วันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ[1] ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่า
ใช้สติยามล้มจงรีบตั้งหลัก กลัวเจ็บพักไม่ลุกอยู่อย่างไรไหว
แบกปัญหาไม่สู้ขึ้นอย่างวางไป สู้มากมายแต่คนมักขาดครรลอง
ช่วงเวลาฟ้าหมองหม่นดั่งเดือนดับ ในความมืดแสงทองกลับมีเจ้าของ
บำเพ็ญประโยชน์ไม่นานแสงธรรมแสงทอง ยากทั้งผองผู้กล้าไม่นึกกลัว
คุณธรรมถูกปลุกขึ้นจากจิตสำนึก ฝึกนิสัยซื่อขยันมาตรองถ้วนทั่ว
จริงที่ใจจริงที่ธรรมประจำตัว ละอายชั่วรู้ในหน้าตาธรรมเดิม
ผู้สำรวมตนหน้ามีศีลครองคุ้ม ขาดสุขุมอย่าพาทีนำเดือดร้อนเพิ่ม
ยามเหนื่อยล้าระวังใจเชื้อไฟเติม ปัจจัยเดิมต่อการมีธรรมวัดใจ
ฮิ ฮิ หยุด
[1] อาเพศ : ให้เป็นไปเอง เผอิญเป็น ปรวนแปรไป เกิดขึ้นอย่างผิดปรกติ
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
“ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ”
เพราะอารมณ์นิสัยที่เข้าข้างตัวเอง มองตามความคิดเห็นของตนเป็นบรรทัดฐานมากกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นบางทีสิ่งที่เราบอกว่าจริงบางทีมันอาจจะ (ไม่จริง) สิ่งที่เราบอกว่าไม่จริงมันอาจจะ (จริง) แล้วตกลงมันจริงหรือไม่จริง บางทีก็เหมือนไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ ของเรา บางทีก็กลายเป็นเพื่อน (ไม่จริง) เงินที่ว่าน่าจะเป็นของเราบางทีมันก็กลายเป็น (ของคนอื่น) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราเป็นนั้นจริงเสมอไป เพราะเห็นมันก็ยังมีสิ่งที่ (ไม่เห็น) เพราะรู้มันก็ยังมีวัน (ไม่รู้) เปลี่ยนได้ ใช่ไหมพอถึงเวลา มันเปลี่ยนไหม แล้วคิดหรือว่าเราจะรู้จริงๆ
สิ่งที่เราเห็นแท้ที่จริงแล้วเรายังไม่เคยเห็นมันจริงๆ สิ่งที่เราว่าเราเป็น แท้จริงแล้วเราก็ไม่เคยได้เป็นมันจริงๆ เราว่าเราเป็นนั่น เราเป็นนี่ แต่พอเราไปทำมันจริงๆ เราเป็นไหม (ไม่เป็น)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้มั่นใจในตัวเองว่าตัวเองรู้ แต่การรู้ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วในโลกใบนี้สิ่งที่เราว่ารู้ เราอาจจะไม่รู้ สิ่งที่เราว่าเห็น เราเข้าใจ แท้จริงแล้วเราอาจจะไม่เห็น ไม่เข้าใจ เมื่อเรามองแบบนี้ตลอดเวลา เราจะผิดหวังกับใครไหม แล้วเราจะผิดหวังกับตัวเอง ที่ไม่น่ามองผิดเลยไหม (ไม่) แล้วเราจะเสียใจไหมที่เราตาต่ำไปดูเป็นของสูง (ไม่) แต่ทุกครั้งที่เรามีชีวิต เรามักจะพูดว่า ฉันรู้นะ ฉันเห็นนะ ฉันแน่นะ แต่ในใจจริงๆ อ่อนปวกเปียกเลยแล้วจะสร้างกำแพงนี้มาให้ตัวเองทุกข์ทำไม ถือว่าเรามาคุยกันแบบมีแง่คิด คุยกันแบบให้เกิดปัญญาดีไหม เพราะคนที่มีปัญญาคือผู้ประเสริฐ และคนที่รู้จักทำอะไรด้วยปัญญาเรียกว่าอยู่อย่างฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราขอเหมารวมว่านักเรียนในชั้นนี้ชอบอยู่กันอย่างมีปัญญาดีไหม (ดี)
“แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล”
เพราะทางธรรมอาจจะมองต่างจากทางโลก คนทางโลกสอนว่าต้องฉลาดไว้ ต้องเก่งไว้ ต้องรู้ไว้ แต่ธรรมะสอนให้ไม่รู้บ้าง ไม่เก่งบ้าง เพราะยิ่งไม่รู้ ความรู้ยิ่งไหลริน ยิ่งไม่เก่งยิ่งมีคนอยากจะสอนให้เราได้เก่งยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งคิดว่าตัวเองรู้ ยิ่งคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งคิดว่าตัวเองแน่ ยิ่งไม่มีใครเอาหรอกนะ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราเป็นแบบไหน จึงบอกว่ายอมอยู่หลังจึงได้เหมือนอยู่หน้า ยอมถอยจึงได้เหมือนก้าวได้ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ประเสริฐตรงที่ไหน มนุษย์เป็นคนดีที่สุดตรงที่ใด (ปัญญา) ปัญญาแค่นั้นหรือ
มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด เพราะเขาศรัทธาในความถูกต้องดีงามตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่สูญสิ้นความดี เเต่มนุษย์รักความดีเเต่ไม่เคยศรัทธาความดีจนลมหายใจสุดท้าย เจอปัญหาก็ยอมเเพ้ เจอทุกข์ก็ไม่เอา ฉะนั้นมนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐที่ศรัทธาความถูกต้องดีงามเเละประพฤติปฏิบัติจนตราบลมหายใจสุดท้ายจึงเรียกว่าผู้ประเสริฐเเท้จริง
แล้วรู้ไหมว่าภพภูมิมนุษย์เป็นภพภูมิที่ใหญ่กว่าเทวดา เพราะมนุษย์ยังสามารถสร้างความดีให้มากยิ่งขึ้นเเต่เทวดาไม่มีโอกาสสร้างความดี ไปแค่รับผลบุญ เมื่อหมดก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ฉะนั้นไหว้เทวดาไหว้ฟ้าดินไม่สู้ไหว้ตัวเอง เมื่อไรจะทำให้ตัวเองน่าเคารพสักที ใช่ไหม (ใช่)
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วคนในโลกนี้ดีไหม (ดี) แล้วโลกนี้ดีไหม (ดี) เพราะมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าทุกคนมีดี เรามองเห็นใครๆ ก็ดีหมด มีคุณค่าหมด แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดว่าทุกคนแย่ เราก็จะมองเห็นโลกมีแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) ความนึกคิดก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน อย่ามองว่าความนึกคิดจะไม่ใช่กิเลส จะไม่ใช่ตัวปัญหา แต่มันเป็นตัวปัญหาหลักเลย คิดถูกก็เห็นถูก คิดผิดก็เห็นผิด ใช่หรือไม่
เหมือนเรามองเห็นเขาแล้วเอาแต่จับผิด มันก็เห็นผิดวันยังค่ำ แต่ถ้าเรามองเห็นเขา แล้วเขาต้องมีดีสิ สักวันเราก็จะเห็นเขาดี แต่ถ้าเราเอาแต่มองว่าเขาแย่ ถามว่าเขาจะดีขึ้นมาไหม (ไม่) แล้วใครที่ทำเขาแย่ ความคิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกิเลสก็อาจจะเกิดจากความคิดเห็นแห่งตัวตน และความหลงผิดนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างกับอารมณ์นิสัยของคน และทุกครั้งที่เราคิดเราต้องทำตามที่เราคิดเสมอไหม (ไม่) แต่เราก็ไม่สามารถล้างความคิดออกจากใจได้ เวลาที่เราคิดมันก็ยังคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) การเรียนรู้ธรรมไม่ได้สอนให้เราไปเพ่งมองคนอื่น เปลี่ยนแปลงคนอื่น วัดค่าคนอื่นดีเลว แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรารู้ทันตามความคิดและหยุดมันก่อนคิดได้ ดังคำปราชญ์ที่สอนไว้ว่า “ไม่เริ่มก็จบทันที” แต่มนุษย์ไม่ใช่ คิดแล้วเริ่ม เริ่มแล้วทำ ทำแล้วก่อกรรม ก่อกรรมแล้วผูกเวร แล้วค่อยไปตามแก้กรรมแก้เวร แต่ถ้าเราสามารถรู้ก่อน เห็นก่อน ทันก่อน ไม่ใช่เพื่อรู้ทันคนอื่น แต่เพื่อรู้และทันตัวเอง หยุดบาปหยุดเวรที่ตัวเอง มันดีกว่าไหม (ดี) ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากความคิด แล้วคิดแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก คิดแล้วทำ ใช่ไหม
สิ่งที่เรามักจะเป็นแล้วทำให้เราทุกข์คือ “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอม” แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไรละ ในเมื่อความคิดเรามันไม่ยอมผิด ไม่ยอมรับ แล้วก็ถามว่าทำไมต้องว่าฉัน ทำไมต้องทำฉัน ทำไมต้องด่าฉัน จริงไหม (จริง)
เหมือนเราคิดว่าทำไมต้องยืน ทำไมไม่ได้นั่ง ทุกข์ไหม ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ทุกข์ไหม ไม่ทุกข์นะ ถ้าทำไมต้องยืนแล้วไม่ได้นั่งก็ไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่) ทำไมฉันต้องยืนละ ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ใช่ไหม (ใช่) งั้นนั่งดีไหม (ดี) ดีทันทีเลย
ถ้าอยากจะดับความคิดตรงนั้น อย่างแรก อย่าเอาแต่เพ่งโทษและกล่าวโทษผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากทุกข์ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ดีอย่างนี้ ทำไมเขาว่าฉันอย่างนั้น การไม่เพ่งโทษ ไม่กล่าวโทษ มันหยุดความขัดแย้งในใจได้ มันหยุดความโกรธเคืองในใจเราได้ จริงไหม (จริง) แต่ความคิดมนุษย์ชอบตำหนิ ชอบกล่าวโทษ พอตำหนิคนก็ขุ่นเคืองใจแล้ว เวลามีเรื่องอะไรเราเคยโทษตัวเองก่อนไหม (ไม่เคย) อยากได้บ้านสงบสุขไหม (อยาก) อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก) ฉะนั้นเวลามีปัญหา หนูผิดเอง พ่อผิดเอง แม่ผิดเอง ดีไหม ลองทุกคนต่างยอมรับผิด จะมีการโทษกันไหม (ไม่มี) มีแต่ร่มเย็น
ถ้าในสังคมมีเเต่คนที่ไม่ตำหนิกัน ไม่กล่าวโทษกัน ไม่ด่าทอกัน ยอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง เราจะทะเลาะกันไหม (ไม่) เเล้วความคิดที่เราจะเพ่งร้ายใครมีไหม (ไม่มี) เราจะมองเเต่ว่าเรายังไม่ดีพอ เราคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเพ่งออกหรือเพ่งเข้า (เพ่งออก) ว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเรา) ถ้าเราอยากเปลี่ยนเเปลงให้โลกนี้สงบเย็น เราต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ถ้าเราสุขอยู่ที่ไหนก็สุขเเต่ถ้าเราทุกข์มีปัญหาในใจ ไม่ยอม ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่แพ้ ไม่ผิด ไม่เอา มันทุกข์ พอเราทุกข์เราก็อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าฉันโกรธฉันเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเราไม่เพ่งโทษไม่กล่าวโทษคนอื่น เราเเปรเปลี่ยนหัวใจเราเป็นเข้าใจเขาให้มากๆ เห็นใจเขาให้มากๆ อภัยเขาให้เยอะๆ เเละยอมรับความจริงเขาให้ได้มาก แบบที่ชีวิตนี้ไม่เคยยอมใครมากขนาดนี้ เเต่วันนี้ก็ต้องยอม เพราะด่าไปก็เหนื่อยทุกข์ไปก็เจ็บ ด่าไปก็ปวดใจ
การเข้าใจลดการทะเลาะวิวาท การเห็นใจลดการเเก่งเเย่งชิงดี การให้อภัยลดการทำร้ายจองเวรเคียดเเค้นชิงชัง เเละการกล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เราสงบเย็นสบาย เเต่ทำไมไม่มีใครทำ เอาเเต่ถามว่าทำไมเขาไม่เป็นมากกว่านี้ ทำไมเขาไม่ดีกว่านี้ ทำไมชีวิตต้องได้แบบนี้ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนกับว่า ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ เราห้ามอะไรได้ไหม (ไม่ได้) เราหยุดยั้งปากคนได้ไหม (ไม่ได้) เราเปลี่ยนโลกได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเราเปลี่ยนโลกเปลี่ยนคนไม่ได้ เราเปลี่ยนอะไรได้ (เปลี่ยนตัวเราเอง)
รู้แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีใครทำเลย ต้องรอทุกข์จนถึงที่สุด ต้องรอเจ็บจนเจียนตายแล้วบอกว่า เธอช่วยฉันหน่อยสิ พระจ๋าช่วยหนูหน่อยสิ ศิษย์น้องเอ๋ยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่ศรัทธาในปัญญาของตน แล้วเอาชีวิตของตนไปฝากไว้กับพระพุทธะ ใครจะช่วยเปลี่ยนใจเราได้ จริงไหม (จริง) กราบไหว้พระแต่ใจยังจมอยู่กับความคิดมันก็ไม่มีประโยชน์นะ เปิดใจกว้างจนถึงที่สุด จนไม่มีขอบเขต แล้วศิษย์น้องจะรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครเห็นแก่ตัว ในโลกนี้ไม่มีใครแล้งน้ำใจ เพราะเรากว้าง ใครไม่กว้างหนูจะกว้าง เขาไม่ใจดีหนูจะใจดี เอาให้ถึงที่สุดที่ชีวิตหนึ่งจะประเสริฐสุดได้ ที่ชีวิตหนึ่งจะดีได้ แล้วเราจะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่มีใครที่เกิน เลย ขาด หรือแย่เลย ทุกคนดีไปหมด เพราะเขาเป็นแบบนี้เราก็ต้องยิ่งดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมไม่เอา พอถึงเวลาเขาไม่ดี เราก็ไม่ดีด้วย เขาแย่ก็แย่ด้วย ตามกันไปเป็นขบวน ใช่ไหม
ฉะนั้นอย่าดูถูกปัญญาอันประเสริฐ อย่าดูแคลนความศรัทธาในความดีของตน เรารักในความดี เราชอบในความดี แล้วเราก็ศรัทธาคนที่ดี แล้วบอกตัวเองว่าทำไมเราไม่เป็นสักที ใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากัน พอถึงพรุ่งนี้ก็มะรืนต่ออีก น่าเสียดายนะ เพราะชีวิตมันล่วงเลยไป ยิ่งผ่านไปเท่าไรคุณค่าของเราก็มีได้แค่นั้น ทั้งที่จริงแล้วมันมีได้มากที่สุด กว้างที่สุด ใหญ่ที่สุด แต่ทำไมขอแค่นี้ก็พอ
การเรียนรู้ธรรมและการศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่เราสามารถปฏิบัติได้ในทุกขณะทุกเวลา และทุกขณะที่เรามีชีวิตและดำรงตนอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) ดั่งที่มนุษย์ชอบบอกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน ปฏิบัติเป็นทาน ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราเคยทำตัวเราให้มีธรรมะไหม ให้แต่กิเลสให้แต่อารมณ์ ให้แต่นิสัยความเป็นตัวเองให้เขาเห็น อย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราปฏิบัติได้แค่ตอนอยู่ในวัด แต่กับคนเราปฏิบัติดีต่อกันไม่เป็น อย่างนี้ไม่ถูก
ปฏิบัติได้ที่แท้จริงคือ กับใครเราก็ให้ไม่เจาะจง บุญที่ไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบุญที่สามารถยกระดับใจ ให้เราโปร่ง ให้เราโล่ง ให้สบาย นั่นก็คือ บุญอันประเสริฐ แต่ถ้าบุญทำแล้วหลงยึดติดนั่นก็แปลว่า เดินผิดทาง ใช่ไหม (ใช่) ใจเราไม่ใช่ถังขยะนะศิษย์น้อง ที่เอาแต่เก็บสิ่งเน่าเหม็น ใจเราเหมือนท้องฟ้ากว้างและสายลมเย็น ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่มีไว้เพื่อแบกทุกข์แล้วก็เจ็บปวดกับความทุกข์ แต่ชีวิตมีไว้เพื่อเรียนรู้เข้าใจทุกข์ และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดั่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดบ่อยๆ ทุกข์มาให้เราแค่รู้ แค่เป็น แค่เห็น แต่ไม่เอาทุกข์ แต่มนุษย์เห็นแล้วก็เอาแล้วก็ทุกข์กับมันใช่ไหม (ใช่) น่าเสียดายนะเพราะสิ่งที่ท่านกราบไหว้นับถือคือ พระพุทธองค์ ท่านกลับเอาทุกข์มาเป็น บันไดก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธะ เเต่มนุษย์เอาทุกข์ทำให้ตัวเองจมเเล้วก็เวียนว่ายในวัฏฏะ ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ฉะนั้นเรามาเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติง่ายๆ ที่จะทำให้เราทุกข์น้อยลงก่อนดีไหม (ดี) ส่วนใหญ่เรามักทุกข์เพราะว่าเรื่องราวในโลกไม่เป็นดั่งใจใช่ไหม (ใช่) ถ้าเป็นดั่งใจเรียกว่า (สุข) ถ้าไม่เป็นดั่งใจเรียกว่า (ทุกข์) เเล้วถ้าใจไม่มีดั่งอะไรเลย (ว่างเปล่า) เเล้วอะไรจะทำให้เราสุข (ไม่มี) เเล้วอะไรจะทำให้เราทุกข์ (ไม่มี) เราจึงเดินเข้าสู่ความสงบเย็นเลยใช่ไหม (ใช่) เเต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่ มีความคาดหวังมีความยึดติด ต้องเป็นแบบนี้ถึงจะสุข ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทุกข์ ถ้าไม่เป็นดั่งที่เราหวังเราไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้) สมมติว่าเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง เขาน่าจะชมเราเเต่เขาก็เอาเเต่ด่าเราทิ่มแทงเราให้เจ็บปวดช้ำใจ เป็นแบบนี้เราจะทำอย่างไร (ก็ช่างเขา) ศิษย์น้องอย่าลืมใช้ปัญญา ลืมไปแล้วหรือ ในร้ายมีดี ในดีก็อาจมีร้าย เเล้วสิ่งที่เรามองว่าร้าย จริงๆ เเล้วไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการโดนด่าบ้างก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งว่า “เขาคิดแบบนี้ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะคิดด่าเราได้ขนาดนี้” เคยไหมเราทำอะไรอย่างหนึ่งเเล้วเราไม่ได้คิดเลยว่าอยากจะได้หน้า อยากได้คนชม เเต่อยู่ๆ เขาก็ว่าเราอยากได้หน้าใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นในเรื่องร้ายๆ มันก็มีดี ในเรื่องดีบางทีก็มีร้าย เมื่อเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ปักใจคาดหวัง จะมีอะไรทำให้เราทุกข์และอะไรจะทำให้เราหลงระเริงสุข มันก็ไม่มี ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมาเราก็สบาย ถึงเวลาเราเป็นอย่างนั้นไหม ศิษย์น้องก็อาจจะบอกว่า “ศิษย์พี่ คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องดีต่อกันสิ พูดก็ต้องพูดดี ทำต่อกันก็ต้องทำดี แต่ทำไมเขาทำแบบนี้” ใช่ไหม (ใช่) เรารักดีเราหวังดีได้ แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีกับฉัน (ไม่) ศิษย์น้องก็รู้ใช่ไหม แล้วทำไมพอเขาทำไม่ดีกับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจึงโกรธเขา เราหวังดีนั้นดี เราปรารถนาดีนั้นดี แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะต้องดีกับฉัน ห้ามทำไม่ดีกับฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ถ้าเขาทำไม่ดี เขาผิดไหมที่เขาทำไม่ดี (ไม่ผิด) สมควรด่าไหม (ไม่ควร) แล้วสมควรส่งต่อประจานไหม (ไม่ควร) เห็นศิษย์น้องทำหมดทุกทางเลย ต้องให้โลกรู้ต้องให้สังคมรู้ ให้เขาไม่มีที่ยืนเลย ใจร้ายไปใช่ไหม (ใช่) เขาทำไม่ดีแค่ในสายตาเรา แต่ในสายตาคนอื่น เขาอาจจะดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และอีกอย่างทุกคนมีเหตุผลที่จะทำผิดได้ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเขาไม่ดีหรือความยึดมั่นถือมั่นที่เราไม่ชอบความไม่ดีแบบนี้ มันไม่ดีกันแน่
ใจเราไม่วาง ยึดติดว่าฉันไม่ชอบคนประเภทนี้ ฉันชอบแบบนี้ คนประเภทนี้ไม่ชอบ ถ้าเราไม่มี เราจะมีใครที่เราเกลียดไหม (ไม่มี) ถ้าไม่มีความคิดที่ยึดติดว่า “ฉันไม่ชอบลักษณะนี้ ฉันไม่ชอบคนแบบนี้ ฉันไม่ชอบคนประจบ ฉันไม่ชอบคนหน้าอย่างหลังอย่าง ฉันไม่ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยว ฉันไม่ชอบคนดีแต่พูดแต่ไม่รู้จักทำ ฉันไม่ชอบคนเช่นนี้ขี้บ่นไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น” ถ้าเราไม่มีแบบนี้ เมื่อเจอเราจะทุกข์ไหม (ไม่) ถ้าอยากไม่ทุกข์ควรจัดการที่เขาหรือเรา (เรา) และเอาวิธีแก้ทางกายมาใช้กับใจมันได้หรือ ยุบหนอพองหนอสงบหนอทำใจหนอ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจจัดการ อย่าเอากายไปข่มใจ แต่ต้องเปิดใจและรับความจริง เพราะไม่ชอบ เพราะเรารับไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากเอา ใช่ไหม (ใช่) แต่เมื่อเราเรียนรู้ธรรมอะไรเราก็ต้องรู้ รู้แล้ววางจบ สงบ แต่ถ้ารู้แล้วยึดมันก็เป็นกรรม อยากสงบหรืออยากมีกรรม (สงบ) ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องยึดมันทุกเรื่องเลย มันก็เลยเป็นกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อหมดเวรหมดกรรม หรืออยู่เพื่อสร้างกรรม ถามตัวศิษย์น้องนะ ถ้าเราเรียนรู้หลักธรรม และรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันพร้อมเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ที่แท้จริงคือฝึกรู้ใจ ไม่ใช่ไปรู้ใคร ฝึกรู้เท่าทันใจ ศาสนาพุทธสอนให้เป็นผู้รู้ รู้แล้วตื่น ตื่นแล้วเบิกบาน แต่เรารู้เราไม่ตื่นแล้วเราก็ทุกข์ทน จึงน่าเสียดายที่เดินผิดทางนะ
ศิษย์น้องหลายคน ชอบทุกข์และจมอยู่กับอดีต ศิษย์น้องรู้ไหม คนที่มีชีวิตแล้วจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต พระพุทธะเรียกคนที่จมอยู่กับความทุกข์ในอดีตว่า คนตายแล้ว เพราะคนตายแล้วเท่านั้นที่มีแต่อดีต แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แล้วตอนนี้ศิษย์น้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน) เอาแต่ทุกข์ เขาเคยด่าหนู เขาเคยว่าหนู เขาเคยทำหนูเจ็บ เกลียดเขา ศิษย์น้องก็คือคนที่ยอมตายทั้งเป็น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่า จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต แต่คนที่จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คือคนที่ยอมให้ตัวเองตายทั้งเป็น แล้วศิษย์พี่ก็หวังว่าศิษย์น้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่คนที่แอบตายแล้วจมอยู่กับอดีตที่ไม่ยอมก้าวข้ามความรู้สึกสักที เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับคนโน้น เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับอดีต ทำไมสามีไม่เห็นดีเหมือนเมื่อก่อนเลย ทำไมภรรยาไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อก่อนเลย ศิษย์น้องคือคนที่อยากจะตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นอยากมีสุขจงอยู่กับปัจจุบันเพราะปัจจุบันคือชีวิต และชีวิตก็มีแค่ปัจจุบัน ผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีอนาคตที่ถูกต้องที่สมแล้วกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ คุณค่ามันยิ่งใหญ่ จงศรัทธาในความดีอันนั้น และรักษาความดีนั้นเป็นทรัพย์ที่ยิ่งกว่าเงินทองใดๆ
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี) อย่างน้อยทำให้วันนี้เกิดปัญญา คิดได้ วางได้ ปลงได้ และเห็นทุกข์ชัดและไม่ทุกข์อีก แค่นี้ศิษย์พี่ก็ดีใจแล้ว มีโอกาสก็มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี) เราเป็นพี่น้องร่วมศึกษาธรรม เมื่อพูดถึงธรรมไม่มีแบ่งแยก พุทธ คริสต์ อิสลาม ธรรมก็คือธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกใบนี้ อย่าแบ่งแยกกันเพราะศาสนา แต่จงมองให้เห็นธรรม แล้วเอาธรรมนั้นมาทำให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง คิดต่างได้แต่เดินร่วมกันได้ ดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้ แต่เราเข้าใจกัน เห็นใจกัน เข้าใจกัน อภัยกัน ยอมกัน รับกันได้ นั่นแหละความสุขอยู่ตรงนี้ สงบก็อยู่ตรงนี้ ศิษย์น้องไม่ใช่ปรารถนาความสุขสงบหรือ แล้วสงบได้อย่างไรละ ก็ยอมจบ ถ้าไม่ยอมมันก็ไม่จบ พอจบแล้วมันก็สงบ แล้วมันก็เย็นใช่ไหม (ใช่) แต่หลายๆ เรื่องไม่ยอม ให้ไปเถอะ ให้ได้ก็ให้ไป ยอมได้ก็ยอมไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปจริงไหม (จริง) ดีกว่าผูกใจเจ็บจองเวรจองกรรมไม่สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที น่าเสียดายนะ แล้ววันหนึ่งศิษย์น้องจะเข้าใจว่า จิตที่เข้าถึงธรรม ทำให้เราพบพุทธะบนแดนดิน แล้วก็กลับคืนสู่ที่มาที่ศิษย์น้องเคยจากมา ดินแดนที่ไม่ต้องการใคร ไม่ต้องมีอะไร มันว่าง มันโล่ง ไม่มีตัวตนอยู่ตรงไหน เพราะมันคือความเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย ไม่แบ่งแยกเขา ไม่แบ่งแยกเรา ไม่มีใครดีกว่าเรา ไม่มีใครแย่กว่าเรา ทุกคนเท่ากันหมด นั่นคือโลกแห่งพระศรีอารย์ ทำได้ มิได้ อยู่ที่ใจเราเอง ยอมไหม (ยอม) ไปละ
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ตนเตือนตนรู้นำตนทรงคุณค่า ตนหลงตนลืมธรรมาน่าใจหาย
เป็นผู้ที่รักธรรมยิ่งจนวางวาย เป็นผู้ที่สละตนได้เพื่อผู้คน
ที่ไหนมีหลักธรรมาพร้อมบำเพ็ญ ที่นั้นย่อมร่มเย็นดั่งสายฝน
พึ่งพาตนเพื่อรู้ตนละวางตน พึ่งพาธรรมเพื่อรู้ตนแจ้งในธรรม
แห่งใดหรือที่สงบคนใฝ่หา แห่งนี้มีหลักธรรมามาชูค้ำ
ตนผู้ไม่พ่ายกิเลสพาระกำ ตนผู้มีหลักธรรมสติปัญญา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับบ้างไหม
ศีลไม่ขาดธรรมไม่พร่องรู้หน้าที่ ประพฤติดีปฏิบัติดีก้าวไม่ถอย
เมื่อพูดได้ต้องทำได้ไม่เลื่อนลอย รั้งรอชะรอยคิดมากจนไม่ได้ทำ
ความจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
ปลงให้ตกวางให้ได้แจ้งในธรรม ไม่สร้างกรรมเพราะโลภหลงโลกโลกีย์
แสวงได้แต่หาใช่ของเราจริง แค่ยืมใช้สักวันทิ้งคืนโลกนี้
โลกธรรมแปดอนิจจังหนอตรองชีวี บำเพ็ญฝึกหลักธรรมมีสติปัญญา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังฟุ้งซ่านอยู่ไหม ควบคุมอารมณ์กันได้หรือยัง ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตคนคือความเป็นตัวเอง ความเป็นตัวเองทำให้เรื่องราวในโลกใบนี้ดูวุ่นวาย ก็รู้อยู่นะว่าตัวปัญหาที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเองทั้งนั้น แต่พอถึงเวลาทำอะไรเลือกแต่ตัวเองเป็นหลัก ทำไมไม่วางตัวเองลงแล้วหันหลังมองตามความเป็นจริงแล้วยึดหลักธรรมมานำพาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าสำคัญตนผิด สำคัญเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ขาดฉันไม่ได้ เรามักจะคิดอะไรเข้าข้างตัวเอง มองตัวเองเป็นหลัก ใครไม่เห็นความสำคัญก็โกรธ ใครดูถูกความสำคัญก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีฉันโลกมันก็ยังคงหมุนต่อไป ไม่มีเรา โลกก็ยังคงต้องเป็นไปเหมือนเดิม ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดชีวิตนี้ของศิษย์สุขทุกข์ใครกำหนด ให้คนนั้นคนนี้กำหนดว่าแบบนี้ทุกข์ แบบนี้สุข หรือว่าเห็นโลกชัดยิ่งขึ้น มองออกยิ่งขึ้นว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครกำหนดได้ ใจเราก็กำหนดไม่ได้
แท้ที่จริงแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรสุขจริงและไม่มีอะไรทุกข์จริง แล้วเราเคยคิดได้แบบนั้นบ้างไหม ส่วนใหญ่คิดได้กันแค่สองแบบใช่ไหม (ใช่) ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตยังมีแบบที่สามอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนใหญ่เราจะปล่อยชีวิตไปตามที่คนโน้นกำหนดคนนี้กำหนด หรือบางทีเราไม่มองตัวเองเราเอาแต่โทษฟ้า ฟ้ากำหนดให้ชีวิตฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมฟ้าจึงทำกับฉันอย่างนี้ ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดมาชีวิตมีแค่นี้หรือ ทุกข์สุข ทุกข์สุข ทุกข์สุขจนตาย แล้วก็ทุกข์สุข แค่นั้นหรือ
ลึกๆ ในใจเราอยากหาความสงบ แล้วสงบอย่างไรที่ทำให้เราสงบได้เเล้ววางลงได้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ทรมานกลัดกลุ้ม ไม่รู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง เเละมีอิสระได้อย่างเเท้จริง โดยที่ไม่รู้สึกว่าเราทำดีเเล้วหรือยัง ฉันพอแล้วหรือยัง ใช่ไหม (ใช่) นั่นคือสิ่งลึกๆ ที่ศิษย์แสวงหา เเล้วทำไมศิษย์ไม่เคยหันกลับไปมอง แต่ศิษย์กลับหนี เมื่อนิ่งได้สักพัก ศิษย์ก็ไปหาเรื่องวุ่น สงบได้ไม่ถึงนาที อิสระได้ไม่ถึงห้านาที ก็หาเรื่องไปเกี่ยวให้วุ่นวายอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศิษย์จะศึกษาธรรมกับอาจารย์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ใจของศิษย์อยากให้คนกำหนดชีวิตหรือว่าชีวิตกำหนดตัวเรา หรือเป็นชีวิตที่มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต (มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต) ไม่ใช่เป็นแบบเดิม ถ้าศิษย์อยากมองเห็นชีวิตมากกว่าชีวิต อาจารย์จะได้ไปต่อ หากศิษย์อยากวนอยู่ในสุขทุกข์ก็ไม่พูดต่อ เพราะถ้ากลับไปทำเหมือนเดิมก็คือเหมือนเดิม วันนี้ศิษย์มาหาอาจารย์ก็น่าจะมีอะไรเพิ่มเติมและดียิ่งขึ้น ที่เรียกว่าคุณค่าชีวิตที่นำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หนทางเเห่งความเป็นพระพุทธะโดยเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนบำเพ็ญ”
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
ตามจริยมารยาทอันดี เข้าบ้านคนอื่นก็ต้องแนะนำตัว และบอกวัตถุประสงค์ที่มา วัตถุประสงค์ที่อาจารย์มานั้นชัดเจน คือไม่ได้มาขอสตางค์ ไม่ได้มาเรี่ยไร ไม่ได้มารักษาโรค แต่มาสนทนาธรรมเพื่อนำทางชีวิตให้พบความพ้นทุกข์ และก้าวไปสู่หนทางการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะบนแดนโลก แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกอาจารย์ว่า มันไกลเกินเอื้อมไปหน่อย แต่ศิษย์เอ๋ย ไม่ลองก้าวแล้วจะรู้หรือว่าทำได้หรือทำไม่ได้ เอาแต่ปฏิเสธเราจะไม่เป็นคนเสียโอกาสหรอกหรือ ลองดูไม่เสียหายอะไรนี่ ใช่ไหม (ใช่)
ที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ก็คือ หมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ และการหมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ นี้จะทำให้เราเห็นแจ้งความจริง และไม่จมอยู่กับทุกข์สุขที่มนุษย์ยึดติดและกำหนดกันในโลกใบนี้ แล้วธรรมอะไรที่เราจะพิจารณาเนืองๆ แล้วทำให้เราไม่หลงในสุขทุกข์บนโลกใบนี้ ตอบได้จะได้นั่ง ถ้าตอบไม่ได้ให้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม (ดี) ถึงจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดทุกข์สุขของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ขอถามว่า ถ้าเกิดอย่างนี้เราจะทำอย่างไรที่จะสามารถมองเห็นเข้าไปได้ชัด จนทำให้เรารู้สึกว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่มีสุขจริงและไม่มีทุกข์แท้ นั่นก็คือการต้องหวนกลับมาพิจารณาธรรม และธรรมนั้นก่อให้เกิดปัญญามองเห็นความจริงจนแจ่มแจ้ง แล้วลวงเราไม่ได้อีกต่อไป
โดยส่วนใหญ่ มนุษย์จะพูดว่า ก็พึงตั้งตนไม่ให้ประมาท หรือที่เมื่อวานพระนาจาพูดว่า อย่าคิดว่าตัวเองรู้ เพราะจริงๆ แล้วยังไม่รู้
อย่างนั้นพิจารณาธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นและเข้าใจความเป็นจริงของโลก และไม่ถูกโลกกำหนดให้เวียนไปทุกข์เวียนไปสุขอีกต่อไป (อริยสัจ 4) ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราเห็นทุกข์อยู่ทุกวัน เราก็เลยมองมันเป็นโลกแห่งความทุกข์ตลอดใช่ไหม แต่มันก็ยังไม่ทำให้เราเห็นแจ้งถึงขนาดไม่ทุกข์อีก แล้วก็ไม่หลงในสุขอีก เพราะเรายังเห็นไม่ชัด แปลว่าธรรมนั้นยังไม่ถูกกับกรณี สิ่งที่ถูกกับกรณีแล้วรักษาได้ทุกโรคและทำให้เราไม่เจ็บช้ำ ไม่เวียนทุกข์เวียนสุขอีกคืออะไร
(มรรค 8) คิดชอบ ดำริชอบ การกระทำชอบ ใช่ไหม (ใช่) เราก็พยายามคิดดีตลอด ปฏิบัติดีตลอด พูดดีตลอดแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม คิดออกไหม
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ถูกต้องศิษย์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โลกนี้ทุกสรรพสิ่งไม่ว่ารูป นาม หนีไม่พ้นความจริงนี้ เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในสุขไหม (ไม่) เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในทุกข์ไหม (ไม่) เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นทุกข์ เราควรหรือที่จะ ยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเองไหม (ไม่) และเมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง ถึงที่สุดมันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เราควรหรือที่จะปักใจว่าคนนี้ชั่ว คนนี้ดี ใช่ไหม
ถ้าทุกขณะจิต ศิษย์พิจารณาเนืองๆ โลภไม่มี โกรธไม่มี หลงก็ไม่มี เพราะจะโกรธอะไรมันไม่เที่ยง จะหลงอะไรมันไม่แน่ จะโลภอะไร โกรธอะไรหลงอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไรจริงสักอย่างในโลกใบนี้ ธรรมะจึงสอนว่าจงมีสติ แล้วรู้เท่าทันกับความจริงอยู่ทุกขณะ เมื่อไรที่ศิษย์สามารถดำรงจิตให้ตรงต่อหลักสัจธรรม ทุกข์สุขไม่มี ความเป็นกลางจะบังเกิด บาปกรรมจะมลายหายสิ้น (สาธุ) อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็น ไม่ใช่ให้มาสาธุกับอาจารย์แค่นั้น
ตัวเรามีความเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา ระหว่างเรามีดีกว่ามีแย่กว่า แต่เราทุกข์เพราะเรามองเห็นแค่เวลานี้ แต่ถ้าเราเปิดใจกว้าง ยังมีอีกหลายเวลา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราโดนเขาด่าแค่เวลานี้ แต่เวลาอื่นไม่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันคือคนที่มีชีวิต เห็นไหมหลักธรรมสอดคล้องกันหมด ถ้าศิษย์มอง ก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นกลางเสมอ แล้วเราก็อยู่ระหว่างกลางอยู่ทุกขณะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลางและซื่อตรงต่อความจริงสักที ถ้าศิษย์ซื่อตรงต่อหลักสัจธรรมความจริง ทุกข์สุขไม่มี เมื่อทุกข์สุขไม่มี ใจเราก็เป็นกลาง พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “บำเพ็ญธรรมให้เดินสายกลาง” เมื่อเราเป็นกลางแล้ว บาปกรรมมันก็ไม่เกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันถูกตัดทิ้งทันที ที่เหลือของชีวิตคือใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ขอแค่ศิษย์ไม่ไปยุ่งเรื่องของใคร ยุ่งเรื่องใจตัวเอง ไม่ต้องหวังให้ใครมาดูแล ไม่ต้องหวังให้ใครมาปลดทุกข์ ปลดด้วยตัวเอง ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
วางใจเป็นกลางแล้วอะไรก็ดีทั้งนั้น มันไม่มีอะไรดีร้ายจริงหรอก อย่าปล่อยให้ใจมันยึดติดกับความจำได้หมายรู้เก่าๆ แล้วทำให้เรามัวแต่แบ่งแยกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี เราก็จะหนีไม่พ้นกรรมจริงไหม (จริง)
นั่งหรือยืนดี (นั่งก็ดี ยืนก็ดี) ค่อยชื่นใจหน่อยมีคนตอบให้อาจารย์ภูมิใจ จำไว้นะ เมื่อไรที่จิตใฝ่จะยึดถือสิ่งใด เมื่อนั้นศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปรอรับผลของมัน ถ้าอะไรเราก็ไม่ยึดไม่กำหนด อะไรก็ได้ เราจะต้องมีกรรมไปรองรับอีกไหม (ไม่) แต่ความเป็นคนที่ยึดว่าอันนี้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นไม่ได้ต้องเป็นอย่างโน้น เราก็เลยหนีวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างไม่เคยพ้นสักที เราเกิดมาตัวเปล่าไม่ใช่หรือ (ใช่) เเล้วถึงที่สุดก็บอกว่าอันนี้เป็นของเรา ถึงเวลาใช่ของเราไหม (ไม่ใช่) เราเเค่กำลังยืมธรรมชาติมาใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนกลับไป เเต่ทำไมมาผูกใจเจ็บเเล้วจองเวรจองกรรม (เขาแกล้งเรา เขาโกงเรา) ถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องต่อกันก็ไม่ต้องมาเจอกัน
(มีนักเรียนในชั้นท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวที่อึดอัดในใจ) ไม่เป็นไรรู้ว่าศิษย์อึดอัดเก็บเต็มใจไปหมด ชีวิตกว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมายืนตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหม (ใช่ แปดสิบแล้ว) เเล้วจะแบกต่ออีกทำไม (ต้องสู้) แล้วจะแบกสิ่งที่ผ่านไปแล้วทำไม (ไม่แบก) อย่างนั้นก็ยิ้มสู้
อาจารย์รู้ทุกคนมีเรื่องราวมากมายในชีวิต มีความทุกข์มากมาย ถ้าอาจารย์ย้อนกลับไปได้ จะย้อนถามว่า เเล้วตอนนั้นที่ว่างๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียวสบายๆ ทำไมไม่เอา แล้วตอนนี้ไปเกี่ยวไปยุ่งมาแล้ว แล้วมาบอกว่าทุกข์มากเลย อาจารย์จึงบอกแต่ต้น ชีวิตศิษย์กำลังให้ใครกำหนด กำหนดเองหรือมองให้ชัดแล้วจะได้ไม่มีอะไรมากำหนดใจหรือมาบีบใจศิษย์ได้อีกต่อไป (มองให้ชัดแล้วไม่มีอะไรมาบีบใจอีกต่อไป) เราอยากให้ใครมาบีบใจเราเล่นไหม (ไม่) อย่างนั้นก็อย่าเผลอยกใจให้ใคร ในเมื่อลึกๆ แล้วอยากเป็นสุขอยากอิสระ แต่ถึงเวลาอิสระไหม (ไม่) หาเรื่องทุกทีใช่ไหม (ใช่) ถ้าถอยกลับได้ถอยแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แล้วที่อาจารย์บอกว่า ไม่มีน่ะดีแล้ว ไม่เคยเชื่อสักราย ใช่ไหม (ใช่) หาเหาใส่หัวก็ต้องรับเหาแล้วก็เกาไปเถอะนะศิษย์เอ๋ย ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ่งมันก็ยิ่งเกา เกาต่อไปแล้วเป็นอย่างไร ขี้กลากก็ขึ้นหัว แล้วใครยอมหัวล้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ จะทำอย่างที่อาจารย์บอกนี้ก็ดูน่าจะทำได้ใช่ไหม (ใช่) ยากไหม (ไม่ยาก) เราเริ่มมาดูกันง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ เมื่อสักครู่อาจารย์ขมวดปมจนถึงสุดท้ายแล้วจบให้ศิษย์เห็นแล้ว แต่เรามาเริ่มดูตั้งแต่แรกก่อน ว่าต้นเหตุและความเป็นมาที่ทำให้เราไปขมวดจนกลายเป็นแบบนี้ มันมาจากไหน เริ่มต้นแรกๆ ก็คือ เราไม่เคยมองเห็นโลกตามจริง เราไม่เคยมองเห็นโลกชัด ในทุกลักษณะที่เราเห็น แท้จริงแล้วยังมีลักษณะจริงซ่อนอยู่เสมอ และสิ่งที่เราเห็นมักจะเป็นลักษณะที่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน ถ้าเราหมั่นพิจารณาเรื่อยๆ นึกถึงหลักสัจธรรมว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะใหลหลงและยึดมั่นถือมั่น (ไม่ควร)
เจอเงินห้าร้อย เอาไหม (เอา, ไม่เอา) ไม่เคยพิจารณาเลย อุตส่าห์พูดไปนะศิษย์เอ๋ย อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ เรารู้ดี เรารู้ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่เราห้ามไม่ได้ คือต่อมความอยาก ต่อมนี้ถ้ามันทำงานแล้วมันจะอยากลึกๆ ใช่ไหม (ใช่) ที่มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถหยุดความอยาก หยุดตัณหา หยุดกิเลสในใจได้ เห็นทุกข์เป็นสุขก็เพราะยังมีใจที่นอนเนื่องไปด้วยกิเลสตัณหา ใช่ไหม
มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ เพราะมนุษย์หนีไม่พ้นความอยาก รับไม่ได้กับความไม่มี ต้องมี ต้องได้ ก็เลยทำให้ศิษย์ต้องเริ่มวุ่นวายแสวงหา แต่ถ้าอาจารย์ถามว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราหา สามารถเป็นของๆ เราได้ไหม ถึงที่สุดเราต้องกลับไปสู่ความว่าง คือไม่มีเหมือนเดิม ถ้าเราไม่ลืมว่าใจเราลึกๆ อยากหาความว่าง ความอยากจะครอบงำเราได้ไหม กิเลสจะชักนำเราได้ไหม (ไม่ได้) ในเมื่อเรารู้อยู่เต็มอกว่า ถึงที่สุดก็ต้องวางทิ้งไว้ กลับสู่ความว่างเปล่า แต่เราสนใจกันไหม อาจารย์จะบอกนะศิษย์ ห่วงผูกแล้วมันตัดยากนะ กรรมเมื่อสร้างแล้ว มันสิ้นกรรมไม่ได้ คนที่จะปลดกรรมได้มีแต่ตัวศิษย์เองเท่านั้น เมื่อศิษย์ป่วยหนัก สังขารจะไม่ไหวแล้ว ไปทำงานไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังห่วงงาน แล้วความห่วงนี้ ถ้าตายไปพร้อมกับความห่วง จิตก็หนีไม่พ้นการกลับมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วเสวยผลกรรมที่ศิษย์ยังห่วงอยู่ แล้วตอนนั้นแก้ทันไหม (ไม่ทัน) ฉะนั้นถ้าหันกลับมาเราจึงพบฝั่งธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยหันกลับมามอง มุ่งหน้าอย่างเดียวว่า อยาก อยาก แล้วก็อยาก
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุด ระมัดระวังความอยากไม่ทำให้ก่อเกิดกรรมชั่ว อยากอะไรก็ได้แต่ความอยากนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดเป็นกรรมชั่วที่ต้องมาเบียดเบียดและทำให้เราต้องมาเวียนว่ายไม่จบสิ้น หนทางที่จะตัดกรรมชั่วและบาปที่ดีที่สุดนั่นคือ หยุดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หยุดตำหนิคนอื่น และหยุดเพ่งมองคนอื่นไม่ดี หันกลับมาตรวจสอบตน เพราะทางมาแห่งบาปทั้งมวลล้วนเริ่มต้นมาจากการจ้องจับผิด คิดตำหนิ มองแง่ร้าย ใจเป็นอย่างไรก็เห็นคนเป็นอย่างนั้น ใจชั่วก็เลยเห็นคนชั่ว ใจดีก็เลยเห็นคนดี ใช่ไหม หรืออีกอย่างหนึ่งคือ ดูแลกายแล้วก็ต้องกลับมาดูแลใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสำคัญที่ใจ ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ก็เลยบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะพยายามทำดีเยอะๆ ทำบุญมากๆ เพื่อจะได้ลดบาปที่ศิษย์สร้าง ใช่ไหม (ไม่ใช่) บุญบาปมันคนละส่วนกันใช่ไหม (ใช่) แต่มือหนึ่งก็ทำบุญ อีกมือหนึ่งก็สร้างบาปถูกไหม (ถูก) อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีไหมศิษย์ มือหนึ่งไม่สร้างบาป มือหนึ่งเพียรพยายามทำบุญ ดีไหม (ดี) ศิษย์พยายามทำดีแต่นิสัยที่ไม่ดีก็ไม่แก้ ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดเลย ใช่ไหม (ใช่) หนูเป็นคนดี หนูทำบุญตั้งเยอะ ทำไมหนูไม่ดีล่ะ ก็ศิษย์ไม่เคยแก้นิสัยไม่ดีเลย ปากเราว่าเราชอบทำบุญแต่อีกปากหนึ่งเราก็เผลอนินทา มือหนึ่งเราก็บอกว่าเราใจดีมีเมตตาแต่อีกมือหนึ่งเราก็เผลอแอบอิจฉาริษยา ถูกไหม (ถูก) ใจหนึ่งเราก็บอกว่าให้แต่อีกใจหนึ่งเราก็อยากได้ เอาหน่อย เอาก่อน เดี๋ยวค่อยให้ทีหลัง เอามาเยอะๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกไหม (ถูก) เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)
พุทธะจึงสอนไว้ว่า จิตใจเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากและละเอียดอ่อน แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือชอบใฝ่ไปตามอารมณ์ที่ตัวเองปรารถนา ที่ตัวเองใคร่อยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามควบคุมใจตัวเอง ไม่ไปหวังควบคุมคนอื่น การรู้จักควบคุมใจตัวเองจะนำพาให้ชีวิตพบความสงบสุขที่แท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก) แต่ก่อนเอาแต่ว่าคนอื่น ให้คนอื่นดีแล้วเดี๋ยวตัวเองค่อยดี ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราอยากเป็นคนดีที่แท้จริงที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วรับผลกรรมอีกต่อไปไหม (อยาก)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)
จะเอาแอปเปิลแห่งความสุขหรือแอปเปิลแห่งความทุกข์ (แอปเปิลตามธรรมชาติ) แอปเปิลมีธรรมชาติของมันอยู่แล้ว สุขทุกข์อาจารย์กำหนดไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำสิ่งใด อย่างนั้นเอาแอปเปิลแห่งความทุกข์ไปดีไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ พบทุกข์จึงพบธรรม เเละบางทีพบสุขอาจจะหลงสร้างเวรกรรม
เอาสุขไปดีไหม (ไม่ดี) อาจารย์บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่า ไม่ใช่อาจารย์เป็นคนกำหนด อาจารย์ก็แค่พูดไปเรื่อยๆ ถ้าถือสายึดมั่นถือมั่นก็สร้างวิบากกรรม แต่ถ้าไม่ถือสาไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็แค่แอปเปิลธรรมดาลูกหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเวลาเราคิดดี เรียกว่าสวรรค์เกิด เมื่อเราคิดชั่ว เรียกว่านรกอุบัติ ใช่ไหม (ใช่) เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบุญ สวรรค์จึงบังเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบาป นรกจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางดี ความสุขจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางชั่ว กรรมจึงก่อเกิด ฉะนั้นกรรมหรือการกระทำจะดีหรือจะชั่ว มันอยู่ที่ชั่วขณะจิตเราคิดว่า เรายึดสิ่งใดใช่ไหม (ใช่) ถ้ายึดในสิ่งที่เป็นเรื่องบุญมันก็กลายเป็นสวรรค์ ถ้ายึดแล้วทำชั่วมันเป็นบาปก็กลายเป็น (นรก) จิตของมนุษย์ง่ายที่จะไหวไปตามสิ่งที่กระทบ และก็ถูกกำหนดด้วยจิตของตัวเองว่า สิ่งที่กระทบนี้มันจะเรียกว่าบุญหรือเรียกว่าบาป จะเรียกว่าทุกข์หรือเรียกว่าสุขก็ขึ้นอยู่กับใจเรายึดติดเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
กรรมคือผลของการกระทำ แล้วถ้าผลของการกระทำนั้น ก่อเกิดเป็นการเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เราต้องทำแล้วทำอีก จึงกลายเป็นวิบากกรรมและ กงเกวียนกำเกวียน ถ้าหากว่าสิ่งที่อาจารย์ทำนี้ อาจารย์มีใจที่ยึดติดว่าเป็นแบบนี้ที่เรียกว่าดี เมื่อหันไปทางดีก็เรียกว่า กรรมดี เมื่อหันไปทางไม่ดีก็เรียกว่ากรรมชั่ว ถูกไหม (ถูก) ถ้าในใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชั่ว (คือความว่างเปล่า) ฉะนั้นที่เขาดีหรือชั่วเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา) ใจเรากำหนดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่) ที่ทำให้เราทุกข์หรือสุขเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา) สามียิ้มเมื่อไรเราจะสุขมากไหม สามีด่าเมื่อไรเราจะทุกข์ไหม ถ้าเราไม่กำหนดในใจเรา อะไรเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันเป็นอกรรม คือกรรมที่ไม่เกิดวิบากกรรมที่ต้องไปรับผลต่อ แล้วถ้าสุขมันจะรับผลต่ออย่างไร เวลาสุขแล้วอยากอีกไหม (อยาก) สามียิ้มหนึ่งครั้ง อยากให้สามียิ้มอีกไหม (อยาก) มันเป็นวิบากกรรมไหมล่ะ (เป็น) สามีด่าเราหนึ่งครั้ง เราอยากให้เขาด่าอีกไหม (ไม่) แล้วมันเป็นวิบากกรรมไหม ทำไมต้องด่าฉันล่ะ มาคุยกันก่อน เรื่องมันไม่จบแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่ศิษย์หลงยึดมั่น ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเสวยรับ เหมือนวันนี้ถ้าศิษย์กินแอปเปิลแล้วหวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด) เพราะอยากกินอีก แล้วถ้าไม่หวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด) ใครไปซื้อมานี่โง่จริงๆ เลย เปรี้ยวก็เปรี้ยว เกิดวิบากกรรมแถมยังไปว่าเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แม่ค้าโกหก ขายก็แพง เกิดการจองเวรจองกรรม ถ้าผ่านร้านเมื่อไรจะกลับไปว่าให้เจ็บเลย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าในใจศิษย์ไม่ยึด มันจะมีกรรมให้เราต้องเวียนไปไหม (ไม่) มันก็แค่นั้นนะ มันก็จบนะ แล้วเมื่อมันจบแล้วจะต่อไหม (ไม่) เป็นการดำรงชีวิตเพื่อชีวิตแค่ชีวิต แต่ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรกับชีวิตมากไปกว่านี้แล้ว เพราะเห็นชัดอยู่ทุกขณะว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า จะเอาอะไร โกรธอะไร แค้นอะไร กรรมก็เลยไม่ปรุงแต่งให้เราดีร้ายอีกต่อไป เรียกว่าเราพ้นยมทูตอย่างแท้จริง ยมทูตมาทำอะไรเราไม่ได้ นรกหรือสวรรค์ก็มาพลิกใจเราไม่ได้ เพราะเราเข้าใจแล้ว นรกน่ากลัวแค่ไหนฉันก็ไม่คิดใฝ่หา สวรรค์ดีเลิศอย่างไรฉันก็ไม่คิดยึดมั่นถือมั่น เพราะชีวิตนี้ฉันขอความเป็นกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำดีก็หลงยึดถือว่าต้องรับผลดี ทำชั่วก็พยายามหลีกหนีไม่ยอมสำนึกผิด น่าเสียดายยิ่งนัก
หมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้วศิษย์จะได้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถามว่า พอพิจารณาให้เที่ยงๆ แล้ว อาจารย์บอกศิษย์ว่าไม่ต้องทำงานหาเงินเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) เงินก็ยังต้องหาอยู่ แล้วจะหาอย่างไรที่จะทำให้หาแล้วไม่โลภไม่หลง แล้วไม่สร้างบาปเวรกรรม
(ทำอาชีพที่สุจริต) ทำอาชีพที่สุจริตจะทำให้เราไม่โลภไม่หลงใช่ไหม วิธีที่ดีที่สุดคืออะไรรู้ไหม การขายไม่ใช่ขายเพื่อแลกเงิน แต่ให้การขายเป็นการสร้างบุญได้อีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องการนำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ให้เขาได้รับรู้ ขายแบบนี้เป็นขายแล้วได้บุญ ใช่ไหม (ใช่) ต้องไม่โกหกเขานะ ถ้าดีก็ต้องบอกว่าดี ไม่ดีก็ต้องบอกว่าไม่ดี นั่นเรียกว่าค้าขายไปแล้ว เราได้สร้างบุญ ทำให้เขาได้ร่วมบุญกับเรา
เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นการแสวงหาที่ไม่ก่อเกิดโลภ ไม่ก่อเกิดกิเลส และไม่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อเราทำจนเต็มกำลังเต็มความสามารถ โดนด่าก็ไม่โกรธ โดนคนเลื่อยขาเก้าอี้ก็ไม่แช่งชัก โดนกดตำแหน่งทำให้เราไม่ก้าวหน้าก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ นี่จึงเรียกว่าทำจนถึงที่สุดแล้วเราก็ละวาง ยอมรับความจริง ทำให้ได้นะ
(ขายบ้าง แจกบ้าง เผื่อแผ่สำหรับคนที่ไม่มีบ้าง) วันนี้ตั้งใจจะขายเท่านี้ และก็มีแจกเท่านี้ ทำได้ไหม แต่มันยากนะ ขอขายก่อนเดี๋ยวเหลือแล้วค่อยแจก ความหมายมันไม่เหมือนกันนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอยให้ไปก่อนเถอะ สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ และสามารถพกพาไปทุกภพทุกชาติและใครก็แย่งไปไม่ได้คือบุญแห่งการอุทิศให้ เป็นบุญที่เราไม่ต้องใช้ทรัพย์อะไรเลย และมันจะตามติดผู้สร้างบุญนั้นไปไม่ว่าศิษย์จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เราก็สามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อเราทำได้ดีทำได้ถูกต้อง คนอื่นไม่เดือดร้อนเพราะเรา เราก็คือสร้างบุญในโลก แต่ถ้าเราทำงานอย่างหละหลวม ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผลสุดท้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มันก็สร้างบาปใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแค่รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่เราชอบกินแรง เอาเปรียบ รักสบายใช่ไหม
เวลาศิษย์แสวงหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เราหาเพื่อหวังจะได้ และเราหาเพื่อหวังจะมี แต่ทำไมยิ่งหาเหมือนยิ่งหมด ยิ่งหายิ่งเหมือนไม่มี โลกสอนธรรมะเราตลอด แต่เราไม่เคยมองเห็นและไม่เคยยอมรับ ยิ่งหายิ่งไม่มี ยิ่งหาเหมือนยิ่งพร่อง ยิ่งหาเหมือนยิ่งขาด ยิ่งหาเหมือนยิ่งไม่ได้ แต่ศิษย์ก็พยายามหาเพื่อจะให้รู้สึกว่าตัวเองมี ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์บอกวิธีง่ายๆ หาอย่างไรที่ทำให้รู้สึกว่ามีนั่นคือ “การให้” พอมีแล้วรีบให้ ยิ่งให้ก็จะทำให้เรายิ่งมี ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอย เคยไหมยิ่งหามันยิ่งพร่อง เมื่อไรที่เรารู้พอ แล้วมันจะมี แต่เราเคยหันกลับไปแล้วบอกว่าพอไหม (ไม่) ฉะนั้นถ้าอยากมีก็จงรู้จักพอบ้าง แล้วศิษย์จะรู้จักสร้างสิ่งที่มีให้มีค่ายิ่งขึ้น แล้วมองสิ่งที่มีให้เป็นค่าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้
ในตัวเรามีทั้งจริงและปลอม มีทั้งกาย ใจ จิต มนุษย์เราแสวงหาและทำทุกอย่างเพื่อกาย แต่ลืมใจภายในหรือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ใช่ใจ ใจยังหลงกับความเป็นตัวตน แต่จิตเดิมแท้เป็นสิ่งบริสุทธิ์และสงบ เราเคยทำอะไรตามจิตเดิมแท้ หรือเราทำอะไรตามใจ หรือเราทำอะไรตามกาย เราเป็นไปทางไหน เป็นไปเพื่อภายนอกมากกว่าเพื่อภายในใช่ไหม ชีวิตเราถึงที่สุด เราก็ต้องวางภายนอก เพื่อกลับคืนสู่ภายในอันเป็นของจริง
มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นอารมณ์ความรู้สึก เเม้กระทั่งอารมณ์ก็ไม่เคยเที่ยง เเม้กระทั่งความรู้สึกก็ไม่เคยเที่ยง จริงหรือไม่ (จริง) ถ้ามนุษย์สามารถก้าวข้ามความรู้สึกได้ จะรู้ว่าจริงๆ ว่าในตัวเรานั้นไม่มีอะไรจริง มีแต่ความว่างเปล่า ในกายมีใจ ในใจมีจิต ทั้งกายใจเเละจิตต่างทำงานเชื่อมสัมพันธ์กัน เเต่ที่เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ก็เพราะใจเราบดบังจิต เเละมักทำอะไรเพื่อกายเเต่ลืมมองจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ จิตเดิมเเท้ไม่ต้องการครอบครอง เเละจิตเดิมแท้ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรมที่ศิษย์พยายามค้นหาเเละหลุดพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพิ่มเติม)
อาจารย์ขออนุมานว่ามันมีกาย มีใจ แล้วก็จิต เพราะใจนี้มันจะใกล้เคียงกับคำว่าเป็นตัวตน เรามักจะสร้างใจของเราให้เป็นไปตามตัวตนที่เรายึดถือ และบดบังจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวธรรม แท้จริงแล้วจิตเหมือนพระอาทิตย์ มันสว่างโล่ง เป็นเหมือนสภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ตอนนี้ใจฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนี้ ลองหาดูสิว่าใจมันมีไหม (ไม่มี) เราทำเพื่อสนองใจที่เราคิด สนองใจที่เรารู้สึก ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีไหม (ไม่มี) แล้วมันก็คอยคุมกายเราตลอดเวลา ใช่ไหม (ใช่)
ใจมันจะโผล่ก็ต่อเมื่อใจนั้นมีอารมณ์มาอิงแอบ มีอารมณ์มากระทบแล้วแทรกซึมให้เราเป็นตัวเป็นตน แต่ถ้าหมดอารมณ์ หมดความรู้สึก หมดความนึกคิด ใจมีไหม (ไม่มี) เมื่อใจมันไม่มี เราเห็นธรรมไหม (เห็น) มันไม่เห็นนะศิษย์ ศิษย์อย่ามองธรรมเป็นสิ่งของสิ เพราะถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ความว่าง มันคือสภาวะที่ไม่มีอะไร แต่มนุษย์มักจะมองให้มันต้องเป็นรูปเป็นร่าง มันต้องเป็นแสงกลมๆ เป็นอะไรที่สว่างไสว ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีอะไร เมื่อมันไม่มีอะไร มันก็เลยสามารถแทรกซึมอยู่ในทุกๆ ที่ มันถึงได้ยิ่งใหญ่ เพราะมันไม่มีอะไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปสู่คำว่าไม่มีอะไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ “หนูอยากมีอะไร และอยากเป็นอะไร” ซึ่งมันคือความหลง เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อไปมีอะไร ไปเป็นอะไร แต่กลับคืนสู่สภาวธรรมอันว่างอันไม่ยึดถือ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเพียรพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าก่อเกิดเป็นความรู้สึก อย่าก่อเกิดเป็นความนึกคิดแล้วกำหนดจนก่อเกิดเป็นวิบากกรรม เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าให้มันกระทบกระแทกกระเทือนใจ แต่จงแค่รู้ ยอมรับความจริง รักษาใจให้ปกติและก่อเกิดปัญญา ใช่ไหม (ใช่) แค่รู้ยอมรับความจริง อย่าแบกความรู้สึก อย่ายึดความรู้สึก เพราะมันจะก่อเกิดเป็นวิบากกรรมว่า ตีฉันทำไม เมื่อมันรู้สึก ก็จะทั้งเจ็บกายเจ็บใจ แต่ศิษย์จำไว้ เมื่อมีสิ่งมากระทบ ทุกสิ่งเกิดและดับลงทันที ถ้าว่างเปล่าจากใจที่ยึดถือ มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว มองให้มันต่อเนื่อง อยู่กับปัจจุบัน มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว แต่ความคิดที่ยึดถือ มันก่อเกิดวิบากกรรมที่ไม่ยอม ไม่เอา ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงรักษาศีล” ศีลคือทำใจให้ปกติ สมาธิ คือมั่นคงไม่หวั่นไหว แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่า มันเกิดแล้วมันก็จบไป ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนที่อาจารย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความนึกคิดยึดติดในตัวตน จะสงบ วาง และจบ พุทธะจึงสอนว่า แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ปรุงแต่งเพิ่ม ไม่คิดต่อเติม แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีใครมาสร้างกรรมอะไรกับเรา เพราะเราว่างจากตัวตนที่ยึดถือแล้ว ยากไหม (ไม่ยาก) ปฏิบัติยาก เพราะใครจะแค่รู้แค่เห็นเเละเเค่นั้นจริงสักราย ฉะนั้นศึกษาบำเพ็ญเพื่อตัดภพตัดชาติ ไม่เวียนว่ายกรรมอีกต่อไป กลับสู่พุทธภูมิที่เรียกว่าสภาวธรรมเดิมแท้ไม่ต้องการอะไร บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่ยึด เพราะถ้ายังยึดบุญยึดบาปก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายกรรม เราถูกตี แต่เราเจ็บไปทั้งกาย เจ็บไปทั้งใจ เพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเเค่รู้เเค่เห็นเเค่นั้น ด่าแล้วได้อะไร โกรธแล้วได้อะไร เกลียดแล้วได้อะไร ผูกใจเจ็บแล้วดีขึ้นไหม แช่งชักหักกระดูกแล้วทำให้เราสบายใจหรือ ด่าทอต่อว่าแล้วทำให้เราหมดทุกข์หรือ คิดให้ดี ต่อไปชีวิตนี้ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์เป็นแค่เพียงผู้ชี้ทาง ศิษย์จะเดินไหม (เดิน)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียน)
อาจารย์อยากให้แล้วศิษย์รู้จักให้ต่อ ไม่ใช่ได้รับเเล้วเก็บไว้กับตัว เพราะถ้าเก็บไว้กับตัวจะกลายเป็นความโลภ ความหลง ความยึด แต่กล้าให้ต่อคือการสละออก ซึ่งบังเกิดบุญกุศลที่ไม่ยึดถือ แต่กี่คนที่ได้แล้วจะไม่ยึด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ก้าวต่อไป” ซึ่งนำมาต่อกับพระโอวาทซ้อนพระโอวาทจากชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น รวมเป็นคำว่า “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”)
คนที่ศิษย์อยากจะจูงมือด้วยคือคนที่ศิษย์รักอยากดูแลและอยากช่วยเหลือ และอยากนำพาเขาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนในโลกนี้เป็นคนที่ศิษย์อยากจะจูงมือ แปลว่าทุกคนเป็นคนที่ศิษย์อยากจะช่วยกันดูแล ไม่ทำร้ายกันและนำพากันไปสู่ทางที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้คนต่างเก็บมือ ไม่คิดช่วยใคร น่าเสียดายนะ ถ้าในโลกแค่ทุกคนรู้จักจูงมือคนอื่นด้วยใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ โลกนี้จะพบสันติสุขจริงไหม (จริง) ลองนำโอวาทที่อาจารย์ให้ไปศึกษา ดีไหม (ดี)
ซ้อมร้องเพลงสักเพลงหนึ่งเพื่อส่งอาจารย์ได้ไหม แล้วนับต่อแต่นี้ไปรู้จักฝึกฝนบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มีเมตตาอุทิศเสียสละเพื่อให้ ให้โดยไม่หวังผล ดีหรือไม่ (ดี) อย่าไปเบียดเบียนเข่นฆ่าใครเลยนะ ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ ได้ไหม (ได้) อาจารย์ขอร่วมบุญอันนี้กับศิษย์ดีไหม (ดี) จะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อเบียดบังทำร้ายใคร เพื่อดำเนินชีวิตตัวเองได้ไหม (ได้) รู้ไหมว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมีความนัยว่าอะไร
อาจารย์ขอเดินไปหาผู้ร่วมฟังครู่หนึ่งแล้วกลับมาร้องเพลงส่งอาจารย์ ดีไหม (ดี) เอาลาจากแบบไม่เศร้าไม่มีน้ำตาดีไหม (ดี) จากกันอย่างเข้าใจเบิกบานใจ และลาจากกันด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขนะ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ ถ้าร้องไห้แปลว่ายังมีสิ่งผิดที่ยังคั่งค้างใจ ถ้ายังร้องไห้แปลว่ารู้สึกผิด ถึงร้องไห้กับอาจารย์ ต้องเข้มแข็งแล้วใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์อย่าร้องไห้นะ เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์แล้วก็ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญ ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม รู้จักอุทิศเสียสละ ไม่ว่าจะเจออะไรก็จงผ่านมันไปให้ได้ ทุกสิ่งล้วนผ่านมาเพื่อให้เราเรียนรู้ฝึกฝน ละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เข้มแข็งนะ อย่างน้อยที่ศิษย์นั่งฟังในวันนี้ สิ่งที่ศิษย์ได้บุญอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุญที่รู้จักเสียสละ บุญที่รู้จักยอมลดความเป็นตัวเองเพื่อผู้อื่น เพราะนั่งตรงนี้อากาศไม่เย็น แล้วก็ต้องยอมให้คนอื่นก่อน ตัวเองทีหลัง ถ้ารู้จักทำได้แบบนี้ตลอด นี่แหละคือการฝึกฝนบำเพ็ญ ลดละวางอัตตาตัวตนเพื่อนำพาผู้คนให้พบหนทางสว่างและความสุข ทำได้นี่ประเสริฐนะ ยอมลำบากเพื่อคนอื่น แต่อย่าเอาแต่นั่ง ต้องรู้จักไปประพฤติปฏิบัติให้ได้ด้วย
ฝึกฝนบำเพ็ญต้องก้าวหน้า ก้าวหน้าอย่างไร อารมณ์ โลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักปลดปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ยังคุกรุ่นเหมือนเดิม เปล่าประโยชน์นะ ไหว้พระต้องได้ใจพระ เคารพฟ้าดินก็ต้องทำได้ดั่งใจฟ้าดิน ฝึนฝนหนทางพุทธะก็ต้องมีใจเฉกเช่นพุทธะ ใช่ไหม ให้อาจารย์เคาะหัวแล้วก็ต้องให้กิเลสตกไปเยอะๆ เหลือแต่คุณธรรมความดีงามรักษาไว้อยู่ในใจ ไม่ใช่เคาะแล้วความดีหายหมด ใช่หรือไม่
มุ่งมั่นบำเพ็ญอุทิศเสียสละ ฝึกฝนบำเพ็ญอย่างไรล่ะ มีความเมตตาไหม พูดด้วยความเมตตาไหม กระทำด้วยความเมตตา ทำให้ได้ถึงคำนี้ เมื่อเมตตาถึงที่สุดแล้ว อารมณ์โลภ โกรธ หลง ก็จะเบาบาง แต่ไม่ใช่เมตตาเฉพาะคนนี้ อีกคนหนึ่งไม่เมตตาก็ไม่ได้
ทุกคนล้วนมีกรรมที่หนีไม่พ้น เมื่อมีก็ชดใช้แต่จะไม่สร้างกรรมต่อ กล้าชดใช้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะได้หมดเคราะห์หมดโศกและจบในชาตินี้นะศิษย์ อย่าไปยื้อยุดให้มันทุกข์ จงปล่อยวางสังขารนี้ที่ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เป็นของศิษย์ที่แท้จริงคือ สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ธรรมที่ไม่มีตัวตน กลับคืนสู่สภาวธรรมนั้นดีกว่านะ ถ้าใครยังไม่รู้เรื่อง มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ดีไหม (ดี) อาจารย์ไปแล้วนะ ก้าวให้ถึงที่สุดนะ ทำให้ถึงที่สุดนะ อาจารย์อยากได้รอยยิ้มจากศิษย์นะ
อย่าไปแล้วไปเลยนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีก เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ซื่อตรงจริงใจ ทำให้ได้นะ อย่าได้แค่รู้แต่ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ควบคุมอารมณ์ให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต อย่าดูแคลนตัวเองนะ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่า คุณค่าที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอารมณ์เป็นใหญ่ ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา เราเคยมีบุญกันมาก่อน ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญให้ถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่เล่น มีโอกาสกลับมาอีกนะ มาร่วมบุญกับอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ทำให้ได้นะ ลากันไหม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จงรู้จักทำอะไรด้วยสติ อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย อย่างน้อยถ้าไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน แล้วจะมีบุญแค่นี้หรือจะมีบุญอีก อยู่ที่ศิษย์นะ รักษาบุญรักษาโอกาสนั้นด้วยการเลือกหนทางที่ถูกต้อง นำพาชีวิตให้ถูกทาง เข้าใจในธรรมที่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้เรียนรู้ไหม จะได้ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้
รู้จักดำเนินตนเองให้เป็น บำเพ็ญสมกับที่เป็นศิษย์ของอาจารย์หรือยัง อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นสมกับที่เป็นจี้กงน้อยหรือยัง ถ้ายังขอให้แก้ไขทำให้ดีและก้าวไปพร้อมกัน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนมีเรื่องที่ยาก มีเรื่องที่ลำบากใจ เเต่อาจารย์ก็เชื่อมั่นว่า เมื่อเจอเรื่องลำบาก เมื่อเจอเรื่องยาก ศิษย์ก็ยังก้าวต่อได้ เเละยังมั่นคงได้ไม่เปลี่ยนแปลง อาจารย์ยังเชื่อในใจดวงนั้น ใจที่ดีงาม ใจที่งดงาม ใจที่อุทิศเเละใจที่เสียสละ ขอให้อาจารย์เชื่อเเละเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่าท้อเพียงแค่คนพูด อย่าล้าหรือถดถอยเพียงเพราะคนทิ่มแทง เข้มแข็งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฟันฝ่าเเละก้าวไปอย่างมั่นคง ทุกอย่างมาแค่ทดสอบใจ ใจที่ไม่ยึดถืออะไร ใจที่สามารถก้าวไปเเล้วไม่เหลืออะไรให้ยึดถือ
เข้มแข็งนะ สุขภาพช่างมัน รักษาใจที่ดีงามไว้ดีกว่า ความเจ็บป่วยมันเป็นธรรมดามันไม่เที่ยง ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บป่วย แต่เจ็บป่วยแล้วใจยังสู้นั่นประเสริฐกว่าใช่หรือไม่ อย่ากลัวความเจ็บป่วย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวการสูญเสีย เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ทำให้เราเห็นความจริงในชีวิต และมันเป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไยต้องกลัว สู้ก้าวข้ามให้ได้ แล้วปลดปลงตัวเองให้ลง เพราะกายสังขารมันไม่ใช่ของเราแท้จริงนะ
ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย ห่วงศิษย์จริงๆ นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายตัวเองนะ ไม่ว่าเจออะไรก็ผ่านพ้นให้ได้ คนสำคัญของอาจารย์ หายหรือยัง ยังต้องให้อาจารย์ประทานพรอีกหรือ ศิษย์รู้ไหมข้างหน้าอาจารย์ก็ห่วง ข้างหลังอาจารย์ก็กังวล เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วงหายกังวล
ทำได้หรือเปล่า เข้มแข็งนะ ทำงานฟ้าอย่ากลัวเหนื่อย มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามนะ บางคนอาจารย์ไม่ได้จับมือแต่อาจารย์ให้กำลังใจ อาจารย์เข้าใจในความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของศิษย์ แม้ไม่ได้จับมือศิษย์แต่อาจารย์ก็ยังหวังว่าศิษย์ยังก้าวต่อไป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก กลับมาผูกบุญกันอีกนะ เพื่อกลับสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเราเอง
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”
เทียนไร้แต่ไม่สิ้นแสง ความดียังแฝงทุกหน
เมตตาค้ำจุนใจคน น้ำใจดั่งฝนฉ่ำเย็น
ยามทุกข์เราต่างช่วยเหลือ โอบเอื้อน้ำใจให้เห็น
โลกนี้ยังไม่ลำเค็ญ เพราะใจตนเป็นแสงทอง
ยามล้มจงลุกขึ้นสู้ ไม่อยู่อย่างคนหม่นหมอง
ฟ้ามืดไม่นานแสงทอง ปลุกผองผู้กล้าขึ้นมา
ขยันซื่อตรงจริงใจ รู้ในหน้าที่ตนหนา
มีศีลครองธรรมนำพา อย่าล้าต่อการมีธรรม
หมายเหตุ
พระโอวาท “จูงมือกัน” ท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ เมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาท “ก้าวต่อไป” พระนาจาเมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
“ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ”
เพราะอารมณ์นิสัยที่เข้าข้างตัวเอง มองตามความคิดเห็นของตนเป็นบรรทัดฐานมากกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นบางทีสิ่งที่เราบอกว่าจริงบางทีมันอาจจะ (ไม่จริง) สิ่งที่เราบอกว่าไม่จริงมันอาจจะ (จริง) แล้วตกลงมันจริงหรือไม่จริง บางทีก็เหมือนไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ ของเรา บางทีก็กลายเป็นเพื่อน (ไม่จริง) เงินที่ว่าน่าจะเป็นของเราบางทีมันก็กลายเป็น (ของคนอื่น) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราเป็นนั้นจริงเสมอไป เพราะเห็นมันก็ยังมีสิ่งที่ (ไม่เห็น) เพราะรู้มันก็ยังมีวัน (ไม่รู้) เปลี่ยนได้ ใช่ไหมพอถึงเวลา มันเปลี่ยนไหม แล้วคิดหรือว่าเราจะรู้จริงๆ
สิ่งที่เราเห็นแท้ที่จริงแล้วเรายังไม่เคยเห็นมันจริงๆ สิ่งที่เราว่าเราเป็น แท้จริงแล้วเราก็ไม่เคยได้เป็นมันจริงๆ เราว่าเราเป็นนั่น เราเป็นนี่ แต่พอเราไปทำมันจริงๆ เราเป็นไหม (ไม่เป็น)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้มั่นใจในตัวเองว่าตัวเองรู้ แต่การรู้ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วในโลกใบนี้สิ่งที่เราว่ารู้ เราอาจจะไม่รู้ สิ่งที่เราว่าเห็น เราเข้าใจ แท้จริงแล้วเราอาจจะไม่เห็น ไม่เข้าใจ เมื่อเรามองแบบนี้ตลอดเวลา เราจะผิดหวังกับใครไหม แล้วเราจะผิดหวังกับตัวเอง ที่ไม่น่ามองผิดเลยไหม (ไม่) แล้วเราจะเสียใจไหมที่เราตาต่ำไปดูเป็นของสูง (ไม่) แต่ทุกครั้งที่เรามีชีวิต เรามักจะพูดว่า ฉันรู้นะ ฉันเห็นนะ ฉันแน่นะ แต่ในใจจริงๆ อ่อนปวกเปียกเลยแล้วจะสร้างกำแพงนี้มาให้ตัวเองทุกข์ทำไม ถือว่าเรามาคุยกันแบบมีแง่คิด คุยกันแบบให้เกิดปัญญาดีไหม เพราะคนที่มีปัญญาคือผู้ประเสริฐ และคนที่รู้จักทำอะไรด้วยปัญญาเรียกว่าอยู่อย่างฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราขอเหมารวมว่านักเรียนในชั้นนี้ชอบอยู่กันอย่างมีปัญญาดีไหม (ดี)
“แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล”
เพราะทางธรรมอาจจะมองต่างจากทางโลก คนทางโลกสอนว่าต้องฉลาดไว้ ต้องเก่งไว้ ต้องรู้ไว้ แต่ธรรมะสอนให้ไม่รู้บ้าง ไม่เก่งบ้าง เพราะยิ่งไม่รู้ ความรู้ยิ่งไหลริน ยิ่งไม่เก่งยิ่งมีคนอยากจะสอนให้เราได้เก่งยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งคิดว่าตัวเองรู้ ยิ่งคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งคิดว่าตัวเองแน่ ยิ่งไม่มีใครเอาหรอกนะ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราเป็นแบบไหน จึงบอกว่ายอมอยู่หลังจึงได้เหมือนอยู่หน้า ยอมถอยจึงได้เหมือนก้าวได้ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ประเสริฐตรงที่ไหน มนุษย์เป็นคนดีที่สุดตรงที่ใด (ปัญญา) ปัญญาแค่นั้นหรือ
มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด เพราะเขาศรัทธาในความถูกต้องดีงามตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่สูญสิ้นความดี เเต่มนุษย์รักความดีเเต่ไม่เคยศรัทธาความดีจนลมหายใจสุดท้าย เจอปัญหาก็ยอมเเพ้ เจอทุกข์ก็ไม่เอา ฉะนั้นมนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐที่ศรัทธาความถูกต้องดีงามเเละประพฤติปฏิบัติจนตราบลมหายใจสุดท้ายจึงเรียกว่าผู้ประเสริฐเเท้จริง
แล้วรู้ไหมว่าภพภูมิมนุษย์เป็นภพภูมิที่ใหญ่กว่าเทวดา เพราะมนุษย์ยังสามารถสร้างความดีให้มากยิ่งขึ้นเเต่เทวดาไม่มีโอกาสสร้างความดี ไปแค่รับผลบุญ เมื่อหมดก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ฉะนั้นไหว้เทวดาไหว้ฟ้าดินไม่สู้ไหว้ตัวเอง เมื่อไรจะทำให้ตัวเองน่าเคารพสักที ใช่ไหม (ใช่)
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วคนในโลกนี้ดีไหม (ดี) แล้วโลกนี้ดีไหม (ดี) เพราะมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าทุกคนมีดี เรามองเห็นใครๆ ก็ดีหมด มีคุณค่าหมด แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดว่าทุกคนแย่ เราก็จะมองเห็นโลกมีแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) ความนึกคิดก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน อย่ามองว่าความนึกคิดจะไม่ใช่กิเลส จะไม่ใช่ตัวปัญหา แต่มันเป็นตัวปัญหาหลักเลย คิดถูกก็เห็นถูก คิดผิดก็เห็นผิด ใช่หรือไม่
เหมือนเรามองเห็นเขาแล้วเอาแต่จับผิด มันก็เห็นผิดวันยังค่ำ แต่ถ้าเรามองเห็นเขา แล้วเขาต้องมีดีสิ สักวันเราก็จะเห็นเขาดี แต่ถ้าเราเอาแต่มองว่าเขาแย่ ถามว่าเขาจะดีขึ้นมาไหม (ไม่) แล้วใครที่ทำเขาแย่ ความคิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกิเลสก็อาจจะเกิดจากความคิดเห็นแห่งตัวตน และความหลงผิดนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างกับอารมณ์นิสัยของคน และทุกครั้งที่เราคิดเราต้องทำตามที่เราคิดเสมอไหม (ไม่) แต่เราก็ไม่สามารถล้างความคิดออกจากใจได้ เวลาที่เราคิดมันก็ยังคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) การเรียนรู้ธรรมไม่ได้สอนให้เราไปเพ่งมองคนอื่น เปลี่ยนแปลงคนอื่น วัดค่าคนอื่นดีเลว แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรารู้ทันตามความคิดและหยุดมันก่อนคิดได้ ดังคำปราชญ์ที่สอนไว้ว่า “ไม่เริ่มก็จบทันที” แต่มนุษย์ไม่ใช่ คิดแล้วเริ่ม เริ่มแล้วทำ ทำแล้วก่อกรรม ก่อกรรมแล้วผูกเวร แล้วค่อยไปตามแก้กรรมแก้เวร แต่ถ้าเราสามารถรู้ก่อน เห็นก่อน ทันก่อน ไม่ใช่เพื่อรู้ทันคนอื่น แต่เพื่อรู้และทันตัวเอง หยุดบาปหยุดเวรที่ตัวเอง มันดีกว่าไหม (ดี) ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากความคิด แล้วคิดแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก คิดแล้วทำ ใช่ไหม
สิ่งที่เรามักจะเป็นแล้วทำให้เราทุกข์คือ “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอม” แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไรละ ในเมื่อความคิดเรามันไม่ยอมผิด ไม่ยอมรับ แล้วก็ถามว่าทำไมต้องว่าฉัน ทำไมต้องทำฉัน ทำไมต้องด่าฉัน จริงไหม (จริง)
เหมือนเราคิดว่าทำไมต้องยืน ทำไมไม่ได้นั่ง ทุกข์ไหม ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ทุกข์ไหม ไม่ทุกข์นะ ถ้าทำไมต้องยืนแล้วไม่ได้นั่งก็ไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่) ทำไมฉันต้องยืนละ ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ใช่ไหม (ใช่) งั้นนั่งดีไหม (ดี) ดีทันทีเลย
ถ้าอยากจะดับความคิดตรงนั้น อย่างแรก อย่าเอาแต่เพ่งโทษและกล่าวโทษผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากทุกข์ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ดีอย่างนี้ ทำไมเขาว่าฉันอย่างนั้น การไม่เพ่งโทษ ไม่กล่าวโทษ มันหยุดความขัดแย้งในใจได้ มันหยุดความโกรธเคืองในใจเราได้ จริงไหม (จริง) แต่ความคิดมนุษย์ชอบตำหนิ ชอบกล่าวโทษ พอตำหนิคนก็ขุ่นเคืองใจแล้ว เวลามีเรื่องอะไรเราเคยโทษตัวเองก่อนไหม (ไม่เคย) อยากได้บ้านสงบสุขไหม (อยาก) อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก) ฉะนั้นเวลามีปัญหา หนูผิดเอง พ่อผิดเอง แม่ผิดเอง ดีไหม ลองทุกคนต่างยอมรับผิด จะมีการโทษกันไหม (ไม่มี) มีแต่ร่มเย็น
ถ้าในสังคมมีเเต่คนที่ไม่ตำหนิกัน ไม่กล่าวโทษกัน ไม่ด่าทอกัน ยอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง เราจะทะเลาะกันไหม (ไม่) เเล้วความคิดที่เราจะเพ่งร้ายใครมีไหม (ไม่มี) เราจะมองเเต่ว่าเรายังไม่ดีพอ เราคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเพ่งออกหรือเพ่งเข้า (เพ่งออก) ว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเรา) ถ้าเราอยากเปลี่ยนเเปลงให้โลกนี้สงบเย็น เราต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ถ้าเราสุขอยู่ที่ไหนก็สุขเเต่ถ้าเราทุกข์มีปัญหาในใจ ไม่ยอม ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่แพ้ ไม่ผิด ไม่เอา มันทุกข์ พอเราทุกข์เราก็อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าฉันโกรธฉันเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเราไม่เพ่งโทษไม่กล่าวโทษคนอื่น เราเเปรเปลี่ยนหัวใจเราเป็นเข้าใจเขาให้มากๆ เห็นใจเขาให้มากๆ อภัยเขาให้เยอะๆ เเละยอมรับความจริงเขาให้ได้มาก แบบที่ชีวิตนี้ไม่เคยยอมใครมากขนาดนี้ เเต่วันนี้ก็ต้องยอม เพราะด่าไปก็เหนื่อยทุกข์ไปก็เจ็บ ด่าไปก็ปวดใจ
การเข้าใจลดการทะเลาะวิวาท การเห็นใจลดการเเก่งเเย่งชิงดี การให้อภัยลดการทำร้ายจองเวรเคียดเเค้นชิงชัง เเละการกล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เราสงบเย็นสบาย เเต่ทำไมไม่มีใครทำ เอาเเต่ถามว่าทำไมเขาไม่เป็นมากกว่านี้ ทำไมเขาไม่ดีกว่านี้ ทำไมชีวิตต้องได้แบบนี้ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนกับว่า ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ เราห้ามอะไรได้ไหม (ไม่ได้) เราหยุดยั้งปากคนได้ไหม (ไม่ได้) เราเปลี่ยนโลกได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเราเปลี่ยนโลกเปลี่ยนคนไม่ได้ เราเปลี่ยนอะไรได้ (เปลี่ยนตัวเราเอง)
รู้แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีใครทำเลย ต้องรอทุกข์จนถึงที่สุด ต้องรอเจ็บจนเจียนตายแล้วบอกว่า เธอช่วยฉันหน่อยสิ พระจ๋าช่วยหนูหน่อยสิ ศิษย์น้องเอ๋ยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่ศรัทธาในปัญญาของตน แล้วเอาชีวิตของตนไปฝากไว้กับพระพุทธะ ใครจะช่วยเปลี่ยนใจเราได้ จริงไหม (จริง) กราบไหว้พระแต่ใจยังจมอยู่กับความคิดมันก็ไม่มีประโยชน์นะ เปิดใจกว้างจนถึงที่สุด จนไม่มีขอบเขต แล้วศิษย์น้องจะรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครเห็นแก่ตัว ในโลกนี้ไม่มีใครแล้งน้ำใจ เพราะเรากว้าง ใครไม่กว้างหนูจะกว้าง เขาไม่ใจดีหนูจะใจดี เอาให้ถึงที่สุดที่ชีวิตหนึ่งจะประเสริฐสุดได้ ที่ชีวิตหนึ่งจะดีได้ แล้วเราจะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่มีใครที่เกิน เลย ขาด หรือแย่เลย ทุกคนดีไปหมด เพราะเขาเป็นแบบนี้เราก็ต้องยิ่งดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมไม่เอา พอถึงเวลาเขาไม่ดี เราก็ไม่ดีด้วย เขาแย่ก็แย่ด้วย ตามกันไปเป็นขบวน ใช่ไหม
ฉะนั้นอย่าดูถูกปัญญาอันประเสริฐ อย่าดูแคลนความศรัทธาในความดีของตน เรารักในความดี เราชอบในความดี แล้วเราก็ศรัทธาคนที่ดี แล้วบอกตัวเองว่าทำไมเราไม่เป็นสักที ใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากัน พอถึงพรุ่งนี้ก็มะรืนต่ออีก น่าเสียดายนะ เพราะชีวิตมันล่วงเลยไป ยิ่งผ่านไปเท่าไรคุณค่าของเราก็มีได้แค่นั้น ทั้งที่จริงแล้วมันมีได้มากที่สุด กว้างที่สุด ใหญ่ที่สุด แต่ทำไมขอแค่นี้ก็พอ
การเรียนรู้ธรรมและการศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่เราสามารถปฏิบัติได้ในทุกขณะทุกเวลา และทุกขณะที่เรามีชีวิตและดำรงตนอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) ดั่งที่มนุษย์ชอบบอกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน ปฏิบัติเป็นทาน ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราเคยทำตัวเราให้มีธรรมะไหม ให้แต่กิเลสให้แต่อารมณ์ ให้แต่นิสัยความเป็นตัวเองให้เขาเห็น อย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราปฏิบัติได้แค่ตอนอยู่ในวัด แต่กับคนเราปฏิบัติดีต่อกันไม่เป็น อย่างนี้ไม่ถูก
ปฏิบัติได้ที่แท้จริงคือ กับใครเราก็ให้ไม่เจาะจง บุญที่ไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบุญที่สามารถยกระดับใจ ให้เราโปร่ง ให้เราโล่ง ให้สบาย นั่นก็คือ บุญอันประเสริฐ แต่ถ้าบุญทำแล้วหลงยึดติดนั่นก็แปลว่า เดินผิดทาง ใช่ไหม (ใช่) ใจเราไม่ใช่ถังขยะนะศิษย์น้อง ที่เอาแต่เก็บสิ่งเน่าเหม็น ใจเราเหมือนท้องฟ้ากว้างและสายลมเย็น ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่มีไว้เพื่อแบกทุกข์แล้วก็เจ็บปวดกับความทุกข์ แต่ชีวิตมีไว้เพื่อเรียนรู้เข้าใจทุกข์ และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดั่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดบ่อยๆ ทุกข์มาให้เราแค่รู้ แค่เป็น แค่เห็น แต่ไม่เอาทุกข์ แต่มนุษย์เห็นแล้วก็เอาแล้วก็ทุกข์กับมันใช่ไหม (ใช่) น่าเสียดายนะเพราะสิ่งที่ท่านกราบไหว้นับถือคือ พระพุทธองค์ ท่านกลับเอาทุกข์มาเป็น บันไดก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธะ เเต่มนุษย์เอาทุกข์ทำให้ตัวเองจมเเล้วก็เวียนว่ายในวัฏฏะ ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ฉะนั้นเรามาเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติง่ายๆ ที่จะทำให้เราทุกข์น้อยลงก่อนดีไหม (ดี) ส่วนใหญ่เรามักทุกข์เพราะว่าเรื่องราวในโลกไม่เป็นดั่งใจใช่ไหม (ใช่) ถ้าเป็นดั่งใจเรียกว่า (สุข) ถ้าไม่เป็นดั่งใจเรียกว่า (ทุกข์) เเล้วถ้าใจไม่มีดั่งอะไรเลย (ว่างเปล่า) เเล้วอะไรจะทำให้เราสุข (ไม่มี) เเล้วอะไรจะทำให้เราทุกข์ (ไม่มี) เราจึงเดินเข้าสู่ความสงบเย็นเลยใช่ไหม (ใช่) เเต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่ มีความคาดหวังมีความยึดติด ต้องเป็นแบบนี้ถึงจะสุข ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทุกข์ ถ้าไม่เป็นดั่งที่เราหวังเราไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้) สมมติว่าเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง เขาน่าจะชมเราเเต่เขาก็เอาเเต่ด่าเราทิ่มแทงเราให้เจ็บปวดช้ำใจ เป็นแบบนี้เราจะทำอย่างไร (ก็ช่างเขา) ศิษย์น้องอย่าลืมใช้ปัญญา ลืมไปแล้วหรือ ในร้ายมีดี ในดีก็อาจมีร้าย เเล้วสิ่งที่เรามองว่าร้าย จริงๆ เเล้วไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการโดนด่าบ้างก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งว่า “เขาคิดแบบนี้ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะคิดด่าเราได้ขนาดนี้” เคยไหมเราทำอะไรอย่างหนึ่งเเล้วเราไม่ได้คิดเลยว่าอยากจะได้หน้า อยากได้คนชม เเต่อยู่ๆ เขาก็ว่าเราอยากได้หน้าใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นในเรื่องร้ายๆ มันก็มีดี ในเรื่องดีบางทีก็มีร้าย เมื่อเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ปักใจคาดหวัง จะมีอะไรทำให้เราทุกข์และอะไรจะทำให้เราหลงระเริงสุข มันก็ไม่มี ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมาเราก็สบาย ถึงเวลาเราเป็นอย่างนั้นไหม ศิษย์น้องก็อาจจะบอกว่า “ศิษย์พี่ คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องดีต่อกันสิ พูดก็ต้องพูดดี ทำต่อกันก็ต้องทำดี แต่ทำไมเขาทำแบบนี้” ใช่ไหม (ใช่) เรารักดีเราหวังดีได้ แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีกับฉัน (ไม่) ศิษย์น้องก็รู้ใช่ไหม แล้วทำไมพอเขาทำไม่ดีกับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจึงโกรธเขา เราหวังดีนั้นดี เราปรารถนาดีนั้นดี แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะต้องดีกับฉัน ห้ามทำไม่ดีกับฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ถ้าเขาทำไม่ดี เขาผิดไหมที่เขาทำไม่ดี (ไม่ผิด) สมควรด่าไหม (ไม่ควร) แล้วสมควรส่งต่อประจานไหม (ไม่ควร) เห็นศิษย์น้องทำหมดทุกทางเลย ต้องให้โลกรู้ต้องให้สังคมรู้ ให้เขาไม่มีที่ยืนเลย ใจร้ายไปใช่ไหม (ใช่) เขาทำไม่ดีแค่ในสายตาเรา แต่ในสายตาคนอื่น เขาอาจจะดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และอีกอย่างทุกคนมีเหตุผลที่จะทำผิดได้ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเขาไม่ดีหรือความยึดมั่นถือมั่นที่เราไม่ชอบความไม่ดีแบบนี้ มันไม่ดีกันแน่
ใจเราไม่วาง ยึดติดว่าฉันไม่ชอบคนประเภทนี้ ฉันชอบแบบนี้ คนประเภทนี้ไม่ชอบ ถ้าเราไม่มี เราจะมีใครที่เราเกลียดไหม (ไม่มี) ถ้าไม่มีความคิดที่ยึดติดว่า “ฉันไม่ชอบลักษณะนี้ ฉันไม่ชอบคนแบบนี้ ฉันไม่ชอบคนประจบ ฉันไม่ชอบคนหน้าอย่างหลังอย่าง ฉันไม่ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยว ฉันไม่ชอบคนดีแต่พูดแต่ไม่รู้จักทำ ฉันไม่ชอบคนเช่นนี้ขี้บ่นไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น” ถ้าเราไม่มีแบบนี้ เมื่อเจอเราจะทุกข์ไหม (ไม่) ถ้าอยากไม่ทุกข์ควรจัดการที่เขาหรือเรา (เรา) และเอาวิธีแก้ทางกายมาใช้กับใจมันได้หรือ ยุบหนอพองหนอสงบหนอทำใจหนอ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจจัดการ อย่าเอากายไปข่มใจ แต่ต้องเปิดใจและรับความจริง เพราะไม่ชอบ เพราะเรารับไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากเอา ใช่ไหม (ใช่) แต่เมื่อเราเรียนรู้ธรรมอะไรเราก็ต้องรู้ รู้แล้ววางจบ สงบ แต่ถ้ารู้แล้วยึดมันก็เป็นกรรม อยากสงบหรืออยากมีกรรม (สงบ) ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องยึดมันทุกเรื่องเลย มันก็เลยเป็นกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อหมดเวรหมดกรรม หรืออยู่เพื่อสร้างกรรม ถามตัวศิษย์น้องนะ ถ้าเราเรียนรู้หลักธรรม และรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันพร้อมเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ที่แท้จริงคือฝึกรู้ใจ ไม่ใช่ไปรู้ใคร ฝึกรู้เท่าทันใจ ศาสนาพุทธสอนให้เป็นผู้รู้ รู้แล้วตื่น ตื่นแล้วเบิกบาน แต่เรารู้เราไม่ตื่นแล้วเราก็ทุกข์ทน จึงน่าเสียดายที่เดินผิดทางนะ
ศิษย์น้องหลายคน ชอบทุกข์และจมอยู่กับอดีต ศิษย์น้องรู้ไหม คนที่มีชีวิตแล้วจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต พระพุทธะเรียกคนที่จมอยู่กับความทุกข์ในอดีตว่า คนตายแล้ว เพราะคนตายแล้วเท่านั้นที่มีแต่อดีต แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แล้วตอนนี้ศิษย์น้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน) เอาแต่ทุกข์ เขาเคยด่าหนู เขาเคยว่าหนู เขาเคยทำหนูเจ็บ เกลียดเขา ศิษย์น้องก็คือคนที่ยอมตายทั้งเป็น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่า จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต แต่คนที่จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คือคนที่ยอมให้ตัวเองตายทั้งเป็น แล้วศิษย์พี่ก็หวังว่าศิษย์น้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่คนที่แอบตายแล้วจมอยู่กับอดีตที่ไม่ยอมก้าวข้ามความรู้สึกสักที เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับคนโน้น เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับอดีต ทำไมสามีไม่เห็นดีเหมือนเมื่อก่อนเลย ทำไมภรรยาไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อก่อนเลย ศิษย์น้องคือคนที่อยากจะตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นอยากมีสุขจงอยู่กับปัจจุบันเพราะปัจจุบันคือชีวิต และชีวิตก็มีแค่ปัจจุบัน ผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีอนาคตที่ถูกต้องที่สมแล้วกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ คุณค่ามันยิ่งใหญ่ จงศรัทธาในความดีอันนั้น และรักษาความดีนั้นเป็นทรัพย์ที่ยิ่งกว่าเงินทองใดๆ
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี) อย่างน้อยทำให้วันนี้เกิดปัญญา คิดได้ วางได้ ปลงได้ และเห็นทุกข์ชัดและไม่ทุกข์อีก แค่นี้ศิษย์พี่ก็ดีใจแล้ว มีโอกาสก็มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี) เราเป็นพี่น้องร่วมศึกษาธรรม เมื่อพูดถึงธรรมไม่มีแบ่งแยก พุทธ คริสต์ อิสลาม ธรรมก็คือธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกใบนี้ อย่าแบ่งแยกกันเพราะศาสนา แต่จงมองให้เห็นธรรม แล้วเอาธรรมนั้นมาทำให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง คิดต่างได้แต่เดินร่วมกันได้ ดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้ แต่เราเข้าใจกัน เห็นใจกัน เข้าใจกัน อภัยกัน ยอมกัน รับกันได้ นั่นแหละความสุขอยู่ตรงนี้ สงบก็อยู่ตรงนี้ ศิษย์น้องไม่ใช่ปรารถนาความสุขสงบหรือ แล้วสงบได้อย่างไรละ ก็ยอมจบ ถ้าไม่ยอมมันก็ไม่จบ พอจบแล้วมันก็สงบ แล้วมันก็เย็นใช่ไหม (ใช่) แต่หลายๆ เรื่องไม่ยอม ให้ไปเถอะ ให้ได้ก็ให้ไป ยอมได้ก็ยอมไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปจริงไหม (จริง) ดีกว่าผูกใจเจ็บจองเวรจองกรรมไม่สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที น่าเสียดายนะ แล้ววันหนึ่งศิษย์น้องจะเข้าใจว่า จิตที่เข้าถึงธรรม ทำให้เราพบพุทธะบนแดนดิน แล้วก็กลับคืนสู่ที่มาที่ศิษย์น้องเคยจากมา ดินแดนที่ไม่ต้องการใคร ไม่ต้องมีอะไร มันว่าง มันโล่ง ไม่มีตัวตนอยู่ตรงไหน เพราะมันคือความเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย ไม่แบ่งแยกเขา ไม่แบ่งแยกเรา ไม่มีใครดีกว่าเรา ไม่มีใครแย่กว่าเรา ทุกคนเท่ากันหมด นั่นคือโลกแห่งพระศรีอารย์ ทำได้ มิได้ อยู่ที่ใจเราเอง ยอมไหม (ยอม) ไปละ
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ตนเตือนตนรู้นำตนทรงคุณค่า ตนหลงตนลืมธรรมาน่าใจหาย
เป็นผู้ที่รักธรรมยิ่งจนวางวาย เป็นผู้ที่สละตนได้เพื่อผู้คน
ที่ไหนมีหลักธรรมาพร้อมบำเพ็ญ ที่นั้นย่อมร่มเย็นดั่งสายฝน
พึ่งพาตนเพื่อรู้ตนละวางตน พึ่งพาธรรมเพื่อรู้ตนแจ้งในธรรม
แห่งใดหรือที่สงบคนใฝ่หา แห่งนี้มีหลักธรรมามาชูค้ำ
ตนผู้ไม่พ่ายกิเลสพาระกำ ตนผู้มีหลักธรรมสติปัญญา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับบ้างไหม
ศีลไม่ขาดธรรมไม่พร่องรู้หน้าที่ ประพฤติดีปฏิบัติดีก้าวไม่ถอย
เมื่อพูดได้ต้องทำได้ไม่เลื่อนลอย รั้งรอชะรอยคิดมากจนไม่ได้ทำ
ความจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
ปลงให้ตกวางให้ได้แจ้งในธรรม ไม่สร้างกรรมเพราะโลภหลงโลกโลกีย์
แสวงได้แต่หาใช่ของเราจริง แค่ยืมใช้สักวันทิ้งคืนโลกนี้
โลกธรรมแปดอนิจจังหนอตรองชีวี บำเพ็ญฝึกหลักธรรมมีสติปัญญา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังฟุ้งซ่านอยู่ไหม ควบคุมอารมณ์กันได้หรือยัง ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตคนคือความเป็นตัวเอง ความเป็นตัวเองทำให้เรื่องราวในโลกใบนี้ดูวุ่นวาย ก็รู้อยู่นะว่าตัวปัญหาที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเองทั้งนั้น แต่พอถึงเวลาทำอะไรเลือกแต่ตัวเองเป็นหลัก ทำไมไม่วางตัวเองลงแล้วหันหลังมองตามความเป็นจริงแล้วยึดหลักธรรมมานำพาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าสำคัญตนผิด สำคัญเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ขาดฉันไม่ได้ เรามักจะคิดอะไรเข้าข้างตัวเอง มองตัวเองเป็นหลัก ใครไม่เห็นความสำคัญก็โกรธ ใครดูถูกความสำคัญก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีฉันโลกมันก็ยังคงหมุนต่อไป ไม่มีเรา โลกก็ยังคงต้องเป็นไปเหมือนเดิม ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดชีวิตนี้ของศิษย์สุขทุกข์ใครกำหนด ให้คนนั้นคนนี้กำหนดว่าแบบนี้ทุกข์ แบบนี้สุข หรือว่าเห็นโลกชัดยิ่งขึ้น มองออกยิ่งขึ้นว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครกำหนดได้ ใจเราก็กำหนดไม่ได้
แท้ที่จริงแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรสุขจริงและไม่มีอะไรทุกข์จริง แล้วเราเคยคิดได้แบบนั้นบ้างไหม ส่วนใหญ่คิดได้กันแค่สองแบบใช่ไหม (ใช่) ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตยังมีแบบที่สามอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนใหญ่เราจะปล่อยชีวิตไปตามที่คนโน้นกำหนดคนนี้กำหนด หรือบางทีเราไม่มองตัวเองเราเอาแต่โทษฟ้า ฟ้ากำหนดให้ชีวิตฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมฟ้าจึงทำกับฉันอย่างนี้ ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดมาชีวิตมีแค่นี้หรือ ทุกข์สุข ทุกข์สุข ทุกข์สุขจนตาย แล้วก็ทุกข์สุข แค่นั้นหรือ
ลึกๆ ในใจเราอยากหาความสงบ แล้วสงบอย่างไรที่ทำให้เราสงบได้เเล้ววางลงได้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ทรมานกลัดกลุ้ม ไม่รู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง เเละมีอิสระได้อย่างเเท้จริง โดยที่ไม่รู้สึกว่าเราทำดีเเล้วหรือยัง ฉันพอแล้วหรือยัง ใช่ไหม (ใช่) นั่นคือสิ่งลึกๆ ที่ศิษย์แสวงหา เเล้วทำไมศิษย์ไม่เคยหันกลับไปมอง แต่ศิษย์กลับหนี เมื่อนิ่งได้สักพัก ศิษย์ก็ไปหาเรื่องวุ่น สงบได้ไม่ถึงนาที อิสระได้ไม่ถึงห้านาที ก็หาเรื่องไปเกี่ยวให้วุ่นวายอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศิษย์จะศึกษาธรรมกับอาจารย์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ใจของศิษย์อยากให้คนกำหนดชีวิตหรือว่าชีวิตกำหนดตัวเรา หรือเป็นชีวิตที่มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต (มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต) ไม่ใช่เป็นแบบเดิม ถ้าศิษย์อยากมองเห็นชีวิตมากกว่าชีวิต อาจารย์จะได้ไปต่อ หากศิษย์อยากวนอยู่ในสุขทุกข์ก็ไม่พูดต่อ เพราะถ้ากลับไปทำเหมือนเดิมก็คือเหมือนเดิม วันนี้ศิษย์มาหาอาจารย์ก็น่าจะมีอะไรเพิ่มเติมและดียิ่งขึ้น ที่เรียกว่าคุณค่าชีวิตที่นำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หนทางเเห่งความเป็นพระพุทธะโดยเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนบำเพ็ญ”
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
ตามจริยมารยาทอันดี เข้าบ้านคนอื่นก็ต้องแนะนำตัว และบอกวัตถุประสงค์ที่มา วัตถุประสงค์ที่อาจารย์มานั้นชัดเจน คือไม่ได้มาขอสตางค์ ไม่ได้มาเรี่ยไร ไม่ได้มารักษาโรค แต่มาสนทนาธรรมเพื่อนำทางชีวิตให้พบความพ้นทุกข์ และก้าวไปสู่หนทางการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะบนแดนโลก แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกอาจารย์ว่า มันไกลเกินเอื้อมไปหน่อย แต่ศิษย์เอ๋ย ไม่ลองก้าวแล้วจะรู้หรือว่าทำได้หรือทำไม่ได้ เอาแต่ปฏิเสธเราจะไม่เป็นคนเสียโอกาสหรอกหรือ ลองดูไม่เสียหายอะไรนี่ ใช่ไหม (ใช่)
ที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ก็คือ หมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ และการหมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ นี้จะทำให้เราเห็นแจ้งความจริง และไม่จมอยู่กับทุกข์สุขที่มนุษย์ยึดติดและกำหนดกันในโลกใบนี้ แล้วธรรมอะไรที่เราจะพิจารณาเนืองๆ แล้วทำให้เราไม่หลงในสุขทุกข์บนโลกใบนี้ ตอบได้จะได้นั่ง ถ้าตอบไม่ได้ให้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม (ดี) ถึงจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดทุกข์สุขของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ขอถามว่า ถ้าเกิดอย่างนี้เราจะทำอย่างไรที่จะสามารถมองเห็นเข้าไปได้ชัด จนทำให้เรารู้สึกว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่มีสุขจริงและไม่มีทุกข์แท้ นั่นก็คือการต้องหวนกลับมาพิจารณาธรรม และธรรมนั้นก่อให้เกิดปัญญามองเห็นความจริงจนแจ่มแจ้ง แล้วลวงเราไม่ได้อีกต่อไป
โดยส่วนใหญ่ มนุษย์จะพูดว่า ก็พึงตั้งตนไม่ให้ประมาท หรือที่เมื่อวานพระนาจาพูดว่า อย่าคิดว่าตัวเองรู้ เพราะจริงๆ แล้วยังไม่รู้
อย่างนั้นพิจารณาธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นและเข้าใจความเป็นจริงของโลก และไม่ถูกโลกกำหนดให้เวียนไปทุกข์เวียนไปสุขอีกต่อไป (อริยสัจ 4) ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราเห็นทุกข์อยู่ทุกวัน เราก็เลยมองมันเป็นโลกแห่งความทุกข์ตลอดใช่ไหม แต่มันก็ยังไม่ทำให้เราเห็นแจ้งถึงขนาดไม่ทุกข์อีก แล้วก็ไม่หลงในสุขอีก เพราะเรายังเห็นไม่ชัด แปลว่าธรรมนั้นยังไม่ถูกกับกรณี สิ่งที่ถูกกับกรณีแล้วรักษาได้ทุกโรคและทำให้เราไม่เจ็บช้ำ ไม่เวียนทุกข์เวียนสุขอีกคืออะไร
(มรรค 8) คิดชอบ ดำริชอบ การกระทำชอบ ใช่ไหม (ใช่) เราก็พยายามคิดดีตลอด ปฏิบัติดีตลอด พูดดีตลอดแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม คิดออกไหม
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ถูกต้องศิษย์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โลกนี้ทุกสรรพสิ่งไม่ว่ารูป นาม หนีไม่พ้นความจริงนี้ เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในสุขไหม (ไม่) เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในทุกข์ไหม (ไม่) เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นทุกข์ เราควรหรือที่จะ ยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเองไหม (ไม่) และเมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง ถึงที่สุดมันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เราควรหรือที่จะปักใจว่าคนนี้ชั่ว คนนี้ดี ใช่ไหม
ถ้าทุกขณะจิต ศิษย์พิจารณาเนืองๆ โลภไม่มี โกรธไม่มี หลงก็ไม่มี เพราะจะโกรธอะไรมันไม่เที่ยง จะหลงอะไรมันไม่แน่ จะโลภอะไร โกรธอะไรหลงอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไรจริงสักอย่างในโลกใบนี้ ธรรมะจึงสอนว่าจงมีสติ แล้วรู้เท่าทันกับความจริงอยู่ทุกขณะ เมื่อไรที่ศิษย์สามารถดำรงจิตให้ตรงต่อหลักสัจธรรม ทุกข์สุขไม่มี ความเป็นกลางจะบังเกิด บาปกรรมจะมลายหายสิ้น (สาธุ) อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็น ไม่ใช่ให้มาสาธุกับอาจารย์แค่นั้น
ตัวเรามีความเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา ระหว่างเรามีดีกว่ามีแย่กว่า แต่เราทุกข์เพราะเรามองเห็นแค่เวลานี้ แต่ถ้าเราเปิดใจกว้าง ยังมีอีกหลายเวลา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราโดนเขาด่าแค่เวลานี้ แต่เวลาอื่นไม่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันคือคนที่มีชีวิต เห็นไหมหลักธรรมสอดคล้องกันหมด ถ้าศิษย์มอง ก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นกลางเสมอ แล้วเราก็อยู่ระหว่างกลางอยู่ทุกขณะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลางและซื่อตรงต่อความจริงสักที ถ้าศิษย์ซื่อตรงต่อหลักสัจธรรมความจริง ทุกข์สุขไม่มี เมื่อทุกข์สุขไม่มี ใจเราก็เป็นกลาง พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “บำเพ็ญธรรมให้เดินสายกลาง” เมื่อเราเป็นกลางแล้ว บาปกรรมมันก็ไม่เกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันถูกตัดทิ้งทันที ที่เหลือของชีวิตคือใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ขอแค่ศิษย์ไม่ไปยุ่งเรื่องของใคร ยุ่งเรื่องใจตัวเอง ไม่ต้องหวังให้ใครมาดูแล ไม่ต้องหวังให้ใครมาปลดทุกข์ ปลดด้วยตัวเอง ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
วางใจเป็นกลางแล้วอะไรก็ดีทั้งนั้น มันไม่มีอะไรดีร้ายจริงหรอก อย่าปล่อยให้ใจมันยึดติดกับความจำได้หมายรู้เก่าๆ แล้วทำให้เรามัวแต่แบ่งแยกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี เราก็จะหนีไม่พ้นกรรมจริงไหม (จริง)
นั่งหรือยืนดี (นั่งก็ดี ยืนก็ดี) ค่อยชื่นใจหน่อยมีคนตอบให้อาจารย์ภูมิใจ จำไว้นะ เมื่อไรที่จิตใฝ่จะยึดถือสิ่งใด เมื่อนั้นศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปรอรับผลของมัน ถ้าอะไรเราก็ไม่ยึดไม่กำหนด อะไรก็ได้ เราจะต้องมีกรรมไปรองรับอีกไหม (ไม่) แต่ความเป็นคนที่ยึดว่าอันนี้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นไม่ได้ต้องเป็นอย่างโน้น เราก็เลยหนีวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างไม่เคยพ้นสักที เราเกิดมาตัวเปล่าไม่ใช่หรือ (ใช่) เเล้วถึงที่สุดก็บอกว่าอันนี้เป็นของเรา ถึงเวลาใช่ของเราไหม (ไม่ใช่) เราเเค่กำลังยืมธรรมชาติมาใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนกลับไป เเต่ทำไมมาผูกใจเจ็บเเล้วจองเวรจองกรรม (เขาแกล้งเรา เขาโกงเรา) ถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องต่อกันก็ไม่ต้องมาเจอกัน
(มีนักเรียนในชั้นท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวที่อึดอัดในใจ) ไม่เป็นไรรู้ว่าศิษย์อึดอัดเก็บเต็มใจไปหมด ชีวิตกว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมายืนตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหม (ใช่ แปดสิบแล้ว) เเล้วจะแบกต่ออีกทำไม (ต้องสู้) แล้วจะแบกสิ่งที่ผ่านไปแล้วทำไม (ไม่แบก) อย่างนั้นก็ยิ้มสู้
อาจารย์รู้ทุกคนมีเรื่องราวมากมายในชีวิต มีความทุกข์มากมาย ถ้าอาจารย์ย้อนกลับไปได้ จะย้อนถามว่า เเล้วตอนนั้นที่ว่างๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียวสบายๆ ทำไมไม่เอา แล้วตอนนี้ไปเกี่ยวไปยุ่งมาแล้ว แล้วมาบอกว่าทุกข์มากเลย อาจารย์จึงบอกแต่ต้น ชีวิตศิษย์กำลังให้ใครกำหนด กำหนดเองหรือมองให้ชัดแล้วจะได้ไม่มีอะไรมากำหนดใจหรือมาบีบใจศิษย์ได้อีกต่อไป (มองให้ชัดแล้วไม่มีอะไรมาบีบใจอีกต่อไป) เราอยากให้ใครมาบีบใจเราเล่นไหม (ไม่) อย่างนั้นก็อย่าเผลอยกใจให้ใคร ในเมื่อลึกๆ แล้วอยากเป็นสุขอยากอิสระ แต่ถึงเวลาอิสระไหม (ไม่) หาเรื่องทุกทีใช่ไหม (ใช่) ถ้าถอยกลับได้ถอยแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แล้วที่อาจารย์บอกว่า ไม่มีน่ะดีแล้ว ไม่เคยเชื่อสักราย ใช่ไหม (ใช่) หาเหาใส่หัวก็ต้องรับเหาแล้วก็เกาไปเถอะนะศิษย์เอ๋ย ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ่งมันก็ยิ่งเกา เกาต่อไปแล้วเป็นอย่างไร ขี้กลากก็ขึ้นหัว แล้วใครยอมหัวล้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ จะทำอย่างที่อาจารย์บอกนี้ก็ดูน่าจะทำได้ใช่ไหม (ใช่) ยากไหม (ไม่ยาก) เราเริ่มมาดูกันง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ เมื่อสักครู่อาจารย์ขมวดปมจนถึงสุดท้ายแล้วจบให้ศิษย์เห็นแล้ว แต่เรามาเริ่มดูตั้งแต่แรกก่อน ว่าต้นเหตุและความเป็นมาที่ทำให้เราไปขมวดจนกลายเป็นแบบนี้ มันมาจากไหน เริ่มต้นแรกๆ ก็คือ เราไม่เคยมองเห็นโลกตามจริง เราไม่เคยมองเห็นโลกชัด ในทุกลักษณะที่เราเห็น แท้จริงแล้วยังมีลักษณะจริงซ่อนอยู่เสมอ และสิ่งที่เราเห็นมักจะเป็นลักษณะที่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน ถ้าเราหมั่นพิจารณาเรื่อยๆ นึกถึงหลักสัจธรรมว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะใหลหลงและยึดมั่นถือมั่น (ไม่ควร)
เจอเงินห้าร้อย เอาไหม (เอา, ไม่เอา) ไม่เคยพิจารณาเลย อุตส่าห์พูดไปนะศิษย์เอ๋ย อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ เรารู้ดี เรารู้ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่เราห้ามไม่ได้ คือต่อมความอยาก ต่อมนี้ถ้ามันทำงานแล้วมันจะอยากลึกๆ ใช่ไหม (ใช่) ที่มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถหยุดความอยาก หยุดตัณหา หยุดกิเลสในใจได้ เห็นทุกข์เป็นสุขก็เพราะยังมีใจที่นอนเนื่องไปด้วยกิเลสตัณหา ใช่ไหม
มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ เพราะมนุษย์หนีไม่พ้นความอยาก รับไม่ได้กับความไม่มี ต้องมี ต้องได้ ก็เลยทำให้ศิษย์ต้องเริ่มวุ่นวายแสวงหา แต่ถ้าอาจารย์ถามว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราหา สามารถเป็นของๆ เราได้ไหม ถึงที่สุดเราต้องกลับไปสู่ความว่าง คือไม่มีเหมือนเดิม ถ้าเราไม่ลืมว่าใจเราลึกๆ อยากหาความว่าง ความอยากจะครอบงำเราได้ไหม กิเลสจะชักนำเราได้ไหม (ไม่ได้) ในเมื่อเรารู้อยู่เต็มอกว่า ถึงที่สุดก็ต้องวางทิ้งไว้ กลับสู่ความว่างเปล่า แต่เราสนใจกันไหม อาจารย์จะบอกนะศิษย์ ห่วงผูกแล้วมันตัดยากนะ กรรมเมื่อสร้างแล้ว มันสิ้นกรรมไม่ได้ คนที่จะปลดกรรมได้มีแต่ตัวศิษย์เองเท่านั้น เมื่อศิษย์ป่วยหนัก สังขารจะไม่ไหวแล้ว ไปทำงานไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังห่วงงาน แล้วความห่วงนี้ ถ้าตายไปพร้อมกับความห่วง จิตก็หนีไม่พ้นการกลับมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วเสวยผลกรรมที่ศิษย์ยังห่วงอยู่ แล้วตอนนั้นแก้ทันไหม (ไม่ทัน) ฉะนั้นถ้าหันกลับมาเราจึงพบฝั่งธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยหันกลับมามอง มุ่งหน้าอย่างเดียวว่า อยาก อยาก แล้วก็อยาก
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุด ระมัดระวังความอยากไม่ทำให้ก่อเกิดกรรมชั่ว อยากอะไรก็ได้แต่ความอยากนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดเป็นกรรมชั่วที่ต้องมาเบียดเบียดและทำให้เราต้องมาเวียนว่ายไม่จบสิ้น หนทางที่จะตัดกรรมชั่วและบาปที่ดีที่สุดนั่นคือ หยุดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หยุดตำหนิคนอื่น และหยุดเพ่งมองคนอื่นไม่ดี หันกลับมาตรวจสอบตน เพราะทางมาแห่งบาปทั้งมวลล้วนเริ่มต้นมาจากการจ้องจับผิด คิดตำหนิ มองแง่ร้าย ใจเป็นอย่างไรก็เห็นคนเป็นอย่างนั้น ใจชั่วก็เลยเห็นคนชั่ว ใจดีก็เลยเห็นคนดี ใช่ไหม หรืออีกอย่างหนึ่งคือ ดูแลกายแล้วก็ต้องกลับมาดูแลใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสำคัญที่ใจ ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ก็เลยบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะพยายามทำดีเยอะๆ ทำบุญมากๆ เพื่อจะได้ลดบาปที่ศิษย์สร้าง ใช่ไหม (ไม่ใช่) บุญบาปมันคนละส่วนกันใช่ไหม (ใช่) แต่มือหนึ่งก็ทำบุญ อีกมือหนึ่งก็สร้างบาปถูกไหม (ถูก) อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีไหมศิษย์ มือหนึ่งไม่สร้างบาป มือหนึ่งเพียรพยายามทำบุญ ดีไหม (ดี) ศิษย์พยายามทำดีแต่นิสัยที่ไม่ดีก็ไม่แก้ ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดเลย ใช่ไหม (ใช่) หนูเป็นคนดี หนูทำบุญตั้งเยอะ ทำไมหนูไม่ดีล่ะ ก็ศิษย์ไม่เคยแก้นิสัยไม่ดีเลย ปากเราว่าเราชอบทำบุญแต่อีกปากหนึ่งเราก็เผลอนินทา มือหนึ่งเราก็บอกว่าเราใจดีมีเมตตาแต่อีกมือหนึ่งเราก็เผลอแอบอิจฉาริษยา ถูกไหม (ถูก) ใจหนึ่งเราก็บอกว่าให้แต่อีกใจหนึ่งเราก็อยากได้ เอาหน่อย เอาก่อน เดี๋ยวค่อยให้ทีหลัง เอามาเยอะๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกไหม (ถูก) เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)
พุทธะจึงสอนไว้ว่า จิตใจเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากและละเอียดอ่อน แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือชอบใฝ่ไปตามอารมณ์ที่ตัวเองปรารถนา ที่ตัวเองใคร่อยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามควบคุมใจตัวเอง ไม่ไปหวังควบคุมคนอื่น การรู้จักควบคุมใจตัวเองจะนำพาให้ชีวิตพบความสงบสุขที่แท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก) แต่ก่อนเอาแต่ว่าคนอื่น ให้คนอื่นดีแล้วเดี๋ยวตัวเองค่อยดี ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราอยากเป็นคนดีที่แท้จริงที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วรับผลกรรมอีกต่อไปไหม (อยาก)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)
จะเอาแอปเปิลแห่งความสุขหรือแอปเปิลแห่งความทุกข์ (แอปเปิลตามธรรมชาติ) แอปเปิลมีธรรมชาติของมันอยู่แล้ว สุขทุกข์อาจารย์กำหนดไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำสิ่งใด อย่างนั้นเอาแอปเปิลแห่งความทุกข์ไปดีไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ พบทุกข์จึงพบธรรม เเละบางทีพบสุขอาจจะหลงสร้างเวรกรรม
เอาสุขไปดีไหม (ไม่ดี) อาจารย์บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่า ไม่ใช่อาจารย์เป็นคนกำหนด อาจารย์ก็แค่พูดไปเรื่อยๆ ถ้าถือสายึดมั่นถือมั่นก็สร้างวิบากกรรม แต่ถ้าไม่ถือสาไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็แค่แอปเปิลธรรมดาลูกหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเวลาเราคิดดี เรียกว่าสวรรค์เกิด เมื่อเราคิดชั่ว เรียกว่านรกอุบัติ ใช่ไหม (ใช่) เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบุญ สวรรค์จึงบังเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบาป นรกจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางดี ความสุขจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางชั่ว กรรมจึงก่อเกิด ฉะนั้นกรรมหรือการกระทำจะดีหรือจะชั่ว มันอยู่ที่ชั่วขณะจิตเราคิดว่า เรายึดสิ่งใดใช่ไหม (ใช่) ถ้ายึดในสิ่งที่เป็นเรื่องบุญมันก็กลายเป็นสวรรค์ ถ้ายึดแล้วทำชั่วมันเป็นบาปก็กลายเป็น (นรก) จิตของมนุษย์ง่ายที่จะไหวไปตามสิ่งที่กระทบ และก็ถูกกำหนดด้วยจิตของตัวเองว่า สิ่งที่กระทบนี้มันจะเรียกว่าบุญหรือเรียกว่าบาป จะเรียกว่าทุกข์หรือเรียกว่าสุขก็ขึ้นอยู่กับใจเรายึดติดเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
กรรมคือผลของการกระทำ แล้วถ้าผลของการกระทำนั้น ก่อเกิดเป็นการเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เราต้องทำแล้วทำอีก จึงกลายเป็นวิบากกรรมและ กงเกวียนกำเกวียน ถ้าหากว่าสิ่งที่อาจารย์ทำนี้ อาจารย์มีใจที่ยึดติดว่าเป็นแบบนี้ที่เรียกว่าดี เมื่อหันไปทางดีก็เรียกว่า กรรมดี เมื่อหันไปทางไม่ดีก็เรียกว่ากรรมชั่ว ถูกไหม (ถูก) ถ้าในใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชั่ว (คือความว่างเปล่า) ฉะนั้นที่เขาดีหรือชั่วเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา) ใจเรากำหนดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่) ที่ทำให้เราทุกข์หรือสุขเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา) สามียิ้มเมื่อไรเราจะสุขมากไหม สามีด่าเมื่อไรเราจะทุกข์ไหม ถ้าเราไม่กำหนดในใจเรา อะไรเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันเป็นอกรรม คือกรรมที่ไม่เกิดวิบากกรรมที่ต้องไปรับผลต่อ แล้วถ้าสุขมันจะรับผลต่ออย่างไร เวลาสุขแล้วอยากอีกไหม (อยาก) สามียิ้มหนึ่งครั้ง อยากให้สามียิ้มอีกไหม (อยาก) มันเป็นวิบากกรรมไหมล่ะ (เป็น) สามีด่าเราหนึ่งครั้ง เราอยากให้เขาด่าอีกไหม (ไม่) แล้วมันเป็นวิบากกรรมไหม ทำไมต้องด่าฉันล่ะ มาคุยกันก่อน เรื่องมันไม่จบแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่ศิษย์หลงยึดมั่น ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเสวยรับ เหมือนวันนี้ถ้าศิษย์กินแอปเปิลแล้วหวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด) เพราะอยากกินอีก แล้วถ้าไม่หวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด) ใครไปซื้อมานี่โง่จริงๆ เลย เปรี้ยวก็เปรี้ยว เกิดวิบากกรรมแถมยังไปว่าเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แม่ค้าโกหก ขายก็แพง เกิดการจองเวรจองกรรม ถ้าผ่านร้านเมื่อไรจะกลับไปว่าให้เจ็บเลย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าในใจศิษย์ไม่ยึด มันจะมีกรรมให้เราต้องเวียนไปไหม (ไม่) มันก็แค่นั้นนะ มันก็จบนะ แล้วเมื่อมันจบแล้วจะต่อไหม (ไม่) เป็นการดำรงชีวิตเพื่อชีวิตแค่ชีวิต แต่ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรกับชีวิตมากไปกว่านี้แล้ว เพราะเห็นชัดอยู่ทุกขณะว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า จะเอาอะไร โกรธอะไร แค้นอะไร กรรมก็เลยไม่ปรุงแต่งให้เราดีร้ายอีกต่อไป เรียกว่าเราพ้นยมทูตอย่างแท้จริง ยมทูตมาทำอะไรเราไม่ได้ นรกหรือสวรรค์ก็มาพลิกใจเราไม่ได้ เพราะเราเข้าใจแล้ว นรกน่ากลัวแค่ไหนฉันก็ไม่คิดใฝ่หา สวรรค์ดีเลิศอย่างไรฉันก็ไม่คิดยึดมั่นถือมั่น เพราะชีวิตนี้ฉันขอความเป็นกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำดีก็หลงยึดถือว่าต้องรับผลดี ทำชั่วก็พยายามหลีกหนีไม่ยอมสำนึกผิด น่าเสียดายยิ่งนัก
หมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้วศิษย์จะได้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถามว่า พอพิจารณาให้เที่ยงๆ แล้ว อาจารย์บอกศิษย์ว่าไม่ต้องทำงานหาเงินเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) เงินก็ยังต้องหาอยู่ แล้วจะหาอย่างไรที่จะทำให้หาแล้วไม่โลภไม่หลง แล้วไม่สร้างบาปเวรกรรม
(ทำอาชีพที่สุจริต) ทำอาชีพที่สุจริตจะทำให้เราไม่โลภไม่หลงใช่ไหม วิธีที่ดีที่สุดคืออะไรรู้ไหม การขายไม่ใช่ขายเพื่อแลกเงิน แต่ให้การขายเป็นการสร้างบุญได้อีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องการนำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ให้เขาได้รับรู้ ขายแบบนี้เป็นขายแล้วได้บุญ ใช่ไหม (ใช่) ต้องไม่โกหกเขานะ ถ้าดีก็ต้องบอกว่าดี ไม่ดีก็ต้องบอกว่าไม่ดี นั่นเรียกว่าค้าขายไปแล้ว เราได้สร้างบุญ ทำให้เขาได้ร่วมบุญกับเรา
เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นการแสวงหาที่ไม่ก่อเกิดโลภ ไม่ก่อเกิดกิเลส และไม่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อเราทำจนเต็มกำลังเต็มความสามารถ โดนด่าก็ไม่โกรธ โดนคนเลื่อยขาเก้าอี้ก็ไม่แช่งชัก โดนกดตำแหน่งทำให้เราไม่ก้าวหน้าก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ นี่จึงเรียกว่าทำจนถึงที่สุดแล้วเราก็ละวาง ยอมรับความจริง ทำให้ได้นะ
(ขายบ้าง แจกบ้าง เผื่อแผ่สำหรับคนที่ไม่มีบ้าง) วันนี้ตั้งใจจะขายเท่านี้ และก็มีแจกเท่านี้ ทำได้ไหม แต่มันยากนะ ขอขายก่อนเดี๋ยวเหลือแล้วค่อยแจก ความหมายมันไม่เหมือนกันนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอยให้ไปก่อนเถอะ สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ และสามารถพกพาไปทุกภพทุกชาติและใครก็แย่งไปไม่ได้คือบุญแห่งการอุทิศให้ เป็นบุญที่เราไม่ต้องใช้ทรัพย์อะไรเลย และมันจะตามติดผู้สร้างบุญนั้นไปไม่ว่าศิษย์จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เราก็สามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อเราทำได้ดีทำได้ถูกต้อง คนอื่นไม่เดือดร้อนเพราะเรา เราก็คือสร้างบุญในโลก แต่ถ้าเราทำงานอย่างหละหลวม ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผลสุดท้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มันก็สร้างบาปใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแค่รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่เราชอบกินแรง เอาเปรียบ รักสบายใช่ไหม
เวลาศิษย์แสวงหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เราหาเพื่อหวังจะได้ และเราหาเพื่อหวังจะมี แต่ทำไมยิ่งหาเหมือนยิ่งหมด ยิ่งหายิ่งเหมือนไม่มี โลกสอนธรรมะเราตลอด แต่เราไม่เคยมองเห็นและไม่เคยยอมรับ ยิ่งหายิ่งไม่มี ยิ่งหาเหมือนยิ่งพร่อง ยิ่งหาเหมือนยิ่งขาด ยิ่งหาเหมือนยิ่งไม่ได้ แต่ศิษย์ก็พยายามหาเพื่อจะให้รู้สึกว่าตัวเองมี ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์บอกวิธีง่ายๆ หาอย่างไรที่ทำให้รู้สึกว่ามีนั่นคือ “การให้” พอมีแล้วรีบให้ ยิ่งให้ก็จะทำให้เรายิ่งมี ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอย เคยไหมยิ่งหามันยิ่งพร่อง เมื่อไรที่เรารู้พอ แล้วมันจะมี แต่เราเคยหันกลับไปแล้วบอกว่าพอไหม (ไม่) ฉะนั้นถ้าอยากมีก็จงรู้จักพอบ้าง แล้วศิษย์จะรู้จักสร้างสิ่งที่มีให้มีค่ายิ่งขึ้น แล้วมองสิ่งที่มีให้เป็นค่าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้
ในตัวเรามีทั้งจริงและปลอม มีทั้งกาย ใจ จิต มนุษย์เราแสวงหาและทำทุกอย่างเพื่อกาย แต่ลืมใจภายในหรือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ใช่ใจ ใจยังหลงกับความเป็นตัวตน แต่จิตเดิมแท้เป็นสิ่งบริสุทธิ์และสงบ เราเคยทำอะไรตามจิตเดิมแท้ หรือเราทำอะไรตามใจ หรือเราทำอะไรตามกาย เราเป็นไปทางไหน เป็นไปเพื่อภายนอกมากกว่าเพื่อภายในใช่ไหม ชีวิตเราถึงที่สุด เราก็ต้องวางภายนอก เพื่อกลับคืนสู่ภายในอันเป็นของจริง
มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นอารมณ์ความรู้สึก เเม้กระทั่งอารมณ์ก็ไม่เคยเที่ยง เเม้กระทั่งความรู้สึกก็ไม่เคยเที่ยง จริงหรือไม่ (จริง) ถ้ามนุษย์สามารถก้าวข้ามความรู้สึกได้ จะรู้ว่าจริงๆ ว่าในตัวเรานั้นไม่มีอะไรจริง มีแต่ความว่างเปล่า ในกายมีใจ ในใจมีจิต ทั้งกายใจเเละจิตต่างทำงานเชื่อมสัมพันธ์กัน เเต่ที่เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ก็เพราะใจเราบดบังจิต เเละมักทำอะไรเพื่อกายเเต่ลืมมองจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ จิตเดิมเเท้ไม่ต้องการครอบครอง เเละจิตเดิมแท้ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรมที่ศิษย์พยายามค้นหาเเละหลุดพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพิ่มเติม)
อาจารย์ขออนุมานว่ามันมีกาย มีใจ แล้วก็จิต เพราะใจนี้มันจะใกล้เคียงกับคำว่าเป็นตัวตน เรามักจะสร้างใจของเราให้เป็นไปตามตัวตนที่เรายึดถือ และบดบังจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวธรรม แท้จริงแล้วจิตเหมือนพระอาทิตย์ มันสว่างโล่ง เป็นเหมือนสภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ตอนนี้ใจฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนี้ ลองหาดูสิว่าใจมันมีไหม (ไม่มี) เราทำเพื่อสนองใจที่เราคิด สนองใจที่เรารู้สึก ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีไหม (ไม่มี) แล้วมันก็คอยคุมกายเราตลอดเวลา ใช่ไหม (ใช่)
ใจมันจะโผล่ก็ต่อเมื่อใจนั้นมีอารมณ์มาอิงแอบ มีอารมณ์มากระทบแล้วแทรกซึมให้เราเป็นตัวเป็นตน แต่ถ้าหมดอารมณ์ หมดความรู้สึก หมดความนึกคิด ใจมีไหม (ไม่มี) เมื่อใจมันไม่มี เราเห็นธรรมไหม (เห็น) มันไม่เห็นนะศิษย์ ศิษย์อย่ามองธรรมเป็นสิ่งของสิ เพราะถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ความว่าง มันคือสภาวะที่ไม่มีอะไร แต่มนุษย์มักจะมองให้มันต้องเป็นรูปเป็นร่าง มันต้องเป็นแสงกลมๆ เป็นอะไรที่สว่างไสว ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีอะไร เมื่อมันไม่มีอะไร มันก็เลยสามารถแทรกซึมอยู่ในทุกๆ ที่ มันถึงได้ยิ่งใหญ่ เพราะมันไม่มีอะไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปสู่คำว่าไม่มีอะไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ “หนูอยากมีอะไร และอยากเป็นอะไร” ซึ่งมันคือความหลง เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อไปมีอะไร ไปเป็นอะไร แต่กลับคืนสู่สภาวธรรมอันว่างอันไม่ยึดถือ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเพียรพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าก่อเกิดเป็นความรู้สึก อย่าก่อเกิดเป็นความนึกคิดแล้วกำหนดจนก่อเกิดเป็นวิบากกรรม เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าให้มันกระทบกระแทกกระเทือนใจ แต่จงแค่รู้ ยอมรับความจริง รักษาใจให้ปกติและก่อเกิดปัญญา ใช่ไหม (ใช่) แค่รู้ยอมรับความจริง อย่าแบกความรู้สึก อย่ายึดความรู้สึก เพราะมันจะก่อเกิดเป็นวิบากกรรมว่า ตีฉันทำไม เมื่อมันรู้สึก ก็จะทั้งเจ็บกายเจ็บใจ แต่ศิษย์จำไว้ เมื่อมีสิ่งมากระทบ ทุกสิ่งเกิดและดับลงทันที ถ้าว่างเปล่าจากใจที่ยึดถือ มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว มองให้มันต่อเนื่อง อยู่กับปัจจุบัน มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว แต่ความคิดที่ยึดถือ มันก่อเกิดวิบากกรรมที่ไม่ยอม ไม่เอา ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงรักษาศีล” ศีลคือทำใจให้ปกติ สมาธิ คือมั่นคงไม่หวั่นไหว แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่า มันเกิดแล้วมันก็จบไป ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนที่อาจารย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความนึกคิดยึดติดในตัวตน จะสงบ วาง และจบ พุทธะจึงสอนว่า แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ปรุงแต่งเพิ่ม ไม่คิดต่อเติม แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีใครมาสร้างกรรมอะไรกับเรา เพราะเราว่างจากตัวตนที่ยึดถือแล้ว ยากไหม (ไม่ยาก) ปฏิบัติยาก เพราะใครจะแค่รู้แค่เห็นเเละเเค่นั้นจริงสักราย ฉะนั้นศึกษาบำเพ็ญเพื่อตัดภพตัดชาติ ไม่เวียนว่ายกรรมอีกต่อไป กลับสู่พุทธภูมิที่เรียกว่าสภาวธรรมเดิมแท้ไม่ต้องการอะไร บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่ยึด เพราะถ้ายังยึดบุญยึดบาปก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายกรรม เราถูกตี แต่เราเจ็บไปทั้งกาย เจ็บไปทั้งใจ เพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเเค่รู้เเค่เห็นเเค่นั้น ด่าแล้วได้อะไร โกรธแล้วได้อะไร เกลียดแล้วได้อะไร ผูกใจเจ็บแล้วดีขึ้นไหม แช่งชักหักกระดูกแล้วทำให้เราสบายใจหรือ ด่าทอต่อว่าแล้วทำให้เราหมดทุกข์หรือ คิดให้ดี ต่อไปชีวิตนี้ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์เป็นแค่เพียงผู้ชี้ทาง ศิษย์จะเดินไหม (เดิน)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียน)
อาจารย์อยากให้แล้วศิษย์รู้จักให้ต่อ ไม่ใช่ได้รับเเล้วเก็บไว้กับตัว เพราะถ้าเก็บไว้กับตัวจะกลายเป็นความโลภ ความหลง ความยึด แต่กล้าให้ต่อคือการสละออก ซึ่งบังเกิดบุญกุศลที่ไม่ยึดถือ แต่กี่คนที่ได้แล้วจะไม่ยึด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ก้าวต่อไป” ซึ่งนำมาต่อกับพระโอวาทซ้อนพระโอวาทจากชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น รวมเป็นคำว่า “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”)
คนที่ศิษย์อยากจะจูงมือด้วยคือคนที่ศิษย์รักอยากดูแลและอยากช่วยเหลือ และอยากนำพาเขาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนในโลกนี้เป็นคนที่ศิษย์อยากจะจูงมือ แปลว่าทุกคนเป็นคนที่ศิษย์อยากจะช่วยกันดูแล ไม่ทำร้ายกันและนำพากันไปสู่ทางที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้คนต่างเก็บมือ ไม่คิดช่วยใคร น่าเสียดายนะ ถ้าในโลกแค่ทุกคนรู้จักจูงมือคนอื่นด้วยใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ โลกนี้จะพบสันติสุขจริงไหม (จริง) ลองนำโอวาทที่อาจารย์ให้ไปศึกษา ดีไหม (ดี)
ซ้อมร้องเพลงสักเพลงหนึ่งเพื่อส่งอาจารย์ได้ไหม แล้วนับต่อแต่นี้ไปรู้จักฝึกฝนบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มีเมตตาอุทิศเสียสละเพื่อให้ ให้โดยไม่หวังผล ดีหรือไม่ (ดี) อย่าไปเบียดเบียนเข่นฆ่าใครเลยนะ ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ ได้ไหม (ได้) อาจารย์ขอร่วมบุญอันนี้กับศิษย์ดีไหม (ดี) จะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อเบียดบังทำร้ายใคร เพื่อดำเนินชีวิตตัวเองได้ไหม (ได้) รู้ไหมว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมีความนัยว่าอะไร
อาจารย์ขอเดินไปหาผู้ร่วมฟังครู่หนึ่งแล้วกลับมาร้องเพลงส่งอาจารย์ ดีไหม (ดี) เอาลาจากแบบไม่เศร้าไม่มีน้ำตาดีไหม (ดี) จากกันอย่างเข้าใจเบิกบานใจ และลาจากกันด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขนะ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ ถ้าร้องไห้แปลว่ายังมีสิ่งผิดที่ยังคั่งค้างใจ ถ้ายังร้องไห้แปลว่ารู้สึกผิด ถึงร้องไห้กับอาจารย์ ต้องเข้มแข็งแล้วใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์อย่าร้องไห้นะ เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์แล้วก็ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญ ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม รู้จักอุทิศเสียสละ ไม่ว่าจะเจออะไรก็จงผ่านมันไปให้ได้ ทุกสิ่งล้วนผ่านมาเพื่อให้เราเรียนรู้ฝึกฝน ละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เข้มแข็งนะ อย่างน้อยที่ศิษย์นั่งฟังในวันนี้ สิ่งที่ศิษย์ได้บุญอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุญที่รู้จักเสียสละ บุญที่รู้จักยอมลดความเป็นตัวเองเพื่อผู้อื่น เพราะนั่งตรงนี้อากาศไม่เย็น แล้วก็ต้องยอมให้คนอื่นก่อน ตัวเองทีหลัง ถ้ารู้จักทำได้แบบนี้ตลอด นี่แหละคือการฝึกฝนบำเพ็ญ ลดละวางอัตตาตัวตนเพื่อนำพาผู้คนให้พบหนทางสว่างและความสุข ทำได้นี่ประเสริฐนะ ยอมลำบากเพื่อคนอื่น แต่อย่าเอาแต่นั่ง ต้องรู้จักไปประพฤติปฏิบัติให้ได้ด้วย
ฝึกฝนบำเพ็ญต้องก้าวหน้า ก้าวหน้าอย่างไร อารมณ์ โลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักปลดปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ยังคุกรุ่นเหมือนเดิม เปล่าประโยชน์นะ ไหว้พระต้องได้ใจพระ เคารพฟ้าดินก็ต้องทำได้ดั่งใจฟ้าดิน ฝึนฝนหนทางพุทธะก็ต้องมีใจเฉกเช่นพุทธะ ใช่ไหม ให้อาจารย์เคาะหัวแล้วก็ต้องให้กิเลสตกไปเยอะๆ เหลือแต่คุณธรรมความดีงามรักษาไว้อยู่ในใจ ไม่ใช่เคาะแล้วความดีหายหมด ใช่หรือไม่
มุ่งมั่นบำเพ็ญอุทิศเสียสละ ฝึกฝนบำเพ็ญอย่างไรล่ะ มีความเมตตาไหม พูดด้วยความเมตตาไหม กระทำด้วยความเมตตา ทำให้ได้ถึงคำนี้ เมื่อเมตตาถึงที่สุดแล้ว อารมณ์โลภ โกรธ หลง ก็จะเบาบาง แต่ไม่ใช่เมตตาเฉพาะคนนี้ อีกคนหนึ่งไม่เมตตาก็ไม่ได้
ทุกคนล้วนมีกรรมที่หนีไม่พ้น เมื่อมีก็ชดใช้แต่จะไม่สร้างกรรมต่อ กล้าชดใช้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะได้หมดเคราะห์หมดโศกและจบในชาตินี้นะศิษย์ อย่าไปยื้อยุดให้มันทุกข์ จงปล่อยวางสังขารนี้ที่ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เป็นของศิษย์ที่แท้จริงคือ สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ธรรมที่ไม่มีตัวตน กลับคืนสู่สภาวธรรมนั้นดีกว่านะ ถ้าใครยังไม่รู้เรื่อง มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ดีไหม (ดี) อาจารย์ไปแล้วนะ ก้าวให้ถึงที่สุดนะ ทำให้ถึงที่สุดนะ อาจารย์อยากได้รอยยิ้มจากศิษย์นะ
อย่าไปแล้วไปเลยนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีก เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ซื่อตรงจริงใจ ทำให้ได้นะ อย่าได้แค่รู้แต่ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ควบคุมอารมณ์ให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต อย่าดูแคลนตัวเองนะ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่า คุณค่าที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอารมณ์เป็นใหญ่ ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา เราเคยมีบุญกันมาก่อน ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญให้ถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่เล่น มีโอกาสกลับมาอีกนะ มาร่วมบุญกับอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ทำให้ได้นะ ลากันไหม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จงรู้จักทำอะไรด้วยสติ อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย อย่างน้อยถ้าไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน แล้วจะมีบุญแค่นี้หรือจะมีบุญอีก อยู่ที่ศิษย์นะ รักษาบุญรักษาโอกาสนั้นด้วยการเลือกหนทางที่ถูกต้อง นำพาชีวิตให้ถูกทาง เข้าใจในธรรมที่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้เรียนรู้ไหม จะได้ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้
รู้จักดำเนินตนเองให้เป็น บำเพ็ญสมกับที่เป็นศิษย์ของอาจารย์หรือยัง อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นสมกับที่เป็นจี้กงน้อยหรือยัง ถ้ายังขอให้แก้ไขทำให้ดีและก้าวไปพร้อมกัน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนมีเรื่องที่ยาก มีเรื่องที่ลำบากใจ เเต่อาจารย์ก็เชื่อมั่นว่า เมื่อเจอเรื่องลำบาก เมื่อเจอเรื่องยาก ศิษย์ก็ยังก้าวต่อได้ เเละยังมั่นคงได้ไม่เปลี่ยนแปลง อาจารย์ยังเชื่อในใจดวงนั้น ใจที่ดีงาม ใจที่งดงาม ใจที่อุทิศเเละใจที่เสียสละ ขอให้อาจารย์เชื่อเเละเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่าท้อเพียงแค่คนพูด อย่าล้าหรือถดถอยเพียงเพราะคนทิ่มแทง เข้มแข็งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฟันฝ่าเเละก้าวไปอย่างมั่นคง ทุกอย่างมาแค่ทดสอบใจ ใจที่ไม่ยึดถืออะไร ใจที่สามารถก้าวไปเเล้วไม่เหลืออะไรให้ยึดถือ
เข้มแข็งนะ สุขภาพช่างมัน รักษาใจที่ดีงามไว้ดีกว่า ความเจ็บป่วยมันเป็นธรรมดามันไม่เที่ยง ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บป่วย แต่เจ็บป่วยแล้วใจยังสู้นั่นประเสริฐกว่าใช่หรือไม่ อย่ากลัวความเจ็บป่วย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวการสูญเสีย เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ทำให้เราเห็นความจริงในชีวิต และมันเป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไยต้องกลัว สู้ก้าวข้ามให้ได้ แล้วปลดปลงตัวเองให้ลง เพราะกายสังขารมันไม่ใช่ของเราแท้จริงนะ
ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย ห่วงศิษย์จริงๆ นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายตัวเองนะ ไม่ว่าเจออะไรก็ผ่านพ้นให้ได้ คนสำคัญของอาจารย์ หายหรือยัง ยังต้องให้อาจารย์ประทานพรอีกหรือ ศิษย์รู้ไหมข้างหน้าอาจารย์ก็ห่วง ข้างหลังอาจารย์ก็กังวล เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วงหายกังวล
ทำได้หรือเปล่า เข้มแข็งนะ ทำงานฟ้าอย่ากลัวเหนื่อย มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามนะ บางคนอาจารย์ไม่ได้จับมือแต่อาจารย์ให้กำลังใจ อาจารย์เข้าใจในความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของศิษย์ แม้ไม่ได้จับมือศิษย์แต่อาจารย์ก็ยังหวังว่าศิษย์ยังก้าวต่อไป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก กลับมาผูกบุญกันอีกนะ เพื่อกลับสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเราเอง
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”
เทียนไร้แต่ไม่สิ้นแสง ความดียังแฝงทุกหน
เมตตาค้ำจุนใจคน น้ำใจดั่งฝนฉ่ำเย็น
ยามทุกข์เราต่างช่วยเหลือ โอบเอื้อน้ำใจให้เห็น
โลกนี้ยังไม่ลำเค็ญ เพราะใจตนเป็นแสงทอง
ยามล้มจงลุกขึ้นสู้ ไม่อยู่อย่างคนหม่นหมอง
ฟ้ามืดไม่นานแสงทอง ปลุกผองผู้กล้าขึ้นมา
ขยันซื่อตรงจริงใจ รู้ในหน้าที่ตนหนา
มีศีลครองธรรมนำพา อย่าล้าต่อการมีธรรม
หมายเหตุ
พระโอวาท “จูงมือกัน” ท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ เมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาท “ก้าวต่อไป” พระนาจาเมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร