แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เจิ้งซิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เจิ้งซิน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-28 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二○一九年歲次己亥十二月初三日                             仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  สุขภาพดีเพราะรู้จักดูแลตน               การงานดีเพราะคนรู้หน้าที่
ทรัพย์สินมีเพราะรู้ใช้อย่างพอดี             ครอบครัวดีเพราะใส่ใจดูแลกัน
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  ถือดีว่ารู้แล้วจึงหละหลวม                 พูดกระทำแต่กำกวมน่าเวียนหัว
หากไม่มีการย้อนพิจารณาตัว               ไม่รู้ตัวเริ่มต้นจากอะไร
รู้ว่ากลัวแต่ชอบจะหมกมุ่น                   ฟ้ายืดหยุ่นยังทำตัววายร้าย
ปัญหาเวียนตัวทำกรรมเพราะอบาย       คลื่นทำคนว่ายเท่าไรไกลสัจธรรม
โอกาสดีก็มีแต่ต้องตั้งใจ                       อัธยาศัยความเป็นอยู่ไม่ตกต่ำ
เรื่องมายมากตั้งมั่นเสมอธรรม               อะไรทำได้ไม่ทำอย่ากังวล
พยายามทำกลับคุ้นเคยความเกียจคร้าน ศรัทธามีอยู่แค่นั้นสำหรับบ่น
อาจารย์ขอมือหยิบจับเมตตาคน           ระคนใส่ใจตนเองบำเพ็ญธรรม
เป็นคนปฏิบัติเพื่อบรรลุการบำเพ็ญ       เป็นคนบำเพ็ญการบำเพ็ญประดุจน้ำ
มีเป็นบ้างไม่เป็นบ้างประจำ                 เกินเลยบ้างเป็นมโนธรรมสำนึกเอง
แอบติดยึดในใจหลักอลวน                   เลิกถือคนเข้าประตูธรรมกระฉับกระเฉง
อำนาจจะไม่หยุดถ้ามัวกระเตง             หลงอย่างจังยื้อเก่งศิษย์อันตราย
                                                                                          ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ใกล้ปีใหม่แล้วใครๆ ก็อยากมีความสุขและโชคดี มนุษย์มักบอกว่า ต้องเจอสิ่งดีๆ ถึงจะเรียกว่า โชคดี มีเรื่องดีๆ ถึงจะเรียกว่า โชคดี
ชีวิตเรามักไม่ค่อยราบรื่น มีลุ่มๆ ดอนๆ มีร้ายมีดี ถ้าเราบอกว่า ในเวลาที่เราแย่ที่สุด เราสามารถมีจิตใจที่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต จนไม่ทำให้เราแย่ นี่เรียกว่า โชคดีไหม ในวันที่เราเจอเรื่องที่แย่ที่สุด แต่เราสามารถเข้มแข็งผ่านไปได้และหยัดยืนได้ ศิษย์ว่าโชคดีไหม (โชคดี)  ในวันที่เราอ่อนแอที่สุด แต่เราสามารถปลุกใจเราให้เข้มแข็งได้ นี่เรียกว่าโชคดีไหม (โชคดี)  ในวันที่เรายากไร้ที่สุด แต่เราสามารถที่จะลุกขึ้นสู้กลับมามีขึ้นมาได้ นี่เรียกว่าเราโชคดีไหม (โชคดี)  โชคดีแบบเรานี้ดีไหม (ดี)  เจอเรื่องแย่ไม่ดีแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินหมดไม่ดีแน่ วันหนึ่งเจอเรื่องสูญเสียไม่ดีแน่ แต่ชีวิตจะมีทุกวันที่ไม่สูญเสียเป็นไปได้หรือไม่ ทุกวันมีแต่วันที่ดี เจอแต่คนที่ดี เป็นไปได้ไหม แต่ในทางกลับกัน ทุกวันที่เจอเรื่องแย่ๆ แต่เรากลับเข้มแข็งได้ ทุกวันที่เจอเรื่องร้าย เราสามารถลุกขึ้นพยายามค้นหาสิ่งที่ดีได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าโชคดีหรือ
ปวดขาแล้วยังนั่งอยู่จนได้ ถือว่าโชคดี  ฉะนั้นโชคดีไม่ได้อยู่ที่ใคร ไม่ได้อยู่ที่ฟ้าจัดสรร แต่อยู่ที่ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องราวอะไร เรากล้าสู้ เรากล้าที่จะยอมรับความจริงไหม และเอาสิ่งที่เป็นความจริงนั้นมาพลิกผันจนเกิดโชคดีให้กับตัวเอง อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้นในวันที่เราสูญเสียที่สุด เราอาจจะพบโชคดีที่สุด ในวันที่เราอ่อนแอที่สุด เรากลับโชคดีที่สุดที่ได้รู้
ชีวิตนี้ถ้าสุขภาพดี การงานก็ดี เงินก็มี ครอบครัวก็ร่มเย็น ไม่มีอะไรโชคดีกว่านี้แล้วจริงไหม แต่คำว่า สุขภาพดีของอาจารย์ ไม่ได้หมายความว่า มันจะดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสุขภาพดีเหลือแค่แปดสิบ เก้าสิบ หรือยี่สิบ เมื่อยังมีลมหายใจก็ขอให้รู้จักดูแลตัวเองให้เป็น เพราะอย่างน้อยใช้มาตั้งร้อยเหลือยี่สิบ ก็ยังดีกว่าไม่เหลืออะไรที่ดูดีเลย ถ้าเกิดวันหนึ่งชีวิตเราต้องเจอโรคร้าย ต้องเจอเรื่องเลวร้าย คิดแค่เพียงว่าโชคดีแล้วที่ได้เจอ และยังมีลมหายใจที่จะสู้ต่อไป ดีกว่ายอมแพ้และไม่ทันที่จะโชคดี หรือได้แก้ตัวอะไร และเราคิดว่าเราโชคดีไหม ที่สามารถนั่งจนเมื่อยขนาดนี้ ง่วงขนาดนี้ได้ (โชคดี)  เคยชินแต่ตัวเองพูดเยอะๆ แต่ตอนนี้ต้องมาฟังคนอื่นพูดโชคดีไหม (โชคดี)
ฉะนั้น ถ้าวันหนึ่งชีวิตต้องเจอเรื่องพลิกผันที่ไม่คาดคิด เป็นไปในสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ ขอให้ศิษย์มีจิตใจที่กล้าหาญยอมรับความจริง ธรรมะระดับศีลเรียกว่า ละบาปบำเพ็ญบุญ ธรรมะระดับสมาธิคือ มั่นคงในความถูกต้องดีงาม แต่ธรรมะระดับปัญญาคือ มีความรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของชีวิตจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์  ฉะนั้นศึกษาธรรมอย่าเอาแค่ระดับศีลธรรมดา เป็นคนดีเป็นคนไม่ประพฤติผิด ไม่ใช่ แต่ต้องไปต่อทั้งศีล สมาธิและปัญญา เหมือนเราฟังธรรมตรงนี้ อย่าแบ่งแยกว่าเป็นของจีน ไม่ใช่ของไทย มีแต่ภาษาจีนไม่ใช่ภาษาไทย เช่นนี้เรียกว่าจิตที่ยึดติด ย่อมไม่มีวันพบความสุข แต่จิตที่เข้าใจความเป็นจริง ย่อมสามารถที่จะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ เมื่อเข้าถึงสภาวธรรม แล้วมีแบ่งแยกไหม (ไม่มี)  เพราะทุกสิ่งล้วนคือธรรม แต่จิตมนุษย์ชอบแบ่งแยกตีกรอบยึดติด
(พระอาจารย์เมตตาถามว่ายินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม)
อาจารย์เพิ่งรู้ว่าหน้าตาแบบนี้ แปลว่าหน้าตายินดีต้อนรับอาจารย์นะ หน้าตาแบบนี้คือต้อนรับอาจารย์ไหม ต้อนรับหรือว่าขับสู้ (ต้อนรับ)  ไม่ใช่ต้อนรับขับสู้นะ นั่งเมื่อยและเบื่อนั่งใช่ไหม ฟังก็เบื่อใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เปลี่ยนจากนั่งฟังเป็นยืนฟังดีไหม อยากให้อาจารย์ช่วยศิษย์ ศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อน หวังให้ฟ้าบันดาลขอโน่นขอนี่ หวังขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าตัวเองไม่ขยับเขยื้อน ไม่ทำอะไรเลย ฟ้าจะบันดาลดล สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเหลืออะไรไหม (ไม่)  วันๆ เอาแต่กินนอนเที่ยว แล้วจะมีวาสนาไหม มีก็หมดได้ อยากจะเจอสิ่งดีๆ แต่วันๆ ทำแต่เรื่องเลวร้าย คิดแต่สิ่งที่ไม่ดี ชอบทำร้ายตัวเอง ชอบทำร้ายผู้อื่น อย่างนี้จะเจอเรื่องดีๆ ไหม ถ้าอยากจะเจอสิ่งดีๆ ควรเริ่มต้นที่ตัวเอง แต่ถึงเวลา เริ่มต้นที่ตัวเองไหม ให้คนอื่นทำก่อนจริงไหม (จริง)  ถ้าตอนนี้ให้อาจารย์นั่งก่อนแล้วศิษย์ยืนใช่ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม ให้คนอื่นสบาย เขาก็ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าให้คนอื่นเขาทุกข์ เขานี่ล่ะจะกลับมาทำให้เรายิ่งทุกข์
อาจารย์ขอให้กลอนไปด้วย แล้วหันมาคุยกับศิษย์ด้วย เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ ดีไหม ศิษย์เห็นดี อาจารย์ก็ทำ ศิษย์เห็นไม่ดี อาจารย์ก็ไม่กระทำ ดีไหม เพราะการมาของอาจารย์จะได้ไม่ทำให้ศิษย์ลำบากใจ อาจารย์มาสัก 2-3 ชั่วโมงไหวไหม ข้างๆ เขายืนจนชินแล้ว คนที่นั่งฟังก็นั่งฟังจนชินแล้ว แต่ตอนนี้ฟังมาทั้งวันแล้ว เพิ่มเป็น 3 ชั่วโมงไหวไหม ถ้าไม่ไหวอาจารย์จะอยู่แค่ชั่วโมงเดียว แล้วอย่ามาขอเพิ่มนะ เพราะอาจารย์ให้โอกาสแล้ว ถ้าชั่วโมงเดียวจะทำให้ไวที่สุดเลย ชีวิตถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว เราย้อนกลับมาไม่ได้
เหมือนอย่างที่อาจารย์เคยพูดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า “ชีวิตคนเราเหมือนกระแสน้ำ ไหลไปแล้วเรียกกลับคืนมาไม่ได้ พลาดไปแล้วจะย้อนแก้ตัวก็ยากลำบาก” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้เสียความรู้สึกและเสียจิตใจ เพราะถ้าใจเสียแล้ว มันแก้กลับมายาก เวลาเราจะทำอะไร เราต้องรู้จักทำให้ถูกต้องและทำให้ดีที่สุด เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า มนุษย์ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สำคัญที่ใจ ใจเป็นหลักใหญ่ ถ้าใจเราสะอาด บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สะอาด อย่างนั้นแปลว่าถ้าเมื่อไรเราเห็นคนอื่นสกปรก ก็แปลว่าใจเราก็ (สกปรก)  เราเห็นใครแย่ ก็แปลว่าใจของเราก็ (แย่)  ก็ในเมื่อทุกสิ่งเป็นภาพสะท้อนของใจเรา เราทำอะไรเพราะใจเราคิดอย่างนั้น ถ้าใจเราสะอาดทุกสิ่งทุกอย่างก็สะอาด ถ้าใจเราสกปรก ทุกสิ่งทุกอย่างก็สกปรก ถ้าใจเราดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี แต่ถ้าใจร้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ร้าย ถ้าโลกภายนอกที่เราเห็นว่าร้ายว่าแย่ นั่นแปลว่าเป็นเพราะเขาหรือเพราะเรา (เรา)  ศิษย์บอกว่า มันไม่น่าใช่นะอาจารย์ คนมันไม่ดี อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ในตัวเรานี้เราย่อมมีสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรทำให้เราร้ายและไม่ดี มีอิทธิพลกับเรามากที่สุด
(จิตเรา)  รองหัวหน้าตอบว่าจิต อย่างนั้นแปลว่ารองหัวหน้ายังไม่เคยได้ยินธรรมะประโยคหนึ่งว่า “จิตประภัสสร หมองไปเพราะกิเลสจรมา” ใช่ไหม แปลว่าสิ่งที่ทำให้เราร้ายคืออะไร (กิเลสที่จรมา)  ถามจริงๆ ว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้ พอเดินออกไปให้ตบหน้าเขาเลย ทำลงไหม (ไม่ลง)  มันต้องมีอารมณ์ก่อนถูกไหม มันต้องมีความรู้สึกเกลียดก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตเดิมแท้เราไม่ร้าย แต่เราร้ายเพราะกิเลส สิ่งที่ร้ายคือกิเลส
ถ้าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ย ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากิเลส และร้ายมากๆ คืออะไร รู้ไหม ถ้าเรามีกิเลสแล้วเราทำผิดทำบาป เรายังมีวันที่จะสิ้นเคราะห์สิ้นกรรมได้ หรือเรารู้ตัวรู้ตนทันที เราก็สำนึกผิดแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ว่ากิเลสน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์อยากบอกว่ายังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากิเลสคืออะไร รู้ไหม ถ้าตอบได้อาจารย์อยู่ต่อ ถ้าตอบไม่ได้อาจารย์กลับ ดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าถ้าอยู่แล้วทำให้ทุกข์ ไม่อยู่ดีกว่า อาจารย์ถามหน่อย เราร้ายเพราะมีกิเลสครอบงำ เราร้ายเพราะมีโลภโกรธหลงชักพาทำให้เราร้าย ถูกหรือไม่ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหม ฆ่าพ่อฆ่าแม่ถือว่าบาปที่สุด ตกนรกอเวจี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคนฆ่าพ่อฆ่าแม่ เคยพลาดพลั้งไปแล้ว แล้วมีจิตสำนึกผิดได้ นรกอเวจียังกลายเป็นพุทธะได้ใช่หรือไม่ ยังมีวันกำหนดได้ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจของคน ถ้าครอบงำใจแล้ว ร้ายยิ่งกว่าสิ่งใด แม้พุทธะร้อยพระองค์มายืนโปรดตรงนี้ ก็ไม่สามารถนำพาคนนั้นให้พ้นทุกข์ พ้นเวรกรรม พ้นการเวียนว่าย พ้นความเลวร้ายได้ นั่นคืออะไร
(ใจเราไม่เปิดรับธรรมะ)  ธรรมะแค่แคบๆ ไม่เปิดรับธรรมะแบบกว้างๆ ใช่ไหม ฟังมาทั้งวันแล้ว อาจารย์ให้สมองได้คิดบ้างไม่คิดกันเลยหรือ เขาตอบถูกไหม (ถูก)  เกือบจะถูกนะ อาจารย์ให้โอกาสถ้าตอบไม่ถูกอาจารย์จะกลับเลยดีไหม (เพราะความยึดมั่นถือมั่น)  สิ่งที่น่ากลัวนอกจากกิเลสครอบงำจิตใจ แล้วทำให้เราน่ากลัวแล้ว สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น ตอบได้ดี อาจารย์อยู่ต่อได้ไหม (ได้)  ความยึดมั่นถือมั่นใกล้เคียงแต่ยังตอบไม่ถูกนะ (จิตใต้สำนึก)  ไม่มีความรู้ผิดชอบชั่วดี ไม่มีจิตใต้สำนึก จึงทำให้เราทำสิ่งที่เลวร้ายได้ (ยึดติดในรูปกาย)  พยายามตอบเพื่อให้อาจารย์อยู่ (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด จริงๆ ตัวเราที่ไม่ค่อยรู้จักตัวเรานั่นเอง น่ากลัวที่สุด แล้วตัวเราที่ชอบหลงตัวเอง ดูความกระตือรือร้นของศิษย์ว่าถ้าศิษย์พยายามจะตอบ จะถูกจะผิดพยายามตอบแปลว่าในใจศิษย์อยากให้อาจารย์อยู่ แต่ถ้าไม่ตอบเลยแปลว่าไม่อยากให้อาจารย์อยู่ อาจารย์ก็จะกลับ (การเกิด)  การเกิดเป็นทุกข์ที่สุดจริงหรือไม่
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากิเลสตัณหาอารมณ์ อารมณ์ทางโลกไม่ว่าจะเป็นโลภโกรธหลง ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ ความคิด คนที่คิดว่าฉันได้แค่นี้จะเอาอะไรกับฉัน ฉันดีแค่นี้จะเอาอะไรกับฉัน ฉันทำได้แค่นี้จะขออะไรมากมาย คนที่คิดแบบนี้จะมีวันดีขึ้นไหม คนที่คิดได้แค่นี้จะมีวันพ้นทุกข์ไหม คนที่คิดว่าบุญบาปไม่มี อยากทำอะไรทำไปเลย ใครจะโปรดให้เขาพ้นทุกข์ได้ไหม  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “กิเลสที่ว่าเลวร้ายยังไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง”  ความคิดที่ยึดติดว่าตัวเองถูก ความคิดที่ยึดติดว่าความคิดตัวเองนั้นใช่ ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ และความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองนั่นแหละแน่ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่แน่ ความคิดที่ยึดติดว่าตัวเองรู้ ทั้งที่ตัวเองไม่รู้  พระพุทธะยังกล่าวไว้อีกว่า คนที่ทำบาปหนักที่สุด ฆ่าพ่อฆ่าแม่ยังมีวันสิ้นกรรมได้ แต่คนที่คิดผิดเหมือนคนที่โดนไฟ ไม่มีวันขึ้นสวรรค์ ไม่มีมรรคผล ต้องถูกไฟของกัปกัลป์เผาอยู่หลังจักรวาล และเป็นตอของวัฏจักรที่ไม่มีใครโปรดได้ แม้พระพุทธะมาโปรดก็ช่วยไม่ได้ จนกว่าคนๆ นั้นจะสละความยึดมั่นถือมั่นและความคิดตัวเองออกจากใจได้  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “ความคิด” และผลที่สุดก็นำพาให้คนที่คิดแบบนั้น หนีไม่พ้นอบายภูมิ และมนุษย์เราหนีความคิดพ้นไหม (ไม่พ้น)  มักจะคิดว่าตัวเองดี สิ่งที่น่ากลัวสำหรับศิษย์ของอาจารย์มากที่สุดคือ มักจะคิดว่าตัวฉันดีแล้ว แกเป็นใครบังอาจมาว่าฉัน ฉันถูกแล้ว เธอนั่นแหละผิด ทำไมฉันต้องยอม เธอนั่นแหละต้องยอม แล้วเป็นอย่างไร รู้นี่ว่าพัง ไม่มีใครเอา ฉะนั้นกิเลสว่าร้ายแล้ว แต่ความคิดที่ยึดติดในตัวตนแล้วคิดว่าตัวเองถูก ไม่มีวันผิดแน่ไม่มียอมใคร นั่นแหละร้ายยิ่งกว่ากิเลส แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ผิดแล้วยอมรับมันยังมีวันแก้ไข แต่ผิดแล้วไม่เคยยอมรับ มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนความคิด อารมณ์ไม่น่ากลัวเท่ากับความคิด แล้วเราเคยห้ามความคิดได้ไหม
ฉะนั้นที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ พยายามเลิกจะได้ไม่ต้องคิด ทำอย่างไรให้คิดน้อยที่สุด ถ้าวิ่งไปตามความคิด ผลที่สุดก็จะรู้สึกเหนื่อย เราพยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ต้องคิด โดยที่แก้ภายนอกแต่ไม่เคยแก้ภายใน แล้วมันแก้ได้ไหม ไปเก้าวัดเจ็ดวัดถ้าไม่เปลี่ยนความคิดมันก็แก้ไม่ได้ ถ้าจะเรียนรู้ฝึกฝนธรรมะต้องรู้จักบอกตัวเองให้เยอะๆ สิ่งที่ทำร้ายความดีคือความชั่ว และความชั่วมีต้นเหตุมาจากอะไร มิจฉาทิฐิแปลว่าความเห็นผิด ความคิดผิด
สิ่งที่ทำร้ายความดีคือความชั่ว ความชั่วเกิดมาจากอารมณ์ กิเลส ศิษย์รู้ไหมความคิดที่ไหลเข้าออกในตัวเรา แล้วทำให้จิตติดยึดในอารมณ์นั่นเรียกว่า กิเลส ตอบความคิดก็ถูก แต่จริงๆ แล้วอาจารย์อยากย้ายประเด็นให้เข้าใจมากที่สุด สิ่งที่ทำร้ายความดีก็คือความชั่ว แล้วความชั่วมีต้นเหตุมาจากอารมณ์ กิเลส แล้วกิเลสและอารมณ์เกิดมาจากความคิดที่ไหลเข้าออก และจิตติดยึดในอารมณ์ ความคิดก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย แต่ถ้าความคิดนั้นยึดติดในอารมณ์ก็จะกลายเป็นกิเลส ถ้าเราไม่อยากมีความชั่ว เราก็ต้องไม่มี (กิเลส)  ถ้าเราเป็นคนดี คนดีต้องไม่มี (กิเลส)  แต่ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีที่มี (กิเลส)  ฉะนั้นอย่ามาพูดว่า ทำดีแค่ไหนก็ไม่เห็นได้ดี เพราะคนดียังมี (กิเลส)  ถึงจะทำบุญแต่มีกิเลสลูบคลำอยู่ในจิตใจ นั่นก็ไม่ได้เรียกว่า บุญบริสุทธิ์ เพราะเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ ตัวที่ทำร้ายความดีก็คือกิเลส แล้วกิเลสเป็นต้นทางแห่งการมาซึ่งความบาป ทุกข์และวิบากกรรม ใครอยากเกิดมาแล้วมีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่)  
ศิษย์อยากเกิดมาแล้วโชคดีใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากเคราะห์ร้ายต้องไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เพราะฉะนั้นจะได้คำว่า วิบากกรรมตามมาด้วย เพราะเป็นกิเลสที่ตัวเองก่อ อาจารย์ขอถามศิษย์นะ กิเลสมีไม่กี่ตัว สิ่งที่อยากและยึดเข้ามาหาตัวเขาเรียกว่า ความโลภ สิ่งที่พยายามผลักออกไปให้ไกลๆ (โกรธ, หลง)  ศิษย์เคยเจอคนที่หลงไหม เหมือนจะสุขแต่ก็ทุกข์ เหมือนจะดีแต่ก็ร้าย แต่ก็ตัดไม่ขาด นั่นเขาเรียกว่า อารมณ์ของคนหลง เรารู้จักโลภ โกรธ หลง อาจารย์ถามหน่อย ใครที่มีความโลภแล้วประพฤติไม่ผิด ไม่มียกมือเลย แสดงว่าที่โลภมาประพฤติผิดหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  มีความอยากได้เล็กน้อยแล้วไม่ผิดเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์กล้ายอมรับแปลว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใครมีแล้วล้วนประพฤติผิด เวลาโกรธนิดหน่อย แล้วด่าน้อยๆ ไม่ให้เขาเจ็บ ไม่ทำให้เขาทุกข์ มีไหม
ถ้าศิษย์รู้ว่าโลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งทุกข์ เป็นทางมาแห่งบาป เป็นทางมาแห่งกรรมชั่วกรรมไม่ดี อย่างนั้นเราควรมีโลภ โกรธ หลงไหม อาจารย์ถามหน่อย ถ้ามีคนหนึ่งเขาไปขโมยๆ อยู่ทุกวัน เวลาว่างเห็นอะไรไม่ได้ต้องขโมย อาจารย์ก็เลยขอบิณฑบาตเขา โดยบอกว่า โยมอาจารย์ขอบิณฑบาตให้โยมเลิกขโมยได้ไหม เขาบอกได้ครับอาจารย์ ผมจะขโมยให้น้อยลง  เหมือนศิษย์ไหม (เหมือน)  แล้วมันช่วยอะไรไหม (ไม่ช่วย)
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ความคิดที่ศิษย์คิดว่าอยากนิดหน่อย โกรธนิดหน่อย หลงนิดหน่อยไม่เป็นไร แต่อาจารย์ไม่เคยเห็นใครอยากนิดหน่อยแล้วไม่ทำบาป โกรธนิดหน่อยแล้วไม่ทำร้าย สิ่งที่จะช่วยยับยั้งกิเลสในใจศิษย์ได้คือ มีสติไม่ขาดสาย สติจะทำให้เรารู้จักยั้งคิด สติจะทำให้เรารู้จักระลึกรู้ตัวรู้ตน และกลับมาสู่ความเป็นกลาง สติทำให้เราไม่ไหลไปตามกิเลสอารมณ์ทางความคิด เมื่อรู้ว่ามีสติเกิดแล้วอารมณ์มาแล้ว แล้วเราควรจะตกเป็นทาสอารมณ์ไหม เราเป็นคนหรือเราเป็นกิเลส ปัจจุบันนี้เราเป็นคนที่ประเสริฐหรือเป็นคนที่ตกเป็นทาสของกิเลส (เป็นทาสของกิเลส)  สิ่งที่จะช่วยยับยั้งอารมณ์ได้ดีที่สุดคือ การมีสติรู้ตัวตนไม่ขาดสาย เมื่อมีสติรู้ตัวตนแล้ว ไม่ให้ฆ่ากิเลสนั้น ไม่ปรุงแต่งกิเลสนั้นเพิ่ม กิเลสนั้นก็จะมาครอบงำใจเราไม่ได้ กิเลสเป็นอย่างไร อาจารย์จะบอกให้ กิเลสมีนิสัยเหมือนเรา มันชอบคนใส่ใจ กิเลสมาแล้วเราใส่ใจดูแลมันมันจะยิ่งอยู่ แต่ถ้ากิเลสมาแล้วเราไม่สนใจมันเลย ไม่แยแสไม่เป็นพวกมัน สักครู่มันจะอายและมันก็จะไป เหมือนเราด่าคนอื่นเขา แต่เขาไม่สนใจ ด่าสักพักเหนื่อย พอหันไปซ้ายขวาจะอายไหม (อาย)  หยุดไหม (หยุด)  แล้วเราจะปล่อยให้ตัวเองด่าแล้วอายแล้วค่อยหยุด หรือควรจะหยุดก่อนที่จะด่าแล้วจะได้ไม่ต้องอาย และเราเคยหยุดก่อนที่จะทำตัวน่าอายไหม (ไม่)
อาจารย์ขอถามหน่อยว่า ถ้าในกลอนนี้มันมีกลอนซ้อนอยู่ ถ้าอาจารย์แยกวันนี้ แล้วทำเสร็จวันนี้เลยเอาไหม ศิษย์เอยเราเกิดเป็นคนทำอะไรให้มันเสร็จไปเป็นวันๆ เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาใจ แล้วถ้าเกิดชีวิตเราไม่มีพรุ่งนี้ ตายแน่เลยฉันยังไม่เสร็จเลย ใจจะเป็นห่วงใจจะเป็นกังวล ฉะนั้นพยายามเคลียร์ให้เสร็จเราจะได้ไม่มีความกังวล อย่าเพิ่งเบื่อฟังธรรมนะศิษย์เอย ศิษย์เคยได้ยินไหม การฟังธรรมมีอานิสงส์มาก ธรรมทานเป็นทานอันประเสริฐ วันนี้เขาให้ธรรมะแก่ศิษย์เป็นทาน ศิษย์กำลังได้ทานอันประเสริฐที่เรียกว่าธรรมะ แล้วการฟังธรรมะนี่มันก็มีอานิสงส์มาก เพราะช่วยให้คนที่ฟังแล้วกระจ่างแจ้ง สามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น ธรรมะมีหลายระดับ ระดับศีลคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ระดับสมาธิคือ มั่นคงในความถูกต้อง ในความดีงาม ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนระดับปัญญาคือ รู้แจ้งในความเป็นจริงจนนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์
ฉะนั้นอาจารย์บอกวิธีที่จะทำอย่างไรให้เป็นคนดีแล้ว ถ้าศิษย์ถามอาจารย์ว่าศิษย์เดี๋ยวเป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง วันนี้ทำบุญกับคนนี้แต่ไปด่าคนนั้นดีไหม (ไม่ดี)  แบบนี้เขาเรียกว่าคนดีไหม อาจารย์จะพูดง่ายๆ ระดับศีลคือ ขอเพียงศิษย์ไม่ทำผิดเลยนั่นล่ะเรียกว่าบุญหนักหนาแล้ว ดีกว่าแต่พยายามทำดีแต่ศีล แต่สิ่งที่ผิดไม่ละ อย่างนี้เรียกว่าคนดีหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นถ้าระดับศีลศิษย์ทำได้ก็เริ่มต้นคือ สิ่งที่เป็นบาป โลภ โกรธ หลง พยายามอย่าทำได้ไหม (ได้)
เราจะได้ไม่สร้างกรรมเวรที่เราต้องไปรับ ต่อไปเมื่อเราเป็นคนดีแล้ว เราต้องมั่นคงในความดี แล้วคนที่จะมั่นคงในความดีได้ คนนั้นต้องมีความรู้ที่แจ่มชัด ไม่ใช่มีความรู้ที่บิดพลิ้ว คดโกง มนุษย์ชอบพูดว่า รู้เยอะรู้มากไม่สู้รู้จริง รู้อะไรต้องรู้ให้จริงให้กระจ่างชัด ถ้าเรารู้อะไรกระจ่างชัด เราก็จะไม่โดนสิ่งนั้นหลอกได้
อาจารย์ขอถามว่า อยู่กับใครแล้วไม่มีทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  อยู่กับสามี ลูก และเงิน มีทุกข์ไหม (มี)  ถ้าอยู่กับตัวเองแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ไม่ยอมตัวเอง ถูกไหม เราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เรารู้ไม่ทำให้เราทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรามีอะไรเราก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ใช่ไหม ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “รู้อะไรต้องรู้ให้ถูกต้อง รู้อะไรต้องรู้แล้วทำให้ตัวเองพ้นทุกข์” แล้วที่สุดของความรู้คือการรู้จัก (ตัวเอง)  ชีวิตข้างหน้าโลกนี้เป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเรา โลกจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ใจเรามอง เอาง่ายๆ อยากรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ให้หันกลับไปดูเฟซบุ๊กตัวเองถ้ามีแต่ความสวยความงาม แปลว่า ชีวิตติดอยู่กับความสวยงาม ถ้ามีแต่เกม กีฬา หวยออนไลน์ สลากกินแบ่ง อาจารย์พูดผิดไหม อาจารย์พูดใช่เลยจริงไหม ถ้าในเฟซบุ๊กหลงมีรูปโป๊มา แสดงว่าเรานั้นชอบรูปโป๊ ถูกไหม (ถูก)  อยากรู้ว่าจิตตัวเองเป็นอย่างไร ในตัวเรานั้นล่ะเป็นที่เกิด เริ่มและจบ อย่ารู้จักเกิด เริ่ม เพิ่มได้ แต่จบไม่ได้ ถ้าตัวเองเป็นคนทำให้ทุกข์ ตัวเองทำให้เจ็บ เป็นที่ๆ ก่อเกิดความเลวร้าย อาจารย์จะบอกว่า ที่ตรงนี้ก็ทำให้จบได้ แล้วก็ดีได้ แล้วก็ไม่เจ็บได้ ใช่หรือไม่ ขอเพียงแค่ศิษย์ไม่ปล่อยให้ชีวิตลื่นไหลไปวันๆ โดยไม่มีสติ ขอเพียงแต่ศิษย์ไม่มองออกข้างนอกแล้วโทษคนอื่นอยู่ร่ำไป แต่หันมารู้ตัว รู้ตนในทุกขณะว่าจะทำอะไรแค่นั้นเอง ถ้าอาจารย์ตีๆ เข้าตรงนี้ เจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  รู้ว่าศิษย์ไม่เจ็บ แต่เขาน่าจะเจ็บ แล้วถ้าเขาเจ็บ ควรจะหยุดไหม (หยุด)  หยุดที่ไหน (หยุดที่ตัวเรา)
แปลกนะ มนุษย์ขวนขวายกับการแก้ปัญหา แต่ไม่มีใครหยุดสร้างปัญหา ถ้าเราไม่หาเหตุมาคนจะมาตีเราไหม ถ้าเราไม่บังเอิญต้องมีกรรมกันมาเราจะมารักเขาไหม ถ้าบังเอิญเราไม่เกี่ยวกรรมกันมา เราจะมายืมเงินเขาแล้วไม่คืนไหม คนมีตั้งมากมายไม่ยืม กลับมายืมเรา พอยืมเสร็จแล้วจากที่เราเป็นเจ้าหนี้เราเหมือนกลายเป็นลูกหนี้ ต้องไปตามทวงคืน ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งมันเริ่มและเกิดและจบได้ที่ตัวเรา แล้วเราจะทำอย่างไรที่เราจะหยุดทุกข์ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำว่า การยึดติดตัวตนเป็นทางมาแห่งบาปไหม (หยุดที่ใจ)  พยายามหยุดใจตัวเองใช่ไหม จริงๆ แล้วมนุษย์เรา ถ้าอยู่เฉยๆ เราก็คงไม่ทุกข์ร้อนใช่ไหม แต่เรามักจะชอบให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ  ฉะนั้นต้นเหตุของความทุกข์อีกอย่างหนึ่งคือ เราชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก และเรื่องราวต่างๆ หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นดั่งใจ หวังว่าเขาต้องยิ้มให้แต่เขาไม่ยิ้ม เป็นไปได้ไหม และนิสัยเราเป็นอย่างนี้จริงไหม เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางและทุกคนต้องหมุนตาม พ่อต้องอย่างนั้นลูกต้องอย่างนี้ เพื่อนต้องแบบนั้น กำหนดทุกคนแต่ลืมกำหนดตัวเอง รู้จักทุกคนแต่ลืมรู้จักตัวเอง เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ต้นเหตุของความทุกข์อย่างหนึ่งก็คือ หวังให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจเราจึงเรียกว่าดี จึงเรียกว่าไม่ทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีอะไรเป็นดั่งใจเรา จงอย่ามองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองคิด แต่จงยอมรับสิ่งที่มันต้องเป็นไป และเราก็จะได้ไม่ทุกข์
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากให้ศิษย์รับรู้ว่าบางอย่าง หากยอมรับในสิ่งที่เป็น ไม่ยึดติด จะได้ไม่คาราคาซัง ดีไหม (ดี)  สิ่งที่มนุษย์เป็น แล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ มีเหตุผลหลายอย่าง สิ่งแรกคือ มักเอาตัวเป็นจุดศูนย์กลาง และอีกอย่างคือ มักเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผิดถูกชั่วดีของคน แล้วก็ยึดติดในบรรทัดฐานนั้นอย่างตายตัวจนทำให้ตนเองทุกข์อย่างโงหัวไม่ขึ้น จริงไหม (จริง)  เขาต้องดีกว่านี้ ทำไมเขาพูดอย่างนี้กับฉัน ทำไมเขาทำอย่างนี้กับฉัน จริงไหม (จริง)  
ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์เพราะการยึดติดอย่างตายตัว ศิษย์จงมองเห็นว่าการชมกับการว่ากล่าว มีค่าเท่ากัน แล้วศิษย์จะไม่ทุกข์ ใครว่ากล่าวมาก็มีค่าเท่ากับคำชม ใครชมมาก็มีค่าเท่ากับคำว่ากล่าว เมื่อมีความสุขเข้ามาก็มีค่าเท่ากับความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์เข้ามาก็มีค่าเท่ากับความสุข แล้วอย่างนี้เราจะหลง และจะเกลียดอะไรไหม แต่เราอดรนทนไม่ไหว อดทนได้ไม่เพียงพอใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าทำเวรให้ยืดเยื้อ อย่าเห็นการณ์ยาวจงเห็นการณ์สั้น ฉะนั้นถ้าใครร้ายมาก็ร้ายตอบ อย่างนี้เราก็ไม่สามารถหยุดเวรกรรมได้ใช่ไหม (ใช่)
เราอยากเบาหรืออยากหนัก (อยากเบา)  แต่ถึงเวลากลับทำแต่สิ่งที่หนักใจกับตนเองใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้ อย่าใช้ตนเองเป็นบรรทัดฐานไปวัดใคร และอย่าคิดว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นจะถูกต้องเสมอไป เหมือนอาจารย์ถามว่า ถ้าอาจารย์มีความคิดหนึ่ง แล้วศิษย์มีความคิดอีกความคิดหนึ่ง แล้วอย่างนี้ใครจะถูกใครจะผิด (ไม่มี)  เขาก็คิดเราก็คิด แต่ความคิดของแต่ละคนก็มักจะเข้าข้างตนเองเป็นหลักใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสามารถทำให้ชอบชังมีค่าเท่ากัน ทำให้ความสุขและความทุกข์มีค่าเท่ากัน เราก็จะไม่มีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำได้หรือไม่ (ได้)
ศิษย์เอ๋ย ถ้ารู้อะไรไม่สิ้น รู้ไม่สุด ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้ารู้อะไรแล้วต้องรู้ให้สิ้นและต้องรู้ให้สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น ๒ คน)
ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ รู้อะไรต้องรู้ให้สิ้นรู้ให้สุด ศิษย์บอกว่าไม่เท่า เอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน ถ้าศิษย์อยากมองให้สิ้นมองให้สุด อาจารย์ดูเหมือนตัวเล็กกว่าเขา แต่จริงๆ อาจารย์ก็สามารถตัวใหญ่กว่า  รู้อะไรรู้ให้สิ้นรู้ให้สุด ถ้าอาจารย์หลงลำพองเข้าข้างตัวอาจารย์เอง อาจารย์ก็โง่แล้ว เพราะถึงที่สุดแล้วก็ยังมีคนตัวเล็กกว่าอาจารย์ ถ้าอาจารย์หลงว่าตัวเองหุ่นดี ถ้าอาจารย์หลงอย่างนี้อาจารย์ก็มองแบบคนไม่สิ้นทุกข์ ไม่สิ้นสุด แล้วก็ไปว่าคนอื่น ไปดูถูกคนอื่นสร้างบาปใหม่ นี่แหละคือรู้ไม่สิ้นทุกข์รู้ไม่สิ้นสุด แล้วชอบเอาสิ่งที่ตัวเองเห็นแค่ชั่ววูบมาตัดสินชะตาชีวิตทั้งชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์เอยจำไว้นะ ถ้าอยากอยู่ในโลกโดยที่ไม่เอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ไม่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง อยู่ในโลกจงอย่าคิดว่าตัวเองรู้จริง และเป็นอะไรจริง เพราะชีวิตล้วนคือการพลิกผันเปลี่ยนแปลง วันนี้ฉันดีแต่ไม่แน่อาจไม่ดี ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราควรหลงดีใจกับสิ่งในตอนนี้ แล้วค่อยมาทุกข์ในวันหน้า หรือไม่ควรดีใจและไม่ทุกข์ใจอะไรเลย อาจารย์ถามหน่อยถ้าวันนี้โดนเขาว่า ศิษย์ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายตีอกชกตัวเอง แต่ไม่แน่ พอไปอีกสักสองสามเดือนศิษย์อาจจะเจอคนที่ด่าเราว่าเราหนักกว่านี้ก็ได้ ที่เคยถูกว่ามานั้นกลายเป็นเรื่องเล็กๆ และฉันไม่น่าไปเสียน้ำตาตอนนั้นเลยจริงไหม และเหมือนตอนนี้ฉันได้คำชมว่าเก่งว่าแน่ว่าดี ดีใจลำพองใจ พอถึงเวลาไม่มีใครชมเลยแล้วเราจะทุกข์ใจไหม ไม่ต้องทุกข์เพราะชีวิตคือความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน รู้อะไรต้องรู้ให้สุด รู้อะไรต้องรู้ให้สิ้น สิ้นทุกข์ อย่างที่อาจารย์บอก ไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องรู้เยอะแต่ขอให้รู้จริง แล้วรู้ในสิ่งที่ถูกและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และสิ่งที่ควรรู้คือรู้จักตัวเอง ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองแน่ อย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เสมอไป
ถ้าพรุ่งนี้เรายังมีบุญต่อกัน เราจะมาหาโอวาทในโอวาท ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเรายังมีบุญร่วมกัน ผูกบุญดีกว่าผูกกรรม จริงไหม (จริง)  บุญที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ อาจารย์ถามหน่อย มนุษย์เราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหนึ่งก็อยากมี (สอง)  มีสองก็อยากมี (สาม)  มีสามก็อยากมี (สี่)  มีสี่ก็อยากมี (ห้า)  มีห้าก็อยากมี (หก)  ไม่รู้จักพอบ้างเลยหรือ เคยได้ยินคำว่า พอจึงดี พอจึงสุข ถ้าชีวิตนี้ยังไม่เคยดี ยังไม่เคยสุข ก็แปลว่า ยังไม่เคย (พอ)  ตอนนี้เคยดีหรือยัง สุขหรือยัง สุขๆ ดิบๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วศิษย์พอกับความอยากในใจเราได้ ศิษย์ก็จะเห็นเขาดีได้ แต่ถ้าศิษย์ยังพอในใจเราไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่มีวันเห็นเขาดีได้ เขาต้องแบบนี้สิ ไม่ได้ดั่งใจเราเลย ก็เลยไม่ได้ดีสักที อยู่ร่วมกันก็ไม่เคยมีความสุข ก็เพราะเราไม่เคยพอ ใช่หรือเปล่า สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะทิ้งท้ายไว้ อยู่ในโลกนะศิษย์ ถ้าทำจนถึงที่สุดอะไรจะเป็นของเราก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่เป็นของเราก็ให้คิดว่า เป็นบุญเป็นกุศล ดีไหม (ดี)  สมมติทำอะไรมาอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นเอาไปตัวเองไม่ได้ ทำอะไรมาอย่างหนึ่งเขาเอาไปไม่เคยคืน ให้คิดว่าดีแล้วทำให้ฉันได้สร้างบุญ ดีแล้วทำให้ฉันได้สร้างกุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือเครื่องที่ไม่ทำให้เราติดตัวตน สามารถล้างตัวตนได้สิ้น
วันนี้อาจารย์พอแค่นี้ ถ้ามีโอกาส บุญยังมี เราคงได้มาร่วมบุญกันนะศิษย์ ดีไหม (ดี)  อาจารย์ต้องไปก่อน มีโอกาสคงได้มาพบกันนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒               สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ไม่บิดเบี้ยวในจิต                              ความคิดก็จะกลาง
จะเดินก็ตรงทาง                                เจอหลุมพรางก็ข้ามไป
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยังยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  เส้นทางแห่งอริยะ                           การชนะใจตนเอง
ใช่ว่าจะต้องเก่ง                                  แต่ต้องเปล่งคุณธรรม
เมื่อรู้โลกยังเคลื่อนหมุน                       จิตไม่ขุ่นจึงเลิศล้ำ
พึงมีสภาวธรรม                                  ขาวมีดำดำมีขาว
เมื่อทุกอย่างมีสมดุล                            ปรับยืดหยุ่นดีกว่าเก่า
สิ่งใดจะเทียมเท่า                               การที่เจ้าได้บำเพ็ญ
อยู่ในโลกด้วยสติ                                อโหสิกันให้เป็น
จิตใจหยุดยอมเย็น                             ฝึกบำเพ็ญเป็นหัวใจ
เมื่อแย่รู้ว่าแย่                                    จงแน่วแน่จะแก้ไข
ทำได้หรือไม่ได้                                  ย่อมดีกว่าไม่ลงมือ
เมื่อดีรู้ว่าดี                                        สิ่งสิ่งนี้ไม่ยึดถือ
ส่งต่อมือต่อมือ                                   สามัคคีคือความสำคัญ
สถานธรรมผ่องอำไพ                          จะไกลใกล้อย่างไรไม่แปรผัน
ขอแค่ทำทุกคืนวัน                              เป็นการทำแต่สิ่งดี
ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



รู้จักกันแล้วนะ รู้สึกคิดถึงกันไหม เงียบๆ อย่างนี้แสดงว่าไม่ได้รู้สึก
รู้สาอะไรกัน แต่ก็ดีการที่รู้สึกรู้สามากเกินไปก็ทำให้ทุกข์ ไม่รู้สึกรู้สาบ้าง
ก็อาจจะดี มีอะไรก็เฉยๆ เราก็คงไม่ (ทุกข์)  แต่ถึงเวลาจริงๆ เราเฉยไหม (ไม่เฉย)  ยังมีความรู้สึกอยู่ใช่หรือไม่ 
ใกล้ปีใหม่แล้วนึกถึงอะไรบ้าง บางคนบอกความโชคดี บางคนบอกของขวัญ บางคนบอกคำอวยพร อยากได้อะไรมากกว่านี้ไหม (อยากได้โบนัส, อยากได้สุขภาพที่แข็งแรง) โบนัสจะได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ในใจมีแต่ความอยากได้เต็มไปหมดจริงไหม อย่างนี้อาจารย์จะให้สมหวังทุกอย่างเป็นไปได้ไหม พรอาจจะให้ได้ แต่โบนัสอาจจะยากหน่อย เพราะมันอยู่ที่การกระทำของศิษย์เอง และผลประกอบการของบริษัท ฉะนั้นอาจารย์เกินจะช่วยได้ ส่วนอยากได้ของขวัญอาจารย์ก็พอให้ได้ ใครก็อยากได้พรดีๆ อาจารย์เคยให้วิธีไว้ที่หนึ่งคือ แจกน้ำทุกคน คนละแก้ว และให้ทุกคนอวยพรลงในน้ำนั้น แล้วเอาน้ำนั้นมารวมกัน คำอวยพรนั้นจะกลายเป็นคำอวยพรที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่ใช่มีคำอวยพรของคนแค่คนเดียว คำอวยพรของคนแค่คนเดียวก็ไม่ประเสริฐเท่ากับคำอวยพรของทุกๆ คนรวมกัน สักพักหนึ่งถ้าได้นั่งแล้วอาจารย์รบกวนผู้ปฏิบัติงานธรรมไปเตรียมน้ำให้ ให้ถือทั้งนักเรียนและตัวเอง แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้น้ำนี้เป็นน้ำที่ใครดื่มแล้วจะเป็นอย่างไร เช่น ขอให้เขามีความสุข ขอให้เขาแข็งแรง ยิ่งให้คนอื่นเราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเอง รู้จักช่วยคนอื่นก็คือการได้ช่วยตัวเอง ถ้าทำอย่างนี้เสร็จแล้ว เราค่อยเอาน้ำมารวมกัน แล้วเราค่อยออกไปกินใหม่ดีไหม (ดี)  จะได้เป็นคำอวยพรที่รวมคำอวยพรของทุกๆ คน หรือถ้าไม่กินก็เอามาพรมศีรษะเพื่อเป็นสิริมงคล
เมื่อสักครู่ผู้ดำเนินรายการเขาเริ่มต้นดี สิ่งที่ทำร้ายความดีคือความชั่ว ความชั่วมาจากกิเลส ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีกิเลส เพราะกิเลสนอกจากเป็นความชั่วแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ เป็นหนทางแห่งการทำบาป และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องไปแบกรับ แปลว่าการบำเพ็ญธรรมต้องทำให้ศิษย์ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก จริงไหม (จริง)  เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นหนทางแห่งทุกข์ บาปและความชั่ว แต่เราเคยชินอยู่กับความอยาก ตื่นขึ้นมาอยากกินอะไร ไปเที่ยวไหน อยากทำอะไร เราเคยชินกับการมีชีวิตวิ่งไปตามอารมณ์ความรู้สึก แล้วที่วิ่งตลอดชีวิตเป็นหนทางแห่งการทำบาป ความชั่วและวิบากกรรม แล้วตอนนี้อาจารย์บอกให้ศิษย์ไม่อยากเลย ย่อมเป็นไปได้ยาก อาจารย์ถามหน่อยว่า ศิษย์ทำอะไรก็ตามศิษย์ทำด้วยใจ มีใจจึงอยากทำ แต่ถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งทำอะไรด้วยใจ แล้วใจนั้นประกอบไปด้วยคุณธรรม อีกคนหนึ่งทำด้วยใจและอารมณ์ล้วนๆ สิ่งใดทำแล้วมั่นคงกว่า สิ่งใดทำแล้วเวลาอยู่กับเขาเราปลอดภัยกว่า สิ่งใดที่เราอยู่ร่วมด้วยแล้วไม่ทุกข์ สิ่งใดที่ทำแล้วยั่งยืนกว่า (ใจที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม)  เหมือนคนๆ หนึ่ง ถ้าเขาอยู่กับศิษย์ด้วยอารมณ์ล้วนๆ วันหนึ่งเขามีอารมณ์หมดไหม มีวันผิดพลาดไหม มีเวลาที่จะเปลี่ยนไหม เพราะอารมณ์มีวันหมดสิ้น และอารมณ์มีวันกลับกลาย คนที่อยู่กันด้วยอารมณ์จะมีวันระเบิดและอารมณ์ก็ทำร้ายกันได้ ใช่ไหม
อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเริ่มต้นทำอะไรด้วยใจที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม กับทำอะไรด้วยใจที่ประกอบไปด้วยอารมณ์ คุณค่ามันแตกต่างกันไหม แล้วปัจจุบันนี้ เรามีชีวิตอยู่กันด้วยใจที่ประกอบด้วยธรรมหรือใจที่ประกอบด้วยอารมณ์ ศิษย์เอย ศิษย์อยากได้คนรักจริงใช่ไหม ศิษย์อยากได้คนที่อยู่กับศิษย์แล้วมั่นคงใช่ไหม ศิษย์อยากได้รักที่เป็นรักแท้ อยากได้ความดี ไม่อยากได้อารมณ์ที่ทำให้เราอยู่ด้วยแล้วเหมือนมีไฟเผาใจตลอดเวลา ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรอยู่กับเขาแบบไหนจึงเรียกว่าสุข แบบไหนจึงเรียกว่าทุกข์ เราดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยอารมณ์หรือด้วยคุณธรรม ศิษย์รู้ไหมว่าอารมณ์รักนี้มีวันที่จะทำร้ายเราให้เจ็บปวดได้ แต่ไม่เหมือนคุณธรรม เวลาเรารักใครรักด้วยการให้กับรักด้วยการครอบครอง อะไรทำให้เจ็บปวดกว่ากัน เวลาเราคิดครอบครอง เราจะรู้สึกเสียไม่ได้ หายไม่ได้ แค่คิดก็ทุกข์แล้ว แค่คิดว่าจะเสียเขาไปก็เจ็บแล้ว ไม่เหมือนการอยู่กับเขาด้วยการให้ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความรัก และความซื่อตรงจริงใจ ยิ่งให้เหมือนยิ่งอิ่ม ยิ่งให้กลับยิ่งสุขและปลื้มใจ แล้วอยู่แบบให้หรืออยู่แบบเอา
อย่าถามอาจารย์เลยนะว่า อยู่ในโลกอย่างไรไม่ให้มีอารมณ์ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าไม่ให้มีอารมณ์ แต่ให้อยู่ในโลกด้วยการประกอบหนทางที่ถูกต้อง เพราะธรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ประเสริฐที่สุด พ่อแม่และลูกมีอะไรเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ พ่อแม่เมตตากับลูก รักใคร่ลูก ลูกมีความกตัญญูตอบแทนพ่อแม่ ความสัมพันธ์นี้จะเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น แต่ความรักความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยมันมีวันหมด เธอไม่รักฉัน ฉันก็ไม่รักเธอ เมื่อลูกไม่รักแม่ พ่อกับแม่ก็ไม่จำเป็นต้องรักลูก ดีไหม (ไม่ดี)  เมื่อลูกโตมาไม่เชื่อฟัง แม่ก็ตัดหัวตัวหางทิ้งเลย ดีไหม นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า เกิดเป็นคนทำไมต้องมีธรรม เพราะธรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ให้เราอยู่บนโลกได้อย่างปกติสุข
ถ้าใช้อารมณ์ ก็จะทำให้เราร้อนรน และทุกข์ทนกลุ้มกังวลใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าไม่เชื่ออาจารย์ก็ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลาก็กลับไปใช้อารมณ์เหมือนเดิมก็ได้นะ เพราะคนที่ต้องรับผลของการกระทำก็คือตัวของศิษย์เอง ซึ่งไม่ใช่อาจารย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อนั้นมีน้ำตานองหน้ามาหาอาจารย์ เมื่อนั้นอาจารย์ก็ช่วยไม่ทันแล้วนะ ฉะนั้นเราต้องเริ่มต้นให้ถูกก่อนนะศิษย์ ว่าทำไมเราจึงต้องมีธรรมมากกว่ามีกิเลสอารมณ์
การมีคุณธรรมเป็นเรื่องที่ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  ทำไมเราต้องเป็นคนดีที่มีธรรม ศิษย์เคยคิดไหม เกิดเป็นคนหนึ่งคน เป็นผู้ที่มีความใจเย็นมีเมตตาก็มักไม่ดูถูกใคร แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ใช้อารมณ์ เห็นแก่ตัว มักจะเป็นผู้ที่มีจิตใจคับแคบ ยกตัวอย่าง ถ้ามีแอปเปิลหนึ่งผล เราจะแบ่งก่อนหรือจะกินก่อน (กินก่อน)  คนทุกคนล้วนรักตัวกลัวตาย คนทุกคนล้วนรักสุขเกลียดทุกข์ อยากได้ไม่อยากเสีย เหมือนกันหมด แล้วคนทุกคนชอบคนเคารพหรือชอบคนดูถูก (เคารพ)  ซื่อตรงหรือคดโกง (ซื่อตรง)  รับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบ (รับผิดชอบ)  ดังนั้นการที่ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเคารพ ด้วยการให้เกียรติ นั่นเป็นการปฏิบัติแบบคนที่มีคุณธรรมใช่ไหม (ใช่) การปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเมตตา ด้วยความใจเย็นสุขุมนั่นคือจิตที่เมตตา การปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความซื่อตรงนั่นคือการมีมโนธรรมสำนึกที่ดี การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเที่ยงตรง ไม่คดโกง ในเมื่อเราก็อยากได้การปฏิบัติที่มีคุณธรรมเหมือนกัน แล้วทำไมเราจึงไปคดโกงเขาเล่า เราอยากได้ความซื่อตรงเราจึงคดโกงเขา อย่างนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เราอยากได้มากกว่าเราจึงเอาเปรียบเขา เราอยากได้คนที่ซื่อตรงเราจึงโกหกเขา อย่างนี้หรือ ทำไมเราอยากได้อย่างหนึ่งแล้วกลับไปทำอีกอย่างเล่า
เหมือนเมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่า เมื่อถึงเวลา เราได้มาก่อนเรารู้จักให้ไหม แต่เรากินอิ่มก่อนแล้วจึงให้กันทั้งนั้น แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ถ้าเรารู้จักให้ก่อนแล้วตัวเราเองค่อยกินอิ่มทีหลัง อย่างนี้ดีกว่ากันนะ เพราะบางอย่างเมื่อความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงและสูญเสียไปแล้ว ตามแก้ไขไม่ได้แล้วนะ ดังนั้นจงทำดีต่อกันไว้ดีกว่า ยอมลดความอยากของตัวเองสักหน่อย แล้วปฏิบัติกับผู้อื่นให้ดีหน่อย แล้วเราจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง อย่างนี้ดีไหม (ดี)
และอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดีคือ ใจของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง เคยเห็นอะไรที่มันไม่ดีไหม (เคย)  เคยได้ยินอะไรที่ไม่น่าฟังไหม (เคย)  แล้วปักใจเชื่ออย่างนั้นจริงไหม เคยคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่บ้างไหม และถึงที่สุด เราเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่หรือเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น (เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีโอกาสเปลี่ยนและมีโอกาสที่ไม่ใช่ไหม  ฉะนั้นเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดีไว้คือ เพื่อยับยั้งจิตไม่ให้คิดร้าย ยับยั้งใจไม่ให้ใฝ่ชั่ว เหมือนเวลาให้แบ่งของ แบ่งให้ตัวเองและแบ่งให้ผู้อื่นด้วย เรานั้นง่ายที่จะแบ่งให้ตัวเองมากกว่าและคนอื่นน้อยกว่า พอเข้าใจบ้างหรือยังว่า ทำไมเกิดเป็นคนจะต้องมีดีและมีคุณธรรม
เงินจะมีมากก็ต่อเมื่อเราลดความอยากให้ต่ำเตี้ยที่สุด แล้วสิ่งที่มีก็จะเพิ่มพูนหนึ่งร้อยบาทพอไหม (ไม่พอ)  ก๋วยเตี๋ยวก็ห้าสิบบาทแล้ว น้ำก็อีกสามสิบหรือสี่สิบ รวมกันก็ตั้งเก้าสิบแล้ว อย่างนั้นต่อไปก็เปลี่ยนเป็น กลับไปกินน้ำที่บ้าน กลับไปกินข้าวที่บ้านก็แล้วกัน เป็นอย่างนี้หนึ่งร้อยพอไหม (พอ)  เหลือไหม (เหลือ)  แล้วปกติกินข้าวนอกบ้านหรือกินข้าวในบ้าน (นอกบ้าน)  ในทางเดียวกันนะศิษย์ ถ้าศิษย์อยากทำให้เงินที่ศิษย์มีมากขึ้น ศิษย์ก็ต้องลดความอยากในใจเราให้น้อยลง ยิ่งน้อยมากเท่าไหร่เงินก็มีมากขึ้นโดยที่เราไม่ต้องไปเหนื่อยแสวงหาเลย กับอีกอย่างหนึ่งเวลาจะทำอะไรก็ตาม ทำเพื่อให้ตัวเองกินให้อิ่มก่อนอยู่รอดก่อน อย่าทำเพื่อจะได้ขาย ได้เงิน แล้วตัวเองค่อยรอด อย่างนี้ตายไหม (ตาย)  เกษตรกรปลูกข้าวเพื่อกินหรือเพื่อขาย ขายก่อนแล้วค่อยกิน หรือกินก่อนแล้วค่อยขาย ถ้าขายก่อนแล้วค่อยกินมีแต่ตายแล้วก็ตาย จงแปรเปลี่ยนความคิดว่า ไม่เป็นไร ขายไม่ได้ฉันยังมี ฉะนั้นเราต้องแปรเปลี่ยนเป็นกินก่อนขาย ยิ่งโลกปัจจุบันเป็นปัจจุบันที่คนไม่ค่อยอยากจะจับจ่ายใช้สอยด้วยแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือศิษย์ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนคือ กินให้อิ่มก่อนแล้วเหลือแบ่งขาย อย่าหวังว่าจะขายแล้วตัวเองจะได้กินอิ่ม ไม่อย่างนั้นท้องแห้งตาย เหมือนเวลาเราอยู่ในโลก อย่าหวังว่าจะได้สุขจากข้างหน้า แต่ตัวเองสุขไม่เป็น แล้วถ้าข้างหน้าไม่มีสุขให้ ไม่มีความรักให้ ไม่มีความสำเร็จให้ คนนี้จะไม่ตายก่อนหรือ เพราะรักตัวเองไม่เป็น หาความสำเร็จจากตัวเองไม่ได้ หาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ จงรู้จักหาความสุขจากตัวเองให้เป็น รู้จักทำตัวเองให้รอด เมื่อตัวเองรอดแล้ว ความสุขข้างหน้าจะมีหรือไม่มีเราก็ไม่ตาย แต่มนุษย์เรารักตัวเองไม่เป็น และหวังจะรอรับจากคนอื่น พอคนอื่นไม่รักแล้วเป็นอย่างไร (ตาย)  การดำรงชีวิตก็เหมือนกัน เอาตัวเองให้รอดก่อน ถ้าตัวเองอยู่ได้ ตัวเองรอดได้ การช่วยคนอื่นก็ไม่ยาก ไม่ต้องนั่งรอคนอื่น และเวลามีกินแล้วเราจะแบ่งคนอื่นได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคิดจะขายอย่างเดียว เราจะคิดแบ่งใครไหม (ไม่)  เห็นไหมว่าคุณค่ามันต่างกัน
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมส่งผลไม้)
ส่งผลไม้ไปถึงหลังห้องอย่างไร ต้องกลับมาอย่างนั้น กลับมาให้คงสภาพเดิมดีไหม ถ้าหากกลับมาไม่เหมือนเดิม แถวนั้นจะต้องเต้นเป็ด ชีวิตนี้มีเรื่องยากหลายเรื่องนะ เวลาที่เราต้องสัมพันธ์กับผู้อื่น การที่เราจะรักษาใจไว้ให้เหมือนเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ยาก จริงไหม (จริง)
ศิษย์เอ๋ยถ้าชีวิตเรารู้จักระมัดระวังในการอยู่ร่วมกัน โอกาสที่เราจะทำร้ายกันก็เป็นเรื่องยาก แล้วเราอยู่ร่วมกันอย่างระมัดระวังหรือเราอยู่ร่วมกันอย่างไม่คิดระวังอะไรเลย นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะไปก็ไป ไม่สนใจใครเลยใช่ไหม แล้วโอกาสที่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนและเป็นทุกข์เป็นไปได้ไหม แต่ถ้าต่อไปเรารู้จักระมัดระวังในการอยู่ร่วมกัน เราจะทำให้ใครทุกข์ใจไหม แล้วเราระวังไหม พูดความจริงหรือพูดตามความคิดของตัวเอง อาจารย์บอกให้อย่างหนึ่งนะศิษย์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูด พูดแล้วเหนื่อย เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ แต่ถึงเวลาหู ตา ปากอยู่ตรงนี้แล้วก็บ่นตรงนี้จนเหนื่อย ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้แล้วทุกข์น้อยหน่อย ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ พอถึงที่สุดเราก็เปลี่ยนแปลงความคิดคน หรือเปลี่ยนนิสัยคนไม่ได้ เพราะชีวิตเป็นเรื่องของความจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องของความคิด เอาแต่คิดแต่ไม่มองความจริงก็ไม่ใช่ชีวิต แล้วเราใช้ชีวิตเอาแต่คิดหรือมองความจริง ความคิดเป็นเรื่องของสมอง แต่จิตใจต้องเป็นเรื่องของความเป็นจริง แล้วการเข้าใจหลักของความเป็นจริงนั้นดีอย่างไร ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ถามหน่อย มีใครอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีตัวเราก็ทุกข์เพราะ (ตัวเรา)  ขนาดตัวเองยังไม่รอดเลย เห็นไหม ถ้าเราใช้ชีวิตเราต้องรู้จักที่จะมองความจริงมากกว่ามองแต่สิ่งที่ตัวเองคิด ในความเป็นจริงนั่นล่ะที่เป็นกฎและเป็นหลักของทุกชีวิต รูปและนามอันเป็นธรรมดาของโลกนี้ ฉะนั้นการเรียนรู้ความจริง คือการเรียนรู้หลักของชีวิต อาจารย์จะพูดถึงความจริง ความจริงอันไม่ตาย และความจริงอันเป็นธรรมดาโลก และเป็นสัจธรรม เราเกิดเป็นคน เราลืมความเป็นจริงอันนี้ไม่ได้ ความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก ความจริงอันหนีไม่พ้น ความจริงอันเป็นสัจธรรมคืออะไร
(ความตาย)  ความตายเป็นธรรมดาโลก เป็นความจริงที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเรามีการพิจารณาอยู่เสมอว่า เรามีความตาย แล้วเราจะมีความประมาทในการดำเนินชีวิตไหม แล้วเราจะทำผิดคิดร้ายหรือไม่ เพราะเราไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะต้องตายเมื่อไร ฉะนั้นผู้ที่ไม่ประมาทคือ ผู้ที่ไม่ปล่อยให้จิตใจเพลิดเพลินจนขาดสติและประพฤติผิด แต่ดำรงจิตให้อยู่ในหลักความจริงอันถูกต้อง เพื่อย้ำเตือนใจไม่ให้ก่อเกิดทุกข์ 
(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ในเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรน่ากลัวที่สุด (การเกิด)  การเกิดน่ากลัวที่สุด การเกิดที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่ทำให้เราเกิดแล้วเกิดอีกไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย เป็นคนชอบธรรมะ ชอบเข้าวัดเข้าวา เกิดเป็นคนอย่าแค่ทำบุญเป็น สวดมนต์เป็น ไหว้พระเป็น แต่มากกว่าการทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ นั่นก็คือ การมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงจนนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สุขและทุกข์)  เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาโลก หรือเรียกอีกอย่างว่า โลกธรรมแปด มีทุกข์ก็มีสุข มีสุขก็มีทุกข์ ฉะนั้นเมื่อไรที่พบทุกข์ ก็ให้คิดว่าสุขก็มี เพียงพลิกใจให้เป็น ความทุกข์ก็กลายเป็นความสุขได้ หากพลิกใจไม่เป็น เราก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์ไปจนตาย
(การพลัดพราก)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักและต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก แต่ศิษย์เอ๋ย ถ้าชีวิตนี้เราไม่รักไม่เกลียดอะไร เราจะเศร้าเมื่อยามพลัดพรากไหม และเราจะทุกข์เมื่อต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบไหม อาจารย์ถามว่าถ้าเราไม่มีใจชอบอะไร เวลาเขาจากไปจะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  แล้วถ้าเกิดว่าเราไม่เกลียดอะไร แล้วเราต้องอยู่กับคนที่เราไม่เกลียดอะไรเลยแล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ที่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เพราะว่าใจเรามีความรักและความเกลียด ถ้าเมื่อไรใจเราสิ้นสิ่งที่รักสิ้นสิ่งที่เกลียด เราก็จะเจอความจริงอันเป็นธรรมดาในโลกนี้ได้ ความจริงเป็นสิ่งที่ศิษย์หนีไม่พ้น และเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนต้องเจอ
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า สิ่งที่ศิษย์มองว่าสวย แท้จริงพุทธะบอกไม่สวย สิ่งที่ศิษย์บอกว่ามั่นคง แท้จริงพุทธะบอกไม่มั่นคง และสิ่งที่ศิษย์คิดว่าดีแสนดีแท้จริงมันอาจจะไม่แน่  ฉะนั้นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตจึงไม่หลงลืมความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงล้วนเปลี่ยนแปรผัน คงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ มีโอกาสเปลี่ยนแปลง มีโอกาสทุกข์ แล้วเราอยากได้ไหม (ไม่)  ถ้าสิ่งที่ศิษย์เห็นมีทุกข์ได้ มีเจ็บได้ มีพลัดพรากได้ มีสูญเสียได้ เรายังอยากได้ไหม (ไม่)  ถ้ากินแอปเปิลแล้วจะทุกข์ กินแอปเปิลแล้วจะเจ็บ กินหรือไม่กิน เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บ มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่ตาย ถ้าเรายอมรับความจริงว่าทุกสิ่งหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง เราหนีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วเราควรจะยึดมั่นถือมั่นไหม
โลกใบนี้เหมือนสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดได้ไหม (ไม่ได้)  สามี ลูก ยึดได้ไหม ชีวิตเรายึดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเรายึดไหม ฉะนั้นใครด่าเรา เรายึดไหม การเข้าใจความเป็นจริงและประจักษ์แจ้งความเป็นจริงจนเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ยึดแล้ว พอแล้ว มันจะทำเราทุกข์ไหม แต่เราเข็ดหรือยัง พอหรือยัง ฉะนั้นถ้าศิษย์เพิ่มความอยากหนึ่งก็เกิดความทุกข์อีกหนึ่ง ศิษย์เพิ่มความอยากอีกหนึ่ง ศิษย์ก็ต้องเจ็บอีกหนึ่ง ยิ่งศิษย์มีอยากสิบอย่าง ศิษย์ก็จะต้องทุกข์สิบอย่าง ความทุกข์ของสังขารเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในความเป็นจริง แล้วเราจะเข็ด เวลาเราจะหยิบ จะใช้อะไร เราก็จะไม่ปักใจเต็มที่ เพราะถ้าปักใจลงไปแล้วมันจะทำให้ฉันทุกข์และเจ็บ มีใครบ้างที่เรารักแล้วไม่ยึด และเมื่อยึดแล้วมีไหมที่จะไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ฉะนั้น
ทำตัวเองให้ดีที่สุดก่อน ถึงเวลาทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ไปบังคับความคิดเขา ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่พยายามยัดเยียดในสิ่งที่เราอยากให้เป็น แล้วเราจะไม่ทุกข์เพราะมนุษย์ที่ทุกข์อยู่ เพราะว่าไม่ยอมเห็นในสิ่งที่เขาเป็น เห็นแต่ในสิ่งที่เราอยากให้เป็น
อาจารย์ถามศิษย์ว่าเคยเห็นคนติดบุหรี่ ติดเหล้าไหม เวลาแค่นึกถึงมันก็อยาก แต่คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยกินเหล้า ถ้าเห็นก็เฉยๆ  ถ้าเมื่อไรจิตเรามีความอยาก มีตัณหา มีความโลภ มีความยึดมั่นถือมั่น ถือดีถือชอบอยู่ เวลาเราเห็นอะไรมันก็อดจะหวั่นไหวไม่ได้ แต่ถ้าเกิดว่าจิตเราไม่มีอะไร ไม่อยากแล้ว เข็ดแล้ว พอแล้ว ทุกข์มากแล้ว เจ็บจนสาแก่ใจแล้ว อะไรมันจะทำให้ศิษย์หวั่นไหว และอยาก และทุกข์ไหม
ถ้าไม่มีความอยาก ความโลภหรือกิเลสในจิต เห็นอะไรก็แค่นั้นไม่หวั่นไหว เมื่อจิตไม่หวั่นไหวจิตนิ่งแล้ว ความเกิดก็ไม่มี เมื่อความเกิดไม่มี ไม่มีเราทั้งโลกนี้ ทั้งโลกไหน เมื่อนั้นล่ะคือการสิ้นทุกข์แล มนุษย์ไม่อยากสิ้นทุกข์หรือ แต่พอเราเห็นอะไร อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ใช้ได้ พอเกิดความอยากก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว บุญบาปชอบชัง แต่ถ้าเมื่อไรจิตเราเห็นความจริงจนแจ่มชัด จนเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว เราจะหวั่นไหวไหม การเกิดของตัวตนจะมีไหม เมื่อไม่มีการเกิดของตัวเอง จะไม่มีตัวตนทั้งโลกนี้และโลกไหน ไม่มีการไปไม่มีการมา จิตสงบนิ่งแล้ว นั่นคือที่สุดของความสิ้นทุกข์
เวลาเจออะไรก็ตาม ขอให้นิ่งไว้ ถ้าเรานิ่งได้ เราจะสามารถควบคุมทุกเรื่องราวได้ แต่ถ้าเรานิ่งไม่ได้ เราจะถูกเรื่องราวชักจูงไป ฉะนั้นถ้าเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม ขอให้นิ่ง เมื่อนิ่ง เราจะสามารถเป็นนายเหนือสถานการณ์ เราจะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในมือเราได้ แต่ถ้าเราไม่นิ่ง เราจะตกเป็นทาสของสถานการณ์อยู่ร่ำไป เหมือนที่เขาบอกว่าน้ำสามารถดับไฟได้ แต่ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ ไฟก็ต้มน้ำให้เดือดได้เหมือนกัน
อย่าเพิ่งวิ่งไปตามกิเลสตัณหา อย่าเพิ่งวิ่งไปตามใจที่ฟุ้งซ่าน แต่ขอให้สงบนิ่งก่อน เมื่อนิ่งได้ ความนิ่งจะเป็นรากฐานของความเข้าใจ ความแข็งแกร่ง และความนิ่งจะทำให้เราเกิดความประจักษ์แจ้งว่า สวยก็แค่นั้น หล่อก็แค่นั้น เหี่ยวก็แค่นั้น จนก็แค่นั้น มีก็แค่นั้น เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่ (ใจ)  ถ้าศิษย์รู้จักควบคุมใจตัวเองได้ ใครก็หลอกให้เราเจ็บไม่ได้ ถ้าศิษย์ยังควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ใจศิษย์ยังง่ายที่หลงไปตามกิเลส ง่ายที่จะหลงไปตามสิ่งที่ยั่วยวนต่างๆ ศิษย์ก็ง่ายที่ตกเป็นทาสของคนอื่น แล้วปล่อยให้เขาบีบหัวใจศิษย์เล่นอยู่ร่ำไป แต่ถ้าใจเป็นของเรา ชีวิตเป็นของเรา ใครจะแปรเปลี่ยนใจเราได้ จริงไหม ไม่ว่าจะเจออะไร สำคัญอยู่ที่ใจ คุมใจตัวเองได้ ก็คุมเกมอยู่ รู้จักตัวเองแจ่มชัดก็สามารถคุมเกมในโลกให้เป็นดั่งใจเราได้แจ่มชัด เหมือนคำว่า ถ้าใจไม่มี เห็นก็เหมือนไม่เห็น แต่ถ้าใจมี ไม่เห็นก็เหมือนเห็น ถ้าใจเราบริสุทธิ์สะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่างเปล่า แต่ใจของมนุษย์ยังหนีไม่พ้นความอยากได้อยากมี ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์สักกี่ครั้งหรือถึงจะเข็ด ถึงจะจำ เราเกิดมาเพื่อทุกข์ หรือเราเกิดมาเพื่อเอาสิ่งนั้นมารู้แจ้งและละวางอย่างเข้าใจธรรม เราไม่ได้เกิดมามีกรรม แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจธรรม ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “พยายามบำเพ็ญ”)
พระโอวาทซ้อนครึ่งแรกเป็นของศิษย์ในชั้นนี้ แต่ครึ่งหลังเป็นของงานประชุมธรรมที่ลำปาง แต่เป็นความหมายที่ต่อกันที่อาจารย์แฝงความนัยเอาไว้ ฉะนั้นถ้าเราควบคุมใจเราได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ ไม่ใช่ความตาย แต่คือ การต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วชดใช้กรรมที่ตัวเองก่อไว้ กรรมที่เกิดจากการกระทำของตัวเรา แต่การกระทำที่ทำด้วยธรรม จะไม่ก่อเกิดกรรม การกระทำที่กอปรไปด้วยกิเลสอารมณ์จะหนีไม่พ้นกรรม ถ้าทำอะไรด้วยธรรม เราจะไม่ได้หวังผล เพราะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม เราไม่ได้หวังผลตอบแทน อย่าทำดีแล้วหวังผล แต่เราทำดีเพื่อละบาป และป้องกันไม่ให้จิตไหลลงต่ำ
หากมีโอกาสจงกลับมาศึกษาอีกนะ ศิษย์เอ๋ยอย่าดูถูกคุณค่าความสามารถของตนเอง อย่าคิดว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องไกลตัว อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์หลุดพ้น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ซึ่งล้วนเป็นทุกข์ที่เกิดจากตัวเองทั้งนั้น รู้ว่ายึดแล้วมีแล้วเกิดความทุกข์ก็ยังอยากจะยึด รู้ว่ารักแล้วเป็นทุกข์ก็ยังอยากจะรัก รู้ว่าเกลียดแล้วจะมีกรรมก็ยังอยากจะเกลียด ฉะนั้นถ้าควบคุมใจไม่ได้ คนที่ทำให้ตนเองต้องทุกข์ แล้วมีกรรมที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นก็คือตนเอง ดังนั้นหากควบคุมใจตนเองไม่ได้ สิ่งต่างๆ ก็มีผลทั้งนั้น แต่ถ้าควบคุมใจตัวเองได้แล้ว เรื่องคนอื่นก็ง่ายมากๆ ถ้าควบคุมใจของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถรู้ใจตนเองได้ เรื่องคนอื่นก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เราสามารถมีตัวรู้ และเข้าใจตัวเองได้อย่างไม่ขาดสาย นั่นก็คือสติ
เมื่อมีสติปัญญาก็เกิด แต่ถ้าสติเตลิดปัญญาก็ไม่มี สตางค์ก็ไม่มี เมื่อถึงที่สุดแล้ว ในโลกไม่มีอะไรดีที่สุด และไม่มีอะไรที่สมควรมาทำให้เราต้องทุกข์เลย จริงไหม (จริง)  เห็นชัดๆ ว่ามีเขาแล้วเราเป็นทุกข์ เราก็ยังจะมี แล้วมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ก็แค่ทำตัวเองให้ดี ส่วนเขาจะเป็นอย่างไร ก็เพียงแค่เรากล้ายอมรับความจริง เราเปลี่ยนให้โลกเป็นดั่งใจของเราได้หรือไม่ (ไม่)  อาจารย์บอกแล้วว่า ชีวิตคือความจริง แล้วโลกก็หมุนตามความจริง ไม่ใช่หมุนตามความคิด เราชอบหวังให้ชีวิตเป็นดั่งใจคิด ไม่มองตามความจริง สุดท้ายเราก็ทุกข์ ฉะนั้นหลุดออกจากความคิดแล้วหันกลับมามองความจริงด้วยหัวใจที่ไม่ประมาทและมีสติในการดำเนินชีวิต การมีสติในการดำเนินชีวิตไม่ให้ผิดลู่ผิดทาง คือ มีศีล มีธรรม แล้วประจักษ์แจ้งเห็นความจริงจนนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  ขอให้ตั้งใจ ทำอะไรขอให้สำรวมรอบคอบนะศิษย์เอ๋ย เพราะเมื่อเราไปทำอะไรกับใครเขามาแล้ว การจะทำดีชดใช้กันนั้นไม่ได้ จริงไหม (จริง)
คนที่ว่าศิษย์ คนที่เขาทำร้ายศิษย์ แสดงว่าเขาต้องมีเวรมีกรรมกับศิษย์มา จึงมาทำให้เราเป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากมีกรรมต่อ ก็ต้องอโหสิกรรม ไม่ใช่แค่อภัย ถ้าศิษย์ว่าเขาต่อ ศิษย์ก็เกี่ยวกรรมต่อ ถ้าศิษย์เก็บไว้ในใจก็แปลว่าศิษย์อยากผูกเวรผูกกรรม ถ้าศิษย์จำไม่ลืม พอเจอหน้าแล้วว่าประชด ศิษย์ก็คือคนที่จองเวรจองกรรม แล้วเราอยากมีกรรมหรืออยากมีธรรม ทุกวันนี้ทำเพราะกรรมหรือทำเพราะธรรม  ฉะนั้นอยู่กับเขา จงอยู่ด้วยบุญอยู่ด้วยธรรม ใครทำกรรมมาก็ขอบคุณที่ทำให้ฉันแปรบาปเป็นบุญ แปรกรรมเป็นธรรม  ใครจะทำกรรมอะไรกับเรามาให้ เราอโหสิกรรมแล้วเปลี่ยนกรรมนั้นเป็นธรรม เพราะทุกคนล้วนมาจากธรรมและก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังไม่สามารถเห็นธรรม ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์ก่อ กรรมที่ศิษย์ยึดติด
ถ้ายังไม่เข้าใจหาโอกาสมาฟังธรรมต่อเพื่อให้เกิดปัญญาธรรม และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริง แก่ เจ็บ ตายศิษย์ก็จะปลดปลงและเข้าใจทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังปล่อยวางไม่ได้ ยังมีความอยากอยู่ ยังมีความโลภอยู่ จิตของศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
มนุษย์มาจากกรรมอันเป็นผลของการกระทำที่ตัวเองสร้างแล้วก่อตัวเป็นตัวเรา แต่อาจารย์จะบอกว่าสังขารเรานี้มีหน้าที่ใช้กรรม แต่จิตเดิมแท้ของเราไม่มีกรรม  ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์สามารถคืนสู่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่า “สภาวธรรม”  ได้ ศิษย์ก็จะพ้นเวรพ้นกรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ยังยึดติดตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมเวรที่ศิษย์ยึดมั่นถือมั่น ลองมองให้ทะลุสิว่ากายนี้ยึดได้ไหม ลองมองให้ชัดถึงสิ่งที่เราคิดว่าสิ่งนั้นถูกสิ่งนั้นผิด เถียงกันจนทะเลาะกันจนทำร้ายกัน ถึงที่สุดแล้ววางได้ไหม เพราะยึดไปก็ก่อกรรมกันเปล่าๆ ชนะแล้วได้อะไร แพ้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ขอเพียงเราเข้าใจว่า ตัวเราเองทำดีที่สุดหรือยัง
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูแลตัวเองให้ดี รักษาสุขภาพให้ดี รักษาจิตใจตัวเองให้ดีเหมือนเดิม ให้มั่นคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม ให้สะอาดบริสุทธิ์งดงามเหมือนเดิมนะศิษย์รัก และจงเป็นจิตใจที่เสียสละช่วยเหลือคน เพราะยิ่งช่วยเขามากเท่าไรก็คือช่วยเรามากเท่านั้น เข้าใจไหม สักวันหนึ่งศิษย์จะรู้ว่าชีวิตที่มีค่าแท้จริงไม่ใช่การอยู่เพื่อตัวเอง แต่คือการอยู่เพื่อช่วยคนให้เขาพบธรรม เมื่อเขาพบธรรม เราก็พบธรรม อย่าปล่อยให้ชีวิตทำร้ายตัวเอง ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ทำให้ดี ศิษย์มีรากบุญ เด็กดื้อเป็นคนดีได้จริงไหม รักษาจิตรักษาใจกันให้ดี ไม่ว่าเจออะไรถือว่านั่นคือโชคดีแล้ว


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พยายามบำเพ็ญ เริ่มที่ใจให้ไวที่สุด”
     รู้ว่าดีแต่ไม่มีการเริ่มตัว                 รู้ว่ากลัวแต่ยังทำตัวเวียนว่าย
คนทำดีก็มีอยู่ตั้งมากมาย                  คนทำได้กลับมีอยู่แค่หยิบมือ
ขอใส่ใจตนเองเพื่อการบำเพ็ญ           คนเป็นบ้างไม่เป็นบ้างเลยยึดถือ
คนเข้าใจหลักธรรมจะไม่ยุดยื้อ           จงอย่าซื้อเวลาด้วยหลงลังเล
     ความสำเร็จไม่ได้เกิดในวันเดียว     จงขับเคี่ยวเรื่องเก่าใหม่หลายหักเห
ชะตากรรมแสนยากยิ่งจะคะเน          ใจรวนเรไม่อาจทำเรื่องสำคัญ
ความสำเร็จไม่ทำด้วยคนคนเดียว        ความอ่อนน้อมเกาะเกี่ยวใจดั่งให้ผสาน
คือสำเร็จกันตั้งแต่เพียงกัน                แลสิ่งนั้นสมควรเกิดในใจทุกคน
รู้ว่าดีเพลานี้เรื่องอะไร                      เริ่มที่ใจไวที่สุดหยุดสับสน
รื้อกำแพงที่ใจสบายตน                    บำเพ็ญแล้วทุกข์ทนใช่บำเพ็ญ

หมายเหตุ    พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาทที่เมตตาประทานไว้ที่
พุทธารามเหยินเต๋อ จ.ลำปาง เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ มาต่อท้าย


(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท ประทานไว้ที่สถานธรรมจินโจว จ.ชัยภูมิ)
ย่อหน้าที่ ๕
เดิม
*** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อบำเพ็ญ
แก้ไขเป็น
*** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อการบำเพ็ญ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

2561-01-13 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二○一八年歲次丙申十一月廿七日                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑          สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ทำผิดศีลอย่าพูดว่าจำเป็น              แล้วที่เป็นตัวเราก็ต้องเปลี่ยน
ตัดอวัยวะรักษาชีวิตดุจเล่มเทียน         อย่าวนเวียนติดนิสัยกิเลสอารมณ์
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง ไม่ลองดูเหมือนจะง่าย ถ้าไม่ทุกข์จะเป็นจะตาย ก็ไม่ทำใจโลกที่ท่านรู้กัน ชีวิตของคนที่มีทุกข์ สร้างบุญไม่หวังผลบ้าง ไม่รู้
ก็ไม่ระวัง ไม่เกิดทุกข์ก็ไม่พบธรรม

* อย่าได้หลงรักความโลภแบบไม่ลืมตา อย่าเสียปัญญา อุตส่าห์ฝึกฝนไว้จนได้ คิดจนหลับใหล ทุกข์มาจากไหน ก็ยิ่งหนักหัวตา ไม่ใช้ความเครียดเพราะหมายถึงความเศร้าหมอง ทุกข์สุขเป็นกองอากาศ ก็พัดผ่านได้ ทุกข์แค่ไหนท้อแค่ไหนแค่ใจหลอก
การบำเพ็ญเป็นการพัก วันหนึ่งประจักษ์กับหัวใจ ถอนสลักไร้ตัวตน หลุดพ้นได้
** ถ้าบำเพ็ญได้ไม่พอ พร้อมทะเลาะกับผู้คนเสมอ เตือนท่านควานที่แผลจนเจอ เจ็บที่สุดอย่าเผลอลืมแก้ไข ซ่อนกิเลสบำเพ็ญสร้างปัญหา
ไม่ศึกษาแล้วจะพูดธรรมแบบไหน ท่านเกิดแก่เจ็บและตายได้ ชีวิตเพื่ออะไร

(ซ้ำ **, *, *, เบิ่งให้ออกเด้อ…คนดี)
                                         ทำนองเพลง : คำแพง
                                         ชื่อเพลง : ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

เกิดเป็นคนถ้าไม่ซื่อตรงแล้วยังผิดศีลธรรม จะหาความเป็นมงคล ความประเสริฐ ความดีในชีวิตก็คงยาก ดังที่มนุษย์พูดว่า หว่านพืชเช่นไร
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าหมั่นสร้างความดี กรรมดีย่อมนำพาให้เราพบความสุข ความเจริญ แต่ถ้าเราสร้างกรรมชั่ว ประพฤติปฏิบัติผิดศีลธรรม จะหวังความเป็นมงคลให้กับชีวิต ก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำผิดศีลธรรม ก็คือคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี เมื่อประพฤติปฏิบัติไม่ดี หวังจะมีความสุขก็เป็นไปได้ยาก หวังจะก่อเกิดชีวิตอันร่มเย็นก็ยิ่งยาก ถามตัวเองว่าวันนี้เป็นเช่นไร จะโทษฟ้าโทษดินได้กระนั้นหรือ ควรจะถามตัวเองว่าแต่ก่อนทำเช่นไรมา วันนี้ถึงต้องพบพาลเรื่องราวแบบนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ หวังให้ชีวิตดีงาม มีสิ่งมงคล มีโชคลาภ ถามตัวเองว่า ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อศีลธรรม มีความซื่อตรงหรือไม่ เหมือนเราถามท่านว่า เกิดเป็นคนเอาแต่โลภ มีหรือจะไม่ถูกลวงให้หลง เกิดเป็นคนเอาแต่หลงหัวปักหัวปำ มีหรือจะไม่ทำผิดพลาด เกิดเป็นคนเอาแต่ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่รับฟังความคิดของใคร คิดว่าตัวเองถูกอยู่ร่ำไป มีหรือชีวิตจะพานพบสิ่งที่ดีงาม ไม่พบความเสียใจ ฉะนั้นก่อนที่จะถามคนอื่นว่ามา
ทำร้ายเราทำไม ควรจะหันมาย้อนมองและถามตัวเองก่อนว่า ตนเองปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องในศีลธรรมแห่งความเป็นคนหรือไม่

ท่านอยู่กับใครก็อยากอยู่อย่างมีความสุข แล้วอยู่อย่างไรให้มีความสุข เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ โกหกผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้หรือเรียกว่ามีความสุข ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว กระทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ เปิดใจกว้าง เห็นใจและให้อภัย มีหรือผู้คนจะไม่จริงใจ ซื่อตรง เห็นใจ และให้อภัยเรา แต่คนโดยส่วนใหญ่ต่างคนต่างเอาตัวเองรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราพบความสุขไหม (ไม่)  แต่ไยมนุษย์จึงชอบบ่นตัดพ้อว่า ทำไมต้องทำดีกับคนที่ไม่ดี ทำไมฉันต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมฉันต้องเป็นคนยอม ทั้งที่คนที่เรายอมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ จนบางครั้งเราท้อจนไม่อยากทำ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความคิดที่ยึดติดในตัวตนเป็นหนทางแห่งความเห็นแก่ตัว และนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะหลงทำผิดพลาด แต่การที่รู้จักอุทิศเสียสละให้ ยอมทำดี เป็นมงคลอันประเสริฐแก่ชีวิต
ถ้าเราพยายามที่จะให้ พยายามที่จะเสียสละ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เรายังทำดีไหม (ทำ)  เพราะอะไร เพราะความคิดที่ยึดติดว่าคนนั้นถูก คนนี้ผิด แล้วไม่มุ่งมั่นทำดีตลอด ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเราเห็นแก่ตัว และก็ง่ายที่จะทำให้หลงผิดพลาด ไม่เหมือนกับจิตใจที่เราอุทิศให้ เสียสละ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงามอันเป็นมงคลที่เรียกว่า คุณธรรม เมตตา ความซื่อตรง ความเสียสละ ยิ่งทำให้เป็นมงคลกับชีวิตและเป็นความสุขกับชีวิต เรียกง่ายๆ ว่า กรรมดีกับกรรมชั่ว
กรรมชั่วเมื่อทำ ผลที่ได้ก็คือเป็นทุกข์ ทำลายชีวิต ถ้าถึงที่สุดก็หนี
ไม่พ้นผลชั่วที่ตัวเองสร้าง แต่การประพฤติปฏิบัติความดีโดยไม่ย่อท้อ ความดีเป็นชื่อของความสุข เป็นชื่อของชีวิต ความสว่างไสว ความเจริญเติบโต
ยิ่งทำยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำยิ่งสว่างยิ่งโล่ง ถ้าเมื่อไรเลิกทำความดี ก็ง่ายต่อการที่จะเดินไปสู่หนทางที่เรียกว่า นรก คือคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ใครจนถึงที่สุด เมื่อไรที่ทำดีแล้ว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เมื่อนั้นไม่อาจเรียกว่า ความดี

ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมีศีลมีธรรมไหม มีคำกล่าวว่า เกิดเป็นคนถ้าผิดศีลขาดธรรม แม้จะไม่มีภัยภายนอก แต่ภายในใจก็ยากหาความสงบได้  ฉะนั้นแม้มีความสำเร็จมากมาย แต่ใจลึกๆ หาความสุขกายสบายใจไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวท่านต้องถามตัวเองและยอมรับว่าศีลธรรมเรามีครบหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลเป็นสิ่งที่นำพาให้เป็นทุกข์ แต่มนุษย์ก็อ้างว่าจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ช่างน่าเสียดาย ฉะนั้นถ้าถอนเสียได้ซึ่งจิตอกุศล ถอนเสียได้ซึ่งความผิดบาปทั้งมวล มุ่งมั่นเติมจิตใจให้มีแต่ความดีงามถูกต้อง แผ่ขยายต่อชีวิตตัวเองและไปสู่ชีวิตของผู้อื่น มีหรือวันหน้าจะไม่พบสุข มนุษย์เอาแต่ผิดศีลขาดธรรม แล้วผลที่สุดก็ต้องมานั่งแก้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ หยุดยั้งความชั่วร้ายในใจนั้นหยุดยากหรือ เราว่าทำดีง่ายกว่าทำชั่วอีกนะ เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ กับเดินไปต่อว่าให้เขาเจ็บปวด อะไรง่ายกว่ากันหรือ (เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ)  แต่เมื่อถึงเวลา ทำไมคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” จึงออกจากใจของเราได้ยากกว่า
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเองกำหนดตัวเอง

เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเรา หรือเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ท่านมักจะปล่อยให้ชีวิตไปตามยถากรรมมากกว่า ถูกไหม (ถูก)  เกิดเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองแล้ว อย่าพูดถึงศีลธรรมเลย แค่พูดกับเรายังโกหกเลย แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
เราเคยคิดไตร่ตรองไหมว่า ถ้าเราเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับอะไร ทำไมบางครั้งจึงอยากทำดี บางครั้งไม่อยากทำดี ท่านคิดว่า ตัวเรานี้มักจะปล่อยให้ตัวเราทำไปตามอะไร (ตามใจ)  ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่ใจ ใจดีก็ (ดี)  ใจร้ายก็ (ร้าย)  ถ้าใครว่าเรา ตอนนั้นเราใจดี เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ตกลงชีวิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่ที่ (ตัวเราเองกำหนด)  ฉะนั้นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ชะตาดีหรือชะตาร้าย อย่างนี้จะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะโทษที่ไหน (โทษที่ตัวเราเอง)
ฉะนั้นถ้าอยากจะแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ก็ต้องแปรที่ใจ
ใจของเราจะดีหรือจะร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอารมณ์ดี อะไรๆ ก็ดี ถ้าอารมณ์ร้าย อะไรๆ ก็ร้าย ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา หากเราอารมณ์ดี ใจของเราก็ (ดี)  อย่างนั้นหากเขาชมเรา
แต่เราอารมณ์ร้าย ผลก็ไม่ดี เพราะอารมณ์ของเราไม่ดี ฉะนั้นดีหรือร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด แต่ดีหรือร้ายก็ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจของเราเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)

ท่านเคยได้ยินไหม “ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ผลของการกระทำแห่งชีวิตล้วนมาจากใจที่นึกคิดเช่นไร” สิ่งที่ควบคุมใจเราได้คือ “ความคิด”  ฉะนั้นถึงตามใจได้ ถึงรู้ทันใจ แต่ถ้าไม่เท่าทันความคิด ความคิดก็ชักพาใจให้หลงผิดได้ ลองมองดูว่าความคิดมีอิทธิพลต่อใจไหม ความคิดบงการทั้งกายและใจ และความคิดยังอิทธิพลต่อคำพูด การกระทำและชะตากรรม เราคิดเช่นไรเราก็ดำเนินชีวิตเช่นนั้น เราคิดตัดสินแบบใดเราก็พูดแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโดยส่วนใหญ่มนุษย์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นทันที ไม่เคยฝืนความคิด คิดจะว่าก็ว่า คิดจะโมโหก็โมโห แปลว่าใจมักไหลไปตามความคิด ถ้าอยากเปลี่ยนใจเปลี่ยนชะตากรรมเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เรามาดูหน่อยว่าความคิดของคนน่ากลัวไหม มนุษย์มักคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง แล้วเมื่อความคิดรวมกับนิสัยของใจคน ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก เพราะใจคนมักเป็นใจที่ไม่ค่อยยอมแพ้ เอาแต่ได้ ถือดี เมื่อใจรวมกับความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยอมคนไหม ท่านแพ้เขาชนะ ท่านยอมไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใจอย่างเดียว แต่เป็นนิสัยของใจที่รวมกับความคิด นิสัยของใจชอบระแวงมากกว่าระวัง คิดร้ายมากกว่าคิดดี และเมื่อคิดร้ายแล้วก็ชอบเชื่อมั่นยึดติดว่าตัวเองคิดถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพูดออกมา กระทำออกมา แสดงออกมา จึงกลายเป็นชะตากรรมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ไม่ค่อยซื่อตรงและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ความคิดและนิสัยของใจ เปลี่ยนเป็นคิดดีๆ เข้าไว้ดีไหม (ดี)  ดีแต่น่ากลัวตรงที่พอคิดดีแล้วกลายเป็นคนชอบจับผิด เหมือนที่ท่านบอกว่าให้มองแง่ดีไว้ แต่มองแง่ดี มองไปมองมากลายเป็นคนจับผิด ไม่เห็นดีเลย ธรรมะจึงสอนว่าจงเอาธรรมะมาช่วยขัดเกลาความคิด จงเอาธรรมะมาช่วยชำระล้างใจให้ถูกต้อง เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรม มนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดและปล่อยตามนิสัยของใจที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ที่ชอบเอาดีเอาได้มากกว่ารู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วนำธรรมะอะไรมาคอยควบคุมความคิด และชะล้างนิสัยของใจที่ชอบหลงผิด ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดอย่างคนมีสติ รู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำชักนำความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยอารมณ์ครอบงำความคิด จึงเป็นยารักษาที่ดี ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุขุม ใจเย็นและระมัดระวัง อันนี้แค่เป็นความเข้าใจ เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ช่วยยับยั้งความคิด
ชะล้างนิสัยของใจ

นิสัยของใจอีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ แล้วรู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ชอบจมอยู่ในความทุกข์ เราจะมาช่วยแก้ วิธีที่จะแก้ก็คือ จงรู้จักนำธรรมะมาควบคุมความคิด มาชะล้างใจ เคยไหมเวลาเจอคนที่หน้าบึ้ง จิตเราก็ตก พูดไม่ไพเราะ ใจก็แย่ ใช่ไหม (ใช่)  แค่คนที่ขายของสะบัดเสียงใส่เรา เราก็อารมณ์เสีย นั่งรถด้วยกัน เจอใครพูดนินทา เราก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ก็บอกว่า ชีวิตขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ถึงเวลาเราก็อดผันแปรไปตามสิ่งที่กระทบที่เรียกว่า แวดล้อมพัดผ่านมาไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธะท่านสอนว่า จงรู้จักนำธรรมมาใช้ควบคุมความคิด ชำระล้างใจ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมสอนให้เราพบเจอความสว่าง ความสงบ ความเย็นและพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งคิดแล้วยิ่งมืด ยิ่งทุกข์ ยังจะคิดต่อไหม ก็ยังคิด แถมหาดนตรีมาบรรเลงขับกล่อมให้ยิ่งเศร้า แถมอะไรมาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ถ้าคิดแบบนี้ทำให้พ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ธรรมสอนว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วทำให้สว่าง สงบเย็นและพ้นทุกข์  เคยไหม คิดแบบคนสว่าง คิดแล้วทำให้เราสงบ คิดแล้วทำให้เราใจเย็น คิดแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ คิดแบบไหน (ปล่อยวาง)  ปล่อยได้ไหม ก็ยากใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์มักเป็นคือการจ้องจับผิด เมื่อจ้องจับผิดก็จะเห็นคนโน้นก็ไม่ดี เห็นคนนั้นก็แย่ การจ้องจับผิดคือทางที่ทำให้เรามืด ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราไม่สงบ ฉะนั้นไม่จ้องจับผิดใคร เอาแต่ขัดเกลาแก้ไขตนเอง อย่างนี้จะสว่างไหม (สว่าง)  จะสงบไหม (สงบ)  พ้นทุกข์ไหม (พ้น)  ฉะนั้นถ้าอยากสว่างก็เลิกจับผิด แล้วเปลี่ยนระแวงเป็นระมัดระวังใจ อยากแก้ความคิด อยากแก้นิสัย ก็เลิกระแวงผู้อื่น แล้วทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วเอาเวลาจับผิดผู้อื่นนั้นมาเป็นเวลาแก้ไขตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองจะได้ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดับให้เราสามารถคลายความเศร้า คลายความรังเกียจเขาได้ ก็คือ แปรความเกลียดความไม่ชอบ เป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ไม่เกลียดไม่โกรธ สิ่งนี้จะแปรเปลี่ยนใจที่คิดร้าย ใจที่ทุกข์ ให้เป็นใจที่สงบเย็น หากเราว่าเขา เราก็เจ็บ เขาผิดเราก็ไม่ได้ถูกกว่าเขา เขาแย่เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา จริงไหม (จริง)  ว่าเขาไม่ดี แล้วเราดีกว่าเขาสักเท่าไรหรือ เห็นเขาแล้วไม่เห็นเรา หรือว่าเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย เขานิสัยไม่ดี เราก็ (ไม่ดี)  ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ากล้ายอมรับอย่างนี้ การที่เราจะมองเขาแย่ การที่เราจะรังเกียจ การที่เราจะโกรธ จะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความมืดความทุกข์จะกลายเป็นความสว่าง สงบเย็นและสบายใจ และธรรมะก็สอนให้สร้างบุญอย่าสร้างบาป ทำคนอื่นเจ็บก็คือบาป ทำคนอื่นมีสุขก็คือบุญ ท่านอยากสร้างบุญหรือสร้างบาป (บุญ)  และทุกครั้งที่ว่าผู้อื่นบาปหรือบุญ (บาป)  ทำบุญแต่ที่วัด กับคนไม่เคยทำบุญเลย รู้จักแต่ให้ทาน แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานเลยใช่ไหม ให้อภัยเป็นทานไม่ได้หรือ  ฉะนั้นก่อนจะคิดอะไรตามใจตัวเอง ตามนิสัยของใจ จงมีสติคิดทบทวนก่อนว่า ถ้าความคิดนั้นพาไปสู่ความมืด ความวุ่นวายและความทุกข์ นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าความคิดใดทำแล้วสว่าง ทำแล้วพ้นทุกข์ ทำแล้วบังเกิดบุญ คิดแบบนั้น
ไม่ดีกว่าหรือ คิดได้ทันอย่างนั้นไหม นิสัยของใจชอบขึ้นแล้วก็ลง ดีแล้วก็ร้าย ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติที่มีขึ้นได้ก็ลงได้ ลงได้ก็ขึ้นได้ แต่แปลกเวลาลงทำไมขึ้นยาก แล้วเวลาขึ้นหรือลงกลับมาปกติไม่ได้หรือ ทำไมต้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เป็นคนปกติไม่เป็นใช่ไหม น้ำยังมีวันขึ้นและลง ใจของคนมีขึ้นและลง แต่อย่าลืมกลับมาปกติ และอยู่กับความปกติธรรมดา ธรรมชาติของใจก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของน้ำ ขึ้นได้ลงได้และกลับมาปกติได้ ความปกติคือคุณธรรมของความเป็นคน แต่ความเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คือความผิดปกติที่ทำให้มนุษย์ง่ายที่จะขาดศีลธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าลืมใจอันเป็นกลาง แต่มนุษย์ใจมักจะติดร้าย ติดดี แล้วก็บอกว่า ก็เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ แล้วมีอีก คือความธรรมดา

อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะจากกัน มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เวลามีความสุข ก็ชอบคิดในเรื่องที่พาลให้ทุกข์ เจอคนชมน่าจะดีใจก็กลับระแวง เจอเรื่องที่ได้ น่าจะสุขใจก็กลับวิตกกังวล ฉะนั้นถ้าเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะถ้าคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆ ถ้ากลัวแล้ว
ทำให้ทุกข์ วิตกกังวล กลัวตัวเองเจ็บปวด ทำไมไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ใจของคน ชีวิตของคน ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสมอไป แล้วเมื่ออารมณ์มาแล้ว จำไว้นะว่าเราเลือกได้ที่จะจมอยู่กับอารมณ์หรือจะหลุดพ้นจากอารมณ์

เราหนีให้เราไม่คิดไม่ได้ เราหนีให้เราไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมีอารมณ์แล้วพ้นทุกข์ เห็นแจ้งจริง หรือวิตกกังวลและจมกับทุกข์ เราเลือกได้ ใช่ไหม (ใช่)  ขอแค่เพียงมีสติ รู้ทันความคิดและนิสัยของใจตน แล้วชะตาชีวิตก็ไม่ต้องกราบฟ้า ไม่ต้องไหว้ดิน ไม่ต้องขอใครให้ชม เราก็สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เพราะเรารู้จักคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดให้สว่าง คิดให้สงบเย็น และพ้นทุกข์
ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็แปลว่าใจไม่ได้จดจ่อ ไม่ได้ใส่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีใจอันประเสริฐอยู่หนึ่งอย่าง ขอแค่เพียง
ใส่ใจและรักที่จะทำ สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ดูเป็นปกติ
ก็จะกลายเป็นคุณงามความดีได้ ขอแค่เพียงการใส่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่น่าเสียดายลืมใส่ใจที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง มัวแต่ห่วงคนอื่นว่ารักหรือไม่รักเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใส่ใจและรักคุณค่าของตัวเองให้เดินไปสู่ทางที่ถูกต้องและดีงาม สุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการกระทำคือตัวเรา แล้วทำไมไม่คิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะทำ คิดอย่างคนสว่าง คิดอย่างคนสงบ คิดอย่างคนพ้นทุกข์ ไม่ใช่คิดอย่างคนวุ่นวาย มืดมน หลงผิดบาปและจมในห้วงทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ชีวิตอยู่ที่ความคิด ความคิดควบคุมได้ด้วยคุณธรรม ความคิดชีวิตและจิตใจควบคุมได้ด้วยธรรม อย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงภายนอก แต่ลืมเอาธรรมมาควบคุมนำพาชะตาชีวิตและจิตใจตน หว่านพืชเช่นไรรับผลเช่นนั้น ไยจึงไม่สร้างธรรมเพื่อรับผลธรรม ไยจึงสร้างกรรมแล้วผลสุดท้าย
ก็ต้องรับกรรม

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสนี้กันให้ดี มีชีวิตคิดอย่างสว่าง คิดอย่างสงบ และคิดอย่างคนพ้นทุกข์ อย่าคิดอย่างคนจมอยู่ในทุกข์ และนำพาให้ตนเองมืดมนเลยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑       สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  บำเพ็ญนอกแต่ภายในไม่ฝึกฝน         ท้ายก็พ่ายติดขัดวนนิสัยเก่า
ติดอัตตาตัวตนความเป็นเรา              ยอมขัดเกลาหรือว่าทำตัวแบบเดิม
ใจที่วุ่นก็วุ่นไปทุกสิ่ง                      ใจที่นิ่งทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่ม
ทุกสิ่งล้วนเริ่มจบที่ใจเดิม                 ไม่โทษเขาแต่เริ่มย้อนดูตน
        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่

  เพราะศรัทธาจึงพร่ำยกมือไหว้         ศรัทธาใดไม่ปฏิบัติไร้ประโยชน์
มีศรัทธาไม่ปฏิบัติย่อมเกิดโทษ           แสนปราโมทย์ปฏิบัติเป็นธรรมบูชา
ฝึกธรรมะฝึกปัญญาฝึกพลิกแพลง        ฝึกความแกร่งฝึกนิสัยฝึกจิตนิ่ง
ฝึกยอมรับโดยไม่แบกไว้ทุกสิ่ง            ฝึกวางจริงแต่ไม่ใช่แล้งน้ำใจ
โลกที่รู้ไม่เป็นอย่างที่เห็น                 เรื่องที่เจนไม่เป็นอย่างที่หมาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป                  ไม่ยึดในรูปธรรมนามธรรม
บำเพ็ญจิตให้เป็นไทไม่เป็นทาส          บำเพ็ญกายไม่ให้พลาดไม่ให้พลั้ง
คำพูดจาต้องไม่สร้างวจีกรรม            หนทางธรรมไม่สร้างหนี้จองเวรใคร
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีนกตัวหนึ่งที่พยายามบินและบินให้สูงที่สุด ชีวิตของนกตัวนี้ต้องหมดสิ้นแล้ว แต่ใจของนกตัวนี้ยังอยากที่จะบินให้สูงที่สุด แม้ร่างกายตัวนี้จะหมดไปแล้ว แต่ใจที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่สูงที่สุด ดีที่สุด ยังคงมีอยู่
ศิษย์เกิดเป็นคนย่อมหนีไม่พ้นความแก่เจ็บตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะลืมได้คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น แม้สังขารและร่างกายเราจะไม่มี แต่เรามีใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น ใจดวงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมทิ้งร่างกาย ยอมทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เคยทอดทิ้งมา ไม่ห่วงแล้วร่างกาย ขอกลับไปสู่ใจที่เป็นสภาวะเดิมที่ประเสริฐที่สุด ที่งามที่สุด ที่ดีที่สุดดวงนั้นดีกว่า
ความเป็นคนมีเวลาจำกัด แต่ใจที่เข้าถึงธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ที่จะมุ่งมั่นไปสู่สิ่งที่ดีงามที่สุด ไม่มีเวลาจำกัด สามารถสละตัวตนและกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ ความมุ่งมั่นของคนเป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าทำอะไรด้วยใจที่สู้ไม่ถอย แม้สังขารจะละแล้วแต่ใจที่สู้ไม่ถอยสามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้
ถึงเวลาศิษย์ต้องทิ้งร่างกายไหม (ทิ้ง)  ระหว่างนรกกับฟ้า เราอยากไปไหน (ฟ้า) หลายคนก็อยากเลือกไปฟ้า แล้วฟ้าเป็นแบบไหน (กว้าง)  แล้วใจเรากว้างหรือแคบ วันนี้เราอยู่บนโลกถ้าตายไปเราก็อยากกลับสู่ฟ้า ไม่อยากลงนรก นรกใจกว้างหรือแคบ (แคบ)  แคบมากใช่ไหม แคบจนดำมาก แล้วใจเราตอนนี้ใจขาวหรือใจดำ กว้างหรือแคบ (กว้าง)  ขาวหรือดำ (ขาว)  หนักหรือเบา (หนัก)
หากอยากขึ้นฟ้า นอกจากต้องใจกว้าง ใจสะอาด ใจเบา แล้วเบาไหม (เบา)  เห็นยึดถือทุกอย่าง สิ่งนั้นก็ไม่ยอม สิ่งนี้ก็ไม่ยอม อย่างนี้เรียกว่า หนักหรือเบา (หนัก)  ตอนนี้มีความสุขหรือความทุกข์ ถ้าอยู่บนโลกแล้วทุกข์มากกว่าสุข นั่นก็แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ นั่นคือนรก เพราะนรกเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่สวรรค์เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างนี้ไม่ต้องถามแล้วว่าตายแล้วไปไหน
สวรรค์เป็นที่ที่มีธรรมหรือไร้ธรรม แล้วตอนนี้เรามีธรรมหรือไร้ธรรม มีเมตตา มีความซื่อตรง มีความเสียสละ มีจิตใจกรุณาปรานี เรามีแบบนี้ไหม นานๆ ถึงจะมีใช่ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ แค่นี้ ศิษย์ก็ดูตัวเองออกแล้วว่าชีวิตตัวเองจะไปทางไหน จะไปสุขหรือไปทุกข์ ไปนรกหรือไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของศิษย์ เมื่อรู้อย่างนี้อยากมีใจที่เป็นสุขไม่มีใจที่เป็นทุกข์กันบ้างไหม ถ้าอยากแล้วทำแบบไหน กลับไปทำแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต)  ทำไมอาจารย์เห็นหลายๆ คนหาเงินแบบลืมชีวิต หาเงินแบบไม่คิดชีวิต และบางคนหาเงินจนทำร้ายชีวิตก็มี หรือยิ่งหนักเข้าไปอีกคือทำร้ายชีวิตแล้วยังไปผูกเวรผูกกรรมก็มี นั่นแปลว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ในใจก็บอกอาจารย์ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินมันก็ตายนะ ตกลงจะเอาเงินหรือเอาชีวิต แต่ตอนนี้เอาเงินก่อน ชีวิตไว้ที่หลังใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  อาจารย์ขอเวลาสักช่วงหนึ่งสนทนาธรรมกับศิษย์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนนี้เผื่อจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้ศิษย์มองเห็นโลก เห็นชีวิตได้เข้าใจยิ่งชัดขึ้น เหมือนที่ตอนแรกศิษย์บอกว่า เงินกับชีวิตอะไรสำคัญ เราก็พูดได้ว่าชีวิตสำคัญ แต่บางครั้งเราหาเงินจนลืมชีวิต เราว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญแต่บางครั้งเรามัวสนใจอารมณ์ ความรู้สึกตนจนทำร้ายชีวิต ห่วงแต่ความรู้สึกว่าตัวเราทุกข์ แล้วก็ฆ่าชีวิตตัวเองให้ตายทั้งเป็น อารมณ์สำคัญกว่าชีวิตหรือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตกว่าชีวิตนั่นก็คือการยังมีลมหายใจเพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่บางครั้งความคิดสั้น ความคิดง่ายๆ ก็ทำร้ายชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตคือร่างกาย แต่ในชีวิตก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าจิตใจ เรามัวแต่บำรุงร่างกาย เรารู้วิธีบำรุงร่างกายให้ดีให้งดงาม แต่เราอย่าลืมบำรุงใจ มนุษย์มักสนใจเพียงกายภายนอกจนลืมสนใจจิตใจ เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่เข็มแข็ง ถ้าไม่มีจิตใจที่รู้จักคิด รู้จักเข้าใจชีวิต เราก็ไม่สามารถทำชีวิตภายนอกให้เติบโตได้ ฉะนั้นภายในก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเท่ากับภายนอก ถ้าเราสนใจแต่ภายนอก จนลืมดูแลภายใน เราก็จะพบทุกข์และแก้ไขทุกข์ไม่ออก
เคยเห็นไหมคนที่ใจสลาย เคยเห็นไหมคนที่ตรอมใจจนตาย ร่างกายของเขาก็ดีๆ แต่เพราะอะไรหรือที่เขาใจสลาย เพราะอะไรหรือที่เขาตรอมใจ เพราะอะไรหรือที่เขาทุกข์เจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิต เราไม่เคยฝึกจิตให้ยอมรับความจริงเลย ทุกขณะที่มีชีวิตเราเอาแต่ตามใจตัวเองตลอด สนองใจของตัวเองตลอด แล้ววันหนึ่งให้มายอมรับความจริง อย่างนี้ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาศิษย์ตามใจตัวเองมาโดยตลอด แล้วถ้าวันหนึ่งเจอเรื่องที่ขัดใจ เจอเรื่องที่ไม่ใช่กับใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้น ศิษย์จะทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  เมื่อไม่ทัน บางคนก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกเลย เพราะรับความจริงไม่ได้ อายที่จะต้องเจอกับความจริง แล้วทำไมตอนนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะฝึกใจของตัวเราเอง ฝึกใจที่จะยอมรับความจริงบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตามใจตัวเองมาเยอะ วันนี้ลองมาฝึกใจเรียนรู้ความจริง เพื่อให้ภายในเข้มแข็งและภายนอกแข็งแกร่ง
การยอมรับความจริงคือเรียนธรรมะ เรียนความจริงให้ฝึกฝนที่จะอยู่บนโลกความจริงนี้ให้ได้ ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่เรียนรู้รับความจริงได้แล้ว จะสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนพลิกผันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ทุกข์ ปัจจุบันนี้เราไม่คิดจะมองความจริง เรามองแต่สิ่งที่ตามใจ พอความจริงฟาดเข้ามาทีหนึ่ง เราก็ทุกข์ทีหนึ่ง พอเข้ามาหลายๆ ที ก็เกือบตายทั้งเป็น ถ้าเรารู้จักยอมรับความจริง ไม่เอาแต่โทษและไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็ไม่ทุกข์ แต่คนในโลก ชอบคิดว่าผู้อื่นทำเราลำบาก ไม่ยอมช่วยเรา แต่ลืมมองว่าตัวเรายึดติดความคิดตัวเราเองหรือไม่
ใจของมนุษย์ที่รับความจริงไม่ได้เพราะมนุษย์อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ความจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร และเราไม่เคยได้อะไร เมื่อถึงเวลาจะได้จะมีจะเป็นหรือจะไม่ได้จะไม่มีจะไม่เป็น ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความต้องการของมนุษย์กับความจริงมักตรงข้ามกันเสมอ มนุษย์ต้องมีต้องเป็นต้องได้ต้องยิ่งใหญ่ แต่การเรียนรู้ธรรมกลับทำให้เรายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยมี ไม่เคยเป็น และไม่เคยได้ ถึงที่สุดเราก็เล็กจนแทบไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะไม่ทุกข์ แต่มีมนุษย์กี่คนที่จะเข้าใจประโยคที่อาจารย์พูดตรงนี้
เรามีไปเรื่อยๆ มีก็เหมือนไม่มี เราพยายามจะเป็นคนเก่งเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถเป็นคนที่สำเร็จ แต่ยิ่งเป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น สำเร็จอย่างหนึ่งถึงเวลาอีกอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จ สำเร็จที่เคยคิดว่าเป็นแบบแผนของความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะใช้ได้อีก
ธรรมสอนให้เรารู้ว่า เรียนรู้ให้เป็น ให้มี แล้วอย่าไปเอา เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริงๆ เราว่าเรามีแฟน ถึงเวลาแฟน (ไปมีคนอื่น)  เราว่าเรามีเงินมากมาย ถึงเวลาตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  โมโห เกลียด ด่าเขา ถึงเวลาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เอาไปได้แต่ความเจ็บแค้นในใจ แล้วก็เผาใจ ทำให้ใจหนักและตกนรก แล้วควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  โกรธไปก็ไม่ได้อะไร หลงไปก็ไม่ได้อะไร แต่พอโกรธไป หลงไป แต่ได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเป็นของแถมคือ ตกนรก แต่ถ้าไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ยึดมั่น ได้ของแถมคือ ขึ้นสวรรค์
อาจารย์ขอถาม เราอยู่เพื่อให้หรือเราอยู่เพื่อรับ คนที่รับมาแล้วค่อยให้ กับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยรับมีแต่ให้ ควรเอามาก่อนแล้วค่อยให้ หรือควรจะให้ไปเลยแล้วไม่ต้องเอา (ควรให้ไปเลย)  ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ควรจะให้ไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะจะได้เบาที่สุด จะได้ไม่มืด ไม่หนัก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตของเราจะรับหรือให้ คนที่ไปรับมาก่อนแล้วค่อยให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม
ศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ)  แล้วเคยได้ยินไหม การถวายสังฆทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆ สังฆทานคือทางที่ไม่เจาะจง ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นถ้าเราอยากทำบุญที่ดีเราต้องถวายสังฆทาน เพราะเป็นทานที่ไม่เจาะจง ดังนั้นไม่ว่าจะกับใคร ศิษย์ก็ไม่เจาะจง ศิษย์ก็ให้ อย่างนี้ศิษย์ก็ได้ให้ตลอดชีวิตเพราะไม่เจาะจงว่าให้กับใคร ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน การให้นั้นได้ถอนความเป็นตัวตน ถอนความงง ถอนความงก ถอนกิเลส ถอนอัตตา ถอนความยึดติด คนดีเขาจะเลือกที่รักมักที่ชังไหม (ไม่) ถ้าคนที่ดีจริง เขาต้องทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเดินหนทางที่แท้จริง หนทางที่กลับคืนสู่ความจริง ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่า โลภไปแล้ว หลงไปแล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการให้ เราดำเนินชีวิตทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะเรามีความสุขที่ได้ทำงาน ความสุขเราไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ตำแหน่ง และศักดิ์ศรี ความสุขเราอยู่ที่ทำตัวเป็นคนให้ดีที่สุด
เราก็รู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วศิษย์อยากมีกรรมเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อศิษย์ไม่อยากมีกรรม แค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำงาน ได้ปลูกข้าว ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีความสุขแล้ว ความสุขมีอยู่ทุกวันที่ได้ทำงาน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ความสุขอยู่ที่การเอาเงินไปเที่ยว ความสุขอยู่ที่การได้รับเงินเดือน ความสุขอยู่ที่การได้กำไร ความสุขมีอยู่วันเดียว แต่ความสุขของอาจารย์มีทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตัวและไม่ผิดศีลธรรม อาจารย์มีสุขทุกวันแล้ว อาจารย์ต้องง้อใครไหม ว่าคนนี้ต้องให้ตำแหน่งอาจารย์ ต้องชมอาจารย์ อาจารย์ไม่ง้อแล้ว เพราะอาจารย์มีสุขทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ สุขเมื่อผู้อื่นชม แล้วเราไม่รู้คุณค่าตัวเองหรือ สุขเมื่อเลื่อนตำแหน่ง สุขเมื่อได้รับคำชมได้รับเกียรติ
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นหนทางกลับคืนสู่ฟ้า ฟ้าต้องการให้เราเบา ให้เราสูง ให้เรามีธรรม ให้เราให้ ฟ้าไม่เคยให้แล้วเรียกร้องผล ฉะนั้นอยากกลับสู่ฟ้า อยากเป็นใจฟ้า อยากมีใจธรรม ศิษย์ลองไปให้คนที่เขายากไร้มากๆ เราคิดว่าเราช่วยเขา เราให้เขาแล้วเขายิ้มและขอบคุณ เราได้สุขกลับมาทันที ป้าๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูขนาดนั้น หนูมีเยอะหนูเลยแบ่งให้ป้า เราคิดว่าเราช่วยเขาแต่ไปๆ มาๆ เขากลับ (ช่วยเรา)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ความสุขของพระพุทธะคือ การกระโดดลงไปช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์คือ ความสุขอย่างเห็นแก่ตัวที่นิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยใคร นี่คือใจเราต่างจากใจฟ้ายิ่งนัก เพราะเริ่มต้นเราไม่คิดจะให้ เราคิดแต่จะรับ ศิษย์รู้ไหมการให้คือ รากฐานแห่งความดีงามทั้งปวง ถ้าศิษย์ให้ไม่ได้ ศิษย์จะเมตตาใคร ยอมใครและซื่อสัตย์กับใคร ให้ได้ไหม (ให้ได้)  การให้ที่ง่ายที่สุดคือ ให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้น้ำใจไมตรี ให้ความซื่อตรง ให้ความน่าเคารพเชื่อถือ ให้ความน่าศรัทธา ให้เกียรติ แบบนี้ต้องเสียทรัพย์ไหม (ไม่เสีย)  ซื่อตรงได้ไหม ไม่ใช่ซื่อแต่ไม่ตรงนะ
เคยถวายสังฆทานกับคนไหม (เคย)  อะไรก็ถวายได้โดยไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ให้น้ำใจเขา ให้อภัยเขา ไม่เคืองโกรธเขา ไม่ผูกใจเจ็บเขา ให้เมตตาเขา นี่เรียกว่าให้ธรรม ทำได้โดยการให้ธรรมะเป็นทาน สร้างบุญแล้ว สร้างสังฆทานแล้วยังสร้างกุศล ได้ชำระล้างตัวตนไม่ยึดถือด้วย ฉะนั้นการเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วศิษย์ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าเรามีโอกาสเจอหน้าใคร เราจะให้อะไรเป็นทาน
(ให้โอกาสคนผิด)  ให้โอกาสคนผิดด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง (ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ ไม่ว่าคนนั้นเขาจะจริงใจหรือไม่จริงใจ (ให้อภัยและมีความเป็นมิตรกับทุกคน ให้อภัย ความรู้) ก่อนที่จะให้อภัยแปลว่า โกรธ ฉะนั้นถ้าพยายามให้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องพยายามอภัยใครเลย ยิ่งถ้าเราเมตตาเขามากๆ เรายังต้องให้อภัยใครไหม (ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น)  โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าสอนด้วยคำพูดอีก (ให้ความรักความเมตตา)  แต่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ รักแล้วต้องรักเท่าๆ กันถึงจะไม่บาป ไม่สร้างกรรม รักแล้วยึดติดก็ก่อเกิดทุกข์ รักแล้วต้องวางให้เป็นด้วย (ให้รอยยิ้ม)  รอยยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ปากยิ้มแต่ใจคดโกงไม่เอา ปากยิ้มแต่ตาแอบไปมองคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีความซื่อตรงจริงใจ
รู้จักให้เกียรติไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แล้วก่อนที่จะให้เกียรติผู้อื่น เราก็ต้องทำตัวเองให้น่าเคารพด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าเป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำให้ได้ด้วย จริงไหม (จริง)
(ความเมตตาและรักกัน)  แต่รักกันก็อย่ารักกันเฉพาะแค่พวกพ้อง ถ้าจะรักก็ต้องรักให้เท่ากันทุกคนใช่ไหม (ใช่)  (รู้จักบุญคุณคน)  แปลว่าทุกคนมีบุญคุณเราก็จะไม่นินทาใช่ไหม (ใช่)  (ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ เพราะถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ จงอย่าท้อ (ความรักความเมตตา)  ความรักนั้นต้องไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น (ให้รอยยิ้มและกำลังใจ)  บางครั้งก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนที่เขาผิดพลาดด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเจอโลกที่ไม่ยุติธรรมไม่ซื่อสัตย์แล้วเรายังจะให้อยู่ไหม (ให้อภัย)  ศิษย์เอ๋ยถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะให้อภัย แปลว่าลึกๆ แล้วศิษย์แอบโกรธเขาก่อน ไม่พอใจเขาก่อน ใช่ไหม (ใช่)  (ให้อภัยและให้ธรรมะ)  ธรรมะอะไรหรือ (ให้เขามาปฏิบัติธรรม)  สู้เราปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้เขาดูดีกว่า
(อภัยและรอยยิ้ม)  ถามจริงๆ ตอนที่รู้สึกต้องให้อภัยเรายิ้มออกไหมศิษย์ พยายามให้ความเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจให้มากที่สุด แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เพราะเขาผิดได้ เราผิดได้ เขาแย่ได้ เราแย่ได้เหมือนกัน (รักกันและชอบกัน)  แต่บางคนเหม็นขี้หน้ากัน ยังไม่ทันได้ชอบกัน ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ทำให้ได้อย่างนี้นะ (เขาไม่ดีเราต้องให้โอกาสและต้องซื่อสัตย์)  เราต้องอดทนให้ได้ในสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้น บางครั้งนอกจากให้คนอื่นเป็นแล้ว ศิษย์ต้องให้ใจตัวเองทำอย่างไรให้รับกับคนแบบนั้นให้ได้ ศิษย์อย่าลืมสังฆทานให้คนอื่น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง หนูจะต้องทนให้ได้ (ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)  ตอบได้ดี เพิ่งก้าวแรกเองไปรอดไหม เริ่มต้นทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้จักให้ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการยอมรับผู้คนที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
รู้จักถวายสังฆทานให้ผู้อื่น อย่าลืมสังฆทานให้ตัวเองด้วยนะ อดทนให้ได้กับสามีที่เป็นแบบนี้ เข้มแข็งให้ได้กับลูกที่เป็นแบบนี้ ยอมรับให้ได้กับเพื่อนที่เป็นแบบนั้น เมื่อเคลียร์ใจตัวเองได้ เราก็ยอมให้ได้ เขาไม่จริงใจแต่เราจะจริงใจ เขาไม่ดีแต่เราจะดี ให้รู้กันไปชีวิตนี้ดีไม่ได้แต่เราจะดีให้ได้ เราจะสู้และไปต่อ ก้าวแรก คือ “ให้”
ก้าวที่สอง คือ ต้องละชั่วให้ได้ ต้นเหตุแห่งบาปทั้งมวลล้วนก่อเกิดมาจากกิเลสที่เรียกว่า “โลภ โกรธ หลง” ถึงแม้เราจะขจัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ แต่ตัวต้นเหตุที่สร้างโรงงานโลภ โกรธ หลง คือ (ความคิด)  ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ้นกิเลสยังไม่สิ้นทุกข์ ตราบใดตัวสร้างทุกข์ยังคิดไม่เป็น ยังไม่มีสติยังไม่มีธรรมะพอ อย่างนั้นคนที่จะเดินขึ้นสวรรค์นอกจากให้แล้ว อยู่เพื่อสนองกิเลสหรืออยู่เพื่อลดละกิเลส (ลดละกิเกส)  เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยหล่อ ถ้าศิษย์จะก้าวต่อไปศิษย์ต้องละกิเลสให้ได้ ถ้าศิษย์ยังละกิเลส ละความโลภโกรธหลงไม่ได้ ศิษย์ก็จะก้าวต่อไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่เท่ากับความโลภ” ถ้ารู้จักพอก็สงบได้ รู้จักพอรู้จักหยุดก็หลีกหนีภัยพิบัติได้
แต่มนุษย์มีใครบ้าง มีแบงก์ร้อยแล้วไม่มีแบงก์พัน ได้เงินมาสนองกิเลสอารมณ์ แต่ครอบครัวแตกแยก ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีเพื่อนจริงเอาไหม (ไม่เอา)  มีบ้านมีรถครบครันแต่ลูกอยู่ทาง พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังคงผิดศีลขาดธรรม ศิษย์ก็จะไม่มีวันครอบครัวร่มเย็นได้ เมื่อละบาปได้ก็ต้องบำเพ็ญบุญ เมื่อเราไม่ผิดศีลแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องสร้างให้คนที่ดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป นั่นก็คือการมีคุณธรรมต่อกัน การมีคุณธรรมต่อกันทำให้ครอบครัวร่มเย็น ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่มีความซื่อตรงจริงใจกับใคร ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครรักไหม (ไม่มี)  อาจารย์ถามศิษย์เจอใครหล่อ สวย มองไหม (ไม่มองแค่เหล่ๆ)  หลงไหม (ไม่หลงแต่ขอดูอีกสักทีหนึ่ง)  ไม่ได้นะศิษย์ ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา เรายังอยากได้คนซื่อตรงแต่ตัวเราไม่ซื่อตรง เรายังอยากได้คนจริงใจไม่เอาเปรียบไม่เอาแต่ได้ แต่เราเอาเปรียบเอาแต่ได้ไม่จริงใจ ฉะนั้นก้าวที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้คือ หนึ่งต้องไม่เบียดเบียนทั้งตา กาย ใจ สองต้องไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา สามซื่อตรงจริงใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด คำไหนคำนั้นถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละก้าวที่สอง
ซื่อตรงไหม (ซื่อตรง)  เบียดเบียนไหม (ไม่เบียดเบียน)  จริงใจไหม (จริงใจ)  แน่ใจนะ อย่างนี้แปลว่ากลับบ้านไปจะไม่เบียดเบียนชีวิตของใครให้เป็นชีวิตของเราใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ก็แปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม เอาไหมอาจารย์ให้ ไม่กิน 3 อย่างเอง แค่ไม่กินสัตว์บนฟ้า สัตว์บนบก และสัตว์ในน้ำ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะได้รับผลไหม (ไม่รับ)  แล้วศิษย์ไปเบียดเบียนชีวิตของเขาเพื่อชีวิตของเรา แล้วศิษย์คิดว่าเขาจะไม่เบียดเบียนศิษย์กลับหรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในใจของศิษย์จำคนที่ด่าศิษย์ได้แม่นกว่าจำคนที่ชมศิษย์ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันกับที่ศิษย์ไปเอาชีวิตของเขา แล้วคิดว่าเขาจะไม่จำศิษย์ฝังใจหรือ แล้วศิษย์กินเขา คิดว่าเขาจะไม่แค้นศิษย์หรือ แล้วถ้าศิษย์ตบเขาแล้วเขาขอตบคืน คิดว่าเขาจะตบกลับเท่ากับที่ศิษย์ตบเขาไหม (ไม่)  เขาก็เอาคืนให้ศิษย์เจ็บที่สุด ถ้าศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็เอาคนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วทำให้ศิษย์ทรมานแล้วตายทั้งเป็น เอาแบบนี้ไหม (ไม่เอา)  จงไปคิดดูนะ
ละบาปบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญบุญด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา รักแค่ไหน ดีแค่ไหน ได้แค่นี้พอแล้ว ดีกว่านี้ก็ไม่เอา แต่มนุษย์ไม่ใช่มีแต่เรียกร้องให้เธอต้องดีกับฉันอีกนิด เธอไม่เหมือนเดิมนะ เธอต้องดีกว่านี้อีกสิ ใช่ไหม เพียงแค่คิดว่าเขาต้องดีกับเรา นั่นก็แปลว่า อยากได้ของเขามาเป็นของเรา แล้วเมื่อได้แล้ว เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  ฉะนั้นเมื่ออยากลดความโลภ ก็ต้องรู้จักพอ รู้จักหยุดเป็น
อาจารย์ถาม กิเลสอะไรที่ศิษย์อยากกำจัดทิ้งที่สุด (กิเลสตัณหา)  อายุขนาดนี้แล้วยังมีตัณหาอีกหรือศิษย์ อาจารย์ตกใจนะ ตัณหาแบบไหน ไม่ใช่แบบชายหญิงนะ ตัณหาคือ ความอยากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความโลภ)  ต้องไม่โลภ เพราะถ้าโลภมากจะเป็นเปรตนะศิษย์ (ใจเย็นมีสติ)  ทำอะไรอย่าใจร้อน (น้อยใจ, อย่าเห็นแก่ตัว)  ตัวโตทำไมขี้น้อยใจ กล้าตอบก็ตอบได้ดี บางทีน้อยใจที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบเลยน้อยใจ เราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเราเอาแต่เห็นแก่ตัว เราก็จะไม่มีน้ำใจให้กับใคร
(กิเลสตัณหา)  ยังเหลืออยู่หรือ (ยังเหลือ)  อายุเท่าไร (62 ปี)  ยังมีตัณหาอีกหรือ อายุขนาดนี้ไม่ควรมีแล้ว ควรจะต้องปลงและปล่อยวางได้แล้ว (ไม่โกรธมากลาภหาย)  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่า โลภมากลาภหาย (ต้องมีศีลห้าเป็นหลัก)  เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดคือ ศีลห้า คือความเป็นปกติ คนที่ไม่มีศีลห้าคือ คนที่ผิดปกติ แล้วชีวิตนี้ศีลห้าถือได้ครบไหม (ครบครับ)  แค่นี้ก็โกหกแล้ว ศีลห้าทำคนให้เป็นคนปกติ แต่ถ้าไม่มีศีลห้าก็ไม่ปกติ
(ไม่โลภ ไม่โกรธและไม่หลงตัวเอง)  ไม่หลงตัวเองหรือเพศตรงข้าม ต้องระวัง (ความใจร้อน)  ตอนนี้ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ไตร่ตรองให้ดี (กิเลสในใจเรา)  ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน มักคิดว่า ตนถูกเสมอ

ข้อที่สาม มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด จนไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งตัวตน เมื่อเข้าถึงสภาวสัจธรรม สัจธรรมจะสลายความเป็นตัวตนจนหมดสิ้น จนเข้าถึงสภาวะว่าง หรือเรียกว่า “ธรรมอันเดิมแท้”  แต่มนุษย์มักจะชอบใช้ความคิดความเข้าใจจนลืมมองความจริง ในโลกนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไหม คงอยู่ไหม ทุกสิ่งมีเหมือนไม่มี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราเข้าใจว่าสิ่งที่คงอยู่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราจะทุกข์กับมันไหม ถ้าวันหนึ่งหน้าเราจากดีๆ กลายเป็นเหี่ยว มีแขนขาครบกลายเป็นแขนด้วน วันหนึ่งชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วศิษย์จะทุกข์ไหม ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์มองแล้วเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์จะรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่คงที่ตลอด เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนเกิดการพลิกผัน ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องก้าวไปให้ถึงก็คือ พิจารณาธรรมแห่งความเป็นจริงจนบังเกิดความรู้แจ้ง และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ในใจตน นั่นแหละคือสิ่งที่ศิษย์ต้องพิจารณาให้เนื่องๆ ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หมั่นพิจารณาแล้วศิษย์จะเข้าใจในธรรมอันแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างแค่คงอยู่ชั่วคราว แล้วถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ระหว่างไฟกับน้ำอะไรน่ากลัวกว่า (ไฟ)  อะไรดีกว่า (น้ำ)  ถ้ามีแต่น้ำแต่ไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบไฟเหมือนความโกรธ ความเกลียด น้ำเหมือนความเมตตา จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เสียสละ เราอยู่ในโลกมีแต่น้ำไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ในโลกนี้มีแต่คนมีเมตตา ไม่มีคนน่ากลัว (เป็นไปไม่ได้)  เป็นไปได้ไหมที่ภูเขากับพื้นดินต้องเป็นระนาบเดียวกัน (ไม่ได้)  ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า สูงและต่ำ แล้วเราอยู่ระหว่างสูงกับต่ำได้ จึงเรียกว่า ชีวิต ถ้าคำชมเหมือนการขึ้นภูเขาสูง คำด่าเหมือนกับคนที่กดให้เรามาเหยียบพื้นดิน อยู่บนพื้นดินน่ารังเกียจสู้ไม่ได้กับการอยู่บนภูเขาสูงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะมีแต่พื้นดินไม่มีเขาสูง และมีเขาสูงไม่ยอมรับพื้นดิน (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แท้จริงแล้วโลกมีความเป็นกลางอยู่ แต่มนุษย์ยึดติดชอบชัง จึงรู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้แย่ แต่ถามจริงๆ คำด่าของเขาแย่ไหม (ไม่แย่)  คำด่าทำให้เราเห็นตัวเองชัด แต่คำชมทำให้เราลืมความจริงและหลงตัวเอง เหมือนที่ศิษย์ว่า “ไฟมันร้อนแต่ก็ขาดไฟไม่ได้ น้ำมันเย็นแต่ถ้าอยู่กับน้ำจนเกินไปก็ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น”  ธรรมะจึงสอนให้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรแย่ แต่สิ่งที่เรียกว่า ดี แย่ คือใจของศิษย์ที่ยึดติดแบ่งแยก แท้จริงแล้วฟ้าสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง เมื่อไรที่ศิษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลางได้ เมื่อนั้นบาปกรรมจะไม่เกิดขึ้นในใจศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาปกรรมและการเวียนว่าย เราอยากอยู่เพื่อทุกข์หรืออยากอยู่เพื่อสุข (สุข)  ในทุกข์ยังมีสุข ในสุขยังมีทุกข์ แล้วชีวิตนี้เราด้อยปัญญาจนหาสุขในทุกข์ไม่เจอหรือศิษย์ คนเราเข้มแข็งขนาดไหนยังต้องมีอ่อนแอ แต่อ่อนแอขนาดไหนเราหาความเข้มแข็งไม่ได้หรือ แล้วในความอ่อนแอเข้มแข็งเรากลับมาปกติ ไม่ต้องเข้มแข็งไม่ต้องอ่อนแอไม่ได้หรือ แล้วเราอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรัก แต่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นไม่ได้หรือ (ได้) ทำไมต้องรอให้ใครมารัก ต้องรอให้ใครมาเห็นค่าด้วย ตัวเองไม่เห็นค่าตัวเองหรือ สร้างสรรค์คุณงามความดีด้วยชีวิตตัวเอง ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง
ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนไม่มีใครหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ เพราะความเจ็บความตายมันทำให้ศิษย์เด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งมั่นว่าจะกลับคืนฟ้า และกลับสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่างเปล่า สังขารนี้ไม่ต้องห่วงมัน อยากตายๆ ไป รักษาใจดีกว่า ใจมันไม่มีกรรม ใจมันไม่มีอยากได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และกลับสู่ความจริงแท้ ถ้าชีวิตได้เดินกลับสู่ความจริง และทำให้เราว่างเปล่า ทำให้เราปลดปลง ทำไมต้องกลัวความจริงข้างหน้า สู้เข้มแข็งไปให้ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก ที่ไม่ต้องพึ่งใครแต่พึ่งตัวเอง เชื่อมั่นในความดีตัวเอง และนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยหัวใจความเป็นพุทธะ ด้วยใจที่แจ้งถึงความเสียสละ ถอนตัวตนจนหมดสิ้น กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ที่เป็นรากเดิมของใจศิษย์ อย่ามัวหลงกับโลภ กิเลส อย่ามัวหลงกับร่างกายอันไม่เที่ยงแท้ แต่ต้องตื่นขึ้น และเห็นความจริง ไม่มีอะไรเป็นของเรา และเราไม่เคยได้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร แค่กลับสู่ที่เดิมที่เรามา มีชีวิตไหนบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่กลับสู่ความว่าง ถ้ายังหลงมีอีกมันก็จะมีไม่จบสิ้น แต่ถ้าปล่อยความมีได้ กลับสู่ความว่างได้ นั่นแหละพ้นทุกข์โดยแท้จริง แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม
อาจารย์อยากให้ขวัญและกำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นก้าวต่อไป ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง หรือสังขารอันไม่เที่ยงแท้นี้ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่แจ่มชัด โลกนี้น่าหลงใหลนักหรือ ตัวตนนี้น่ายึดถือจนทิ้งวางไม่ลงเลยหรือ รักษากายใจและความมุ่งมั่นให้เด็ดเดี่ยว เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีแต่ให้ แล้วก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกหรือกับโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั้นคือความสุขที่สุด สุขที่เย็นที่สุด สุขที่พ้นทุกข์ที่สุด ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของหัวใจนี้ ลองดูนะ ลองนำธรรมไปพิจารณาให้เห็นแจ้งความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของเนื้อเพลง “ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ”)
“ทุกข์แค่ไหน ท้อแค่ไหน แค่ใจหลอก” ใจนั้นหลอกให้ไหลไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความท้อก็เป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่ง ทุกข์ก็เพียงแค่ช่วงหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงแท้ สำคัญที่ใจ อย่าให้ไหลไปตามอารมณ์ ต้องเป็นแบบใจเดิม ใจที่ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรจะเกิดก็กล้ารับได้ คำว่า “จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง”แปลว่า ยิ่งเราฝึกฝนบำเพ็ญมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า เรายังพร่องอยู่ เรายังไม่ดีอยู่ เราจึงต้องแก้ไขให้มากที่สุด
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ มุ่งมั่นในการทำความดีต่อไปนะ จิตที่อุทิศเสียสละคือจิตแห่งโพธิสัตว์ จิตที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น จิตที่ไม่กลัวความเหนื่อยยากคือจิตแห่งพุทธะที่ศิษย์ต้องรักษาให้ดี ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อนำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ เพื่อให้คนได้กินอิ่มมีสุข นี่คือจิตแห่งพุทธะ
เดินให้ถึงที่สุดนะ ไม่รักศิษย์ตรงนี้แล้วจะไปรักศิษย์ที่ไหนใช่ไหม
มีโอกาสคงได้กลับมาร่วมบุญศึกษาธรรมร่วมกันอีกนะ  อย่าปล่อยชีวิตให้ซัดเซพเนจร หลงโลก หลงกิเลส จนลืมมองความจริง อย่าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ จนลืมความจริงแท้ที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์เศร้า ทุกข์ของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพื่อช่วยเวไนย อย่าท้อ เพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ เข้มแข็งให้ได้นะ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา