แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อิ๋งเซียน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อิ๋งเซียน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-22 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

西元二○一九年歲次己亥五月二十日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒               สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
  คนไม่รู้เกิดมาเพื่ออะไร                  แม้ตายไปไปไหนก็ไม่รู้
ปัจจุบันก็ไม่รู้ทำอะไรอยู่                 เลยไม่รู้ต้องต่อสู้กับสิ่งใด
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

   ทำไมใช้ชีวิตเยอะแต่คนแย่              ยุ่งกว่าแม้ในสงบไม่สงบ
ชีวิตมัวจับยามในทางลบ                 กระทบก็ต่างเปิดขันธ์ไม่ควบคุม
จัดชีวิตเป็นกว่าเดิมเพิ่มระเบียบ          ปัญหาเพียบใช้เรื่องร้อนสอนสุขุม
อะไรมาจะอะไรก็ไม่กลุ้ม                  วาจานุ่มงานสะท้อนค่าของคน
พบปะแค่สังสรรค์เป็นเรื่องเล่นเล่น       ทว่าอย่างมาบำเพ็ญต้องเห็นผล
อยู่ด้วยกันเหมือนกระจกสะท้อนตน     โดนวานไหว้โดนบ่นเรื่องธรรมดา
จงใส่ใจบำเพ็ญเป็นคนใหม่               เช้าเข้าใจเย็นถึงมั่นคงหนา
คนเดียวกันดื้อรั้นเจ้าปัญหา              อนิจจาหัวดียึดไม่มีดี
สติใช้ชะลอคุ้มครองพูดคิด                มีชีวิตมากกว่าตามหน้าที่
สร้างเต็มค่าตัวเองเปล่งราศี              มีเวลาไม่ทำดีทำอะไร
หากหงอยเหงาหงอหงอคือชีวิต          เลือกใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาได้
หลงปัญหาคิดไม่ออกเพราะอะไร         จิตกระพือคิดพอใจใส่อารมณ์
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ




ชีวิตหนีไม่พ้นความเกิดและความตาย ใช่ไหม (ใช่)  เคยสงสัยไหมเกิดมาเพื่ออะไร (เคย)  ตายแล้วจะไปไหน บางคนก็บอกว่า เกิดมาก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่เพราะเดี๋ยวตายไปก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว จริงไหม (จริง)  เเต่ท่านเคยได้ยินไหม จิตเป็นเนื้อนาบุญ ปลูกสิ่งใดได้สิ่งนั้น ถ้าทุกวันเราปลูกเเต่กิเลสตัณหา ความอยากได้ใคร่มีไม่เคยหยุด เหตุปัจจัยเเห่งความอยากยังไม่สามารถหยุดได้ ยังคงอยู่ต่อเนื่องในจิตใจ เมื่อยามมีชีวิตเรายังหยุดไม่ได้ แล้วถ้าตายไปจะหยุดได้ไหม นั่นอาจจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเกี่ยวเนื่องและเวียนวนก็เป็นได้
เหมือนที่มนุษย์มักจะพูดว่าเมื่อจิตดับไปแล้วมีความห่วงหาอาทร จึงทำให้จิตนั้นไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสงบสุข ถ้าจิตของมนุษย์ยังมัวติดอยู่กับตัณหา เเละความอยาก กิเลสตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้มนุษย์หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไรที่ยังมีหน่อเนื้อแห่งการอยาก เมื่อไรที่ยังมีเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอยู่ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายกลับมาเกิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์มักจะพูดว่า ความตายน่ากลัว แต่พุทธะกลับบอกว่าการเกิดมาแล้วต้องรับผลซึ่งความทุกข์ ความเจ็บปวดและความตายอันนับไม่ถ้วนนั้นน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  เพราะความเกิดเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้าเมื่อไรที่จิตใจของมนุษย์ยังไม่ยั้งหยุดเมล็ดพันธุ์เเห่งความอยาก มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไรก็จงมองดูปัจจุบันหรือเมื่อยามมีชีวิต เพราะชีวิตปัจจุบันเป็นตัวกำหนดภพภูมิในอนาคต หรือที่พูดอย่างง่ายก็คือ ถ้าใสบริสุทธิ์ก็กลับคืนฟ้า เเต่ถ้าจิตหนักขุ่นหม่นหมองก็ลงสู่พื้นพสุธา อย่างนั้นลองทบทวนตนว่าเราเกิดมาเพื่ออยากหรือเกิดมาเพื่ออะไร สนองความอยากให้เต็มที่เเล้วจบกันใช่หรือไม่ หากทำเพื่อสนองความอยากเต็มที่เเต่ไม่จบ เเล้วกลับกลายเป็นเหตุปัจจัยเเห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้นเราจะทำอย่างไร ถ้าชีวิตนี้เป็นเเค่การเริ่มต้นเเละกำลังจะไปต่อเราพร้อมหรือยังที่จะไปต่อ พร้อมแล้วหรือยังไม่รู้อะไรเลย บางคนก็เเก้ด้วยการทำบุญทำกุศล เเม้หากทำบุญมากเเค่ไหน เเต่บาปไม่ละ กรรมก็ตามทันจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ทำบาปนั่นเรียกว่าบุญแล้วประเสริฐกว่าไหม
เปรียบอย่างง่ายว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ไม่มีใครตอบได้ เเต่ความเป็นจริงเเห่งธรรมล้วนให้คำตอบอยู่ในใจ เเต่ไม่เคยมีใครหยั่งรู้ ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อดับ เเต่เรามีชีวิตอยู่เพื่อดับหรือเพื่อเกิด เเละทุกขณะที่เราทำเป็นไปเพื่อดับหรือเป็นไปเพื่อสนองความอยากได้ใคร่มี ความจริงเราต้องกลับไปสู่ความดับ ทุกชีวิตล้วนเผชิญความดับ เราจะกลับคืนสู่ธรรมที่เรามาได้ก็ต่อเมื่อเราดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรม
แต่ชีวิตของคนไม่เคยสอดคล้องในธรรม ธรรมสอนให้เราเกิดเพื่อดับ มาว่างเปล่าก็ต้องไปว่างเปล่า แต่เราไม่เคยว่าง เราไม่เคยดับได้จริงๆ เราเกิดแล้วก็เกิดอีก อยากแล้วก็อยากอีก มีชีวิตเพื่อถมความอยากให้เต็ม ทั้งที่ธรรมก็บอกอยู่เสมอว่า ใจที่ถมความอยากไม่มีวันเต็ม มีแต่ใจที่หยุดความอยากได้ จึงจะถมได้เต็ม ถ้าชีวิตนี้เรารักชีวิตและเรารับผิดชอบต่อชีวิตตัวเราเองได้ ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ถ้าชีวิตนี้เรายังรักตัวเองไม่พอ เรายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ความทุกข์ก็เป็นเรื่องที่ท่านหนีไม่พ้น และน่ากลัวอยู่ทุกๆ วัน จริงไหม (จริง)  แล้วไยจึงไม่หาทางพ้นทุกข์หนอ
เหมือนเมื่อก่อนเราหาเพื่อความมี เราหาเพื่อจะได้ไม่จน เราหาเพื่อชีวิตจะได้ไม่ลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าตรงไหนคือสิ่งที่เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา แต่ตอนนี้เรามี มีในสิ่งที่เราไม่เคยมี มีทุกอย่าง แล้วเรากำลังสู้อยู่กับอะไร ความยากจนภายนอก หรือความยากจนในใจ เรากำลังสู้เพราะเราอยากมี หรือเราสู้เพราะลึกๆ แล้วเรากลัวที่จะไม่มี แต่มนุษย์มักจะหาแล้วหลงลืมว่า จริงๆ แล้วเราหาเพื่อมี หรือเราหาเพื่อชนะใจตัวเองที่กลัวความจริง ถูกไหม (ถูก)  หาไปเพื่ออะไรไม่รู้ หาไปทำไมก็ไม่รู้ ถามว่าแต่ก่อนหาเพราะว่าอยากมี แต่ตอนนี้มีแล้ว แต่ทำไมยังต้องหา เพราะลึกๆ คือกลัวจะรับกับความไม่มีไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วความไม่มีคือความจริงแท้แห่งสัจธรรม และทุกคนต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้เราอยากได้ อยากกินอะไรเราไปหาได้ วันนี้เราอยากทำอะไรเราทำได้ แต่ถ้าวันหนึ่งท่านทำอะไรไม่ได้อย่างที่อยาก ความทุกข์นั้นอยู่ในใจ ให้ใครช่วยซื้อก็ไม่ถูกใจ ให้ใครทำให้ก็ไม่ถูกปาก แต่สิ่งที่เราต้องเอาชนะให้ได้ เราต้องสู้ให้ได้นั่นคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นลองถามตัวเองดูว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไร เรากำลังหาอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วหาไปถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทิ้งทุกอย่าง ได้ไปจนถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องวางทุกอย่าง อย่างนั้นทำไมเราไม่ฝึกอะไรที่ทำให้เราได้ไปด้วยและก็ทำใจวางได้ด้วย มีไปด้วยก็เข้าใจความไม่มีไปด้วย ซึ่งนั่นคืออะไรก็ไม่รู้
หลายคนมักจะถามว่า มาฟังธรรมะทำไม ธรรมะก็รู้อยู่แล้ว แต่แปลกตรงที่รู้อยู่แล้วแต่ไม่เคยทำได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรามามองกันง่ายๆ คร่าวๆ ก่อนดีไหม โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมะกับพูดถึงเรื่องทางโลก ก็เหมือนอยู่ตรงกันข้ามกัน จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดถึงทางโลก เราก็มักจะนึกถึงความฝัน ความอยาก กิเลส ตัณหา และความวุ่นวาย ในโลกยังมีความสุขด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความสุขก็มีความทุกข์ เมื่อพูดถึงโลกก็หนีไม่พ้นสุขทุกข์ ความอยาก กิเลส ตัณหาและความวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดถึงทางธรรมจะเรียกว่าสงบ เย็น มีสติ และทำอะไรด้วยปัญญา และทำให้เราหาทางพ้นทุกข์ได้เเละพบสุขที่เเท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่ในทางโลกเเล้วเราบอกว่าทางธรรมเอาไว้ก่อนนั่นก็แปลว่าเราอยากมีชีวิตทางโลกที่วุ่นวาย ไม่สงบเย็นเเละมีสุขทุกข์เวียนไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะเป็นเรื่องไกลตัวเดี๋ยวเเก่ไปค่อยว่ากัน ก็เเปลว่าเราไม่ต้องการธรรมะที่เย็นใจ ไม่ต้องการธรรมะที่ช่วยดับทุกข์ ไม่ต้องการธรรมะที่ช่วยให้เราละวางกิเลส บางคนยังไม่เข้าใจว่าที่เรามานั่งที่นี่มาทำอะไร มาศึกษาอะไร เรามาศึกษาธรรมะที่เป็นกลางไม่อิงอะไร และเกี่ยวกับชีวิตเราโดยตรง ดีไหม (ดี)
ถ้าธรรมะคือความสงบเย็นเเละการทำอะไรอย่างมีสติ สอนให้เรารู้จักละวางความโลภ โกรธ หลง ทำให้เราเย็นใจเบาใจ เช่นนั้นคนเราควรจะมีธรรมไว้ในชีวิตไหม (ควร)  เมื่อไรที่เราวุ่นวายเเล้วรู้จักธรรม ธรรมจะทำให้เราแม้วุ่นขนาดไหนก็เย็นได้ ถ้าชีวิตเราอยู่ทางโลกเเละเรามีธรรม ทุกข์ขนาดไหนเมื่อมีสติปัญญาก็สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ถ้าเราอยู่ทางโลกเเละเรามีธรรม แม้ใจเราร้อนขนาดไหน ธรรมก็จะทำให้เราใจเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้มีแต่ร้อนไม่เคยเย็น วุ่นไม่เคยสงบ แสดงว่าเราไม่มีธรรม หรือเป็นเพราะว่าเรามัวเเต่ยุ่งทางโลกจนลืมทางธรรม เเล้วจะรอให้ตัวเองทุกข์ที่สุด เจ็บที่สุด เเย่ที่สุดเเล้วค่อยนำธรรมมาใช้จะทันไหม แก้ไหวไหม (ไม่ไหว)  อย่างนั้นเราควรอยู่ทางโลกแล้วมีธรรมะด้วยดีไหม (ดี)  พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องมีธรรมะ (เข้าใจ)  ธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าคนเข้าใจธรรมก็จะต้องรู้ว่าธรรมคือชีวิต ชีวิตหนีไม่พ้นธรรม เพราะเราก็คือธรรม เขาก็คือธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือธรรม จะเป็นไปได้หรือว่า เราอยู่ในโลกโดยไม่ต้องสนใจธรรม การมีชีวิตอยู่ในโลกและมีธรรมเป็นคู่ชีวิต ดีหรือไม่ (ดี)  
อยู่ในโลกที่เห็นแก่ตัวมาก ธรรมจะช่วยถ่วงสมดุลให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เราอยู่ในโลกที่มีความอยากมาก แต่พอเรามีธรรม ความอยากทำให้เรารู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป และรู้จักคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น บางครั้งเราคิดถึงคนอื่นมากเกินไป จนเราเอาธรรมมาสอนชีวิต ธรรมจึงสอนว่าอย่าลืมนึกถึงตนและนึกถึงผู้อื่น และอย่ามัวแต่นึกถึงผู้อื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง ฉะนั้นเมื่อไรที่ชีวิตขาดสมดุล เมื่อไรที่ชีวิตทุกข์ นั่นแปลว่าเราลืมเอาธรรมมาถ่วงสมดุลใจ เพราะธรรมช่วยให้เราไม่หลงจนเกินไป ยั้งใจได้ด้วยสติและปัญญารู้นำคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ควรหรือไม่ที่จะมีธรรม (ควร)  ตอนไหน (ตอนนี้)  ควรมีธรรมในทุกขณะ เมื่อคิดเห็นแก่ตน ธรรมจะสอนว่าอย่าลืมคิดถึงคน เมื่อคิดถึงคนอย่าลืมคิดถึงตน เมื่ออยากอย่าลืมนึกถึงความผิดชอบชั่วดี เพราะถ้าผู้ใดมีชีวิตขาดซึ่งความสงบ ขาดซึ่งความเย็น นั่นแปลว่าเขาขาดซึ่งธรรม ชีวิตหาทางพ้นทุกข์ไม่เจอ มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น นั่นแปลว่าเขาลืมธรรม
ฉะนั้นฟังธรรมจากเราไม่ยากเลย อยู่ในโลกต้องมีธรรมเพราะธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าเมื่อไรที่ท่านมีชีวิตอยู่ วุ่นวาย สุขทุกข์ ขาดสติ นั่นแปลว่าท่านลืมธรรม จริงหรือไม่ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีธรรม ง่ายๆ เลยอะไรที่ทำให้เราสงบ อะไรที่ทำให้เราเย็น นั่นก็คือ (สติ)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ฟังเราพูดแล้วต้องรู้แล้ว เมื่อไรที่ทำอะไรอย่างมีสติและสงบเย็นนั่นคือถึงธรรมะ แต่ถ้าเมื่อไรทำอะไรแล้ววุ่นวายไม่จบสิ้นนั่นคือยังมีเรื่องของทางโลก มีความเห็นแก่ตน
โลกสอนให้เราฉลาด โลกสอนให้เราเก่ง ความเก่งและความฉลาดทำให้เราเย็นและสงบไหม ทำอย่างไรที่จะเรียกว่ามีชีวิตแล้วอยู่ในโลกประกอบไปด้วยธรรม มนุษย์มักจะถูกสอนให้อยู่ในโลกต้องเก่ง ต้องฉลาด ต้องได้ ต้องสำเร็จ เก่งแล้วถือดีอวดตนมีธรรมะไหม (ไม่มี)  เก่งแล้วคิดว่าตัวเองแน่ มองคนอื่นแบบดูถูกมีธรรมไหม (ไม่มี)  ฉันเก่ง ฉันรู้หมด แน่ใจไหม (ไม่แน่ใจ)  แล้วอย่างไรที่เรียกว่าเก่งแล้วมีสุขและมีธรรม ไม่ทุกข์ใจ (มีธรรมะ) ธรรมะอะไร (มีสติ)  มีสติพอไหม (ต้องมีจิตกุศล)  เก่งแล้วต้องมีจิตที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเก่งแล้วทำอย่างไรให้ความเก่งนั้นสามารถทำให้เราสงบเย็น ไม่วุ่นวาย ทำอะไรแบบมีสติ แล้วเกิดปัญญาได้ในความเก่ง
(เก่งแล้วต้องเผื่อแผ่)  เก่งขนาดไหน ถ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วเติมธรรมะสักหนึ่งข้อเข้าไป ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นที่รัก
(จิตเมตตา)  (แบ่งปัน)  รู้จักแบ่งปันก็ตอบได้ดี แต่เอามาเต็มที่แล้วค่อยแบ่งปันหรือ
(ต้องมีคุณธรรม)  (อ่อนน้อมถ่อมตน)  เก่งแค่ไหนก็บอกว่ายังไม่รู้ ฉันยังต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก เธอเก่งกว่าฉัน ถ้าไม่มีเธอฉันก็ไม่เก่ง แต่คนปัจจุบันเก่งแล้ววุ่นวายเพราะคิดว่าฉันเก่งคนเดียว ไม่มีฉันเธออยู่ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราลืมไปหรือเปล่า ถ้าเราอวดในความเก่ง ความเก่งนั้นก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่เก่งได้ เพราะยังมีคนที่เก่งกว่า ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเก่ง จงอย่าลืมอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเมตตา แล้วก็แบ่งปัน อยู่ที่ไหนคนก็ไม่รังเกียจ อยู่ที่ไหน คนก็รัก และในความเก่งก็ไม่ทำให้เราวุ่นวาย เพราะยิ่งเก่งแล้วอวดเก่งมากจะเหนื่อยไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ทางโลกจึงลืมทางธรรมไม่ได้ ถ้ามีทางธรรมเป็นคู่ชีวิต ชีวิตจะมีค่าและเดินไปในโลกอย่างสงบสุข
เรื่องที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยาก เเละไม่ใช่เรื่องหลอกลวงให้ท่านงมงาย เเต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมที่ให้ท่านใช้ในการดำเนินชีวิต เรามักใช้ตามองออกมากกว่ามองเข้า ชอบจับผิดมากกว่าชื่นชม ชอบเห็นร้ายมากกว่าเห็นดี ระหว่างตากับใจ อะไรน่ากลัวกว่ากัน (ใจ)  สิ่งที่น่ากลัวคือนิสัยเขาหรือใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง (ใจเรา)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ผีเห็นผี ว่าเขาร้ายก็เเปลว่าเราร้าย ว่าเขาเลวก็เเปลว่าเราเลว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ในโลกเเล้ว สามารถมีธรรมได้ก็คือ เมื่อเรามองออกเเล้วเห็นในสิ่งที่เราไม่อยากเห็น เมื่อเรามองออกเเล้วพบในสิ่งที่เราไม่อยากพบเเล้วเราจะทำอย่างไรดีให้ใจนั้นสงบ เมื่อมีคนด่าเรา เเล้วก็มีอีกคนด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร  (ต้องพิจารณาตัวเอง)  แต่ถึงเวลาไม่เห็นพิจารณาตัวเองเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราอยากอยู่ในโลกอย่างคนที่มีธรรม หรืออยู่ในโลกอย่างคนที่วนเวียนในโลก ถ้าอยู่อย่างมีธรรม อะไรที่ทำให้เราสงบ นั่นคือเรามีธรรม แต่อะไรที่ทำให้เราวุ่นวาย นั่นคือเป็นโลก ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าโลก คือความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่สิ่งที่เรียกว่าธรรมคือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง ถ้าเกิดเขาว่าเรา เราอยากมีธรรม หรือว่าเราอยากอยู่ฝั่งทางโลก (อยากมีธรรม)  ถ้าเราอยากมีธรรม เราก็ต้องทำสิ่งที่ทำให้เราละโลภ ละโกรธ ละหลง และเย็นสงบ นั่นคือมีธรรม แต่ถ้าเกิดเขาว่าแล้วเรามีโลภ มีโกรธ มีหลง นั่นก็คือเรามีทุกข์ ไม่มีธรรม เมื่ออยากมีธรรมอย่าขาดสติ แต่ถ้าอยากอยู่ฝั่งทางโลกจงไปตามกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นโลกกับธรรมต่างกันที่สติกับกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทำอะไรด้วยสติแล้วละซึ่งความโลภ โกรธ หลง เข้าถึงความบริสุทธิ์ นอกจากถึงธรรมแล้วยังเข้าถึงภาวะบุญ เพราะบุญคือเครื่องชำระล้างใจ ฉะนั้นคนด่าเรา เราก็ได้สร้างบุญ และยิ่งถ้าเกิดเขาด่าเรา เราละโลภ โกรธ หลงได้ แล้วยังปฏิบัติต่อเขาด้วยคุณธรรม นั่นแปลว่า เรากำลังสร้างบุญและยังให้ธรรมะเป็นทาน แปลว่าทุกที่เราก็ทำบุญและปฏิบัติธรรมได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ เมื่อไรที่ตามองออก จงหันกลับมามองข้างใน ท่านเชื่อไหมว่าถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างที่เราพูด ภายใน 3 เดือน 7 เดือน กิเลสจะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ ทุกครั้งที่เห็นอะไร ย้อนมองกลับเข้ามาที่ตัวเอง แล้วถามตัวเองว่าเราดีแล้วหรือ เขาด่าเรา หันกลับมาถามตัวเองว่าเราเคยด่าใครไหม เราว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เมื่อต่างคนต่างไม่ดีจะโกรธกันไหม จะเกลียดกันไหม อย่าไปว่าเขาเลย เขาก็ไม่ต่างกับเราหรอก จริงไหม (จริง)  แต่ทุกครั้งที่เราว่าเขาเพราะเรารู้สึกว่าเราดีกว่าเขา ถ้าทุกครั้งที่เขาโกงเรา ด่าเรา เอาเปรียบเรา แก่งแย่งเรา ลองถามสิว่าเราเคยด่าเขาไหม โกงเขาไหม เอาเปรียบเขาไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะละโลภโกรธหลงได้ในใจเรา และจบที่ใจเรา ไม่ต้องไปแก้ที่เขา และไม่ต้องไปเปลี่ยนเขาเลย เพราะเรามองว่าเขากับเราก็ไม่ต่างกัน จริงหรือเปล่า (จริง)  ว่าคนอื่นเขาไม่ดี ตัวเองดีแล้วหรือ ว่าเขาชั่วร้าย เราไม่ชั่วร้ายเลยหรือ ถ้าสังเกตพระพุทธรูป มีปริศนาธรรมอย่างหนึ่งคือ ท่านไม่เคยเปิดปาก แต่ใช้ดวงตาย้อนมองตน ธรรมะไม่ใช่ให้เราฝึกฝนแก้ใคร แต่ให้ฝึกฝนแก้ไขตัวเรา ไม่ใช่ไปเพ่งโทษใคร แต่เพ่งโทษตรวจสอบตน เหมือนเวลาเราใจดี รู้สึกดี อะไรก็ดีไปหมด แต่เวลาอารมณ์เสียก็เอะอะพาโล จริงไหม ฉะนั้นทุกข์สุขดีร้ายไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนทำร้ายเรา แต่ขึ้นอยู่กับภาวะใจเราเข้มแข็งและมองออกเพียงไร ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่)
เราอยู่ในโลกเราพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุด แล้วก็สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดที่ชีวิตเราจะหาได้ แต่แปลกที่เราหาสิ่งที่ดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังมีสิ่งที่ดีกว่า อย่างนั้นเราจะต้องเปลี่ยนไปเท่าไรเพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิต
สมมติว่าตอนนี้เรายังไม่มีดอกไม้ในตะกร้านี้ วันหนึ่งเราเกิดความอยากขึ้นมา บังเอิญไปเจอดอกไม้ดอกหนึ่ง สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว แต่พออยู่ไปอยู่มาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง)  แบบนั้นก็ไม่ดี แบบนี้ก็ไม่ดี แบบนี้ก็แย่ ไปหาใหม่ ตรงนั้นมีดีกว่าเยอะเลย หามาแล้ว ต่างกันไหม (ต่าง)  เริ่มเบื่อของเก่า เริ่มถูกใจของใหม่ใช่ไหม (ใช่)  สวยแปลกตา ของเก่าไม่ได้เรื่อง แต่พอผ่านไปสักเดือนหนึ่ง เริ่มเป็นอย่างไร ไม่ต่างอะไรกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าจะได้ดีกว่า แต่กลับเป็นอย่างไร (ไม่น่ามาเลย)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านไม่เคยสังเกตหรือว่า ยิ่งเราคิดแบบนี้มากเท่าไร แล้วเรายิ่งพยายามถมความอยาก สิ่งที่เราอยากหาความสมบูรณ์มากเท่าไร ทำไมก็วกกลับมาเป็นความรู้สึกเดิมที่ว่า ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ถมความอยากมากเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเราเอาธรรมมาใช้ในชีวิต เราจึงรู้ว่าถึงที่สุดแล้ว เราจะอยู่กับสิ่งที่เรามี และใจที่ปล่อยวางได้อย่างไร นั่นคือความยากของมนุษย์ รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้แล้วว่ามีแล้วเจ็บ รู้ว่าความมีความอยากได้ ทำให้เราหนีไม่พ้นความเจ็บปวดและความทุกข์ แต่ก็ยังอยากมีไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามีแล้วทำอย่างไรไม่ทุกข์ ทำให้ทุกข์ที่เราเห็นกลายเป็นสุขทันที ทำอย่างไร (รู้จักพอ)  (หาความพอดีในตัวเอง)  (จงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี)  อย่างแรกก็คือคิดว่า “มีหรือไม่มีก็ดี” เเละเมื่อมีเเล้วเป็นแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขเเล้ว เเค่นี้ก็พอแล้ว เช่นนี้จะได้หรือไม่ได้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เเล้วจะเปลี่ยนไปขนาดไหนเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เพราะในใจเรารู้จักพอ เมื่อถึงที่สุดถ้าไม่พอวันหนึ่งความเป็นจริงก็จะสอนให้เราต้องพอให้เป็น แล้วทำไมเราไม่เรียนรู้ที่จะจบก่อนที่จะเจ็บ อย่าเจ็บเเล้วค่อยจบ ถ้าเขาได้เเค่นี้ก็ดีแล้ว การที่เราห่วงที่สุด หวังที่สุดก็ไม่มีอะไรเป็นดั่งหวัง เป็นดั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่)
คุณค่าของชีวิตที่เเท้จริงคือการมีชีวิตอยู่เพื่อธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อตนเเล้วสนองกิเลสตัณหาเวียนว่ายวน เพราะธรรมนำพาซึ่งความประเสริฐ สงบเย็น เเละเป็นสุข ถามตัวท่านว่าหลังจากนี้อยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อตน (เพื่อธรรม)  การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความจริงที่สงบ ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหลง เเละไม่ใช่กิเลสตัณหาเเละอารมณ์ ลองพิจารณาให้ดี วันนี้เราไม่ได้มาทำให้ท่านงมงาย ไม่ได้มาหลอกลวงเงินทอง ในใจเราโปร่งโล่งเเล้วเพราะทุกท่านยอมรับเเล้วว่าเราไม่ได้มาหลอกท่าน การคุยบางอย่างทำให้เราสว่าง ธรรมบางอย่างทำให้เราสงบ ทำไมเราจึงไม่เพียรไปคุยเพื่อพบสงบเเละสว่าง เเต่บางอย่างยิ่งคุยยิ่งมืด ยิ่งคุยยิ่งทุกข์ ทำไมเพียรไปคุยในเรื่องที่ทำให้มืดเเละทุกข์ ชีวิตท่านเลือกเอง กำหนดเอง ไม่ใช่ฟ้า ไม่ใช่คนอื่น เเต่ล้วนเป็นตัวเราเองที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง ลองให้เวลาตัวเองในการศึกษาธรรมเพื่ออบรมจิตดูเเลใจ ตามใจตัวเองมามากเเล้ว วันนี้ลองฝืนใจดู ทวนกระเเสใจดู อาจจะอึดอัดบ้าง เบื่อบ้าง เเต่เอาชนะได้ด้วยตัวเอง เเละเมื่อเราเจอกับอะไรที่อึดอัดบ้าง เบื่อบ้าง เราจะได้รู้ว่าเราก็ทำได้
อย่ายึดติดเลยนะ ยึดติดแล้วก็เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  หลักธรรมหนึ่งที่เราอยากทิ้งท้ายไว้บอกท่านก็คือ มนุษย์เราทุกข์เพราะมีรัก มนุษย์เราทุกข์เพราะมีเกลียด เมื่อใดมนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่รักไม่เกลียด ก็จะไม่ทุกข์ พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “ในโลกใบนี้สิ่งที่ไม่น่ารัก คนประมาทกลับเห็นว่าน่ารัก สิ่งที่ไม่น่ายินดี คนประมาทกลับเห็นว่าน่ายินดี สิ่งที่ทุกข์ คนประมาทกลับเห็นว่าสุข” ผู้ใดที่ไม่อยากมีทุกข์ จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต และมองเห็นชีวิตให้ถ่องแท้ว่าจริงๆ แล้วก็แค่นั้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นผู้ที่ไม่อยากทุกข์ ก็จะไม่รักและไม่เกลียดสิ่งใด ลองมองให้ดี สิ่งที่ท่านว่าน่ารักนั้น น่ารักจริงไหม แล้วสิ่งที่ท่านว่าน่าเกลียด น่าเกลียดจริงไหม ถ้ามองลึกๆ อย่างไม่เอาแต่ความคิด ท่านจะพบความเป็นจริงว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสุขจริง ทุกข์แท้ และไม่มีอะไรดีจริงและร้ายจริง สิ่งที่ตัดสินว่าดีร้ายคือความคิดที่ยึดติด ถ้าสนใจใคร่รู้ในธรรม พรุ่งนี้ลองมาศึกษาต่อดีไหม

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒            สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  นาฬิกาทุกเรือนเดินสองรอบ           จะเลือกทำที่ชอบทั้งหมดไม่ได้
เวลานี้ชีวิตอยู่ชั่วยามใด                  เหลือเวลาให้แก้ไขหรือไม่กัน
จะต้องรู้ความหมายแห่งชีวิต             ฝึกดวงจิตให้มีความมุ่งมั่น
แม้ว่าโลกดูเหมือนไม่ยุติธรรม            ตื่นจากฝันสุขทุกข์ล้วนอันเดียวกัน
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   
    ใช้ชีวิตเยอะกว่า แม้ในยามเปิดตา ก็สงบในขันธ์ ใช้ชีวิตเป็นกว่า เรื่องอะไรจะมา เป็นแค่งานสังสรรค์ อย่ามาบำเพ็ญเหมือนโดนไหว้วาน ใส่ใจบำเพ็ญถึงเย็นเข้ากัน หัวดียึดมั่นรั้นไม่มีชะลอ
    ใช้ชีวิตมากกว่าคุ้มค่าเต็มเวลา ไม่ทำตัวหงอหงอ ใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาคือปัญหา พอคิดคิดไม่พอ คนบำเพ็ญยิ่งเป็นยิ่งเพลิน คนจะดีรู้งี้ไม่พอ รู้เขาปะเหลาะ รู้แล้วบ้ายอทำไม
*   คนบำเพ็ญต้องคิดมุมกลับ จับมุมมองข้อคิดจูงใจ ไม่อยากเป็นพวกสวมหน้ากาก หากจะทำต้องทำจากใจ
** ใช้ชีวิตเพลินกว่าตรงย้อนมองกลับมา พาเข้าใจความหมาย ใช้ชีวิตชีวาเผยความสุขออกมา ยิ้มออกมาได้ไหม ใจเป็นบุญพลิกฟื้นยืนเดินเดิม เกรงกลัวกรรมใช้ธรรมนำใจ ใช้ชีวิตใหม่ขอให้เริ่มจากตัวเอง (ซ้ำ *, **)
ทำนองเพลง : สาวอีสานรอรัก
ชื่อเพลง : ใช้ชีวิตให้เป็น

หมายเหตุ : เนื้อเพลงวรรคแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



กินอิ่มไหม ทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ลำบากไหม แปลว่าทานได้เรื่อยๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นต่อไปจะทานต่อไหม (ได้)  พูดแล้วทำไม่ได้ก็คือโกหกนะ โกหกก็เป็นการผิดศีลผิดธรรม แล้วก็ดูไม่น่าเชื่อถือจริงไหม วันนี้นั่งฟังวันที่สองแล้ว จบแล้วจบกันไหม (ไม่)  อย่างน้อยเอาสิ่งที่รู้ไปใช้ปฏิบัติก็ยังดี ไม่มากก็น้อย มีบางคนคงรู้สึกยังแปลกใหม่อยู่ แต่บางคนคงเริ่มชินแล้ว เพราะเจอกันครั้งที่สองแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราอยู่ในโลกนี้ก็มีเรื่องที่จริง เรื่องที่เท็จ เรื่องที่ใช่และเรื่องที่ไม่ใช่ บางครั้งในจริงก็มีเท็จ ในเท็จก็มีจริง ในสุขก็มีทุกข์ ในทุกข์ก็มีสุข ฉะนั้นเมื่อเราเจอทุกข์ ให้คิดว่าเราต้องหาทางออกให้เจอ ถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่า โลกนี้เป็นภาวะคู่ เมื่อมีด้านหนึ่งมันก็ต้องมีอีกด้านหนึ่ง และโลกมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน ก็ต้องมีอะไรมาแก้กัน สมมติว่าเวลาเราร้อนใน เราต้องกินอะไรที่ทำให้เราเย็น เพื่อดับร้อน ถูกหรือไม่ เหมือนเวลาที่เราทุกข์ เราจึงรู้ว่าเราต้องค้นหาทางพ้นทุกข์ แปลว่าในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ถ้ามีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ก็ต้องมีเรื่องหนึ่งที่สามารถดับลงได้ เพราะโลกนี้เป็นสิ่งที่คู่กันอยู่ แล้วก็มีอะไรที่มาเเก้กัน ดั่งที่เมื่อมีไฟเกิดขึ้นเรารู้จักที่จะนำน้ำไปดับ เมื่อเราเกิดความทุกข์เราจะเอาอะไรดับทุกข์ มีอะไรที่มาทำให้ดับทุกข์ได้ เเก้ทุกข์ได้ หรือทำให้สิ้นทุกข์ได้ ถ้าสิ่งนี้คือความทุกข์ สิ่งนี้คือความสุข ก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ถ้าเราอยากอยู่บนโลกนี้เเล้วพ้นทุกข์เเละมีแต่สุขจะมีไหม (มี)  เมื่อมีทุกข์เราก็ต้องรู้วิธีเเก้คือการไปหาสุข เเต่ความสุขที่ไปเเก้นั้นก็ยังต้องเวียนกลับมาทุกข์ เเละในความทุกข์เราก็ต้องพยายามวิ่งไปหาสุข ซึ่งสุขนั้นก็ไม่เคยเเก้ทุกข์ได้จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเเรงเหวี่ยงที่เหวี่ยงไปมา ถ้าในโลกนี้มีอะไรที่เเก้กันได้จริง ก็น่าจะมีอะไรที่สามารถดับทุกข์เเล้วไม่กลับมาเหวี่ยงเป็นทุกข์เเละสุขอีก แล้วสิ่งนั้นคืออะไร
(การปล่อยวาง)  ปล่อยวางจากทุกข์ จิตที่ไม่ฟุ้งซ่าน ดังนั้นมาช่วยกันคิด ในเมื่อในโลกนี้มีสิ่งที่เเก้กันได้เเละมีภาวะที่ตรงกันข้าม เเละมีสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ สิ่งนั้นคืออะไร เเละอยู่ที่ไหน เคยเเต่งประโยคหรือไม่ การแต่งประโยคจะต้องมีประธาน กริยา เเละกรรม เราเกิดมาเพื่อมีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เเล้วเราจะพ้นกรรมได้ไหม ถ้าเราไม่มีประธาน เมื่อมีประโยคจึงมีกริยา และจึงมีกรรม ดังนั้นในเมื่อเราอยู่ในโลกเเล้วเราอยากพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นทุกข์ และพ้นเวียนว่าย เราก็ต้องไม่เป็นประธานความอยากก็จะไม่เกิด แล้วกรรมก็จะไม่มี แล้วเราจะจัดการกับประธานตัวนี้อย่างไร เพราะเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล เกิดจากประธานตัวเดียว ฉะนั้นถ้าเราหาทางกำจัดประธานตัวนี้ได้ ทุกข์ก็จะไม่มี ทุกข์เกิดที่นี่ เริ่มที่นี่ เราก็ต้องวางลง แล้วจบได้ที่นี่ แต่จะทำอย่างไรให้ ตัวนี้ ไม่เป็นประธาน แล้วก็ไม่เกิดกริยา ฉะนั้นเวลามีปัญหา เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วเราผูกคอตาย อย่างนี้จะพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  แล้วจะต้องทำอย่างไร (ฆ่าประธาน)  ฆ่าอย่างไรที่ทำให้เราไม่มีกรรมอันจะส่งผลให้ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ฆ่าอย่างไรที่ไม่ทำให้เราบาป และไม่มีเวรไม่มีกรรม ทำให้เราต้องตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในวัฏสงสารที่ไม่จบสิ้น ต้องมีวิธี แต่เราเคยคิดบ้างไหม ทำไมเรื่องคิดหาเงินหาทอง คิดเป็น แต่คิดให้ตัวเองพ้นทุกข์ คิดไม่เป็น น่าเสียดาย ปัญญาเรามีไหม (มี) สติเรามีไหม (มี) ความสามารถเรามีไหม (มี) แต่เราคิดไหม (ไม่คิด) ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่ฉลาดแต่เรื่องข้างนอก แต่ลืมฉลาดในเรื่องตัวเอง อย่าเป็นคนที่รู้ข้างนอกรู้เรื่องคนอื่นชัดเจน แต่ไม่รู้จักตัวเองสักนิด แล้วต้องไปแบมือ ขอให้หมอดูช่วยดูหน่อย เวลาคนในบ้านพูดเราก็ด่าเขา แต่พอหมอดูพูดก็มักจะบอกว่าแม่นๆ จบอะไรมาก็ไม่รู้แต่เชื่อหมอหมดเลย แม่นจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินไหม ทุกสิ่งที่ปรากฎล้วนเป็นภาพสะท้อนออกจากจิต ทุกคนเห็นคนดีคนสวยไม่เท่ากัน ทุกคนเห็นคนดีคนร้ายไม่เท่ากัน และทุกคนมีเหตุมีผลไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามนุษย์เราสามารถรู้จักจิตตัวเอง เราก็จะสามารถควบคุมเรื่องราวในโลกนี้ได้ และถ้าเราสามารถเข้าใจจิตตัวเอง เราก็จะสามารถเข้าใจและจัดการเรื่องราวในโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เรารู้จักตัวเราแล้วหรือยัง เข้าใจตัวเราแล้วหรือยัง เข้าใจคนอื่นเยอะ แต่ไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าทุกครั้งเราเอาแต่มองออกไม่เคยย้อนมองดูตัวเอง แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะรู้จักตัวเอง
มนุษย์ชอบพูดอยู่คำหนึ่ง “รู้อะไรไม่สู้รู้งี้” รู้งี้ซื้อก็ดี รู้งี้ทำก็ดี ฉะนั้นมันไม่ดีสักทีก็เพราะไม่เคยรู้งี้แล้วทำได้ก่อนรู้งี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกือบจะซื้อแล้วรู้งี้ซื้อก็ดี ยิ่งเป็นล็อตเตอรี่นี่รู้งี้บ่อยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาถามคำถามนักเรียน)
“อะไรในโลกที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน” (ความรู้จักพอ)
สติปัญญาทุกคนเท่ากันไหม (ธรรมะในตัว)  ธรรมะในตัวเหมือนกันใช่ไหม (ความสามารถ)  ความสามารถอาจไม่เท่ากันนะ (มีจิตใจความเป็นมนุษย์เท่ากัน,ความเป็นคนเท่ากัน)  อาจารย์ว่าจริงๆ คนเหมือนกัน แต่จิตสำนึกในความเป็นคนไม่เท่ากัน มันอยู่ที่ว่าทุกวันศิษย์ใช้จิตสำนึกดีงาม หรือทุกวันศิษย์ใช้แต่กิเลสอารมณ์ ถ้าใช้กิเลสอารมณ์ จิตสำนึกดีงามจะค่อยๆ หดหาย แต่ถ้าทุกวันทำอะไรนึกถึงความถูกต้องดีงาม จิตสำนึกก็จะมีมากขึ้น
อะไรที่ทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน (ศักดิ์ศรีความเป็นคน, ความตาย , มีสิทธิ์คิดเท่ากัน )  แปลว่ามนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้เท่ากัน ใช่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกหรือไม่เลือก จะทำให้ความเป็นคนไม่เท่ากัน แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ถูกต้องคือท่านนั้นตอบได้ถูกต้องแล้วนะ ถ้าอาจารย์ถามว่าถ้าตอบได้ถูกแล้ว ให้คนอื่นนั่งแล้วตัวเองยืน ยอมไหม (ยอม)  แล้วทุกคนจะกล้านั่งไหม (ไม่กล้า)  โลกนี้จะยุติธรรมได้ทันที จริงไหม จริงๆ ทุกอย่างยุติธรรมได้และเท่าเทียมได้ เเต่อยู่ที่เราจะวางชีวิตตนเองอย่างไร เขาอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าเราถูกดูถูก ถูกเหยียดหยาม เเต่เราก็สามารถทำให้การที่ถูกดูถูกเหยียดหยามนั้นมั่นคงขึ้นมา เเข็งเเกร่งขึ้นมา มุ่งมั่นขึ้นมาก็เป็นได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเเม้จะร้ายขนาดไหน ถ้าเป็นคนฉลาด เป็นคนรู้จักใช้ปัญญาเขาจะคว้าทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นโอกาสในชีวิต มาเป็นกำไรในชีวิต มีเเต่คนที่ไม่สู้ชีวิตเท่านั้นที่จะเอาทุกอย่างมาทำร้ายตัวเอง ศิษย์ตอบได้ถูก ความเเก่ ความเจ็บ ความตาย ทำให้ชีวิตเเม้จะต่างกันขนาดไหนเเต่ก็ต้องกลับมาเดินสายเดียวกัน คือความเป็นจริงเเห่งธรรมะ ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะพูดว่าไม่ต้องมีธรรมะ ไม่ต้องสนใจธรรมะไม่ได้ สักวันหนึ่งความเป็นจริงเเห่งธรรมะจะเคาะประตูบอกให้หันกลับมามอง หันกลับมาเข้าใจ เเล้วท่านจะพ้นทุกข์
อาจารย์ให้บทกลอนหนึ่ง รับรองทุกคนจะบอกว่าอาจารย์ให้ผิด “นาฬิกาทุกเรือนเดินสองรอบ” จริงไหม (จริง)  ใครคิดออกบ้าง (ในขณะที่เดินไปข้างหน้า เเต่เวลาก็ถอยหลังเหมือนกัน, เดินสองรอบหมายถึงกลางวันเเละกลางคืน)  ตอบได้ดี เเสดงว่านักเรียนในชั้นนี้ล้วนเป็นผู้มีปัญญา ฉะนั้นอย่าดูเบาปัญญาตัวเอง เพราะมีรอบเที่ยงวันเเละเที่ยงคืน ซึ่งชีวิตมีเเค่ปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เเล้วจะเลือกทำเเต่สิ่งที่ชอบไม่ได้ บางครั้งเราต้องยอมรับความเป็นจริง ซึ่งความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจเราก็เป็นได้  
ฉะนั้นเมื่อความเป็นจริงสอนชีวิต เราจึงต้องเอาความเป็นจริงนั้นมาพิจารณาจนเกิดแพข้ามฟากทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เพราะชีวิตนี้หลายคนมักจะพูดว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม และในกรรมนั้นก็ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นกรรมแล้วทำให้เราทุกข์ อย่างนั้นความทุกข์นี้ เราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการสร้างกรรมใหม่ หรือว่าเราจะพ้นทุกข์ด้วยการสิ้นกรรม ทุกครั้งเวลาเราโดนใครว่า โดนใครทำร้าย เราสร้างกรรมใหม่หรือว่าเราสิ้นกรรม ถ้าทุกขณะเราทำอะไร เราพิจารณาด้วยปัญญา ทุกขณะเรามีชีวิตอยู่ เราไม่ล้อเล่นกับชีวิต เพราะชีวิตปัจจุบันนี้เป็นตัวกำหนดอนาคตในวันหน้า และเป็นตัวกำหนดภพภูมิที่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิหน้า ถูกหรือไม่ (ถูก) 
หากวันนี้เราเจอเรื่องอะไรมา แล้วทำให้เราทุกข์ เราควรจะดับทุกข์หรือเวียนว่ายในทุกข์ (ดับทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเราดับทุกข์ เราแก้ทุกข์แก้กรรมอย่างไร ส่วนใหญ่ด่ามาก็ (ด่าไป)  ร้ายมาก็ (ร้ายไป)  อย่างนั้นจะสิ้นกรรมไหม (ไม่)  ฉะนั้นเรามีวิธีอะไรหนอที่จะอยู่ในโลกนี้แล้วกรรมไม่เกิดอีก แต่อยู่เพื่อใช้กรรมเก่า (ไม่สร้างกรรม)  แล้วทำอย่างไรที่จะไม่สร้างกรรมใหม่ เราก็ต้องมารู้จักตัวเองก่อน เพราะตัวเราเองเป็นเหตุให้เกิดกิเลส ตัวตนเกิดจากความนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจ ฉะนั้น ถ้าเห็นอะไรแล้วคิด แล้วนึก แล้วสรุปว่าดีหรือไม่ดี อย่างนั้นแปลว่าเราเกิดตัวตน ถูกไหม (ถูก)
ตัวตนเกิดจากความรู้ ความนึกคิด ความเข้าใจ แล้วความรู้ ความนึกคิด ความเข้าใจนี้มันสามารถก่อเกิดเป็นกิเลส กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้าเห็นคนนี้แล้วเราเกิดความคิดว่าตัวก็ดำ หน้าก็นิ่ง ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ตัวตนของเราก็จะเกิด กิเลสก็จะเกิด แล้วเราก็สรุปเป็นว่าแบบนี้เราชอบ แบบนี้เราไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตัวตนเกิด กิเลสเกิด ความทุกข์ก็เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้หยิบผลกีวี่บนโต๊ะพระ)
เรารู้จักไหม (รู้)  อร่อยก็ต้องหาเงินมาซื้อ แพงก็ซื้อ ใช่ไหม (ใช่) ไม่ยึดติดกับอะไรก็ไม่ต้องมีกรรมกับมันจริงไหม (จริง)  ถ้าเรารู้ว่ากินแล้วอร่อยแล้วเราจะติด ถ้าไม่อร่อยเราก็ไม่เอา เรารู้จนเห็นชัดเราก็จะไม่เกิดความหวั่นไหวในตัวตน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพอเจอกีวี่อีกครั้ง เราก็จะเฉยๆ ถูกไหม (ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายหญิงคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
สมมติว่าอาจารย์เห็นศิษย์ท่านนี้ เกิดความคิดว่า สวยเหมือนกันเนอะ เห็นไหมว่า แค่คิดปุ๊บตัวตนเกิดทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่าเขาอ้าปากพูดอะไร เราคิดต่อว่าหน้าก็สวยแต่วาจาไม่ไหวเลย กลายเป็นอย่างไร เกิดเรื่องดี เรื่องร้ายทันที แล้วก่อเกิดเป็นกรรมทันที แต่ถ้าเกิดว่าเราเห็นเขาจนชัด สวยก็เท่านั้น ไม่สวยก็เท่านั้น เกี่ยวอะไรกับเรา แล้วเราจะเกี่ยวกรรมไหม (ไม่เกี่ยว)  มันจบตั้งแต่ยังไม่เกิด ศิษย์ได้สุขมาแค่ไหนก็ทุกข์แค่นั้น ในโลกมีอะไรที่สุขแล้วไม่ทุกข์ โชคดีจังเลยที่เจอเธอ แต่ตอนท้ายไม่รู้ว่ากรรมหรือโชคดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรก็ตาม มองเห็นจนมันชัด จนทะลุทะลวง จนถึงที่สุด มันจะอยากไหม จะเอาไหม จะเกิดกิเลสไหม (ไม่เกิด) 
ชีวิตนี้อยากมาตั้งเท่าไร ทุกข์มาตั้งเท่าไร ไม่เคยเบื่อบ้างหรือ แล้วยังอยากอีกหรือ ถ้าศิษย์อยากทำให้ตัวตนมันไม่เกิด ก็แค่เห็นจนเข้าใจ และไม่อยากเอาอะไรอีกเลย เมื่อนั้นกิเลสก็ไม่มี กรรมก็ไม่มา ที่เหลือก็ทนอยู่กับกรรมเก่า แต่เราเพิ่มกรรมทุกวัน เดี๋ยวอยากได้อันนั้น อยากได้อันนี้ เพิ่มตรงนั้นอีกนิด เพิ่มตรงนี้อีกหน่อย แล้วมันหมดไหม ฉะนั้นจึงมีต่อไปว่า เมื่อไรที่ความคิดเกิดก็เลยหนีไม่พ้นกิเลส แล้วตามมาด้วยบาปกรรมและการเวียนว่าย ความคิดจึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงแห่งธรรม ถ้าจะใช้ธรรม ถ้าจะมีธรรม จงอย่าเอาแต่คิด เพราะคิดแล้วมันจะไม่เห็นธรรม ยากไหม ดับตัวตนยากไหม เหมือนเราเห็นแล้วเราไม่คิดต่อ เหมือนเขาด่าเรา แล้วเราไม่คิดต่อ จบไหม เพราะธรรมคือคำว่า จบ สงบ เย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทางโลกคือไม่จบ ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นถ้าเห็นทุกอย่างแล้วมันจบอยู่แค่นั้น ประธานก็ไม่มี กิริยาก็ไม่มี กรรมก็ไม่มี เหมือนตอนนี้เราเห็นว่าชีวิตเราเกิดมาแล้ว อยากมาแล้ว เห็นแล้วเราไม่คิดต่อ เหมือนเราเห็นกระเป๋าสวย อยากได้ไหม (อยาก)  อยากได้กระเป๋า เสื้อ รองเท้า มโนภาพคิดว่าตัวเองได้สวมกระเป๋า ได้สวมรองเท้า แล้วจะหล่อ จะเท่ห์ขนาดไหน เริ่มปรุงแต่ง เริ่มคิดไปเรื่อยใช่ไหม (ใช่)  ทุกครั้งที่เกิด นั่นคือ เมื่อไรที่เกิดตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้น กิเลส เวรกรรม บาปและทุกข์ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ถ้าเราหยุดเกิดได้ ทุกข์ก็จะเบาบางลงได้
ศิษย์เคยมีสติ รู้เห็นความอยากของตัวเองที่อยู่ในใจบ้างไหม (เคย)  เวลามีความโกรธเกิดขึ้นมา แล้วมองเห็นทันที  บอกกับตัวเองว่าฉันไม่โกรธ ฉันไม่อยาก กิเลสมีอยู่หนึ่งอย่างที่อาจารย์ชอบพูดอยู่บ่อยๆ คือ กิเลสก็มีความขี้อาย ถ้ากิเลสมาแล้ว ศิษย์ไม่สนใจ ศิษย์ไม่ให้ค่า กิเลสก็จะบอกว่าไปก็ได้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้ากิเลสมาแล้วศิษย์ให้ค่า ซื้อสักหน่อย ไม่เป็นไร วันนี้อยาก แล้วพรุ่งนี้ค่อยหยุดอยาก วันนี้ไปเบียดเบียนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหยุดเบียดเบียน แล้วอย่างนี้เราจะหยุดได้ไหม ใจที่มีความอยากไม่เคยถมเต็มใช่ไหม (ใช่)  แล้วกระแสของกิเลสนั้นก็ให้ผลคือความทุกข์ บาป และกรรมทั้งมวล ศิษย์ถามอาจารย์ว่า ศิษย์จะอยู่ในโลกอย่างไรที่ทำให้เราไม่มีกรรม ก็ให้อยู่อย่างคนไม่มีอยาก แล้วกรรมจะน้อย แล้วทำอย่างไรให้ความอยากเราน้อยลง ก็อยู่อย่างคนที่ใช้ศีลมาค้ำความอยาก อย่าบอกว่าเราทำดีเพื่อจะได้ไปสวรรค์  ไม่ใช่เราทำดีเพื่อไม่ต้องทำชั่ว ข้อสำคัญของการทำดี ทำเพื่ออะไร ทำดีเพื่อให้จิตไม่ไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราทำอะไรก็ตาม ไม่ว่ามีกิเลส หรือมีอะไร ขอให้เรามีสติ รู้ตัว เพราะทุกขณะเรามีสติรู้ตัว สติจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา และนำพาให้มนุษย์พ้นกรรมพ้นทุกข์ และไปถึงยอดแห่งบุญทั้งปวง ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้มีสติรู้ตัว
ในโลกมีของที่คู่กันเเละเเก้กัน ถ้าเราทำดีมีความสุขเเล้วติดในความดี ความสุขนั้นก็ทำให้เราไปสวรรค์ เเต่ถ้าทำชั่วเเล้วเราละชั่วไม่ได้ ละบาปไม่ได้ ความชั่วนั้นก็จะติดตัวทำให้เรามีทุกข์เเละตกนรก เเต่หนทางเเห่งความเป็นจริงของมนุษย์ยังมีอีกทางซึ่งเรียกว่าทางสายกลาง เรียกว่าธรรมะ ถ้าธรรมะคือตรงกลาง ธรรมะก็คือหนทางที่จะทำให้เราพ้นสุขพ้นทุกข์
ความคิดเเห่งตัวตนสร้างกิเลสเเละสร้างอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเรามีตัวตนเเละมีกิเลส เราจึงมักจะเเบ่งอารมณ์เป็นสองความรู้สึก รู้สึกดีเรียกว่าสุข รู้สึกไม่ดีเรียกว่าทุกข์ ในสุขเเละทุกข์ไม่มีความรู้สึกนั้นเรียกว่า (กลาง)  การเข้าถึงธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นเเล้วไม่สุขไม่ทุกข์ พบธรรมก็ไร้ตัวตน
ถ้าทุกขณะศิษย์ไม่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ว่าสุขหรือทุกข์ นั่นก็คือธรรม จริงๆ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ทุกข์จริงไหม (ไม่จริง)  สิ่งที่เรียกว่าสุข สุขจริงไหม (ไม่จริง)  มีแฟนสุขไหม (สุข) มีเงินสุขไหม(สุข) มีตำแหน่งหน้าที่สุขไหม (สุข)  มีคนให้เกียรติเคารพนับถือสุขไหม (สุข)  แต่สุขนั้นเคยพลิกไปเป็นทุกข์ไหม (เคย)  แล้วทุกข์นั้นเคยทำให้เราสุขไหม (เคย)  จริงๆ แล้วทั้งทุกข์ทั้งสุขนั้นคือตัวเดียวกัน คือความเป็นกลางอันเป็นธรรม แต่ความเป็นตัวตนทำให้เราแบ่งแยกและไม่พบธรรมอันเป็นกลาง เพราะเราเห็นอะไรเราชอบตัดสิน ชอบยึดติด ชอบแบ่งแยก ทั้งที่จริงๆ แล้วที่ว่าร้ายก็ไม่ร้าย ที่ว่าดีก็ไม่น่าดีเท่าไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำได้ไหม (ได้)  แต่อยู่ที่ว่าเคยทำบ้างไหม ถ้าคำว่าธรรมคือความเป็นกลาง ทุกครั้งที่ศิษย์เห็นอะไรแล้วไม่ปักใจรัก ไม่ปักใจเกลียด นั่นคือเรากำลังเป็นกลางและเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมกิเลสเกิดไหม (ไม่เกิด)  กรรมและวิบากกรรมมีไหม (ไม่มี)  ต้องใช้ขันติไหม (ไม่ต้อง)  ขอแค่รู้ใจตัวเองและรักษาความเป็นกลาง 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายคนหนึ่งออกมายืนคู่กับพระอาจารย์)
เห็นอะไร (สูง, เตี้ย)  ถ้ายังคิดอย่างนั้นยังเป็นตัวตนอยู่ จริงไหม (จริง)  อย่าให้รูปลักษณ์มาลวงหลอกความจริงแท้ อย่าให้ความคิดมาบดบังปัญญาอันแท้จริง หากเรามองแล้วเห็นคนนี้สูงกว่าอาจารย์ ต้องมองให้สุด อย่ามองแค่นี้ อย่ามองแล้วยึดติด เพราะชีวิตยังไหลเลื่อนไปได้เรื่อยๆ จริงไหม (จริง) 
ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต จะไม่จมปลักอยู่กับเรื่องใดๆ เพราะชีวิตเมื่อไหลเลื่อนแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไป ถูกหรือไม่ มีแต่คนโง่ที่จมปลัก เพราะมันจบไปแล้ว แต่เรามักลากเอาความทุกข์ของเรามาแล้วขังตัวเองอยู่ในทุกข์ ไม่มองความจริง ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง มองบนมีคนสูงกว่า แต่ถ้ามองล่างก็มีคนเตี้ยกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกวิธีที่ทำให้เราพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวียนว่ายคือ ตื่นรู้ในความเป็นจริงจนสิ้นตัวตนแห่งการยึดถือ ถ้าศิษย์ทำได้แบบนั้น ศิษย์จะไม่ทุกข์และไม่เกิดอะไรอีกเลย จริงไหม (จริง) 
นิพพาน แปลว่าสงบเย็น อย่าคิดว่าชีวิตมีแค่ 2 ทาง คือสุขและทุกข์ แต่ยังมีทางสายกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างสุขกับทุกข์ ด้วยความรู้อย่างเข้าใจ ตื่นรู้อย่างแจ่มแจ้งจนมองไม่เห็นตัวตน ซึ่งเราสามารถค้นพบได้ในสัจธรรม เมื่อไรค้นพบสัจธรรมเมื่อนั้นก็จะค้นพบความจริง และสัจธรรมนั้นก็คือจิตญาณเดิมแท้ของตัวเรา จิตไม่ใช่ดวงญาณกลมๆ ถ้าคิดมีตัวตนเมื่อไรมันก็จะมีที่ให้ทุกข์ แต่จิตคือความเป็นจริงที่ไม่เที่ยงและถึงที่สุดแล้วก็ว่างเปล่าจากตัวตน เหมือนร่างกายเราว่างเปล่าจากตัวตนไหม (ไม่ว่าง) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ชอบชื่อผลไม้ความหมายดีหรือความหมายไม่ดี ถ้าชอบความหมายดีอาจารย์แจกแอปเปิล ถ้าชอบความหมายไม่ดีอาจารย์แจกมังคุด ดีไหม (ดี) เอามังคุดดีไหม เอามังคุดหรือแอปเปิล น่าเสียดายรู้ว่าสิ่งใดดีไม่คว้า รู้ว่าสิ่งใดไม่ดีก็ไม่แก้ไข ทำให้มนุษย์หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เอามังคุดไปเถอะเผื่อกิเลสมันจะได้คุดลงบ้าง เอามังคุดไปเถอะเผื่อความเป็นตัวตนมันจะได้คุดลงไปบ้าง แต่ยิ่งมีมันก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง) 
ชีวิตขึ้นอยู่ที่ตัวศิษย์เองว่าเลือกกระทำเช่นไร อาจารย์บอกแล้วว่าทุกสิ่งเป็นภาพสะท้อนในจิตใจของเรา อย่าไปยึดติดดีร้าย เพราะถึงที่สุดแล้ว ดีหรือร้ายเราก็สามารถควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ฉะนั้นอย่าดูถูกดูเบาคุณค่าของตัวเอง ถ้าเข้าใจธรรมะเราก็สามารถนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ถึงขนาดสิ้นกรรมได้
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ เเละมนุษย์ทุกคนก็มีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้เราไม่มีกรรม ที่ทำได้ง่ายก็คืออย่าพยายามผิดศีลเเละเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะเมื่อไรที่เราผิดศีล เมื่อนั้นเราก็สร้างเวรกรรมได้ การที่เรารักษาศีลได้ครบจะทำให้เรายากที่จะสร้างเวรกรรมได้ง่าย นักเรียนในชั้นนี้รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานธรรม มีศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  อย่างนั้นก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ตนเองก่อ อยากเป็นคนมีบุญบารมีไหม (อยาก)  อย่างนั้นเวลาทำอะไรก็อย่าเอาเเต่ใจและให้รู้จักมีคุณธรรม ธรรมระดับศีลช่วยระงับยับยั้งไม่ให้ประพฤติชั่ว ธรรมระดับคุณธรรมช่วยเสริมสร้างบารมีทำให้เราอยู่กับผู้อื่นด้วยบารมีเเละนำพามาซึ่งความสันติสุข  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าศีลไม่มี ธรรมก็ไม่มี ชีวิตก็จะหาความสุขสงบเเละความสบายใจไม่ได้เลย
ธรรมะมีศีลธรรม มีสัจธรรม มีคุณธรรม ระดับศีลคือป้องกันการประพฤติผิดประพฤติชั่ว ระดับคุณธรรมคือความเมตตา ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การเคารพให้เกียรติ ล้วนเป็นระดับคุณธรรมที่ประพฤติไว้เพื่อสร้างบารมีเเละนำพามาซึ่งความสันติสุข ฉะนั้นถ้าอยู่กับใครเเล้วไม่เกิดความสันติสุขนั่นเเปลว่าเรากำลังขาดธรรม ถ้าอยู่กับใครเเล้วเจอทุกข์เจอชะตากรรมไม่ดีเเปลว่าเราขาดศีล เเต่ถ้าเกิดก็ครบ ธรรมก็ครบ แบบนี้ก็ไม่ยาก แบบที่ยากคือ ทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ เป็นระดับของสัจธรรมเข้าใจนะ แล้วถ้าเข้าใจระดับสัจธรรม แม้จะนั่งสมาธิจนเข้าถึงฌาณสมาบัติ ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาตื่นรู้ในความจริงแห่งสัจธรรม ในการเกิดแก่เจ็บตาย หรือเรียกว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” แม้เพียงชั่วหนึ่งขณะ เคยได้ยินไหม (เคย)  แล้วเคยเข้าถึงสักหนึ่งนาทีไหม (เคยแวบเดียว)  พอถึงเวลาอารมณ์ก็ไปต่อแล้วใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เกิดจากความคิด)  คิดในแบบที่ไม่ควรจะคิด และคิดแบบที่ไม่ยอมรับความจริง (ยึดติด) ถ้าอาจารย์บอกว่าแอปเปิลนี้เป็นของศิษย์ แต่บังเอิญหล่น เอาไหม (ทุกข์จากการกระทำ)  การกระทำของใครหรือ (ของตัวเรา)  ถึงเวลาเราโทษตัวเองไหม (ทุกข์เกิดจากการเกิด)  เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ยิ่งถ้าเกิดเป็นอัตตาตัวตน ก็ยิ่งทุกข์
(ทุกข์เพราะความอยาก , ทุกข์เพราะมีตัวตน , ทุกข์เกิดจากใจเรา )
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนอง : สาวอีสานรอรัก ชื่อเพลง : ใช้ชีวิตให้เป็น)
มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์แตกต่างกันไป แม้แต่ตอนนี้พอนั่งแล้วไม่ได้ยืนก็เริ่มเป็นทุกข์แล้วใช่ไหม แล้วเราสามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) ได้นั่งก็ดีนักหนาแล้ว ดูข้างๆ เขายืนจนขาแข็งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนยืนขาแข็งก็คิดซะว่าดีแล้วฉันได้เสียสละเพื่อคนอื่นบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าแอปเปิลนี้ไม่มีของใครจะตกจะเปื้อนเราก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าแอปเปิลเป็นของศิษย์เมื่อไหร่ตกก็ไม่ได้เปื้อนก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราทุกข์เพราะ (ยึดติด)  ถ้าเปื้อนขี้เอาไหม (เอา)  อาจารย์ถามจริงๆ แอปเปิลกว่าจะออกมาเป็นลูก มันไม่ได้รดด้วยขี้ปุ๋ยขี้วัวขี้ควายหรือ  แล้วจะบอกว่ามันไม่เปื้อนขี้จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเอาไหม (เอา)  เห็นไหมถ้าคิดให้ดีมันก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ายึดในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วมันต้องเป็นแบบนี้ ทุกข์ไหม
ศิษย์เคยคิดไหมอยากให้แอปเปิ้ลมันเป็นส้ม (ไม่เคย)  หวังให้คนหนึ่งต้องเป็นอีกคนหนึ่ง หวังให้อีกคนหนึ่งต้องดีแบบอีกคนหนึ่ง หวังให้ชีวิตไม่อยากเป็นแอปเปิลจงเป็นส้ม แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์เพราะไม่เคยยอมรับแอปเปิลเป็นแอปเปิล ไม่เคยยอมรับส้มเป็นส้ม แต่หวังอยากให้แอปเปิลเป็นส้ม แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วรู้ไหม แก้ไหม (แก้)  ถ้าแอปเปิลมันเปื้อนขี้ ใครอยากจะเอา ถ้าแอปเปิลมันตก ใครอยากจะเอา แต่อาจารย์ถามหน่อยนะวันนี้ศิษย์ได้แอปเปิลไม่เคยเปื้อนขี้ ไม่เคยตก แต่พออยู่ไปอยู่มา มันตกไหม มันเปื้อนขี้ไหม เราหาคนที่ดีที่สุด เหมาะสมกับเราที่สุด งดงามกับเราที่สุด แต่ถึงที่สุดแล้วเขางดงามไหม เขาดีไหม แล้วเอาไหม แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อยึดมั่นแล้ว ครอบครองแล้วจะไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ก็จงจำไว้นะ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี ครอบครองเท่าไรก็เหมือนว่างเปล่า อาจารย์ถามหน่อย เธอเป็นคู่ฉัน ไปไหนไปด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน ได้ไหม ฉันตายต้องตายด้วยกันได้ไหม ฉันทุกข์เธอสุขได้ไหม 
สิ่งที่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือ เรามีอะไรก็ตาม ถึงมีอย่างไรก็ครอบครองไม่ได้ ถึงมีอย่างไรก็เป็นดั่งใจไม่ได้ ถึงมีแค่ไหนถึงที่สุดก็เหมือนไม่มี ถ้าไม่อยากทุกข์ จำคาถาเด็ดของอาจารย์ไว้ มีก็เหมือนไม่มี ได้ก็เหมือนไม่ได้ รู้ก็เหมือนไม่รู้ ศิษย์อยู่กับเขามาตลอดชีวิต รู้จักเขาดีไหม (รู้)  แต่ถึงที่สุดก็เหมือนไม่รู้อะไร เพราะโลกแห่งความเป็นจริงนั้นพลิกเปลี่ยนแปรผัน ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจสัจธรรมที่เรียกว่า ไม่เที่ยง ไม่ควรยึด เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ควรที่จะเอาสัจธรรมมาใช้ในชีวิต ควรเอาสัจธรรมมาพิจารณาจนนำพาให้เราพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ครองอะไรได้ มีอะไรเป็นของเรา ทะเบียนก็แค่ชื่อ แต่ถึงเวลาใจเขาไม่อยู่กับเรา เงินอยู่ในกระเป๋าแต่ถึงเวลาผ่านมากี่เจ้าของ อะไรเป็นของเราแท้จริง แม้กระทั่งสังขาร ทำอย่างไรเมื่อตัวเจ็บแล้วใจจะไม่เจ็บ เมื่อตัวแก่แล้วใจจะไม่แก่ เมื่อตัวตายแล้วใจจะตายก่อน แล้วไม่ตายอีกเลย จริงไหม (จริง)  ทำอย่างไร พุทธองค์สอนหลักสัจธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ พ้นการเกิดและสิ้นการตาย ไม่มีใครไปถึงตรงนั้นเลย ทุกคนแค่อยากทำดีและไปขึ้นสวรรค์ แต่ตรงนี้ มีใครใส่ใจและเอาไปพิจารณาจนบังเกิดความรู้แจ้งเข้าถึงธรรม สนใจไหม (สนใจ)  
เจ็บป่วยหาหมอก็หาย เจ็บเเต่กายอย่าให้เจ็บที่ใจ ฉะนั้นเป็นความเจ็บกับเเค่รู้ความเจ็บอะไรหนักกว่ากัน (เป็นความเจ็บ)  เป็นทุกข์กับรู้ทุกข์อะไรเบากว่ากัน (รู้ทุกข์)  ไม่ว่าความเจ็บอะไรที่เกิดขึ้นกับสังขาร อย่าให้ลงที่ใจ ให้ใจมีหน้าที่เเค่รู้ เเล้วเราจะเจ็บเเค่ที่กายไม่เจ็บลงที่ใจ เเต่ทุกครั้งที่กายเจ็บ ใจเราก็เจ็บ ก็เลยทรมานทั้งกายเเละใจ ฉะนั้นใจจึงมีหน้าที่เเค่รู้ เมื่อไรที่เราเจออะไรเเล้วเเค่รู้ก็จะว่างจากตัวตน เเต่ถ้าเมื่อไรกายเจ็บใจก็เจ็บ นั่นเเปลว่าเรากำลังทำใจให้มีตัวตนเเละมีที่ให้ทุกข์นั่นเอง ฉะนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญาเห็นเเจ้ง เเต่มนุษย์มักจะไม่ค่อยยอมอยู่ในความรู้ ไม่หยุดที่เเค่รู้ ถ้าทำได้ชีวิตศิษย์จะไม่กลัวการตายเเละการเจ็บ เพราะเจ็บเป็นเรื่องของสังขาร กรรมก็เป็นของสังขาร เเต่ไม่เคยเป็นของใจเดิมเเท้ จิตคือสัจธรรมเเละความไม่เที่ยง จิตคือความทุกข์เเละความว่างเปล่าจากตัวตน เเต่มนุษย์ไม่เคยเอาจิตเป็นสัจธรรม มนุษย์มักเอาจิตไปยึดว่าฉันคิดแบบนั้นคิดแบบนี้ ก็เลยหนีไม่พ้นกิเลส กรรมเเละการเวียนว่าย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยโดนตีไหม (เคย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เเต่ถ้าเราลากความเจ็บว่าใจเราเจ็บ ถ้าเราเจ็บก็เเสดงว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ เเต่ถ้าเเค่รู้ว่ากายเจ็บเราจะเจ็บเเค่ที่กาย เเละจะไม่ลากลงมาที่ใจ เหมือนกับที่เวลามีคนมาด่าเรา เราก็รู้ว่าเขาด่า ไม่ใช่รู้สึกว่าตัวเองโดนเขาด่า ความรู้สึกต่างกันไหม (ต่าง)  เขากำลังด่า เเต่เรากลับคิดว่าเราถูกเขาด่า เรากำลังหาประธานเพื่อไปรับกิริยาเเล้วไปรับกรรม ถ้าเราโดนเขาโกงเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่ต้องไปคิด เขาโกงไม่เกี่ยวกับเรา ชีวิตนี้เรามาตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)   มีเงินทอง มีตำเเหน่งหน้าที่ ล้วนเเต่มาทีหลัง เเละถึงที่สุดเราก็ต้องไม่มี ความไม่มีคือสิ่งเดิมเเท้ ความมีมาทีหลังใช่ไหม (ใช่)  เราไม่ได้อะไรเเละไม่เสียอะไร ฉะนั้นเราโดนเขาโกงไหม (ไม่)  
กลับมายืนที่เดิม ไม่ตายก็หาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) จะไปด่าเขา จะไปแค้นเขาทำไม ศิษย์มีเมตตาให้เขายืมเอง ใช่ไหม แต่ถ้ายืมแล้วเขาไม่คืนต้องฝึกทำใจไว้ว่าให้ยืมแบบชนิดที่ว่าไม่คืนก็ไม่เป็นไร อย่าให้จนหมดตัว ไม่อย่างนั้นมันก็ทุกข์ ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เอาธรรมมาพิจารณาจนตื่นรู้ในความจริงและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาศิษย์แก่ ศิษย์เจ็บ ศิษย์ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์เอ๋ย ทุกครั้งที่เจ็บ ทุกครั้งที่ต้องแก่ ให้มองว่าเราแก่แค่สังขาร เราเจ็บแค่สังขาร ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่เอาอะไร ขอไปอย่างคนว่างๆ ไม่ยึดติด ดีขนาดไหนก็ไม่ยึด ชั่วขนาดไหนฉันก็ไม่ทำ ทำจิตให้ว่างๆ แล้วไปอย่างคนที่เบาแล้ว สบายแล้ว ได้ไหม
แต่สิ่งสำคัญศิษย์ต้องรักษาความดีงามในใจให้ได้ก่อน ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ ก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ความดีทำได้ถึงที่สุดหรือยัง (ยัง)  มีเมตตาคุณธรรมถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอย ถ้าคนอื่นเขาใจดำแต่เราจะใจดีให้ถึงที่สุด คนอื่นเขาจะใจร้ายด่าเรายังไงแต่เราจะใจดีให้ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้ว เวลาศิษย์เจ็บป่วย ศิษย์จะปลงได้ ไม่เอาอะไรแล้ว ศิษย์อยากไปแบบโล่งๆ เบาๆ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าศิษย์ยังไม่ดีที่สุด อย่าเพิ่งตายแล้วมาหาอาจารย์ เพราะอาจารย์ไม่อยากช่วยแก้ปัญหา  ฉะนั้นตราบที่ยังมีลมหายใจ ทำตัวเองให้ดีที่สุด มีเมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เสียสละให้มากที่สุด ลดความเป็นอัตตาตัวตนให้น้อยที่สุด แล้วเข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมคือความว่างเปล่าได้ไหม เพราะถึงที่สุดแล้วไม่มีใครเอาอะไรไปได้ ฉะนั้นฝึกฝนบำเพ็ญ อย่าลงแรงแค่การกระทำภายนอก แต่ลืมลงแรงที่จิตใจ อย่าแก้อะไรได้แต่แก้ใจตัวเองไม่ได้ อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ใจเย็นมากหรือยัง ถึงเวลาให้หรือรับมากกว่ากัน 
ศิษย์เอยหนทางแห่งการบำเพ็ญรักษาศีลให้ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติอย่างผู้มีคุณธรรม ให้มากกว่ารับ เชื่ออาจารย์เถอะ ถึงเวลาก็แค่พอกินพอใช้ ถ้ายังสละให้ไม่ได้ ก็บำเพ็ญได้ยาก จริงหรือเปล่า (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญ มีสติรู้ตัวกับทุกขณะที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าเกิดอะไร ถามใจตัวเอง ศีลธรรมมีหรือยัง คุณธรรมถึงพร้อมหรือยัง ถ้าศีลธรรมถึงพร้อม คุณธรรมถึงพร้อม อะไรจะเกิดก็ไม่หวาดหวั่น เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ แต่เจ็บแค่กาย ตายแค่กาย แต่จิตว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำให้ได้นะ เป็นศิษย์ที่ทำให้อาจารย์ภูมิใจ เป็นศิษย์ที่ทำให้อาจารย์มั่นใจว่าศิษย์จะเดินไปจนถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่ดื้อดึง อย่าเอาแต่ใจ อย่าขี้น้อยใจ เลิกตัดพ้อต่อว่า ทำให้ได้นะ เพราะถึงที่สุดแล้ว เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ พึ่งตัวเองดีกว่า
ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าศิษย์มั่นใจในชีวิตตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองทำได้ศิษย์สู้ไหว ไม่ต้องกลัวหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะในเมื่อเราสู้ไหวเราทำได้ จริงไหม (จริง)  เอาแต่พึ่งพาคนอื่นนั้นทำให้เราไม่รอดนะ เป็นผู้บำเพ็ญต้องรู้จักดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเอง นำพาตัวเองให้ถูกทาง เราบำเพ็ญเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น เพื่อละความหลง ไม่ใช่ละแล้วยึดติดในตัวตน อย่างนี้ก็ผิดทาง เราบำเพ็ญเพื่อสละไม่ยึด ตั้งใจแล้วบำเพ็ญให้ถึงที่สุด ไปให้สุดลมหายใจที่เราทำได้ เมื่อจะเดินก็เดินให้ดีที่สุด เมื่อจะไปก็ไปให้ถึงด้วยหัวใจที่ถูกต้องดีงาม 
อาจารย์เมตตาศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องกล้าที่จะรู้ กล้าที่จะรับ เพราะว่าความจริงเท่านั้นเป็นธรรมที่ทำให้เราปลดปลง ปล่อยวางได้ เรามาจากความไม่มี ความมีหรือความไม่มี ก็ไม่เคยเที่ยง ใช่ไหม (ใช่)
สุขภาพไม่ดี เข้มแข็งนะ เอาเวลาที่มีอยู่ทำให้เต็มที่ สังขารมันไม่เที่ยง ยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ ใช้ชีวิตมากกว่า เวลาเท่ากัน แต่บางคนทำได้เต็มที่ ทำได้มาก นั่นหมายความว่า ใช้ชีวิตมากกว่า ใช้ชีวิตดีกว่า ใช้ชีวิตเยอะกว่า ใช้ชีวิตเป็นกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์รู้ว่า ใช้ชีวิตให้เป็นดีกว่า เวลาเจอปัญหาใช้ความคิดอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้พ้นปัญหาได้ เพราะปัญหาที่แท้จริงมักจะเกิดจากจิตของเรา เห็นว่าเป็นปัญหาก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าเห็นไม่เป็นปัญหาก็จะพ้นปัญหาได้ จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”)
เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ธรรมะหรือความเป็นจริงล้วนบอกไว้แล้วว่า “เราเกิดมาเพื่อดับ” ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์ แล้วเวียนทุกข์ แล้วก็ไม่จบในทุกข์ แล้วเราเกิดมาเพื่อดับอะไร ดับความเป็นตัวตนที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวลด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในตัวเรา เคยเห็นธรรมในตัวเราไหม
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้ว จะดีมากยิ่งขึ้นถ้าศิษย์นำธรรมไปใช้ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วทำให้ทุกที่เป็นที่ๆ เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ สิ่งใดที่ทำให้เราสละความโลภ สละความโกรธ สละความหลง แล้วเกิดจิตผ่องใสนั่นเรียกว่า มีศีล มีบุญ มีธรรมะ มีทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ศิษย์ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อสนองกิเลสแห่งตัวตน แต่เกิดมาเพื่อเข้าถึงธรรมในใจตัวเองและประจักษ์แจ้งในความจริงของตัวเองว่า เราก็คือธรรม ธรรมที่ไม่ทุกข์ เปลี่ยนแปลง และถึงที่สุดว่างเปล่า
ศิษย์เอ๋ย อย่าล้อเล่นกับชีวิต เพราะถ้าพลาดผิดไปครั้งเดียว กรรมที่ศิษย์ต้องรับชาติเดียวก็ไม่หมด เคยได้ยินไหม ด่าเขาแค่ครั้งเดียวแต่แค้นจนตาย ทำเขาแค่นิดเดียว เอาให้ถึงที่สุด อย่างนั้นเราควรเกิดมาแล้วประมาทในการใช้ชีวิตหรือ แล้วเราควรใช้ชีวิตตามอารมณ์หรือ ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แล้วไยจึงไม่รู้จักใช้ธรรม เพื่อนำพาให้เราประเสริฐ ลองนำสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทุกวันล้วนดับไป ใช่หรือไม่
จำคำอาจารย์ไว้นะ ใครทำให้ศิษย์ทุกข์ จงจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อดับ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเจ็บปวด แต่ฉันจะเอาสิ่งที่เจ็บปวดและเป็นทุกข์ เป็นแพข้ามฟากให้ฉันดับให้ได้ ไปให้ถึงนะ ขอสิ่งดีงามจงมีในใจศิษย์ทุกคน ขอจิตที่ประเสริฐจงนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์นะ อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต ฉะนั้นศิษย์อย่าล้อเล่นกับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ถึงที่สุด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”
    ใช้ชีวิตเยอะกว่า แม้ในยามเปิดตาก็สงบในขันธ์
ใช้ชีวิตเป็นกว่า เรื่องอะไรจะมา เป็นแค่งานสังสรรค์
อย่ามาบำเพ็ญ เหมือนโดนไหว้วาน ใส่ใจบำเพ็ญถึงเย็นเข้ากัน
หัวดียึดมั่นรั้นไม่มีชะลอ ใช้ชีวิตมากกว่าคุ้มค่าเต็มเวลา ไม่ทำตัวหงอหงอ
ใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาคือปัญหา พอคิดคิดไม่พอ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

2560-10-28 สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร

西元二○一七年歲次丁酉九月初九日                                           仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐                สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น          พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ[1]           ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว   ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่า

  ใช้สติยามล้มจงรีบตั้งหลัก              กลัวเจ็บพักไม่ลุกอยู่อย่างไรไหว
แบกปัญหาไม่สู้ขึ้นอย่างวางไป           สู้มากมายแต่คนมักขาดครรลอง
ช่วงเวลาฟ้าหมองหม่นดั่งเดือนดับ       ในความมืดแสงทองกลับมีเจ้าของ
บำเพ็ญประโยชน์ไม่นานแสงธรรมแสงทอง   ยากทั้งผองผู้กล้าไม่นึกกลัว
คุณธรรมถูกปลุกขึ้นจากจิตสำนึก        ฝึกนิสัยซื่อขยันมาตรองถ้วนทั่ว
จริงที่ใจจริงที่ธรรมประจำตัว            ละอายชั่วรู้ในหน้าตาธรรมเดิม
ผู้สำรวมตนหน้ามีศีลครองคุ้ม            ขาดสุขุมอย่าพาทีนำเดือดร้อนเพิ่ม
ยามเหนื่อยล้าระวังใจเชื้อไฟเติม         ปัจจัยเดิมต่อการมีธรรมวัดใจ

                                    ฮิ ฮิ หยุด


[1] อาเพศ : ให้เป็นไปเอง เผอิญเป็น ปรวนแปรไป เกิดขึ้นอย่างผิดปรกติ

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น  พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
เพราะอารมณ์นิสัยที่เข้าข้างตัวเอง มองตามความคิดเห็นของตนเป็นบรรทัดฐานมากกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นบางทีสิ่งที่เราบอกว่าจริงบางทีมันอาจจะ (ไม่จริง)  สิ่งที่เราบอกว่าไม่จริงมันอาจจะ (จริง)  แล้วตกลงมันจริงหรือไม่จริง บางทีก็เหมือนไม่รู้ใช่ไหม (ใช่)  คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ ของเรา บางทีก็กลายเป็นเพื่อน (ไม่จริง)  เงินที่ว่าน่าจะเป็นของเราบางทีมันก็กลายเป็น (ของคนอื่น)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราเป็นนั้นจริงเสมอไป เพราะเห็นมันก็ยังมีสิ่งที่ (ไม่เห็น)  เพราะรู้มันก็ยังมีวัน (ไม่รู้)  เปลี่ยนได้ ใช่ไหมพอถึงเวลา มันเปลี่ยนไหม แล้วคิดหรือว่าเราจะรู้จริงๆ
สิ่งที่เราเห็นแท้ที่จริงแล้วเรายังไม่เคยเห็นมันจริงๆ สิ่งที่เราว่าเราเป็น แท้จริงแล้วเราก็ไม่เคยได้เป็นมันจริงๆ เราว่าเราเป็นนั่น เราเป็นนี่ แต่พอเราไปทำมันจริงๆ เราเป็นไหม (ไม่เป็น)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้มั่นใจในตัวเองว่าตัวเองรู้ แต่การรู้ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วในโลกใบนี้สิ่งที่เราว่ารู้ เราอาจจะไม่รู้ สิ่งที่เราว่าเห็น เราเข้าใจ แท้จริงแล้วเราอาจจะไม่เห็น ไม่เข้าใจ เมื่อเรามองแบบนี้ตลอดเวลา เราจะผิดหวังกับใครไหม แล้วเราจะผิดหวังกับตัวเอง ที่ไม่น่ามองผิดเลยไหม (ไม่)  แล้วเราจะเสียใจไหมที่เราตาต่ำไปดูเป็นของสูง (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่เรามีชีวิต เรามักจะพูดว่า ฉันรู้นะ ฉันเห็นนะ ฉันแน่นะ แต่ในใจจริงๆ อ่อนปวกเปียกเลยแล้วจะสร้างกำแพงนี้มาให้ตัวเองทุกข์ทำไม ถือว่าเรามาคุยกันแบบมีแง่คิด คุยกันแบบให้เกิดปัญญาดีไหม เพราะคนที่มีปัญญาคือผู้ประเสริฐ และคนที่รู้จักทำอะไรด้วยปัญญาเรียกว่าอยู่อย่างฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราขอเหมารวมว่านักเรียนในชั้นนี้ชอบอยู่กันอย่างมีปัญญาดีไหม (ดี)
แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล
เพราะทางธรรมอาจจะมองต่างจากทางโลก คนทางโลกสอนว่าต้องฉลาดไว้ ต้องเก่งไว้ ต้องรู้ไว้ แต่ธรรมะสอนให้ไม่รู้บ้าง ไม่เก่งบ้าง เพราะยิ่งไม่รู้ ความรู้ยิ่งไหลริน ยิ่งไม่เก่งยิ่งมีคนอยากจะสอนให้เราได้เก่งยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งคิดว่าตัวเองรู้ ยิ่งคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งคิดว่าตัวเองแน่ ยิ่งไม่มีใครเอาหรอกนะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบไหน จึงบอกว่ายอมอยู่หลังจึงได้เหมือนอยู่หน้า ยอมถอยจึงได้เหมือนก้าวได้ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ประเสริฐตรงที่ไหน มนุษย์เป็นคนดีที่สุดตรงที่ใด (ปัญญา) ปัญญาแค่นั้นหรือ
มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด เพราะเขาศรัทธาในความถูกต้องดีงามตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่สูญสิ้นความดี เเต่มนุษย์รักความดีเเต่ไม่เคยศรัทธาความดีจนลมหายใจสุดท้าย เจอปัญหาก็ยอมเเพ้ เจอทุกข์ก็ไม่เอา ฉะนั้นมนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐที่ศรัทธาความถูกต้องดีงามเเละประพฤติปฏิบัติจนตราบลมหายใจสุดท้ายจึงเรียกว่าผู้ประเสริฐเเท้จริง
แล้วรู้ไหมว่าภพภูมิมนุษย์เป็นภพภูมิที่ใหญ่กว่าเทวดา เพราะมนุษย์ยังสามารถสร้างความดีให้มากยิ่งขึ้นเเต่เทวดาไม่มีโอกาสสร้างความดี ไปแค่รับผลบุญ เมื่อหมดก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ฉะนั้นไหว้เทวดาไหว้ฟ้าดินไม่สู้ไหว้ตัวเอง เมื่อไรจะทำให้ตัวเองน่าเคารพสักที ใช่ไหม (ใช่) 
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วคนในโลกนี้ดีไหม (ดี)  แล้วโลกนี้ดีไหม (ดี)  เพราะมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าทุกคนมีดี เรามองเห็นใครๆ ก็ดีหมด มีคุณค่าหมด แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดว่าทุกคนแย่ เราก็จะมองเห็นโลกมีแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความนึกคิดก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน อย่ามองว่าความนึกคิดจะไม่ใช่กิเลส จะไม่ใช่ตัวปัญหา แต่มันเป็นตัวปัญหาหลักเลย คิดถูกก็เห็นถูก คิดผิดก็เห็นผิด ใช่หรือไม่
เหมือนเรามองเห็นเขาแล้วเอาแต่จับผิด มันก็เห็นผิดวันยังค่ำ แต่ถ้าเรามองเห็นเขา แล้วเขาต้องมีดีสิ สักวันเราก็จะเห็นเขาดี แต่ถ้าเราเอาแต่มองว่าเขาแย่ ถามว่าเขาจะดีขึ้นมาไหม (ไม่)  แล้วใครที่ทำเขาแย่ ความคิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกิเลสก็อาจจะเกิดจากความคิดเห็นแห่งตัวตน และความหลงผิดนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างกับอารมณ์นิสัยของคน และทุกครั้งที่เราคิดเราต้องทำตามที่เราคิดเสมอไหม (ไม่)  แต่เราก็ไม่สามารถล้างความคิดออกจากใจได้ เวลาที่เราคิดมันก็ยังคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้ธรรมไม่ได้สอนให้เราไปเพ่งมองคนอื่น เปลี่ยนแปลงคนอื่น วัดค่าคนอื่นดีเลว แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรารู้ทันตามความคิดและหยุดมันก่อนคิดได้ ดังคำปราชญ์ที่สอนไว้ว่า “ไม่เริ่มก็จบทันที” แต่มนุษย์ไม่ใช่ คิดแล้วเริ่ม เริ่มแล้วทำ ทำแล้วก่อกรรม ก่อกรรมแล้วผูกเวร แล้วค่อยไปตามแก้กรรมแก้เวร แต่ถ้าเราสามารถรู้ก่อน เห็นก่อน ทันก่อน ไม่ใช่เพื่อรู้ทันคนอื่น แต่เพื่อรู้และทันตัวเอง หยุดบาปหยุดเวรที่ตัวเอง มันดีกว่าไหม (ดี)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากความคิด แล้วคิดแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก คิดแล้วทำ ใช่ไหม
สิ่งที่เรามักจะเป็นแล้วทำให้เราทุกข์คือ “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอม” แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไรละ ในเมื่อความคิดเรามันไม่ยอมผิด ไม่ยอมรับ แล้วก็ถามว่าทำไมต้องว่าฉัน ทำไมต้องทำฉัน ทำไมต้องด่าฉัน จริงไหม (จริง)
เหมือนเราคิดว่าทำไมต้องยืน ทำไมไม่ได้นั่ง ทุกข์ไหม ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ทุกข์ไหม ไม่ทุกข์นะ ถ้าทำไมต้องยืนแล้วไม่ได้นั่งก็ไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  ทำไมฉันต้องยืนละ ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  งั้นนั่งดีไหม (ดี)  ดีทันทีเลย
ถ้าอยากจะดับความคิดตรงนั้น อย่างแรก อย่าเอาแต่เพ่งโทษและกล่าวโทษผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากทุกข์ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ดีอย่างนี้ ทำไมเขาว่าฉันอย่างนั้น การไม่เพ่งโทษ ไม่กล่าวโทษ มันหยุดความขัดแย้งในใจได้ มันหยุดความโกรธเคืองในใจเราได้ จริงไหม (จริง)  แต่ความคิดมนุษย์ชอบตำหนิ ชอบกล่าวโทษ พอตำหนิคนก็ขุ่นเคืองใจแล้ว เวลามีเรื่องอะไรเราเคยโทษตัวเองก่อนไหม (ไม่เคย)  อยากได้บ้านสงบสุขไหม (อยาก)  อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก)  ฉะนั้นเวลามีปัญหา หนูผิดเอง พ่อผิดเอง แม่ผิดเอง ดีไหม ลองทุกคนต่างยอมรับผิด จะมีการโทษกันไหม (ไม่มี)  มีแต่ร่มเย็น
ถ้าในสังคมมีเเต่คนที่ไม่ตำหนิกัน ไม่กล่าวโทษกัน ไม่ด่าทอกัน ยอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง เราจะทะเลาะกันไหม (ไม่)  เเล้วความคิดที่เราจะเพ่งร้ายใครมีไหม (ไม่มี)  เราจะมองเเต่ว่าเรายังไม่ดีพอ เราคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเพ่งออกหรือเพ่งเข้า (เพ่งออก)  ว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเรา)  ถ้าเราอยากเปลี่ยนเเปลงให้โลกนี้สงบเย็น เราต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ถ้าเราสุขอยู่ที่ไหนก็สุขเเต่ถ้าเราทุกข์มีปัญหาในใจ ไม่ยอม ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่แพ้ ไม่ผิด ไม่เอา มันทุกข์ พอเราทุกข์เราก็อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าฉันโกรธฉันเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราไม่เพ่งโทษไม่กล่าวโทษคนอื่น เราเเปรเปลี่ยนหัวใจเราเป็นเข้าใจเขาให้มากๆ เห็นใจเขาให้มากๆ อภัยเขาให้เยอะๆ เเละยอมรับความจริงเขาให้ได้มาก แบบที่ชีวิตนี้ไม่เคยยอมใครมากขนาดนี้ เเต่วันนี้ก็ต้องยอม เพราะด่าไปก็เหนื่อยทุกข์ไปก็เจ็บ ด่าไปก็ปวดใจ
การเข้าใจลดการทะเลาะวิวาท การเห็นใจลดการเเก่งเเย่งชิงดี การให้อภัยลดการทำร้ายจองเวรเคียดเเค้นชิงชัง เเละการกล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เราสงบเย็นสบาย เเต่ทำไมไม่มีใครทำ เอาเเต่ถามว่าทำไมเขาไม่เป็นมากกว่านี้ ทำไมเขาไม่ดีกว่านี้ ทำไมชีวิตต้องได้แบบนี้ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกับว่า ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ เราห้ามอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  เราหยุดยั้งปากคนได้ไหม (ไม่ได้)  เราเปลี่ยนโลกได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเราเปลี่ยนโลกเปลี่ยนคนไม่ได้ เราเปลี่ยนอะไรได้ (เปลี่ยนตัวเราเอง)
รู้แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีใครทำเลย ต้องรอทุกข์จนถึงที่สุด ต้องรอเจ็บจนเจียนตายแล้วบอกว่า เธอช่วยฉันหน่อยสิ พระจ๋าช่วยหนูหน่อยสิ ศิษย์น้องเอ๋ยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่ศรัทธาในปัญญาของตน แล้วเอาชีวิตของตนไปฝากไว้กับพระพุทธะ ใครจะช่วยเปลี่ยนใจเราได้ จริงไหม (จริง)  กราบไหว้พระแต่ใจยังจมอยู่กับความคิดมันก็ไม่มีประโยชน์นะ เปิดใจกว้างจนถึงที่สุด จนไม่มีขอบเขต แล้วศิษย์น้องจะรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครเห็นแก่ตัว ในโลกนี้ไม่มีใครแล้งน้ำใจ เพราะเรากว้าง ใครไม่กว้างหนูจะกว้าง เขาไม่ใจดีหนูจะใจดี เอาให้ถึงที่สุดที่ชีวิตหนึ่งจะประเสริฐสุดได้ ที่ชีวิตหนึ่งจะดีได้ แล้วเราจะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่มีใครที่เกิน เลย ขาด หรือแย่เลย ทุกคนดีไปหมด เพราะเขาเป็นแบบนี้เราก็ต้องยิ่งดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมไม่เอา พอถึงเวลาเขาไม่ดี เราก็ไม่ดีด้วย เขาแย่ก็แย่ด้วย ตามกันไปเป็นขบวน ใช่ไหม
ฉะนั้นอย่าดูถูกปัญญาอันประเสริฐ อย่าดูแคลนความศรัทธาในความดีของตน เรารักในความดี เราชอบในความดี แล้วเราก็ศรัทธาคนที่ดี แล้วบอกตัวเองว่าทำไมเราไม่เป็นสักที ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากัน พอถึงพรุ่งนี้ก็มะรืนต่ออีก น่าเสียดายนะ เพราะชีวิตมันล่วงเลยไป ยิ่งผ่านไปเท่าไรคุณค่าของเราก็มีได้แค่นั้น ทั้งที่จริงแล้วมันมีได้มากที่สุด กว้างที่สุด ใหญ่ที่สุด แต่ทำไมขอแค่นี้ก็พอ
การเรียนรู้ธรรมและการศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่เราสามารถปฏิบัติได้ในทุกขณะทุกเวลา และทุกขณะที่เรามีชีวิตและดำรงตนอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งที่มนุษย์ชอบบอกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน ปฏิบัติเป็นทาน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยทำตัวเราให้มีธรรมะไหม ให้แต่กิเลสให้แต่อารมณ์ ให้แต่นิสัยความเป็นตัวเองให้เขาเห็น อย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราปฏิบัติได้แค่ตอนอยู่ในวัด แต่กับคนเราปฏิบัติดีต่อกันไม่เป็น อย่างนี้ไม่ถูก
ปฏิบัติได้ที่แท้จริงคือ กับใครเราก็ให้ไม่เจาะจง บุญที่ไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบุญที่สามารถยกระดับใจ ให้เราโปร่ง ให้เราโล่ง ให้สบาย นั่นก็คือ บุญอันประเสริฐ แต่ถ้าบุญทำแล้วหลงยึดติดนั่นก็แปลว่า เดินผิดทาง ใช่ไหม (ใช่)  ใจเราไม่ใช่ถังขยะนะศิษย์น้อง ที่เอาแต่เก็บสิ่งเน่าเหม็น ใจเราเหมือนท้องฟ้ากว้างและสายลมเย็น ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่มีไว้เพื่อแบกทุกข์แล้วก็เจ็บปวดกับความทุกข์ แต่ชีวิตมีไว้เพื่อเรียนรู้เข้าใจทุกข์ และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดั่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดบ่อยๆ ทุกข์มาให้เราแค่รู้ แค่เป็น แค่เห็น แต่ไม่เอาทุกข์ แต่มนุษย์เห็นแล้วก็เอาแล้วก็ทุกข์กับมันใช่ไหม (ใช่)  น่าเสียดายนะเพราะสิ่งที่ท่านกราบไหว้นับถือคือ พระพุทธองค์ ท่านกลับเอาทุกข์มาเป็น บันไดก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธะ เเต่มนุษย์เอาทุกข์ทำให้ตัวเองจมเเล้วก็เวียนว่ายในวัฏฏะ ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ฉะนั้นเรามาเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติง่ายๆ ที่จะทำให้เราทุกข์น้อยลงก่อนดีไหม (ดี)  ส่วนใหญ่เรามักทุกข์เพราะว่าเรื่องราวในโลกไม่เป็นดั่งใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเป็นดั่งใจเรียกว่า (สุข)  ถ้าไม่เป็นดั่งใจเรียกว่า (ทุกข์)  เเล้วถ้าใจไม่มีดั่งอะไรเลย (ว่างเปล่า)  เเล้วอะไรจะทำให้เราสุข (ไม่มี) เเล้วอะไรจะทำให้เราทุกข์ (ไม่มี) เราจึงเดินเข้าสู่ความสงบเย็นเลยใช่ไหม (ใช่)  เเต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่ มีความคาดหวังมีความยึดติด ต้องเป็นแบบนี้ถึงจะสุข ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทุกข์ ถ้าไม่เป็นดั่งที่เราหวังเราไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้)  สมมติว่าเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง เขาน่าจะชมเราเเต่เขาก็เอาเเต่ด่าเราทิ่มแทงเราให้เจ็บปวดช้ำใจ เป็นแบบนี้เราจะทำอย่างไร (ก็ช่างเขา)  ศิษย์น้องอย่าลืมใช้ปัญญา ลืมไปแล้วหรือ ในร้ายมีดี ในดีก็อาจมีร้าย เเล้วสิ่งที่เรามองว่าร้าย จริงๆ เเล้วไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการโดนด่าบ้างก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งว่า “เขาคิดแบบนี้ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะคิดด่าเราได้ขนาดนี้” เคยไหมเราทำอะไรอย่างหนึ่งเเล้วเราไม่ได้คิดเลยว่าอยากจะได้หน้า อยากได้คนชม เเต่อยู่ๆ เขาก็ว่าเราอยากได้หน้าใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นในเรื่องร้ายๆ มันก็มีดี ในเรื่องดีบางทีก็มีร้าย เมื่อเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ปักใจคาดหวัง จะมีอะไรทำให้เราทุกข์และอะไรจะทำให้เราหลงระเริงสุข มันก็ไม่มี ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมาเราก็สบาย ถึงเวลาเราเป็นอย่างนั้นไหม ศิษย์น้องก็อาจจะบอกว่า “ศิษย์พี่ คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องดีต่อกันสิ พูดก็ต้องพูดดี ทำต่อกันก็ต้องทำดี แต่ทำไมเขาทำแบบนี้” ใช่ไหม (ใช่)  เรารักดีเราหวังดีได้ แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีกับฉัน (ไม่)  ศิษย์น้องก็รู้ใช่ไหม แล้วทำไมพอเขาทำไม่ดีกับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจึงโกรธเขา เราหวังดีนั้นดี เราปรารถนาดีนั้นดี แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะต้องดีกับฉัน ห้ามทำไม่ดีกับฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ถ้าเขาทำไม่ดี เขาผิดไหมที่เขาทำไม่ดี (ไม่ผิด)  สมควรด่าไหม (ไม่ควร)  แล้วสมควรส่งต่อประจานไหม (ไม่ควร)  เห็นศิษย์น้องทำหมดทุกทางเลย ต้องให้โลกรู้ต้องให้สังคมรู้ ให้เขาไม่มีที่ยืนเลย ใจร้ายไปใช่ไหม (ใช่)  เขาทำไม่ดีแค่ในสายตาเรา แต่ในสายตาคนอื่น เขาอาจจะดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอีกอย่างทุกคนมีเหตุผลที่จะทำผิดได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเขาไม่ดีหรือความยึดมั่นถือมั่นที่เราไม่ชอบความไม่ดีแบบนี้ มันไม่ดีกันแน่
ใจเราไม่วาง ยึดติดว่าฉันไม่ชอบคนประเภทนี้ ฉันชอบแบบนี้ คนประเภทนี้ไม่ชอบ ถ้าเราไม่มี เราจะมีใครที่เราเกลียดไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีความคิดที่ยึดติดว่า “ฉันไม่ชอบลักษณะนี้ ฉันไม่ชอบคนแบบนี้ ฉันไม่ชอบคนประจบ ฉันไม่ชอบคนหน้าอย่างหลังอย่าง ฉันไม่ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยว ฉันไม่ชอบคนดีแต่พูดแต่ไม่รู้จักทำ ฉันไม่ชอบคนเช่นนี้ขี้บ่นไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น” ถ้าเราไม่มีแบบนี้ เมื่อเจอเราจะทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าอยากไม่ทุกข์ควรจัดการที่เขาหรือเรา (เรา)  และเอาวิธีแก้ทางกายมาใช้กับใจมันได้หรือ ยุบหนอพองหนอสงบหนอทำใจหนอ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจจัดการ อย่าเอากายไปข่มใจ แต่ต้องเปิดใจและรับความจริง เพราะไม่ชอบ เพราะเรารับไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากเอา ใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อเราเรียนรู้ธรรมอะไรเราก็ต้องรู้ รู้แล้ววางจบ สงบ แต่ถ้ารู้แล้วยึดมันก็เป็นกรรม อยากสงบหรืออยากมีกรรม (สงบ)  ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องยึดมันทุกเรื่องเลย มันก็เลยเป็นกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อหมดเวรหมดกรรม หรืออยู่เพื่อสร้างกรรม ถามตัวศิษย์น้องนะ ถ้าเราเรียนรู้หลักธรรม และรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันพร้อมเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ที่แท้จริงคือฝึกรู้ใจ ไม่ใช่ไปรู้ใคร ฝึกรู้เท่าทันใจ ศาสนาพุทธสอนให้เป็นผู้รู้ รู้แล้วตื่น ตื่นแล้วเบิกบาน แต่เรารู้เราไม่ตื่นแล้วเราก็ทุกข์ทน จึงน่าเสียดายที่เดินผิดทางนะ
ศิษย์น้องหลายคน ชอบทุกข์และจมอยู่กับอดีต ศิษย์น้องรู้ไหม คนที่มีชีวิตแล้วจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต พระพุทธะเรียกคนที่จมอยู่กับความทุกข์ในอดีตว่า คนตายแล้ว เพราะคนตายแล้วเท่านั้นที่มีแต่อดีต แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แล้วตอนนี้ศิษย์น้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน)  เอาแต่ทุกข์ เขาเคยด่าหนู เขาเคยว่าหนู เขาเคยทำหนูเจ็บ เกลียดเขา ศิษย์น้องก็คือคนที่ยอมตายทั้งเป็น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่า จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต แต่คนที่จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คือคนที่ยอมให้ตัวเองตายทั้งเป็น แล้วศิษย์พี่ก็หวังว่าศิษย์น้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่คนที่แอบตายแล้วจมอยู่กับอดีตที่ไม่ยอมก้าวข้ามความรู้สึกสักที เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับคนโน้น เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับอดีต ทำไมสามีไม่เห็นดีเหมือนเมื่อก่อนเลย ทำไมภรรยาไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อก่อนเลย ศิษย์น้องคือคนที่อยากจะตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นอยากมีสุขจงอยู่กับปัจจุบันเพราะปัจจุบันคือชีวิต และชีวิตก็มีแค่ปัจจุบัน ผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีอนาคตที่ถูกต้องที่สมแล้วกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ คุณค่ามันยิ่งใหญ่ จงศรัทธาในความดีอันนั้น และรักษาความดีนั้นเป็นทรัพย์ที่ยิ่งกว่าเงินทองใดๆ
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  อย่างน้อยทำให้วันนี้เกิดปัญญา คิดได้ วางได้ ปลงได้ และเห็นทุกข์ชัดและไม่ทุกข์อีก แค่นี้ศิษย์พี่ก็ดีใจแล้ว มีโอกาสก็มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  เราเป็นพี่น้องร่วมศึกษาธรรม เมื่อพูดถึงธรรมไม่มีแบ่งแยก พุทธ คริสต์ อิสลาม ธรรมก็คือธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกใบนี้ อย่าแบ่งแยกกันเพราะศาสนา แต่จงมองให้เห็นธรรม แล้วเอาธรรมนั้นมาทำให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง คิดต่างได้แต่เดินร่วมกันได้ ดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้ แต่เราเข้าใจกัน เห็นใจกัน เข้าใจกัน อภัยกัน ยอมกัน รับกันได้ นั่นแหละความสุขอยู่ตรงนี้ สงบก็อยู่ตรงนี้ ศิษย์น้องไม่ใช่ปรารถนาความสุขสงบหรือ แล้วสงบได้อย่างไรละ ก็ยอมจบ ถ้าไม่ยอมมันก็ไม่จบ พอจบแล้วมันก็สงบ แล้วมันก็เย็นใช่ไหม (ใช่)  แต่หลายๆ เรื่องไม่ยอม ให้ไปเถอะ ให้ได้ก็ให้ไป ยอมได้ก็ยอมไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปจริงไหม (จริง)  ดีกว่าผูกใจเจ็บจองเวรจองกรรมไม่สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที น่าเสียดายนะ แล้ววันหนึ่งศิษย์น้องจะเข้าใจว่า จิตที่เข้าถึงธรรม ทำให้เราพบพุทธะบนแดนดิน แล้วก็กลับคืนสู่ที่มาที่ศิษย์น้องเคยจากมา ดินแดนที่ไม่ต้องการใคร ไม่ต้องมีอะไร มันว่าง มันโล่ง ไม่มีตัวตนอยู่ตรงไหน เพราะมันคือความเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย ไม่แบ่งแยกเขา ไม่แบ่งแยกเรา ไม่มีใครดีกว่าเรา ไม่มีใครแย่กว่าเรา ทุกคนเท่ากันหมด นั่นคือโลกแห่งพระศรีอารย์ ทำได้ มิได้ อยู่ที่ใจเราเอง ยอมไหม (ยอม)  ไปละ
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐            สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ตนเตือนตนรู้นำตนทรงคุณค่า          ตนหลงตนลืมธรรมาน่าใจหาย
เป็นผู้ที่รักธรรมยิ่งจนวางวาย            เป็นผู้ที่สละตนได้เพื่อผู้คน
ที่ไหนมีหลักธรรมาพร้อมบำเพ็ญ         ที่นั้นย่อมร่มเย็นดั่งสายฝน
พึ่งพาตนเพื่อรู้ตนละวางตน              พึ่งพาธรรมเพื่อรู้ตนแจ้งในธรรม
แห่งใดหรือที่สงบคนใฝ่หา                แห่งนี้มีหลักธรรมามาชูค้ำ
ตนผู้ไม่พ่ายกิเลสพาระกำ                ตนผู้มีหลักธรรมสติปัญญา
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับบ้างไหม

  ศีลไม่ขาดธรรมไม่พร่องรู้หน้าที่         ประพฤติดีปฏิบัติดีก้าวไม่ถอย
เมื่อพูดได้ต้องทำได้ไม่เลื่อนลอย          รั้งรอชะรอยคิดมากจนไม่ได้ทำ
ความจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย       รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
ปลงให้ตกวางให้ได้แจ้งในธรรม           ไม่สร้างกรรมเพราะโลภหลงโลกโลกีย์
แสวงได้แต่หาใช่ของเราจริง              แค่ยืมใช้สักวันทิ้งคืนโลกนี้
โลกธรรมแปดอนิจจังหนอตรองชีวี       บำเพ็ญฝึกหลักธรรมมีสติปัญญา
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังฟุ้งซ่านอยู่ไหม ควบคุมอารมณ์กันได้หรือยัง ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตคนคือความเป็นตัวเอง ความเป็นตัวเองทำให้เรื่องราวในโลกใบนี้ดูวุ่นวาย ก็รู้อยู่นะว่าตัวปัญหาที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเองทั้งนั้น แต่พอถึงเวลาทำอะไรเลือกแต่ตัวเองเป็นหลัก ทำไมไม่วางตัวเองลงแล้วหันหลังมองตามความเป็นจริงแล้วยึดหลักธรรมมานำพาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าสำคัญตนผิด สำคัญเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ขาดฉันไม่ได้ เรามักจะคิดอะไรเข้าข้างตัวเอง มองตัวเองเป็นหลัก ใครไม่เห็นความสำคัญก็โกรธ ใครดูถูกความสำคัญก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีฉันโลกมันก็ยังคงหมุนต่อไป ไม่มีเรา โลกก็ยังคงต้องเป็นไปเหมือนเดิม ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดชีวิตนี้ของศิษย์สุขทุกข์ใครกำหนด ให้คนนั้นคนนี้กำหนดว่าแบบนี้ทุกข์ แบบนี้สุข หรือว่าเห็นโลกชัดยิ่งขึ้น มองออกยิ่งขึ้นว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครกำหนดได้ ใจเราก็กำหนดไม่ได้
แท้ที่จริงแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรสุขจริงและไม่มีอะไรทุกข์จริง แล้วเราเคยคิดได้แบบนั้นบ้างไหม ส่วนใหญ่คิดได้กันแค่สองแบบใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตยังมีแบบที่สามอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่เราจะปล่อยชีวิตไปตามที่คนโน้นกำหนดคนนี้กำหนด หรือบางทีเราไม่มองตัวเองเราเอาแต่โทษฟ้า ฟ้ากำหนดให้ชีวิตฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมฟ้าจึงทำกับฉันอย่างนี้ ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดมาชีวิตมีแค่นี้หรือ ทุกข์สุข ทุกข์สุข ทุกข์สุขจนตาย แล้วก็ทุกข์สุข แค่นั้นหรือ
ลึกๆ ในใจเราอยากหาความสงบ แล้วสงบอย่างไรที่ทำให้เราสงบได้เเล้ววางลงได้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ทรมานกลัดกลุ้ม ไม่รู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง เเละมีอิสระได้อย่างเเท้จริง โดยที่ไม่รู้สึกว่าเราทำดีเเล้วหรือยัง ฉันพอแล้วหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  นั่นคือสิ่งลึกๆ ที่ศิษย์แสวงหา เเล้วทำไมศิษย์ไม่เคยหันกลับไปมอง แต่ศิษย์กลับหนี เมื่อนิ่งได้สักพัก ศิษย์ก็ไปหาเรื่องวุ่น สงบได้ไม่ถึงนาที อิสระได้ไม่ถึงห้านาที ก็หาเรื่องไปเกี่ยวให้วุ่นวายอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศิษย์จะศึกษาธรรมกับอาจารย์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ใจของศิษย์อยากให้คนกำหนดชีวิตหรือว่าชีวิตกำหนดตัวเรา หรือเป็นชีวิตที่มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต (มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต)  ไม่ใช่เป็นแบบเดิม ถ้าศิษย์อยากมองเห็นชีวิตมากกว่าชีวิต อาจารย์จะได้ไปต่อ หากศิษย์อยากวนอยู่ในสุขทุกข์ก็ไม่พูดต่อ เพราะถ้ากลับไปทำเหมือนเดิมก็คือเหมือนเดิม วันนี้ศิษย์มาหาอาจารย์ก็น่าจะมีอะไรเพิ่มเติมและดียิ่งขึ้น ที่เรียกว่าคุณค่าชีวิตที่นำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หนทางเเห่งความเป็นพระพุทธะโดยเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนบำเพ็ญ”
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
ตามจริยมารยาทอันดี เข้าบ้านคนอื่นก็ต้องแนะนำตัว และบอกวัตถุประสงค์ที่มา วัตถุประสงค์ที่อาจารย์มานั้นชัดเจน คือไม่ได้มาขอสตางค์ ไม่ได้มาเรี่ยไร ไม่ได้มารักษาโรค แต่มาสนทนาธรรมเพื่อนำทางชีวิตให้พบความพ้นทุกข์ และก้าวไปสู่หนทางการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะบนแดนโลก แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกอาจารย์ว่า มันไกลเกินเอื้อมไปหน่อย แต่ศิษย์เอ๋ย ไม่ลองก้าวแล้วจะรู้หรือว่าทำได้หรือทำไม่ได้ เอาแต่ปฏิเสธเราจะไม่เป็นคนเสียโอกาสหรอกหรือ ลองดูไม่เสียหายอะไรนี่ ใช่ไหม (ใช่)
ที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ก็คือ หมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ และการหมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ นี้จะทำให้เราเห็นแจ้งความจริง และไม่จมอยู่กับทุกข์สุขที่มนุษย์ยึดติดและกำหนดกันในโลกใบนี้ แล้วธรรมอะไรที่เราจะพิจารณาเนืองๆ แล้วทำให้เราไม่หลงในสุขทุกข์บนโลกใบนี้ ตอบได้จะได้นั่ง ถ้าตอบไม่ได้ให้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม (ดี)  ถึงจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดทุกข์สุขของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ขอถามว่า ถ้าเกิดอย่างนี้เราจะทำอย่างไรที่จะสามารถมองเห็นเข้าไปได้ชัด จนทำให้เรารู้สึกว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่มีสุขจริงและไม่มีทุกข์แท้ นั่นก็คือการต้องหวนกลับมาพิจารณาธรรม และธรรมนั้นก่อให้เกิดปัญญามองเห็นความจริงจนแจ่มแจ้ง แล้วลวงเราไม่ได้อีกต่อไป
โดยส่วนใหญ่ มนุษย์จะพูดว่า ก็พึงตั้งตนไม่ให้ประมาท หรือที่เมื่อวานพระนาจาพูดว่า อย่าคิดว่าตัวเองรู้ เพราะจริงๆ แล้วยังไม่รู้
อย่างนั้นพิจารณาธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นและเข้าใจความเป็นจริงของโลก และไม่ถูกโลกกำหนดให้เวียนไปทุกข์เวียนไปสุขอีกต่อไป (อริยสัจ 4)  ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราเห็นทุกข์อยู่ทุกวัน เราก็เลยมองมันเป็นโลกแห่งความทุกข์ตลอดใช่ไหม แต่มันก็ยังไม่ทำให้เราเห็นแจ้งถึงขนาดไม่ทุกข์อีก แล้วก็ไม่หลงในสุขอีก เพราะเรายังเห็นไม่ชัด แปลว่าธรรมนั้นยังไม่ถูกกับกรณี สิ่งที่ถูกกับกรณีแล้วรักษาได้ทุกโรคและทำให้เราไม่เจ็บช้ำ ไม่เวียนทุกข์เวียนสุขอีกคืออะไร
(มรรค 8)  คิดชอบ ดำริชอบ การกระทำชอบ ใช่ไหม (ใช่)  เราก็พยายามคิดดีตลอด ปฏิบัติดีตลอด พูดดีตลอดแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม คิดออกไหม
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  ถูกต้องศิษย์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โลกนี้ทุกสรรพสิ่งไม่ว่ารูป นาม หนีไม่พ้นความจริงนี้ เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในสุขไหม (ไม่)  เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในทุกข์ไหม (ไม่)  เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นทุกข์ เราควรหรือที่จะ  ยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเองไหม (ไม่)  และเมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง ถึงที่สุดมันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เราควรหรือที่จะปักใจว่าคนนี้ชั่ว คนนี้ดี ใช่ไหม
ถ้าทุกขณะจิต ศิษย์พิจารณาเนืองๆ โลภไม่มี โกรธไม่มี หลงก็ไม่มี เพราะจะโกรธอะไรมันไม่เที่ยง จะหลงอะไรมันไม่แน่ จะโลภอะไร โกรธอะไรหลงอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไรจริงสักอย่างในโลกใบนี้ ธรรมะจึงสอนว่าจงมีสติ แล้วรู้เท่าทันกับความจริงอยู่ทุกขณะ เมื่อไรที่ศิษย์สามารถดำรงจิตให้ตรงต่อหลักสัจธรรม ทุกข์สุขไม่มี ความเป็นกลางจะบังเกิด บาปกรรมจะมลายหายสิ้น (สาธุ)  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็น ไม่ใช่ให้มาสาธุกับอาจารย์แค่นั้น
ตัวเรามีความเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา ระหว่างเรามีดีกว่ามีแย่กว่า แต่เราทุกข์เพราะเรามองเห็นแค่เวลานี้ แต่ถ้าเราเปิดใจกว้าง ยังมีอีกหลายเวลา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราโดนเขาด่าแค่เวลานี้ แต่เวลาอื่นไม่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันคือคนที่มีชีวิต เห็นไหมหลักธรรมสอดคล้องกันหมด ถ้าศิษย์มอง ก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นกลางเสมอ แล้วเราก็อยู่ระหว่างกลางอยู่ทุกขณะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลางและซื่อตรงต่อความจริงสักที ถ้าศิษย์ซื่อตรงต่อหลักสัจธรรมความจริง ทุกข์สุขไม่มี เมื่อทุกข์สุขไม่มี ใจเราก็เป็นกลาง พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “บำเพ็ญธรรมให้เดินสายกลาง” เมื่อเราเป็นกลางแล้ว บาปกรรมมันก็ไม่เกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันถูกตัดทิ้งทันที ที่เหลือของชีวิตคือใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ขอแค่ศิษย์ไม่ไปยุ่งเรื่องของใคร ยุ่งเรื่องใจตัวเอง ไม่ต้องหวังให้ใครมาดูแล ไม่ต้องหวังให้ใครมาปลดทุกข์ ปลดด้วยตัวเอง ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
วางใจเป็นกลางแล้วอะไรก็ดีทั้งนั้น มันไม่มีอะไรดีร้ายจริงหรอก อย่าปล่อยให้ใจมันยึดติดกับความจำได้หมายรู้เก่าๆ แล้วทำให้เรามัวแต่แบ่งแยกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี เราก็จะหนีไม่พ้นกรรมจริงไหม (จริง) 
นั่งหรือยืนดี (นั่งก็ดี ยืนก็ดี)  ค่อยชื่นใจหน่อยมีคนตอบให้อาจารย์ภูมิใจ จำไว้นะ เมื่อไรที่จิตใฝ่จะยึดถือสิ่งใด เมื่อนั้นศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปรอรับผลของมัน ถ้าอะไรเราก็ไม่ยึดไม่กำหนด อะไรก็ได้ เราจะต้องมีกรรมไปรองรับอีกไหม (ไม่)  แต่ความเป็นคนที่ยึดว่าอันนี้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นไม่ได้ต้องเป็นอย่างโน้น เราก็เลยหนีวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างไม่เคยพ้นสักที เราเกิดมาตัวเปล่าไม่ใช่หรือ (ใช่)  เเล้วถึงที่สุดก็บอกว่าอันนี้เป็นของเรา ถึงเวลาใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  เราเเค่กำลังยืมธรรมชาติมาใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนกลับไป เเต่ทำไมมาผูกใจเจ็บเเล้วจองเวรจองกรรม (เขาแกล้งเรา เขาโกงเรา)  ถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องต่อกันก็ไม่ต้องมาเจอกัน
(มีนักเรียนในชั้นท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวที่อึดอัดในใจ)  ไม่เป็นไรรู้ว่าศิษย์อึดอัดเก็บเต็มใจไปหมด ชีวิตกว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมายืนตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหม (ใช่ แปดสิบแล้ว)  เเล้วจะแบกต่ออีกทำไม (ต้องสู้) แล้วจะแบกสิ่งที่ผ่านไปแล้วทำไม (ไม่แบก)  อย่างนั้นก็ยิ้มสู้
อาจารย์รู้ทุกคนมีเรื่องราวมากมายในชีวิต มีความทุกข์มากมาย ถ้าอาจารย์ย้อนกลับไปได้ จะย้อนถามว่า เเล้วตอนนั้นที่ว่างๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียวสบายๆ ทำไมไม่เอา แล้วตอนนี้ไปเกี่ยวไปยุ่งมาแล้ว แล้วมาบอกว่าทุกข์มากเลย อาจารย์จึงบอกแต่ต้น ชีวิตศิษย์กำลังให้ใครกำหนด กำหนดเองหรือมองให้ชัดแล้วจะได้ไม่มีอะไรมากำหนดใจหรือมาบีบใจศิษย์ได้อีกต่อไป (มองให้ชัดแล้วไม่มีอะไรมาบีบใจอีกต่อไป)  เราอยากให้ใครมาบีบใจเราเล่นไหม (ไม่)  อย่างนั้นก็อย่าเผลอยกใจให้ใคร ในเมื่อลึกๆ แล้วอยากเป็นสุขอยากอิสระ แต่ถึงเวลาอิสระไหม (ไม่)  หาเรื่องทุกทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าถอยกลับได้ถอยแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่อาจารย์บอกว่า ไม่มีน่ะดีแล้ว ไม่เคยเชื่อสักราย ใช่ไหม (ใช่)  หาเหาใส่หัวก็ต้องรับเหาแล้วก็เกาไปเถอะนะศิษย์เอ๋ย ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ่งมันก็ยิ่งเกา เกาต่อไปแล้วเป็นอย่างไร ขี้กลากก็ขึ้นหัว แล้วใครยอมหัวล้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ จะทำอย่างที่อาจารย์บอกนี้ก็ดูน่าจะทำได้ใช่ไหม (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  เราเริ่มมาดูกันง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ เมื่อสักครู่อาจารย์ขมวดปมจนถึงสุดท้ายแล้วจบให้ศิษย์เห็นแล้ว แต่เรามาเริ่มดูตั้งแต่แรกก่อน ว่าต้นเหตุและความเป็นมาที่ทำให้เราไปขมวดจนกลายเป็นแบบนี้ มันมาจากไหน เริ่มต้นแรกๆ ก็คือ เราไม่เคยมองเห็นโลกตามจริง เราไม่เคยมองเห็นโลกชัด ในทุกลักษณะที่เราเห็น แท้จริงแล้วยังมีลักษณะจริงซ่อนอยู่เสมอ และสิ่งที่เราเห็นมักจะเป็นลักษณะที่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน ถ้าเราหมั่นพิจารณาเรื่อยๆ นึกถึงหลักสัจธรรมว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะใหลหลงและยึดมั่นถือมั่น (ไม่ควร)
เจอเงินห้าร้อย เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  ไม่เคยพิจารณาเลย อุตส่าห์พูดไปนะศิษย์เอ๋ย อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ เรารู้ดี เรารู้ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่เราห้ามไม่ได้ คือต่อมความอยาก ต่อมนี้ถ้ามันทำงานแล้วมันจะอยากลึกๆ ใช่ไหม (ใช่)  ที่มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถหยุดความอยาก หยุดตัณหา หยุดกิเลสในใจได้ เห็นทุกข์เป็นสุขก็เพราะยังมีใจที่นอนเนื่องไปด้วยกิเลสตัณหา ใช่ไหม
มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ เพราะมนุษย์หนีไม่พ้นความอยาก รับไม่ได้กับความไม่มี ต้องมี ต้องได้ ก็เลยทำให้ศิษย์ต้องเริ่มวุ่นวายแสวงหา แต่ถ้าอาจารย์ถามว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราหา สามารถเป็นของๆ เราได้ไหม ถึงที่สุดเราต้องกลับไปสู่ความว่าง คือไม่มีเหมือนเดิม ถ้าเราไม่ลืมว่าใจเราลึกๆ อยากหาความว่าง ความอยากจะครอบงำเราได้ไหม กิเลสจะชักนำเราได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อเรารู้อยู่เต็มอกว่า ถึงที่สุดก็ต้องวางทิ้งไว้ กลับสู่ความว่างเปล่า แต่เราสนใจกันไหม อาจารย์จะบอกนะศิษย์ ห่วงผูกแล้วมันตัดยากนะ กรรมเมื่อสร้างแล้ว มันสิ้นกรรมไม่ได้ คนที่จะปลดกรรมได้มีแต่ตัวศิษย์เองเท่านั้น เมื่อศิษย์ป่วยหนัก สังขารจะไม่ไหวแล้ว ไปทำงานไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังห่วงงาน แล้วความห่วงนี้ ถ้าตายไปพร้อมกับความห่วง จิตก็หนีไม่พ้นการกลับมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วเสวยผลกรรมที่ศิษย์ยังห่วงอยู่ แล้วตอนนั้นแก้ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นถ้าหันกลับมาเราจึงพบฝั่งธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยหันกลับมามอง มุ่งหน้าอย่างเดียวว่า อยาก อยาก แล้วก็อยาก
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุด ระมัดระวังความอยากไม่ทำให้ก่อเกิดกรรมชั่ว อยากอะไรก็ได้แต่ความอยากนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดเป็นกรรมชั่วที่ต้องมาเบียดเบียดและทำให้เราต้องมาเวียนว่ายไม่จบสิ้น หนทางที่จะตัดกรรมชั่วและบาปที่ดีที่สุดนั่นคือ หยุดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หยุดตำหนิคนอื่น และหยุดเพ่งมองคนอื่นไม่ดี หันกลับมาตรวจสอบตน เพราะทางมาแห่งบาปทั้งมวลล้วนเริ่มต้นมาจากการจ้องจับผิด คิดตำหนิ มองแง่ร้าย ใจเป็นอย่างไรก็เห็นคนเป็นอย่างนั้น ใจชั่วก็เลยเห็นคนชั่ว ใจดีก็เลยเห็นคนดี ใช่ไหม หรืออีกอย่างหนึ่งคือ ดูแลกายแล้วก็ต้องกลับมาดูแลใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสำคัญที่ใจ ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ก็เลยบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะพยายามทำดีเยอะๆ ทำบุญมากๆ เพื่อจะได้ลดบาปที่ศิษย์สร้าง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  บุญบาปมันคนละส่วนกันใช่ไหม (ใช่)  แต่มือหนึ่งก็ทำบุญ อีกมือหนึ่งก็สร้างบาปถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีไหมศิษย์ มือหนึ่งไม่สร้างบาป มือหนึ่งเพียรพยายามทำบุญ ดีไหม (ดี)  ศิษย์พยายามทำดีแต่นิสัยที่ไม่ดีก็ไม่แก้ ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดเลย ใช่ไหม (ใช่)  หนูเป็นคนดี หนูทำบุญตั้งเยอะ ทำไมหนูไม่ดีล่ะ ก็ศิษย์ไม่เคยแก้นิสัยไม่ดีเลย ปากเราว่าเราชอบทำบุญแต่อีกปากหนึ่งเราก็เผลอนินทา มือหนึ่งเราก็บอกว่าเราใจดีมีเมตตาแต่อีกมือหนึ่งเราก็เผลอแอบอิจฉาริษยา ถูกไหม (ถูก)  ใจหนึ่งเราก็บอกว่าให้แต่อีกใจหนึ่งเราก็อยากได้ เอาหน่อย เอาก่อน เดี๋ยวค่อยให้ทีหลัง เอามาเยอะๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกไหม (ถูก)  เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)
พุทธะจึงสอนไว้ว่า จิตใจเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากและละเอียดอ่อน แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือชอบใฝ่ไปตามอารมณ์ที่ตัวเองปรารถนา ที่ตัวเองใคร่อยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามควบคุมใจตัวเอง ไม่ไปหวังควบคุมคนอื่น การรู้จักควบคุมใจตัวเองจะนำพาให้ชีวิตพบความสงบสุขที่แท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ก่อนเอาแต่ว่าคนอื่น ให้คนอื่นดีแล้วเดี๋ยวตัวเองค่อยดี ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราอยากเป็นคนดีที่แท้จริงที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วรับผลกรรมอีกต่อไปไหม (อยาก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)
จะเอาแอปเปิลแห่งความสุขหรือแอปเปิลแห่งความทุกข์ (แอปเปิลตามธรรมชาติ)  แอปเปิลมีธรรมชาติของมันอยู่แล้ว สุขทุกข์อาจารย์กำหนดไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำสิ่งใด อย่างนั้นเอาแอปเปิลแห่งความทุกข์ไปดีไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ พบทุกข์จึงพบธรรม เเละบางทีพบสุขอาจจะหลงสร้างเวรกรรม
เอาสุขไปดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่า ไม่ใช่อาจารย์เป็นคนกำหนด อาจารย์ก็แค่พูดไปเรื่อยๆ ถ้าถือสายึดมั่นถือมั่นก็สร้างวิบากกรรม แต่ถ้าไม่ถือสาไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็แค่แอปเปิลธรรมดาลูกหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเวลาเราคิดดี เรียกว่าสวรรค์เกิด เมื่อเราคิดชั่ว เรียกว่านรกอุบัติ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบุญ สวรรค์จึงบังเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบาป นรกจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางดี ความสุขจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางชั่ว กรรมจึงก่อเกิด ฉะนั้นกรรมหรือการกระทำจะดีหรือจะชั่ว มันอยู่ที่ชั่วขณะจิตเราคิดว่า เรายึดสิ่งใดใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายึดในสิ่งที่เป็นเรื่องบุญมันก็กลายเป็นสวรรค์ ถ้ายึดแล้วทำชั่วมันเป็นบาปก็กลายเป็น (นรก)  จิตของมนุษย์ง่ายที่จะไหวไปตามสิ่งที่กระทบ และก็ถูกกำหนดด้วยจิตของตัวเองว่า สิ่งที่กระทบนี้มันจะเรียกว่าบุญหรือเรียกว่าบาป จะเรียกว่าทุกข์หรือเรียกว่าสุขก็ขึ้นอยู่กับใจเรายึดติดเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
กรรมคือผลของการกระทำ แล้วถ้าผลของการกระทำนั้น ก่อเกิดเป็นการเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เราต้องทำแล้วทำอีก จึงกลายเป็นวิบากกรรมและ  กงเกวียนกำเกวียน ถ้าหากว่าสิ่งที่อาจารย์ทำนี้ อาจารย์มีใจที่ยึดติดว่าเป็นแบบนี้ที่เรียกว่าดี เมื่อหันไปทางดีก็เรียกว่า กรรมดี เมื่อหันไปทางไม่ดีก็เรียกว่ากรรมชั่ว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าในใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชั่ว (คือความว่างเปล่า)  ฉะนั้นที่เขาดีหรือชั่วเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา)  ใจเรากำหนดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่)  ที่ทำให้เราทุกข์หรือสุขเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา)  สามียิ้มเมื่อไรเราจะสุขมากไหม สามีด่าเมื่อไรเราจะทุกข์ไหม ถ้าเราไม่กำหนดในใจเรา อะไรเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันเป็นอกรรม คือกรรมที่ไม่เกิดวิบากกรรมที่ต้องไปรับผลต่อ แล้วถ้าสุขมันจะรับผลต่ออย่างไร เวลาสุขแล้วอยากอีกไหม (อยาก)  สามียิ้มหนึ่งครั้ง อยากให้สามียิ้มอีกไหม (อยาก)  มันเป็นวิบากกรรมไหมล่ะ (เป็น)  สามีด่าเราหนึ่งครั้ง เราอยากให้เขาด่าอีกไหม (ไม่)  แล้วมันเป็นวิบากกรรมไหม ทำไมต้องด่าฉันล่ะ มาคุยกันก่อน เรื่องมันไม่จบแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่ศิษย์หลงยึดมั่น ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเสวยรับ เหมือนวันนี้ถ้าศิษย์กินแอปเปิลแล้วหวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด)  เพราะอยากกินอีก แล้วถ้าไม่หวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด)  ใครไปซื้อมานี่โง่จริงๆ เลย เปรี้ยวก็เปรี้ยว เกิดวิบากกรรมแถมยังไปว่าเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม่ค้าโกหก ขายก็แพง เกิดการจองเวรจองกรรม ถ้าผ่านร้านเมื่อไรจะกลับไปว่าให้เจ็บเลย ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าในใจศิษย์ไม่ยึด มันจะมีกรรมให้เราต้องเวียนไปไหม (ไม่) มันก็แค่นั้นนะ มันก็จบนะ แล้วเมื่อมันจบแล้วจะต่อไหม (ไม่)  เป็นการดำรงชีวิตเพื่อชีวิตแค่ชีวิต แต่ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรกับชีวิตมากไปกว่านี้แล้ว เพราะเห็นชัดอยู่ทุกขณะว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า จะเอาอะไร โกรธอะไร แค้นอะไร กรรมก็เลยไม่ปรุงแต่งให้เราดีร้ายอีกต่อไป เรียกว่าเราพ้นยมทูตอย่างแท้จริง ยมทูตมาทำอะไรเราไม่ได้ นรกหรือสวรรค์ก็มาพลิกใจเราไม่ได้ เพราะเราเข้าใจแล้ว นรกน่ากลัวแค่ไหนฉันก็ไม่คิดใฝ่หา สวรรค์ดีเลิศอย่างไรฉันก็ไม่คิดยึดมั่นถือมั่น เพราะชีวิตนี้ฉันขอความเป็นกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำดีก็หลงยึดถือว่าต้องรับผลดี ทำชั่วก็พยายามหลีกหนีไม่ยอมสำนึกผิด น่าเสียดายยิ่งนัก
หมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้วศิษย์จะได้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามว่า พอพิจารณาให้เที่ยงๆ แล้ว อาจารย์บอกศิษย์ว่าไม่ต้องทำงานหาเงินเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เงินก็ยังต้องหาอยู่ แล้วจะหาอย่างไรที่จะทำให้หาแล้วไม่โลภไม่หลง แล้วไม่สร้างบาปเวรกรรม
(ทำอาชีพที่สุจริต)  ทำอาชีพที่สุจริตจะทำให้เราไม่โลภไม่หลงใช่ไหม วิธีที่ดีที่สุดคืออะไรรู้ไหม การขายไม่ใช่ขายเพื่อแลกเงิน แต่ให้การขายเป็นการสร้างบุญได้อีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องการนำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ให้เขาได้รับรู้ ขายแบบนี้เป็นขายแล้วได้บุญ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องไม่โกหกเขานะ ถ้าดีก็ต้องบอกว่าดี ไม่ดีก็ต้องบอกว่าไม่ดี นั่นเรียกว่าค้าขายไปแล้ว เราได้สร้างบุญ ทำให้เขาได้ร่วมบุญกับเรา 
เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นการแสวงหาที่ไม่ก่อเกิดโลภ ไม่ก่อเกิดกิเลส และไม่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อเราทำจนเต็มกำลังเต็มความสามารถ โดนด่าก็ไม่โกรธ โดนคนเลื่อยขาเก้าอี้ก็ไม่แช่งชัก โดนกดตำแหน่งทำให้เราไม่ก้าวหน้าก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ นี่จึงเรียกว่าทำจนถึงที่สุดแล้วเราก็ละวาง ยอมรับความจริง ทำให้ได้นะ
(ขายบ้าง แจกบ้าง เผื่อแผ่สำหรับคนที่ไม่มีบ้าง)  วันนี้ตั้งใจจะขายเท่านี้ และก็มีแจกเท่านี้ ทำได้ไหม แต่มันยากนะ ขอขายก่อนเดี๋ยวเหลือแล้วค่อยแจก ความหมายมันไม่เหมือนกันนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยให้ไปก่อนเถอะ สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ และสามารถพกพาไปทุกภพทุกชาติและใครก็แย่งไปไม่ได้คือบุญแห่งการอุทิศให้ เป็นบุญที่เราไม่ต้องใช้ทรัพย์อะไรเลย และมันจะตามติดผู้สร้างบุญนั้นไปไม่ว่าศิษย์จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เราก็สามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อเราทำได้ดีทำได้ถูกต้อง คนอื่นไม่เดือดร้อนเพราะเรา เราก็คือสร้างบุญในโลก แต่ถ้าเราทำงานอย่างหละหลวม ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผลสุดท้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มันก็สร้างบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแค่รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่เราชอบกินแรง เอาเปรียบ รักสบายใช่ไหม 
เวลาศิษย์แสวงหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เราหาเพื่อหวังจะได้ และเราหาเพื่อหวังจะมี แต่ทำไมยิ่งหาเหมือนยิ่งหมด ยิ่งหายิ่งเหมือนไม่มี โลกสอนธรรมะเราตลอด แต่เราไม่เคยมองเห็นและไม่เคยยอมรับ ยิ่งหายิ่งไม่มี ยิ่งหาเหมือนยิ่งพร่อง ยิ่งหาเหมือนยิ่งขาด ยิ่งหาเหมือนยิ่งไม่ได้ แต่ศิษย์ก็พยายามหาเพื่อจะให้รู้สึกว่าตัวเองมี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์บอกวิธีง่ายๆ หาอย่างไรที่ทำให้รู้สึกว่ามีนั่นคือ “การให้” พอมีแล้วรีบให้ ยิ่งให้ก็จะทำให้เรายิ่งมี ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย เคยไหมยิ่งหามันยิ่งพร่อง เมื่อไรที่เรารู้พอ แล้วมันจะมี แต่เราเคยหันกลับไปแล้วบอกว่าพอไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าอยากมีก็จงรู้จักพอบ้าง แล้วศิษย์จะรู้จักสร้างสิ่งที่มีให้มีค่ายิ่งขึ้น แล้วมองสิ่งที่มีให้เป็นค่าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ 
ในตัวเรามีทั้งจริงและปลอม มีทั้งกาย ใจ จิต มนุษย์เราแสวงหาและทำทุกอย่างเพื่อกาย แต่ลืมใจภายในหรือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ใช่ใจ ใจยังหลงกับความเป็นตัวตน แต่จิตเดิมแท้เป็นสิ่งบริสุทธิ์และสงบ เราเคยทำอะไรตามจิตเดิมแท้ หรือเราทำอะไรตามใจ หรือเราทำอะไรตามกาย เราเป็นไปทางไหน เป็นไปเพื่อภายนอกมากกว่าเพื่อภายในใช่ไหม ชีวิตเราถึงที่สุด เราก็ต้องวางภายนอก เพื่อกลับคืนสู่ภายในอันเป็นของจริง
มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นอารมณ์ความรู้สึก เเม้กระทั่งอารมณ์ก็ไม่เคยเที่ยง เเม้กระทั่งความรู้สึกก็ไม่เคยเที่ยง จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ามนุษย์สามารถก้าวข้ามความรู้สึกได้ จะรู้ว่าจริงๆ ว่าในตัวเรานั้นไม่มีอะไรจริง มีแต่ความว่างเปล่า ในกายมีใจ ในใจมีจิต ทั้งกายใจเเละจิตต่างทำงานเชื่อมสัมพันธ์กัน เเต่ที่เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ก็เพราะใจเราบดบังจิต เเละมักทำอะไรเพื่อกายเเต่ลืมมองจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ    จิตเดิมเเท้ไม่ต้องการครอบครอง เเละจิตเดิมแท้ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรมที่ศิษย์พยายามค้นหาเเละหลุดพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพิ่มเติม)
อาจารย์ขออนุมานว่ามันมีกาย มีใจ แล้วก็จิต เพราะใจนี้มันจะใกล้เคียงกับคำว่าเป็นตัวตน เรามักจะสร้างใจของเราให้เป็นไปตามตัวตนที่เรายึดถือ และบดบังจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวธรรม แท้จริงแล้วจิตเหมือนพระอาทิตย์ มันสว่างโล่ง เป็นเหมือนสภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ตอนนี้ใจฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนี้ ลองหาดูสิว่าใจมันมีไหม (ไม่มี)  เราทำเพื่อสนองใจที่เราคิด สนองใจที่เรารู้สึก ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีไหม (ไม่มี)  แล้วมันก็คอยคุมกายเราตลอดเวลา ใช่ไหม (ใช่) 
ใจมันจะโผล่ก็ต่อเมื่อใจนั้นมีอารมณ์มาอิงแอบ มีอารมณ์มากระทบแล้วแทรกซึมให้เราเป็นตัวเป็นตน แต่ถ้าหมดอารมณ์ หมดความรู้สึก หมดความนึกคิด ใจมีไหม (ไม่มี)  เมื่อใจมันไม่มี เราเห็นธรรมไหม (เห็น)  มันไม่เห็นนะศิษย์ ศิษย์อย่ามองธรรมเป็นสิ่งของสิ เพราะถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ความว่าง มันคือสภาวะที่ไม่มีอะไร แต่มนุษย์มักจะมองให้มันต้องเป็นรูปเป็นร่าง มันต้องเป็นแสงกลมๆ เป็นอะไรที่สว่างไสว ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีอะไร เมื่อมันไม่มีอะไร มันก็เลยสามารถแทรกซึมอยู่ในทุกๆ ที่ มันถึงได้ยิ่งใหญ่ เพราะมันไม่มีอะไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปสู่คำว่าไม่มีอะไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ “หนูอยากมีอะไร และอยากเป็นอะไร” ซึ่งมันคือความหลง เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อไปมีอะไร ไปเป็นอะไร แต่กลับคืนสู่สภาวธรรมอันว่างอันไม่ยึดถือ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเพียรพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าก่อเกิดเป็นความรู้สึก อย่าก่อเกิดเป็นความนึกคิดแล้วกำหนดจนก่อเกิดเป็นวิบากกรรม เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าให้มันกระทบกระแทกกระเทือนใจ แต่จงแค่รู้ ยอมรับความจริง รักษาใจให้ปกติและก่อเกิดปัญญา ใช่ไหม (ใช่)  แค่รู้ยอมรับความจริง อย่าแบกความรู้สึก อย่ายึดความรู้สึก เพราะมันจะก่อเกิดเป็นวิบากกรรมว่า ตีฉันทำไม เมื่อมันรู้สึก ก็จะทั้งเจ็บกายเจ็บใจ แต่ศิษย์จำไว้ เมื่อมีสิ่งมากระทบ ทุกสิ่งเกิดและดับลงทันที ถ้าว่างเปล่าจากใจที่ยึดถือ มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว มองให้มันต่อเนื่อง อยู่กับปัจจุบัน มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว แต่ความคิดที่ยึดถือ มันก่อเกิดวิบากกรรมที่ไม่ยอม ไม่เอา ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงรักษาศีล” ศีลคือทำใจให้ปกติ สมาธิ คือมั่นคงไม่หวั่นไหว แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่า มันเกิดแล้วมันก็จบไป ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนที่อาจารย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความนึกคิดยึดติดในตัวตน จะสงบ วาง และจบ พุทธะจึงสอนว่า แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ปรุงแต่งเพิ่ม ไม่คิดต่อเติม แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีใครมาสร้างกรรมอะไรกับเรา เพราะเราว่างจากตัวตนที่ยึดถือแล้ว ยากไหม (ไม่ยาก)  ปฏิบัติยาก เพราะใครจะแค่รู้แค่เห็นเเละเเค่นั้นจริงสักราย ฉะนั้นศึกษาบำเพ็ญเพื่อตัดภพตัดชาติ ไม่เวียนว่ายกรรมอีกต่อไป กลับสู่พุทธภูมิที่เรียกว่าสภาวธรรมเดิมแท้ไม่ต้องการอะไร บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่ยึด เพราะถ้ายังยึดบุญยึดบาปก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายกรรม เราถูกตี แต่เราเจ็บไปทั้งกาย เจ็บไปทั้งใจ เพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเเค่รู้เเค่เห็นเเค่นั้น ด่าแล้วได้อะไร โกรธแล้วได้อะไร เกลียดแล้วได้อะไร ผูกใจเจ็บแล้วดีขึ้นไหม แช่งชักหักกระดูกแล้วทำให้เราสบายใจหรือ ด่าทอต่อว่าแล้วทำให้เราหมดทุกข์หรือ คิดให้ดี ต่อไปชีวิตนี้ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์เป็นแค่เพียงผู้ชี้ทาง ศิษย์จะเดินไหม (เดิน) 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียน)
อาจารย์อยากให้แล้วศิษย์รู้จักให้ต่อ ไม่ใช่ได้รับเเล้วเก็บไว้กับตัว เพราะถ้าเก็บไว้กับตัวจะกลายเป็นความโลภ ความหลง ความยึด แต่กล้าให้ต่อคือการสละออก ซึ่งบังเกิดบุญกุศลที่ไม่ยึดถือ แต่กี่คนที่ได้แล้วจะไม่ยึด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ก้าวต่อไป” ซึ่งนำมาต่อกับพระโอวาทซ้อนพระโอวาทจากชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น รวมเป็นคำว่า “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”)
คนที่ศิษย์อยากจะจูงมือด้วยคือคนที่ศิษย์รักอยากดูแลและอยากช่วยเหลือ และอยากนำพาเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกคนในโลกนี้เป็นคนที่ศิษย์อยากจะจูงมือ แปลว่าทุกคนเป็นคนที่ศิษย์อยากจะช่วยกันดูแล ไม่ทำร้ายกันและนำพากันไปสู่ทางที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้คนต่างเก็บมือ ไม่คิดช่วยใคร น่าเสียดายนะ ถ้าในโลกแค่ทุกคนรู้จักจูงมือคนอื่นด้วยใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ โลกนี้จะพบสันติสุขจริงไหม (จริง)  ลองนำโอวาทที่อาจารย์ให้ไปศึกษา ดีไหม (ดี)
ซ้อมร้องเพลงสักเพลงหนึ่งเพื่อส่งอาจารย์ได้ไหม แล้วนับต่อแต่นี้ไปรู้จักฝึกฝนบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มีเมตตาอุทิศเสียสละเพื่อให้ ให้โดยไม่หวังผล ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าไปเบียดเบียนเข่นฆ่าใครเลยนะ ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์ขอร่วมบุญอันนี้กับศิษย์ดีไหม (ดี)  จะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อเบียดบังทำร้ายใคร เพื่อดำเนินชีวิตตัวเองได้ไหม (ได้)  รู้ไหมว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมีความนัยว่าอะไร
อาจารย์ขอเดินไปหาผู้ร่วมฟังครู่หนึ่งแล้วกลับมาร้องเพลงส่งอาจารย์ ดีไหม (ดี)  เอาลาจากแบบไม่เศร้าไม่มีน้ำตาดีไหม (ดี)  จากกันอย่างเข้าใจเบิกบานใจ และลาจากกันด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขนะ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ ถ้าร้องไห้แปลว่ายังมีสิ่งผิดที่ยังคั่งค้างใจ ถ้ายังร้องไห้แปลว่ารู้สึกผิด ถึงร้องไห้กับอาจารย์ ต้องเข้มแข็งแล้วใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์อย่าร้องไห้นะ เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์แล้วก็ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญ ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม รู้จักอุทิศเสียสละ ไม่ว่าจะเจออะไรก็จงผ่านมันไปให้ได้ ทุกสิ่งล้วนผ่านมาเพื่อให้เราเรียนรู้ฝึกฝน ละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เข้มแข็งนะ อย่างน้อยที่ศิษย์นั่งฟังในวันนี้ สิ่งที่ศิษย์ได้บุญอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุญที่รู้จักเสียสละ บุญที่รู้จักยอมลดความเป็นตัวเองเพื่อผู้อื่น เพราะนั่งตรงนี้อากาศไม่เย็น แล้วก็ต้องยอมให้คนอื่นก่อน ตัวเองทีหลัง ถ้ารู้จักทำได้แบบนี้ตลอด นี่แหละคือการฝึกฝนบำเพ็ญ ลดละวางอัตตาตัวตนเพื่อนำพาผู้คนให้พบหนทางสว่างและความสุข ทำได้นี่ประเสริฐนะ ยอมลำบากเพื่อคนอื่น แต่อย่าเอาแต่นั่ง ต้องรู้จักไปประพฤติปฏิบัติให้ได้ด้วย
ฝึกฝนบำเพ็ญต้องก้าวหน้า ก้าวหน้าอย่างไร อารมณ์ โลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักปลดปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ยังคุกรุ่นเหมือนเดิม เปล่าประโยชน์นะ ไหว้พระต้องได้ใจพระ เคารพฟ้าดินก็ต้องทำได้ดั่งใจฟ้าดิน ฝึนฝนหนทางพุทธะก็ต้องมีใจเฉกเช่นพุทธะ ใช่ไหม ให้อาจารย์เคาะหัวแล้วก็ต้องให้กิเลสตกไปเยอะๆ เหลือแต่คุณธรรมความดีงามรักษาไว้อยู่ในใจ ไม่ใช่เคาะแล้วความดีหายหมด ใช่หรือไม่
มุ่งมั่นบำเพ็ญอุทิศเสียสละ ฝึกฝนบำเพ็ญอย่างไรล่ะ มีความเมตตาไหม พูดด้วยความเมตตาไหม กระทำด้วยความเมตตา ทำให้ได้ถึงคำนี้ เมื่อเมตตาถึงที่สุดแล้ว อารมณ์โลภ โกรธ หลง ก็จะเบาบาง แต่ไม่ใช่เมตตาเฉพาะคนนี้ อีกคนหนึ่งไม่เมตตาก็ไม่ได้
ทุกคนล้วนมีกรรมที่หนีไม่พ้น เมื่อมีก็ชดใช้แต่จะไม่สร้างกรรมต่อ กล้าชดใช้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะได้หมดเคราะห์หมดโศกและจบในชาตินี้นะศิษย์ อย่าไปยื้อยุดให้มันทุกข์ จงปล่อยวางสังขารนี้ที่ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เป็นของศิษย์ที่แท้จริงคือ สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ธรรมที่ไม่มีตัวตน กลับคืนสู่สภาวธรรมนั้นดีกว่านะ ถ้าใครยังไม่รู้เรื่อง มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ดีไหม (ดี)  อาจารย์ไปแล้วนะ ก้าวให้ถึงที่สุดนะ ทำให้ถึงที่สุดนะ อาจารย์อยากได้รอยยิ้มจากศิษย์นะ 
อย่าไปแล้วไปเลยนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีก เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ซื่อตรงจริงใจ ทำให้ได้นะ อย่าได้แค่รู้แต่ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ควบคุมอารมณ์ให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต อย่าดูแคลนตัวเองนะ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่า คุณค่าที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอารมณ์เป็นใหญ่ ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา เราเคยมีบุญกันมาก่อน ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญให้ถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่เล่น มีโอกาสกลับมาอีกนะ มาร่วมบุญกับอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ทำให้ได้นะ ลากันไหม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จงรู้จักทำอะไรด้วยสติ อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย อย่างน้อยถ้าไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน แล้วจะมีบุญแค่นี้หรือจะมีบุญอีก อยู่ที่ศิษย์นะ รักษาบุญรักษาโอกาสนั้นด้วยการเลือกหนทางที่ถูกต้อง นำพาชีวิตให้ถูกทาง เข้าใจในธรรมที่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้เรียนรู้ไหม จะได้ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้
รู้จักดำเนินตนเองให้เป็น บำเพ็ญสมกับที่เป็นศิษย์ของอาจารย์หรือยัง อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นสมกับที่เป็นจี้กงน้อยหรือยัง ถ้ายังขอให้แก้ไขทำให้ดีและก้าวไปพร้อมกัน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนมีเรื่องที่ยาก มีเรื่องที่ลำบากใจ เเต่อาจารย์ก็เชื่อมั่นว่า เมื่อเจอเรื่องลำบาก เมื่อเจอเรื่องยาก ศิษย์ก็ยังก้าวต่อได้ เเละยังมั่นคงได้ไม่เปลี่ยนแปลง อาจารย์ยังเชื่อในใจดวงนั้น ใจที่ดีงาม ใจที่งดงาม ใจที่อุทิศเเละใจที่เสียสละ ขอให้อาจารย์เชื่อเเละเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่าท้อเพียงแค่คนพูด อย่าล้าหรือถดถอยเพียงเพราะคนทิ่มแทง เข้มแข็งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฟันฝ่าเเละก้าวไปอย่างมั่นคง ทุกอย่างมาแค่ทดสอบใจ ใจที่ไม่ยึดถืออะไร ใจที่สามารถก้าวไปเเล้วไม่เหลืออะไรให้ยึดถือ
เข้มแข็งนะ สุขภาพช่างมัน รักษาใจที่ดีงามไว้ดีกว่า ความเจ็บป่วยมันเป็นธรรมดามันไม่เที่ยง ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บป่วย แต่เจ็บป่วยแล้วใจยังสู้นั่นประเสริฐกว่าใช่หรือไม่ อย่ากลัวความเจ็บป่วย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวการสูญเสีย เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ทำให้เราเห็นความจริงในชีวิต และมันเป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไยต้องกลัว สู้ก้าวข้ามให้ได้ แล้วปลดปลงตัวเองให้ลง เพราะกายสังขารมันไม่ใช่ของเราแท้จริงนะ
ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย ห่วงศิษย์จริงๆ นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายตัวเองนะ ไม่ว่าเจออะไรก็ผ่านพ้นให้ได้ คนสำคัญของอาจารย์ หายหรือยัง ยังต้องให้อาจารย์ประทานพรอีกหรือ ศิษย์รู้ไหมข้างหน้าอาจารย์ก็ห่วง ข้างหลังอาจารย์ก็กังวล เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วงหายกังวล
ทำได้หรือเปล่า เข้มแข็งนะ ทำงานฟ้าอย่ากลัวเหนื่อย มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามนะ บางคนอาจารย์ไม่ได้จับมือแต่อาจารย์ให้กำลังใจ อาจารย์เข้าใจในความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของศิษย์ แม้ไม่ได้จับมือศิษย์แต่อาจารย์ก็ยังหวังว่าศิษย์ยังก้าวต่อไป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก กลับมาผูกบุญกันอีกนะ เพื่อกลับสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเราเอง

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”
     เทียนไร้แต่ไม่สิ้นแสง                           ความดียังแฝงทุกหน
เมตตาค้ำจุนใจคน                                   น้ำใจดั่งฝนฉ่ำเย็น
ยามทุกข์เราต่างช่วยเหลือ                          โอบเอื้อน้ำใจให้เห็น
โลกนี้ยังไม่ลำเค็ญ                                   เพราะใจตนเป็นแสงทอง
     ยามล้มจงลุกขึ้นสู้                               ไม่อยู่อย่างคนหม่นหมอง
ฟ้ามืดไม่นานแสงทอง                               ปลุกผองผู้กล้าขึ้นมา
ขยันซื่อตรงจริงใจ                                   รู้ในหน้าที่ตนหนา
มีศีลครองธรรมนำพา                               อย่าล้าต่อการมีธรรม


หมายเหตุ
พระโอวาท “จูงมือกัน” ท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ เมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

พระโอวาท “ก้าวต่อไป” พระนาจาเมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร




อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา