แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เมตตา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เมตตา แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541

2541-11-21 พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง



PDF 2541-11-21-เหยินเต๋อ #24.pdf

#หนันไห่กู่ฝอ  #ความเมตตา  #จิต  #สายทอง  #ช่วยคนช่วยตน  #เมตตาปัญญากล้าหาญ  





วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

จิตมนุษย์เนรมิตมิหยุดหย่อน มิอาจผ่อนเหล่ากิเลสอันรายล้อม

ทั้งชีวิตคอยดิ้นรนมิยินยอม ใช้กายปลอมแสวงหากรรมตามมา

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮา ฮา



ในจิตใจเฝ้ากังขาบ้างหรือไม่ เปิดออกให้ความมงคลวิ่งสู่จิต

อย่าทำบาปเพราะชอบใช้เหล่าความคิด อันความผิดเกิดจากคิดสู่กระทำ

ควบคุมใจแห่งมนุษย์อันดำขาว ชีพนี้เบาร้อยปีผ่านสู่หนไหน

ยามทำผิดมีหรือไม่ใจละอาย หากตั้งใจเป็นพุทธะพินิจตน

เริ่มตั้งแต่วันนี้ไม่มีสาย บางคนใช้เวลานานมรรคขาดผล

ไม่มีใครสามารถแก้เราได้หมด มีแต่ตนจึงแก้ตนได้ผลดี

ในครานี้มาประชุมซึ่งธรรมา เป็นฤกษ์ดีจิตสง่าเดินทางแท้

ในวันนี้จึงต้องคิดผิดจะแก้ ฝ่าปรวนแปรด้วยหันหน้าสู้ความจริง

เวียนว่ายมากี่ภพชาติแล้วรู้ไหม ชาตินี้ใช้ความอดทนอันที่สุด

เพื่อบำเพ็ญตนควานหาซึ่งวิมุตติ๑ ดิ้นให้หลุดจากกิเลสพันธนาการ

หน้าเดิมแท้แห่งพุทธะย่อมปรากฏ ผู้รู้ลดละอัตตาจึงก้าวหน้า

รู้ว่ายไปทวนกระแสเช่นฝูงปลา จะเกี่ยวกล้าต้องใช้เคียวโดยมั่นคง

ในวันนี้น้องชายหญิงมีบุญนัก ขอตระหนักเมื่อโอกาสมาตรงหน้า

ขอรู้ใช้ชีวิตนี้ถูกต้องนา สร้างคุณค่าชีวิตตนเกิดขึ้นจริง

อันลาภยศเงินทองสิ่งจอมปลอม แม้รายล้อมต้องรู้มองด้วยจิตใส

อันความผิดมิรู้แก้สู่ทางใด ความเข้าใจต่อธรรมแท้ด้วยศึกษา

ชีพดั่งฝันอย่ายึดถือให้เป็นจริง ทุกทุกสิ่งแก้ไขได้ลงมือหนา

อันชีวิตแสนสั้นแต่มากค่า รู้จักใช้ทุกเวลาสติครอง

สามวันนี้ขอตั้งใจเรียนให้จบ หัวข้อธรรมฟังให้ครบปฏิบัติได้

หากสงสัยไม่เข้าใจให้ถามไถ่ เมื่อเข้าใจจึงรู้ว่าควรลงมือ

พุทธระเบียบจงรักษาให้เคร่งครัด ชั้นเรียนจัดสะเทือนไปทั่วสามภพ

บัดนี้คนมุ่งหมายแต่รารบ พุทธะพบแต่เมตตาในจิตตน

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป สามวันนี้พี่จะยืนคุมสถาน

ขอศิษย์น้องตั้งใจฟังด้วยชื่นบาน มิง่วงเหงาหย่อนยานความตั้งใจ

จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด




…………………………………………………………………..

๑ วิมุตติ หมายถึง ความพ้น, ความหลุดพ้น, พระนิพพาน





วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน



ลมวิ่งเฉียดใบไม้พลิ้วแกว่งใบไหว ลมวิ่งกลับใบไม้ร่วงลงสู่พื้น

ฤดูกาลผันเปลี่ยนยามค่ำคืน เศร้าสะอื้นผู้จากก่อนกาลอันควร

เราคือ


(หนันไห่กู่ฝอ) รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ แฝงกายอัญชุลี

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ



หยดน้ำค้างไร้แรงร่วงหล่น บนถนนคลาคล่ำคนกลายกลับไร้

โลกมนุษย์นับวันยิ่งแปรเปลี่ยนไป เป็นสนามรบอันกว้างไกลไปสุดตา

แสงอาทิตย์เรืองสู้แสงไฟไม่ได้ ผู้เป็นใหญ่คุณธรรมมิรักษา

ดอกไม้สวยร่วงโรยไปก่อนเวลา อันปักษามิรู้บินกลับรวงรัง

น้ำตาร่วงสงสารปวงเหล่าเวไนย บุญกุศลมิช่วยให้ใจรู้ยั้ง

ฟ้าดินเป็นประธานบำเพ็ญให้ระวัง จากนี้ตั้งปณิธานญาณบำเพ็ญเพียร

พุทธะเกิดขึ้นท่ามกลางกลียุค ขอท่านลุกจากความฝันอย่างเสถียร

แบ่งเวลาให้ถูกเพื่อบำเพ็ญเพียร หยุดเบียดเบียนกันเถิดประเสริฐคุณ

ท่านต่างมีบุญสัมพันธ์กับพุทธะ ที่ชนะตนเองเพราะเมตตาหนุน

จิตกระจ่างตอบแทนถ้วนเบญจคุณ๑ มารดาอุ่นใจเมื่อท่านคืนบ้านเดิม

ฮา ฮา หยุด

…………………………………………

๑ เบญจคุณ หมายถึง บุญคุณ ๕ ประการ ได้แก่ ๑.ฟ้า ๒.ดิน ๓.ปราชญ์ ศาสดา และพระมหากษัตริย์ ๔.พ่อแม่และบรรพชน ๕.อาจารย์

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน



เป็นอย่างไรกันบ้าง สบายดีทุกคนหรือไม่ บางคนอาจจะยังสงสัยว่าเราเป็นใคร แต่วันนี้เรามาพบหน้ากัน มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กัน ลองเปิดใจรับฟัง รับรู้กันบ้าง ดีหรือไม่ (ดี) หากใจไม่เปิดออก ไม่รับรู้โลกภายนอก เรื่องราวเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่สนใจ อย่างนี้ก็เท่ากับขังตนเองอยู่ในห้วงจิต ห้วงความคิด ทรมานตนเองเปล่า ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)

สัตว์หนึ่งตัวโดนขังอยู่ในกรง กับสัตว์อีกหนึ่งตัวสามารถวิ่ง เดินเหิน เริงร่า ไปไหนต่อไหนได้ตามจินตนาการ ตามใจคิด ตามใจต้องการ ท่านคิดว่าสัตว์ตนไหนมีอิสระเสรี มีความสุขปรีดามากกว่ากัน ก็ต้องเป็นสัตว์ตนหลัง สัตว์ที่ไม่ถูกพันธนาการ ไม่ถูกอะไรร้อยรัด ไม่ถูกอะไรยื้อยุด สามารถมีชีวิตอิสระ กระทำสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ จิตใจของท่านก็เฉกเช่นเดียวกัน คงไม่อยากถูกเกราะกำบังหรือถูก คุมขัง อยากมีจิตใจที่อิสระเสรี ทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองคิด ตนเองต้องการ แต่ในความเป็นจริง การอยู่บนโลกใบนี้ การทำอะไรที่ตนเองคิด และต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง คุณธรรม ความดีงาม ย่อมง่ายที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนต่างมีความต้องการ แต่หากความต้องการนั้นไม่ถูกควบคุม ไม่ถูกจำกัด ไม่ระมัดระวัง ก็ง่ายที่จะทำผิด ง่ายที่จะเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)

ทุกชีวิตต่างรักชีวิต อยากมีความสุข อยากไปให้ถึงที่สุดแห่งความสุข แต่การจะไปให้ถึงนั้นต้องถามตนเองก่อนว่าทำถูกไหม เบียดเบียนผู้อื่นหรือเปล่า ทำร้ายตนเองทางอ้อมหรือไม่ ทุกคนก็รักตนเอง ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายตนเอง แม้กระทั่งจิตใจที่อยู่ภายในก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้าย มาทำให้ต้องเจ็บปวด ฉะนั้นเวลาทำอะไรอยู่บนโลกนี้ขอให้คิดไตร่ตรองดูสักนิด แล้วเราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ทำร้ายตนเอง และไม่ทำร้ายผู้อื่น เราก็จะมีความสุขได้ สงบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ฟังธรรมะมาตั้งนาน เบื่อหรือยัง (ไม่เบื่อ) ธรรมะสอนให้รู้จักชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่) สอนให้รู้จักทั้งชีวิตที่ลวงหลอกตาและชีวิตที่เป็นจริง ตอนนี้เราอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง อะไรคือลวงหลอกตา แยกไม่ออกว่าเท็จหรือจริงแบ่งแยกกันอยู่ ตรงไหน เรามักจะหลงว่าความเป็นจริงคือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ได้ สัมผัสได้ จับต้องได้ สิ่งที่ลวงหลอกตาคือสิ่งที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้ พิสูจน์หรือจับต้องไม่ได้ แต่เรื่องราวในโลกนี้ บ่อยครั้งสิ่งที่ว่าเราเห็นว่ามี เห็นว่าคือรูปลักษณ์ก็กลายเป็นไม่มี และบางครั้งสิ่งที่ว่าไม่น่าจะมี แต่ก็กลับกลายเป็นมี เราเลยไม่รู้แน่ว่าอะไรจริงหรือเท็จ อะไรลวงหรือไม่ลวง เหมือนกับอากาศ ถ้าท่านพูดว่ามีอากาศ ก็จะมีให้เห็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นจะเปิดใจมองเห็นหรือเปล่า แต่ถ้าเกิดบอกว่ามองไม่เห็น ก็มองไม่เห็นได้เหมือนกัน

บางครั้งหู ตา จมูก ลิ้น กายและใจเราสัมผัสเรื่องราวบนโลกนี้ คิดว่าสิ่งที่ตาเห็นคือสิ่งที่แท้จริง สิ่งที่ตามองไม่เห็นคือสิ่งที่ลวงหลอก การคิดแบบนี้เท่ากับปิดกั้นตนเองทางอ้อม เพราะหลายครั้งที่เราเห็นเรื่องราวบนโลกใบนี้ เราบอกว่าพื้นดินเป็นเส้นระนาบ เส้นตรง แต่ความเป็นจริงแล้ว พื้นดินใช่เส้นระนาบหรือเปล่า (ไม่ใช่) โลกที่เราคิดว่าเป็นพื้นดินราบเรียบเป็นระนาบ แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นวงกลม อากาศที่เราคิดว่ามีแต่แท้ที่จริงแล้วเรากลับสัมผัสไม่ได้ มองเท่าไรก็ ไม่เห็น ธรรมะที่เรากำลังมานั่งศึกษา เราบอกว่าไม่เห็นมีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ ก็ต้องเป็นของปลอม อย่างนี้ก็ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นบางครั้งอาจจะไม่มีรูปร่างก็ได้ สิ่งที่ไม่มีรูปร่างบางครั้งอาจจะมีก็เป็นได้ ฉะนั้นไม่ว่า หู ตา จมูก กายและใจเราสัมผัสสิ่งใด อย่าได้ปักใจ อย่าได้ยึดมั่นว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องราวภายในโลกใบนี้แล้วย่อมเป็นมายา เป็นภาพลวงที่เปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุด

คนที่รู้จักชีวิต และตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เขาย่อมสามารถยืนอยู่ได้ถาวร แต่คนที่ไม่ยอมรับความเป็นจริง เห็นทุกอย่างเป็นมายา เป็นภาพลวง เขาก็จะต้องวนเวียนปรวนแปร ฉะนั้นการมาศึกษาธรรมะ เราได้รู้ว่าอะไรจริงอะไรปลอมน่าจะเป็นสิ่งดีที่เราต้องไขว่คว้าและเรียนรู้ ดังนั้นอย่าได้เพิกเฉย ละเลย หรือเบื่อหน่ายกับการศึกษาธรรมะ เบื่อหน่ายกับการเรียนรู้ชีวิตและความเป็นจริง เมื่อไรที่เรามีชีวิตอยู่บนความเป็นจริง เราก็ยากที่จะปรวนแปรไปกับมายาและความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยอมรับความเป็นจริง ปกปิดใจไม่อยากรับรู้ความเป็นจริงของโลก ความเป็นจริงของชีวิต เท่ากับเรากำลังพาตนเองตกสู่ห้วงมายาและภาพลวง

ทุกคนในโลกนี้ รู้วันเกิดของตนเอง ทุกคนรู้ว่าตนเองเกิดมาเมื่อใด เวลาใด แต่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าตนเองจะไปวันไหน เวลาไหน การบำเพ็ญธรรม การฝึกฝนขัดเกลาตน การเรียนรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิต และนำพาชีวิตไปให้ถูกทาง จะช่วยทำให้เรารู้จักการดับ รู้จักชีวิตที่นำพาไปสู่การดับ เราอยู่บนโลกนี้ เรามักชอบความเกิด เกิดมี เกิดอยากได้ เกิดต้องการ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักการดับ ดับความมี ความอยาก ดับลาภยศชื่อเสียง เรารู้จักคำว่ามี แต่ไม่มีใครรู้จักคำว่าพอ รู้จักคำว่าอยากได้แต่ไม่รู้จักคำว่าอยากหยุด ถึงแม้รู้ก็ไม่ยอมทำ ไม่ยอมรับ ไม่อยากกระทำแบบนั้น เพราะคิดว่าโลกใบนี้สวยงามอยู่ ยังมีสิ่ง น่ารื่นรมย์ น่าปรารถนาอยู่ แต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตก็คือความทุกข์ที่หาความสิ้นสุดไม่เคยเจอ จนกว่าเราจะหมดกายสังขาร หมดลมหายใจ เราจึงรู้ว่าเราต้องดับ ถึงรู้จักคำว่าหยุดทุกข์ แต่รู้ตอนนั้นสายหรือเปล่า (สาย) บางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่คิดว่าสาย แต่ถ้าเกิดหมดสิ้นร่างกายแล้ว เขาไม่รู้อะไรเลย ยังดับอะไรไม่ได้เลย ยังตัดความพันผูกจากโลกใบนี้ จากมายาใบนี้ไม่ได้ เขาก็ต้องบอกว่าสายไปเสียแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะยื้อยุดกลับมามีร่างกาย มีชีวิต มีลมหายใจ ก็คงไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ท่านยังมีชีวิต มีร่างกาย มีเวลาทำไมไม่หาทางที่ถูกให้กับชีวิต ไม่หาทางที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ทำไมต้องปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับห้วงทุกข์ ความทรมาน ความเจ็บปวด และคราบน้ำตา ที่วนเวียนไม่เคยสิ้นสุด เราก็ไม่ต้องการความทุกข์ยากนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ทุกคนอยู่บนโลก อยากได้ความสุข อยากพบความเป็นจริง อยากมีความสว่างให้กับชีวิต แต่จะมีสักกี่คน ที่ไม่ว่าจะเงยหน้า จะหันไปทางซ้ายหรือขวาก็พบแสงสว่างของชีวิต ทุกคนไม่ว่าจะหันไปทางทิศใด ล้วนพบแต่ความมืดมน ความทุกข์ยาก และความไม่รู้ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ตนเองจะเป็นเช่นไร ตนเองจะมีแรงต่อไปหรือไม่ อยู่กับความไม่รู้และภาพลวง ทรมานหรือไม่ วันนี้อาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะรับรู้แล้วแต่ไม่จำ อย่างนี้จะให้ใครช่วยได้

“หหยดน้ำค้างไร้แรงร่วงหล่น บนถนนคลาคล่ำคนกลายกลับไร้

โลกมนุษย์นับวันยิ่งแปรเปลี่ยนไป เป็นสนามรบอันกว้างไกลไปสุดตา”



เหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ ชีวิตของทุกคนเหมือนน้ำค้างที่อยากจะร่วงหล่น อยากจะหายไปจากโลกใบนี้ มิอยากยืนอยู่แล้ว หมดเรี่ยวแรง หมดกำลัง หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมีแรงไปต่อสู้ ไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อยากจะดับไปกับโลกใบนี้ก็ดับไม่ได้ มีแรงก็เหมือนไร้แรง มีร่างกายก็เหมือนอยากจะให้กายนี้ดับสูญสิ้นไป คนไม่เคยเผชิญความทุกข์ก็ไม่รู้หรอกว่า ทุกข์บนโลกนี้เจ็บปวดแค่ไหน คนไม่เคยเจออุปสรรค ความยากลำบาก ก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตมีค่าเพียงใด ทำไมต้องรอให้ตนเองทุกข์ เจ็บปวด หมดแรง หมดกำลัง จึงค่อยหาทาง ค่อยคิดศึกษาหลักธรรม ตอนนั้นจะมาตัด จะมาบำเพ็ญก็คงทำใจยาก วางใจลำบาก ห่วงหน้าพะวงหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้คนที่โชคดี ไม่เผชิญกับเหตุการณ์ยุ่งยากลำบาก มีเวลา มีร่างกาย และมีโอกาส ไยไม่รีบศึกษา ค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต ค้นหาทางที่แท้แห่งตนเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ใสกัน ทำไมยังปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในห้วงแห่งโลกีย์ มายา และฝุ่นธุลีอันมากมายในโลกใบนี้

ในโลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่มีใจศึกษา ตั้งใจบำเพ็ญตนค้นหาทางที่แท้จริงให้กับชีวิต เวลาและยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้ เวลาเปลี่ยนไปเท่าใด ใจท่านก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาเท่านั้น โลกโหดร้ายเท่าใด ใจท่านก็โหดร้ายตามเท่านั้น

ทุกคนต่างมีจิตใจดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ เมตตา ใสสงบ แต่เพราะการศึกษา การเรียนรู้และสภาพแวดล้อม ทำให้คนค่อย ๆ แตกต่างกันไป ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงหน้าตาอันเดิมแท้ของตนไป ลืมหมดสิ้นซึ่งความเป็นพุทธจิต ลืมหมดสิ้นซึ่งดวงจิตอันบริสุทธิ์สดใส แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นธุลี โคลนตม ภาพหลอกลวง และความไม่จริงใจต่อกัน

วันนี้เราได้ศึกษาเพื่อจะฟื้นฟูจิตใจอันนี้ให้กลับคืนขึ้นมาสู่ชีวิต สู่แนวทางอันดีงาม มีใครบ้างอยากจะเป็นคนร้าย อยากจะทำไม่ดี มีใครบ้างที่เกิดมาแล้วอยากจะพาตนเองร่วงลงสู่นรกหรือนรกานต์ ก็คงไม่มี ใคร ๆ ก็อยากให้ตนเองพบสิ่งที่ดี เดินไปสู่หนทางที่สะดวกสบาย ไม่อยากต้องทุกข์ ไม่อยากต้องลำบาก แต่หากตนเองไม่รู้จักนำพาตน ไม่รู้จักบ่มเพาะตนเอง ไม่รู้จักแก้ไขตนเอง ไม่รู้จักเลือกสรรสิ่งที่ดีให้กับตนเอง ทุกวันสร้างแต่สิ่งเลวร้ายผิดทำนองคลองธรรม หลักธรรมอันดีงามกลับเพิกเฉยไม่สนใจ แล้วอย่างนี้จะเป็นคนดี ได้อย่างไร ชีวิตจะร่มเย็นได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคุณธรรมต้องสนใจ ต้องนำมาปฏิบัติ ฝึกฝน หากทุกวันทำได้ ไม่เคยกระทำผิดหรือไม่เคยมีชีวิตนอกลู่นอกทาง กระทำตนถูกทำนองคลองธรรม ถูกศีลธรรม จะกลัวอะไรกับความยากลำบาก หากตนเองเป็นคนที่ดี เที่ยงและบริสุทธิ์แล้ว จะกลัวอะไรกับคำให้ร้าย คำว่าร้าย คำด่าทอ หรือความทุกข์ยาก แต่หากเมื่อไรเรายังกลัว ยังระแวงภัย แปลว่าเราวางตนเองไม่ดี ยังนำพาตนเองไปไม่ถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)

“แแสงอาทิตย์เรืองสู้แสงไฟไม่ได้”



ในความหมายของกลอนวรรคนี้ก็เปรียบเทียบได้ว่า คุณธรรมสู้โลกใบนี้ไม่ได้ สู้มายาอันลวงหลอกที่ชักจูงท่านไม่เคยได้ ก็เพราะ ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมนั้นอยู่เฉย แต่คนสามารถทำให้ คุณธรรมมานำพาตนเองให้เป็นคนประเสริฐได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ทำ ไม่นำธรรมไปปฏิบัติ ไปศึกษา หรือไปน้อมนำชีวิต เราก็ยากที่จะเป็นคนที่ดำเนินถูกทาง และคนที่ประเสริฐได้อย่างแท้จริง

คุณธรรมอย่างง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้นั่นก็คือ ความเมตตา ความเมตตานั้นนอกจากจะเห็นผู้อื่นตกทุกข์ได้ยากแล้วเราทนไม่ได้แล้ว ยังมีอีกความหมายหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร หากเรายืนอยู่ในการดำเนินชีวิตนั้นได้ คนอื่นก็ต้องอยู่ได้ นั่นก็คือสิ่งที่เราปฏิบัติ สิ่งที่เราดำเนินชีวิต ไม่ไปกระทบหรือเดือดร้อนใคร ไม่ใช่ ตนเองอยู่รอดแต่คนอื่นลำบาก อย่างนี้ก็แปลว่าการมีชีวิตของเรา เบียดบังและทำร้ายผู้อื่น ไม่ใช่จิตใจที่เมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่) ตนเองสามารถเดินสู่หนทางนี้ได้อย่างสะดวกสบาย คนอื่นก็ต้องสามารถเดินสู่หนทางนี้ได้อย่างสะดวกสบายเช่นกัน มีจิตใจที่ช่วยตนเองได้แล้ว หนทางที่ตนเองเลือกเดิน แนวทางที่ตนเองเลือกปฏิบัติยังสามารถเป็นแนวทางให้ผู้อื่นเจริญรอยตามได้ นั่นก็คือจิตใจเมตตา

การกระทำของเรานั้น บางครั้งเราอาจจะพูดว่า ไม่เคย เบียดเบียนใคร ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ถ้าถามถึงก้นลึกแห่งความเมตตาในจิตใจของทุก ๆ ท่าน ลองย้อนมองตรวจสอบดูว่าตั้งแต่ที่เราเกิดมาจนกระทั่งมีชีวิตอยู่ตรงนี้ ที่เราพูดว่าไม่เคยทำร้ายใคร เราทำร้ายไปเท่าไรแล้ว ถามวาจาอันไพเราะเพราะพริ้งว่าเสียดแทงทิ่มแทงคนไปมากน้อยเท่าไรแล้ว ถามการกระทำที่บอกว่าดีงามเป็นกุศล แท้ที่จริงแล้วเหยียบย่ำอยู่บนความทุกข์ของใครหรือเปล่า อย่าบอกว่าเรามีชีวิต เราไม่เคยทำร้ายใคร เป็นไปไม่ได้

ทุกวันนี้เรายากกลับคืนไม่ใช่เพราะว่าเราไม่มีโอกาสกลับคืน เรากลับคืนได้ แต่เราทนเห็นท่านทุกข์กันไม่ได้

“ผผู้เป็นใหญ่คุณธรรมมิรักษา”ค

ทุกคนในโลกนี้ มีฐานะ ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันออกไป บางคนเป็นคนยิ่งใหญ่ในบ้านตน บางคนเป็นคนยิ่งใหญ่ในการงาน บางคนเป็นคนยิ่งใหญ่ของตัวตนเอง หากทุกคนเป็นคนยิ่งใหญ่ แต่ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคน ไม่เคยรักษาคุณธรรม ความดีไม่เคยทำ ทุกวันต่างทำร้ายจิตใจของตนเอง ต่างมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สนใจการสร้างความดี ไม่สนใจการแก้ไขสิ่งไม่ดีของตนเอง อย่างนี้ก็เท่ากับทำร้ายตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ความดีไม่เคยสร้าง สิ่งเลวร้ายไม่เคยขจัดทิ้ง แล้วเราจะเริ่มแก้อย่างไร

ธรรมะนี้สอนให้เราดำเนินชีวิตอย่างไร ธรรมะนี้สอนให้รู้จักดวงจิตที่สำคัญ ที่เป็นตัวควบคุมร่างกาย สั่งให้กายเคลื่อนไหวหรือปฏิบัติ การจะเริ่มต้นสิ่งใดเราต้องรู้ก่อนว่าตัวใดเป็นตัวกลไกสำคัญที่คอยขับเคลื่อนร่างกาย ขับเคลื่อนความประพฤติหรือขับเคลื่อนจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจคิดอย่างไรกายก็ขับเคลื่อนไปตามที่ใจคิด กายขับเคลื่อนอย่างไร ก็ส่งผลให้พฤติกรรมการปฏิบัติเป็นไปตามที่กายต้องการ กายและใจจึงเป็นส่วนที่สัมพันธ์สอดคล้องกัน หากใจคิดปรุงแต่ง กายก็ขับเคลื่อนไปตามที่ใจต้องการ หากกายรับรู้ จิตใจก็ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่กายรับรู้ ก็เสมือนกับเมล็ดให้กำเนิดพฤกษา พฤกษาก็ให้กำเนิดเมล็ด ฉะนั้นชีวิตจะเดินทางไปสู่ทางที่ถูกได้ ต้องอยู่ที่ใจเรานำพา ตนเอง รู้จักคิด รู้จักที่จะนำพาจิตใจนี้ถูกทางหรือไม่ หากใจคิดด้วยความรอบคอบ คิดอย่างผู้มีธรรม อย่างผู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป การกระทำก็คงยากผิดพลาด

ถ้ากายรับรู้เรื่องราวภายนอก แต่ใจไม่ปรุงแต่ง นั่นก็คือกายรับรู้แต่ใจไม่เป็นไปตามด้วย เรื่องกายกับเรื่องใจเป็นเรื่องที่สัมพันธ์และสอดคล้องกัน หากเราจะหยุดเรื่องราวภายนอกมิให้มาทำร้ายจิตใจเราได้ เราต้องปิดกั้นกายมิให้รับรู้เรื่องราวภายนอกที่ไม่ดี ที่เลวร้ายให้ได้ก่อน หากกายเรารับรู้น้อยลง ใจเราก็ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้มากมาย แต่ถ้าทุกวันกายเรารับรู้และใจเราปรุงแต่ง อย่างนี้ผลก็ต้องออกมาไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)

เรื่องราวในโลกนั้นมีทั้งดำและขาว มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง เราจึงต้องเลือกรับ ก็คือเลือกเปิดใจรับรู้ เลือกเปิดใจรับฟัง สิ่งใดดีขอให้ใจพินิจให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วค่อยปฏิบัติ ถ้าสิ่งใด ไม่ดีก็ขอให้เอาใจเอามาคิดเหมือนกัน เอามาเป็นแบบเรียนว่า เราอย่าได้เผลอ เราอย่าได้พลั้งไปทำตาม ไปทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)

บ่อยครั้งที่เราบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เหมือนมายา วาจาเหมือนสิ่งสมมติ ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นมายา เป็นภาพลวง แล้วทำไมจึงกล่าวว่าชีวิตนี้เปรียบเหมือนความฝัน เราเคยได้ขบคิดกันบ้าง หรือไม่ ทุกวันเราฝัน บางทีฝันไม่เคยซ้ำ หรือบางทีก็ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนเด็กเราฝันอยากเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตมีอาชีพ มีงานการ มีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน แต่พอเราเติบโตเป็น ผู้ใหญ่จริง ๆ เรากลับฝันอยากเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้อง มีภาระ ไม่ต้องมีงานการที่ทำให้ตนเองหนักหรือเป็นห่วง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเคยคิดหรือไม่ว่าตอนเด็กฝันเป็นผู้ใหญ่หรือตอนผู้ใหญ่ฝันเป็นเด็ก อะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน อะไรคือภาพลวงกันแน่ ตอนนี้ท่านอาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ ฝันว่ามีชีวิตเป็นผู้ใหญ่ กำลังเผชิญความทุกข์ยากลำบากอยู่ แต่เมื่อไหร่เราตื่นจากฝันเราก็จะได้พบความเป็นจริงที่ทำให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตจะทุกข์หรือสุข จะฝันดีหรือฝันร้าย ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นผู้กำหนด ตัวเราเองเป็น ผู้เลือกทางเดิน

ตอนนี้มีหนทางหนึ่งที่นำพาไปสู่ชีวิตอันประเสริฐ อันบริสุทธิ์เที่ยงแท้ ไปสู่หนทางกลับคืนบ้านเดิม ขอให้ลองศึกษาและเปิดใจรับรู้ดู มีโอกาสให้เวลาตนได้เรียนรู้หนทางนี้ดูบ้าง ให้รับรู้ความเป็นจริงของหนทางนี้บ้าง อย่าเพิ่งปิดกั้นตนเพียงเพราะว่าตนเองไม่มีเวลา อย่าเพิ่งปิดกั้นโอกาสแห่งการฟื้นฟูพุทธจิตเพียงเพราะว่าตนเอง ไม่ต้องการ

“หหยุดเบียดเบียนกันเถิดประเสริฐคุณ”ย

ใครพอจะตรวจสอบจิตใจตนเอง ตรวจสอบชีวิตของตนเองได้บ้างว่าตั้งแต่ที่เราเกิดและมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เราได้เบียดเบียนสิ่งใดหรือทำร้ายชีวิตใครไปบ้าง (บิดา มารดา) บางครั้งเราอาจจะ พูดว่าเป็นหน้าที่ของท่าน เราให้ท่านทำหน้าที่ แต่ท่านก็มีสิทธิ์ไม่ทำได้เหมือนกัน แต่แม้เราจะปฏิบัติตอบกับท่านดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ท่านก็ยังคงทำดีต่อเรา ก็เพราะความรัก ความเมตตา ความห่วงหาอาวรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากจิตใจของพ่อแม่เกิดขึ้นกับทุกคน และทุกคนนำจิตใจนี้ไปปฏิบัติต่อทุก ๆ คน โลกนี้ก็คงสันติสุขนี้ ก็คงอยู่กันฉันท์พี่น้อง ไม่มีใครทำร้ายใคร เพราะเราก็รักเขาเหมือนพี่ เหมือนน้อง ใครเป็น ผู้ใหญ่ เราก็บูชาเขาเหมือนบิดา มารดา ใครที่อายุน้อยกว่า เราก็รักเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน ใช่หรือไม่ (ใช่) หากทุกคนมอบแต่สิ่งที่ดี มอบแต่ความเมตตากัน ดังเช่นพ่อแม่มอบความรักความเมตตา และสิ่งที่ดีให้กับลูกอย่างไม่มีวันแหนงหน่าย อย่างนั้นก็เป็นการบำเพ็ญที่ดี เป็นการปฏิบัติที่ดี

นอกจากนี้เรายังเบียดเบียนสิ่งใดอีก (เบียดเบียนสัตว์) เคยเบียดเบียนทำร้ายสัตว์หรือเคยได้ยินเสียงร้องของสัตว์บ้างไหม เจ็บหรือเปล่า (เจ็บ) เขาเจ็บแต่เราไม่เคยรู้สึกเจ็บเหมือนกับเขา ใช่หรือไม่ แล้วเวลาที่เราโดนมีดเฉือนทีหนึ่งเราเจ็บไหม เราเจ็บเพียงน้อยแต่เขาเจ็บถึงชีวิต เราสุขเพียงน้อยแต่เขาเจ็บปวดถึงชีวิต ทำไมไอเมฆหมอกแห่งความมืดดำ ยังปรากฏอยู่บนโลกใบนี้ ก็เพราะว่าคนยังเบียดเบียนทำร้ายกัน เพียงเพื่อความสุขอันสั้น ๆ เพียงเพื่อได้ ลิ้มรสอันหอมหวาน ใช่หรือไม่ หากหยุดได้ก็หยุดเถอะ อย่าได้เบียดเบียนทำร้ายหรือพรากชีวิตเขาเลย

เวลาเรามีคนรัก ใครพรากคนที่เรารักไปเราก็เจ็บปวด เราก็เศร้าเสียใจ แต่นี่เราพรากชีวิตเขา ถ้านับกองกระดูกเทียบกับอายุ ของเรา กองกระดูกที่เราพรากชีวิตเขาไป ก็คงมีความสูงกว่าตัวตน ของเรา หรือมากกว่าชีวิตของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้อง ไม่อยากได้ยินเสียงแห่งความทุกข์ยาก เราต้องหยุดความทุกข์ยากจากปากของเราก่อน หยุดเสียงที่พรากทำร้ายจากปากเราก่อน หากท่านรู้ตัวได้และยอมรับได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ เราถามเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการจะว่า แต่อยากให้ท่านรู้ว่าเรามีชีวิต เราเคยตรวจสอบชีวิตเราไหมว่าเราทำร้ายเขาหรือเปล่า แม้แต่คนใกล้ ๆ ตัวเรา ปากบอกว่ารักเขา เราเคยทำร้ายเขาไปหรือไม่

นอกจากเราจะเบียดเบียนทำร้ายสรรพสัตว์ เพียงเพื่อเราต้องการลิ้มรส หรือเบียดเบียนทำร้ายคนที่เรารักแล้ว กับเพื่อนฝูง คนที่อยู่รอบข้าง คนที่อยู่ในโลกนี้ เราก็สามารถทำร้ายเขาได้โดย ไม่รู้ตัว ตอนนี้มีโอกาสได้รู้แล้วว่าชีวิตของเราไม่ว่าจะย่างก้าวไป ทางใด ขอให้คิดไตร่ตรอง ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และมีจิตใจอันเมตตา เรายืนอยู่ได้เขาก็ต้องยืนอยู่ได้ ไม่ใช่เรายืนอยู่บนความทุกข์ยากของคนอื่น เช่นนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ

ผู้บำเพ็ญไม่ใช่จะมีแต่ความสะดวกสบาย ไม่มีความทุกข์ แต่ผู้บำเพ็ญคือผู้รู้จักและเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าทุกชีวิตต้องทุกข์ เราจะทำอย่างไร ให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือทุกข์ และเห็นทุกข์ได้อย่างแท้จริง เห็นทุกข์เป็นเหมือนเพื่อน เป็นเหมือนชีวิตที่สอนให้เราค้นพบความเป็นจริง ทุกข์นั้นไม่ใช่แต่ความเจ็บปวดอย่างเดียว แต่ความทุกข์ยังสามารถทำให้ท่านตรัสรู้ รู้ตื่น หลุดพ้นจากโลกใบนี้ได้ อยู่ที่ว่าเมื่อเราเจอทุกข์เราปฏิบัติต่อทุกข์เช่นไร เราอยู่เหนือทุกข์ได้หรือเปล่า หรือจมอยู่ในทุกข์เหมือนเดิม

เวลาเราอยู่บนน้ำ เราสามารถมองเห็นว่าสายน้ำไหลไปทางใด คดเคี้ยวเลี้ยวลดมากเท่าใด แต่ถ้าเมื่อใดเราตกอยู่ในห้วงน้ำ เราไม่สามารถมองเห็นได้ว่าน้ำเป็นอย่างไร ทางข้างหน้าของน้ำจะ คดเคี้ยวหรือน่ากลัวมากเท่าใด เราจะรู้จักโลกใบนี้ได้ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจและวางตนเองอยู่เหนือโลก หากเมื่อใดเราวางตนเองอยู่เหนือโลกนี้ได้เราก็จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าทางใดที่จะนำพาไปสู่ความยากลำบาก ทางใดที่จะนำพาไปสู่ความสงบ ความหลุดพ้น แต่ปกติแล้ว เรายืนอยู่บนโลก สายตาเราก็อยู่เหนือโลก ตัวเราไม่ได้จมอยู่กับโลก แต่เราไม่สามารถวางจิตใจอยู่เหนือโลกได้ เพราะว่าใจเราพันผูกอยู่กับความรู้ สิ่งที่เราเรียนรู้ หรือสิ่งที่แวดล้อมเรา แล้วยากที่จะทำใจให้อยู่เหนือภาวะการณ์หรือเหตุการณ์ที่มากระทบจิตใจได้ แต่ถ้าเมื่อใดเราวางจิตใจ ให้อยู่ห่าง ให้อยู่เหนือ เราก็ย่อมสามารถ เห็นได้ชัดเจน และตรวจสอบได้ละเอียด ยกตัวอย่างง่าย ๆ เข่น นก ที่อยู่บนฟ้า ย่อมยากจะเห็นว่าฟ้าที่แท้จริงเป็นเช่นไร ปลาที่อยู่ในน้ำย่อมไม่รู้ว่าตนเองนั้นอยู่ในน้ำ แต่มนุษย์เราประเสริฐยิ่งกว่านก มีปัญญา มีสติ มีคุณธรรมที่สามารถตัดกิเลส ตัดตัณหา นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา ด้วยสติ ด้วยธรรมญาณอันนี้ที่ได้รับรู้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรู้จักนำไปใช้ให้ทันเหตุการณ์หรือเปล่า ไม่ใช่ตกอยู่ในเหตุการณ์แล้วพ่ายแพ้ แม้จะมีสติ มีคุณธรรม มีปัญญาก็ใช้ อะไรไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์

“ทท่านต่างมีบุญสัมพันธ์กับพุทธะ ที่ชนะตนเองเพราะเมตตาหนุน”



วันนี้มีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กัน มีโอกาสได้มาพบหน้ากัน และมีโอกาสได้รับรู้ถึงพุทธจิตธรรมญาณที่แฝงอยู่ในตนนี้ ก็เพราะว่าเราสามารถเอาชนะจิตใจ และสามารถสละเวลาของตนเอง

“มมารดาอุ่นใจเมื่อท่านคืนบ้านเดิม”



ทุกชีวิตต่างมีที่มาและที่ไปของตน กายก็มีบ้านของกาย จิตญาณดวงนี้ที่แฝงอยู่ในกาย ก็มีบ้านของจิตญาณ วันนี้เรารู้ว่าตนเองมาได้อย่างไร แต่ต่อไปจะมีใครรู้ได้ว่า ตนเองจะกลับไปเช่นไร หากคนที่ทำดี รู้แล้วซึ่งหนทางแห่งการกระทำดี บำเพ็ญดี และขัดเกลา ตนเองเพื่อสิ่งที่ดี เขาก็ย่อมกลับไปในทางที่ดีได้ แต่ถ้าทุกวันไม่เคยได้ฝึกฝนตน ไม่เคยได้สนใจศึกษาธรรม มีชีวิตอยู่กับลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง เขาก็ยากที่จะกลับไปได้ เพราะเขาไม่รู้หนทางของตน ทางของตนและทางของชีวิตมีแต่คำว่าเงินทอง การเรียนรู้ มีแต่การพัฒนาเพียงร่างกายแต่ขาดซึ่งการพัฒนาที่จิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาศึกษา มาเรียนรู้หลักธรรม ธรรมนี้ไม่ใช่อื่นไกล ไม่ใช่เป็นการปรุงแต่งเสริมเติมขึ้นมา แต่เป็นธรรมที่มีอยู่เดิม แต่ต้องการให้ท่านค้นพบ หาให้เจอและทำความเข้าใจให้จงได้ แล้วนำไปใช้ นำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับชีวิตแล้วนำพาชีวิตไปให้ถูกทาง ทางมีอยู่แล้วขอให้ท่านมาศึกษาแล้วรีบเดินแล้วนำพาตนเอง ความเป็นพุทธะ ความมีจิตใจอันดีงามมีอยู่แล้วในตัวของท่าน ขอให้ค้นให้พบ

หากทุกวันหมั่นนำแต่สิ่งที่ดีงามออกมาใช้ มาปฏิบัติต่อกัน ความดีงามย่อมยากจะเลือนหาย ความชั่วร้ายย่อมหมดสิ้นไปได้ แต่ถ้าทุกวันคุณธรรมไม่สนใจ ความชั่วร้ายย่อมง่ายที่จะมาแทรกแซง ง่ายที่จะมานำพาจิตใจ นำพาชีวิตของตัวเรา

ทุกคนเป็นพุทธะได้ เป็นคนดีที่แท้จริงได้ และเป็นคนที่ไปให้ถึงซึ่งความดีได้ อยู่ที่ว่าเขามีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจจริงหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเราตั้งใจจริงจะบำเพ็ญตนให้เป็นคนดีให้จงได้ มีหรือที่ท่านจะเป็นคนดีไม่ได้ เป็นพุทธะหนึ่งคนไม่ได้ ขอเพียงอยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางใด

คุณธรรมสามารถทำให้ท่านมีชื่อเสียง มีลาภยศได้ แต่คนที่มีลาภยศ มีชื่อเสียงบางครั้งสร้างคุณธรรมให้กับตนเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราสามารถหาความสุขอันสงบได้จากการศึกษาธรรม จากการเรียนรู้หนทางแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเรามีเงิน มีทองเราซื้อความสุขได้ไหม (ไม่ได้) อาจจะได้ แต่ก็เพียงน้อยนิด ชั่วครู่ ชั่วครั้ง แล้วก็เปลี่ยนไปไม่จบสิ้น ไม่เหมือนความสุขสงบในธรรม ความสุขสงบในการบำเพ็ญตน

วันนี้มีโอกาสได้เรียนรู้หนทางหนึ่งให้กับชีวิตของตนเอง หากทำได้ปฏิบัติได้ ท่านก็เป็นคนดีที่แท้จริง เป็นคนที่มีเมตตาไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใครได้ มีโอกาสขอให้ทำ อย่ารั้งรอ ทำดีไปเถิด ให้ไปเถิดไม่เสียหายอะไร ผู้ที่รู้จักให้ย่อมเป็นสุขในคำว่าให้ แต่ผู้ที่วอนขอย่อมยากจะมีความสุขได้ เพราะเขาไม่รู้จักสุขในตนเอง เอาแต่ขออยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ต่อไปขอให้นำพาชีวิตของตนเองให้ดี การสวดมนต์ ท่องมนต์ ท่องบ่นชื่อนามแห่งเรานั้น จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าปากท่องแต่ใจไม่ได้ทำตาม นามของเรามีความหมายว่าอะไร รู้ไหม การเรียนหนังสือถ้าเอาแต่ท่องก็ไม่มีความหมาย ต้องเข้าใจถึงสิ่งที่ท่อง เมื่อเข้าใจแล้วต้องปฏิบัติได้ถึงสิ่งที่ตนเองท่อง ถึงจะเกิดประโยชน์ การเอาแต่ร้องเรียกนามแห่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตนเองไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ทำความเข้าใจ พูดได้แต่ทำ ไม่ได้ย่อมไม่เกิดประโยชน์ ใช่หรือไม่

นามของเราหมายความว่าอะไร (เมตตา) จิตใจเมตตานั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ต้องรักทุกคนได้ เรารักลูกเช่นไร เราก็ต้องรักคนอื่นได้เช่นรักลูกเรา นี่ถึงจะเป็นความเมตตาและความรักที่แท้จริง บริสุทธิ์ ยุติธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอธิบายความหมายของพระนามของท่าน : นามของท่านคือ ““กวนอินผูซ่า”ว หมายถึง พระโพธิสัตว์ผู้ซึ่งเพ่งพินิจฟังเสียงร้องทุกข์ของสรรพสัตว์ แล้วมาฉุดช่วยเวไนยสัตว์ในโลกนี้)

วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ต่อไป เสียงที่เราได้ยินจากท่านเป็นเสียงที่พ้นแล้วจากความเป็นทุกข์ เป็นเสียงที่เบิกบานและมีความสุขกันทุกคน ความทุกข์อะไรที่ตอนนี้ต้องเผชิญ และยังฝ่าไม่ได้ขอให้ยอมรับและอดทนฝ่าสู้ไปให้ได้ อย่าได้ยอมแพ้ ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน จะหลบหนีแล้วบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นใจ ไม่ช่วยเหลือ เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะว่าความเมตตา และความยุติธรรมก็ต้องมีเท่าเทียมกัน จะมีเมตตาแต่ ไม่ยุติธรรมก็เป็นไปไม่ได้ เราก็รักทุกท่าน แต่สรรพสัตว์ที่เขามา ทวงถาม มาทวงหนี้จากท่าน เราก็ต้องรักเขาเหมือนกัน แม้เขาจะมาด้วยท่าทีอันโหดร้าย รุนแรง มาทวงถามเอาจากท่าน หากเรารักท่านแต่ไม่รักเขา เราก็ไม่ใช่ผู้สดับรับฟังเสียงแห่งทุกข์ ความยุติธรรมก็ต้องหายไปจากตัวเรา แล้วก็หายไปจากใจท่านเหมือนกัน

หากเราไม่อยากต้องเผชิญทุกข์ ไม่อยากให้ใครมาทำร้าย ตัวท่านก็อย่าได้ทำร้ายตนเอง ทางใดที่เป็นทางที่ดีงาม ทางอันประเสริฐขอจงรีบเดินไป รีบปฏิบัติ ชีวิตเราอยู่ที่เท้าเรา อยู่ที่ใจเราว่า จะเลือกเดินทางใด ตอนนี้มีทางที่ดีแล้ว คือทางที่ไม่ต้องเบียดเบียน ทำร้ายใคร เป็นทางที่ประเสริฐ ทางที่แท้จริง เป็นธรรมะที่ทำให้เรารู้จักจิตญาณที่แท้จริง รีบ ๆ ศึกษา ทำความเข้าใจ โลกใบนี้ที่ว่าสวยงามแท้จริงแล้วเราต้องมองให้เห็นซึ่งความเป็นจริง อะไรคือความจริง อะไรคือลวงหลอก จิตญาณอันดีงามนี้ขอให้รักษาให้คงอยู่ อย่าปล่อยให้กิเลส อารมณ์ ความคิด ความถือมั่น และความเป็นตัวของตัวเองมาพรากไป มาทำร้ายให้หม่นหมอง ใครก็ทำร้ายเราไม่เจ็บปวดเท่าตัวเราเอง ทำร้ายตนเอง ใครก็ไม่นำพาตนเองให้ไปสู่ทางประเสริฐได้เท่ากับ ตนเองได้รู้แจ้ง ได้รู้แล้วถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)

คนทุกคนไม่ได้แตกต่างกันเลย แตกต่างกันเพียงรูปร่างภายนอก อุปนิสัยภายนอก แต่แท้ที่จริงแล้วทุกคนมีแก่นแท้ความเป็นจริงที่เหมือนกัน คือความบริสุทธิ์ ความดีงาม ค้นหาให้เจอแล้วฟื้นฟู ให้จงได้ เปิดออกแล้วนำสู่ปวงชน ช่วยเหลือคน ช่วยเหลือตน เมื่อไร ที่เราพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริงในตนได้ เมื่อนั้นเราก็เป็นพุทธะ เป็นผู้ประเสริฐได้ เห็นใครทุกข์ยาก เห็นใครเดือดร้อนมีใจช่วยเหลือ มีใจนำพาเขาไปให้ถูกหนทาง ให้เขารู้จักนำพาชีวิตของเขาให้จงได้ นั่นเป็นการช่วยที่ประเสริฐยิ่งกว่าให้ทรัพย์สิน เงินทองเสียอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เขารู้จักชีวิต และนำพาชีวิตตนเองให้เป็น ให้ถูกทาง ให้ยืนหยัดสู้และมีใจไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เป็นการช่วยที่ดี ที่ประเสริฐยิ่งแล้วของการเป็นพุทธะ ของการฝึกฝนบำเพ็ญตน ใช่หรือไม่ (ใช่)

ใครล้ม ใครท้อ ใครเหนื่อย ส่งมาให้เราก็ได้ เจ็บปวดมาก เท่าไรเอามาให้เราก็ได้ แต่ให้เราแล้วต้องมีแรงต่อสู้ต่อไป ต้องมีแรงบำเพ็ญตนต่อไป เป็นคนดีให้จงได้ อย่ายอมแพ้ในการทำความดี อย่าอ่อนแอกับความชั่วร้าย

ทุกคนต่างมีทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเอง ขอให้ละลายออกบ้าง บางครั้งความเป็นตัวของตัวเองนั้นไม่เคยให้คุณกับ ตัวเราเลย ทำร้ายตัวเราเปล่า ๆ ยอมเขาได้ก็ยอมไปเถอะ ให้เขาได้ก็ ให้ไปเถอะ การให้เป็นสิ่งที่ดีงามไม่ใช่หรือ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่รู้จักให้ ทำไมต้องเอาแต่ว่าเขา ทำร้ายเขาโดย ไม่รู้ตัวตนเอง ทำไปก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้อภัยได้ก็ให้อภัย แล้วสู้ชีวิตต่อไปให้จงได้ อย่าได้เบียดเบียนทำร้ายกันอีกเลย ไม่คุ้มหรอกกับชีวิตหนึ่ง ที่เกิดมาแล้ว ความดีไม่เคยทำ แต่ความชั่วร้ายทำอยู่ทุกวัน จะมีประโยชน์อะไร

เป็นคนสวยแต่ภายนอก ดีแต่ภายนอกแต่จิตใจคอยห้ำหั่น ทำร้ายเขา ไม่เคยช่วยเขา แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเมตตาก็เรียกไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเรียกว่าคนดี คนบำเพ็ญธรรม ก็ไม่มีใครกล้าเรียกเราหรอก จริงไหม

คนที่อายุยังน้อย มีโอกาสได้มาศึกษาธรรมวันนี้ อย่าคิดว่าเรามาหลอกลวง ขอให้เอาไปคิดให้ดี บ่อยครั้งที่ดอกไม้อันสวยงามก็ถูกเด็ดทิ้ง ปลิดทิ้งก่อนดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรยอีก ก็เปรียบเหมือนชีวิตคน อย่าคิดว่าผมตนเองยังดำ วัยตนเองยังแข็งแกร่ง แต่ต่อไปจะรู้หรือ บ่อยครั้งที่คนผมดำไปก่อนผมขาว ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ขอให้รักษาบุญ รักษาโอกาส ของตนเองให้ดี วันนี้มีโอกาส ได้มาศึกษาขอให้มานั่งศึกษาให้ครบ



























วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ



ลมพัดเบาเย็นไม่เท่าลมพัดแรง แต่ลมแรงกลับพัดน้ำกระเพื่อมไหว

คนใกล้เรากลับไม่ดีเท่าคนไกล แต่เสมอต้นปลายมิขาดตอน

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ แฝงกายกราบ

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ



ทำดีมีความสุขปลอบฤทัย คนจริงใจได้เปรียบไร้กังขา

ควรฝึกการสละจากตื่นมา ผ่านเวลาไปไม่อาลัยเพราะระวัง

ความสะดวกที่แฝงทุกข์อันขื่นขม หลงชื่นชมสบายเข็ญภายหลัง

ฝึกตนไม่กอปรเมตตาเป็นทาง ที่สุดร้างใจเยือกเย็นยากสงบ

ทรมานในรักโลภและโกรธหลง ชีพดำรงชัดเห็นยิ่งการพบ

กว่ารู้สึกผ่านไปเมื่อหลายจบ เถ้าถ่านกลบควันกลับอยู่ยากอำพราง

ต้องเน้นหนักการบำเพ็ญให้บริสุทธิ์ และควรหยุดเรื่องอารมณ์ความบาดหมาง

จะเดินต่อพยายามให้ถูกทาง เพ่งกำลังความกล้ามากใช่น้อย

สังคมถิ่นบิ่นบ้าเกินเพิ่มมายา หากปัญญาน้อยเกินเก่งกล้าด้อย

เหตุแห่งมิสิ้นขัดสนเกียจคร้านบ่อย ยศเงินน้อยไม่อับจนบำเพ็ญไป

สิ่งที่คู่เคียงอดทนคือเวลา โอกาสจะผลักคุณค่าเกิดขึ้นได้

ฉะนั้นจงมุ่งทางทิศที่ตั้งใจ ด้วยหนึ่งใจผลักดันปราศจากปลอม

ผู้บำเพ็ญขาดเชื่อมั่นย่อมลำบาก ยามเจออุปสรรคหวั่นไม่เคยพร้อม

ซ้ำเคราะห์กรรมหากไม่สิ้นทวีล้อม ขณะเผลอเวลาพร้อมไปไม่ทัน



คนประมาทเดินหน้าไม่อาจสำเร็จ เสมือนเกร็ดแห่งชีวิตคนคือขยัน

ถือหลักการถอยหนึ่งก้าวฝ่าภยัน การอภัยคือของขวัญแห่งชีวิตตน



ฮา ฮา หยุด





พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ

“ลลมพัดเบาเย็นไม่เท่าลมพัดแรง

แต่ลมแรงกลับพัดน้ำกระเพื่อมไหว”_

ตัวเรานั้นมักไม่ค่อยพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ พอมี อย่างหนึ่งก็อยากได้ดีกว่าหรือมากกว่า แต่ถ้าคนเราพอใจ มีความสุขกับสิ่งที่ตนเองมี ก็คงเป็นสุขไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) พอมีหนึ่งแล้วอยากมีสอง มีสองแล้วก็อยากมีสาม แต่พอมีสามแล้วมีใครอยากกลับมาเป็นมีหนึ่งบ้าง บ่อยครั้งที่พอเรามีหนึ่งแล้วก็อยากมีสอง มีสาม แต่พอมีสอง สาม เราก็อยากกลับไปมีหนึ่งใหม่ เป็นอย่างนั้นไหม เหมือนกลอนที่เราให้ พอลมพัดเบา ๆ เราก็รู้สึกว่าเย็นดี แต่น่าจะพัดแรงหน่อย แต่พอลมพัดแรง เสื้อผ้า ผมเผ้าที่อุตส่าห์ทำเสียสวยก็กระจัดกระจายยุ่งเหยิง แล้วก็มาคิดใหม่ว่าลมพัดเบา ๆ นั่นแหละดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้จะโทษคนหรือฟ้าที่ไม่ยอมตามใจเรา (โทษตัวเอง)

มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีคน ๆ หนึ่งเขาทำความดี ฟ้าจึงให้โอกาสเขาขออะไรก็ได้หนึ่งครั้ง เขาก็เลยขอเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็รังแก เขาไม่ได้ พอเป็นอย่างหนึ่งแล้วเขาก็อยากเปลี่ยนแปลงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนไม่รู้จะเป็นอะไรดีแล้ว เขาก็บอกว่าขอ กลับเป็นคนแบบเดิมนั่นแหละดีที่สุด แต่กว่าเขาจะคิดได้ก็สายไป เสียแล้ว เพราะเขาขอได้เพียงครั้งเดียว ใช่หรือเปล่า (ใช่) มนุษย์เราขอได้กี่ครั้ง แก้ได้กี่หน บางครั้งเดินหน้าแล้วเราถอยกลับไม่ได้ หรือบางครั้งถอยหลังแล้วเราอยากเดินหน้าจะได้ไหม เวลาเรา ถอยหลังแล้วเดินหน้าย่อมง่ายกว่าเดินหน้าแล้วถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งมีน้อย ๆ หรือแทบจะไม่มีก็มีความสุขได้ อยู่ที่ว่าเราทำใจได้หรือเปล่า ใจเราติดในความยึดมั่นอะไรจนเกินไปหรือไม่ เช่นนี้ความสุขก็จะหาได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ความทุกข์ก็ยากที่จะเดินเข้ามาหาชีวิตเราได้

“คคนใกล้เรากลับไม่ดีเท่าคนไกล”



คนอยู่ใกล้ ๆ เรา เราไม่เคยชอบเขาเลย กลับบอกว่าคนอยู่ไกลดีกว่าอีก แต่หากบ้านเราหรือคนที่อยู่ใกล้เรา เรายังไม่สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข แล้วเราจะไปอยู่กับใครได้มีความสุข จริงหรือไม่ (จริง) เพราะคนที่อยู่ข้าง ๆ เรายังรักเขาไม่ได้ แล้วเราจะไปรักคนที่เราบอกว่าเขานิสัยดีกว่าคนใกล้ตัวได้หรือไม่ ตอนนี้อาจจะพูดว่าได้ แต่ถ้าถึงคราวไปอยู่ใกล้เขาจริง ๆ เราอาจจะรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้เลยก็ได้

เวลาเราอยู่กับคนในบ้าน เรามักจะไม่ชอบเขา เรามักจะชอบคนข้างนอกบ้าน แล้วยกย่องคนข้างนอกบ้านว่าดีกว่าคนในบ้านเรา แต่พอเราไปมีชีวิตอยู่ร่วมกับเขา เราก็มานั่งนึกเสียใจว่า จริง ๆ ทั้ง คนนอกบ้านและในบ้าน ไม่ต่างกันเลย ไม่ดีพอ ๆ กันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วอย่างนี้เราจะโทษตัวคนในบ้านหรือนอกบ้านดี (ต้องโทษ ตัวเอง) ต้องโทษใจเราต่างหากที่มีปัญหา ไปอยู่กับใครก็ไม่รอด จะไปโทษคนข้างนอกหรือคนในบ้านไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้เป็นผู้ที่พลาดโอกาสหรือผิดหวังไปแล้ว ถึงจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมี สิ่งที่ ตนเองได้รับ หรือรู้ประโยชน์ของคนที่อยู่ใกล้ ถึงตอนนั้นก็สายไป เสียแล้ว เมื่อเรามีชีวิตอยู่ขอให้พินิจพิจารณาให้ดีว่า สิ่งที่เราบอกว่าชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดีนั้นแท้ที่จริงแล้ว มีอะไรที่ลึกซึ้ง มีอะไร มากมายกว่าคำที่เราคิดหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตัวคน ๆ หนึ่ง หรือสิ่งของสิ่งหนึ่ง เราไม่ควรที่จะมองรูปร่างลักษณะเพียงด้านเดียว ทุก ๆ อย่างในโลกนี้ หรือแม้แต่ใจของเราเองยังมีหลายแง่มุม หลายด้าน หลายทิศ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะมองสิ่งใด ไม่ว่าตัวคน หรือสิ่งของ ต้องรู้จักมองหลายด้าน แต่ที่สำคัญก็ต้องถามใจเราด้วยว่าพร้อมจะเปิดกว้าง พร้อมจะยอมรับทุกด้าน ทุกมุมในเรื่องราวความเป็นจริงของคน หรือสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเราหรือไม่ หากเรายอมรับได้ก็ไม่มีปัญหา ชีวิตก็มีความสุขได้

มีความสุขกันหรือเปล่า (มี) ถ้านั่งตรงนี้ยังมีความทุกข์อยู่ ออกไปก็คงยากที่จะหาความสุขได้ สุขจากอะไร (จากที่เรามืดมน ทำให้เราสว่างขึ้น, ชำระจิตใจให้ใจมีความสุข, ทำให้จิตใจผ่องใสบริสุทธิ์ที่ได้ทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์, ได้ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสขึ้น) แต่พอกลับบ้านไปเจอเรื่องที่ไม่ถูกใจก็ขุ่นเหมือนเดิม ใช่หรือไม่

การทำดีแล้วมีความสุขกับการทำชั่วแล้วมีความสุข กระหยิ่มยิ้มย่องใจเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ อย่างไหนมีความสุขมากกว่ากัน (อย่างแรก) เวลาคนที่เราเกลียดเป็นทุกข์เราก็ไม่ควรรู้สึกมีความสุข ยินดีในใจเรา เพราะผู้ที่มีความแค้น ความโกรธเคืองแล้วก็ผูกความแค้น ความโกรธเคืองต่ออีก ก็เท่ากับเราต้องผูกปมไปไม่รู้เท่าไร ฉะนั้นเราอยากหยุดแค้น หยุดปมนั้น เราก็ต้องรู้จักคลายปมออก มีแค้นมาต้องไม่รู้จักแค้นตอบ นั่นคือการเปิดใจเมตตา เสียสละและ ยอมเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)

มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อชดใช้หนี้กรรม,เพื่อบำเพ็ญสร้างกุศล) เราเคยถามตัวเองไหมว่าตั้งแต่เราเล็กจนเติบใหญ่ เราเกิดมาเพื่ออะไร บางคนคิดว่าเราเกิดมาเพื่ออยู่ไปวัน ๆ มีงานการ มี ครอบครัวที่เป็นสุข (เกิดมาเพื่อช่วยเพื่อนร่วมโลก,เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ,เกิดมาเพราะว่าบัญชาของสวรรค์หรือนรกก็ไม่ทราบ) เป็น คำตอบที่แปลกพอสมควร แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่า เรายังไม่รู้ว่าเรามาจากไหน ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่เราสามารถกำหนดทิศทางที่เราจะกลับได้ แม้เราไม่รู้ว่าอดีตเรามาจากไหน แต่ต่อไปเราต้องสามารถกำหนด และมุ่งหมายที่จะไปให้ถึงตรงนั้นได้ หากตอนนี้เราไม่รู้ แล้วเราก็กลัวว่าเราจะมาจากเบื้องล่างมากกว่าเบื้องบน ตอนที่เรามีชีวิตอยู่เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองไม่กลับไปยังเบื้องล่าง ให้ตนเองมุ่งไปสู่เบื้องบนให้จงได้

มีคำกล่าวไว้ว่ามนุษย์นั้นเกิดมาเพื่อความชอบธรรม หากวันใดวันหนึ่งเราสูญเสียความชอบธรรมไป แม้เราจะมีชีวิตรอดก็เป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น เพราะหากมนุษย์เราเกิดมา แต่มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สนใจคุณธรรมความดี เขาจะเป็นคนดีได้หรือไม่ คนดีเท่านั้นถึงจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม เป็นที่ต้องการของสังคม และคนดีเท่านั้นถึงจะเชิดชูประเทศ เมือง ครอบครัว หรือตัวตน ให้มีความผาสุกร่มเย็นได้

หากเรามีชีวิตอยู่โดยไม่เคยคำนึงถึงความชอบธรรม แม้จะรอดพ้นไปได้ก็เป็นความโชคดีเพียงชั่วครู่เท่านั้น บนโลกใบนี้คนที่ โชคดีบ่อย ๆ มีน้อยมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) โชคมักจะมาน้อยครั้ง แต่เคราะห์กรรมและความทุกข์ยากมักจะมาบ่อยครั้ง หากทุกวันเราปฏิบัติดี กระทำแต่สิ่งที่ดี แม้จะมีโชคร้ายไปบ้างเราก็ไม่กลัว เพราะเราทำดีมาตลอดชีวิต กลับไปเราก็ต้องได้ดีแน่นอน แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่เคยคำนึงถึงความดี เวลาทำอะไรก็ไม่เคยสนใจเรื่องความดี จะกลับไปก็ต้องหวาดผวาและหวาดกลัว ฉะนั้นเวลาเราเกิดมาเราต้องรู้ด้วยว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อแค่มีชีวิตอยู่ไปวันหนึ่ง หรือเพียงเพื่อมีครอบครัวเท่านั้น เราต้องสามารถมีชีวิตอยู่แล้วสามารถที่จะ มุ่งไปสู่อนาคตที่แจ่มใสและสว่างไสวได้ด้วย

ในที่นี้ทุกคนชอบที่จะกระทำความดี แต่การทำความดีที่แท้จริงต้องไม่ขึ้นอยู่กับความพอใจ หรือมาตรการใดของสังคม ความดี ที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับกฎแห่งสัจธรรม ซึ่งไม่ผันแปรไปตามบุคคลหรือสถานการณ์ใด คนทำดีที่แท้จริงต้องทำดีเพราะตนเองต้องการที่จะทำ และยืนหยัดที่จะรักษาความดีนี้ให้คงอยู่กับโลก ไม่ใช่ทำเพราะว่าใจเราพึงพอใจ ใจเราอยากจะทำ แต่ต้องทำเพราะว่าเราต้องการรักษาความดีไว้ให้อยู่เคียงคู่กับโลกนี้นิจนิรันดร์

ผู้ที่รักษาความดีได้ เวลาไปอยู่ที่ใดความดีก็จะต้องแวดล้อม ผู้นั้น เสมือนกับว่าการถนอมใจคนนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถนอมใจ คนหนึ่งแล้วต้องบิดเบือนความเป็นจริงแห่งสัจธรรม อย่างนั้นเรา ไม่ควรทำ เพราะว่าการบิดเบือนความเป็นจริงแห่งคุณธรรม เท่ากับว่าเราต้องการรักษาอัตตา ความยึดมั่นถือมั่น ความเอาใจเขาโดยไม่เห็นความถูกต้องเป็นหลักใหญ่มากกว่าความถูกต้องแห่งหลักสัจธรรม ซึ่งเป็นการทำที่ไม่ถูก เพราะว่าการถนอมใจคนเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้า ถนอมใจแล้ว ต้องบิดเบือนความเป็นจริง บิดเบือนหลักสัจธรรมเรา ไม่ควรทำ เพราะว่าการทำลายอัตตา ความยึดมั่นถือมั่น หรือ การเอาใจเขา ย่อมประเสริฐกว่าทำลายสัจธรรมความเป็นจริงแห่งชีวิต

หากเรามีชีวิตอยู่ เราทำความดีเพราะว่าต้องการรักษาหน้า ต้องการเอาใจเขา อย่างนี้ย่อมไม่ได้ผลดี เพราะว่าเราทำไม่ใช่เพื่อ ยึดมั่นในสัจธรรมของโลก แต่เราทำเพราะต้องการเอาใจเขา เป็นการทำความดีที่ไม่ถูกต้อง คนที่ทำความดีต้องทำเพราะต้องการธำรงซึ่งสัจธรรมความเป็นจริงที่ว่า “ททำดีย่อมได้รับผลดี” ทำดีเพราะเห็นเขาเดือดร้อน เป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะว่าเอาหน้าหรือเอาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

คนที่ทำดีแล้วย่อมไม่หวาดกลัวว่าคนอื่นจะว่าเขาไม่ดี เพราะไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนความดีย่อมฉายปรากฏ ไม่ว่ามองมุมใดก็ย่อมเห็นความดีของเขาได้ ไม่เหมือนคนที่ไม่เคยทำความดี เขาจะต้องทน ไม่ได้ที่คนอื่นว่าเขาเป็นคนไม่ดี ไม่ได้เรื่อง พอเขาทำดีได้ครั้งหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอวด ที่จะสำแดง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคนดี ที่แท้จริงต้องไม่กลัว ไม่อวดตน ถ้ามองเมื่อใดก็เห็นความดีเขาได้ เมื่อนั้น เขาก็เป็นคนที่สามารถสร้างความดีได้ทุก ๆ โอกาส ทุก ๆ สถานการณ์

การทำความดีเราย่อมได้รับผลดี แต่บางครั้งเราแสดงความเป็นเจ้าของความดีนั้นไม่ได้ เหมือนเวลาเราจุดตะเกียงให้แสงสว่างแก่ผู้มืดมน เราไม่สามารถครอบครองแสงสว่างเป็นของเราได้ หรือเวลาเรามีน้ำใจลุกให้คนอื่นนั่ง แม้ตนเองจะต้องยืน หรือเรามีเงิน เพียงเล็กน้อย แต่เขาทุกข์ยากกว่า เรายินดียอมสละให้ บางครั้งเรา ไม่สามารถครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของขณะที่สละได้ แต่ทุกครั้งที่เราได้ทำเราก็รู้สึกสบายใจ อิ่มเอิบและเป็นสุขใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสเราก็ทำดีไปเถิด อย่าทำเพราะว่าตามใจหรือต้องการรักษาหน้า แต่ทำเพราะว่าต้องการธำรงความดีให้อยู่คู่กับโลกและความเป็นจริงบนโลกนี้นิจนิรันดร์ หากทุกขณะเราทำเช่นนี้เราก็ไม่หวาดกลัว แม้ดีนั้นจะออกมาผลร้ายหรือเสียก็ตาม เพราะทำแล้วเราไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ เราจึงไม่หวาดกลัวผลที่ตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำดีแล้วต้องตั้งใจทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่ ทำอย่างไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างนี้ผลก็ยากที่จะดีได้อย่าง แท้จริง จึงมีคำกล่าวว่า “กการหมั่นสร้างความดีก็เหมือนการจุด แสง จุดโคมไฟอันสว่างไสว อันทรงคุณค่าให้กับผู้อื่น” คนที่ จุดแสงย่อมได้รับความอิ่มเอิบใจและความสว่างไสวแห่งแสงของ การให้นั้น หากทุก ๆ วันเราหมั่นทำ จิตใจของเรา ก็ย่อมสว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการทำความดีก็เหมือนจุดแสงสว่างในใจของเรา ให้จิตใจเราเบิกบาน สดชื่นและแจ่มใส หากมีโอกาสขอให้รีบทำ ไม่เสียหลายอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)

“คความสะดวกที่แฝงทุกข์อันขื่นขม หลงชื่นชมสบายเข็ญภายหลัง”



มนุษย์เรามักจะติดอยู่กับความสบายมากกว่าความลำบาก ถ้าบอกว่ามานั่งฟังแล้วต้องทนความลำบาก ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะมานั่ง แต่ถ้าบอกว่ามานั่งฟังแล้วเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้ของดีก็เปลี่ยนใจทันที เพราะมีผลได้ มนุษย์เรายอมแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองต้องการก็ต่อเมื่อตนเองมีผลประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่บนโลกเราจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีผลประโยชน์ต่อกัน ไม่ใช่อยู่อย่างมีน้ำใจและจริงใจต่อกัน แต่ต้องดูด้วยว่าเราหวัง ผลประโยชน์มากเกินไปหรือเปล่า หากหวังผลประโยชน์แต่ตนโดย ไม่คิดที่จะสละให้คนอื่น อย่างนี้ก็ไม่เหมาะสม เขาเรียกกันว่า คนเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่านต้องการคนประเภทนี้หรือ ใจประเภทนี้ไหม (ไม่ต้องการ) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกับคนอื่นเพราะว่า ผลประโยชน์เป็นหลัก ก็ไม่เหมาะสม วันนี้มานั่งฟังเพราะผลประโยชน์เป็นหลักก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) การอยู่ร่วมกับใคร เราย่อมเสียประโยชน์บ้าง ต้องการแต่ได้อย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะว่าความสบายนั้นบางครั้งก็ขม ความทุกข์ยากที่เราว่าขม บางทีก็ให้ แง่คิดและความสบายได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะอะไร เราถึงคิดเช่นนี้ เราพูดกลับตาลปัตรหรือ

“คความทุกข์ยากบางทีให้ความหวาน แต่ความสบายบางทีให้ความขม” เข้าใจประโยคนี้ไหม ถ้าเกิดว่าคน ๆ หนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายมาตลอด อยากได้อะไรก็ได้สมหวัง ต่อไปเขาจะเป็น เช่นไร แต่คนอีกประเภทหนึ่งเป็นคนที่ไม่ได้อะไรมาโดยง่าย จะต้องฝ่าความยากลำบาก ต้องฝ่าความเจ็บปวดนานัปการถึงจะได้มา สักอย่างหนึ่ง คนที่ชีวิตเขาจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์กว่าก็ต้องเป็น คนที่สอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรารู้อย่างนี้แล้วทำไมเราถึงเลือก ความสบายมากกว่าความลำบาก แท้ที่จริงแล้วคนที่ยอมลำบากตลอดชีวิตกลับมีบั้นปลายชีวิตที่เป็นสุขมากกว่าคนที่สบายมา ตลอดชีวิตแต่มีบั้นปลายที่เป็นทุกข์ อยู่ที่ว่าใจเราเอาชนะความ เป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงของเรื่องราวบนโลกนี้ได้หรือไม่ ถ้าเอาชนะได้แล้วเรายอมทน ยอมฝ่าความลำบากไปได้ ตัวเรา นั่นแหละที่จะค้นพบความเป็นจริง ที่แท้ ที่สงบสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะเราเอาชนะใจดวงที่ชอบกำหนดอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ รู้ทั้งรู้แต่ก็ทำไม่ได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)

การดำรงชีวิตเรานอกจากต้องระวังทุกฝีก้าวแล้ว ต้องระวังเรื่องการมีความรักและความชอบอีก เพราะว่านอกจากจะนำตัวตนเองแล้ว บางครั้งตำแหน่งและโอกาสทำให้เราต้องรู้จักนำผู้อื่นให้เป็นด้วย ท่านเคยได้ยินไหมว่าผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไร ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องว่าตามนั้น เพราะฉะนั้นใจเราคิดอย่างไรการกระทำของเราก็ต้องเป็นไปตามนั้น เราจึงไม่ควรระวังแค่ทุกฝีก้าว แต่เราต้องระวังเรื่องความรักและความชอบด้วย หากจิตใจเรารักเรื่องทางโลก รักเรื่องโลกีย์ ไม่สนใจเรื่องทางธรรม ท่านก็ไม่คิดจะเดินเข้ามาศึกษา หลักธรรม แล้ววันนี้ก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้

เรื่องการรักและการชอบเราจึงต้องระวัง เพราะว่านอกจากเราจะนำตัวเราเองแล้วยังต้องนำผู้อื่น หากเราชอบสิ่งใดคนที่อยู่ใต้ บังคับบัญชาเรา หรือลูกหลานที่อยู่ในครอบครัวเดียวกับเราก็ต้องชอบสิ่งนั้นตามเราด้วย ไม่มากก็น้อย หรือบางทีก็ติดนิสัยเราไปโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเวลาที่เรามีชีวิตอยู่เราจึงต้องระวังที่จะรักจะชอบสิ่งใด หากไม่เหมาะสม ก็ต้องเลิกทำ หากไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเราก็ควรแก้ไขทันทีทันใด เราต้องระวังแม้ความรักและความชอบของเราเพียงน้อยนิด และจากครอบครัวหนึ่งที่มีความสุภาพ อ่อนน้อม อาจทำให้เมือง ๆ หนึ่งสุภาพอ่อนน้อมตามครอบครัวนั้นได้ จากครอบครัวหนึ่งที่ร่มเย็นมีความสุข เมือง ๆ หนึ่งก็อาจจะมีความสุขเช่นครอบครัวนั้นได้เช่นกัน

คน ๆ หนึ่งหากมีความทะเยอทะยาน ไม่สนใจเรื่อง ความชอบธรรม ไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและการบำเพ็ญตน การทำความดีแล้ว เขาก็ย่อมจะมีผลกระทบต่อครอบครัวและบ้านเมือง ไม่มากก็น้อย คนก็คือรากฐานของครอบครัวแล้วครอบครัวก็คือ รากฐานของสังคม หากคนคิดผิดแล้วดำเนินชีวิตผิด อย่าพูดว่าตนเองไม่มีผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม จริง ๆ แล้วย่อมมีไม่มากก็น้อย จึงมีคำกล่าวว่า “ธธรรมชาตินั้นมีอิทธิพลต่อตัวเราไม่มากก็น้อย” และสอดคล้องกับประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “กกิจการหนึ่งจะล่มจมหรือหายนะ ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดเพียงประโยคเดียว คน ๆ หนึ่งจะทำให้บ้านเมืองเป็นสุขหรือวุ่นวาย ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจของเขาชั่วขณะหนึ่งคิดจะทำอย่างไร”

ดังนั้นคนเรานอกจากจะมีผลต่อตนเอง ต่อครอบครัวแล้ว ยังมีผลต่อประเทศชาติด้วย ฉะนั้นเราอยากเรียกร้องให้คนอื่นเป็นคนดี เราต้องเริ่มที่ตัวเอง เราอยากเรียกร้องให้บ้านเมืองมีความสุขร่มเย็นควรเรียกร้องที่ครอบครัว แล้วครอบครัวจะเริ่มต้นจากใคร (ตัวเอง )

อากาศเปลี่ยนแปลงทำให้สภาพร่างกายของเราที่ไม่เข้มแข็งอ่อนแอลงได้ สภาพข้างนอกจึงมีผลต่อจิตใจเหมือนกัน ถ้าจิตใจของเราไม่เข้มแข็งและมุ่งมั่นพอ เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปตาม สภาวะแวดล้อมได้ ธรรมชาติสอนให้เรารู้จักคิดและสอนให้เรามีชีวิตให้ถูกต้อง ข้างนอกโหดร้ายเพียงใด แต่ใจบางคนไม่โหดร้ายตาม ทำไมเขายังรักษาความดีได้ ก็เพราะว่าจิตใจของเขาตอนนั้นเข้มแข็ง ถ้าสภาวะแวดล้อมอ่อนแอแล้วใจอ่อนแอ ก็ต้องปรวนแปรไปตามสภาวะแวดล้อม แต่ถ้าจิตใจเรามุ่งมั่นในการที่จะรักษาความดี สภาวะแวดล้อมข้างนอกก็ยากจะมีผลต่อจิตใจเราได้ ฉะนั้นอย่าโทษแต่เพียงผู้อื่น แต่เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราอ่อนแอหรือเปล่า จิตใจเราง่ายต่อการผันแปรไปตามข้างนอกหรือไม่ ทำไมข้างนอกปรวนแปรแต่ใจเรายังนิ่งได้ ทำไมข้างนอกสงบนิ่งแต่ใจเรากลับปรวนแปร บางครั้งเราต้องถามตัวเอง ไม่ใช่โทษฟ้าดินหรือคนอื่น แต่ต้องถาม ตัวเองแล้วแก้ไขที่ตัวเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ถูกต้อง

คนดีจะดำรงชีวิตอยู่บนโลกอย่างไรดี (ศึกษาธรรมะ) แต่บางครั้งเมื่อเราเจอโอกาสแล้ว เรามัวแต่กางหนังสือดูจะแก้ สถานการณ์นั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้) ศึกษาแล้วเราต้องรู้จักน้อมนำใส่ใจ เพราะเมื่อเราเผชิญสถานการณ์นั้น เราไม่สามารถพกคัมภีร์ได้เป็นเล่ม ๆ แต่เราต้องพกปัญญาที่รู้จักพลิกแพลง ถ้าพกแต่สมองกลวง ๆ ก็แก้ไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ศึกษาแล้วต้องรู้จักน้อมนำใส่ใจแล้วก็ พลิกแพลงเอาไปใช้ได้ทันเหตุการณ์

คนดีจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร (ต้องมีความรักความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก) แต่ต้องรักให้ถูกต้องไม่ใช่รักแล้วหลง เพราะว่าบางครั้งเวลาเรามีอารมณ์ต่อคน ๆ หนึ่ง เรามักจะมองไม่เห็นความเป็นจริงของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เรารักทุกคนได้แต่เราก็ต้อง แยกแยะให้ถูกด้วยว่าอะไรถูกอะไรควร อะไรควรรักหรือไม่รัก (ต้องรู้จักเสียสละบ้างตามโอกาสและอัตตภาพของเรา) ปรบมือให้ เขาหน่อย เพราะอะไรเราถึงให้ปรบมือ (ให้รางวัล, ให้รู้จัก การเสียสละ) เพราะว่าโลกใบนี้ขาดแคลนคนเสียสละและคนที่รู้จักให้ มนุษย์เรารู้จักแต่ที่จะเรียกร้องความสุข แต่ลืมเรียกร้องความสุขจากตนเอง มัวแต่เรียกร้องผู้อื่น แล้วก็ด่าทอผู้อื่นว่าทำให้เราทุกข์ แต่แท้จริงแล้วสาเหตุที่เกิดจากทุกข์นั้นก็มักจะเป็นที่ตนเองไม่พอใจในสิ่งตัวเองได้รับ แล้วก็ไม่พอใจในคนที่อยู่รอบข้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)

หากเรามีความสุข แม้จะไม่เป็นสุขที่เราพอใจมากนักแต่ยอมเสียสละ ได้เท่านี้ก็พอแล้ว เป็นสุขแล้ว หากเรารู้จักเสียสละ รับเท่านี้ เป็นสุขเท่านี้ คนอื่นก็ยากที่จะเดือดร้อนกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)

นอกจากเราจะรู้จักดำเนินชีวิตให้กับตนเองให้เป็นแล้ว เราต้องรู้จักที่จะดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) การอยู่ร่วมกับคนอื่นให้เป็น เราก็ต้องมีแนวทางของตนเองที่ถูกต้อง ไม่ใช่คนนำจะนำอย่างไรก็ตามไปอย่างนั้น โดยที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง อย่างนี้ก็ไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราควรจะมีแนวทางอย่างไรให้กับตนเองดี (บำเพ็ญตนให้เป็นคนดี) ใครว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นไม่เคยขัดใจเขา ตามใจเขาตลอด อย่างนี้เรียกว่าคนดี แต่ดีเฉพาะกับคนนั้นคนเดียว แต่เป็นโทษต่อคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)

การอยู่ร่วมกับคนอื่นเราต้องรู้จักอะไร (รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา) รักเขาได้เหมือนรักตัวเราเอง เช่นนี้เราก็ยากจะทำให้เขาเดือดร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือเวลาเรามีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น เราต้อง รู้จักที่จะไม่นำพาตนเองลงไปที่ต่ำ สิ่งใดที่ไม่เหมาะสมเราก็ไม่ควรทำ เราต้องมีแนวทางที่ถูกต้องให้กับตนเอง หากเขาบอกว่าดี แต่ถ้านำพาไปในทางที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ควรที่จะตามเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้จักวางตนเองให้เป็นกลาง ไม่ใช่เอนเอียงหรือยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองจนเกินไป แล้วที่ใดที่ทำให้ตนเอง ไม่สามารถเป็นตัวตนเองได้อย่างถูกต้อง หรือทำให้ตนเองไม่สามารถรักษาทำนองคลองธรรม เราก็ไม่ควรจะไป ดังนั้นสิ่งใดที่ไม่ควรจะทำเราจะทำหรือไม่ (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อีกหรือ ถ้าเกิดว่าไม่ควรทำแต่ใจท่านชอบ ระหว่างความชอบธรรมกับอารมณ์ท่านจะเลือกสิ่งใด (ขึ้นกับว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ในสังคมเลว สิ่งที่ผิดเขาถือว่าเป็นความชอบธรรม ถ้าเราอยู่ในหมู่โจรที่มีการปล้นจี้ ถ้าเราไม่ร่วมทำกับเขา เราก็คือคนนอกคอก สังคมพวกติดยาเสพติด ความชอบของเขาคือการเสพยาเสพติด แต่ในสังคมคนดีมองสิ่งพวกนี้คือสิ่งชั่วร้าย ทุกวันนี้ยังหาเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความเลวไม่ได้ คนชั่วที่ค้ายาเสพติด เขาได้เงินแล้วนำไปบริจาคให้วัดตามต่างจังหวัด ให้เด็กตามชนบท นำเงินมาเลี้ยงดูบุพการีที่บ้าน อย่างนี้ทางโลกเรียกเขาว่า อาชญากร เป็นคนเลวของสังคม แต่ในทางธรรมผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเหล่านี้คือสิ่งผิดหรือถูก ขึ้นกับอยู่ในสถานการณ์ใด และสังคมแบบใด)

เราจะสรุปคำถามของท่านนี้ให้ฟัง เขาบอกว่า มีคน ๆ หนึ่ง อยากจะเลี้ยงดูบุพการี แต่เขาหาเงินโดยการทำทุจริต และเอาเงินนั้นมาเลี้ยงบุพการี อย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือคนไม่ดีกันแน่ เราก็ต้องตอบว่าพูดยาก บางทีตอนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คำว่าดีหรือไม่ดี มาตัดสิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าตลอดชีวิตเราต้องมาหาเส้นกลางการแบ่ง เราก็ต้องเหนื่อยกับการหา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งที่เรารู้อยู่อย่างหนึ่ง ก็คือถ้ามีเหตุที่จะต้องทำให้เราตกต่ำ การดีดตัวเองจากความตกต่ำโดยการประพฤติมิชอบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรที่จะกระทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่การดีดตนเองจากสิ่งที่ตกต่ำเพื่อช่วยเหลือ ครอบครัว หรือช่วยเหลือตนเองนั้น เราสามารถหาทางได้แต่ช้าหน่อย น้อยหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงจะช้าและน้อยแต่ก็มีความสุขแล้วไม่ต้องรับผลอันน่ากลัว ย่อมดีกว่าได้ความสุขมาไวแต่ต้องหวาดกลัว แล้วก็ไม่ใช่เราหวาดกลัวคนเดียวแต่กลับต้องทำให้พ่อแม่หวาดกลัวไปด้วย

ตอนนี้ท่านคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ถูกหรือผิด (ผิด)

มีคำกล่าวว่าคนที่ประเสริฐนั้น ถ้าเขามีฐานะที่สูงส่ง เขาจะไม่เหยียดหยามคนต่ำต้อย เพราะเขารู้ว่าทุกคนเมื่อสูงได้ก็ต่ำได้ เวลาเขาสูง เขาต้องรู้จักแบ่งปันให้กับคนอื่นเป็น เขาจึงไม่มีวันจะต่ำต้อย แต่คนที่ต่ำจะดีดตนเองจากการเป็นคนต่ำต้อยโดยการประพฤติมิชอบ แล้วมาทำดีทีหลังย่อมไม่มีผลดีเท่าไร สู้ยอมรับสิ่งที่ตนเองต่ำต้อย แล้วค่อย ๆ ทำดีสั่งสมไป ค่อย ๆ ดีดตัวเองทีละน้อย ช้าหน่อยแต่ ถูกทำนองคลองธรรมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่คนในโลกนี้ยอมดีดตนเองจากความต่ำต้อยแล้วมาทำดีทีหลัง อย่างนี้จะมีผลอะไร พอสังคมตัดสิน ฟ้าดินตัดสิน เขาก็บอกว่าไม่ยุติธรรมได้หรือเปล่า ตอนแรกที่เขามีความสุขในสิ่งที่ทำนั่นคือผลของการกระทำดีของเขา แต่ต่อไปเขาต้องได้รับโทษนั่นคือผลของการทำผิดของเขา

เราพูดเท่านี้พอจะหาเส้นแบ่งได้หรือไม่ แต่ถ้าเราเลือกเกิด ไม่ได้ เรามีชีวิตอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่โหดร้าย เราจำเป็นต้องโหดร้ายตามไหม (ไม่จำเป็น) พอรู้เรื่องแล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด เราก็สามารถออกจากที่นั้นได้

ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า หากพ่อแม่ทำผิด ลูกสามารถค่อย ๆ พูดตักเตือน ค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมทีละน้อยได้ ไม่ใช่พอพ่อแม่ ทำผิด เราก็พลอยทำผิดตาม อย่างนี้ก็ไม่ใช่ลูกที่กตัญญู ใช่หรือเปล่า ถ้าหากสังคมในปัจจุบันนี้เลวร้าย และท่านก็ไม่สามารถยืนหยัดในการเป็นคนดีได้ อย่างนี้โลกไม่ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่หรือ แล้วคุณธรรมจะมีไว้ทำไม ความดี ความชอบและความยุติธรรมจะอยู่ที่ไหนถ้าทุกคนปฏิบัติตามสังคมกันไปเสียหมด ทำไมเราไม่คิดว่าตัวเราสามารถเป็นผู้เกลี้ยกล่อมเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เมื่อสักครู่เราก็กล่าวไว้ว่า แม้โลกจะเลวร้ายแต่ถ้าท่านดี ท่านจะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ แต่ต้องดีให้เพียงพอ ให้หนักแน่น ให้เห็นชัด เขาถึงจะคล้อยตามท่านได้ แต่ถ้าท่านดีไม่หนักแน่น ไม่เห็นชัด เขาก็จะคล้อยตามท่านไม่ได้

เหมือนอย่างที่เราเคยกล่าวไว้ว่า ไม่ใช่ธรรมะไม่สามารถชนะอธรรม แต่เพราะว่าธรรมะมีน้อยเกินไป จึงไม่สามารถชนะอธรรมได้ ไม่ใช่ว่าฝนชะล้างสิ่งสกปรกไม่ได้ แต่เพราะว่าฝนตกน้อยเกินไป ไม่ใช่ว่าน้ำดับไฟไม่ได้ แต่น้ำแค่ขันเดียวจะดับไฟกองพะเนินก็ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าสถานการณ์เลวร้าย ท่านก็ยังเลวร้าย แล้วโลกจะหาคนดีและความยุติธรรมได้จากไหนล่ะ จริงหรือไม่ ( จริง)

ขอให้ไตร่ตรองให้ดี คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีและมีประโยชน์ต่อทุก ๆ ท่าน บ่อยครั้งที่เพื่อนฝูงชวนเราไปในทางที่ไม่ดี ถ้าเราจิตใจไม่เที่ยงตรง ไม่มั่นคงในการทำความดี เราก็ย่อมง่ายที่จะเอนเอียงตามเขา อย่างนี้ความดีจะปรากฏอยู่ในใจท่านก็ไม่ได้ หรือท่านจะไปเปลี่ยนแปลงเพื่อนท่านก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ ) ทำไมเสือที่ดุร้าย ท่านยังสามารถเอามาเลี้ยงได้ ท่านจะเปลี่ยนแปลงความไม่ดีที่อยู่ในสังคมได้ ก็ต้องรู้จักวิธี มนุษย์มีปัญญา มีโอกาสได้เรียนรู้ มีประวัติศาสตร์ ที่คอยสอนให้รู้ว่าควรทำอย่างไร ทำไมเราไม่รู้จักเอามาใช้และพลิกแพลงใช้ให้ถูกกาล ปัญญาเราก็มี ความดีเราก็หาได้ อยู่ที่ว่าเราใช้แล้วเด็ดขาดหรือเปล่า เรามุ่งมั่นที่จะกระทำหรือไม่ ไม่ใช่ตามเขาไปหมด แล้วจะหาดี ได้อย่างไร

“เเหตุแห่งมิสิ้นขัดสนเกียจคร้านบ่อย”



เราต้องมีความขยันหมั่นเพียรที่จะกระทำ มิใช่พอทำดีแล้ว วันนี้ขอพักผ่อนก่อน อย่างนี้ก็ยากที่จะปลูกต้นความดีให้เบ่งบานได้ ถ้าเกิดวันที่ท่านพักผ่อนแล้วเขามาดูท่านท่านกลับกลายเป็นคนไม่ดี ไปเสียแล้ว อย่างนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงตามท่านได้หรือไม่ (ไม่ได้ )

“ยยศเงินน้อยไม่อับจนบำเพ็ญไป”

ขอเพียงเรารับสภาพได้ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ยอมลำบากหน่อยเพื่อจะพื้นฟูความดีให้ปรากฏ ก็ไม่เสียหลาย แต่มนุษย์มักจะ ทนความลำบากไม่ได้ ถ้าบอกว่าลำบากหน่อยก็ไม่ยอมทำ บอกว่าทนหน่อยเพื่อจะได้ฟื้นฟูและยึดมั่นอยู่กับความดีนี้ให้ปรากฏให้จงได้ บางคนก็ทนไม่ไหว ยอมแพ้ไปเสียก่อน

ทุกคนมีอวัยวะต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป แต่ก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือมีครบทุกส่วน ร่างกายของเรานี้เปรียบเหมือนตะกร้าใบหนึ่ง ถ้าท่านมีโอกาสได้ใช้ ท่านจะใช้แค่ตักตวงเงินทอง หรือใช้เพื่อเอาไปช่วยเหลือชีวิตคน (ช่วยเหลือคน) ตอนนี้ก็พูดว่าช่วยเหลือชีวิต แต่พอหมดสามวันนี้ไปก็ขอไปตักตวงเงินทองก่อน

“สสิ่งที่คู่เคียงอดทนคือเวลา โอกาสจะผลักคุณค่าเกิดขึ้นได้”



เรามีเวลาแห่งชีวิต แห่งลมหายใจ บางคนเวลาแห่งลมหายใจคือการฉุดช่วยคน บางคนคือการเบียดเบียนและทำร้ายคน บางคนคือเอาเงินทองเข้ากระเป๋า แล้วเวลาแห่งลมหายใจที่เราได้เรียนรู้ตอนนี้ เราจะเลือกทางใด (ฉุดช่วยคน) ถ้าเราบอกว่าทั้งชีวิตให้ท่านช่วย คนตลอด ก็เป็นการทำร้ายท่านทางอ้อม แต่การบำเพ็ญยุคสามนี้ก็คือรู้จักแบ่งเวลาให้เป็น เอาเวลาว่างจากการไปเที่ยวสนุกสนานมาช่วยเหลือคน มีโอกาสเห็นคนตกทุกข์ได้ยากก็เอื้อมมือไปช่วยเหลือ ตอนนี้เรามีเรี่ยวแรง มีโอกาสแล้วเราก็สามารถมีเวลาได้ แต่คนบางคนเหลือเพียงใจที่ต้องการจะบำเพ็ญ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงและโอกาส ก็น่าเสียดาย แม้ตอนนั้นจะมีใจก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ตัวเองมีทั้งใจ กาย เรี่ยวแรงและโอกาส ขอให้สละมาช่วยเหลือตนเองและ ผู้คน หากบางส่วนที่มาศึกษาวันนี้ยังมีความไม่เข้าใจ มีข้อสงสัยก็ ขอให้มาศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่ว่ามาสามวันแล้วก็จบกัน แล้วออกไปบำเพ็ญ บางทีก็ยังไม่สามารถเข้าใจและบำเพ็ญได้ถูกต้อง เพราะยังมีข้อกังขาและข้อสงสัยอยู่ในใจของท่านไม่มากก็น้อย

สงสัยอะไรบ้าง (สายทองมีหลายสาย เราสามารถรับได้ทุกสายหรือไม่) จริง ๆ แล้วมีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น แต่การฉุดช่วยคนต้องแตกไปหลายสายถึงจะช่วยคนได้ทั่วโลก การรับต้องรับเพียงครั้งเดียว (รับเพียงครั้งเดียวแต่สามารถไปได้ทุกสายหรือไม่) แต่ละสายมีวิธีการบำเพ็ญและการช่วยแตกต่างกันออกไป หากวันนี้ท่านเรียนสี่วิธีแต่ให้ท่านใช้เพียงวิธีเดียว ท่านสับสนไหม (สับสน) ฉะนั้นท่านต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง กว่าท่านจะเลือกได้ก็ต้องชั่งใจตั้งนาน ถ้าเวลาของชีวิต ไม่สามารถให้โอกาสท่านชั่งใจได้นาน ท่านจึงไม่สามารถที่จะทำได้ สักวิธี พอไม่สามารถทำได้สักวิธีหนึ่ง ท่านก็อดบำเพ็ญไปเสียแล้ว ใช่หรือไม่

การแบ่งเป็นหลายสายและมีหลายวิธี ก็แล้วแต่ผู้นำ เพราะว่าผู้นำแต่ละคนก็มีการนำพาคนแตกต่างกันออกไป ถ้าเกิดเรายึด กลุ่มหนึ่ง ศึกษาวิธีหนึ่งให้ชัดเจนและเรียนรู้ให้ได้ เราย่อมสำเร็จ มากกว่ายึดสี่วิธีแล้วทำไม่ได้สักวิธี (ถ้าศึกษาสายทองสายนี้ แต่ฉุดให้ผู้อื่นไปรับอีกสายหนึ่งได้ไหม) แล้วท่านจะสอนหรือแนะนำเขาได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ท่านและเขาเรียนรู้นั้นเป็นคนละแบบกัน เวลาท่านจะสอนเขาก็ต้องไม่เหมือนกัน ถ้าท่านเอาแบบที่นี่ไปสอนที่นั่น เอาการเดินแบบที่นี่ไปสอนเขา เขาก็จะเดินไม่ได้ และก็จะเป็นคนแปลกของสายเขา แล้วท่านจะดึงเขาทางไหนจึงจะช่วยเขาได้

การช่วยคนนั้นก็มีหลายแบบ หลายวิธี แต่การจะช่วยคน ๆ หนึ่งให้ตลอดรอดฝั่งต้องอาศัยความอดทนของจิตใจเราไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละคนก็มีลักษณะบุคลิกแตกต่างกันออกไป การช่วย คน ๆ หนึ่งจึงเป็นการฝึกฝนจิตใจของเราระดับหนึ่ง คน ๆ หนึ่งก็มีอารมณ์แบบหนึ่งที่เขายังขัดไม่ได้ แก้ไม่ได้ ถ้าเราช่วยสิบคน ก็จะเจออารมณ์สิบแบบในการขัดตัวเรา และถ้าเราเจอคนร้อยคนแล้วเราช่วยได้ร้อยคน เราก็สามารถขัดอารมณ์ของเราได้ร้อยอย่าง จริงหรือไม่ (จริง) การช่วยคน ๆ หนึ่งก็มีประโยชน์ตรงนี้ อย่าคิดว่าการช่วย คน ๆ หนึ่งทำให้เรารู้สึกขัดใจ ลำบากใจ เราเลยไม่ช่วยเขา อย่างนั้นก็แปลว่าเราไม่ยอมขัด อารมณ์ตรงนั้น มิใช่เขาคนเดียวที่ไม่ยอมขัด แต่ตัวเราเองก็ไม่ยอมขัดสิ่งที่เขามีเหมือนกับที่เรามี ใช่หรือเปล่า (ใช่)

มนุษย์เราเวลามีชีวิตอยู่ เราต้องตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะว่าเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตเรา เข้ามากระทบจิตใจเรามักจะไม่เคยซ้ำแบบ หากเรารู้จักเตรียมพร้อมรับอยู่เสมอย่อมไม่เสียหลายอะไร อย่าปล่อยจิตใจพลั้งเผลอไป เพราะจะทำให้ทำผิดโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นนอกจากเราจะรู้จักระมัดระวังในเรื่องที่รัก เรื่องที่ชอบแล้ว เรายังต้องรู้จักระมัดระวัง ในการก้าวเดินด้วยความไม่ประมาทด้วย เพราะหลายครั้งที่อุปสรรคมาแล้ว เราไม่พร้อมที่จะรับ พอใจไม่พร้อมที่จะรับ เราก็พ่ายแพ้ไปครึ่งทางแล้ว ฉะนั้นใจเราต้องพร้อมรับทุกเรื่องราว รวมทั้ง ความเป็นจริงของโลกใบนี้ด้วย ถ้าเรารับได้ ก็เป็นสุขได้ แล้วเราก็รู้จักที่จะแก้ไขและหาวิถีทางที่จะทำ ที่จะฟันฝ่าไปให้ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)





“ถถือหลักการถอยหนึ่งก้าวฝ่าภยัน”

ถ้าเกิดว่าเราจะต้องเจออุปสรรคความยากลำบาก หรือเรื่องที่ใจเรารับไม่ได้ กลอนบทนี้สอนให้รู้จักถอยหนึ่งก้าว การถอยหนึ่งก้าวทำให้เราสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน ถ้าเกิดเราก้าวเดิน เข้าไปเราจะสามารถมองได้ชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน) เราต้องยอมถอยหนึ่งก้าวแล้วค่อย ๆ ตรวจสอบให้ชัดเจน มองให้รอบและตรวจสอบให้เที่ยงธรรมแล้วเราถึงจะฟันฝ่าอุปสรรคนั้นไปได้ เหมือนกับเวลามี เมฆหมอกควันดำเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้า หากท่านเดินเข้าไปข้างใน ท่านจะมองเห็นเมฆหมอกในนั้นได้ชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน) ท่านต้องถอยออกมาก่อนแล้วมองดูเมฆหมอกนั้นว่ามีมากเพียงใด ในนั้นมี ฝุ่นธุลีหรืออันตรายไหม พอเราถอยออกมา เราจะมองเห็นอุปสรรคและความยากลำบากที่เราเผชิญได้ชัด แล้วเราย่อมหาวิธีตั้งรับและแก้ไขได้ทันการ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เวลาเหตุการณ์หรือความยากลำบากเกิดขึ้น มนุษย์มักจะเกิดจิตใจอย่างหนึ่งคือ โทษผู้อื่นหรือไม่ก็โทษฟ้าดิน พอโทษเสร็จก็นั่งจมอยู่ตรงนั้นไม่ยอมแก้ไขและไม่ยอม ฟันฝ่า เหตุการณ์ก็เลยยากจะผ่านไปได้

ฉะนั้นเวลาเราเจอความทุกข์ยากลำบากอะไร ลองถอยออกแล้วมองดูให้ชัดเจน แล้วถามจิตใจที่เที่ยงธรรมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดเพราะอะไร ใครเป็นผู้ทำ และสาเหตุมาจากไหน ย้อนมองหาต้นเหตุให้ชัดแล้วแก้ที่ต้นเหตุ เราก็จะสามารถฝ่าฟันความยากลำบาก และอุปสรรคต่าง ๆ ในโลกใบนี้ได้ ขอเพียงจิตใจต้องเที่ยงธรรม ยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขตน ความยากลำบากที่เข้ามาก็ย่อมแก้ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ใช่ไหม (ใช่)

รู้สึกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ง่ายไหม (ไม่ง่าย) ฉะนั้นใจเราต้องรู้จักระมัดระวังในการก้าวเดินแต่ละก้าว เพราะว่าถ้าเราเจ็บ ทุกข์ หรือปวดไปแล้ว เราจะถอนได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้วิถี ทางใด หากใช้วิถีทางที่ถูกเราก็เป็นสุขในการที่จะดำเนินและฟันฝ่า ไปได้ แต่ถ้าเลือกทางที่ผิด แม้ตอนนี้จะสุขแต่ผลสุดท้ายก็ต้อง รับความขื่นขมและเจ็บปวด

เรื่องราวทางโลกหากคิดให้ดี ๆ ใช้ปัญญา สติและคุณธรรมน้อมนำ ย่อมแก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าเราไม่ยอมแก้ไข ไม่ยอมอดทน ฟันฝ่า ก็ย่อมยากที่จะฝ่าไปได้

สิ่งที่เราพูดกับท่านวันนี้ก็มากมาย จะมีประโยชน์หรือไม่ก็อยู่ที่ว่าท่านรู้จักนำไปพลิกแพลงใช้หรือเปล่า ธรรมะมีค่าตรงที่เรารู้จักใช้ให้ถูก หากใช้แบบเจ้าเล่ห์เพทุบาย ธรรมะนั้นก็กลายเป็นเกราะป้องกันตัวให้กับโจรในคราบนักบวช ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะมีค่าและสามารถทำให้คนเป็นคนประเสริฐได้ อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้อย่างถูกต้องหรือไม่ และธรรมะจะมีประโยชน์หรือเปล่า ก็อยู่ที่ว่าออกไปจากการฟังสามวันนี้ได้รู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือไม่



วันนี้อาจจะพูดว่ามีประโยชน์แต่ถ้าออกไป ท่านไม่ได้หยิบ ไปใช้ ไม่ได้น้อมนำไปใส่ใจก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรใช่หรือไม่ (ใช่) การมาของเราวันนี้ ไม่ใช่มาเพื่อให้ท่านยึดถือการยืมร่าง แต่มาเพื่อ ยืนยันหลักสัจธรรมที่เราปฏิบัติได้ แล้วถ้าทำได้ก็มีผลดี สามารถ นำพาชีวิตไปสู่ความสงบและความร่มเย็นได้

ขอให้นำธรรมะไปใช้เถิด ธรรมะใช้ไปก็ไม่เสียเงิน ไม่มีใครมาทวงลิขสิทธิ์ ไม่มีใครสามารถตีตราจองธรรมะนี้ได้ว่าเป็นของฉัน คนเดียว คนอื่นห้ามใช้ ทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน อยู่บนโลกนี้ใช้อะไรต้องเสียเงิน เสียค่าลิขสิทธิ์ ค่าลงแรง แต่ธรรมะ ไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย ทำไมไม่รู้จักนำไปใช้ ทำไมทำใจยอมรับกัน ไม่ได้ แม้ธรรมะจะอยู่ไกลเป็นพันลี้ ขอเพียงใจชอบก็สามารถอยู่ใกล้เพียงแค่ขนตา ขอเพียงใจเรารักที่จะศึกษาใฝ่หาความรู้ รักที่จะบำเพ็ญตนเป็นคนดี ธรรมะก็ไม่เคยหายไปไหน ธรรมะอยู่กับใจเรา แต่ถ้าเมื่อไรใจเราคิดถึงเรื่องอารมณ์ ความชอบ ความเกลียดมาก เกินไปจนไม่มีคุณธรรม ไม่มีความถูกต้อง ธรรมะก็ย่อมยากที่จะ ช่วยเหลือท่านได้

วันนี้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์เพียงเท่านี้ จากกันด้วยรอยยิ้มที่ดี จากกันเพื่อจะไปพบกันอีกในวันข้างหน้า วันข้างหน้าไม่ขอเจอกันตรงภพนี้ แต่ไปเจอกันที่เบื้องบนดีไหม (ดี) มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กันในวันนี้ แล้วขอให้เรามีโอกาสไปผูกบุญสัมพันธ์กันยังเบื้องบนด้วย ไปให้ถึงให้ได้ โดยใช้คุณธรรมและความเชื่อมั่นในตัวตนเองเป็นตัวดีดและพาตัวเราไปให้ถึงเบื้องบน ถ้าทุกคนเป็นคนดีได้ก็สามารถเป็นพุทธะได้ เมื่อไรที่เรามีความดีเมื่อนั้นเราก็เป็นพุทธะได้เหมือนกัน




วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ความสุขจริงมาจากใจอันวิเศษ ละกิเลสเหล่ามายาไม่ถวิล

ใจดวงนี้อิสระดั่งโบยบิน อยู่แดนดินใจสถิตแดนพุทธา

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เหยรินเต๋อ แฝงกายกราบเบื้องหน้า

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานอาหารอิ่มหรือเปล่า



ในวันนี้มาพาศิษย์มองตนเอง ไม่กลัวเกรงกิเลสที่ตนสั่งสม

เอาธรรมะเป็นเครื่องปลอบคล้ายน้ำพรม ไม่มัวจมทะเลทุกข์คลื่นปรวนแปร

เปลี่ยนแปลงตนทีละนิดปิดอายตนะ รู้สละความสุขที่เป็นร่างแห

ขอให้ศิษย์เป็นผู้ผิดแล้วรู้แก้ ใจแน่วแน่มีใจเดียวคืนสุทธา

สลายบาปด้วยกุศลมิกลัวยาก ตักเข้าปากพินิจก่อนชีวิตหนา

ขอศิษย์รักฝึกเถิดความเมตตา รู้นำพาตนจึงสามารถนำเวไนย

เสมอต้นเสมอปลายนำชีวิต ดวงลิขิตอันกำหนดไร้ความหมาย

ชนะตนยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด ชนะใครไหนจะสู้ชนะตน



ฮา ฮา หยุด





ล้มแล้วลุกด้วยใจ อย่าพ่ายแล้วใจขม ลุกแล้วพ้นโศกตรม ดั่งเส้นผมบังเขา ช้ำแสนลึกศิษย์เรา ตื่นเสียคราวนี้เลย

ฟ้าเหนือฟ้าเฝ้ารอ ผู้ไม่ท้อมาถึง รักหลงนั้นแกล้งดึง เริ่มมีทุกข์จึงหลง วอนขอตนให้ปลง ชีพบรรจงทุกก้าว

* ตามหามวลศิษย์ให้ครบ ดังพบคนหลงใหลฝัน วันนี้ยังหุนหันเผอเรอ คนสนใจมิมีและคนตั้งใจมิเจอ มีฟ้างามมิมีศิษย์รู้ใจ

บนหนทางกว้างไกล อีกนานไหมไปถึง ใจนี้ยังดื้อดึง หวั่นศิษย์รักต้องล้ม ดังเหมือนเรือดิ่งจม เร่งฟื้นฟูแล้วเอย (ซ้ำ *)



ทำนองเพลง : รักหนอรัก

ชื่อเพลง : ล้มแล้วลุกขึ้นมา



















ม้วนที่ 1

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



การที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็แล้ว เราต้องลงมือทำกี่ครั้งถึงจะนับว่าเป็นคนตั้งใจจริง (หลายครั้ง) ถ้าเราบอกว่าตั้งใจแต่เราทำแค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง จะเรียกว่าตั้งใจไหม (ไม่) มาฟังธรรมะวันนี้ เป็นวันที่เท่าไร (วันที่สาม) ถ้าหากเราบอกว่าเราตั้งใจฟัง แต่ฟังวันเดียว ก็เท่ากับเป็นคนไม่ตั้งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

มาสามวันนี้มีคนพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม อยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก) การจะแสดงออกว่าเราตั้งใจจริง เราต้องใช้เวลากี่ปี ใครว่าสิบปีหรือตลอดชีวิต ยกมือขึ้น เวลายกมือยกแค่ศีรษะตนเองแล้วอีกครึ่งหนึ่งให้อาจารย์ไปเดาเอาเองว่าจะไปให้ถึงที่สุดหรือเปล่า เวลาที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ ก่อนที่เราจะตั้งใจต้องมีความเชื่อมั่นก่อน ถ้าหากเราบอกว่าเชื่อมั่น แต่เรายกมือแค่ครึ่งหนึ่งจะเรียกว่าเชื่อมั่นไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็ต้องบำเพ็ญตลอดชีวิตแล้ว แต่ก่อนที่จะมาลงมือบำเพ็ญตลอดชีวิตนี้ควรต้องเชื่อมั่นก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)

ก่อนที่จะเชื่อมั่นในธรรมะต้องเชื่อมั่นในตัวเราเองก่อน สมมติเขาบอกว่ามีคนหนึ่งจะต้องสำเร็จเป็นพุทธะ แต่ไม่รู้ว่าคน ๆ นี้ใช่เราหรือเปล่า อาจารย์อยากให้ทุกคนตอบว่าใช่ การบำเพ็ญธรรมไม่ต้องแข่งกัน แต่ว่าทุกคนต้องเป็นคนที่ดี และการบำเพ็ญธรรมก็ไม่ต้องแย่งกัน แต่ว่าต้องเร็ว ยกตัวอย่างเช่น มีคนจมน้ำ เวลาเราจะไปช่วยเขาต้องเร็วไหม (เร็ว) ถ้าช้าเขาตายหรือเปล่า (ตาย) ถ้ามีชามยังไม่ได้ล้างตั้งทิ้งไว้ เราจะไปล้างชาม แต่เราคิดว่าเดี๋ยวก่อน เดินกลับไปกลับมาหลายครั้งก็เห็นว่าชามยังไม่ล้าง จึงคิดว่าไหน ๆ ก็ไม่มีคนล้าง เราล้างก็แล้วกัน อย่างนี้จะมีกุศล มีความดีหรือเปล่า (ไม่มี) เราดีจริงไหม (ไม่จริง) เราดีไม่จริงเพราะเรารอเวลา ประวิงเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรม จำเป็นต้องไวไหม (จำเป็น) แล้วเราไวไหม (ยังไม่ไว)

ทำความดีกับไปหาเงิน อย่างไหนไวกว่ากัน ไปหาเงินไวกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เอาอะไรไวดี (ความดี) เวลาทำความดีทำให้ไว เวลาคนเขาเอาเงินมาให้ หรือว่ามีงานการมาให้เราทำ เราต้องคิดก่อนว่างานนั้นเป็นงานที่คนดีทำหรือเปล่า ถ้าเป็นงานที่ไม่ดี ทุก ๆ คนก็ทำงานชิ้นนี้ได้แล้วก็ได้เงินเหมือนกัน แต่ว่าทำแล้วกลายเป็นคนไม่ดี ควรที่จะทำไหม (ไม่ควร) ถ้าหากว่าเราทำงานของคนไม่ดี เราก็กลายเป็นคนไม่ดีแล้ว เราจะบอกว่าเราเป็นคนดีได้หรือเปล่า (ไม่ได้)

เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมอย่างแรกก็คือเชื่อมั่นในธรรมะ แต่ก่อนจะเชื่อมั่นในธรรมะ ต้องเชื่อมั่นในตนเองก่อน เชื่อมั่นในตนเองว่า ตนเองเป็นคนดี ทุก ๆ คนเชื่อมั่นไหมว่าตนเองเป็นคนดี เราเชื่อมั่นไหมว่าเราเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์

คนดีมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่มี การที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี จะวัดกันได้อย่างไร เพราะทุก ๆ คนก็เป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดี เราก็จะมองเขาว่าเป็นคนดีถ้าเราไม่ดี เราก็จะมองเขาว่าไม่ดี ตอนนี้เรายังมองใครเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า เรามองคนข้าง ๆ มองคนในสังคมทุกคนเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเรายังมองเขาว่าไม่ดี แสดงว่าเรายังไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตอนนี้อาจารย์เชื่อว่าทุกคนยังมองคนในสังคมว่าไม่ดีอยู่ ฉะนั้นตนเองจึงยังเป็นคนที่ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเราเป็นคนดี เราก็จะมองคนอื่นด้วยสายตาของคนดีและมองเห็นแต่สิ่งที่ดี พาตนไปสู่สิ่งที่ดี และมีแต่สิ่งที่ดีถ้าเรามองเห็นสิ่งไม่ดี แสดงว่าเราพาตนเข้าไปสู่สิ่งที่ไม่ดี คนในสังคมที่เราอาศัยอยู่จึงเป็นสิ่งที่ไม่ดี ใช่ไหม

บางคนเป็นคนคิดมาก และยังชอบวิตกกังวลแล้วก็ทำให้เป็นโรคปวดหัว หรือเปล่า ปวดหัวเราไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดี เราชอบมองแต่สิ่งที่ไม่ดี แล้วก็ว่าเขา แล้วก็เอามาคิด แล้วกลายเป็นโรคปวดหัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ถ้าหากเรารู้ว่าคนอื่นเขาเอาเปรียบเรา เราจะทำอย่างไรดี เราก็ต้องไม่เอาเปรียบใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราถูกเขาเอาเปรียบแสดงว่าผลประโยชน์นั้นอาจจะตกอยู่กับตัวเรา อาจจะตกไกล ๆ เรา หรืออาจจะไปตกอยู่ที่คนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่) สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น ดีหรือเปล่า (ดี) เราถูกเอาเปรียบ เราก็ทำเป็นโง่ ๆ มองไม่เห็น แล้วเราก็มีความสุข ทุก ๆ วัน อย่างนี้อยากได้ความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข)

ทุก ๆ วันกราบไหว้พระเราขอความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข) ใครเป็นคนหาทุกข์ให้เรา (ตัวเราเอง) ต่อไปนี้ก็มีความสุขทุก ๆ วันได้ เพราะว่าความสุขนั้นเกิดจากใจ ต่อให้ภายนอกมีโซ่ตรวนมาพันธนาการร่างกายของเรา แต่จิตใจเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสุขนี้ก็ไม่มี คนอื่นแย่งไปได้ แล้วความสุขก็จะอยู่กับเราทุก ๆ วัน การไปกราบพระ พระส่งความสุขมาหรือเปล่า (ไม่ส่ง) ต่อให้พระส่งความสุขมาให้ทั้งก้อน แต่เราปิดใจ เราก็รับไม่ได้ จิตใจเราเป็นจิตใจที่อมทุกข์ จะรับสุขได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นทุก ๆ วันแม้ว่าจะมีความวุ่นวายอยู่รอบข้างตัวเรา แต่จิตใจของเราต้องเป็นจิตใจที่มีความสุข



ม้วนที่ 2 อิ้ง

เป็นจิตใจของพุทธะ อย่าบอกว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำต่างหาก การอยู่เป็นมนุษย์แล้วมีความสุขได้ เราต้องเป็นผู้คุมบังคับจิตใจของเราเอง แล้วมีความสุขได้

ตอนนี้ศิษย์ทุก ๆ คนอยู่ในโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาล แต่จริง ๆ แล้ว ความทุกข์ความสุขอยู่นอกใจ ถ้าหากว่าเราทำตัวเรา ทำใจเราให้มีความสุข ก็จะมีความสุขอยู่ทุกวัน แต่หากว่าเราเขี่ยความสุขทิ้ง เอาความทุกข์เข้ามา ความทุกข์ก็จะเป็นของเรา ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เขี่ยความทุกข์ทิ้ง แล้วเอาความสุขมาเป็นของเราดีหรือเปล่า (ดี) เมื่อเรามีสุขแล้วเราต้องให้ผู้อื่นมีสุขด้วย บางคนรู้จักหาความสุขใส่ตัว แต่ไม่เคยเผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่น เพราะฉะนั้นวาสนาบารมีต่าง ๆ จึงไม่อยู่กับเราชั่วนิจนิรันดร์

ศิษย์ใช้อะไรรับอาจารย์ (ความตั้งใจ) ทุกคนมีความตั้งใจหรือเปล่า (มี) หลายคนใช้ใจรับอาจารย์ ไม่รู้ว่าใจของศิษย์เป็นสีอะไร มนุษย์ชอบกำหนดสี ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนทานอาหารต้องปรุงเครื่องหรือเปล่า (ปรุง) ปรุงน้ำส้มสีอะไร (สีแดง) ปรุงซีอิ๊วสีอะไร (สีดำ) ปรุงน้ำตาลสีอะไร (สีขาว) ปรุงพริกสีอะไร (สีแดง) เราชอบกำหนดสีแต่ใจของเรามีสีหรือเปล่า (ไม่มี) จิตใจจริง ๆ ต้องไม่มีสีสัน ต้องเป็นจิตใจที่สะอาด แล้วตอนนี้จิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หรือยัง (ยัง) มีใครสะอาดหมดจดแล้วบ้าง

ในจิตใจของเรานั้น ถ้าจะบอกว่าไม่มีสีก็ใช่ จะบอกว่ามีสีก็ใช่ เพราะจิตใจของเรานั้นรวดเร็ว หนึ่งนาทีเราก็คิดไปหลายเรื่อง สิ่งที่เราคิดนั้นเปรียบประหนึ่งสีที่แต่งแต้มจิตใจของเราให้ไม่สะอาด เพราะฉะนั้นควรที่จะคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่เรื่องดี ๆ อาหารหนึ่งชาม ก็เปรียบเสมือนจิตใจของเรา เราเอาสีแดง สีส้ม สีขาวกับสีดำลงไปใจจิตใจของเรา ฉะนั้นจิตใจของเราจึงเป็นจิตใจที่มีกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก) คนปรุงมากก็ใส่สีมาก คนปรุงน้อยก็ใส่สีน้อย คนไม่ปรุงก็ไม่ใส่สีเลย ก็เป็นจิตใจที่รักษาความเป็นจิตเดิมแท้ได้สูง

ในตัวเรามีกิเลสมากเท่าไร กิเลสเกิดจากภายในหรือภายนอก (ภายใน) บ้านหลังสวย เสื้อตัวงาม ๆ ความที่อยากสวย อยากงามเป็นกิเลสหรือเปล่า (เป็น) แล้วสิ่งนี้อยู่ข้างในหรืออยู่ข้างนอก (ข้างใน) ทำอย่างไรถึงจะเอากิเลสออกได้ ถ้ามีคราบสกปรก ๆ อยู่บนพื้นเราก็ต้องลงแรงไปขัด จิตใจของเราสกปรก คนอื่นมองไม่เห็น เราก็ต้องบอกตัวเราเองให้ขัด คนอื่นบอกเราไม่ยอมฟัง เพราะมนุษย์มีคำว่าอัตตา อัตตาของเราสูง ทิฐิของเราสูงจึงไม่ยอมฟังคนอื่น ใช่หรือเปล่า คนที่บอกเรา เขาจะเก่งกว่าเราหรือไม่นั้นสำคัญหรือเปล่า (ไม่สำคัญ) อายุน้อยหรือมากกว่าเราสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) สำคัญที่ว่าเขาได้อ่อนน้อมมาบอกเรา แล้วเราน้อมรับที่จะแก้ไขหรือเปล่า เขาบอกเรา แต่กิเลสอันนี้เราต้องเป็นคนลงแรงขัดเอง ทุก ๆ วันต้องตรวจสอบและขัดเกลาตนเอง ถ้าเอาน้ำที่เป็นคราบสกปรกหยดลงไปบนพื้น ถ้าขัดภายในหนึ่งวัน ก็ขัดทิ้งง่าย แต่ถ้าทิ้งไว้สองวัน สามวันหรือหนึ่งปีแล้วขัดยากไหม (ยาก)

ตอนนี้ตนเองมีอายุเท่าไรแล้ว กิเลสนั้นอยู่กับเรามาเท่าอายุของเรา และเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกปี ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่ท้อถอย เริ่มตั้งแต่วันนี้ ธรรมะ หลักการและการปฏิบัตินั้น ช่วยให้เราได้รู้ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้เรากำจัดกิเลสง่ายยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไม่เป็นผู้ลงมือกำจัดเองก็ไม่สามารถกำจัดได้ ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างก็ไม่เกินตัวเราเอง

กิเลสอยู่ข้างในหรือข้างนอก (ข้างใน) เพราะฉะนั้นบ้านหลังสวย ๆ หรือเสื้อตัวหนึ่งเป็นกิเลสหรือเปล่า สมมุติว่าเสื้อตัวนี้สวยมาก ๆ แล้วเราเอาตาไปมองจึงเกิดกิเลส แต่จิตใจของเราถ้าไม่มีกิเลสแล้ว เสื้อตัวนี้จะสวยไหม (ไม่) ถึงแม้ว่าเสื้อตัวนี้จะสวย แต่ถ้าจิตใจเราไม่มีความอยากได้ เสื้อตัวนี้จะเป็นกิเลสไหม (ไม่) ถึงบอกว่ามนุษย์ชอบโทษวัตถุภายนอก ที่จริงแล้วกิเลสอยู่ที่ใจ ถ้าเราเฝ้าตามกระแสสังคมไป เขามีอะไรก็อยากมีบ้าง ถามว่าใครมีกิเลส (ตัวเอง) เพราะฉะนั้นสิ่งที่กิเลสอาศัยอยู่ได้ ก็คือจิตใจของเรา ถ้าหากว่าเราไม่อยากให้จิตใจของเรานั้นถูกอาศัย ต้องทำอย่างไร

ใครชอบทองบ้าง กิเลสอยู่ที่ทองหรืออยู่ที่เรา (ที่เรา)



ม้วน3 อ้อ C3

เขาบอกว่าเป็นอรหันต์ต้องตัดกิเลส เป็นพุทธะต้องปราศจากกิเลส ถ้าเป็นอรหันต์เป็นพุทธะ เป็นนางฟ้า เป็นเทพบุตรพอเห็นคนมีทองเยอะๆแล้วไปขโมยทองของคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้ ) กิเลสอยู่ที่ใจของเราเอง ทองนี้จะจริงหรือปลอมก็อยู่ที่ใจเรา ตั้งแต่โบราณนิยมทอง เราจึงเห็นว่าทองเป็นสิ่งที่มีค่า ใช้เงินเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเราจึงถือเงินเป็นพระเจ้า ทั้งที่จริงแล้วมีสิ่งหนึ่งมีค่ากว่าสิ่งอื่นใดคือใจของเรา ใจของเราเป็นอย่างไรเคยเอาออกมาดูไหม (ไม่เคย) ทำอย่างไรจึงจะเห็นว่าตอนนี้ใจของเรามีสีอะไร คนที่ตอบคำถามนี้ได้ย่อมเป็นผู้ที่มีสายตาที่ยาวไกล ไม่มืดบอด เพราะว่าคนทั่วโลกมักมองไม่เห็นตัวเอง แต่ว่าเขามองเห็น เราจะมองใจของตนเองอย่างไร ( ถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วมองตัวเราเอง )

(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)

ผลไม้น้อยหรือเยอะไม่ได้อยู่ที่สิ่งของ แต่ถ้าจิตใจของเราแบ่งเป็นสอง ใจที่สองคือใจที่มีกิเลส เพราะใจมีหนึ่งเดียว การที่จะมองเห็นตนเองก็ด้วยการมองจากอะไร (มองเห็นจากการกระทำ) ปกติเรารู้จักอายตนะทั้งหก ตามองข้างนอก หูฟังเสียง ลิ้นไว้กิน เราก็มีอายตนะไว้รับของภายนอกเข้ามา ความสามารถของตาคือการมอง แต่ความจริงแล้วตาไม่จำเป็นต้องไว้มองภายนอกเสมอไป แต่การมองให้เห็นใจของตนเองก็ใช้ตานี้ได้ เรียกว่าตาแห่งปัญญา ผู้ที่มีปัญญาเป็นผู้ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายได้ เวลามีอุปสรรคแล้วถ้าเรายืนติดกำแพง และไม่รู้จักปีนข้ามกำแพง ไม่ยอมขยับตัวทำอะไรเลย ก็จะยืนจมอยู่กับปัญหา เป็นคนจนมุม ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีนักเรียนตอบว่าถอยออกมาหนึ่งก้าวมองกำแพงอันนี้แล้วคิดว่าจะปีนข้ามกำแพงอย่างไร เช่นนี้ใช้อะไรมอง (ใช้ตามอง) แต่ถ้าเราจะปีนข้ามกำแพงนี้ใช้อะไรมอง (ใช้ปัญญา) จึงต้องใช้ตาแห่งปัญญา ชีวิตนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวที่สุดมาหลายครั้งแต่เคยแก้ปัญหาโดยวิธีนี้ไหม บางคนมีสามีไม่ซื่อสัตย์ มีภรรยาไม่ซื่อสัตย์ มีคนที่ไม่ซื่อสัตย์อยู่ใกล้ตัว มีเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่รอบข้างเรา ถ้าเราแก้ปัญหาโดยการใช้กำลังหรือการใช้ความคิด การทำร้ายตนเองจะคุ้มไหม (ไม่คุ้ม) ฉะนั้นตอนนี้ไม่ได้ใช้ตามองกำแพงเฉย ๆ แต่ต้องใช้ปัญญาคิดด้วยแล้วปีนข้ามผ่านขึ้นไป ในที่สุดแล้วใครเป็นผู้ชนะปัญหา (ตัวเราเอง) หากมานั่งปลงไม่ตก กินไม่ได้นอนไม่หลับจะคุ้มไหม (ไม่คุ้ม) แล้วเช่นนี้ ใครจะเป็นคนที่สุขภาพและใจอ่อนแอ (ตัวเราเอง)

วันนี้อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นมองเห็นตนเอง ไม่ใช่มองเห็นรูปร่างภายนอกของเราที่งามหรือไม่งาม หล่อหรือไม่หล่อ ดีหรือไม่ดี มองเห็นตนเองคือมองด้วยอะไร

( มองเห็นด้วยสายตา,มองเห็นด้วยใจ,ด้วยปัญญา )

สมมุติว่าเราบำเพ็ญธรรมทั้งชาติเพื่อหามรรคผล มรรคผลคือทางและผลของพุทธะต่าง ๆ ดังเช่น พระศรีอาริย์ และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญามีฐานบัวนั่ง พระกวนอูทรงเมฆ และอาจารย์ก็นั่งหิน ถ้าเราไม่มีฐานบัวขึ้นไปเบื้องบนก็ต้องยืน แล้วยืนก็ยืนไม่อยู่เพราะคิดถึงแต่ในโลก คิดถึงแต่ทีวี คิดถึงลูก เพราะฉะนั้นต้องหามรรคผลให้กับตนเอง ชั่วชีวิตสร้างมรรคผลได้หนึ่งอัน ฉะนั้นเราจะต้องสร้างให้ดีๆ ไม่ว่าศิษย์จะได้นั่งสิ่งไหนก็แล้วแต่ ขอให้มีที่นั่ง ไม่อย่างนั้นขึ้นไปนอกจากยืนเฉย ๆ ก็ยังยืนไม่ได้ เพราะจิตใจมัวพะว้าพะวงคิดถึงแต่กิเลสที่อยู่ข้างล่าง คิดถึงลูกอยากให้ลูกขึ้นไปด้วยก็ให้พาลูก,พ่อแม่ , พี่น้องมาบำเพ็ญด้วย ต่อไปก็กลับไปด้วยกัน ถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญจะได้ผลไหม (ไม่ได้) ไม่ปลูกต้นไม้ก็ไม่ได้ผล



คนอื่นปลูกคนอื่นได้กิน เราปลูกเราได้กินและยังอาจเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้ด้วย การมองตนเองมองได้ด้วยอะไรบ้าง ( มองด้วยการกระทำ, สายตาของผู้อื่น ) ปกติเรามองตนเองด้วยกระจก เราไม่สวยแต่กระจกบอกว่าเราสวยหรือ เราใส่ชุดสีแดงแล้วกระจกบอกว่าเราใส่ชุดสีดำหรือเปล่า (เปล่า) อาจารย์หมายความว่าจิตใจของเราต้องไม่เป็นจิตใจที่ลำเอียง


            พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ปัญญา
            (ให้ไว้ ณ พุทธสถาน ฮุ่ยซิน จ.บุรีรัมย์  วันที่ ๑๔๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๑)
                            แยกแยะด้วยดวงปัญญา                         เมตตาเคียงคู่ยิ่งใหญ่           
                    ปัญหาไม่ว่าอะไร                                              แก้ไปด้วยใจเป็นกลาง         
                    เจริญรอยพระพุทธา                                         กิเลสเร่งมายับยั้ง
                    ชนะอัตตากระด้าง                                            พลังจากได้บำเพ็ญ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท เมตตา กล้าหาญ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท เมตตา
                            มีความสุขจากการได้สละไป                   ไม่อาลัยสบายที่แฝงทุกข์เข็ญ
                    เมตตากอปรไม่โลภใจเยือกเย็น                       แลยิ่งเห็นชัดเมื่ออยู่กับคน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท กล้าหาญ

                            ความกล้ามากเกินบ้าบิ่น                         น้อยเกินมิสิ้นขัดสน
                    เก่งกล้าเกียจคร้านอับจน                                 อดทนเคียงคู่เกิดค่า
                    ผลักดันทิศทางมุ่งมั่น                                        ไม่หวั่นอุปสรรคหา
                    ไม่สิ้นไปพร้อมเวลา                                           เดินหน้าไม่เผลอประมาท

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา