แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2541 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2541 แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2541

2541-12-12 พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี



PDF 2541-12-12-เจิ้งซิน #27.pdf




วันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑                   พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
                                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  บ่มเพาะจิตคุณธรรมให้ปรากฏ                  และเร่งลดเหล่าอัตตาดั่งของเสีย
และรู้เพิ่มพลังใจไม่อ่อนเพลีย                      มารลามเลียจิตป้องกันเหนือใจคน
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                      ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา              ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                            ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา    ฮวา

  ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีสู่สถาน                        ดั่งคืนบ้านสงบในไตร่ตรองถ้วน
ทั้งสองวันตั้งใจไม่เรรวน                            ฝึกบำเพ็ญเป็นกระบวนแห่งพุทธะ
ฟื้นฟูจิตดั่งทารกไร้เดียงสา                         เหล่ามายาไม่กล้ำกรายเข้าใกล้ตน
บำเพ็ญธรรมชั่วชีวิตหามรรคผล                   แสวงตนจิตเดิมแท้ที่ภายใน
สัจธรรมแห่งชีวิตตระหนักรู้                         เกิดตายคู่มิมีใครหนีพ้นได้
จงรู้ว่าสร้างคุณงามอันเกรียงไกร                  หาคุณค่าก่อนสิ้นใจอย่างแท้จริง
ในวันนี้นับว่าเป็นโอกาสดี                          ให้น้องพี่รู้จักตนไม่วนหลง
เหตุการณ์ล้วนเปลี่ยนโฉมหน้าไร้ทางลง           จะพะวงแต่เรื่องตนยากพุทธา


อันชีวิตขอให้ใช้ให้รอบคอบ                       อยู่ในกรอบแห่งความดีอย่างถ้วนหน้า
และรู้ว่าทวนน้ำดั่งฝูงปลา                          หมดเวลาคืนที่มาอิ่มเอิบใจ
ใช้ชีวิตผ่านวันวันค่าพลอยสิ้น                     ทั้งดื่มกินล้วนกิเลสพาจมดิ่ง
ขอให้รู้ทางนิพพานไว้คนจริง                       ให้พึ่งพิงตนเองเร่งบำเพ็ญ
ยุคสามนี้โปรดปุถุชนดั่งสายทอง                  ใช่อยากลองอยากรู้ไม่เอาจริง
ปัจจุบันดั่งสายลมยังนิ่งนิ่ง                         ภัยแท้จริงหากมาแล้วยากตั้งตัว
จงรู้ว่าต่างมีบุญกับพุทธะ                          เร่งลดละตัณหาอันมืดสลัว
ผู้บำเพ็ญมิใช่เอาแต่ใจตัว                          จะมัวกลัวไม่ช่วยใครไม่ใช่พุทธา
ในวันนี้หวังน้องพี่ตั้งใจฟัง                          ทั้งสองวันฟังครบปฏิบัติได้
เสียงระฆังก้องกังวานเรียกคนไกล                 ผู้ยิ่งใหญ่สละได้และรู้จริง
ตัดกังวลเรื่องทางบ้านรักษาจิต                    ทำสิ่งใดคิดสามครั้งจักถ้วนถี่
ชั่วชีวิตกระทำตนเป็นคนดี                         ปราชญ์เมธีล้วนกำเนิดในโลกา
รักษาซึ่งพุทธระเบียบให้พร้อมมูล                 และเร่งพูนการศึกษาเข้าใจได้
ที่สำคัญความกระจ่างอยู่ภายใน                  ขัดเกลาใจทุกเวลาเพื่อบำเพ็ญ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                                    ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๑๒  ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทพระนาจา

  มาขยันเปลี่ยนแปลงตนคนนี้                     ให้ยิ่งดีทุกครั้งที่ได้เห็น
ให้กายใจงดงามดั่งผู้บำเพ็ญ                      ความลำเค็ญบีบคั้นสู้ไม่ถอยเลย
                 เราคือ
  ศิษย์พี่นาจาน้อย                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                  ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                             ถามศิษย์น้องทุกท่านสบายดีไหม

  เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะจะงดงาม                   จะต้องตามดูแลสังเกตไว้
หากวัวหายล้อมคอกประสบภัย                   ความสุขใจน้อยคนแสวงเป็น
ใช้ธรรมเป็นประดุจไฟนำทาง                      ญาณสว่างแสงจ้าเกิดจากบำเพ็ญ
สติปัญญามาพยายามให้ความเป็น               คนผู้เย็นและกว้างทั้งฤทัย
ประดุจแดดแจ่มใสแผ่ไปทั่ว                        กลางสว่างไร้สลัวดั่งสูญได้
จ้าโดดเด่นแสงสูรมืดมลาย                       ศึกษาเข้าใจจะต้องเป็นเยี่ยงนี้
ลืมแม้แต่ฟ้ากลางศีรษะตน                         ประดุจคนลืมย้อนส่องตนถ้วนถี่
ดั่งเป็นปลาไม่เข้าใจซึ่งวารี                         ราวปักษีใจสู่หาวใกล้ศัตรู
เพียรรู้ตื่นพาตนสม่ำเสมอ                          มิเผอเรอมาเป็นทุนให้หดหู่
ทำผิดพลั้งตัวเราเสมือนครู                         ชีวิตอยู่ไม่ประมาทเป็นมั่นคง
ทั้งเช้าเย็นเป็นสุขสนุกสนาน                       อริยะหวั่นยิ่งนักคือลุ่มหลง
ความสุขใจเกิดจากรู้จักปลง                       คนมั่นคงรับลำเค็ญเพื่อฝึกใจ
                                                                                              ฮิ ฮิ หยุด



พระโอวาทพระนาจา

เวลาร้อนเรารู้สึกอย่างไร (รู้สึกง่วงนอน) ร้อนก็ง่วงนอน เย็นก็ง่วงนอน มีอากาศแบบไหนบ้างที่ไม่ง่วงนอน อากาศร้อนก็หงุดหงิด ก็เบื่อ  อากาศเย็นก็เกียจคร้านอยากจะนอนใช่หรือเปล่า (ใช่อย่างนี้แปลว่าสภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจเรา ถึงฤดูที่ปลูกข้าวแล้วออกดอกสมบูรณ์ เก็บเกี่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร (ดีใจ, มีความสุขแต่ภายในใจรู้สึกว่าเก็บเกี่ยวเมื่อไรก็ได้ วันนี้นาข้าวออกเยอะ  แต่ถ้าหากว่าปีนี้หน้าแล้งเก็บเกี่ยวไม่เป็นผลเรารู้สึกอย่างไร (เสียใจเสียใจแต่เกียจคร้านไม่ได้แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่ต้องขยันขันแข็ง ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ไม่มีข้าวกิน แปลว่าสภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจเราหรือเปล่า (มีก็มีผลเหมือนกันถ้าสภาวะแวดล้อมดีเราทำไมเกียจคร้าน แต่เวลาสภาวะแวดล้อมไม่ดี เรากลับรู้สึกต้องขมักเขม่นใช่หรือเปล่า (ใช่
เมื่อสักครู่เราพูดว่าถ้าหากว่าวันนี้ปีนี้เราปลูกข้าว ปีนี้เราลงสวน เราลงปลูกผักผลไม้ ปลูกแล้วเก็บเกี่ยวได้ดีเรารู้สึกอย่างไร (ดีใจ) แต่บางครั้งก็รู้สึกเกียจคร้านใช่หรือไม่ แต่ถ้าปีไหนนาแล้งเก็บเกี่ยวไม่ได้ดีเราจะเกียจคร้านได้ไหม (ไม่ได้เราต้องขยันขันแข็งหาทางหรือช่วยทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม แปลว่าสภาวะแวดล้อมก็มีผลต่อคนเราได้เหมือนกันอาจจะทำให้คนเราขี้เกียจหรืออาจจะทำให้คนเราขยันได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกอย่างไรกับสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้น
เคยนั่งดูทีวีจนลืมกินลืมนอนหรือเล่นการพนันหามรุ่งหามค่ำจนลืมกลับบ้านไหม (เคยเล่นเกมจนลืมว่าพ่อแม่เรียกให้กินข้าว พ่อแม่สั่งให้ทำงานปากก็บอกว่า เดี๋ยวไปทำ พอเล่นเกมเสร็จก็ลืมว่าแม่ให้ไปทำอะไร ถ้าใจเราจดจ่อกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางครั้งถึงกับลืมกินลืมนอนได้ใช่หรือไม่ (ใช่แต่คนสมัยก่อนทำอะไรเขาถึงลืมกินลืมนอน มีปราชญ์ท่านหนึ่งอ่านตำราศึกษาหาความรู้จนกระทั่งทำให้ท่านลืมกินลืมนอน แปลว่าการดำรงชีวิตของคนสมัยนี้กับคนสมัยอดีตต่างกันราวกับฟ้ากับดินใช่ไหม ท่านลืมกินลืมนอนเพราะว่าศึกษาหาความรู้ แต่มนุษย์เรา แต่น้องๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ลืมกินลืมนอนเพราะว่าดูทีวีเพลิน  มัวไปเที่ยวเล่นเพลิน อย่างนี้น่าละอายใจไหม (น่าละอายใจแต่ถ้าหากว่าคนเราไม่เคยศึกษา ไม่เคยเรียนรู้เราก็จะไม่รู้จักละอายใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าไม่เห็นใครที่ปฏิบัติตัวเองดีกว่า เราก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเองแย่ใช่หรือไม่ (ใช่และถ้าไม่เห็นใครที่ตกต่ำกว่า เราก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเองสูงใช่หรือเปล่า (ใช่ใจของเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปได้สารพัด หลายแบบหลายรูปลักษณ์ อยู่ที่ว่าใจเรานั้นคิดอย่างไรและปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วจะพูดว่าภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจ และการกระทำก็เพียงครึ่งเดียวใช่หรือเปล่า สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ก็คือใจของเราต่างหากใช่หรือไม่ คนภายนอกไปว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ใจเราต่างหาก ถ้าใจเราเห็นเขาดีเราก็รู้สึกว่าตัวเราอาจจะแย่ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าใจเราเห็นเขาแย่เราก็อาจจะรู้สึกดี ก็เฉกเช่นเดียวกันฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเรามองภายนอกแย่ ใจเราอาจจะทำให้ดีหรือแย่ก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติต่อสิ่งที่มากระทุ้งใจเรา สัมผัสใจเราอย่างไรต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่
มีปากแต่ใช้ปากไม่ได้อย่างนี้ต้องทำลายทิ้งดีไหม (ไม่ดีมีแล้วไม่มีประโยชน์ ใช้ก็ใช้ไม่ได้ทำลายทิ้งไปดีกว่า เหมือนเอาหูมาแต่ไม่เคยฟังเลย  ฉะนั้นวันนี้มาแล้วต้องรู้จักใช้ประโยชน์ของตัวเองให้เป็น มีใจ มีหู มีตา มีมือ ก็ต้องรู้จักควบคุมให้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าควบคุมเป็น ใช้ได้ถูกก็มีประโยชน์ ถ้ามีแล้วควบคุมไม่เป็นก็มีโทษ
เรื่องราวในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยที่ไม่เสียไป แล้วไม่มีอะไรที่เสียไปโดยที่ไม่ได้มา วันนี้ได้มานั่งฟังธรรมะแต่ต้องเสียเวลาของตัวเองไปใช่หรือไม่ (ใช่คนที่รู้จักควบคุมกาย วาจา ใจ และก็ขาดความคิดเป็นผู้ที่กำลังฝึกฝนบำเพ็ญตนใช่หรือไม่ (ใช่แต่ผู้ที่ปล่อยกาย ปล่อยใจ ปล่อยความคิดเป็นผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญตนเอง แล้วมีชีวิตอยู่เป็นพวกที่ควบคุมหรือไม่ควบคุมตนเอง แล้วแต่ความพอใจในขณะนั้นใช่หรือเปล่า บางครั้งจึงเป็นทั้งผู้บำเพ็ญและผู้ไม่บำเพ็ญ  ท่านเคยเห็นผู้ที่เป็นชายครึ่งเป็นหญิงครึ่งไหม ท่านรู้สึกเป็นอย่างไร
(ไม่ปกติแล้วตอนนี้ท่านปกติหรือเปล่า ถ้าจะเป็นอะไรก็ต้องเป็นให้ดีเลย ถ้าจะเป็นคนก็ต้องเป็นคนให้ประเสริฐให้ดีงามไปเลยใช่หรือเปล่า ไม่ใช่เป็นคนสามวันดีสี่วันร้าย อย่างนั้นก็เรียกว่าเป็นคนผิดปกติ
๓ ประเภท ใครรู้บ้างว่ามีประเภทใดบ้าง ถ้าเป็นเด็กความสว่างของจิตใจเปรียบเหมือนอะไร แล้วถ้าผ่านมาเป็นวัยฉกรรจ์ วัยรุ่น ความสว่างของจิตใจเปรียบเหมือนอะไร แล้วถ้าผ่านไปสู่วัยชรา ความสว่างของจิตใจเปรียบเหมือนอะไร  คิดออกไหม ความสว่างของวัยเด็ก เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นยามเช้า วัยกลางคนเหมือนพระอาทิตย์ที่สว่างจ้าในตอนกลางวัน วัยชราเป็นความสว่างได้ไหม หรือมีแต่ความหมองหม่น หดหู่ ไร้ประสิทธิภาพ แม้ว่าพระอาทิตย์ใกล้ลับจะหาความสว่างไม่ได้ แต่จริงๆ แล้ววัยชราก็คือความสว่างของเทียนไข รอวันหลอมละลายให้หมดลงไปใช่หรือเปล่า (ใช่แปลว่าเทียนไขไม่มีประโยชน์หรือ ความชราไม่มีประโยชน์หรือ มีไหม (มีก็มีประโยชน์ของความชราใช่หรือไม่ (ใช่การศึกษาก็เฉกเช่นเดียวกัน บางครั้งเราอย่าคิดว่าเราแก่เกินวัยที่จะศึกษา ถ้าเกิดว่าคนชรา หรือคนอายุมาก ยังมีใจที่จะศึกษา ก็เปรียบเหมือนประทีปแห่งเทียนไขที่สามารถส่องสว่างให้กับชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่ขอเพียงมีความอดทน มุ่งมั่นและตั้งใจ ก็สามารถมีปัญญาเฉกเช่นวัยฉกรรจ์และวัยเด็กที่เคยสะสมความรู้มาใช่หรือเปล่า  เมื่อสักครู่เราบอกไปแล้วว่าขอเพียงเรามีความมุ่งมั่น
ตั้งใจและหนักแน่นในการกระทำของเรา การกระทำสิ่งนั้นจะยิ่งช่วยตอกย้ำให้ของๆ นั้นหรือสิ่งๆ นั้น มีความแน่นยิ่งขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่อย่าคิดว่าเราอายุมากแล้วไม่ศึกษาดีกว่า ไม่สนใจไม่ได้ เพราะวัยชราก็เป็นประทีป เป็นเงาอันร่มเย็น เป็นแสงสว่างอันร่มเย็นให้แก่บ้านได้ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ประทีปนั้นจะต้องจุดตอนไหนล่ะ ต้องรู้จักจุดตอนที่เหมาะสมด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่หากจุดตอนไม่เหมาะสมกับเวลา ประทีปนั้นก็ไม่มีคุณค่า หากจุดตอนพระอาทิตย์แดดเปรี้ยงๆ ประทีปนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะไม่มีใครสนใจ ฉะนั้นประทีปก็ต้องรู้จักจุดให้ถูกเวลา จุดให้เหมาะกับโอกาสที่ควรจะเป็นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่และเราก็จะเป็นประทีปน้อยๆ ที่มีคุณค่าได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
            ปัญญาอันครวญใคร่ ดวงใจแยกแยะเป็น ขอบำเพ็ญไม่ว่าเหนื่อยมากี่ครั้ง


แล้วท่านเคยเห็นผู้ที่ควบคุมบำเพ็ญตนเองไหม บางครั้งก็เจอความทุกข์ยาก  แต่เวลาที่เขาผ่านตรงนั้นมาได้เขาก็จะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญที่มีความก้าวหน้า แต่ถ้าเขาผ่านตรงนั้นไม่ได้ก็เรียกว่าเขาถอยหลังใช่หรือเปล่า (ใช่คนที่มุ่งมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก้าวไปให้ถึงในสิ่งที่หวัง คนนั้นย่อมเป็นผู้สำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่แต่บางครั้งเวลาเราตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักจะอดไม่ได้ที่จะต้องเจอความยากลำบาก ทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมาย  แต่ถ้าคนเราฝ่าไปได้เราก็คือผู้สำเร็จ คือผู้ที่มีชัยชนะในความตั้งใจนั้น  แต่คนดีเวลาเขาเจอความยากลำบากสิ่งหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้บอกว่าคนนั้นเรียกว่าคนดีได้และคนไม่ดีได้ก็ขึ้นอยู่ที่ความลำเข็ญนี้ ถ้าความลำเข็ญนี้มาเจอคนดีเวลาฝ่าก็ฝ่าด้วยความดีงามแต่คนชั่วเวลาฝ่า ฝ่าด้วยอย่างไร
สมมติว่าท่านเป็นคนดีแต่มีฐานะยากจน คนดีเวลาจะฝ่าความยากจนความลำบากนี้จะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นคนดีได้ (เราต้องทำดีกับเขา แล้วสอนเขาให้ทำดีและอะไรที่ไม่ดีตัวเราก็ไม่ทำ (การจะเป็นคนดีได้จิตใจต้องขาวสะอาดขอเพียงประคองความขาวสะอาดของจิตใจ เราก็เป็นคนดีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่มนุษย์มักจะมีจิตใจไม่เหมือนแก้วบาง แต่มักจะมีจิตใจที่คล้ายๆ กับผ้าขาวที่เปื้อนแล้วซักออกยากใช่หรือไม่ (ใช่การจะประคองตนเองให้เป็นคนดีได้นั้น เราต้องดูด้วยว่าเรามีจุดมุ่งหมายหรือจุดตั้งมั่นของเราตรงไหนใช่หรือเปล่า (ใช่บางคนฝ่าความดีให้ตัวเองโดยการประพฤติไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่เพื่อดีดตัวเองให้พ้นจากความยากจนนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่ายากจะเป็นคนดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่แต่คนที่เป็นคนดีเวลาเขาฝ่าความยากจนเขาฝ่าอย่างไร ถึงแม้จะช้าหน่อยแต่ค่อยๆ ก้าวไปเพื่อดีดตัวเองจากความจนนี้ก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่แต่มนุษย์เรามักจะเลือกการดีดความจน ความตกต่ำของตัวเองในทางที่ผิดและก็ไวๆ ต้องได้รวดเร็วใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าเรายอมช้าหน่อยแต่ยังคงรักษาความดีไว้ ดีกว่าไวแล้วก็มาทำผิดตบท้าย อย่างนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์ใช่หรือไม่  คนส่วนมากยอมดีดตัวเองจากความยากจนไปทำชั่ว แล้วกลับมาทำดีตอบแทนทำดีตบท้าย อย่างนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกอย่างไร ถึงแม้จะมีความสุขแต่ก็ต้องหวาดวิตกกับความสุขที่ตัวเองได้มาใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เหมือนกับช้าๆ แต่มั่นคงและก็หนักแน่นในความดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
มีใครในโลกนี้บ้างที่ศึกษาโดยที่ไม่เบื่อหน่าย ศึกษาจนกระทั่งลืมกินลืมนอนคงหาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่การศึกษาทำให้เราสามารถ ทำให้เราพัฒนา ทำให้เรามีความคิดที่กว้างไกลใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาทีวีเสียเรายังรู้จักซ่อม รู้จักปรับใช่หรือไม่ (ใช่ปรับก่อนแล้วค่อยซ่อมใช่หรือเปล่า (ใช่) เราเคยถามตัวเราเองไหมว่าภายในของเรามีส่วนใดที่เสียบ้าง ถ้ามีส่วนใดที่เสียเราก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนและแก้ไขใช่หรือไม่ (ใช่แต่มนุษย์เราถ้าเกิดเรามีชีวิตอยู่เราไม่เคยมองย้อนดูตัวเอง เราจะรู้ไหมว่าภายในเราเสีย แต่สามารถรู้ได้ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่เวลาเราอยู่ร่วมกับคนอื่น เราจะรู้ได้ว่าเราเป็นคนอย่างไร เราเคยไหมที่อยู่ร่วมกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ หรืออยู่กับคนหลายๆ คน  คนบางคนเวลาเห็นคนตกน้ำทำไมเขาถึงรีบวิ่งไปช่วย แต่ทำไมเราถึงยืนเฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่เราก็รู้ได้เลยว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนมีน้ำใจ แล้วบางทีเราถามทำไมตัวเราแย่ขนาดนี้ไม่ไปช่วยเขาใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันทำให้เราเห็นตัวเราเอง เราต้องย้อนมองตัวเองด้วยเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่การย้อนมองทำให้เราสามารถดูด้วยว่าเราเป็นคนอย่างไร เรามีดีตรงไหน และเรามีตรงไหนที่ต้องแก้ไขปรับปรุงใช่หรือไม่ (ใช่หากมนุษย์เราพอใจและคิดว่าตนเองถูกเสมอไปเท่ากับว่าคนนั้นหลงตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่ความหลงมีแต่ทำให้เรามืดบอด ไม่เห็นทางที่ถูก ไม่เห็นอะไรดีอะไรชอบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจะทำให้เราเห็นตัวเราชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญก็คือเราต้องตรวจสอบ เราต้องยอมรับด้วยว่าตัวเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ เรื่องราวในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยมิเสียไป ถ้าเราได้เราต้องยอมเสียอย่างหนึ่ง ถ้าเราเสียเราถึงจะได้มาอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่และเวลาของชีวิตเราที่สูญเสีย จะได้อะไรเป็นกอบเป็นกำขึ้นมาบ้าง หรือได้อะไรที่นับได้บ้าง ทุกคนต้องสูญเสียเวลาของชีวิตไปใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่ผ่านมาคือชีวิตของเรา และเวลาที่กำลังจะผ่านไปก็คือชีวิตของเรา แต่ว่าเวลาคือชีวิตและชีวิตก็อาจจะเป็นเวลาของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนั้นทุกขณะที่ผ่านไป หนึ่งนาทีเราต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่ดีที่สุดเพราะเวลาก็คือชีวิต หากเวลาที่เราเสียไปคือทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตของเราเกิดมาก็มีแต่เงินทองหรือไม่ แต่ถ้าเวลาที่สูญเสียไปคือคุณธรรมความดี ชีวิตของเราก็มีค่าขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่และถ้าหากเวลาที่เขาสูญเสียไปคือการช่วยชีวิตคน คือการได้นำคนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ร้อน ก็แปลว่าเวลาของเขาคือการช่วยคนหนึ่งคนใช่หรือไม่ (ใช่ถามน้องทุกคนในที่นี้ว่า เวลาที่น้องเสียไปนับตั้งแต่มีชีวิตมีอะไรบ้าง หากเทียบกับคุณค่า หากเทียบกับชีวิตแล้วเป็นการเสียไป บางครั้งน้อยเหลือเกินมีประโยชน์แค่เพียงวัตถุและรูปนามใช่หรือไม่ (ใช่และรูปนามมักจะเป็นรูปนามที่ไม่เที่ยงแท้ใช่หรือไม่ เปลี่ยนขึ้นเปลี่ยนลง วัตถุที่สูญเสียไปก็เป็นวัตถุที่ยากจะจับจองเป็นเจ้าของของเราได้อย่างแท้จริง แล้วชีวิตที่เสียไปอย่างนี้มีประโยชน์ไหม (ไม่มีแปลว่านับจากนี้ไปเวลาที่จะสูญเสียขอให้เป็นการสูญเสียที่มีคุณค่า มีประโยชน์ดีหรือไม่ (ดีอย่าสูญเสียเวลาแห่งชีวิตเพียงแค่เงินทอง อย่างนั้นก็คงไม่มีประโยชน์อะไร พึ่งคนอื่นมิสู้พึ่งตนเอง สอนคนอื่นมิสู้สอนตนเองใช่หรือไม่ ทุกคนก็รู้ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะศิษย์พี่ไม่สามารถอยู่กับศิษย์น้องได้ตลอดเวลา มีแต่ตัวศิษย์น้องเองที่จะต้องช่วยตัวเองและพาตัวเองไปให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นนับจากวันนี้ไป เวลาที่สูญเสียไปขอให้ไตร่ตรองดีหรือเปล่า (ดีเพราะเวลาคือชีวิต ชีวิตของเวลาคือการประกาศคุณค่าของความเป็นคนใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นอย่าให้การประกาศคุณค่าของความเป็นคนวัดได้แค่เพียงเงินๆ ทองๆ เลยดีหรือไม่ (ดีถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย  ฉะนั้นนับจากวันนี้ไปต้องรู้จักคุณค่าของเวลา อย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เพราะสายน้ำก็เปรียบเหมือนเวลาที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด
คนผู้เย็นและกว้างทั้งฤทัย  เย็นในที่นี้หมายถึงใจเย็น กว้างในที่นี้หมายถึงใจกว้างใช่หรือไม่ (ใช่เวลาฟ้ามืดเรามีแสงไฟหรือมีแสงจันทร์ช่วยสาดส่อง เวลาตาเรามองไม่เห็น เราก็มีพระอาทิตย์ช่วยใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าเวลาใจเรามืดบอดเรามีแสงอะไร (แสงธรรมเวลาใจเรามืดบอดเราต้องใช้แสงธรรมมาช่วยจุดปัญญาให้กับเรา นำทางชีวิตให้กับเราใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นทุกคนเวลาใจมืดก็เข้าไปหาพระใช่หรือไม่ (ใช่แต่เวลาใจสว่าง ทุกคนก็หนีจากพระใช่หรือเปล่า (ใช่แปลว่าเห็นพระเหมือนสวิตซ์หรือเปิดได้ปิดได้ พอเปิดแล้วสวิตซ์ไฟเสียสวิตซ์ไฟหมด ขอไปชาร์จที่พระ ชาร์จที่วัดหน่อยอย่างนี้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้ถ้าใจเรามืดบอดเรายังรู้จักใช้ธรรมนำส่องชีวิตเรา แต่ธรรมที่ศิษย์น้องมีเป็นธรรมที่หมดอายุได้ เป็นธรรมที่เลือนหายได้ อย่างนี้แปลว่าเป็นธรรมที่ไม่ถาวรใช่หรือเปล่า (ใช่ที่ไม่ถาวรเพราะใจเราไม่รู้จักพลิกแพลงใช้ใช่หรือไม่  เวลาหมูหมากาไก่หายไป มนุษย์ยังรู้จักตามหา แต่เวลาธรรมหายไป มนุษย์เรากลับเฉย ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่ปัจจุบันนี้เวลาใจเรามืดบอด แม้จะรู้ว่าธรรมช่วยนำความสว่างให้กับชีวิต แต่ทุกคนกลับขี้เกียจที่จะไปตามหาใช่หรือไม่ (ใช่แต่ว่าธรรมอยู่ที่พุทธะ อยู่ที่ความเป็นพระ ทำให้เราคิดได้อย่างหนึ่งว่าความเป็นธรรม ความสว่างแห่งจิตใจอยู่ที่ความเป็นพระและความเป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่ใจเราเป็นพระได้ไหม ใจเราเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ได้)   ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ทำให้เราต้องมืดบอดแต่เราไปหาพระไม่ได้ เราเรียกพระจากตัวเองได้หรือไม่ (ได้การทำใจเป็นพระทำอย่างไร (ใจดีใจดี ใจเย็นและรู้จักเปิดกว้างเป็นใช่หรือไม่ (ใช่เวลาเจอปัญหา เจอความคับแค้น คับอกคับใจ เราใจเย็นได้ไหม ให้อภัยเขาได้ไหม เราค่อยๆ คิดถึงเหตุที่ทำให้เกิดเป็นแบบนี้ได้หรือไม่ เราคิดได้ แก้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่ไฟนำส่องทางให้กับชีวิต คุณธรรมก็สามารถนำส่องทางให้กับจิตใจ แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจุดเป็นไหม ถึงแม้ไปถึงพระแต่ถ้าจุดไฟให้กับตัวเองไม่เป็น ก็ยากนักที่จะแก้ได้
เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด ความคิดที่รู้จักเปิดกว้างและปรับเปลี่ยนเป็น จะทำให้เราเป็นคนอย่างไร (เป็นคนดีมีคุณธรรมแล้วคนที่รู้จักปรับเปลี่ยนความคิดของตนเองได้ ไม่ยึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดมั่นในความคิดของตนเอง เป็นคนที่สามารถก้าวหน้าได้ พัฒนาได้ใช่หรือไม่ (ใช่และสามารถเป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็สามารถสอดคล้อง อยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่ไม่เหมือนคนที่เอาแต่ยึดมั่นตัวเอง ไม่ยอมปรับเปลี่ยนความคิด ไม่ยอมแก้ไข ไปอยู่กับใครก็อยู่ไม่ได้ เอาตัวไม่รอด มีแต่ปัญหา เรายังรู้อีกว่าความสว่างนั้น บางคนก็บอกว่าชีวิตของคนเราเปรียบเหมือนความสว่าง
 “กลางสว่างไร้สลัวดั่งสูญได้  แต่ความเป็นจริงในโลกนี้สอนให้เรารู้ว่า มีมืดย่อมมีสว่างใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นตอนที่จิตใจเราสว่างไสว ไม่ใช่ว่าความมืดไม่มีใช่หรือเปล่า (ใช่ความมืดยังแอบแฝงอยู่ เราจะต้องไม่ประมาท เราจะต้องประคับประคองความสว่างไสวของจิตใจให้ดี เพราะถ้าเกิดว่าเราเผลอประมาทนิดหนึ่ง ความมืดอาจจะเข้ามาครอบครองและดับความสว่างได้ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราจุดไฟแห่งคุณธรรมนำชีวิตแล้ว เราจะต้องไม่ประมาทแม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เพราะว่าความสว่างไสวสามารถดับได้ด้วยความมืดที่ประมาทใช่หรือไม่ (ใช่จิตใจของเราหากประมาทเพียงนิดหนึ่ง เราก็อาจจะหม่นหมอง เราก็อาจจะอับแสงได้เพราะอะไรที่ทำให้เกิดขึ้นมาได้ แล้วอะไรที่สามารถดับแสงแห่งปัญญาของเราให้มืดมนได้ ความรู้ช่วยให้เราสว่างไสว ช่วยให้เราพัฒนาและตามทันต่อเหตุการณ์ แต่ความรู้บางครั้งก็ทำให้เรามืดหม่นได้ใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าเกิดว่าเรายึดมั่นในความรู้นั้นมากเกินไป ไม่ยอมปรับเปลี่ยนความรู้ของตนเองบ้างใช่หรือไม่ (ใช่เพราะว่าโลกพัฒนาไปเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่ว่าอย่างไร (กิเลสกิเลสเป็นกิเลสอะไรบ้างที่ทำให้จิตใจเราหม่นหมอง จิตใจเราอับเฉาไร้แสงสว่าง (ความหลงความอยากความหลงแล้วทำให้ตาบอดใช่หรือเปล่า (ใช่ความอยากทำให้หน้ามืดใช่หรือเปล่า (ใช่เคยไหมอยากแล้วทำให้หน้ามืด (เคยบางครั้งเราอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เราไม่สนใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักอยากให้พอดี อย่าอยากมากเกินไปใช่หรือเปล่า (ใช่ก็จะไม่เป็นโทษไม่ทำร้ายคนอื่นใช่ไหม แล้วอะไรอีก (ความรักและความโกรธความรักทำให้ใจมืดบอดได้ มืดบอดอย่างไร (รักมากก็เกิดความลำเอียงความรักมากก็ทำให้เกิดความลำเอียง บางทีรักมากจนทำให้เราแยกไม่ถูกแล้วว่าอะไรถูก อะไรผิดใช่หรือไม่ (ใช่เวลาเรารักเขาก็เห็นเขาดีไปหมด ใครพูดบอกว่าเขามีข้อเสีย ก็ไม่เชื่อ ต้องให้เวลาเขาแก้ตัวใช่หรือเปล่า (ใช่อย่างนั้นเวลาเราจะประคองจิตใจให้สว่างไสวอยู่เสมอ เราต้องระวังสิ่งที่มากระทบใจด้วยใช่หรือไม่ (ใช่อย่างที่เราบอก ระวังให้ดี
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง ฉันอยู่ที่นี่มีความสุข)
วันนี้มาศึกษาก็ต้องมีความเข้าใจด้วย  ความเข้าใจจะก้าวไปสู่ความเชื่อมั่น และความเชื่อมั่นจะก้าวไปสู่ความศรัทธาได้ใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้ขอให้เปิดใจแล้วรับฟังสักนิด แล้วท่านก็จะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่มาศึกษาวันนี้เป็นอะไรกันแน่ มีประโยชน์หรือไม่ 
ศิษย์พี่เคยพูดไว้อยู่ครั้งหนึ่งว่า ถ้าหากโลกนี้เต็มไปด้วยผู้ที่มีคุณธรรม ธรรมะจะลงมาโปรดฉุดช่วยคนทำไมใช่หรือเปล่า (ใช่แต่เพราะว่าคนปัจจุบันนี้เป็นคนที่ลืมและทิ้งซึ่งคุณธรรมความดีมัวแต่สนใจ ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทองใช่หรือไม่ (ใช่แต่ความจริงแล้วมนุษย์สามารถเป็นสุขได้ ขอเพียงมีปัจจัยสี่ครบ ขอเพียงมีอาหารให้เรากินทุกมื้อ แม้จะมื้อละหน่อยก็พอแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่มีเสื้อผ้าให้เราคลายอุ่นคลายร้อน ปกปิดร่างกาย มีที่อยู่ให้เราหลับนอน ไม่ต้องกว้างไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องเคลือบด้วยทอง ฝังด้วยเพชรก็พอแล้วใช่หรือไม่ (ใช่และขอเพียงร่างกายเราปกติไม่มีโรคภัย นี่คือความสุขขั้นพื้นฐานของชีวิตคนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่
ถ้าสิ่งใดที่ได้มาผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ไม่ถูกตามครรลองคลองธรรม เราก็เห็นเป็นเพียงลมพัดผ่านเพียงชั่ววูบให้ความสุขเพียงขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ มนุษย์เราละอายที่จะใส่เสื้อตัวเดียวเป็นปีๆ ใช่หรือเปล่า(ใช่อยู่บ้านกระต๊อบเล็กๆ เรารู้สึกละอาย แต่มีใครบ้าง ที่อยู่บ้านหลังใหญ่แต่จิตใจไร้ซึ่งคุณธรรมแล้วเกิดความละอาย ไม่ค่อยมีใช่หรือไม่ (ใช่แต่เราละอายตรงไหน เราละอายเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกและสิ่งที่เรามีเท่านั้น จริงๆ แล้วความสุขของเราขอเพียงแต่มีปัจจัยสี่ครบ และไร้โรคภัยแค่นี้ก็สุขแล้ว แต่มนุษย์เราขอเพียงต้องมีอำนาจ ต้องมีวาสนา ต้องมีเงินทองมีชื่อเสียง แม้ผิดศีลแล้วคนไม่รู้ก็ไม่เป็นไร อย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่มีคำกล่าวที่สอดคล้องกับคำพูดนี้ คือมีอำนาจ มีชื่อเสียง มีเงินทองมากมาย แต่ไร้ซึ่งคุณธรรม ความเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน มีแต่เพียงกายเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ แต่จิตใจโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่เพราะอะไรศิษย์น้องถึงยากจะรู้ความสุขที่เป็นพื้นฐานอันนี้ได้ เพราะเรารู้สึกใช่หรือไม่ (ใช่ต้องละอายในสิ่งที่ควรละอาย ไม่ใช่ละอายแค่รูปภายนอก แต่เราต้องละอายตรงที่จิตใจเราไม่ดี จิตใจเราไม่เป็นคนประเสริฐต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่อย่าเป็นคนที่มีทรัพย์สินวัตถุเต็มไปหมด แต่หาซึ่งคุณธรรม ความเป็นคนไม่ได้แม้สักข้อเดียว อย่างนี้จะต่างอะไรกับคนที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมหรือเป็นคนที่ข้างนอกเป็นคน แต่จิตใจเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ คงไม่อยากเป็นอย่างนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ขอเพียงเราพึงพอใจในความพอดี มีความสุขในคำว่ารู้พอ ชีวิตนี้เราก็สามารถเป็นอิสระ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็มีความเบิกบานใจได้  เพราะเรามีความสุขในคำว่ารู้พอแล้วใช่หรือไม่ (ใช่เรามักจะไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แต่กลับเห็นคุณค่าของคนอื่นดีกว่าของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้คนที่ทุกข์ คนที่เดือดร้อนวุ่นวายตลอดชีวิตและสูญเสียเวลาของชีวิตไป ก็คือตัวศิษย์น้องเองใช่หรือไม่ (ใช่ขอเพียงเราพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เราก็เป็นสุขและอิสระเสรีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่จะมีใครสักกี่คนที่สามารถมีอิสระบนโลกกว้างใหญ่ใบนี้ได้ จะมีใครสักกี่คนที่บนฟ้า บนศรีษะของตนเอง เป็นฟ้าที่แจ่มใสไร้ความหมองมัว หาได้ยากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่เงยหน้าก็มีแต่ความมืดมนวิตกกังวล ก้มหน้าก็มีแต่ความละอายและเกรงกลัวใช่หรือเปล่า (ใช่ที่เงยหน้าและก้มหน้าแล้วมีแต่ความละอาย มีแต่ความมืดมนและเกรงกลัว ก็เพราะว่าตลอดชีวิตไม่เคยรักษาคุณธรรมแห่งความเป็นคนเลย  ฉะนั้นคุณธรรมความเป็นคนเราอย่าได้ละทิ้ง คุณธรรมที่ดีงามเราอย่าได้เพิกเฉย อย่าเป็นคนที่รักคนอื่นได้ แต่รักไม่ได้แม้กระทั่งพ่อ แม่ พี่ น้องตนเอง อย่าเป็นคนที่มีคุณค่าของคนอื่นได้แต่ไม่มีคุณค่าในบ้านของตนเอง อย่างนี้ก็เปล่าประโยชน์ในการเป็นคน ใช่หรือเปล่า (ใช่เรายังหาความสุขให้แก่คนในบ้านไม่ได้ แล้วเราจะไปอยู่ร่วมกับคนอื่นและมีความสุขอย่างแท้จริงได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ก็ต้องรักษาคุณธรรมความเป็นคนให้ดี ดีหรือไม่ (ดี
การศึกษาทำให้เราสามารถมีชีวิตและใช้ชีวิตเป็นได้ แต่วันนี้ที่เราศึกษาเราไม่ได้ศึกษาแบบข้างนอก แต่ศึกษาหลักธรรมที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสงบและสว่างไสว ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักนำไปใช้ให้เป็นด้วย บ่อยครั้งเรามักจะเห็นคนอื่นได้ชัดกว่าเห็นตนเอง เรามักจะเห็นคนอื่นผิดมากกว่าจะเห็นตัวเองผิด ซึ่งการเห็นแบบนี้เป็นการเห็นที่ไม่ค่อยถูกใช่หรือเปล่า (ใช่การเห็นที่แท้จริงคือการเห็นตัวเองได้ชัดแต่ไม่เห็นความผิดของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่การเห็นคนอื่นไม่ชัดแต่เห็นตัวเองชัดหมายความว่า ศิษย์น้องมองเห็นจิตใจของตนเอง การกระทำของตนเองว่า ถูกต้องหรือไม่ ดีงามหรือไม่ การเห็นและไม่เห็นของเราเวลามีชีวิตอยู่บนโลกนี้  คือควรเห็นความไม่ดีและความดีของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่การเห็นและไม่เห็นของเราที่ตอนแรกศิษย์พี่บอกไปก็คือเห็นของตนเองชัดแต่ไม่เห็นของคนอื่น และการเห็นชัด เราเห็นชัดในด้านไหน ก็คือเห็นชัดในด้านที่ดีและไม่ดีของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่แต่การเห็นชัดนั้นเราต้องรู้จักแก้ไข ต้องรู้จักย้อนมองตนเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่พอรู้จักย้อนมองตนเองแล้วเราก็ต้องเข็มงวดตนเองและผ่อนปรนคนอื่น เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำดีเราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราปฏิบัติดีได้อย่างเขาหรือเสมอเขาหรือไม่ แต่ถ้าหากว่าเมื่อไรที่เห็นคนอื่นผิดเราก็ต้องนำเอาสิ่งนั้นมาช่วยตรวจสอบตัวเองว่าเราเป็นเช่นเขาหรือไม่ ฉะนั้นการเห็นและไม่เห็นจึงมีประโยชน์ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เรามักจะทอดทิ้งและละเลยการปฏิบัติซึ่งคุณธรรมแห่งความเป็นคน  เรามักไม่รู้ว่าอะไรคือผิดชอบชั่วดี อะไรคือคำว่าละอายใจใช่หรือเปล่า  แต่เมื่อไรที่เราทอดทิ้งก็ทำให้เราวุ่นวายได้  เพราะหากคุณธรรมความเป็นคนเราไม่รู้จักปฏิบัติ ไม่รู้จักประพฤติ เราก็ยากจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบและเป็นคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างปกติสุขใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราก็ต้องรู้ด้วยว่าเวลาเรากระทำขอให้คิดไตร่ตรองว่าถูกหรือไม่ มีคุณธรรมหรือเปล่า  กระทำแล้วมีอารมณ์และความอยากครอบงำจนเกินไปหรือเปล่า 
บ่อยครั้งที่มนุษย์รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เหมือนกับรู้กฎหมายแต่ไม่เคารพกฎหมาย สามารถเรียกคนอื่นให้กระทำได้ สามารถอธิบายคุณธรรมความดีงามได้เป็นฉากเป็นตอน แต่พอถึงคราวตัวเองต้องทำจริงๆ ก็ลืมไปเลยว่าต้องทำใช่หรือไม่ (ใช่เราก็คงไม่อยากเป็นอย่างนั้น ใช่หรือเปล่า อย่าเป็นคนที่สอนคนอื่นได้แต่ลืมสอนตัวเอง อย่าเป็นคนที่รู้และเข้าใจกฎหมายได้แจ่มชัดจนได้เกียรตินิยมแต่ตนเองลืมเคารพและลืมกระทำ อย่างนี้ก็แปลว่าเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบใช่หรือไม่ (ใช่อย่าเป็นคนที่รู้อะไรผิดอะไรชอบ อะไรดี แต่ถึงเวลากลับไม่ยืนหยัดในการที่จะรักษาความดี และละทิ้งความชั่วร้ายในตัวเอง
บ่อยครั้งเรามักให้อภัยตนเอง แต่มักไม่ให้อภัยผู้อื่น เรายังเป็นคนขี้บ่น โมโหเก่ง ยังเป็นคนทำดีไม่ได้ ยิ่งคิดอย่างนี้เราก็ยิ่งยากที่จะแก้ไข และขัดเกลาทิ้งได้ทันที การจะขจัดในสิ่งที่ผิดของตนเอง เมื่อเราเห็นเราต้องไม่ยอมรับ แต่เราต้องรีบตัดทิ้งทันที หากว่ามือนี้ไปทำผิดก็ต้องตีและห้ามตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากตานี้ชอบมองคนอื่น ชอบดูสิ่งไม่ดี ชอบดูในสิ่งที่ไม่ควรดูก็ปิดตาเสีย สิ่งนี้เราทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่หากใจนี้ชอบหวังอยากได้แต่แยกไม่ถูกซึ่งดีและชอบเราก็ต้องรู้จักควบคุม ฉะนั้นการควบคุมและการระมัดระวังตนเองเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ความชั่วร้ายในตัวเราไม่พอกพูนสูงขึ้น หากเรายอมรับแต่ไม่รู้จักเร่งรีบแก้ไข การยอมรับนั้นก็เปล่าประโยชน์ พอเผลอเราก็กลับมาทำใหม่ ฉะนั้นความดีเราควรทำ แต่ความชั่วร้ายเราควรใช้คำว่า (ขจัดทิ้งเราขจัดทิ้ง แต่คนอื่นขจัดเขาทิ้งเลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้เราต้องใช้ความซื่อตรงและเที่ยงธรรม ถึงจะสามารถทำให้คนไม่ดีเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ ต้องค่อยๆ ทำทีละนิดเหมือนน้ำหยดลงบนหิน อย่าใช้ฆ้อนทุบให้แตก ต้องรู้จักใช้วิธีให้เป็น
เราจะสามารถหาคุณธรรม ความดีงามจากตัวเราได้ นอกจากการอยู่ร่วมกันแล้ว เรายังหาได้จากบนโลกอันกว้างใหญ่นี้ เรามักคิดว่าการใฝ่หาคุณธรรม หาความสงบ หาคำว่านิพพาน ก็คือ ต้องหลบตัวหรือต้องปลีกตัวไป จริงๆ แล้วไม่ใช่ คุณธรรมและสัจธรรมของความเป็นจริงบนโลกนี้หาได้จากการมีชีวิตอยู่ สัจธรรมความเป็นจริง แม้กระทั่งในอำนาจวาสนาก็สามารถหาได้ในอารมณ์และความรู้สึก คุณธรรมก็สามารถหาได้ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้ปัญญาที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม และจิตใจอันเที่ยงธรรมตัดสินทุกอย่างไหม บ่อยครั้งที่เราอยู่บนโลกนี้ถ้าใจเราไม่เที่ยงธรรม ไม่มีคุณธรรม มองอะไรก็ย่อมเข้าข้างตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ถ้าหากว่าจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม เวลาที่เรามองอะไรเราย่อมเห็นได้แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่เวลาที่เราจะมองเขา หากว่าเราอยู่ข้างๆ เราก็ไม่สามารถมองเขาได้ทุกมุม ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้เราต้องมองเรื่องราวต่างๆ ด้วยความเที่ยงธรรม ก็คือมองด้วยใจที่ตรงไม่เข้าข้างใคร ไม่ติดอยู่ในสิ่งใด แม้กระทั่งในอารมณ์รัก อารมณ์ชอบ เพราะคำว่ารักและชอบมักจะทำให้มนุษย์คิดผิดและตัดสินผิดได้เสมอ เหมือนกับที่เราบอกว่าอันนี้สวยกว่าอันนั้น แต่ในความเป็นจริงอันนี้สวยเพียงภายนอก แต่แก่นแท้ของความเป็นจริงเหมือนกันก็คือมีรูปก็เปลี่ยนรูปได้ ฉะนั้นเราจะเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้เราต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้และเข้าใจให้ถึงจุดมุ่งหมายความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
แม้จะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเราก็สามารถรักษาความสะอาดและบริสุทธิ์ได้ เคยเห็นเพชรหรือแก้วไหม (เคยแม้เราจะเอาสีสาด แต่สักครู่สีนั้นก็ลื่นลงมา เพชรก็ยังคงเป็นเพชรอยู่ กระจกก็ยังเป็นกระจก  ก็ยังคงความใสอยู่ แต่จริงๆ แล้วจิตใจของมนุษย์ไม่ใช่กระจกไม่ใช่เพชร ฉะนั้นเวลามืดทำไมต้องกลัวว่าใจเราจะมืด ถ้าใจเราไม่ดูดซับสิ่งนั้นเข้ามาใช่หรือไม่ (ใช่ใจเราสามารถประคองได้ใช่หรือเปล่า (ใช่ใจเราสามารถบริสุทธิ์ได้ แม้จะแปดเปื้อนเลอะเทอะเพียงใด สามารถรักษาความบริสุทธิ์ได้แต่ต้องไม่ติดแม้กระทั่งคำว่าบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะบ่อยครั้งที่บอกว่าเราบริสุทธิ์ แต่คนนั้นสกปรกเราก็เลยรังเกียจไม่ยอมช่วยคนสกปรกอย่างนี้ใช้ไม่ได้ อยู่บนโลกนี้เราต้องมีจิตใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โลกถึงจะสันติสุขและสงบสุขได้ ตัวเราเองรอด ลูกเรารอดแต่คนอื่นไม่รอดได้หรือไม่ (ไม่ได้ฉะนั้นตอนนี้ทุกท่านก็พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นแล้วใช่ไหม (ใช่พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์เรานั้นมีจิตใจเมตตาอยู่ข้างใน ขอเพียงแต่เอาความเมตตาแสดงออกมาเท่านั้นเองอย่าเป็นความเมตตาที่ฝังอยู่ในใจลึกๆ แต่นำออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ อย่างนั้นย่อมไม่มีคุณค่าใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่เราพูดว่าพุทธะมีความเมตตาอยู่ในใจอยู่แล้ว ก็เพราะเวลาเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากเรามักจะทนนิ่งเฉยไม่ได้ เราจะรู้สึกสงสาร  อยากช่วยเหลือ เวลาเห็นใครถูกกดขี่ข่มเหงเราก็ทนไม่ได้ และคิดอยากช่วยคนที่ถูกกดขี่ ข่มเหงใช่หรือปล่า (ใช่เวลาคนใหญ่โตมาข่มเราซึ่งตัวเล็กกว่า เรารู้สึกคับแค้นใจ  และคิดว่าขอให้เราใหญ่บ้างเถอะและเราจะข่มเขากลับ เช่นนี้เป็นการแก้ที่ถูกไหม (ไม่ถูกและเราจะทำเช่นไร บางครั้งเรายากที่จะทำอะไรได้ใช่หรือไม่ แต่เราสามารถทำได้อยู่อย่างหนึ่งนั่นคือข่มใจตนเอง คนเราถ้าหากยอมสักครั้งหนึ่งเราอาจจะเอาชนะคนคนนั้นไม่ได้ แต่ถ้าหากเรายอมสักสิบครั้งเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงคนนั้นได้ ขอเพียงข่มใจและอดใจไหวใช่หรือเปล่า การเปลี่ยนแปลงคนๆ หนึ่ง  จากคนชั่วร้ายเคยข่มเหงคนอื่นให้กลับกลายเป็นคนดีได้ เราจะยอมเจ็บหน่อยได้ไหม (ได้การยอมเป็นคนที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเหมือนที่เราเคยศึกษาว่าพระพุทธองค์ยอมให้เขาทำร้ายถึงขั้นชีวิต แต่ท่านก็ยอมไม่โกรธไม่แค้นก็เพราะว่าอาจเป็นกรรมของเขาใช่หรือไม่ (ใช่หรืออาจจะเป็นกรรมของเราเองก็ได้ ฉะนั้นยอมได้ก็ยอม ยอมบนความลำบากแม้จะเจ็บปวดนิดหนึ่งหากว่าเรายอมและทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ การยอมของเราก็เป็นประโยชน์แก่สังคมใช่หรือไม่ (ใช่ลบคนชั่วร้ายไปคนหนึ่งแม้ตนเองต้องเจ็บบ้างก็ยอมเถอะนะ แม้น้ำตาจะไหลหรือเลือดจะกระเซ็น ขอเพียงยอมใช่หรือไม่ (ใช่
คนเราถ้าเกิดมีชีวิตอยู่เป็นคนทำดี ปฏิบัติดี คนนั้นก็เป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่มนุษย์มักจะไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ มักจะพ่ายแพ้ตัวเองอยู่บ่อยๆ เอาชนะคนอื่นได้เรียกว่าผู้เข้มแข็ง แต่เอาชนะตนเองได้เรียกว่าผู้ประเสริฐ ศิษย์พี่ลืมไปอย่างหนึ่ง ศิษย์น้องพูดว่าไม่ชอบให้ใหญ่ข่มเหงเล็ก คนฉลาดข่มเหงคนโง่ ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วเรามีชีวิตอยู่เราเคยเป็นใหญ่ข่มเหงเล็กหรือไม่ (เคยแล้วคิดว่าเล็กต้องเป็นอาหารของใหญ่หรือเปล่า (เคยถ้าช้างเปลี่ยนจากกินอ้อยมากินท่าน ก็ไม่ใช่ความผิดใช่หรือเปล่า (ใช่โดยปกติแล้วมนุษย์ไม่ชอบให้ใครมาข่มเหงโดยที่เราพูดไม่ได้ ดิ้นรนก็ไม่ได้ เรารู้สึกอึดอัดคับแค้นใจ ฉะนั้นเราต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราข่มเหงเขาไปเท่าไหร่แล้ว เราเป็นคนโหดร้ายหรือไม่ เขาร้องทีหนึ่งก็เชือดแล้วก็บิดเอาเลือดออก โหดร้ายไหม (โหดร้ายมื้อนี้เราแลกด้วยชีวิตของคนอื่นใช่หรือเปล่า ตัวเราก็เหมือนคนที่ใหญ่ข่มเหงเล็กใช่หรือไม่ (ใช่อยากให้โลกสันติสุข อยากให้เรื่องราวต่างๆ หยุดลงได้ เราต้องเริ่มหยุดความชั่วร้ายที่ตัวเราก่อน ดีหรือไม่ เรานำคนอื่นได้คนอื่นย่อมทำตามเราได้ ขอเพียงการนำของเรานั้นเป็นการนำที่ถูกต้องและไปให้ถึงที่สุด คนอื่นก็จะตามเราได้
วันนี้อาจจะไม่ได้ทำให้ศิษย์น้องเข้าใจในเรื่องหลักธรรมทั้งหมด แต่อยากให้ศิษย์น้องเข้าใจว่าธรรมะมีค่าต่อชีวิต ธรรมะยังมีค่าต่อสังคมด้วย ถ้าคนๆ นั้นรู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่ถึงคราวมาก็ต้องถึงคราวไปแล้ว วันนี้คงจะมีหลายๆ คนที่อีกนานกว่าจะได้เจอศิษย์พี่  แม้กาลจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ขอให้ใจของศิษย์น้องยิ่งต้องมั่นคงและหนักแน่น ธรรมะนี้จะเกิดความศรัทธาได้ก็ต้องเริ่มจากเข้าใจ เชื่อมั่น แล้วถึงจะศรัทธาใช่หรือไม่ แล้วถึงจะลงมือปฏิบัติ ขอให้ทุกวันนับจากวันนี้ไป แม้กาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ใจของน้องต้องเหมือนเดิม ดีหรือไม่ (ดีคิดว่าธรรมะดีอย่างไรก็ขอให้คิดว่าดีอย่างนั้น คิดว่าตั้งใจปฏิบัติอย่างไรก็ขอให้ปฏิบัติอย่างนั้น อย่าเป็นเช่นกาลเวลาที่พัดผ่านไป หาความมั่นคง หาความเป็นแก่นสารของตนเองไม่ได้ อย่างนี้มีชีวิตไปก็ไร้ค่า ไร้ประโยชน์  อย่าลืมว่าทุกเวลาก็คือชีวิตของเรา หนึ่งชีวิตที่มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า เวลาก็คือการประกาศความเป็นคนของตัวเราว่าจะเป็นคนหรือจะเป็นปุถุชนหรือว่าเป็นพุทธะ ขึ้นอยู่ว่าจากวันนี้ที่ได้เข้าใจที่ได้ศึกษาแล้วมีความตั้งใจหรือไม่ ไปแล้วนะ วันนี้ศิษย์พี่อาจจะไม่ได้มาเล่นมาก  ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ ศิษย์น้องผู้อายุเยาว์ อย่าหลับอีก ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี รู้หรือเปล่า ธรรมะมีค่าและไร้ค่าได้ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเห็นคุณค่าหรือไม่ อย่าเป็นคนที่พูดว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ จริงๆ แล้วธรรมะเป็นเรื่องของชีวิต ขอให้มีกำลังใจในการศึกษาบำเพ็ญธรรมและเชื่อมั่นเถิดว่า ธรรมะนี้เป็นธรรมะที่แท้จริง สามารถนำศิษย์น้องไปสู่ความสว่างไสวได้ อยู่ที่ว่าทำหรือไม่ทำเท่านั้น วันนี้จะทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับว่าเอาชนะใจของตนเองได้หรือไม่

วันอาทิตย์ที่  ๑๓  ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มีความเชื่อมั่นตนเองด้วยปัญญา               รู้นำพาชีวิตตนเกิดความหมาย
ชีวิตดั่งน้ำแข็งที่ค่อยค่อยละลาย                  รู้จักใช้ให้เกิดคุณประเสริฐจริง
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า                   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา               ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

  โลภโกรธหลงในจิตใจใฝ่ขจัด                 เดินทางลัดอย่าเพลิดเพลินความงามสวย
เกิดเป็นคนอย่าได้ไปใฝ่สำรวย                  ศิษย์มาช่วยตนเองก่อนช่วยเวไนย
เป็นคนดีของอาจารย์จี้กงน้อย                  ค่อยค่อยเดินทีละก้าวถึงจุดหมาย
อยู่นิ่งนิ่งอย่าเกียจคร้านอันตราย                รักสบายปลายลำบากยากพรรณา
ปุถุชนเป็นพุทธะได้ทุกคน                        อย่าอับจนใจบอดมืดมิรักษา
ชีพสร้างคุณต่อใจสร้างค่า                       โดนคนว่าเรื่องเล็กน้อยอย่าใส่ใจ
พายนาวาด้วยใจแห่งโพธิสัตว์                   รู้จำกัดเหล่ากิเลสมิหลงใหล
เป็นเรือน้อยรอลมเรากางใบ                     ไปได้ไกลด้วยใจนี้มีเมตตา
ทะเลทุกข์ฉุดใจพ้นมิวนหลง                     คนมั่นคงฟ้าดินจักช่วยรักษา
บำเพ็ญธรรมเพียรกายใจในธรรมดา            แห่งชีวาเป็นคนใหม่ขึ้นทุกวัน
                                                                                      ฮา  ฮา   หยุด
                บุกเบิกถางถากทางนี้มาแสนนาน  จากตะวันลอยขึ้นไปบนฟ้าไกล  จวบแสงลาลับคล้ายสิ้นหาย  ถ้าท้อใจไปผัดวันจะสายเกิน
            ตั้งจุดหมายฝ่าความยากในพริบตา  จะเดินหน้ามาพากเพียรไปพร้อมกัน  จะสำเร็จในสักวัน  เสมือนควันจางไปได้เจอทาง

เพลง : พร้อมใจพากเพียร
ทำนองเพลง : เพื่อมวลชน


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อครู่ฟังไปฟังมาจี้กงๆ เหมือนขี้โกงๆ เหมือนไหม (ไม่เหมือนแสดงว่าการออกเสียงของคนนี้สำคัญไหม (สำคัญการฟังแล้วถูกต้องสำคัญหรือเปล่า (สำคัญทุกๆ วันนี้เวลาพูด เราระวังว่าจะพูดผิดหรือเปล่า  แล้วระวังว่าเราจะฟังผิดไหม (ระวังเราต้องระวังที่สุดคือใคร ตัวเราที่มานั่งฟังธรรมะ แล้วบอกให้ตอบก็ควรที่จะตอบใช่หรือไม่ (ใช่เวลาที่ไม่ควรจะตอบก็ควรจะนั่ง การฟังกับการพูดเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างมาก หลายๆ คนเวลาที่คุยกันฟังแต่หางเสียง ในที่สุดแล้วเกิดปัญหาไหม (เกิดเกิดปัญหาแน่นอน เพราะฉะนั้นการฟังสิ่งใดก็ควรที่จะฟังให้ถ้วนถี่ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่นี่เขามีประชุมธรรม เวลาที่เรามานั่งฟังธรรมะสองวันกับเวลาที่เราไปฟังคนอื่นเขานินทากันเชื่ออันไหน เวลาคนอื่นเขาพูดว่าธรรมะไม่ดีกับที่เรามานั่งฟังสองวันนี้เราเชื่อใคร เชื่อตัวเราเองหรือว่าเชื่อคนพูด (ตัวเราเองตอนนี้ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นได้เชื่อตัวเองมากเท่าไหร่แล้ว เชื่อมากไหม มากหรือเปล่า (มากแล้วถามว่าตอนนี้มีความเชื่อในธรรมะไหม (มีมีไม่มี ใครมียกมือขึ้น ไหนให้อาจารย์ดูชัดๆ เอามือลงได้ การที่เราจะเชื่อจำเป็นต้องเชื่ออย่างมีเหตุผล  ในวันนี้เรามานั่งฟังธรรมะ ชัดเจนที่สุดก็คือสิ่งที่เข้าหูเราใช่หรือเปล่า(ใช่เพราะฉะนั้นเวลาที่คนอื่นเขาบอกว่าธรรมะหรอกหรือบอกว่าเราไปเชื่ออะไรก็ไม่รู้ เราต้องใช้ปัญญาคิดใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าเรามีความเชื่อมั่นก็ควรที่จะใช้ปัญญาคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชีวิตดั่งน้ำแข็งที่ค่อยค่อยละลาย
ชีวิตเหมือนกับน้ำแข็งที่ค่อยๆ ละลายไป หาความจีรังยั่งยืนได้ไหม (ไม่ได้ชีวิตของเราทุกๆ วันนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าหรือเปล่า (มีเพราะฉะนั้นเราต้องรักษาชีวิตนี้ให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่แล้วทุกๆ วันนี้ทำอะไรที่เป็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่บ้าง (ทำความดีทุกคนทำความดีเหมือนกันหมดหรือเปล่า แล้วถามว่าใครดีที่สุด ทุกๆ คนเป็นคนดีเท่าๆ กันใช่หรือไม่ (ไม่ใช่มนุษย์ในโลกนี้แบ่งเป็นคนดีกับคนชั่ว  และเราก็ดีเท่าๆ กับที่คนอื่นใช่ไหม (ใช่แล้วถามว่าเวลาที่อยากจะได้เพชรเม็ดสวยที่สุด ต้องเอาคนที่ทำดีมากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่เวลาที่อยากจะให้พุทธะเลือกพุทธะกลับฟ้าไปต้องเอาคนทำไม ดีเท่าๆ กันหมดไปได้ไหม (ไม่ได้เอาหินมาถาดหนึ่งต้องเลือกหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดแล้วถามว่าใครเป็นหินก้อนที่ใหญ่สุด คนที่จะเป็นพุทธะได้ต้องมีความดีมากว่าคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่แล้วเราดีมากกว่าคนอื่นไหม มากกว่าข้อหนึ่งหรือมากกว่าสองข้อ พอหรือเปล่า (ไม่พอเพราะฉะนั้นความดีที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นความดีที่มนุษย์สมควรจะทำใช่หรือไม่ (ใช่ถ้ามนุษย์ไม่มีความดีจะเรียกมนุษย์ไหม (ไม่เพราะฉะนั้นที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ตอนนี้เราต้องการก้าวจากปุถุชนที่เราเป็นอยู่ทุกๆ วันนี้ให้เป็นพุทธะ จึงต้องทำความดีที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นต้องลงแรงมากกว่าที่เราเป็นอยู่ทุกๆ วันนี้ทำอะไรบ้าง (ล้างจานให้ภรรยาล้างจานให้ภรรยาบอกว่าดีเหรอ ต้องบอกว่าล้างจานข้างล่างที่เขาล้างจานให้ศิษย์โดยที่ไม่ใช่ญาติกันนี่ถึงจะดีใช่ไหม ใช่หรือเปล่า ถ้าล้างจานให้ภรรยาบอกว่าดี อย่างนี้ภรรยาทำกับข้าวให้เรากิน เขาก็บอกว่าเขาดีใช่ไหม (ใช่แล้วก็ดีกันอยู่ในบ้านใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นตื่นเช้าขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ทำงานใช่หรือไม่ (ใช่) ทำงานเสร็จเหนื่อยกลับมาก็นอนใช่หรือเปล่า แล้ว เช้า กลางวัน เย็น  ก็ยังต้องกินข้าวอีกใช่หรือเปล่า วันๆ นี้เหลือเวลาเท่าไหร่เอาไปทำความดี เพราะฉะนั้นคนทำความดีเหนื่อยไหม คนทำความดีต้องทำทุกๆ ขณะจิตใช่หรือไม่ (ใช่หากมีโอกาสต้องเร่งทำใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นคนทำความดีนั้นต้องเหนื่อยหน่อย ยอมเหนื่อยไหม (ยอมกลัวเหนื่อยไหม (ไม่กลัวตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน  จะเป็นคนดีคนไม่กลัวเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่เราจะช่วยคนอื่นแม้ว่าเราจะลำบากดีหรือเปล่า (ดี)
วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมงทุกๆ เวลาทุกๆ นาทีใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดดีหรือเปล่า (ดีจะไม่เกียจคร้าน ไปนอนหรือว่ามีจิตใจที่คิดไม่ดีต่อคนอื่น ว่าคนอื่นทำสิ่งไม่ดี เราจะไม่ทำดีหรือไม่ (ดีพระพุทธองค์สอนอยู่ ๓ อย่าง ในการที่เราจะสร้างกรรม ก็คือทางกาย วาจา ใจ สามอย่างใช่หรือไม่ (ใช่ความชั่วสามทางนี้เราจะไม่ทำดีหรือเปล่า (ดีความชั่วทางกายเยอะไหม (เยอะการเล่นการพนันเป็นความไม่ดีหรือเปล่า (ไม่ดีเล่นหวย (ไม่ดีเอาไหมเอา (ไม่เอาแน่ใจนะ เดี๋ยวกลับออกไปพรุ่งนี้อย่าวิ่งไปหาเจ้ามือ ทางกายไม่เอาเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่ทางใจไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น คิดไม่ดีต่อผู้อื่น คิดไม่ซื่อตรงต่อผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่ยังมีอีกมากมายที่เป็นบาปที่เกิดทางใจ เสร็จแล้วทางที่สามคือ ทางวาจามีอะไรบ้าง (พูดสอดเสียด, ไม่พูดโกหก, ไม่พูดนินทา, ไม่พูดเพ้อเจ้อใช้ปากของใคร (ปากเราแล้วทำไมเราควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะอ้าปากอ้าได้ไหม เราอยากจะปิดปากปิดได้ไหม (ได้แล้วถามว่าทำไมควบคุมไม่ได้ (อยู่ที่จิตสั่งอาจารย์บอกว่าอยู่ที่จิตสั่งใจเพราะฉะนั้นเราก็ไปสั่งที่ไหน เราก็ไปสั่งที่จิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่เสร็จแล้วเราจะเอาอะไรสั่ง เอาคำสั่งไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้) อาจารย์ว่ามีสิ่งหนึ่งที่สั่งจิตได้ (เอามโนธรรมมีสิ่งหนึ่งสามารถสั่งจิตของเราได้ก็คือธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่ทำไมศิษย์ของอาจารย์ต้องมานั่งฟังธรรมะสองวันนี้ ฟังทำไมธรรมะ
เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นสิ่งสำคัญหรือเปล่า พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตกสิ่งนี้ก็เป็นธรรมะของพระอาทิตย์ จิตของศิษย์เองเมื่อก่อนก็เคยเป็นพระอาทิตย์ที่ขึ้นและตกตามเวลาเช่นเดียวกัน แต่ว่าภายหลังนี้เราปล่อยให้ใจของเรานั้นวุ่นวายไปตามกระแสโลกใช่หรือไม่ (ใช่เห็นคนอื่นเขาวุ่นวายเราวุ่นวายหรือเปล่า (วุ่นวายเพราะฉะนั้นใจของเราจึงขาดธรรมะไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนน้ำที่เทไปหมดแก้ว ในที่สุดแล้วจิตใจจึงขาดธรรมะ ทำให้สองวันนี้จึงต้องมานั่งฟังธรรมะใช่หรือเปล่า (ใช่และเอาธรรมะนี้ไปสั่งจิตเพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติที่สุดแล้ว สามารถกลมกลืนเข้ากับจิตได้ดีที่สุด และเมื่ออยู่กับจิตแล้วจะเปรียบเสมือนของสิ่งเดียวกัน เปรียบเสมือนน้ำเทเข้าหาน้ำ ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายสิ่งใด เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงต้องนั่งฟังธรรมะเพื่อที่จะเอาธรรมะไปบังคับจิตของเรา
บาปสามทางอันได้แก่ กาย วาจา ใจ เมื่อไม่ทำถามว่าเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี) คนดีทั่วๆ ไปที่ศิษย์เห็นและเรียกเขาว่าเป็นคนดีนั้นเขาทำบาปทางกาย วาจา ใจ ไหม ทุกๆ วันนี้ศิษย์ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนดีก็ยังมีบาปทางกาย วาจา และใจ เผลอออกมาประจำใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นตอนนี้จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องควบคุมกาย วาจา และใจของตนเอง จำเป็นไหม (จำเป็นปาก ก็คือ วาจา ควบคุมง่ายไหม (ไม่ง่ายอาจารย์ให้เลือกนะ กาย วาจา ใจ สามอย่างนี้ให้เลือกบังคับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อน เลือกอะไรดี อาจารย์จะบอกว่าการบังคับใจนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่แต่ว่าคนส่วนใหญ่มักคิดว่าใจเป็นสิ่งที่บังคับได้ง่ายที่สุด กายของเรายังสามารถบังคับให้เดินได้ วาจาหรือปากของเราสามารถบังคับให้ไม่พูดได้ เพราะฉะนั้นการควบคุมใจจึงเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและควบคุมได้ยากที่สุด คนที่เริ่มจากการบังคับใจไปแสดงว่าเป็นการเริ่มจากยากไปหาง่าย ถ้าควบคุมใจได้จะสามารถควบคุมกาย และวาจาได้ ถ้าหากว่าควบคุมกาย และวาจาได้ ใจก็เป็นของยากที่เราจะต้องก้าวขึ้นไปควบคุมใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถามว่าเมื่อตัดสินใจเป็นผู้บำเพ็ญแล้ว กาย วาจา ใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องควบคุมไหม (จำเป็นถ้าหากไม่ควบคุมกาย วาจา ใจ ของเราแล้วถามว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญได้หรือไม่ (ไม่ได้และวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นคิดจะเป็นหรือยัง เมื่อคิดจะเป็นผู้บำเพ็ญแล้ว คำว่า "พุทธะ"ใกล้ไหม (ใกล้แต่หากว่าไม่ยอมควบคุมตนเองและไม่เข้าใจตนเอง เข้าใจแต่ว่าตนเองเป็นใครมาจากไหนเท่านั้น ถามว่าเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ไม่ได้ทุกๆ วันก็จะเป็นปุถุชนที่หาเช้ากินค่ำอยู่เช่นนี้ ถามว่าชาตินี้ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์ชาตินี้มีโอกาสที่จะได้บำเพ็ญรู้ทางธรรมแท้ เมื่อมีโอกาสที่จะบำเพ็ญเพื่อให้หลุดพ้นแล้ว ถ้าหากชาตินี้ไม่เอาชาติหน้าเกิดมาใหม่ทุกข์หรือไม่ทุกข์ (ทุกข์แถมชาติหน้าอาจจะไม่ได้บำเพ็ญธรรม อาจจะไม่ได้เป็นคนดีหรืออาจจะเป็นคนที่ร่ำรวยหรือเป็นคนที่ยากจน จนไม่มีเวลาที่จะบำเพ็ญธรรม เพราะฉะนั้นชาตินี้ที่มีอยู่ต้องรู้จักบำเพ็ญ ชาตินี้ทำไว้ดีก็เป็นพุทธะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่เกิดชาติหน้าครั้งใหม่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าจะรวยหรือจน ลูกจะกตัญญูหรือเปล่า สภาพความเป็นอยู่จะดีหรือเปล่า ไม่รู้อะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นชาตินี้ที่มีอยู่ยากจะลดน้อย ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่แต่หากว่าชาตินี้รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ถามว่าชาตินี้ชดใช้ชาตินี้เลยดีไหม หากว่าชาตินี้ทำเพื่อชาติหน้าและชาติหน้าก็มานั่งแก้ไขในสิ่งที่เป็นอดีตชาติ ลำบากไหม (ลำบากเพราะฉะนั้นชาตินี้มีความทุกข์บ้าง สุขบ้างแต่ว่าดีไม่ดี (ดีบ้านของเราแม้ว่าจะไม่สวยสู้บ้านของคนรวยไม่ได้ แต่บ้านนั้นก็เป็นบ้านของเราเอง ตอนนี้จึงต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ใช้ชีวิตของตนเองที่มีอยู่ แม้ว่าสุขภาพจะไม่ดี ไม่ฉลาด มีความรู้สูงหรือมีเงินทองมาก แต่ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าที่สุด อาจารย์จึงบอกว่า ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเกิดเป็นใครมาจากไหน จะทำอะไรอยู่ ขอเพียงให้รู้จักกลับตัวกลับใจจากร้ายกลายเป็นดี จากดีย่อมกลายเป็นสิ่งที่ดีขึ้นไป ชีวิตนี้อยากจะให้แย่ลงหรืออยากจะให้ดีขึ้น (ดีขึ้นอยากจะให้ดีขึ้นตนเองต้องทำอย่างไร (รู้จักตนเอง , ปฏิบัติธรรม) คนที่สวย สวยที่ใด (ใจกายไม่เป็นไรเพราะร้อยปีผ่านไปกต้องทิ้งกายนี้ อยากทิ้งไหม (ไม่อยากทิ้งไม่อยากทิ้งก็ต้องทิ้ง ไม่อยากไปก็ต้องไป เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปจากกายนี้ขอให้ใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์ ทำได้ไหม (ได้ไม่ใช่ทุกๆ วันก็ใช้ปากไว้นินทา มีหูไว้ฟังเสียงกระซิบ การนินทาดีหรือเปล่า (ไม่ดีและเรานินทาเขาเราไม่ดีหรือเขาไม่ดี (เราไม่ดี) ฉะนั้นทำสิ่งใดก็ต้องรู้จักมองตนเองก่อน กระจกตั้งขึ้นมาเห็นใคร (ตัวเราเองและคนในกระจกเหมือนพระหรือเหมือนมาร ถ้าเหมือนพระก็ต้องมีหน้าตาที่แจ่มใส แม้ว่าจะไม่สวยแต่หน้าตาแจ่มใสก็เป็นพระใช่หรือไม่ แต่ถ้าหน้าตาเหมือนยักษ์หรือมารก็เป็นมาร แต่หากว่าไม่รู้ว่าจะเป็นพระหรือมาร หน้าครึ่งหนึ่งดีอีกครึ่งหนึ่งไม่ดีก็เป็นอสูรกาย คือไม่เหมือนคน ฉะนั้นต้องทำหน้าให้ยิ้มแย้ม มีบางคนเคยถามตนเองว่าทำไมเขาไม่ยิ้มให้เราก็เพราะว่าเราไม่ได้ยิ้มให้เขาใช่ไหม (ใช่)
คนที่สวย สวยที่ใด (ใจกายไม่เป็นไรเพราะร้อยปีผ่านไปต้องทิ้งหรือไม่ทิ้งกายนี้ (ทิ้งอยากทิ้งไหม (ไม่อยากทิ้งไม่อยากทิ้งก็ต้องทิ้ง ไม่อยากไปก็ต้องไป เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปจากกายนี้ขอให้ใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์ ทำได้ไหม (ได้ไม่ใช่ทุกๆ วันก็ใช้ปากไว้นินทา มีหูไว้ฟังเสียงกระซิบ การนินทาดีหรือเปล่า (ไม่ดีและเรานินทาเขาเราไม่ดีหรือเขาไม่ดี (เราไม่ดีเพราะฉะนั้นตอนนี้เรานินทาเขาไม่ดี (เราไม่ดีฉะนั้นทำสิ่งใดก็ต้องรู้จักมองตนเองก่อน กระจกตั้งขึ้นมาเห็นใคร (ตัวเราเองและคนในกระจกเหมือนพระหรือเหมือนมาร ถ้าเหมือนพระก็ต้องมีหน้าตาที่แจ่มใส แม้ว่าจะไม่สวยแต่หน้าตาแจ่มใสก็เป็นพระใช่หรือไม่ แต่ถ้าหน้าตาเหมือนยักษ์หรือมารก็เป็นมาร แต่หากว่าไม่รู้ว่าจะเป็นพระหรือมาร หน้าครึ่งหนึ่งดีอีกครึ่งหนึ่งไม่ดีก็เป็นอสูรกาย คือไม่เหมือนคน ฉะนั้นต้องทำหน้าให้ยิ้มแย้ม มีบางคนเคยถามตนเองว่าทำไมเขาไม่ยิ้มให้เราก็เพราะว่าเราไม่ได้ยิ้มให้เขาใช่ไหม (ใช่)
เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นที่หนึ่ง เอาหรือไม่ (เอาคำตอบมีให้แล้ว ยังกลัวตอบไม่ถูก คำตอบอาจารย์ตอบให้แล้ว ถ้าจะสอบตกก็คือลืมคำตอบ อาจารย์คนนี้เป็นอาจารย์ที่ใจดีใช่หรือไม่  จะออกข้อสอบทั้งทีก็บอกคำตอบให้เสร็จสรรพ เพราะฉะนั้นศิษย์แค่ลุกขึ้นมาก็ได้ที่หนึ่งแล้ว มีคนลงสนามแข่งเยอะ แต่ยังน้อยกว่าการสอบในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่การสอบในโลก สอบทั้งๆ ที่ไม่บอกว่าสอบ ใช่หรือไม่ (ใช่ใครตกก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะได้สอบอะไรใหม่เลย  เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในโลก ความยากลำบากหนึ่งครั้งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา อาจจะไม่ย้อนกลับเข้ามาอีก ฉะนั้นจะต้องรู้จักฝ่าให้ดีๆ ไม่ว่าความลำบากนั้นจะมาก ก็ขอให้เราฝ่าให้มาก ใช้ความอดทนให้มาก ถ้าใช้ความอดทนน้อยก็ไม่สามารถจะฝ่าความลำบากที่มากได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้เจออยู่ในชีวิตตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสบายที่สบายจนเกินไป ความลำบากที่เป็นความลำบากจนเกินไป ทุกๆ อย่างเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น  ถ้าเราสามารถฝ่าความลำบากได้ เราก็จะมีความสามารถขึ้น เป็นผู้ที่แกร่งขึ้นอีกหนึ่งขั้น  เปรียบเสมือนต้นไม้ที่มีวงของอายุมากขึ้น  ต้นไม้หนาๆ ก็ต้องมีวงที่อยูข้างนอกต้นของตนเอง เปลือกนั้นยิ่งหนาขึ้น  เราจะเป็นต้นไม้ที่เปลือกหนาได้ จะต้องผ่านเวลานานมากและยอมฝ่าความยากลำบากต่างๆ  ความลำบากดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแข่งตอบคำถามโดยพระอาจารย์ได้ให้คำตอบไปแล้ว)
(เป็นผู้ให้ย่อมเหนือกว่าเป็นผู้รับ เป็นผู้รับแล้วต้องยิ้มรับตอบไม่เห็นตรงกับที่อาจารย์พูดเลย เป็นการสรุปใช่ไหม (ผู้ที่ให้ต้องให้ก่อน ผู้ที่รับต้องยิ้มรับตอบก็ยังเป็นการสรุปอยู่ดี อย่างนี้ถือว่าสอบตกดีไหม อาจารย์จะบอกให้ว่าบางทีการสรุปคำพูดของอาจารย์ไปตอบก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่หลายๆ ครั้งมีการเข้าใจผิดเพราะเรามาสรุปเป็นความคิดของเรา แล้วเราก็ไปบอกผู้อื่นข้อความเปลี่ยนไป เลยกลายเป็นเรื่องวุ่นวายในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดีอาจารย์บอกให้ตอบสิ่งใดก็ตอบ จะได้ไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น อันว่าวงการธรรมที่กว้างใหญ่ไพศาล ศิษย์ของอาจารย์ถ้าสรุปทุกคน ร้อยคนก็สรุปออกมาไม่เหมือนกัน ถามว่าอาจารย์จะพูดให้คำตอบกับศิษย์อย่างนี้ทุกครั้งไหม (ไม่ทุกๆ อย่างขึ้นอยู่กับปัญญาของเราเอง ว่าศิษย์จะเก็บความหมายไปได้ว่าอะไร เพราะฉะนั้นบางครั้งเมื่อเกิดความเข้าใจผิดต่อกันจึงต้องรู้จักให้อภัย เมื่อมีความเข้าใจผิด การอภัยก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ร้อยคนก็มีร้อยใจ มีร้อยอย่าง พันคนก็มีพันใจ มีพันอย่าง เพราะฉะนั้นตอนนี้อาจารย์จะหาคนตอบใหม่ (เวลาที่เขายิ้มให้ต้องยิ้มกลับยังไม่ถูก เกรงว่าจะไม่มีใครจำได้แล้วด้วย ใครคิดว่าตัวเองจำได้ว่าเมื่อสักครู่อาจารย์พูดอะไรได้ทุกถ้อยทุกคำก็ลุกขึ้น (ยิ้มให้เขาก่อนยังไม่ถูกเลย (เพราะเราไม่ยิ้มให้ก่อนก็เกือบแล้ว (เพราะว่าเราไม่ยิ้มให้เขาก่อนอาจารย์ว่าไม่มีใครจำได้แล้ว อาจารย์พูดว่าก็เราไม่ยิ้มให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่แม้ว่าในคำพูดทุกถ้อยทุกคำนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์เข้าใจทุกๆ คนนั้นต่างเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างไปอย่างหนึ่งนั้นคือ ทุกถ้อยทุกคำนี้ เพราะฉะนั้นบางทีจึงต้องรู้จักที่จะพลิกแพลงไปตามโอกาส  อาจารย์สอนเช่นนี้แล้ว หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะไม่เป็นคนโง่มากกว่าฉลาด
ในอาหารที่เราทานไปมีครบทั้งห้ารสไหม (ครบมีเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด มัน  ในอาหารที่เรารับประทานไปมีรสชาติครบทุกรสใช่หรือเปล่า (ใช่ชีวิตของเราชีวิตหนึ่งก็มีการเติมรสเข้าไปเหมือนกัน ชีวิตในวัยเด็กเหมือนชีวิตที่ยังไม่ได้ปรุงรสอะไรในอาหารเลย อารมณ์หลักๆ กิเลสหลักๆ ก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง รสชาติหลักๆ มีอะไรบ้าง (เปรี้ยว, หวาน, มัน, เค็มเอาให้เหลือสามอย่างดีไหม มีเค็มแน่นอน มีหวานแล้วอะไรอีกอย่าง คนชอบเผ็ดก็บอกว่าเผ็ด คนชอบเปรี้ยวก็บอกว่าเปรี้ยว สมมติให้รสชาติที่สามคือรสเปรี้ยว นั่นคือโลภ โกรธ หลง  เปรียบเหมือนเค็ม หวาน แล้วก็เปรี้ยวดีไหม สามรสชาตินี้ในชีวิตของเราก็มีตลอด และก็ตรงกับชีวิตของเราใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นรสชาติสามรสชาตินี้ ถ้าเค็มมากเกินไปก็ไม่ดี ถ้าโลภเกินไปก็ไม่ดี  ถ้ามีความหวานมากเกินไป เปรี้ยวมากเกินไปดีหรือไม่ (ไม่ดีเราดูร่างกายของเราเอง ถ้าหากว่ามีสิ่งนี้มากเกินไป มีอารมณ์ปรุงแต่ง โลภ โกรธ หลงมากเกินไป ย่อมเป็นสิ่งไม่ดี ฉะนั้นควรที่จะตั้งอยู่ในรสชาติที่จืด เพราะว่าเราต้องการที่จะเป็นเด็ก เป็นเด็กรู้จักความรักไหม (ไม่รู้จักความโลภ ความหลงไหม (ไม่เป็นเด็กดีหรือเปล่า (ดีฉะนั้นในชีวิตของเรานี้จึงต้องไม่ปรุงแต่ง หรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด ถ้าหากว่าเรามีจิตใจเยี่ยงเด็ก ไม่เกลียด โกรธ หลงใคร ถามว่าเรานั้นจะเป็นพุทธะได้ง่ายไหม (ง่ายเมื่อจิตใจของเราใสและบริสุทธิ์ จะเป็นพุทธะที่ง่ายกว่าการที่เราหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์โลภ โกรธ และหลง ตอนนี้อารมณ์สามอย่างนี้มีอยู่ในตัวเราหรือเปล่า (มีจำเป็นต้องขจัดไหม (จำเป็น)
ในวันนี้เรายังได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ เป็นปุถุชน การที่เราจะขจัดสิ่งใดทันทีเป็นเรื่องยาก ถามว่าต้องพยายามหรือเปล่า (ต้องพยายามวันนี้เราอยากจะทำจริงๆ เราอยากขจัดอารมณ์จริงๆ แต่อีกสองวันข้างหน้าไม่อยากขจัดแล้ว  ถ้าอีกสองวันข้างหน้าเราเกิดความเกียจคร้านก็คือตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่ในที่สุดแล้วคนที่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์นี้มากที่สุดคือใคร (ตัวเราเองแม้เราจะให้ความโกรธกับผู้อื่น ใจเราก็จะร้อนรุ่มใช่หรือเปล่า (ใช่ในที่สุดคนที่ขยันโกรธบ่อยๆ ก็เป็นโรคหัวใจตาย อยากเป็นไหม (ไม่อยากฉะนั้นหากศิษย์ของอาจารย์เพียงทำใจของตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาด ว่างๆ งามๆ โล่งๆ ก็จะสบาย ใช่ไหม  อารมณ์ที่เรามีบ่อยๆ เคยนับได้ไหมว่า วันหนึ่งตัวเองโกรธกี่ครั้ง (ไม่เคยถามว่าตอนนี้จะดับความโกรธกี่ครั้งดี ในหนึ่งวันมี ๒๔ ชั่วโมง ใช้ชีวิต ๑๒ ชั่วโมง  ใน๑๒ ชั่วโมงนี้โกรธชั่วโมงละกี่ครั้ง สมมติว่าโกรธชั่วโมงละครั้งวันหนึ่งโกรธ ๑๒ ครั้ง  ฉะนั้นวันหนึ่งเราจะขจัดไปกี่ครั้งดี (๑๒ ครั้งตอนแรกบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราอาจจะขจัดทั้ง ๑๒ ครั้ง แต่ครั้งละครึ่ง เพราะฉะนั้น ๑๒ ครั้ง ก็เหลือแค่ ๖ ครั้งเท่านั้น ต้องใส่ใจอารมณ์ของตัวเองไหม  คนที่โกรธหน้าตาเหมือนพุทธะหรือเหมือนพญามาร (พญามารผมของเราเป็นสีดำไม่ใช่สีเขียว ไม่ใช่สีแดง เพราะฉะนั้นเราควรระงับอารมณ์โกรธของตนเองให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเราโกรธเมื่อไหร่ ผมของเราก็จะเป็นสีแดงกับสีเขียว ในที่สุดแล้วก็ไม่เหมือนคน ใจสีแดงของเราก็กลายเป็นสีดำ ใช่หรือไม่ (ใช่หรือดีไม่ดีอาจจะเลือดวิ่งไม่พอ เพราะสูบฉีดไม่ทัน โกรธมากไปหน่อย ฉะนั้นตอนนี้ตั้งใจไว้หรือยังว่าจะขจัดอารมณ์ได้เท่าไหร่ (วันละ ๓ ครั้งขจัดวันละ ๓ ครั้ง วันหนึ่งกินข้าว ๓ ครั้ง  ฉะนั้นขจัดวันละ ๓ ครั้ง พอไหม ถ้าทำได้ ๓ ครั้งจริงๆ ก็พอ
สิ่งสำคัญสิ่งเดียวคือต้องทำได้ หากว่าเราทำไม่ได้มีประโยชน์ไหมที่มานั่งฟัง (ไม่มีตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนได้สู่การเรียนรู้เป็นพุทธะ การเป็นพุทธะนั้นแม้ว่าจะไม่ง่ายเหมือนไกลเกินเอื้อม ถามว่าหากเส้นชัยอยู่เบื้องหน้าแม้ว่าเราวิ่งไม่ไหวเพราะอายุมากแล้ว หากว่าเดินทีละก้าวถึงไหม (ถึงหากว่าเราไม่ได้เป็นผู้ชนะเลิศก็ขอให้ได้ชื่อว่าเดินถึงเส้นชัยเหมือนกัน ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์มีความมุ่งมั่นจะเดินทีละก้าวหรือเปล่า (มี
(พระอาจารย์เมตตาให้เอายางวงขึ้นมาและอธิบาย )
รู้จักไหมสิ่งนี้ แล้วเคยมองเห็นอะไรจากสิ่งนี้บ้าง (ความยืดหยุ่นของยางตอนนี้อาจารย์จะสอนศิษย์ทุกๆ คนเป็นพุทธะ ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนสุดท้ายของปีนี้ที่เราจะได้เจอกัน ฉะนั้นอาจารย์ทิ้งท้ายให้ศิษย์ของอาจารย์ได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่าคิดว่าเห็นอะไรในยางวง แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ของอาจารย์จะได้เห็นคือ ความยืดหยุ่นของยางใช่หรือไม่ (ใช่ทุกๆ วันเราก็ยังใช้ยางแตเราไม่เคยคิดว่าการกระทำนี้จะสามารถนำมาเลียนแบบได้ ยางวงนั้นอยู่อย่างนี้ก็มีลักษณะกลมๆ ไม่ยืด ถือว่าเป็นความพอดีใช่หรือไม่ (ใช่ทุกๆ สิ่งที่อาจารย์สอนศิษย์ไปก็สามารถเป็นอย่างนี้ได้ คือกลับมาเท่าเดิม และสิ่งสิ่งนี้ก็สามารถเล็กลงได้อีก ไม่มีคำว่าตายตัวเสมอไปสำหรับหลักธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่ขอเพียงศิษย์ของอาจารย์สามารถปฏิบัติได้ แต่หากว่ามากเกินไปศิษย์ของอาจารย์บางคนยืดหยุ่นมาก มากจนแม้สัจธรรมก็รองรับศิษย์ไม่ไหว ในที่สุดก็ขาด การบำเพ็ญธรรมให้ดีก็คืออยู่บนความพอดี ถ้าให้ศิษย์ของอาจารย์พลิกแพลงก็ยืดออกเท่าที่ทำได้
การบำเพ็ญสำคัญที่สุดอยู่อย่างหนึ่งคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับผู้บำเพ็ญทุกๆ คน ไม่ใช่ว่าศิษย์เป็นคนที่โอ้อวด ใหญ่โต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราอยู่คนเดียวเราใหญคนเดียว ในที่สุดแล้วถามว่าใหญ่ได้มากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่จะเรียกให้คนเขามาเคารพเราได้หรือไม่ (ไม่ได้สิ่งที่คนอื่นเคารพเราคือความดีและคุณธรรม ฉะนั้นในช่วงระยะเวลาที่อาจารย์ไม่สามารถเจอศิษย์ได้ อาจารย์หวังให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนเป็นคนที่บำเพ็ญตน เป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง ไม่เผอเรอ ไม่หลงใหล ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มองว่าคนอื่นว่าเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจผู้อื่นว่าเป็นอย่างไร มีแต่เข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นอย่างไร ถ้าทำเช่นนี้ไม่ใช่พี่น้องกันใช่หรือไม่ (ใช่เป็นพี่น้องกันถ้ามีทุกข์ก็ร่วมต้าน ถ้ามีสุขก็ร่วมเสพ เช่นนี้จึงเป็นพี่น้องกันได้จริง
ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่อาจารย์เคยสอนศิษย์ไป ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเก็บไปคิดพิจารณา สิ่งใดที่ทำได้ขอให้เริ่มทำอย่ามัวให้วันหนึ่งผ่านไป เมื่อทุกๆ วันผ่านไปก็ยากที่จะดึงกลับมาได้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก ชัยชนะที่ศิษย์สมควรจะได้รับอาจจะไม่ได้เมื่อวันเวลาผ่านไป ฉะนั้นใช้ชีวิตของตนเองให้มีคุณค่า อันว่าคุณนั้นเพื่อสร้างให้กับชีวิตของเรานี้ คุณก็คือสิ่งที่มีประโยชน์ แต่อย่าลืมว่าในคุณก็มีโทษ เพราะเรานั้นไม่รู้จักระวัง อันว่าเงินทองอาจจะเป็นสิ่งที่มีคุณสำหรับชีวิตเรา สร้างชีวิตเราให้มั่งคั่ง แต่โทษของเงินทองก็คือทำให้เราลุ่มหลง ไม่สามารถเป็นคนที่เรียกว่าคนดีได้ อันว่าค่านั้นสร้างให้กับจิตใจ จิตใจของเราไม่สามารถรับสิ่งที่เป็นรูปได้ รับได้แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม ฉะนั้นในจิตใจของเราจะต้องเสริมสร้างมโนธรรมสำนึก คุณความดี ความเมตตา ความสุจริต ความเห็นคนอื่นได้สุขและเรามีสุข
สิ่งเหล่านี้อาจารย์เพียงแต่ยกตัวอย่าง แต่ค่าเหล่านี้จะเหมาะสมกับจิตใจของศิษย์ที่สุด
แม้ว่าเวลาจะสั้นลงอีกเท่าไร จะยืดยาวอีกเท่าไร คงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ศิษย์ของอาจารย์จะต้องใส่ใจ ต่อให้โลกจะดับในวันพรุ่งนี้ก็ไม่มีประโยชน์ หากว่าในวันนี้ศิษย์ยังบำเพ็ญไม่ได้อะไรเลย กลัวตายหรือว่ากลัวตนเองจะไม่ได้เป็นพุทธะมากกว่ากัน ต้องกลัวตนเองจะไม่ได้เป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่เวลาของโลกเหลือเท่าไหร่สิ่งนี้ไม่ต้องสนใจ เวลาแห่งชีวิตของศิษย์เหลืออยู่เท่าไร สมมติว่าวันนี้เรายังบำเพ็ญไม่ได้ดีสักอย่าง เราจะต้องขาดลมหายใจไปในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ใจก็ยังบำเพ็ญไม่ดี กายก็ยังไม่สร้างกุศล ถามว่าต่อให้หนีพ้นโลกได้แต่หนีพ้นการเวียนว่ายตายเกิดหรือเปล่า (ไม่พ้นฉะนั้นสิ่งที่ควรหนีให้พ้นมากที่สุดคือ การเวียนว่ายตายเกิด ความไม่ดีในจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่อันว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นพูดว่าเดี๋ยวปี ๑๙๙๙ แล้ว ถ้าหากไม่เกิดก็ต้องเกิดเพราะว่ามนุษย์นั้นพูดในสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ไหม เปรียบเสมือนคำนินทา ถ้าคนที่เรานินทา เขาก็เป็นคนดีอยู่ นินทาไปนินทามา เขาก็ทำไม่ดีให้เราเห็น เพราะว่าเรานั้นไปว่าเขา ฉะนั้นสิ่งที่ควรระวังที่สุดในเวลานี้คือ จิตใจของเราเอง การเวียนว่ายตายเกิดของเราเองที่เราไม่สามารถจะหนีพ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมแท้ไม่ใช่ยึดในรูปลักษณ์ของอาจารย์ที่มาหาศิษย์เช่นนี้ ไม่ใช่ยึดในรูปธรรมทั้งหลายที่ก่อกำเนิดขึ้นมา ไม่ใช่ยึดในหนังสือธรรมะจนไม่ไปเข้าชั้นเรียนต่างๆ สิ่งที่ควรจะยึดมากที่สุดก็คือหลักสัจธรรม ความจริงเท่านั้นที่จะไม่ตายไปจากโลกนี้ แล้วความจริงที่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นได้เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม เป็นผู้บำเพ็ญและพร้อมที่จะเป็นพุทธะในวันหน้า หากว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นปุถุชน วันข้างหน้าก็เป็นอะไร (ปุถุชน) เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้ อาจารย์พูดบ่อยๆ ให้ทำในสิ่งที่พุทธะทำ  คิดในสิ่งที่พุทธะคิด ทำได้ไหม (ได้และพูดในสิ่งที่พุทธะพูด ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่ทำในสิ่งที่พุทธะทำ ยังไม่ได้พูดในสิ่งที่พุทธะควรพูด และยังไม่ได้คิดเหมือนกับพุทธะคิด เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงยังไม่ใช่พุทธะ แต่อาจารย์หวังว่า วันหน้าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเป็นพุทธะกันทุกคน นิพพานนั้นกว้างใหญ่ไพศาลพอที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนอยู่ได้ กลัวแต่ว่าพอขึ้นไปแล้วจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าอะไร ทำไมมนุษย์ถึงอยู่นิพพานไม่ได้ ทำไมนิพพานถึงไม่ใช่บ้านของศิษย์ ขึ้นไปไม่มีเงินทองให้จับจ่าย ไม่มีทีวีให้ดู ไม่มีความสบายให้เรียกหา มีแต่ความสงบ ความสว่าง ความว่าง ศิษย์ของอาจารย์จึงอยู่ไม่ได้ ในตอนนี้จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้น จะไปย้อนมองส่องตนเองให้ดีๆ ไม่ต้องมองคนอื่น ตาถึงมีก็ไว้มองตนเอง หูถึงมีก็ไว้ฟังในสิ่งที่ดี ปากถึงมีก็ไห้พูดในสิ่งที่ดี ลิ้นถึงมีก็กินในสิ่งที่ถูกต้อง ใจถึงมีก็คิดในสิ่งที่ดี เท่านี้เพียงพอไหมสำหรับการบ้านในหลายๆ เดือนนี้ พอไหม (พอชีวิตนี้ถึงแม้จะมีความทุกข์นานานัปการ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า ทุกข์ที่ศิษย์เจอในชีวิตทั้งหมดนี้เทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะว่าครั้งนี้เรามีทุกข์ที่เราเป็นหนี้เป็นสิน เกิดอีกสิบชาติก็เป็นหนี้สิบชาติมากกว่าเป็นหนี้ทุกวันนี้อีกสิบเท่า เกิดมามีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เกิดมาอีกสิบชาติก็มีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เกิดมามีความร่ำรวย ถามว่าความร่ำรวยเป็นทุกข์อย่างไร คนรวยมีทุกข์ไหม (มีคนจนมีทุกข์ไหม (มีแล้วศิษย์ของอาจารย์มีทุกข์ไหม (มีทุกคนมีทุกข์ เพราะฉะนั้นเตรียมตัวก่อนที่เรานั้นจะหลง ให้รู้จักเตือนตนเอง เพราะว่าคนนั้นไม่ชอบฟังคนอื่นเตือน จึงให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเตือนตนเอง เพราะว่าการเตือนตนเองนั้นมีประสิทธิภาพที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่เราคิดอะไรอยู่ใครรู้ไหม (ไม่รู้มีแต่ศิษย์อาจารย์คนเดียวที่รู้ใช่ไหม (ใช่เวลาศิษย์ของอาจารย์อยากจะทำอะไร มีคนอื่นรู้ไหมว่าศิษย์อยากจะทำอะไร (ไม่รู้ก่อนที่เรานั้นจะทำสิ่งที่ผิด เราก็รู้แล้วว่าเราจะทำสิ่งที่ผิด ก่อนที่เราจะทำสิ่งถูกเราก็รู้แล้วว่าเราจะทำสิ่งที่ถูก ไม่มีใครรู้ดีเท่าเราเลยใช่หรือไม่ (ใช่ต่างต้องรอเหตุการณ์เกิดขึ้น จึงรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ทำผิดหรือถูกใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นคนที่รู้ล่วงหน้า รู้ดีเป็นเทพประจำตัวคือใคร (ตัวเราเองเป็นเทพประจำตัวเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้เริ่มบำเพ็ญจริงๆ จังๆ ไม่ต้องสนใจคนอื่น ไม่ต้องกลัวความยาก อย่าขี้เกียจขี้คร้าน เพราะว่าเรานั้นจะเป็นพุทธะในวันข้างหน้า สิ่งเหล่านี้
จึงต้องเป็นสิ่งที่เราต้องทำ กุศลต้องสร้างเอง ปณิธานต้องเจริญเอง ไม่เจริญปณิธานก็ไม่ได้กลับเบื้องบนเข้าใจไหม (เข้าใจ)
 ขอบำเพ็ญไม่ว่าเหนื่อยมากี่ครั้ง ใครๆ ก็เหนื่อยเป็นใช่หรือไม่ เหนื่อยมากเหนื่อยน้อยต่างกันใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จะบอกว่าเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์เหนื่อยมากที่สุดตอนนั้นขอให้อย่าหยุดเดิน แต่รู้จักเดินช้าๆ เพราะเวลาเราหยุดเดินเราจะขี้เกียจ แล้วไม่อยากเดินต่อไปเลย ฉะนั้นผลลบของการเดินทางอันนี้ที่ใช้อยู่ในการเดินทางจริงๆ ก็ใช้ในการเดินทางธรรมะด้วย เวลาที่เราเหนื่อยขอให้เราเดินก้าวช้าลงแต่เราอย่าหยุดเดิน เพราะว่ามนุษย์ทุกๆ คนความขี้เกียจเป็นของตนเอง และอาจารย์ก็เห็นศิษย์ขี้เกียจบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่เราขี้เกียจที่จะทำสิ่งโน้นและขี้เกียจที่จะทำสิ่งนี้ เสร็จแล้วกุศลเราก็ไม่ได้สร้าง เพราะเราขี้เกียจนั่นเอง ความกล้าหาญไม่ได้ชัดเจนอะไร เพราะเรานั้นก็ขี้เกียจที่จะทำ ฉะนั้นความขี้เกียจจึงเป็นสิ่งที่ให้ภัยกับตนเองมากที่สุด ก็เพราะเรานั้นมีแรง มีกำลังยังเป็นหนุ่มสาวอยู่ เรายิ่งต้องขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้นมากที่เราทำได้ ไม่ต้องฝืนจนเกินไป อันว่าทำสิ่งใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับใจถ้ามีใจก็มีความสำเร็จเกิดขึ้น หากว่าไม่มีใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำก็ไม่สามารถที่จะสำเร็จ วันนี้จึงต้องหาพลังเป็นของตนเอง หากว่าเราเห็นคนหมดกำลังใจ ไม่มีใจที่จะบำเพ็ญต่อไป ก็ต้องรู้จักให้กำลังใจกันใช่หรือไม่ (ใช่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ให้โดยไม่ต้องเสียทรัพย์สินเงินทองใดๆ เลย เป็นการให้ที่ถูกที่สุดแต่มีค่าที่สุด อาจารย์บอกแล้วว่าสิ่งนี้มีค่าอาจจะไม่ได้เป็นคุณอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
มีคุณมาก มีคุณน้อย ต่างกันไป แต่ว่ากำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่าและมีคุณด้วย แม้ว่าจะไม่มากมายก็อย่าไปหวังผลตอบแทน อย่าหว่านพืชแล้วหวังผล ไม่อย่างนั้นตัวเราเองจะเป็นคนทุกข์ใจ
อย่าแสวงหาผู้วิเศษ แต่ให้แสวงหาตนเอง เพราะว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ  ดีไม่ดีก็ใช้ได้ เป็นโรคก็รักษาได้ มีคนเดียวที่รักษาใจเราได้ มีคนเดียวที่รักษาสิ่งที่มีคุณค่า และมีคนเดียวที่รักษาทรัพย์สินได้ด้วย  ทุกวันเข้าหาแต่ผู้วิเศษ ผู้วิเศษก็ยืนอยู่ข้างหน้าเรา ผู้วิเศษก็คือเรา
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทเพลงพร้อมใจพากเพียร ทำนองเพลง เพื่อมวลชน”)  ในความหมายของเพลงนั้น อาจารย์หมายถึงสถานธรรมเจิ้งซิน  ซึ่งบุกเบิกและตั้งขึ้นมานานแล้ว
จากตะวันลอยขึ้นไปบนฟ้าไกล  จวบแสงลาลับคล้ายสิ้นหาย  แต่ว่าอาจารย์ทิ้งไว้ตอนท้ายบอกว่า ถ้าท้อใจไปผัดวันจะสายเกิน”  เพราะฉะนั้นแม้ว่าอาจารย์จะเฝ้ามองที่นี่อยู่ทุกๆ วัน  แม้ว่าศิษย์ของอาจารย์จะเดินช้า แต่นั่นก็คือผลงานของศิษย์ทุกคน  อาจารย์อยากจะบอกว่าเราต้องไม่ท้อใจ  เพราะว่านี่คือฝีมือที่ดีที่สุดของเรา เราทำได้เท่านี้  อาจารย์อยากจะบอกว่าอาจารย์นั้นไม่ได้หวังอะไรสูงส่ง มีแต่หวังให้ศิษย์ทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่บำเพ็ญให้ดีๆ  คนเข้ามาหา เรายิ้มให้ แล้วก็ไม่ท้อใจ ไม่ผัดวัน ไม่ทำให้มันสายเกินไปกว่านี้  นี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์พอใจ  อาจารย์กลัวที่สุด เพราะว่าครั้งนี้ศิษย์ของอาจารย์หลายคนทุ่มเทจริงๆ  ในที่สุดแล้วถ้าครั้งนี้ไม่ขึ้น อาจารย์ก็กลัวศิษย์ของอาจารย์จะหมดแรง
ตั้งจุดหมายฝ่าความยากในพริบตา  จะเดินหน้ามาพากเพียรไปพร้อมกัน  อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนที่ออกแรงมากกว่าเรา ขอให้เราออกแรงมากคู่กับเขา และไม่ไปขัดขวางเขา  ออกแรงเต็มกำลังเท่าที่เราจะทำได้ เมื่อศิษย์ของอาจารย์พากเพียรไปพร้อมกัน สิ่งที่ว่ายากก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ยาก และสำเร็จในสักวันหนึ่ง  แม้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่สำเร็จวันนั้น แต่อาจารย์เชื่อว่าจะสำเร็จในสักวัน
เสมือนควันจางไปได้เจอทาง  เหมือนกับควันที่ได้จางไปแล้ว ทางของศิษย์ก็จะแจ่มใส ใช่หรือไม่ (ใช่กลัวแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้จะสอบไม่ได้ที่หนึ่ง กลัวความพ่ายแพ้ หวังชัยชนะ  เมื่อไม่ชนะแล้วก็ท้อใจ  อาจารย์อยากจะบอกว่าทุกๆ อย่างที่เราทำไป ให้ทำด้วยใจ ให้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ไม่โทษคนอื่น  ทุกอย่างก็คือพวกเราทำ เพราะเราเป็นผู้บำเพ็ญดี เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้มากด้วยคุณธรรม  มีคำพูดคำหนึ่งบอกว่า ถ้าหากว่าเป็นพุทธะก็วิ่งไปหาพุทธะ ถ้าเป็นมารก็วิ่งไปหามาร”  ฉะนั้นเวลาจะเป็นเครื่องตัดสินคนทุกคน  ศิษย์อาจจะบอกว่าตอนนี้ศิษย์เป็นผู้บำเพ็ญ ศิษย์บำเพ็ญฝึกตามพุทธะอยู่  แต่ว่าในใจลึกๆ ของศิษย์นั้นมีสีขาวและก็มีจุดสีดำ  ในที่สุดสีดำนี้จะกระจัดกระจายมากขึ้นและพาศิษย์ไปหามารได้  เพราะฉะนั้นไม่สู้ว่าใจของศิษย์มีสีดำแต่มีจุดสีขาว  แม้ใจของศิษย์นั้นจะยังไม่ขาวบริสุทธิ์กันทั่วทุกคน แต่อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์ให้ปลูกฝังในสีขาว ปลูกฝังคุณธรรมไว้  แม้วันนี้ยังทำไม่ได้ดี แต่ขอให้ได้ทำ  แม้ว่ายังชวนคนรับธรรมะไม่ได้ แต่ขอให้ได้พูดและทำทุกๆ อย่างอย่างถูกต้อง มีระบบระเบียบแบบแผนของชีวิต  ไม่ใช่ว่าชีวิตของเราปล่อยให้ไม่มีระเบียบแบบแผน  การบำเพ็ญฝึกฝนเริ่มที่กายของเรา ใช้ชีวิตให้มีระเบียบ รักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรง ต่อไปเริ่มที่ใจของเรา ใจของเราต้องเป็นใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ต่อไปจะมีปัญญาในการคิดอ่านรอบคอบ ต่อไปจึงเข้าสู่ญาณอันบริสุทธิ์แล้ว  พูดตามอาจารย์ได้ไหม (ได้บอกว่า กาย ใจ ปัญญา ญาณ ศิษย์ของอาจารย์ต้องหล่อเลี้ยงสิ่งนี้ ต้องทำให้ได้นะ แค่สี่อย่างเท่านั้นเอง
ปัญญาอันครวญใคร่  ดวงใจแยกแยะเป็น  ขอบำเพ็ญไม่ว่าเหนื่อยมากี่ครั้ง  ศิษย์ของอาจารย์ทั้งเหนื่อยทั้งทุกข์ ทำไมอาจารย์จะไม่เข้าใจ  แต่ความทุกข์ต่างๆ เป็นความทุกข์ที่ศิษย์กวักมือเรียกมาทั้งนั้น  กรรมต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งนั้น  ถ้าวันนี้วิ่งหนีกรรมเวรของตนเอง แล้ววันหน้าจะวิ่งหนีย้อนหลัง  วันหนึ่งถ้าเราหมดแรงไป แล้วในที่สุดการที่เขาจะอภัยให้เรา กลับยิ่งซ้ำเติมเรา  เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่งที่เจอตอนนี้ ขอให้ตั้งใจ มีทุกข์ก็รับทุกข์ ให้ดวงใจเป็นสุข  มีความสุขก็ไม่หลงละเมอไป ดีหรือเปล่า (ดีคนอุบลฯนี้ หวังอย่างยิ่งว่าจะพร้อมใจกันพากเพียร ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ให้ตั้งใจทำพร้อมๆ กัน อย่าให้อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์นั้นต่างคนต่างทำ วิ่งกันคนละทีสองที  คนนี้ไปถึงเส้นชัย แต่ศิษย์ของอาจารย์อีกคนยังอยู่ที่จุดเริ่มต้น  ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดีก็ถือว่านั่นคือสิ่งที่เราตั้งใจทำให้ดีที่สุด ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดีไหม (ดีขอให้ช่วยๆ กันนะ ปัญหาที่มาหลายๆ อย่าง อาจจะมาจากเราไม่ดี อาจจะมาจากคนที่อยู่เหนือกว่าเราไม่ดี อาจจะมาจากสิ่งที่เป็นนิสัยของเราเอง ขอให้ช่วยๆ กันขจัด  คนสูงส่งไม่ได้สูงที่ความสูง แต่ต้องสูงส่งด้วยคุณธรรม และเมื่อศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้มีคุณธรรม เป็นดาวเหนือก็จะมีดาวดวงน้อยๆ มาล้อมรอบ  ไม่ใช่บอกว่าให้เป็นท่านเหล่าเฉียนเหยริน แต่หมายความว่าให้เราเอาเยี่ยงท่าน  เมื่อเรานั้นเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นดาวเหนือจุดประกาย คนที่มารายรอบเราก็คือคนที่มีคุณธรรมเช่นกัน  ถ้ายังเห็นคนที่ไม่คุณธรรมมารายรอบเรา ก็ต้องมองดูว่าเรามีคุณธรรมหรือเปล่า จริงหรือไม่ (จริง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลพุทธสถาน)
อาจารย์ถามว่าเวลานี้ที่พวกเขาร้องไห้ศิษย์ของอาจารย์คิดอะไร คนที่เป็นคนอุบลฯ ที่มาประชุมธรรมที่นี่ คนเหล่านี้ทุ่มเทเพื่อศิษย์ ร้องไห้เพราะอยากให้ศิษย์ทุกคนเข้าใจธรรมะ อย่าไปว่าเขาหรือรู้สึกว่าทำไมเขาจึงร้องไห้ พวกเขาร้องไห้เพื่อเราทุกคน ซึ่งไม่มีใครทำได้ ศิษย์ทำได้ไหม ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนขณะนี้สถานธรรมยังมีคนไม่มากเป็นการดีในการสร้างกุศลให้ตนเองอย่างยิ่ง อาจารย์ไม่ห่วงว่าที่นี่จะมีคนเรียกว่าไม่รุ่งเรือง อาจารย์ห่วงศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนที่อยู่ข้างหน้านี้ขอให้ไปทำในสิ่งที่ดีที่สุด ปฏิบัติให้เหมือนผู้บำเพ็ญที่สุด อาจารย์รับรองได้ว่าคนดีๆ ก็จะเข้ามาหาเรา กลัวแต่ว่าเราจะไม่ทำให้ดี อาจารย์รักศิษย์ทุกๆ คน
หลังจากวันนี้เป็นต้นไปตั้งใจบำเพ็ญให้ "พุทธะนั้นคือเรา" และ "เราคือพุทธะ" ดีไหม (ดีนับว่าสองวันนี้ไม่นำพาซึ่งความเข้าใจอันกระจ่างแจ้ง ให้ศิษย์อาจารย์มีความสงสัยบ้างนิดๆ หน่อยๆ ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นลองเริ่มต้นดูและศิษย์จะรู้ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นก็อยู่ที่เราเป็นผู้ลงมือกระทำ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ต้องไปลงแรงที่ไกลๆ ขอให้ลงแรงที่ใจของเราเอง มีเวลาว่างหมั่นมาสถานธรรมบ้าง ใครใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่นดีหรือเปล่า (ดีเมื่อนานวันขึ้น ศิษย์ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกฝน เป็นผู้มีความสามารถ
อาจารย์นั้นไม่เคยคิดที่จะมองศิษย์ของอาจารย์ด้วยใบหน้าสวยหรือไม่สวย ไม่ว่าจะรวยหรือไม่รวย แต่อาจารย์มองที่ใจของศิษย์ทุกคน ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนมีใจที่ดีงาม
ลากันวันนี้หวังว่าวันข้างหน้าศิษย์ของอาจารย์จะไม่เปลี่ยนใจไปจากอาจารย์ แต่ขอให้เปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นทุกวัน หลายครั้งที่อาจารย์กลับมาในแดนโลกในคราวประชุมธรรม ศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็เปลี่ยนใจไป เห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ เปลี่ยนใจกลับมาก็ดี แต่ถ้าเปลี่ยนใจตีจากไปจะให้อาจารย์ช่วยอย่างไร หวังว่าคำที่อาจารย์ให้คำว่า "สว่างตน" นั้น อันพระอาทิตย์เวลาส่องแสงมักจะส่องแสงให้กับผู้อื่น แต่พระอาทิตย์เป็นที่พึ่งของผู้อื่น แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นยังไม่ใช่ บางคนยังพึ่งตนเอง ช่วยตนเองไม่ได้เลย อาจารย์จึงบอกว่าให้ "สว่างตนเอง" แล้วจึงช่วยผู้อื่นอย่าลืมผู้อื่น เพราะพุทธะไม่มีคำว่าทำเพื่อตนเอง
ขอให้วันหน้าเจอกันใหม่ขอให้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่น่ารักเหมือนเดิม ความหวังทั้งหมดของอาจารย์อยู่ที่ศิษย์ทุกๆ คน อย่าทำให้อาจารย์นั้นต้องหวังโดยที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ช่วยเลย ลาก่อนทำให้ดีๆ ทุกๆ คน


สูร        พระอาทิตย์
หาว     ที่แจ้ง , ท้องฟ้า



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   สว่างตน
      แสงจ้ามาพยายามให้เกิดความแจ่มใส                 แผ่กว้างไปดั่งสูรแสงเด่นกลางฟ้า
แต่จะต้องไม่ลืมย้อนส่องเข้าหา                                   สู่ใจตนพาตื่นตัวมาเป็นทุน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา