แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คุณธรรม ๘ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คุณธรรม ๘ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2542

2542-06-12 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


PDF 2542-06-12-เหยรินเต๋อ #12.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒   พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

มหาฤกษ์เบิกชัยในสถาน ประชุมงานฟ้ามนุษย์ร่วมกันจัด
วิสุทธิอาจารย์เบิกธรรมชี้ทางลัด ขอเร่งรัดตนเองบำเพ็ญจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง        ฮวา   ฮวา

ในวันนี้น่ายินดีพบหน้ากัน ขอใจนั้นสุขุมนิ่งเบาสงสัย
ธรรมะแท้หรือเท็จล้วนอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใครนำกลับไปปฏิบัติ
ชีวิตหนึ่งดั่งภมรสุขกี่ครั้ง มิหยุดยั้งน้ำลงต่ำน่าสงสาร
อย่าปล่อยตนไม่ใส่ใจทรมาน รู้ซึ่งกาลแห่งฟ้าดินส่งสายทอง
ย้อนมองตนชีวิตหนึ่งใดสำคัญ จะเหหันไม่ถูกทิศชีพไร้ค่า
รู้จักที่ประมาณตนมากด้วยค่า กลับคืนสู่ที่มาไม่ทุกข์ตรม
ในวันนี้มาศึกษาธรรมกระจ่าง ขอจงสร้างบรรยากาศธรรมในตนด้วย
ในจิตใจเป็นพุทธะจะสำรวย มุ่งมั่นช่วยตนก่อนไปช่วยคน
ดูสิว่าเมื่อได้รู้จงปฏิบัติ รู้เคร่งครัดกับตนยากผิดพลาด
คนส่วนใหญ่ชอบดำเนินอย่างประมาท และเฝ้าขาดพิจารณาตนด้วยปัญญา
ในบัดนี้ประสบโอกาสพบธรรมแท้ ขอเร่งรีบแก้ไขตนอันเคยผิด
จะขึ้นหรือจะลงอยู่ขณะจิต ขอให้คิดถี่ถ้วนยอมบำเพ็ญ
ละกิเลสที่เคยกินไม่รู้อิ่ม ความอยากลิ้มชิมเท่าไรไม่รู้รส
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันมากำหนด แม้บรรพต๑ช่างสูงนักป่ายปีนถึง
ในยุคสามสำรวมใจให้แม่นมั่น บำเพ็ญนั้นต้องปฏิบัติสม่ำเสมอ
อย่าให้ปล่อยใจลอยไปพลั้งเผลอ แม้จะเจออุปสรรคผ่านด้วยใจ
สามวันนี้จงตั้งใจจะเรียนรู้ หมายเชิดชูจิตพุทธะมิทำเล่น
อันความสุขไม่มีซึ่งกฎเกณฑ์ มิโอนเอนตามใจตนนับว่าดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังว่าน้องคงตั้งใจขมันขมี
เมื่อรู้แท้ปฏิบัติแท้ไม่รอรี หวังว่ามีพุทธะเดินดินเพิ่มขึ้นมา
ประชุมธรรมงานพุทธะรักษากฎ ในใจคดดัดให้ตรงโดยถ้วนหน้า
สามัคคีรวมพลังระเบียบนา เป็นเมธาผู้สุขุมโดยทั่วกัน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน

ฮวา   ฮวา   หยุด

๑ บรรพต      ภูเขา

วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน

หนึ่งเวลาสามารถกำหนดชีวิตคน ในฝึกฝนสามารถได้ความตื่นรู้
แปดคุณธรรมนำใจแท้ให้คงอยู่ เซียนเคียงคู่ความพากเพียรไม่ห่างไกล
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

แม้หลายปีบำเพ็ญยังต้องบากบั่น มากที่ผ่านอย่างคนกำลังท้อ
พ่ายหมายความไร้ทางน้ำตาคลอ กุศลต่อก็ล้างมืดสิ้นงงงวย
คนบากบั่นเดินคล้ายเสี่ยงกลับชนะ การฟื้นฟูใจพุทธะสติช่วย
ทนยิ่งนักจากกิเลสคอยอำนวย ใจล้มป่วยที่หนักฟื้นบริบูรณ์
อันสัทธรรมในเข้าใจควรลงแรง ปฏิปทา๑อันแอบแฝงอย่าให้สูญ
ปัญญามีต่างคำนึงถึงเกื้อกูล เชื่อใจพูนใจกันร่วมบำเพ็ญ
ฝึกกล้าแกร่งอดใจไม่คะนอง คนแม้ยากปรองดองในความเห็น
อย่าแต่งเติมสรรหาเกินจำเป็น แม้ลำเค็ญฝ่าปลุกคนโดยเมตตา
บำเพ็ญไปไม่หวั่นหลงโลกีย์นั้น สลัดฝันเกียจคร้านไม่ล่าช้า
ผิดถูกช่างคนใหม่ไม่ถือสา สู่ความหมดมัจฉริยะ๒หนาชื่อกังวาน
การนับถือผู้เพียรใช่แต่นับถือ นับถือคือกระทำตั้งใจตามอย่างท่าน
ปณิธานนำสื่อความงามมุ่งมั่น ท้อครามครันทำตามกำลังมี
ฮา    ฮา    หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ

มองสิ่งใดจงมองไปให้ถึงปลาย ดูสิ่งใดดูให้ถึงซึ่งแก่นแท้
ด้วยปัญญาพิจารณาย่อมรู้แน่ จริงเท็จแท้เกิดดับ ณ ใจตน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

อารมณ์ส่งผลให้ใจไม่ตรง โกรธาส่งห้ำหั่นล้างไม่ไว้หน้า
ธรรมทั้งมวลยุติภัยไม่พ้นเมตตา สืบดีงามใจฟ้าสันติพลัน
ขอความเป็นแรงใจให้ปรีดา ไม่อิจฉาต่างใจไม่ปิดกั้น
ช่วยกันหนาหนึ่งเวลาค่าอนันต์ กีดและกันชั่วกาลบาปราวี
พลีบำเพ็ญหลุดพ้นกงเกวียนมายา พลีบำเพ็ญพ้นชีวากงกรรมนี้
ก่อนอื่นให้ฤทัยมั่นคงที่ แลมุ่งมั่นจากนี้ตลอดไป
ปฏิปทาอันแกร่งใจต้องแกร่งคู่ วิญญูรู้ย้อนมองผลจากไหน
ปลุกตนตื่นดูคนยอมแก้ไข ไม่แต่มองอย่างไรดีปฏิบัติตาม
ร้ายมาดีสู่เส้นทางพุทธา พรจากฟ้าเสรีทุกข์พ้นข้าม
ความวิริยะส่งผลคืนใสงาม ชีวิตความยิ่งใหญ่เมื่อแจ้งญาณ
ดิ้นรนวนตายเกิดโลกดั่งเวที วนเวียนมิสิ้นสุดทางวัฏสงสาร
เพื่อพ้นไปต้องบำเพ็ญผ่านนานัปการ เวลาผ่านกี่มาลีมิทนรอ

ฮา    ฮา    หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียนและท่านหันเซียงจื่อ

ท่านหันเซียงจื่อ : คนมากอย่างนี้รู้สึกอึดอัดหรือเปล่า หรือคิดว่ามีเพื่อนมาศึกษาด้วย ใช่หรือไม่ สมัยก่อนนั้นการจะศึกษาธรรมะ ถ้าใครมีความตั้งใจจริงก็ต้องพยายามดั้นด้นแสวงหาไปให้พบจนได้  เมื่อพบแล้วการจะหาเพื่อนร่วมศึกษาก็เป็นการยาก  ส่วนมากเมื่อใครตั้งใจแล้วคนๆ นั้นก็จะไปเพียงคนเดียว  ไม่มีการเรียกเพื่อนพ้องเท่าใดนัก  เพราะว่าการที่เราจะมีใจศึกษาธรรมได้นั้นต้องเกิดจากจิตใจภายในของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เราได้ศึกษาธรรมร่วมกับหลายๆ คน เราย่อมมีเพื่อน  การศึกษาจึงเป็นการศึกษาร่วมกัน  ไม่ใช่นั่งศึกษาอยู่คนเดียวเหมือนดังแต่ก่อน
ท่านจงหลีเฉวียน : ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  มีพัดลมอยู่หลายตัว ร้อนหรือไม่ร้อน แล้วใจร้อนหรือไม่ร้อน (ไม่ร้อน)  ใจร้อนกับอากาศร้อนอันไหนร้อนกว่ากัน  นั่งฟังธรรมะครึ่งวันแล้วใจยังร้อนอยู่เช่นเดิมหรือไม่ (ไม่ร้อน)  อากาศร้อนต้องใช้พัดลมช่วยปัดเป่าเพื่อให้หายร้อน  เมื่อใจร้อนใช้สิ่งใดปัดเป่าให้หายร้อน (ธรรมะ)  ธรรมะที่ท่านฟังในวันนี้สามารถปัดเป่าให้ท่านหายร้อนหรือไม่ (หายร้อน)  ต้องมั่นใจต่อตนเองได้  ท่านคิดว่าใจท่านที่ยังอยู่ในขณะนี้เป็นใจที่ดีหรือไม่ (ดี)  ท่านจะใช้ธรรมะปัดเป่าเพียงสามวันหรือมากกว่านั้น (มากกว่านั้น)  ธรรมะปัดเป่าแล้วท่านใจเย็นสบายขึ้นท่านจะใช้ปัดเป่ากี่วัน (ทุกวัน)
ท่านหันเซียงจื่อ : เพราะชีวิตนั้นร้อนตลอดจึงต้องใช้ธรรมะปัดเป่าตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นหรือ  แต่ถามเข้าจริงๆ ท่านก็คงไม่ใช้ธรรมะ  เวลาใจร้อนก็ไปปรับอากาศให้เย็นๆ เปิดเครื่องทำความเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่ากายหรือใจร้อนอย่างไรก็ต้องไปหาสิ่งที่ตรงกันข้ามเพื่อดับให้เย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนรู้สึกว่าตนเองร้อนจึงเอาน้ำดับ ดับทั้งกายและดับทั้งใจแต่แท้จริงแล้วหาดับได้สนิทไม่  จะดับได้อย่างแท้จริงนั้นจะต้องดับที่ใจเรา  เกิดจากตรงไหนก็ดับที่ตรงนั้น  ดับที่ต้นเหตุไม่ใช่ดับที่ผล
ท่านจงหลีเฉวียน : อยู่กับเราทั้งสอง ทุกๆ ท่านจะต้องมีจิตใจที่เป็นสมาธิ  จึงจะสมแล้วกับผู้ที่ต้องการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมอย่างแท้จริง  ด้วยว่าทุกๆ ท่านนั้น ในชีวิตๆ หนึ่ง ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที คำว่าสมาธินั้นขาดหายไปจากจิตใจ  อยากจะได้สมาธิสักครั้งหนึ่งก็ต้องจงใจไปนั่งสมาธิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าในยามที่ท่านนั่งสมาธินั้นท่านได้สมาธิไหม (ได้)  สมาธิของท่านเป็นสมาธิที่สมบูรณ์พร้อมหรือเปล่า (ไม่สมบูรณ์)  เพราะว่าท่านนั้นนานๆ ฝึกฝนทีจึงไม่ใช่สมาธิอันแท้จริง  ดังนั้นสมาธิไม่ใช่จงใจให้ท่านไปนั่งสมาธิ  แต่ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีนั้น ท่านยิ่งต้องมีสมาธิเกิดขึ้นในขณะที่ท่านนั้นเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งนั่นเอง ท่านทำได้หรือไม่ (ไม่ได้)  หวังว่าหลังจากที่ท่านกลับไปจากวันนี้แล้ว  ทุกๆ ท่านจะทำใจให้เป็นสมาธิได้  อันว่าสมาธินั้นเกิดทุกๆ ขณะที่เคลื่อนไหว ในขณะที่ท่านนั่ง ในขณะที่ท่านยืน ในขณะที่ท่านเดิน ในขณะที่ท่านนอน  ทุกๆ ขณะจิตของท่านนั้นฝึกฝนสมาธิได้ ไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตา ภาวนาให้เกิดสมาธิ ยิ่งในขณะที่ท่านมีอารมณ์โกรธ โมโห ไม่ยินดี ไม่พอใจ มีความอยาก นั่นยิ่งเป็นการทดสอบใหญ่ว่าท่านนั้นแท้จริงแล้วมีสมาธิหรือไม่  บางคนบอกว่าความ โกรธนั้นต้องตัดให้ขาด  แต่ในขณะที่เราจะตัดขาดจากความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความไม่ชอบใจนั้น  ท่านสามารถมองเห็นตนเองได้ว่า สิ่งที่ท่าน    ฝึกฝนมานานนับ อันได้แก่  สมาธิ ความรู้ตื่นนั้น ได้ถึงการแจ้งอย่างที่สุดหรือยัง  ท่านเคยสังเกตสิ่งเหล่านี้ไหม
ท่านหันเซียงจื่อ : ในท่ามกลางกระแสแห่งความคิดที่หลากหลาย  ในท่ามกลางความจริงและเท็จ  บ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะสับสน แยกแยะไม่ออกว่าควรจะเชื่อถือสิ่งใด หรือควรจะตัดสินสิ่งใดว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ  เพราะหากมนุษย์เอาแต่เชื่อสายตาของตนเอง คิดว่าสิ่งที่ตนเองมองนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง คือสิ่งที่เป็นจริง  การใช้แต่สายตาโดยไม่ใช้สมองคิดก็เรียกว่าคนที่อาจจะถูกหลอก ลวงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การใช้แต่สมองคิดโดยไม่ใช้สายตาก็อาจจะเกิดความคิดที่ผิดเพี้ยนหรือผิดพลาดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่เราคิดว่าตาของเราน่าเชื่อถือที่สุด  ในบางครั้งตาของเราก็ลวงหลอกเราได้เหมือนกัน  เหมือนเรามองฟ้ามีพระอาทิตย์ แล้วมองว่าฟ้าและ    พระอาทิตย์ดวงเล็กนิดเดียว ใช้มือบังก็มิด  แต่แท้จริงแล้วตาที่เราควรจะเชื่อนั้นบางทีก็เชื่อไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราคิดว่าความคิดเราถูกต้องแล้ว  ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างแน่ชัดแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อกาลเปลี่ยนไป เรื่องราวของโลกย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาล  บางครั้งวันนี้เราว่าเรารู้ดีเรื่องนั้นอย่างชำนิชำนาญแล้ว  แต่วันรุ่งขึ้นเรื่องที่เรารู้อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือผิดพลาดไปได้
ฉะนั้นไม่ว่าจะมองหรือจะดู  เหมือนเราดูหนังสือเล่มหนึ่งแล้วจะซื้อ เราต้องมองตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้โดยการมองอย่างเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องใช้การดูและพินิจพิจารณาด้วยความคิดและปัญญาของเรา  เราถึงจะทราบแก่นแท้และเนื้อเรื่องที่แท้จริงของเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้น  เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ของชีวิตสอนให้เรารู้ว่าอย่ามองคนเพียงผิวเผิน  อย่ามองคนเพียงแค่คำพูด แต่ต้องมองคนหรือสิ่งของให้เห็นถึงแก่นแท้ของความเป็นจริงที่อยู่ภายในตัวเขา  เราไม่สามารถวัดคนได้เพียงการแต่งตัว ไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของเขาได้โดยการมอง หรือใช้สายตาพินิจ  อย่ามองคนเพียงแค่คำพูด  แต่เราต้องมองคนหรือสิ่งของให้เห็นถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของเขาที่อยู่ภายใน  เราไม่สามารถวัดคนได้เพียงการแต่งตัว  เราไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของเขาได้ด้วยการมองโดยใช้สายตาพินิจ  นั่นก็แปลว่าบ่อยครั้งตาเราก็อาจจะหลอกเราได้ ความคิดของเราก็อาจจะพาเราผิดเพี้ยนไปได้เหมือนกัน  ตาที่หลอกได้ ความคิดที่ผิดเพี้ยนได้เกิดขึ้นเพราะเราเป็นคนที่ปิดกั้นตน  ทำไมถึงเรียกว่าปิดกั้นตน  เพราะคนที่ปิดกั้นตนคือคนที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใดๆ  ไม่ยอมเปิดรับสภาพความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลง  ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อหรือสิ่งที่ตนเองเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว  แต่อย่าลืมว่าจิตใจของเราเปลี่ยนแปลงได้    วันนี้เราว่าใจเราเที่ยง แต่พรุ่งนี้ถ้ามีความรักความชอบเข้ามา  ใจเราอาจจะ    ไม่เที่ยงก็ได้  วันนี้ตาเราว่าเรามองได้ชัดเจน แต่พรุ่งนี้ตาเราอาจจะมองได้ไม่ชัดก็เป็นได้  ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้  ฉะนั้นคนที่รู้จักเปิดใจกว้างรับทุกสภาพ  ย่อมสามารถที่จะตรวจสอบและมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนว่า  ตอนนี้ตนเองเที่ยงเพียงใด  ตอนนี้ตนเองเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน  เมื่อเรามองตนออก การจะมองคนอื่นออกก็คงจะไม่ยากอะไร  ถึงแม้เราจะมองคนอื่นออก แต่มองตนเองไม่ออกย่อมเป็นปัญหาใหญ่   ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ท่านมองตนออกหรือเปล่า  (ไม่ออก)  ลองชั่งใจคิดพิจารณา พาใจนี้ให้สงบลง แล้วท่านลองพิจารณาดูว่า  การที่ท่านรู้จักคนอื่น  กับการที่ท่านรู้จักตนเองนั้นสิ่งใดมากกว่ากัน  บางท่านนั้นตอบว่าท่านรู้จัก    ตนเองมากกว่า แต่เมื่อคิดให้ลึกซึ้ง คิดกันให้จริงจังท่านจะเห็นว่าท่านนั้นไม่รู้จักตนเองเลย  เพราะว่าเรานั้นไม่เคยชนะตนเองได้เลยสักอย่างหนึ่ง  เมื่อจิตใจคิดอยากได้สิ่งใด ประสงค์สิ่งใด  แม้ผู้ที่เป็นบุพการีห้ามปรามยังไม่ฟัง  โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้  จึงยังห่างไกลจากความกตัญญู  ส่วนคนที่สามารถฟังคำ     ทัดทานจากบุพการีได้  แต่ฟังคำทัดทานจากตนเองไม่ได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน  ชีวิตนี้มีเวลาจะว่ายืดยาวก็ยืดยาว  มองเห็นผมขาวขึ้นทีละเส้นๆ จะว่าสั้นก็สั้นนัก  พริบตาเดียวผมทั้งศีรษะก็กลายเป็นสีขาว  เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งสั้นหรือยาวก็อยู่ที่ตัวท่านเองว่าท่านนั้นใช้ชีวิตนี้ไปทำอะไร  หากท่านใช้ชีวิตนี้ไปทำในสิ่งที่ทรงคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่า  ชีวิตท่านย่อมเป็นชีวิตที่มีคุณค่า  แต่ถ้าท่านใช้เวลาทั้งชีวิตนี้เพื่อตนเอง เพื่อความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านคิดว่ามากมายแล้ว  ชีวิตนี้ของท่านก็เป็นชีวิตที่ยังหาค่าได้น้อย
สัจธรรมชีวิตให้แง่คิดแก่ตัวท่าน  หากท่านไม่นำกลับมาย้อนคิด  ท่านก็จะไม่ได้อะไรจากสัจธรรมชีวิต  แต่หากท่านย้อนคิดแล้วก็จะพบว่าท่านนั้นอยู่กับ สัจธรรมชีวิตมาตลอด  เหตุใดยังต้องให้ผู้อื่นมาสอน  ก็เพราะว่าท่านยังไม่ได้ย้อนมองอย่างจริงจัง  เวลาเห็นผู้อื่นล้มป่วย เจ็บ ตาย  ท่านเคยย้อนกลับมาคิดไหมว่าตัวท่านนั้นก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้  มีหลายคนที่คิดได้เมื่อชีวิตของตนนั้นล่วงเลยไปสู่วัยของคนที่มีเพื่อน มีญาติเสียชีวิตไปแล้ว  แต่ท่านยังไม่คิดเลยว่าตัวท่านนั่นแหละอาจจะเป็นรายต่อไปก็ได้  เมื่อคิดได้แล้วถามว่าชีวิตของท่านนั้นยังมีสิ่งใดที่ควรจะไปทำมากที่สุด
ท่านหันเซียงจื่อ : เหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น (เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น)  อย่างนั้นก็แปลว่าตั้งแต่ที่มีชีวิตมาไม่ดีขึ้นเลยหรือ  เรารู้ว่าการนั่งฟังในห้องแคบๆ แบบนี้  อากาศไม่เป็นใจแบบนี้ ย่อมเกิดความอึดอัดเบื่อหน่ายและหน่ายท้อ  โดยเฉพาะจิตใจที่ไม่ฝักใฝ่ที่จะมาศึกษาธรรมด้วยแล้ว  การจะนั่งอยู่ตรงนี้ย่อม ไม่สงบสุข  ในใจจะคิดว่าแม้แค่หนึ่งนาทีสั้นๆ ในใจก็จะคิดว่าเหมือนหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งปี  แม้เขาจะพูดโน้มน้าว สนุกสนานอย่างไร ถ้าจิตใจท่านไม่สนุกสนานเกิดความเบื่อหน่าย หน่ายท้อ อย่างไรก็ไม่เกิดความสุข จะทำอย่างไรให้ชีวิต   ตนเองตรงนี้มีความสุข  แล้วสามารถเรียกความสุขให้เกิดขึ้นมาอยู่ในตัวเราได้  ก็คือยอมรับสภาพความเป็นจริงตรงนี้ให้ได้  แล้วเราก็จะพลิกจากความเบื่อหน่ายให้เป็นความสุขได้เหมือนกัน  บางคนทำไมแค่นั่งอยู่นี้จึงเกิดความสุขสันต์ จึงเกิดความยินดีปรีดา  แต่ทำไมคนนั่งข้างๆ เรากลับเกิดความหน่ายท้อ ความกลัดกลุ้ม ความเบื่อหน่ายง่วงเหงาหาวนอน  เพราะว่าใจคนหนึ่งยอมรับ ชอบ รักที่จะฟังเรื่องธรรม  แต่ใจอีกคนหนึ่งเบื่อหน่าย ไม่ชอบเรื่องธรรม  สองคนที่มานั่งอยู่ด้วยกันจึงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  เหมือนมองฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงย่อมเห็นความแตกต่าง  เหมือนคนที่นั่งข้างๆ เรากับตัวเราย่อมไม่เหมือนกัน  คนเรานั้นเกิดมาเหมือนกันหมด มีร่างกาย มีชีวิต  แต่มีจิตใจที่แตกต่างกัน  จิตใจที่แตกต่างกันจึงทำให้สีหน้าที่ปรากฏแตกต่างกันไปด้วย  คนที่รู้จักยอมรับเปิดใจกว้าง อารมณ์ดี แจ่มใสใบหน้าย่อมยิ้มแย้ม เบิกบาน ใบหน้าย่อมสงบสุข  แต่คนที่มีชีวิตที่กลัดกลุ้มวิตกกังวล  ใบหน้าย่อมเป็นทุกข์หมองเศร้า  แล้วตอนนี้อยากดูกระจกไหม  จะได้รู้ว่าจิตใจตอนนี้ท่านเป็นอย่างไร  หากทุกขณะที่เรามีชีวิต ที่เราดำเนินชีวิต  หากเป็นไปได้ท่านลองติดกระจกไปพร้อมกับตัวเองด้วย  เวลาเกิดอารมณ์อย่างไร หยิบกระจกขึ้นมามอง  เวลาสุขอย่างไร หยิบกระจกขึ้นมาดู  เวลาทุกข์เช่นไร หยิบกระจกขึ้นมาดู  แล้วตอนนั้นท่านจะเห็นคนที่แต่งหน้าเป็นพันหน้าเลย  ใครปั้นหน้าเราไม่เก่งเท่าตัวเราปั้นหน้าเราเอง  ปั้นได้ทุกสภาวะ ปั้นได้ทุกแบบ  อย่าไปมองเขามองที่ตัวเรา
ท่านจงหลีเฉวียน : เมื่อได้รู้เช่นนี้ใครที่ยังไม่มีใบหน้าติดรอยยิ้ม  ขอให้เริ่มยิ้มขึ้นได้แล้วดีหรือไม่ (ดี)  การยิ้มไม่ใช่เรื่องยาก  รอยยิ้มที่ดีคือรอยยิ้มที่จริงใจ   ขอให้ทุกท่านมีรอยยิ้มที่ดี  แม้ไม่มีกระจกก็ยิ้มได้
ทุกท่านในที่นี้มีความสุขดีหรือไม่          มีความสุขท่ามกลางอากาศที่ร้อน    
อบอ้าวหรือไม่  อันความสุขแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  เพราะฉะนั้นอากาศภายนอกไม่มีผลใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตคนนั้นก็เช่นเดียวกัน  จิตใจและร่างกายนั้นเป็นคนละส่วนกันแต่กลับมีความสัมพันธ์กันอย่างคาดไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่อากาศร้อนจิตใจก็ร้อน  ในยามที่อากาศเย็นสบายจิตใจก็เย็นสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาชีวิตนี้ไม่สมหวังท่านเป็นทุกข์เวลาชีวิตท่านสมหวัง ท่านก็มีความสุขมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนั้นสัมพันธ์กันเช่นนี้ได้อย่างไร  ตลอดเวลาของชีวิตที่ผ่านมาท่านปล่อยให้ปัจจัยภายนอกมีผลต่อจิตใจของท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นเวลาเห็นของที่สวยงาม จิตใจหวั่นไหวอยากจะได้  เป็นเพราะปัจจัยภายนอก   ทำให้จิตใจนั้นสั่นคลอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นเวลาที่บุรุษเห็นสตรีงามก็เกิด   จิตใจฝักใฝ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น ถูกหรือเปล่า (ถูก)
 ถ้าหากว่าท่านสามารถตัดจิตใจเหล่านี้ได้ ท่านนั้นก็จะเป็นเซียนพุทธะได้ในเร็ววัน  แต่ในขณะนี้ทุกๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน เป็นคนธรรมดา  หมายความว่าทุกๆ คนนั้นล้วนมีใจรักกิเลสทั้งสิ้น    ท่านจึงต้องเป็นปุถุชน ทุกๆ วันหาเช้า กินค่ำ
อยากจะเป็นเซียนพุทธะไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่นี้เราให้ไว้ในกลอนบอกว่าเซียนเคียงคู่สิ่งใด  เซียนเคียงคู่ความพากเพียร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อท่าน ตั้งใจที่จะมาศึกษาธรรม ตั้งใจที่จะมาเลิกละกิเลส  ท่านจะต้องมีความพากเพียร ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านหันเซียงจื่อ : เมื่อสักครู่เราได้พูดทิ้งค้างไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ให้ทุกท่านพกกระจกไปทุกขณะ แล้วจะได้ตรวจสอบใบหน้าและจิตใจของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าวันใดวันหนึ่งท่านเกิดลืมกระจก ท่านจะใช้สิ่งใดช่วยตรวจสอบ  จิตใจและใบหน้าของตนเอง  การที่ท่านโมโหท่านจะยอมรับไหมว่าท่านนั้นโมโหท่านจะยอมรับไหมว่าตอนนั้นตัวเองโมโห (ยอมรับ)  แล้วจิตใจนั้นจะมองเห็นใบหน้าตนเองได้หรือไม่ (ได้)  มีกระจกบานหนึ่ง  บางครั้งเราไม่ต้องพกมันไป  ไปที่ไหนเขาก็ช่วยตรวจสอบ ช่วยวัดเราได้ว่าเรากำลังเป็นคนเช่นไรหรือเราเป็นคนมีจิตใจแบบไหนคือกระจกแบบใด (คนรอบข้าง)  คนรอบข้างช่วยตรวจสอบท่าน ช่วยวัดว่าท่านเป็นคนเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมตอบว่าใช่  เราถามให้ท่านพูด ให้ท่านคิดจะได้ไม่เบื่อ และจะได้ดูว่าสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดนี้เป็นการท่อง เป็นการเตรียมมาหรือเปล่า ดีหรือไม่ (ดี)  ท่านตรวจสอบเรา เราตรวจสอบท่าน  แล้วทำไมถึงเชื่ออย่างนั้นว่าคนสามารถช่วยตรวจสอบเราได้  ช่วยวัดเราได้ว่าเราเป็นอย่างไร  อย่างเช่นเราชอบสิ่งใดเรามักจะอยู่ใกล้กับสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราชอบเสื้อผ้าสวยๆ เรามักจะอยู่ท่ามกลางร้านค้าตลาดหรือว่าร้านที่ขายเสื้อผ้าล่ะ ก็ต้องร้านที่ขายเสื้อผ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราชอบนินทาว่าร้าย  คนรอบข้างเราก็ชอบนินทาว่าร้ายพูดใส่ไคล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราชอบพูดไม่เพราะ  คนที่อยู่รอบข้างเราพูดเพราะหรือพูดเช่นเดียวกับเรา (พูดเช่นเดียวกับเรา)  มนุษย์มีจริตอย่างไร  จริตแบบนั้นย่อมถ่ายทอดและนำพาตนเองไปสู่หนทางนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปกติชีวิตของมนุษย์หรือชีวิตของทุกท่านมีจริตที่ฝักใฝ่กันด้านใดบ้าง  ส่วนมากจะเป็นด้านลาภยศ ชื่อเสียง ความสนุกสนาน ความอิสระเสรี ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่จะมีจิตใจฝักใฝ่หาคุณธรรมนั้นนับเป็นเรื่องเดือดร้อน เมื่อทุกข์ยาก เราถึงจะฝักใฝ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแก้เมื่อผลเกิดย่อมไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต เราจะแก้ไขเราต้องรู้จักแก้ไขตั้งแต่ต้น เราอย่ามองข้ามอันตรายเล็กๆ น้อยๆ  อันตรายจะเกิดขึ้นจริงได้ก็เพราะคนเรามองข้ามพื้นฐานเล็กๆ ข้อบกพร่องที่ผิดพลาดน้อยๆ จึงทำให้เกิดความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่และเรื่องราวที่น่ากลัวบานปลายขึ้นมาในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราอยู่ในสังคมการเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว การเอาแต่ชนะผู้อื่นย่อม    ไม่เป็นประโยชน์ เพราะการเอาแต่ชนะและคิดว่าตนเองแน่ย่อมมักพาให้ตนเองพบแต่ศัตรู และเรื่องราวที่ไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่การรู้จักเปิดใจกว้างพร้อมยอมรับและรับรู้ว่าตนเองสู้ได้ สู้ไม่ได้ การยอมรับตนเอง การรู้จักตนเองย่อมนำพาให้ตนเองพบกับความเป็นจริงและพบกับหนทางที่แจ่มใสได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่คิดว่าตนเองแน่ ไม่ยอมฟังใคร  คิดว่าความคิดเห็นของตนเองถูกต้องที่สุด ของคนอื่นนั้นผิดหมด ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นกับผู้อื่นหรือรับฟังความคิดเห็นของผู้ใด  นานๆ เข้าคนๆ นี้ย่อมยากที่จะได้รับฟังเรื่องที่เป็นจริง เรื่องที่  ถูกต้อง  หนักเข้าไปอีกเขาจะมีแต่คนที่โป้ปดมดเท็จอยู่รอบข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนสำนวนที่กล่าวว่า  “ยาดีย่อมขมปาก คำเตือนมักขัดหู”  เพื่อนที่จะเป็นเพื่อนแท้คือเพื่อนที่กล้าตักเตือนข้อผิดพลาดของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่จะนำพาชีวิต นำพาจิตใจเราไปสู่หนทางที่แท้จริงได้ต้องกล้าชี้ข้อบกพร่องในตัวเรา ต้องกล้าพูดว่าอะไรดี อะไรไม่ดีของเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การอยู่บนโลกนี้นั้นหากเราไม่รู้จักวางใจให้ดีแล้ว ย่อมง่ายที่จะพลั้งเผลอ ง่ายที่จะปล่อยตามอารมณ์และจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอารมณ์ที่เราชอบพลั้งเผลอและปล่อยไปตามจิตใจเป็นอารมณ์อะไรกันบ้าง (อารมณ์โกรธ)  โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์โกรธ  ทุกคนมักจะปล่อยอารมณ์โกรธได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่เราก็รู้ว่าโกรธแล้วย่อมนำผลร้ายมาสู่ตน  โกรธแล้วคนที่เจ็บก่อนก็คือตน ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เพราะอะไรเรารู้ตัวเช่นนี้เราถึงยับยั้งไม่ได้  ควบคุมตนเองให้เอาชนะอารมณ์    ไม่ได้วางเหนืออารมณ์ เพราะเราง่ายที่จะเคยชิน ง่ายที่จะปล่อยไปตามอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรามักจะปล่อยชีวิตไปตามอิสระ นึกอย่างไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น  ตอนนี้โกรธก็ปล่อยให้โกรธไม่อยากเก็บไว้  เก็บไว้ก็มีแต่อัดอั้นตันใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเรารู้ว่ามี ทำไมเราไม่รู้จักล้างให้เป็น  ความโกรธเป็นเหมือนสิ่งสกปรก มีแล้วก็ทำให้ขุ่นมัว ทำไมไม่รู้จักล้าง มือเวลาสกปรกยังรู้จักล้าง  ใจเมื่อแปดเปื้อนธุลีสิ่งมึนมัว ทำไมเราไม่รู้จักขจัดทิ้ง ล้างทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราเมื่อมีชีวิต เรามักแสวงหาหรือไปตามใจปรารถนาของตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้เราถามใจท่านว่าอยากอะไร ปรารถนาสิ่งใดในตอนนี้ (ความสุข, ความหลุดพ้น, อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น)  ในที่นี้คงมีความปรารถนาและความต้องการแตกต่างกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดทีละอย่างดีไหมตอนนี้เขาตอบสามคน มนุษย์เราทุกคนปรารถนาซึ่งความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อสักครู่เราได้ฟังท่านจงหลีเฉวียนพูดไว้ว่าความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากจิตใจ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากภายนอกใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าภายในจิตใจของเราทำให้ว่างเปล่าแล้วคอยเติมความสุขให้เต็ม เราจะมีวันสมกับความสุขไหม สามารถจะเติมความสุขนี้ได้เต็มไหม คิดว่าจะเติมได้เต็มไหม (เต็ม,ไม่เต็ม) มีทั้งเต็มและไม่เต็ม ท่านคิดว่าจะเติมให้เต็มไหม (เติมให้เต็ม) คือการที่เราพยายามไขว่และคว้าหาความสุข ถ้าเกิดว่าการพยายาม    ไขว่คว้าหาความสุขแต่ภายในจิตใจเราไม่เคยมีความสุข แม้จะเติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับมนุษย์เราอยากจะมีความต้องการ มีเงิน มีทรัพย์สิน แต่ถ้าเราทำจิตใจภายในให้กลวงเปล่า เติมอย่างไรย่อมไม่มีวันเต็ม จนกว่าภายในจิตใจของเรามีความรู้สึกว่าพอแล้ว หยุดแล้ว สุขแล้ว คงที่แล้วนั่นแหละใจเรา จะค่อย ๆ เต็มขึ้นมาเองโดยฉับพลันทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจตรงนี้ไหม  เราอธิบายให้ง่ายขึ้นไปอีกนิดหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนให้ท่านจงหลีเฉวียนคุย           กับทุกท่าน ความสุขภายนอกที่ได้มาด้วยลาภยศหรือเงินทองชื่อเสียง แม้เราจะได้มาด้วยความต้องการที่เกิดจากภายใน เมื่อเราได้มาหนึ่งครั้งเรารู้สึกว่าความสุขนั้นชั่วคราวหรือว่าเป็นความสุขที่นิจนิรันดร์ (ชั่วคราว) จนกว่าความสุขนั้นเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเราจนรู้สึกพอแล้ว หยุดแล้ว ความสุขนั้นจึงจะเปลี่ยนจากชั่วคราวเป็นนิจนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เฉกเช่นเดียวกันแม้เราจะมีความสุข ความสุขนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่มีเงินบาทหนึ่ง หรือว่ามีเงินแค่สิบบาท แต่ถ้าใจเรารู้สึกอิ่มในความสุขหนึ่งบาทหรือสิบบาทนั้น แม้ว่าความสุขภายนอกจะมาเติมความสุขนั้นก็ยากจะมีผลอะไร เพราะใจเราสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือว่าแม้ภายนอกจะได้มามากเท่าไร แต่ถ้าจิตใจเราทำให้ว่างเปล่าไร้ ก็ไม่มีวันสุข ไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริง การจะหาความสุขที่แท้จริงได้ ต้องเริ่มต้นจากใจเรา รู้จักพอ รู้จักสุขแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น (ทำความดี) ทำความดีแน่ใจหรือไม่ว่าทำความดีจะได้ชีวิตที่ดีขึ้น (แน่ใจ) การที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ทำได้อย่างเดียวคือการแก้ไขตัวเอง ปัญหาใดๆ ที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดี แก้ไขสภาพ     แวดล้อมที่เราเป็นอยู่โดยเริ่มจากตัวเรา อย่าเกี่ยงว่าสภาพแวดล้อมที่เราอยู่นั้น ไม่ดี แต่ว่าให้เรานั้นไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ให้ได้ เพราะว่าเราเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีทุกอย่างก็ดีขึ้นใช่ไหม ชื่อเสียง ลาภยศหรือเงินทองนั่นไม่ใช่ชีวิตที่ดีขึ้น รู้ไหม
ตอนนี้ทุกท่านยังทำท่าอมทุกข์อยู่เลย นั่งที่นี้มีความสุขที่แท้จริงหรือไม่ ความสุขที่แท้จริงนั้นออกมาจากใจมิใช่หรือ ทุกท่านลองเอาใจของท่านออกมา แสดงถึงความปิติสุขหน่อยดีไหม ความสุขทำอย่างไรบ้าง การนั่ง นั่งให้สง่างาม ตรงๆ ตรงโดยธรรมชาติไม่ต้องฝืน มือไม่กอดอก เพราะมือที่กอดอกนั้นแสดงถึงความไม่เข้าใจ ไม่เปิดใจของตัวท่านเอง มีรองเท้าให้ใส่ไว้ ใบหน้าประพรมด้วยรอยยิ้ม หากใจมีความสุขจริงๆ ก็จะยิ้มออกมาได้อย่างธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครยังทำไม่ได้แสดงว่าจิตใจยังไม่มีความสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าใจและกายต่างคนต่างอยู่ก็จริงแต่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อัน สุดท้าย ไม่แสดงกิริยาง่วงเหงาหาวนอน เปิดปากหาวโดยที่ไม่ปิดปาก เป็นไหม เราต้องเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เมื่อเป็นบุรุษก็เป็นบุรุษที่สง่างาม เมื่อเป็นสุภาพสตรีก็เป็นสตรีที่อ่อนโยนนิ่มนวล ทำได้ไหม (ได้) การนั่งสามวันนี้จะดูแล้วทรมานยิ่ง หรือจะดูแล้วสบาย ๆ ผ่านไปสามวันดั่งเซียนพุทธะ ล้วนอยู่ที่ท่านนั้นเอาจิตใจออกมาช่วยหรือไม่ ถ้าทำแต่กายไม่เอาใจออกมาช่วยใจย่อมเมื่อยล้า ในที่สุดแล้วไม่มีสมาธิที่จะฟัง แต่หากท่านนั้นมีจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นปิติสุขท่านย่อมฟังสามวันนี้ผ่านไปอย่างสบาย
เมื่อสักครู่นี้พูดถึงความพากเพียรใช่หรือไม่ (ใช่) ความพากเพียรนั้นมาอยู่คู่กับเซียนพุทธะได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนพุทธะที่มีความเมตตา เมื่อเป็นนักเรียนเรียนหนังสืออยากได้ที่หนึ่งต้องอาศัยความพากเพียรหรือไม่ (อาศัย) เมื่อเป็นคนอยากจะได้หน้าที่การงานที่สูงส่งตัวเองจะต้องมีความพากเพียรไหม (มี) ใครที่ไม่มีคุณสมบัติ ความสามารถอันแท้จริงก็จะไม่สามารถจะไต่เต้าขึ้นไปยังที่สูงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นในครานี้เรามาที่นี่เราอยากให้ท่านพากเพียรไปเป็นพุทธะ มิใช่ปุถุชนธรรมดาสามัญ การที่จะข้ามขึ้นไปถึงเป็นเซียนพุทธะนั้น ต้องพากเพียรอย่างหนัก ใช่หรือไม่ (ใช่) อันความทุกข์ที่เจอมาในโลกที่ว่าทุกข์แล้ว การที่เราฝึกเป็นเซียนพุทธะนั้นอาจจะทุกข์เสียยิ่งกว่า ท่านจึงต้องมีใจที่กว้างใหญ่ไพศาล รู้จักที่จะอภัยคนผู้อื่นจึงจะสามารถอภัย   ตัวเองได้ ท่านจะต้องมีใจเมตตาที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงจะสามารถที่จะหยุด  การกินเนื้อสัตว์ได้ ท่านจะต้องมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีช่วยผู้อื่นด้วยปัญญา       อันด้วยท่านนั้นมีปัญญาสูงส่งยิ่ง ฉะนั้นการพากเพียรเป็นพุทธะนั้นจะต้องอาศัย  ตัวท่านเองด้วยจิตใจอันปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่ใช่จิตใจที่หนักอึ้ง อึมครึมเหมือนฝนจะตกกระนั้น ทุกๆ ท่านนั้นมีจิตใจเพียงดวงเดียว แต่ในขณะเดียวกันกลับคิดไปได้หลายอย่าง คิดไปได้หลายเรื่อง ในสิ่งนี้ท่านจะต้องควบคุมให้ลดน้อยถอยลง ให้ตัวท่านนั้นมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวเสียก่อนจึงจะฉุดช่วยผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ การพากเพียรนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่เราจะมาพากเพียรกันนั้นท่านต้องมีความมั่นคง ความมั่นคงเกิดได้ด้วยสิ่งใด (ความตั้งใจ )
เราน่ากลัวกระนั้นหรือ  ถ้าหากว่าเราน่ากลัวแล้วทุกท่านถ้าได้ดูกระจก  สักครั้งจะรู้ว่าทุกท่านนั้นน่ากลัวกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ในหนึ่งนาทีคิดไปได้หลายอย่าง แล้วในหลายอย่างนั้นก็มีความคิดที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) และในหนึ่งความคิดของท่านนั้นมีความคิดที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วยจึงบอกว่าความคิดของท่านนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความคิดของเราอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) อันว่าความคิดอยู่ภายใน การกระทำอยู่ภายนอก ในขณะนี้ท่านจึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วท่านมีความน่ากลัวเท่าไร การพากเพียรเกิดด้วยสิ่งใด (ความขยัน, ความอดทน) อันความพากเพียรนั้นเกิดได้ด้วยท่านนั้นมีความเข้าใจ เมื่อท่านเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีท่านจึงออกแรงที่จะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความเข้าใจเกิดได้ด้วยสิ่งใด  ความเข้าใจเกิดได้ด้วยท่านนั้นศึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังสามวันนี้ที่ท่านนั้นได้กระทำอยู่ก็เรียกว่าการศึกษาแต่ว่าศึกษาได้เข้าใจเท่าไหร่ แม้ว่านั่งอยู่ด้วยกันในหนึ่งชั้นคนจำนวนมาก แต่อาจจะมีคนเข้าใจเพียงครึ่งเดียวก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นเป็นเพราะเหตุใด นั่นเป็นเพราะว่าท่านนั้นยังไม่มีจิตใจที่ศรัทธาเชื่อมั่นพอ   ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นความมั่นคงนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อท่านนั้นได้มี  ความจริงใจในการศึกษาเท่านั้น สิ่งต่างๆ ก็จะเกิดตามท่านมาเอง  ฉะนั้นหวังว่าสามวันนี้เมื่อท่านจริงใจศึกษาอยู่ที่นี่ จึงไม่เป็นการเสียแรงเปล่าที่ท่านนั้นได้มานั่งฟัง ความพากเพียรนั้นเป็นสิ่งที่พุทธะเบื้องบนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์นั้นควรมีทั้งสิ้น ท่านมานั่งอยู่ที่นี่ในขณะนี้มีความร้อน ต้องใช้สิ่งหนึ่งเรียกว่าความอดทน ความอดทนนั้นช่วยอะไรได้ ในการจะทำงานสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุล่วงต่อไปได้ ท่านนั้นต้องอาศัยความอดทน ความอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ความอดทนในความร้อนจำเป็นต้องมีไหม (มี) เมื่อมีความอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้  ชีวิตวันข้างหน้าก็ไม่ต้องห่วง ท่านนั้นก็จะสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดมุ่งหมายของท่านได้เอง แต่หากวันนี้ความอดทนเรื่องเล็กน้อยไม่มีเกิด วันหน้าจะสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหันเซียงจื่อ : มีสำนวนไทยกล่าวไว้ว่า  “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”  แล้วตอนนี้ท่านเป็นอย่างไร คับที่หรือคับใจ (คับที่)  ไม่คับที่แต่คับใจ ใช่หรือไม่     (ไม่ใช่)  ขอให้ไม่ทั้งสองนะ  เพราะที่นี้ก็กว้างมาก แล้วใจท่านก็กว้างเช่นกัน     ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินว่าเมธีบนโลกมนุษย์ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นคนใจกว้าง  ใจกว้างอย่างนี้ก็ต้องยอมรับเราทั้งสองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้เราจะดูเหมือนเด็กและก็มีคนที่เป็นผู้ดำเนินรายการกล่าวว่าเป็นพุทธะ เป็น    สิ่งศักดิ์สิทธิ์  แต่ภายในใจก็เกิดความแย้งว่าไม่น่าใช่ ไม่น่าเชื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วอย่างนี่จะเรียกว่าใจกว้างหรือเปล่า ไม่เรียกว่าใจกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ……
ท่านเคยต้องทำงานร่วมกับหัวหน้าหรือนายใหญ่สักคนหนึ่ง โดยที่ตัวท่านเองต้องเป็นลูกน้อง เคยไหม (เคย)  แล้วท่านทำอย่างไรเมื่อหัวหน้านั้นทำอะไรก็ไม่ถูกใจเรา ทำอะไรก็ขัดใจเราไปตลอด เราจะทำอย่างไร  อย่างแรกระเบิดความรู้สึกออกมาเลย  กับอีกอย่างหนึ่งทนให้ได้ กับอีกแบบหนึ่งทนไม่ไหวก็เข้าห้องน้ำระบายความเครียด ความอัดอั้น ทนได้แล้วก็กลับออกมาสู้ใหม่  มนุษย์เรามักเป็นแบบไหนกัน  ตัวท่านเป็นแบบไหนกัน  ไม่เป็นหนึ่งในสามนี้ใช่หรือไม่
ถ้าอยู่ในชีวิตมนุษย์เรา ไม่มีเรื่องอะไรที่จะถูกใจท่านไปหมด ที่จะพร้อมสมบูรณ์ไปทุกอย่าง เรามีชีวิตได้มาล้วนต้องเสียไป  ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ แม้เราจะทำอะไรก็ได้ตามใจเราไปทุกอย่าง แต่เรื่องบางเรื่องไม่ใช่จะถูกใจเราไปเสียหมด ใช่หรือไม่  แล้วเรื่องที่ได้มานั้นก็คือการเสียเวลาของชีวิตไป หากใจเรา     ไม่ยอมรับ เรานั้นต้องได้เรื่องเสียไปอย่างน่าทุกข์ น่าเศร้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราบอกว่าในชีวิตของคนเรานี้ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์พร้อมไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และไม่มีอะไรที่จะถูกใจเราไปหมดทุกอย่าง บางครั้งเราอยู่บ้าน พ่อแม่ตามใจเราไปหมดทุกอย่าง  แต่ออกข้างนอกบ้าน เพื่อนไม่ตามใจเรา ใช่หรือไม่  บางครั้งเราอยู่บ้าน เพื่อนตามใจเราทุกอย่าง แต่พ่อแม่ไม่ตามใจ ใช่หรือไม่  หากการมีชีวิตคือการเสียเวลาของชีวิต การได้มาสิ่งหนึ่งก็ต้องเสียไปสิ่งหนึ่ง  แล้วเราจะหวังทุกๆ อย่างให้ได้ตามที่เราต้องการเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ทุกๆ วันนี้เราต้องเสียเวลาแห่งชีวิตไปทุกขณะ เมื่อเราไม่สมหวังเราก็จะเกิดทุกข์ เมื่อเราสมหวังเราจะเกิดความยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำ   อย่างไรให้เมื่อไม่สมหวัง เราจึงเกิดความสุขได้  นั่นก็คือการเปิดใจยอมรับ        ใช่หรือไม่ (ใช่)  และรู้จักควบคุมตน เพราะการปล่อยตนตามอิสระไม่ใช่จะให้คุณ บางครั้งก็ให้โทษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วโดยปกติชีวิตของเรามักปล่อยไปตามอิสระ หรือรู้จักควบคุมตนกัน  มักจะถนัดปล่อยไปตามอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อครู่ท่านจงหลีเฉวียนกล่าวไว้ว่าต้องนั่งให้ตรง ไม่นานท่านก็เผลอนั่งพิงพนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเรามีชีวิต เราต้องรู้จักควบคุมตนให้เป็น ไม่ทำผิดพลาด เผลอสักพักหนึ่งเราก็ผิดไปแล้ว เราก็พลาดไปแล้ว เราก็ทุกข์ไปแล้ว     เมื่อผิดไปแล้ว พลาดไปแล้ว เราเสียเวลากับชีวิตไหม (เสียเวลา)  ฉะนั้นถ้าตั้งแต่มีชีวิตเรารู้จักควบคุมตนเองให้เป็นตั้งแต่แรก  การที่จะสูญเสียไป ความผิดย่อมน้อย  ความถูกและความสุขย่อมประสบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ผู้บำเพ็ญธรรมนั้นก็คือผู้ที่รู้จักแบ่งเวลา  การแบ่งเวลาได้นั้นดีทั้งสุขภาพร่างกายและดีทั้งสุขภาพจิตใจ  ชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีเวลา   ไม่มากนัก  การแบ่งเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับทุกท่าน  การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ลำบาก มีความลำบากมาก  แต่ยิ่งมีความลำบากมากเท่าไร  ท่านยิ่งต้องแบ่งเวลาให้เป็นมากเท่านั้น
หากว่าท่านนั้นต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต หน้าที่ทางโลกก็ขอให้ท่านนั้นทุ่มเทจิตใจกระทำ แต่อย่าให้เกิดกิเลสเป็นเงาตามมา  อย่าได้เกิดเวรกรรมเป็นเงาตามตัว  หากว่าท่านนั้นต้องการจะสำเร็จไปถึงนิพพานแดนฟ้า    ขอให้ท่านนั้นลงแรงที่จิตใจของตัวเราเอง  เพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่  ท่านสามารถที่จะลงแรงจิตใจของท่านให้สะอาดได้มากเท่าไร  ท่านก็จะได้สิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้นเท่านั้น
ความผิดต่างๆ ที่มนุษย์นั้นก่อกระทำขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่ผิดมากหรือผิดน้อย  แต่กลับเป็นจิตใจที่คิดกระทำว่าโหดร้ายมากเพียงใด  โหดร้ายมากเท่าไรความผิดบาปและกรรมนั้นก็จะมากขึ้น  หากว่าท่านนั้นไม่มีจิตใจที่เจตนามาก แม้ว่าเป็นกรรมหนักแต่บาปกรรมที่ได้รับผลนั้นก็จะเบาลง  ท่านเชื่อสิ่งนี้ไหม  สิ่งนี้เป็นความแยบยลของบุญและกรรมที่ท่านนั้นไม่เคยรู้จักเลย
มีคนบอกว่าถ้ากินเนื้อวัวจะเป็นบาปมาก แต่กินเนื้อไก่จะเป็นบาปน้อย เพราะว่าวัวตัวใหญ่และไก่ตัวเล็ก ใช่หรือเปล่า  สมมติว่าให้ฝ่ายชายเป็นวัว ให้ฝ่ายหญิงเป็นไก่ เพราะว่าฝ่ายชายนั้นรูปร่างใหญ่กว่า ฝ่ายหญิงรูปร่างเล็กกว่า ใช่หรือไม่  ถามว่าถ้าหากฝ่ายหญิงคิดจะไปฆ่าฝ่ายชายแล้วบอกว่ากรรมเยอะ  ใช่หรือเปล่า  ฝ่ายชายคิดฆ่าฝ่ายหญิงเพราะว่าฝ่ายหญิงตัวเล็กกว่า กรรมคงจะนิดเดียว ใช่หรือไม่  ต่างมีชีวิตเพียงหนึ่งชีวิต  อันว่าความตายนั้นเราทดลองไม่ได้  เมื่อท่านตายไปแล้วก็ถือว่าแล้วกัน  กรรมที่ก่อขึ้นย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว    ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่กรรมนั้นจะมากหรือน้อยย่อมอยู่ที่เจตนาในใจของท่านเอง  อย่าบอกว่ากินสัตว์เล็กแล้วกรรมจะน้อยกว่า  หากว่าในขณะที่ท่านต้องการที่จะได้สัตว์เล็กขึ้นมากิน ดังเช่นปลา ไก่ หรือเนื้อสัตว์เล็กๆ แต่ว่าตัวท่านนั้นมีเจตนาที่โหดร้าย  ถามว่าท่านจะมีบาปไหม (มี)  ในขณะที่ท่านนั้นกำลังทานสัตว์ใหญ่อยู่ แต่ท่านนั้นไม่มีเจตนาเลย ท่านไม่รู้ ถามว่าท่านมีกรรมไหม (มี)  มากหรือเปล่า ไม่มากแต่ก็พอที่จะทำให้ท่านนั้นไม่สามารถที่จะก้าวพ้นวัฏสงสารนี้ไปได้ แม้เพียงสัตว์ตัวเดียวก็ตาม  ฉะนั้นชีวิตนี้ของท่านนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแก้ไขตนเองนั้นมีได้หลายอย่าง  บางคนนั้นแก้ไขตนเอง แก้ไขในเรื่องราวที่เกิดขึ้น  อีกวิธีหนึ่งคือการแก้ไขตนเองโดยหลักการ  อีกวิธีหนึ่งคือการแก้ไขในใจของตัวท่านเอง  การแก้ไขนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยท่านมีจิตใจที่จะแก้ไขเท่านั้น  ทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการแก้ไข  เป็นเพราะว่าทุกๆ ท่านนั้นในขณะนี้มีการทำผิดบาปมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องการการแก้ไขหรือไม่ (ต้องการ)  หากท่านไม่แก้ไขท่านก็จะไม่ได้เป็นพุทธะ  หากท่านที่จะแก้ไขแม้จะแก้ไขไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ชื่อว่าเบาบางลง
ความผิดจะร้อยอย่างพันอย่าง โดยมากนั้นเกิดขึ้นจากใจของท่านเอง  ฉะนั้นการแก้ไขที่ใจนั้นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดในขณะเดียวกัน     เชื่อไหม (เชื่อ)  ใจดวงเดียวอันนี้แก้ไขยากที่สุด  การแก้ไขในเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วท่านกลับไปแก้ตัวนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด  ส่วนการแก้ไขในหลักการนั้นท่านจะต้องศึกษาให้เพียงพอ รู้และแน่ใจจึงจะทำได้  ดังเช่นหากว่าท่านว่าเกิดโมโหไปชกตีกับใครเข้า  หากมีความสำนึกได้ก็กลับไปขอโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝ่ายตรงข้ามอภัยให้แล้วก็ถือว่าเป็นการแก้ไขที่จบแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อได้รับการอภัยจากอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ถือเป็นการจบกัน  การแก้ไขชนิดนี้ง่ายไหม (ง่าย)  หากว่าท่านไปทำให้พ่อแม่น้ำตาไหลด้วยความเสียใจ  ท่านกลับไปกราบขอโทษพ่อแม่  พ่อแม่อภัยให้แล้วก็ถือว่าจบ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แน่นอนความผิดอันนั้นถือว่าจบกัน  แต่ทว่าการแก้ไขที่หลักการทำอย่างไร การแก้ไขตามหลักการ     จะเร็วกว่าตรงที่ว่าท่านต้องมีสติตามให้ทัน  ท่านนั้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสติ สมาธิแล้ว  ท่านได้ศึกษาถ่องแท้แล้ว  ท่านก็ไม่เผลอที่จะโกรธง่าย
อันว่าความโกรธนั้นเปรียบเสมือนไฟ  ท่านก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับไฟนี้  เมื่อท่านแก้ไขความโกรธนี้ได้  ก็ถือว่าเป็นการจบเช่นเดียวกัน  แต่การแก้ไขที่ใจยากกว่านั้น  เมื่อความโกรธเกิดขึ้นทันทีทันใด  ท่านจะต้องรู้สึกตัวในขณะนั้น  ความโกรธนั้นก็จะละลายหายไป ไม่เกิดแม้แต่ในความคิดคำนึง  การแก้ไขเช่นนี้ยากกว่าหรือไม่ (ยากกว่า)  แต่ว่าใจนี้เป็นของท่าน จึงบอกว่า   จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ใช่  อยู่ที่ตัวท่านเองนั้นรับที่จะแก้ไขหรือไม่
หากท่านมีใจที่จะแก้ไข  แม้ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดท่านก็จะป่ายปีนถึง  แต่หากว่าท่านไม่มีใจ  แม้ภูเขานี้สูงเท่าคนๆ เดียว  ท่านก็ปีนไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างจึงอยู่ที่ว่าท่านนั้นมีใจที่จะแก้ไขตนเองมากเท่าไร      ความเคยชินต่างๆ อันเป็นนิสัยของมนุษย์นั้นปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ท่านมีทุกๆ คน   จะแก้ไขได้มากหรือน้อย ขอให้ท่านไปย้อนมองใจของตัวเองแล้วจะรู้ว่าท่านนั้นพร้อมที่จะแก้ไขหรือยัง
ท่านหันเซียงจื่อ : หากวันนี้เรามาถามท่านพร้อมจะบำเพ็ญไหม  วันนี้ก็คงยัง ไม่พร้อม ใช่หรือไม่  หากวันนี้ถามว่าทุกท่านพร้อมจะศึกษาธรรมไหม พร้อมหรือไม่ (พร้อม)  วันนี้ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม  เพราะวันนี้คือการมานั่งศึกษาหลักธรรม  ธรรมสอนให้เรารู้จักชีวิต  แล้วชีวิตแตกต่างจากสรรพสิ่งบนโลกนี้ไหม  ชีวิตกับสรรพสิ่งบนโลกนี้แตกต่างกันไหม (ไม่แตกต่าง)  ถ้าบางคนที่ยังไม่เข้าใจว่า    แตกต่างหรือไม่  คราวนี้ลองนั่งแล้วควบคุมใจให้สงบ  แล้วมองวันเวลาที่ผ่านไป  มองฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน  มองใบไม้ที่ร่วงหล่น  หากหันกลับมามองชีวิตของเรา  ชีวิตของเราล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือดูง่ายๆ เหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นไปตามอายุขัย  เมื่อใบไม้ร่วงหนึ่งใบก็ย่อมมีใบอ่อนที่แตกยอดออกมาอีกหนึ่งใบ  เมื่อชีวิตเราล่วงไปหนึ่งปีหรือหนึ่งขวบกาล  ก็ย่อมมีอายุเพิ่มมาอีกหนึ่งปี หนึ่งขวบกาล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้น สรรพสิ่งของชีวิตย่อมมีการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับสูญ  ในท่ามกลางเกิด เปลี่ยนแปลงและ   ดับสูญ เราสามารถยื้อยุดสิ่งใดไว้กับเราได้บ้าง เราสามารถหน่วงเหนี่ยว เกาะกุม หรือรั้งสิ่งใดให้อยู่กับตนเองได้บ้าง  หากมองด้านวัตถุ เรายึดถือ เราหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดได้บ้าง (ไม่ได้)  ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเรารักร่างกาย ร่างกายนั้นหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
สรรพสิ่งสอนให้เรารู้ว่า เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ  เมื่อมีพบย่อมมีพราก  ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน  บ่อยครั้งที่เราทำใจไม่ได้  เราอยากรั้งชีวิตของเราไว้  เราอยากรั้งอายุขัยของเราไว้  แต่เรารั้งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมชาติสอนให้เข้าใจชีวิตว่า ชีวิตของเราต้องพบสัจธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือความเที่ยงนำไปสู่ความไม่เที่ยง  ความมีนำไปสู่ความไร้  แล้วในทางกลับกัน  ความไร้นำไปสู่ความมี  ความ      ไม่เที่ยงนำไปสู่ความเที่ยง ซึ่งวนเวียนเป็นวัฏจักร ชีวิตของมนุษย์ก็อยู่ในวัฏจักรนี้  หากเราเข้าใจเราย่อมวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนี้ได้อย่างเป็นสุข แต่หากเราไม่เข้าใจการผ่านของวัฏจักรนี้ ย่อมผ่านด้วยความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดพร้อมกับคราบน้ำตา  แต่ถ้าเมื่อใดเราเข้าใจวัฏจักรนี้ ยอมรับวัฏจักรนี้ได้  เมื่อยอมรับได้ เข้าใจได้  เมื่อนั้นเราย่อมเข้าใจชีวิต  และเมื่อนั้นเราย่อมเข้าใจสรรพสิ่ง  เมื่อ  เข้าใจชีวิต เข้าใจสรรพสิ่งแล้ว  เราย่อมเข้าใจธรรม  เมื่อใดที่เราเข้าใจธรรม    ค้นพบธรรมในตัวแล้ว เมื่อนั้นเราสามารถพบความเป็นพุทธะในตัวตนได้  เหมือนดังสำนวนที่กล่าวว่า “ที่ใดมีธรรม ที่นั่นย่อมมีพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่”  แต่ตอนนี้เรายังไม่พบธรรมในตัว  เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจสรรพสิ่ง  เมื่อใดที่เราเข้าใจชีวิต เข้าใจสรรพสิ่งและยอมรับได้  แล้วพร้อมเดินไปด้วยความเป็นสุข  เมื่อนั้นเราจะพบสัจธรรมของชีวิต  พบคุณธรรมภายในตัวตน  เมื่อเราพบคุณธรรม เราก็พร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม  เมื่อพร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม เราย่อมพร้อมที่จะฝ่าฟันความยากลำบาก และนำพาชีวิตตนเองไปสู่ความหลุดพ้นได้  นี่คือหลักการง่ายๆ ในการรู้จักชีวิต  แล้วนำพาชีวิตไปสู่ความหลุดพ้น
แต่มนุษย์ทุกวันนี้ ชีวิตยังไม่สนใจ  ความเป็นจริงยังไม่อยากรับรู้  เหมือนตอนนี้ให้รับสภาพการนั่งตรงนี้ให้เป็นสุขได้  ท่านยังยอมรับไม่ได้เลย  แล้วเมื่อท่านต้องไปเผชิญทุกข์ เผชิญความยากลำบาก เผชิญคนร่วมงานที่ขัดใจท่าน เผชิญเพื่อนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน ท่านจะทำอย่างไร  เอาแต่หนีก็ไม่มีวันพ้น  เราจะอยู่กับเขาอย่างเป็นสุขได้อย่างไร หากเราเอาแต่ชนะ เอาแต่ข่มเหง
การจะอยู่กับส่วนรวมได้อย่างเป็นสุขและฉันท์มิตร  นั่นก็คือยอมรับและยอมพ่ายแพ้บ้าง  ถ้าเรารู้ว่าเราสู้ไม่ได้ก็ยอมรับเสีย  คนที่ยอมรับความจริงย่อมอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข และมีความยินดีปรีดา  ชีวิตของเราก็เหมือนชีวิตของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา มีเกิด มีเปลี่ยนแปลงและมีดับ  เมื่อไรที่เรา   เข้าใจการเกิด เปลี่ยนแปลงและการดับ  เมื่อนั้นเราย่อมยอมรับได้  เมื่อเราเข้าใจ ยอมรับได้  เราย่อมมองเห็นสัจธรรมของภายนอก และสัจธรรมของชีวิต  เมื่อเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิต สัจธรรมของภายนอก  เมื่อนั้นเราย่อมค้นพบคุณธรรมในตัวตน ค้นพบคุณธรรมในสรรพสิ่ง  เมื่อเราค้นพบ แล้วเราพยายามใฝ่หาการ   ค้นพบให้ลึกเข้าไปอีก  เราก็จะยิ่งเข้าใจธรรมมากยิ่งขึ้น  เมื่อเรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะพบธรรมในตัวตน พบธรรมในชีวิต  นั่นก็คือการมุ่งมั่น ใฝ่หาซึ่งหลักธรรม  ค้นพบธรรมในตัวตนก็คือการเริ่มต้นค้นพบพุทธะในตัวตน  เมื่อไรมีธรรม เมื่อนั้นมีพุทธะ  เมื่อไรมีพุทธะ เมื่อนั้นมีธรรม
การจะไปให้ถึงธรรมไม่ใช่แค่รู้แจ้งแค่เกิด เปลี่ยนแปลง ดับ  แต่ต้องยอมรับและมีสุขในการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับได้  เมื่อเรามีสุขในการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับ พร้อมจะฝ่าฟันชีวิตทุกรูปแบบ ทุกสภาวะ  เมื่อนั้นก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญตน  เมื่อฝึกฝนบำเพ็ญตน ฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากได้ทุกอย่างแล้ว  เมื่อนั้นเราจะรู้แจ้งชีวิต  และเมื่อนั้นเราจะค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตและพุทธะแห่งตัวตน  ดูแล้วอาจจะยากแต่ขอให้ลงมือทำ  หากเรายอมรับชีวิตได้ ยอมรับ  สรรพสิ่งได้  เราย่อมยอมรับธรรมมาอยู่ในตัวตนได้  คนที่เข้าใจธรรม คนที่เข้าใจตัวตน  นั่นก็คือคนที่ยอมรับได้ทุกสภาวะ ปราศจากซึ่งความรังเกียจเดียดฉันท์  พุทธะรับได้ทุกสภาวะ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  นี่คือความเป็นเอกของพุทธะ  เมื่อ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อนั้นย่อมเกิดจิตใจเมตตากับทุกๆ คน
ท่านจงหลีเฉวียน : เป็นธรรมดาที่ทุกท่านนั้น จะเห็นเรื่องการเกิดตาย  เป็นเรื่องน่าชวนหัว เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะฟัง  แต่ดังที่บอกไปแล้วว่า ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น  แม้แต่ตัวท่านเอง  ฉะนั้นสามวันนี้ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ  ขอให้รู้ว่าชีวิตของตนเองนั้น ตนเองต้องเป็นผู้รับผิดชอบ  ไม่มีใครรับผิดชอบให้เราได้     หากวันนี้ท่านเห็น
เป็นเรื่องเล่น  วันหน้าเมื่อท่านเจอแล้ว  ท่านย่อมรู้ว่าท่านยังเอาตัวเองไม่รอด
ชีวิตนี้เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องของการเกิดและตาย  การเกิดมาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์  การตายนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในแดนของสวรรค์และนรก  ตั้งแต่โบราณกาลมานั้นมีอยู่สองทางที่ท่านไปหลังจากที่ท่านนั้นดับสิ้นชีวิตแล้ว นั่นก็คือสวรรค์และนรก  ท่านต้องเลือกไปทางไหนสักทางหนึ่งในสองทางนี้  หากว่าแย่กว่านั้นท่านอาจต้องไปจุติเกิดในสถานที่ที่แย่กว่านี้  หากว่าท่านได้เป็น    ผู้บำเพ็ญเพียร  ท่านก็จะเกิดในทางที่ดีกว่านี้ นั่นก็คือนิพพาน  แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์นั้นขาดสิ่งหนึ่งคือ ความพากเพียร คือความพยายาม  จึงไม่สามารถ    จะค้นหาจิตแท้ที่อยู่ในตนเองพบ  หวังว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่      มีบุญแล้ว จะต้องหมั่นรักษาบุญของตนเอง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไปง่ายๆ
มนุษย์นั้นรู้จักรักษาโอกาสของตนเองอย่างยิ่ง  แต่ส่วนใหญ่นั้นจะทำในสิ่งที่ได้มาซึ่งลาภยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง เงินทอง  ซึ่งในสมัยก่อนนั้นที่เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ก็ทำเช่นนี้เนื่องด้วยไม่เห็นเหตุสำคัญของการที่จะต้องหลุดพ้นไป  ด้วยไม่รู้จักทางแท้  ทุกท่านแม้จะเคยเป็นเช่นนั้น แต่ในบัดนี้ท่านได้รู้ทางแท้แล้ว  จึงหวังว่าจะไม่ปล่อยทิ้งไปง่ายๆ  ด้วยเหตุที่ว่าไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ  อันว่าเท็จแท้นั้นขึ้นอยู่กับใจท่านเอง  สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะจริง แต่ถ้าท่านนั้นไม่นำสิ่งที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดไปปฏิบัติ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้จริงตัวท่านนั่นแหละเท็จ  หากว่า      สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท็จแต่ว่าพูดในสิ่งที่ดีแล้วท่านเอาไปปฏิบัติ  แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเท็จแต่ท่านนั้นก็จะได้เป็นพุทธะที่จริง  อย่างนี้ไม่เป็นการดีหรอกหรือ  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเท็จแท้นั้นขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง  อย่าได้เอาความสงสัยในตัวของเราทั้งสองนั้นไปเก็บ ไปหมกมุ่นไว้ในใจ แล้วทำให้ท่านนั้นไม่ได้มรรคผลนิพพาน ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านหันเซียงจื่อ : ท่านคิดว่าธรรมะมีค่ากับชีวิตไหม (มี)  ถ้าไม่มีค่าก็ไม่ต้องมีหัวข้อศึกษาในชั้นเรียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีค่าป่านนี้สังคมหรือตัวคนก็คง   ไม่เรียกร้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือถ้าไม่มีค่าป่านนี้ตอนที่เราเป็นเด็กๆ  เราก็คง   ไม่ได้ยินพ่อแม่พูดว่าต้องเป็นเด็กดี ต้องกตัญญู  แปลว่าธรรมะมีค่ากับชีวิต  ท่านเคยเห็นเครื่องดนตรีไหม  ฝ่ายชายคงชอบเล่นกีตาร์กัน  กีตาร์แม้จะส่งเสียงได้ไพเราะเพราะพริ้งหรือแม้จะมีราคามูลค่าหลายหมื่นหลายแสน  หรือเครื่องดนตรีอะไรก็ตาม แม้จะมีค่าที่ทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ แต่หากปราศจากนิ้วมือหรือความชำนาญของคน  เครื่องดนตรีนั้นก็ย่อมยากประจักษ์คุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันแม้ธรรมะจะมีอยู่ในชีวิตแต่ถ้าขาดซึ่งคนหรือตัวคนขับเคลื่อนธรรมะให้ปรากฏ  ธรรมะนั้นก็ย่อมยากที่จะส่งเสียงใดออกมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต่างพูดว่าตัวเองนั้นไม่มีดีมากก็ต้องมีดีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้ว่าการจะให้ยอมรับคนใดคนหนึ่ง พี่ก็ไม่ใช่ น้องก็ไม่ใช่ เจ้านายก็ไม่ใช่  เรื่องอะไรจะต้องมายอมรับ ใช่หรือเปล่า  แต่วันนี้เรื่องที่เราคุยกับท่านไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของตน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ แต่แค่ลองคุยกับเราสักนิดหนึ่ง  จะหลอกลวงเราสักครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ชีวิตนี้เหมือนกับความฝัน  อย่าลืมที่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้น  ความฝันอย่างนี้จะเป็นฝันดีหรือฝันร้ายย่อมอยู่ที่ตัวท่านนั้นเลือกกำหนดตัวท่านเอง  อย่าได้เอาชีวิตของเรานั้นไปบนทางที่เราไม่รู้จัก  ทางในโลกียภูมิอันนี้ ในโลกมนุษย์อันนี้  วันข้างหน้าเป็นอย่างไรท่านยังไม่แน่ใจเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะตกต่ำไปถึงขีดสุดหรือจะรุ่งเรืองไปถึงที่สุด  ท่านนั้นยังไม่แน่ใจแต่ขอให้ท่านจง อยู่กับชีวิตปัจจุบันนี้  ให้ท่านรู้จักทำปัจจุบันนี้ให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  ในเมื่อวันนี้มาสู่เส้นทางแห่งพุทธะนี้ก็ขอให้ทุกท่านเอาคำว่าพุทธะเข้าไปใส่ในใจท่าน  เอาแบบอย่างของพุทธะนั้นเข้าไปใส่ในใจท่าน  พุทธะนั้นทำสิ่งที่ดีตลอด  กล่าวในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดีและคิดในสิ่งที่ดี  สิ่งใดที่ว่าไม่ดีนั้นท่านจะทำไปทำไม  ไม่เห็นจะมีประโยชน์ในการที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น  ท่านพูดในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาปากของท่านนั้นเหม็นไป  ทำในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาตัวของท่านนั้นเหม็นไป  คิดในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาใจของท่านนั้นไม่ได้รับความสงบสุข มีความกังวลอยู่เรื่อย  มนุษย์นั้นเวลาทำความผิดจะรู้สึกว่าเหมือนมีใครมองเราอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้จริงแล้วใครกำลังมองท่านอยู่ (ตัวเราเอง)  แท้จริงแล้วผู้ที่มองท่านอยู่ก็คือพุทธะในตัวของท่านเองคอยบอกท่าน เพียงแต่ท่านไม่รู้จักตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าท่านนั้นมีพุทธะอยู่ในตนทุกๆ คน  เพียงแต่จะเลือกฟังพุทธะองค์นี้หรือไม่  ท่านลองพิจารณาดูตลอดมาหนึ่งชีวิตนี้ ท่านถือหลักคำสอนองค์ที่อยู่ในใจของท่านนั้นกี่หนแล้ว จนท่านเองไม่แน่ใจว่าตัวท่านนั้นเป็นคนดีหรือเปล่า เป็นเพราะเหตุที่ท่านไม่เคยฟังเสียงที่อยู่ในใจของท่านเอง  ฉะนั้นหลังจากวันนี้กลับไปขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจเริ่มต้นปฏิบัติตนได้ ดีหรือไม่ (ดี)  รู้จักแบ่งเวลาให้เป็น รู้จักทำชีวิตให้ดี ให้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุขอันแท้จริง ไม่ใช่ให้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุขอันจอมปลอม  อันได้แก่ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง สิ่งบันเทิงเริงใจต่างๆ นี้เป็นสิ่งลวงตาหาจริงแท้ไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หวังว่าทุกท่านคงได้สติตื่นจากความฝันที่ผ่านๆ มาและทำชีวิตจากวันนี้ให้เป็นชีวิตที่แท้จริงดีไหม (ดี)
การเกิดและการดับนั้นขึ้นอยู่ได้ที่ตัวท่านเอง  หลังจากวันนี้ออกไปจะกลายเป็นพุทธะในคราบมนุษย์หรือเปล่าหรือจะกลายเป็นคนที่ไม่ดีในคราบของมนุษย์ก็แล้วแต่ท่านจะเลือก
ท่านหันเซียงจื่อ : ความจริงไม่กี่ชั่วโมง  การจะให้เข้าใจหมดทุกกระบวนนั้นก็คงเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เวลากับตัวเองอีกสักนิดหนึ่ง  วันนี้เสียสละมาหนึ่งวันแล้วยังขาดอีกสองวันก็จะครบ  ขอให้มาให้ครบดีหรือไม่ (ดี)   อดทนในเรื่องเล็กๆ ได้ เรื่องใหญ่จะไปกลัวอะไร  อดทนในเรื่องเล็กไม่ได้ เรื่องใหญ่ก็ยากจะสมปรารถนา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ทองโดนหลอมอย่างไรก็คือทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากท่าน ไม่ใช่ทองท่านก็จะสลายหายไปเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครที่มาไม่ครบสามวันนี้ก็คงจะไม่ใช่ทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ท่านคิดว่าท่านเป็นทอง  แม้จะโดนอากาศที่อบอ้าวหลอมเช่นไร ขอให้ท่านนั้นยังคงอยู่ทั้งสามวัน ดีหรือไม่ (ดี)  ส่วนทองในตัวของท่านนั้นจะเป็นทองแท้หรือทองเทียมก็อยู่ที่ว่าท่านนั้นดีมาก ดีน้อยเท่าไร
ท่านหันเซียงจื่อ : อย่างที่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้น การจะดูหรือมองสิ่งใดนั้นขอให้มองให้เห็นซึ่งแก่นแท้อย่าติดเพียงรูปลักษณ์จอมปลอมสิ่งภายนอก  มิฉะนั้นตาเราเองนั่นแหละจะลวงหลอกเราทำให้เราหมดโอกาสที่จะทำให้เราพบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะมองคนทั้งทีคนๆ นั้นเป็นคนอย่างไรก็ดูที่จุด        มุ่งหมายหรือดูที่ปณิธานของเขา  ถ้าปณิธานเขาสูงส่ง การมุ่งมั่นไปให้ถึงปณิธานเขาไม่เคยย่อท้อ  เมื่อเขาประสบผลสำเร็จหรือประสบความล้มเหลว เขาก็ไม่เปลี่ยนใจในความมุ่งมั่น  แปลว่าจิตใจของคนๆ นี้น่าเคารพ น่าเชื่อถือ      น่านับถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การมองคนหรือการจะดูใครหรือการจะดูธรรมะหรือ   ผู้ปฏิบัติงานธรรม  เราดูเขาเพียงภายนอกเรายากจะรู้ถึงจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราก็ดูที่จุดมุ่งหมายที่เขากำลังจะทำอยู่  การดูจุดมุ่งหมายของเขาจะช่วยทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีเพียงใด มุ่งมั่นแค่ไหน             แล้วเขาทำเพื่อใคร        
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทั้งสองก็คงมาเพียงเท่านี้ ร้องเพลงส่งเป็นการอำลาจาก       ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านจงหลีเฉวียน : หวังว่าวันหน้ามาคงได้เจอเมธีทุกท่านอีกดีหรือไม่  ตอนนี้ทุกท่านนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง  หากว่าสามารถจะรดน้ำต้นไม้ต้นนี้ให้เจริญเติบโต  ผลนั้นก็จะให้คนอื่นได้รับประทานได้  แต่หากต้นไม้ต้นนี้ท่านนำกลับไปแล้วเลี้ยงไม่รอด  แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่ได้ร่มเงา  ขอให้พิจารณาให้ดีๆ
จะขอเตือนเมธีที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ความกล้าแกร่งและความคะนองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง ความกล้าแกร่ง ความกล้าหาญหมายในการทำสิ่งที่ดี ส่วนความคะนองนั้นคือการทำอะไรไม่ยั้งคิด
ในขณะนี้บางท่านยังมีความสุข ยังเต็มไปด้วยความสุขแวดล้อมหรืออาจจะเจอความทุกข์มาจนอยากจะประชดชีวิต แต่อยากจะบอกท่านว่าผลดีและ ผลเสียต่าง ๆ นั้นจะขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง อย่ารอให้เจอความทุกข์จนยากจะเยียวยารักษา ท่านจึงค่อยคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะบำเพ็ญ ขอให้ทุกขณะจิตนั้นมีการบำเพ็ญ การเดินหน้าและการใช้ชีวิตไปด้วยกัน แล้วอย่าลืมว่าหากวันไหน      ผิดหวัง ท้อแท้ชีวิต อย่าได้คิดฆ่าตัวตาย ขอให้กลับมาที่พุทธสถาน ขอให้มีจิตใจที่บริบูรณ์พร้อมกลับมาทุกคน แล้วหวังว่าวันหน้านั้นจะได้เจอกันใหม่ดีไหม (ดี) บุญสัมพันธ์ของเรานั้นคงหมดลงในไม่ช้านี้ หวังว่าทุกท่านนั้นคงจะมีชีวิตที่ก้าวหน้าในทางธรรมให้ดีๆ อย่าให้ชีวิตให้ลอยชายเหมือนคนใจลอย หาแก่นสาร   ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องเสียใจกับชีวิตนี้จนตลอดไปทีเดียว
(ท่านจงหลีเฉวียนเมตตาประธานพระโอวาทนักเรียนฝ่ายหญิง)
หวังว่าทุกท่านนั้นบำเพ็ญให้ดี ๆ ไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นสตรี ปัจจุบันสตรีนั้นเปรียบเสมือนพระจันทร์ในยามค่ำคืน ทอแสงเด่นเป็นประกาย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เน้นหนักให้ผู้บำเพ็ญนั้นอยู่ในบุรุษ ในบัดนี้ท่านได้เกิดเป็นสตรี     หนำซ้ำยังพบอนุตตรธรรม ประจวบเหมาะกับการแผ่โปรดนับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ชีวิตนี้แม้ไม่โชคดีสิ่งใด แต่มาโชคดีสิ่งนี้ก็ถือเป็นมหาโชค ฉะนั้นจงบอกตนเองไว้เถิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้โชคดีอย่างยิ่ง เกิดมาไม่มีพี่น้อง ท่านก็จะได้พี่น้องในสถานธรรมแห่งนี้มากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว หวังว่าท่านจะรัก สามัคคีกันให้ดี    มิเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ขอให้บำเพ็ญให้สามารถพาตนเองและผู้อื่นนั้น    กลับคืนขึ้นสู่บ้านเดิมโดยทั่วหน้ากัน
ท่านหันเซียงจื่อ : ถึงเวลาเราคงต้องไปกันแล้ว มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ วันนี้คงไม่สามารถที่จะพูดเรื่องหลักธรรม เรื่องชีวิตให้ท่านกระจ่างได้ทั้งหมด เพราะว่าหลายคนนานาจิตตัง พูดที่หนึ่งอีกที่หนึ่งไม่ได้ยิน พูดอีกที่หนึ่งให้เข้าใจ อีกที่หนึ่งก็ไม่เข้าใจ พอมาพูดตรงนี้ใจท่านก็ไปหาอีกท่านหนึ่ง ตอนนี้ใจท่านยังจับตัวเองไม่ได้ ยังจับใจให้อยู่กับที่ไม่ได้ แล้วเวลาเดินออกไปจะประสบอันตรายหรือจะประสบความโชคดีได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เดี๋ยวไปทางโน้น เดี๋ยวไปทางนี้ ฉะนั้นเวลาผิดพลาดอย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษใจเราต่างหากที่ไม่เคยอยู่นิ่ง วิ่งไปวิ่งมาเหมือนลิง เหมือนวานร
ผู้บำเพ็ญธรรมฝ่ายหญิงเป็นอย่างไรกันบ้าง บำเพ็ญธรรมเจอความยากลำบากไหม ความลำบากหรือไม่ลำบากต้องถามใจเราด้วย  ถ้าใจเราพร้อมเผชิญทุกสภาวะ ใจเราไม่เป็นตัวก่อปัญหา อุปสรรคต่างๆ ถึงแม้จะเข้ามาเราก็สามารถหลีกหนีหลบหน้าได้ แต่ถ้าใจเราเองเป็นตัวสร้างปัญหา แม้จะมีปัญหามากี่ทีเราก็หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะดับภัยต้องดับตั้งแต่ภายใน  อยากจะมีสุขต้องสร้างตั้งแต่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่) คงต้องไปแล้ว จากกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มดีกว่า


วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เถลไถลไม่รู้ตัวกลัวศิษย์หลง กระตือรือร้นอย่าพะวงหน้าพะวงหลัง
ชีวิตคนมีทุกข์ง่ายรู้ระวัง สุขที่หวังย่อมได้แน่เพราะรู้พอ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

ถูกความคิดพาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ความเป็นจริงอยู่หนไหนเร่งไปหา
หลงและตื่นใช่อยู่ที่หลับลืมตา กลืนความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น
หายใจเข้าเอาความกล้ามาบำเพ็ญ ใช้ธรรมะกันเป็นไหมไถลลื่น
ความเข้าใจเพราะศึกษาทุกวันคืน ดีใจเมื่อศิษย์ข้าตื่นโดยเร็ววัน
แผ่เมตตาพาจิตใจให้มีสุข ไปล้มลุกคลุกคลานอย่าโศกศัลย์
รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน
ทำงานแห่งดินฟ้าศรัทธาไว้ แห่งหนใดพากันถ้วนทั่วตื่น
ฟ้างามตาคือใจศิษย์อันสดชื่น แบกผู้อื่นไม่หนักใจเพราะเต็มใจ
ขึ้นมาบนเรือธรรมง่ายอย่าละทิ้ง บ่าทั้งสองแห่งคนจริงช่างกว้างใหญ่
ปัญญาเอ๋ยศิษย์อย่าลืมเฝ้านำใช้ นำตนเองก้าวไกลไม่ท้อกลางคัน
สู่ธรรมนี้ด้วยมั่นคงใจไม่ท้อ ความรู้พอพาให้เกิดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
ก้าวสู่ปลายย่อมเกิดจากก้าวแรกนั้น ไกลไม่หวั่นหวั่นไม่ยอมจะก้าวเดิน

ฮา   ฮา   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อครู่ทำท่าจับปูใช่หรือเปล่า ปูมีกี่ก้าม (สองก้าม)  ก้ามปูเหมือนกับอะไรที่อยู่ในตัวเรา (ปาก)  ตอบได้ถูก  ปูใช้ก้ามหนีบคน คนใช้อะไรหนีบคน (ปาก)  คนชอบใช้ปากหนีบคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะเป็นปูหรืออยากจะเป็นคน   (เป็นคน)  ถ้าอยากเป็นคนต้องใช้ปากไปทำอะไร (พูด)  คนใช้ปากพูด แล้วเรา  ใช้ปากของเราพูดแต่ในสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าเราใช้ปากเราพูดไม่ดี เราก็ใช้ปากของเราหนีบคน  ปากหนีบคนเป็นอย่างไร ประชด ว่า เสียดสี นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นผู้บำเพ็ญ เราใช้ปากหนีบคน ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าเราใช้ปากของเราหนีบคน ปากของเราก็จะยื่นยาวออกมา แล้วจะมีความคมขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอนานๆ เข้าปากของเราก็จะกลายเป็นมือปู ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากเป็นผู้บำเพ็ญต้องมีปากที่ใช้พูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครคิดว่าตนเองใช้ปากพูดในสิ่งที่ไม่ดี ยกมือขึ้น ยอมรับตัวเองไหม ใครเคยนินทาคนบ้าง ใครเคยว่าคนลับหลังบ้าง ใครเคยออกไปว่าคนต่อหน้าบ้าง ใครเคยประชดประชันว่าเสียดสีเปรียบเปรยลอยๆ ไปตามลมบ้าง ยกมือขึ้น คนที่ตอบอาจารย์บอกว่าก้ามปูเหมือนปากคนยังไม่ยอมยกอะไรสักอย่างหนึ่ง  สงสัยยังไม่เคยทำ (ทำทุกอย่าง)
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม การที่เราจะควบคุมปากของเราเอง ง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ปากจะเปิดใครสั่งเปิด (ตัวเราเอง)  ปากจะปิดใครสั่งปิด (ตัวเราเอง)  แล้วตัวเองควบคุมยากไหม (ยาก)  ยากอีกหรือ  เวลาเปิดปาก  มีเสียงไหม (มี) เวลาปิดปากมีเสียงไหม (ไม่มี)  แล้วถามว่าเวลาที่จะว่าคนแล้ว  ปิดปากยากไหม (ไม่ยาก)  แค่ปิดปากเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อไปค่อยไปจัดการที่ใจ ถ้ายังจะคิดอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะควบคุมตัวเองนั้นที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เรานั้นรู้จักควบคุมตัวเอง ตอนนี้เราอยากจะนินทาคนนี้จะแย่อยู่แล้ว คนนี้ทำไมไม่ดีเลย วิธีการแก้ง่ายๆ คือมามองตัวเองดีไหม (ดี) ตัวเราเองดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ตัวเรามีข้อดีไหม (มี)  ตัวเรามีข้อเสียไหม (มี)  ต้องบอกตัวเองว่า คนที่เราอยากจะนินทานั้นเขาก็มี   ข้อเสียและข้อดีเหมือนกัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาข้อดีของเขามาลบข้อเสียของเขาทิ้งดีหรือไม่ (ดี)  เวลาเราฟังใครพูดถึงข้อเสียของเขา เราก็เก็บมาใส่ใจ  เวลาเราฟังข้อดีของเขา เราก็เก็บมาใส่ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่า เราจะเลือกฟัง     ได้ไหม (ได้)  ท่าทางคนเวลากำลังจะนินทามักจะไม่ปกติ  กล้ามาจับไมค์เหมือนเวลาบรรยายธรรมะไหม (ไม่กล้า)  เวลาจะนินทาคน  ต้องพูดเบาๆ แล้วพูดกันอยู่สองสามคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเห็นคนพูดลักษณะอย่างนี้ เราก็หลีกไปให้ไกลเลยดีไหม (ดี)  อย่าคิดว่าเขาอาจจะกำลังนินทาเราอยู่เลยต้องเข้าไปฟังหน่อย  เช่นนี้เราจึงจะมีปากที่ไม่ใช่ปากปู ดีหรือไม่ (ดี)  ปากของเราก็จะเป็นปากคน  เป็นปากที่สวยงามด้วยการพูดจาแต่ในสิ่งที่ดี  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การพูดจาแต่ในสิ่งที่ดีนั้นยังไม่พอ  ต้องทำในสิ่งที่ดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนชอบพูดมากกว่าทำ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าคนที่ชอบพูดมากกว่าทำนั้น ส่วนใหญ่ ทำได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เวลาเราพูดไปร้อยอย่าง เวลาทำทำได้กี่อย่าง  ไหนใครคิดว่าตัวเองทำได้สิบอย่าง ทำได้สักสิบเปอร์เซ็นต์ยกมือขึ้น ทำได้สักเท่าไร ห้าสิบถึงไหม  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะมาเป็นผู้บำเพ็ญธรรม อีกอย่างหนึ่งก็คือ การพูดให้น้อย ทำให้มาก เรายิ่งทำดีมากเท่าใดคนก็ยิ่งยกย่องเรามากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่การทำดีทั้งหลายทั้งปวงนั้น  ไม่ได้ทำเพื่อจะให้คนอื่นมายกย่องเรา แต่ทำเพราะว่าเรานั้นต้องการจะฝึกฝนตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับการมานั่งในสามวันนี้ นั่งที่นี่ ร้อนไหม (ร้อน)  แต่ก็จำเป็นต้องนั่งเพื่อเป็นการฝึกฝนตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราฝึกฝนตนเองได้ดีมากเท่าไร  สภาพเช่นนี้เราสามารถอดทนได้  วันหลังเมื่อเราเจอคนมาว่าเราต่อหน้า  เราก็จะสามารถยิ้มให้ได้เอง  แต่ถ้าหากว่าเราไม่เคยทุกข์ยาก ไม่เคยลำบากเลย  เวลาที่คนอื่นมาว่าเรา เราก็จะทนไม่ได้  เพราะฉะนั้นความทุกข์นั้นมีประโยชน์  ที่ทำให้เรานั้นเป็นคนเต็มคน  ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่รู้จักอดทนในสิ่งใดเลย  ฉะนั้นจึงบอกว่าความทุกข์นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี  ความสุขนั้นต้องเข้าใจใช้ เข้าใจอยู่กับความสุข  ไม่ใช่อยู่กับความสุขด้วยความหลง  ความทุกข์ความสุขเป็นอย่างไร  เราชอบความสุข ความสุขอยู่ตรงหน้าแล้ว  แต่ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็อยู่ข้างหลัง ถามว่าความทุกข์และความสุขนั้นแยกจากกันได้ไหม (ไม่ได้) กลางความสุขมีความทุกข์  เพราะว่าต้องหาแทบตายจึงได้ความสุขนิดหน่อย  ส่วนกลางความทุกข์เช่นที่เรานั่งกันท่ามกลางอากาศที่ร้อนเช่นนี้ กลับมีความสุข  เพราะว่าเราได้ธรรมมาชำระล้างจิตใจให้สะอาด  ศิษย์ของอาจารย์คงไม่ปฏิเสธถ้าอาจารย์จะพูดว่า  แม้ชำระไม่ได้มากก็ชำระได้น้อย  คือชำระจิตใจของศิษย์ได้บ้าง  หาทางแก้ปัญหาในตัวของศิษย์ได้บ้าง  เพราะฉะนั้นความทุกข์และความสุขนั้นวนเวียนอยู่รอบตัวเรา  ยามใดที่เราเจอความทุกข์ เราก็รู้ว่าตอนนี้ความทุกข์อยู่ข้างหน้า แต่ความสุขอยู่ข้างหลัง  สองสิ่งนี้แยกจากกันไม่ได้  ถ้าหากอยากได้ความสุขก็ต้องได้ความทุกข์ด้วย  เหมือนกับการกินมะระ  เวลากินมะระตอนอยู่ที่ลิ้นเป็นอย่างไร (ขม)  ตอนอยู่ที่คอเป็นอย่างไร (หวาน)  เอาที่ลิ้นหรือเอาที่คอ (ที่คอ)  ดังนี้ทุกคนก็รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่อยู่ที่ภายภาคหน้าของเรา  อยากได้ความสุขก็ต้องหาจากความทุกข์จึงจะเจอความสุขอันแท้จริง
ในสามวันนี้มาพูดเรื่องการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ       พุทธะเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสบายๆ การเรียนก็ดี ภรรยาก็ดี ลูกก็ดี การงานก็ดี ทุกอย่างดีหมด  ถามว่าคนๆ นี้รู้จักความทุกข์ไหม (ไม่รู้จัก)  หากคนนี้ไม่รู้จักความทุกข์ ถามว่าอยากบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่อยาก)  เพราะชีวิตนั้นมีความสุข อยู่ดีๆ ก็ให้ผละจากใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีมาใส่เสื้อผ้าสีขาวก็ย่อมยาก  เพราะฉะนั้นในการที่ศิษย์รู้จักความทุกข์นั้นจึงเป็นสิ่งที่ดี  อย่าได้มองความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ไม่ควร ไม่เอา  ในการบำเพ็ญธรรมนั้นมีความยากลำบากต่างๆ นานา  ศิษย์กล้าที่จะเผชิญความยากลำบากเหล่านี้ไหม (กล้า)  ถ้าไม่กล้าเผชิญความยากลำบากแม้แต่เล็กน้อย จะได้สิ่งที่เป็นผลที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร หากอยากจะได้ผลที่ยิ่งใหญ่ต้องพบอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก่อน
“เถลไถลไม่รู้ตัวกลัวศิษย์หลง”
เคยเถลไถลไหม (เคย)  เถลไถลเพราะอะไร (ไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง, เพราะเราไม่อยากจะทำ, ขี้เกียจ, ทำแล้วไม่เห็นผลเลยไม่อยากทำ)  มนุษย์ชอบที่จะเห็นผลได้ทันตาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่จะเห็นผลทันตาทุกอย่าง การปลูกต้นไม้ก็ต้องใช้เวลา  อยากให้คนชั่วได้รับผลชั่วก็ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นผู้ลิขิตเสียเอง  ไปลิขิตให้เขาได้ผลชั่วเสียเดี๋ยวนั้นโดยการที่เราลงมือเอง  อย่างนี้ก็เป็นการใจร้อนเกินไป  ชีวิตคนเป็นอย่างไร (ชีวิตคนสั้น, มีทุกข์, ไม่แน่นอน)  อาจารย์อยากบอกว่าชีวิตมีทุกข์  แล้วจะได้ความสุขอย่างไร
“ชีวิตคนมีทุกข์ง่ายรู้ระวัง สุขที่หวังย่อมได้แน่เพราะรู้พอ”
อาจารย์บอกว่าความสุขได้แน่เพราะรู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครรู้จักความพอไหม  ยังไม่รู้ว่าความพอที่แท้จริงเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)   ตอนนี้เรามีเงินสูงสุดในตัวห้าพัน มีความสุขไหม (มี)  แต่มีอีกคนหนึ่งมีเงินสูงสุดในตัวหนึ่งหมื่น  ถามว่าเขากับเราใครมีความสุขมากกว่ากัน (เรา ,เขา)  ทำไมถึงว่าเขามีความสุขมากกว่า (เพราะสามารถหาความสุขได้, คนที่มีเงินมากกว่าอาจจะไปขโมยเงินคนอื่น)  เห็นไหมว่าความคิดของคนนั้นมีหลากหลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นว่าความคิดของเราจะต้องถูกเสมอไป อาจารย์อยากรู้ว่ามีเงินหมื่นมีความสุขกว่าคนที่มีห้าพันตรงไหน (มีเงินหมื่นแล้วรู้จักพอ)  น่าเสียดายที่มนุษย์สมัยนี้มีเงินหมื่นแล้วไม่พอ  ถ้าพูดตามนิสัยของคนบนโลกมนุษย์นี้ทั้งห้าพันทั้งหนึ่งหมื่นก็ ไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่สองคน แต่มีคนอยู่ มากมาย  เวลาเราฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์  คนที่มีเงินหมื่นล้านเราก็อยากจะได้ด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเราเห็นคนที่มีเงินหนึ่งล้านเราก็รู้สึกว่าอยากจะได้ด้วย  แต่ถามว่าใครมีความสุขมากกว่ากันระหว่างสองคนนี้  ไม่มีใครมีความสุขเลยและถ้าหากว่าใครคนหนึ่งจะมีความสุข  ก็ด้วยเหตุที่เขารู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครรู้จักพอคนนั้นก็ย่อมมีความสุข  มีเงินน้อยใช้แต่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเงินน้อยก็ใส่เสื้อผ้าราคาถูกหน่อยหนึ่ง  เสื้อผ้ามีไว้ทำอะไร (ปกปิดร่างกาย)  ศิษย์จะปกป้องร่างกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงหรือราคาถูก เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  อาหารการกิน คนที่กินอาหารมื้อละพันกับคนที่กินมื้อละร้อย เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  ชีวิตคนนั้นอย่าได้ให้ความสำคัญกับเงินทอง  อย่าใช้เงินทองตัดสินคน  เพราะว่าเงินทองนั้น ทุกๆ ใบในแบงก์สิบ แบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อยไม่มีชื่อเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีเราเป็นเจ้าของแบงก์ใบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเงินเข้ากระเป๋านี้แล้วก็ออกไปอยู่กระเป๋าคนโน้นเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  ก็ดู    ไม่ออกว่าเป็นเงินทองของใคร  เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินกันด้วยเรื่องของเงินทอง อย่าให้เงินทองเป็นเจ้าชีวิต ขอให้สร้างชีวิตให้มีคุณค่า แล้วชีวิตนี้จะมีค่ามากขึ้น เชื่ออย่างนั้นไหม (เชื่อ)
ใจของศิษย์เป็นใจที่สะอาดๆ หรือเปล่า (สะอาด)    เป็นใจที่มีความศรัทธา
หรือเปล่า (มี)  มีความศรัทธามากหรือน้อย (มาก)  มีความศรัทธาปลอมๆ หรือจริงๆ (จริงๆ)  อาจารย์ก็หวังว่าอย่างนั้น เพราะถ้าหากว่าศรัทธาไม่จริงรับไปก็รับไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับคนส่งอยู่อีกฝั่งแต่คนรับอยู่อีกฝั่ง ไม่ได้ยืนอยู่ฟากเดียวกัน แล้วจะถึงไหม (ไม่ถึง)  เหมือนกับยืนอยู่ประตูคนละฟาก ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์แม้จะได้ยินเสียงของอาจารย์ แม้ว่าจะรู้ในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ไม่เปิดใจออกรับ ก็จะไม่ได้รับในสิ่งที่อาจารย์พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นหวังว่าศิษย์ทุกๆ คนคงมีความศรัทธาจริงใจ คงตั้งใจฟังและระงับความสงสัยไว้ชั่วขณะ ไม่มีจิตที่เล่นๆ จริงๆ หยอกๆ เย้าๆ  ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรียกว่าอาจารย์แล้ว  ถ้าหากว่าทำดื้อรั้นกับอาจารย์ อาจารย์ก็มีสิทธิ์ลงโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อาจจะลงโทษให้ออกมายืน มาเดินเป็ด ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์ของอาจารย์ดื้อหรือเปล่า (ไม่ดื้อ)  คนดื้อมักจะบอกว่าตัวเองไม่ดื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เมื่อยังมีร่างกายอยู่ก็เป็นการยากที่จะรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรงได้ถ้าหากเป็นผู้ที่ตามใจตัวเองอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจปาก เราก็หาโรคเข้าใส่ตัวเราด้วยการกิน  ตามใจอารมณ์ก็หาโรคเข้าหาตัวเราด้วยอารมณ์ต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตามใจร่างกายพาตัวเองไปเหนื่อยกับการเล่นเกม กับการทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปเที่ยว ไปหาความสุขด้วยการใช้ร่างกายของเราไปในทางที่ไม่ดี  ก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดโรคได้เช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)    บางคนเพิ่งอายุยี่สิบกว่า บางคนมากกว่านั้น   ถามว่าจะรักษาร่างกายให้แข็งแรงไปจนอายุ   หกเจ็ดสิบได้อย่างไร  เพราะว่าคนที่เป็นหนุ่มสาวสมัยนี้ เราปวดเมื่อยเป็นไหม (เป็น)  บางคนก็มีโรคประจำตัวต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเป็น      ไข้หวัดก็รู้ว่าตัวเองนั้นร่างกายไม่แข็งแรง  แล้วจะรักษาร่างกายของเราให้อยู่  ยืนยาวจนแก่จนเฒ่าโดยมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่านี้ได้อย่างไร  นั่นต้องถามตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงจึงจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้  หากเรามีสุขภาพไม่แข็งแรงเวลาที่จะบอกคนอื่นมาบำเพ็ญธรรม เราจะมีแรงออกไปเดินตามได้กี่คนเมื่อเทียบกับคนที่แข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรง ศิษย์ของอาจารย์จำเป็นต้องสังเกตตนเอง  อย่างแรกคือร่างกายของเราทุกๆ ส่วน  อย่างที่สองคืออารมณ์ในใจของเรา  อย่างที่สามคือความคิดคำนึงต่างๆ ของเรานั้น ต้องรู้จักควบคุมให้ดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากเรื่องร่างกายอันแข็งแรงแล้วยังต้องดูเรื่องการปฏิบัติตนด้วย  หากมีคนที่ทำให้เราไม่พอใจ เราก็ไม่พอใจตอบ  คนๆ นี้เหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เหมือน)  คนๆ นี้ไม่สุภาพ ไม่เรียบร้อยเหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เหมือน) แล้วทำไมต้องบำเพ็ญธรรม (เพื่อให้หลุดพ้น, เพื่อให้จิตใจดีงาม, เพื่อความสบายใจ, เพื่อให้จิตใจสงบ, เดินตามอาจารย์จะได้เห็นผล)  ถ้าหากว่าโดนคนเขาดึงจะทำอย่างไรดี คนอื่นว่าบำเพ็ญธรรมไม่ดีหรอกมากับเขาดีกว่า  เวลาสามวันนี้เราฟังธรรมะก็มีความเข้าใจกระจ่างดี แต่พอกลับไปบ้านมีคนมาบอกว่างมงาย คนนั้นก็บอกว่าไม่จริง อีกคนบอกว่าไม่ใช่  ถามว่าเราเชื่อตัวเอง     หรือเปล่า (เชื่อ) เราจะดึงเขาหรือจะให้เขาดึงเรา (เราจะดึงเขา) หากเขามาดึงเรา เราก็ต้องดึงกลับใช่หรือเปล่า (ใช่) ดึงใคร สมมติว่าคนนั้นเป็นพุทธะ แล้วอาจารย์เป็นมาร ถ้าอาจารย์ดึงเขาถามว่าเขาต้องทำอย่างไร (ดึงกลับ)  ต้องเป็นพุทธะที่สามารถดึงทุกคนที่อยู่รอบข้างเราให้กลับเป็นพุทธะได้อย่างเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่) ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพุทธะ  แต่หากว่าเราโดนผู้อื่นดึง เราก็ยังสมัครใจไปอยู่กับมาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าอาจารย์เป็นพุทธะแล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นอาจารย์ดึงศิษย์เพื่อให้ศิษย์ตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะดูว่าหลังจากที่อาจารย์ดึงศิษย์ในวันนี้แล้ว ศิษย์จะตามมาหรือเปล่า (ตาม)  ตามไม่ตามไม่ใช่อยู่ที่วันนี้ เขาบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไม่ใช่ว่าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าศิษย์ตามมาแล้วก็จะตามมาจริงๆ ต้องดูว่าหลังจากสามวันนี้เป็นอย่างไร หลังจากนี้ให้หลังปีหนึ่งยังอยู่ไหม สามปียังอยู่หรือเปล่า ห้าปียังอยู่หรือเปล่า สิบปีมาดูกันว่าบำเพ็ญดีขึ้นหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญนั้นก็คือการขัดจิตใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ขัดอะไรออก เวลาที่เราทำน้ำหวานเปื้อนลงไปที่พื้น ถามว่ารอยเปื้อนอันแรกขัดออกง่ายไหม. (ง่าย)  รอยเปื้อนอันที่สองยังไม่อยากขัดเลยปล่อยทิ้งไว้เป็นอย่างไร (ขัดยากขึ้น) ถามว่าปีหนึ่งผ่านไปขัดออกไหม (ขัดไม่ออก)  เพราะว่าแน่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งทียิ่งแน่นขึ้นเรื่อยทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าพื้นนี้เป็นจิตใจของเรา  เราทำอะไรเปื้อนลงไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว เปื้อนมากี่สิบปีแล้ว เคยไปขัดไหม (ไม่) เรายังไม่เคยขัดจิตใจของเรานี้เลย เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปขัดจิตใจของเรานั้นต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกมนุษย์บอกว่าต้องใช้น้ำยาขัด ต้องใช้น้ำยาที่แรงมากๆ ถึงจะสามารถขัดรอยเปื้อนอันนี้ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องใช้ธรรมะที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงจึงจะสามารถที่จะขัดจิตใจของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าธรรมะศักดิ์สิทธิ์นั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน (ความเชื่อ, ใจ, ความนับถือ, ความศรัทธา, อยู่ที่การปฏิบัติ) ธรรมะนั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ อยู่ที่เรานั้นนำไปปฏิบัติหรือไม่  ถ้าหากว่าอาจารย์พูดไปกี่คำ กี่ครั้ง ก็ไม่ปฏิบัติ ธรรมะจะศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถือว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ฟังไม่เข้าใจ ไม่นำกลับไปปฏิบัติ ธรรมะก็ขาดความศักดิ์สิทธิ์  ในทางเดียวกัน เวลาที่เราอยู่      ข้างนอกถ้าหากว่าคนที่พูดให้เราฟังนั้นไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นเพื่อนของเรา เป็นพี่ของเรา เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นคนที่เราไม่รู้จักหน้าตา ถามว่าเขาพูดให้เราฟังแล้วเรานำไปปฏิบัติศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์) คำพูดของคนคนนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติได้มากเท่าไร จะศักดิ์สิทธิ์มากหรือน้อยก็ล้วนอยู่ที่ตัวของเราเอง  ขึ้นอยู่กับว่าใจของเรานั้นต้องการจะเป็นพระศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไร
มานั่งฟังธรรมะสามวันนี้ อาจารย์ขออย่างเดียว ขอให้มานั่งด้วยความ เต็มใจ ด้วยความเข้าใจ อย่าได้นั่งฟังธรรมะเพราะว่าความจำใจที่คนอื่นเรียกให้มาฟัง  สิ่งที่ดีๆ ที่แฝงอยู่ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าไม่น่าฟังเลยจะเกิดขึ้นไหม ก็ไม่สามารถจะมีขึ้นได้  แต่หากว่าศิษย์ตั้งใจฟัง แม้พ่อแม่จะบ่นยาวยืดศิษย์ไม่อยากฟัง แต่ในคำบ่นนั้นก็มีคำสอนที่ดีเกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์เต็มใจเท่าไร ความเต็มใจคือใจที่เต็ม แล้วทำให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นได้ก้าวหน้าขึ้นจากความไม่รู้ทั้งหลาย
ในโลกมนุษย์นี้ ไม่ใช่ว่ามีแค่สิ่งบันเทิงล่อใจ ไม่ใช่มีแค่โลกีย์ แต่ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ศิษย์นั้นต้องไปศึกษา การบำเพ็ญธรรมะ การศึกษาธรรมะไม่ใช่เรื่องของคนแก่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกว่าเป็นเรื่องของคนแก่ ก็ลองย้อนมองดู  ในการศึกษาของโลกปัจจุบันนี้ทุกๆ อย่างอาศัยหลักธรรมชาติในการเรียนรู้ ก่อสร้างขึ้น  ดาราศาสตร์ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า ดาราศาสตร์เรียนรู้เอาจากธรรมชาติว่าโคจรไปทางไหน เป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัจจุบันนี้มีการนำของเก่ากลับมาใช้ใหม่ เรียกว่ารีไซเคิล  ถามว่าเรียนรู้มาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวศิษย์เกิดขึ้นมา แก่ เจ็บ ตาย สัจธรรมชีวิตที่สอนขึ้นมานั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นอยากจะได้ความเจริญก้าวหน้า อยากจะได้สิ่งที่ดีในชีวิตก็ต้องเรียนรู้จากธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องเรียนรู้จากธรรมชาติว่า      ธรรมชาติให้อะไรกับเราบ้าง  เวลาที่ศิษย์โยนผลไม้ลูกนี้ขึ้นไปถึงที่สุดแล้ว      เป็นอย่างไร (ตกลงมา)  ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าชีวิตของเรานั้นเมื่อขึ้นถึงที่สุดก็ต้องหล่นลงมา  หล่นลงมาเป็นธรรมชาติไหม (เป็น)  ถามว่าใครหลีกพ้นหรือเปล่า  ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ มีทรัพย์สินเงินทองเป็นร้อยล้าน ในที่สุดพอขึ้นไปถึงที่สุดก็ต้องหล่นลงมา  ไม่พ้นต้องหล่นลงมาเบื้องล่าง  เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นจะขึ้นไปที่สูง ยิ่งสูงเท่าไรยิ่งตกลงมาแรงเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรดี    จะใช้สิ่งใดมารองรับชีวิตอันนี้ดี เพราะว่าชีวิตนั้นเกิดมาต้องตายในที่สุดหลีกหนีไม่พ้น
ตอนเกิดเรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร  แต่ตอนตายรู้ไหมว่าจะทำอย่างไร (ทำความดี)  รู้จักความดีไหม (รู้จัก)  วันหนึ่งเราทำความดีกันกี่ครั้ง เอาความดี  หนึ่งวันมารวมๆ กันได้สักชั่วโมงหนึ่งไหม (ไม่ได้)  ก็อาจจะยังไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมนุษย์โดยส่วนใหญ่ในโลกนี้ทำความชั่วมากกว่าความดี  ในขณะที่เราบอกว่าเราเป็นคนดีอยู่ เราก็ยังทำความดีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในวัฏสงสารนั้นจึงก่อกำเนิดสองแดนที่นอกเหนือจากโลกมนุษย์ ก็คือสวรรค์และนรก  บอกว่าไม่เชื่อเลยว่ามีสวรรค์และนรก  สวรรค์และนรกนั้นเป็นธรรมชาติ ก่อเกิดจากศิษย์ของอาจารย์ทำความชั่วมาก ทำความชั่วมาก ใคร  ลงมาลงโทษเรา  ถ้าในโลกนี้ไม่ได้รับการลงโทษเลยแล้วใครจะลงโทษเรา  ก็คือธรรมชาติของนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนที่ทำความดีมากก็ไปรับผลบุญอยู่ในแดนสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสองแดนนี้จึงเป็นธรรมชาติของศิษย์ที่ทำความชั่วและความดี ทำเท่าไรก็ได้เท่านั้นทำดีมากไปรับผลดี ทำชั่วมาก     มารับผลชั่ว
เขาบอกว่าทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก  เพราะฉะนั้นความชั่วอยู่      เบื้องล่าง และความดีอยู่เบื้องบน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะปีนบันไดขึ้นไป  ข้างบน ยากไหม (ยาก)  กับการที่เรานั้นจะไถลลงมาอยู่ข้างล่าง ยากไหม (ไม่ยาก)  การทำความดียากหรือเปล่า (ยาก)  ถามว่าต้องทำไหม (ทำ)  เราอยากจะปีนบันไดขึ้นไปบนสวรรค์หรือจะไถลลงมาในนรก (ปีนบันได)  เวลาปีนขึ้นไปลำบากไหม (ลำบาก)  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า ความดีและความชั่วนั้นเป็น   ธรรมชาติของมนุษย์เหมือนกัน  ในการที่เรานั้นออกจากร่างกายนี้แล้ว จิตของเรานั้น เมื่อทำความดีมากก็จะเบาเหมือนกับขนนก  อารมณ์โกรธก็มีน้อยลง  ความโลภก็ไม่ค่อยมี  ความรัก ความเกลียดก็ไม่มี จิตนี้ก็จะเบา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวัน เดี๋ยวก็โกรธคนโน้น เกลียดคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ เดี๋ยวก็ไปทำกรรมอันนี้ คิดร้ายอย่างนี้ ไปขโมยทรัพย์สินอย่างนี้  ทุกวันๆ ผ่านไป  สมมติว่าจิตเป็นพัดอันนี้ พอใส่หินมากขึ้นเป็นอย่างไร (หนัก)  ใส่หินก้อนเล็กๆ คือทำความชั่วไม่ดีเล็กๆ  ใส่หินก้อนแรกลงไปเป็นอย่างไร หนักขึ้นไหม (หนัก) หนักเล็กน้อย ใส่อีกก้อนหนักไหม (หนักขึ้น)  หนักขึ้นเรื่อยๆ  เพราะทำความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น  ในที่สุดแล้วพัดอันนี้เป็นอย่างไร พัดอันนี้ก็หล่นลงตกลงสู่ที่ต่ำ เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะไม่สามารถยืนยันความดีอันนี้ของตนเองได้  เพราะทุกวันก็เฝ้าทำความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดแล้วตกลงสู่ที่ต่ำ ต่ำไปถึงที่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง  จึงบอกว่าธรรมชาตินั้นให้ศิษย์นั้นเรียนรู้  หากศิษย์ดำรงชีวิตนี้ด้วยความเป็นธรรมชาติ ทำความดีให้มาก ทำความชั่วให้น้อย ย่อมจะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน  เป็นเรื่องของธรรมชาติของชีวิต  คนที่ทำความดี ความชั่ว เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์นี้มีธรรมชาติเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในปรโลก  แต่ถามว่าศิษย์ของอาจารย์ชอบอยู่ใกล้คนดีหรือไม่ดี (คนดี)  เพราะฉะนั้นเราจึงบอกตนเองว่าอยากเป็นคนดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วเราทำดีหรือยัง เราเป็นคนดีเต็มที่หรือยัง จึงต้องกลับมามองตนเองและถามตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน”
ทำไมถึงบอกว่าสว่างคืน   การคืนมาแสดงว่าเดิมทีจิตใจของเราทุกคนเป็น
จิตใจที่ใสสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเวลานาน แต่ว่าในการที่เกิดมาชาตินี้ ศิษย์ของอาจารย์ก็มีจิตใจที่สว่างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คือเวลาที่เรานั้นเป็นเด็กเล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเป็นเด็กนั้นจิตใจของเราก็ดี แต่พอ  ยิ่งโตขึ้นๆ ก็เหมือนกับเอาก้อนหินหยอดลงบนพัดทีละก้อนๆ  ในที่สุดแล้วจิตใจของเราแปรเปลี่ยนเป็นจิตใจที่ไม่งดงามแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการ   ที่เรานั้นจะแปรเปลี่ยนจิตใจให้สว่างคืนมา ทำอย่างไรบ้าง (บำเพ็ญธรรม, ยกหินออก, ขัดเกลา, เอาสิ่งดีๆ เข้ามาใส่, ใช้ธรรมะมาปฏิบัติ)
 (มีนักเรียนคนหนึ่งถามอาจารย์ว่า ใช้ธรรมปฏิบัติข้อไหนที่จะได้มรรคผล)
เมื่อสักครู่เราคุยกันบอกว่า ธรรมมีมากมายจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อยู่ที่ตัวเราเอง  เพราะฉะนั้นธรรมข้อไหนก็สามารถที่จะให้ศิษย์นั้นหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้ทั้งสิ้น  พระกวนอูมีธรรมหลายข้อที่เด่นมาก  แต่มีธรรมข้อหนึ่งที่เด่นที่สุดคือความซื่อสัตย์  มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้รู้จักความซื่อสัตย์ไหม (รู้จัก)  รู้จักแต่ไม่มีใครที่จะลงมือทำ  ถ้ามีโอกาสคว้าได้ก็คว้าเลย  เพราะฉะนั้นธรรมที่ศิษย์ของอาจารย์ใช้จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เลย  เพราะว่าทำทุกๆ ข้อก็ไปหยุดที่กลางคัน  เสร็จแล้วก็จบแล้วจบกัน
ร่างกายของคนนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง  หัว แขน ขา  ถามว่าในคนนี้  ตรงไหนที่เรียกว่าคน  เราก็บอกว่าต้องมีหัว มีแขน มีขา ตาก็ต้องมีสองข้าง หัวต้องชี้ฟ้า ขาต้องเหยียบดิน อย่างนี้ถึงเรียกว่าคน  เพราะฉะนั้นการที่จะใช้ธรรมข้อใดปฏิบัติก็แล้วแต่  ธรรมนั้นต้องรวมทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในศิษย์  ไม่สามารถบอกได้ว่าใช้ธรรมข้อใด  นั่นขึ้นอยู่กับว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะใช้สิ่งใดเป็นหลักเท่านั้นเอง  เหมือนกับพระกวนอูใช้ความซื่อสัตย์เป็นหัว  หมายถึงว่า มองแล้วก็รู้ว่าคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก  ใช้ความเมตตาเป็นแขน ใช้มโนธรรมเป็นขา ดังนี้เป็นต้น  เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องรวมกันเป็นหนึ่ง  ศิษย์ต้องรวม  ขึ้นมา ต้องมีคนบอกว่าศิษย์เป็นคนมีธรรม มีจิตใจที่ตื่นรู้อยู่เสมอ  นี่จึงบอกว่าศิษย์นั้นเป็นผู้บำเพ็ญได้  ไม่ใช่บอกว่าคนๆ นี้ไม่มีธรรมเลย  ถ้าอย่างนี้จะบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์มีแต่จะบอกศิษย์ว่า สิ่งที่ใช้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นบันไดพื้นฐานให้ศิษย์เหยียบขึ้นไปนั้นอยู่ที่ไหน  ศิษย์จะขึ้นไปถึงบันไดขั้นไหนนั้น อยู่ที่ศิษย์  พื้นฐานคือคุณธรรมทั้งแปดอย่าง๑
ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง  ถ้าหากว่าอยากเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความกตัญญูจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธะไหม  เขาว่าคนนี้เป็นพุทธะปลอมๆ เป็นพุทธะแต่ชื่อ เป็นพุทธะแต่ในนาม  ใส่เสื้อขาวกระโปรงน้ำเงินหรือกางเกงน้ำเงิน แต่ใจไม่ขาวเลย  อย่างนี้จะบอกว่าเป็นพุทธะ เป็นคนที่มีธรรมก็ไม่ได้  เพราะฉะนั้นการมองไม่ใช่มองแต่เพียงภายนอก
บันไดขั้นที่สองคือความปรองดองในหมู่พี่น้อง  ทั้งพี่น้องที่บ้านและในสถานธรรม  ผิดนิดอภัยบ้าง  ผิดหนักอภัยใหญ่  อยู่ที่ว่าใจของเราใหญ่เท่าไร  ถ้าใจเราใหญ่มากก็อภัยมาก  เขาผิดมากแต่ใจเราเล็กกว่าเราจะอภัยเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ที่ใจของศิษย์เอง  เขาผิดมากใจเรานิดเดียวเราจะอภัยเขาไหวไหม (ไม่ไหว)  เขามีความผิดมากเท่าไร ใจเราต้องกว้างมากกว่านั้น

๑  คุณธรรมแปด
๑. กตัญญู ๕. จริยธรรม
๒. พี่น้องปรองดองกัน ๖. มโนธรรม
๓. ซื่อสัตย์  จงรักภักดี ๗. สุจริตธรรม
๔. ความสัตย์จริง ๘. ละอายและเกรงกลัวต่อบาป

บันไดขั้นที่สามคือความซื่อสัตย์สุจริต  ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง  ในการที่เกิดมาเป็นคนนั้นแม้ชีวิตจะสั้นมาก  แต่คุณค่าของคนมากที่สุดนั้น อยู่ที่ความรับผิดชอบ  หากว่าเรามีหน้าที่เป็นลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบ   ในหน้าที่ของตนเอง คือเป็นผู้มีความกตัญญู  รับผิดชอบในหน้าที่การงาน การเรียนหนังสือ ในการบำเพ็ญตน  การรับผิดชอบต่างๆ นั้น  หัวใจคือต้องทำให้ทันเวลา ไม่ใช่รับผิดชอบเหมือนกัน  แต่บอกว่าเดี๋ยวเอาไว้ก่อน เป็นดินพอกหางหมูก็ไม่ได้
บันไดขั้นที่สี่คือความมีสัจจะ  สัจจะต่อผู้อื่นต้องมีไว้ แต่สัจจะที่  สำคัญมาก คือสัจจะต่อตนเอง  อาจารย์ถึงบอกว่าการเป็นพุทธะนั้น อย่า      พูดเยอะ ให้ทำเยอะ จึงจะรักษาสัจจะไว้ให้คงอยู่  หากว่าเราพูดเยอะ ทำน้อย  สัจจะนั้นก็จะ  ไม่สามารถที่จะคงอยู่ได้
บันไดขั้นที่ห้าคือมารยาท คือจริยธรรม  จริยธรรมคือการทำทุกอย่างเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่ชิงสุกก่อนห่าม ไม่ผิดมารยาทต่อผู้อื่น  สิ่งที่ไม่ควรฟังอย่าฟัง  สิ่งที่ไม่ควรดูอย่าดู  สิ่งที่ไม่ควรทำอย่าทำ  สิ่งไม่ควรคิดอย่าคิด
บันไดขั้นที่หกคือมโนธรรมของเรา  มโนธรรมที่อยู่กับเราตลอด  ใจที่บอกให้เราทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง  มโนธรรมที่คอยอยู่ในใจเราแล้วเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลา  ขอให้เรานั้นทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง  แล้วเรานั้นต้องทำแล้วปฏิบัติตาม
บันไดขั้นที่เจ็ด  บันไดขั้นที่แปด คือหิริโอตตัปปะ  คือความรู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป  เวลาเราทำผิดบาป ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะละอาย เกรงกลัวต่อบาปแล้ว  เมื่อนั้นก็จะขาดพุทธจิตที่อยู่ในจิตของตนเองไป  เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นบาป สิ่งใดที่ผิดต้องรู้จักละเว้น  เริ่มจากน้อยไปหามาก  เริ่มละอายเมื่อไรก็ต้องรู้จักที่จะหักห้ามใจของตัวเองเมื่อนั้น  ไม่ใช่หาเหตุผลต่างๆ เข้าข้างตัวเอง  แล้วก็บอกว่าเรานั้นถูกอยู่เสมอ ผู้อื่นผิด  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะไม่ได้ในสิ่งที่ถูกต้องใส่ตัว  เพราะเป็นคนที่ช่างเจ้าเหตุผล  มีแต่บันได     พื้นฐานแปดข้อนี้ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไว้เป็นบันไดจริงๆ  การบำเพ็ญพุทธะ การที่จะหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยืดยาวกว่าที่อาจารย์พูดอีก  อาจารย์พูดเยอะแต่ศิษย์ของอาจารย์ต้องไปทำเยอะกว่านี้  ยังมีการทดสอบใจของเราอีกหลายเรื่องที่ต้องไปฝ่าฟันให้ได้  เพราะว่าการชนะสิ่งใดก็ไม่เท่าชนะใจตนเอง
ชอบใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยงไหม (ไม่ชอบ)  ใครที่ชอบไปเล่นไพ่ เล่นหวย เล่นไฮโล ชอบชกต่อยกับคน  ล้วนเป็นเรื่องของความเสี่ยงในชีวิตทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงไม่สมควรจะไปใช้อย่างเสี่ยงเช่นนี้  ศิษย์ของอาจารย์สามารถใช้ชีวิตอย่างราบเรียบปกติสุขได้  ความราบเรียบเป็นความไม่มีสีสัน  แท้จริงแล้วสีที่สวยที่สุดก็คือสีขาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลายคนชอบเป็น    สีแดง สีเขียว สีดำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เวลาที่เรามองดอกไม้  ดอกไม้มีหลายสี   อยู่รวมกันเป็นสิ่งที่สวยก็จริง แต่ถามว่าดอกไม้ทุกดอกนั้นเหี่ยวเฉาได้ไหม (ได้)  เหมือนกับชีวิตของคน ในที่สุดแล้วดอกไม้ก็ไม่สามารถที่จะยืนยงอยู่ได้ตลอดไป  วัยของเราก็เหมือนกับดอกไม้ที่เพิ่งจะแย้มบาน มีความแข็งตัว  แต่ถ้าหากใช้ชีวิตนี้ด้วยการเสี่ยงต่อไป อาจจะกำหนดชีวิตตนเองทำให้พิการไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถือว่าเป็นการเสี่ยงที่         ไม่สมควร ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงควรใช้ชีวิตนี้ด้วยความระมัดระวัง  สิ่งใดเป็นการเสี่ยงภัย สิ่งใดที่เกิดจากอารมณ์มากเกินไป  การใช้อารมณ์มากเกินไป โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เกลียด แค้น  สามอารมณ์นี้ขอให้เบาบางลงทุกๆ วัน  อันว่าอารมณ์นั้นเกิดขึ้นภายใน คนอื่นอาจจะไม่รู้ก็ได้แต่ว่าเรานั้นรู้ดีที่สุด  คนที่         มีอารมณ์โกรธมากๆ นานๆ เข้าจะกลายเป็นโรคหัวใจ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น
“ลืมความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น”
อาจารย์บอกเช่นนี้แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทุก ๆ คนต้องไปหาความหวานที่อยู่ในความขมให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราคิดที่จะกินมะระ เราก็ต้องเลือกว่าเราอยากจะขมลิ้นหวานคอหรืออยากจะกินของหวานลิ้นขมคอ ชีวิตของเรานี้ถ้าเกิดว่าอยากจะมีสีสัน ความบันเทิง ความแปลกอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้  วิวัฒนาการของโลกยุคใหม่นี้ก้าวหน้าไปทุกวัน  ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าที่ศิษย์ได้รับไปนั้นคืออะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ของบางอย่างผลิต  ขึ้นมาไม่รู้ว่าผลวันหน้าจะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ ศิษย์ไม่รู้ก็เหมือนกับการที่ไปเสี่ยง เหมือนกับเอาตัวเราเข้าไปเสี่ยง คือการกินของบาดลิ้นแต่ไม่รู้ว่ามันขมคอเท่าไร อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้ถ้าทำอะไรไม่รู้จักคิด เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ทำอะไรรู้จักคิด ไม่ใช่คิดครั้งเดียวแต่ต้องรู้จักคิดถึงสามครั้งก่อนที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่เสียใจภายหลังอยู่ตลอดเวลา
อันว่าความเข้าใจเกิดขึ้นได้ ในยามที่ศิษย์ของอาจารย์กำลังทำความ   เข้าใจอยู่ แต่ต้องรู้ว่าความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วต้องไม่ขาดปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ขาดซึ่งความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสามสิ่งนี้ไป ก็      ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ดีพร้อม  ถ้าอยากเป็นคนดีพร้อมต้องมีความเข้าใจใน    เรื่องราวต่าง ๆ นานา  มีปัญญาต้องมีความดีประกอบคู่กันเข้าไปด้วย ซึ่งความดีก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ขาดแคลนยิ่งนัก  บอกว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีแต่จริงๆ แล้วดียังไม่ถึงที่สุด เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วคนอื่นยังดีกว่าเราอีก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถามหน่อยว่าหากว่าเบื้องบนจะคัดเลือกหยกที่ดีที่สุด  เราเป็นหยกปนหิน เบื้องบนเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วถามว่าถ้าเราเป็นหยกแท้ เป็นหยกที่ดี เป็นหยกที่เย็นเบื้องบนเอาไหม (เอา)  ถ้าเรายังเป็นหินปนหยก     หยกปนหินอยู่  
ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นหยกแท้ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นทองแท้ ย่อมไม่ดีแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คำที่ศิษย์ออกมาช่วยกันออกมาวงทุกคน ๆ อ่านว่า “ธรรมะคือเข็มทิศของจิตใจ”
ชีวิตคนหนึ่งชีวิตนั้น เดินไปทางไหนเหมือนกับการเสี่ยงทายไม่มีผิด แต่อาจารย์จะบอกว่ามีเครื่องที่ใช้วัดความเที่ยงอยู่ไม่กี่ชนิด อันแรกคือไม้ตั้งฉาก  ใช้สำหรับวัดความเหลี่ยมใช่หรือไม่ (ใช่)  สร้างออกมาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วน   เข็มทิศนั้นก็เป็นเครื่องวัดหาความเที่ยงตรงและการเดินทาง เป็นวงกลมใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์จะเดินทางต้องพกเข็มทิศใช่หรือไม่ แต่ว่าอาจารย์ไม่มีเข็มทิศแจกคนละอัน อาจารย์มีอย่างเดียวคือสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ นั่นคือธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตของศิษย์นั้นจะสามารถพาขึ้นไปให้ดี  หรือว่าจะพาลงไปตกต่ำย่อมขึ้นอยู่กับศิษย์เอง การบำเพ็ญธรรมะจะอยู่จะรอด จะไปไม่ไปย่อมอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอาจารย์ขอมอบสิ่งหนึ่งที่ไม่มีรูป  ไม่มีลักษณ์ นั่นก็คือธรรมะ
เมื่อครู่เพื่อนนักเรียนถามว่าธรรมะชนิดไหนที่จะพาไปให้สู่ความหลุดพ้น ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว อาจารย์ไม่มีธรรมะที่จะหลุดพ้นทีเดียวให้ อาจารย์มีแต่ก้าวบันไดธรรมะที่เป็นก้าวให้ศิษย์ไปทำ หากว่าศิษย์ทำไม่ได้ก็เหมือนกับ         ไม่ได้ก้าวขึ้นบันได เหมือนกับการก้าวอยู่กับที่ ย่อมเป็นการเสียเปล่าชีวิตนี้ที่  เกิดมาหนึ่งชีวิต เพราะฉะนั้นธรรมะย่อมเป็นเข็มทิศของจิตใจของเรา ธรรมะ    ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอกแต่อยู่ที่จิตใจ เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นเข็มทิศให้ศิษย์ไว้ใช้   เดินทาง เดินทางนี้เดินทางธรรมะ เดินทางการเป็นพุทธะ ต้องบำเพ็ญเพียรจนชีวิตหาไม่ทีเดียว  ใครบำเพ็ญแค่ห้าปีเจ็ดปี แล้วบอกว่าสามารถที่จะขึ้นสู่แดนนิพพานนั้นไม่จริง ต้องวันสุดท้ายของชีวิตถึงบอกได้ว่าศิษย์คนไหนสามารถเป็นพุทธะได้ แต่เครื่องวัดอย่างหนึ่งที่ศิษย์สามารถมองว่าศิษย์นั้นเป็นพุทธะได้หรือไม่ คือลองดูว่ารอบๆ ข้างเรานั้นมีใครเรียกเราเป็นพุทธะเดินดินบ้าง ถ้าเขา      ยกย่องเราว่าเป็นพุทธะเดินดินได้ แสดงว่าเรานั้นก็มีสิทธิ์เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจึงบอกว่านิพพานไกลไหม  นิพพานจะว่าไกลก็ไกล แต่ว่าใกล้ก็อยู่ข้างหน้าศิษย์นี้เอง อยู่ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะไปหรือไม่ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไกลแล้วก้าวทีละก้าวถึงไหม (ถึง)  เหมือนกับการวิ่งแข่งกัน การวิ่งแข่งวิ่งไปข้างหน้า คนนี้ขาไม่ดีแต่ว่าขยันวิ่งถึงไหม (ถึง)  คนนี้ขาดีมากเลย ทุกสิ่ง ทุกอย่างสภาวะแวดล้อมปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าฐานะ หน้าที่ เงินทอง การงาน กุศลผลบุญพร้อมหมดแต่ไม่ยอมวิ่ง ถึงไหม (ไม่ถึง)  ถามว่าจะมีใครมาแบกมาลากเขาไปไหม (ไม่มี)  แบกไปไว้ครึ่งทางเหนื่อยแล้วเขาก็วางใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะแต่ละคนนั้นต้องรับผิดชอบกรรมที่ตัวเองกระทำมา ก่อมา  ศิษย์อาจจะราบรื่นในแง่นี้ ในการเดินทางอย่างนี้ แต่จะไม่ราบรื่นในอีกแง่หนึ่งที่คนอื่นเขามองไม่เห็นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าเฝ้าอิจฉากัน อย่าเฝ้าบอกว่าเขาบำเพ็ญง่ายกว่าเรา จริงๆ แล้วทุกๆ คนถ้ามาเปรียบเทียบกัน ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมารวมๆ กัน ไม่มีใครบำเพ็ญง่ายกว่าใครเลย
ทุกคนมีอุปสรรคเป็นของตัวทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ขอให้บำเพ็ญธรรมโดยการก้าวทีละก้าวไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่าช้ามาก ไม่รีบร้อนแต่อย่าอืด อย่าเฉื่อยแฉะอย่าเถลไถล เหมือนกับเวลาฟังนิทานเมื่อสมัยเด็ก เต่ากับกระต่ายวิ่งแข่งกันใครชนะ (เต่า)  ทำไมเต่าชนะ เต่ามีความเพียรแต่กระต่ายมีความขี้เกียจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วลองถามตัวเราเองว่าเรานั้นมีความขยันหรือ    ขี้เกียจ  ถ้าหากใครตอบว่ามีขยันกับขี้เกียจปนกันก็ฟังอาจารย์พูดให้ดีๆ  คนที่มีความขยันและขี้เกียจปนกัน ถ้าเผอิญว่าในยามที่ศิษย์ขยันนั้นไม่มีสนามให้    วิ่งแข่ง แต่ว่าในยามศิษย์ขี้เกียจนั้นกลับมีเส้นชัยขึ้น ถามว่าตอนที่เราขยันนั้นมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ในยามที่เราขยันนั้นก็ไม่มีประโยชน์
เหมือนกับในยามนี้ที่มหาธรรมลงสู่โลกยุคนี้  เมื่อคนมีความชั่วมากธรรมะจึงลงมารวดเร็ว เข้าถึงตัวศิษย์อย่างง่ายดาย แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้ จะมา ขี้เกียจเอาตอนนี้ก็จะเป็นการเสียโอกาส  เพราะฉะนั้นในยามนี้เหมือนกับมีสนามแข่งตั้งอยู่ตรงหน้า  หากว่าศิษย์ขี้เกียจ คนอื่นก็จะวิ่งแซงตัวเองไป       ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดแล้วศิษย์ก็จะเสียโอกาสการเป็นพุทธะต้องมาเวียนเกิดเวียนตาย
ใครที่บอกว่าตัวเองทุกข์แล้ว อาจจะเจอทุกข์อีกร้อยรอบพันรอบก็ได้ อาจจะเจอทุกข์อีกล้านรอบแสนรอบไม่มีวันสิ้นสุด ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าการที่ให้ศิษย์บำเพ็ญนั้น อาจารย์ใจร้อนมาก เพราะอาจารย์รู้แล้วว่าตอนนี้ใกล้เวลาอันคับขัน จึงได้เวลามหาธรรมลงสู่โลก เพื่อฉุดช่วยพุทธะให้กลับคืน  แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใส่ใจ จึงยากบอกว่าจะให้ใครเป็นพุทธะ ให้ใครเวียนว่ายตายเกิด  หวังใจอย่างยิ่งว่าคนนั้นไม่ใช่ศิษย์
อันว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น เวลาชีวิตคนที่ว่าสั้น เวลาของอาจารย์       พบหน้าศิษย์สั้นยิ่งกว่า  อาจารย์หวังตั้งแต่มาว่าศิษย์ที่ดื้อรั้นของอาจารย์นั้นจะไม่มองอาจารย์ด้วยสายตาอันเคลือบแคลงสงสัย  แต่จนถึงบัดนี้ มีกี่คนที่คิดเปลี่ยนแปลงตนเองบ้าง  ชีวิตเหมือนกับการเล่นละครก็จริงอยู่  แต่อย่าทำชีวิตเป็นเล่น  ประมาทก็คือทางแห่งความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งจึงประมาทไม่ได้แม้สักครั้งเดียว ไม่ใช่ขอประมาทเพียงครั้งเดียว  หากการประมาทครั้งนั้นเกิดผิดพลาดไป แล้วจะมีใครช่วยเหลือเรา  ในเมื่อชั่วชีวิตนี้ของเราไม่เคยช่วยใคร แล้วใครจะช่วยเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขนาดคนที่คอยช่วยผู้อื่น อยู่ทุกวันยังไม่ตั้งตนอยู่บนความประมาทเลย  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นใครจึงตั้งตัวอยู่บนความประมาททุกวันๆ  ได้รู้ทางแท้แล้วกลับมองเป็นเล่น  ชีวิตคน ฟ้ากำหนดอย่างนั้นหรือ  ชีวิตคนนั้น คนเป็นผู้กำหนดมาเอง กำหนดมาตั้งแต่ต้น ทำชั่วมากกว่าดีก็ศิษย์กำหนด  ตอนนี้อยากจะทำดีมากกว่าชั่ว ก็ศิษย์กำหนด  อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่าดื้อรั้น อย่าคิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว  แม้มนุษย์บางคนมีอายุมาก ภูเขาก็มีอายุมากกว่าศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟ้าก็มีอายุ  มากกว่าภูเขาอีก ฉะนั้นชีวิตนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตนเองนั้นสามารถกว่าใคร อ่อนน้อมไว้เป็นดีที่สุด ถ่อมตนไว้ขอให้ผู้รู้นั้นช่วยเราไม่ดีหรือ ลองหยิ่ง ทะนง อวดเก่งแล้วถามว่าใครอยากช่วยคนประเภทนี้ ต่อให้เป็นศิษย์ ก็ไม่อยากจะช่วยเขา
ในสามวันนี้เป็นชั้นเรียนสำหรับฟื้นฟูดวงจิตของเรา  การฟื้นฟูดวงจิตนั้นย่อมนำมาจากการกระทำต่างๆ เมื่อศิษย์ได้กระทำในสิ่งที่ดี ก็ถือว่าศิษย์นั้น   ฟื้นฟูมากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่อาจารย์บอกไว้ในบทเพลงบอกว่า “กระทำนำสื่อความตั้งใจ”  สิ่งที่เรากระทำนั้น ถ้าเราตั้งใจมาก การกระทำของเราก็เป็นคนที่ตั้งใจทำ  เหมือนสั่งให้ศิษย์พับผ้าสักผืนหนึ่ง คนตั้งใจพับกับคนไม่ตั้งใจพับ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  เหมือนสั่งให้ศิษย์ล้างชามสักใบหนึ่ง  คนที่ตั้งใจล้างกับคนที่ไม่ตั้งใจล้างเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  คนที่ล้างชามไม่สะอาด พับผ้าไม่เรียบร้อย เขาก็บอกว่าไม่มีใจทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงเอาใจมาอ้างอีก ก็เพราะ  ทุกอย่างออกมาจากใจศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อศิษย์บอกว่าศิษย์มีใจบำเพ็ญก็ให้ทำอย่างคนมีใจบำเพ็ญ ช่วยเหลือผู้อื่น ฝึกความเมตตา  เมื่อศิษย์บอกว่าศิษย์มีใจที่อยากจะหลุดพ้น ก็ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจสร้างกุศล คุณงามความดี ขยันให้มากขึ้นๆ ในทุกวัน  อย่าบอกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ยุ่งยาก มากเรื่อง  ถามว่าในโลกนี้มีเรื่องใดที่ง่ายๆ บ้าง  ขนาดจะกินข้าวยังต้องมองคนอื่นว่าใช้ช้อนอย่างไร ถ้าศิษย์ทำไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างมีการเริ่มต้น  เริ่มต้น        ยากหน่อย ลำบากหน่อย  แต่หวังว่าศิษย์คงไม่ท้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะมาเป็นพุทธะ  เราไม่ได้มาเป็นปุถุชน  ปุถุชนเหมือนคนที่ไหลตามน้ำ ทำตัวสบายๆ แต่พุทธะเหมือนคนที่ทวนกระแสน้ำ เหมือนกับปลาที่ไม่ปล่อยให้น้ำพัดพาลงสู่ที่ต่ำ  แม้กระทั่งเวลาหลับ  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้หลับหรือตื่นอยู่ (ตื่น)  ตื่นอยู่ ปล่อยน้ำแห่งความสบาย ปล่อยน้ำแห่งกิเลสนั้นพาตนเองไปเบื้องล่าง   ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ต้องเชื่อมั่นว่าศิษย์นั้นเป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้อง     เชื่อมั่นว่าใจอันขุ่นหนักของเรา ใจอันไม่ได้เรื่องของเราอันนี้ เราจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้  ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นได้  มีใครนึกดูถูก ตัวเองไหมว่า เรานั้นเป็นบุคคลธรรมดา อยู่ดีๆ จะไปเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์        ได้อย่างไร  ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ มากับอาจารย์  มีศิษย์หลายคนในที่นี่มีความคิดว่าตนเองนั้นเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีอะไรวิเศษวิโส แล้วจะมาบำเพ็ญเป็นพุทธะได้อย่างไร  ขอเพียงศิษย์มีร่างกายพร้อมบริบูรณ์นี้ ศิษย์ก็เป็นพุทธะได้  มีความไม่เข้าใจอยู่มากมายค่อยๆ คลายไปทีละเรื่อง ใช้เวลามากหน่อย หวังว่าจะ     เสียสละเวลาตรงนี้  ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ ให้เข้าใจมากๆ ให้รู้มากๆ จะได้ช่วยคน   ได้มากๆ  ตั้งใจให้ดีๆ มั่นคงให้มากๆ  เสียสละเวลาสักนิดหมั่นทำให้มากๆ
ศิษย์ตั้งหลายคนอยู่ที่นี่  บอกให้อาจารย์ไม่ห่วงไม่อาลัย คงเป็นไปไม่ได้  อาจารย์มีแต่บอกศิษย์ว่า  บำเพ็ญดีๆ ศึกษาให้มากๆ มั่นคงให้นานๆ  นี่คงเป็นคำสุดท้าย ที่อาจารย์ควรจะพูดกับศิษย์มากที่สุด หากศิษย์ได้รู้ว่าคนที่มีความทุกข์มากๆ เป็นความทุกข์ที่ผู้อื่นนั้นหามาให้เรา แล้วเราไม่มีทางแก้ไขได้ ได้แต่ยืนมองดู เอาใจช่วย คงรู้ว่าความรู้สึกของอาจารย์ตอนนี้เป็นอย่างไร  อาจารย์ ไม่รู้ว่าจะบอกศิษย์อย่างไร  หากว่าอาจารย์เวียนว่ายตายเกิดแทนได้ แล้วพาศิษย์ให้รู้ตื่นได้โดยฉับพลัน  ถ้าทำได้อาจารย์ทำแล้ว  แต่กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นต้องรับ  จนวันสุดท้าย จนหมดสิ้น  อาจารย์ทำสิ่งนั้นไม่ได้เลยเพราะอาจารย์นั้นเป็นธรรมชาติ  อยู่กับธรรมชาติ  การเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็ฝืนธรรมชาติ    ไม่ได้  จึงได้แต่บอกว่าให้บำเพ็ญ ศึกษาให้เข้าใจ มั่นคงให้นานๆ  มีอาจารย์อยู่ในใจ อย่าเขี่ยอาจารย์ทิ้งไปนอกใจ  วันหน้าขอให้อาจารย์ได้พบศิษย์อีก





                      ถูกความคิดพาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง        ความเป็นจริงอยู่หนไหนเร่งไปหา
                หลงและตื่นใช่อยู่ที่หลับลืมตา                         กลืนความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น
                หายใจเข้าเอาความกล้ามาบำเพ็ญ               ใช้ธรรมะกันเป็นไหมไถลลื่น
                ความเข้าใจเพราะศึกษาทุกวันคืน                  ดีใจเมื่อศิษย์ข้าตื่นโดยเร็ววัน
                แผ่เมตตาพาจิตใจให้มีสุข                                ไปล้มลุกคลุกคลานอย่าโศกศัลย์
                รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน                  ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน
                ทำงานแห่งดินฟ้าศรัทธาไว้                             แห่งหนใดพากันถ้วนทั่วตื่น
                ฟ้างามตาคือใจศิษย์อันสดชื่น                         แบกผู้อื่นไม่หนักใจเพราะเต็มใจ
                ขึ้นมาบนเรือธรรมง่ายอย่าละทิ้ง                    บ่าทั้งสองแห่งคนจริงช่างกว้างใหญ่
                ปัญญาเอ๋ยศิษย์อย่าลืมเฝ้านำใช้                   นำตนเองก้าวไกลไม่ท้อกลางคัน
                สู่ธรรมนี้ด้วยมั่นคงใจไม่ท้อ                              ความรู้พอพาให้เกิดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
                ก้าวสู่ปลายย่อมเกิดจากก้าวแรกนั้น             ไกลไม่หวั่นหวั่นไม่ยอมจะก้าวเดิน

ฮา   ฮา   หยุด


       พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  ธรรมะคือเข็มทิศของจิตใจ

ส่งมวลดีงามยุติห้ำหั่น  ล้างภัยใจความอิจฉา  ต่างเป็นแรงใจกันและกันหนา  หนึ่งชั่วชีวาบำเพ็ญหลุดพ้น  ให้มุ่งมั่นจากใจอันตื่นรู้   ย้อนมองดูอย่ามองแต่ผล  คนดีดีมาจากวิริยะส่งผล  เสรีสู่ความยิ่งใหญ่ 
                เกิดตายวนเวียนมิสิ้นสุด  โลกดั่งทางผ่านมาผ่านไป   กี่ปีที่ผ่านอย่างไร้ความหมาย  ก็คล้ายเดินบนทางมืดเสี่ยงนัก  ฟื้นฟูใจจากที่ป่วยล้มหนัก  เข้าใจในสัทธรรมอันแอบแฝง  ต่างมีใจกล้าแกร่ง  อดใจคำสรรเติมแต่ง   แม้ยากฝ่าไปไม่หวั่น

                ปลุกคนหลงช่างฝัน  เกียจคร้านคนจะหมดความนับถือ  ผู้เพียรใช่แต่ชื่อ   กระทำนำสื่อความตั้งใจ         ถูกความหลงกลืนหาย ใช้ความดีแผ่ไปรักษา ช่วยทำงานแห่งฟ้าแบกขึ้นบ่า ปัญญานำสู่ความก้าวไกล

                                                                                                                                   ทำนองเพลง : จี้เฮ่า


ชื่อเพลง  : วิริยะบำเพ็ญ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา