แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หงหยัง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หงหยัง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-28 สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

西元二○一六年歲次丙申四月二十二日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙      สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  อย่ารับศีลแต่กลับไม่ปฏิบัติ             คนใฝ่ดีแต่กลับทำไม่ได้
จิตสำนึกความถูกต้องเลือนหายไป       แล้วจะเหลือธรรมอะไรคอยยั้งตน
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานหงหยัง แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
  การเป็นคนมุ่งมั่นจึงทำมาก             ขอฝากอย่าได้ทำตัวลุ่มหลง
ขี่หลังเสือต้องรู้ทางลง                    เดินสายตรงบำเพ็ญด้วยปัญญาธรรม
การบำเพ็ญท่ามกลางมวลหมู่ปัญหา     แกนความศรัทธามีปัญญาชูค้ำ
ตนคนดีฟื้นฟูคุณธรรม                    ฟื้นงามในใจธรรมมาประคอง
กิริยางดงามหลั่งล้นออกไป               นิสัยดีจิตได้การยกย่อง
คำพูดงามผู้นำนักปกครอง               รักษาความถูกต้องธรรมเกรียงไกร
คนบำเพ็ญสุภาพชนไม่เล่นมุข[๑]          สัจธรรมไม่กลืนหายทุกยุคสมัย
คุมสติใช้ไปทุกเรื่องง่าย                   ประจักษ์โทษนิสัยเพราะสิ่งที่เป็น
ตามใจตนหลงตามกิเลสอัตตา            ตามนิสัยเพาะอวิชชาพาทุกข์เข็ญ
ตื่นรู้ตนมีสติธรรมร่มเย็น                 เกิดปัญญาธรรมเป็นรู้เหมาะควร

                                                                                                      ฮิ ฮิ หยุด




[๑] มุข  มีลูกเล่นตลกโปกฮา

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

เราเล่นเกมอะไรเอ่ยดีไหม เราถามนะ อะไรเอ่ยบางครั้งก็มี บางครั้งก็ไม่มี อะไรเอ่ยบางครั้งก็เล็กนิดเดียว บางครั้งก็ใหญ่ อะไรเอ่ยบางครั้งก็ดูดี บางครั้งก็ดูแย่ (ใจ,จิตของเรา,สตางค์)
มีสตางค์บางครั้งก็ดี บางครั้งก็แย่ใช่ไหม บางทีมันก็ใหญ่ บางทีมันก็เล็กใช่ไหม ใช่สตางค์ไหม ถูกไหม (ไม่ถูก)  อะไรที่มีเหมือนไม่มี อะไรที่บางครั้งเล็กนิดเดียว บางครั้งก็เหมือนใหญ่มากๆ และอะไรหรือที่บางครั้งก็ดูสวยแต่บางครั้งก็ดูแย่ คือใจของเรา นั่งอยู่ตรงนี้บางครั้งมันก็อยู่ บางครั้งก็ไม่อยู่ นั่งตรงนี้เดี๋ยวบางครั้งก็รู้สึกดี บางครั้งก็รู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็เหมือนรู้สึกอยู่ บางครั้งก็เหมือน (ไม่รู้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าเราคุมใจตัวเองได้อยู่ ใจก็จะสามารถคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีหรือแย่ ให้มีหรือไร้ก็ได้ และถ้าเราคุมใจได้อยู่ รู้เท่าทันใจตัวเอง ใจดวงนี้ก็จะทำให้เรารู้สึกสวยหรือไม่สวยก็ได้ และถ้าเรารู้เท่าทันใจคุมใจได้อยู่ แม้เราอยู่ตรงนี้ บางครั้งเราก็เหมือนไม่อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าฟังธรรมแต่กลับไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอยากจะให้เราอยู่หรืออยากให้เรากลับ (อยู่)  การอยู่ของเราบางทีอาจจะดีแล้วก็ไม่ดีได้ แล้วการอยู่ของเราบางครั้งมีก็เหมือนไม่มีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ศึกษาธรรมจึงไม่ใช่ผู้อื่นผิด ผู้อื่นไม่ดี ผู้อื่นแย่ ผู้อื่นไม่ได้เรื่อง ผู้อื่นไม่เห็นมีอะไร ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าเราเห็นเขามีหรือไม่มี เห็นเขาดีหรือเห็นเขาแย่ เห็นเขาสวยหล่อหรือเห็นเขาไม่ได้เรื่องได้ราว แท้จริงอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่ใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนฝึกสติโดยการลุกนั่งตามคำสั่ง)
ง่ายหรือไม่ (ง่าย) แต่ชีวิตง่ายแบบนี้หรือไม่ (ไม่)  การเล่นเกมก็เหมือนการฝึกสติ  ถ้าเราช่วยตัวเองให้รอด เราจะช่วยเพื่อนให้รอดด้วย แต่ถ้าเราช่วยตัวเองไม่รอดเราก็ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนถูกหรือไม่
ท่านรู้ไหมการเรียนรู้ศึกษาธรรมสิ่งสำคัญคือจิตสำนึกของความถูกต้อง จิตสำนึกของความเป็นคน ถ้าคนเราลืมจิตสำนึกของความถูกต้องและจิตสำนึกของความเป็นคนไม่มี ก็จะลืมไปว่าตัวเองทำหรือเป็นอะไรอยู่ เพราะจิตสำนึกแห่งความถูกต้องหรือจิตสำนึกแห่งความเป็นคนหลงลืมแล้ว เราก็ทำผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราทำผิดๆ ถูกๆ แล้วถูกคนต่อว่า เรามักจะไม่ยอมรับผิด  ถ้าเขาสั่งครั้งแรกแล้วท่านฟังไม่รู้เรื่องนั้นเป็นความผิดของคนสั่ง  แต่ถ้าเขาสั่งครั้งที่หนึ่งก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว ครั้งที่สามก็แล้ว ท่านยังผิดอีก นั่นไม่ใช่ผิดที่คนสั่งแต่ผิดที่ตัวท่านแล้ว อย่างนั้นเรามาดูกันต่อว่าใครจะทำถูกหรือผิด
สิ่งที่สำคัญท่านต้องรู้จักตัวเองก็พอแล้ว เพราะถ้าท่านรู้จักตัวเองท่านก็จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจริงไหม (จริง)  ถ้ามีสติรู้หน้าที่ของตัวเองแล้วก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดี ก็ไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้ผู้ที่ทำผิดออกมาเต้นเป็ดแต่นักเรียนไม่กล้าออกมาเต้นเป็ด)  จริงๆ แล้วการเต้นเป็ดก็ไม่เห็นจะน่าอายอะไรเลย เต้นเป็ดทำให้คนมีความสุข ดีกว่าไปกินเหล้า สูบบุหรี่ มีชู้ ใช่ไหม (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นรากเหง้าของความเจริญ ถ้ารากเหง้าของความเจริญรู้จักอบรมให้มีศีลมีธรรม รากเหง้าของความเจริญนั้นก็จะเป็นสิ่งที่ดีงาม” ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นรากเหง้าของความเจริญ ขาดเรื่องศีลเรื่องธรรม รากเหง้านั้นไปอยู่ที่ใดก็พร้อมจะทำลายทำร้ายคนให้เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเขาเรียกว่าเรียนทางโลกทำให้คนฉลาด แต่เรียนธรรมะทางธรรมทำให้คนดี คนขยันเรียนทางโลกจึงเป็นคนฉลาดแต่พอให้เรียนทางธรรมเขาบอกว่าขี้เกียจ ฉะนั้นจึงกลายเป็นว่าคนในโลกเป็นคนฉลาดแต่หาเป็นคนดีได้สมบูรณ์ไม่ 
ฉะนั้นถ้าเราเรียนทางโลกแล้วเรายังเรียนทางธรรมเราก็จะกลายเป็นคนที่ทั้ง ฉลาดและดี  แต่คนในโลกยังอยากเป็นแค่คนฉลาดแต่คนดียังไม่อยากเป็น คนฉลาดนั้นก็พยายามจะเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ตนเองนั้นลืมเป็นคนดี เราจึงเห็นคนในโลกมากมายที่ตัวเองยังไม่ค่อยดี ยังไม่ค่อยซื่อตรง ยังไม่ค่อยบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่เรียกให้คนอื่นดี ซื่อตรง มีความยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ใดใครก็รัก จริงไหม
ถ้าเราเป็นคนมีเมตตา มีน้ำใจ ไปอยู่ที่ใดใครๆก็เคารพให้เกียรติ ถ้าเราเป็นคนซื่อตรง  ไม่คิดคด ไม่คิดฉ้อฉล ไม่คิดเอาเปรียบ ไปอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครดูถูกเหยียดหยาม  ถ้าเราเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ไม่นิ่งดูดาย ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก จริงหรือไม่ (จริง) แต่ในความจริงมีใครรักเราหรือไม่  มีใครจริงใจเราหรือไม่ มีใครเคารพเราหรือไม่ มีใครเหยียดหยามเราหรือไม่ (มี)  มีหมดเลย เพราะเราไม่เคยทำในสิ่งที่เราพูดไว้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นรากเหง้าของความเจริญ ถ้าไม่รู้จักอบรมศีล อบรมธรรม เรียกร้องคนอื่นไปก็เปล่าประโยชน์  เพราะตัวเองยังไม่เคยมี แต่ถ้าตัวเองมีแล้วทำได้ดี ไม่ต้องเรียกร้องเดี๋ยวเขาก็ทำเอง ฉะนั้นอยากให้เขารัก เราอ่อนน้อมถ่อมตนหรือยัง เรามีเมตตาแล้วหรือยัง ส่วนใหญ่เห็นแต่หัวแข็ง ฉันแน่ ฉันเก่ง
เราถามท่านว่าทุกข์สุขอยู่ที่ไหน (ใจ) แต่เวลาถูกคนด่าทำไมทุกข์สุขอยู่ที่ปาก  ใจมันสั่งปาก ในเมื่อทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เราจะบอกว่าอยู่ที่การกระทำด้วย หว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่อยากให้เขาด่าเราต้องทำตัวให้น่าเคารพ ไม่อยากให้เขาดูถูกเหยียดหยาม เราก็ต้องรู้จักขยัน ไม่เอาเปรียบ ไม่คดโกงใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากให้เขาไม่ทอดทิ้ง ดูแลเอาใจใส่ ฉะนั้นยามทุกข์ยามมีไข้ยามเดือดร้อนเราจะต้องเป็นห่วงเป็นใยดูแลเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำตรงนี้ถึงแม้เราจะบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่เวลาเขาด่าที ทุกข์สุขเราก็อยู่ที่ปากเขา ท่านบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจแต่ถึงเวลาเขาด่าเรา เราโกรธเขาไหม (โกรธ)  ไหนท่านบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เวลาเจอเรื่องร้ายๆ ทำไมท่านจึงรู้สึกแย่ ตกลงทุกข์สุขอยู่ที่เรื่องราวหรืออยู่ที่ใจเรา เห็นหรือไม่ ท่านพูดได้แต่พอถึงเวลาท่านทำไม่ได้ เพราะอะไร
อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่า รู้ธรรมไปมากมายแต่ถ้าไม่รู้จักควบคุมใจ ธรรมนั้นก็เปล่าประโยชน์ เรียนรู้ธรรมฟังธรรมไปตั้งมากมาย แต่ถ้าไม่เท่าทันใจธรรมนั้นก็ไม่มีค่า ฉะนั้นธรรมจึงไม่ได้สอนให้เราแค่ฟังแล้วรู้ แต่รู้แล้วต้องนำมาให้เท่าทันใจ มีสติควบคุมใจได้ ถึงจะเรียกว่ามีประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
เหมือนเราถามท่านว่า สมมติมีคนมาดูถูกเหยียดหยามเรา เราโกรธไหม ทุกข์ไหม ทั้งโกรธทั้งทุกข์เลย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนพูดว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่ทำไมเอาใจเราไปฝากไว้กับตัวเขา เราถามท่านว่า ท่านชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ท่านชอบให้ทานไหม (ชอบ)  ถ้าสมมติว่าแม้เขาไม่ได้เป็นภิกษุสงฆ์ แต่เขาเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เขาด่าเรา เราให้ทานเขาไม่ได้หรือ  การให้ธรรมะเป็นทาน เป็นทานที่ประเสริฐที่สุด แต่ทำไมเราไม่ให้ธรรมะเขา เรากลับให้เวร ให้กรรม ให้ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บ ความแค้นล่ะ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ที่ใดที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั่นก็สามารถเป็นมรรคผลพระนิพพานได้” ถ้าตอนนี้เขากำลังด่าเรา ดูถูกเรา เราจะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์หรือทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ เราจะทำให้เกิดเป็นบุญ หรือเราจะทำให้เกิดเป็นบาป เราจะทำให้เกี่ยวกรรมหรือสิ้นเวรสิ้นกรรม (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  อนุโมทนาด้วยนะ ขอทำให้ได้อย่างนี้เทอญ ใช่ไหม (ใช่) 
เราชอบคนดีหรือชอบคนชั่ว (คนดี)  ชอบมิตรหรือชอบศัตรู (มิตร)  ชอบคนก่อเวรก่อกรรมหรือชอบคนสิ้นเวรสิ้นกรรม (คนสิ้นเวรสิ้นกรรม)  เวลาเราชอบ เราควรจะมีไว้กับตัวหรือเราควรจะแค่มองเห็น  เราควรมีไว้กับตัวหรือให้คนอื่นมี ตัวเองไม่ต้องมี เราควรมีเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเขาด่ามาเราควรทำดีหรือควรทำชั่ว (ทำดี)  ฉะนั้นจำไว้นะ ชอบคนสิ้นเวรสิ้นกรรม เวลาเขาด่ามาเราไม่ควรด่ากลับ  ชอบคนไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน หากถูกเขาเหยียดหยาม เขาดูหมิ่นเรามา เขาต่อว่าต่อขานเรามา เราควรจะให้อภัย  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วเราเลือกทำหรือไม่ (ไม่ได้ทำ)
คุยกันง่ายๆ แต่ทำยากหรือไม่ เรารู้ว่าวันนี้เป็นวันแรกท่านอาจจะเพลีย อาจจะล้า ฉะนั้นเราจะพูดสั้นๆ ง่ายๆ แล้วจบเลย ดีหรือไม่ (ดี) มนุษย์ทุกคนเป็นรากฐานของความเจริญ ถ้ารู้จักอบรมศึกษาธรรมให้ดีงาม รากฐานความเจริญนั้นก็จะมีสิ่งดีเป็นส่วนประกอบด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถามว่าให้มาอบรมธรรม มนุษย์ก็จะบอกว่ายังก่อน เดี๋ยวก่อน ทั้งที่การอบรมเรียนรู้ธรรมคือการอบรมเรียนรู้เข้าใจชีวิตของตัวเองที่เป็น รากฐานบุญ เหมือนถามท่านว่าหากไม่เรียนรู้ธรรมท่านจะรู้หรือไม่ว่าตัวเองสามารถเป็นคน ดีที่หนึ่งได้  บางครั้งการอยู่ในโลกกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ดี ไม่มีเมตตา คดโกง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การอบรมธรรมเพื่อให้รู้ว่าเราเป็นคนดี มีความดีอยู่ในตัว แต่เราเลือกที่จะไม่ใช้ความดีในตัว มักจะเลือกใช้อารมณ์ กิเลส และนิสัย มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) และอารมณ์ กิเลส และนิสัยก็เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ การเวียนว่ายและความเจ็บปวด ฉะนั้นวิธีที่จะทำให้เราเรียนรู้และป้องกันมากที่สุดคือการมีสติ และเห็นคุณค่าธรรมในตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถึงเวลาเรามักจะเลือกอารมณ์ กิเลส และนิสัยมากกว่าสติ หรือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาแต่ว่าเขา ดูถูกเขา ถูกหรือไม่ แต่เราบอกแล้วว่าธรรมล้วนเกิดแต่ใจ  มีใจเป็นใหญ่มีใจเป็นประธาน เกิดขึ้นทั้งมวลด้วยใจ ถ้าใจของมนุษย์ผาสุก ความคิด คำพูด การกระทำ การดำเนินชีวิตก็เต็มไปด้วยสุข  ถ้าใจของมนุษย์เต็มไปด้วยทุกข์ ความแบ่งแยก ความอิจฉา ความรังเกียจ ทำให้คำพูดการกระทำก็เต็มไปด้วยทุกข์ การแบ่งแยก ควาามอิจฉาและการรังเกียจ ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือใจ แล้วรู้หรือไม่ว่าใจนี้หากประกอบไปด้วยธรรมที่เรียกว่าเมตตา ซื่อตรง อ่อนน้อม ใจที่ประกอบด้วยมโนธรรมสำนึก ใจที่ประกอบด้วยธรรมนี้จะไม่ทำให้เราผิดพลาด ไปก่อกรรม ก่อกิเลส ก่ออารมณ์ ถูกหรือไม่
 เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อย่างนั้นเราถามท่านว่ากิเลสที่เป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ตอบเหมือนกันหมดจริงๆ หรือ ไม่มีใครตอบว่าไม่ใช่เลยหรือ ใจเป็นหลัก ใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ถ้านิ่งแล้วโลภมา โกรธมา หลงมา ใจก็ไม่ตกไปเป็นทาสความโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าเมื่อไรยังมองเห็นโลภ โกรธ หลง ไม่ดีแปลว่าใจท่านนั่นแหละไม่ดี แล้วเมื่อกี้ท่านบอกเราเองนี่ ท่านชอบบุญ ท่านชอบไม่เกี่ยวกรรม ท่านชอบความดี ฉะนั้นเขาด่าให้เราโกรธทำไมท่านถึงโกรธ แปลว่าท่านไม่ชอบบุญ แต่ท่านชอบกิเลส เขาแช่งชักให้เราเจ็บปวดแล้วเราแช่งชักตอบแปลว่าเราไม่ชอบบุญ เราชอบการชิงชังหักหลังให้ตายกันเลย ตกลงท่านชอบอะไรกันแน่ เหมือนกันเขาโกรธเรา เขาทำเราเจ็บครั้งเดียว แต่ถ้าเรารู้จักเอาธรรมให้คืนไป ความโกรธนั้นก็จบ แต่เรากลับเอาความโกรธนั้นมาเป็นดาบคอยทิ่มใจเรา ตกลงท่านรักความโกรธ ไม่รักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ท่านรักบาป ไม่รักบุญ ท่านเลือกจะเป็นคนชั่ว ไม่เลือกเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วถึงเวลาทำไมตามกิเลส ไม่ตามธรรม ถึงเวลาท่านให้กิเลส ทำไมท่านไม่ให้ธรรม ไหนว่าเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ มนุษย์ผู้ประเสริฐต้องถือธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ถือกิเลสเป็นหลัก ถ้าถือกิเลสเป็นหลักเรียกว่าเป็นมาร อย่างนั้นเราถามท่านว่า ทุกชีวิตดำเนินชีวิตด้วยกิเลสหรือดำเนินชีวิตด้วยธรรม (ธรรมะสอนเรา)  ถูกไหม (ถูก)  ท่านบอกว่าศัตรูกับศัตรูทำร้ายกันยังไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่หลงผิด ใจที่คิดผิด ทำให้เราอยู่ที่ไหนก็สร้างศัตรู แต่ถ้าใจที่คิดถูก อบรมถูก มีธรรมถูก อยู่ที่ไหนก็เป็นที่ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเราถามว่าท่านอยู่บนโลกมีมิตรหรือมีศัตรู (มิตร)  อยู่บนโลกท่านมีกิเลสมากหรือมีธรรมมาก  เมื่อไรเราทำอะไรมีสติรู้ตัวรู้ตนไม่เลือกกิเลสแต่เลือกธรรม ท่านจะพบความเป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะอยู่ในตัวเอง หรือเรียกว่า เหตุแห่งทุกข์มรรคผลนิพานจบที่ตรงนี้ทันที ด้วยความมีสติรู้ตน
ถ้าเมื่อใดท่านไม่เลือกธรรม แต่เลือกกิเลส เลือกความเกลียด เลือกการจองกรรม เลือกความไม่ยอม ท่านจะตกเป็นทาสของการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นและไม่มีวันสิ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ แต่ถ้าท่านเลือกธรรม ท่านจะพบปัญญาอันสว่าง ธรรมอันแท้จริงและผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ตรงนี้
ชอบคนดีใช่ไหม (ใช่)  เคารพศรัทธาพุทธะใช่ไหม (ใช่)  ชอบความสงบใช่ไหม (ใช่)  ทำไมชอบแล้วท่านเอาแต่ไหว้ข้างนอก แต่ลืมชอบปฏิบัติ และลืมกราบไหว้ตัวเอง  ทำไมถึงรอไหว้คนอื่น รอเคารพคนอื่น แล้วไหว้ตัวเองไม่ได้ 
พระพุทธะทำตัวเองสิ้นชั่ว สิ้นกิเลส เพื่อเป็นคนดีแล้วประจักษ์ให้รู้ว่า แม้สิ้นพระพุทธองค์ ไม่มีพระพุทธองค์ให้ยึดถือ พระพุทธองค์กลับสอนว่าจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง ซึ่งธรรมนั้นไม่ใช่อยู่ในพระไตรปิฎก แต่ธรรมนั้นอยู่ในตัวทุกๆ คน  ถ้าเมื่อไรค้นพบธรรม เมื่อนั้นท่านก็คือพระพุทธะบนดินที่บริสุทธิ์และถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเอาแต่ไหว้ เอาแต่เคารพผู้อื่นว่าศักดิ์สิทธิ์จังเลย แล้วตัวเราล่ะ ทำไมไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยดี ไม่เคยน่าเคารพเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไหนบอกว่ารักความดีไง ไหนบอกว่าชอบความดีไง ทำไมถึงไม่ทำ รักจริงก็ต้องทำจริง ไม่ใช่พูดได้แต่ทำไม่ได้ ใช่ไหมศิษย์น้อง (ใช่) 
วันนี้ศิษย์พี่มาเข้มไปหน่อย แต่เข้มแล้วอยากให้ทำเป็นนะ จริงไหม เราไหว้พระเพราะเห็นว่าท่านดี เราไปวัด เพราะสงบ แล้วทำไมตัวเรานี้สงบไม่เป็น ร่มเย็นไม่เป็น ดีไม่เป็นหรือ จึงต้องพึ่งพระข้างนอกตลอด ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่ง แล้วถ้าเราพึ่งตัวเองได้ เราก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเป็นพุทธะได้ คนรอบข้างเราก็เป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเป็นมาร คนรอบข้างก็เป็นมาร ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเห็นเขาเป็นพระเราก็เป็น  (พระ) เห็นเขาเป็นมารเราก็เป็น (มาร)  ฉะนั้นชีวิตเริ่มมาแล้ว จะจบลงด้วยอะไร ไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่คนต่อว่า ไม่ใช่คนขีดเส้น แต่เราต้องขีดเส้นและกำหนดด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  อยากมีแฟนก็ยังต้องหาแฟนดีๆ อยากมีงานก็หางานดีๆ อยากมีเพื่อนก็อยากหาเพื่อนดีๆ แต่ตัวเองไม่ดี บ้าไหม (บ้า)  โง่ไหม (โง่)  ตัวเองที่โง่ ที่บ้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อใดท่านดับขันธ์แล้ว อย่าถือตัวท่าน แต่ให้ถือธรรม ซึ่งธรรมนั้นไม่ใช่มีอยู่ในตัวพระองค์ แต่มีอยู่ในตัวเรา เราจะเลือกธรรมหรือเลือกกิเลส
สอนให้เราเมตตา อ่อนน้อม สุภาพ ซื่อตรง จริงใจ รับศีลห้ามาปฏิบัติได้ครบหรือไม่ ไม่ครบจริงไหม (จริง)  ทำไมมนุษย์ทุกคนพูดเหมือนกันหมด ชอบดี ชอบหลวงพ่อองค์นั้นดี ไปไหว้ที่โน้นดี ไปที่นั้นสงบ แต่ที่ใจไม่เห็นดีไม่เห็นสงบเลย ใช่ไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หาได้ในตัวเรา ศีล สมาธิ ปัญญา จบได้ที่ตัวเรา
สิ่งใดเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั่นเป็นมรรคผลนิพพานได้ในตัวเรา แต่อยู่ที่ว่าเราตัวนี้ เมื่อโดนกระทบจะก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ หรือเมื่อถูกกระทบจะก่อเกิดเป็นธรรม เข้าใจธรรม แจ้งในธรรม และวางในธรรม วางในตัวเท่านั้นเองนะศิษย์น้อง ใช่ไหม (ใช่)  ที่ถูกเขาว่าแล้วโกรธก็เพราะรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปรับ ที่ถูกเขาดูถูกแล้วเสียใจ เจ็บใจ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องเจ็บใจ ดูถูกดีแล้วดีกว่าดูผิด เมื่อไรยังยึดมั่นก็แสดงว่าเรายังไม่ปล่อยว่าง แต่ธรรมสอนให้เราให้ไม่ใช่หรือ ธรรมสอนให้เราให้ ให้จนไม่มีอะไรให้ยึดถือ เพราะความยึดมั่นถือมั่นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไปแล้วนะ ฉะนั้นถึงเวลาเลือกธรรมอย่าเลือกกิเลส เลือกความถูกต้อง อย่าเลือกตามใจตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์น้อง ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องจะไม่ได้เป็นพุทธะแต่จะเป็นพญามาร ที่เวียนวายตายเกิดในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่จบสิ้น ฉะนั้นคิดไตร่ตรองและพิจารณาให้ดี ไปแล้ว








วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙   สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อย่าสั่งสมเหตุปัจจัยนานาทุกข์         ใช้สติในธรรมปลุกปัญญาตื่น
อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์หมื่น       หลงดาษดื่นหนึ่งคนตื่นพาพ้นภัย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

          บนเส้นทางแสงธรรม  จะบำเพ็ญน้อมนำให้บุญเรียงราย  ดั่งพงศาธรรมฝากไว้  สันติพบภายในใจ  เยือกเย็นเหมือนธรรม 
          ใจจ้าเป็นแสงทอง  การเบียดเบียนครอบครอง  หายไปวันวาน  วนเวียนเกิดตายสังสาร[๒]  เมฆก้อนนั้นในเงาจันทร์ไม่มีหน้าตา 
*แสงแห่งธรรมปรกใจทางแห่งปรมัตถ์[๓]  ความแจ้งใดไม่ชัดไปยิ่งกว่า  มุ่งสู่ทางหลุดพ้นจะดีไหม  ใช้ชีวิตอรรถา  แสงมามืดก็พลันหายไป  พบธรรม ณ ใจ 
          ธรรมสบายสายลม  กางใบเรือล้อลมให้ลมพาไป  คุณธรรมฝากไว้  ถึงวันนี้ยากเท่าไร  ก้าวไปด้วยกัน  (ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : สัญญากาสะลอง
ชื่อเพลง : แสงธรรมแสงทอง



[๒] สังสาร   การเวียนว่ายตายเกิด
[๓] ปรมัตถ์  ๑. ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน
                   ๒. ความหมายสูงสุด, ความหมายที่แท้จริง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นั่งฟังธรรมแล้วสบายใจหรือไม่ ถ้านั่งแล้วสบายใจก็เรียกว่าบุญ นั่งฟังธรรมแล้วใจหม่นหมองก็เรียกบาป บุญคือ เครื่องชำระใจให้ผ่องใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้านั่งฟังธรรมแล้วยิ่งผ่องใสก็แปลว่านั่งแล้วได้บุญ แต่ถ้านั่งแล้วหดหู่ นั่งไปก็ได้บาป
“อย่าสั่งสมเหตุปัจจัยนานาทุกข์      ใช้สติในธรรมปลุกปัญญาตื่น
อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์หมื่น     หลงดาษดื่นหนึ่งคนตื่นพาพ้นภัย
หลายคนบอกว่าอยู่ในโลกเรียนหนังสือก็หนักแล้ว ทำงานหาเงินในโลกก็หนักแล้ว แล้วให้มาเรียนธรรมอีก หนักจังเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วมีคนเคยคิดถามหรือไม่ว่า ทำไมต้องมาเรียนธรรมะ ถ้าอาจารย์ถามว่าเรียนวิชาหาเงินให้รวยๆ เอาหรือไม่ (เอา)  แต่บอกว่าเรียนธรรมเพื่อพ้นทุกข์
เอาหรือไม่ (เอา)  เรียนแล้วพ้นทุกข์หรือยัง

หลายคนบอกอาจารย์ว่า เรียนทางโลกก็ยากและหนักแล้ว ไม่ใช่จะเข้าใจง่ายๆ บางทีเรียนไปก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับว่า ศิษย์เคยไหมเวลาที่ทำงานอยู่กับคนทางโลก บางครั้งคนบางคนทำงานเหมือนกับเรา เขาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเรากลับย่ำอยู่กับที่ เป็นไหม (เป็น)  คนบางคนไม่เคยถูกด่าเลย แต่ทำไมเราจึงถูกด่าเช้าด่าเย็น  เป็นไหม (เป็น) 
เคยไหมเวลาเรียนหนังสือ เพื่อนก็เรียนเหมือนกับเรา ครูก็คนเดียวกัน ทำไมเพื่อนสอบได้ที่หนึ่ง แต่เรากลับสอบได้ที่ห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตกลงว่าเกิดจากอะไร ฟ้าเป็นผู้กำหนดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วใครเป็นผู้ทำ (ตัวเราเอง)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าชีวิตที่เราพบทุกวันนี้คือสิ่งที่เราทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นชีวิตต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  โทษฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  โทษคนได้ไหม (ไม่ได้)  ขอฟ้าได้ไหม ขอให้โชคดี แต่ด่าเขาทุกวัน แล้วเราจะโชคดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นก่อนจะขอคนอื่น ก่อนจะโทษคนอื่น เราต้องถามตัวเราเองก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แปลว่าทุกเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าตัวเรานี้ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราเรียนอะไรมาตั้งมากมาย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเรียนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราต้องเรียนธรรม และธรรมแปลว่าอะไร ถ้าแบบเข้าใจง่ายๆ ธรรมแปลว่าธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวเรามีธรรมชาติไหม (มี)  ฉะนั้นถ้าเราเรียนธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็จะเข้าใจตัวเอง เพราะเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็จะเข้าใจตัวเอง ถ้าเราศึกษาธรรม เราก็จะได้ศึกษา ตัวเอง  แล้วเราอยากศึกษาตัวเราไหม (อยาก)  แล้วทำไมเวลาให้มาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เราถึงไม่เอา ทั้งที่ต่อไปนี้เราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจะทำเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นถามต่ออีกว่า เรียนธรรมเพื่อเข้าใจตัวเองแล้วจะช่วยอะไรได้  ศิษย์มักจะบอกว่า ศิษย์ก็ฟังมาตั้งนาน รู้อะไรมากมาย แต่ไม่เห็นจะช่วยให้ศิษย์ได้อะไรเลย จะพ้นทุกข์สักเปราะ  บางทียังไม่ค่อยมีเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างธรรมง่ายๆ ที่อาจารย์เรียนธรรมในตัวเอง แล้วธรรมนั้นทำให้อาจารย์พ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ศิษย์อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ธรรมนั้นง่ายๆ คือ “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็มีความดับ”
ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นใครจะด่าเรา ใครจะว่าเราขนาดไหน คิดไว้เสมอว่า “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ” เพราะจะมีใครที่ด่าเราตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีไม่มีวันเว้น มีบ้างไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติของความเป็นคนหรือไม่ (เข้าใจ)  ฉะนั้นการเข้าใจธรรม การเข้าใจชีวิตจะช่วยให้เราพ้นทุกข์และอยู่กับคนได้อย่างเป็นสุข
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม นักเรียนกราบรับพระอาจารย์) 
เสียงดังแค่นี้เองหรือ (นักเรียนจึงตอบพระอาจารย์ด้วยเสียงที่ดังขึ้น)  ศิษย์เอยถ้าศิษย์มั่นใจว่าศิษย์พูดเสียงดังเต็มที่แล้ว ดีแล้วก็ไม่เห็นต้องหวั่นไหวอะไร แต่ว่าที่หวั่นไหวอยู่แปลว่าไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  พอถูกอาจารย์ทักก็คิดว่า “อ้าวเอาไงดี อย่างนี้ร้องไปแทบตายก็ไม่ถูกใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่ในโลกจะทำให้คนถูกใจทุกคนเป็นไปไม่ได้  เชื่อไหมถ้าศิษย์ร้องจนดังสุดเสียง แต่เขาบอกว่า “แค่นี้เองหรือ” ศิษย์ก็จะร้องจนหมดเสียง แล้วก็เริ่มตีโพยตีพายว่า “จะเอาอะไรกันนักกันหนา” ถูกหรือไม่ (ถูก) 
เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นว่าบางครั้งมนุษย์มักจะสงสัยว่าทำไมเราต้องศึกษาธรรม แล้วสรุปว่าธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็เข้าใจชีวิตเพราะชีวิตก็คือส่วนหนึ่งของธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตได้อย่างไร อาจารย์ก็เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าเราเข้าใจว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ก็แปลว่าถึงแม้เราจะสวย จะดี จะเก่ง จะรวยขนาดไหน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง สวยก็มีสวยกว่า เก่งก็มีเก่งกว่า ดีก็มีดีกว่า ร้ายก็มีร้ายกว่า แล้วในคำว่าร้ายกว่าอาจจะมีวันที่เปลี่ยนแปลง จากร้ายเป็นดี และจากรวยก็อาจจะกลายเป็นจนก็ได้
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งศิษย์ ดำเนินชีวิตอยู่กำลังมีเงิน อยู่ๆ เงินหายไป วันนี้สามีอยู่ พรุ่งนี้สามีไม่อยู่ ศิษย์จะคิดได้ว่า “โอ้ อาจารย์จี้กงบอกแล้ว สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ” ถูกรือไม่ (ถูก)  ก่อนมาบ้านยังมีอยู่แต่พอกลับไป ปรากฏว่าวันนี้บ้านหาย “เออ อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินอยู่ มีรถขับมาชน พอตื่นมาเหลือขาข้างเดียว “เออ อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความ (ดับ)” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ดับช้าหรือดับเร็วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เหมือนที่อาจารย์บอกศิษย์ ถ้าเราอยากรู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร ก็ต้องถามปัจจุบัน หว่านพืชเช่นใด ได้รับผลเช่นนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์หว่านพืชในเรื่องดี หว่านพืชในเรื่องบุญ ศิษย์ก็ต้องได้รับบุญกุศลความดีงาม  แต่ถ้าศิษย์หว่านพืชในเรื่องบาป กรรมชั่ว อบายมุข ผลที่ได้ก็คือความทุกข์ ความเจ็บปวด และการหนีไม่พ้นการเวียนว่ายและรับผลแห่งเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการเข้าใจธรรมจะช่วยชำระล้างให้เราไม่ติดบุญแล้วก็ไม่สร้างบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมมากๆ เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ต้องเกิดมารับบุญและรับบาปกรรมอีก ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าออกจากสถานธรรมแล้ว ถูกรถชนแล้วตายทันทีก็คิดว่า “อาจารย์จี้กงบอกแล้ว สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” เชื่อไหมว่าขณะจิตที่หมดห่วง ไม่ยึดติด ไม่คิดบาป ไม่คิดโทษ นั่นจะทำให้เราพบทางสว่าง เพราะศิษย์เพิ่งพูดเองว่า ทางใดที่มืดมนทางนั้นเรียกว่าบาป เรียกว่ากรรมชั่ว ทางใดที่ทำให้สว่างบนสุดทางนั้นเรียกว่าบุญ เรียกว่าสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์บอกว่า ทางโลกบุญยังต้องทำ บาปก็ยังสร้าง  แต่ถ้าอีกทาง ไม่ต้องสร้างบุญ ไม่ต้องสร้างบาป แต่อยู่นิ่งๆ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรมแล้วพ้นทุกข์ทันที นี่เขาเรียกว่าทางธรรม เพราะการสร้างบุญศิษย์ยังต้องทำถึงจะได้บุญ  ถ้าศิษย์ทำชั่วศิษย์ต้องไปทำถึงจะได้ชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทางธรรมแค่มองให้เห็นธรรมในตัวตน มองให้เห็นจนไม่ยึดถือ เมื่อไรที่เข้าถึงธรรมแล้วปล่อยวางความยึดถือนั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม แต่เมื่อใดมองแล้วยังยึดมั่นถือมั่นนั่นเรียกว่ากรรม ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) 
อาจารย์ถามว่า ตอนไหนที่ศิษย์อยากไปทำบุญคือตอนที่ศิษย์รู้สึกว่าบาปเยอะ รู้สึกว่าบาปหนาเหลือเกิน การไปทำบุญก็คือการสละให้ อุทิศให้ ถึงจะเรียกบุญ แต่ถ้าเกิดบาปก็คือต้องไปทำชั่ว ทำไม่ดีตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ถึงจะได้บาป แล้วผลของบาปก็คือภูมิวิถีหก ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวก็คือการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ยังมีอีกทางหนึ่งคือไม่ต้องทำอะไรอยู่นิ่งพิจารณาจนบังเกิดธรรมเห็นแจ้ง ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ง่ายหรือไม่ (ง่าย)  แต่ศิษย์ก็จะบอกว่า “มันทำยากนะอาจารย์” เพราะถ้าบอกว่า “ออกไปแล้วโดนรถชนตายทันที” ทำใจได้หรือไม่ ถ้าปล่อยวางได้ก็คือธรรม แต่ถ้ายึดมั่นคือกรรม
ยังมีอะไรที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมะได้อีก ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่า “สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี” แต่ศิษย์ก็บอกว่า “อาจารย์ถ้าเกิดออกไปแล้วโดนรถชนตายทันทีมันทำใจไม่ได้” อาจารย์อยากให้ศิษย์คิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี เพราะการคิดดี การคิดให้ การคิดบริสุทธิ์ จะเป็นหนทางบุญ แต่ถ้าคิดว่า “ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเราต้องตาย” คิดแล้วหม่นหมองมันจึงกลายเป็นหนทางบาป แต่ถ้าชั่วขณะที่ศิษย์โดนแล้วศิษย์บอกว่า “ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว สิ้นทุกข์แล้ว”  ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นถ้าโดนตบก็คิดว่าดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว ได้หรือไม่ (ได้)
ภรรยาหนีไปแล้ว “ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว” ได้หรือไม่ (ได้) 
ถูกคนเอาเงินไปแล้วไม่คืน “ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว” ได้หรือไม่ (ได้)  ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ถ้าศิษย์บอกว่ายาก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรม  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ยาก ศิษย์จะต้องไปให้ถึงฟากฝั่งแห่งธรรม และพบธรรมให้ได้ ธรรมนั้นคือการคลาย จาง และวาง นั่นแหละศิษย์จะพ้นกรรมทั้งหลายในโลกนี้ เกิดมาชาตินี้เพื่อสิ้นกรรมแล้ว ไม่เอาหรือ
หากว่าธรรมสองข้อนี้ ยังไม่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์และเข้าถึงธรรมได้ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราเกิดมาไม่เคยเจ็บ เป็นไปได้ไหมที่คนเราเกิดมาไม่เคยโดนด่า มีไหมที่คนเราเกิดมาจะไม่ตาย (ไม่มี)  มีไหมที่คนเราเกิดมาไม่ถูกสามีทิ้ง
ไม่ถูกภรรยาทิ้ง (ไม่มี)  มีไหมที่อยู่บนโลกนี้ ถูกคนยืมเงินแล้วไม่ใช้ (มี)  ฉะนั้นถ้าเรายังทำใจไม่ได้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี อย่างนั้นศิษย์ก็จำต่อไปว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และในโลกนี้ไม่มีชีวิตใครที่สมบูรณ์
ทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีได้ก็มีเสีย มีชมก็มี (ด่า)  มีรักก็มี (เกลียด)
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งโดนคนเกลียดก็คิดว่า “อาจารย์จี้กงบอกแล้ว” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะได้ไม่ต้องไปสร้างกรรม  
อาจารย์จะมาบอกวิธีที่อยู่อย่างไรให้สิ้นกรรม เพราะอยู่ในโลกเราหนีไม่พ้นเดี๋ยวสร้างกรรมกับคนนั้น เดี๋ยวก่อเวรกับคนนี้ เดี๋ยวด่าคนนั้น แช่งคนนี้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเวรกรรมนี้หนีไม่พ้น ใครรับ (ตัวเรา)  แล้วก็มาร้องไห้ อาจารย์ช่วยหนูที ถามว่าใครเป็นคนทำ (ตัวเรา)  ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะแก้ ควรแก้ตั้งแต่ต้นเลย คือไม่ให้ศิษย์สร้างเหตุ ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  มีอีกข้อหนึ่ง เมื่อไม่สมบูรณ์แบบ ศิษย์จำไว้ว่า ชีวิตเรามีอยู่ขณะเดียว คือ ขณะนี้ บางครั้งที่เรารับไม่ได้เพราะ มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำไมถึงเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมอีกอันหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำเตือนก็คือมีแต่ขณะนี้ พอถึงพรุ่งนี้ก็เป็นขณะนี้ของพรุ่งนี้ ใช่ไหม (ใช่) เรามัวหลงกับอดีตไหม (ไม่) ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ แล้วเมื่อเราเข้าใจธรรมทั้งหมดนี้ เราก็จะรู้ว่า ใดๆ ในโลกที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อใดเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองเมื่อนั้นเข้าใจคำว่าธรรมในตัวตน พบธรรมในตัวตน ไม่ก่อกรรมอีกต่อไป ดีหรือเปล่า (ดี)  ฉะนั้นถ้าเดินออกไปแล้ว สามีบอกว่า “ทำไมกลับมาดึกขนาดนี้ ฟังธรรมภาษาอะไร” เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ให้มองเสียว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ให้เกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถูกสามีว่าก็ (ดี)  เพราะถึงเขาว่า ถ้าเราเฉยๆ ไว้ ถึงเวลาเขาก็จบเอง ฉะนั้นเราจะได้ไม่ต้องมาก่อบาปกรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์รู้ถึงขนาดนี้พอถึงเวลาศิษย์มีปัญญาคิดได้ตลอดไหม ปัญญาเกิดได้ด้วยการพินิจพิจารณา ด้วยการเพ่งพิจารณาจนบังเกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้าใจธรรมแล้วเกิดปัญญาแล้ว มันดีตรงนี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าถูกคนเขาตบหน้า
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมา)
การเข้าใจธรรมแล้วเกิดปัญญาจะดีตรงไหน อาจารย์จะบอกง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์ตบหน้าเขา แล้วศิษย์ก็คิดในใจว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ ทุกข์สิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ถูกตบบ้างก็ไม่เป็นไร ถามว่ามันล้างหมดใจไหม (ไม่)  เพราะเรายังคิดจึงยังไม่หมดใจ ถ้าทำตามคำสอนของอาจารย์เราไม่คิด เกิดแล้วดับไป แล้วเราไม่คิด มันก็จะ (ไม่มี)  แล้วทำได้อย่างนั้นไหม แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทำไมคนเราถึงต้องมีปัญญารู้ไหม เพราะว่าการแค่ถูกตบแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร ให้อภัยเขา” ความคิดที่ว่าไม่เป็นไรอดทนไว้ มันล้างไม่หมดใจ คำว่าอดทน คำว่าอภัย คำว่าใจเย็นๆ เข้าไว้ มันยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่สุดแห่งธรรมก็คือ มนุษย์บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ปัญญาจะช่วยล้างจนหมดใจ ไม่ใช่ล้างเพราะว่าอภัย ไม่ใช่ล้างเพราะว่าอดทน ไม่ใช่ล้างเพราะใจเย็น แต่ล้างเพราะเข้าใจความเป็นธรรมของคน  ฉะนั้นศึกษาแล้วไม่ใช่แค่เข้าใจธรรมแต่ต้องนำธรรมมาพิจารณาจนเกิดปัญญา แล้วล้างกิเลสจนสิ้น ไม่เหลืออะไรค้างคาในใจเลย  ฉะนั้นถ้าถูกตบต้องจบตั้งแต่ถูกตบ แต่คนเราไม่ใช่ พอถูกตบแล้วเราจำ จำแล้วก็ด่า ด่าแล้วก็แค้น ก็เลยกลายเป็นบาปกรรมจองเวรจองกรรม แล้วกรรมนั้นก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจชีวิต แล้วความเข้าใจชีวิตจะก่อเกิดปัญญาชำระล้างใจให้เรากลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้ ที่ไม่มีคำว่าอดทนข่มใจ แต่มันจะโล่งโปร่งและจบในทันทีที่ถูกตบ แล้วเราทำได้อย่างนั้นไหม
พระพุทธะจึงสอนต่ออีกว่านอกจากจะเข้าใจธรรมแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือทำอย่างไรให้จิตมีกำลังที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้แล้วเข้าใจ ธรรม แล้วฟันฝ่าจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ นั่นก็คือต้องมีสติรู้ ความรู้จะก่อเกิดปัญญา ความรู้จะก่อเกิดการเห็นแจ้งในจิตของตนและมองเห็นแม้กระทั่งความคิด สติทำให้พลังของใจเราแข็งแรงพอ เห็นแล้วตามอารมณ์หรือไม่ เห็นแล้วมีโกรธหรือไม่ เห็นแล้วมีเกลียด เห็นแล้วมีโมโห เห็นแล้วมีชิงชังหรือไม่ ถ้าเห็นแล้วมีโกรธ มีเกลียด มีโมโหเราจะทำอย่างไร (ปล่อย วาง, อดทน มีสติ คิดก่อน ตอนที่ถูกกระทำ ถ้ามีสติแล้วเราก็ยับยั้งได้ คิดได้ เราก็ทำใจได้  เหตุการณ์ก็เบาลง)  เขาบอกให้มีสติแล้ว ระมัดระวังความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เคยฝึก ถ้าถูกกระทบ  ความคิดง่ายที่จะปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน และง่ายที่จะตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นการมีสติเพื่อรู้เท่าทันใจ รู้แล้วไม่ปรุง รู้แล้วไม่วิ่งตาม รู้แล้วไม่ตกเป็นทาสกิเลสตัณหา ก็แค่รู้ก็แค่นั้น เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวก็ดับ แค่รู้อย่าเผลอไปโกรธ (มีสติรู้ทัน)  เมื่อถูกตบอาจารย์ถามว่าระหว่างเป็นทุกข์กับรู้ทุกข์ อย่างไหนเจ็บกว่า (เป็นทุกข์)  ระหว่างถูกตีกับรู้ว่าโดนตีอย่างไหนเจ็บกว่า (ถูกตี) 
เวลาเราถูกทำร้ายเราควรแค่รู้ว่าถูกทำร้าย มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบวิ่งวนอยู่กับความคิด และความคิดก็ง่ายที่จะฟุ้งซ่านเข้าข้างตัวเองตามเหตุผลของตัวเอง ฉะนั้นถ้ามีสติแล้วยิ่งไปตามความคิด ความคิดก็จะไหลง่ายที่จะปรุงแต่ง
เมื่อมีสติแล้วเราไม่ควรไหลไปตามความคิด ไม่วิ่งไปตามความคิด (มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินไปหลังห้อง แล้วเดินกลับมา อาจารย์ถามว่า “ข้างหลังมีผู้ชายกี่คน” ศิษย์จะตอบได้หรือไม่ การมีสติสิ่งสำคัญก็คือเวลาเราพบเรื่องราวอะไรเราอย่าปล่อยให้มันผ่านไป แล้วก็ไม่ทันมีสติ แต่เราต้องรู้จักนิ่งด้วย บางอย่างเราต้องรู้จักนิ่งก่อน ก่อนที่จะปล่อยมันผ่านไป นิ่งแล้วไตร่ตรองจะได้ไม่ตกไปเป็นตะกอนสั่งสมก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ เคยหรือไม่ ถ้าเดินผ่านไปแล้ว เดินกลับมา เราจำได้เลยว่า คนนี้ทำหน้าน่าเกลียดใส่เรา เป็นเพราะเรามีสติ หรือเพราะมองไม่เห็น หรือเพราะไม่นิ่ง
(ถ้าเราถูกตบก็ต้องปล่อยวาง เพราะถูกตบเพราะมีเวรมีกรรมต่อกัน)  ที่พยายามปล่อยวางเพราะศิษย์ไปยึดเขาจนมากไปหรือไม่ ศิษย์คาดหวังเขาจนมากเกินไปหรือไม่ ถ้าจะปล่อยต้องปล่อยให้ถูก ไม่ใช่ปล่อยเขา แต่ต้องปล่อยจากใจเรา เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดดับอยู่แล้ว
(เพราะเราทำผิดต่อเขา เขาจึงทำเราได้ เราต้องปล่อยวาง ไม่โกรธแค้น)  บางคนคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเราเคยไปทำอะไรเขา เขาถึงมาทำกับเราแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดแบบนี้ตลอด บางทีก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่
(ดับทุกข์ได้ โดยการมีสติ)  เมื่อเวลาเรามีทุกข์ให้เรานี้ มีสติ และมีปัญญา เห็นแจ้งในธรรม ถ้าเรามีปัญญาเห็นแจ้งในธรรมนี้ จำไว้นะศิษย์ ท่องไว้เป็นมนต์เลยก็ได้ สำหรับใช้ชีวิตเลยรับรองศิษย์จะไม่เกี่ยวกรรมกับใคร
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ 
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
มีแต่ขณะนี้
ใดๆในโลกล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้เราจะสามารถปลดเปลื้อง การเกี่ยวกรรมได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์ก็พยายามท่องนะ  แต่ถึงเวลาศิษย์ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเวลาเขามากระทบทีไร ศิษย์ก็โกรธทุกที เวลามากระทบทีไร ศิษย์ก็ด่าทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราจะเอาชนะกิเลส ตัณหา และความอยากในโลกได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า สิ่งใดที่มนุษย์พยายามเข้าไปยึดถือ  ไม่มีอะไรที่ไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้โทษ พยายามยึดเท่าไรก็มีทุกข์เท่านั้น โทษก็เท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าอยู่ในโลกไม่ต้องอยากอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว อยากหาใครสักคนหนึ่งมาเป็นคู่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเกิดความอยากมาก ทุกข์ก็หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตัณหาไม่มีวันขจัดสิ้น ทุกข์ก็ไม่มีวันหมดสิ้นไปจากชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไปผูกสัมพันธ์กับคนๆ หนึ่งแล้วจะไม่มีทุกข์ไม่มีโทษนั้น เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่ด้วยกันกับเขามีปัญหาหรือไม่ (มี)  ทะเลาะกันหรือไม่ (ทะเลาะ)  มีทุกข์หรือไม่ (มี)  มีสุขหรือไม่ (มี)  อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)
บางทีเรารู้อยู่เต็มอกนะว่าทุกข์ แต่ก็ยังทุกข์ไม่พอเราก็ยังเพิ่มทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราพอไหม (ไม่พอ)  อยากได้อีก ใช่หรือไม่ แล้วทุกข์ จากทุกข์หนึ่งก็เป็น (สอง)  จากทุกข์สองก็เป็น (สาม)  แล้วทุกข์สามพอหรือไม่ (ไม่พอ)  เอาอีกไหม (ไม่เอา)  
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากถามศิษย์ว่า ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดความอยากมาเต็มที่ แล้วค่อยมาพยายามเข้าใจทุกข์ แล้วพยายามขจัดทุกข์ จะไหวหรือไม่ (ไม่ไหว)  ถ้าอย่างนั้นควรยึดไหม (ไม่ยึด)  ควรอยากไหม (ไม่อยาก)  แล้วตอนนี้ทั้งยึดทั้งอยากหรือไม่ (ทั้งยึดทั้งอยาก) 
(ปลดปล่อยความทุกข์ทุกอย่าง ไม่ต้องเอาแล้ว ทิ้งความทุกข์เลย ไม่ผูกมัด ) ลูกก็ส่วนลูก สามีก็ส่วนสามี ทิ้งไปเลย อย่าไปเพิ่มสิ่งใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  มีแค่นี้พอแล้ว แต่ทิ้งนี่คือทิ้งเขาเลยหรือ (ไม่เอามาผูกมัด อะไรทุกข์ก็ไม่เอา)  ไม่เอามาผูกมัด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ถ้าเขาทำให้ทุกข์ก็ปล่อยวางเพราะเป็นธรรมดาอยู่ด้วยกันมีชมก็มีติใช่ไหม มีถูกใจก็มีไม่ถูกใจ ใช่ไหม (ใช่) 
วิธีที่อาจารย์จะบอกอีกอันหนึ่งคือเมื่อเราต้องทนอยู่กับสภาพที่เราหนีไม่พ้น เราจะทำอย่างไรที่เราจะไม่ก่อเกิดกรรม และไม่ก่อเกิดทุกข์เพิ่ม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในธรรมนี้ก็มีความไม่เที่ยงและในความไม่เที่ยงก็มีความทุกข์เป็นธรรมดา แล้วในความทุกข์อันเป็นธรรมดาก็มีความเปลี่ยนแปลงจนหาที่สุดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าร่างกายนี้คือธรรมชาติที่ต้องเปลี่ยนแปลง ในความเปลี่ยนแปลงนั้นเรียกอีกอย่างว่าทุกข์ ไม่เที่ยง  เมื่อเรารู้ขนาดนี้แล้วเราจะยึดร่างกายนี้ไหม (ไม่ยึด)   ฉะนั้นเจ็บก็ไม่ (ทุกข์)  ตายก็ไม่ (ทุกข์)  พูดได้ทำให้ได้นะ  พระพุทธะจึงสอนว่าให้เรารู้แต่ไม่ได้ให้เราเป็น ให้เราเห็นแต่ไม่ได้ให้เราเอา  เพราะตัวนี้เป็นธรรมชาติถึงที่สุดธรรมชาตินี้ก็ต้องคืนกลับสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ เราห้ามตาย ห้ามแก่ ห้ามเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อห้ามไม่ได้เราควรจะเป็นทุกข์หรือแค่รู้ทุกข์ (รู้ทุกข์)  เราควรแค่รู้เจ็บหรือเราควรจะเจ็บ (รู้เจ็บ) 
ฉะนั้นเราจึงต้องมองให้ออกว่าไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของธรรมชาตินี้ได้ เพราะตัวเรานี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ นี่ก็ธรรมชาติ โน่นก็ธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเผลอทึกทักนำธรรมชาติมาเป็นเรา เมื่อมาเป็นเราแล้วเวลามันทุกข์เราก็เจ็บไหม เมื่อตายเราก็เจ็บไหม เมื่อถูกด่าเราก็เจ็บไหม  แต่ธรรมชาติสอนให้เรารู้อีกว่าถ้าเมื่อไรเราเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นไม่ได้มีไว้ให้เรายึดแต่มีไว้เพื่อให้เราเรียนรู้ช่วงใช้และปล่อยวาง เพราะเมื่อไรที่เรายึดจะไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ เป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นเราทำได้ไหม (ได้)  เวลาเราพบอะไรก็แค่รู้แต่อย่าเผลอเป็น แค่เห็นแต่อย่าเผลอเอา  ตอบได้เก่งมากเลยนะศิษย์ แต่พอถึงเวลาทำได้อย่างนี้ไหม (ได้)  ศิษย์จำไว้นะตัวเรานี้แขวนชื่อว่าอะไร มีชื่อมากมายเต็มไปหมดเลย จริงๆ ใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  แต่มันคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติและธรรมชาติก็สอนให้เรารู้ว่าธรรมชาติไม่อยู่ในอำนาจของใคร ถ้ามันเป็นของศิษย์จริง ศิษย์สั่งให้มันไม่เจ็บ ไม่แก่ได้ไหม ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติจริงก็คือไม่สามารถอยู่ในอำนาจใครได้ ใครก็บังคับธรรมชาตินี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงขึ้นไปสูงได้ก็สูงได้แค่ชั่วคราว แต่สูงได้ตลอดไหม (ไม่ได้)  และในธรรมชาตินี้ศิษย์จะต้องรู้ไว้อีกก็คือมันเป็นของเราไหม ใช่ของเราไหม
ฉะนั้นถ้าเราถูกใครตีเรา ก็บอกว่า “อ๋อ เขาตีธรรมชาติ ไม่ได้ตีเรา” เวลาเราโดนใครด่า “อ๋อ เขาด่าธรรมชาติ ไม่ได้ด่าเรา” เพราะถ้าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ เราสั่งอะไรมันก็ต้องฟัง  แต่พอถึงเวลาร่างกายนี้กลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาตัวเราที่แท้ได้ไหม  เมื่อมันไม่ใช่ของเรา เวลาเราบอกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นตามความต้องการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นพอธรรมชาติจะแก่ ธรรมชาติจะเจ็บ เราก็บอกว่า “อ๋อ ธรรมชาติมันเจ็บ มันแก่” แต่เรามักจะเป็นอย่างไร (ฉันเจ็บ ฉันแก่)  เราก็ทึกทักเอาธรรมชาติมาเป็นของเราเอง คนนี้ก็ของเรา คนนั้นก็ของเรา แล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรม อ.ลี้ จ.ลำพูน 菩緣ผู่เอวี๋ยน”)
เอวี๋ยน บุญสัมพันธ์ เพราะว่าเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคนร่วมกัน บอกเขาด้วย งานธรรมสิ่งสำคัญคือใจสู้ไม่ถอย ใช่หรือไม่ ลำบากไม่ท้อ แล้วบุญสัมพันธ์ ที่ร่วมกันมาก็จะได้เดินไปพร้อมๆ กันได้ ใช่หรือไม่
(วงคำที่มีความหมายดีๆ)  ศิษย์เอ๋ย คำมงคลไม่สู้การปฏิบัติด้วยมงคล มีศีล มีธรรม อยู่ที่ไหนก็มงคล ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บำเพ็ญธรรมต้องใช้ปัญญา อย่ามัวแต่ใช้ความคิดกับอารมณ์ เพราะความคิดกับอารมณ์มันทำให้เราหลงผิดได้
(พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลให้คนที่ตอบคำถาม)  ตอบแล้วได้รางวัลแล้วเอาไปทำอะไรต่อ (เอาไปรับประทาน)  ไม่เอาไปบอกบุญต่อหรือ (เอาไปบอกบุญต่อ)  เอาไปให้ใคร (ให้แฟน)  ศิษย์เอย เอาไปแบ่งบุญก็ได้นะ เอาไปเสริมบุญก็ได้ ใช่หรือไม่ ด้วยการรู้จักเอาไปให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่เก็บไว้กับตัวเพียงอย่างเดียว ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้คือการเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้ก็ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนบอกว่าสิ่งที่อาจารย์บอกให้เอาไปปฏิบัติบางทีก็ยาก ถ้าให้จำสิ่งที่อาจารย์บอกบางทีก็ลืม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้มีสติบางทีสติก็หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์มักจะสอนให้เรารู้จักให้ทาน หรือเรียกว่าเดินสายบุญ การเดินสายบุญจะช่วยให้เราได้ปฏิบัติธรรมอย่างไร การทำทานช่วยให้เราปฏิบัติธรรมได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นได้แอปเปิลมาแล้วรู้จักให้คนอื่นต่อ อย่างนี้เรียกว่าทำทานใช่ไหม (ใช่)  ได้บุญไหม (ได้) 
บุญคือสิ่งที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าการมีแอปเปิลแล้วทำให้ตระหนี่ถี่เหนียว สู้ให้แอปเปิลคนอื่นแล้วกลายเป็นคนใจกว้างดีกว่าไหม (ดี)  ถ้ามีแอปเปิลแล้วเป็นคนคับแคบ สู้ให้แอปเปิลแล้วใจกว้างยิ่งขึ้น จะให้ไหม (ให้)  อาจารย์ถามว่า ถ้าเขาได้แอปเปิลมาแล้วอยากจะส่งต่อให้กับคนอื่น เพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวเอง เพราะการมีบางทีทำให้เราหลง เรายึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีแล้วหลง ยึด ก็ไม่เป็นบุญ ก็กลายเป็นบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าให้แล้วทำให้เราสบายใจ มีความสุขใจ เราก็ให้ดีกว่ามีไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาให้เราแล้ว เราจะทำอย่างไรให้บุญต่อบุญ ให้บุญยิ่งเกิดบุญ  สมมติเขาให้ผลไม้ศิษย์ ศิษย์ทำอย่างไร (แบ่งต่อ)  เวลาเขาให้อะไรเรามา เราก็สาธุ ศิษย์เป็นนักบุญนักเดินสายบุญ ใครทำอะไรดี ใครทำอะไรถูก ใครทำอะไรงดงาม แค่เราอนุโมทนาสาธุเราก็ได้บุญ  แล้วถ้าเราได้แอปเปิลมาแล้วเรายังส่งให้คนอื่นต่อเราก็ได้บุญ เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการเดินสายบุญง่ายไหม วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้เราเดินสายบุญได้ง่ายยิ่งขึ้นมีอะไรรู้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่อายุน้อยเดินออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์อยากเดินสายบุญไหม ถ้าคิดว่าอยู่ในโลกนี้การปฏิบัติธรรมมันยาก อย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีปฏิบัติธรรมที่ง่ายและไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วได้บุญด้วยดีกว่าได้บาป วิธีที่ง่ายที่สุดถ้าศิษย์ทำได้ตลอดชีวิตไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ได้บุญ ทำได้โดยการเดินจากนี่ไปถึงโน่นแล้วก็ยกมือไหว้ทุกๆ คน บุญที่ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน คือบุญอย่างหนึ่ง แล้วทำไม่ยาก พบใครก็ไหว้ คนที่ถูกไหว้ เมื่อเขาไหว้เราเสร็จเราทำอย่างไร (ไหว้ตอบ)  แล้วทำอย่างไรอีก (สาธุ)  สาธุแล้วก็ยินดีในบุญเขาด้วย นี่แหละคือบุญต่อบุญ ฉะนั้นเขาเดินผ่านใครไปเราก็ (สาธุ)  บุญคือสิ่งที่ชำระล้างจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเราทำด้วยความจริงใจเต็มใจอ่อนน้อมไปที่ไหนใครก็รัก
ศิษย์เดินไปแล้วไหว้และพูดด้วยว่า “สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ” เขาทำแบบนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  หันไปไหว้ผู้ใหญ่อายุมากๆ น่ารักดีออก  ง่ายไหมปฏิบัติธรรม ศิษย์พูดว่า “ขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้เราได้สร้างบุญ”  เมื่อสักครู่เขาให้เราได้ทำบุญยิ่งใหญ่ ทำบุญทั่วกว้าง  ฉะนั้นเกิดเป็นคนบุญทำไม่ยาก ขอแค่เพียงอ่อนน้อมถ่อมตน มีศีล มีธรรม มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บุญก็ไม่ไปไหน ใช่หรือไม่  ส่วนบาปตรงกันข้าม ทำบาปยากใช่ไหม ไม่ควรทำใช่หรือไม่  ฉะนั้นต่อไปเปลี่ยนจากทำบาปเป็นทำบุญดีไหม
อาจารย์ถามว่า การปฏิบัติธรรมนอกจากรู้จักให้ทาน ให้ทานก็คือเป็นคนมีศีล เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วในทาน ศีล ความอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาศิษย์มาฟังธรรมศิษย์ได้บุญ แล้วถ้าศิษย์ได้บุญแล้วศิษย์ยังเกิดจิตใจเมตตา กรุณา ซื่อตรง เที่ยงตรง เป็นการทำบุญแล้วยังรักษาชีวิตให้ประเสริฐอีกถูกหรือไม่ (ถูก) ได้บุญ ทำชีวิตให้ประเสริฐแล้วยังสามารถเอาธรรมที่เราเข้าใจ มาประจักษ์แจ้งจนเกิดปัญญาสิ้นทุกข์ด้วยดีไหม (ดี) อาจารย์ถามหน่อยเกิดเป็นคนทั้งทีจะเอาแค่บุญ หรือแค่เป็นคนประเสริฐ หรือจะสิ้นทุกข์ มีความประเสริฐด้วยแล้วก็ได้บุญด้วย 
วิธีปฏิบัติธรรมของอาจารย์จึงไม่ยาก เราสามารถปฏิบัติธรรมและทำบุญทุกๆ ที่ได้ และทำทุกๆ ที่ให้มีคุณธรรมเป็นคนประเสริฐได้ และทำทุกๆ ที่ให้มีปัญญาเห็นแจ้งได้ ขอเพียงศิษย์รู้จักเลือกทางเดินของตัวเอง ถ้าทางนั้นเป็นกรรม เป็นกิเลส เป็นทุกข์ เป็นการจองเวร ศิษย์อย่าทำ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าทำแล้วทำให้จิตผ่องใสเกิดจิตเมตตา เกิดความซื่อตรง เกิดความไม่ฉ้อฉลไม่เอาเปรียบใคร ทำให้ใจเราคิดได้ ทำให้ใจเรามีธรรม ศิษย์เลือกทำทางนั้นดีกว่าไหม แล้วชีวิตของศิษย์ชีวิตนี้จะได้เป็นการชดใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่อีกต่อ ไป ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่มีสติรู้อยู่ทุกขณะ ไม่ว่าทำ ไม่ว่าพูด อะไรมากระทบก็รักษาจิตปกติไว้ ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ จิตยิ่งปกติมากเท่าไรนั่นก็คือเข้าถึงศีลมากเท่านั้น เมื่อพบอะไรมากระทบจิต แล้วเรายังเป็นปกติได้ ยังสงบนิ่งไม่โกรธ ไม่ต้องใช้คำว่าอดทนแต่เข้าใจ ศีลจึงกลายเป็นสมาธิ แล้วเมื่อสงบนิ่งปกติแล้วยังประจักษ์แจ้งในธรรม  จนปล่อยวางได้แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ในขณะนี้เอง
ฉะนั้นเราดำเนินชีวิตเพื่อเกี่ยวกรรมหรือเราจะดำเนินชีวิตเพื่อจบสิ้นเวรกรรม (จบสิ้นเวรกรรม)  แต่ศิษย์ของอาจารย์จบสิ้นได้ไหม (ได้)  ขอเพียงไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่มัวแต่สงสารตัวเองจนไม่เห็นใจใครแล้วเหยียบย่ำชีวิตจิตใจคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติธรรมที่อาจารย์บอกยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ทุกที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าหากศิษย์เป็นคนโกรธนิดหน่อย เป็นบาปใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มีความโกรธ เกลียด โลภ หลง มันไม่ดีตรงไหน ทำไมอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีเลย  อาจารย์ถามว่าเวลาโกรธมากๆ เหมือนคนบ้า ใช่หรือเปล่า  อาจารย์ว่าเหมือนคนจุดไฟนรกในใจตัวเอง โกรธเหมือนเผาใจตัวเองไหม (เหมือน)  แล้วคิดขึ้นมาทีไร ก็เหมือนจุดไฟมาเผาตัวเองซ้ำๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโกรธบ่อยๆ จึงเรียกว่านรก ใครตายไปแล้วยังตัดความโกรธไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นนรก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วโลภมากๆ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีแล้วต่อไปนี้จะโลภอีกไหม (ไม่โลภ)  ให้จริงนะ ปกติอาจารย์เห็นศิษย์ว่าก็ต้องมีโลภบ้างนิดๆ หน่อยๆ ขอมีสักนิด ขอมีสักหน่อย ใช่หรือไม่ กิเลส อารมณ์ มีได้แต่มีแล้วต้องไม่ผิดศีล ผิดธรรม ถ้ามีแล้วผิดศีล ผิดธรรม เบียดเบียน เบียดบังชีวิตคนอื่น ก็ไม่ควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้หรือไม่ว่า สัตว์นรกอะไรที่กินไม่มีวันอิ่ม โลภไม่มีวันพอ (เปรต)  ฉะนั้นศิษย์จะกำหนดชีวิตตัวเองวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้จะไปเป็นเปรต ใช่ไหม แล้วหลงมากๆ เป็นอะไรรู้ไหม (เดรัจฉาน)  ใช่ เดรัจฉาน
ฉะนั้น โลภ โกรธ หลง คือ ผีนรก เปรต เดรัจฉาน ซึ่งหาเป็นมนุษย์ไม่ แต่ถ้ามีศีลครบ มีธรรมครบ สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วขาดปัญญาธรรม ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ขาดบุญบารมีทำอะไรก็ไม่มีใครรัก ไม่มีใครเห็นด้วย เกิดมาก็น่าสงสาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์คิดว่า ทำบุญแล้วขอให้ชาติหน้ากลับมาเกิด แล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนที่สมบูรณ์แบบนี้อีกหรือ ถ้าไม่มั่นใจ สู้ทำวันนี้ให้สิ้นทุกข์ สิ้นกรรม ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไป ไม่ดีกว่าหรือศิษย์ ดีไหม (ดี)  การสิ้นกรรม ไม่ใช่ห้ามคนอื่น     แต่ห้ามใจตัวเอง ไม่ใช่ไปหยุดคนอื่น แต่เป็นการหยุดใจตัวเอง คุมใจตัวเองให้ได้แค่นั้นเอง ยากไหม (ไม่ยาก)  ด้วยการเข้าใจธรรมที่เรียกว่าธรรมชาติของคน  ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติของคนมีอะไร มีเกิดก็มีตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี  ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจหลักธรรมนี้ จะช่วยให้ศิษย์สามารถอยู่บนโลก และเข้าใจความเป็นคน เข้าใจธรรมชาตินี้ว่าไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ ยืมร่างกายนี้ใช้ และเอาแต่จิตเดิมแท้กลับคืนฟ้าเบื้องบน เพราะกายมีวันแตกดับได้ แต่จิตเดิมแท้ไม่มีวันแตกดับ และจิตเดิมแท้จะกลับคืนความสว่างได้อย่างไร ถ้าใจของมนุษย์ยังยึดติด เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและอารมณ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเราจะต้องเบาบางกิเลสตัณหา อารมณ์ เพื่อฟื้นฟูจิตเดิมแท้กลับคืนสู่บ้านเดิมให้จงได้ ได้ไหม (ได้) เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อาจารย์ไม่ค่อยแน่ใจเลย เพราะมนุษย์ง่ายต่อการหวั่นไหวไปตามอากาศ อากาศร้อนแล้วก็หงุดหงิด หงุดหงิดแล้วก็เบื่อ เบื่อแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมศิษย์ถึงปล่อยใจไปตามสังขาร ในเมื่อใจหรือจิตของเรามีอำนาจเหนือกว่าสังขาร ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ดี”)
การใฝ่ดีเป็นการเริ่มต้นของทุกๆ สิ่งเลยถูกไหม (ถูก) ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะทำดีไหม (ไม่)  แต่สิ่งสำคัญคือศิษย์ศรัทธาในความดีในใจตัวเองไหม (ถูก)  ถ้าเราไม่ศรัทธาความดีในใจตัวเอง เอาแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่มีวันมั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราศรัทธาในความดีของตัวเอง เราเชื่อมั่นว่าเราก็มีดี เราก็มีคุณธรรมที่ประเสริฐได้ เราจะทำตัวเองให้ไปรอดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนอื่นไม่เกี่ยวกับเรา ตัวเราต้องดีด้วยตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำว่า “มีศรัทธาความดีงามในใจตน ฟื้นฟูธรรมงดงามหลั่งล้นออกมาได้”  ฉะนั้นถ้าเราไม่ศรัทธาความดีงามในใจตนมากพอ จะออกมาจากใจได้ไหม เราจะปฏิบัติได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนในใจศิษย์ถ้าศิษย์คิดว่าเราไม่ดี เรามันคนชั่ว จะทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเราเชื่อมั่นว่าฉันก็เป็นคนดีคนหนึ่งได้ ฉันก็ปฏิบัติดีได้ ฉะนั้นจะออกมาได้ไหมเมื่อออกมาได้ ความถูกต้องเราก็ออกมาใช้ได้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าไม่ศรัทธาจะออกมาได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเราจะดีได้ ศิษย์ต้องศรัทธาในความดี และถ้าศิษย์ศรัทธาศิษย์ก็จะสามารถเจริญความดีงามนั้นได้มั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเราศรัทธาความดีงามในใจตัวเอง บอกอาจารย์สิว่า ศิษย์มีอะไรดีอยู่ในใจ
(จิตเดิมแท้คือพุทธะ) จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าจิตพุทธะ แต่หม่นหมองไปเพราะความหลงตัวเอง 
(คุณงามความดี) ศรัทธาในความดีงามในใจตนใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอยมีคนหลายคนเวลาเขาทำบุญอะไรก็ตามเขามักจะอนุโมทนาตั้งจิตอธิษฐานเสมอว่า “ไม่ว่าภพใดชาติใดขอให้ได้เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูธรรมะตลอดทุกภพทุกชาติ” ตั้งจิตอธิษฐานอย่างนี้ก็ดีนะ เพราะไม่ว่าจะกี่ชาติๆ เขาก็จะมีจิตใจดีและส่งเสริมความดีในใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นเปลี่ยนจากขอให้รวย ขอให้มีความสุขเปลี่ยนเป็นขอให้จิตใฝ่ดีทุกชาติ ดีหรือไม่ (ดี) 
(จิตใจที่มีเมตตา)  คนที่มีเมตตาจะนินทาใครหรือไม่ จะขโมยของใครหรือไม่ จะโกหกใครหรือไม่ จะใจร้ายกับแม่ตัวเองหรือไม่ อย่าใจร้ายนะ (รู้จักให้อภัยคนอื่นมองโลกในแง่ดี)  มองโลกให้เป็นกลางดีกว่า เพราะโลกนี้มีดีก็มีร้ายแต่การวางใจเป็นกลางและยอมรับในร้ายและดีให้ได้ประเสริฐกว่า
(พูดในสิ่งที่ดีๆ กับทุกคน)  ฉะนั้นทำอะไรขอให้พูดในสิ่งที่ดี แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่าบางเรื่องบางราวไม่พูดดีกว่า บางทีเราพูดดีแต่บางคนเขาไม่รู้สึก ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องพูดน้อยๆ ดีที่สุด
มีใครจะตอบอาจารย์อีก อาจารย์ยังพอมีเวลา อาจารย์อยากแจกแอปเปิล แล้วศิษย์ก็รู้จักเอาไปผูกบุญต่อดีไหม (ฝากเพื่อน, แบ่งกันกิน, เป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตากับคนอื่น มีความซื่อตรง)  ทำให้ได้นะ ความซื่อตรงทำได้ยากแต่ถ้าซื่อตรงได้ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าซื่อตรงไม่ได้พูดคำไหนไม่มีใครเชื่ออีก ใช่หรือไม่  (คิดดี กระทำในสิ่งดีๆ ได้มาจะไม่กิน จะเอาไปเยี่ยมคนป่วย)  ทำบุญไม่หวังผล เป็นบุญที่ประเสริฐนะ (จริงใจ ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น)  จริงใจและซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น แม้คนอื่นจะไม่จริงใจหรือซื่อสัตย์ต่อ ก็จงมั่นคง (ช่วยเหลือผู้อื่น)  มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ได้และทำให้ดีนะ (กตัญญูรู้คุณ)  ตอบได้ดีนะ จิตที่รู้คุณคน จิตที่สำนึกคุณคนเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  (รู้จักแบ่งปัน)   ตอบได้ดี
ศิษย์เอย เห็นใครได้ดีเราก็ยินดีในความดีนั้นด้วย ก็เป็นสิ่งที่งดงามได้ ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเราจะศรัทธาในความดี เราต้องหาให้เจอว่าเรามีดีอะไร และเอาสิ่งดีนั้นมาปฏิบัติใช้ร่วมกับทุกคน
(เห็นทุกคนเป็นคนดีที่เสียสละ และสังคมช่วยบ้าง สังคมก็จะมีศรัทธา เสียสละ และก็มีความดี) ศรัทธาในความดี ความดีก็คือการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศีลคืออะไร ธรรมคืออะไร ถ้าปฏิบัติได้นั้นเรียกว่าศรัทธาความดี อย่าแค่ศรัทธา อย่าแค่รับศีล แต่ถึงเวลาศีลสักข้อก็หามีไม่ เปล่าประโยชน์นะ ใช่หรือไม่
(ทำความดีกับคนอื่น)  อาจารย์ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือทำตัวเองให้งดงาม ทำตัวเองให้ดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน นั้นคืองามที่สุดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  รู้จักให้คนอื่นแต่ตัวเองยังทำไม่รอด รู้จักดีกับคนอื่นแต่ในบ้านยังทำไม่ได้เรื่อง อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) 
(ช่วยสร้างสถานธรรมเหยินเต๋อให้เสร็จ)  จิตมุ่งมั่นที่อยากช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งนะ ถ้าเหยินเต๋อสร้างเสร็จแล้วก็แปลว่าศิษย์หมดความมุ่งมั่นแล้วหรือ (ไม่)  ฉะนั้นจิตมุ่งมั่นที่ดีไม่ใช่กำหนดที่สิ่งของ แต่มุ่งมั่นที่ดีต้องเกิดจากใจที่ศรัทธาตั้งมั่นความดี ไม่ใช่อยู่ที่ของหรืออยู่ที่คน เข้าใจนะ
(มุ่งมั่นกตัญญูต่อบรรพชน) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอ๋ย คนทุกคนก็เป็นคนมีคุณค่า ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีชาวนาก็ไม่มีข้าว เราสามารถมีจิตสำนึกคุณทุกๆ คน และสามารถตอบแทนทุกๆ คนได้ ไม่มีใครที่น่ารังเกียจ แม้กระทั่งคนเก็บขยะ หรือแม้กระทั่งเพื่อนที่ด่าเรา ถ้าเขาไม่ด่าเราจะรู้หรือไม่ว่าใครรักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแผ่ขยายจิตสำนึกคุณออกไป อย่าแค่พ่อแม่ ใช่หรือเปล่า
(สำนึกที่ดี)  มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี พ่อจะได้ชื่นใจ จิตสำนึกที่ดีเป็นสิ่งที่ดีนะศิษย์ คนสมัยนี้ให้ทำดีแค่ไหน แต่ถ้าขาดจิตสำนึกเขาก็ดีไม่รอด 
(ให้ใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ สัตว์ ไม่ว่าคนดี หรือไม่ดี จิตใจเอื้อเฟื้อตลอดไป)  ฉะนั้นยุงกัด (ตบบ้าง)  ไหนบอกอาจารย์เองให้มีใจเอื้อเฟื้อมนุษย์และสัตว์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าพลั้งเผลอตบยุงบ้าง แล้วกับคนศิษย์จะไม่พลั้งเผลอตบคนหรือ (ให้อาจารย์ตบได้) ให้อาจารย์ตบได้ ศิษย์ไปตบคนอื่นได้ไหม  (ไม่ได้ ต้องทำดีกับเขา) แล้วยุงกัดตบไหม (ก็คงไม่ตบแล้วครับ)
ศิษย์เอยเขาขอเลือดเราแค่นิดเดียว ศิษย์ยังตบเขาจนตาย แล้วคนที่เราไปทำเขาจนตายเขาไม่ทำเรากลับบ้างหรือ (ทำกลับ)  ฉะนั้นอย่าเผลอ เพราะเผลอเมื่อไรกรรมก็ตามมาเมื่อนั้น
(ไม่เอาเปรียบผู้อื่น)  การไม่เอาเปรียบผู้อื่นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ซื่อตรงต่อหน้าที่ และทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์จริงไหม (จริง)
(มีความตั้งใจจริงที่จะเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งดี เมื่อมีสิ่งดีแล้วทุกอย่างก็จะตามมา มีคุณธรรม มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะเชื่อมั่นศรัทธาในความดีจนกว่าจะบรรลุธรรมเหมือนนักธรรมที่บรรลุธรรม แล้ว)  พูดได้ดีนะ แต่ถึงเวลาทำให้ได้อย่างที่ว่านะศิษย์ เพราะการเข้าถึงธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องรู้จักมีสติปัญญา และหมั่นศึกษาเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนรู้ผู้อื่นแต่เรียนรู้ใจตัวเอง ไม่ใช่แก้ไขผู้อื่นแต่ให้แก้ไขที่ใจตัวเอง สิ่งใดที่เป็นบาป เป็นความผิดให้หยุดลดละ สิ่งใดที่เป็นสิ่งดีเป็นกุศลหมั่นประกอบให้สม่ำเสมอ
(ความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้ว่าจะยากก็จะทำให้ได้)  คนที่รู้จักพออยู่ทุกขณะ ความโลภ โกรธ หลง ก็ครอบงำได้ยาก แต่คนที่ไม่รู้จักพอ ความโลภโกรธหลงก็เข้าครอบงำได้ง่าย
(มีศีลธรรมในใจและมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก)  ทำให้ได้นะ ถึงเวลาโดนใครว่า โดนใครด่า อย่าท้อแท้นะ (มีธรรมะ มีความกตัญญู)  มีธรรมะคือสิ่งที่ดีงามที่อยู่ในใจศิษย์นะ ความกตัญญูก็คือรู้บุญคุณคน ไม่ใช่กตัญญูต่อพ่อแม่ ทุกคนล้วนมีคุณต่อเรา ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ธรรมะดี)  ไปทำความดี เอาธรรมะไปบอกคนอื่นๆ ถ้าอย่างนั้นจงรักษาความดีเหมือนดั่งเกลือรักษาความเค็มนะ ตอบอีกไหม ที่จริงแล้วศิษย์มีดี แต่มักไม่ค่อยเลือกทำดี ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาแต่นิสัยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พยายามดึงสิ่งที่ดีออกมา อย่าเห็นแต่ใจตัวเองจนลืมเห็นใจคนรอบข้าง อย่ามัวแต่ห่วงความรู้สึกตนเอง จนลืมห่วงคนที่อยู่รอบข้าง ที่เขารักศิษย์นะ ทำให้ได้นะ ฝึกจิตเมตตา จิตมีน้ำใจ จิตเสียสละ จิตอ่อนน้อมไม่ใช่เรื่องยาก อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ แต่ไม่ค่อยทำ ใช่ไหม 
(จริงใจซื่อตรง)  แม้คนไม่รักก็ต้องจริงใจซื่อตรง เพราะจะได้เปลี่ยนแปลงคนไม่รักให้กลายเป็นรัก ใช่หรือไม่ อย่าลำเอียงก็พอ
(การให้ทาน และการเสียสละ)  แต่ถ้าเสียสละแล้วยึดติดในผล ยึดติดในการหวังวอนขอ การให้ทานนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ ใช่ไหม (ใช่)  (การให้ทานโดยจิตใจบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทน)  การให้ทานจะยิ่งประเสริฐยิ่งขึ้นก็คือแม้ตัวตนก็ให้ได้ ความเป็นตัวตนก็ให้ได้ นั่นแหละเรียกว่าให้นิพพาน ให้ความสงบเย็น เคยให้สิ่งนี้กับคนอื่นบ้างไหม (บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ให้ทรัพย์ แต่เราให้ความรู้การปฏิบัติธรรม ให้คนรู้จักมีสติขึ้น)  แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากให้คือก่อนจะให้คนอื่น ศิษย์ต้องให้ตัวเองก่อน สงบได้หรือยัง เย็นบ้างได้หรือยัง ถ้าศิษย์เข้าถึงความสงบได้ เข้าถึงความเย็นได้ บางครั้งไม่ต้องพูด แต่การปฏิบัติตัวของเราจะทำให้รอบข้างเห็น มันต้องหลั่งล้นออกมาจากตัวนะ ความรู้แน่นแต่ปฏิบัติยังไม่แน่น ใช่ไหม (ใช่) 
(คืนกำไร)  คืนกำไร แล้วเรามีกำไรให้เขาหรือยัง แล้วทำได้หรือยัง (เกือบจะทำได้)  แล้วเมื่อไหร่จะทำ  (รักพ่อรักแม่ มีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน,รู้จักแบ่งปัน,มีความอดทน,ทำกรรมดี,ขอให้ลูกหลานเป็นคนดี)  เผื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีขึ้นจะทำให้ลูกหลานดีขึ้น ศิษย์รู้ไหมพ่อแม่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจนตราบลมหายใจสุดท้ายลูกหลานจะเป็นคนดีสามชั่วคน  แต่ถ้าพ่อแม่ปฏิบัติธรรมไม่ถึงที่สุดลูกหลานไม่ได้ดีหรอกนะ
(อยากให้คนทุกคนมีเมตตา อยากให้คนทั่วประเทศมาฟังธรรมอย่างนักเรียนในวันนี้)  อาจารย์ถามว่าศิษย์ศรัทธาอะไรในความดี แต่ศิษย์อยากให้คนทั่วโลกมีคุณธรรมปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ใช่หรือไม่
(มีจิตเมตตา อยากให้ผู้อื่นมาฟังธรรม)  ศิษย์หลายคนตอบอาจารย์ว่า อยากให้ทุกคนมีจิตเมตตา มีน้ำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ก็บอกไว้เสมอๆ นะศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่ปฏิบัติอย่างสุดจิต สุดใจ ใครจะปฏิบัติกับศิษย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์เอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยมี แล้วใครจะทำให้ศิษย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเราต้องทำก่อน เราต้องเริ่มก่อนทำให้เขาเห็น ประจักษ์ให้เขาดูว่า ใครไม่ดีไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะดี ใครไม่ทำไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะทำให้เขาเห็น ทำให้เขารู้ว่ายังมีความดีในโลก และความดีในโลกจะคุ้มครองคนดีเอง โดยไม่ต้องขอ ไม่ต้องเรียกร้อง ดีหรือไม่ (ดี) อาจารย์ขอให้ศิษย์เป็นหน่อเนื้อธรรมแห่งความดี บ่มเพาะความดีในใจตัวเองนะ ได้หรือไม่ (ได้) เริ่มต้นด้วยบุญ และมีคุณธรรม และก็ตามด้วยการประจักษ์แจ้งในธรรมแห่งตน ทำได้ไหม (ได้)  แต่จำไม่ได้แล้วใช่ไหม จำได้ไหม (ได้)
ศิษย์เอ๋ยแม้กระทั่งพระพุทธองค์ท่านยังกล่าวไว้ว่า ทำดีแม้ต้องฝืนทำ แม้ต้องทำด้วยน้ำตานองหน้า ท่านก็ให้เลือกทำดีเพราะความดีจะคุ้มครองคนดี อย่าเผลอไปทำชั่ว เพราะเมื่อความชั่วตกผล แม้ศิษย์จะมีกี่ภพกี่ชาติ ความชั่วก็จะติดตามไปทุกภพทุกชาติ ให้ศิษย์แก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้น ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ พบใครให้อ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา ซื่อสัตย์ ซื่อตรง รู้จักให้เกียรติ เคารพ ดีไหม (ดี)  เมื่อเราปฏิบัติได้ถูกต้องคราวนี้ก็ไม่ต้องกลัว คนอื่นมาปฏิบัติต่อเรา ไม่เป็นไร เขาจะด่าเรา เขาจะทำร้ายเรา เขาจะแช่งชักหักกระดูกเรา เราก็ขอให้เป็นการจบเวรจบกรรม คิดว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นทั้งดับและดี  ถ้าทุกขณะที่เขาจะด่าเรา ก็เป็นทุกขณะที่กำลังจะดับและเรากำลังจะได้ดี  ฉะนั้นเขาด่าอย่างไรเราจะต้องเอาดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เขาด่าเรา เราเอาชั่ว เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเมื่อเอาดี อย่าเอาแค่ดี แต่ต้องดีให้ถึงธรรม ธรรมที่ทำให้เราปล่อยวางตัวตน ไม่ก่อเกี่ยวกรรม ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้น เขาไม่ได้ว่าเรา แต่เขากำลังว่าธรรม คนที่กำลังว่าเรา แต่เขาก็คือธรรม ฉะนั้นเห็นธรรมในเขา เห็นธรรมในตัวเรา เราก็เข้าถึงธรรมที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะได้สิ้นเกิดสิ้นตายในชาตินี้ชาติสุดท้ายนะศิษย์เอย ดีไหม (ดี)  อยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากเกิดก็อย่าเกี่ยวกรรม แต่ถ้าอยากเกิดก็เกี่ยวไปเลย โกรธไปเลย ด่ากลับไปเลย แต่อาจารย์บอกไว้ก่อนนะ นรกน่ากลัวกว่าที่ศิษย์คิด เจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้เลย ศิษย์ร้องยังมีวันสุดเสียง แต่ร้องเจ็บปวดในนรกไม่มีวันสุดเสียง และเขาจะปลุกให้ศิษย์ฟื้นขึ้นมาแล้วก็รับกรรมอีก ฉะนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ตกนรก อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นกรรม ไม่ใช่ขอฟ้าแต่ขอตัวเอง ไม่ใช่ห้ามคนอื่นแต่ห้ามตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ว่าชาตินี้จะเป็นคนเพื่อพ้นทุกข์ หรือจะเป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นก็อยู่ที่ศิษย์นะ ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์แค่ชี้ทางแต่ศิษย์จะเดินหรือไม่เดินอยู่ที่ตัวศิษย์เอง อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต แล้วอาจารย์ไม่เคยประมาทกับการดำรงชีวิต ศิษย์จะดำรงชีวิตแล้วไปเกี่ยวกรรมหรือสิ้นกรรม คิดให้ดีๆ นะศิษย์

(ถ้าเราลืมไตรรัตน์ เราจะเข้าประตูสวรรค์ได้ไหม)  ศิษย์เอย หากลืมไตรรัตน์ แต่ถ้าจิตถึงแจ้งในธรรมก็เข้าได้ แต่สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์ที่ยังต้องกลับมาเกิดอีก เพราะกลายเป็นบุญแทน ไม่ใช่การพ้นทุกข์ (ถ้าจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องจำได้ ใช่ไหมครับ)  ไม่ใช่แค่จำได้อย่างเดียว ถ้าจะพ้นทุกข์ต้องเข้าถึงสภาวธรรมอันเดิมแท้ในตัวเอง ซึ่งสภาวธรรมนั้นก็มีอยู่บนฟ้าเบื้องบน และมีอยู่ในตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราจะกลับคืนฟ้าเบื้องบนที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็จะต้องสิ้นตัวตนให้ได้ตั้งแต่ชาตินี้ แต่ถ้าใจศิษย์ยังยึดติดในตัวตนว่ามีตัวตนเป็นแบบนั้นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาป ใช่หรือไม่  ฉะนั้นลองมองให้เห็นว่า เรามีสภาวธรรมอยู่และธรรมนั้นเรากลับคืนได้ไหม ถ้ากลับคืนไม่ได้ก็ยังหนีไม่พ้นบ่วงกรรม ใช่หรือไม่ แต่อย่างดีที่สุดก็แค่ไปฟังธรรมต่อ แต่ถ้าฟังธรรมต่อแล้วศิษย์ยังไม่เข้าถึงก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก อยู่ที่บุญกรรมศิษย์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวอาจารย์แล้ว (ก็แสดงว่าต้องจำไตรรัตน์ให้ได้ แล้วต้องเข้าถึงด้วย)  ศิษย์เอย แล้วการจำยากนักหรือ สิ่งที่ไม่ดีจำได้เยอะ แต่เรื่องดีๆ ทำไมจำไม่ได้ล่ะ ใช่หรือไม่  สิ่งที่ควรจำเรากลับไม่จำ สิ่งที่ควรลืมแต่เรากลับจำ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านะ
ศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ เลือกที่จะบำเพ็ญบ้างเถอะ เลือกที่จะเป็นคนดีบ้างเถอะ แล้วเลือกที่จะเดินตามที่อาจารย์บอกบ้างนะ ศิษย์เอย
มีโอกาสกลับมาอีกนะ มัวแต่กอดอกแล้วเข้าใจในธรรมะที่อาจารย์พูดบ้างไหม เข้าใจและไปปฏิบัติควบคุมอารมณ์ให้ได้ การงานจะได้ดีขึ้น อย่าดื้อนะ รู้จักมีศีลมีธรรม ใจเย็นๆ อย่าขี้บ่น เลือกที่จะเดินตามที่อาจารย์บอกบ้างนะศิษย์เอย
มีโอกาสมาช่วยงานอาจารย์นะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นอดทนให้ถึงที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องอะไร เข้มแข็งนะ ไม่ว่ามีเรื่องอะไรปัดเป่ากิเลสออกจากใจด้วยหลักธรรมที่ถูกต้อง ปัดเป่าความทุกข์ออกจากใจด้วยหัวใจแห่งธรรมนะศิษย์  มีโอกาสกลับมาอีกนะ    

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ดี”
      มีศรัทธาความดีงามในใจตน                   ฟื้นฟูธรรมงดงามหลั่งล้นออกมาได้
จิตดีงามความถูกต้องธรรมนำใช้                     ไม่กลืนหายไปเพราะนิสัยโทษทุกทุกสิ่ง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

2557-05-31 สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่


西元二一四年歲次甲午五月初三                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗  สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

มีความว่างเป็นเพื่อนอันเคยคุ้น มีความวุ่นเป็นเพื่อนให้เรียนรู้ใจ
มีความนิ่งทุกก้าวเดินที่ก้าวไป ด้วยสติครองคู่ใจเกิดปัญญา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกาย น้อมอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

วางใจไม่ยินดีก็ไม่ยินร้าย ยินดียินร้ายก็ร้อนใจกว่าเก่า
กรรมยังไม่ผลักก็ล้มเอาล้มเอา โดนเสือกไสไม่ชอบเราเลยเปลี่ยนใจ
มองทะลุไม่ต้องชังอันใดเป็นแกว ผู้ทำใจไว้ก่อนแล้วไม่หวั่นไหว
ความติดยึดเลยไม่มาย้ำกล้ำกราย ไม่ยึดไม่ต้องผลักไสใจนิ่งเบา
ต่างมีความในเอยรู้ทุกผู้คน ความสับสนเฉยทำให้ใจคนเขลา
การบำเพ็ญขอให้เป็นแต่เข้มงวดเรา แม้รู้เช่นนี้และความเขลาเฝ้ารังแก
ไม่ดูแลรักชอบเกลียดกันพักหลัง เพราะความชังบดบังใจจนเป็นแผล
ฟื้นคนเดิมใจจิตใจแน่วและแน่ หนทางแท้มุ่งได้ไม่อาจลดมือ
ทุกข์แน่แน่เพราะข้างหน้าเฝ้าเปลี่ยนแปร อย่าได้แพ้ตนเองในความยึดถือ
อย่าได้แพ้ตนเองเพราะดื้อแสนดื้อ แม้ยุดยื้อใช่ของเราเฝ้าเปลี่ยนไป

ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดท่านหันเซียงจื่อ
ในชีวิตคนเรามีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ผลสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้นความว่าง ความวุ่น ความนิ่ง บางทีก็วุ่นวาย บางทีก็ทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เหตุผลที่ทำให้ทุกท่านมาฟังธรรมกัน ในวันนี้ ก็เพื่อหาทางหลุดพ้นหรือ หาทางดับทุกข์ในใจ  ในที่นี้มีใครบ้างไม่เคยทุกข์ (ไม่มี)  แล้วมีใครบ้างที่ทุกข์แล้วหาทางพ้นทุกข์ได้ ก็ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นโดยส่วนใหญ่ที่เราเรียนรู้กัน เป็นเพียงการเรียนรู้ทางโลกเพื่อเอาไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต หล่อเลี้ยงร่างกาย
เราเรียนรู้ทางธรรมเพื่ออะไร (ดับทุกข์)  เรียนธรรมมากี่ครั้งแล้ว เคยตั้งใจเรียนธรรมจนจบไหม ไม่เคยเรียนจนจบเลยใช่ไหม ส่วนใหญ่ไม่เคยตั้งใจเรียนธรรม เวลาให้เรียนธรรมะ จะบอกว่าไม่เรียนหรอกไปทำบุญก็พอใช่ไหม (ใช่)  เราเรียนรู้ทางโลกเพื่อดำรงเลี้ยงชีวิต วันนี้มาเรียนทางธรรมเพื่อเข้าใจตัวตน ผู้คน และสรรพสิ่ง เพื่อจะได้นำพาเราให้อยู่กับทุกข์และไม่เป็นทุกข์ คนเราแปลกอยู่ในโลกแต่ไม่เข้าใจตนเองและไม่เข้าใจคน  เรียนรู้ทางโลกก็เพื่อเอาตัวรอดไปหนึ่งวัน  การเรียนรู้ธรรมนอกจากจะทำให้เราเข้าใจตัวเราเอง เรายังเข้าใจผู้คนและเข้าใจสรรพสิ่งในโลกได้
ฉะนั้นธรรมจึงเปรียบเหมือนยานพาหนะให้คนดำเนินอยู่ในโลกได้ แต่ธรรมไม่ใช่สิ่งที่ให้เราเรียนรู้แล้วเอาไว้แบกหาม เอาไว้อวดโอ้ผู้คน ธรรมเปรียบเหมือนแสงสว่าง เราควรเอาแสงสว่างไปส่องหน้าคนอื่นหรือย้อนมาส่องตัวเรา (ตัวเรา)  เวลาไปฟังธรรมะมาก็เอาธรรมมาส่องคนอื่น คนนี้ยังไม่ดี คนนี้ยังไม่ได้เรื่อง นี่คือเรียนรู้ธรรมไม่ถูกต้อง ธรรมคือเรียนรู้แล้วเอาความสว่างมาส่องใจตนเองให้คลายความมืดมน เราจึงไม่ทุกข์ เราก็อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเกษมและมีสุข  เราเรียนรู้ธรรมแล้วไปส่องคนอื่นแล้วเราหายทุกข์ไหม (ไม่)  เอามาใช้กับตนเองไหมหรือคอยแต่เอาธรรมะไปวัดหรือตรวจคนอื่นๆ ต่อว่าคนนั้นต่อว่าคนนี้  ฉะนั้นเราเรียนรู้ธรรมเพื่อตรวจสอบตนเองและนำพาตนให้พ้นทุกข์หรืออยู่กับทุกข์แล้วไม่ทุกข์  ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่ง กำลังถือคบไฟ แล้วก็บอกว่าร้อน ๆ  เราเห็นแล้วจะบอกเขาว่าอย่างไร (วางลง)  วางลงแล้วจะได้หายร้อน ใช่ไหม
วันนี้นั่งฟังธรรม บ่นเมื่อย เมื่อไรจะจบ เราฟังธรรมเพื่อนำธรรมะมาส่องสว่างความทุกข์   แต่ทำไมตอนนี้เราฟังธรรมแต่กลับยิ่งร้อน ยิ่งนั่งยิ่งทุกข์ เวลาคนอื่นถือคบไฟร้อนเรากลับสอนให้เขาวางสิ่งที่ยึดมั่นว่าร้อนลง แล้วตอนนี้ฟังธรรมะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ายังยืนยันว่าไม่ทุกข์ก็แก้ทุกข์ไม่ได้  ส่วนใหญ่จะทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะเมื่อย ทุกข์เพราะเบื่อ  ฉะนั้นคนถือคบไฟร้อนๆ ถือไปบ่นไปว่าร้อน ทั้งที่ไฟคือความสว่างคลายความมืด คลายความทุกข์ แต่ทำไมถือแล้วจึงเป็นทุกข์ เหมือนของอย่างเดียวกัน จับได้ถูกก็เกิดประโยชน์ ของอย่างเดียวกันจับไม่ถูกก็เกิดโทษ เจ็บตัว  เหมือนอย่างตอนนี้มาฟังธรรม วางใจถูก วางใจเป็น ก็สบายแต่ถ้าวางใจไม่ถูก วางใจไม่เป็นก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราเห็นคนอื่นทุกข์ เราบอกให้เขาทิ้งความทุกข์ ทิ้งได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะลูก ทรัพย์สิน เงินทอง ภรรยา  สามี หน้าที่การงานยิ่งจับเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น แล้วปล่อยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะปล่อยไม่ได้ก็เอาแต่บ่น อย่างนั้นคนฉลาดควรทำอย่างไร (ปล่อยวาง)  วันนี้ปล่อยเดี๋ยวกลับมาก็มาเจอเหมือนเดิม  ฉะนั้นควรรู้จักจับให้เป็น จับอย่างไรไม่ให้ร้อน ไม่เอาไฟมาสุมทรวง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จับแล้วร้อนทำไมยังจะจับ ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันร้อนอกร้อนใจ เราควรถอยสักก้าว แล้วลองกลับไปมองใหม่ด้วยปัญญาและหัวใจที่เปิดกว้าง ถ้าจับแล้วร้อนก็รู้จักวางให้ดี หรือหาวิธีอะไรมาจับ ปล่อยทิ้งไปก็อาจจะเกิดปัญหาสังคม ฉะนั้นวางอย่างไรแล้วจะไม่เกิดทุกข์แก่เราและทุกข์แก่ผู้อื่น อย่าเอาแต่บ่นว่าร้อนโดยไม่ทำอะไร 
หลักธรรมที่เราศึกษาโดยส่วนใหญ่ล้วนมีหนึ่งเดียว และเป็นหนึ่งเดียวตลอดเวลา เพียงเข้าใจหนึ่งเดียวก็สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง เพียงเข้าใจหนึ่งเดียวอย่างทะลุปรุโปร่งก็เกิดปัญญาตัดกิเลส ตัดภพ ข้ามภพ ข้ามชาติได้ สิ่งนั้น คืออะไร  (ไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงทั้งสามคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  เราเรียนรู้ธรรมะตั้งมากมาย แต่หลักและใจความสำคัญของธรรมะมีหนึ่งเดียว ที่ใช้ได้ตลอด ที่ทำให้เราพ้นทุกข์และเข้าถึงปัญญา ตัดกิเลส ห้วงแห่งกรรม และการเวียนว่ายได้  นั่นคือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป   ทุกท่านรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เด็กจนแก่ แต่รู้แล้วพ้นทุกข์ไหม พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงเอาสิ่งที่รู้มาไตร่ตรองพิจารณาจนเกิดปัญญา  ฉะนั้นการรู้หนึ่งจะตัดกรรม ตัดกิเลส ตัดการเวียนว่ายได้  เรารู้แล้วต้องเอามาไตร่ตรองพิจารณาในทุกขณะที่ดำเนินชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้มานานแล้วว่าสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และถึงที่สุดคือความว่างเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาสามสิ่งนี้อยู่เสมอ ในทุกขณะที่เราดำเนินชีวิต เราจะสามารถเข้าถึงความแจ่มแจ้งแห่งชีวิตอันแท้จริงว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า 
นอกจากนั้นเรายังรู้อีกว่า ๑) ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันหนุนเนื่อง  ๒) อยู่ในโลกไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นไม่มีใครดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เลวที่สุด แย่ที่สุด  ๓) ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบันขณะ
แล้วเราเคยทำได้แบบนี้ไหม ทำไมหนึ่งจึงเป็นแค่หนึ่ง เพราะเราไม่เคยเอาหนึ่งนั้นมาหยั่งคิดพิจารณาแล้วมองให้เกิดความแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยากและถึงที่สุดว่างเปล่า แล้วเรากำลังยึดอะไรเป็นของเรา ถ้าเรากำลังยึด เราก็หาความว่างเปล่าในความว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงพยายามมองให้ออกทุกขณะ แล้วเราจะเข้าถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ฉะนั้นเมื่อเกิดความไม่สมบูรณ์ของหน้าตา เมื่อไรที่เกิดความไม่สมบูรณ์ของชีวิต เราจะไม่ทุกข์ เพราะเป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความไม่สมบูรณ์ของหน้าตา ถึงที่สุดแล้วใช่ความไม่สมบูรณ์จริงไหม
(ไม่จริง)  ถึงที่สุดก็ยังต้องเปลี่ยนไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครกล้ายืนยันว่าชีวิตนี้ไม่เปลี่ยนอะไรแล้วบ้าง แล้วใครกล้ายืนยันว่าหน้าตาแบบนี้จะไม่เปลี่ยนแล้ว (นักเรียนหญิงท่านหนึ่งตอบว่าไม่เปลี่ยนแล้ว) แน่ใจหรือ เขายืนยันว่าชีวิตนี้ หน้าตานี้จะไม่เปลี่ยนแล้ว เขาถูกในส่วนหนึ่ง ความหมายของเขาคือเขาจะไม่เปลี่ยนหน้าตานี้แล้ว คือเขาจะไม่ทำให้สวยกว่านี้แล้ว นี่คือความหมายท่านใช่ไหม (ใช่)  แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะบอกท่านคือแม้หน้าตานี้ก็ยังเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านแน่ใจไหมว่าหน้าที่การงาน บ้าน สิ่งที่ครอบครอง ที่ตอนนี้อยู่กับท่าน แน่ใจไหมว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่แน่ใจ)  ทุกสิ่งเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ จริงหรือไม่ (จริง)  ขนาดใจของเราเองยังเปลี่ยนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกขณะที่เรายืนนิ่งๆ แน่ใจหรือว่าร่างกายไม่มีอะไรที่กำลังตาย ใช่ไหม (ใช่)  แค่หนึ่งกระพริบตา ท่านรู้ไหมว่ามีเซลล์หลายเซลล์กำลังตายอยู่  ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ขนาดเรายืนอยู่ตรงนั้น เรายังต้องย้ายมายืนตรงนี้ แล้วเราจะยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่)  เรายังต้องเปลี่ยนไปยืนอีกที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรหรือที่เราครอบครองได้ (ไม่มี)  แล้วตอนนี้ท่านกำลังยึดถืออะไร ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงความจริงอันนี้ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจึงรู้ว่าใดๆ ในโลกล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันหนุนเนื่อง หนุนนำ แล้วเราจะขอพระให้เรารวยหรือไม่  ถ้าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรเป็นของเรา
หาความสมบูรณ์ไม่ได้ เราจะขอหวยพระหรือไม่ เราจะขอให้รวยหรือไม่ เราจะขอให้บ้านสมบูรณ์หรือไม่ (ไม่ขอ)  ไม่ขอเพราะเราเข้าใจในความจริงอันนี้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่ขอเราก็ไม่งมงาย เราก็ไม่อยาก เราก็ตัดความโลภได้แล้ว เห็นหรือไม่ว่าความจริงอันเป็นหลักธรรมสามารถตัดความอยากได้ เมื่อเราเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนไม่สมบูรณ์แบบ
เหมือนวันนี้สมมุติเราคิดว่าคนนี้คือคนที่เรารักมากที่สุด คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดไม่แน่นอน หากสิ่งดีที่สุดเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่สุด เราจะโกรธหรือไม่ (ไม่โกรธ)  และถ้าสิ่งที่ดีที่สุดยังไม่แน่นอน แล้วสิ่งที่ไม่มีดีจะแน่นอนหรือ (ไม่แน่)  แล้วท่านจะโกรธทำไมในเมื่อยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดีก็อาจจะไม่ดีที่สุด  สิ่งที่ไม่ดีก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด  ฉะนั้นแล้วเราจะรักหรือไม่ ไม่กล้ารัก แล้วจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ฉะนั้นเมื่อเราไม่รัก ก็แปลว่าเราไม่อยาก เมื่อเราไม่เกลียดก็แปลว่าเราไม่โกรธ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด และไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด  เมื่อไม่รักก็ไม่เกลียดไม่โกรธ ฉะนั้นเมื่อไม่เกลียด ไม่รัก ก็ไม่อยาก ก็ไม่โลภ และไม่เกลียด  ฉะนั้นโลภกับเกลียดตัดได้เลยไหม (ได้)  เพราะเราเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดดีที่สุดแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน  และแม้แต่ปัจจุบันขณะก็ยังอาจจะเชื่อไม่ได้  ฉะนั้นควรรักหรือควรเกลียด หรือไม่ควรทั้งรักและเกลียด (ไม่ควรทั้งรักและเกลียด)  ใช่ ไม่ควรรักและเกลียดเลย เพราะไม่เที่ยง เมื่อเราไม่ปักใจรักและไม่ปักใจเกลียด กิเลสจะมาครอบงำใจ ทำร้ายใจเราให้เกิดความโลภ โกรธ หลงไหม   นั่นจึงเรียกว่าปัญญาทำให้เราเข้าถึงความแจ่มแจ้งแห่งชีวิต และสามารถตัดความโลภ โกรธ หลงได้ด้วย (ปัญญา)  นอกจากตัดสามอย่างนี้แล้ว ยังทำให้เราตัดความอยาก หยุดความเกลียดและเข้าใจ ไม่ลุ่มหลงได้  ฉะนั้นหากเห็นใครที่ยังโลภ ยังหลงอยู่ เราก็เข้าใจว่าเขายังไม่แจ่มแจ้งความจริงอันเป็นหลักธรรมอันนี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ยังมีใครรักอีกไหม (ไม่มี)  ตอนนี้ยังมีใครเกลียดอีกไหม (ไม่มี)
ฉะนั้นเราจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า ถ้านำเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ทะลุ
ปรุโปร่ง  ท่านจะสามารถเข้าถึงความเป็นจริงได้ว่า โลกนี้เป็นปัจจัยอันเกื้อหนุน
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ และไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง จงอยู่กับ (ปัจจุบัน)  เราว่าปัจจุบันก็ยังช้าไป จงอยู่กับขณะนี้และเดี๋ยวนี้ก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเข้าใจจนครบสามอย่างนี้ ท่านก็จะสามารถตัด โลภ โกรธ หลง ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องพยายามทำบุญและให้อภัย  แม้เราจะพูดให้ท่านเข้าใจถึงธรรมะตรงนี้แต่สิ่งหนึ่งที่ขวางกั้น  แม้จะเรียนรู้หลักธรรมมากมาย  แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถหยั่งและพิจารณาเข้าถึงหลักธรรมอันแท้จริงได้ ไม่สามารถนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ได้  เพราะมีสิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงความแจ่มแจ้งอันแท้จริง แห่งธรรมะ นั่นคือ ความคิด ความรู้สึก  
แม้วันนี้เราจะพูดได้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้เราไปไม่ถึงซึ่งความจริงของธรรม คือความคิดของตน  ถ้าความคิดขาดสติ ความคิดจึงง่ายที่จะไหลลื่นลงสู่ที่ต่ำ และถูกชักพาไปในทางที่ร้ายมากกว่าดี แม้ว่าเราจะรู้จนกระทั่งแจ่มแจ้งถึงตรงนี้แต่บางครั้งเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเรา เราก็จะง่ายที่ไหลไปตามความคิดก่อน การเรียนรู้หลักธรรมสิ่งที่น่ากลัว คือ รู้หลักธรรมแต่ขาดสติ ยับยั้งความคิด ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ฟังธรรมะไปแล้วก็อาจไม่ได้ผลอะไร  ยกตัวอย่างง่ายๆ มีรถสองคันกำลังขับสวนกัน รถคันหนึ่งตะโกนบอกอีกคันที่สวนมาว่า “อย่าไปๆ ตาย”
แต่อีกคันได้ยินแต่คำว่า “ตาย” ก็ยังคงขับต่อไป แต่ในใจคิดว่ารถคันนั้นตะโกนแช่งเราทำไม  จนกระทั่งขับไปแล้วไปพบคนนอนตายอยู่จริงๆ จึงเข้าใจว่ารถคันแรกเตือนให้ขับระวังเพราะมีคนนอนตาย  ฉะนั้นหนึ่งเรื่องเดียวกัน เราพูดอาจจะทำให้คนหนึ่งพ้นทุกข์  แต่กับบางคนพูดเรื่องเดียวกันเขาก็อาจจะยังจมกับความทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง  สมมุติเกิดเหตุแผ่นดินไหว ทุกบ้านมีความเดือดร้อน บ้านเราก็เดือดร้อน เพื่อนบ้านก็เดือดร้อน  แต่มีวันหนึ่งเพื่อนบ้านเดินมาที่บ้านเราแล้วถามว่า “ท่านมีอาหารหรือไม่  มีไฟฉายหรือไม่ มีเงินหรือไม่” เราจะตอบว่า “ไม่มี” เพราะเราคิดว่าเขาจะมาขอจากเราซึ่งก็กำลังเดือดร้อนเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงคือเพื่อนบ้านกำลังจะเอาอาหาร ไฟฉายและเงินมาแบ่งปันก็ได้ เรายกตัวอย่างเพื่อจะบอกท่านว่าสิ่งที่ขวางกั้นทำให้ท่านมองไม่เห็นความเป็นจริงอย่างถ่องแท้ได้คือความคิด ความคิดที่ง่ายจะไหลลงต่ำ  คิดร้ายมากกว่าคิดดี ชอบด่วนสรุปมากกว่าจะมองตามความเป็นจริง  เพื่อนข้างบ้านเดือดร้อน เราก็เดือดร้อน เมื่อเขามากดกริ่งหน้าบ้าน แล้วถามว่าท่านมีข้าวไหม  ถ้าในใจเราคิดว่า เรามีข้าวอยู่ แต่เขาจะมาขอข้าวหรือเปล่า แล้วถามว่าไฟฉายมีไหม เรามีอยู่แต่ก็บอกไม่มี แล้วถามว่ามีเงินไหม ท่านบอกไม่มี โดยส่วนใหญ่เราจะปฏิเสธก่อน ตั้งแง่มองร้ายก่อน  แต่ถ้าเขาบอกว่า เราต่างเดือดร้อน แต่เขาคิดว่าเขามีมากกว่าเรา เขาจึงอยากมาแบ่งปัน  เรารู้สึกผิดไหม(รู้สึกผิด)
คนด่าไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดของเราที่เอาคำด่ามาปรุงแต่ง เติมแต่ง
ใส่ร้ายป้ายสี คิดนั่นคิดนี่จนคำด่านั้นน่ากลัวกว่าคนที่ด่าเรา 
สิ่งที่ขวางกั้นมนุษย์ไม่ให้สามารถก้าวข้ามความทุกข์ได้ คือความคิด เหมือนเวลาถูกด่าว่าไม่ดีคำเดียว เราก็เอามาปรุงแต่งต่างๆ  ฉะนั้น คำด่าว่าคำเดียวไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดที่ไม่ยอมรับและว่าเราซ้ำแล้วซ้ำอีก  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรม ถ้ามีความคิดอะไรเกิดขึ้นในจิตเราต้องเชื่อทุกความคิดไหม (ไม่เชื่อ)  โดยส่วนใหญ่เชื่อหมดเลย คิดไปสูงก็ไปสูง คิดลงต่ำก็ไปต่ำ คิดไปทุกข์ก็ไปทุกข์ คิดไปสุขก็สุข  เราเคยยับยั้งและหยุดความคิดและมองความคิดไหม  เราไม่ได้ทุกข์เพราะถูกคนอื่นว่า แต่ทุกข์เพราะเอาคำว่าคำด่ามาคิดแล้วไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความคิดมีดีและไม่ดี และถ้าไม่ดีแล้วยังรวมตัวกับอารมณ์ ทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่น ความคิดนั้นย่อมนำพาไปสู่หายนะได้เสมอ เพราะพื้นฐานของความคิดของมนุษย์ทุกคน มักคิดลบมากกว่าคิดบวก  ฉะนั้นแม้เราจะรู้หลักธรรมเต็มอก แต่เราแพ้ความคิดตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราจะพูดดีขนาดไหน
แต่ถ้าความคิดท่านบอกว่า “ไม่แน่ หลอกหรือเปล่า” สิ่งที่ดีวันนี้หายทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนไม่ใช่ต้องเชื่อทุกความคิด  ถ้าความคิดนั้นไม่อิงกับหลักธรรมอย่าหลงเชื่อ ไม่อย่างนั้นความคิดจะพาเราลงต่ำมากกว่าขึ้นที่สูง คิดไม่ดีมากกว่าคิดดี  ฉะนั้นไม่มีใครน่ากลัวเท่ากับความคิด
(ท่านหันต้าเซียนเมตตากำมือแล้วหันนิ้วหัวแม่มือลง)  แบบนี้คืออะไร อันนี้คืออะไร (แปลว่า “แย่”)  จะคิดว่านิ้วหัวแม่มือหันลงแปลว่า “แย่” หรือจริงๆ แล้ว
สิ่งที่เรากำลังมองเห็นอยู่ก็คือ แค่นิ้วหัวแม่มือหันลงเท่านั้นเอง แต่เมื่อเห็นสัญลักษณ์ก็คิดว่า “แย่” ทันทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามกลับ
(ท่านหันต้าเซียนกำมือหันหัวแม่มือขึ้น)  แบบนี้แปลว่าอะไร (ดี, ยอด) 
ถ้าอย่างนี้ก็หลงตัวเองเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงคิดดีแล้ว แต่การคิดดี
ต้องทำให้เราไม่หลงตน
ฉะนั้นสิ่งที่ขวางกั้นความเข้าใจธรรมะ นอกจากความคิดแล้วอีกอันหนึ่งก็คือความรู้สึก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้สึกของมนุษย์ระหว่างชอบกับชังสิ่งไหนสลัดยากกว่ากัน (ชอบ,ชัง)  เราอยากบอกท่านว่าจริงๆ แล้ว ทั้งชอบและชังสลัดได้ยากพอๆ กัน จริงไหม (จริง)  หากท่านบอกว่าความชังสลัดได้ง่าย ท่านเคยมือเหม็นไหม (เคย)  มือเหม็นแล้วล้างออก แล้วนำมาดม แล้วล้างใหม่ไหม (ล้าง)  แล้วดมไหม (ดม)  แล้วเหม็นไหม (เหม็น)  หายไหม (ไม่หาย)  เหมือนเราเกลียดคนนั้น เกลียดแล้วเรามองไหม (มอง)  แปลกนะ ยิ่งเกลียดยิ่งมอง แล้วแปลกนะคนมีตั้งเยอะแยะที่ทำให้เรามีความสุขไม่มอง แต่พอมีคนที่เกลียดคนนั้นยืนอยู่บรรยากาศมันมัวทันทีเลย ใช่ไหม (ใช่)  ไปไหนเราก็เห็นเขา ขนาดหลบอยู่ในซอกหลบอยู่ในมุมก็ยังเห็น เกลียดไหม (เกลียด)  แล้วไหนบอกสลัดง่าย แล้วรักสลัดออกง่ายหรือไม่ ยิ่งรักก็ยิ่งตามติดยึดมั่น อย่าบอกว่ายิ่งรักยิ่งเกลียดเพราะถ้ารักมาก เวลาเขาไปจากชีวิตเราจริงๆ เรารับได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความรู้สึกของมนุษย์สลัดไม่ง่าย จึงไม่สามารถมองได้ชัด  เมื่อมองไม่ได้ชัดจะเอาธรรมะมาสอนก็ยิ่งไม่ได้เพราะมีอารมณ์ มีความคิดมาเหนี่ยวรั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้เรามองเห็นเขาและตนเองได้ไม่แจ่มชัด ท่านอาจเคยได้ยินว่าเรื่องเล็กๆ หากทำใจได้ก็มีความสุข แต่หากทำใจรับไม่ได้ แม้เรื่องจะเล็กก็ใหญ่ได้และเป็นทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถึงจะเป็นเรื่องเดียวกันหากเรากล้ายอมรับและวางใจเป็นกลางจะทำให้เรา เอาชนะและอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเป็นสุข  แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะคาดหวัง ซึ่งจะทำให้เห็นได้ไม่จริงและเกิดทุกข์  ฉะนั้นความจริงในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับความรู้สึกที่ไม่กล้ายอมรับความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราพูดแค่นี้จบได้หรือไม่  ธรรมะมีข้อเดียวเองคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แล้วก็ว่างเปล่า  แต่ทำไมเราถึงไม่หยั่งแจ้งให้เกิดปัญญาในใจตนและไม่สามารถเข้าถึงได้ เพียงเพราะความคิด ความรู้สึกแค่นี้หรือ เหมือนถ้าวันนี้รู้สึกไม่ชอบจะฟังต่อไหม (ฟัง)  ถ้าวันนี้ความคิดบอกไม่เอาจะอยู่ต่อไหม  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในโลกไม่ใช่ผู้คน แต่คือความคิดและความรู้สึกที่อยู่ในใจ  ปัญหาในโลกไม่น่ากลัว
แต่ปัญหาที่เกิดจากใจที่ไม่ยอมรับความจริง ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรามีความคาดหวัง มีความคิดยึดมั่นถือมั่น เขาต้องเป็นแบบนั้น เขาต้องเป็นแบบนี้ เขาต้องพูดกับฉันอย่างนั้น เขาต้องพูดกับฉันเช่นนี้  เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น เราก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะเรา (เรา)  ฉะนั้นวันนี้ขอให้นำธรรมที่เราบอกนี้ไปพิจารณาทุกขณะที่ดำเนินชีวิต อย่าเอาแต่โทษผู้อื่น อย่าเอาแต่โทษฟ้า โทษดินไม่ยุติธรรม  แต่ลองถามตัวเองสิว่า
ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม ใจเราเที่ยงตรงเป็นกลางไหม ใจเราไม่ยึดมั่นถือมั่นไหม ใจเราเอาแต่คาดหวังแล้วไม่ยอมรับความจริงหรือเปล่า  เหมือนตอนนี้ถ้านั่งแล้วมีความสุขก็โชคดี ถ้านั่งแล้วมีความทุกข์ แล้วใครที่คิดให้ตนเองทุกข์ใจ (ตัวเอง)
เรียนธรรมะเรียนให้จบนะ ธรรมะทำตอนดำรงชีวิต ธรรมะปฏิบัติตอนไหน ปฏิบัติยามมีลมหายใจ ทุกขณะซื่อตรงต่อหน้าที่ ซื่อตรงต่อความคิดและความรู้สึก ทำสิ่งใดด้วยใจรัก ทำโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นความเห็นแก่ตัว รู้จักคิดถึงผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้ว ทำด้วยใจรัก ทำด้วยเคารพหน้าที่ ทำด้วยรู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่น ถ้าทำได้ทุกวันนั่นก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้ว  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ควรทำด้วยใจรัก ทำด้วยความซื่อตรง ทำแล้วเคารพหน้าที่ ทำแล้วรู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่น  ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม ไม่ยากเลยใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราก็หวังว่าวันนี้แม้จะเหนื่อยแต่ก็คงได้อะไรไปไม่มากก็น้อยนะ ดีไหม (ดี)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ



วันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๗
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่าจมกับความรู้สึกจนมองไม่เห็น อย่าจมกับความเคยชินจนเป็นนิสัย
อย่าตอกย้ำตนเองจนเป็นทุกข์ใจ    ต่างเกิดมาเพื่อเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
สายน้ำทอดยาวออกไปประกายสวยงาม  ยุคสามผู้คนออกเดินด้วยความไม่แน่ใจ  ในความสิ้นหวังก็แอบมองเห็นปลายทางนั้น  ถึงฝันก็ขอตามจนหยุดหายใจ  
  *ส่วนหนึ่งชีวิต  ส่วน(หนึ่ง)ความหมาย  ศิษย์เอ๋ย เอาทุกข์โยนออกไป
**ถึงชาตินี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่  น้ำตาเป็นสายจะรินไป ใจสบายไหม  ถึงชาตินี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่  หนทางเส้นนี้ศิษย์มุ่งไป  อาจารย์อยู่ตรงปลาย(ของ)ทาง
(ซ้ำทั้งเพลง, *, **)
ทำนองเพลง : สู่กลางใจเธอ
ชื่อเพลง : อาจารย์อยู่ตรงปลายทาง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ร้อนจังเลย ถือพัดก็เมื่อยจะมีใครถือพัดลมตามอาจารย์ได้บ้างไหม คนโดยส่วนใหญ่พึ่งตัวเองแล้วเหนื่อย พึ่งคนอื่นดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครจะอาสาถือพัดลมตามอาจารย์บ้าง  มีหรือไม่ ก็มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้ พึ่งตัวเองแล้วเหนื่อย เบื่อ เมื่อย พึ่งคนอื่นดีกว่า ใช่หรือไม่
เราอยู่ในโลกแล้วเราเป็นแบบนี้ไหม พึ่งคนนั้นทีพึ่งคนนี้ที แล้วถึงที่สุดเราพึ่งคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) บางทีนึกว่ามีพัดแล้วจะเย็นใจ จริงๆแล้วเย็นไหม บางทีใจก็ไม่เย็นเลย พัดก็แล้วใช้พัดลมก็แล้ว บางครั้งเราคิดว่าเราพึ่งคนอื่นได้ แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องกลับมาพึ่งตนเอง  พึ่งใจของเรา ไม่มีอะไรทำให้เรามีความสุขได้ ถ้าใจเรายังไม่รู้จักพอ จริงไหม (จริง)  ถึงแม้จะพึ่งคนอื่นได้เป็นสิบหน พึ่งคนอื่นทำให้เรามีความสุขได้ แต่ถ้าใจเราไม่พอ เราก็ยังปรารถนาเรียกร้องไม่จบสิ้น เหมือนตอนแรกอาจารย์ไม่รู้จักพัดลมอาจารย์ก็พึ่งพัด พึ่งมือตนเอง ถามว่าพึ่งพัดลมหายร้อนไหม (ไม่หาย) แล้วพึ่งอะไรให้หายร้อน (ไม่มี) เพราะพัดลม แอร์ และพัด ไม่สามารถดับใจที่ร้อนอยู่ภายในได้ ดับได้แค่เพียงความทุกข์ทางกายช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (ใจของเรา) ปัญหาอยู่ที่ใจของตัวศิษย์เอง ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะพึ่งเขาไม่ได้ แต่เพราะเราลืมพึ่งตนเอง ไม่ใช่เขาทำให้เราไม่มีความสุขแต่เราเคยมีความสุขด้วยตนเองไหม (ไม่มี) เราอยู่กับตนเองมีความสุขไหม (ไม่มี) เพราะไม่มีจึงเที่ยวหาไปเรื่อย
ถ้าตัวเราพึ่งตัวเองได้ ตัวเราสามารถอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ เราจะต้องง้อหน้าอินทร์หน้าพรหม หัวดำหัวขาวไหม (ไม่ง้อ)  ไม่ง้อแล้วเขาจะทำให้เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะเป็นอย่างไร ฉันสุขได้ด้วยตัวเอง
มนุษย์ชอบพูดคำหนึ่ง “ฉันอยากมีสุข”  อยู่บนโลกอยากมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอยากมีความสุขไม่ยากเลย วิธีของอาจารย์ ตัดคำว่า “ฉัน” ออก ตัดคำว่า “อยาก” ออก มีหรือยัง (มี)  แต่เพราะเราเอาแต่บอกว่า “ฉันอยาก” มันก็เลยไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตัดคำว่า (ฉัน,  อยาก)  แล้วตอนนี้มีสุขหรือยัง (มีแล้ว)  แต่เรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  ฉะนั้นเวลาทำอะไรขาดทุนก็ขาดทุนสองเท่า จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยฉันมีสุขที่มีตัวเองอยู่ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเกิดมาเราโชคดีแล้วนะ แต่มนุษย์มักไม่เห็นคุณค่าแห่งความมีตัวเองนี้ว่าโชคดี มีตัวเองนี้เรียกว่ามีสุข ต้องคอยไปพึ่งคนนั้นพึ่งคนนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีพัดเลย สุขได้ไหม เย็นใจได้ไหม (ได้)  ได้ด้วยอะไร (ตัวเราเอง)  ได้ด้วยตัวเราเองนะศิษย์ เพราะถ้าวันหนึ่งไม่มีใคร ไม่มีอะไร เราต้องกล้าหาญ เป็นศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วนะ ต้องกล้าหาญและอยู่ให้ได้
โลกนี้เป็นโลกที่ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ไม่เราว่าเขาก็เขาว่าเรา เป็นโลกที่กระทบกันไปกระทบกันมา ทุกข์กันไปทุกข์กันมา ฉะนั้นเราจะทำอย่างไร ที่จะอยู่บนโลกนี้โดยถูกกระทบแล้วไม่ทุกข์ ถูกตีแล้วไม่เจ็บ ถูกว่าแล้วไม่เศร้า สูญเสียแล้วไม่เสียใจ พลัดพรากแล้วไม่ผิดหวัง เคยคิดกันบ้างไหม ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้ซึ่งกันและกันดีไหม อาจารย์ว่าอากาศร้อนแบบนี้พอเรายิ่งพัดก็ยิ่งร้อน อยู่เฉยๆ จะดีกว่า จริงหรือเปล่า (จริง)
เวลาร้อน ยิ่งพัดก็ยิ่งร้อนนะ ไม่พัดเลยยังเย็นกว่าอีกใช่ไหม (ใช่)  ลองปิดพัดลมแล้วเย็นด้วยตนเองสิแล้วจะรู้ว่าเย็นนานกว่า อาจารย์บอกว่ายิ่งพัดก็ยิ่งไม่หายร้อน ยิ่งเปิดพัดลมบางทีก็ไม่หายร้อนหรอก บางคนหันมาจ่อตัวเองตรงๆ ไม่ต้องพัดให้ใคร เพราะเวลาพัดลมส่ายไปมาแล้วเราร้อน ถ้าพัดลมจ่อคนใดคนหนึ่งก็ดูเหมือนเห็นแก่ตัวเกินไป ฉะนั้นไม่ต้องมีพัดลมเลยดีไหม (ดี)  เสียงส่วนใหญ่ให้ปิดพัดลมนะ (พระอาจารย์เมตตาให้ปิดพัดลม)  ศิษย์เอ๋ยเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วนะ อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก อย่ากลัวร้อน ในเมื่อศิษย์ไม่เปิดพัดลมอาจารย์ก็จะไม่พัดด้วยนะ เราก็จะได้ร่วมทุกข์ด้วยกันดีไหม (ดี) ไม่ให้ใครเสียเปรียบกันเลยนะ ศิษยไม่เปิดพัดลม อาจารย์ก็ไม่พัด
อยากนั่งหรืออยากยืน (นั่ง) ลูกศิษย์อาจารย์จี้กงไม่กลัวทุกข์ไม่กลัวลำบากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยากนั่งหรืออยากยืน (ยืน)  เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่ากลัวความลำบาก อย่ากลัวทุกข์ เพราะคนสามารถมีสุขได้ด้วยตนเอง สามารถพึ่งลำแข้งตัวเองไม่ต้องพึ่งลำแข้งของคนอื่น แม้ใครจะทำให้ศิษย์ทุกข์ขนาดไหนศิษย์ก็สามารถแหวกจนหาทางสุขได้พบ  ถ้าตอนอยู่กับอาจารย์ ถูกอาจารย์เข้มงวดกวดขันแล้วศิษย์ทำใจได้ ออกไปอยู่ข้างนอกก็ไม่ต้องกลัวจริงไหม (จริง)
ถ้าอาจารย์ไม่ให้เปิดพัดลม ไม่ให้นั่ง ศิษย์ก็ต้องทนได้ และสามารถมีความสุขได้  รู้ไหมทำไมเราถึงไม่สามารถเอาชนะทุกข์ได้  เพราะแค่เริ่มต้นศิษย์ก็กลัวเสีย แล้ว ยังไม่ทันรับมือศิษย์ก็กลัวแล้ว ใช่ไหม(ใช่)  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าศิษย์ตั้งใจเรื่องชีวิตไว้ว่า ลำบากก็ไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่ได้ เจ็บก็ไม่ได้ ฉะนั้นเจออะไรก็ทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจริงไหม ศิษย์ต้องเริ่มต้นชีวิตให้ถูก ถ้าเริ่มต้นชีวิตถูก ลำบากก็ได้ เจ็บก็ได้ ทุกข์ก็สู้ ฉะนั้นเวลาเจ็บ เวลาลำบาก เวลาทุกข์มา ศิษย์จะกลัวไหม (ไม่กลัว)  เพราะพร้อมรับมือหรือเรียกว่าผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย และผู้ประมาทย่อมเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นทุกข์ก็ไม่ทุกข์ เจ็บก็ไม่เจ็บ กลัวก็ไม่กลัว  รับรองว่าได้วิชาคงกระพันจากอาจารย์แน่เลย เมื่อยก็ไม่เมื่อย ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวเจ็บ ลำบากก็ไม่กลัวแล้วชีวิตนี้จะมีอะไรทำให้ศิษย์ต้องทุกข์อีก  
ฉะนั้นจำไว้นะ ทุกข์ก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว ลำบากก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เพราะเราพึ่งคนอื่นไม่ได้ตลอด พึ่งวัตถุ รูป นาม อะไรก็ไม่เที่ยงแท้ ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พึ่งมากที่สุดก็คือตัวเราเอง เพราะว่าในโลกนี้ เป็นโลกแห่งความจริงอันเปลี่ยนแปลงที่หาที่สุดไม่ได้  และเมื่อเปลี่ยนแปลงหาที่สุดไม่ได้ ก็เพราะโลกนี้อยากบอกให้เรารู้ว่า ใดๆ ในโลก เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ควรจะยึด ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงอันแท้จริงที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ จึงสอนให้เรารู้ว่าใดๆ ในโลก อย่าได้ยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้าเมื่อใดเรายึด เราก็ทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรารู้เช่นนี้แล้ว เราต้องเรียนรู้และเปิดใจให้กว้างยิ่งขึ้น ไม่ใช่เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็ยังคงดำผุดดำว่ายอยากมีอยากเป็นไปไม่จบสิ้น
เคยได้ยินไหม มนุษย์มักจะพูดว่า หาไปมากมายถึงที่สุดก็เอาไปไม่ได้ ขนาดเอาเงินใส่เข้าไปในมือหรือปากก่อนตาย เพื่อที่จะได้ให้วิญญาณเอาไปด้วย สามารถเอาไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นหาไปถึงที่สุด หาไปมากๆ หาไปแล้วเบียดเบียน ก่อทุกข์ก่อความรำเค็ญ สร้างบาป สร้างกรรมให้คนอื่น สู้หาน้อยๆ ดีกว่า เพราะถึงที่สุดแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วศิษย์เคยเห็นบางคนหรือไม่ ที่หาแทบเป็นแทบตาย ถึงเวลานึกว่าจะได้ใช้เงิน ผลสุดท้ายตายก่อน ฉะนั้นเราก็ไม่ควรหาจนถึงกับโลภจนเกินไป แล้วศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ บางคนหาเพื่อจะได้ใหญ่กว่าคนอื่น เพื่อจะได้แน่กว่าคนอื่น เพื่อจะได้เก่งกว่าคนอื่น แต่ในที่สุดแล้ว เราใหญ่หรือแน่ขนาดไหน ก็เล็กกว่าโลง หามามากขนาดไหน ก็ใส่โลงไปไม่หมด เมื่อรู้แบบนี้เรายังจะอยากอวดเบ่ง อวดโก้กับคนอื่นไปทำไม แล้วมีใครบ้างที่ไม่หลงว่าตัวเองสวยหรือหล่อ  แล้วรู้หรือไม่ว่า สวยไปก็แค่นั้น แต่ถึงที่สุดก็คือผ้าปิดกระดูกผี
อาจารย์ยืมคำมนุษย์มาพูดนะ พยายามสวยไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดสิ่งที่สวยนั้นคือผ้าปิดกระดูกผี ฉะนั้นเราจะแสวงหาจนก่อเกิดโลภ ก่อเกิดบาป ก่อเกิดกิเลส เกิดความทุกข์ไปเพื่ออะไร ในเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่า “เกิดมาเป็นคนทั้งที จะให้ไม่มีความสุขเลยคงไม่ใช่ ต้องหาความสุขบ้าง มีเล็กๆ น้อยๆ “ แล้วศิษย์เคยได้ยินไหม ร่างกายเหมือนขวดเหล้ากินน้อยๆ ก็เป็นยา กินมากๆ ก็เหมือนเอาน้ำทองแดงกรอกตัวเอง ร่างกายนี้ก็เหมือนกันรู้จักใช้ให้เป็นมันก็เกิดประโยชน์ ถ้าใช้ไม่เป็นใช้ร่างกายอย่างหนักศิษย์ก็คือคนโง่ตกเป็นทาสร่างกาย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์จึงบอกว่าร่างกายไม่ต่างกับขวดเหล้ากินเป็นก็เป็นยา ใช้เป็นก็คือแสงสว่าง แต่ถ้ากินไม่เป็น ใช้ไม่เป็นก็เผาใจตนเองจริงไหม(จริง)  แล้วตอนนี้ศิษย์พกขวดเหล้า ศิษย์นอนกอดขวดเหล้าอย่างลุ่มหลงหรือรู้จักใช้ให้เป็น ถ้าใช้เหล้าเพียงนิดเดียวก็เป็นเพลิงที่ให้ความอบอุ่น ร่างกายถ้ารู้จักใช้เป็นก็นำพาชีวิตพบความสว่าง  แต่ถ้าใช้ร่างกาย ใช้ใจไม่เป็น เราก็คือคนที่ขังตนเองอยู่ในความโลภ หลง โกรธ ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ที่ตนเองสร้างขึ้น ใช่ไหม(ใช่) 
ตอนนี้มีคนแอบพัดด้วยนะ ร้อนไหม  อาจารย์ยังไม่พัดเลย แถมอาจารย์ยังใส่เสื้อตั้งสองชั้นนะ  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ถ้าใจมัวกังวลจดจ่อเรื่องอื่นอยู่ ไม่กังวลเรื่องร่างกายก็จะไม่รู้สึกร้อน ถ้าใจศิษย์จดจ่ออยู่กับอาจารย์ศิษย์ก็จะลืมร้อน จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจศิษย์ไม่อยู่กับอาจารย์ คิดแต่ว่า “เมื่อไรจะเปิดพัดลมๆ” จากร้อนก็จะก่อเกิดเป็นกิเลส แล้วเกิดการทำลายล้างกัน
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อยู่ในโลกนี้จงใช้ขวดเหล้านี้ให้เป็น ใช้ไม่เป็น หลงกินมันมากมันก็ตกเป็นทาสขวดเหล้านี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นใช้ให้ดีมันก็นำความสว่าง ใช้ไม่ดีมันก็จุดไฟเผาตัวเองให้มอดไหม้ จริงหรือไม่ (จริง)
รู้จักสุขไหม ส่วนใหญ่ศิษย์ชอบความสุขใช่ไหม (ใช่)  อยากให้นั่งเก้าอี้นี้แล้วมีความสุขมากๆ ไหม (อยาก)  ลองยืนขึ้นสักหนึ่งชั่วโมง พออาจารย์ให้นั่งศิษย์จะมีความสุขในการนั่งเก้าอี้ทันที จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนทุกคนนั่ง ยกเว้นนักเรียนหนึ่งคน)
เมื่อสักครู่ศิษย์เป็นคนบอกเองใช่หรือไม่ว่าอยากจะมีทั้งสุขและทุกข์  ตอนนี้คนอื่นเขานั่งแล้วมีสุขแล้ว แต่ศิษย์ยังต้องยืนศิษย์ก็จะได้รู้จักคำว่า (ทุกข์) ตอนนี้อยากรู้จักสุขหรือยัง  เชิญนั่งนะ สุขหรือยัง (สุขแล้ว) สุขหรือทุกข์อยู่ที่ตรงไหน ใช่อาจารย์กำหนดหรือไม่ (ไม่) เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า จะมีสุขได้ต้องมีเงินมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์อยากมีความสุขจากที่มีเงินมาก ถ้าอาจารย์อยากจะมีเงินมาก อาจารย์ก็ต้องทำงานให้เต็มที่  ตลอดเวลาก็คิดว่า ฉันจะต้องมีเงินเยอะๆ เพื่อจะได้มีความสุข  ช่วงที่คิดอยู่นี้มีความสุขหรือไม่ (ไม่มี) เพราะความสุขอยู่ที่เงิน พอได้เงินมามากๆ แล้วมีความสุขหรือไม่ (ไม่) เพราะอะไร (เพราะกลัวเงินหมด) จริงนะ อาจารย์จะเทียบเวลาให้ดู กว่าเราจะได้เงินมาก้อนหนึ่ง ยังไม่ทันได้ชื่นใจกับเงินก้อนนี้เลย เราก็เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าจะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหน จะรักษาอย่างไรให้เงินงอกเงย รักษาอย่างไรไม่ให้เงินสูญ แล้วมีความสุขตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราบอกว่าจะมีความสุขต้องมีบ้าน มีรถ มีเงิน แต่พอหาเงิน หาบ้าน หารถ มาได้ กว่าจะหามาได้ก็ทุกข์ พอหามาได้มีใครบ้างที่มีบ้านแล้วไม่ทุกข์
มีรถแล้วไม่ทุกข์เพราะรถ ฉะนั้นการมีอะไรสักอย่างเพื่อมีความสุข แท้จริงแล้วเรายังไม่ได้ลิ้มรสความสุขนั้นเลย ปรากฎว่าเราต้องกังวลแล้วว่า เราจอดรถตรงนี้จะปลอดภัยไหม ตื่นเช้ามาจะยังมีรถอยู่หรือเปล่า
ศิษย์มักจะพูดว่า ความสุขของศิษย์คือการได้มีคนมารัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราบังคับให้ใครมารักเรา หรือพยายามเรียกร้องให้ใครมารัก ความรักเป็นเรื่องแปลก เรียกให้รัก เขากลับไม่รัก แต่เมื่อรู้จักให้ความรักเขา เขาจะรักตอบ ฉะนั้นอย่าคิดว่า ทุกอย่างจะได้มาต้องแสวงหา ต้องบังคับให้เธอต้องรักฉัน  ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะอะไร ยิ่งพยายามทำอย่างนี้ เขาก็ยิ่งหนี แล้วศิษย์ทำอย่างนั้นหรือไม่ ฉะนั้นความรักหรือความสุข ไม่ได้เกิดจากการแสวงหา หรือเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ต้องถามตัวเองก่อน ว่ารู้จักให้ใครบ้างหรือไม่ อย่าเอาแต่เรียกร้องคนอื่น อย่าเอาแต่ไขว่คว้าจากผู้อื่น จนลืมที่จะหยิบยื่นให้ผู้อื่นบ้าง และเมื่อรู้จักความสุขบางอย่างแล้ว คราวนี้มาเรียนรู้เรื่องความทุกข์บ้าง
อยากรู้จักทุกข์ไหม (อยาก) พุทธะไม่เคยเรียกว่าโลกนี้มีความสุข พุทธะทุกพระองค์ล้วนเรียกโลกนี้ว่าความทุกข์ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย แค่นั้นเอง แต่มนุษย์มักเรียกว่าสุข จริงๆแล้วไม่ใช่สุข ในสุขนั้นมีทุกข์อยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์อยากทุกข์และเรียนรู้ทุกข์ให้เป็น  สิ่งสำคัญคือใจศิษย์กล้าจะสู้ไหม คนกล้าจะทุกข์ครั้งเดียวหลังจากนั้นจะไม่ทุกข์อีกเลยแต่คนใดที่ไม่กล้าสู้ ทุกข์ คนนั้นจะทุกข์ไปตลอดชีวิต จำคำอาจารย์ไว้ให้ดีนะ คนใดกล้าสู้ทุกข์ เขาจะเจอทุกข์แค่ครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นเขาจะไม่ทุกข์อีกเลยแต่คนใดที่ไม่กล้าสู้ทุกข์คนนั้นจะต้องเรียนรู้ทุกข์ไปตลอดชีวิตเพราะความทุกข์คือความยึด ความสุขคือการเรียนรู้ ฉะนั้นถ้าจะเรียนความทุกข์กับอาจารย์ ศิษย์พร้อมจะกล้าไหม (กล้า) เช่นนั้นจงดูให้ดีความทุกข์ที่ศิษย์ต้องเจอมีอะไรบ้าง
๑) พลัดพรากจากสิ่งที่รัก
๒) สูญเสียจนเกือบหมดตัว
๓) เจ็บปวดจนถึงขั้นเสียชีวิต
๔) ความตาย
เราจะเรียนรู้ได้ศิษย์ต้องกล้าเผชิญสิ่งที่อาจารย์พูดนี้ให้ได้ก่อน ถ้าศิษย์ยังบอกว่าไม่กล้า ศิษย์จะไม่มีวันเข้าใจ  เรียนรู้  เอาชนะและข้ามไปได้นะศิษย์ เหมือนบอกว่าศิษย์อยากว่ายน้ำเป็น ทำอย่างไร คนฝึกต้องโยนคนว่ายน้ำไม่เป็นตกน้ำไปเลย กล้าๆกลัวๆทำไม ใช่ไหม แต่คนโยนต้องว่ายน้ำเป็นด้วยนะไม่งั้นอาจฆ่าเขาตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์สู้ไหวไหม ความทุกข์ที่ศิษย์ต้องเจอข้อที่ ๔ คือ ความตาย กล้าหรือไม่ (กล้า) ฝ่ายชายเงียบเลย สู้ผู้หญิงไม่ได้เลย ผู้หญิงขาลุยแต่ถึงเวลาห้ามหลบนะ ถ้าศิษย์อยากเอาชนะทุกข์ และเรียนรู้ทุกข์ให้เข้าใจ และจะเป็นทุกข์ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ทุกข์อีกเลย ศิษย์จะต้องเอาชนะและเข้าใจตรงนี้ให้ได้ พลัดพรากจากสิ่งที่รักได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าศิษย์ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่ยากเลยคือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามชะตาชีวิต
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากเร่งให้เราพลัดพรากจากสิ่งที่รักเร็ว จงอย่าพลัดพรากชีวิตใครให้ห่างจากสิ่งที่เขารัก เราเป็นคนชอบพรากชีวิตผู้อื่นหรือไม่ เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นหรือไม่ (เบียดเบียน)  ดังนั้นหากต้องการความพลัดพรากให้เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นต่อไป แต่หากศิษย์ไม่ต้องการจงหยุดการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น หยุดเอาชีวิตเขามา ถ้าไม่อยากตายเร็วก็อย่าฆ่าใครเพื่อชีวิตตัวเอง  สิ่งเหล่านี้มาตามชะตาชีวิตที่ศิษย์เป็นผู้กำหนด  
ทุกวันนี้เบียดเบียนใครหรือไม่  (ไม่)  แน่ใจหรือ เราเบียดเบียนเขาทั้งกายทั้งใจ เอาทั้งเนื้อ เอาทั้งชีวิตของเขามากินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รักเร็ว ก็จงอย่าพลัดพรากชีวิตใคร
ถ้าไม่อยากสูญเสียจนหมดตัว จงรู้จักซื่อสัตย์เป็นชีวิตจิตใจ ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา  คนที่สูญเสียจนหมดตัวเพราะอยากได้ของๆคนอื่นจนลืมนึกถึงความถูกต้องชอบธรรม อย่าโลภเอาของใครมาเป็นของตนเอง ศิษย์ก็จะไม่ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ให้เจ็บปวด
ถ้าไม่อยากเจ็บปวดจนสุดชีวิตก็อย่าไปคิดอิจฉาริษยาใคร แช่งชักหักกระดูกใคร เกลียดใคร อาฆาตแค้นใครก็อย่ามี  เพราะถ้ามีศิษย์ก็คือที่ทำให้ชีวิตนั้นเจ็บปวดได้ง่าย
พอเห็นใครได้ดีก็คิดว่า “ไม่รู้ว่าดีตรงไหน เธอก็ไม่ต่างจากฉันหรอก” คนที่มีชีวิตเช่นนี้ มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความสุข มีแต่ความเจ็บปวด ความอาฆาตแค้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะพบเขาอีก ก็คิดไปเลย แล้วก็จองเวร จองกรรมไปเลย แล้วศิษย์ก็จะกลับมาเกิด มาพบกับเขาอีก ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นถ้าเวลามีใครทำอะไรไม่ดีกับศิษย์ ศิษย์ก็จง (ให้อภัย) และเมื่อใครได้ดี ศิษย์ก็จงยินดีด้วย สาธุด้วย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บปวดจนเสียชีวิต หรือไม่อยากมีโรคภัยเจ็บออดๆ แอดๆ อย่าคิดริษยา อย่าผูกใจเจ็บ
ถ้าไม่อยากตายไว จงรู้จักเมตตามากๆ ไม่อยากตายไวก็อย่าฆ่าใคร และชีวิตก็จะพบกับเรื่องนี้ช้าลง แต่ไม่ใช่ว่าจะหนีพ้น เพียงแต่เป็นการที่เราไม่เร่งกรรมให้มาไว แต่ไม่ใช่ว่าเราจะหนีกรรมแห่งความเป็นจริงได้หมด เพราะทุกคนต้องสูญเสีย เจ็บปวด และพบกับความตาย ทุกคน แต่เราจะทำอย่างไร ที่เราจะเผชิญสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไม่ทุกข์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลก ตัวเรามักจะมีโรคอยู่อย่างหนึ่ง เวลามีใครว่าอะไร ใจเราก็รับไปหมด ดีก็รับ ไม่ดีก็รับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเราก็แปลกทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนี้ทุกข์ ไม่ควรจะเอา เราก็เอา สิ่งที่ชมไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร เราก็เอาตัวเราไปรับหมดทุกเรื่อง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ใจเราไปผูกติดกับทุกเรื่อง ดีก็ใจนี้ เสียก็ใจนี้ ทุกข์ก็ใจนี้ สุขก็ใจนี้ แล้วใจนี้เป็นเหมือนอะไร เป็นเหมือนกระโถนท้องพระโรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ใครด่ามาก็รับ ใครชมมาก็รับ  ใครแช่งมาก็ (รับ)  แล้วใจนี้เราเป็นกระโถนท้องพระโรงหรือ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นก่อนจะเรียนรู้ทุกข์เราต้องเรียนรู้ก่อนว่า
๑) ใจเรารับไหวไหม 
๒) เราจะทำใจอย่างไรให้สู้กับทุกข์ได้
เรามารู้จักใจตนเองก่อนดีไหม ช่วยอธิบายให้พระอาจารย์จี้กงฟังหน่อยว่า “ใจที่ชอบทุกข์เป็นแบบไหน”  ใจศิษย์เป็นแบบไหน (ใจที่คิดมาก)  ใจก็ใจ สิ่งที่คิดก็คิด ตกลงว่าใจศิษย์เป็นสมองหรือสมองเป็นใจ (ใจที่ชอบแบกรับไว้มากมาย) แล้วใจเป็นอย่างไร เอาใจออกมาให้อาจารย์รักษาสิ  ความคิดก็อยู่ส่วนความคิด  หัวใจก็หัวใจอยู่คนละที่กันนะ อยากหยุดความคิดให้หยุดที่สมองหรือให้ความรู้อันกระจ่างแจ้งก็มาคลายความคิดให้เลิกฟุ้งซ่าน แล้วใจศิษย์อยู่ตรงไหน กลมหรือเหลี่ยม ไม่มีรูปร่าง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ที่มากระทบ อารมณ์ใดเป็นใหญ่อารมณ์นั้นก็มาครอบงำศิษย์ แต่ถ้าอารมณ์ใดไม่มีใจนั้นก็ไม่มี แล้วจริงๆ ใจไม่มีนะ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นความเคยชิน อารมณ์ นิสัยที่สร้างให้เรามีใจที่ครอบงำบดบังใจแท้  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเห็นใจหรือแก้ใจตนเองศิษย์จะทำอย่างไร  ใคร ตอบอาจารย์ได้ (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางได้แต่ความคิดไม่ปล่อย ทำอย่างไรที่เราอยู่บนโลกนี้แล้วสามารถเรียนรู้ความจริงได้ เป็นเพราะใจเราแคบไปหรือไม่ ใจเรามีกรอบหรือไม่ ใจมีรักชอบชังใช่หรือไม่ ฉะนั้นหากเราทะลุซ้ายขวาไม่มีชอบ ไม่มีชัง จะมีใครมาทำให้เราเจ็บปวดได้  แต่เป็นเพราะใจของเรามีชอบ มีชัง หากไม่อยากมีทุกข์จงเปิดใจให้กว้าง กว้างจนหาที่สุดไม่ได้ เมื่อหาที่สุดไม่ได้พอใครมากระทบก็ไม่เจ็บเพราะเราไม่มีใจที่ยึดว่าแบบนี้ ได้ แบบนี้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ยากหรือไม่
อธิบายให้เพื่อนฟังสิ (ใจเราไม่มีรูปร่าง แต่เป็นเพราะความคิดความรู้สึกของเรามากกว่า ที่ไปกำหนดว่าสิ่งนี้ใช่ สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งนี้เรารู้สึกทุกข์หรือรู้สึกต่างๆ ทุกสิ่งคือความว่าง แต่ตัวเราไปกำหนดเอง อยู่ที่เราคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความทุกข์สำหรับทุกคน แต่บางคนก็ทุกข์ อยู่ที่ตัวเราเอง)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ก่อนจะเรียนรู้ทุกข์นี้ให้เข้าใจ  ศิษย์ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าใจศิษย์ตีกรอบ บังคับว่าแบบนี้ชอบ แบบนั้นไม่ชอบ ใช่ไหม (ใช่)  แบบนี้เรียกว่าสุข แบบนั้นเรียกว่าทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเวลาพบแบบที่ไม่ชอบ ก็เลยเป็นทุกข์ เมื่อพบแบบที่ชอบ ก็เลยเป็นสุข  แต่ถ้าตอนนี้ใจเรากว้าง ไม่มีอะไรที่ชอบและไม่ชอบ จะมีอะไรที่เรียกว่าทุกข์และสุขไหม (ไม่มี)  ใจเราเหมือนฟ้ากว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ใจเราเป็นฟ้ากว้างไหม (ไม่เป็น)  ใจเราชอบตีกรอบว่าต้องเป็นแบบนี้ อย่าเป็นแบบนั้น ต้องพูดแบบนี้ อย่าพูดแบบนั้น  ถ้าไม่อยากทุกข์ แก้ตั้งแต่แรกเลยคือแก้ที่ใจ ใช่ไหม (ใช่) แก้ที่ใจคือทำให้ใจกว้างจนหาขอบเขตและหาความมีตัวตนเข้าไปอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าเรามีตัวตนเข้าไปอยู่มันก็เริ่มจัดแล้วว่านี่ทุกข์ นี่สุข นี่เอา นี่ไม่เอา ใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อสักครู่เราเรียนรู้วิธีเข้าใจใจของตนเองแล้ว ต่อไปเราก็ต้องเรียนรู้ความทุกข์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า มนุษย์มีทุกข์อะไรบ้าง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทุกคนถือเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง แล้วเดินเคลื่อนไหวไปตามคำสั่ง)
นั่งเฉยๆก็ทั้งเบื่อ ทั้งเมื่อย ทั้งทุกข์ ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์แบกเก้าอี้ ดีไหม (ดี)
ถ้ามีคนหนึ่งอยู่กับศิษย์ แล้วให้ศิษย์แบกเก้าอี้ไปทางซ้าย แบกไปทางขวา เดินไปข้างหน้า เดินไปทางหลัง  แล้วเราจะแบกชีวิตนี้ไปอีกนานแค่ไหน  ทำไมชีวิตต้องเล่นกลกับเรา เดี๋ยวถอยหลัง เดี๋ยวเดินไปข้างหน้า เดี๋ยวเดินไปทางซ้าย เดินไปทางขวา เราจะทำอย่างไรดี ทั้งที่ คือ ความทุกข์ เราจะแบกทุกข์ต่อไปหรือเราจะเรียนรู้ทุกข์ให้เข้าใจ (เรียนรู้ทุกข์) เราน่าจะเรียนรู้กับความทุกข์สักตั้งหนึ่งนะ ทำไมอาจารย์สอนให้ศิษย์เรียนรู้ความทุกข์แต่ยังไม่ถึงความทุกข์ ศิษย์เอาชนะทุกข์อย่างไร จำไว้นะทุกข์ไม่ได้มีไว้เพื่อละ ทุกข์มีเพื่อกำหนดรู้ สิ่งที่ควรละคือต้นเหตุแห่งทุกข์ เราต้องละให้ได้ แต่ความทุกข์ที่เจอในชีวิตเราละให้หมดได้ไหม (ไม่ได้)  ตราบใดที่ศิษย์ยังไม่สามารถรักษาจิตให้กว้างโดยที่หาประมาณไม่ได้แล้วไม่มี ตัวตน ศิษย์ยังหนีไม่พ้นทุกข์
ฉะนั้นเมื่อใดที่เจอทุกข์จงรู้จักกำหนดรู้ทุกข์ให้ได้  ถ้าเรากำหนดรู้ได้ เราจะเห็นทุกข์ทันทีแล้วเราจะไม่เป็นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวางเก้าอี้ที่ถือลงพื้น)
ฉะนั้นถ้าตอนนี้เรามีเก้าอี้ ที่เป็นตัวทุกข์ สามวันนี้ศิษย์เกลียดเก้าอี้ตัวนี้มาก จริงหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นเวลาที่เราโดนกระทบ ไม่ว่าจะทางหู ตา หรือทางใจ ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ก่อนที่ศิษย์จะเกิดทุกข์ จงพยายามมองให้เห็นด้วยสติ บ่อยครั้งที่ศิษย์โดนคนอื่นว่า ศิษย์ก็โกรธทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยเห็นมันก่อนที่จะเกิดบ้างไหม พระพุทธะสอนไว้ว่า เวลาที่ความทุกข์เกิดขึ้น ให้กำหนดรู้ และมองมันให้เห็น เมื่อมองเห็นแล้วก็จะไม่เป็นทุกข์   (พระอาจารย์เมตตาให้ยกเก้าอี้ขึ้นเหนือศรีษะ) คราวนี้ศิษย์เห็นทุกข์หรือยัง (เห็นแล้ว)  แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน (เก้าอี้)
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์เมื่อเห็นทุกข์แล้วก็วางลง  แต่ทุกสิ่งเวลาที่มากระทบแล้วทำให้ศิษย์ทุกข์ เราวางทันทีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไรเราวางไม่ได้ ถ้าทุกข์นั้นเห็นชัดแบบเก้าอี้ จับได้อย่างเก้าอี้เราคงวางได้ทันทีใช่ไหม แต่ทำไมเราเห็นทุกข์ไม่ชัด เช่นเวลาเราโดนคนมาว่าเราโง่ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  โง่ไหม (โง่)  ศิษย์เอยถูกคนว่าโง่ไม่ทุกข์ก็ได้นะ เพราะถ้าเราเห็นตัวเราเองโง่ แล้วเราจะโง่ไหม (ไม่โง่)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เวลาความทุกข์มา เราเป็นทุกข์ไหม เวลาความพลัดพราก ความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความตายมา เรามองเห็นไหม ที่เรามองไม่เห็นเพราะเราปล่อยให้อารมณ์ครอบงำแล้วเราก็ไปเป็นทุกข์ แต่จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อศิษย์หาว่าสิ่งเหล่านี้เกิดที่ไหน  ถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ทุกข์ ศิษย์ต้องหาให้พบว่าทุกข์อยู่ตรงไหน ถ้าหาไม่พบศิษย์จะจัดการไม่ได้ ความพลัดพราก ความสูญเสียเกิดที่ไหน (ที่ใจ)  ฉะนั้นต้องจัดการที่ไหน (ที่ใจ)  ใจแบบไหนที่สูญเสีย พลัดพรากแล้วเป็นทุกข์ (ใจที่ยึดมั่น)  ใจที่ยึดแล้วไม่ยอมรับความจริงและปล่อยไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อรู้ถึงใจแล้วต้องมองให้ออกว่าใจแบบไหนที่ทุกข์ ใจที่ยึดไม่ปล่อย ใจที่ยึดแล้วไม่มองความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ใจที่ยึดแล้วไม่ยอมเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้เห็น ถ้าศิษย์มองไม่เห็นศิษย์จะเอาชนะทุกข์ไม่ได้ แล้วศิษย์ก็จะไม่ได้ทุกข์ครั้งเดียว แต่ศิษย์จะทุกข์ไปตลอดชีวิต  ฉะนั้นทุกข์ที่ใจ ใจที่ไม่ยอมรับความพลัดพราก ทั้งที่ความพลัดพราก การสูญเสีย ความเจ็บปวดและความตาย เป็นธรรมดาของทุกชีวิต และเป็นความจริงอันหนีไม่พ้น  ฉะนั้นเรากำลังทุกข์กับความเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  เรากำลังทุกข์อยู่กับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อเป็นธรรมดาและเป็นความจริง เราจะไปยึดทำไม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เข้าใจแล้วก็ต้อง (ปล่อยวาง)  ถ้าเรามองว่าใครๆ ก็พลัดพราก ใครๆ ก็สูญเสีย ใครๆ ก็ต้องเจ็บปวด และใครๆ ก็ต้องตาย ทุกข์แค่เพียงกาย ทุกข์แค่เพียงใจ แต่เราไม่ไปทุกข์ด้วย ดึงเราออกมาสิ ดึงออกมาแล้วเราจะมองเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง สิ่งนี้เป็นทุกข์ ไปยึดสิ่งนี้ทำไม ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ก็อย่ายึดมั่น สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ขอแค่เพียงมองให้ออก และไม่ยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แต่จงมองความเป็นจริง และความจริงจะไม่ทำให้เราทุกข์ใจ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานกล้วยหอมให้นักเรียน)
ศิษย์เอ๋ย กินกล้วยอย่างไรไม่ให้ทุกข์ กินโดยไม่คาดหวัง กินโดยไม่วอนขอ กินโดยไม่ยึดติด ไม่เช่นนั้นเราอยู่ในโลกจะซื้ออะไรก็อาจเป็นทุกข์ได้ ซื้อผลไม้ก็คิดว่ามันต้องหวาน แต่พอได้เปรี้ยวมาเป็นอย่างไร (ทุกข์)  คบใครก็นึกว่าจะดี แต่ปรากฏว่าไม่ดี ทุกข์ไหม
ฉะนั้นศิษย์อยู่ในโลกไม่ว่าจะกินกล้วย ไม่ว่าจะคบเพื่อน หรือไม่ว่าจะมีใคร อย่ากินกล้วยด้วยความหวัง อย่ากินกล้วยด้วยความยึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นกินกล้วยก็มีทุกข์ด้วย จะไม่ใช่กล้วยๆ  เชื่อไหมว่ามนุษย์ทุกข์ได้ทุกกรณีแค่ขนาดปอกกล้วยยังคิดว่าต้องหวาน อร่อย พอปอกเปลือกมาทานไปหนึ่งคำ ทำไมเฝื่อนอย่างนี้ ทุกข์ไหม (ทุกข์) มนุษย์ทุกข์ได้ทุกเรื่อง แต่เราต้องมีสติ ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ได้ ถ้ารู้แล้วเห็นชัดด้วยสติเราจะไม่ทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ได้แต่ต้องรู้ด้วยสติเมื่อเห็นชัดแล้วเราจะไม่ ทุกข์ ฉะนั้นแม้ปอกกล้วยออกมากินแล้วหวานก็จะไม่ดีใจ เพราะฝาดก็ทุกข์ หวานก็กิน ฉะนั้นกินแล้วไม่ควรคาดหวังที่ใจแล้วเราจะได้ไม่ต้องทุกข์
ใครอยากได้กล้วยบ้างยกมือขึ้น อาจารย์ถามว่าเอากล้วยไปทำอะไรดีจะได้ไม่ทุกข์  (กิน) กินไม่แบ่งเดี๋ยวก็มีทุกข์นะ เวลาได้อะไรไปคิดดูให้ดีบางทีไม่คิดมากนึกจะกินก็กิน แต่อย่าลืมว่าถ้ากินแล้วเราลืมมองข้างๆ เรากำลังทำให้คนข้างๆ ทุกข์หรือเปล่า มนุษย์คิดว่า ฉันมีชีวิตอยู่ของฉัน อยากทำอะไรก็ทำ ศิษย์แน่ใจหรือว่า สิ่งที่ทำโดยไม่คิด จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน 
อาจารย์ถามว่า ถ้าอาจารย์ให้กล้วย ศิษย์จะเอากล้วยไปทำอะไร (กิน อิ่มและดับทุกข์)  ชีวิตอย่ามัวมองแต่ตัวเองรู้จักคิดถึงคนอื่นบ้าง จะได้ไม่ทุกข์
(ให้ลูก)  ให้แล้วอย่าไปคาดหวังเขานะ ศิษย์เอ๋ย แต่จงกล้ายอมรับไม่ว่าลูกจะดีหรือไม่ดี
(ให้หายโรค)  นี่เขาเรียกว่ากินเพื่อความคาดหวังนะศิษย์  โรคมันเกิดจากการที่ศิษย์ไม่ดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ใช่หรือไม่ เอาแต่หาเงิน ไม่เคยดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี กินก็ไม่ค่อยถูกเวลา ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นช่วยได้แค่ระยะหนึ่ง เอาดิบๆ ไปแล้วกัน
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายท่านหนึ่ง)
อาจารย์รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อยาก และลึกๆ ในใจศิษย์ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่ออะไร แต่เรื่องราวบางเรื่องก็อยู่เหนือเหตุผล ถามว่าทำไมชีวิตของศิษย์จึงเป็นแบบนี้ หาเหตุผลหรือใครมาพิสูจน์ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องถามใจของศิษย์เองว่า ใครเป็นคนกำหนดชะตาชีวิต การที่ศิษย์รู้จักแข็งเกินไปก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี ศิษย์เคยได้ยินไหม ความแข็งใกล้กับความตาย ความอ่อนนุ่มคือการมีชีวิต
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “แลไม่ผลักไส”)
กลอนพระโอวาทนี้มีความหมายเนื่องต่อจากกลอนพระโอวาทที่จังหวัดพิษณุโลกคือ “ไม่ยึดติดแลไม่ผลักไส”
ถ้าเราอยู่ในโลกนี้อย่างไม่อยากทุกข์ ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดที่เราอยากยึดมั่นและไม่มีสิ่งใดที่เราอยากขจัดออก ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันเกิดแล้วมันก็จบเอง แต่ใจที่เรายึดมั่นถือมั่นเลยทำให้เรื่องราวต่างๆ ในโลกมันเกิดแล้วมันไม่จบ เพราะใจเรายังคั่งค้างอยู่ ฉะนั้นในพระโอวาทซ้อนจึงมีบทกลอนว่า
“ไม่ยินดียินร้ายก็ไม่ผลักไส ไม่ชอบก็ไม่ต้องชังอันใดเลย
ไม่ยึดไว้เลยไม่ต้องผลักไสเอย ในความเฉยขอให้เป็นเช่นนี้แล”
ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนมีความทุกข์เข้ามาอย่าเอาใจเราเข้าไปร่วม จงมองเห็นแค่ความทุกข์ เห็นทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ เห็นความโกรธแต่ไม่โกรธ เมื่อนั้นใจรักษาระยะห่างระหว่างความทุกข์ ความโกรธได้  ไม่เติมเชื้อ ไม่เติมการปรุงแต่ง ไม่เติมความอยากมีอยากได้ลงไป ความทุกข์ก็จะดับไปเองโดยที่ใจเราไม่ต้องทำอะไร แค่เห็นเท่านั้น หรือเวลาที่อะไรเกิดขึ้นกับกาย ใจก็สุข ขอเพียงวางใจ รับรู้แต่ไม่รับเก็บ อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ายอมรับเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเปลี่ยนไป
“รักชอบและความเกลียดชัง บดบังจิตใจเดิมแท้
มุ่งได้ไม่อาจแน่วแน่ เพราะแพ้ตนเองข้างใน”
ฉะนั้น ถ้าศิษย์ยังยืนยันอยากมีความรัก ความชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้และคนที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุด ไม่ใช่คนอื่นแต่คือหัวใจศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  ยึดรักยึดชัง แต่ท้ายที่สุดทั้งรักทั้งชังก็ยึดไม่ได้ ศิษย์เคยมองเข้าไปลึกๆ ในหัวใจศิษย์ไหม ใจจริงๆ แล้วที่สุดคือความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน แต่เพราะเรายึดมั่นและสร้างตัวตนครอบใจไว้ เมื่อเราครอบไว้เราก็ไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ ซึ่งจิตเดิมแท้นี้แหละคือสภาวะธรรมที่ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง ไม่มีรูปลักษณ์ แต่ว่าใจที่เรายึดติดว่า นิสัยอย่างนี้ ชอบอย่างนั้น มันมาบดบัง เมื่อบดบังก็เลยสร้างตัวตน เมื่อสร้างตัวตน  พออะไรกระทบแล้วชอบในสิ่งที่เราชอบก็บอกว่าดี ไม่ชอบในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็บอกว่าแย่ แล้วก็เกิดทุกข์เกิดสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ จงปล่อยวางใจที่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน เพราะใจนั้นก็ยึดไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับกายนี้ ใช่ไหม ฉะนั้นใจทุกข์แต่เราไม่ทุกข์ กายเจ็บแต่จิตไม่เจ็บ ดึงตัวเองออกมาแล้วมองให้เห็นว่า เจ็บแค่กายและใจแต่ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราเดิมแท้แล้วไม่มี เราจะไปสร้างตัวตนรับทำไม ทั้งที่ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไป แล้วสิ่งที่เรารักจะอยู่นานไหม ความทุกข์เคยอยู่กับใครนานไหม (ไม่นาน)  ฉะนั้นศิษย์จงมีสติแล้วนำปัญญามองเห็นความจริงให้แจ้ง
จริงๆ แล้วอาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไปรองรับทุกข์ เราจึงเหมือนทุกข์ไม่จบสิ้น จำไว้นะศิษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเกิดแล้วก็จบ ชั่วขณะที่มันเกิดมันก็จบอยู่ทุกขณะอยู่แล้วนะ แต่คนที่ไม่ยอมจบก็คือตัวเรา ศิษย์บอกว่า “มันยังมีอยู่อาจารย์ มันยังเป็นอยู่อาจารย์” แต่สิ่งที่มีที่เป็นนี้มันกำลังตายอยู่ทุกขณะ แล้วเราไปยึดอะไรกับความตายอยู่ทุกขณะ  ฉะนั้นตื่นเถิดนะศิษย์ ตื่นแล้วจงปลุกตัวเองด้วยสติ มองให้เห็นด้วยปัญญา เมื่อเราตื่นเราเข้าใจชีวิต ความทุกข์จะมาทำอะไรศิษย์ไม่ได้ แต่ทุกข์มาเพื่อให้เรียนรู้ใจ ทุกข์มาเพื่อทำให้เราเห็นแจ้งว่าใจนี้มันคือสภาวะธรรมอันเปล่าไร้ ตื่นได้แล้วนะ ตื่นด้วยสติ รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำสิ่งผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่จะช่วยทำให้เราห่างไกลความทุกข์นั่นก็คือความดีงาม
ฉะนั้นถ้าเราอยากห่างไกลทุกข์ เลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามถ้าทำแล้วหลงมันก็กลายเป็นทุกข์ เหมือนที่ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ศิษย์ก็เป็นคนดีนะทำดีก็มากแต่ทำไมยังทุกข์อยู่ ความดีไม่ช่วยอะไรเลย ใช่ไหม” นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์ทำดีโดยหวังวอนขอ ทำดีโดยยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความดีนั้นจึงไม่สามารถนำพาให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าอยากทำความดีแล้วพ้นทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้ว่า “จงทำโดยไม่มีกิเลสแปดเปื้อน จงทำด้วยจิตบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งตัวตน” ยิ่งทำยิ่งขัดเกลากิเลส ยิ่งปล่อยวางตัวตนได้ ความดีนั่นแหละจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าทำความดีแล้วยังเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความดีนั้นยังหนีไม่พ้นทุกข์ ยังหนีไม่พ้นอำนาจของพญามาร จำไว้นะจงทำดีโดยไม่หวังผล จงทำดีโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วความดีนี้แหละจึงเป็นความดีที่สามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้จักยืนด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงกล้าที่จะรับความจริง และเรียนรู้ชีวิตด้วยความกล้า สิ่งใดที่ผิดจงแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะศิษย์ไม่รักษาปณิธานที่ศิษย์มีไว้ กรรมเลยมาไว เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ ฉะนั้นอะไรที่จะเกิดต้องกล้าเรียนรู้และรับความจริง แก้ไขให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อาจารย์ให้ปัญญามากแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นจงรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยสติ ทำอะไรใช้สติอย่าใช้อารมณ์ จงมีสติให้มากๆ จงมีสติที่เรียนรู้ชีวิต จงมีสตินำพาตัวเอง สติจะทำให้เรารู้จักคิด สติจะทำให้เราเกิดปัญญา สติจะทำให้เรากล้าหาญ ร่างกายนี้มันเป็นของปลอมอย่าไปยึดติด
ร่างกายนี้อาจารย์ ว่าเหมือนผ้าปิดกระดูกผี ฉะนั้นอย่าไปหลงกระดูกผีนะศิษย์เอย  กระดูกผีน่ากลัว เรามาเพื่อแค่ยืมใช้ ถึงเวลาก็ต้องคืนคือความเป็นจริงของโลกใบนี้ไป จงมีสติไม่หลง
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ รับปากแล้วนะ ชีวิตนี้ต้องรู้ว่าจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้ดี ทุกขณะ ฝึกหัวใจอย่างฟ้าให้ได้นะ ใจที่ยิ่งใหญ่ ใจที่รู้จักเสียสละ ใจที่รู้จักให้  ใจที่กล้ายอมรับความทุกข์ และนำพาชีวิตให้ดี โลกนี้สวยงามแค่ไหนก็ยังน่ากลัวอยู่  ถ้ายังหนีไม่พ้นทุกข์  คิดให้ดีนะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดจะมาหลอกศิษย์ทำไม ใช่หรือไม่ พุทธะทุกพระองค์ล้วนอยากให้คนพ้นทุกข์ไม่ให้จมอยู่กับโลกใบนี้
เรามีสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่ากาย นั่นคือจิตอันบริสุทธิ์  จิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะธรรม จิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะฟ้าเบื้องบน แต่ที่เรามองไม่เห็นเพราะเรายึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ลองปล่อยวางแล้วใช้ชีวิตด้วยสติแล้วมองให้เกิดปัญญา ศิษย์จะรู้ว่าศิษย์มีสภาวะหนึ่งเดียวกับฟ้าอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เพราะอะไรจึงมองไม่เห็น เพราะความหลง ความโลภ ความโกรธ ความโง่เขลาเบาปัญญา แค่นั้นเอง เมื่อใดที่ศิษย์มองทะลุได้ สภาวะธรรมนั้นก็คือศิษย์ ศิษย์นั้นก็คือผู้พ้นทุกข์ได้ เชื่ออาจารย์นะ




I:\laoshi\laoshi3.jpg




พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แลไม่ผลักไส”
ไม่ยินดียินร้ายก็ไม่ผลักไส ไม่ชอบก็ไม่ต้องชังอันใดเลย
ไม่ยึดไว้เลยไม่ต้องผลักไสเอย ในความเฉยขอให้เป็นเช่นนี้แล
รักชอบและความเกลียดชัง บดบังจิตใจเดิมแท้
มุ่งได้ไม่อาจแน่วแน่ เพราะแพ้ตนเองข้างใน







อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา