วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทท่านไคซินฝอถง
พอเจอเรื่องดีก็เบิกบานหนา เจอเรื่องร้ายโดนว่าบูดบึ้งใหญ่
กี่ปีแล้วเหมือนเดิมไม่ฝึกใจ น่าเสียใจเฮ้อสุดท้ายไม่แก้จริง
เราคือ
ไคซินฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม
มิจฉาทำให้คนเห็นผิดเป็นถูก ปัญหาผูกยามที่คนกลัวไปใหญ่
มีทิฐิคนในตกมืดไร้ไฟ ตั้งสติสติไร้ใจวูบไหวบัง
ความเกลียดก่อเกิดแล้วนิ่งไม่ได้ วาจาใจซ่อนความทิศไหนไม่ต่าง
ตุนความเครียดที่ไร้การปล่อยวาง ธรรมให้ทางในจิตย่อมเป็นไท
หยุดคนหยุดไม่ได้ต้องหยุดตน ผู้อดทนใจไหนก็ยิ่งใหญ่
เรื่องมองเห็นได้เลยกลับไม่ได้ หัวใจใครความจริงยอมรับกลับตรง
ให้จงรู้ความจริงในสิ่งอยู่ ใจยิ่งเป็นที่ดูเป็นที่หลง
คนผู้มีสติตามทันพลันปลง ใจยิ่งยวดใจเห็นตรงกิเลสลาง
เมื่อทำใจไร้ใจอันวุ่นวาย ยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่มองสิ่งต่าง
บำเพ็ญธรรมนั้นจึงจะเป็นทุกอย่าง ปราบใจลิงเป็นใจสว่างอย่างพุทธา
ม้าเร็วหรือม้าแก่ตัวเดียวกัน มือจะสั่นไม่เป็นไรให้อุตส่าห์
ฟ้าชมดอกไม้บานร่วงโรยรา ชั่วชีวาเป็นผู้เบิกหล้าปฐพีธรรม
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านไคซินฝอถง
มนุษย์นั้นเวลาเจอเรื่องดีใจก็ดีใจมากมาย แต่เวลาเจอเรื่องเสียใจกลับรับไม่ได้ เราเรียนรู้การทำงาน การมีเงิน การเป็นคนเก่ง แต่เราไม่เคยเรียนรู้การฝึกใจตน เราอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ เราก็พยายามทน ถ้าทนไม่ได้เราก็หนี แต่ถ้าเราเกิดเบื่อใจตนเองขึ้นมาเราหนีได้ไหม แล้วเราจะทำอย่างไร ทนหรือ หรือพยายามหาอะไรมาฟังแทนจะได้ไม่ต้องฟังใจที่กำลังฟุ้งซ่าน
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมะคือ ให้เรียนรู้วิชาแห่งการฝึกใจและอยู่กับความจริงที่ยากเกินยอมรับ ฟังดูแล้วน่าสนใจไหม (น่าสนใจ) เราเคยคิดว่า การฟังธรรมก็แค่ทำบุญและมีศีล ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่การที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และรู้จักที่จะมีศีล ก็คือการฝึกใจ การรู้จักดำรงตนเป็นคนดี ดำรงตนเป็นคนถูกต้อง ก็เป็นการฝึกใจ ปัจจุบันนี้เราไม่เคยฝึกใจ เรามีแต่ปล่อยใจ ตามใจ แล้วผลสุดท้ายก็ต้องทุกข์ใจ พอทุกข์ใจก็แก้ไม่ได้ หันหน้าไปหาคนข้างๆ เขาก็ทุกข์ไม่ต่างกับเรา หันหน้าไปพึ่งใคร
ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ การได้พูดคุยก็อาจทำให้เราลืมไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่พอถึงเวลาที่เรากลับมาอยู่กับตัวเอง ก็เป็นเหมือนเดิม จริงไหม (จริง) ถ้าเช่นนั้นทำไมต้องรอให้เราทุกข์ก่อนถึงจะเรียนรู้วิชาดับทุกข์ ทำไมเราไม่รู้จักจัดการกับความทุกข์ตอนที่ทุกข์ยังไม่มา เพราะโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ เป็นโลกแห่งเหตุและผล เป็นโลกแห่งความทุกข์มากกว่าความสุข คนที่พยายามอยู่บนโลกนี้แล้วหาความสุขคือ คนที่หลอกตัวเอง แต่คนที่อยู่บนโลกนี้แล้วกล้าเผชิญความทุกข์คือ คนที่อยู่กับความจริง ทุกวันนี้ มนุษย์คือคนที่คอยหาความสุข ทำไมเราต้องหาความสุข เพราะว่าท่านไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ท่านไม่สุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ท่านจึงต้องไปหาอะไรมาเพิ่มเติมเพื่อทำให้ตัวเองมีสุข ถ้าหาได้ท่านก็โชคดีไป ถ้าหาไม่ได้ท่านก็ทุกข์ต่อไป นี่คือการดำเนินชีวิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่)ไม่พ้น ถ้าเราเข้าใจกฎนี้ท่านจะทุกข์น้อยลง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความไม่เที่ยง” เมื่อไม่เที่ยงเราจะยึดไหม (ไม่ยึด) เราจะหลงไหม (ไม่หลง) เมื่อไม่ยึดไม่หลงเราจะทุกข์ได้อย่างไร จริงไหม (จริง) ทำไมจะต้องตายตอนนี้ ทำไมไม่ลุกขึ้นมาปลุกจิตตัวเองให้กระปรี้กระเปร่ามีความสุขเล่า เคยได้ยินไหม “สถานการณ์สร้างวีรชน” แต่ในทางกลับกันวีรชนก็สามารถสร้างสถานการณ์ได้ แต่ตอนนี้ท่านหาได้เป็นวีรชนคนกล้าไม่ ท่านสามารถเอาชนะคนได้เป็นสิบเป็นร้อย แต่ไม่สามารถชนะใจตัวเองได้
ที่เกิดจากกรรมของตน เราขอยืมคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดหน่อยนะ “ฟ้ามีภัยคนยังหนีได้ แต่ถ้าคนก่อกรรมทำเอง หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น” ฉะนั้นจงเลือกทำแต่สิ่งที่ดีด้วยหัวใจอันเมตตา และรู้จักอดทนอดกลั้น จำไว้นะ แขนก็แล้ว ขาก็แล้ว ตัดกลางอกก็แล้ว ยังต้องอดทน ฉะนั้นใครพูดทิ่มใจก็จงอดทน
บีบีก็คิดว่าฉันรุ่นหลังกว่าเขาอีก พอเวลาผ่านไปความรู้สึกก็แค่ความรู้สึกเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นยามเรามีชีวิต เมื่อทุกข์มาเราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็นตั้งแต่แรก จะสุขหรือไม่สุขเราก็ไม่ทุกข์ เพราะเราแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ จัดการความทุกข์ตั้งแต่เริ่มมาหรือก่อนมาด้วยซ้ำ เหมือนอย่างวันนี้ ท่านคิดว่าออกไปข้างนอกจะมีความสุข แต่ถ้าออกไปแล้วรถคว่ำหรือตายเล่า ใครคิดว่าการเปิดทีวีดูแล้วจะนำความสุขมาให้ แต่กลับเปลี่ยนช่องนี้ช่องนั้น จนสุดท้ายเบื่อแล้วปิดทีวี ก็ยังไม่สุข เปลี่ยนไปฟังเพลงบ้าง เพลงนี้ก็ฟังแล้ว บางเพลงก็เป็นเพลงเดิมๆ ฟังแล้วเบื่อก็ไม่มีความสุข สุดท้ายเราควรจัดการทีวี จัดการเพลง หรือจัดการกับตัวเอง (จัดการกับตัวเอง) เราไม่เคยจัดการกับตัวเองเลย เราไม่เคยยอมรับเลยว่าเรานั้นคือ ต้นเหตุแห่งความทุกข์อันยิ่งใหญ่ และต้นเหตุแห่งปัญหาของโลกทั้งมวล ถ้ามนุษย์รู้จักพอ โลกนี้จะไม่วุ่นวาย ถ้ามนุษย์มีความสุขตั้งแต่แรกเริ่ม มนุษย์จะไม่สรรหาจนเดือดร้อน
ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย แต่ไม่เคยเรียนรู้ใจตัวเอง อย่าเป็นคนที่รู้จักแสวงหาความสุขนอกตัว แต่ไม่รู้จักมีสุขที่แท้จริงในตัวเสียที ไม่เช่นนั้นมีชีวิตมาก็เหมือนคนโง่เปล่าๆ เพราะความสุขอยู่ที่เราเอง แต่เรากลับไม่เคยคิดที่จะมีความสุข เรากลับคิดว่าน่าเบื่อ เราไม่ต้องกลัวทุกข์ แต่ต้องรู้จักทุกข์ให้เป็นแล้วความทุกข์จะทำให้เราสุขเอง ดีกว่าหลอกตัวเองให้มีความสุข แล้วผลสุดท้ายกลับต้องทุกข์ใจ วันนี้มาเรียนรู้ที่จะอยู่กับตนเองท่ามกลางความทุกข์ ถ้าอยากเรียนรู้ที่จะเอาชนะความทุกข์ เราต้องเข้าใจความจริงแห่งสัจจะชีวิตอย่างหนึ่งคือ โลกนี้เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั่นเรียกว่า “ความตาย” เพราะสิ่งที่ตายแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป แต่อาจจะเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งได้ ฉะนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงช้าลงหรือเปลี่ยนแปลงได้น้อยลง นั่นหมายถึงใกล้กับความตาย เราจึงต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิตนี้ไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง ชีวิตของมนุษย์คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด และพร่องที่สุด คนเรานั้นมีทั้งสมบูรณ์ที่สุด และมีความพร่อง ไม่ว่าจะสมบูรณ์หรือบกพร่องก็ต่างเรียกว่าชีวิต ถ้าชีวิตคือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่ดูเหมือนพร่องที่สุดก็เรียกว่าชีวิตได้เช่นกัน ที่มนุษย์เราทุกข์กับปัจจุบันนี้ ก็เพราะคิดว่าตัวเองพร่องที่สุด ดูไม่ดีที่สุด แต่ถ้ามองไปมองมารู้จักวิเคราะห์ด้วยปัญญา จะเห็นว่าสิ่งที่พร่องที่สุดก็คือก็คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าไม่รู้จักมองหาด้วยปัญญา สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่พร่องที่สุดได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าชีวิต สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือสิ่งที่พร่องที่สุด และสิ่งที่พร่องที่สุดก็คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด ขึ้นชื่อว่าชีวิตสิ่งที่น่าอึดอัดที่สุดก็คือสิ่งที่น่าสบายใจที่สุด ถ้าเรารักชีวิตเราเข้าใจชีวิต เราต้องพร้อมยอมรับว่าในสิ่งสมบูรณ์มีความบกพร่อง ในสิ่งบกพร่องมีความสมบูรณ์ ในสิ่งที่น่ายินดีที่สุดมีสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด และในสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดก็สามารถมีความสุขที่สุดได้ อยู่ที่ปัญญาของตัวท่านเอง หากวางใจเป็นก็มีสุข วางใจไม่เป็นก็ตกนรกทั้งเป็น เมื่อท่านเข้าใจว่า สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือสิ่งที่พร่องที่สุด และสิ่งที่พร่องที่สุดก็คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด ท่านจะเข้าใจชีวิต หากวันไหนที่เรารู้สึกว่าเราไม่มีอะไรเลยแท้จริง แล้วไม่ใช่ว่าเราไม่มี แต่เมื่อไรที่เราไม่มีปัญญา เมื่อนั้นเราจะไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ
วันใดเราต้องทุกข์ เราอาจจะทุกข์จริง แต่เราก็สุขได้ เพราะชีวิตคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ชีวิตประเสริฐกว่าตรงที่เราเลือกที่จะเป็นได้ ไม่ใช่จมอยู่กับสิ่งไหนก็จมอยู่อย่างนั้น หากความทุกข์เป็นขี้ แล้วท่านไม่เคยเอาชนะความทุกข์ได้ ท่านก็คือ “หนอนในขี้” เหม็นไหม (เหม็น) เราเกลียดไหม (เกลียด) แต่เราไม่ลุกออกจากมัน จำไว้นะ “ ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง และเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สามารถจะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ประเสริฐกว่าได้ ระหว่างรอให้คนดึงเราออก กับเราดึงตัวเราออกเอง อันไหนเก่งกว่ากัน (ดึงตัวเอง) ก่อนที่เราจะต้องทุกข์ เราต้องมองให้แจ่มแจ้ง ท่านต้องเข้าใจว่ากฎแห่งธรรมะ เป็นกฎแห่งชีวิตและหนี
ถ้าวันใดที่คนแข็งแรงต้องกลายเป็นคนเจ็บป่วย คนเคยพบต้องกลายเป็นคนพลัดพราก คนเคยมีต้องกลายเป็นคนสูญเสีย คนเข้มแข็งต้องกลายเป็นคนอ่อนแอ นั่นถือว่าเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ชีวิต แล้วเมื่อนั้นเราจะมีอะไรให้ยึดมั่น เราก็จะเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เรียกว่าเป็นเช่นนั้นเองยังมีเหตุปัจจัยที่เกื้อหนุนอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าสร้างเหตุดี ผลก็ดีตาม แต่ถ้าสร้างเหตุไม่ดี ผลก็ไม่ดีตาม เหมือนเรื่องๆ หนึ่งแม้จะไม่ดี แต่ถ้าคนใช้ชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและรู้จักมีปัญญา เรื่องไม่ดีก็แปรเป็นดีได้ แต่ในทางกลับกันถ้าหากเรื่องดี แต่คนใช้ชีวิตไม่เป็นเรื่องดีก็กลับกลายเป็น (ไม่ดี)
ฉะนั้นเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นกับเราที่ทำให้เราต้องทุกข์หรือสุข ได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ล้วนขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหนุนเนื่องด้วย ถ้าเหตุปัจจัยหนุนเนื่องทำให้เราต้องเจอกับเขาที่ฟ้าลิขิตไว้ว่าเขากับเราจะอยู่ด้วยกันจนตลอดอายุขัย แต่เผอิญปากเราก็รั่ว หูเราก็เอียง ใจเราก็บอด ท่านคิดว่าจะอยู่กันรอดไหม (ไม่รอด) ฉะนั้นแม้ความจริงจะหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นก็ยังมีเรื่องเหตุและผลเป็นปัจจัยหนุนเนื่องด้วย ถ้ากรรมดีเราสร้างได้ เรารู้จักให้ดูแลและโอบอุ้ม เอื้อเฟื้อและเอาใจใส่ แม้กรรมเราจะสิ้นและหมดกับเขาแล้ว เขาก็ยังอยากกลับมาหาเรา ฉะนั้นถ้าเรารู้จักควบคุมเหตุให้ดีผลก็จะนำพาให้เราไม่ต้องทุกข์เกินกว่าที่เป็น และทุกข์นั้นจะเป็นทุกข์ที่เราทำใจได้ เพราะมีใครบ้างที่เกิดมาแล้วไม่แก่ ไม่เหี่ยว เพราะนั่นคือ ชีวิต ในสิ่งที่สวยสดก็มีความเหี่ยวย่น ในสิ่งที่ดูหล่อภูมิฐานเข้มแข็งก็มีความอ่อนแอเปราะบาง
ถ้าเราเข้าใจชีวิตเราจะไม่ทุกข์กับชีวิต เราจะสามารถรับมือกับชีวิตและอยู่กับชีวิตได้อย่างมีความสุข เหมือนที่ชีวิตไม่เที่ยง ชีวิตต้องมีทุกข์ เมื่อมีทุกข์เราเลือกที่จะเป็นได้ เราเลือกๆ ได้ว่าจะจมกับทุกข์ หรือทำให้ดีขึ้น นี่แหละที่เขาเรียกว่า “รู้หนึ่งสิ่งก็เข้าใจทุกสิ่ง” ไม่ต้องออกนอกบ้าน เห็นตัวเองก็เห็นสรรพสิ่ง
ในโลกนี้ไม่เที่ยง และมีความทุกข์ที่ซ่อนอยู่นี้ ถึงที่สุดแล้วก็คือความว่างอันไร้ตัวตน คนใดที่พยายามยึดมั่นถือมั่นและลุ่มหลง คนนั้นก็คือ คนที่โง่จริงๆ เพราะเมื่อถึงเวลาแม้ตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ฟ้าและดิน น้ำ ลม ไฟ สิ่งที่เอาไปได้คือ กรรมที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเรา กรรมดีก็พ้นทุกข์หรืออาจพ้นทุกข์ไปเสวยสุข แล้วกลับมาเวียนว่ายวน กรรมชั่วก็ต้องตกลงไปรับเสวยผลกรรมนั้น แต่ยังมีกรรมที่วิเศษกว่ากรรมดี-ชั่ว นั่นคือกรรมที่พ้นดี พ้นชั่ว เหนือดี เหนือชั่ว คือการทำทุกสิ่งตามความถูกต้องด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ได้ทำเพราะอยากดี อยากเด่น หรือเพราะหลงในดี แต่ทำเพราะความถูกต้อง วิธีที่ทำให้เราทุกข์น้อยและเบิกบานที่สุด ง่ายๆ ข้อแรก “รู้พอก็เป็นสุข” ข้อสอง “ฝึกเมตตาเข้าไว้” เพราะด้วยจิตที่เมตตา ไม่ว่าเราคิด พูด ทำ เรายึดเมตตาเป็นหลัก เราจะไม่เบียดเบียนใคร เราจะไม่ทำร้ายใครด้วยกาย วาจา ใจ ทุกอย่างที่ทำไปเพราะต้องการช่วยเหลือและสงสาร เราไม่ได้ทำเพราะหวังที่จะยึดมั่นในความดี ข้อสาม “การอยู่กับปัจจุบัน” วิธีแก้ความทุกข์ง่ายๆ คือ (ยอมรับมัน) แต่บางทียอมรับไม่ได้ ทำใจไม่ไหว ตัวใหญ่ขนาดไหน เวลาพ่ายแพ้ ใจเหลือนิดเดียวเล็กยิ่งกว่ามดเสีย สอบตกทำใจได้ไหม จะต่อว่าใครได้ไหม (ไม่ได้) ต้องต่อว่าตัวเองอย่างเดียว แต่ยิ่งต่อว่าก็ยิ่งช้ำใจ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่ช่วยแก้เวลาเราเจอกับความทุกข์ที่มันต้องเปลี่ยนแปลง และทำให้เราเรียกว่า “ชีวิต” นั้นคือ การอยู่กับปัจจุบัน ที่เรารับไม่ได้เพราะเรามักคิดว่าเมื่อก่อนยังรักกันอยู่เลย เมื่อก่อนยังมีเงินอยู่เลย แล้วมันน่าจะอยู่อย่างนั้น ทำไมมันถึงไม่อยู่ เพราะเราลืมไปว่าชีวิตคือ ความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเราจำให้ได้ว่า “ชีวิตคือ การเปลี่ยนแปลง” วันนี้เขารัก พรุ่งนี้เขารักน้อยหน่อย วันนี้เขาชม พรุ่งนี้เขาต่อว่า เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เพราะเราอยู่กับปัจจุบัน จะว่าก็ว่าไป ถ้าว่าแล้วเขาหวังดีเราแก้ไขเสียก็จบ ถ้าว่าแล้วเราว่าตอบก็ไม่จบ กลายเป็นเราร้ายยิ่งกว่าเขาเสียอีก ถ้าเขาว่ามาแล้วเรายิ่งเย็น เขาว่ามาแล้วเรายิ่งยิ้ม คนที่ว่าเราจะเป็นอย่างไร เขาคงจะคิดว่าเมื่อไหร่เราจะโกรธ จริงไหม (จริง)
เมื่ออยู่กับปัจจุบันแล้ว สิ่งต่อไป ข้อสี่ คือ “ต้องอดทนอดกลั้นให้ได้” ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วและเจอคนที่ไม่ดี สิ่งที่ท่านต้องนำมาใช้คือ อดทนอดกลั้น ต้องอดทนอดกลั้นถึงขนาดไหนที่ทำให้บรรลุขึ้นไปสู่เบื้องบนได้ อยากรู้ไหม (อยากรู้) แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ทำได้ ลองฟังดู มีฤๅษีผู้บำเพ็ญธรรมเรื่องความอดทนอดกลั้นเป็นที่หนึ่ง ปรารถนาจะมาโปรดแผ่คนในเมืองหลวง ในเมืองหลวงก็ต้องมีพระราชา มีสนม มีคนเยอะแยะไปหมด ฤๅษีท่านนี้ยิ่งอดทนอดกลั้นมากเท่าไร ใบหน้าของท่านก็ยิ่งยิ้มแย้ม คนที่ใบหน้าใจเย็นยิ้มแย้มคนไกลก็อยากใกล้ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกเย็นใจและเป็นสุข เพราะคนที่มีความอดทนเป็นที่หนึ่งเป็นคนที่เมื่ออยู่ใกล้แล้วเราสบายใจ จึงทำให้สนมนางในที่หน้าตาสวยๆ ทุกคนอยากมาฟังฤๅษีท่านนี้ว่าท่านบำเพ็ญอย่างไรหน้าตาจึงได้ผ่องใสยามอยู่ใกล้แล้วถึงมีความสุข แต่พระราชาที่เคยเป็นคนยิ่งใหญ่ อยู่ๆ นางสนมไม่เข้าใกล้ตนกลับไปเข้าใกล้ฤๅษีที่บำเพ็ญพรต พระราชาก็แอบอิจฉา และโมโห เลยจับฤๅษีผู้บำเพ็ญขันติมาถามฤๅษีว่าท่านพูดเรื่องอะไรหรือ คนเขาถึงดีใจและยินยอมอยู่กับท่านเหลือเกิน ฤๅษีตอบว่า “เราพูดเรื่องขันติให้มีความอดทน” พระราชาถามต่อว่าท่านอดทนได้จริงๆ หรือ ฤๅษีบอกว่า “อดทนได้” เราต้องฝึกความอดทน เพราะชีวิตนี้ถ้าเราไม่อดทนก็จะไม่สามารถประสบผลสำเร็จอะไรได้” ฤๅษีสอนพระราชา แต่พระราชาโดนครอบงำด้วยความโกรธ ความหลงผิดและความยึดมั่น และคิดว่าตัวเองเป็นคนยิ่งใหญ่มาก่อนใครๆ ก็ต้องฟัง ต้องรัก ต้องมาอยู่ใกล้ แต่เมื่อฤๅษีนี้มา ทุกคนกลับไปฟังฤๅษีแทน เวลาพูดอะไรก็ยกคำพูดของฤๅษีมาพูด จึงรู้สึกรับไม่ได้ ด้วยความโกรธจึงตวาดไปว่า “อดทนมากนักหรือ” แล้วเอามีดฟันแขนขาด “ยังอดทนอยู่อีกไหม” ฤๅษีตอบว่า “อดทน” พระราชาจึงฟันอีกแขนอีกข้างหนึ่งขาด แล้วถามอีกว่า “ยังอดทนไหม” ฤๅษีตอบว่า “ต้องอดทนก็มันโดนอย่างนี้จะไม่อดทนได้อย่างไร” แต่คนเราเมื่อโกรธแล้วใครพูดอย่างไรก็ไม่เข้าหู ผู้บำเพ็ญเมื่อเจออย่างนี้แล้วร้องไห้ก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ ฤๅษีโดนฟันไปสองแขนยิ่งต้องอดทน พระราชายังไม่หายโมโห เลยฟันขาขาดทีละข้าง แล้วถามว่า “ยังอดทนไหม” ฤๅษีตอบว่า “ต้องอดทน” พูดอยู่แค่ว่า “ต้องอดทน” คำเดียว จนขาก็ไม่เหลือแขนก็ไม่เหลือ ยั่วอย่างไรก็ไม่โกรธ ยั่วอย่างไรก็ยังบอกว่า “ต้องอดทน ต้องอดทน ต้องอดทน” พระราชาโมโหมากจนขาดสติจึงเอามีดปักกลางอกฤๅษีตายทันที วิญญาณของฤๅษีนั้นไปสวรรค์ แต่วิญญาณของคนที่ปักคนกลางอกแม้แต่ธรณีก็ยังรับไม่ได้จึงสูบลงนรก เห็นไหมว่าคนคนหนึ่ง ถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่างไม่ย่อท้อด้วยใจที่เบิกบาน ด้วยใจที่เข้าใจชีวิต เราจะได้ไปเสวยสุขข้างบน ถ้าเราอดทนไม่ได้ ลำบากไม่เป็น ทุกข์แล้วไม่รู้จักเรียนรู้ เราก็คือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
ตอนนี้ชีวิตท่านมีทางเดินให้เลือกแล้ว จะเรียนรู้ให้เห็นแจ้งจริงในตนและนำพาตนให้พ้นทุกข์ หรือเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขแล้วหนีไม่พ้นการเวียนว่ายก็แล้วแต่ท่าน เราแค่พูดและชี้ทาง คนที่จะเดินแล้วไปปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลคือตัวท่านเอง อย่าคิดว่าชีวิตนี้ยังอีกยาว เดี๋ยวแก่ค่อยปลง ลองดูคนแก่ว่าปลงไหวไหม (ไม่ไหว)
ฉะนั้นแล้วจงรู้จักปลงตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอแก่แล้วค่อยปลง เพราะแก่แล้วเรายิ่งเหนียว และดื้อ ชีวิตที่ยังอ่อนๆ ยังดัดได้ ยังเปลี่ยนได้ แก่แล้วใครมาพูด ใครมาทำอะไรก็ไม่เชื่อ เพราะเชื่อตัวเองอย่างเดียว สุดท้ายตัวเองก็ทำให้ตัวเองทุกข์ที่สุด
มนุษย์เราจะไม่มีทางสำเร็จ ถ้าขาดซึ่งความอดทนและความเพียรพยายาม วันนี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ขึ้นอยู่กับความอดทนของท่านว่ามีมากน้อยแค่ไหน เรามีชีวิตแบบตามใจตัวเองมามากแล้ว วันนี้ลองมานั่งฟังธรรมเพื่อฝึกใจตัวเองให้อดทน อดกลั้น เพื่อเรียนรู้ตน แต่ก่อนอาจไม่เคยนั่งฟังใครได้นานและทนขนาดนี้ แต่ชีวิตนี้จะฟังสองวันให้ทนและนานจนจบให้ได้ ดีไหม (ดี)
อยากเรียนรู้และรู้จักชีวิตต้องยอมรับให้ได้เรื่องการเปลี่ยนแปลง เมื่อเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรอย่างตายตัว แต่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ไหลผ่านมาว่าล้วนคือความทุกข์ ความไม่เที่ยง เมื่อถึงเวลาเราต้องรู้จักปล่อยวาง ฉะนั้นจำไว้นะว่า เรามีชีวิตเรายืมเขามาใช้ ถึงเวลาท่านก็ต้องคืนเขาไป แต่เมื่อเอามาใช้จงอย่าใช้ให้เกิดกรรมที่เวียนไม่จบสิ้น แต่ใช้แล้วทำให้เราหมดกรรมหมดทุกข์ดีกว่า ทุกวันนี้เราอยู่กับคนอื่น เราสร้างกรรมสร้างทุกข์เพิ่ม เพราะเราเห็นแก่ตัวเองเลยไม่สนใจความทุกข์ของคนอื่น อย่างนี้ไม่ได้
สิ่งสำคัญแห่งการเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตอีกอย่างก็คือ หัวใจแห่งความเมตตา เมื่อเมตตาจะเท่าเทียม บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่ลำเอียง และจะรักได้ในทุกๆ คน ทุกๆ แบบ แต่เพราะไม่เมตตาเราจึงลำเอียง เพราะไม่เข้าใจในชีวิตเราจึงยึดมั่น เพราะไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงเราจึงหลงและทุกข์ไม่จบสิ้น แม้ชีวิตจะขึ้นหรือลงเหว แม้ชีวิตจะมีภัยพิบัติรอบตัวก็ตาม จงเบิกบานและมีความสุขและจงรู้ว่า ภัยใดก็ไม่น่ากลัวเท่ากับภัย
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมื่อความอยากพัดมาต้องตาไว เกิดความโลภในใจให้ไขว่คว้า
เกิดความหลงต้องมีต้องได้มา ทะเลใจตลอดชีวาถมไม่เต็ม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
คนทำดีมีค่าอยู่ในตัว แอบทำผิดใจระรัวไร้ราศี
เพียงเพื่อผลประโยชน์จึงทำไม่ดี เพื่อมากมีจึงทำผิดถลำไป
สุขตอนต้นทุกข์ตอนท้ายหนีไม่พ้น สร้างวังวนเวียนว่ายห้วงทุกข์ใหญ่
เพียงรู้หยุดสำนึกผิดเร่งแก้ไข กล้ารับผลตนทำไว้ด้วยอดทน
หมั่นสำรวจเรื่องผิดศีลอย่าได้ก่อ อบายมุขหนอหนีให้ไกลไปให้พ้น
นำธรรมะสู่ชีวิตตรวจสอบตน ด้วยเมตตาอันเปี่ยมล้นต่อเวไนย
รักเรียบง่ายความสงบและรู้พอ ด้วยสติปัญญาหนอรู้สร้างสรรค์
รักการให้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อกัน บำเพ็ญนั้นใช่เรื่องยากหากทำจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ร้องเพลงธรรมะอิ่มไหม (อิ่มใจ) ทานข้าวอิ่มแล้วฟังธรรมะ อิ่มไหม (อิ่ม) บางครั้งความสุขก็เหมือนหาง่ายเหลือเกิน แต่บางครั้งความสุขก็เหมือนหายากเหลือเกิน มาที่นี่ความสุขหายากไหม (ไม่ยาก) มาที่นี่ความสุขหาง่ายหรือความทุกข์หาง่ายกว่ากัน ความสุขหา (ง่าย) ความทุกข์หา (ยาก) อาจารย์คิดว่ามาที่นี่ความทุกข์หาง่าย ความสุขหายากเสียอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมเต้นเพลงธรรม)
ทำดีให้คนอื่นมีความสุขน่าจะรีบทำนะ เวลาทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วทำให้คนอื่นมีความสุข เราน่าจะกล้า แต่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้วทำให้คนอื่นทุกข์เราไม่ควรกล้า ฉะนั้นตอนนี้เราทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วทำให้คนอื่นมีความสุขเราน่าจะกล้าๆ กันหน่อย
ลงเรือลำเดียวกันแล้วทุกคนต้องช่วยๆ กันพาย ไม่ใช่ปล่อยเขาพายตัวเองนั่งมองหัวเราะเยาะได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมอย่าปล่อยให้คนอื่นมีความทุกข์แล้วเราสบายมีความสุขอย่างเดียวไม่ถูกต้อง คนอื่นทุกข์เราต้องช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นมีสุขแม้เราจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ เมื่อช่วยให้คนอื่นสุขแต่เราทุกข์เราต้องรู้จักยอม แต่วันนี้ศิษย์ยังไม่รู้จักวิธีนี้เราก็ต้องใช้วิธี เขาทุกข์เราก็ทุกข์ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เป็นธรรมดาในสังคมโลกกว้าง มีคนทุกข์ก็ต้องมีคนแอบอู้เอาเปรียบ อาจารย์จะดูว่าศิษย์ของอาจารย์ที่มานั่งฟังธรรมะจนถึงสองวัน และจบจากสองวันแล้วยังเป็นคนอู้เอาเปรียบคนอีกไหม อยากเป็นคนที่ชอบกินแรงผู้อื่นอีกหรือไม่ คนอื่นเขาทำงานกันเต็มไปหมดเลย แต่เราอู้ คนอื่นเขาลำบากกันเต็มที่แต่เราแอบสบาย ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แต่ศิษย์ของอาจารย์บางคนแอบเป็นอย่างนั้น หลบได้เป็นหลบ หลีกได้เป็นหลีก ใครลำบากช่างเขาตัวเองสบายไว้ก่อนอย่างนี้น่ารังเกียจที่สุด แต่เรารังเกียจได้ไหม (ไม่ได้) เราต้องทำใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมเต้นเพลงธรรม)
พูดขนาดนี้แล้วคนที่ไม่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมทำ ทำแบบเหยาะแหยะ อาจารย์ก็สุดแล้วแต่นะ เพราะพูดไปจนถึงที่สุดแล้ว เหนื่อยตัวเหนื่อยใจเปล่าๆ ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรมของเขา บ่นจนปากเปียกปากแฉะเขายังไม่เชื่อ เขายังไม่คิดจะทำดี ในสิ่งที่ควรทำ ก็ต้องปล่อยเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่เชื่ออาจารย์ ไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นไร แต่ลองคุยกันก่อนก็ไม่เสียหายใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ไม่ได้มาขอเงิน อาจารย์ขอเงินศิษย์สักบาทไหม (ไม่) ฉะนั้นอย่าเพิ่งกลัวว่าอาจารย์จะหลอกเลย กลัวโดนหลอกหรือ (ไม่กลัว) คนที่รู้จักทำอะไรด้วยสติปัญญาจะไม่มีวันโดนชักจูงได้ง่ายๆ แต่คนที่ทำอะไรด้วยความหลงงมงายย่อมถูกชักจูงได้ง่าย ถ้าศิษย์มีสติทำอะไรด้วยสติปัญญา ศิษย์จะโดนชักจูงง่ายไหม (ไม่ง่าย) แต่เพราะอะไรมนุษย์เราจึงขาดสติ แล้วปล่อยให้คนอื่นชักจูงง่าย บางทีเพียงเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ถึงคนฉลาดขนาดไหนก็เพียงเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ก็โดนหลอกให้กลายเป็นคนโง่ได้
ถ้าวันนี้อาจารย์จะมาบอกศิษย์ว่า ในโลกใบนี้มนุษย์มีทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ โรคทางกายว่ารักษายากแล้ว แต่โรคทางใจรักษายากยิ่งกว่า มนุษย์เมื่อเป็นโรคทางใจ เวลาเป็นแล้วก็รักษาไม่ได้ง่ายเลย หาหมอ หาวัด หาพระ บางทีหาแล้วก็แก้ไม่ได้ วันนี้อาจารย์จะมาช่วยศิษย์รักษาโรคทางใจดีไหม (ดี) การจะรักษาโรคทางใจนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุของโรคทางใจเกิดจากอะไร เรามักจะป่วยทางใจ โรคทางใจป่วยเพราะอะไรบ้าง ป่วยเพราะความคิดฟุ้งซ่าน ป่วยเพราะคิดมากวางไม่ลง ป่วยเพราะปรุงแต่งไปนั่นไปนี่ เห็นอย่างหนึ่งก็คิดไปโน่นคิดไปนี่ อย่างแรกที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ป่วยทางใจก็คือ ความคิด เมื่อไรที่เรามีชีวิตแบบปล่อยใจไปตามความคิด แล้วคุมความคิดไม่อยู่ ความคิดเตลิดจนทำให้หลับตาแล้วก็หลับไม่ลง เพราะหยุดความคิดไม่ได้ เมื่อหยุดความคิดไม่ได้ใจก็เหมือนไม่ได้พักผ่อน เหนื่อยเหลือเกิน แล้วก็ชอบคิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิด อย่างเรื่องที่คิดว่า ทั้งที่วันนี้มีเงินอยู่กับตัวก็ยังคิดว่าเงินจะหมดไปไหม หรือค้าขายอยู่ดีๆ ก็คิดว่าต่อไปจะขายได้ไหม ถ้ามนุษย์รู้จักสร้างเหตุที่ดีไยต้องกังวลผล หน้าตายิ้มแย้มขายของด้วยความซื่อตรง ของที่ใหม่ก็บอกใหม่ ที่เก่าก็บอกเก่า เก่ากับใหม่คนละราคา ไม่ใช่เก่ากับใหม่เหมารวมๆ กัน แล้วราคาเดียวกัน ใครเขาจะซื้อ
ฉะนั้นอย่ามัวแต่คิดแต่ต้องมองให้เห็นถึงความจริง จึงมีคำพูดกล่าวไว้คำหนึ่งว่า “มนุษย์มักจะปล่อยให้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริง แล้วปล่อยให้ความคิดนั้นครอบงำชักพาจนทำให้เราฟุ้งซ่าน” อาจารย์ยกตัวอย่าง มีชายคนหนึ่งตั้งใจไว้ว่าจะไปปลูกผักขาย แต่เผอิญว่าช่วงที่เดินอยู่นั้นเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอตายคาที่ คนที่ตั้งใจจะไปปลูกผักขายโยนจอบทิ้ง แล้วก็หิ้วกระต่ายไปด้วยความเริงร่า เพราะคิดว่าไม่ต้องปลูกผักขายแล้ว ได้กระต่ายมาหนึ่งตัวเอาไปขายก็ได้เงิน แล้วหลังจากนั้นมาเขาเลยไม่คิดปลูกผักขายอีก ไปนั่งเฝ้าตอไม้ตอนั้นรอว่ามีกระต่ายตัวไหนจะมาชนตออีก คิดอย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) แล้วมนุษย์เราเป็นอย่างนี้ไหม เรื่องที่ควรคิดไม่คิด คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด
ฉะนั้นถ้ามนุษย์เรารู้จักมองสิ่งใดด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้อารมณ์และความคิดครอบงำจนเกินไป เราก็จะมองเห็นความจริงแท้ของโลกใบนี้ได้อย่างแจ่มชัด แต่บ่อยครั้งที่เรามักจะใช้อารมณ์ความรู้สึกมานำพาชีวิต จึงทำให้เรามองเห็นเบื้องหน้าได้ไม่แจ่มชัด เรามักทำอะไรตามความอยาก
โรคทางใจของมนุษย์ที่เกิดอีกอย่างหนึ่งคือ เกิดเพราะความเคยชิน เคยชินว่าอีกสักพักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องให้นั่ง แต่ถ้าเกิดวันนี้อาจารย์บอกว่าไม่ต้องนั่ง ยืนคุยกับอาจารย์ไปเรื่อยๆ รับได้ไหม (ได้) ปัจจุบันนี้มนุษย์ทุกข์เพราะความเคยชิน ทั้งที่จริงๆ แล้วความเคยชินเป็นสิ่งที่เรากำหนด แล้วผลสุดท้ายใจเราก็ตกเป็นทาสของความเคยชินที่เรากำหนด เหมือนเมื่อก่อนถ้าตาเห็นอะไรก็ต้องเห็น อย่ามาปิดบัง
มีอะไรต้องให้เห็น เพราะอะไรมาปิดๆ บังๆ เราก็ยอมไม่ได้ พูดอะไรต้องพูดต่อหน้าให้ดังๆ ให้ได้ยิน อย่ามาแอบพูดลับหลัง รับได้ไหม (ไม่ได้) จริงๆ ชีวิตเป็นแบบนี้ไหม เราสามารถรู้ทุกเรื่องไหม บางครั้งต้องยอมรับ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เหมือนเวลาเรากินก็ต้องกินแบบมีเนื้อสัตว์ กินก๋วยเตี๋ยวก็ต้องรสนี้ กินผัดเผ็ดก็ต้องรสนี้ กินต้มยำก็ต้องรสนี้ ฉะนั้นพอใครต้มยำมาอีกรสหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าไม่อร่อย เราไม่ได้กินเพื่ออยู่ แต่กลายเป็น (อยู่เพื่อกิน)
ฉะนั้นเราเป็นโรคทางใจที่ติดความเคยชินทางตา ทางหู ทางปาก และความเคยชินในการอยู่อาศัย เหมือนอยู่บ้านต้องนอนหมอนสูงๆ เสียงต้องไม่ดังอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นนอนไม่หลับ มาอยู่ที่นี่อึดอัด ทำไมทุกข์อย่างนี้ เพราะไม่เคยชินเลยทุกข์ใจ แล้วใครจะเป็นผู้รักษาโรคใจนี้ (ตัวเราเอง) แล้วคนที่บ่มเพาะนิสัยนี้ให้กับตัวเองจนเป็นโรคทางใจคือใคร (ตัวเราเอง) กลายเป็นคนกินก็ยาก อยู่ก็ยาก นอนก็ยาก แถมยังเรื่องมากอีกต่างหาก ฉะนั้นถ้าหากโดนน้ำท่วมขึ้นมาทีตอนนี้ต้องกินง่ายอยู่ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เลือกไม่ได้ สิ่งที่อาจารย์พูดพอรักษาโรคได้บ้างไหม (ได้) อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกเรื่องหนึ่ง อย่ามัวแต่บ่นว่าเมื่อยขา ฝึกให้เคยชิน นั่งได้ก็ (ยืนได้) ยืนได้ก็ยืนต่อๆ ไปนะ อย่าลืมว่าไม่แน่นอน อย่าคิดว่านั่งได้ก็ยืนได้ แล้วแน่ใจหรือว่ายืนแล้วต่อไปจะได้นั่ง อาจารย์บอกว่าไม่ได้นั่ง ศิษย์ก็ต้อง (ยืนต่อไป) ฝึกให้ชินจะได้ไม่เป็นโรคทางใจ
ฉะนั้นวันนี้เรามีวันที่อาจได้เงินแต่วันอื่นเราไม่ได้เงิน เราก็ต้องรับให้ได้ ฝึกให้ชิน จะได้ไม่เป็นโรคทางใจ วันนี้ลูกเป็นเด็กดี แม่ชมเราว่าดี แต่วันหน้าแม่บอกว่าเราไม่ดี เราก็ต้องรับให้ได้ ทำใจให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกเรื่องหนึ่ง มีหญิงคนหนึ่งมีลูกสองคน คนหนึ่งขายของ เวลาขายของก็ต้องการอากาศดีๆ ถ้าฝนตกก็จะขายไม่ดี แต่ลูกเขาอีกคนขายร่ม แค่คิดก็เป็นอย่างไร ฉะนั้นวันไหนอากาศดีๆ วันนั้นเขาก็ทุกข์ใจ อากาศดีลูกคนที่ขายร่มต้องตายแน่ๆ เลย พอวันไหนฝนตก วันนั้นลูกคนที่ขายของต้องตายแน่ๆ เลย ไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ตก แม่ต้องตายก่อนลูกแน่ๆ เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะแม่เป็นโรคทางใจ ที่ถึงเวลาควรคิดกลับไม่คิด แล้วปล่อยให้ความเคยชินที่คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ก็กลายเป็นทุกข์ใจ ฉะนั้นถ้ารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น ฝนตกหรือไม่ตกก็ดีใจ แล้วเราเป็นอย่างนี้ไหม ทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็ดีใจ วันนี้โชคดีหรือจะโชคร้ายก็ดีใจ ฉะนั้นถึงจะฝนตกแดดออกก็ควรจะดีใจเพราะนั่นก็มีด้านที่ดีที่เราควรจะค้นแล้วหาให้เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดแบบกระต่ายชนตอ แล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่กระต่ายมันจะมาชนตออีก เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นฝนตกก็ดีใจ ฝนไม่ตกก็ดีใจ ได้ก็ดีใจ ไม่ได้ก็ดีใจ มีทุกข์ก็ดีใจ มีสุขก็ดีใจ โดนด่าก็ดีใจ โดนชมก็ดีใจ ฉะนั้นฝึกให้ชินแล้วเราจะได้มองเห็นความจริงของโลกใบนี้ และรับความจริงของโลกใบนี้ได้ในทุกๆ แบบ เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็มีปัญญามองให้ออก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์จะได้ไม่เป็นโรคทางใจ
“ชิน” แปลว่า “รับได้” “รับได้” แปลว่า “ทนไหว” จึงเกิดความชาชิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแปลว่ายืนต่อได้อีก
การรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ไม่จำเป็นต้องรู้มากมาย ขอแค่เพียงรู้อย่างเดียวคือ รู้เท่าทันตัวตน มนุษย์มักจะบอกว่า การรู้แจ้งแห่งธรรมะเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องไกลเกินตัว แต่ถ้าจริงๆ ศึกษาให้ดีเข้าถึงแก่นแท้จะรู้ว่า การรู้แจ้งแห่งธรรมะ ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ ขอเพียงรู้เท่าทันตัวของตนเองตนนี้ที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล แล้วเราจะดับเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลด้วยการรู้เท่าทันใจของตนเอง ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “มีหนึ่งจึงเกิดสรรพสิ่ง” เพราะมีหนึ่ง สรรพสิ่งจึงเกิดขึ้น ถ้าหยุดหนึ่งได้ สรรพสิ่งก็หยุดเกิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าเข้าใจตรงนี้ไหม ก็ดูไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) เพราะมีหนึ่งจึงมีความอยาก ความโลภ มีกิเลส ความหลง อวิชชา ทิฐิ ตัณหา อุปาทาน มีมากมายเต็มไปหมด เพราะเกิดมาจากแค่คนหนึ่งคนเกิดกิเลสตัณหามากมาย แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้หยุดหนึ่งได้ เราก็สามารถดับทั้งหมื่นพันร้อยกิเลสตัณหาได้
ฉะนั้นขอเพียงมนุษย์รู้เท่าทันจิตใจตน เราสามารถควบคุมหมื่นพันกิเลสตัณหาให้หยุดลงได้ที่หนึ่งเดียวได้ อาจารย์ว่ายากไป แต่พออาจารย์พูดง่ายๆ ศิษย์ก็บอกว่าไม่เห็นมีอะไร การตรัสรู้ที่แท้จริงไม่ใช่การรู้หมื่นพันคัมภีร์ แต่การรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมแห่งตัวตน คนทุกคนล้วนมีธรรม แต่ถ้าพูดอย่างนี้นึกไม่ออก อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นพัดอันนี้ไหม ก่อนมาเป็นพัดคือใบไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถเอามาสานได้ ก่อนเป็นใบไม้ก็เป็น (ต้นไม้) ก่อนเป็นต้นไม้ก็เป็น (รากแก้ว) แล้วก่อนจะเป็นต้นเป็นเมล็ดคืออะไร ไม่มีใช่ไหม (ใช่) อย่าลืมว่าก่อนเป็นตัวเป็นตนเรามาจากไหน (ข้างบน) แน่ใจหรือว่ามาจากข้างบน ถ้าทำอะไรและคิดดีเป็นหลัก ทำอะไรมีแต่เย็นใจสบายใจเป็นหลักนั่นมาจากข้างบน แต่ถ้าทำอะไรใจก็ร้อน เอาแต่ได้ เอาแต่หัวใจตนเองก็มาจากข้างล่าง ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าก่อนจะเป็นตัวเรา เรามาจากไหน เราก็มาจากธรรมชาติ และที่เราก็เติบโตจนมาเป็นเราก็เพราะว่าเกิดจากทุกๆ สิ่งในธรรมชาติจึงสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นเรา ซึ่งเรียกว่าธรรมชาติชนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสักวันหนึ่งเราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตรงนี้ เราจะโลภมากเกินไปไหม เราจะหลงเกินไปไหม เราจะโกรธหน้าดำคร่ำเครียดไหม เพราะถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ถึงที่สุดแล้วคนที่เราโมโหนั่นก็คือธรรมชาติชนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติที่วันนี้เมื่อขยิบตาแล้วเราเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มันส่งสายตาเราแล้วเรารู้สึกรำคาญใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นความเป็นธรรมชาติของทุกผู้คน เราก็จะเห็นว่าไม่น่าโกรธ ไม่น่าโลภ ไม่น่าหลง ไม่น่ารัก ไม่น่ายึด ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราทำเพื่ออะไร ก็เพื่อธรรมชาติตัวตนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอมีไปเยอะๆ เราตายไหม (ตาย)
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่าตั้งแต่เล็กจนโตมีกับไม่มีอะไรทุกข์มากกว่ากัน (มี) เพราะอะไรจึงคิดว่า “มี” ทุกข์มากกว่า เผื่อจะทำให้คนที่คิดว่า “ไม่มี” นี่แหละทุกข์มากกว่า มีเยอะก็ทุกข์เยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) วัยนี้ผ่านมาเยอะก็จะเข้าใจว่ามีเยอะก็ใช่ว่าจะดี บางครั้งไม่มีบ้างบางทีอาจจะสบายใจกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นรุ่นอายุน้อยๆ ที่คิดว่าไม่มีแล้วมีความทุกข์สักวันจะได้รู้ ถ้าได้เป็นรุ่นใหญ่ๆ ไม่มีเลยก็ไม่ดีแต่มีเยอะเกินไปก็ไม่ดี ฉะนั้นมีอย่างไรดี (มีแบบพอดี) แล้วเมื่อไรจะพอสักที มีก็ไม่ดี ไม่มีก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อย่างไรเรียกว่ามีพอดี พอดีเป็นเรื่องยาก มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มาตรฐานที่เรารู้ดีที่สุดคือหัวใจเราเอง รู้พอเมื่อไรเราก็สุขเมื่อนั้น แต่ถ้าไม่รู้จักพอ มีมากเท่าไรเราก็ทุกข์มากเท่านั้น ฉะนั้นถ้าเรารู้จักพอแม้จะมีน้อยเราก็มีสุขได้
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าสิ่งที่อาจารย์บอกนั่นก็คือว่าถ้ามนุษย์เข้าใจถึงธรรมชาติและเรียนรู้ธรรมชาติแห่งชีวิต มนุษย์ก็จะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วมีหรือไม่มีก็ล้วนทุกข์ไม่ต่างกันเลย เราสามารถเข้าใจและควบคุมใจตัวเองได้ หรือเราไม่สามารถควบคุมใจตัวเองได้ ไม่มีก็ทุกข์ มีก็ทุกข์ ฉะนั้นปัญหาทั้งหลายทั้งมวลในโลกนี้จะหยุดได้ก็ด้วยการที่เรารู้จักควบคุมใจตัวเอง วางใจให้เป็น คุมใจให้ได้ มีหรือไม่มีก็สุขได้เหมือนกัน แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ทำใจไม่ได้ มีหรือไม่มีก็ทุกข์ได้ทั้งนั้น
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เรียนรู้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้จักภายนอกเยอะแยะ แต่ภายในใจไม่รู้เลยก็น่าเสียดาย เราต้องรู้จักตัวตนเองบ้าง และรู้จักควบคุมใจตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อโรคทางใจเกิดขึ้นศิษย์จะแก้ไม่ได้ ศิษย์จะคุมมันไม่ไหว บอกให้หยุดคิดก็หยุดไม่ได้ บอกให้หยุดอยากก็หยุดไม่ได้สักที แล้วเหนื่อยไหมกับการวิ่งตามใจอยาก (เหนื่อย) เหนื่อยไหมกับความคิดที่หยุดไม่ได้ (เหนื่อย) เราจะรักษาโรคทางใจได้อย่างไร ถ้าเรามัวแต่ไปเรียนรู้ภายนอกแต่ไม่รู้จักเรียนรู้ตนเอง มัวแต่พยายามไปคุมคนอื่นแต่ไม่เคยคุมใจตัวเอง อาจารย์จึงอยากสอนวิธีคุมใจให้ศิษย์ เมื่อตาเห็นแล้วใจเราไหวไหม เวลาหูเราได้ยินใจเราไหวไหม แต่ถ้าเกิดว่าคนที่ให้อาจารย์มาตอนนี้เขาเริ่มหวั่นไหวว่า จะคืนมาไหมหนอ เงินของศิษย์ หากศิษย์ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะเอาไว้ให้ใคร ศิษย์ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเป็นเงินของศิษย์ที่อาจารย์เอามาถือไว้ แล้วอาจารย์ส่งให้กับคนอื่น ศิษย์ก็บอกว่าเอาคืนมาเถอะอาจารย์
ถ้าเราอยากควบคุมใจ เราต้องรู้จักควบคุมตั้งแต่ ตาดู หูฟัง ใจรู้สึกได้ยินอย่างไร ถ้าเราสามารถมองเห็นว่า เมื่อไรที่มีอะไรมากระทบ ตา หู แล้วใจเราคิดโกรธ โลภ หลง นึกคิดปรุงแต่ง รังเกียจ หรือรู้สึกดี รู้สึกร้าย แล้วเราหยุดใช้ความรู้สึกแล้วมองความรู้สึกนั้นว่า เที่ยงไหม เหมือนเวลาที่เราเห็นของสวยๆ เรารู้สึก ใช่ไหม (ใช่) ใครมีบีบี (BB) ไอแพด (IPAD) วัยรุ่นมักชอบ เห็นแล้วเราอยากได้ไหม ส่วนใหญ่ถ้าเราเห็นเราก็อยากได้ แต่ก่อนที่ศิษย์จะอยากได้เคยดูราคาบ้างไหม ไม่เคยดู ดูแต่ตอนนี้ว่าอยากได้ แล้วมีดีอะไรบ้าง จำแต่ข้อดีไว้ ส่วนราคาเท่าไรไม่ได้สนใจเลย จนกระทั่งถึงเวลาที่ศิษย์ต้องควักเงินจ่ายเองถึงได้รู้ว่าอย่าซื้อเลย ถึงแม้จะดีขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อเรามองแล้วเราก็จะรู้ว่า พอความอยากเกิดขึ้นมาแล้ว และเราได้อย่างที่ต้องการหนึ่งครั้ง สักพักไป บีบีที่เราดีใจและเรามีตอนนี้มันรู้สึกธรรมดา เหมือนเมื่อก่อนตอนศิษย์ยังไม่มีแบงก์พัน มีแต่แบงก์ร้อย ศิษย์ก็อยากได้แบงก์พันเหลือเกิน พอได้แบงก์พันมาตอนแรกก็รู้สึกดีใจ แต่พอแบงก์พันมาแบงก์เดียวเราเริ่มเฉย แต่ถ้าแบงก์พันมาหลายๆ ใบเราเริ่มดีใจ แล้วพันหลายๆ ใบก็จะกลายเป็นหมื่น แล้วหลายหมื่นก็จะกลายเป็น (แสน) หลายแสนก็จะกลายเป็นล้าน ศิษย์เคยคิดไหมว่าใจถมเท่าไรก็ไม่เต็ม ความอยากที่เรารู้สึกว่าอยากได้ แต่ก่อนร้อยบาทก็ดีใจจนเนื้อเต้น แต่ตอนนี้ร้อยบาทเป็นอย่างไร (เฉย) แต่ก่อนยังไม่ได้บีบี พอได้ก็ดีใจ เอาไปอวดเพื่อนว่าฉันก็มี แต่พอคนอื่นเขามี
ถ้าเมื่อไรตาเราเห็นหูเราได้ยินใจเราอยากได้ เราลองมองสิว่าเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป เราแค่พยายามมีชีวิตอยู่เพื่อสะสมความอยากให้เต็ม แต่แล้วก็ไม่เคยเต็ม เคยได้ยินไหมยิ่งมีมากค่ายิ่งลดลง แต่ยิ่งมีน้อยค่ายิ่งมากขึ้น ยกตัวอย่าง โทรศัพท์มือถือตอนยังไม่ซื้อราคาเท่าไหร่ พอซื้อมาแล้วราคาเหลือเท่าไหร่ พอใช้ไปแล้วเหลือราคาเท่าไหร่ ค่าของมันลดลงทันที ทั้งที่ตอนแรกโทรศัพท์อยู่ในตู้ค่าของมันสูงกว่าที่เรามีอีก ฉะนั้นของบางอย่างหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเป็นแค่ลมพัดผ่านชั่วขณะ ถ้าพัดผ่านมาแล้วทำให้เราเกิดความโลภที่ถมไม่มีวันเต็ม เกิดมาเพื่อสนองความโลภอย่างเดียว คนนั้นก็คือคนที่กำลังชี้นำชีวิตให้เดินไปสู่อบายภูมิ คนเราเกิดมาเพื่อสนองความอยากอย่างเดียว คนนั้นก็คือ คนที่เกิดมามีชีวิตแล้วนำพาชีวิตให้เดินไปสู่ทุคติภูมิ สิ่งที่เป็นวันนี้คือ สิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตในอนาคต ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์กำลังกระทำวันนี้ก็คือ ศิษย์กำลังปูทางสู่อนาคต เราเกิดมาเพื่อสนองสิ่งที่ตาอยากเห็นอย่างเดียวใช่ไหม แล้วสัตว์อะไรที่ไปตามตา เราเกิดมาเพื่อกินอย่างเดียวใช่ไหม อะไรที่แปลกๆ ก็กิน อะไรพิสดารเราก็กิน ตายไปแล้วเราก็ไปตามปาก มีอะไรขอดมไว้ก่อน ตัวต้องหอม ระวังหอมมากๆ ตายแล้วไปตามจมูก
ฉะนั้นชีวิตปัจจุบันเป็นตัวกำหนดอนาคต เราทำมาเราเกิดมาเพื่อมีชีวิตสนองกิเลสตัณหาเท่านั้น หรือว่าเราจะรักษาตัวให้พ้นจากกิเลสตัณหา แล้วพาตนเองไปสู่ทางแห่งการหลุดพ้น มนุษย์มี 3 ทาง ไม่นรกก็สวรรค์ แต่ถ้าพ้นนรกพ้นสวรรค์ก็คือ นิพพาน พ้นจากดีพ้นจากชั่วนั่นก็คือ นิพพาน
งานนี้จัดขึ้นได้เพราะต้องมีฐันจู่ที่คอยดูแลที่นี่ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นขอบคุณฐันจู่) เราต้องร่วมกันส่งเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยเขาก็คือช่วยเรา
ทำดีมีค่าอยู่ในตัวไม่จำเป็นต้องมีรางวัลเป็นตัวบ่งบอก อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้น ทำดีมีค่าอยู่ในตัวของตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องยกย่องอะไรมากมาย สำคัญแค่เรารู้จักคุณค่าของตัวเองหรือยังก็พอ
อาจารย์ถามว่าอะไร (เราจะรักษาโรคทางใจ) อยู่ที่ว่าเราจะวางใจให้เป็นอย่างไร ถ้าวางใจคิดให้เป็นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าวางใจคิดไม่เป็นก็สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)
(รู้จักปล่อยวาง) แต่ก่อนจะปล่อยวางต้องทำให้เต็มที่ก่อน แต่ถ้าทำเต็มที่แล้วไม่ได้ก็ต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลยแล้วเอาแต่ปล่อยวางอย่างเดียวก็ไม่ได้ (คิดดีทำดี) รู้จักคิดดีทำดี และต้องพูดดีด้วย (คิดบวกเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส) แต่ถ้าทุกคนไม่คิดบวกเราจะทำอย่างไร (ปล่อยวาง) แต่เราต้องรู้จักวางใจเป็นกลาง เพราะโลกนี้ไม่ใช่จะมีด้านบวกเพียงอย่างเดียวมันมีทั้งบวกและลบ และบางทีเราได้พยายามทำบวกให้เต็มที่ แต่คนบางคนกลับมองเป็นลบเราก็ต้องยอมรับเพราะนี่คือความสมดุลอันเป็นธรรมชาติ (คิดให้รู้จักพอ) แต่บางครั้งก็ต้องดูให้ออกว่าตอนไหนควรพอตอนไหนไม่ควรพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่แหละเรื่องยาก เราจะทำอย่างไรจึงควรจะหยุดความคิดว่าพอแล้วแค่นี้พอแล้ว อะไรที่จะทำให้เรามองเห็นว่าต้องพอได้แล้ว ต้องหยุดความคิดได้แล้ว ใจต้องคิดด้วย อะไรที่รู้เท่าทันความคิดแล้วหยุดความคิดได้ในทันที (ปัญญา) (ความอยากไม่สิ้นสุด) แล้วเราจะหยุดความอยากนี้ได้อย่างไร (สงบจิต ย้อนมองตัวเอง) กินยังต้องมีวันอิ่ม มองยังมีวันเมื่อยตาเลย แล้วใจไม่หยุดบ้างหรือ อะไรที่หยุดใจได้ ศิษย์ต้องคิดให้ออก
ถ้าวันนี้ศิษย์ยังคิดไม่ออก รอแต่คำตอบของอาจารย์ ต่อไปเมื่อศิษย์พยายามคิดศิษย์จะไม่ได้คำตอบเพราะเป็นคำตอบที่อาจารย์คิดได้ แต่ศิษย์ต้องคิดได้ด้วยปัญญาของศิษย์เอง อะไรที่ช่วยหยุดความคิด ความอยาก ความโลภ พอได้แล้ว ฉันเหนื่อยเกินไปแล้ว ฉันทุกข์มากแล้ว อะไรที่ช่วยหยุดได้ ศิษย์ต้องแก้ทุกข์ด้วยตัวเอง (บางทีต้องใช้ธรรมะช่วย) ธรรมะข้อใดที่ทำให้เราหยุดความอยากได้ (สวดมนต์) เวลาที่ตาเห็นเสื้อสวยๆ เราก็สวดนะโม ตัสสะ เหรอศิษย์ ทำอย่างไรคิดให้ออก (นิ่ง) เวลาเขาด่า เราก็นิ่ง แล้วเวลาเราอยาก เรานิ่งได้ไหม เคยไหมตัวเราบอกว่านิ่งไว้ แต่หลุดจากความนิ่ง ขาก็เดินไปเอามาแล้ว นิ่งได้แต่ต้องไตร่ตรอง ไตร่ตรองแล้วต้องปลงให้ตกแล้วคิดให้ได้ เหมือนที่อาจารย์บอกว่าวันนี้มีคนชี้หน้าด่าศิษย์ว่า ไอ้บ้า ไอ้โง่ ไอ้อ้วน ศิษย์จะทำอย่างไร (รู้ให้เท่าทันใจตนเองและเอาชนะจิตใจตนเองให้ได้)
การจะรู้เท่าทันได้ สิ่งที่สำคัญก็คือ สติ และการที่จะทำให้สติสามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างและวางความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงได้ก็คือ ปัญญา หรือที่มนุษย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สติสัมปชัญญะ” สติคือ ความรู้เท่าทัน สัมปชัญญะคือ รู้ชัดแจ่มแจ้งในสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำ (ความคิดของเราถึงจะแน่ใจ) บางทีก็ตายเพราะความคิด แล้วจะหยุดความคิดได้อย่างไร ศิษย์เอยเรามีของดีอยู่กับตัว สิ่งที่ควบคุมเราไม่ให้ฟุ้งซ่าน สิ่งที่ควบคุมเราไม่ให้ทุกข์จนเกินไป เรามีของดีอยู่กับตัว (ความพอ) ความพอก็ใช่ แต่เรารู้พอได้ด้วยอะไร (สติ) สติสัมปชัญญะ (สามัญสำนึก) ตอบได้ดี สามัญสำนึกที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยากมากเกินไปไหม ถ้าอยากแล้วทำให้เราเป็นคนไม่ดี อย่าอยากเลยดีไหม ถ้าอยากแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน อยากน้อยหน่อยดีไหม ถ้าอยากแล้วทำให้เราต้องทุกข์ขนาดนี้หยุดเสียเถอะ มีสามัญสำนึก มีจิตสำนึกที่ดีงาม
อะไรที่จะช่วยให้เราหยุดโรคทางใจ หยุดความผิดบาปในโลกใบนี้ หยุดความผิดบาปที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ให้ลุกลามกลายเป็นโรคแห่งความโลภ โกรธ หลง ที่ไม่รู้จักพอ อะไรที่จะหยุดกิเลสในใจเราได้ (ความคิดของตัวเราเอง) ความคิดของตัวเราเองจะหยุดตัวเราได้จริงหรือ หยุดได้แค่ชั่วขณะ ถ้าเราไม่มีอะไรคอยควบคุมกำกับ ความคิดก็จะง่ายๆ สังเกตเวลาศิษย์เห็นสิ่งหนึ่ง ศิษย์คิดดี คิดสูงหรือคิดต่ำ คิดเป็นมงคลหรือคิดอัปมงคล มนุษย์ง่ายที่จะคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูงนะ แม้แต่ความคิดบางครั้งก็เชื่อไม่ได้ และทำให้เกิดโรคได้บ่อยที่สุด ฉะนั้นสิ่งที่คอยควบคุมความคิด และทำให้ความคิดเราไม่ไหลลงต่ำนั่นคืออะไร อะไรที่ใช้ควบคุมความคิด (สติปัญญา, จิตใจ) ตัวเราแบบไหนที่ควบคุมไม่ให้เราคิดต่ำ แต่ให้เรารู้จักคิดสูงและคิดในทางที่ถูกต้องและดีงาม นั่นก็คือ ตัวเราที่ประกอบไปด้วยศีลธรรม ใช่ไหม (ใช่) คิดแบบนี้จะกลายเป็นคนโลภ คิดแบบนี้จะกลายเป็นคนโกรธ คิดแบบนี้จะไร้เมตตา คิดแบบนี้คือการฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น คิดแบบนี้คือเป็นชู้ทางใจ ทำแบบนี้คือมีกิ๊กข้างนอก ฉะนั้นสิ่งที่จะคอยควบคุมความคิดให้ความคิดเดินไปในทางที่ถูกต้อง ไม่เป็นโรคทางใจ นั่นคือ “ศีลธรรม” มี “ศีล” เมื่อไรก็มี “ธรรม” เมื่อนั้น เมื่อมีศีลมีธรรมก็จะเกิดความบริสุทธิ์ทางจิตใจ เมื่อมีความบริสุทธิ์ใจที่มั่นคงแล้วก็จะเกิดปัญญาแห่งการรู้ชัดแจ่มแจ้ง แต่ตอนนี้มนุษย์ ศีลก็ยังไม่มั่นคง ธรรมก็ไม่บริสุทธิ์ ปัญญาจึงไม่เคยเกิด
ศีลห้าข้อมีอะไรบ้าง ศีลก็คืองดเว้นไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ฆ่าสัตว์ทำให้เกิดคุณธรรม คือ มีเมตตา ถ้าเรามีเมตตาต่อทุกคน เราจะคิดร้าย เราจะทำร้ายเขาไหม (ไม่)
(ไม่เสพสุรา) ข้ามไปหลายข้อนะ ถ้าไม่เสพสุรา ไม่ติดของมึนเมา ทำให้มีอะไรเป็นคุณธรรม
(ไม่ฆ่าสัตว์) แล้วเราฆ่าไหม แล้วที่กินอยู่ทุกวันอยู่ในท้องเป็นสุสาน มีกี่ตัว ไม่ฆ่าแต่ให้คนอื่นฆ่าถูกไหม (ไม่ถูก) (ไม่ลักทรัพย์, ไม่พูดปด, ไม่ประพฤติผิดในกาม)
ศีลห้าข้อทำให้เกิดคุณธรรมทั้งห้า คือ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม
สิ่งที่จะช่วยเยียวยารักษาจิตใจคือ สติปัญญาและศีลธรรม แต่มนุษย์กลับเพิกเฉยไม่สนใจเรื่องศีลธรรมเลย จึงทำให้มนุษย์นั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี คิดว่าเอาตัวเองรอดก็พอ มีชีวิตอยู่กินไปวันๆ ก็พอ คุณความดีไม่ต้องสร้าง อาจารย์ถามหน่อยว่า คุณความดีหรือบุญกุศลที่ชีวิตหนึ่งเราสามารถทำได้และทำได้บ่อยๆ มีอะไรบ้าง (ช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อตกยาก, ช่วยล้างห้องน้ำ, ช่วยคนแก่ข้ามถนน) เห็นแต่มองสาวๆ ขับรถซิ่ง ไม่เคยเหลียวแลคนแก่ มีวันไหนที่เราขับมอเตอร์ไซด์แล้วเมื่อเห็นคนแก่ ถามว่ายายจะไปไหน จะพาไปส่ง ก็ไม่มี
(กตัญญูรู้คุณ) แล้วเรากตัญญูต่อบิดา มารดาหรือยัง ทำหน้าที่ของตัวเองได้สมบูรณ์หรือยัง แล้วต่อไปจะทำไหม จงรักคนที่ควรรัก อย่ารักคนที่ไม่ควรรัก ไม่อย่างนั้นจะหาทุกข์ใส่ตัว อย่ารักคนข้างนอกบ้านจนลืมคนในบ้าน เราชอบเป็นแบบนี้ใช่ไหม อย่ามัวแต่ดูแลคนนอกบ้านแต่ทอดทิ้งคนในบ้าน อย่างนี้หาเรียกว่า คนกตัญญูไม่ (ช่วยคนป้องกันน้ำท่วม) ฉะนั้นรู้จักทำในสิ่งที่มีประโยชน์ แล้วเวลาพูด เวลาคิดอะไร หรือเวลาดื่มเหล้าก็อยู่ให้ไกลๆ ผู้คน เพราะอาจจะทำร้ายคนโดยไม่รู้ตัว หรือทางที่ดีไม่ดื่มเหล้าเลยจะได้ไม่ทำให้ใครต้องทุกข์ เพราะดื่มเหล้าไปก็เหมือนฆ่าตัวเอง อยากอายุสั้นไหม (ไม่อยาก) ถ้าไม่อยากก็หยุดก่อนที่จะฆ่าศิษย์ให้ตายทั้งเป็น
(นึกถึงเวลาตอนที่พ่อแม่สั่งสอนดุด่า) เพราะตอนนี้เรากำลังจะเป็นแม่คนแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเวรกรรมจะไปตกที่ลูก ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วลูกเราก็จะย้อนมาทำกับเรา (กินเจ) กินเจแล้วเราจะกินได้ตลอดไหม แค่ไม่เบียดเบียนทำร้ายสัตว์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม หยุดดีไหม ด้วยการเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ หนึ่งมื้อ หยุดสักหนึ่งมื้อ ปีหน้าหยุดสักสองมื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือไม่ก็เริ่มต้นด้วยการไม่กินสัตว์ใหญ่ก่อน ได้หรือไม่ (ได้) ทำให้ได้อย่าเพิ่งยอมแพ้เสียก่อน
(รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่และมีความซื่อตรง มีความจงรักภักดีต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ กตัญญูรู้คุณ ทำบุญ) ทำบุญแล้วต้องไม่ติดในผลบุญจึงจะประเสริฐกว่า (รู้จักเมตตาต่อผู้อื่น) แล้วกับพ่อแม่เมตตาบ้างไหม รู้จักรักเคารพผู้ใหญ่และเมตตาผู้น้อย
(ดูแลพ่อแม่เมื่อยามเจ็บป่วย) ดูแลพ่อแม่เมื่อยามดีและยามร้าย (ไม่ลบหลู่คุณคนและครูอาจารย์ ได้มารับธรรมะ) ได้มารับธรรมะสิ่งที่ดีที่เราควรทำในชีวิตมีอะไรบ้าง รับธรรมะรับได้ครั้งเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) มีโอกาสมาเพิ่มพูนปัญญาตัวเองด้วยการฟังธรรมะ และอุทิศสิ่งที่ตัวเองรู้เข้าใจให้กับวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกครั้งที่ทำดี ทำบุญ ก็ให้รู้จักแผ่อุทิศส่วนกุศลนี่ก็เรียกว่าสิ่งที่ดี เวลาใครทำให้โกรธก็แผ่เมตตาจิตอย่าโกรธตอบ
(ช่วยเหลือผู้อื่นตามแก่กำลังมี ให้อภัย) (ไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อนทั้งกาย วาจา ใจ, ทำให้ดีจะได้ไม่มีใครมาว่าเราได้) เป็นปกติที่ทำดีก็ยังโดนว่า แต่เวลาโดนว่าเราต้องรู้จักที่จะไม่ถือโกรธ เพราะเป็นเรื่องปกติ (ดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด) เพราะเราเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ถ้าเรารู้จักดูแลพ่อแม่ให้ดีลูกก็จะเรียนรู้โดยที่เราไม่ต้องพูดให้ปากเปียกปากแฉะ (รู้จักให้อภัย, รู้จักทำดีเป็นตัวอย่าง, ตั้งใจเรียนและรู้จักบุญคุณพ่อแม่) เราลงแรงทำแต่ให้คนอื่นรับผลนี่แหละคือ ดีที่ยิ่งใหญ่ เรามักจะทำแล้วก็หวังผลให้แก่ตัวเอง
เมื่อไรที่ใจศิษย์เคลื่อนไหว ขอจงย้อนกลับมาคิดสักนิดหนึ่งว่า ที่เคลื่อนไหวไปนั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม จะมีผลกระทบต่อคนในภายหลังหรือไม่ อย่ามองแต่เพียงว่าฉันสุข ที่เหลือแม้จะต้องทุกข์ก็ช่าง แน่ใจหรือว่าตัวเราสุขแล้วคนที่ทุกข์เขาจะไม่ย้อนกลับมาให้คนที่สุขนั้นต้องทุกข์เหมือนกัน คิดให้ดีๆ เพราะถ้าโลกมีภัยคนที่สุขหรือทุกข์ก็ต้องโดนทั้งนั้น มีแต่คนที่มีปัญญาและรู้จักคิดได้เท่านั้นที่จะแปรเปลี่ยนภัยให้กลายเป็นสิ่งที่ดีงาม ฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่เหมาะกับศิษย์ทุกๆ คนมาก ขอจงรู้จักมีจิตที่รู้เท่าทันตนเอง มีสติปัญญารู้เท่าทันจิตใจของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นแล้วใจของมนุษย์นั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะคิดเข้าข้างตัวเองและถือตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางโดยไม่สนใจใคร หรือบางทีเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น ถ้าเกิดความคิดเราผิดล่ะ ไม่เท่ากับว่าเราตีทุกคนให้เลวร้ายหมดหรือ ถ้าเกิดในใจศิษย์ขาดศีลธรรม มาตรฐานของหัวใจศิษย์ก็พร้อมจะตีคนให้ตายทั้งเป็นได้ในทันที ฉะนั้นทำอะไรอย่าลืมว่าเกิดเป็นคน และที่เขาเรียกว่า คนประเสริฐ ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงที่มีความคิดและนำพาความคิดให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ไม่ใช่เป็นคนประเสริฐแต่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ โดยไม่สนใจใคร อย่างนั้นหรือเรียกว่า คนประเสริฐ แต่เป็นอะไรที่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ กินอยู่หลับนอนแล้วก็สืบพันธุ์โดยไม่สนใจความถูกต้องดีงาม เขาเรียกว่า คนในคราบอะไร เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์หัวตั้งตรงชี้ฟ้าจงทำอะไรให้ไม่อายฟ้าไม่อายดิน นั่นคือ มีศีลมีธรรม และรู้จักนำพาชีวิตด้วยการปรกโปรดผู้คน หรือนำพาผู้คนให้พ้นทุกข์ ไม่ต้องมีความทุกข์อันเกิดจากตัวเรา
อาจารย์มาวันนี้อาจารย์ก็คิดหนัก คิดหนักตรงที่ว่าศิษย์จะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร ถ้าศิษย์ยังนำพาชีวิตได้ไม่ถูกต้อง ตอนนี้ศิษย์อาจจะยังไม่เห็นผลของการกระทำของตนเอง แต่ต่อไปภายภาคหน้าคนที่ต้องรับผลของการกระทำของตัวเองก็คือตัวศิษย์เอง ฉะนั้นไม่รู้จักใช้ธรรมะค้ำชูจิตใจ ใช้ศีลธรรมยับยั้งใจบ้าง คนที่หาเรื่องให้ตัวเองต้องทุกข์ที่สุดไม่ใช่คนอื่น มองให้ดีๆ ถึงที่สุดก็คือตัวเราเองทั้งนั้น จริงไหม (จริง) บำเพ็ญธรรมจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ ตรวจสอบตน ไม่ตรวจสอบใคร เข้มงวดตน ไม่มีเวลาไปเข้มงวดใคร ลงแรงที่ตัวเอง แล้วถึงเวลาก็เอาไปช่วยคนอื่น ถึงเวลาเราทำได้ดีแล้ว บางทีไม่ต้องพูดเขาก็เดินตามมาเอง แต่ที่ยังต้องพูดปากเปียกปากแฉะก็เพราะเรายังไม่ดีพอ ทำอะไรก็ต้องอธิบายว่าอะไรถึงจะเรียกว่าดี ฉันเป็นอย่างนี้นะ นั่นคือเรายังดีไม่พอ ถ้าดีพอไม่ต้องอธิบาย ผลของการกระทำของเราจะสั่งให้เขาเห็นเอง ว่าเราดีจริงไหม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราต้องอธิบายเราต้องแก้ตัว เรายังไม่ดีนะศิษย์ จริงไหม (จริง) ดูใจตัวเองให้เห็น คุมใจตัวเองให้ได้ แล้วศิษย์จะไม่เป็นโรคทางใจ โรคที่ทำให้เราเวียนว่ายอยู่บนโลกใบนี้ไม่จบสิ้นคือโรคที่น่ากลัวที่สุด โรคที่ทำให้ศิษย์ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก ชีวิตนี้ยังทุกข์ไม่พออีกหรือ แน่ใจเหรอสิ่งที่ศิษย์บอกว่าสุข นั่นคือสุขแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์หลอกตัวเองเหรอ เราพยายามกลบไม่ให้ตัวเองเห็นความทุกข์ แล้วพยายามทำให้ตนเองมีความสุข จริงๆ แล้วนั่นคือสุขไหม ลึกๆ ทำไมเราจึงรู้สึกว่ากลัวทุกข์เหลือเกิน คนที่เข้าถึงหนทางดับทุกข์ได้แท้จริงคือคนที่ไม่กลัวทุกข์ แต่คือคนที่รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ได้
ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์ ถ้าวันหนึ่งอาจารย์ไม่อยู่แต่จงรู้ไว้ว่า ศิษย์ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ถ้าวันหนึ่งศิษย์ไม่เห็นอาจารย์ศิษย์ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความคิดโง่ๆ เลยนะ อย่าไปแล้วไปเลยได้ไหม อย่าปล่อยให้แสงสีของโลกภายนอกมาดึงศิษย์ไปนะ นำพาชีวิตให้ดี และอย่าทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง อย่าทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์ อย่าคิดว่าอาจารย์มาหลอกเลย เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามได้ไหม อย่าทำตัวเป็นคนเหลวไหล รู้จักนำพาตัวเองและนำพาผู้อื่น อายุมากแล้วเวลาเหลือไม่มากแล้วนะ กลับมาช่วยที่นี่อีกนะศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ นำพาชีวิตตัวเองด้วยศีลธรรมและความถูกต้องดีงาม อย่ามัวหลงกับโลกใบนี้เลย โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ายึดถือเลยนะ มีแต่ทำให้ทุกข์มากกว่า คิดให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญดีๆ นะ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดูใจเคลื่อนไหว”
ในยามที่คนตกใจไร้สติ
ทิฐิสิก่อเกิดแล้วนิ่งไม่ไหว
ความเครียดที่ไร้ทิศทางในจิตใจ
หยุดไม่ได้ไหนเลยได้เห็นความจริง
รู้ความจริงยอมรับในสิ่งที่เป็น
มีสติตามดูเห็นใจยวดยิ่ง
ใจไร้ใจนั้นจึงจะเป็นทุกสิ่ง
ใจเป็นลิงเป็นม้าหรือเป็นผู้เบิกบาน