西元二○一○年 歲次庚寅十月十二日 仙佛慈悲訓
วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
ย้อนมองตนเปลี่ยนนิสัยความเคยชิน ศึกษาธรรมจะสิ้นความเพียรมิได้
ท้องขาดข้าวใจขาดสำนึกน่าอาย ทำผิดไปไม่ร้ายเท่าเห็นผิดเป็นถูก
เอาปัญญานำทางนั้นไม่ผิด เอาความคิดนำชีวิตนั้นไม่ถูก
ฉลาดฉ้อฉลทำตนสร้างปมผูก มิสู้ปลูกเมตตาอยู่ร่วมกัน
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ (娃娃仙女) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกอันวุ่นวาย แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านง่วงนอนไหม
กรรมเท่าไหร่เท่าไหร่ใช้ไม่ยอมจบ ปฐพีกลบก็ยังใจไม่สว่าง
บำเพ็ญไม่มีวันพลั้งหลงทาง ลมจะหมดมีพลังจิตบัญชา
ทุ่มเทใจสุดสุดลุกขึ้นวิ่ง ใช้สติช่วงชิงชัยเบื้องหน้า
ขนตั้งสู้ขึ้นควบธรรมอาชา จากวิญญาแรงไหลสู่โลกสามัญ
เสียงจากฟ้าจะยากถ้ามนุษย์ ทั้งรู้รู้แต่หยุดงานประสาน
คนเข้าใจไม่ก้าวใครตีบตัน ฝึกไปเรื่อยได้ผ่านเพราะพยายาม
คนฝึกจิตทำงานไม่เกียจคร้าน เหนือทุกด้านเพราะอดทนเป็นนิสัย
พลานุภาพจิตทำงานเป็นไม่ได้ จิตแสนไวรู้ธรรมชาติมีสมดุล
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
เด็กที่เวลาอยากได้เอาแต่ใจตัวเองเราก็รู้สึกว่าพ่อแม่เขาไม่สั่งสอนเลยนะ ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นลองถามใจเราสิ เวลาอยากได้ๆ ใครพูดก็ไม่ฟัง ไม่แคร์ไม่สนใจ เราเคยเห็นเด็กที่เอาแต่ใจ อยากได้อะไรสักอย่างหนึ่งแล้วไม่ได้ เด็กก็จะดิ้นๆ เราก็ว่าพ่อแม่นี่ไม่ไหวเลย แล้วเราเคยหันกลับมาดูใจเราไหม “เรานี่ไม่ไหวเลยไม่เคยดูแลใจตัวเองเลย” เวลาอยากได้อะไรขึ้นมาสนใจใครไหม (ไม่สนใจ) แล้วตัวเองจะเจ็บปวดอย่างไรสนใจไหม (ไม่สนใจ)
“ย้อนมองตนเปลี่ยนนิสัยความเคยชิน
ศึกษาธรรมจะสิ้นความเพียรมิได้
ท้องขาดข้าวใจขาดสำนึกน่าอาย
ทำผิดไปไม่ร้ายเท่าเห็นผิดเป็นถูก”
ศึกษาธรรมจะสิ้นความเพียรมิได้
ท้องขาดข้าวใจขาดสำนึกน่าอาย
ทำผิดไปไม่ร้ายเท่าเห็นผิดเป็นถูก”
ไม่ได้กินข้าวไม่เป็นไร แต่อย่าขาดจิตสำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนในปัจจุบันนี้กลับกัน ท้องขาดข้าวไม่ได้ แต่จิตขาดสำนึกได้ ขอเพียงให้ได้กินอิ่มท้อง แต่สิ่งที่ได้มานั้นจะทำผิดทำถูกก็ไม่เป็นไร ได้หรือเปล่า “ทำผิดไปไม่ร้ายเท่าเห็นผิดเป็นถูก” เคยได้ยินไหม (เคย) พระพุทธะกล่าวไว้ว่า โจรถึงจะดูน่ากลัวปล้นทรัพย์สินเราไป เจ้ากรรมนายเวรถึงจะมาทำร้ายเบียดบังเรา แม้ทั้งโจรและเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิดๆ ใจที่คิดผิดๆ เพราะย่อมสามารถสร้างโจรและเจ้ากรรมนายเวรได้ไม่จบสิ้น ใช่หรือเปล่า
“เอาปัญญานำทางนั้นไม่ผิด เอาความคิดนำชีวิตนั้นไม่ถูก
ฉลาดฉ้อฉลทำตนสร้างปมผูก มิสู้ปลูกเมตตาอยู่ร่วมกัน”
เมื่อรู้จักวางตนให้ถูกแล้ว ก็ต้องรู้จักที่จะเอาสิ่งใดมานำทางในการวางตน จะเอาปัญญาในการรู้แจ้งเห็นจริง หรือว่าเอาความคิดที่ตามอารมณ์ หรือจะเอาความฉลาดฉ้อฉลในการอยู่ร่วมกับคน ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเอาอะไรล่ะดีที่สุด ก็สู้เอาปัญญาแห่งคุณธรรม มาใช้ในการดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกับคนย่อมดีกว่า จริงไหม (จริง)
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเริ่มต้นก็มีช่วงกลางแล้วก็มีช่วงสิ้นสุด ชีวิต ของมนุษย์ก็เหมือนกัน ย่อมมีเริ่มต้นช่วงกลางแล้วก็สิ้นสุดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราจะรู้จักหยุดบ้างได้ไหม เราจะรู้จักเดินหน้าแล้วไม่รู้จักถอยหลังได้ไหม เราจะรู้จักเอาแต่เก็บแต่ไม่เคยให้อย่างเหมาะสมหรือ
ท่านเคยเห็นไหม น้ำเวลาถูกขังนานๆ แล้วไม่ได้ถ่ายเทสักวันหนึ่งก็คงเน่า จิตใจเอาแต่มั่นใจในตัวเองไม่เคยฟังใคร สักวันหนึ่งความคิดก็คงเน่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนเราจึงต้องรู้จักรับฟังแล้วถ่ายเท ถ้าเกิดไม่ฟังใครเลยเราก็อาจจะเน่าข้างในจริงไหม (จริง) เคยไหมลองหลับไปสักสองเดือน พอตื่นมาอีกที สิ่งที่เราบอกว่าเรารู้กลายเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ ฉะนั้นยิ่งถ้าเราปิดตัวเอง ไม่รับฟังใครเลย ไม่แน่เราอาจจะกลายเป็นคนที่โง่ที่สุดก็ได้ เราจึงต้องรู้จักเปิดรับใจของตัวเองเพื่อศึกษาเรียนรู้ สิ่งที่ตัวเองรู้นั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่รู้ในวันข้างหน้าก็ได้ ฉะนั้นการเปิดใจกว้างแล้วรู้จักรับรู้จักให้ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นปรบมือรัวตามคำสั่ง)
การควบคุมตัวเองไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ แต่จะรู้ จะหยุด จะเดินได้อย่างไร ต้องอยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้มีเราคอยบอก แต่ถ้าวันหน้าไม่มีเราคอยบอกท่านจะรู้จักหยุดบ้างไหม บางคนเพียงเพื่อให้ได้สิ่งนั้น ลืมแม้กระทั่งความเจ็บของตัวเอง ลืมแม้กระทั่งเสียงห่วงใยของคนรอบข้าง ลืมแม้กระทั่งน้ำใจที่ควรมีกับคน เราเคยเป็นอย่างนั้นไหม เหมือนเด็กคนหนึ่งที่อยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่สนใจหัวอกพ่อแม่ ขอเพียงอย่างเดียวตัวเองต้องได้มา
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง มีคนๆ หนึ่งเกิดมีความอยาก คนๆ นี้ก็เลยมีความตั้งใจว่าถ้าโตขึ้นมาแล้ว ฉันจะต้องมีเงิน และต้องเป็นเงินเยอะๆ เพราะคิดว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่ง สามารถซื้อความสุขที่เขาอยากได้ทุกอย่าง เมื่อเขาตั้งเป้าหมายว่าเขาอยากได้เงิน ฉะนั้นทุกหนทางที่จะเดินไปนั้น ไม่ว่าจะลำบาก ไม่ว่าจะเหนื่อย ไม่ว่าจะท้อแท้ ไม่ว่าจะเจออุปสรรค หรือไม่ว่าจะเจอความวุ่นวายขนาดไหน เขาก็ไม่เคยกลัว ขอเพียงให้ได้เงิน จนบางครั้งเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่หยุดไหม (ไม่หยุด) ได้เงินมาก็ดีใจ ถึงจะเหนื่อยขนาดไหนก็ไม่เหนื่อย ยังอดทนไหว
ดูสิว่าความอยากเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้คนๆ หนึ่งลืมเจ็บลืมป่วยเลย จึงมีคำกล่าวว่า “ถ้ามนุษย์สามารถครอบครองโลกทั้งโลกได้ มนุษย์ก็คงอยากจะครอบครอง” แล้วพออยากได้แล้ว ความรู้สึกอยากนั้นก็ครอบงำจนทำให้แม้แต่ตัวเองก็ยังรักษาชีวิตตัวเองไม่รอดเลย แม้ตัวเองเหนื่อย เจ็บ ป่วย ก็เอาไว้ทีหลัง ขอหาเงินก่อน แต่ทำไมเวลามีทุกข์ไม่คิดว่าเอาไว้ทีหลัง ขอเป็นสุขก่อนบ้าง เพื่อเงินแล้วยืนเป็นวันก็ยืนไหว เพื่อเงินแล้วนั่งเป็นวันก็นั่งได้ ใช่ไหม (ใช่) แต่ทำไมเพื่อฟังธรรมแล้วนั่งยังไม่ถึงชั่วโมงก็ไม่ไหวแล้ว
เพียงเพื่อเงิน ทำให้คนๆ หนึ่งลืมเจ็บ ลืมแม้กระทั่งจะต้องรักษาร่างกายนะ แต่เราจนใจไหม ขอเงินก่อน เดี๋ยวมีเงินโรคก็รักษาได้ คิดอย่างนี้ถูกไหม เงินมาเดี๋ยวก็ซื้อความแข็งแรงได้ รอป่วยก่อนหรือแล้วค่อยหาเงินมารักษา คิดผิดหรือเปล่า แต่มนุษย์มักเป็นอย่างนี้ คิดว่าเงินนี่แหละ แม้ร่างกายจะป่วยก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้
ฉะนั้นช่วงที่หาเงินเหนื่อยขนาดไหน พอพ่อแม่เตือน “อย่าหักโหมนะลูก” พอคนเตือน “แกเกี่ยวอะไรด้วย” “เรื่องของหนูแม่ไม่เกี่ยว” ใช่ไหม (ใช่) ขอเงินไว้ก่อน ไม่ต้องมาพูดมาก ช่วยก็ไม่ช่วย เพียงเพื่ออยากได้เงิน เราทอดทิ้งความห่วงใยของคนที่รักเรา เราดูแคลนคนที่หวังดีกับเรา เห็นไหมเพียงเพื่อเงินตัวเดียว ท่านสูญเสียไปสองอย่าง คือ ความเข้มแข็งของร่างกาย และคนที่รักและห่วงใย
เพียงเพื่อเงินเคยไหมที่จะหันกลับไปดูแลคนข้างเคียง เพียงเพื่อเงินทำให้เราห่วงแต่ตัวเอง ลืมห่วงคนรอบข้าง เพียงเพื่อมีเงิน พอเห็นขอทานเราสงสารไหม “ฉันเหนื่อยแทบตายกว่าจะได้เงินมาเรื่องอะไรฉันจะให้แก” น้ำใจที่ควรจะมีให้กันก็กลายเป็นหดหาย กลายเป็นเราสูญเสียจิตใจที่ควรจะเมตตาต่อกัน เพียงเพื่อมีเงินเท่านั้นทำให้เราสูญเสียคุณธรรมไปกี่อย่าง
เงินนั้นคืออะไร เงินนั้นคือความภูมิใจ เงินนั้นคือชีวิต เงินนั้นคือการสูญเสียหลายๆ สิ่งเพื่อให้ได้มา พอเราได้มาแล้ว เราก็กอดมันไว้ เพราะมันคือความภาคภูมิใจ แต่มันคือการสูญเสียชีวิตของเราไปค่อนชีวิตเพื่อให้ได้มา ใช่ไหม มันเป็นการสูญเสียคนที่เรารักแล้วก็กลายเป็นเราทอดทิ้งไม่รักเขาใช่ไหม
จนกระทั่งวันหนึ่งเราเดินไปพร้อมกับกอดสิ่งที่ภาคภูมิใจนี้ แต่ว่าพอเดินไปได้สักพักหนึ่ง เราต้องข้ามน้ำ พอเราหิ้วสิ่งนี้ไปด้วย เราว่ายถนัดไหม พอมีคนตะโกนมาอย่างหวังดีว่า “ปล่อยมันเถอะๆ” เราก็ยังไม่ปล่อย ยิ่งว่ายไปมันก็ยิ่งหนักทำให้ว่ายไม่ถนัดใช่ไหม มันก็ยิ่งจมลงๆ แต่เราก็ยังไม่ยอมทิ้ง เพราะเสียดายว่านี่คือความภาคภูมิใจ นี่คือชีวิตทั้งชีวิตกว่าจะได้มันมา ทั้งตัวเราและสิ่งที่เรากอดไว้ก็จมลงๆ ผลสุดท้ายก็ตาย ถ้าเพียงแต่เราคิดได้เราก็จะไม่ตาย ฉะนั้นเพียงเพื่อเงินจะเห็นว่าคนๆ หนึ่ง ลืมเจ็บ ลืมแม้กระทั่งว่าจะต้องรักษาร่างกายนี้ แต่ใครจะคิดได้ทัน ฉะนั้นอย่ามัวแสวงหาจนลืมอบรมบ่มเพาะจิตใจของตน แล้วทำให้เราต้องสูญเสียร่างกายเราไปโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะอยากแค่นั้น
นอกจากอยากได้เงิน บางคนเพียงเพราะอยากมีคนรักสักคนหนึ่ง เคยฟังใครไหม ใครเตือนอย่างไร หวังดีอย่างไร เคยฟังเสียงคนรอบข้างไหม (ไม่) ก็หนูอยากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) พอได้เขามาแล้ว เขาพาเราจมไปสู่ห้วงเหวทุกข์ เราปล่อยเขาไหม ยังกอดเขาไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งที่เราพูดว่าคือเงิน บางครั้งคือลูก สามี ภรรยา คนรักของท่านเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเพียงเพื่ออยากได้สิ่งหนึ่ง เรายอมสูญเสียความหวังดี ความปรารถนาดีของคนอื่น ยอมสูญเสียร่างกายและชีวิตได้ เราเคยเห็นคนๆ หนึ่ง ขอให้ได้รักคนๆ นี้ เพื่อให้ได้รัก แม้ตัวจะตายก็ไม่เป็นไร เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น)
เพียงเพื่ออยากมีเงิน เรายอมสูญเสียคุณธรรมของความเป็นคนซื่อตรง เพียงเพื่ออยากได้มีเงิน เราสูญเสียน้ำใจที่ควรมีให้แก่กัน เพียงเพื่ออยากได้เงิน เราลืมห่วงใยคนรอบข้างไปบ้างไหม อย่าได้ให้หนทางแห่งความอยากนั้นเป็นตัวทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของท่าน
พระพุทธะกล่าวไว้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต ท่านเคยได้ยินคำนี้ไหม “ยอมสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ล้วนมีแนวความคิดอันนี้ และยอมสละชีวิตเพื่อรักษาคุณธรรม แต่มนุษย์กลับกันหมดเลย ยอมเสียคุณธรรมเพื่อมีชีวิต ยอมเสียชีวิตเพื่อหน้าตา ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย ทำให้แม้เอาอะไรมาใส่ก็ไม่เป็นไรขอทำให้หน้าตึงๆ ไว้ก่อน นี่เรียกว่ายอมสละชีวิตเพื่อรักษาหน้าตึง บางคนเพื่อเงิน หน้าตาก็ไม่สนใจ รูปลักษณ์ก็ไม่สนใจ ขอเพียงเงินเต็มกระเป๋าฉันก็ภูมิใจแล้ว มนุษย์เดินทางกลับกันกับสิ่งที่พุทธะเคยสอนนะ ใช่ไหม (ใช่)
พุทธะสอนว่า “ยอมสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมสละชีวิตเพื่อคุณธรรม” แต่มนุษย์ยอมสละคุณธรรมเพื่อมีชีวิต บางคนยอมเสียชีวิตเพื่อถือเนื้อถือตัว ใครว่าไม่ได้ หยามฉันไม่ได้ ไม่กลัวตายแต่อย่ามาหยาม ยอมรักษาทรัพย์แม้จะต้องทิ้งชีวิตก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเงินหายหนึ่งร้อยเสียใจไหม ยี่สิบบาทเสียใจไหม (เสียใจ) ห้าบาทเสียใจไหม (เสียใจ) บาทเดียวเสียใจไหม (เสียใจ) เรายกตัวอย่างง่ายๆ วันนี้ท่านซื้อผักมากำหนึ่ง ท่านซื้อมาหกบาท พอลูกกลับมาบอกว่า “แม่ๆ หนูซื้อผักมา” “อ้าวเหมือนกันเลยลูก กำเท่าไหร่” ลูกตอบ “ห้าบาท” เสียใจไหม โมโหไหมเพราะแม่ค้านี้โกหกฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าปล่อยให้อะไรบางอย่างมาดึงใจเราลงไปด้วย เราเสียเงินไปแล้วเราก็อย่าให้ใจมันถูกดึงให้เสียลงไปอีก แต่เพราะเราไม่เคยให้มันแล้วแล้วกันไป เรายอมไม่ได้ พอกลับไปใหม่ไปเจอแม่ค้า ก็ต่อว่าแม่ค้า “ทำไมเมื่อวานขายให้ลูกถูกกว่าแม่” เห็นไหมว่าเรายอมเสียสละอะไรล่ะ เพียงเพื่อรักษาเงินแค่หนึ่งบาทเองนะ เรายอมเสียความอดทน ลืมความเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมมนุษย์สามารถควบคุมสัตว์ทั้งหลายได้ แม้กระทั่งสิงโตที่ดุที่สุด เสือที่ดุที่สุด ทำไมเราควบคุมได้ เพราะเรารู้ว่ามันชอบอะไรเกลียดอะไร เล็บแหลมคมของมันอยู่ตรงไหน เมื่อเรารู้จุดอ่อนจุดด้อยของมัน เราก็สามารถที่จะโน้มนำและควบคุมมันได้ ฉะนั้นมนุษย์เมื่อใดที่มีจุดอ่อนจุดด้อยก็ง่ายที่จะถูกคนควบคุม หรือถูกกิเลสจูงจมูก
แล้วจุดอ่อนของมนุษย์คืออะไรล่ะ บาทเดียวก็เสียไม่ได้ หน้านี้ก็เสียไม่ได้ ปราชญ์โบราณจึงสอนว่า “จงอยู่อย่างคนที่รู้จักสงบไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใด” เมื่อเราสงบและเราอดทนอดกลั้น ใครจะมาโต้ตอบใครจะมาชักนำก็ยาก เพราะคนนี้สงบจริงๆ พอมีเรื่องอะไรก็รู้สึกเฉยๆ มีเรื่องเสียใจก็เฉยๆ ก็อดทน เฉยๆ ฉะนั้นใครจะมาโต้ตอบเขา ใครจะมาดึงเขา ใครจะมาล่อลวงเขาก็ดูไม่ออก เพราะดูเฉยเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่มีรูปแบบจึงสามารถถูกเอาชนะได้ สิ่งที่มีรูปทรงจึงสามารถถูกตีโต้ให้เจ็บปวดได้ ปราชญ์จึงสอนว่า “จงดำเนินชีวิตอย่างคนที่มีรูป แต่ไร้รูปอันจำกัด มีใจแต่ไปสู่ความว่าง” เพราะมนุษย์มีใจที่เป็นแบบนั้นแบบนี้เราจึงง่ายที่จะถูกกิเลสชักพา และง่ายที่ถูกคนหลอกลวง เพราะมนุษย์ชอบเงิน อยากจะหลอกลวงมนุษย์ก็ต้องเอาเงินมาล่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงดำเนินชีวิตอย่างคนที่สงบและใช้ความอดทนอดกลั้น อย่าแสดงตัวออกมามากไม่อย่างนั้นจะถูกหลอกได้ง่ายและถูกโจมตีได้อย่างง่ายเช่นกัน” เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักควบคุมความอยากนั้น ความอยากยังให้ผลเสียอีกประการหนึ่ง คือนอกจากจะสูญเสียคนรอบข้าง ยังสูญเสียคุณธรรมภายในตัวเองด้วย
คุณธรรมภายในที่จะสูญเสียเพราะความอยากคืออะไร เคยได้ยินไหมว่า พอเราอยากมากๆ แล้วเราจะสูญเสียเมตตาจิต เวลาเราอยากมากๆ พอได้มาปุ๊บเราก็จะเริ่มกังวล จะได้หรือไม่ได้หนอ พอได้มาแล้วจะอยู่กับเราตลอดไหมหนอ ความกังวลทำให้เราสูญเสียปัญญา แล้วกังวลมากๆ ก็เกิดความกลัว ความกลัวทำให้สูญเสียความกล้าหาญ นี่แค่ความอยากอย่างหนึ่งของมนุษย์นะ ทำให้มนุษย์นั้นสามารถสูญเสียปัญญาธรรม เมตตาธรรม และความกล้าหาญในใจ ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักระมัดระวัง อย่าปล่อยให้ความอยากนั้นทำให้เราสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างทั้งข้างนอกและข้างในโดยไม่รู้ตัวนะ
สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่สุดก็คือเมื่อเวลามีชีวิต การไม่มีปัญหาคือโชค การไม่สูญเสียอะไรคือกำไรชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำอย่างไรล่ะเราถึงจะมีโชคและกำไรในชีวิต
สิ่งที่ปรารถนาของมนุษย์ที่สุดก็คืออยู่แล้วไม่มีปัญหา อยู่แล้วไม่สูญเสีย แล้วเราจะอยู่อย่างไรล่ะที่จะสามารถอยู่แล้วไม่มีปัญหา อยู่แล้วไม่สูญเสีย (อยู่อย่างพอเพียง) แล้วเมื่อไหร่ตัวเองจะอยู่อย่างพอเพียงล่ะ ถ้าไม่พอถึงมีห้าบาทก็เป็นทุกข์ ถ้ารู้จักพอแม้มีห้าบาทก็เป็นสุขทันทีจริงไหม อย่าลืมว่าห้าบาทสามารถทำให้เป็นสิบบาท ร้อยบาทได้ด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้กับห้าบาทนะ มีแค่ห้าบาทหรือมีตั้งห้าบาท ความรู้สึกต่างกันนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะทำให้ห้าบาทมีค่าต่ำลงไปตามใจของเรา หรือเราจะทำให้ห้าบาทมีค่าสูงเหนือใจเรา เห็นไหมว่ามันอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) ฉะนั้นปัญหาจะไม่มีและกำไรจะเกิดในชีวิตอยู่ที่ไหน อยู่แบบไหนที่ต้องระวัง นั่นคืออยู่แล้วอย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราเป็นพวกที่หูก็ชอบฟัง ตาก็ชอบดู มีห้าบาทไม่เป็นไร “ฉันมีตั้งห้าบาท” แต่พอเดินไปสักพัก “วันนี้ได้มาแค่ร้อยบาทเอง” ห้าบาทของเราเริ่มรู้สึกว่าน้อย ใช่ไหม (ใช่) เดินไปอีกสักพัก “วันนี้หาได้แค่สองร้อยเอง” เราก็รู้สึกว่าเงินห้าบาทของเรานั้นช่างไม่มีค่าเลย เราก็เริ่มหมดแรง ใช่ไหม (ใช่) จากไม่มีปัญหากลายเป็นปัญหาเพราะอะไร (ความโลภ)
ทำอย่างไรจึงจะสามารถมีชีวิตแล้วไม่มีปัญหา มีชีวิตแล้วมีแต่กำไรๆ ไม่มีคำว่าสูญเสีย สิ่งที่เราชอบเป็นและทำให้เกิดปัญหาบ่อยที่สุดคืออะไร เห็นใครมีแต่ขอให้มีมากกว่าคนอื่นแล้วเราถึงจะ (มีความสุข) เราเป็นอย่างนั้นไหม แต่ก่อนไม่มีทอง พอมีทองเราภูมิใจไหม (ภูมิใจ) กว่าจะได้ทองมาสักสลึงหนึ่งก็เหนื่อยมากใช่ไหม แต่พอไปเห็นของคนอื่นมีทองตั้งหนึ่งบาท ทำไมเราหมดความภูมิใจกับทองหนึ่งสลึงของเรา
เพราะมนุษย์ชอบเปรียบเทียบ จากที่ตัวเองมั่นใจในคุณค่าก็กลับรู้สึกว่า “น้อยจัง แย่จัง” ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกอย่างในโลกแม้จะเป็นต้นหญ้า หรือต้นไม้สูงก็ล้วนมีคุณค่าแตกต่างกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคิดว่า “ไม่เป็นไร เพราะฉันมีน้อยก็ทำให้คนอื่นดูมากไง” ถ้ารู้จักคิดเราจะมีแต่กำไร ถ้ารู้จักวางใจให้เป็น เราจะไม่มีปัญหากับตัวเอง
แล้วสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้มีที่สุดในตัวเอง แล้วจะได้ไม่เกิดทุกข์ ไม่รู้สึกว่าขาดทุน และต้องอยู่ให้ได้คืออะไรรู้ไหม แค่สี่คำนี้เอง “กินง่าย อยู่ง่าย เสื่อผืน หมอนใบ” ฉะนั้นถ้ามนุษย์เรารู้จักสมถะ รู้จักกินง่ายอยู่ง่าย แม้ไม่มีก็นอนหลับได้ แม้เสื่อกับหมอนไม่มีก็นอนได้ สิ่งที่เรามีมาตั้งแต่เกิด มีแค่ร่างกายนี้อย่างเดียว เงินมีไหม ก็ไม่เคยมี ร่างกายตัวนี้ถ้าเราอยู่ได้รับได้ก็เป็นสุขได้ ถ้าเราอยู่กับตัวนี้ให้ได้แม้ไม่มีอะไร
นั่นแหละคือสุดยอดของการไม่มีปัญหาและกำไรที่สุดในชีวิต แต่ มนุษย์มักจะเหงามักจะเบื่อ ต้องการมีคนมาให้ความอบอุ่น พอมีหลายๆ คนขออยู่ด้วยก็บอกว่า “ร้อนจังเลยไปไกลๆ” เป็นอย่างนั้นไหม ปัญหาเกิดจากตัวเรารับตัวเองไม่ได้ ตัวเราเองนั่นล่ะคือปัญหา
นั่นแหละคือสุดยอดของการไม่มีปัญหาและกำไรที่สุดในชีวิต แต่ มนุษย์มักจะเหงามักจะเบื่อ ต้องการมีคนมาให้ความอบอุ่น พอมีหลายๆ คนขออยู่ด้วยก็บอกว่า “ร้อนจังเลยไปไกลๆ” เป็นอย่างนั้นไหม ปัญหาเกิดจากตัวเรารับตัวเองไม่ได้ ตัวเราเองนั่นล่ะคือปัญหา
“คนฝึกจิตทำงานไม่เกียจคร้าน
เหนือทุกด้านเพราะอดทนเป็นนิสัย”
เหนือทุกด้านเพราะอดทนเป็นนิสัย”
ใช่ไหม เหมือนท่านบอกว่า “นั่งเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว” ท่านลองหันไปข้างๆ สิ เขายืนเมื่อยกว่าท่านอีก ใช่ไหม (ใช่) คนยืนข้างๆ บอกว่ายืนเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว ถ้ามามองคนนั่งก็จะอิจฉา ใช่ไหม อย่างนั้นหันไปมองแม่ครัวสิ เหนื่อยแย่แล้ว ฉะนั้นถ้าเราตั้งจิตไว้ถูกต้อง อะไรก็มาทำร้ายใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเราวางจิตใจเราผิดแค่เพียงชั่วขณะเดียว ทุกข์ก็จะเข้ามาทันทีโดยที่ไม่ต้องมีใครว่าเราเลยก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)
จิตที่ตั้งไว้ไม่ถูกต้องย่อมสามารถนำพาความสุขและความทุกข์ให้มนุษย์ได้ และตอนนี้เราก็มีจิตดวงนี้แหละที่เราไม่เคยหันกลับไปฝึกฝนอบรมเลย อบรมคนอื่นได้แต่ไม่เคยอบรมใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคนที่เอาแต่ใจและเป็นเด็กที่พูดไม่รู้เรื่องก็คือใจเราเองนั่นแหละที่ ขาดการอบรม เป็นคนขี้เหงาเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่ามัวไปอบรมคนอื่นเลย หันกลับมาอบรมใจเราให้เข้มแข็ง อยู่กับตัวเองก็มีความสุขได้เพราะใจที่มั่นคง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“พลานุภาพจิตทำงานเป็นไม่ได้”
ถ้าเรารู้จักฝึกจิตให้เป็น จิตจะมีพลังเหนือกว่าสิ่งอื่นใดในโลก จิตจะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่คาดคิดให้บังเกิดขึ้นได้ และสามารถพลิกโลกเปลี่ยนโลกได้ด้วยใจเราเองได้ แต่คนปัจจุบันนี้ปล่อยให้โลกพลิกใจ หรือไม่ก็ปล่อยให้ใครมาเล่นงานใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าใจของเรายังมีรูปแบบของการยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าเมื่อไหร่เราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ใจเราก็จะไม่มีใครที่จะสามารถมาควบคุมและช่วงชิงได้ ใช่ไหม (ใช่)
อย่าคิดไปควบคุมใครเลยถ้าใจของตัวเองยังควบคุมไม่เป็น อย่าคิดจะไปสอนใครเลยถ้ายังสอนใจตัวเองไม่ได้ อย่าคิดที่จะไปรู้จักใครมากเลยทั้งที่ตัวเองยังไม่รู้จักใจตัวเองเลย ฉะนั้นอยากหมดปัญหาอยากมีกำไรชีวิต ต้องเรียนรู้เข้าใจจิตของตัวเองในความเป็นธรรมดาสามัญให้ได้นะ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บำเพ็ญธรรมแม้จะล้าลุกขึ้นใหม่ ไม่มีใครรู้มากพอแล้วทั้งนั้น
กรรมตามทันวันใดได้รู้กัน ว่าวันนั้นภูมิธรรมใครมากกว่ากัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มไหม
ศิษย์เอยทำตัวดีดี ชีวิตคนบำเพ็ญธรรมนั้นงามเพียงใด วันนี้หาทางเรียกความ...ตั้งใจ จงเป็นคนมีเป้าหมาย...ทางธรรม
ห่วงศิษย์เราเหลือกำลัง ศิษย์ช่างไม่ตั้งหลักกันเลยว่าไหม เรื่องนั้นเรื่องนี้มีมาไล่ไล่ ศิษย์น้อยชีวิตเหลือกัน...กี่วัน
* แม้นก่อนหน้าเจ้าคิดบำเพ็ญ ไม่เน้นศึกษาย่อมเดินหลุดเดินหาย คิดถึงเจ้าแล้วก็มีความหนัก...ในใจ วันนี้บำเพ็ญจริงจริงเท่าไหร่
** หากศิษย์เราไม่นึกถึง ชีวิตเจ้าเองไปแตะ...ทางไหน คิดถึงข้าไหมเฝ้าห่วงอยู่...ไม่วาย ศิษย์ขวนขวายกันน้อยลง
( ซ้ำ * / ** )
ล้มลุกคลุกคลานชีวิต เดี่ยวระ...วัง ชนะหนทางของตน
ชื่อเพลง : ศิษย์เอยทำตัวดีดี
ทำนองเพลง : จดหมายจากพระจันทร์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เกิดเป็นคนคำว่า "ขอบคุณ" "ขอโทษ" พูดยากไหม (ไม่ยาก) ผิดแล้วต้องขอโทษ ทำถูกแล้วต้องขอบคุณ แต่เราเคยขอบคุณและขอโทษกี่ครั้ง บางครั้งแทบจะไม่ค่อยมีในชีวิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราคิดว่าสมควรแล้วเขาต้องทำให้ฉัน คิดอย่างนั้นไหม ทำผิดแล้วก็อายไม่กล้าขอโทษ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญ คำว่า "ขอบคุณ" "ขอโทษ" ต้องหัดพูดให้ (บ่อยๆ)
วันนี้ขอบคุณกี่ครั้งแล้ว ตื่นขึ้นมาแล้ว ยังมีลมหายใจยังมีชีวิต เคยไหมขอบคุณฟ้าดินที่ยังให้โอกาสเรา ได้มีชีวิต มีโอกาสได้แก้ตัวกลับตัวกลับใจ หรือยังให้โอกาสเราดียิ่งๆ ขึ้นไป เราเคยคิดแบบนี้ไหม ตื่นมามีแต่คิดจะเอาอะไรจากคนอื่น ต่อไปเปลี่ยนใหม่ ตื่นขึ้นมาแล้ว ตัวเรายังอยู่ครบไหม ลมหายใจยังมีอยู่ไหม ถ้าร่างกายนี้ยังอยู่ครบ บ้านก็ยังอยู่ต้องรู้จักขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ขอบคุณเจ้ากรรมนายเวรที่วันนี้ยังไม่รีบมาทวงหนี้เรา ยังให้โอกาสเราสร้างสิ่งที่ดีแก้ตัวให้ดียิ่งขึ้น
มนุษย์พอกินอิ่มแล้ว ก็นึกแต่อยากจะได้ของคนอื่น แต่พอท้องหิวก็นึกถึงความดีที่ตัวเองเคยทำกับคนอื่นเป็นอย่างไร ฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วจำคำพูดอาจารย์ไว้ให้ดีๆ นะ จับดูสิตัวอยู่ครบไหม ลมหายใจยังมีอยู่ไหม บ้านยังอยู่ครบไหม (ครบ) ต้องรู้จัก (ขอบคุณ) ขอบคุณใคร (ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ขอบคุณเจ้ากรรมนายเวร) ต้องรู้จักขอบคุณเจ้ากรรมนายเวรเขา ที่วันนี้แม้ศิษย์จะเคยทำเขามามากแค่ไหน แต่วันนี้เขายังไม่เอาคืนตอนเราหลับ ตอนเราเผลอ
มนุษย์น่ากลัวที่สุดไม่ว่าตอนหลับหรือตอนตื่น ก็คิดแต่จะเอาของคนอื่น ถ้าวันหนึ่งเราหลับไปไม่ได้ตื่นเลยก็อย่าไปเคืองแค้น เพราะเมื่อไรที่เรารู้สึกเคืองแค้นผูกใจเจ็บ เรากำลังก่อกรรมก่อเวรโดยไม่รู้ตัว ใครทำอะไรเราจำได้ ใครด่าอะไรเราจำแม่น ใครว่าอะไรเราจำไม่รู้ลืม นี่เรียกว่า"ผูกเวรผูกกรรม" ไม่อยากเจอเขาอีกแต่ทำไมยังจำอยู่อีก ถ้าศิษย์ยังจำก็แปลว่าอยากผูกเวรกับเขาอีก ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นการที่จะไม่ผูกเวรผูกกรรมก็คือ การให้อภัย อภัยแล้วทำไมยังจำ อย่างนี้ไม่เรียกว่าอภัยจริงๆ ฉะนั้นคนที่ให้อภัยอย่างแท้จริงแม้สักนิดก็ไม่คิดจำ แต่คนที่ยังจำไม่รู้ลืมเรียกว่าอภัยแต่ปาก ชีวิตของเราเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งที่ดี หรือเราเกิดมาเพื่อผูกกรรมผูกเวรต่อเล่าศิษย์ สร้างสิ่งที่ดีแล้วดับเวรดับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไหร่คนอื่นทำร้ายเรา ให้อภัยเถอะ เพราะการได้ให้อภัยนั่นคือการได้ชำระหนี้กรรม แต่การไม่ให้อภัยผูกใจเจ็บเรียกว่า "ผูกกรรมต่อ" จำ ไว้นะ ใครทำร้าย ให้อภัยไม่ถือโกรธ แม้เราจะถูกเอาคืนจนหมดตัวก็ตาม รับไหวไหม (ไม่ไหว) ศิษย์บอกว่าไม่ไหว แต่ที่ศิษย์ฟังตั้งแต่เช้าเวลาจะกินปลาทั้งที กินอย่างไรนะ ต้องเป็นปลาที่ยังเป็นๆ อยู่จึงอร่อยหวาน โรยพริกโรยเกลือเข้าไปอีกหน่อย จุ่มน้ำในขณะที่ยังเดือดๆ ศิษย์ทำเขาขนาดนั้น แล้วเวลาเขาเอาคืนกับศิษย์ล่ะ ศิษย์จะมาบอกว่าไม่ได้ได้หรือ เอาเนื้อเขามากินยังไม่พอ กระดูก หนังและเขา ศิษย์ก็เอาเขามาทั้งหมด แล้วขออนุญาตไหม ไม่ขอ แล้วทำเขาตอนไหน พอเขาเผลอทุบหัวมันเลย ถูกไหม (ถูก) เหมือนคนที่เป็นนายพราน ยิงตอนเขาเผลอทำไม อย่างนี้เขาเรียกว่าคนไม่แน่จริง ทำอะไรลับหลัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์ทำเขาแล้วถึงวันหนึ่งเขาทำกับศิษย์ ศิษย์จะบอกว่าฟ้าไม่ยุติธรรม ได้ไหม (ไม่ได้) เราเคยคิดแต่เพียงเราทำดีมากเท่าไหร่ แต่เราเคยคิดไหมเราเลวมากเพียงใด เราไปเอาเขามาเท่าไหร่ แล้ววันนี้เราได้ชดใช้ เราน่าจะดีใจ ไม่ใช่พูดว่าฟ้าไม่ยุติธรรม ถูกไหม (ไม่ถูก) เราทำบุญหนึ่งบาทแต่เราขอมากกว่าหนึ่งบาท มาทำบุญหรือขอบุญกันแน่ แค่เราทำบุญนิดหน่อยจะสามารถชดใช้หนี้กรรมที่ศิษย์สร้างมากมาย ได้ไหม (ไม่ได้) อย่าทำให้ความอยากบางอย่างบดบังพุทธจิตปัญญาเดิมแท้ อย่าทำให้ความอยากทำให้เรากลายเป็นคนหน้ามืดตามัว ปิดบังดวงตาที่แท้จริงนั่นน่าเสียดาย ขึ้นชื่อว่าชีวิตจะหนีความจริงแห่งหลักสัจธรรมพ้นไหม (ไม่พ้น) ศิษย์ไม่สนใจ ศิษย์จะบอกว่าศึกษาธรรมไม่จำเป็นต้องฟังเพราะศิษย์รู้มากแล้ว แต่ถึงเวลาเวรกรรมมาตามทวงศิษย์คิดอะไรออกไหม (คิดไม่ออก) จะบอกว่าให้ปลงก็ปลงไม่ตก จะบอกให้วาง ก็ไม่รู้จะวางอย่างไรแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถึงตอนนี้ศิษย์จะบอกไม่ต้องมีธรรมก็ได้ แต่ความเป็นจริงแห่งสัจธรรมก็จะย้อนกลับมาให้ศิษย์เห็นความเป็นธรรมในตัวเอง สักวันหนึ่ง จริงไหม เหมือนเราอยากตัดขาดจากการนับถือศาสนาพุทธ ตัดขาดจากความเชื่อทั้งหมด แต่สักวันหนึ่งศิษย์ก็จะต้องเห็นความเป็นจริงแห่งสัจธรรมอย่างหนึ่งที่หนี ไม่พ้นคือ คนเกิดมาแล้วต้อง (ตาย) กลับไปสู่ความเป็นสามัญ จะบอกว่าเราไม่เชื่อ แต่ชีวิตทำให้เรามองเห็นธรรมอยู่ทุกๆ วัน แม้เราจะไม่สนใจธรรม ธรรมก็จะคอยย้ำเตือน แม้ไม่รู้ ก็ต้องรู้ เราเห็นคนตายไหม (เห็น) เราเห็นคนเจ็บไหม (เห็น) เราเห็นความไม่เที่ยงไหม (เห็น) ความไม่เที่ยงมีอยู่ทุกวัน แต่ศิษย์ก็ยังหลงประมาทอยู่ทุกวัน เพราะเราคิดว่า "ยังไม่ถึงคิวเราหรอก" แต่พอมาถึงจริงๆ ตอนนั้นจะตัดใจทันไหม (ไม่ทัน) จะปลงได้ทันไหม (ไม่ทัน) ตอนนั้นจะวางทันไหม (ไม่ทัน) เพราะไม่เคยปลงไม่เคยวางเลย ไม่เคยคิดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อจิตกับกายมันแยกกันไม่ได้ ความทุกข์ทรมานก็จึงเกิดขึ้น
ถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่าทุกข์มาจากไหน เกิดขึ้นได้จากอะไร อาศัยอะไรเป็นที่เกิด ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง
ตอบคำว่าจิต หรือตอบคำว่าเกิดจากไหน หรืออาศัยสิ่งใดเป็นที่เกิด
(เกิดจากความไม่พอ) ทุกข์เกิดจากความไม่พอ ทุกข์เกิดจากจิต อะไรอีก
(ทุกข์เกิดจากกิเลส) จากกิเลสตัวไหนล่ะ (กิเลสตัณหา, เกิดจากความโลภ, เกิดจากโทสะความโกรธ, เกิดจากความอยาก, ทุกข์เกิดจากใจอาศัยตัวตนเป็นสถานที่เกิด, เกิดจากจิตวิญญาณของเรา, เกิดจากความอยาก)
อยากรู้เรื่องความทุกข์ไหม เพราะชีวิตนี้หนีไม่พ้นความทุกข์ จะนั่งก็ทุกข์ ยืนก็ทุกข์ เพราะศิษย์ยึดมั่น บางอย่างยึดไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ทุกข์ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ต้องปลง ถ้าแก้ไขได้ก็ต้องรีบแก้ไข อย่ามัวแต่กลุ้มกังวลเสียเวลาเปล่าๆ จำไว้เลยนะ ตื่นเช้ามาอาจารย์บอกไว้ว่ายังไงนะ (ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน) เวลาเขาห้องน้ำเขียนแปะไว้เลย "ปลดทุกข์"ศิษย์ของอาจารย์จะไม่มีวันทุกข์ เพราะเข้าห้องน้ำแล้วศิษย์ก็ปลดทุกข์หมดแล้ว วิธีของอาจารย์แก้ง่ายไหม แก้ง่ายแต่ปลดทุกข์ไม่เคยหมด การปล่อยตามใจตัวเองไม่สามารถทำให้เราปลดทุกข์ได้ บางครั้งต้องรู้จักทวนกระแสของจิตใจ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละคิดว่าปลดทุกข์ได้แล้ว คิดว่าแก้ได้แล้ว แต่ก็ไล่ตามไม่เคยทันสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่าพญามาร ธรรมะสูงหนึ่งศอก มารสูงหนึ่งวา ถ้าจะเอาชนะ ต้องรู้ว่ามารจะหลอกล่อให้ศิษย์ตกหลุมพลางแห่งความทุกข์ไม่จบไม่สิ้น เขาจะไม่มาในแบบน่ากลัว เขาจะมาในแบบน่ารัก เขาจะไม่มาด้วยทุกข์ทันที จะมาด้วยสุขมาก่อน แล้วค่อยทุกข์จนหาทางแก้ไม่เจอ แล้วสิ่งที่เป็นมารที่สุดที่ทำให้เราหลงรักมากที่สุดจนต้องวิ่งตามไปไม่จบ ไม่สิ้นนั่นคืออะไร ก่อนที่เราจะแก้ทุกข์ เราต้องหาตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ให้เจอก่อน เพราะตัวต้นเหตุตัวทุกข์นั่นแหละที่พญามารเอามาล่อเรา ล่อปุ๊บเราก็หลงปั๊บ จำเอาไว้นะ มารไม่เคยเอาตัวน่าเกลียดน่ากลัวมาหลอกเรา แต่เอาตัวที่รักที่สุด ตัวที่เราชอบที่สุด ตัวที่เราหลงง่ายที่สุด และตัวที่เราเชื่อฟังที่สุดมาเป็นมาร แล้วทำให้เราสุขเล็กๆ และทุกข์นานๆ รู้ไหมว่าตัวอะไร
ตัวต้นเหตุที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ นั่นก็คือ "ตัวเราเอง" เราอยากมีเงินเพื่อใคร (เพื่อตัวเราเอง) เราอยากมีเกียรติเพื่อใคร (เพื่อตัวเราเอง) เราสนองตัณหากิเลสเพื่อใคร (เพื่อตัวเราเอง) ถ้าไม่มีตัวเราเอาเงินไปทำไม มีรักไปทำไม ถูกหรือเปล่า (ถูก) ฉะนั้นต้นเหตุที่เป็นปัญหาและเป็นรากของความทุกข์ทั้งมวลคือการมีตัวตน และศิษย์รู้ไหมว่าขึ้นชื่อว่าตัวตนแล้ว เป็นสิ่งที่เรียกว่าอะไรได้อีกบ้างไหม
ขึ้นชื่อว่าตัวตน พอมีตัวตนเราก็อยากบำรุงบำเรอทุกๆ อย่างให้กับตัวเองไม่ว่าจะเป็นกิเลส ตัณหา เงินทอง เพียงเพื่อตัวเราเองได้พบสุขเล็กๆ และแม้จะทุกข์ขนาดไหนก็ไม่หวั่น เวลาศิษย์มองสิ่งใดอย่ามองแค่เพียงเปลือก
ต้นเหตุแห่งการมีตัวตนอีกอย่างของมนุษย์คือ เวลาเรามองอะไรเรามักจะมองแค่เพียงเปลือกนอกแต่เราไม่เคยมองถึงที่สุด ไม่เคยมองให้รอบ มองแค่ด้านเดียว อยากได้เงิน แต่กว่าจะได้เงิน มีทุกข์ขนาดไหนไม่รู้ ศิษย์เคยมองเห็นไหมในตัวตนนี้มีอะไรซ่อนอยู่ มีอย่างแรกที่เราเรียกกันบ่อยๆ คือมายา เปลี่ยนแปลงไม่จบสิ้น จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน
อย่างที่สอง นอกจากจะเป็นมายาแล้ว ควบคุมยากแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ รู้ใจยาก ใช่ไหม (ใช่) ไม่ต้องไปมองคนอื่น ตัวเราเองศิษย์รู้ใจยากไหม (ยาก) ชอบอะไร เกลียดอะไร เห็นไหม ถามตัวเองเกลียดอะไรไม่รู้สิ ชอบอะไรก็ไม่รู้สิ แต่ที่ชอบๆ พอได้บ่อยๆ เริ่มเบื่อแล้ว แม้จะเกลียดแต่ได้เจอบ่อยๆ ก็บอกว่า "ก็ดีเหมือนกันนะอาจารย์" นี่แหละเรียกว่า "ตัวตนของมนุษย์เป็นมายาควบคุมยาก รู้จักยาก" บางครั้งก็ทำตัวหนักเหมือนแผ่นดินเหลือเกิน "เห็นคุณค่าหน่อยสิ มองเห็นกันบ้างไหม" แต่บางทีก็ทำตัวเหมือนลอยๆ "อย่าเห็นฉันเลย" เห็นเหมือนไม่เห็นนั่นแหละดีที่สุด นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ มีอีกอย่างหนึ่งคือ เจ้าเล่ห์ที่สุด หลอกลวงที่สุด แล้วก็น่ารักที่สุด
แต่ถึงที่สุดแล้วที่ศิษย์ต้องมองให้เห็นและต้องมองให้ออกนั่นคือ เป็นแค่รูปและนาม และในรูปในนามนี้ก็มีความไม่เที่ยงอยู่ ศิษย์เคยเห็นไหมว่าการทำงานของความทุกข์จะสำเร็จได้ก็คือ เมื่อตามองใจคิดแล้วก็เริ่มรู้สึกหันตาม เมื่อกายมองเห็น แต่ใจไม่รับรู้ ความทุกข์ก็จะไปไม่ถึง
นี่แหละเราสามารถดับทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อตาเห็น เซ็ง เบื่อ จะกลายเป็นจมอยู่ในความเซ็ง และความเบื่อ เพิ่มไปอีกยิ่งทุกข์ไหม แต่ความหมายของอาจารย์ก็คือ ถ้าตาเห็นแต่ใจไม่รู้สึก ความทุกข์มันจะหยุดอยู่แค่นั้น เขาด่าอย่างไร ก็แค่นั้น สิ่งที่ศิษย์บอกว่าควบคุมยาก สิ่งที่ศิษย์บอกว่าเป็นมายามันกลับทำให้ศิษย์สามารถหยุดทุกข์ได้ เห็นทุกข์ได้ และดับทุกข์ได้ เพียงแค่ศิษย์รู้เท่าทันว่า เมื่อรูปกับนามไม่ประสานกันแล้วก็ไม่มีผลอะไร เหตุก็ไม่สามารถยังผลให้เกิดได้ แก้ง่ายๆ แค่นี้เอง แต่มันมีเรื่องยากขึ้นไปอีก เพราะว่าเราไม่สามารถแยกกายกับใจออกตลอดได้ พอโดนด่าปุ๊บ โกรธทันที ด่าทันที ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้ออกว่าใน ความไม่เที่ยงนั้น มีมายาลวงหลอก มีการควบคุมยาก มีการรู้จักยาก แต่ยังมีอะไรอีกล่ะ มีกายกับใจแยกออกจากกันได้ ศิษย์ต้องมองให้รอบ มองให้รู้ มองให้ชัด แล้วมองให้ถึงที่สุด
นี่แหละเราสามารถดับทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อตาเห็น เซ็ง เบื่อ จะกลายเป็นจมอยู่ในความเซ็ง และความเบื่อ เพิ่มไปอีกยิ่งทุกข์ไหม แต่ความหมายของอาจารย์ก็คือ ถ้าตาเห็นแต่ใจไม่รู้สึก ความทุกข์มันจะหยุดอยู่แค่นั้น เขาด่าอย่างไร ก็แค่นั้น สิ่งที่ศิษย์บอกว่าควบคุมยาก สิ่งที่ศิษย์บอกว่าเป็นมายามันกลับทำให้ศิษย์สามารถหยุดทุกข์ได้ เห็นทุกข์ได้ และดับทุกข์ได้ เพียงแค่ศิษย์รู้เท่าทันว่า เมื่อรูปกับนามไม่ประสานกันแล้วก็ไม่มีผลอะไร เหตุก็ไม่สามารถยังผลให้เกิดได้ แก้ง่ายๆ แค่นี้เอง แต่มันมีเรื่องยากขึ้นไปอีก เพราะว่าเราไม่สามารถแยกกายกับใจออกตลอดได้ พอโดนด่าปุ๊บ โกรธทันที ด่าทันที ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้ออกว่าใน ความไม่เที่ยงนั้น มีมายาลวงหลอก มีการควบคุมยาก มีการรู้จักยาก แต่ยังมีอะไรอีกล่ะ มีกายกับใจแยกออกจากกันได้ ศิษย์ต้องมองให้รอบ มองให้รู้ มองให้ชัด แล้วมองให้ถึงที่สุด
ในสิ่งร้ายก็มีสิ่งดี ในสิ่งดีก็มีสิ่งร้าย ถ้าเรารู้จักคิดได้ไม่ว่าร้ายหรือดีมันก็มีค่าเท่าๆ กัน อยู่ที่หัวใจเราให้น้ำหนักสิ่งใดมากกว่ากัน
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่นั่งฟังธรรมแล้วพัดลมตกใส่แขน)
พัดลมหนักไหม ไม่เป็นไรแขนเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บนี่หรือเจ็บแขนด้วยเจ็บใจด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่าโง่สองต่อ พัดลมมันทำแค่แขน
อย่าไปเจ็บที่ใจ
อย่าไปเจ็บที่ใจ
พอเห็นคร่าวๆ บ้างหรือยัง ทุกข์เกิดจากการรับรู้ยึดมั่นในตัวตนจึงทำให้เกิดทุกข์ อาจารย์จะบอกทุกข์ที่ลึกลงไปอีก ว่ามาจากไหนแล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร
ศิษย์โดยส่วนใหญ่จะบอกว่า การจะเข้าถึงความพ้นทุกข์เป็นเรื่องยากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์บอกว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย ทำได้อยู่ทุกขณะจิตด้วยซ้ำไป ใช่หรือไม่ ขอเพียงรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่ทุกขณะ ถ้าศิษย์สามารถรู้เห็นอยู่เนืองๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นกับจิตกับตัวตน ศิษย์จะสามารถดับหนทางแห่งความทุกข์ได้ แล้วเราจะเข้าไปถึงได้อย่างไร เข้าไปที่ไหน ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็คือการมีตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) และทำให้ทุกข์ได้อย่างไร ก็ไม่ยาก
ทุกข์เกิดได้ตอนไหน ทุกข์เกิดได้ตอนที่ตามองเห็น ตัวถูกกระทบ หูได้ยินนี่แหละ กระบวนการแห่งความทุกข์ของมนุษย์จะเกิดเสร็จสรรพโดยทันทีถ้าไม่เคย สังเกต สมมุติว่าตาเรามองเห็นใครสักคนหนึ่ง เห็นปุ๊บเรารู้สึกอย่างไร เห็นปุ๊บความรู้สึกเราเกิดว่าอ้วนผอม "ฉันจะไม่อ้วนแบบนี้เด็ดขาดเลย ฉันจะไม่ดำแบบนี้ด้วย" ใช่ไหม (ใช่) แล้วก็รู้สึกชอบไม่ชอบ "แบบนี้ฉันจะไม่เอา" นี่แหละความทุกข์เกิดเสร็จสรรพเลย เป็นทุกข์ทันทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้ศิษย์มองไม่ออก โดยส่วนใหญ่พออายตนะสัมผัสปุ๊บ จิตใจความรู้สึกอารมณ์อะไรต่างๆ ออกมาเป็นความทุกข์ทันที หรือที่เรียกง่ายๆ ก็คือ เมื่ออายตนะภายในสัมผัสกับอายตนะภายนอก ก็จะเกิดเป็นผัสสะ ผัสสะเกิดเป็นเวทนา เวทนาเกิดเป็นตัณหา ตัณหาเกิดเป็นอุปทาน อุปทานเกิดเป็นภพ ภพเกิดเป็นชาติ แล้วก็เวียนกลับมาเป็นวัฎฎะใหม่ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าอะไรเรียกว่าตัณหา อะไรเรียกว่าภพ อะไรเรียกว่าชาติ และพอถึงที่สุดมีคำว่าชาติขึ้นมา ก็คือความทุกข์ แล้วเราจะหยุดทุกข์ได้อย่างไร
หมายเหตุเพิ่มเติม หลักธรรมที่พระอาจารย์จี้กงเมตตาชี้แนะ
อายตนะภายนอก เครื่องต่อภายนอก, สิ่งที่ถูกรู้มี ๖ คือ
๑. รูป (รูป) ๒. สัททะ (เสียง) ๓. คันธะ (กลิ่น) ๔. รส (รส) ๕. โผฏฐัพพะ (สิ่งต้องกาย) ๖. ธัมมะ (ธรรมารมณ์ คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจหรือสิ่งที่ใจรู้)
๑. รูป (รูป) ๒. สัททะ (เสียง) ๓. คันธะ (กลิ่น) ๔. รส (รส) ๕. โผฏฐัพพะ (สิ่งต้องกาย) ๖. ธัมมะ (ธรรมารมณ์ คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจหรือสิ่งที่ใจรู้)
อายตนะภายใน เครื่องต่อภายใน, เครื่องรับรู้มี ๖ คือ
๑. จักขุ (ตา) ๒. โสต (หู) ๓. ฆาน (จมูก) ๔. ชิวหา (ลิ้น) ๕. กาย (กาย) ๖. มโน (ใจ)
๑. จักขุ (ตา) ๒. โสต (หู) ๓. ฆาน (จมูก) ๔. ชิวหา (ลิ้น) ๕. กาย (กาย) ๖. มโน (ใจ)
อาจารย์ก็นับถือพุทธเหมือนกัน จะไม่ให้พูดหลักธรรมเลยก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) แต่พอพูดหลักธรรมไปศิษย์ไม่รู้เรื่องแล้ว อย่างนั้นอาจารย์อธิบายง่ายๆ พอเราเห็น เห็นทันทีแล้วก็จบแค่นั้น ทุกข์จบตั้งแต่ตรงนี้ ถ้าเห็นแล้วเรายังรู้จักว่า ดี, ไม่ดี, ชอบ, ไม่ชอบ" รู้สึกสวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ แค่นั้นได้ไหม อันแรกเป็นแค่ผัสสะ พอเป็นชอบไม่ชอบ เรียกว่าเวทนา สุขหรือทุกข์หรือเฉยๆ เรียกว่าเวทนา ถ้าเราหยุดแค่เวทนาจบได้ ทุกข์ก็ไม่เกิดได้ แต่เมื่อไรที่มีตัวมีตนนั่นแหละเรียกว่าตัณหา ทุกข์เกิดทันที "ฉันไม่เอา ฉันไม่เป็น ฉันไม่ยึด ฉันไม่เอา"
เมื่อยึด ก็คือ อุปทาน
เมื่อมี เมื่อเป็นก็คือ ภพ
เมื่อเกิดตัวตนสมบูรณ์แบบ ก็คือ ชาติ
เมื่อครบเบ็ดเสร็จ ก็เรียกว่า ทุกข์แน่ๆ
ฉะนั้นถ้ามีคนมาตีเรา "โกรธ มันตีฉันๆ " เห็นไหมว่า ตัณหาเกิด เวทนาเกิด ภพเกิด ชาติเกิด ทุกข์เกิด ถ้าสมมติว่าเขาตี ก็จบที่เขาตี ถ้าศิษย์เก็บไว้ศิษย์ก็ผูกเวรก็ก่อกรรมต่อ ผูกเวรแล้วมีการกระทำโต้กลับไปด้วย นี้คือก่อเวรก่อกรรมไม่จบ เพราะมนุษย์ง่ายที่จะมีอารมณ์พลุ่งพล่าน และยึดมั่นถือมั่น ตัวตน ตัวเขา เขาทำฉัน เมื่อยึดมั่นถือมั่นพลุ่งพล่านตามอารมณ์ความทุกข์ก็เกิดแน่ แต่ถ้าเราหยุดแค่เพียงแค่นั้น หายก็หายไป
ก็แค่นั้น ตัวตนนี่เป็น ตัวตนแห่งความเปลี่ยนแปลง เพราะถึงที่สุดก็คือความว่าง กายนี่คือความว่าง ใจนี้คือความไม่มี แต่เรายึดมั่นถือมั่นให้มันมี เมื่อมีที่ทุกข์ให้เกิด ทุกข์ก็อิงแอบและอาศัยอยู่เรื่อยไป
ก็แค่นั้น ตัวตนนี่เป็น ตัวตนแห่งความเปลี่ยนแปลง เพราะถึงที่สุดก็คือความว่าง กายนี่คือความว่าง ใจนี้คือความไม่มี แต่เรายึดมั่นถือมั่นให้มันมี เมื่อมีที่ทุกข์ให้เกิด ทุกข์ก็อิงแอบและอาศัยอยู่เรื่อยไป
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าวันหนึ่งศิษย์หาของได้ชิ้นหนึ่ง แต่พอหาไป อยากได้ไหม เมื่อวานเซียนน้อยก็บอกไม่ใช่หรือ การหาอะไรได้อย่างหนึ่งคือความภาคภูมิใจ คือความสำเร็จ คือชีวิต และก็คือการทอดทิ้งหรือสูญเสียคนที่เคยรักไปด้วย
มนุษย์มักจะยึดมั่นอยู่กับการได้ครอบครอง แต่ไม่ค่อยช่วงใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ศิษย์อย่าลืมนะ ขึ้นชื่อว่าสังขาร ขึ้นชื่อว่ารูปนาม ย่อมมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น ศิษย์บอกว่า "ลางสาดกินไม่ลงมันเพิ่งได้มาใหม่ๆ สดๆ เป็นความภูมิใจ เป็นเรี่ยวแรงของศิษย์เลยนะ" "ขอวางไว้ก่อนให้ภูมิใจ ชื่นใจ สักสองสามวันเดี๋ยวค่อยมากิน" แต่ศิษย์อย่าลืมนะว่า ในความภาคภูมิใจนี้ ในความหวังอันนี้ มันมีสังขารที่ซ่อนอยู่ สังขารคือ อำนาจแห่งการปรุงแต่งสรรพสิ่งให้เปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่ง มีอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ ว่าจะเป็นตัวเราที่เรียกว่าสังขาร ก็มีอำนาจแห่งการปรุงแต่งที่เปลี่ยนไปไม่หยุดนิ่ง แม้แต่ลางสาดนี้ ก็มีอำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ศิษย์ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไหม ถ้าลูกเดินผ่านมาคิดว่า "น่ากินเด็ดไปสักสองสามลูก แม่คงไม่รู้ ของใครก็ไม่รู้" ผ่านไปสองวัน ถ้าลูกไม่บอกเราไม่รู้ว่าลางสาดหายไปไหน หัวใจฉันรู้สึกว่าแหว่งไปแล้ว จริงไหม (จริง) แล้วถ้าวันหนึ่งสามีมายกไปทั้งพวงเลย เราบอกว่า "อาจารย์ หมดแล้วมันหมดแล้ว"
แต่ถ้าศิษย์เห็นเราก็บอกตัวเองว่า "มันก็เป็นเช่นนั้น มันมาเดี๋ยวมันก็ไป" แต่เรามักจะห้ามใจเราไม่ทัน เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นกับทุกสิ่งที่เราได้ครอบครอง ทุกสิ่งที่เรียกว่าของเรา แหว่งไปนิดก็ไม่ได้ หายไปสักหน่อยก็รู้สึกว่าสูญเสียไม่เหลือเลย เหมือนตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ลองกองนี้ก็เหมือนกับตัวเรานี่แหละ เหมือนกับใจเรานั่นแหละ ที่พอได้ครอบครองอะไรแล้ว แหว่งไม่ได้นะอาจารย์ หายไม่ได้นะอาจารย์ มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ขึ้นชื่อว่าสังขาร มีอำนาจแห่งการปรุงแต่งที่เปลี่ยนแปลงไม่จบสิ้น ถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์จะไม่ทุกข์มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองในทุกๆ สิ่ง
พอจะดับทุกข์ได้หรือยัง อย่าให้มันลากเราลงไปตกต่ำเลย ศิษย์เคยมองไหมว่ามีใครบ้างในโลกที่ไม่สูญเสีย (ไม่มี) ฉะนั้นวันนี้เราจะสูญเสียก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เขาเรียกว่าเสียภายนอกได้ แต่อย่าให้ใจนั้นต้องเสียเพิ่มไปด้วยเลย ศิษย์ต้องมองให้ออก ถ้ามองไม่ออก ศิษย์ก็ปลดทุกข์ไม่ได้เสียที
กินแล้วไม่ถ่ายจะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์เอยจำไว้ว่ามีทุกข์มากๆ ให้ปลดมันออก ถ้าปลดไม่ออก เราก็ตายทั้งเป็น ถ้ามีทุกข์มากๆ เขียนแปะไว้เลยตรงหน้าห้องน้ำ "ฉันจะปลดทุกข์"
ส่วนใหญ่จะเรียนรู้แต่เพียงการมีศีลมีธรรม เกิดมาทำบุญเยอะๆ นี่เป็นการศึกษาธรรมขั้นพื้นฐานเอง เพื่อยังโลกให้สงบสุข แต่ถามว่าดับทุกข์ได้หมดไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์หวังว่าเกิดมาก็ขอให้เกิดแต่สิ่งที่ดี แต่พุทธะจะบอกว่าเกิดแต่สิ่งที่ดีก็ยังไม่พ้นทุกข์นะ อยากจะพ้นทุกข์ก็คือ ชั่วไม่เอา ดีไม่ยึด เพราะไม่ว่าจะเกิดมาเป็นคนดีหรือคนชั่วก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ฉะนั้นแม้แต่การเกิดก็ไม่ต้องการแล้ว นั่นแหละสามารถพ้นทุกข์ได้ แปลว่าอะไรล่ะ เกิดก็ไม่เอา แปลว่าแม้จะมีชีวิตอยู่ แต่จิตแห่งการเกิดนั้นน้อยลงทุกวัน เพราะมีความเกิด เราจึงเกิดความทุกข์ไม่จบสิ้น
ถ้ามนุษย์รู้จักพอเพียงบ้าง จะทำให้สรรพสิ่งนั้นมีคุณค่าทันที อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราแสวงหามากๆ ยิ่งมีมาก ก็ยิ่ง (ทุกข์) คนที่มีของเต็มบ้าน มีเงินมากๆ ศิษย์ว่าเขามีความสุขไหม (ไม่มี) แล้วศิษย์ยังหาไหม (หา) คนที่มีเงินร่ำรวยมหาศาลกับพระพุทธะ หรืออาจารย์จี้กงหรือพระพุทธองค์ที่ศิษย์นับถือ ท่านมีแค่บาตรกับจีวร ใครสงบกว่ากัน (บาตรกับจีวร) ใครสุขกว่ากัน คนที่มีแค่บาตรกับจีวรเท่านั้น แล้วศิษย์เคยเห็นไหมยิ่งมีมากแต่คุณค่ากลับยิ่งลด แต่ยิ่งมีน้อยคุณค่ากลับยิ่ง (มาก) สังเกตไหมมีน้อยๆ เราจะรู้สึกว่าสิ่งนี้อย่างเดียวแต่สามารถสร้างคุณค่าให้เราได้หลายอย่าง แต่พอเรามีมากๆ เรากลับรู้สึก สิ่งนี้ก็ไม่เห็นสำคัญ สิ่งนั้นก็ไม่เห็นสำคัญ
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่าถ้ามนุษย์รู้จักจำกัดสิ่งที่เก็บ เราจะสามารถมีชีวิตที่รอบครอบ ลดการแสวงหา ของทุกอย่างที่มีก็จะมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น แต่มนุษย์กลับตรงข้าม แสวงหาไม่จบสิ้น "มันเต็มไปหมดเลยอาจารย์ นี้ก็สำคัญ นั่นก็สำคัญ" แต่พอถึงเวลา ก็โละๆ มันไปเถอะ ฉะนั้นจงรู้จักจำกัดการเก็บ แล้วเราจะสามารถมีชีวิตอย่างรอบคอบ ลดการแสวงหาแล้วทุกๆ สิ่งจะเพิ่มคุณค่าโดยไม่รู้ตัว
เราจะเอาอะไรไปช่วยให้เราสามารถดับทุกข์ได้ (ความสงบ) จะสงบได้ต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ได้ไหม (ได้)
(ทำใจเราให้เฉยๆ, ทำใจเย็นๆ เหมือนพระพุทธะ)
(ใช้น้ำ, ใช้ความใจเย็นลูบความใจร้อน, ให้รู้จักพอ) พอนี้ใช้ดับอะไร พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แม้เขาจะทำได้แค่นี้ก็พอ แม้ลูกจะเป็นได้แค่นี้ก็พอใจเถอะ ใช่ไหม
อะไรที่จะช่วยดับทุกข์ในใจเราได้ (รู้จักปล่อยวาง, ทำใจให้สงบไม่ว้าวุ่น, ให้มีสติ, อดทนอดกลั้น, ละโลภ โกรธ หลง)
มาฟังธรรมะยากไหม (ยาก) ยากที่ ทำหรือยากที่ใจ (ยากที่จะทำ) ยากที่ทำแล้วก็ยากที่ใจไม่ยอมเปิดให้กว้างสักที ถ้าเรารู้จักเปิดกว้างรับสรรพสิ่ง เราก็คงยอมรับได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้ายก็ตาม
(ใช้ทุกข์ดับทุกข์, รู้จักความพอเพียง, แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว) หัดคิดให้ได้อย่างนี้นะ ไม่ว่ากับลูก ไม่ว่ากับสามี ไม่ว่ากับเงินทอง หรือแม้กระทั่งเวลาเราเจ็บป่วย ป่วยแค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม มีใครจะตอบได้อีก
(ไม่ยึดติด) เราจะแก้ทุกข์ได้อย่างไร (รู้จักหักห้ามใจ) ตอบได้ดีปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เล่นหักห้ามได้หรือยัง (ได้ครับ)
(พอใจกับสิ่งที่ได้) ขอเพียงขยันชีวิตก็ไม่ลำบากนะศิษย์นะ มีตั้งมากมายที่เป็นสาเหตุของความทุกข์ เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร
(พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี) แต่ว่า (ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง) รู้จักปล่อยวางบ้าง (อุเบกขา, ปล่อยวาง)
เราจะปลดทุกข์จากใจได้ด้วยการคิดอย่างไร (ที่มีอยู่เราควรพอแล้ว) แล้วตอนนี้พอบ้างหรือยัง (ทำจิตให้สงบ) ทำจิตให้สงบอย่าคิดเปรียบเทียบ พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ใช่หรือไม่
ทำอย่างไรล่ะที่จะดับทุกข์เราได้ ศีล สมาธิ ปัญญาใช้ตอนไหน ถ้าอยากดับทุกข์ได้ก็เริ่มต้นด้วยศีลก่อน สิ่งที่คิด สิ่งที่พูด สิ่งที่ทำถูกต้องกับศีลไหม ถ้าไม่ถูกต้องกับศีลเราอย่าทำ นี่แหละคือดับทุกข์ได้
(ใช้สติปัญญา) ตอบได้ดี สติทำให้เรารู้จักยั้งคิดในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้าทำอะไรโดยขาดสติก็ง่ายที่จะผิดพลาด
วันนี้ศิษย์มาศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อจะมีเงินมีทอง แต่เพื่อหาทางดับทุกข์ มีโอกาสนำสิ่งที่เรารู้ไปช่วยคนอื่นให้เขาได้พ้นทุกข์เฉกเช่นเดียวกัน แม้ตัวเองยังไม่พ้นทุกข์แต่ก็ยังมีใจอยากช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ นี่เรียกว่า "จิตแห่งโพธิสัตว์" อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะทำได้อย่างนั้น แม้ตัวเองยังไม่พ้นทุกข์แต่มีใจอยากช่วยให้คนอื่นได้พ้นทุกข์ ถึงคนอื่นจะพ้นทุกข์ก่อนเราก็เป็นเรื่องประเสริฐแล้ว ห่วงตัวเองให้น้อยๆ ห่วงผู้อื่นให้มากๆ เพราะมีตัวมีตนจึงมีต้นเหตุแห่งความทุกข์
วันนี้อาจารย์ ให้คำว่า "พลังจิต" มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ ศิษย์เคยได้ยินไหม ขอเพียงเขามีความมุ่งมั่นจนถึงที่สุด แน่วแน่เป็นหนึ่ง ไม่โลเลหวั่นไหวไม่ว่าน้ำไม่ว่าไฟเขาก็สามารถลุยไปได้โดยไม่หวั่นกลัว จิตใจที่ศรัทธาเป็นหนึ่งเดียวนี้ ย่อมสามารถสะท้อนสะเทือนฟ้าเบื้องบน และดลจิตเทพผีให้รู้จักคุ้มครองเขาได้ นี่คือพลังแห่งจิตใจ
ถ้ามุ่งมั่นศรัทธาทำสิ่งใดด้วยจิตใจที่เป็นหนึ่งแล้ว น้ำไฟเขาก็ไม่หวาดหวั่น ย่อมสามารถดลใจฟ้าดินให้สะเทือนเลื่อนลั่นได้ด้วยพลังแห่งจิต และอาจารย์ก็หวังว่าถ้าศิษย์มุ่งมั่นจะทำสิ่งใดขอให้ตั้งให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่โลเลไม่หวั่นไหว มุ่งไปให้ถึงที่สุดเพื่อช่วยเหลือคน แม้ตัวเองจะทุกข์ แม้ตัวเองจะเจ็บปวดก็ไม่หวั่นกลัว จิตนั้นนั่นล่ะสามารถสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ให้แม้กระทั่งเทพผีก็ยังอยากจะดลใจทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะจิตเขายิ่งใหญ่ และอาจารย์ก็เชื่อว่าจิตของศิษย์ทุกคนก็สามารถไปถึงได้ ขอเพียงศรัทธามุ่งมั่นไม่คลอนแคลนเป็นหนึ่งเดียว ศิษย์ย่อมสามารถสื่อให้ฟ้าเบื้องบนคล้อยตามในสิ่งที่ศิษย์อยากได้ แต่กลัวอย่างเดียวใจของศิษย์หวั่นไหวไม่แน่นอน ห่วงแต่ตนจนไม่ห่วงใคร ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าพลังจิตมีทั้งสองสิ่ง คือสร้างสรรค์กับทำลาย คิดดีก็นำสิ่งที่ดีมาให้ คิดไม่ดีก็ย่อมนำสิ่งที่ไม่ดีมาสู่
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "พลังจิต")
"ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันจะหมด ใจสดสดมีพลังลุกขึ้นสู้"
แปลว่า ใจที่มีความใหม่มีความกระตือรือร้นจะทำอะไรอยู่เสมอ
"ตั้งสติแรงจากฟ้าจะไหลสู่ ยากไม่รู้รู้แต่ก้าวได้เรื่อยไป"
ฉะนั้นถ้าศิษย์มุ่งมั่นแล้วฟ้าจะมอบพลังให้ไม่จำกัด ดินจะหนุนนำส่งให้สิ่งที่ศิษย์ต้องการปรารถนาไปได้สำเร็จ ขอเพียงการกระทำนั้นเป็นการกระทำเพื่อผู้อื่น อยากหนุนช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์ มีหรือฟ้าจะไม่ดลใจเป็นไปตามสิ่งที่ศิษย์ต้องการ กลัวแต่ศิษย์จะเห็นแก่ตัวจนลืมช่วยใครเท่านั้นเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่ อ.บรรพตพิสัย
จ.นครสวรรค์)
จ.นครสวรรค์)
อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมของท่านเห็นว่ามีสถานธรรมที่หนึ่งที่ใกล้จะสร้างเสร็จ แล้วอยากจะให้อาจารย์รีบให้ชื่อ เพราะถ้าสร้างเสร็จจะได้มีชื่อติดอยู่ตรงห้องพระ “อิ๋งเสียน” (迎賢佛堂) อาจารย์ฝากไปบอกเขาด้วยนะ ขอให้เขาประสานกลมกลืนให้เป็นหนึ่ง อยู่ร่วมกันเป็นธรรมดาต้องมีกระทบกระทั่งกัน ไม่พอใจกัน แต่ขอให้อดทนอดกลั้น เป้าหมายหนึ่งเดียวของเขาคืออะไรขอให้ไปให้ถึง อย่าให้ตัวไปถึงแต่ใจพ่ายแพ้ ไปให้ทั้งตัวและใจอาจารย์รอหนุนเขาอยู่นะ ฝากบอกเขาด้วย เอาลูกอมไปฝากเขาสักห่อหนึ่งละกันนะ
งานธรรมะหวังรอคอยศิษย์ทุกคนไปช่วยกัน ไปช่วยคนที่ยังไม่รู้ให้เขาได้ตื่นรู้ ตอนนี้ศิษย์ได้รู้แล้ว มีโอกาสก็เอาสิ่งที่รู้ไปช่วยคนบ้างได้ไหม ไม่ยากใช่ไหม (ใช่) ทำบุญเยอะๆ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเยอะๆ เข้าใจไหม ศิษย์มีรากบุญนะ จงรักษารากบุญด้วยการหมั่นทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม น่าเสียดายนะที่ความรู้ความสามารถมีแล้วไม่รู้จักเอาไปช่วยคนอื่น มัวแต่ห่วงตัวเอง ใช่ไหม
อาจารย์ดีใจที่ศิษย์กลับมาฟังจนจบอยู่จนครบ ที่เหลืออยู่ช่วยอาจารย์ต่อ เอาธรรมะที่ศิษย์รู้นี้ไปช่วยคน ได้ไหม อย่าขาวเพียงข้างนอกต้องขาวให้ถึงข้างใน อย่างามเพียงข้างนอกต้องงามให้ถึงจิตใจ และจิตใจที่งามคือจิตใจที่ไม่ห่วงแต่ตัวเอง แต่รู้จักห่วงผู้อื่น
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ศิษย์เป็นคนเก่งแต่เสียอย่างเดียวหัวแข็งและดื้อ ไม่ค่อยฟังใครง่ายๆ อย่างนี้ต่อไปนี้จะฟังอาจารย์บ้างได้ไหม รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและเมตตาคนเยอะๆ นะ อาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์งมงายนะ ถ้าทำถึงที่สุด สุดท้ายก็แล้วแต่เราแล้วใช่ไหม
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์งมงาย ความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดก็คือความคิดที่เกิดจากตัวเราเอง ที่ไม่รู้จักปลง ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผิดๆ เมื่อตั้งปณิธานแล้วต้องเชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ ถ้าเจออุปสรรคต้องไม่หวั่นไหว ถึงจะเจอโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ยอมแพ้ นี่ถึงจะเรียกว่า สู้จนหมดลมหายใจสุดท้ายนะ ศิษย์ต้องเข้มแข็งสิ ถ้าศิษย์ไม่เข้มแข็งใครจะช่วยศิษย์ได้ ใช่ไหม อาจารย์เพียงให้กำลังใจและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ส่วนคนที่จะเดินไปให้ถึงสิ่งที่อาจารย์พูดและทำให้ได้ ก็คือตัวศิษย์เอง
ชีวิตนี้มีทุกข์มากมาย ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ทุกข์จากความเจ็บปวด ทุกข์จากการพลัดพราก ทุกข์จากการสูญเสีย แล้วก็ทุกข์อีกมากมายแต่เราจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่รู้จักวางใจตัวเองให้เป็น ฟังอาจารย์ตั้งมากมาย ขอให้มีปัญญารับมือกับเรื่องราวในโลกนี้ให้ได้ อย่าคิดอะไรโง่ๆ นะศิษย์ ชีวิตมีเพื่อปล่อยวาง สังขารมีเพื่อให้ปลง มิใช่ให้ยึดมั่นถือมั่น ความเจ็บป่วยมาเพื่อให้เรารู้จักปล่อยวางนะ เพราะถึงที่สุดแล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากคุณงามความดี ถ้าศิษย์ไม่รีบทำตอนนี้ ความทุกข์มาจ่ออยู่ตรงหน้า ศิษย์จะทำอย่างไร ศิษย์จะบอกไว้ค่อยทำทีหลัง แล้วเมื่อไหร่จะทำได้ล่ะ ใช่ไหม ช่วยอาจารย์แล้วไปให้ถึงที่สุดนะ
ปณิธานยิ่งใหญ่เริ่มต้นด้วยการกล้าลงมือทำ สิ่งใดที่ไม่ดีจงเลิกกระทำ อย่ามัวดื้อดึง เอาแต่ใจตัวเอง แก่แล้วไม่น่ารักแล้วนะ อะไรไม่ดีก็จงเลิกทำ อะไรที่ดีแล้วทำให้คนมีความสุขก็ควรจะทำ อย่าเห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าจนลืมคุณธรรมความเป็นคน ไม่อย่างนั้นก็น่าเสียดาย เริ่มต้นแล้วต้องทำให้ถึงที่สุดนะ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อตนเองนะ เภทภัยข้างนอกไม่น่ากลัวเท่ากับเภทภัยที่เกิดจากจิตใจของศิษย์เอง
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พลังจิต”
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พลังจิต”
ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันจะหมด ใจสดสดมีพลังลุกขึ้นสู้
ตั้งสติแรงจากฟ้าจะไหลสู่ ยากไม่รู้รู้แต่ก้าวได้เรื่อยไป
แก้ไขพระโอวาท
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงธรรมที่เมตตาประทานให้ไว้ที่สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี วันที่ ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
หน้าที่๑๙
เดิม ไม่อยากไม่แย้งเป็นภัย
แก้ไขเป็น ไม่ยากไม่แย้งเป็นภัย
พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมเรื่องการสร้างสถานธรรมที่ อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ประทานชื่อสถานธรรมว่า อิ๋งเสียน (迎賢佛堂)
รู้แล้วๆ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมของท่านเห็นว่ามีสถานธรรมที่หนึ่งที่ใกล้จะสร้างเสร็จ แล้วอยากจะให้อาจารย์รีบให้ชื่อ เพราะถ้าสร้างเสร็จจะได้มีชื่อติดอยู่ตรงห้องพระ อิ๋งอะไรดี อิ๋งเสียน (迎賢佛堂) อาจารย์ฝากไปบอกเขาด้วยนะ ขอให้เขาประสานกลมกลืนให้เป็นหนึ่ง อยู่ร่วมกันเป็นธรรมดาต้องมีกระทบกระทั่งกัน ไม่พอใจกัน แต่ขอให้อดทนอดกลั้น เป้าหมายหนึ่งเดียวของเขาคืออะไรขอให้ไปให้ถึง อย่าให้ตัวไปถึงแต่ใจพ่ายแพ้ ไปให้ทั้งตัวและใจอาจารย์รอหนุนเขาอยู่นะ ฝากบอกเขาด้วย เอาลูกอมไปฝากเขาสักห่อหนึ่งละกันนะ
* * * * *
อย่าร้องไห้ สร้างสถานธรรมแต่ละแห่ง อาจารย์เห็นก็ดีใจ แต่บางครั้งอาจารย์ก็เศร้าใจ เพราะเห็นสถานธรรมปูทางด้วยน้ำตา ไม่มีศิษย์คนไหนที่สร้างสถานธรรมแล้วไม่หลั่งน้ำตาสักคน พออาจารย์ได้ยินว่าศิษย์จะสร้างสถานธรรม อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี แต่เราบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไรล่ะ (เพื่อหลุดพ้น)
ถ้าศิษย์อยากหลุดพ้น ศิษย์ก็ต้องลืมตัวตนให้ได้ แต่ละคนย่อมมีนิสัยแตกต่างกันออกไป ยิ่งอยู่ร่วมกัน การขัดกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ประสานกันได้ เหมือนที่ศิษย์ตั้งใจตั้งแต่ต้น ไม่ใช่อยู่กันไปอยู่กันมาเริ่มแตกร้าว เริ่มเจ็บปวด เริ่มมีน้ำตา
สถานธรรมแม้จะเกิดมีเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ถ้าหัวใจศิษย์แตกร้าวแล้ว อาจารย์ก็พูดไม่ถูก เพราะอาจารย์ก็หวังอยากจะให้มีที่นี่เพื่อเป็นที่รวมใจของศิษย์ทุกคน แต่ถ้ามีแล้วทำให้ใจศิษย์แตกร้าว อาจารย์ก็พูดไม่ออก
ศิษย์ต้องอดทน ให้อภัยกัน ถนอมน้ำใจกันนะ อย่ายึดมั่นถือมั่นความคิดตนจนกลายเป็นไม่ฟังใคร เหนื่อยทุกคน ไม่มีใครไม่เหนื่อย เหนื่อยคนละแบบ แต่ถ้าเห็นใจตัวเองมาก ศิษย์จะเห็นใจคนอื่นได้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเข้าข้างแต่ตัวเองมากศิษย์จะไม่มีทางฟังใครรู้เรื่องเพราะเห็นแต่ตัวเอง เข้าข้างตัวเอง
จำไว้นะ เป็นศิษย์ของอาจารย์ ผิดได้ กล้ารับผิดไปเลย แต่ไม่ต้องให้เหตุผล คนที่ยังมีเหตุผลอ้างคือคนที่ยังไม่ยอมรับผิด แล้วถ้าศิษย์แก้ตัว ศิษย์ก็ไม่มีวันได้ละลายกรรมอะไรเลย เข้าใจไหม อดทนและไปให้ถึงนะ ปาดน้ำตาแล้ว เข้มแข็งให้ได้ เข้าใจไหม
(ศิษย์ผิดเองที่ไม่กล้าที่จะชี้แนะ) ไม่เป็นไรไม่ใช่ความผิดของใคร ถ้าจะผิดที่สุด ก็คือผิดที่อาจารย์สอนศิษย์ไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่) ผิดที่อาจารย์ทำให้ศิษย์ต้องเหนื่อย ใช่ไหม (ไม่ใช่) งั้นมุ่งมั่นปณิธานไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์นะ (ค่ะ) ให้ธรรมะในตัวเองไปให้ถึงฝั่ง ธรรมะที่ไม่มีตัวตน ธรรมะที่ทำเพื่อผู้คนนะศิษย์นะ ไปให้ถึงนะ