การกระทำ) เราทุกคนนั้นมีกรรม การกระทำทุกอย่างของเรา แม้แต่การหยิบช้อนขึ้นมาก็เรียกว่าการกระทำ ยกแก้วน้ำก็เรียกว่าการกระทำ แต่มีการกระทำที่ไม่มีติดทั้งเป็นบาปและบุญ และมีการกระทำที่เป็นได้ทั้งบาปและบุญอยู่ อาจารย์เคยพูดอย่างนี้แล้ว มือที่จับแก้ว เราจับแก้วยกน้ำให้ผู้อื่นเป็นอะไร เรายกแก้วแทนที่เราจะกินเองแต่เรายกไปให้ผู้อื่น เป็นการกระทำบุญหรือกระทำบาป (กระทำบุญ) แล้วเราหยิบแก้วเหมือนกันคนอื่นกำลังจะกิน แต่เราแย่งมาเป็นบุญหรือเป็นบาป (เป็นบาป) นี่ก็เรียกว่าเป็นการกระทำเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ที่เรานั้นเราจะเลือกทำอะไร ถูกหรือเปล่า (ถูก) การกินน้ำก็เหมือนการใช้เงินเหมือนกัน ถ้าหากว่าเรานั้นหาเงินมาโดยสุจริต แล้วเราใช้ไปนั่นก็เป็นการกระทำที่ไม่เป็นทั้งติดบุญและติดบาป แต่หากว่าเราใช้เงินที่หามาโดยการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการเล่นการพนัน การเล่นหวยก็ดี ไม่ว่าเป็นการได้มาโดยไม่สุจริตโดยทางใดก็ดี ถ้าหากว่าเราใช้เราหยิบมา เราได้ใช้ ได้อยู่ในมือเราก็เป็นบาปเหมือนกัน ฉะนั้นเราจึงต้องระวังทุกๆ อย่าง ทุกๆ ก้าว ทุกๆ เวลาของชีวิตของเรา
การที่ให้ศิษย์นั้นระวังทุกอย่างๆ ศิษย์ก็คงจะรู้สึกว่ามันมากหรือเปล่า ฉะนั้นอาจารย์มีคำนิยาม มีคำสรุปให้ศิษย์อย่างหนึ่งว่าอะไร ทำอย่างไรศิษย์จึงระวังไปได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องพะวงว่าตอนนี้เราจะทำบุญหรือทำบาป (ธรรมะ, มีสติ, คิดก่อนทำ, ตัดความโลภ, รู้จักสำรวม, เปิดใจให้กว้าง, ใช้ปัญญาใช้ความคิด, เตือนตนในสิ่งที่ตนทำเสมอ )
ศิษย์ของอาจารย์ไม่สมกับเป็นชาวพุทธเลยนะ เดาใจอาจารย์มาตั้งนานจนลืมคำถามไปเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าจริงๆ แล้วมีคำพูดหนึ่งคำก่อนที่พระพุทธองค์นั้นจะปรินิพพานกลับคืนไป สอนให้เรานั้นทำอย่างไร ไหนใครคิดว่าตัวเองมีความรู้ลองตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยสิ คำพูดนั้นก็คือ จงตั้งตนนั้นอยู่บน...ความอะไรนะ (อัปปมาทสัมปทา จงตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท) แล้วทุกวันนี้เราทำอะไรอย่างที่คนประมาททำหรือเปล่า หรือทุกคนคิดว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนั้นจะเป็นไปอย่างที่เราคาด เป็นไปอย่างที่เราหวัง เป็นไปอย่างแผนการณ์ที่เราวางไว้ ทุกคนไม่เคยคิดเลยว่า อาจจะมีเหตุสุดวิสัยอะไรบางอย่างเกิดขึ้น อาจจะมีเหตุที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้นใช่ไหม (ใช่) หรือว่าเราไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตเรานั้น เราทุกคนนั้นคิดถึงแต่ความสุขแต่เราไม่เคยคิดถึงความทุกข์ที่แวะเวียนมาบ่อยกว่าความสุขเสียอีก เราคิดถึงความสุขจนเรานั้นลืมทุกๆ อย่างที่เป็นความจริง ความเป็นจริงนั้นในชีวิตของเรามีความทุกข์หรือมีความสุขมากกว่ากัน (ความทุกข์) ความทุกข์มากกว่า แต่เรามักจะคิดถึงความสุขหรือความทุกข์มากกว่า (ความสุข) แล้วเราก็จะวางแผนการณ์ตั้งเป้าหมายในชีวิตทุกอย่างให้มาลงเอยที่ความสุข ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานก็แต่งงานด้วยความสุข มีลูกก็มีลูกด้วยความสุข ทำงานก็คิดว่าจะทำงานแล้วมีแต่ความสุข อยู่กันก็อยู่กันแบบคิดว่าจะต้องมีความสุข ไม่เคยมีใครคิดถึงความทุกข์เลยใช่หรือไม่(ใช่) หรือความเป็นจริงเมื่อเราแต่งงานไป เราเจอความสุขหรือความทุกข์ (ความทุกข์) ความสุขนั้นเป็นช่วงสั้น แต่ความทุกข์นั้นเป็นช่วง (ยาว) ยาวมาก ทำไมเราไม่สามารถคงจิตใจอันไม่ประมาทนี้ คงจิตใจอันเคยหวังดี และคงจิตใจอันมีคุณธรรม คงจิตใจอันดีงามและบริสุทธิ์นี้ให้อยู่ต่อไปได้ ทำไมเราถึงคงสิ่งนี้ไว้ไม่ได้ล่ะ เพราะว่าอะไร เพราะทุกๆวันนั้นเราคิดถึงใครมากกว่า (ตัวเอง) เราคิดถึงตัวเองมากกว่า เราคิดถึงพ่อแม่น้อย เราคิดถึงผู้มีพระคุณน้อย คิดถึงครูบาอาจารย์น้อย ทำให้เรานั้นไม่สามารถที่จะมอบความสุขให้กับใครได้ ไม่สามารถที่จะคงเหตุการณ์ดีๆไว้ในชีวิตได้ เพราะทุกวันนั้นเราคิดถึงแต่ตัวเราเท่านั้นเอง คิดถึงตัวเราเองเป็นใหญ่ ใหญ่กว่าอะไร เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือการกลับข้างจากคนที่เคยคิดถึงแต่ตัวเองมาก ต้องคิดถึงใครมากกว่า (ผู้อื่น) ต้องคิดถึงผู้อื่นมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ทำได้ไหม
เวลาที่เราจะกินข้าว ตอนนี้เราหิว แล้วเราทำอย่างไร ตอนนี้เราหิวแล้วเราจะคิดอะไร (กินข้าว) ทุกคนคิดว่าหิวแล้วตัวเองจึงต้องกินข้าว คิดหรือไม่ว่า อ้อ เราหิวแล้ว พ่อแม่ของเรากินข้าวหรือยัง นี่คือการกตัญญูถูกหรือเปล่า หรือว่าเราอยู่โรงเรียนเราหิวแล้ว ใครกินหรือยัง (อาจารย์) อาจารย์หรือครูกินหรือยัง ถ้าเราอยู่ข้างนอกเราหิวข้าวแล้วลองมองดูสิว่า เพื่อนที่มาด้วยกัน คนที่มาด้วยกับเรา เขาจะกินข้าวหรือยัง บางทีบางคนไม่มีเงินก็กินข้าวไม่ได้อีกเหมือนกันใช่หรือเปล่า ขณะที่เรามีเงินพอซื้อข้าวได้จานหนึ่งเราจะทำอย่างไรล่ะ แบ่งครึ่งหรือจะกินคนเดียวหมด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นอะไร คนนั้นไม่เกี่ยวกัน ใช่หรือเปล่า บางคนในจิตใจนั้นมีความเมตตาดี แต่ไม่สามารถนำเอาความเมตตานั้นออกมาเป็นคุณธรรมได้ มีแต่ความเมตตาอยู่ในใจเหลือบไปเหลือบมา แล้วก็ไม่พูดอะไรเงียบๆไว้เดี๋ยวเราจะกินไม่อิ่ม อย่างนี้เราเสียโอกาสฝึกฝนจิตใจตนเองและเสียโอกาสในการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราบอกว่าทำดี คำว่า “ทำดี” ของคนในโลก เมื่อคนทั้งหลายคิดว่า ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นเท่านั้นเอง คำว่า “ทำดี” ของศิษย์นั้นมีความหมายแค่นั้น คือว่าเราไม่ได้ทำความเดือนร้อนให้คนอื่นก็ถือว่าเราทำดีแล้ว จริงๆแล้วใช่ไหม พอไหมสำหรับคำว่า “คนดี” ดีของศิษย์คือดีแค่ตัวเอง คำว่า “ดี” ของพุทธะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น คือการทำดีต่อผู้อื่น ทำได้ไหม
ที่อาจารย์นั้นได้บอกไว้ว่า คำว่า "ทำดี" นั้นหมายความว่าอย่างไร ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปดีต่อผู้อื่นนั้น เราจะต้องจัดการตัวเราให้เรียบร้อยใช่หรือไม่ (ใช่) จัดการอะไรของเราให้เรียบร้อย (เราทำตัวของเราให้ดีก่อน,ทำจิตใจให้ดีก่อน) ทีนี้มาดูอาจารย์จะพูดให้ฟัง คำว่า "ดี" ดีตรงไหนขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ถือดี ดีแต่ตัวเอง
ดีตั้งแต่ตรงไหนร่างกายของเรา ดูไว้ดีที่ไหน นี่คืออะไร ดีทางความคิดใช่หรือไม่ (ใช่) คนบอกว่าสมองมีไว้คิด เพราะฉะนั้นดีตั้งแต่ตรงนี้ ดีทางความคิด ดีทางสายตา ไม่ใช่ต้องสายตาปกติไม่สั้นไม่ยาว ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายความว่ามองโลกในแง่ดี มองสิ่งใดก็มองในแง่ดี นี่อะไร (จมูก) แสดงว่าเราต้องดมแต่ในสิ่งที่ดี ปากพูดในสิ่งที่ดี หูฟังในสิ่งที่ดี กินแต่สิ่งที่ดี เดี๋ยวนี้คนถึงแม้กินเจก็ไม่ใช่ว่าจะกินแต่ในสิ่งที่ดีซะแล้ว เพราะว่าอะไร เพราะว่าสรรหามาใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีก็กินอะไรที่มันไม่สมควรกินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกินเจนั้น เมื่อก่อนก็กินผักกินหญ้าใช่หรือไม่ (ใช่) เว้นเนื้อสัตว์ แต่เดี๋ยวนี้ยิ่งหายิ่งมาก คนตั้งปณิธานยิ่งกินยิ่งพลาด พลาดกันเข้าไปใหญ่เลย แล้วก็หาแต่อะไร ต้องทำถั่วให้เน่าถึงกินได้ อย่างนี้ก็ไม่รักษาอนามัยสุขภาพตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งกินสุขภาพก็ยิ่งแย่ถูกหรือเปล่า (ถูก) ทีนี้อะไรอีก จิตใจให้ดี สำคัญไหม (สำคัญ) ทำในสิ่งที่ดี ลงมือทำใช่หรือไม่ (ใช่) คนบอกว่าลงมือทำแสดงว่าเอามือลงไปทำ ทำแต่สิ่งที่ดี ทีนี้ขา เดินไปในทางที่ดี แล้วตอนที่เราเดินเข้าไป ผู้ชายเดินเข้าไปที่ไหน ผู้หญิงเดินเข้าไปที่ไหน อย่าคิดมากอาจารย์หมายถึงบ่อนการพนันนะ บางทีก็ไปอะไร ผู้หญิงก็ชอบเดินไปที่ไหน เอาง่ายๆ แล้วกันนะ เราเดินไปในทางที่ดี เดินไปในที่ๆ ดี ไม่ใช่จงใจเดินไปเพื่อที่จะไปนินทาใคร ไม่ต้องขนาดนั้น ส่วนที่เหลือที่ไม่ดีทั้งหลายที่เราเดินไปมาก่อนนี่ต้องไปคิดเอง พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางทีไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงให้ศิษย์นั้นรู้โดยตรง แต่ว่าจริงๆ ศิษย์รู้อยู่แล้วแต่ไม่รู้จักแก้นั่นเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อเราเดินไปในทางที่ดีแล้ว ทีนี้เรามีอะไรอีก ภายนอกมองแล้วเป็นยังไง นี่เรียกว่าอะไร (เสื้อผ้า) เราต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่ใช่แต่งตัวให้ดูดี เพราะว่าคนทั่วไปนั้นบอกว่าแต่งตัวต้องแต่งตัวให้สวย ผู้ชายบอกว่าต้องแต่งตัวให้หล่อ แต่ว่ากว่าจะสวยกว่าจะหล่อนี่เสียไปหลายสตางค์ไหม (หลายสตางค์) หลายตังค์นะ แม้ว่าเราจะบอกว่าเราหน้าตาไม่สวยเท่าไหร่ แต่เสื้อผ้าก็ทำให้เราสวยได้เต็มที่ใช่ไหม (ใช่) แต่จริงๆ แล้วคนเราสวยนั้นสวยที่ไหน (ที่ใจ) สวยที่จิตใจเท่านั้นเอง ถ้าหากเป็นคนจิตใจดีนั้นทุกอย่างก็ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราแต่งตัวเสื้อผ้าเก่าๆ ก็ยังเป็นคนที่ดูดีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ขอเพียงแต่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยคนก็มองแล้วมองอีก มองกี่ทีก็ยังชื่นชมใช่หรือไม่ (ใช่) คนบำเพ็ญธรรมจึงไม่ควรที่จะแต่งตัวสุรุ่ยสุร่าย ในด้านของจิตใจหากว่าพูดกันอย่างลึกๆ แล้ว ไม่ว่า เรานั้นอยู่ในสังคม อยู่ในบ้าน อยู่ร่วมกับใครก็แล้วแต่ เราดูว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร หากว่าเราทำใจได้กับทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าสามีเรานั้นจะมีภรรยาคนอื่น หรือภรรยาเราจะมีสามีคนอื่น เรานั้นจะมีเงินหรือไม่มีเงิน หรือว่าเรานั้นจะเป็นคนที่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเราจะร่างกายเจ็บป่วย ไม่ว่าเราจะเกิดมายากจน ถ้าหากว่าเราทำใจได้กับทุกเรื่อง เห็นทุกเรื่องเป็นธรรมดา เรานั้นก็จะไม่ต้องไปหมกมุ่นกับอารมณ์หึง อารมณ์หวง อารมณ์ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านทั้งหลาย ความใคร่ ความอยากทั้งหลาย แล้วเรานั้นจะไม่มีความสุขเชียวหรือ เปรียบไปแล้วก็เหมือนอาหารที่รสจืดๆ อาหารที่รสจืดนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เผ็ดกินแล้วก็ไม่ทรมาน ไม่หวานกินแล้วก็ไม่เลี่ยน ไม่เค็มกินแล้วก็ไม่รู้สึกกระหายน้ำใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการทำตัวของเรานั้น ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้ ทำตัวของเราให้ดี แล้วก็เข้ากับธรรมชาติ ขอจิตใจที่ดี ขอการลงมือทำในสิ่งที่ดี ขอการเดินไปในทางที่ดี ให้มีอยู่กับศิษย์ได้หรือไม่ (ได้)
หลงโลกทิ้งธรรมไกลตา หาญกล้าหวนไปเดินใหม่ ก่อเกิดจุดหมายแข็งแรงครั้งใหม่ ในครานี้ไประวัง หมายความว่าอะไร ในการบำเพ็ญธรรมะนั้นมีคนจำนวนมาก อาจจะมีบางทีที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้สึกว่าอยากจะเลิกบำเพ็ญ เพราะว่าทุกข์มากอุปสรรคมาก ความลำบากมาก บางคนลำบากกว่าตอนที่ยังไม่บำเพ็ญ หรือบางคนอาจจะมีความไม่ชอบใจ เพราะเมื่อก่อนนี้อยู่คนเดียวทำอะไรก็อิสระ แต่พอมาบำเพ็ญธรรมนั้นเจอไม่ใช่ลมปากก็เป็นลมฝน ไม่ใช่ลมฝนก็เป็นลมพายุไปเลย แต่ถ้าหากรู้ไหมว่าเวลาฝนนั้นชำระล้างไปแล้ว ฟ้าก็จะดูสดใสใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกว่าตอนที่ขุ่นๆ ถึงแม้ศิษย์นั้นจะสบายเหมือนท้องฟ้าก่อนที่ฝนจะตก ดูแล้วร่มเย็น ครึ้มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ศิษย์จะรู้ดียิ่งกว่านั้น ถ้าหากว่ายอมให้ฝนนั้นชำระล้างเอาสิ่งที่หนักอึ้งออกไป ฟ้าในใจของศิษย์ก็จะเป็นฟ้าที่ใส บางคนนั้นหลงโลก ในชั่วขณะหนึ่งรู้สึกว่าอยากเลิกบำเพ็ญ เพราะว่าทางโลกนั้นมีสิ่งที่ดีกว่ามากมาย มีความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัดเจน แต่ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าในทางธรรมก็มีความก้าวหน้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะมันอยู่ภายในของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาคนที่ดีขึ้น ในจิตใจดีขึ้นหรือตกลงนั้น คนที่รู้ได้ก็คือตัวศิษย์เอง ฉะนั้นเวลาเราดีขึ้นไม่มีใครมองเห็น ศิษย์จะท้อไปทำไม เวลาเราแย่ลงไม่มีใครมองเห็น เราก็ต้องโทษตนเอง ต้องแก้ไขตนเองให้ขึ้นมา หลงโลกทิ้งธรรมเลย ทิ้งธรรมให้อยู่เบื้องหลัง อาจารย์คิดว่าลึกๆ ของศิษย์ทุกๆ คนที่เคยมีใจบำเพ็ญธรรมะนั้นย่อมเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดในครั้งนี้ ฉะนั้นจึงบอกว่าให้ หาญกล้าหวนเดินไปใหม่ คือกลับ เมื่อเรากลับไปเดินใหม่ต้องก่อเกิดจุดหมายที่แข็งแรง ไม่เหมือนครั้งก่อนที่อ่อนแอ แม้บางคนจะท้อแต่เป็นท้อที่คนอื่นจะมองไม่ออก แต่อาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์เอง ตัวเองนั้นมองออก ฟ้าดินนั้นมองออก พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มองออก ฉะนั้นจึงอยากให้ศิษย์นั้นมีจุดหมายที่แข็งแรงครั้งใหม่ ในครานี้ไประวัง ครานี้หมายถึงว่าคราวที่มีใจกลับมาในครั้งนี้ให้ระวัง
แม้ว่าการที่เรานั้นอยู่ในหมู่คนหนึ่งร้อยคน มีคนท้อจนถดถอยห้าคน สิบคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าอาจารย์เสียศิษย์ไป แม้จะหนึ่งคน สองคน ห้าคน หรือสิบคนนี้ก็ไม่ธรรมดา อาจารย์คิดถึงศิษย์ทุกๆ คนที่บำเพ็ญอยู่ ไม่อยากให้ท้อ ไม่อยากให้หมดกำลังใจ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนเป็นเหมือนอาจารย์ เป็นตัวแทนอาจารย์ ยามเห็นใครท้อแท้เราช่วยเต็มกำลังอย่าซ้ำเติม ได้ไม่ได้ (ได้) โดยเฉพาะในสภาพที่ในสังคมเป็นอย่างนี้ โดยสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ศิษย์ยิ่งห่อเหี่ยวใหญ่ เมื่อจิตใจเราอับเฉา บรรยากาศธรรมก็อับเฉา อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเก็บความเศร้าไว้ลึกๆ หรือเห็นความเศร้านั้นเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ และเห็นความสุขนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ พบกันก็ดีใจ จากกันก็ธรรมดา เมื่อศิษย์นั้นเห็นเรื่องเศร้าเป็นเรื่องธรรมดาได้ เห็นความสุขเป็นเรื่องธรรมดาได้ อาจารย์เชื่อแน่ว่าศิษย์นั้นสามารถที่จะก้าวหน้าขึ้นไปได้มากกว่านี้ ได้ไม่ได้ (ได้)
ทำไมวันนี้อาจารย์ถึงพูดเรื่องความท้อแท้ ความถดถอยของศิษย์นั้นให้ฟัง ในช่วงก่อนที่จะขึ้นมาวงคำพระโอวาทนั้น อาจารย์ถือโอกาสพูดเรื่องสำคัญ ในช่วงก่อนอาจารย์บอกศิษย์ว่า ฟ้าดินนั้นทดสอบด้านปัญญา แยกแยะ จริงเท็จ ดูสิว่าใครเป็นอย่างไร ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าคนไหน ได้รับการสอบ อาจารย์จะบอกว่าแทบทุกคนนั้น ได้รับการสอบไปแล้ว แต่ตอนนี้นอกจากเรื่องการทดสอบด้านปัญญาแล้ว เบื้องบนยังทดสอบศิษย์ในเรื่องของความมั่นคงทางธรรมะ ในสภาพที่โลกเป็นอย่างนี้ คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นต้องเจอทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับศิษย์นั้นวนอยู่ในเลขหนึ่งถึงสิบ ศิษย์นั้นก้าวหน้าขึ้นไปทำข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง และข้อที่สาม ไปจนถึงข้อที่สิบ ในตอนนี้เบื้องบนทดสอบความมั่นคงทางธรรม ว่าใครนั้นอยู่ใครไป ในสภาพจิตใจ ในสภาพบ้านเมือง ในสภาพของเศรษฐกิจ ในสภาพของการอยู่ร่วมกัน ดูสิว่าคนไหนสามารถอยู่ และคนไหนสามารถที่จะไป โดยให้พญามารทั้งหลายเป็นผู้คอยดึง ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่สามารถรักษาสภาพความมั่นคงในใจของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าตัวจะมาสถานธรรมก็มาอย่างคนใจลอย อย่างนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่ ก็เหมือนไม่อยู่ อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นอยู่ทั้งตัวและหัวใจ บำเพ็ญธรรมอย่างคนที่ลงแรงใจและระวังให้ดีว่า วันไหนที่เรารู้สึกท้อไป อย่าทำให้จิตใจของเรานั้นท้อไปจนถึงขีดที่ช่วยอะไรไม่ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) อาจารย์หวังว่าอาจารย์นั้นได้เห็นศิษย์นั้นก้าวหน้าขึ้นทุกปี ไม่ใช่ท้อถอยลงทุกปี อาจารย์กล้าพูดอย่างนี้ กล้าเอาสิ่งที่เบื้องบนกำลังทดสอบศิษย์มาพูดเพราะทนไม่ได้จริงๆ ที่เห็นศิษย์นั้น ถดถอยลงๆ เข้ามาสถานธรรมอย่างคนใจลอย คนหมดหัวใจ หากว่าศิษย์ไม่ได้อยากจะเป็นคนร่ำรวย หากศิษย์ไม่ได้อยากจะเป็นคนที่ต้องมีลาภยศสักการะ ศิษย์หรือจะถูกสิ่งที่เป็นความถดถอยของเศรษฐกิจสังคมนั้นทดสอบได้
ที่จริงข้างบนห้องพระนี้ยังมีที่ว่างๆ คนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมคนไหนที่อยู่ข้างล่างและมีอารมณ์ท้อๆ แล้วก็ยังหลีกหน้าอาจารย์นี่ก็เชิญขึ้นมาข้างบนได้นะ พออาจารย์ไม่อยู่ก็ขอให้อาจารย์ช่วยด้วย อาจารย์ช่วยหน่อย พออาจารย์มาก็ไม่อยากเจอ
เวลาที่เราบำเพ็ญธรรม เราจะรู้สึกเหมือนเราถูกเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเราคิดว่าเราสร้างกุศลอยู่ แต่บางทีเราก็คิดว่าคนนั้นเอาเปรียบเราจัง อาจารย์ไม่ได้แนะนำให้ศิษย์อดทนโดยไม่มีเหตุผล แต่อาจารย์จะบอกว่า เวลาที่เราทำงานธรรมะช่วยคน ช่วยงานธรรมะอยู่ก็ดี ไม่ว่าจะปัดกวาดเช็ดถู ไม่ว่าจะล้างถ้วยล้างชามอยู่ก็ดี หรือไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม ต้องมีจิตใจที่เป็นกุศล แล้วทำงานกุศลอยู่ กุศลจึงจะเกิด บางทีเราก็ต้องคิดว่าการที่เราถูกเอาเปรียบนั้น เป็นการที่ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น ได้ใช้ความอดทนมากขึ้น ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่หากว่าศิษย์รู้สึกว่าใจของเรานั้นเริ่มจะอับเฉาเต็มที ก็หยุดได้ หยุดพักแล้วฟื้นจิตใจของเราให้ดีงาม แล้วก็กลับไปทำต่อ ไม่จำเป็นต้องทนอย่างเดียว โดยที่จิตใจของเรานั้นแย่ลงไปทุกที เวลาที่ต้องปาหินลงน้ำนั้น เคยเห็นเวลาที่เด็กเล่นปาหินลงน้ำแล้วอยากให้หินมันกระโดดไหม แล้วกี่ครั้งที่ประสบความสำเร็จ ทุกครั้งประสบความสำเร็จอย่างนั้นไหม ไม่เลย บางทีบางคนบอกว่า “ฉันจะอดทนไปเรื่อย” แต่ว่าอดทนไป อดทนมา จิตใจเราถูกความไม่ชอบใจของเราเผาทำลายกุศลเราไปเสียหมดแล้ว ฉะนั้นต่อให้ทำทั้งหลายก็ไม่เกิดกุศลขึ้นมา เราลองหยุด แต่หยุดเพื่อเริ่มใหม่ ไม่ใช่หยุด เพราะหยุดอย่างคนที่ล้มเหลว
อาจารย์มาถึงวันนี้ นี่ถ้าไม่เรียกขึ้นมาก็คงไม่เจอศิษย์รักเยอะขนาดนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถูกคนอื่นเขาห้ามไม่ให้ขึ้นหรือเปล่า เรานั้นแม้ว่านานไปอีกกี่ปีก็จำเป็นต้องรักษาจิตใจให้ตรงๆ เที่ยงๆ เวลาที่เรามีจิตใจที่ลำเอียงนั้นหรือมีจิตใจที่เอนกระเท่เร่นั้นรู้สึกว่าทรมานใจของตัวเองไหม เหมือนกับที่อาจารย์พูดถึงเรื่องที่ว่าเวลาที่เรามีอารมณ์โกรธ เวลาเรามีโมโหนั้น ไม่ใช่คนอื่นเขามารับทุกข์กับความโมโหของเรา แต่เป็นเรารับทุกข์กับความโมโหของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ยังมีถึงเรื่องที่จิตใจที่ลำเอียงนั้นเป็นระดับของคนที่บำเพ็ญธรรมะมานานแล้ว ที่วันนี้อาจารย์จะหยิบยกมาพูดให้ฟัง เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมนานๆ แล้วเรามีอารมณ์โกรธ อารมณ์โมโห ความโลภ ความหลงของเรานั้นมันจะตัดได้น้อยลงๆ แต่มีอย่างหนึ่งที่มันจะมากขึ้นๆ นั่นคือจิตใจที่มีแต่ความลำเอียง เพราะว่าคนที่บำเพ็ญมานานๆ นั้นก็มีความรู้มาก พอรู้มากก็คิดมาก พอคิดมากก็มีปัญหามาก พอปัญหามากแล้วก็พูดมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ปรับที่ไหนดี อย่างที่อาจารย์พูดนั้นมีความรู้มากเป็นเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะบอกว่าเราจะรู้น้อยๆ หน่อยได้ไหม ศิษย์รู้น้อยๆ ก็รับมือคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องตัดที่อะไร ความรู้มาก คิดมาก ปัญหามาก แล้วสุดท้ายอะไร (คิดมาก) เพราะฉะนั้นสี่อย่างนี้ มีอะไรที่ไม่ดีเป็นจุดเริ่มต้น บางทีเวลาเราพูดไป คนอื่นก็คิดมากในคำพูดของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากเราจะห้ามคนอื่นไม่ให้คิดมาก เราต้องห้ามใคร (ต้องห้ามตนเอง) เมื่อไม่คิดมากมีปัญหาเยอะไหม (ไม่เยอะ) ศิษย์เคยเห็นคนที่บำเพ็ญแบบไม่คิดมากไหม รู้สึกว่าเขามีความสุขดีไหม (ดี) เขายิ้มได้บ่อยกว่าเราไหม (บ่อย) เพราะว่าเขาไม่ค่อยคิดมาก แต่ที่เราไม่ค่อยชอบยิ้มเพราะว่าเราคิดมากหรือเปล่า (ใช่) ใช่อย่างนั้นเลยหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ศิษย์ก็ต้องตัดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจิตใจของเรานั้นเป็นเรื่องสำคัญหรือเปล่า (สำคัญ)
ตอนที่เราเริ่มต้นบำเพ็ญธรรม ก็มีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์นั้นสอนศิษย์ให้ฟังเป็นประจำ แต่เป็นเรื่องพื้นฐานนั่นก็คือการที่เราต้องตัดสิ่งต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปๆ ก็เป็นอย่างไร นอกจากที่บอกไปตัดไม่ขาดแล้ว สิ่งใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อก่อนทุกข์อย่างคนทางโลก แต่ตอนนี้ทุกข์อย่างคนบำเพ็ญธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราจะทำอย่างไรดีล่ะ อาจารย์ถึงบอกว่าคิดให้น้อยๆ หน่อย กลุ้มให้น้อยหน่อย พูดให้น้อยหน่อย แล้วเราก็จะมีความสุขขึ้นมาเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขนั้นไม่ใช่เจอได้ในสวรรค์หรือนิพพาน แต่ความสุขนั้นเจอได้ในจิตใจที่โปร่งๆ แล้วสบายๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
เมื่อสักครู่อาจารย์พูดไปแต่ศิษย์บางคนที่อยู่ข้างล่างไม่รู้ได้ยินหรือเปล่า อาจารย์บอกว่าการทดสอบของศิษย์นั้น ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนโฉมหน้าจากเรื่องปัญญามาเป็นเรื่องของความมั่นคงทางธรรม ศิษย์สังเกตตัวศิษย์เองก็ได้ว่า ตอนนี้เราถูกเหตุการณ์ต่างๆ บีบบังคับให้เรามีความ
มั่นคงทางธรรมน้อยลงใช่ไหม (ใช่) นั่นแหละนอกจากเป็นกระแสของโลกแล้ว เบื้องบนก็ฉวยโอกาสนี้ในการทดสอบเราด้วย ฉะนั้นศิษย์ลองดูตัวเองว่าถ้าตัวเองถูกกระแสโลกพัดพาให้มีความมั่นคงทางธรรมน้อยลง ก็แสดงว่าเรานั้นกำลังถูกกระแสโลกพัดไป ทำอย่างไรดีล่ะ เราบอกว่าบำเพ็ญธรรมเหมือนปลาว่ายทวนน้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ว่ายทวนน้ำอยู่หรือเปล่า
จึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นตอนนี้ถ้าหากว่าเราถูกกระแสทางโลกพัดพา เราถูกการทดสอบของเบื้องบนที่ได้ฉวยโอกาสมาทดสอบศิษย์ในเรื่องความมั่นคงทางธรรม แล้วศิษย์ดูตัวเองว่าตัวเองก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แสดงว่าอาจารย์เตือนศิษย์ในครั้งนี้ ศิษย์ก็ต้องระวังให้มากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) มีเลข ๑ ถึง ๑๐ ห้อมล้อมเราอยู่ ตอนนี้ศิษย์ก็พยายามดิ้นรน กระเสือกกระสนอยู่ในเลข ๑ ถึง ๑๐ นี้ การทดสอบเหมือนเลข ๑ ถึง ๑๐ หันจากเลข๑ ก็ไปเจอเลขอะไรอีก แล้วก็ไม่ยอมพ้นเสียที แต่ถ้าหากอยากพ้นก็พ้นได้ด้วยใจนั่นเอง ชั่วขณะจิตเดียวเมื่อตั้งจิตตัวเองให้มั่นคงแล้วก็พ้นการทดสอบนี้ไปเลย แต่บางคนนั้นเมื่อพ้นไปแล้ว ก็ชอบที่จะกลับไปทำขึ้นมาใหม่ พ้นแล้วก็กลับไปทำข้อสอบใหม่ เป็นอย่างไรล่ะ สนุกไหม อาจารย์เห็นแล้วอาจารย์ยังไม่สนุกด้วยเลยไม่รู้จะกลับไปทำอีกทำไม เมื่อก่อนนี้ตอนที่บำเพ็ญใหม่ ๆ ตอนเริ่มมีใจ คนมายั่วเราเท่าไหร่ เราก็ไม่โมโหสักที ถือว่าทำข้อสอบผ่านไหม แต่พอบำเพ็ญไปห้าปียั่วโมโหเข้าหน่อยเป็นอย่างไร โกรธแล้ว คนนี้ถือว่าเดินหน้าหรือถอยหลัง (ถอยหลัง) ตอบเองนะ
อยากรู้ไหมว่าได้โอวาทคำว่าอะไร อยากรู้ก็ต้องอดใจรอ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์เยอะ นึกว่าจะเรียกแล้วไม่ขึ้นมาเสียอีก ก็พายเรืออีกสักรอบหนึ่งแล้วกันนะ
ไม่รู้ว่าพายเรือครั้งนี้เน้นมรสุม หรือเน้นพายเรือ (เน้นพายเรือ) ไม่อยากเจอมรสุมใช่หรือไม่ เราอยากจะให้คนอื่นยิ้มตอบ เราต้องทำอย่างไรต่อคนอื่น (ยิ้มให้คนอื่น) เราอยากให้ทางเราราบรื่น เราต้องให้ทางอย่างไรกับคนอื่น (ทางที่ราบรื่น) ต้องให้ทางที่ราบรื่นกับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เราจะบอกว่าเราเหนื่อยแล้ว เราเลยขี้เกียจแล้วก็ไม่ต้องให้ทางที่ราบรื่นให้กับคนอื่นทำเป็นมองไม่เห็นได้หรือไม่ (ไม่ได้) เราช่วยคนเท่าที่เราจะช่วยได้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์ไม่รู้หรอกว่าถ้าหากว่าแค่เพิ่มแรง เพิ่มแรงนิดหน่อยเวลาที่เราเห็นคนอื่นเขาช่วย เราจึงจำเป็นต้องช่วย แต่เป็นเพราะความเหนื่อยของเรา เราเลยไม่ช่วยเขาถ้าหากว่าเราแค่เพิ่มแรงตรงนี้ ที่เราเคยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่รู้ไม่ชี้ ศิษย์ก็อาจจะมีการฝึกฝนที่ดีขึ้นได้ มีกุศลที่มากขึ้นก็เป็นได้ เพราะว่าโดยทั่วๆ ไปแล้วอาจารย์เห็นว่ามนุษย์นั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ไม่เห็นในความทุกข์ยากของคนอื่นนั้นมากทีเดียว หรือเพราะว่าเราเหนื่อยแล้ว เพราะเราหมดแรงไปแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราคงช่วยเขาไม่ได้ แต่ถ้าหากศิษย์ลองดู คนรอบข้างของเรานั้น เขาอาจจะประทับใจในความดีของเรา ตอนที่เราช่วยโดยไม่ค่อยตั้งใจนั่นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมส่งผลไม้ โดยส่งไปเรื่อยๆ ตามเพลง ถ้าเพลงหยุดเมื่อไหร่ให้คนที่ถือผลไม้อยู่ยืนขึ้น) รวมทั้งหมด ๔ คน เป็นนักเรียนชายหนึ่งคน นักเรียนหญิงหนึ่งคน ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายหนึ่งคน และผู้ปฏิบัติงานธรรมหญิงหนึ่งคน เห็นหน้าคนโชคดีหรือยัง ก็เหมือนกันกับที่พระอาจารย์จะยกตัวอย่างให้ฟังในการเล่นเกมอย่างนี้ ผลไม้นี้ก็เหมือนมรรคผลใช่หรือไม่ (ใช่) มรรคผลนี้อาจจะผ่านมือศิษย์ไป จริงแล้วน่าจะอยู่ที่เรา แต่ก็ไม่ได้หยุดที่เรา นี่เป็นมรรคผลที่เป็นเหมือนโอกาส ที่เมื่อผ่านมาหาเราแล้วอาจจะผ่านเราไปได้ทุกเมื่อใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะมีบางคนที่ไม่ได้รับเลย โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่มีจำนวนมาก การบำเพ็ญธรรมยุคนี้ผู้หญิงบำเพ็ญเยอะ แต่คนสำเร็จนั้นมีน้อย เพราะผู้หญิงนั้นมีอุปสรรคทางด้านจิตใจนั้นเยอะ ไม่ว่าจะเป็นจุดบกพร่องในการชอบพูด ชอบคิดมาก และจุดบกพร่องอีกหลายๆ อย่างนับไม่ถ้วน มีทั้งจุดเล็กและใหญ่อีกมากมาย ฉะนั้นโอกาสนี้มรรคผลนี้ อาจจะผ่านมาถึงมือเรา แต่อาจจะผ่านจากมือเราไป ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าคนที่ได้เป็นคนที่โชคดี ก็เพราะว่าศิษย์จำนวนมาก แต่คนได้ผลไม้มีแค่ ๔ คน มีมรรคผล ๔ ลูก มีคนอยู่ ๔ คน แต่คนๆนั้นไม่ใช่ศิษย์ เราจึงต้องรู้จักเอาคติของเรื่องนี้มาใช้ว่าเรานั้นต้องลงแรงพยายาม และลงแรงยึดเหนี่ยวมรรคผลนั้นเป็นของเราให้มากที่สุด อาจารย์ไม่ได้ให้แย่งกัน แต่อาจารย์หมายความว่าให้รักษาเมื่อโอกาสนั้นมาถึงมือใช่หรือไม่ (ใช่) มรรคผลเบื้องบนนั้นมีอยู่จำกัด แต่ไม่น้อยแค่ ๔ ลูกเท่านี้ มีมากกว่านั่นแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับจำนวนที่ศิษย์บำเพ็ญอยู่ก็นับว่าน้อย อย่าบอกว่าจะเกาะชายจีวรคนไหนๆ หรือเกาะชายจีวรอาจารย์ขึ้นไป ขึ้นไม่ได้หรอกนะที่ชอบพูดเล่นกัน แต่ว่าเอาจริง คิดอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้นะ กลับคืนไปให้ได้ มีเวลาตั้งชีวิตหนึ่งกลัวอะไร ตอนนี้ผมเรายังเป็นสีดำอยู่ กลัวอะไรกลับไปไม่ถึง กลัวแต่ศิษย์ไม่พยายามเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าทำงานธรรมะแล้วเหนื่อยตายก็ถือว่าตายในหน้าที่ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทครอบพระโอวาท "อย่าเห็นผิดเป็นชอบ") อย่าเห็นผิดเป็นชอบ อาจารย์ให้อย่างนี้มีความหมายหรือเปล่า เข้าใจความหมายไหม อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเข้าใจความหมายไหม (เข้าใจ) ตอนนี้ตาของศิษย์แต่ละคนนั้นนอกจากถูกกระแสการทดสอบ ถูกกระแสโลกพัดแล้ว ทำให้จิตใจของเรานั้นมีความขุ่นอยู่นิดหนึ่ง ตานั้นก็เหมือนกับจะขุ่นๆ อยู่นิดหน่อย เคยเห็นคนตาขวางไหม (เคย) ตาขวางเพราะใจขวางใช่หรือไม่ (ใช่) ใจไม่ขวางตาจะขวางไหม (ไม่ขวาง) ฉะนั้นตอนนี้เวลาลมแรงๆ กระแสโลก กระแสทดสอบอะไรก็ดีเข้ามาพัดๆๆ ฝุ่นเข้าตา เป็นยังไง มองทีก็เป็นยังไง ภาพมันไม่ชัดหรือตาเราไม่ดี (ตาเราไม่ดี) ฉะนั้นถ้าอารมณ์ดี เรื่องราวต่างๆ ก็จะดีขึ้น ดีไหม (ดี) เวลาที่อาจารย์ชอบเล่นเสมอเกมนี้คือ การที่ให้คนนั้นเดินหน้าชนลูกเดียว ลุยไปข้างหน้า แต่ล้อมเป็นวงกลมชนกันไหม (ชน) ถ้าหากว่าล้อมเป็นวงกลมแล้วให้เดินหน้าๆๆ ชนกันไหม (ชน) ฉะนั้นคนที่เป็นศิษย์อาจารย์นั้นจึงไม่ได้ใช้วิธีนี้หรอก ไม่เดินหน้าแต่ต้องรู้จักถอยใช่หรือเปล่า (ใช่) ยอมให้คนอื่น หลีกให้คนอื่น ผลงานนั้นมีได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นผลงานอันนี้เรายอมให้คนอื่นไปก่อน ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ (ใช่) คนในโลกไม่เห็นแต่เบื้องบนก็เห็น อย่าเห็นผิดเป็นชอบ เรื่องราวใดๆ ก็แล้วแต่ที่เรานั้นคิดว่าถูกต้อง เมื่อถึงเวลาหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ เวลาเรามองสิ่งใดก็แล้วแต่เรามักจะมองว่าเรื่องนี้ใช่ถูกต้องแต่เราอย่าปักใจเชื่อให้มาก เพราะว่าถ้าปักใจเชื่อมากก็จะยึดติดในใจของเรา เมื่อยึดติดแล้วแก้ลำบากเหมือนเรายึดติดในร่างกายสังขารของเราอันนี้ เหมือนเรายึดติดในความสามารถของเราอันนี้ ความหยิ่ง ความทะนงนั้นมีกันทุกคน มีมากมีน้อย กำราบได้มาก กำราบได้น้อย เราต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
อาจารย์เน้นคำพูดเดิมๆ แต่อยากจะให้ลึกไปถึงในใจของศิษย์ทุกคน ความศรัทธานั้นไม่ใช่ศรัทธาแต่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันก็ต้องมีความศรัทธาซึ่งกันและกัน เหมือนกัน ศรัทธาร่วมกันได้อย่างตลอดรอดฝั่ง หากเราไม่เชื่อใจเขา ไม่ไว้ใจเขางานก็เป็นอุปสรรคมาก เป็นอุปสรรคที่เราสร้างเองในบ้านของเรานั้นเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญคนเดียวในบ้าน เราต้องแสดงศักยภาพของธรรม ความเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง จะเป็นคนดีที่นิสัยเสียอยู่เสมอนั้นไม่ได้ แต่เมื่อเราแก้ไขแม้เล็กๆ น้อยๆ อาจารย์เชื่อแน่ว่าคนในบ้านของเรามองเห็นก่อน แต่เมื่อเขาพูดจาทำร้ายจิตใจของเรา เราก็อย่าได้รู้สึกท้อ เราจะแก้ไขให้เขาเห็นว่านี่คือนิสัยใหม่ของเรา เราเป็นคนใหม่แล้ว ศิษย์ทำได้ไหม (ได้) การบำเพ็ญธรรมะทางธรรมครึ่งทางโลกครึ่ง ฉะนั้นศิษย์ก็ยังต้องให้ความสำคัญกับบ้านของเราเอง ต้องมีความรักความสามัคคี ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน เมื่อศิษย์ทำได้กับคนในบ้าน เวลาศิษย์เจอคนข้างนอกที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเอง ศิษย์จะอภัยเขาง่ายยิ่งกว่า เพราะว่าคนอื่นบางทีเราไม่รู้จักเขา เราไม่รู้ข้อเสียของเขามาก่อน การที่จะมองเขาเป็นคนดีนั้นเป็นเรื่องง่าย ยิ่งจะให้อภัยเขาก็ยิ่งง่าย มนุษย์ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์เยอะแยะมากมาย มีทั้งเงินทอง มีทั้งด้านจิตใจ แต่ศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมอย่าได้ถูกผลประโยชน์เหล่านี้ครอบงำจิตใจ จนเราไม่สามารถรักษาจิตใจอันดีงามของเราไว้ได้ ทุกๆ คนนั้นมีความสามารถ และทุกๆ คนก็เป็นคนดี เป็นศิษย์รักของอาจารย์ เป็นกำลังใจของอาจารย์ อาจารย์จึงอยากให้ทุกๆ คนนั้นรักษาตัวเองให้ดีๆ รักษาจิตใจของเราให้ดีๆ อย่าให้ทุกๆ คำพูดอันเคยพูดไปนั้นเป็นคำพูดที่สูญเปล่า เบื้องบนองค์มารดามีบัญชาให้เอาธรรมะลงมาช่วยโลก ศิษย์ก็เป็นคนหนึ่งที่อาจารย์ต้องช่วย ศิษย์ก็เป็นคนหนึ่งที่อาจารย์ผูกพันไว้ อย่าให้กิเลสในใจของเรานั้นมีอำนาจเหนือกว่าจิตใจของเรา อาจารย์เคยเกิดเป็นมนุษย์ ก็รู้ว่าการเป็นมนุษย์นั้นยาก การบำเพ็ญธรรมยิ่งยาก ยิ่งทิ้งศิษย์ไว้ในโลกที่วุ่นวายขนาดนี้ อาจารย์ก็ยิ่งรู้ว่าศิษย์ทำตัวลำบาก แต่ความลำบากนี้สอนให้ศิษย์สามารถที่จะเชิดหน้าชูตาได้ในอนาคตไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงทำใจไม่ได้ที่จะต้องพบกับอุปสรรค อย่าเอาความชั่วไปประชันกับความชั่ว แต่เอาความดีไประงับความชั่วไว้ ความดีของเราแค่ไม้จิ้มฟัน ความชั่วของคนอื่นที่สั่งสมมามากมายเป็นกองภูเขา แต่เอาไม้จิ้มฟันของศิษย์มารวมๆ กัน มันก็อาจจะไปหาญสู้กับภูเขาเหล่านั้นได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
อายุยังน้อยๆ กันทั้งนั้นเลย เราอายุยังน้อยๆ ยังมีโอกาสอีกมาก มีโอกาสทำให้ดี และมีโอกาสทำผิดพลาดอยู่ที่ว่าศิษย์นั้นจะเลือกทำอะไร ขาของเราเราเป็นผู้เดินเอง ศิษย์จะเลือกทางไหน เลือกให้ดีๆ นะ อาจารย์เลือกแทนศิษย์ไม่ได้ มีแต่ชี้ทางให้เท่านั้น ธรรมะนี้ล้ำค่า ศึกษาให้เข้าใจ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ
จากกันวันนี้ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เจอกันอีก บำเพ็ญดีๆ อาจารย์อยากจะพูดเล็กน้อยกับศิษย์ก่อนเราจากกัน อย่าเห็นอาจารย์เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ให้ศิษย์เที่ยวขอ เมื่ออาจารย์พูด เมื่อฟังอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ใช่พระศักดิ์สิทธิ์อะไร อาจารย์มีแต่ความหวังดีให้ อาจารย์ไม่คิดที่จะประทานเงินทองให้ศิษย์ร่ำรวย เพราะว่ากลัวศิษย์หลงใหลการใช้เงินทอง แต่อาจารย์หวังให้ศิษย์ยกระดับจิตใจของตัวเองให้ดีขึ้น ให้เป็นพุทธะเดินดินอยู่ในโลก ให้คนยกยอศิษย์ในความดีที่ศิษย์มีจริงๆ ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ เพราะพุทธะไม่ได้เป็นตอนที่อยู่บนฟ้า แต่มาเป็นตอนอยู่บนโลก หวังว่าศิษย์จะเข้าใจคำพูดของอาจารย์ทุกๆ คำ และอย่าโกรธถ้าอาจารย์พูดอะไรขัดใจเราแล้วกันนะ รักษาตัวเองให้ดีๆ เพื่อเป็นที่รักของคนทุกคน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อย่าเห็นผิดเป็นชอบ”
อวิชาพาเห็นผิดเป็นชอบ จิตมารครอบผิดบาปทำซ้ำซาก
บำเพ็ญคิดแต่เพื่อตนพ้นกลับยาก ตัดใจหากไม่ตัดเองใครช่วยได้
ใช้ความดีชนะใจคนทั่วกัน อดทนสั้นชนะใจคนได้ไฉน
ใจกว้างสร้างศรัทธาให้ใจ จิตเป็นไทจากกิเลสหากใดปาน
จิตทั่วผ่อนคลายเป็นฟ้าไร้เมฆ ธรรมเป็นเอกทิ้งกังวลในเรื่องสังขาร
ความสามารถเก็บงำใช้เมื่อถึงกาล จำต้องผ่านยากก่อนง่ายจำจงดี
พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม
อาจารย์ถือโอกาสพูดเรื่องสำคัญ ในช่วงก่อนอาจารย์บอกศิษย์ว่า ฟ้าดินนั้นทดสอบด้านปัญญา แยกแยะ จริงเท็จ ดูสิว่าใครเป็นอย่างไร ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าคนไหน ได้รับการสอบ อาจารย์จะบอกว่าแทบทุกคนนั้น ได้รับการสอบไปแล้ว แต่ตอนนี้นอกจากเรื่องการทดสอบด้านปัญญาแล้ว เบื้องบนยังทดสอบศิษย์ในเรื่องของความมั่นคงทางธรรมะ ในสภาพที่โลกเป็นอย่างนี้ คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นต้องเจอทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับศิษย์นั้นวนอยู่ในเลขหนึ่งถึงสิบ ศิษย์นั้นก้าวหน้าขึ้นไปทำข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง และข้อที่สาม ไปจนถึงข้อที่สิบ ในตอนนี้เบื้องบนทดสอบความมั่นคงทางธรรม ว่าใครนั้นอยู่ใครไป ในสภาพจิตใจ ในสภาพบ้านเมือง ในสภาพของเศรษฐกิจ ในสภาพของการอยู่ร่วมกัน ดูสิว่าคนไหนสามารถอยู่ และคนไหนสามารถที่จะไป โดยให้พญามารทั้งหลายเป็นผู้คอยดึง ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่สามารถรักษาสภาพความมั่นคงในใจของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าตัวจะมาสถานธรรมก็มาอย่างคนใจลอย อย่างนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่ ก็เหมือนไม่อยู่
อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นอยู่ทั้งตัวและหัวใจ บำเพ็ญธรรมอย่างคนที่ลงแรงใจและระวังให้ดีว่า วันไหนที่เรารู้สึกท้อไป อย่าทำให้จิตใจของเรานั้นท้อไปจนถึงขีดที่ช่วยอะไรไม่ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) อาจารย์หวังว่าอาจารย์นั้นได้เห็นศิษย์นั้นก้าวหน้าขึ้นทุกปี ไม่ใช่ท้อถอยลงทุกปี อาจารย์กล้าพูดอย่างนี้ กล้าเอาสิ่งที่เบื้องบนกำลังทดสอบศิษย์มาพูดเพราะทนไม่ได้จริงๆ ที่เห็นศิษย์นั้น ถดถอยลงๆ เข้ามาสถานธรรมอย่างคนใจลอย คนหมดหัวใจ หากว่าศิษย์ไม่ได้อยากจะเป็นคนร่ำรวย หากศิษย์ไม่ได้อยากจะเป็นคนที่ต้องมีลาภยศสักการะ ศิษย์หรือจะถูกสิ่งที่เป็นความถดถอยของเศรษฐกิจสังคมนั้นทดสอบได้