แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมิงเอิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมิงเอิน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-09 สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์

西元二○一九年歲次己亥十月十三 日                                       仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒             สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ความจริงอันเป็นธรรมะ               ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู                     กล้าสู้ยอมรับความจริง
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                               ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
   เวลาในโลกมนุษย์                     สร้างวิมุตติ[๑]สุดประมาณ
หัวใจที่มีตะวัน                            ปัญญาญาณรู้วิธี
วุ่นวายในความสับสน                   กระวนกระวายใจนี้
ถึงปัญญาศรัทธามี                       สติใช้ต้องระวัง
ประโยชน์อำพรางความโลภ           ความโลภเมื่อไรกระจ่าง
ชีวิตซุกซ่อนความหลัง                  จะอยู่ธรรมมังอย่างไร
ปัจจุบันเชื่ออะไรอยู่                     รู้รู้มีอนุสัย[๒]
เข้าใจแบบไม่เข้าใจ                      ทำอย่างไรได้บำเพ็ญ
ฟังแล้วปราศจากธรรมะ                เสวนาควรงดเว้น
อคติความคิดเห็น                        คู่ซ้อมบำเพ็ญชั่วคราว
ไว้มารยาทนำกิริยา                      ไว้กายาไม่ก้าวร้าว
จงชั่งศีลธรรมเอา                        ครองเชาวน์[๓]พ่ายแพ้อย่างไร
บำเพ็ญไม่ยั้งอุปสรรค                   ธรรมมากกิเลสสลาย
ระวังเรื่องใจงมงาย                      สถิตในอารมณ์คน
รู้แล้วต้องปฏิบัติ                          สามารถแล้วอย่าสับสน
ปล่อยวางหัวใจกังวล                    อดทนในเรื่องธรรมดา
                                                                                                ฮา ฮา หยุด



[๑] วิมุตติ [วิมุด, วิมุดติ] น. ความหลุดพ้น; ชื่อหนึ่งของพระนิพพาน.(ป.; ส. วิมุกฺติ).
[๒] อนุสัย น. กิเลสที่สงบนิ่งอยู่ในสันดาน, กิเลสอย่างละเอียด มี ๗ อย่างได้แก่ ๑. กามราคะ = ความกำหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ = ความขัดใจคือโทสะ ๓. ทิฏฐิ = ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย ๕. มานะ = ความถือตัว ๖. ภวราคะ = ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา = ความไม่รู้แจ้งคือโมหะ. (ป. อนุสย; ส. อนุศย).
[๓] เชาวน์ [เชา] น. ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ. (แผลงมาจาก ป., ส. ชวน).

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ


ยังไม่เบื่อฟังธรรมะใช่ไหม หรือว่าตัดสินใจพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว (มา)  ตอนยังไม่พูดเราเป็นนายเหนือคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้วเราต้องทำตามสิ่งที่พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดอยู่ร่ำไป แล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จริงหรือไม่ (จริง)
“ความจริงอันเป็นธรรมะ      ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู              กล้าสู้ยอมรับความจริง”
ธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก อย่ามองธรรมะแค่เพียงการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามองธรรมะแค่เพียงการเป็นคนดี แต่แก่นของหลักธรรมะคือ ตื่นรู้ เข้าใจแท้จริง จนนำพาให้เราพ้นทุกข์
มีใครที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยไม่สูญเสียความดีงามในจิตใจ มีใครบ้างที่สามารถอดทนฟันฝ่าความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ใจได้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านยังทุกข์ ยังเจ็บปวด ยังอ่อนแออยู่ แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรมะที่แท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า “วางดาบพลันพบพระพุทธะ” อะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนแล้วเราชอบใช้ดาบมากกว่าใช้ความเป็นพุทธะ อารมณ์ความโกรธใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราวางอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตเรา ที่ทำให้เราควักดาบออกมาแล้วทำร้ายผู้คน เราวางเสีย เราจะพบความเป็นพุทธะ เราวางเสียเราจะพบความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าวางดาบได้ความเป็นพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จริงหรือไม่ (จริง)
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าทุกข์มันเกิดที่ตัวเรา ทุกข์มันอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แปลว่า ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ธรรมอยู่ในตัวเรา ทุกข์เกิดจากตัวเรา ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าตัวเรานี้เป็นทุกข์ ตัวเรานี้ก็พร้อมจะเป็นธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นเป็นที่สิ้นทุกข์พบพระนิพพาน ต่างกันแค่ชั่วขณะคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  วางดาบลงก็พบพุทธะ ชั่วขณะคิดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ กลายเป็นกิเลส กรรม เวียนว่าย ความทุกข์ แต่ชั่วขณะคิดได้ขึ้นมา กลายเป็นสิ้นกรรม หมดกรรม พ้นทุกข์ อยู่ที่แค่ชั่วขณะคิด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข พลิกใจไม่เป็นก็จมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครช่วยได้ ไปหลายวัดแล้วทุกข์ก็ไม่หมดจากใจ จริงไหม (จริง)
เราถามคำถามท่านว่า ถ้ามีอาจารย์ที่มีความรู้ แต่ไม่เคยคิดจะสอนวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับผู้อื่นเลย พออาจารย์ท่านนี้จากไป ความรู้ก็หมดไป จริงไหม (จริง)  ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องลงมา นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าท่านรู้แล้ว แต่ไม่บอกต่อ และปล่อยให้ความรู้นั้น บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อนแล้วไม่สอน ท่านว่าใจร้ายใจดำหรือไม่ เหมือนพวกหวงวิชา เหมือนพวกเก็บความรู้ไว้กับตัวเองคนเดียว ฉะนั้นจะมาบอกว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมาสอนทำไม ก็คงเป็นแบบเดียวกันว่าทำไมอาจารย์ต้องถ่ายทอดความรู้ เพื่อจะได้ให้ความรู้นั้นไม่หายไป และความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่สามารถนำพาให้เราอยู่บนโลก แต่ไม่ต้องทุกข์ ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ พุทธะกับกิเลส หรือความทุกข์กับธรรมะ ต่างกันแค่ชั่วขณะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความไม่รู้แสดงออกซึ่งกิเลส ตัณหา เวรกรรม แต่ความรู้แสดงออกซึ่งพุทธธรรม แล้วรู้อย่างไรจึงเรียกว่าธรรม แล้วไม่รู้อะไรจึงเรียกว่า กิเลส กรรม และความทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ เพราะความไม่รู้จึงแสดงออกเป็นกิเลส เพราะความตื่นรู้จึงแสดงออกเป็นธรรม รู้หรือไม่รู้ จึงแสดงออกต่างกัน หากเราสามารถรู้ได้ กิเลสก็จะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมก็จะกลายเป็นกิเลส
มนุษย์เราทุกข์เพราะความอยาก เวลาอยากแล้วไม่สมหวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  เวลาอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้แก่ใจไหมว่า มีโอกาสได้และมีโอกาสไม่ได้ มีโอกาสสำเร็จและก็มีโอกาสล้มเหลว รู้ไหม (รู้)  อย่างนั้นเวลาล้มเหลวทุกข์ไหม (ทุกข์)  นี่ไง รู้แต่ไม่ยอมทำตัวให้รู้ ถ้าเราระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เราจะอยากได้นั้นมีโอกาสได้และไม่ได้ ได้แล้วก็ดีใจ แต่เมื่อไม่ได้ จะทุกข์ไหม ก็รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสได้และไม่ได้มีเท่ากัน จริงไหม (จริง)  เรารู้อะไรที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเราไม่รู้อะไรที่กลายเป็นความทุกข์ เราทุกข์เพราะเราสูญเสีย เราเสียใจที่เราสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราถามว่า รู้ไหมว่าอยู่ในโลกจะต้องสูญเสีย รู้ไหมว่าถ้าอยู่กับใครแล้วเราต้องพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา (รู้)  ถ้ารู้แล้วถึงเวลาสูญเสียทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้แต่เลือกที่จะไม่ยอมรับรู้
ทุกครั้งที่ท่านได้มาล้วนต้อง (สูญเสีย)  เสียเวลาไหม เสียเงินไหม (เสีย)  แล้วได้ไหม (ไม่ได้)  หลอกตัวเองว่ารู้ หลอกตัวเองว่าได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เสียหรือได้ (เสีย)  เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเงิน เงินที่ได้มาก็ไม่เคยอยู่กับเราเลย ถึงที่สุดเราก็ต้องเสียไหม (เสีย)  เราไม่ได้อะไร แล้วเราเสียอะไรไหม คิดให้ดีๆ ถึงที่สุดมีเงิน มีความรู้ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มียศถา มีบ้าน มีอะไรมากมาย ถึงเวลาจริงๆ ของใคร รู้ไหม (รู้)  รู้แล้วจะทำผิดไหม รู้แล้วจะทุกข์ไหม รู้แล้วจะเหนื่อยแทบตายเพื่อได้มาไหม เมื่อใดที่ท่านยอมรับว่าตัวเองรู้ ท่านจะพบธรรม แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้ ท่านก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วหลอกตัวเองให้ทุกข์อยู่ร่ำไป
แล้วท่านเคยได้ยินไหม ถ้าของจะเป็นของเรา ยังไม่ทำอะไรก็ได้มา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำแทบตาย เจ็บแทบตาย ยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเรา เรารู้ไหม (รู้)  เราทุกข์เพราะโดนเขาทำร้าย เราทุกข์เพราะเขาสวยกว่า เราทุกข์เพราะเขารวยกว่า เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วรู้ไหมว่าในโลกไม่มีใครไม่โดนว่า ก็รู้ใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงที่หน้าตาสวยๆ รู้ไหมว่าในโลกนี้สวยอย่างไรก็มีคนสวยกว่า ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ขอถามฝ่ายชาย ท่านมีครบหมดทุกอย่าง บ้าน รถ หน้าตาดี แต่ถึงเวลามีคนที่มีบ้านเยอะกว่า เงินเยอะกว่า หน้าตาดีกว่า แล้วเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และถึงแม้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เราทุกข์ไหม (ทุกข์ )  บางคนอวัยวะยังมีไม่ครบสามสิบสองเลย ถ้าเราตรองให้ดีๆ เรารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราพูดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกข์เมื่อเทียบกับคนที่แย่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  วันนี้เราโดนเขาว่า ถ้าเทียบกับอีกสองสามวันข้างหน้าเราจะโดนเขาว่าหนักกว่า วันนี้เราคงหัวเราะที่โดนเขาว่าแค่นี้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราควรทุกข์ไหม (ไม่)  ทำอะไรจะไม่มีการโดนว่า เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คนๆ หนึ่งมีดีบ้างก็ต้องไม่ดีบ้างเป็น (ธรรมดา)  สิ่งที่เขากระทำต่อเราเขาก็อาจจะไม่ดีบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่บางทีผ่านไปสองสามวันเขาอาจจะมาทำดีกับเราก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  หรือไม่ก็ทำไม่ดีกับเราตลอดชีวิต เช่นนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
สัจธรรมมีอยู่ในทุกชีวิตและมีอยู่ในตัวเรา เราดี เราไม่ดี เรารู้ จริงไหม (จริง)  บางทีเราก็โลภจนน่ากลัว บางทีก็ขี้บ่นจนน่าใจหาย บางทีก็เห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบหา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร เรายอมรับไหม (ยอมรับ)  เราขี้เกียจไหม เราชอบเอาเปรียบไหม เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่ละคนเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่ก็ไม่อะไรที่ต่างกันจริงไหม (จริง)  บางทีเราขยัน เขา  ขี้เกียจ บางทีเราขี้เกียจ เขาขยัน แล้วทำไมไปว่าคนอื่นขี้เกียจ ธรรมะจึงสอนว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่รู้ข้างนอก แต่รู้ธรรมที่แท้จริงภายในอันทำให้เราพ้นทุกข์ และความจริงนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่เราย้อนมองและยอมรับธรรมนั้นในตัวเราหรือไม่ ถ้าตามหลักธรรมะก็จะสอนว่า เมื่อเวลาเจอเรื่องราวอะไร จะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ รู้แล้วว่ามีคนดีและคนไม่ดี คนมีได้ มีเสีย รู้แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทำสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีศีล มีศีลก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิแล้วก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องอะไรมา สมมติโดนเขาว่ามา รู้ไหมว่าการถูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และช่วงที่เป็นธรรมดานั้นเกิดคิดได้ สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ตรวจสอบตนเองแล้วไม่ผิดในศีล ไม่ผิดในธรรม สงบ ไม่หวั่นไหว มีปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง การที่โดนเขาว่ามันจบทันทีเลย ไม่เกี่ยวกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โดนเขาว่ากลายเป็นพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่โดนเขาทำร้ายกลายเป็นตื่นรู้ในความเป็นจริง ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่ตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้วแค่แสดงออกภายนอก แต่สามารถสงบและจบลงที่ใจด้วยความเป็นปกติ หรือรักษาความเป็นปกติของใจได้ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทุกครั้งที่ถูกกระทบไม่ว่าจะก่อเกิดเป็นกิเลสหรืออารมณ์ ลองยั้งสติคิดดูว่า สิ่งที่เราโดนกระทบลึกๆ เรารู้ไหม (รู้)  ถ้าไม่ยอมมันก็กลายเป็นทุกข์ แต่ถ้ายอมรับ ทุกข์ก็จะแปรเป็นสุขได้ แปรเป็นธรรมะที่เข้าใจความจริงได้
อะไรหนอที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความเป็นจริง ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นเราก็รู้ ความจริงอันเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอ จะทำให้เราไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างหนอ พอตอบได้ไหม
(ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  มีแล้วดีไหม (ไม่ดี)  แล้วมีไหม (มี)  เรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถแปรสิ่งที่รู้ กลายเป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ เราขาดสติไหม เราขาดความเข้าใจในความเป็นจริงอันแจ่มชัดหรือไม่ เราชอบตามอารมณ์มากกว่าตามความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่เป็นความถูกต้องเราไม่เคยตาม อะไรที่เกิดอารมณ์เราวิ่งไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรมากระทบ ก่อนที่จะวิ่งตามอารมณ์ เราลองหยุดสักพักหนึ่ง แล้วลองหันไปมองความจริง ทำอะไรด้วยสติ แล้วลองหันไปมองความจริง เราจะตามอารมณ์ไหม
คนข้างนอกทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้ตัวเราทุกข์เอง (เราทำทุกข์เอง)  แต่ถึงเวลาเราแก้ที่คนข้างนอกหรือเราแก้ตัวเอง (คนข้างนอก)  เรามักบอกให้คนอื่นแก้แล้วก็อ้างว่าตัวเองหวังดีปรารถนาดี ใช่ไหม (ใช่)  เราหวังเป็ดให้กลายเป็นหงส์ ได้ไหม (ไม่ได้)  เราหวังเป็ดให้ขายาวเหมือน นกกระยางได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  และอาจจะยังเป็นอยู่ถ้ามีลูกหลาน และอาจจะเป็นอยู่ถ้ายังมีความหวัง ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกลับมาดูให้ชัดว่า อะไรที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความจริงได้ สิ่งนั้นเริ่มที่นี่ สิ่งนั้นเกิดที่นี่ สิ่งนั้นทุกข์ที่นี่ สิ่งนั้นก็ต้องจบที่นี่ เขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาว่า หรือเราทุกข์เพราะเราไม่อยากโดนว่า (ทุกข์เพราะไม่อยากโดนว่า)  เราทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดเราเอง เขาว่าเราคำพูดเขาจบแล้ว แต่เรายังเจ็บอยู่ เราเจ็บเพราะเอาความคิดมาเชือดเฉือนเรา และเรารู้ไหมว่าเราเจ็บเพราะความคิด (รู้)  แล้วแก้โดยไปไหว้พระเก้าวัด หายไหม (ไม่หาย)  ไปบนร้อยวัด หายไหม (ไม่หาย)  จะหายต้องแก้ที่ตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาได้เพราะความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นตัวตน ตัวตนคือผลิตภัณฑ์ของความคิด ความรู้ ความเข้าใจและตัวเราเป็นผู้ผลิตความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่คิดตีกรอบชีวิตเรา อะไรเราก็ยอมรับ อะไรเราก็ยอมได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่โดยส่วนใหญ่คำว่าตัวตนของมนุษย์ทุกคน มักตีกรอบว่า จนไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ด่าไม่ได้ แพ้ไม่ได้และทำไมต้องให้คนอื่นก่อน เมื่อคิดแบบนี้ก็ทุกข์ แค่คิดว่าโดนว่าไม่ได้ ให้ไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัวแล้ว แค่คิดว่า ต่อว่าไม่ได้ ยอมไม่ได้ ก็แล้งน้ำใจแล้ว และในความคิดนี้เมื่อฝังอยู่ในตัวเรา เมื่อฝังแล้วด่าเมื่อไหร่ก็เจ็บ และเมื่ออยู่ในตัวเราแล้วว่าอย่างไรก็ทุกข์ แต่ถ้าตัวเราไม่มีความคิดนี้ ด่าได้ไม่เป็นไร ทุกข์ได้ไม่เป็นไร สูญเสียได้เป็นธรรมดา เราจะทุกข์ไหม สิ่งที่ทำให้เราไม่เห็นความจริงและไม่สามารถตื่นรู้ในธรรมะได้ คือความคิดที่ตีกรอบปิดบังความจริง ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้เราทุกข์ รักแล้วต้องรักเลย รักแล้วห้ามจากไป ตัวเรากำหนดเอง แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แล้วต้องมีแต่ได้ แล้วก็ต้องได้อีก ห้ามสูญเสีย ห้ามขาดทุน เป็นไปได้หรือ (ไม่ได้)  แล้วใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเรา)  ฉันต้องสวย ฉันต้องเลิศเลอ ฉันต้องดีงาม เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นอย่าลืมหันไปมองความจริงบ้าง อย่าเอาแต่ตามใจตัวเอง เพราะการตามใจตัวเองและปลูกฝังความคิดการตามใจตัวเอง ผลที่สุดคือ หนีไม่พ้นทุกข์ และน่ากลัวที่สุดคือ วิบากกรรมที่ทำให้หนีไม่พ้นอบายภูมิ แต่การเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริง ผลที่สุดคือกลับคืนสู่สภาวธรรมและพ้นทุกข์นิจนิรันดร์
หนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ้นทุกข์ และสิ้นกรรม อยู่เพื่อใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ฉะนั้นอยากให้ดี ตามความคิดหรือตามความถูกต้อง (ความถูกต้อง)  มองอย่างคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ตีกรอบคับแคบ หรือเปิดใจกว้าง (เปิดใจกว้าง)  กล้ายอมรับความจริงไหม (กล้า)  เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดี แต่แก่นหลักของการเรียนรู้ธรรมคือ นำพาตัวเองตื่นรู้แล้วพ้นทุกข์ด้วยธรรมในใจตน ไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ได้นอกจากตัวเอง ไม่มีใครปลุกให้เราเข้มแข็งได้นอกจากหัวใจเราเอง หัวใจที่เข้าใจความเป็นจริง อยากเข้าใจคนอื่น แต่ไม่เข้าใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ อยากจะเป็นแบบคนอื่น แต่ยังไม่เข้าใจแบบที่ตัวเองเป็นก็ น่าเสียดาย เกิดเป็นคนอย่าลืมรากเหง้าของตนเอง เรามีรากเหง้าเหมือนกันคือธรรมะ และถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรมะ ถ้าเราเอาแต่ยึดตัวตน ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม แต่ถ้าเราสามารถวางตัวตนได้กลับคืนสู่สภาวธรรมได้ นั่นเรียกว่าพระนิพพาน ไม่ยากเลยนะ แค่เราไม่ยอมรู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรู้ธรรมในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน เวลาเจอใคร อยากให้เป็นบุญหรือเป็นกรรมร่วมกัน (เป็นบุญ)  อยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จริงไหม (จริง)  เวลาเจอใครว่า เราอยากให้สิ้นบุญหรือว่าอยากให้สิ้นกรรม (สิ้นกรรม)  อย่างนั้นเขาต่อว่าเราก็โต้ตอบเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไตร่ตรองให้ดี เราเจอเขาแต่ทำไมคนอื่นไม่เจอเขา เพราะมีกรรมร่วมกันมา รู้ไหม (รู้)  แล้วจะอยากมีกรรมต่อไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอยู่กันอย่างมีธรรมเราก็จบกรรม แต่ถ้าอยู่กันอย่างมีกรรม เราก็ไม่มีวันสิ้นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รักษาโอกาสและเวลาของชีวิตให้ดี อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดและทุกข์เพราะการสูญเสีย รักษาเวลาตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับเขาอย่างมีความสุขที่สุด อยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒         สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อันหลักธรรมแก่นแท้มีหนึ่งเดียว    จงขับเคี่ยวตนเองดั่งน้ำงวด
ไม่ต้องสนใครเป็นเพชรใครเป็นกรวด คนยิ่งยวดเมื่อเข้าถึงสภาวธรรม
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม
   
    ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
    *หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
**ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**)

    **แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้
ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าปล่อยให้จิตมัวหมองเพราะกิเลสตัณหาในใจเรา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมัวหมองไปเพราะความหลง ความโลภ ความไม่เที่ยง ศิษย์บริสุทธิ์ได้ แล้วทำไมไม่รักษาให้มันแกร่งดั่งเพชร
อยากมีชีวิตอิ่มเอิบก็ยิ้มเข้าไว้ ทุกข์อย่างไรก็ต้องยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง มีแต่รอยยิ้มที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีที่สุด ถ้าเรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่ทุกข์ที่สุด เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด เรายังยิ้มได้ เรายังสู้ไหว จะมีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่
อย่ากลัวความจน อย่ากลัวลำบาก แต่ควรกลัวใจที่ไม่ยอมสู้กับความจน ใจที่ไม่สามารถเอาชนะความลำบากได้ อย่ากลัวคนอื่นดูถูก แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบดูถูกตัวเอง อย่าไปกลัวคนอื่นกดขี่ข่มเหง แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบกดตัวเองให้ไร้ค่า อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนที่น่ารัก นอกจากยิ้มเก่งแล้วอย่าเป็นคนยกตนข่มท่าน อย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์แล้วตัดสินคนอื่นว่าคนอื่นผิด ตัวเองถูก สิ่งที่ไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น สิ่งที่เราไม่อยากได้ก็อย่าไปทำกับคนอื่น
พระพุทธะสอนให้เราไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว แต่เป็นคนดีแล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ไร้ปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราทำอะไรอยู่บนโลกแล้วต้องรู้จักใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเอาแต่เชื่ออย่างงมงาย อย่าเอาแต่เชื่ออย่างที่เขาว่าตามกันมาแล้วเราก็ทำตามไป แต่เราต้องมีปัญญาด้วย ทุกเรื่องราวต้องเอามาทำให้เราสูงขึ้น ไม่ใช่กดเราต่ำเตี้ยลง นี่ถึงจะเรียกว่าคนมีปัญญา แล้วทุกวันนี้ชีวิตเรายกให้ตัวเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เอาเรื่องราวมาทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง
ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม (สบายดี)  บางทีคำว่าสบายดีของชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ออกมาง่ายๆ จะพูดคำว่าสบายดีได้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสบายจริงๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย ไม่มีที่พึ่งไหนประเสริฐที่สุดเท่ากับที่พึ่งของคนที่รู้จักมีปัญญาปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว รู้จักผู้อื่นไม่มีประโยชน์เท่ารู้จักใจตัวเอง และพื้นฐานของการเข้าใจชีวิตตัวเอง ก็เมื่อเจอเรื่องราวอะไร หันกลับมาย้อนดูตัวเอง และรักษาความสมดุลให้ได้
คนเมื่อยามทุกข์ คนเมื่อยามเจ็บ เรียกว่า คนเสียศูนย์  แต่ธรรมะคือความสมดุลอันเป็นกลางและเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์เพราะเสียศูนย์ ก็ต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งให้กลับมาสมดุลและเข้าใจความจริงอันเป็นกลางความเป็นจริงอันสมดุลทำให้เราอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข      ถ้าเมื่อไรที่มองคนอื่นมากจนเจ็บปวด ลองลดการมองคนอื่นแล้วหันมามองตัวเองว่าดีกว่าเขาแล้วหรือยัง เมื่อไรที่ทุกข์มากๆ ลองมองให้ดีว่า มีทุกข์แล้วไม่มีสุขเลยจริงหรือ เมื่อไรที่มนุษย์หาความสมดุลในชีวิตได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ แต่เราจะอยู่อย่างคนกลมกลืน สอดคล้องในธรรม
เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะศิษย์มักบอกว่าไกลเกินตัว เพราะตายแล้วก็จบกัน  ธรรมะก็ไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีก็ไม่ต้องกังวล ตายแล้วจบไหม     (ไม่จบ)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า การกระทำวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกคนจำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีแม่นกว่ากัน (สิ่งที่ไม่ดี)  ใครทำดีจำได้ไหม (ไม่ได้)  ใครทำไม่ดีจำได้ไหม (จำได้)  อย่าบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง เมื่อไรที่มนุษย์จำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดี โอกาสที่มนุษย์จะผูกเวรจองกรรมก็เป็นเรื่องง่าย และโอกาสที่เราจะแก้แค้นก็เป็นเรื่องง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าตอนเกิดยังไม่สิ้นทุกข์ ตอนตายก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ตอนเกิดยังเต็มไปด้วยความโลภ ความเศร้า กิเลสเต็มตัวไปหมด ตอนตายจะสิ้นทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ต้องสิ้นทุกข์ก่อนตาย ตายไปถึงจะหมดทุกข์ แล้วเราสิ้นทุกข์หรือยัง หมดทุกข์หรือยัง (ยัง) 
อย่างนั้นเราควรจะทำอะไรเผื่อก่อนตายไหม (ความดี)  ถ้าชีวิตต้องมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ เราควรจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาชดใช้ดีไหม (ดี)  แล้วถ้าชีวิตหนึ่งเผื่อสิ้นทุกข์ได้ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูบ้าง แล้วเราคิดว่าเราสิ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  อยากจะอยู่ในโลกให้สิ้นทุกข์ได้ เราต้องมองทุกอย่างในโลกอย่างที่คนมองแล้วเห็นชัด แล้วทำให้เราไม่เจ็บปวดได้เลย ถึงจะเรียกว่าคนที่สามารถเข้าใจชีวิต มีแฟนเราก็ทุกข์ มีเงินก็ทุกข์ มีเสื้อผ้าก็ทุกข์ มีรองเท้าก็ยังทุกข์ มีผมดำแล้วกลายเป็นผมขาวทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีอะไรที่ไม่ทำให้ทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี)  มีเงินแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมง่ายๆ มีเหมือนไม่มี แต่เรามีแล้วเหมือนไม่มีไหม มีเงินอยู่ในธนาคารหนึ่งหมื่นบาทถามว่ามีไหม (ไม่มี) เพราะถ้ามีแล้วจะเอาอีกไหม (ไม่เอา)  แต่บอกว่าไม่มีทุกทีทั้งที่จริงๆ มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกข์เพราะมีหรือไม่มี (มี)  ฉะนั้น ถ้ามีแล้วทุกข์ก็คิดว่ามีก็เหมือนไม่มี มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกมีได้ ถ้าใจยังไม่พอ ถ้าใจยังไม่สุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีความสุข จงคิดว่า ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว ส่วนที่เหลือจะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รักษาความสมดุล มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ฉะนั้นอย่าลืมความสมดุลของจิตใจ อย่าคิดว่าตัวเองขาดแคลน จนลืมว่าตัวเรามี อย่าคิดว่าตัวเองมีจนขาดแคลนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ใจเพราะตัวเองที่ถูกความคิดครอบงำ ตายเพราะความคิดตัวเอง ทำไมฉันยังไม่มี ทั้งที่จริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ก็เรียกว่ามีแล้วนะ
มนุษย์มีทุกข์กับสิ่งที่มี และทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี อะไรที่ทำให้เราเห็นว่ามีแล้วทุกข์ ก็หลับตาแล้วคิดว่า มีก็เหมือนไม่มี เหมือนอะไรที่เห็นมาก รู้มาก เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่เห็น ไม่รู้ รู้จักสามีมาก็นานแล้ว ทำไมสามีถึงทำกับเราอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  สามีเองก็รู้จักภรรยา แต่ถึงเวลาภรรยากับสามีต่างก็ทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตที่เราคิดว่าเรารู้ชัด เห็นชัด คนที่เรารู้จักเขาดี ทำอะไรที่เราไม่คาคคิดได้ไหม (ได้)  แล้วชีวิตสามารถพลิกจนเรานึกไม่ถึง เป็นไปได้ไหม แล้วทำไมไม่เผื่อใจบ้าง เวลาชีวิตเจอทางตันจะได้มีสติ ว่าชีวิตมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ขึ้นชื่อว่าชีวิต อะไรมันก็เปลี่ยนได้ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้บางครั้งก็อาจจะ (ไม่รู้)  สิ่งที่ศิษย์เข้าใจ บางครั้งศิษย์ก็อาจจะ (ไม่เข้าใจ)  เพื่อรักษา (ความสมดุล)  และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่จิตรักษาความเป็นปกติได้ นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความแตกต่างที่เรียกว่า สภาวะคู่
โลกนี้มีภาวะคู่ มีดำก็มี (ขาว)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มีทุกข์ก็มี (สุข)  มีล้มเหลวก็มี (สำเร็จ)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรหวังแต่สำเร็จไม่ให้ล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไหร่ที่คิดอย่างนั้นศิษย์กำลังจะทำให้ตัวเองเสียศูนย์ในความเป็นจริง และหลงลืมความเป็นจริงที่เรียกว่า สภาวธรรมอันเป็นกลาง
ศิษย์เอ๋ย เกิดมาทั้งทีอย่าอกหักแล้วตาย อย่าจนแล้วฆ่าตัวตาย อย่าล้มละลายแล้วผูกคอตาย น่าเสียดาย จริงไหม (จริง)  เอาให้อกหัก ล้มละลาย ยากจน ชดใช้ให้ครบ ก่อนจะตายถ้ายังไม่ครบอย่าเพิ่งตาย ให้รู้หมดทุกรสชาติ จะได้เกิดมาไม่เสียเปล่า ยากจนก็เคย ล้มละลายก็เคย แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ น่าภูมิใจนะ การเกิดเป็นคน ประเสริฐที่สุด สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ สามารถทำให้ถึงคำว่า “มรรคผลพระนิพพาน” ได้ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ถึงแม้จะผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ถ้าเราทุกข์แล้วจะทำอย่างไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ทำได้ด้วยการเอาธรรมะมาใช้ (รู้ทันใจตัวเอง, ความเป็นจริงของชีวิต, การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา) 
(พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกทับทิมขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
ศิษย์เคยใช้อะไรอย่างหนึ่งมาทำให้เห็นในใจตัวเองไหม เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนเห็นอีกสิ่งหนึ่ง 
เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนตัวตนและเห็นสิ่งหนึ่ง เห็นมากกว่าเห็น เหมือนเราเห็นทับทิมลูกหนึ่งเราสามารถเห็นได้ถึงความทุกข์ยากลำบากกว่าจะปลูกอันนี้มาได้ เราเห็นถึงน้ำตา เห็นถึงการสูญเสีย เห็นถึงการหลอกลวง เห็นทั้งหยาดเหงื่อแรงงาน เรามองเห็นไหม (เห็น) แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าอาจารย์ถามว่ากินทับทิมอันนี้อร่อยไหมก็น่าจะอร่อย แต่คำว่าน่าจะอร่อยมันมีไม่อร่อยไหม (มี) ฉะนั้นถ้าเราซื้อแล้วเราคาดหวังว่ามันจะอร่อย แล้วก็ยึดติดว่ามันจะอร่อย คนที่ยึดติดและคาดหวังก็คือคนที่สร้างกรอบให้ตัวเองทุกข์โดยง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้ว่าอันนี้มันคือทุกข์ แล้วเราเห็นชัด แล้วเราไม่เป็นทุกข์กับมัน เราแค่เห็น แล้วไม่เอามาใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่ทุกครั้งที่เวลาทุกข์มา เราหยิบมาใส่ใจทันที “ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่รู้ว่าเป็นทุกข์ จงมีสติยั้งคิด จงมีธรรมะยั้งใจว่าเราจะเป็นแค่ผู้เห็น แต่ไม่ไปเป็น” ธรรมะนี้เป็นธรรมะขั้นสูงนะ เพราะต้องฝึกที่จิตใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ยังไม่เห็นใครทำได้อย่างนี้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหม ถ้าตอนนี้เราเห็นมันเป็นทุกข์และเราเห็นใจตัวเราเองด้วย ประเมินใจตัวเองได้ ไม่ไหวแน่ ไม่รับ ไม่เอา แล้วเราหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)
ศิษย์ส่วนใหญ่ใครโกรธมาก็โกรธกลับ ใครด่ามาก็ด่ากลับ แรงมาก็แรงกลับ อาจารย์จะบอกว่า ผู้เข้าถึงธรรมจะสามารถทั้งเห็นและไม่เห็น จะเห็นทั้งข้างนอกและสามารถสะท้อนถึงข้างใน นั่นเรียกว่า ฝึกฝนบำเพ็ญจนเกิดปัญญา อะไรก็ลวงให้หลงไม่ได้อีกต่อไป ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เมื่อไรจะทำสักที ตกเป็นทาสของความคิดทุกที ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่ให้เป็นทุกข์นะศิษย์ ทั้งอยากและไม่อยาก เผื่อใจไว้ศิษย์ รักษาสมดุลในใจไว้ ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ฉันเข้าใจตัวเองว่า ฉันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมก็พอ ส่วนใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา เราถูกต้องเป็นพอ จริงไหม (จริง) สิ่งที่มันธรรมดา มันกลายเป็นสิ่งที่อยากและไม่อยากได้ด้วยหัวใจของมนุษย์ กินแล้วสุขมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ที่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) 
อะไรในโลกที่ศิษย์มีสุขมากแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ตัวเราสุขมากเท่าไหร่ ตัวเราก็เจ็บมากเท่านั้น เรารักสามีมากเท่าไรก็เจ็บมากเท่านั้น เงินทองหามาเหนื่อยแทบตาย ยิ่งหามากก็ยิ่งเจ็บมาก แล้วเอาไหม (เอา)  สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือทุกข์จากความเป็นจริงที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ใครหนีความแก่ หนีเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) 
ฉะนั้นควรดีใจกับความเป็นจริง (แก่,เจ็บ,ตาย) เพราะเมื่อไรที่จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในความแก่ เจ็บ ตาย เมื่อความแก่เจ็บตายมาถึงจะได้ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรใจเราตีกรอบ อย่าแก่ พอแค่โดนทักหน่อยว่าแก่แล้ว พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความทุกข์ทีศิษย์เป็นคนสร้างแล้วตีกรอบให้ตัวเองยิ่งทุกข์นั่นคือ “ห้ามทุกข์ ห้ามล้มเหลว ห้ามโดนด่า ห้ามอกหัก” เป็นทุกข์ที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง ตีกรอบยึดมั่นว่าห้ามทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วในใจเรามีสิ่งนี้อยู่ไหม (มี)  แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นแล้วควรจะมีไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดที่เราจะพยายาม ศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ก็คือ ความคิดที่ครอบงำชีวิต เมื่อไรที่ปล่อยให้ความคิดครอบงำชีวิต มนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมได้ ดั่งเช่นเวลาที่เราตีกรอบว่า “ธรรมะ ต้องเป็นพระภิกษุพูดเท่านั้น” ถ้าคิดแค่นี้ศิษย์ก็จะฟังใครที่พูดธรรมะไม่ได้ “ธรรมะต้องอยู่ในวัดเท่านั้น” ฉะนั้นข้างนอกไม่ใช่ธรรมะหรือ เหมือนกันถ้าชีวิตเราตีกรอบความคิดว่า ฉันต้องสุข ห้ามทุกข์ ฉันต้องดีห้ามร้าย ฉันต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว คิดแบบนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เข้าใจความจริง ศิษย์ต้องล้างความคิดนี้ออกจากใจ เพราะถ้าล้างไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แม้ฟังพระเทศน์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ลงมาโปรดศิษย์ก็ทุกข์ เพราะศิษย์อยากมีสุขอย่างเดียว ไม่เข้าใจความทุกข์ ในทุกข์ที่สุดในผิดหวังที่สุด ไม่มีความสำเร็จไม่มีความสุขหรือ (มี)  ยามที่ศิษย์อ่อนแอที่สุด มีความเข้มแข็งไหม (มี)  ในวันที่เราเจ็บปวดที่สุด ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เราเห็นบ้างหรือ (มี)  แล้วเราลุกขึ้นมายืนกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องระวังความคิดที่มาครอบงำจิตใจศิษย์ เหมือนที่ศิษย์มองอาจารย์แล้วคิดว่า นี่คือพระอาจารย์จริงหรือเปล่า หลอกกันหรือเปล่า หากคิดเช่นนี้ตลอดก็ฟังอาจารย์ไม่เข้าใจ เพราะความคิดอยู่ข้างใน มองใครก็มองไม่รู้ ฟังใครก็ฟังไม่ชัด
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัว และทำให้เราหนีไม่พ้นเวรกรรม นั่นคือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา ความโลภหลง
ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง หนีไม่พ้นคือ ทุกข์ บาป เวรกรรม และวิบากกรรมที่ต้องรับ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ต้องชดใช้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง จนลืมซึ่งคุณธรรมความดี ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์จะต้องกลับไปแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรละ ที่จะแก้ไข โลภ โกรธ หลง นี้ได้ เราไม่เคยจัดการมันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา (ตัวเราเอง)  แล้วโรงงานที่ผลิตโลภ โกรธ หลงคือใคร (ตัวเราเอง)  เช่นนั้นเราควรทำลายโรงงาน หรือควรทำลายโลภ โกรธ หลง (โลภ โกรธ หลง)  พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถ้าโรงงานผลิตกิเลสยังคงสร้างอยู่ไม่จบสิ้น  แก้กันมาเป็นสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นตัวเองก็อดหลงตัวเองไม่ได้ (เป็น)  เห็นใครไม่ดีก็อดโมโหโทโสไม่ได้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจอะไรจนชัด เห็นอะไรจนมันแจ่มแจ้งแล้ว เรายังอยากจะได้มันอีกไหม (ไม่)  ถ้าสิ่งที่ศิษย์จะได้ มันทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บ ทั้งพลัดพราก ทั้งทำให้เราสูญเสียความเป็นคน หรือทำให้เราสูญเสียชีวิตได้ เราจะมีมันไหม (ไม่มี)  จะเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วถึงเวลาเอาไหม (เอา)  แปลว่าเรายังเห็นไม่ชัดใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีเงินแล้วมันเจ็บเพราะเงิน จะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าอยากมีเงิน มีแล้วมันทำให้เราผิดศีล ไม่มีก็ได้ ความอยากนั้นก็จะไม่ฆ่าเรา แล้วส่งผลให้เราต้องทุกข์ ถ้ามีเงินแล้วทำให้เราขาดความเป็นคน ขาดคุณธรรมความเป็นคน มีน้อยหน่อยก็ได้ ดีไหม (ดี)  ถ้ามีเงินแล้วมันทำให้เราต้องทุกข์จนหาที่สิ้นสุดทุกข์ไม่เจอ ก็ควรพอเท่านี้ เราจะหยุดโลภทันทีเลยจริงไหม แต่ถึงเวลาพอมีเงิน เรามักไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์เอ๋ย ธรรมะที่เราเรียนรู้ ศีลมีไว้เพื่อไม่ประพฤติผิด ธรรมมีไว้เพื่อดำรงตนให้มีคุณค่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนการรู้แจ้งในธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์และไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าดำรงชีวิตครองในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ความโลภนั้นจะทำให้เราทำบาปไหม (ไม่)  ถ้าดำรงชีวิตครองในคุณธรรม จะมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก เราจะโกงใครไหม (ไม่)  เราจะเบียดเบียนใคร เราจะฉ้อฉลไหม (ไม่)  แล้วทุกครั้งที่เราตกเป็นทาสของกิเลส เรามีศีลไหม (ไม่มี)  เรามีธรรมไหม (ไม่มี)  แล้วเรานึกถึงความเป็นจริงไหม (ไม่) มันก็เจ๊งไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทุกข์ แล้วเวียนไปในวัฏจักรแห่งกรรมที่เรียกว่า “ตัวตนเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล” หรือเรียกอีกอย่างว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างและก็เป็นผู้ทำลายทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นตัวตนของผลผลิตกรรมที่เราสร้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำสิ่งใด ฉะนั้นเมื่อยังมีกรรมก็ต้องเวียนไม่สิ้น เพื่อรับผลกรรม แต่ถ้าเรามีวิถีทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามีโอกาสที่จะทำให้กรรมมันสิ้น แล้วกลับคืนสู่สภาวธรรม โดยที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราสนใจไหม (สนใจ)  และเราคิดว่าเราทำได้ไหม (ทำได้)  เหมือนเวลาที่เรารู้กันโดยส่วนใหญ่ว่า เราเกิดมาเพราะเรามีกรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราสิ้นกรรม เราก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังสร้างกรรมอยู่เราก็จะเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเราไปตีเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลาเขาเอาคืนเขาตีเราคืนเบาๆ ไหม (ไม่)  เขาจะตีเราแบบไหน (ตีแรงมากกว่าเราตี)  ถ้าเราด่าเขาว่า ไอ้โง่ แล้วเขาจะด่าเราคืนว่า ไอ้โง่ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่จะด่ามากกว่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  เราจะเจ็บกว่าเราด่าเขาไหม (เจ็บกว่า)  แล้วที่ศิษย์ไปเอาของเขามาทั้งชีวิต แล้วที่ศิษย์ไปโกงเขามาทั้งชีวิต ไปเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต ทั้งพรากลูก พรากแม่ พรากพ่อเขา เขาจะไม่เอาคืนเจ็บกว่าหรือ และเมื่อกรรมนั้นตกผล ตอนนั้นศิษย์จะร้องขออะไร ขอให้ธรรมะช่วยหรือ ในเมื่อตอนมีธรรมะไม่คิดอยากจะมี แล้วพอมีกรรมถึงอยากจะมีธรรมะ ทันไหม (ไม่ทัน)
ควรจะยั้งก่อนมี หรือมีแล้วค่อยมีธรรม (ยั้งก่อนมี)  แล้วถึงเวลาเรามีธรรมหรือเราสร้างกรรม (สร้างกรรม)  ศิษย์จำไว้นะ เมื่อไรที่ศิษย์ทำอะไรขาดศีลจะตกเป็นทาสของการสร้างกรรม เมื่อศิษย์ทำอะไรศิษย์ขาดคุณธรรม ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรม ฉะนั้น พระพุทธะจึงสอนให้เราเกิดเป็นคน ศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อประพฤติความเป็นคนให้ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ที่คนเขายกย่องว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีคุณอันประเสริฐ ฉะนั้น ถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าบาปศิษย์ไม่ละ ศิษย์ก็ยังหาเป็นคนดีไม่ ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหนแต่ใจนั้นยังแอบเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ โกรธ หลง บุญนั้นก็หาบริสุทธิ์ไม่ ถ้ากระทำบุญนั้นยังยึดติดในความถือตัวถือมั่น บุญนั้นก็ไม่เรียกว่าบุญอย่างแท้จริง แต่ยังเคลือบแฝงไปด้วยความหลง ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วไปให้ถึงที่สุด บุญนั้นจะได้มากกว่าบุญ ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วไม่ยึดมั่นหวังวอนขอ บุญนั้นเรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วสามารถชะล้างความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะกลายเป็นบุญแท้ที่นำไปสู่กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำแล้วยังมีตัวตนไปรองรับ แปลว่าเราอยากได้บุญนั้นเพื่อกลับมาเสวยบุญอีก และเมื่อหมดบุญเราก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วมั่นใจหรือว่าบุญที่ศิษย์สร้างจะพอทำให้ศิษย์กลับเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ควรที่จะตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะทำอะไร ยั้งใจถามตัวเอง ถูกต้องในศีลไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เสียสมดุลจนลืมธรรมะที่แท้จริง หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งศิษย์ก็ไม่เคยผ่านด่านนี้เลยนั่นคือ โดนคนเขาด่า เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่มีใครผ่านได้สักคน หวั่นไหวทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บปวดทุกทีที่โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าโดนเขาด่า แล้วเราทำบุญด้วยการให้อภัย นั่นเรียกว่าเรากำลังสร้างทาน แปรบาปให้กลายเป็นบุญ แปรบุญให้กลายเป็นกุศล อภัยแปลว่าในใจยังยึดติดอยู่ แต่ถ้าเขาด่ามา เราเข้าใจความเป็นจริง รักษาจิตให้มันปรกติ มีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงว่ามีคนชมก็มีคน (ด่า)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะพ้นไหม (พ้น)  พ้นแล้วนะ มันไม่มีตัวตนไปรองรับทุกข์อีก ถูกไหม (ถูก)  มันกลายเป็น เช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดจนหมดสิ้น มนุษย์จะต้องขจัดความเป็นตัวตนให้หมด เพราะถ้าขจัดความเป็นตัวตนหมดได้ มนุษย์จะสิ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)  
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง)
“ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา”  ถ้าศิษย์เรียนรู้อะไรเอาแต่มอง แต่ไม่ศึกษาอาจจะทำให้เราโดนหลอกได้ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ และสิ่งที่เห็นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นให้ใช้การรู้จักฟัง ฟังมากๆ ยิ่งได้กำไรมากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมเช่นนี้น่าเสียดาย หลักธรรมะโดยส่วนใหญ่บางคนบอกว่าลึกล้ำ ลึกลับ จริงๆ ธรรมะไม่ลึกลับเลยอยู่ที่เราจะค้นหาแล้วศึกษาด้วยความตั้งใจหรือเพียรพยายามหรือไม่
คนตอบคำถามอาจารย์ แล้วจะได้แอปเปิลแห่งความทุกข์มาก แล้วก็สุขมากเอาไหม (เอา)  ให้ก็เอา เอาทุกอย่างเลย เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่จบสิ้นสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนน่ายึดน่าเอาเลย เหมือนตอนที่ศิษย์ยังไม่แต่งงาน ก็อยากแต่ง แต่พอแต่งแล้วก็อยากไม่แต่ง ใช่ไหม (ใช่)
เกิดเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรอยู่ในใจตน ง่ายมากเลยจริงไหม 
(ความเมตตา)  เมื่อเมตตาจะนินทาใครไหม (ไม่)  ถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม (ไม่)  เราจะมีแต่ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นรักษาความเมตตาในใจจนทำให้เราสามารถมีศีล ธรรมและไม่ประพฤติผิด ถ้าเมตตาเราจะเบียดเบียนใครไหม เราจะคดโกงใครไหม (ไม่)  เมตตาแล้วเราจะเข่นฆ่าใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นที่เรานินทาเขาได้ โกงเขาได้ เพราะเราไม่เมตตาพอ จริงหรือเปล่า
(ไม่คดโกง)  ซื่อตรงแล้วอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ถ้าคนไม่อยากจริงๆ อะไรเขาก็จะไม่โลภแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาความซื่อตรงนี้ไว้นะ ถ้าซื่อตรงได้ โลภ โกรธ หลง ก็คงน้อยลง
(การยอมรับความจริง) ถ้ารู้จักยอมรับความจริง เราจะเข้มแข็งได้นะ ยากนะ ทำให้ได้นะ
(ความซื่อสัตย์ ของเราและเขา) ไม่ต้องไม่สนใจเขา ของเราพอ เขามีไม่มีไม่เป็นไร เพราะเราเปลี่ยนคนข้างนอกไม่ได้ แต่เราดูแลใจตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)  รักษาให้ดีนะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อยก็โกงนะ
(ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  ตอบได้ดีนะ  ถ้าศิษย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ไหนจะเป็นที่รักเลย (ความอดทน)  อดทนนั้น อดทนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราอดทนได้มากกว่านั้นคือ เข้าใจ เพราะอดทนมันมีเวลาจำกัด มันมีความจำกัด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจ เข้าใจความเป็นคน เข้าใจคนเป็นแบบนี้ ไม่ต้องอดทนเลย คนก็เป็นแบบนี้ อ่อ เราก็เคยเป็นแบบนี้ เขาก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ใช้ความเข้าใจให้กว้างให้ลึกที่สุด แล้วเราจะไม่โกรธใคร แต่เราจะมีแต่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(มีความเพียร)  คนเราจะสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเพียรพยายาม ฉะนั้นถ้าศิษย์ตั้งใจอะไร อาจารย์ก็คิดว่าขาดความเพียรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มเหลว ถามใจตัวเองว่าเราเพียรน้อยไปหรือเปล่า เรายังมีความเพียรในความดีไม่ถึงที่สุดหรือไม่  (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป)  เกิดเป็นคน ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ผิดบาปจะไม่เกิดเลย เมื่อผิดบาปไม่มี ทุกข์และเวรกรรมก็จางหายได้ แต่กลัวอย่างเดียว เล็กๆ กล้าทำ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าประมาทกับสิ่งที่เล็ก เพราะสิ่งที่เล็กเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  รักษาใจดวงนี้ให้ดีนะ (ละบาปทำความดี)  รู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ อะไรที่เป็นบาปเราจะไม่ทำ แล้วบาปที่น่ากลัวที่สุดคือ (คิดผิดในใจตัวที่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง)  ผิดแล้วยังฝืนใจทำ ไม่ได้ฝืนใจ ผิดแล้วยังจงใจทำอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหยั่งรากลึกแห่งธรรมให้เยอะๆ อย่าทำให้ชีวิตต้องมัวหมองเพราะบาปกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะเมื่อผลกรรมมันตกผลไม่มีใครช่วยศิษย์ได้นอกจากตัวเอง จริงไหม (จริง)   
(ความซื่อสัตย์ ไม่ขโมยของผู้อื่นและมีธรรมในตน)  ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่ขโมยของนะศิษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อความเป็นคน ซื่อสัตย์ต่อการอยู่ในครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ จะไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ไม่ทำร้ายเพื่อน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน เราจะไม่ฉ้อฉล ไม่คดโกง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทำให้ได้นะ
(นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า กลับบ้านไปสามารถนำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาถวายพระได้หรือไม่)  อาจารย์ให้ศิษย์คิดเองนะ อาจารย์ถามใจของศิษย์ ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพที่อยู่บนฟ้า สิ่งหนึ่งที่ท่านมีคือ คุณธรรมมหาเมตตาที่ไม่จำกัด อย่างนั้น หัวอกคนมีเมตตาจะเอาชีวิตเขาเพื่อมาบำรุงชีวิตเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนเขาทำบาปเพื่อเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนทำผิด ฆ่าคน เพื่อเราไหม (ไม่)  อย่างนั้น พุทธะอยากได้อาหารเนื้อสัตว์ไหม (ไม่)  แต่อาจารย์เห็นที่ไหว้เนื้อสัตว์ ไม่ได้ไหว้ให้พุทธะ แต่ไหว้เพราะตัวเองอยากกิน จริงไหม (จริง)  ส่วนตอนนี้การที่ศิษย์จะกินเจหรือไม่ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้บังคับ เพราะเมตตาจิตต้องออกมาจากจิตที่ตั้งใจจริงๆ  จึงเรียกว่าเมตตา ถ้าออกมาจากการบังคับก็ไม่ใช่เมตตา แต่คือการข่มใจ แต่การกินเจต้องเกิดจากใจเมตตา เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์กินล้วนต้องเกิดจากการฆ่า รู้ แต่ศิษย์ทำเหมือนไม่รู้ ศิษย์รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ศิษย์เจ็บจากการโดนมีดบาดหนึ่งที ศิษย์ยังร้องโอย ไกลหัวใจ แต่ร้องเหมือนถูกเชือด
เล็บหลุดแค่นี้ยังเจ็บแทบตาย แล้วความตายที่ศิษย์ไปยัดเยียดให้กับสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เพื่อมาเสวยความอยากของเราแค่ไม่กี่คำ แล้วกลืนลงไปก็ออกมาเป็นของเสีย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า งดได้ก็งด ละได้ก็ละ  เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ต้องรับ ถึงศิษย์จะมีน้ำตานองหน้า ขอพระพุทธะก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำเอง ฉะนั้นหัวอกของคนที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐควรหรือที่ทำบาปเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง อาจารย์ถามจริงๆ นะ ไม่กินเขาแล้วเราจะตายไหม (ไม่ตาย)  ไม่กินเขาแล้วเราอยู่ได้ไหม (อยู่ได้)  พระพุทธะที่มีคนนับถือ มีคนกราบไหว้ เพราะเขายอมลำบากเพื่อคนอื่น เลือกให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบาย จึงเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ จิตของคนที่มีธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ ตัวเองสบายคนอื่นจะลำบากก็ช่างเขา อย่างนี้เรียกว่า จิตพุทธะหรือจิตมนุษย์ (จิตมนุษย์)  ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนไม่มีทางเลือก ทางมีให้เลือกแต่ศิษย์จะเลือกทางไหน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ใช่มีแค่สองทางคือนรกกับสวรรค์ แต่ยังมีอีกทางที่เรียกว่า ทางพ้นทุกข์นิจนิรันดร์ ก็คือทางกลับคืนสู่สภาวธรรมในใจตัวเอง กายกลับคืนสู่ดิน แต่จิตต้องกลับคืนสู่ฟ้า เมื่อใดที่มนุษย์ยังยึดถือความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏแห่งการเวียนว่าย คือผลแห่งกรรม แต่เมื่อใดที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ อาจารย์ให้ศิษย์ยังทำเหมือนเดิม แต่อย่าทำบุญแค่เอาบุญ แต่ทำบุญไปให้ถึงกุศลและความสิ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมด้วยการที่ทำแล้วสลัดความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่โลภมาก จะได้ปลงได้บ้าง ให้ไปเลย นั่นไม่ใช่แค่บุญ แต่ยิ่งกว่าบุญคือได้กุศล ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้กระชากความหลงความยึดติดที่เราเคยมีมานาน ยากไหมไม่ยากเลย แล้วทุกครั้งที่เวลาใครว่าเรามา ดี ขอบคุณ ฉันจะจบกรรมวันนี้ โดนด่าฉันจะขอบคุณ เพราะถ้าด่ากลับก็เป็นเวรกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  ถ้าแช่งชัก ไม่เป็นไรอดทนไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม เราต้องสามารถสิ้นกรรมจนใจนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา กลับคืนสู่ความสมดุล นั่นเรียกว่ากลับสู่ธรรม ไม่ห่วงตัวเองหรือศิษย์ ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ในเมื่อมีโอกาสที่จะไปอีกทางหนึ่ง ให้ถึงที่สุด ทำไมเราไม่ไป 
“ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา” เวลาที่ศิษย์ทำอะไรก็ตามโดยเชื่อในหลักความถูกต้อง เชื่อในหลักความดีงาม แต่ความเชื่อนั้นต้องไม่อำพรางปัญญาที่แท้จริง เขาทำตามกันมาแล้วศิษย์ก็ทำ ทำอย่างไรที่บุญนั้นไม่ก่อบาป บุญนั้นไม่อิงแอบไปด้วยความโลภ ถ้าบุญนั้นยังมีบาปอยู่ บุญนั้นยังไม่บริสุทธิ์ แต่บุญนั้นต้องสามารถชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหมดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาในใจได้ บุญนั้นจึงจะบริสุทธิ์และบุญจะกลายเป็นกุศล นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้ 
ศิษย์ยังมีบ้านที่ต้องกลับ กายยังรู้จักกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านหรือ เราคือหนึ่งในธรรมะ เราคือหนึ่งในสภาวธรรม และทุกคนมีสภาวธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่คิดกลับบ้านที่แท้จริงหรือ ทำไมอยากกลับแต่บ้านที่มันมีแต่เวรกรรมทุกข์สุข ไม่เคยอยากกลับบ้านที่แท้หรือ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ศิษย์ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ไม่ต้องมาร้องขอให้อาจารย์ช่วยอีก แต่บ้านนั้นจะค้นพบได้ด้วยตัวศิษย์ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติ จริงไหม (จริง)  เวลาท้อแท้ เรามีบ้านให้พึ่งพิง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ยังมีธรรมะให้ศิษย์พ้นทุกข์ มีธรรมะให้ศิษย์กลับคืน ฉะนั้น อย่าลืมธรรมในตัวเอง ธรรมที่บริสุทธิ์งดงาม ร่มเย็น ธรรมที่ไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันคือความบริสุทธิ์ใสที่แท้จริง
อาจารย์ก็ไม่อยากร้องไห้หรอก แต่เสียดายจริงๆ ที่ศิษย์ยังทำไม่ได้ แล้วถึงที่สุดศิษย์ก็ไม่ทำ ช่างน่าเสียดาย รู้จนถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดก็ไม่ทำ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงที่สุดก็เลือกทำในสิ่งที่ไม่ดี ประคองรักษาความดีงามในใจตัวเองนะ อย่าพ่ายแพ้กิเลส อารมณ์ และความอยากเพียงชั่ววูบ ไม่เคยมีอะไรที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บไม่ทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่อยากได้อะไรในโลกนี้แล้ว จริงไหม (จริง)  เราเคยมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ พอไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรือ โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเราก็เจ็บ โลภ หลงมาแล้วได้อะไร เราจะสูงกว่าคนอื่นไหม เราก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดาเหมือนกัน จริงไหมมาตัวเปล่าก็ต้องกลับ (ตัวเปล่า)  มาแบบไม่มีก็ต้องกลับสู่ (ไม่มี)  แล้วจริงๆ เรามีอะไร เราอยากมีอะไร อยากเพื่อให้เจ็บ เจ็บเพื่อให้ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ทุกข์อีก แล้วถึงเวลาต้องมาทำใจดับทุกข์ ไตร่ตรองให้ดีนะ สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้เพื่อตัวศิษย์เอง ถ้ารู้ได้เราก็พ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวความพ่ายแพ้ คนที่กล้ายอมแพ้คือคนที่ชนะแท้จริง แต่คนที่ไม่เคยแพ้แล้วพยายามไม่อยากแพ้ นั่นคือคนที่แพ้อย่างแท้จริง 
อย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์มันมีทางพ้นทุกข์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจารย์ก็ขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจของศิษย์ รักษาสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำในสิ่งที่ผิดบาปเลย ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องรับผลของการกระทำนั่นก็คือตัวเราเอง บำเพ็ญให้ดี ไปให้ถึงที่สุด ถ้ายังมีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีวันสิ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้เราสิ้นอัตตาตัวตน สิ่งนั้นคือการตัดภพเวียนว่ายตายเกิดได้ “ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน” ทำดีแล้วรักษาความดีต่อไป ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะศิษย์ เข้มแข็งไม่อ่อนแอ  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
บำเพ็ญยากไหม ไม่ยาก แต่กลัวศิษย์ไม่ทำ  ดูแลตัวเองให้ดีนะ รักษาความดีงามไว้ มีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี มีจิตใจเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาจิตใจมุ่งมั่นและเมตตาไปพร้อมกัน อาจารย์คงต้องไปแล้ว บุญของศิษย์อยู่ที่ความกตัญญูรู้คุณ บารมีของศิษย์ก็อยู่ที่คุณธรรม ฉะนั้น รักษาบุญกับบารมีนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ถูกต้องนะ
พากเพียรจนถึงที่สุด นั่นแหละคือหัวใจของศิษย์และหัวใจของอาจารย์ที่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวลำบาก เสียสละอุทิศเพื่อผู้คน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์
ศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์พูดอย่างหนึ่งยอมฟังไหม ยอมรับความจริงเถิดนะ อย่าฝืนเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริง กลับไปเริ่มต้นใหม่ ศิษย์อย่าไปฝืนเลย มันเจ็บพอแล้ว มันทุกข์พอแล้ว เริ่มต้นใหม่เถอะเชื่ออาจารย์ ได้ไหม อย่าฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
บุญรักษานะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ขอความเข้มแข็งจงมีแด่ศิษย์ทุกคน ลุกขึ้นเดินนะ ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาบำเพ็ญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าธรรมะในใจตัวเอง อย่าหลงพลาดผิดเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำให้ชีวิตต้องพังทลายเลย น่าเสียดายนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะแลกด้วยน้ำตา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องอาจจะฝืนใจ แต่ถ้าผ่านได้ เราคือผู้ที่เข้าใจสภาวธรรมอันว่างเปล่าจากตัวตน กลับคืนสู่ธรรมกันเถิด ตัวตนมีแต่ความทุกข์ กลับสู่ธรรมกันไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ศีล ทำ”

ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา    ศรัทธามีโลภหลงอยู่
สับสนในความรู้รู้   จะอยู่มีธรรมเมื่อไร
ต้องใช้สติมานำ    ศีลธรรมยั้งใจเอาไว้
ครองธรรมสถิตคู่กาย ไม่แพ้กิเลสอารมณ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-12 สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์

西元二〇一八年嵗次戊戌三月二十七日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๑                 สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  อย่าขาดความซื่อตรงในจิตใจ          รักสบายเอาเปรียบใครไม่ดีหนา
สำนึกดีต้องทำดีทำจริงนา                หากเฉยชาก็ยากยิ่งบำเพ็ญอะไร
                                เราคือ
  ศิษย์พี่พระนาจา                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                                         ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับกันไหม
  คนทำเพื่อปากท้องกองทรัพย์สิน       บ่อยทำชินเคยคุ้นประโยชน์ผล
ปล่อยให้เคยตัวจริงลำบากลำบน        เรื่องของคนแปลกใหม่เป็นประจำ
ถ้ากลัวเปลี่ยนแปลงบำเพ็ญให้ดี          ไม่ละเลิกไปมีแต่ถลำ
เมื่อน้ำลดอย่าผุดตอระกำ                อย่าสำคัญอัตตาให้ช้ำไม่เข็ด
ความรู้สึกรู้สาชวนยากทำใจ             หัวใจไร้อารมณ์จึงใจพ้นเทวษ[1]
จิตอำนาจเมื่อดึงวางจากกิเลส           ยืนเหนือใจสำเร็จตื่นความจริง
อัตตาแห่งตัวเธอฉันสังคมโลก            พูดทำคิดวิปโยคมีทุกข์ยิ่ง
จักรวาลเคลื่อนธรรมขยับแต่คนนิ่ง       มองตามจริงธรรมนั้นเพื่อนิรันดร์
เพียรทำไปย่อมประจักษ์จิตประมุข      ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านกายสังขาร
ประกาศธรรมไว้เสร็จสรรพธรรมกาล    หนึ่งเดียวธรรมตะวันล้วนส่องโลกา
                                                                                                       ฮิ ฮิ หยุด



[1] เทวษ  การครํ่าครวญ, ความลําบาก.

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

สิ่งสำคัญในการเป็นคนคือความซื่อตรงจริงใจ อยากได้คนซื่อตรงจริงใจ เราก็ต้องซื่อตรงจริงใจก่อน ถ้าเริ่มต้นด้วยการโกหก เราก็ต้องโกหกไปตลอดชีวิต ถ้าเริ่มต้นซื่อตรงจริงใจจะกลัวอะไร จะมีความซื่อตรงจริงใจได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องและดีงาม ทำอะไรก็ทำด้วยจิตสำนึกที่ดีงามและถูกต้อง ถ้าใจไม่บอกให้ซื่อตรงเราจะเป็นคนซื่อตรงไหม ถ้าจิตเราไม่สำนึกในความถูกต้องดีงามเราจะปฏิบัติดีไหม ถ้าเราไม่เชื่อในความดีงาม เราไม่เชื่อการปฏิบัติดีแล้ว เราจะทำดีไหม แต่ทุกอย่างที่เราทำเพราะเราเชื่อในความดีงาม เชื่อในคุณค่าของความถูกต้อง เพราะคุณค่าของความถูกต้องและคุณค่าของการประพฤติสิ่งที่ดีงามนั้นมีความสบายใจ มีความสุขใจเป็นผล เราก็ประจักษ์เองได้ คนหนึ่งคนใดจะดีไม่ดี อยู่ที่ตัวเขามีจิตสำนึกหรือไม่สำนึกดี สำนึกดีก็ทำดี แต่ถ้าขาดสำนึกดีก็พร้อมจะทำไม่ดี
เราขอถามอะไรง่ายๆ นะ อะไรเอ่ยยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ(ความสุข, เวลา)  เวลาเหลือน้อย ไม่ควรจะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ทำดีทำเท่าไรก็ไม่เคยพอสักที เวลายิ่งนานไปก็ยิ่งพร่องยิ่งหมด ถ้าเรารู้ว่าเวลาทุกวันคือเวลาที่ต้องหมดไปเราจะพยายามรักษาเวลาให้ดีที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก)  เเต่มนุษย์ไม่เคยคิดว่าเวลากำลังหมดไป เเต่คิดว่ามีเวลามากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกเวลาคือทุกขณะของความดับสิ้น มนุษย์บอกว่าเกิดมาสิบห้าปีแล้ว เเต่พุทธะบอกว่าท่านกำลังดับมาสิบห้าปี
อะไรที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ความรัก เงินทองเกียรติยศ ความต้องการในจิตใจ ได้เท่าไรก็ไม่พอ เเล้วคิดว่าถ้าทำสำเร็จฉันจะพอแล้วหยุดแล้ว ไม่เห็นมีใครพอสักคนจริงไหม (จริง)  ถ้าฉันได้เธอคนเดียวฉันก็พอใจแล้ว ถ้าได้เงินก้อนนี้ผมจะพอใจแล้ว ถ้าถูกล๊อตเตอรี่ผมจะหยุด หยุดไหม (ไม่หยุด)  ใจของมนุษย์ ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งคิดว่าจะเติมให้ใจตัวเองเต็ม ก็กลับไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอสักที อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่สิ่งที่ท่านกำลังหาหรือปัญหามันอยู่ที่ใจ (ที่ใจ)  ใจเป็นเหมือนสิ่งที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่องไหม ยิ่งหาตัวเองเท่าไร ฉันเป็นคนแบบไหน แต่ถึงเวลามันไม่ใช่ ฉันน่าจะพอใจแบบนี้นะ แต่พอถึงเวลาก็ไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วิชาที่สามารถเรียนแล้วทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองเห็นตัวเราได้ดีที่สุดคือ วิชาธรรมะ สนใจจะคุยวิชาธรรมะกันไหม
ในโลกนี้มีสิ่งที่มนุษย์อยากมากมาย บางครั้งยิ่งอยากก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่เคยพอ แต่เราก็ไม่หยุด หาจนเหนื่อย หาจนทำร้ายชีวิตและจิตใจ และก็หาจนทำให้ตัวเองทุกข์จนตายทั้งเป็น อย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งที่หานั้นจะเป็นคำว่าได้หรือเสีย เป็นคำว่าสุขหรือทุกข์ ก็ล้วนมีพิษภัยไม่แตกต่างกันเลย ถึงจะทำให้เรามีสุขแต่ใจก็เร่าร้อน และเมื่อยามมีทุกข์ใจก็เร่าร้อนไม่ต่างกันเลย ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์แสวงหาไม่ว่าจะเป็นความรักความอบอุ่นความจริงใจ ถ้าเราไม่เคยจริงใจกับใครก่อนไม่เคยเต็มที่กับใครก่อน ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะจริงใจและเต็มที่กับเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านดีที่สุดกับคนอื่นหรือยัง ถ้าท่านยังไม่ดีที่สุดอย่าหวังคนอื่นจะเต็มที่กับเรา ถ้าท่านยังไม่จริงใจก็อย่าหวังว่าใครจะจริงใจกับเรา
เมื่อมั่งมีแล้วมีใครไม่หลงฟุ้งเฟ้อ เมื่อได้แล้วมีใครไม่เหิมเกริม เมื่อผิดหวังแล้วมีใครบ้างไม่สูญเสียคุณธรรมความเป็นคน เมื่อชนะก็หลงตัวเอง เมื่อแพ้ก็ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น เมื่อยามมั่งมีก็อวดตัวเอง เมื่อยามยากจนก็สูญเสียความเป็นคนในจิตใจ โบราณจึงกล่าวไว้ว่า รวยแล้วรู้จักให้จึงเรียกว่าประเสริฐ ยากจนแล้วยังรู้จักรักษาคุณธรรมความเป็นคนไม่สูญเสียจึงเรียกว่าคนดี แต่มนุษย์เอาแต่อยากจนทำร้ายตัวเอง เอาแต่อยากจนสูญเสียความเป็นคน เอาแต่อยากจนขาดคุณธรรมแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ
ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนจิตใจดี ซื่อตรง ใจเย็นและมีน้ำใจ อย่างนั้นตอนนี้มีไหม ทำไมคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนที่เคยใจเย็นจึงกลายเป็นคนใจร้อน คนที่เคยซื่อตรงจึงกลายเป็นคนคดโกง คนดีบ้างไม่ดีบ้างไม่เรียกว่าคนดีจริง คนดีจริงต้องดีตลอดตั้งแต่ต้นจนตาย แล้วเพราะอะไรคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนซื่อตรงจึงเป็นคนคดโกง โป้ปด คนน่ารักจึงกลายเป็นคนน่าเกลียด หาคำตอบได้ไหม (ความโลภ)  ความโลภกับความดีในจิตใจ อะไรมีค่ามากกว่ากัน (ความดี)  แล้วทำไมถึงทิ้งความดีในจิตใจเพื่อความโลภ ถ้าเกิดว่าคนใจดีเสียไปเพราะความโลภ คนใจดีเสียไปเพราะความโกรธ คนใจดีเสียไปเพราะความอยาก อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มันมีค่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วรู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางมาแห่งบาปและอกุศลทั้งมวล ทำให้เราต้องทุกข์และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปรับ ถ้ารู้อย่างนี้ยังอยากมี โลภ โกรธ หลง ไหม (ไม่อยาก)
ภัยพิบัติทางธรรมชาติมนุษย์ยังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากกิเลส การกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่างนั้นเราควรตกเป็นทาสของกิเลสไหม (ไม่ควร)  ถ้ามีทุกข์แล้วค่อยพยายามเอาธรรมะข่มทุกข์ ดับทุกข์ กับพยายามมีธรรมเพื่อไม่ให้มีทุกข์ อะไรดีกว่ากัน (มีธรรมดีกว่า)  เวลามีทุกข์แล้วพยายามใช้ ขันติ เมตตา ใจเย็น ใจกว้าง มันทรมานไหม แต่มีขันติ ใจเย็น มีเมตตาตั้งแต่แรกแล้วไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ มันสบายกว่าไหม (สบายกว่า)
จิตปกติมันไม่เคยมีอารมณ์ แต่จิตไม่ปกติจึงมีอารมณ์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าเป็นปกติที่เกิดมาเป็นคนต้องมีโลภ มีโกรธ มีหลง จริงๆ แล้วจิตปกติของคนไม่เคยมี โลภ มีโกรธ มีหลง แต่เมื่อไรตากระทบของที่อยากได้ หูได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน ก่อเกิดการกระทบจึงก่อเกิดเป็นอารมณ์ และกลายเป็นความอยาก ซึ่งทำให้เราผิดปกติ เราไม่ถูกกระทบเราก็ไม่อยาก
การมีศีลธรรมคือการทำคนให้เป็นคนปกติ แต่คนที่ดำเนินชีวิตขาดศีลธรรม จึงเรียกว่าคนผิดปกติ ถูกไหม (ถูก)
การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจหลักธรรมความเป็นจริงเเละสามารถอยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์ อยู่กับทุกข์อย่างคนที่เข้าใจทุกข์เเละสามารถพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเราเอง อย่ามองว่าเป็นเรื่องยาก อย่ามองว่าตัวเราเองทำไม่ได้ ไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ก้าวเข้ามาดูหรือจะเข้าใจความเป็นจริง เกิดเป็นคนไม่ลองสู้ ยังไม่สู้ก็ยกธงขาวแบบนี้น่าเสียดาย แล้วเราเคยสู้กับทุกข์หรือยัง (เคย)  สู้อย่างคนใช้ธรรมหรือสู้อย่างคนใช้กิเลสเวรกรรม เมื่อเจอทุกข์ทีไรก็คิดว่าเวรกรรมอะไรถึงต้องมาเจอ แต่ถ้าสู้อย่างคนที่ใช้ธรรมเราจะสามารถหมดเวรหมดกรรมสิ้นภพสิ้นชาติได้
แล้วระหว่างคนใจดีกับคนใจร้ายแบบไหนดีกว่ากัน (คนใจดี)  ส่วนใหญ่เรานิสัยเสียเพราะคนใจดีหรือคนใจร้าย (ใจดี)  ทั้งคนใจร้ายและคนใจดีไม่น่ากลัวเท่ากับตัวเราเอง ถูกไหม คนอื่นจะร้ายหรือดีไม่สำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเอง เขาร้ายแล้วเราจะดีไหม ถ้าเขาร้ายแล้วเราไม่ดีโทษเขาไม่ได้ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ อยู่ที่เขาชี้หรืออยู่ที่เรากำหนด ฉะนั้นใครจะร้ายหรือดีไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือตัวศิษย์น้องรู้ใจตัวเองว่าดีหรือยัง เพราะคนดีจริงเหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ยังคงรักษาความดี และความชั่วของคนอื่นกลับยิ่งเสริมให้เขายิ่งดี ผู้เข้าถึงความเป็นจริงจะรักษาความเป็นกลางเเละมองเห็นทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรก็ตามไม่มีอะไรดีเกินไปเเละไม่มีอะไรแย่เกินไป ธรรมจึงสอนว่าอย่าหลงกับความดีจนเกินไป เเละอย่ารังเกียจกับสิ่งที่ไม่ดีจนเกินไป เพราะคนที่หมั่นปฏิบัติธรรมจะไม่หลงว่าตัวเองดี เพราะมีดีก็ต้องมีดียิ่งขึ้นไป เพราะในดีก็มีร้าย ในร้ายก็มีดี การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจึงไม่ใช่ชอบดีเเต่รังเกียจร้าย ยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีเเล้วดูถูกผู้อื่นเป็นคนไม่ดี แบบนี้ไม่ใช่หนทางการปฏิบัติธรรม เเละไม่ควรพึงพอใจว่าตัวเองดีเเล้วว่าคนอื่นไม่ดีอยู่ร่ำไป แบบนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมดีเเล้วยิ่งต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นถึงจะเรียกว่าคนดี ผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่รังเกียจคนไม่ดี เพราะในความไม่ดีเขาก็มีดี จริงไหม (จริง)
ธรรมะคือการเรียนรู้ความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์ โดยไม่ปล่อยให้ทุกข์นั้นก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ แต่รู้จักใช้สติปัญญาควบคุมตน คนที่ปฏิบัติธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าเพราะเราไม่ดีจึงปฏิบัติธรรม ฉะนั้นถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วโดนเขาต่อว่า ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นดีเลย ก็ตอบไปว่า เพราะยังไม่ดีถึงต้องปฏิบัติ
(ศิษย์พี่เมตตาหยิบมะม่วงขึ้นมาหนึ่งผล)  สมมติมีผลไม้ลูกหนึ่ง ถ้าจับแล้วรู้ชัดว่าร้อนเวลาจับเราจะระมัดระวัง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าจับแล้วรู้ว่าเย็นเมื่อเราจับก็จะไม่ร้อนมือ แต่ถ้ามีผลไม้ลูกหนึ่งเดาไม่ได้เลยว่าจะร้อนหรือเย็น จะดีหรือร้าย ท่านจะจับไหม
อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยมาใช้ธรรมข่มใจ การปฏิบัติธรรมก็เพื่อป้องกันคนที่ไม่สามารถรู้ใจตัวเองว่าเดี๋ยวจะร้ายหรือจะดี แต่พยายามรักษาดีจึงพยายามปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทุกวันนี้ถามว่าให้ปฏิบัติธรรมแล้วปฏิบัติไหม ตอนนี้ตัวเองดีหรือร้าย ไม่แน่นอน รู้ไหมว่าคนที่ไม่แน่นอนคือคนที่ร้ายที่สุด ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่พอถึงเวลาร้ายก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้ท่านรู้จักยับยั้งความร้ายและคงรักษาซึ่งความดีไว้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของการปฏิบัติธรรม พื้นฐานเริ่มต้นง่ายสุดคือ อย่าประมาท จงทำอะไรอย่างผู้มีสติ ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนไม่ประมาทเราจะผิดพลาดไหม ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนมีสติ เราจะเผลอหลงเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ไหม เริ่มต้นเราก็ปฏิบัติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรเรียกว่าดำเนินชีวิตอย่างคนไม่ประมาท (มีสติ)  ไม่ประมาทก็คือไม่ขาดสติ นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นทำอะไรมีจิตระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ก็เรียกว่าไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราไม่รู้ชีวิตพรุ่งนี้จะตายไม่ตาย เรื่องดีเราจะไม่พลาด เรื่องเสียเราจะไม่ทำ เพราะคนไม่ประมาทคือไม่พลาดทำดีและไม่ถลำทำสิ่งที่ไม่ดี คนไม่ประมาทเขาจะ
๑.ไม่ขาดสติ
๒.ไม่เผลอทำผิด
๓.ไม่ละเลยทำสิ่งที่ดีงามที่สุดในชีวิตที่จะทำได้
สติคือสิ่งทำให้เราดึงความคิดกลับมาเป็นกลางและยืนอยู่กับปัจจุบัน คนมีสติคืออยู่กับปัจจุบันขณะเป็นสำคัญ ถ้าทำได้สองอย่างนี้ท่านจะปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท ไม่ขาดสติ จริงไหม (จริง)  เราอยู่ตอนนี้แต่เรามักคิดถึงตอนนั้น เราอยู่ตรงนี้เรามักคิดถึงตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าอยากแล้วค่อยคิดดับทุกข์ แต่จงมีธรรมก่อนที่จะบังเกิดทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราเคยใช้ธรรมยั้งใจไว้ไหม กิเลสสนองใจอย่างไรก็ไม่เคยเต็ม ได้มาเท่าไรก็ไม่เคยพอ ถ้าการให้ ทำให้เราเสียสละการยึดตัวตน การยอมไม่เอา ทำให้เราได้ชะล้างจิตใจให้สะอาด ไม่เห็นแก่ตน รู้ไหมว่าการให้นั้นจะกลายเป็นบุญทานเเละกุศลในทันที แต่การเอานั้นกลับกลายเป็นการสนองกิเลสเเละหนีไม่พ้นวิบากเวรกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ได้ผลไม้มาแล้วเกิดหวานติดใจแล้วจะอยากได้อีกไหม (อยาก)  ถ้าได้มาแล้วเปรี้ยวจับใจจะด่าไหม อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม แต่ในโลกมีใครคิดได้ก่อนเช่นนี้เห็นแจ้งได้ก่อนเช่นนี้ ถ้าศิษย์น้องสามารถทำได้เราจะสิ้นบาปสิ้นเวรกรรม อดด่าไม่ได้ก็กลายเป็นสนองกิเลส หยุดได้ก็กลายเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรม ฉะนั้นจิตไม่ประมาทไม่ขาดสติ กรรมจะกลายเป็นธรรม บาปจะกลายเป็นบุญ และสุขที่ประเสริฐสุด บุญจะกลายเป็นกุศลเเละพ้นทุกข์ได้ เเต่มนุษย์ไม่เคยลองทำสักที อยากไว้ก่อนแล้วมาข่มใจทีหลังทุกที ทำไมไม่ข่มใจตั้งแต่ต้น เพราะทุกสิ่งที่ศิษย์น้องปรารถนาในโลกนี้ ในทุกลักษณะล้วนมีลักษณะซ่อนอยู่ ในสิ่งที่มนุษย์หลงใหลได้ปลื้มแท้จริงยังมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ ที่เรียกว่าแก่นของความจริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความทุกข์
ในโลกใบนี้มีความเป็นคู่ มีร้ายก็มีดี มีสุขก็มีทุกข์ แต่ว่าในโลกนี้ต้องมีของที่แก้กันได้ ฉะนั้นถ้ามีโกรธก็ต้องมีหายโกรธ ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีสิ้นทุกข์ เราลองมองให้ดีๆ แล้วเราจะพบความจริง แต่ตอนนี้มีความอยากแล้วจะเกิดปัญญาไหม ไม่มีทางเกิด ศิษย์น้องต้องหยุดความอยากก่อน ปัญญาถึงจะแจ่มชัด ถ้ายังหยุดความอยากไม่ได้ ปัญญาไม่มีวันเห็นกระจ่างแจ่มชัด ในทุกข์ต้องมีสิ้นทุกข์ ในความเกิดแห่งกิเลสต้องมีวันสิ้นกิเลส
ในการเรียนรู้ธรรม รู้ว่าทุกสิ่งสรรพแท้จริงในโลกใบนี้มีแก่นเดียวกัน มีหลักเดียวกันคือความทุกข์ แล้วเราจะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ยังอยากหาความสุขในความไม่เที่ยง ถ้าเราสามารถค้นพบเเก่นเเห่งความเป็นจริงได้ มนุษย์จะตื่นรู้ พบทุกข์เเละพบธรรมได้ จริงไหม (จริง) แต่หยุดอยากหรือยัง (ยัง)  ถ้ายังหยุดอยากไม่ได้จะทำอย่างไรที่เห็นแล้วไม่อยากอีกเลย
สมมติว่าผลไม้ลูกนี้ ถ้ากินแล้วทุกข์กินไหม (ไม่กิน)  ถ้าสิ่งนี้มีแล้วเจ็บปวดใจ มีแล้วเจ็บช้ำใจ เอาไหม ในโลกนี้มีอะไรมีแล้วไม่ทุกข์ ได้แล้วไม่เจ็บช้ำใจ ลูก สามี ภรรยา หน้าที่ ศิษย์พี่ไม่ได้ให้ทิ้ง แต่อยู่ให้ชัดอยู่อย่างคนเข้าใจเห็นจริง และทำอย่างไรที่จะไม่ให้สิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์ใจ ง่ายๆ นะศิษย์น้อง แค่อยู่กับใครแล้วไม่คาดหวังว่าเขาดีหรือไม่ดี ดับทุกข์ได้ทันที แต่มนุษย์ไม่ใช่ คาดหวังเขาจะต้องดี เห็นใครคนนั้นอย่าร้าย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ เห็นใครดีก็ได้ ร้ายก็ไม่โกรธ แต่ต้องอยู่อย่างเข้าใจ ยากไหม (ยาก)  สิ่งที่ยากคือใจศิษย์น้องที่ชอบยึดติดคาดหวังว่าต้องดีอย่าร้าย แต่ชีวิตนี้มีไหมที่ร้ายแล้วไม่ดี ดีแล้วไม่ร้าย เข้าใจแก่นแห่งธรรมได้ก็ไม่ทุกข์ หากไม่เข้าใจอยู่บนโลกก็ทุกข์ทุกวัน ถ้าเราไปให้ถึงที่สุดว่าเปรี้ยวก็มีประโยชน์ หวานก็มีประโยชน์ ในโลกนี้คุณอนันต์ก็โทษมหันต์ ควรหรือที่เรายังอยากโลภ โกรธ อยากยึดว่าต้องดี การปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่ใจเรา เข้าใจความเป็นคนในตัวตน มีหรือจะไม่เข้าใจความเป็นคนในสังคมบนโลกนี้
แก่นมีอันเดียวกันไม่มีอะไรแน่แท้ ดีสุดก็อาจจะร้ายสุด ร้ายสุดก็อาจจะดีก็ได้  ในความเจ็บมันก็มีคุณ ในความตายมันก็มีคุณ แล้วถึงที่สุดไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะพลัดพราก ไม่ว่าจะสูญเสีย ล้วนต้องให้ศิษย์น้องทุกคน หันกลับมามองธรรมที่เรียกว่า “เช่นนั้นเอง” ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด และในทุกข์ก็พ้นทุกข์ได้ด้วยใจตน เห็นแล้วสงบมันก็จบเรื่องราว แต่ถ้าเห็นแล้วมันวุ่นวาย มันก็ไม่มีวันจบ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  รักษาบุญรักษาโอกาส อย่าประมาท อย่าคิดว่าเรายังเหลือเวลา ถ้าศิษย์พี่แอบกระซิบได้ ก็จะบอกว่า เวลาไม่เหลือแล้วนะ ทำไมไม่รักษาโอกาสทำวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับไปสู่ความดับ แล้วเราจะเกิดความอยากไปอีกเท่าไร เราต้องจบ เราต้องวาง แล้วศิษย์น้องจะถือไปอีกแค่ไหน แล้วทำไมเราไม่จบ ไม่ดับ ไม่วาง ด้วยหัวใจที่เข้าถึงธรรม อย่าแค่ปากพูด แต่ไม่ปฏิบัติ พ้นทุกข์ได้คนข้างๆ ก็พ้นทุกข์ เข้าใจธรรมได้คนข้างๆ ก็ตื่นรู้ในธรรม
ถ้าคนหนึ่งเกลียดเรามาก ด่าเราทุกวัน เจอเราทีไรก็ระเบิดความโกรธใส่ แต่ถ้าวันหนึ่งเราพ้นทุกข์แล้ว เราก็ช่วยคนเกลียดให้เขาไม่ต้องมีกรรมกับเราจริงไหม (จริง)  เราช่วยเขาได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วอย่างนี้ไม่ประเสริฐกว่าหรือ ดีกว่าอยู่กันไปแล้วก็ด่ากันไปด่ากันมา ว่ากันไปว่ากันมา จองเวรกันไปมา มันไม่จบ ชีวิตของศิษย์น้องมีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทอง กลับคืนสู่ธรรม  ธรรมที่ว่าง เบา อิสระ เป็นสุข เพราะไปสวรรค์ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ทำดีถ้ายึดติดก็ยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม มันพ้นแล้ว มันไม่เอาอะไรแล้ว แม้กระทั่งตัวตนก็ไม่ยึดถือ ลองไตร่ตรองดู ชีวิตมีทางเลือกขึ้นสูง ทำไมไม่ให้สูงที่สุด แล้วที่สุดนั้นคือความไม่มี ไม่มีอะไรให้ยึดถือ กิเลสก็เกาะเราไม่ได้ ทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้ายังยึดถือตัวตน กิเลสก็ยังมีที่เกาะ กรรมก็ยังมีที่ตาม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑             สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ไม่เริ่มก็จบลงในทันที                   แม้ขณะหนึ่งไม่มีซึ่งตัวฉัน
ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ก็จบกัน               มีแต่ธรรมและธรรมนั้นที่เคลื่อนไป
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

    การบำเพ็ญทุกวัน เป็นดังการก้าวข้างใน การบำเพ็ญทุกวัน การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ หากคนดีไม่มีความต่างกับคนพาล ให้ตามองหยุดที่ใด
    หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
    การบำเพ็ญทุกวัน เป็นการทำเรื่องยิ่งใหญ่ ยอมบำเพ็ญทุกวัน มีใครกันไม่ยิ่งใหญ่ จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย

ทำนองเพลง : คงจะมีสักวัน
ชื่อเพลง : การบำเพ็ญทุกวันคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เราเป็นคนสุขง่ายหรือทุกข์ง่าย คนอื่นทำให้เรามีสุขหรือว่าเราสุขได้ด้วยตัวเอง ถ้าศิษย์อยู่ในโลกมีสุขมากกว่ามีทุกข์ แม้จะมีเสียทั้งร้อยแต่มีดีแค่หนึ่งก็ดีแล้ว ดีกว่ามีดีทั้งร้อยแต่เสียแค่หนึ่งก็ทุกข์ จริงไหมศิษย์ ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงพยายามบอกตัวเองว่าอะไรๆ ก็ดีแล้ว ภรรยาทำอะไรก็ดีหมด ทำกับข้าวเอาใจ เเต่เสียอย่างเดียวบ่นไม่เคยจบ อะไรก็พอทนได้แต่เมื่อบ่นแล้วทนได้ไหม ถ้าทนได้ครอบครัวก็สุขชีวิตก็ร่มเย็น เเต่ถ้าทนหนึ่งเรื่องไม่ได้ครอบครัวก็ทุกข์เเตกแยก แล้วใจเราสุขไหม (ไม่สุข)
มนุษย์มีสุขมากมายเเต่ทนไม่ได้เมื่อเจอทุกข์หนึ่งเรื่อง ตัวศิษย์เองอยากสุขหรืออยากทุกข์ (อยากสุข)  แล้วทำไมไม่คิดให้เป็นสุข ทำไมชอบคิดให้เป็นทุกข์ ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์พร้อมไม่มีที่ติ (ไม่มี)  ถ้าอยากพ้นทุกข์ทำไมจึงคิดอย่างคนที่มีสุขไม่ได้ ทำไมต้องลากตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์ในเมื่อทั้งหลายทั้งมวลมีดีอยู่มาก เเต่ยังพ่ายเเพ้เพียงทุกข์เรื่องเดียวเเล้วทำใจไม่ได้ ถ้าทำใจได้พลิกใจได้จะสุขไหม (สุข)
ใครไม่ตาย ใครไม่เจ็บ ใครไม่พลัดพราก ใครไม่สูญเสีย ใครไม่โดนด่า ใครไม่โดนโกง (ไม่มี)  ถ้าเราคิดอย่างคนที่เข้าใจก็ไม่ทุกข์ เเต่ถ้าคิดแบบคนที่คิดไม่เป็น วางใจไม่เป็นก็ทุกข์ได้ทุกเรื่อง ผมหงอกยังทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาหันมามองแต่ไม่ยิ้มให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไหนศิษย์บอกว่ามองก็ยังดี เเต่เมื่อมองแล้วไม่ยิ้มให้กลับทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ ถามใจตัวเองใครทำให้เราทุกข์ ไม่มีใครทำให้ทุกข์ ใจตัวเองต่างหากที่คิดให้ตัวเองสุขไม่เป็น แต่ชอบเพียรจะลงไปสู่ความทุกข์ แล้วเมื่อจมอยู่กับความทุกข์ก็ดึงตัวเองไม่ขึ้น ชีวิตเราหนีไม่พ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้อาจารย์อยากจะมาคุยแล้วช่วยกันแก้ไขและช่วยกันปัดเป่าให้แก่ศิษย์ ดีหรือไม่ (ดี)  อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังสอนเรื่องธรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ และอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้ศึกษาธรรมเพื่อมีภูมิป้องกันความทุกข์ ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ เราก็มีภูมิที่เข้มแข็ง มีหัวใจที่แข็งแกร่งเมื่อเจอทุกข์ อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ศึกษาเพราะธรรมยิ่งศึกษายิ่งทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจทุกข์ แต่อย่าลืมว่า ทุกข์เกิดเพราะเราปฏิบัติชั่วมากกว่าปฏิบัติดี เพราะคนดีมักจะไม่เจอเรื่องชั่ว แต่คนทำชั่วมักต้องเจอเรื่องชั่วๆ ชัดไหม (ชัด)
รู้ไหมว่าความชั่วมีรากเหง้ามาจากโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นทิฐิในตัวตน ชัดเจนไหม (ชัดเจน)  ฉะนั้นก่อนจะถามว่าทำไมเราจึงเจอแบบนี้ ถามศิษย์ก่อนว่า ศิษย์ไปทำอย่างนั้นกับเขาไหม ถ้าศิษย์อยากมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข ถามตัวเอง เบียดเบียนเขาด้วยกาย วาจา ใจไหม ถ้าศิษย์อยากร่มเย็นเป็นสุข อย่าเพียงแค่กราบขอพระ ถามตัวเองก่อนว่ามีชีวิตอยู่บนชีวิตคนอื่นหรือไม่ คนที่มีเมตตาในใจ เขาจะฆ่าใครไหม เขาจะเบียดเบียนใครไหม เขาจะด่าคนด้วยสายตาไหม เขาจะนินทาใครไหม เขาจะแช่งชักหักกระดูกด่าใครไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ประพฤติชั่วเราจะได้ชั่วไหม ถ้าเราไม่ประพฤติเลวร้ายเราจะได้สิ่งเลวร้ายไหม (ไม่)  ฉะนั้นขอพระคุ้มครองไม่สู้ขอใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว
ศิษย์เคยคิดอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก)  แต่ทุกวันเอาแต่ด่าเอาแต่บ่น แล้วจะร่มเย็นไหม (ไม่)  ทุกวันเอาแต่จับผิดต่อว่า แล้วจะดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเคยพูดดีๆ ไหม อยากได้ครอบครัวร่มเย็น อยากให้ทรัพย์สินไม่สูญหาย ถามตัวเองก่อนว่าตัวเองทำสิ่งที่ร่มเย็นให้กับชีวิต ครอบครัวและตัวเองหรือไม่
ฉะนั้นไม่ต้องขอพระ ขอที่ใจตัวเอง ไม่อยากได้สิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าเราซื่อตรงจริงใจ มีความเมตตา มีความรับผิดชอบ ทำดีที่สุด บุคคลใดที่สามารถธำรงรักษาความดีงามตราบจนลมหายใจสุดท้ายก็ไม่แปรเปลี่ยนความดีงามนั้น เขาคือโคมไฟที่ส่องยามมืดมิดให้โลกนี้ได้อบอุ่นและน่าอยู่ การทำดีช่วยป้องกันให้จิตไม่ไหลลงต่ำและคิดชั่ว ช่วยฉุดรั้งใจเราให้สูงไม่ตกเป็นทาสของกิเลสและทุกข์ ในโลกนี้มีคนรักกันอยู่ก็เพราะว่ามีจิตที่รู้คุณคน ทำอะไรแล้วมีคนรู้สำนึกขอบคุณ คนทำดีก็ดีใจ คนขอบคุณก็มีสุขที่เห็นเขายินดี แล้วทำไมศิษย์ของอาจารย์ถึงไม่รักการทำความดี ทำไมถึงรักการทำความชั่ว
คนเราเกิดมาพร้อมกรรม และถ้าทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต เริ่มแล้วจบทันที เริ่มแล้วหมดทันที เริ่มแล้วสิ้นทันที จะมีกรรมต้องให้ไปรับไหม (ไม่มี)  แต่มนุษย์เริ่มแล้วจบไหม (ไม่จบ)  การยึดมั่น การมีตัวตน การยึดถือ การจำไม่ลืม ทำให้การเริ่มไม่เคยจบ เริ่มแล้วยืดเยื้อ เริ่มแล้วมีกรรม แต่ถ้าทุกขณะศิษย์เริ่มแล้วจบทันที แล้วเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (ไม่)  แล้วเรามีอะไรที่จะต้องไปชำระชะล้างไหม แล้วมีอะไรที่เราค้างคาไหม แล้วมีอะไรที่ต้องจดจำแล้วยึดถือต้องไปรับผลต่อไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำดีก็ยึดถือ ทำชั่วก็จดจำ จึงหนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่ต้องกลับมาเกิดไม่จบสิ้น แต่ถ้าเริ่มแล้วจบ เต็มที่แล้ว สมบูรณ์แล้ว ไม่ค้างคาใคร ไม่ติดใคร จบในทุกๆ วัน เราก็คือคนที่เกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ศิษย์บอกว่าทำอะไรยังไม่เสร็จหลายๆ เรื่องยังค้างคา ยังจำเรื่องนี้อยู่ ยังด่าเขาไม่เสร็จ ศิษย์ทำบุญเยอะศิษย์ต้องได้บุญบ้างอย่างน้อยขึ้นสวรรค์ก็ยังดี เมื่อคิดแบบนี้เลยต้องมีตัวตนกลับไปรองรับยึดถือเเละเวียนว่ายใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเขาด่า จบ สงบ สิ้นทุกข์ไหม (สิ้น)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อเขาด่าก็อดทนไว้เมตตาไว้ อภัยไว้ ขันติไว้ เเต่เมื่อทนไม่ได้ก็บอกว่าเขาด่าฉัน แบบนี้คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ ทำกรรมให้ไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  ถามใจศิษย์ดูว่าเกิดมาแล้วยังอยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)
มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมานานนับไม่ถ้วน ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สิ้นกิเลสสิ้นทุกข์ มนุษย์ก็ไม่สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ และมนุษย์ก็ยังมองว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา การสิ้นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์มีวิธีที่จะทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ โดยที่ศิษย์ยังมีชีวิตอยู่ในโลก อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์ทิ้งหน้าที่ แล้วมาบำเพ็ญ แต่ศิษย์ยังคงมีหน้าที่ และบำเพ็ญธรรมได้ เพราะตัวเราเป็นรากฐานของครอบครัว และครอบครัวที่ดีก็เป็นรากฐานของสังคมที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตจึงสำคัญ ถ้าจิตเราตั้งถูกต้อง ความคิดการดำเนินชีวิตก็ถูกต้อง ครอบครัวก็ถูกต้อง ถ้าจิตมีสุข ชีวิตเราก็มีสุข ครอบครัวก็มีสุข สังคมก็มีสุข
การเกิดในโลกนี้เป็นทุกข์ไหม เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาธรรมทำให้เรารู้ทางพ้นทุกข์ และสามารถสิ้นสุดแห่งความทุกข์ได้ แต่เราต้องหาก่อนว่า เหตุแห่งทุกข์มาจากไหน พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์สามารถสิ้นความคิดแห่งตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นทุกข์ได้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลมาจากการคิดยึดติดในตัวตน เหมือนข้างในเราไม่มีความโกรธ หากมีคนโกรธเรามา เราจะรู้ไหมว่าเขาโกรธเรา ถ้าข้างในเราไม่มีความรังเกียจ ใครทำอะไรน่ารังเกียจมาเราจะรังเกียจไหม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้เรายึดติด ถ้ามีทุกข์มาเราไม่คิด เราไม่ถือสา เราไม่ยึดติด ทุกข์ไหม เจ็บไหม แต่ที่เราเจ็บปวดเพราะว่าเราคิด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าขาเราเจ็บแล้วลืมเรื่องขาเจ็บไปจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  เหมือนเวลาที่ศิษย์ไปช้อปปิ้งเดินได้เป็นชั่วโมงลืมเมื่อย เวลาที่ศิษย์ลุ้นกีฬาฟุตบอลก็ลืมเมื่อย แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ว่าฉันยืนไปสองชั่วโมงก็บอกว่าปวดขา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อความทุกข์เข้ามาก็ลืมดีไหม (ดี)  เมื่อยขาก็ให้ลืมไป เวลาเขาด่าเราก็ลืม เพราะกรรมคือการเกี่ยวเนื่องเเละจองเวรจองกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสทำให้เราโง่เเต่ธรรมทำให้เรามีปัญญา ถ้ารู้ว่าเมื่อยแล้วคิดไปก็ทุกข์ ด่ากันไปด่ากันมาก็ไม่จบ
สมมุติว่าเราเป็นคนใจร้อน ทุกข์เพราะความใจร้อน ทุกข์เพราะความไม่ยอมคน แล้วเราจะแก้ทุกข์อย่างนี้ได้อย่างไรดี (ใช้ขันติเเละโสรัจจะ, ขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความสงบสติ)  เมื่อโดนด่ามาก็สงบเพื่อจะได้จบ ไม่คิดร้ายไม่คิดดีก็จะจบเรื่องราว คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก เเต่ถ้าพ้นความคิดนั่นคือทางสายกลางที่เรียกว่าพบธรรมพ้นทุกข์ เเต่มนุษย์เคยมาสายกลางนี้ไหม มีแต่ให้ตัวเองคิดดีเข้าไว้ ขันติเข้าไว้ ใจเย็นเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่)  ฝ่ายชายน่าจะเจอบ่อย ส่วนใหญ่เป็นคนใจร้อน วู่วาม ร้ายมาร้ายกลับไม่ยอมคนเลย วิธีจะเเก้ไขให้ดีที่สุดคือ (คิดในทางที่ดี)  จะได้เป็นสุขใช่หรือไม่ ถึงเเม้เขาจะโกงเราเอาเปรียบเราก็คิดในทางที่ดีคือ เขาไม่มีเลยมาทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จำไว้ว่าถ้ายังจมอยู่กับความคิดก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ยังยึดติดในตัวตน เเต่ถ้าว่างจากความคิดก็ไม่มีใครต้องมาชดใช้กรรมหรือสร้างกรรม คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดคือความสงบเย็นเเละทางสายกลาง
ทำอย่างไรเมื่อเจอคนแบบนี้ (ทำเป็นไม่ได้ยิน)  ตอบได้ดีนะ ทำหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ดีเหมือนกันนะศิษย์ ถึงเวลาให้ทำได้อย่างนั้นนะ (เขาด่ามา ไม่ด่าตอบ)  ตอบได้ดี
(คิดหาเหตุผลสิ่งที่เขาว่ามาถูกต้องไหม สมควรไหม)  เอาสิ่งที่เขาว่ามาไตร่ตรองตรวจสอบตัวเอง ผิดก็แก้ไข ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องระวังอย่างหนึ่งนะศิษย์ ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่ายึดบริสุทธิ์ยุติธรรม และความคิดง่ายเหมือนเอาน้ำมันไปสาดอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งความคิดได้นั่นคือสติ สติช่วยดึงเราให้เป็นกลาง และถ้ามีสติรู้เท่าทันทุกขณะที่คิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์และนำพาไปสู่อบายภูมิได้ ขอให้มีความคิดที่รู้เท่าทันด้วยสติ อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ
(เวลาโดนว่าให้ยิ้ม)  เวลาเขาด่าก็ยิ้ม ยิ้มให้ออกนะ อย่าแสยะยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งด่ากลับ ถ้ายิ้มไม่ออกก็ให้ทำสิ่งที่ดีที่สุดคือขอโทษ เขาด่ามาก็ให้ขอโทษ เราลืมคำนี้ไปแล้วหรือ ผิดไม่ผิดไม่รู้ ถ้าเราเป็นต้นเหตุให้เขาทุกข์ เราก็เต็มใจขอโทษ ดีกว่ายิ้มอีก เพราะยิ้มไปแล้วเขาจะคิดว่าเราเย้ย จริงไหม (จริง)  ถ้าโดนเขาด่ามาเราหนี แล้วเขาก็เดินตามด่าๆ ตลอด บางทีเขาไปฝากคนนู้นด่า ฝากคนนี้ด่าอีก เคยเจอไหม ศิษย์เอ๋ย อย่าหนีเลย เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์ เราเรียนรู้ธรรมเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง ยอมรับจะได้จบตรงนี้ หนีไปเดี๋ยวเขาเจอ เขาก็อดด่าเราไม่ได้อีก อย่าหนี ยอมรับความจริง ขอโทษจากใจจริง ถูกผิดไม่รู้ ขอโทษไว้ก่อน
(ไม่ยึดติด ปล่อยวาง จิตเราก็ว่าง)  เขาด่าเราก็วางไว้ตรงนั้น ไม่ลากเอากลับมาบ้าน แล้วส่วนใหญ่เราลากกลับมาบ้านไหม เอากลับมาเล่าให้เพื่อนฟังไหม อาจารย์จะบอกให้ศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เขาว่าแล้วเขาเรียกว่าขี้ปาก ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเก็บของเขาเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง แปลว่า เราเก็บขี้ มาเล่นขี้ แล้วส่งขี้ต่อ ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเราควรเก็บไหม ขี้ (ไม่)  ควรจำไหม (ไม่)  ปล่อยมันไปจากใจแล้วยอมรับความจริงว่าเราหวังให้ทุกคนชมเราไม่ได้ และเราหวังให้ทุกคนยิ้มให้เราก็เป็นไปไม่ได้ เปลี่ยนเขาไม่ได้ก็เปลี่ยนใจเราให้เข้มแข็งแล้วรับความจริงให้ได้ ด่าอย่างไรก็ไม่สะเทือน เพราะเราตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว
อาจารย์จะบอกให้ว่า วิธีแก้ก็คือ ฝึกมีสติอยู่ทุกขณะ และรู้เท่าทันความคิดต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย สติที่สามารถรู้เท่าทันความคิด จะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย และพ้นการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ที่นำไปสู่อบายภูมิ หรือไหลลงต่ำได้
กิเลสชอบเกาะคำว่าตัวตน กิเลสไม่มีตัวตนแต่ชอบมาอยู่กับเรา ศิษย์ต้องรู้จักนิสัยของกิเลส ถ้าศิษย์จับจุดของกิเลสได้ กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้ สมมติว่ากิเลสมาหาเราแล้วบอกให้เราโกรธ เราบอกว่า ฉันเห็นแล้วความโกรธ มาทำให้ฉันโกรธ ฉันจะไม่โกรธ ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ ไม่สนใจ ไม่ไยดี ความโกรธจะอยู่กับเราไหม ถ้าเรารู้ตัวตามทันความโกรธ ความโกรธนั้นจะหายไปเลย ลองคุยกับตัวเองว่า “จะโลภไปถึงไหน อายุขนาดนี้แล้ว จะโมโหไปทำไม ใจเย็นไว้” ถ้าศิษย์สามารถรู้เท่าทันใจตัวได้ รู้ทันความคิดตัวเองและสามารถหยุดยั้งกิเลสได้ ศิษย์จะพ้นภัย พ้นเวรและจะพ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำพาให้ศิษย์ไหลลงต่ำและหนีไม่พ้นอบายภูมิ โกรธมากๆ เรียกว่าไฟนรก โลภมากๆ เรียกว่าเปรต หลงมากๆ เรียกว่าภพภูมิของเดรัจฉาน แล้วศิษย์อยากไปภพภูมินั้นไหม ศิษย์จะทำอย่างไรกับใจที่ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่เนืองๆ อย่างนั้นมาดูก่อนว่าใจศิษย์นั้นมี โลภ โกรธ หลง อยู่ในใจไหม (มี)  แบบนี้ก็หนีไม่พ้นเปรตอสูรกายแน่ ลองหันกลับมาดูใจว่าใจแบบไหนที่เรียกว่าโลภโกรธหลง อยากรู้ไหม (อยาก)  เรามาดูใจก่อน ถ้าใจมีตะกอนขุ่น เมื่อมีอะไรมากระทบ ก็ง่ายที่จะโลภโกรธหลง ถ้าเราสามารถล้างใจได้ ใครมาทำอะไรก็ไม่โกรธไม่เกลียดไม่หลง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขียนกระดาน)
ทุกข์

สุข
ร้าย

ดี
เสีย

ได้
ด่า

ชม
แพ้

ชนะ
ล้มเหลว

สำเร็จ
สองสิ่งที่ตรงข้ามกันนี้มีอยู่ในใจศิษย์ไหม (มี) สิ่งไหนที่ศิษย์ชอบ (สุข) สิ่งไหนที่เกลียด (ทุกข์)  แล้วหนีสองสิ่งนี้พ้นไหม (ไม่พ้น)  ชีวิตหลงวนอยู่กับสองสิ่งนี้ สิ่งที่เราอยากมีมากที่สุดคือฝั่งสุข สิ่งที่เราไม่อยากมีคือฝั่งทุกข์ สิ่งที่มีแล้วเราอยากมีอีกไหม (อยาก)  มีสุขเเล้วอยากสุขอีกไหม (อยาก)  มีดีแล้วอยากมีดีอีกไหม (อยาก)  ได้แล้วอยากได้อีกไหม (อยาก)  มีทุกข์แล้วอยากทุกข์อีกไหม (ไม่)  โลภหลงมาจากการที่มีสุขแล้วก็อยากมีสุขอีกเรื่อยๆ นั่นเรียกว่าโลภ
ใครก็ตามที่ศิษย์อยากยึด เอาเขามากอดไว้ผูกมัดไว้เป็นของตัวเอง อย่างนั้นเรียกว่าโลภ ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นชมหรือเป็นชนะ อาจารย์ถามหน่อย มีใครได้พวกนี้แล้วครั้งหนึ่ง แล้วไม่เอาอีกเลย (ไม่มี)  ถ้าได้ครั้งหนึ่งแล้วยังเอาอีก อย่างนั้นเรียกว่าศิษย์มีความโลภ แล้วถ้าได้แล้วไม่เอาอีก เกลียด ชิงชัง อยากไปให้พ้น อย่างนั้นเรียกว่าโกรธ แล้วถ้าชีวิตนี้ไม่เคยพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ได้สักที เรียกว่าวัฏฏะแห่งความหลงวนเวียนว่าย ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ มันเป็นทางแห่งความ หลงวน เป็นทางที่เรียกว่าหนีไม่พ้นทุกข์และเป็นทางที่ไม่มีวันพบความสงบ เป็นทางแห่งการเวียนว่าย อาจารย์ถามว่า มีสุขแล้วเราสงบไหม มีทุกข์แล้วเราสงบไหม (ไม่)
แล้วทางที่แท้จริงคืออะไร ทางแห่งธรรมแปลว่าสงบ สงบไม่ใช่เรียกว่าสุขหรือทุกข์ สุข ทุกข์ไม่ใช่ทางแท้จริง ทางแท้จริงคือความคงไว้ไม่หวั่นไหว เรียกว่าสงบ แต่ถ้ายังวนอยู่กับสุขทุกข์ดีร้าย เรียกว่าทางแห่งความหลง ทางแห่งการตกเป็นทาสของหลงโลภโกรธไม่จบสิ้น ธรรมแท้คือความจริงอันสงบ คงไว้ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง เห็น จบ วาง สงบ นั่นคือทางสายกลาง เห็นแล้วไม่จบจองเวรจองกรรมนั่นคือทุกข์ เห็นแล้วอภัยขันติอดทนนั่นคือพยายามทำดีที่เรียกว่า ทำดียังยึดติดเรียกว่าสวรรค์
ศิษย์อยากพ้นสวรรค์ พ้นนรก เข้าสู่ความสงบ ศึกษาธรรมที่แท้จริง ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่รับ อย่างนี้เรียกว่าธรรมอันประเสริฐคือสงบ จบ ไม่หวั่นไหว ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเห็นอะไรแล้วเราตัดสินไปตามความคิดนั่นคือการยึดติด แต่ถ้าเห็นอะไรไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด เห็นเหมือนไม่เห็น นั่นคือเกิดมาเพื่อจบ ได้ ไม่ได้ ดี ไม่ดี จบแล้วเพราะทำหน้าที่ตัวเองดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ต่อหน้าผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคนอันประเสริฐ ตายไปไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว มนุษย์เราเกิดมาใช้กรรมและบางทีก็เป็นกรรมที่คิดว่าเราไม่เคยทำทำไมต้องมาเจอ แล้วเราอยากเจอกรรมแบบนั้นอีกไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายหญิงหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น)
อะไรในโลกที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสีย (ไม่มี)  อะไรที่ศิษย์บอกว่าสุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  อะไรที่ศิษย์บอกว่าสำเร็จแล้วไม่เคยล้มเหลว (ไม่มี)  อะไรที่ศิษย์บอกว่าสดแล้วไม่เหี่ยว ขายังเหี่ยวแต่เราอาจจะมีชีวิตไม่ทันอยู่ถึงแก่ก็ได้ ทำไมไม่ตั้งสติมองให้ดีว่าสิ่งที่ศิษย์เห็นมีความจริงซ่อนอยู่เเละเป็นแก่นของหลักธรรมที่ไม่มีอะไรสวยที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือได้ ถึงเวลาเมื่อเขาตายเราก็ไม่ได้ตายไปกับเขาด้วย หามาแทบตาย โลภมาแทบตาย ไปโกงคนอื่นมาแทบตาย ถึงเวลาเอาเงินไปได้สักบาทไหม (ไม่)  สิ่งที่เอาไปได้คือความดีความชั่วที่ศิษย์ทำ แล้วความดีความชั่วชะล้างกันได้ไหม ศีลก็ถือไม่ครบ มีแต่ความซื่อสัตย์อย่างเดียวชาติหน้าจะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะขอให้เกิดมาสบายก็เกิดมาเป็นสุนัข ศีลธรรมไม่มีมีแต่ความซื่อตรง
“เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย” ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเกิดที่ใด ขอให้เรื่องจบลงที่ตรงนั้น ไม่ลากเกี่ยวมาเป็นกรรมเวรไม่จบสิ้น กับใครศิษย์ก็จบลงได้ กับใครศิษย์ก็วางลงได้ กรรมเวรก็จะจบทันที
แต่เราเคยทำอะไรให้จบไหม เรายังคอยเกี่ยวกรรมตลอด แล้วต่อไปนี้ ทำได้ไหม จบที่เขาหรือจบที่เรา (จบที่เรา)  ในโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเรา เราก็ทำเขา ฉะนั้นอย่าทำอะไรที่ทำให้ต้องมีเวรกรรมยืดเยื้อ เพราะคำว่าขอโทษไม่สามารถทำให้ทุกคนจบได้ สู้ไม่ทำเลยแล้วไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครดีกว่า จริงไหม (จริง)  แปลว่าจะจบกรรมจริงๆ นะ จะไม่เวียนว่ายตายเกิดแล้วนะ อย่างนั้นก็ขอให้มีธรรมคุ้มครอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทำอะไรดี (ทำดี)  แค่ทำดีไม่พอ ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ถือความซื่อตรงเเละเมตตาเป็นหลัก ถ้าทำเช่นนี้ก็บริสุทธิ์แล้ว ถ้ามีเมตตาศิษย์จะฆ่าใครไหม (ไม่)  มีความซื่อตรงศิษย์จะเอาเปรียบใครไหม (ไม่)  แต่นิสัยคนชอบกดขี่ข่มเหงคน
“จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย” จุดไฟเย็นคือ คนที่กล้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม กอปรไปด้วยศีลธรรมอย่างไม่หวั่นไหว เป็นไฟเย็นที่ไปอยู่ที่ใดคนก็อบอุ่นเเละคลายความมืดมน
ไฟเย็นอะไรในใจเราที่สามารถช่วยนำพาคนให้มีความสุขเเละร่มเย็นได้ (มีสติ)  อย่างนั้นสิ่งที่ทำให้ไฟร้อนคืออะไร (โมโห,โกรธ)  เเละความยึดมั่นผูกพัน ดังนั้นไฟเย็นคือ การคิดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่โกรธเเต่ใจเย็น ไม่เห็นแก่ตัวเเต่รู้จักมองถึงหัวอกคนอื่นเเละคนส่วนรวม
(มีสติ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์)  ทำอะไรอย่างคนมีสติยั้งคิด อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)  แต่มีแล้วต้องมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นคนดีจริงทำจริงตราบจนลมหายใจสุดท้าย (ทำจิตใจให้ดี ใจเย็นให้สงบทางสายกลาง การไม่ยินดียินร้ายสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี)  มนุษย์ทุกคนมองผ่านความคิด ทำให้เรามองไม่เห็นความจริงเพราะความคิดทำให้เรายึดติดเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้ามองผ่านธรรม ธรรมสอนให้เรามองความจริงเพื่อไปสู่หนทางสงบ
อย่าจุดความคิด จุดความยึดติด จุดอารมณ์แห่งตนไปมองผู้คน เพราะเราจะรู้สึกว่าไม่มีใครได้ดั่งใจ แต่ถ้าเราจุดไฟเย็นมาคอยส่องด้วยธรรม จะมีแต่สงบ จบ ใจเย็น เมตตา ความว่าง ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราจะเข้าใจธรรมนั้นได้อย่างไร ถ้าศิษย์ไม่ดึงหลักหรือแก่นของความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวกัน ถ้าเข้าใจหลัก ยึดกุมได้ชีวิตก็ไม่ทุกข์และไม่หลงไปกับดีร้ายได้เสีย ผู้พิจารณาเข้าถึงแก่นจะค้นพบปัญญาและนำพาพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกข์เพราะการเกิด ความโมโหเกิดเพราะความคิด เราไม่พอใจก็เพราะความยึดติด เราเป็นทุกข์ก็เพราะวางไม่ลง กายของเราเกิดจากการปฏิสนธิที่เรียกว่าเป็นตัวตนนี่คือเกิดครั้งที่หนึ่ง แต่ในการเกิดหนึ่งครั้ง เรายังเกิดอีกนับไม่ถ้วนที่เรียกว่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เช่น เกิดอยากดี เกิดอยากเด่น เกิดอยากดัง เกิดอยากรวย เกิดอยากสวย เกิดอยากได้ ใช่หรือไม่ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ขจัดอัตตา”)
มนุษย์คิดว่าเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว และเเม้ว่าสังขารจะตายไปแล้วการยึดติดตัวตนก็ก่อเกิดการเวียนภพเวียนชาติ ถ้าตัดไม่ได้ก็ทำให้ศิษย์เวียนไม่จบสิ้น เมื่อไรที่มนุษย์ตัดขาดซึ่งความเป็นตัวตนยึดถือ เราก็จะเหลือแต่ความเกิดแก่เจ็บตายของสังขาร เเต่มนุษย์มีตัวมีใจมีสังขาร เมื่อมนุษย์ยังยึดติดตัวตนก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์สามารถขจัดตัดอัตตาได้ ก็จะเหลือแต่กรรมของสังขาร ไม่มีกรรมของจิตญาณที่แท้จริง เราจะใช้กรรมเเค่สังขารเเต่จิตเดิมแท้ไม่ได้มีกรรม
อยากค้นพบธรรม ลองสงบใจแล้วเอาธรรมมาพิจารณา ศิษย์จะเห็นแจ้งความเป็นจริงในใจตนเอง ธรรมแท้ไม่ได้อยู่ภายนอก ตื่นรู้ได้ด้วยใจ แต่แค่สงบแล้วพบธรรมไหม ศิษย์ไม่เคยสงบ ศิษย์เลยไปแต่ความคิด ที่เป็นทาสของกิเลสอารมณ์ สิ่งที่ศิษย์ได้ก็เลยกลายเป็นกรรม กิเลส อารมณ์ แต่ถ้าเมื่อไร ศิษย์ค้นพบธรรมในใจตน ศิษย์จะสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ และหมดความยึดถือในตัวตน เพราะตัวตนยึดไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ทำไมไม่ลองก้าว แล้วก้าวให้ถึงที่สุด ไปแล้วไปให้สูงที่สุด ในเมื่อชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมทำให้เต็มที่ไม่ได้หรือศิษย์ อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ ฝนตกศิษย์ยังรู้จักกางร่ม แล้วยามที่ใจทุกข์ทำไมไม่เอาธรรมมาปกแผ่ให้สงบร่มเย็น อย่าประมาทนะศิษย์เอ๋ย เราก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งเราจะเจออะไร ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีและคุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตเกิดมาเพื่อจบลง เกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาอะไร
ชีวิตนี้ไม่ว่ารูปหรือนามมีวันเปลี่ยนแปลงไหม มีวันทุกข์ไหม มีวันจบสิ้นไหมและมีอะไรยึดถือได้ไหม ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงบนโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวคือความไม่เที่ยง แก่นแท้ของทุกชีวิตที่เรียกว่านามรูปเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ภาวะความเป็นจริงอันหลีกไม่พ้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไตรลักษณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎเดียวกัน จะรวยจะจนก็หนีไม่พ้นกฎนี้ และกฎนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนเราจะตายจะต้องเปลี่ยนก่อน และในความเปลี่ยนนั้นมีทุกข์อยู่ ถึงที่สุดแล้วเรายึดไปก็ต้องไปสู่ความว่างเปล่า
สมมติศิษย์มีเพื่อนคนหนึ่ง ชีวิตเขาเกิดมาลำบากมากกว่าจะมีเงินสักบาท กว่าจะมีเงินสักร้อย แล้ววันหนึ่งเพื่อนเอาเงินไปแล้วไม่คืน ศิษย์เห็นใจเขาว่าทุกข์มากๆ ศิษย์จะโกรธเขาไหม จะทวงเขาไหม จะด่าเขาไหม เพราะศิษย์เห็นแล้วว่ากว่าเขาจะหาเงินมาได้นั้นเขาลำบากมากๆ ส่วนเรานั้นทำได้ไม่นานเราก็ได้มาอย่างง่ายดายแล้ว ถ้าศิษย์เห็นทุกคนล้วนมีทุกข์ ศิษย์จะเกลียดเขาไหม ศิษย์จะด่าเขาไหม ถ้าศิษย์รู้ว่าพื้นเพชีวิตเขาทุกข์ขนาดไหน เพราะเราเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์มองเข้าไปลึกๆ ศิษย์จะไม่โกรธใคร ศิษย์จะมองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ทุกคนมีทุกข์ เขามีทุกข์เขาจึงด่าเรา ถ้าเขาทุกข์แล้วด่าเรา เราก็ให้เขาด่า ถ้าคิดแบบคนใจกว้าง คิดแบบคนมีธรรม คิดแบบคนที่ถือธรรมเป็นหลัก วันนี้เขาด่าเรา พรุ่งนี้เขาชมเรา เราก็เพียงคิดว่าเขาจะด่าเราได้อีกสักกี่น้ำเดี๋ยวเขาก็เหนื่อย จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์ประจักษ์แจ้งในแก่นของหลักธรรม ศิษย์จะไม่รักใครเเละจะไม่เกลียดใครเเละศิษย์จะไม่หลงอะไรอีก เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้ทุกขณะ ปากบอกว่ารักเราแต่เมื่อถึงเวลาเขาไปรักใครอีกคน เขาก็บอกรักคนอื่น ถ้าศิษย์ยึดแก่นความเป็นจริงว่าโลกนี้ไม่มีใครเที่ยงแล้วศิษย์จะต้องรักใคร เเล้วเมื่อไม่รักศิษย์จะโลภไหม รู้ว่าโลภแล้วมีแต่ความทุกข์จะหาเหาใส่หัวอีกไหม จะมีสามีเพิ่มอีกไหม (ไม่) ภรรยาเข็ดแล้วแต่สามียังไม่เข็ด ถ้าเข้าใจเเก่นแท้เเห่งธรรมความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความว่างเปล่าจะสามารถทำให้ศิษย์ปลดปลงคำว่าโลภโกรธหลงได้ในทันที ไม่ต้องพยายามทำหน้าให้สวยเพื่อให้สามีอยู่กับเรา ไม่ต้องทำตัวให้หล่อเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก เเต่เราก็จะยอมรับความเป็นจริงว่าหล่ออย่างไรก็ต้องแก่ สวยอย่างไรก็ต้องเหี่ยว ดีขนาดไหนก็ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เงินทองชื่อเสียงความรัก ล้วนเป็นทาสเเห่งอบายมุขทั้งหมด เเต่ทำไมไม่เอาความดี ความพ้นทุกข์ ความเมตตาธรรม การเข้าใจแก่นของหลักสัจธรรม เรียนรู้หลักธรรม เพื่อเข้าใจชีวิตและนำพาชีวิตพ้นทุกข์เถอะนะศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์เดินไปถึงที่สุดแล้ว อาจารย์ไม่กลับมาช่วยศิษย์ อาจารย์เอาตัวเองรอดคนเดียวดีไหม (ไม่ดี)  เหมือนกันยุคนี้เป็นการปรกโปรดที่ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อเอาแค่ตัวเองรอด แต่เธอรอดแล้วคนอื่นต้องรอดด้วย เธอดีแล้วเธอต้องดีกับคนอื่นให้ได้ด้วย ถึงจะเรียกว่าดีของจริง เธอพ้นแล้วเธอต้องช่วยคนอื่นให้พ้นด้วย นี่ถึงจะเรียกว่าจิตพุทธะจริง ฉะนั้นขอเพียงอย่างเดียวนะศิษย์ แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วมันยาก แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วลำบาก ผู้บำเพ็ญมีใจเดียวคือ ไม่ท้อเพื่อช่วยคน ขอใจนี้ไม่ท้อ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว มุ่งต่อไป นั่นคือรู้ทางธรรม เจออะไรก็ไม่หวั่นไหว มีจิตหนึ่งใจเดียว พ้นทุกข์ให้ได้ ฉะนั้นจงไตร่ตรองให้จงหนัก
วันนี้ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ชีวิตนี้เป็นธรรมดา มีพบก็มีพราก แต่ขอให้เป็นการจบลงที่จบจริงๆ ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีทุกข์ต่อกัน สิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นภัย นั่นคือทางที่แท้จริง ที่เรียกว่า “ทางสายกลาง ธรรมแท้มีหนึ่งเดียว” แล้วทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันนี้ แต่ถ้าเมื่อไรหลงยึดติดตัวตน วางตัวตนไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบธรรมแท้ พบแต่กิเลส อัตตาและกรรมที่ศิษย์สร้าง ลองพิจารณา สิ่งที่อาจารย์พูดให้จงหนัก
ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รักตัวเองไหม (รัก)  แต่ถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักนำพาชีวิตให้ได้ดีที่สุด อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก มีโอกาสรักษาบุญ รักษาวาสนาด้วยการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าธรรม อย่าทำผิด อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ชั้นนี้หลายคนมีบุญและมีภูมิธรรม ตั้งแต่ที่อาจารย์เจอศิษย์หลายๆ ชั้นมา ชั้นนี้ถือว่ามีภูมิธรรมที่เยอะที่สุดและอาจารย์ก็เชื่อมั่นว่าภูมิธรรมนี้จะนำพาให้ศิษย์เข้าใจในธรรม นำพาธรรมนั้นไปช่วยคน ดูแลตัวเองให้ดี ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์มานำเหนือชีวิต จงรู้จักมีคุณธรรมนำชีวิต ห้อยพระไม่สู้มีใจเป็นพระ เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง รักษาความดีงามนี้ไว้ให้ได้ ตั้งใจให้ดีตลอดไป
อย่ายอมเเพ้ความมุ่งมั่นในใจตัวเอง บุญบารมีอยู่ที่เราสร้าง ตั้งใจบำเพ็ญเสียสละอุทิศดั่งจิตโพธิสัตว์ อย่ายอมแพ้จิตใจที่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อย่าหวั่นไหวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นเพียงกายสังขาร ศิษย์ของอาจารย์เข้มเเข็งสู้ไม่ถอย รักษาความดีงามบุญวาสนาที่ตัวเองสร้างโดยไม่ยึดถือ ทำเเล้วปล่อยวาง ความสุขในชีวิตคือการได้ปลดปลงเเละปล่อยวาง รักษาความดีสมกับที่ศิษย์เคยมีจิตใจที่ดี คนเราจะเจริญหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าทำโดยไม่หวังผลยิ่งเจริญ เเต่ถ้าทำเเล้วยึดมั่นในผลจะไม่ดี ศิษย์รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เเต่บางครั้งก็ห้ามใจไม่ได้ ตั้งใจให้สมกับที่ศิษย์ตั้งใจ
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนในชั้นที่ไม่สบาย)
ขอให้ผ่านพ้นเคราะห์ร้าย ตอนนี้พยายามลดละเนื้อสัตว์จะได้พ้นจากเคราะห์กรรม จงเข้มเเข็งเเละเเข็งเเรง
เพิ่มพูนปัญญา ศึกษาธรรม จะได้มานำคนได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง นำพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง ประกอบความดีงามอย่างไม่ย่อท้อ มีขวัญและกำลังใจด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น อย่าอ่อนแอ อย่ายอมแพ้ รักษาความดีงามความถูกต้องไว้ให้อยู่คู่กับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ซื่อตรง เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย
อย่ามีชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แล้วมองเห็นธรรมให้ได้ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไปเลย ตั้งสติคิดให้ดีๆ มองอย่างคนที่เห็นธรรม เข้าใจธรรม แล้วศิษย์จะได้ค้นพบอาจารย์จี้กงน้อยๆ ในใจศิษย์ที่ไม่เคยจากไปไหนอยู่คุ้มครองศิษย์ที่รักษาธรรม ศิษย์ที่คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวความลำบาก



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   


    เคยชินทำให้เคยตัว                           คนกลัวเปลี่ยนแปลงแปลกใหม่
บำเพ็ญลดละเลิกไป                               อย่าให้อัตตาสำคัญ
     เมื่ออารมณ์ไร้อำนาจเหนือใจตน            วางใจพ้นจากความคิดแห่งตัวฉัน
มีแต่ธรรมเคลื่อนไปตามจริงนั้น                 ประจักษ์ผ่านทุกสิ่งสรรพล้วนธรรมเดียว



อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-01 สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์

西元二○一七年歲次丁酉三月初五日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
  คนรู้ธรรมไม่ใช้ธรรมเป็นประโยชน์         ธรรมให้โทษถ้าไว้ใช้หลบเลี่ยงเก่ง
ชมตัวเองพูดก็เข้าข้างตัวเอง              แม้แสนเก่งก็กลับสร้างกรงขังตัว
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านสงบเย็นและสบายใจไหม
  เห็นผิดหลงความคิดของตัวเอง         คนห่างไกลคนความเก่งพาฉ้อฉล
ตามอารมณ์จึงพาดีอยู่ไม่ทน              ขาดสติชั่ววูบดลภัยคุกคาม
ทิฐิเกิดอารมณ์ชั่วแล่นน้อยคุมได้         กี่ทีสำนึกหายจากเล็กมองข้าม
บานปลายจนธรรมเลือนสิ้นดีงาม        คนขาดศีลผิดกามรูปมาทำลาย
ต่อไปขออย่าได้ลืมมีสติ                   อย่าให้เป็นเช่นนี้จนเหนื่อยหน่าย
ป้อมปราบอีกป้องกันนี้ทั้งใจและกาย    แม้ทำไม่ผิดบาปไซร้ต้องระวัง
วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่จะยอมจบ                บาปกรรมก่อไม่กลบไม่หักล้าง
เป็นแนวย้ำสร้างแต่ดีมีพลัง               ศุกล[1]ทางดีด้วยสำนึกสูงด้วยธรรม
เผยอันถูกต้องดีงามเป็นสากล            อัตตาตนไม่ยึดมั่นไม่เจ็บช้ำ
ยินดีสละปฏิบัติเคยแต่ไม่ประจำ         ฝึกเลยให้ชินจนล้ำมีฝีมือ
                                            ฮา ฮา หยุด


[1] ศุกล [สุกกะละ] ว. สุกใส, สว่าง; ขาว, บริสุทธิ์. (ส. ศุกฺล, ศุกฺร;ป. สุกฺก).

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

มนุษย์มักกล่าวว่าทุกปัญหามีโอกาส เเต่ในทางกลับกัน ทุกโอกาสก็อาจกลายเป็น (ปัญหา)  อยู่ที่อะไรหรือ (ตัวเรา)  มนุษย์มักจะพูดว่าคนฉลาดทำทุกปัญหาให้เป็นโอกาส เเต่คนโง่เขลาทำทุกโอกาสให้กลายเป็น (ปัญหา)  ฉะนั้นย้อนถามกลับที่ทุกท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นปัญหาหรือเป็นโอกาส (โอกาส)  คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ เขาสามารถแปรทุกๆ ความทุกข์เป็นความสุข แต่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกคือ ทุกๆ ความสุขเขาคิดแต่เรื่องของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ท่านเป็นคนฉลาดที่สุดและเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่ถ้านั่งอย่างหวานอมขมกลืนแล้วเป็นทุกข์ ถ้านั่งมองอย่างเป็นปัญหา เราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขจริงหรือไม่ (จริง) 
มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ ความเย็นใจ ความสบายใจ ความผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ใจได้สงบ ขอให้ใจได้เย็น ขอให้ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทุกขณะที่เราเผชิญชีวิตในโลกทำไมเรากลับไม่สงบ เรากลับไม่เย็นใจ เรากลับไม่เคยผ่อนคลาย และบางทีเหมือนไม่เคยสบายใจ ทั้งที่ลึกๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเราอยากหาที่สบายใจ ที่ๆ ทำให้เราสงบใจ หรือสิ่งที่ทำให้เราเย็นใจ ใช่หรือไม่ เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราจะผ่อนคลายใจก็ต่อเมื่อต้องนั่งมองทะเล เอาทุกข์ไปทิ้งที่ทะเล ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราต้องหลับตา ปิดหูปิดตา ไม่ต้องฟังเรื่องอะไรใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็เห็นโดยส่วนใหญ่อยากหาความสงบใจ ความเย็นใจ ปิดตาปิดหู ไม่ต้องรับรู้อะไร พอเข้มแข็งแล้วค่อยมาลืมตาสู้ใหม่ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราจะบอกท่านว่า ในความวุ่นวายเรากลับหาความสงบได้
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง สมมติว่าเราพยายามปลูกผลไม้ ในช่วงก่อนที่ผลไม้จะออกผลเราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายไหม เราวางใจสบายได้ไหม ไม่เคยได้เลยใช่ไหม พอผลไม้ออกผลแล้ว เราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายเราสบายใจไหม ก็ไม่เคย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ความอยาก ความยึด ทำให้ใจเราไม่สงบไม่เย็น ความมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเอาให้ได้ต้องทำให้ได้ต้องดีให้ได้ ทำให้เราไม่ผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอทำเสร็จ ต้องดีต้องสำเร็จ เลยทำให้เราไม่เคยสบายใจ แม้ว่าเรากำลังจะทำหรือทำเสร็จแล้วถ้าเราบอกว่า ไม่ว่าทำอะไรสักอย่างหนึ่งออกมาหรือยังไม่ทำออกมาเเต่ถ้าทุกขณะเราทำอย่างเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ สงบไหม (สงบ)  เย็นไหม (เย็น)  สบายใจไหม (สบายใจ) 
ฉะนั้นธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อเเสวงหาเเล้วยึดมั่นเกาะกุมอย่างไม่ปล่อยวาง หรือธรรมสอนให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเเสวงหาอย่างเข้าใจเเละยอมรับความจริง เราเทียบง่ายๆ ความอยากทำให้มนุษย์ไม่สงบ การไม่ยอมรับความจริงทำให้มนุษย์ไม่สามารถเย็นหรือสบายใจได้ การหมกมุ่นกับสิ่งใด ว่าต้องให้ได้ มันทำให้จิตเราไม่ผ่อนคลาย เเต่การทำอะไรจนถึงที่สุดเเล้วยอมรับความจริง เเละกล้าเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันด้วยหัวใจที่
เข้มเเข็ง ทำดีที่สุดเเล้วนั่นกลับทำให้เราสบายใจกว่า ถ้าทุกขณะเราทำไปแล้วจบ วางได้คือดีที่สุด ทุกขณะที่ทำจะเย็น สงบ สบาย ผ่อนคลาย เเต่ถ้าเราทำเเล้ว ต้องแบบนั้นแบบนี้ ต้องให้ได้ ทุกขณะที่ทำเลยไม่เคยเย็น ไม่เคยสงบ ไม่เคยผ่อนคลาย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เราทำดีที่สุดเเล้วปล่อยวางเเละละวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนทุกข์ใจ จริงไหม (จริง)  ธรรมสอนให้ไม่ถึงกับปล่อยวางเเต่ละวางอย่างเข้าใจ แค่ตรวจสอบว่าถ้าเราทำออกมาแล้วมีคนว่า ถ้าเรายอมรับได้เราก็เย็น

มีคนชมมีคนว่าถ้าเรายอมรับเราก็เฉยๆ ถ้าเรายอมรับ เราก็สงบใจ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ต้องดี ต้องยึดมั่น ทุกขณะเราเลยไม่เคยสงบ ไม่เคยเย็น ไม่เคยผ่อนคลาย ไม่เคยเป็นสุข ธรรมสอนให้เรามาปฏิบัติเพื่อใช้กับชีวิต ไม่ใช่ไปทุกข์มาถึงที่สุดแล้วปล่อยไม่ลง แต่ธรรมสอนให้ใช้ตอนนี้ ตอนที่จะอยาก อยากแล้ววางได้ไหม อยากแล้วยอมรับได้ไหมถ้าไม่ได้อย่างที่อยาก มันจะทำให้อึดอัดแล้ว แย่เลยไหม เหมือนถ้าปลูกผลไม้มาลูกหนึ่งแล้วห้ามติ ต้องขายได้ราคาดี ต้องหวานอย่างเดียว ต้องไม่มีแมลงได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามนุษย์ใส่ใจในทุกขณะที่เกิดขึ้น และเรียนรู้อย่างมีสติ เราจะไม่เป็นคนที่ทำร้ายตัวเราเอง เพราะเรารู้จักธรรม ธรรมอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น แต่ไม่ทำให้เราทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วเชื่อไหมว่าทุกขณะไม่จำเป็นจะต้องไปมองทะเล ไม่ต้องไปหาที่สงบ อยู่ที่ไหนเราก็สงบได้ แต่ถามตัวเองก่อนว่าทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นั่นแหละ เย็น สงบ สบาย ได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่ไกลๆ ไม่ต้องรอเข้าวัดฟังธรรม ธรรมมันอยู่ในตัวเราเมื่อไหร่จะทำสักที ทำให้มันเป็นธรรม ไม่ใช่ทำให้ตนเองเป็นที่ผลิตกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)
เหมือนอยู่กับเราตอนนี้ ถ้าไม่มีความอยากใจก็สงบ ถ้ากล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นใจก็เย็น ถ้าไม่มุ่งมั่นอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หัวใจก็ผ่อนคลาย เเละถ้าไม่ยึดติดว่าต้องแบบนั้นแบบนี้ใจเราก็สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนไปอยู่ที่ทำงานถ้าไม่เกิดความอยาก ทำงานก็มีความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ากล้ายอมรับว่าจะได้ไม่ได้เราก็ใจเย็น ถ้าไม่บีบคั้นตัวเองว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำงานเราก็ผ่อนคลาย เเล้วถ้าทำให้ดีที่สุดเเล้วอะไรก็กล้าเผชิญ จิตใจเราก็เบิกบานเเละสบาย ใช่หรือ (ใช่)
ฉะนั้นคำว่าสงบ เย็น สบายใจ ไม่ได้อยู่ภายนอก เเต่ถามใจเราเองก่อน เรียนรู้ที่จะเข้าใจเเละยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติ เเละเราจะเข้าใจว่าทุกๆ อย่างก็คือธรรมเเห่งความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมากไป ไม่มีอะไรน้อยไป เเต่ใจเราต่างหากที่ตีกรอบยึดมั่นคาดหวัง เเละทำให้สิ่งธรรมดาเป็นสิ่งที่ทุกข์หรือสุขก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดไม่ยากนะ เหมือนเราพยายามจัดดอกไม้ให้สวยที่สุด ถ้าเรายึดว่าต้องได้รับคำชมอย่างเดียว เราสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าเรายึดว่าต้องดีอย่างเดียวอย่าร้าย เราจะเย็นไหม (ไม่เย็น)  พอใครมาพูดว่าไม่ดี เป็นอย่างไร อารมณ์ขึ้นเลย เพราะฉันมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำดีความดีก็อยู่ในผลงานนั้นแล้ว ส่วนจะดีหรือไม่ดีในใจเขา เราบังคับให้ทุกคนเป็นอย่างที่ใจเราคิดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ใช่บอกให้ท่านยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ จนไม่ยอมมองความจริง แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรามองความจริงด้วยสติ ทุกขณะที่เกิดล้วนคือธรรม การปฏิบัติธรรมสอนให้เราพูดดีทำดี แต่การปฏิบัติธรรมไม่ได้สอนให้ทุกคนต้องดีกับเรา ถูกไหม (ถูก)  มีธรรมบทไหนบ้างที่สอนว่าเราจะดีได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต้องดีกับเรา การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติดี แต่การปฏิบัติดี ไม่ใช่ให้เรามีหน้าที่ไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะมาตรฐานความดีของทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน)  ฉะนั้นที่เขาปฏิบัติกับเราอาจจะเรียกว่า สำหรับเขาอาจจะทำดีที่สุดแล้ว แต่เรามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราร้าย
ก่อนที่จะว่าเขาร้าย เรายึดติดดีในแบบของเรา แล้วรับดีในแบบของเขาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เรื่องที่เราพูด เราว่าไม่ยากนะ แต่ยากที่ใครจะทำได้จริง ถ้าทำได้จริง ความสงบ เย็น สบาย และอิสระมีได้ในทุกขณะ และเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แต่เราไม่เคยคิดที่จะทำกันจริงๆ เท่านั้นเอง งั้นเราเทียบง่ายๆ นะ ท่านว่าดอกไม้นี่สวยไหม (สวย)  ถ้ายังคิดอย่างนั้นแปลว่ายังมองไม่ถึงที่สุดนะ ถ้าคนที่มองถึงที่สุดและมองอย่างเข้าใจธรรมจะบอกว่า ทั้งสวยและไม่สวย จริงไหม (จริง)  นี่แหละเรียกว่าคนไม่ประมาทในการมีชีวิต งั้นถามอีกกระเช้าดอกไม้ดีไหม (ทั้งดีและไม่ดี)  ดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่กระเช้า แต่ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจท่าน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นต้องมีสตินะ แล้วท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจ แล้วไม่มีอะไรมาทำให้ท่านหลงและทำให้ท่านทุกข์ได้ กระเช้าดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่มันทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่ากำลังเอากระเช้าไปทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ท่านมาเรียนรู้ศึกษาการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมีรากฐานคือการกระทำดี การกระทำดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราศึกษาจึงขอพูดเกี่ยวกับเรื่องหลักธรรมในการเอาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิต เมื่อเราบอกว่าการทำดีเป็นฐานของการปฏิบัติธรรม คนส่วนใหญ่จึงเลือกทำสิ่งที่ดี ถ้ามือหนึ่งทำดี เเต่อีกมือหนึ่งทำไม่ดี ถ้าบอกว่าคนหนึ่งขยันทำดีเเต่อีกด้านหนึ่งชอบแอบคิดคดโกหกนินทาว่าร้าย อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  เเละจะบอกว่าคนดีแบบนี้ทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าเขาทำดีก็จริงเเต่สิ่งที่ผิดที่ร้ายเขายังไม่รู้จักละ อย่างนั้นจะบอกว่าตนเองทำดีเเล้วไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถึงเวลาเรื่องร้ายๆ เราก็ยังทำอยู่
คนดีที่เเท้จริงคือเเม้ไม่ได้ทำดีอะไรมาก เเต่ไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายเลยนั่นถึงจะเรียกว่า (คนดี)  ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคนดี มือหนึ่งทำดีเเต่อีกมือหนึ่งยังแอบคดโกง ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่ปฏิบัติดีได้อย่างถูกต้อง เเล้วจะบอกว่าทำดีเยอะๆ เผื่อความดีนั้นจะมาล้างความไม่ดี ท่านว่าล้างได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนวันนี้ท่านไปทำบุญกับคนกลุ่มนี้ เเต่ท่านไปด่ากับคนกลุ่มนั้นเเละให้คนกลุ่มนี้มาชมว่าเราดีให้กับคนกลุ่มนั้น ฟังขึ้นไหม (ไม่ขึ้น)  แล้วเรียกว่าดีเเท้ไหม (ไม่แท้)  อย่างนั้นอย่าบอกเราว่าท่านกำลังปฏิบัติดี ถ้าท่านยังไม่ละบาป ละชั่ว ละกรรม พระพุทธะสอนไว้ว่าละบาปเมื่อไหร่ก็คือการบำเพ็ญบุญเมื่อนั้น เเต่ถึงจะทำบุญเเค่ไหนแต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ ท่านก็ไม่อาจเรียกว่าคนบุญ
หลายท่านมักบอกว่า ทำดีเเทบเเย่ไม่เห็นได้ดี ทำไมทำดีมากๆ ไม่เห็นโชคดี ทำไมเป็นคนดีมีศีลมีธรรมกินเจเเล้ว ทำไมยังมีโรคภัยไข้เจ็บไม่เห็นดีเลย เห็นบ่นตัดพ้อว่าฟ้าว่าดินประจำ อย่างนั้นเราจะตอบให้ฟังว่าเพราะอะไร ท่านเคยได้ยินไหมว่าโรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังปากร้ายว่าคน เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังกินตามใจปากจะแข็งแรงไหม (ไม่เเข็งเเรง)  แล้วเกี่ยวอะไรกับทานเจปฏิบัติธรรมเเล้วป่วย ทำไมทำดีถึงโชคร้าย ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ไม่มีภัยพิบัติใดเเละไม่มีหายนะใดๆ ในโลกน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้จักพอ ภัยพิบัติเเละหายนะมาจากความอยากที่ไม่รู้จักพอ เกี่ยวอะไรกับการทำดีไหม (ไม่เกี่ยว)  จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติดี เเต่ไม่ละชั่ว ใฝ่ดีเเต่ยังไม่ละความเลวร้ายในตัวตน จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีนั้นจึงไม่ใช่ ฟ้ายุติธรรมเสมอ ดีก็มีผลดี ร้ายก็มีผลร้าย ไม่อยากทุกข์ก็อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่เเจ้ง ถ้าท่านเข้าใจแบบนี้การปฏิบัติดียากหรือไม่ (ไม่ยาก)
การปฏิบัติธรรมนั้นแท้จริงคือการมุ่งมั่นละชั่ว ทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง แต่คำว่าละชั่วทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ใช่หมายความว่า เกลียดคนไม่ดี ผูกใจเจ็บแช่งชักคนไม่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าเราปฏิบัติดีและเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะว่าเขาไหม เราจะผูกใจเจ็บไหม เราจะด่าไหม (ไม่)  ถ้าท่านคือคนที่ประพฤติปฏิบัติดีและอยากให้สิ่งดีมาบังเกิด เราถามหน่อยว่า คนที่ประพฤติปฏิบัติดี พอเจอคนไม่ดีจะแช่งชักหักกระดูกไหม จะผูกใจเจ็บไหม จะโกรธเกรี้ยวไหม (ไม่)  หลายๆ ท่านพูดว่าที่แล้วมา แล้วๆ กันไปนะ แต่เราจะบอกให้ท่านอย่างหนึ่งนะ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน เราจำสิ่งที่ดีมากกว่าหรือจำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่า (สิ่งที่ร้าย)  เมื่อจำก็แปลว่าผูกใจเจ็บ เมื่อเห็นแล้วยังรู้สึกขัดตาขัดใจก็แปลว่ายังรู้สึกอยากจองเวรจองกรรม แล้วนั่นคือหนทางของผู้ประพฤติดีหรือ อย่างนั้นปฏิบัติธรรมก็คือละชั่ว ไม่ทำผิดเลย นั่นดีที่สุด แต่มนุษย์ปัจจุบันปฏิบัติดีผิดทางหมดเลย ชั่วไม่ละแต่ดีก็ทำ เหมือนเราถามท่านว่า เราตบท่านแล้วบอกขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  แม้เอาของมาให้สิบอย่าง แต่ที่ท่านว่าเรา ที่ตีเรา ที่ด่าเรา ลืมลงไหม (ไม่ลง)  
ฉะนั้นการปฏิบัติดีที่แท้จริงคือ ผิดก็ไม่ทำ บาปก็ไม่ก่อ กรรมก็ไม่คิดสร้าง ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจปฏิบัติธรรม จงอย่าหลงกับการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติไม่ใช่สอนให้เรารักดี เกลียดชั่ว และไม่มองความจริง แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรากล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนเราถามท่าน นิ้วทั้งห้านิ้ว นิ้วไหนดีที่สุด (นิ้วทั้งห้าก็เกื้อกูลกัน)  ถ้าท่านคิดแบบนี้กับทุกคนก็ดี เพราะคนที่เขาไม่ดีเปรียบเหมือนคนที่โชว์นิ้วกลาง แต่เขาก็คือคนที่ทำให้เราเห็นความเป็นคน แม้แต่ตัวเราบางทีเราก็ยังทำตัวให้เหมือนโชว์นิ้วกลางได้ก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรายอมรับว่าไม่มีอะไรไม่ดี เพราะทุกสิ่งล้วนเกื้อหนุนกันจริงไหม (จริง)  ไม่มีเขาหรือจะมีเรา ไม่มีโง่หรือจะมีคนฉลาด ไม่มีคนร้ายหรือจะมีคนดี ไม่มีคนต่ำเตี้ยหรือจะมีคนสูง ไม่มีคนสูงหรือจะมีคนที่สูงกว่า ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างมืดกับสว่าง ท่านว่าอะไรดีกว่ากัน ถ้าไม่มีมืดท่านจะมีวันพักผ่อนหรือ เพราะถ้ามีแต่วันสว่าง ท่านคงทำงานไม่จบไม่สิ้น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่มีมุมมืดของคนเราจะเข้าใจความเป็นคนไหม เราจะมองเห็นคนชัดเจนไหม ถ้าว่ากันให้ถึงที่สุดถ้าเราเรียนรู้อย่างคนที่ยึดหลักธรรม มีธรรมเป็นหลัก อะไรคือสิ่งที่ร้าย อะไรคือสิ่งที่ดี เพราะในร้ายก็มี (ดี)  ในดีก็มี (ร้าย)  ท่านก็รู้อยู่เต็มอก
ถ้าท่านเข้าใจหลักของธรรมในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านจะรู้ว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือหัวใจเเห่งความดับทุกข์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ถามตัวเองก่อนทำดีที่สุดเเล้วหรือยัง ทำดีที่สุดเเล้วไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ต้องวางลงเเละยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เเต่บางทีก็อดไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  ธรรมะสอนให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง แต่ทำไมเวลาเราประพฤติปฏิบัติดีเรากลับหลงยึดติดบุญ โลภในการสร้างบุญกุศล ถ้าทำเเล้วยังหวังผล ทำเเล้วยังโลภหวังผลบันดาลดล นั่นก็เเปลว่าท่านละไม่จริง ในเมื่อธรรมสอนว่าโลภโกรธหลงเป็นทางมาเเห่งบาป ถึงที่สุดคือให้ความทุกข์เเละวิบากกรรมที่ไม่สิ้นสุด ถ้าทำบุญแล้วเรายังขอไหม (ขอ)  ถ้าขอก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด อย่างนั้นปฏิบัติถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  หลักของการปฏิบัติธรรม หัวใจหลักก็คือ ทำจนถึงที่สุดคลายจากความยึดถือ เพราะหัวใจของการดับทุกข์ คือการไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นใดๆ ในโลก สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดแปลว่าเราก็ยังหลงอยู่นะ
ธรรมะสอนให้เราหลงหรือสอนให้เราละ (ให้ละ)  แล้วที่เราปฏิบัติธรรมเราหลงหรือเราละ (เราหลง)  อะไรที่ทำให้เราละวางได้ นั่นเรียกว่า ปฏิบัติธรรม แต่ถ้าอะไรทำให้เรายึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวาง เรียกว่า หลงกับการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ทำแล้วละหรือทำให้หลง ผู้ที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แม้ท่านจะทำดีก็ไม่ได้เป็นการประกันว่าจะโชคดี ถึงจะทำดี โชคร้ายก็ไม่เป็นไร ถึงจะละร้ายละชั่ว แล้วต้องเจอเคราะห์เจอภัยก็ไม่เจ็บปวด เพราะผู้ที่เข้าใจธรรมยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ร้ายดีไม่เท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความจริง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าร้ายหรือดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าท่านเข้มแข็ง ถ้าท่านกล้าหาญ ถ้าท่านรู้จักปัญญาของตน ร้ายท่านก็แปรเป็นยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ธรรมะสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตอนนี้ท่านบำเพ็ญแบบยึดคนหรือว่ายึดธรรม ปฏิบัติตามคนหรือปฏิบัติตามธรรม ท่านมักปฏิบัติตามคน คนดีเราก็ทำ คนไม่ดี (ก็ไม่ทำ)  เราแค่มาบอกให้ท่านปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง อย่าหลงกับการปฏิบัติธรรม เพราะคิดแค่เพียงว่า หวังดี ชอบดี ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดดีแล้วเกลียดร้าย แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้ท่านเป็นคนปฏิบัติดีที่ไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่)  ก็ธรรมสอนให้เราเป็นกลาง เมื่อเป็นกลาง อะไรจะเกิดก็คือสิ่งนั้นดี ตั้งแต่ต้นเลย ยอมรับได้ก็เย็นได้ หยุดอยากได้ก็สงบได้ ไม่หมกหมุ่นจนเกินไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็ผ่อนคลายได้ เมื่อทำถึงที่สุดยอมรับความเป็นจริงเราก็สุขและเบิกบานใจได้
จิตญาณที่บริสุทธิ์เป็นต้นรากแห่งความรู้ ถ้าญาณบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัด ความรู้เป็นหลักของหัวใจ ถ้าความรู้แจ่มชัดถูกต้อง ไม่อคติไม่ลำเอียง มีความเป็นกลาง อะไรจะเกิดเราก็สงบ แต่เป็นเพราะว่าความอยากที่มันมากเกินไปต่างหาก ที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่สามารถบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปมากกว่า ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ปัญญาและความกล้าหาญได้อย่างแท้จริง และถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่า เราจะสูงส่งโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเกียรติยศ เราจะสามารถร่ำรวยได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีทรัพย์มากมาย เราสามารถเข้มแข็งได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีอำนาจยศศักดิ์ และเราก็สามารถเย็นและเป็นสุขในโลกนี้ได้ แม้จะไม่มีใครมาเติมเต็มหัวใจเรา เพราะเราเข้าใจธรรม ธรรมทำให้เราสูงโดยที่ไม่ต้องมีใครยก จริงไหม (จริง)  ธรรมทำให้เราเข้มแข็งโดยที่ไม่ต้องมีใครมาเยียวยาใจ มาเติมใจ และธรรมทำให้เราเบิกบาน เพราะเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งผู้คน เราจึงอยากให้ท่านได้เข้าใจธรรมอันนี้ ซึ่งธรรมอันนี้ไม่ได้อยู่ภายนอก ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่อยู่ในหัวใจของทุกคน มองอย่างเป็นธรรมหรือมองอย่างคนที่มีอัตตา นิสัย ความคาดหวัง ความยึดมั่น แห่งตัวตน มองเป็นธรรมเราได้ธรรม มองตามนิสัย ตามอารมณ์ เราได้อัตตาตัวตนที่เวียนวนไม่จบสิ้น ปฏิบัติธรรมหาใช่อยู่ที่ผู้อื่น ถ้าท่านเข้าใจธรรมแล้ว ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วเมื่อเราทำได้ดีแล้วมีหรือคนรอบข้างจะไม่ดีตาม แต่กลัวอย่างเดียว ตัวเองยังไม่ดี แต่ต้องการจะไปเรียกร้องคนอื่นให้ดีก่อน จริงไหม (จริง)  
ศึกษาธรรมยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนปล่อยไม่ได้ ถือหลักธรรมเป็นแนวทาง ฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วภาษาไม่สามารถอธิบายธรรมได้ทั้งหมด เพราะธรรมไม่ใช่เรื่องไกลนะ อยู่ในนี้ในตัวเราเอง ถ้าบริสุทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าอยากไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีร้ายมีดีตามที่ใจเรายึดติด จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าได้ดูเบาธรรมในหัวใจของตัวเอง อย่าได้ลืมเลือนธรรมอันดีงามที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมในตนนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐                  สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มองผ่านใจเจ้าจะเห็นภาพลวงตา      ใจที่มาด้วยความคิดและนิสัย
คอยปรุงแต่งกิเลสและอุบาย             เป็นเคยชินดีร้ายไปตามอารมณ์
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

  กิเลสฝังแน่นความลำบากเดชเรืองฤทธิ์     ปัญหาติดตรึงตรายากแก้ยากรื้อ
หมั่นล้างใจมาบูรณาด้วยสองมือ         สั่งให้ใจยกมือลงมือทำ
ใจคนยิ่งสูงจริงยิ่งอ่อนน้อม               บำเพ็ญจริงมุ่งทำพร้อมอยู่อย่างต่ำ
พูดคิดดีอะไรดีจงรีบทำ                   ที่ฟันฝ่ามีกรรมไม่เสมอไป
นพธรรมครองเมตตาธรรมคล้ายเชื่องช้า        ภายในกรุณาโชคคณานับตาน้ำไหล
ทำดีไว้วาสนามานะจะมาไว              ฝึกฝืนสู้จะละหวั่น[1]หรือดีให้รีบฝึกบำเพ็ญ
                                                                        ฮา ฮา หยุด



[1] จะละหวั่น ว. ชุลมุน, วุ่นวาย

ผนึกใจสายสัมพันธ์ ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ จงผ่านหลุดพ้นไปก่อน ศิษย์จงบำเพ็ญ หัวใจไม่แสนงอน ใช้ธรรมะอย่ามีขาดตอน   ยิ่งตอนจิตใจขึ้นลง 
เจ้าเป็นคนไม่เหมือนใคร ปรับความคิดในใจเต็มหนึ่งเพราะปัญญา หากแค่คนดีไม่พอบรรลุกลับมา หลายเรื่องทำให้มีปรัชญา ไม่ทำขายหน้าตัวเอง
* ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดจากชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น  ทัดทานไม่เบาเสียงลง 
อยู่กับดินไม่สูงไป  ตราบจิตสุดท้ายวันใด น้อยใจไม่ได้มาส่ง  ท้อแท้วันใดถ้าใจคอยไหลลง  แก้ไขให้จงเจาะจง ก็คงสมบูรณ์สักวัน  (ซ้ำ * )

ทำนองเพลง :คำสัญญา
ชื่อเพลง :ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กินอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม, ยังไม่อิ่ม)  อย่างนี้ทุกทีนะ พูดแล้วค่อยคิด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายใครต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองพูด (ตัวเอง)  ฉะนั้นก่อนพูดอะไรคิดให้ดีๆ ถึงพูดดีแต่ทำให้ไม่สมานสามัคคีบางทีก็ไม่ต้องพูด ถึงจะดีแต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนแตกแยกกันก็เป็นบาปเหมือนกัน แล้วเราควรพูดไหม (ไม่ควร)  อยู่ในโลกเราพูดน้อยหรือพูดเยอะ (พูดเยอะ)  แล้วพูดเยอะส่วนใหญ่ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  พูดเยอะแล้วไม่ดีควรหยุดพูด ศิษย์เอยอย่าเพิ่งเห็นแค่ภาพลวงแล้วทำให้ตัดสินอะไรโดยที่ไม่มองแก่นแท้ภายใน อย่าเพิ่งยึดติดรูปลักษณ์จนลืมมองแก่นแท้หรือหลักสำคัญๆ ที่วันนี้เราจะได้มาผูกบุญกัน
อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนมักจะวัดคนที่รูปลักษณ์ภายนอก วัดกันจากความคิดที่ตัวเองเข้าใจ แต่บางทีสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจ บางทีเขาเรียกว่าไม่อัพเดต ใช่ไหม (ใช่)  รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจไม่เป็นความรู้เก่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ แท้จริงนั้นอาจจะไม่จริงก็เป็นได้ เราบอกว่าเรามองเห็น แต่สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจของเรา เอาความคิดความเข้าใจของเราไปตัดสินคน จนบางครั้งเราอาจจะไม่มองเห็นความจริงแท้ก็เป็นได้
(พระอาจารย์เมตตาทำท่าชูนิ้วโป้งขึ้น  <)
แบบนี้แปลว่า (เยี่ยม)  ไม่ใช่ แปลว่านิ้วโป้ง อาจารย์ผิดไหม (ไม่ผิด)  แล้วศิษย์พูดผิดไหม (ผิด, ไม่ผิด)  ศิษย์พูดไม่ผิด แต่บางทีที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่าเข้าใจไปคนละอย่าง ใช่หรือไหม (ใช่)ศิษย์เอ๋ย บางครั้งที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทุกคนต่างมีความจำได้หมายรู้ มีความคิดความเข้าใจ มีมุมมองต่างกัน การมองสิ่งหนึ่งหรือการคุยกับใครสักคน โอกาสที่เราจะผิดพลาดหรือโอกาสที่เราจะเข้าใจไม่ถูกมีมาก ฉะนั้นการที่เราสื่อสารกันไปคนละเรื่องเราควรโกรธกันไหม (ไม่ควร) ควรด่าเขาไหม (ไม่ควร)  อย่าเอาแต่สายตาตัวเองไปวัดเรื่องราวต่างๆ จนมองไม่เห็นความจริง จนลืมมองคนตรงข้าม ว่าเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร
พุทธสถานที่นี่ชื่ออะไร (หมิงเอิน)  คนสร้างก็สว่าง คนอยู่ก็ต้องมีใจสว่าง มนุษย์อยู่ในโลกที่มีความมืดสว่าง เราอยากหาความสว่างที่แท้ในจิตใจของเรา แต่บางทีเราหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พุทธะบอกว่า ความสว่าง ความกระจ่างภายนอก ไม่สู้ความสว่างและความกระจ่างที่เกิดจากปัญญาเข้าใจชีวิตที่แท้จริงภายใน เพราะจะทำให้เราไปอยู่ที่ใดก็สว่าง ไปอยู่ที่ใดก็เห็นได้แจ่มชัด แม้ว่าชีวิตมืดมน แต่ความกระจ่างชัดในปัญญา ความกระจ่างชัดในชีวิต จะทำให้เราแปรความมืดเป็นความสว่างได้ด้วยสติและปัญญาตน วันนี้เรามาเพื่อศึกษาธรรมเพื่อจะเอาไปใช้ปฏิบัติธรรม ถ้าวันนี้มาศึกษาเเล้วไม่ปฏิบัติ ฟังไปแล้วไม่นำไปใช้ จะฟังไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ  ถ้าวันนี้มาฟังเเล้วต้องนำไปปฏิบัติ เเต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่เราต้องปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติดีไหม เราพยายามจะนำไปปฏิบัติเเต่ถึงเวลาเรามักปฏิบัติไม่ค่อยดี ตัวปัญหาที่ทำให้เราปฏิบัติได้ไม่ดีก็คือตัวเรา
ทำไมเวลาศิษย์เจอทุกข์ เจอความยากลำบากที่ทำให้คิดเเล้วจะทุกข์เเล้วกลุ้มใจ ทำไมศิษย์ไม่บอกว่าขี้เกียจทุกข์บ้าง ตอนปฏิบัติธรรมปฏิบัติดี ขี้เกียจไหม (ขี้เกียจ)  ถ้าเวลาทุกข์นำบทนี้ไปใช้บ้าง พอจะโมโหก็ให้บอก   ขี้เกียจโมโห  พออยากเป็นคนผิดศีลผิดธรรม ก็ให้ขี้เกียจผิดศีล ดีไหม (ดี)  เเล้วทำไมไม่ทำ พอจะด่าเขาทนไม่ได้ ก็ให้บอกขี้เกียจด่า ความโลภความหลงเป็นทางเเห่งทุกข์ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์เเละเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องเผชิญกรรมที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นรู้ว่าไม่ดี ทำไมไม่รู้จักทิ้งไป เเต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่ายาก จริงไหม (จริง)  มันยากจริงหรือ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่าความโลภความโกรธความหลงไม่น่ากลัว ลองมองดูนะ ความโลภความโกรธความหลงมีตัวตนไหม (ไม่มี)  กิเลสเกิดจากความคิดคำนึงถึงความมีตัวตน กิเลสจะไม่มีถ้าจิตญาณไร้ซึ่งตัวตนที่กำลังคิดว่าตัวตนเรานั้นไม่ยอม ตัวตนเราอยาก ตัวตนเราชอบ เลยทำให้เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้าเอาตัวตนออกจากจิตที่ไม่คิดอยากไม่คิดชอบไม่คิดหลง กิเลสมาไม่ได้ กิเลสเกาะไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยรักใครมากๆ แล้ววันหนึ่งหมดใจไหม ไม่เหลือใจให้รักแล้ว ไม่อยู่ในสายตาแล้ว อารมณ์จะครอบงำใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ความเป็นเขาจะทำร้ายใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราอยาก ใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราทุกข์ และใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราเกลียด ถ้าเราหมดใจไม่ใส่ใจ หรือเรียกตามภาษาธรรมว่า “วางเฉย” เขาจะด่า จะว่า จะไปมีใหม่ ก็เฉย กลับมาทำใจของเราให้เข้มแข็งแล้วยอมรับความจริงที่เป็นแบบนี้ให้ได้ ไม่ดีกว่าหรือ ทุกข์ใจ เกลียดไป ด่าไป ไม่มีอะไรดีขึ้น จุดไฟเผาตัวเอง เพราะหาเขามาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม (ใช่) เปลี่ยนเขาสิ แต่เขาไม่เปลี่ยน ว่าเขาสิ แต่เขาก็เหมือนเดิม ทำอย่างไรได้ เขาเฉยเราก็ต้องเฉย ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ถามศิษย์นะ อารมณ์น่ากลัวหรือใจเราที่ไปยึดติดอารมณ์แล้วเฉยไม่ได้น่ากลัวกว่ากัน ธรรมะบอกว่าใดๆ ในโลกจะสามารถพ้นกรรมและสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่หรือตัดกระแสกรรมได้ ขอเพียงแค่ “รู้ใจตัวเอง รู้เท่าทันใจ” อารมณ์ก็หยุดได้ ใครจะร้ายใครจะดีก็เฉย แต่ตอนนี้เราเป็นอย่างไร กระทบทีก็ด่าที กระทบก็แช่งทีมนุษย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก พ้นจากความคิด เย็นเข้าสู่พระนิพพาน ฉะนั้นถ้าโดนตบแล้วด่าเขา ก็เกี่ยวกรรม ตกนรก แต่ถ้าโดนตบแล้วแผ่เมตตา โดนตบแล้วคิดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ไม่ต้องไปทำอะไร การพยายามเอาตัวไปหยั่งรากและลงเมล็ดพันธุ์แห่งกรรมก็ก่อเกี่ยวเป็นวัฏฏะไม่จบสิ้น ใจนี้เหมือนเนื้อนาบุญ กิเลสเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากและวัฏฏะการเวียนว่าย แต่ถ้าเราไม่หย่อนเมล็ดกิเลส ไม่หย่อนเมล็ดอัตตา ไม่หย่อนเมล็ดตัวตนลงในกายนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายก็จบสิ้นแค่ชาตินี้ แต่มนุษย์นั้นจำไว้เพื่อผูกใจเจ็บ คิดไว้เพื่อล้างแค้นในสักวัน เหมือนเริ่มหย่อนเมล็ดพันธุ์แล้วรอเหตุปัจจัยที่จะเติบโตแล้วสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายอีกไม่จบสิ้น เหมือนทำบุญหย่อนเมล็ดไว้เพื่อจะได้ไปรับบุญ ก็คือการสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ในเมื่อกายนี้มีเนื้อนาบุญอยู่แล้วเราจะสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นทำไม แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าการกลับมาเกิดอีกจะพร้อมสมบูรณ์เหมือนชาตินี้ จริงไหม (จริง)  โลกนี้มีสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดถือไม่เคยได้ จริงไหม (จริง)  เงินหนึ่งร้อยกี่พันมือคนจับ ที่ดินหนึ่งผืนกี่พันเจ้าของ ทรัพย์สินหนึ่งอย่างผ่านมากี่มือ สรรพสิ่งในโลกเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่หามีใครยึดถือและครอบครองได้อย่างแท้จริง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราก็คงเข้าใจธรรมที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นยังหนีไม่พ้นโลก แต่ถ้าผู้ใดคลายความยึดมั่น ผู้นั้นจะพบธรรม” 
(ปล่อยวางง่ายแต่ทำยาก ชีวิตจริงกิเลสมันฉลาด)  ศิษย์เอ๋ย กิเลสมันฉลาดหรือตัวเราไม่ทันกิเลส หรือเราไม่ยอมแพ้ผู้คน ยอมแพ้ไม่ได้ก็โกรธ ยอมไม่ได้ก็เกลียด แต่อาจารย์ถามหน่อย ชนะแล้วได้อะไร ชนะแล้วได้มิตรหรือได้ศัตรู แล้วถ้ายอมแพ้จะได้มิตรหรือได้ศัตรู อยู่ในโลกถ้าอยากเข้าใจธรรม ก็ต้องคลาย ก็ต้องจาง ไม่ต้องยึดถืออะไรเลย ซึ่งมันทำได้ยาก
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกศิษย์คือ ศิษย์มักดูเบาคุณค่าตัวเอง ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ยอมเเพ้ตั้งเเต่ยังไม่ทันลั่นกลอง เเพ้กิเลสตลอด ทำไมไม่ลองสู้กับกิเลสดูสักตั้ง ชนะเเล้วได้อะไร อยากมีมากกว่าเขา รวยมากกว่าเขา เเต่ไปผิดศีลผิดธรรมถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  การศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ไม่ให้อยาก ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง เเต่การปฏิบัติธรรมต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่าถ้าจะอยาก จะโลภ จะหลง ต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน เเล้วศิษย์จะอยากก็อยากไปเลย อยากโลภก็โลภไปเลย อยากโกรธก็โกรธไปเลย เเต่โกรธเเล้วต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน แต่ถ้าเราทำผิดเเล้วบอกว่าเดี๋ยวก็จบกันไป ตายๆ กันไป ช่างมัน เอาไว้ก่อน  ขอสุขก่อน ขอได้ก่อน ขอดีก่อน ช่างคนอื่น ศิษย์มักพูดว่าขอให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นเดี๋ยวไปทำบุญชดเชยทีหลัง เหมือนไปตบหัวเขาเเล้วบอกขอโทษ เขาหายเจ็บไหม (ไม่หาย)  ไปเอาเงินทรัพย์สินเขามา เเล้วบอกจะไปทำบุญชดเชยให้ เขาทำใจไหวไหม (ไม่ไหว)  พระพุทธะบอกว่า อย่าประมาทกับบาปที่เรียกว่าความหลง เเละอย่าประมาทกับกรรมที่ศิษย์สร้างเพราะความรังเกียจเเละไม่ยอมคน เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมย้อนกลับมา ตอนนั้นจะให้พระมาสวด ให้เอาบุญมาล้างก็ล้างไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเขาโดนดูถูกโดนเหยียดหยามเเล้วจะมาปลอบประโลม เเต่ด่าเขาไปเต็มที่เเล้ว หายโกรธไหม (ไม่หาย)
ฉะนั้นศิษย์อย่าสร้างกรรม อย่าสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยมาแก้ผลทีหลัง ศิษย์ควรจะหยุดตั้งแต่ก่อนสร้างเหตุหรือไปแก้ที่ผล (หยุดก่อนสร้างเหตุ)  อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ อาจารย์ก็ต้องสอนวิธีหยุดเหตุ ไม่ใช่ให้ไปแก้ที่ผล วิธีที่จะหยุดเหตุก็คือทำอย่างไรให้เราไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ถ้าทำดีเรียกว่ากรรมดี ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์จะบอกอีกว่า ยังมีกรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า อกรรม ทำแล้วไม่ก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย นั่นคือทำแล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ถึงเวลาต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยากใช่ไหม แต่ยากตรงที่จะยอมรับหรือไม่ จริงๆ แล้วเรื่องราวบนโลกใบนี้ขอแค่เพียงมนุษย์รู้พอ แต่ถ้ายังพอไม่ได้ ก็ลำบากอยู่ร่ำไป ถ้าศิษย์พอได้ จะมีอะไรเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อศิษย์ยังไม่พอ เรื่องยากก็มีอยู่ร่ำไป มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า เมื่อไรที่เรื่องราวเกิดขึ้น แค่เรารู้สึกหรือไม่รู้สึก ปรากฏการณ์ของเรื่องราวนั้นต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เหมือนรู้สึกก็ก่อเกิดเป็นดีร้าย แต่เมื่อไม่รู้สึกมันก็เป็นแค่เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้น อันเป็นธรรมดาโลก เหมือนตอนนี้มองก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่ศิษย์รู้สึกว่ารัก ถูกใจ ถูกชะตา เชื่อหรือไม่ในบรรดาที่คนอื่นมอง เขาจะดูโดดเด่นกว่าใครเลย แค่รู้สึก สิ่งที่ธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา ถ้าทุกอย่างเราไม่รู้สึกมันก็กลับเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาตามความเป็นจริงของโลกใบนี้แต่เมื่อใจไม่รู้สึกแล้ว เห็นเขาก็รู้สึกเฉย ก็เหมือนเห็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลก จะดี จะร้าย จะได้ จะเสียก็รู้สึกเฉยๆ เงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศ
คนที่เราเกลียดหรือคนที่เรารักก็เหมือนกัน แต่อยู่ที่ใจศิษย์ เมื่อใจเอียงไปชอบก็เริ่มมีปัญหาทันที เมื่อใจเอียงไปเกลียดก็เริ่มมีเรื่องราวขึ้นมาทันที แต่ธรรมะสอนให้ใจเป็นกลาง เมื่อใจเป็นกลางทุกสิ่งก็กลับมาปกติทันที เมื่อไรที่ใจเอนไปชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นมีความชอบ มีสมหวัง มียินดี มีปรีดา มีปลื้ม เมื่อมีชอบแล้วก็เกิดความไม่ชอบ ผิดหวัง เสียใจ รำคาญใจ กังวลใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ แล้วใครหาทุกข์ใส่ตัว (ตัวเราเอง)  เพียงเพราะใจเอียงไปชอบแค่นั้นเอง ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ใส่ใจบ้าง เฉยบ้าง ความโลภ ความเกลียดก็ไม่สามารถทำอะไรใจศิษย์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดังคำกล่าวว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ไม่ใช่รู้ใคร รู้ใจตัวเอง มองทุกสิ่งตรงหรือไม่ตรง มองทุกสิ่งเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อเราตรงใจก็ปกติ ศีลไม่ขาด ใจไม่หวั่นไหวก็เกิดเป็นสมาธิ เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งก็แค่นั้น เขาก็หล่อแค่นั้น เธอก็สวยแค่นั้น
ฉะนั้นแค่ตื่นรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เกิดได้ในตอนนั้น ทำได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าศิษย์ไปโลภมาเต็มที่แล้วค่อยให้ทาน ไปเกลียดมาเต็มที่แล้วค่อยรักษาศีล ไปหลงมาเต็มที่แล้วค่อยนั่งสมาธิภาวนาพิจารณาสังขารอันไม่เที่ยง ศิษย์กำลังแก้ที่ปลายเหตุหรือแก้ที่ต้นเหตุ (ปลายเหตุ)  ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะคิดได้อย่างที่อาจารย์บอก และรักษาใจให้เป็นกลางได้เสมอ ต้องใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ศีล สมาธิ ไม่สู้ปัญญา แปลว่าการเรียนรู้ธรรมทำให้เราเป็นคนฉลาด ดังนั้นใครที่รังเกียจธรรมแสดงว่าคนนั้นยอมโง่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใช้ปัญญาอะไรที่จะทำให้เรามองแจ้ง มองทะลุแล้วสามารถวางเฉยได้ ถูกคนอื่นด่า ถ้าเราเอามาใส่ใจก็เป็นทุกข์ ศิษย์เอย ให้เอาสิ่งที่เขาว่ามาคิดให้เกิดประโยชน์ มาพิจารณาที่เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็กลับมาตรวจสอบตัวเอง ล้างใจตัวเอง ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเราไม่รับเดี๋ยวก็คืนเจ้าของไป ใครด่าเราอย่างไรเราไม่รับเดี๋ยวก็กลับไป
หลักธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพิจารณาจนบังเกิดธรรม เกิดปัญญานิ่งเฉยไม่โกรธไม่เกลียดได้ (สรรพสิ่งบนโลกนี้มีดับมีเกิดมาไม่มีอะไรเที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกครั้งเราใช้สติปัญญามองเห็นถึงความเป็นจริง เเม้เเต่ความโกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราที่เรามองเห็นความโกรธ เราตั้งสติความโกรธก็หายไป)  พิจารณาความเป็นจริงเเห่งธรรมอันเป็นหัวใจเเห่งทุกสรรพสิ่ง เมื่อพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลง เพราะมองเห็นชัดเจนว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ดับ ว่างเปล่า หามีตัวตนที่เเท้จริงไม่ แม้จะรู้สึกว่าเที่ยง ว่าทุกข์ แต่ถึงเวลาก็ว่างเปล่า โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ เหมือนจะมีแต่ถึงเวลามันก็ไม่มี บางครั้งมีสามีก็เหมือนจะไม่มี เงินมีก็เหมือนไม่มี เสื้อผ้ามีเต็มตู้ มีเหมือนไม่มี ไม่มีตัวไหนถูกใจเลยนอกจากตัวข้างนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้ว ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของโลก และรู้จักใช้ให้ถูกเราก็คงไม่หลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์พิจารณาเนืองๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะไม่มี พิจารณาอะไรเล่า มีสิ่งใดในโลกสมบูรณ์แบบบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันดีที่สุดบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันแย่จนหาดีไม่เจอบ้าง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เวลาเขาเปลี่ยนไป เราก็เข้าใจ เขาแปลกไป เราก็เตรียมใจ เขาแย่ไป เราก็เข้าใจ ฉะนั้นข้อหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาเสมอๆ คือ “ไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์แบบ” จริงไหม (จริง) ศิษย์ลองพยายามหาสิ ศิษย์ว่าหาคนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงเวลาพออยู่กันนานๆ ทำไมเขาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง)  บางทีศิษย์ว่าเขาแย่ แต่พออยู่ไปอยู่มา เขากลับใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอ เมื่อมีใครไม่ได้ดั่งใจเรา เมื่อมีใครไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเข้าใจ เราจะเกลียด เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะหลงไหม (ไม่)  การพิจารณาเนืองๆ ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุ มันจะมีปัจจัยเกิดขึ้นไหม ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์หยุดเหตุปัจจัยได้ นั่นก็คือ พิจารณาเนืองๆ จนเห็นเหตุชัด เหมือนอาจารย์มักถามศิษย์ ดูหนังจบรอบหนึ่งแล้ว สนุกแล้ว รอบสองสนุกกว่าเดิมไหม (ไม่)  เพราะอะไร เพราะรู้เรื่องหมดแล้ว เหมือนกันถ้าศิษย์มองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ชัด เห็นจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ที่ดีๆ สวยๆ เดี๋ยวก็ไม่สวย ที่หล่อๆ เดี๋ยวก็เหี่ยว ใช่ไหม (ใช่)  ที่ปากหวานไม่แน่ เดี๋ยวก็ปากร้าย วันนี้ที่ดูว่าถูกล็อตเตอรี่สามตัว ไม่แน่ที่เหลือถูกกินไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้ มองอย่างนี้เสมอ พิจารณาจนบังเกิดธรรมเสมอ จะอยากอะไร จะโลภอะไร จะเกลียดอะไร ถ้าเราเห็นแก่นแท้ในความเป็นจริงของคน เราก็เห็นความเป็นจริงในแก่นแท้ของผู้คน ใครๆ ในโลกก็ไม่ชอบถูกด่า เราชอบถูกด่าไหม แล้วเราด่าเขาทำไม ใครๆ ในโลกชอบถูกกดขี่ข่มเหงไหม แล้วเรากดขี่ข่มเหงคนอื่นทำไม ใครๆ ในโลกก็ชอบคนที่รัก แล้วศิษย์เกลียดเขาทำไม แล้วศิษย์เองชอบศัตรูหรือชอบมิตร (ชอบมิตร)  แล้วศิษย์สร้างศัตรูทำไม ถามใจตัวเองศิษย์ ถ้าเข้าใจแก่นแท้ความเป็นคน มีหรือจะไม่เข้าใจแก่นแท้ความเป็นผู้คน แล้วเราจะปฏิบัติผิดต่อคนอื่นไหม มีแต่ว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติผิดต่อเรา ศิษย์จะตอบโต้เขาอย่างไร จองเวรจองกรรม สิ้นเวรสิ้นกรรม หรือจบกันตั้งแต่วันนี้ว่าอย่างไร
(เริ่มปล่อยวาง)  อาจารย์พูดอะไรก็ปล่อยไปหมดเลย ใช่ไหม อาจารย์ถามนะ ถ้ามีคนมาทำร้ายศิษย์ ว่าศิษย์ ด่าศิษย์ ศิษย์จะทำเช่นใด(ให้อภัยเขา)  เมื่อพยายามให้อภัยเเปลว่าในใจยังรู้สึกไม่ชอบ  (ให้อภัยหมายถึง โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เราก็ปล่อยวางเขาไป)  มีสามทาง ทางหนึ่งคือทางดีคือให้อภัย ทางหนึ่งคือผูกใจเจ็บโกรธเคือง ทางหนึ่งคือเฉย  (ถ้าเขาด่าเรื่องจริงจะรู้สึกขอบคุณเขาเเล้วก็ปรับปรุงเเก้ไขตัวเอง ถ้าเขาด่าไม่จริงก็ปล่อยกลับไปหาเขาเอง)  การคิดว่าปล่อยก็เเปลว่าให้เอาคืนไป เเค่เรานิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าไปพูดว่าไม่รับเดี๋ยวเเกก็ได้รับเอง คิดแบบนี้เท่ากับเป็นการผูกใจเจ็บ ศิษย์เอย คิดผิดคิดพลาดเล็กน้อยก็กลายเป็นกรรมเเล้ว เหมือนที่บอกว่าอะไรมากระทบเเล้วเอียงไปว่าชอบเอียงไปว่าชัง คำว่าเอียงไปชอบชังยังหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่เรียกว่าทุกข์สุขดีร้าย เมื่อไหร่ที่ศิษย์ไม่เอียงเเต่นิ่งเเล้วจบ พิจารณาจนคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย พิจารณาจนเข้าใจธรรมจนถึงคำว่า เเค่นั้น เช่นนั้น ธรรมดาโลก คือเรียกว่าวางใจจนเฉยได้ เเล้วจะคิดได้อย่างไรต่อ ศิษย์จำไว้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนล้วนมากับความว่างเปล่า เเละถึงที่สุดมนุษย์ทุกคนต้องเดินกลับสู่ความว่างเปล่า ถ้าเรายังยึดความมี ก็ก่อเกิดเมล็ดพันธุ์เเห่งเหตุปัจจัยในการเวียนว่าย ใช่หรือไม่แล้วพิจารณาอะไรต่อ ก็คือพิจารณาว่าโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงแล้วเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ความไม่มี กลับคืนสู่ความว่าง แต่มนุษย์ติดกับความมี คือต้องมี ต้องได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตต่างหันหน้าไปสู่ความไม่มีแล้วก็ต้องว่างเปล่าให้ถึงที่สุด ฉะนั้นถ้าเราหมั่นคิดเสมอๆ เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)
ฟังอาจารย์แล้วเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างแรกคือพิจารณาเสมอว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ถึงเวลาสิ่งที่มีอาจจะไม่มีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอีกอย่างคือมองอยู่เสมอว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ สิ่งที่เห็นว่าเป็นสุขคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าน่ารักคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนั่นคือคนประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ทุกข์หามีจริงไม่” เข้าใจไหม ใครจะตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้างถ้าเข้าใจเเจ่มเเจ้งศิษย์จะก้าวพ้นวัฏฏะเวียนว่ายจบสิ้นได้ทันที  (ถ้าไม่ยึดติดทุกข์ก็ไม่มี)  โลกนี้มีทุกข์เป็นธรรมดา ทำไมเวลาเราป่วยเราถึงทุกข์ (ทุกข์ไปตามกายาแต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ)  เเก่เเค่กายเเต่ใจไม่เเก่ใช่ไหม  
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ทุกข์เป็นของจริง แต่ผู้ทุกข์ที่แท้จริงหามีไม่ อาจารย์ถามว่า ศิษย์ว่าตัวเองเป็นของศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ตั้งแต่เด็กจนโตมานี่เปลี่ยนไปกี่รูป (เปลี่ยนไปหลายรูป)  เปลี่ยนแล้วเราควบคุมได้ไหม (ไม่ได้)  บังคับได้ไหม (ไม่ได้)  ให้เป็นดังคิดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วที่บอกว่าใจนั้นเป็นของตัวศิษย์ ใจนั้นมันเป็นอย่างไร มันก็เปลี่ยน มันก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เดี๋ยววันนี้คิดอย่างนี้ อีกวันคิดอย่างนั้น ตอนเด็กบอกว่าอันนี้คือความสุข แต่ตอนโตมาอันนี้ไม่ใช่ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ความหลง ที่ไปยึดว่า อันนี้คือหน้าของเรา อันนี้คือตัวของเรา อันนี้คือใจของเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  มันทุกข์ไปตามสังขารอันเป็นธรรมดาของโลก เราจึงมีหน้าที่แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา นี่คือธรรมะ ทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของใจ เป็นกรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ เขาด่าตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ได้ด่าอะไรเรา เพราะตัวเราไม่รู้อยู่ตรงไหนเหมือนกัน ไหนตัวตนที่แท้จริงของศิษย์ เอามาให้อาจารย์ดูสิ ถ้ามันจริงมันต้องไม่เปลี่ยน แต่มันทำไมเปลี่ยนจังเลย จริงไหม
ทุกข์เป็นธรรมดาของโลก เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ธรรม” ทุกข์ เจ็บ ตาย ถ้ายึดเมื่อไหร่ อย่าเจ็บ อย่าตาย อย่าทุกข์ นั่นแหละทุกข์มันเริ่มสร้างกรรม ดิ้นรน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจคำว่าทุกข์มันเป็นแค่ทุกข์ แต่มันไม่มีคนที่จะทุกข์ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมีสติระลึกอยู่เสมอ เมื่อกายโดนกระทบใจอย่ากระเทือน เมื่อกายเจ็บใจอย่าเจ็บ เมื่อกายทุกข์ใจอย่าทุกข์ นี่เรียกว่า การฝึกแยกจิตออกจากกาย ยากไหม (ยาก)  ศิษย์เอยอะไรก็ยากหมดเลย ศิษย์ลองมองดู เหมือนที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงหาความเที่ยงแท้ไม่ได้ ควรไหมที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เมื่อตัวเราไม่มีและอะไรคือรูปเรา อะไรคือของๆ เรา เราเป็นแค่ปัจจัยและการเกี่ยวกรรมที่หนุนเนื่องกันมา แล้วถึงเวลาปัจจัยการเกี่ยวกรรมมันหมด เราก็จากกันไป จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะพูดเพื่อก่อกรรมทำไม เราจะอยากเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม เราจะเกลียดเพื่อเกี่ยวกรรมทำไม และเราจะโลภเพื่อเอาไว้มาสร้างบุญทีหลังทำไม ทำไมไม่ทำบุญตั้งแต่ก่อนจะโลภ ยอมให้เขาแล้วทำให้เขาสบายใจมันได้บุญไหม (ได้)  ให้เขาแล้วเขามีสุขมันได้บุญไหม (ได้)  เเล้วทำไมเราจะทำบุญกับคนอื่นบ้างไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง คำสัญญา  ชื่อเพลง ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน แต่นักเรียนไม่รับ)
ถ้าถือไว้แล้วมันหนัก ทำไมศิษย์ ไม่รู้จักสร้างบุญต่อ ไม่รู้จักให้คนอื่นต่อเพื่อสร้างบุญละ ทำไมเราไม่รู้จักแปรความหนักให้มันกลายเป็นบุญกุศล หรือกลายเป็นสร้างคุณธรรมด้วยการเมตตา จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนต่างมีความคิดที่ถูกต้อง ทุกคนต่างมีความคิดที่ดี เหมือนที่อาจารย์บอกในเพลง
“ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดการชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง”
ถ้าศิษย์ไม่มาผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์วันนี้ อาจารย์ก็คงไม่มีโอกาสได้มาผูกบุญและพูดธรรมะให้ศิษย์ได้ฟัง สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ย้ำเตือนอยู่เสมอก็คือ เราบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดว่าเราต้องเป็นคนดี แต่การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมคือ ความดีเป็นรากฐาน คุณธรรมเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน และความเข้าใจธรรมทำให้เรามองโลกนี้อย่างแจ่มชัดและไม่ทุกข์ทน ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์และไม่ก่อกรรมให้เกิดการเวียนว่ายเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือไม่
อาจารย์ไม่เคยบอกให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ เเต่อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ประจักษ์เเจ้งในธรรม ซึ่งธรรมไม่ใช่อยู่ในอาจารย์ เเต่ธรรมอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน เเต่เราเคยหันกลับมามองธรรมในใจไหม เราเคยหันกลับมาดูใจเราว่ามีธรรมไหม มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเพราะประกอบไปด้วยธรรม ธรรมที่ปฏิบัติต่อกัน ธรรมที่เกื้อหนุนกัน ธรรมที่ให้ต่อกัน มนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ สิ้นทุกข์ได้ สิ้นกรรมได้ ไม่ใช่การเกาะพึ่งเเต่พระพุทธะ เกาะพึ่งเเต่บุญกุศล เเต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เเก้ไขอะไรเลย เเต่ต้องอยู่ที่ตัวเรารู้เเล้วเเก้ไขเปลี่ยนเเปลงใจตัวเอง การบำเพ็ญธรรมคือให้เเก้ไขเปลี่ยนเเปลงเเละรู้เท่าทันใจ ไม่ก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมไม่จบสิ้น สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำตัวเองเสมอก็คือ ทำอะไรมีสตินิ่งก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนวิ่งไปตามความอยาก วิ่งไปตามความหลง นิ่งพิจารณาก่อน ดูว่าทำเเล้วมีเมตตาไหม ทำเเล้วมีศีลธรรมของความเป็นคนไหม ทำเเล้วถามตัวเองว่าเกิดมาเป็นคนทั้งทีทำได้เเค่นี้ คุ้มหรือไม่ มาเพื่อเกิดเเก่เจ็บตายดีร้ายได้เสียทุกข์สุข วนอยู่เเค่นี้ ศิษย์ไม่เคยพ้นได้สักที ศิษย์ต้องวิ่งวนกับความรู้สึกที่ไม่เที่ยงเเท้ไปอีกเท่าไหร่ เมื่อไรศิษย์จะตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง ถ้าศิษย์ตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง นอกจากศิษย์จะช่วยตัวเองได้ ศิษย์ยังช่วยโอบอุ้มผู้คนให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อไหร่ที่เราพ้นทุกข์ คำพูดเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ การกระทำของเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ใจ ศิษย์จะเเค่ฟังเเล้วรู้สึกดี หรือฟังเเล้วลงมือปฏิบัติสักที แต่ให้ถามตัวศิษย์เอง ว่าเราสมควรแล้วกับการเกิดเป็นคน ใช่ไหม เกิดมาชาตินี้ทำได้แค่นี้ เพราะอาจารย์มา อาจารย์รู้อาจารย์จะกลับที่ไหน ศิษย์ล่ะรู้ทางกลับตัวเองหรือยัง แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดี จริงหรือไม่ (จริง)  อย่ามัวแต่มองแค่เพียงว่า ยืมร่างเชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อไม่เป็นไร เชื่อธรรมะที่อาจารย์บอกก็พอ และเชื่อธรรมะในใจของศิษย์ก็พอ เชื่อว่าศิษย์ดีได้ และดีได้กว่านี้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราเกิดมาเพื่อวิ่งตามอารมณ์หรือเพื่อมองจนแจ่มแจ้งชัดในธรรม ลองถามตัวเอง ลองพิจารณาดูนะ
มีอะไรที่ศิษย์จะพยายามจะขัดเกลาออกไปจากใจ และพยายามทำแต่สิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง เอาอะไรออกไปจากใจ ที่มันไม่ดีและทำให้เราหลงผิด
(ตามหลักของพุทธศาสนา เรายึดอริยสัจ๔ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อมีทุกข์เราก็มาพิจารณาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วเมื่อทราบว่ามันเกิดจากอะไร ก็หาวิธีแก้ แล้วก็ดับทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะหมดไป) การพิจารณาทุกข์ พิจารณากายให้เห็นกายพิจารณาจิตให้เห็นจิต เเปลว่า มองเห็นกายว่ากายทุกข์ มองเห็นว่าจิตควรทุกข์ไหม พิจารณาจนเกิดความเห็นเเจ้งว่าเป็นเเค่ทุกข์ที่หมุนเปลี่ยน ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเม้เเต่ตัวทุกข์เองก็ยังทนได้ยากไม่คงอยู่ เเต่จิตเราไปยึดเเล้วไม่ยอมจบ เหมือนร่างกายต้องเปลี่ยน การเปลี่ยนเรียกว่าทุกข์ การเปลี่ยนที่ทนได้ยากเรียกว่าความทุกข์ ทุกข์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เเต่ที่มนุษย์เอามาเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราพิจารณาให้เห็นจะรู้ว่าทุกข์มีอยู่จริงเเต่ไม่เคยทำเราเจ็บ เป็นเเค่นั้น เปลี่ยนไปเเค่นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ จงมองเห็นทุกข์ให้ธรรมดาเเล้วจะไม่ทุกข์ เหมือนเรามีความเเก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มีการโดนด่าเป็นธรรมดา เราต้องทุกข์ทุรนทุรายด้วยไหม ก็เเค่เห็นเเค่รู้เท่านั้น นั่นคือธรรม
(ตัดความโลภโกรธหลง แล้วก็ทำใจให้ว่าง)  ตัดมันออกจากใจเลย ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะ มีโลภโกรธหลงได้ แต่มีแล้วไม่เอามัน มีแล้วไม่ตกเป็นทาสของมัน ทำได้ไหม (ทำได้ จะพยายาม)  ถ้าให้ตัดไปเลยมันทำยากนะ เพราะเลี้ยงมันมาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ (ใช่ มีตั้งแต่เราเกิด)
(ตัดความหลงออก เพราะรู้สึกเอาออกยากเหลือเกิน หลงอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นความอยาก อยากจะเอาออกไปมาก)  พระพุทธะสอนให้มีปัญญา อะไรที่เราหลงแล้วทำให้เราโง่ทำให้มองไม่เห็นแจ่มแจ้งก็อย่าหลงแล้วความหลงก็จะกลายเป็นปัญญา อาจารย์ถามศิษย์นะ มีอะไรในโลกที่เรามีแล้วมันไม่ขบ ไม่กัด ไม่ทำให้เราเจ็บปวดบ้าง มีไหม (ไม่มี)  มีได้ ถ้าเรามีแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เรียกว่า มีอย่างคนมีปัญญา 
(อยากจะเอาความทุกข์ออก สมมติว่าเราซื้อหวยแล้วเสีย ถ้ามองว่าซื้อหวยแล้วทุกข์ เราก็ไม่ต้องซื้อหวย)  ศิษย์อยากเอาหวยหรือเอาทุกข์ออกจากใจ (เอาทุกข์ออก)  อาจารย์ว่าเอาหวยออกจากใจมากกว่านะ เอาทุกข์ออกจากใจ เอาทุกข์ออกไม่ได้ ทุกข์คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทุกข์นั้นทำให้เราเติบโต ทุกข์ทำให้เราเปลี่ยนแปลง ทุกข์นั้นทำให้เรารู้จักปล่อยวางและทุกข์ทำให้เรารู้จักเข้มแข็งทุกข์ไม่น่ากลัว เพราะมีทุกข์จึงมีชีวิต เพราะมีทุกข์จึงพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่บอกว่าซื้อหวยถูกแล้วจะเอาเงินมาทำบุญ บุญแบบนั้นอาจารย์ไม่เอานะ มันเป็นบุญร้อน (นักเรียนขอแอปเปิลอีกลูกไปฝากอาจารย์รับรอง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้นะ ลูกเดียวถ้ารู้จักใช้ปัญญา มันก็แบ่งคนเป็นร้อยเป็นพันได้ แต่ถ้าลูกเดียวอับจนปัญญามันก็ไม่พอแม้ตัวเราหนึ่งคน จริงไหม
(นักเรียนคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า จะเอาความโลภออกจากตัวเราได้อย่างไร)  ศิษย์เอ๋ย ไม่ยากเลย พอบ้างหรือยัง หยุดอยากบ้างหรือยัง อาจารย์ถามหน่อยนะ โลภมา แค่เราก็หนึ่งทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายก็อีกทุกข์หนึ่ง ผิดหวังก็อีกทุกข์หนึ่ง แล้วศิษย์ไปโลภเอาอันนี้มา ศิษย์ก็เพิ่มทุกข์อีกทุกข์หนึ่ง แล้วทุกข์นี้แน่ใจหรือว่าโลภแล้วมันจะทุกข์เดียวจบ โลภอยากได้คนนี้ ศิษย์ว่าจะได้ทุกข์กับเขาแค่หนึ่งครั้งไหม (ไม่) ศิษย์จะทุกข์กี่ครั้ง (ร้อยครั้ง)  นับไม่ถ้วนมากกว่าร้อยด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เราจะไม่อยากได้อะไรในโลกเลย เพราะยึดเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ห่วงเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์พิจารณาจนเกิดธรรมเนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย เพราะเราเห็นมันชัด(โลกนี้ความทุกข์กับความสุขเป็นของนอกกาย เราอย่าให้ความสำคัญกับความทุกข์หรือความสุขจนเกินไป แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ จะไม่สุขจนเกินไป เวลามีทุกข์เราอย่าเสียใจมาก เวลามีความสุขเราอย่าดีใจมาก)  รักษาใจให้เป็นกลางอยู่เสมอ ศึกษาธรรมสำคัญอย่างเดียวนะศิษย์ ขอแค่รู้เท่าทันใจตน แต่ส่วนใหญ่คนมักจะหลงตัวเอง จนกระทั่งต้องเจอปัญหาก่อนจึงอยากจะบำเพ็ญธรรม ถึงเวลานั้นก็สายไป จริงไหม
(อยากเอาความคาดหวังออกจากใจ)  เวลาทำอะไรใจก็อดมีความคาดหวังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ เวลาศิษย์ทำอะไรแล้วทำเต็มที่หรือยัง ทำสุดกำลังหรือยัง แล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรมหรือยัง ถ้าทำสุดตัว ทำเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดมันก็เกิด นี่จึงเรียกว่าทำอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่คาดหวังอีกต่อไป ขนาดของที่สวยที่สุดในโลก คนก็ยังนินทา แล้วมีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะไม่ถูกคนว่าให้เราผิดหวัง ทำดีคนก็บ่น ทำชั่วคนก็ด่าหรือไม่ทำอะไรเลยคนก็ต่อว่า
ฉะนั้นสำคัญคือ รักษาใจตัวเองดีกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้เป็นดั่งใจเราได้ เเต่เรารักษาใจเราให้เข้มเเข็งเเละรับมือกับความจริงที่เกิดขึ้น ธรรมจึงทำให้เรารู้จักมองความเป็นจริงได้อย่างเข้มเเข็ง (กิเลส โลภโกรธหลงออกไป เเล้วต้องมีสติว่าต้องปล่อยวาง)  เวลาเจออะไรต้องนิ่งให้ได้ก่อนเเล้วสติจะตามมา ถ้ายังนิ่งไม่ได้สติก็ไม่มา สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดกิเลสตามมา
มีวิธีใดที่ระงับความโกรธ หรือไม่อยากให้โกรธง่าย มีวิธีใดที่จะกำจัดความโกรธออกไป ไม่ยากเลย ถ้ามองเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เเล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เเล้ว เราอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  คนเรามักจะโกรธคนที่ต่ำกว่า เเย่กว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่าทำดีเเล้วทำไมคนดีต้องถูกกดขี่ข่มเหง เพราะเรามักคิดว่าเราสามารถต่อว่าคนที่เเย่กว่าเราได้ คนที่ต่ำกว่าเราได้ เรามีสิทธิ์พูดได้ ศิษย์เคยโกรธคนที่อยู่ข้างบน คนที่สูงกว่าเราหรือไม่ มีแต่แอบด่าเขาแต่ไม่กล้าโกรธเขาต่อหน้าแต่คนที่ศิษย์โกรธมากที่สุดคือคนที่ต่ำกว่า โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ด่าไปให้เต็มที่ อย่างนั้นอาจารย์ถามใจลึกๆ ถ้ามีคนที่สูงกว่าเราแล้วเอาแต่ด่าศิษย์ ศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)  ใจเขาใจเรา เขาไม่รู้ เขาต่ำกว่าก็แย่แล้ว เรารู้มากกว่าทำไมจึงไปกดขี่ข่มเหงเขา ใจเขาใจเรา อย่าสร้างวิบากกรรม ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับชะตากรรมที่ศิษย์ก่อ แม้ศิษย์จะทำดีแค่ไหนศิษย์ก็จะโดนกดขี่ ข่มเหง เพราะศิษย์เคยกดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่า เหมือนถามคนในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสระหว่างคนที่ดีกว่ากับคนที่แย่กว่าศิษย์จะแกล้งคนไหน (คนที่แย่กว่า)  ศิษย์เอาเปรียบคนที่เก่งกว่าหรือคนที่แย่กว่า (คนที่แย่กว่า)  นั่นแหละคือนิสัยศิษย์ แล้วทำไมบอกว่าเราเกิดมาลำบากแล้วทำไมยังต้องมารังแกเราอีก แล้วทำไมเราไปรังแกคนที่ต่ำกว่าล่ะ เขาผิดหรือที่เขารู้ช้า เขาผิดหรือที่เขาไม่เข้าใจเรา (ไม่ผิด)  ใจเขาใจเรานะ อย่าสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องรับกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์รู้ไหมว่าฆ่าคนให้ตายยังไม่เจ็บแค้นเท่ากับด่าให้เราเจ็บปวด ฆ่าให้ตายดีกว่าแต่อย่ามาด่ากันอย่างนี้ จริงหรือไหม (จริง)  ฉะนั้นศิษย์อยากให้เขาผูกใจเจ็บหรือ (ไม่อยาก)  ก่อนจะโกรธ ใจเขาใจเรา ไม่มีใครอยากโดนด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
(คำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ คำนี้มีความหมายอย่างไร)  อาจารย์จะให้ศิษย์ทำเลย แล้วศิษย์จะได้รู้เลยว่าสวรรค์กับนรกต่างกันอย่างไร เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นศิษย์เดินออกไปเจอหน้าใครก็ด่าให้หมดเลย ด่าให้ไม่มีชิ้นดีเลย แล้วศิษย์จะรู้เลยว่านรกเป็นอย่างไร กับอีกอย่างหนึ่งเดินไปเจอใคร ขอบคุณๆ นั่นแหละคือสวรรค์ (ขั้วบวกขั้วลบเลย)  ชัดเจนไหม (ชัดเจนมากเลย)  ลองทำไหม (ไม่ลอง)  อย่างนั้นอย่าไปลองที่บ้านนะ ไม่อย่างนั้นจะมีนรกในบ้าน
(ทำอย่างไรจะให้ใจตัวเองหยุดอยากได้)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ที่แล้วมาเจ็บยังไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ยังไม่พออีกหรือ อย่าถามอาจารย์เลย ถามศิษย์ดีกว่า เจ็บไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ไม่พอ สู้ไหวไหม ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ อย่าอยากอีกเลย เพราะมันเจ็บมาพอแล้ว เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”)
ผิดบาปทั้งมวลยากอยู่แค่คำว่ามีสำนึก ถ้าเรามีสำนึกดีเราจะทำบาปเราจะทำชั่วไหม (ไม่)  เราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ไม่ผิดศีลเลย ไม่ขาดธรรมเลย ใช่หรือไม่ ลองเอาไปศึกษาพิจารณาต่อนะ
ดูแล มุ่งมั่น บำเพ็ญ อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คนด้วยหัวใจที่ประเสริฐ อยู่ในโลกอดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว แต่การศึกษาธรรมสอนให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ มีแต่จะทำอย่างไรเพื่อจะช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรจะเสียสละจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำให้ได้มากที่สุด ถ้าทำได้เช่นนี้ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นคนหรอกศิษย์
อาจารย์หวังว่าในชั้นนี้ คงจะมีสักหนึ่งคนหรือมากกว่าหนึ่งคนที่เดินตามรอยพุทธะอย่างแท้จริง ปฏิบัติจริง บำเพ็ญจริง มุ่งมั่นจริง ที่ยังต้องอดทนแสดงว่าเรายังมีตัวตนให้ต้องขัดเกลา แต่ถ้าไม่มีคำว่า “อดทน” แปลว่าไร้แล้ว ตัวตนไม่น่ายึดถือหรอก มีแต่นิสัยความเคยชิน คำว่า “ธรรม” มีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา อิสระและมีแต่ความเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งปิติสุข แต่ถ้าศิษย์บำเพ็ญแล้วไม่มีความสุข ถามตัวเองนะกำลังยึดมั่นถือมั่นอะไรที่หลงผิด รีบแก้ไขนะ หัวใจแห่งพุทธะคือหัวใจแห่งผู้เข้าถึงธรรม ธรรมที่มีแต่ให้ มีโอกาสคงมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ ขอบคุณความเสียสละ ขอบคุณความมุ่งมั่นที่ตั้งใจฟังจนจบในสองวันนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวศิษย์เองทั้งนั้น

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”
     ความหลงผิดพาคนไกลห่างความดี          เกิดอารมณ์ชั่ววูบทีสำนึกหาย
จากเล็กน้อยจนขาดศีลผิดธรรมไป                ขออย่าให้เป็นเช่นนี้กันอีกเลย
ผิดไม่ทำบาปไม่ก่อกรรมไม่สร้าง                  ย้ำแนวทางอันถูกต้องเป็นศุกลเผย
สำนึกดีปฏิบัติดีไม่ละเลย                           ให้ชินเคยจนฝังแน่นติดตรึงตรา
ความยากลำบากมายกใจให้สูงยิ่ง                 คนดีจริงมุ่งทำจริงพร้อมฟันฝ่า
มีเมตตาครองธรรมไว้ในกรุณา                    โชควาสนาหรือจะสู้คนมานะดี

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา