แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เฉิงอี้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เฉิงอี้ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2541

2541-09-19 พุทธสถานเฉิงอี้ บัวงาม จ.ราชบุรี


PDF 2541-09-19-เฉิงอี้ #16.pdf

#ไตรภูมิ  #การเวียนว่าย  #การเวียนว่ายตายเกิด  #ไตรรัตน์


วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานเฉิงอี้ บัวงาม จ.ราชบุรี

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ



องค์พุทธะแฝงอยู่ในกายมนุษย์ ประธานแห่งแดนวิสุทธิ์ปัญญาล้ำ

คุมชีวิตบังเหียนม้าให้รู้นำ สอบใจจำได้ไหมการรู้จริง

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา



ชีวิตนี้สิ่งใดกันสำคัญยิ่ง ทั้งเท็จจริงแยกออกไหมก่อนแสวง

ด้วยมึนเมาเท็จแท้มิพลิกแพลง ขอรู้ว่าเปลี่ยนแปลงตนสราญ

มีความสุขได้เพียงขณะหนึ่ง ขอคะนึงชีวิตนี้ยาวหรือสั้น

จะหันไปทิศใดเพื่อบากบั่น ต้องให้ทันเวลาแห่งชีวิตตน

บ้างลำบากวิบากกรรมมาซ้ำซ้อน ยามจะนอนยังเป็นทุกข์ใช่ไหมน้อง

ฟ้าส่งสายทองยาวตามครรลอง น้องประคองชีวิตตนเดินทางธรรม

เกิดเป็นคนว่าทุกข์แล้วอาจทุกข์กว่า ยามเวียนว่ายตามชะตาอันหักเห

ขณะนี้ลอยคออยู่กลางทะเล สุขปนเปเพียงนิดอย่าหลงเลย

ขอให้ฝืนใจตนบำเพ็ญเถิด ลังเลเกิดพยายามบั่นให้สั้น

ทุกวันนี้ทดสอบใจคนคงมั่น หากน้องท่านพิสูจน์พลันบันทึกลง

ขอให้ปากกับใจจงตรงกัน มองใครนั้นจงอย่ามองเพียงเปลือกนอก

ขอให้คิดจงพินิจอย่าลวงหลอก พุทธะบอกทางหลุดพ้นพิจารณา

ในวันนี้ผู้มีบุญกับพุทธะ ได้สละเวลามาศึกษาธรรม

ขอสองวันอยู่ครบจบด้วยจำ อันพระธรรมเก็บไว้ใช้ปฏิบัติ

ด้วยวันนี้เป็นวันแรกคืนสถาน ขอชื่นบานในจิตต่างสุขุม

ด้วยเวลาฟังธรรมกรรมก็รุม ขอทุ่มเทตั้งใจให้จริงจัง

ตนตื่นแล้วดีแล้วผู้อื่นจึง ตื่นตามถึงเท่าที่เราได้ตื่นขึ้น

ขณะจิตขณะเดียวจึงห้ามเมามึน ขอให้ยืนประดุจผาสง่าไกล

ขอตั้งใจสองวันมีจุดหมาย ฟ้ายุคปลายจิตใจคนคล้ายอาสัญ

จงช่วยกันช่วยเวไนยช่วยผลักดัน เรือธรรมนั้นใช่ของใครแต่ผู้เดียว

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป คุมชั้นเรียนครบสองวันน้องทั้งหลาย

ขอรักษาพุทธระเบียบมีต้นปลาย ขอเปลี่ยนใจหากใครคิดมาวันเดียว

จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด








วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ



ต่างอยู่ในแดนโลกขุ่นข้น ต่างดิ้นรนต่างระทมอย่างทุกข์ร้อน

แต่ยังมีน้ำใจให้กันก่อน อีกอาทรผิดจากคนย่อมไม่มี

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้ แฝงกายประณตน้อม

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีฤๅ



ชีวิตนี้แม้ไม่อาจเลือกเกิดได้ แต่กระทำเลือกใดมองเอ๋ยย้อน

กำลังหลับผวาตื่นพะวงนิจจาหลอน แม้ม้วยมรณ์ความดีชั่วยังตราตรึง

ลงเอยสุขชีวิตดั่งขึ้นสวรรค์ วัฏฏะนั้นอยู่หนไหนไม่นึกถึง

ต่างเลื่อนลอยต่างถลำทะยานบึ่ง ท้ายกลาดเกลื่อนมิตื่นถึงอนิจจา

หากเข้าใจลงแรงสายไฉน สู่ยุคปลายภัยสารพันสั่นผวา

ฟ้าปรานีไม่กวาดคัดต้องระอา อริยาขานรับคัดหยกใจตน

ทดสอบคัดจริงเท็จหินหยกบอก เข้าจากออกบำเพ็ญจากในฝึกฝน

อภัยกันแม้ยืนยันโกรธาเหลือทน พุทธะต้องค้นถ้วนถี่ทั้งฤทัย

ไม่ประดุจตายแล้วทั้งเป็นอยู่ มีประตูต้องเข้าใจวาจารู้จักใช้

ทุกหนแห่งเลิศมีปราชญ์สหาย เพราะใจดีและกายดีส่งเสริม

ผู้เฝ้าอุทิศเพื่อเวไนยสู่อาเวศ[๑] ตัดกิเลสจะต้องเลิกการเพิ่ม

มิพากันเบียดเบียนอย่างฮึกเหิม ปราชญ์ประเดิมฝึกให้ทานจากภายใน


ฮา ฮา หยุด












พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ



วันนี้มานั่งฟังธรรม ทุกๆ อย่างที่เขาบอกให้ทำ ก็เป็นเพราะว่าเรามีใจอยากทำเอง ไม่ได้ถูกข่มขู่ หรือถูกบีบบังคับ เราถึงทำใช่ไหม (ใช่) แล้วเพราะอะไรเราถึงเลือกที่จะมานั่งฟังตรงนี้ มาลำบากตรงนี้กัน (นับถืออาจารย์จี้กง) นั่นก็คือนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วนอกจากนับถืออาจารย์จี้กงแล้ว คนในที่นี้มีความคิดเห็นอื่นว่าอย่างไร (เต็มใจมา) มาเพราะเห็นว่าสิ่งที่มาศึกษาในวันนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่ามีความนับถือต่อคนที่ชักชวนเรามา และก็มีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อคนที่ชวนเรามาใช่หรือเปล่า (ใช่) ทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจและความนับถือที่มีต่อกันล้วนเกิดขึ้นได้เพราะคนเรารู้จักมอบสิ่งที่ดีให้แก่กัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เมื่อไรที่เราหยิบยื่น เราส่งมอบด้วยความเต็มใจ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็มักจะให้ผลที่ดีกลับมา และมักจะทำให้สังคมนี้อยู่กันฉันพี่น้องฉันเพื่อนฝูง และทำให้คนที่อยู่บนโลกใบนี้มีความสงบสุขต่อกัน เพราะทุกคนต่างมอบสิ่งที่ดีให้แก่กัน หากคนขาดซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็คงจะหาไม่ได้แล้วจากโลกใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำใจ ความเอื้ออาทรหรือความเมตตา ล้วนเกิดจากคนกระทำต่อกัน ล้วนเกิดจากคนหนึ่งมอบให้อีกคนหนึ่งด้วยจิตใจ ด้วยน้ำใจที่ดี แต่หากคนไม่ทำแล้วโลกนี้จะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าทุกคนต่างคนต่างอยู่ ทุกคนต่างเห็นแก่ตน โลกก็คงวุ่นวาย ยากจะสันติสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเช่นนั้น การมีน้ำใจไมตรีมอบสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในตัวเราก็ควรจะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)



“ต่างอยู่ในแดนโลกอันขุ่นข้น ต่างดิ้นรนต่างระทมอย่างทุกข์ร้อน

แต่ยังมีน้ำใจให้กันก่อน อีกอาทรผิดจากคนย่อมไม่มี”

ทุกคนต่างมีเรื่องทุกข์เรื่องสุขในชีวิต สลับปนเปกันไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนในวันนี้มีทุกข์ แต่อีกคนอาจจะสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) หากคนที่สุข รู้จักมอบกำลังใจ รู้จักเผื่อแผ่ความสุขให้แก่คนที่ทุกข์ รู้จักมีน้ำใจให้แก่กัน โลกนี้ก็ย่อมสันติสุข แต่ถ้าคนที่มีความสุขไม่เคยคิด ไม่เคยคำนึงถึง ไม่เคยเอื้ออาทร ไม่เคยมีน้ำใจให้แก่กัน ใครจะทุกข์ก็ช่างเขา ตัวเราสุขคนเดียวก็พอ โลกนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อยังไม่พูดถึงโลก เราอาจจะพูดถึงใกล้ๆ ตัวก่อน ตัวเราจะเป็นเช่นไร ตัวเราก็คงเป็นคนโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีคนนับถือ ไม่มีคนรักใคร่ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรเราถึงมีคนรู้จักมากมาย แม้จะไม่ใช่ญาติพี่น้อง เขาก็รักเรา ให้ความสนิทสนมกับเราได้ เพราะว่าเรารู้จักมอบน้ำใจไมตรีให้กับเขา รู้จักมอบสิ่งดีๆ เอื้ออาทรให้แก่เขาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในตัวเราไม่ต้องไปหาจากแดนไกล นั่นก็คือการยอมอุทิศ เสียสละมีน้ำใจเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นย่อมไม่ยากที่จะกระทำใช่หรือเปล่า (ใช่)

อยู่บนโลกนี้เราไม่เคยได้อะไรมาเปล่าๆ จะได้สิ่งหนึ่งต้องยอมเสียอีกสิ่งหนึ่ง จะได้ทรัพย์เงินทองมากมาย เราก็ต้องสูญเสียเวลาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้ววันนี้จะได้ธรรมะนำไปใช้กับชีวิตก็ย่อมต้องสูญเสียเวลาไปเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็ต้องสูญเสียเวลาหาเงิน บางคนต้องสูญเสียเวลาดูทีวี สูญเสียเวลาพักผ่อน แต่ถ้าเราจะยอมสูญเสียชีวิตเราชีวิตหนึ่งเพื่อให้ได้ธรรมะมาก็ย่อมคุ้มค่าใช่หรือไม่.(ใช่) ปัจจุบันจะมีสักกี่คนที่จะยอมสูญเสียชีวิตเพื่อให้ได้มาซื่งหลักธรรมะของชีวิต ก็คงจะมีน้อยเต็มทีใช่หรือไม่ (ใช่)

มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยมาบนแดนโลกนี้ เมื่อเรามาเราก็มองว่าโลกนี้เป็นโลกที่มีสีสันสวยสดงดงาม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสมีน้ำใจไมตรีต่อกัน แต่พอมาวันนี้สิ่งต่างๆ ที่เราเคยเห็นในครั้งนั้นได้ค่อยๆ จางหายไป เป็นเพราะกาลเวลาทำให้แปรเปลี่ยน หรือเพราะจิตใจคนทำให้โลกแปรเปลี่ยน (เพราะจิตใจคนทำให้โลกแปรเปลี่ยน) ใจมีส่วนสำคัญอย่างไรถึงทำให้โลกแปรเปลี่ยนได้ ถ้าใจนั้นดีโลกก็ย่อมดี ถ้าใจนั้นคิดร้ายโลกก็วุ่นวายมีภัยพิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าใจของเราที่อยู่ลับๆ ภายในตัวเรานี้มีอำนาจเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่มีอำนาจต่อตัวเราเพียงคนเดียวหรือต่อคนรอบข้างเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทั่วโลกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าดูอย่างนี้ดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน ถ้าจิตใจเราดีก็ทำให้โลกดีได้ ถ้าจิตใจเราชั่วร้ายโลกก็เลวร้ายได้ แสดงว่าคนๆ หนึ่งมีผลต่อโลกดูแล้วยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)

คนๆ หนึ่งสามารถมีผลต่อตัวเราเองได้ในแง่ใดบ้าง แต่ก่อนเขาอาจเป็นคนที่มีโชควาสนาที่ดี แต่ถ้าจิตใจเขาคิดชั่วร้ายเพียงชั่วครู่เดียวแล้วไปกระทำตามความคิดทันที วาสนานั้นอาจจะพลิกผันหรือว่าเปลี่ยนแปลงทำให้กลายเป็นคนตกอับ ทำให้กลายเป็นคนที่ไร้วาสนาไปเลยก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ในทางกลับกัน คนๆ นั้นแม้ว่าจะดูไม่มีสง่าราศี ไม่มีสีหน้าท่าทางที่ดูใจดีเลยแต่ถ้าจิตใจเขาฝักใฝ่กระทำดีอยู่ตลอดทุกวัน การกระทำดีของเขาก็ย่อมมีผลสามารถพลิกผันเปลี่ยนแปลงให้เขากลับกลายเป็นคนที่ดี และมีใบหน้าที่มีสง่าราศีขึ้นมาได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจิตใจของเราจึงมีส่วนสำคัญ ถ้าจิตใจดีก็ย่อมส่งผลให้ร่างกาย ใบหน้า สีหน้าของเราดีได้ ถ้าจิตใจเราไม่ดีก็อาจจะส่งผลทำให้ใบหน้า หรือโชคชะตาที่ควรจะดีอาจพลิกผันเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ดีได้เหมือนกัน ฉะนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเราหรือเรื่องราวที่ควรต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้นบางครั้งไม่ต้องมองข้างนอกเลย แต่ต้องถามที่จิตใจตัวเรา แล้วก็ดูที่การกระทำของเราว่ากระทำเช่นไรมีจิตใจเช่นไร เหตุมาเช่นไรผลก็ต้องติดตามเช่นนั้น หากเหตุสร้างดีผลก็ย่อมดี ถ้าเหตุสร้างร้ายผลก็ย่อมร้าย เรารู้กันอยู่ทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)



"ชีวิตนี้แม้ไม่อาจเลือกเกิดได้ แต่กระทำเลือกใดมองเอ๋ยย้อน”

แม้เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะกระทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่) และแม้ชะตาชีวิตจะถูกกำหนดมาเป็นเช่นนี้ เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำสิ่งใดและไม่กระทำสิ่งใด



"กำลังหลับผวาตื่นพะวงนิจจาหนอ แม้ม้วยมรณ์ความดีชั่วยังตราตรึง"

หากเราอยู่บนโลกนี้แล้วอยากได้รับผลดี เราก็ต้องรู้จักสร้างเหตุที่ดีด้วย หลายครั้งที่เรายังกระทำสิ่งผิดแม้ผลยังไม่ปรากฏชัดทันที แม้ยังไม่ส่งผลทันที แต่เราก็รู้สึกว่าเมื่อเราทำผิดเราก็หลับตาไม่ลง เราก็อยู่ได้อย่างไม่เป็นสุขอย่างแท้จริงใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นบางทีไม่ต้องนึกถึงให้ไกลอื่นเลย เวลาเราจะทำอะไรขอให้นึกเพียงใกล้ๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร สิ่งนี้ก็จะอาจช่วยยับยั้งไม่ให้เรากระทำผิดลงไปได้ แต่หากว่าเรื่องชั่วก็ไม่คำนึงถึง เรื่องดีก็ไม่สนใจ เช่นนี้เราจะดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุขไหม ก็ย่อมยากใช่หรือเปล่า (ใช่)



"ลงเอยสุขชีวิตดั่งขึ้นสวรรค์ วัฏฏะนั้นอยู่หนไหนไม่นึกถึง"

ชีวิตนี้เมื่อได้พบความสุขก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ แต่เป็นสวรรค์เล็กๆ ในช่วงขณะหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อพบความทุกข์ก็เหมือนตกนรกตกเหวใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วชีวิตของเราต้องขึ้นสวรรค์ลงนรกกันกี่รอบ แล้วเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย) ยิ่งเวลาขึ้นสวรรค์แล้วตกนรกทำไมตกง่าย แต่เวลาตกลงไปในนรกแล้วจะป่ายปีนขึ้นสวรรค์ทำไมถึงป่ายปีนกันยากเหลือเกินใช่หรือเปล่า (ใช่) ทั้งที่ตัวก็นั่งอยู่ที่นี้ใจก็อยู่ตรงนี้ แต่เพราะอะไรทั้งตัวทั้งใจต่างก็ทำให้ใจเราขึ้นๆ ลงๆ ไม่อยู่นิ่งสักที เพราะว่าใจเราพันผูกอยู่กับความสุข ความทุกข์บนโลกใบนี้ ยังยินดียินร้ายอยู่บนโลกใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยใจที่ผูกพันติดยึดกับเรื่องราวบนโลกใบนี้ได้ เราคงอยู่อย่างเป็นสุขไม่ใช่น้อย แต่เพราะอะไรเราถึงทำกันไม่ได้สักที อยากมีสุขหรือเปล่า (อยาก) เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ขออยู่ทุกวัน แต่ทำไมจึงขอที่ภายนอกไม่ขอที่ตัวเอง ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ทำหรือ (ไม่ใช่) ตัวเราเองทำถึงได้สุขใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอภายนอกสู้ขอที่ตัวเองไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)



"ต่างเลื่อนลอยต่างถลำทะยานบึ่ง ท้ายกลาดเกลื่อนมิตื่นถึงอนิจจา"

จะกระทำสิ่งใดเราต้องรู้ก่อนว่าตัวใดเป็นตัวขับเคลื่อน ตัวใดเป็นตัวเคลื่อนไหวทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วทำไมเวลาขอความสุขไม่ขอตัวเอง กลับมาขอแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมักจะขอสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ตอนที่ตกลงไปในเหว แต่ตอนมีสุขไม่เห็นมีใครมาขอบ้างเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนมีสุขตัวท่านยังไม่คิดให้คนอื่น แล้วยามมีทุกข์คนอื่นเขาจะให้เราหรือ (ไม่ให้) ฉันใดก็ฉันนั้น เหตุทำเช่นไรผลย่อมได้รับเช่นนั้น ฉะนั้นอยู่บนโลกใบนี้ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์เพียงไร เราต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น รู้จักใช้คุณค่าของตนเองให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วคุณค่าของตัวเองก็ไม่เข้าใจ โลกเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วชีวิตจะดำเนินไปได้อย่างไร เดินไปได้ครึ่งทางเดี๋ยวก็ลื่น เดี๋ยวก็ล้ม ชีวิตวนเวียนไม่ทุกข์ก็สุข ไม่ยืนก็ล้ม ไม่ล้มก็ลุกใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อกังวลเรื่องทุกข์สุข ชีวิตก็ยากดำเนินไปได้ จะพัฒนาก้าวหน้าไปได้ก็ยาก เพราะเรามัวแต่กังวลเรื่องทุกข์เรื่องสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่หากเราคิดว่าเรื่องราวที่ผ่านพัดเข้ามาในตัวเราเหมือนกับลม เมื่อถึงคราวมาก็ย่อมถึงคราวไป เมื่อถึงคราวอยู่ก็ต้องมีวันอำลาจาก เรารู้ว่าเรื่องราวในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงไม่แน่นอน แล้วเราจะยึดอะไรกับทุกข์กับสุขที่เหมือนลมพัดผ่านใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีทุกข์ก็เฉยๆ เมื่อมีสุขก็เฉยๆ คิดเสียว่าเหมือนลมที่ผ่านมา การดำเนินชีวิตบนโลกก็ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)

"หากเข้าใจลงแรงสายไฉน" หากเราเข้าใจเช่นนี้การลงแรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตดีขึ้นก็ย่อมไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่บนโลกใบนี้ มีความร่ำรวยเราก็รู้สึกอยากได้ เมื่อพบเกียรติยศชื่อเสียงเราก็รู้สึกดีและอยากได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งความร่ำรวยและเกียรติยศชื่อเสียงมีตำแหน่งจำกัด คนที่จะร่ำรวยได้ต้องร่ำรวยมากกว่าคนอื่น หากทุกคนมั่งมีก็ไม่เรียกว่าความร่ำรวย เมื่อมีตำแหน่งจำกัดทุกๆ คนก็ใคร่อยากได้ใฝ่ปอง ก็ย่อมเกิดการแก่งแย่งแข่งขันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำอย่างไรล่ะ เมื่อตอนนี้ใจเรากำหนดแล้วว่าความสุขของเราคือการได้มาซึ่งลาภ ยศ ทรัพย์สิน ก็ยากที่จะปล่อยให้คนอื่นได้ไปโดยที่เราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนแปลงความสุขของเราเสียก่อน โดยที่แม้เราจะไม่ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ลาภยศ เราก็มีความสุขได้

มีสำนวนปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า "สุภาพชนนั้นมักปฏิเสธการเหลิงอำนาจ แต่ไม่ปฏิเสธความต่ำต้อย สุภาพชนนั้นมักจะปฏิเสธความมั่งคั่งแต่ไม่ปฏิเสธความยากจน” เมื่อทุกคนต่างไม่แก่งแย่งแข่งขันในสิ่งที่มีน้อย ความวุ่นวาย ความเดือดร้อนก็ไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อสุภาพชนที่คิดเช่นนี้ไปดำรงตำแหน่งใดก็ตาม ถ้าผลที่ได้นั้นเป็นเงินทองที่มากกว่าความสามารถ เขาจะต้องทำงานให้ตนรู้สึกว่าความสามารถอยู่เหนือกว่าเงินทอง เพราะเหตุใดปราชญ์โบราณจึงเลือกความต่ำต้อย เลือกความยากจนมากกว่าเลือกทรัพย์สินเงินทอง เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ที่มีทรัพย์สินแต่ยอมสละ เพราะเหตุใด (เพราะต้องการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร) แสดงว่าการได้มาซึ่งเงินทองและทรัพย์สิน ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วการได้มาซึ่งเงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศชื่อเสียง ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดหรือเปล่า อยู่ที่ว่าเงินทอง ทรัพย์สินและเกียรติยศที่ได้มานั้นต้องถูกทำนองคลองธรรมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) หรือว่าถ้าถึงคราวให้ท่านเลือก ท่านคงเลือกความมีอำนาจ มียศศักดิ์มากกว่าเลือกต่ำต้อยและยากจน เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่เป็น เลือกความยากจนดีกว่า ทำด้วยมานะ ด้วยตัวของตัวเอง) แต่หลายครั้งมักจะตรงข้ามกันใช่หรือไม่

เพราะเหตุใดปราชญ์โบราณถึงเลือกสิ่งที่ต่ำต้อย สิ่งที่อับจนให้ตัวเองมากกว่าที่จะเลือกความมั่งคั่ง ความมั่งมีให้กับตัวเอง เป็นเพราะว่าท่านรู้ค่าแห่งความเป็นมนุษย์อันประเสริฐมากกว่ารู้ค่าแห่งทรัพย์สินและรูปทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะท่านเห็นว่าหากได้มาซึ่งอำนาจ ได้มาซึ่งชื่อเสียงแล้วทำให้ท่านต้องบิดเบือนจากความเป็นมนุษย์อันประเสริฐ ท่านก็จะไม่เดิน ท่านก็จะไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่) และเพราะอะไรท่านถึงยอมรับความต่ำต้อย ความยากจน ก็เพราะว่าถ้าหากมนุษย์เรารู้จักดำเนินชีวิตในทางที่ถูกและเหมาะสม แม้จะต่ำต้อยชั่วขณะหนึ่ง แม้จะอับจนชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็สามารถพลิกผันเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนที่ไม่ตกต่ำก็ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนที่กล่าวไปตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะมีทรัพย์มากมาย แต่หากไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักคุณค่า เราก็สามารถทำให้ทรัพย์ที่อยู่ในมือ หรือทรัพย์ที่มีอยู่มากมายหายไปในพริบตาก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากเรารู้จักถนอมรักษาสิ่งที่มีอยู่ รู้จักขยัน รู้จักอดออม ไม่ช้าไม่นานก็จะได้มาซึ่งลาภยศที่ถูกต้อง ตำแหน่งชื่อเสียงที่ดีงาม แม้จะได้ช้าหน่อย แต่ถูกต้องดีงาม เราก็ย่อมเลือกสิ่งนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)

ฉะนั้นบางครั้งถ้ามีเกียรติยศชื่อเสียงอยู่ตรงหน้า แต่ได้มาอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม เราก็ต้องไม่เลือกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะมนุษย์เรา หากละเลยเพิกเฉยต่อความถูกต้องแห่งทำนองคลองธรรมแล้ว เราก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างแบ่งแยกได้ออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่เราแยกไม่ออก เราไม่สนใจเรื่องความถูกต้องความดีงาม ชีวิตเราก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ หรือพบความสุขได้อย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากต้องได้มาซึ่งชื่อเสียง แต่ผิดทำนองคลองธรรม เราก็ต้องไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่)

การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลายครั้งกว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ หรือกว่าจะได้มาซึ่งผลสำเร็จ เราต้องใช้ความวิริยะและอดทน แล้วพากเพียรกระทำสิ่งนั้นจนได้มา แต่เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนในสังคม อยู่ร่วมกับคนหลายลักษณะแตกต่างกันออกไป บางครั้งเราต้องรู้จักอดทน และเปิดใจแห่งความเมตตากรุณาเมื่ออยู่ร่วมกับเขาใช่หรือไม่ (ใช่) และไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง และถือว่าทุกเรื่องราวบนโลกนี้เป็นอนัตตา เป็นความว่างเปล่า เมื่อไม่มีเขาและไม่มีเรา ความผูกพยาบาทความเจ็บแค้นก็ย่อไม่เกิดขึ้น ความทุกข์ยากที่เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งก็ย่อมไม่บังเกิด เพราะเรารู้ว่าเรื่องราวบนโลกนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีตัวของเรา ไม่มีตัวของเขา เราก็ย่อมอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากว่าเมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น เราไม่รู้จักให้อภัย ไม่รู้จักอดทนระงับจิตใจ ก็จะต้องเกิดความโกรธแค้นกันและเกิดการทำร้ายกัน แล้วก็ย่อมผูกกันเป็นปมต่อไปไม่สิ้นสุด แค้นมาก็ต้องแค้นตอบ โกรธครั้งหนึ่งก็ต้องโกรธตอบ แต่หากเราดำเนินชีวิต เรารู้จักให้อภัย รู้จักลด รู้จักละ แล้วจะมีความแค้นให้แก้หรือไม่ (ไม่มี)

หากมนุษย์เราดำรงชีวิตอย่างรู้จักควบคุมชีวิตของตนเอง และรู้จักนำพาชีวิตของตนเอง สิ่งใดไม่ดีต้องหมั่นขัดเกลาชะล้าง นั่นก็คือการรู้จักบำเพ็ญตนอย่างง่ายๆ เมื่อดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ฟังดูแล้วก็คงไม่เป็นเรื่องที่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆ คนสามารถกระทำได้ แต่หลายครั้งกว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จในสิ่งที่เราต้องการ หรือกว่าจะให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในการบำเพ็ญตนนั้น เราต้องฝ่าฟันความยากลำบากและอุปสรรคนานา ขอให้เราคิดว่าอุปสรรคนั้นเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นปุถุชนหรือความเป็นพุทธะ ความทุกข์ยากเป็นเครื่องฝึกจิตใจของเราให้มั่นคงและแข็งแกร่ง เมื่อเราต้องเจอความทุกข์ยากลำบากในชีวิต หากเรามีแนวทางชัดเจนให้กับตัวเอง ดำเนินไปด้วยความมั่นคงและเที่ยงธรรม เราย่อมสามารถฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบากได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากตัวเราตั้งใจที่จะกระทำ มีจุดมุ่งหมายและหนทางให้กับชีวิต แต่ไม่มีความมั่นคงไม่แจ่มชัดในหนทาง แม้จะเดินไปก้าวหนึ่งก็ยากจะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราควรรู้ว่าสิ่งใดควรกระทำ สิ่งใดไม่ควรกระทำ สองสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน แต่สิ่งที่ควรกระทำก็คือเราได้เลือกสรร เราได้เข้าใจ แต่สิ่งที่ไม่ควรกระทำนั่นก็คือเราเด็ดเดี่ยว เราไม่ทำ เพราะว่าถ้าทำแล้วจะทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมาย ทำให้เราผิดหนทาง ผิดแนวทางของตนเองที่ตั้งไว้ หากเรารู้เช่นนี้ เวลาเราดำเนินชีวิต คำว่า “สำเร็จ” ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมใช่หรือไม่ (ใช่)

แต่มนุษย์เราเมื่ออยู่บนโลกนี้ มักเลือกที่จะเดินไปสู่ทางแห่งลาภยศชื่อเสียง ซึ่งล้วนเป็นเหมือนลมพัดผ่านมา เหมือนเมฆที่มาให้ร่มเงาเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง ที่เราพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ท่านดำเนินชีวิตโดยไม่หาเงินหาทองเลย แต่หนทางที่ถูกต้องและแนวทางของชีวิตที่แท้จริงก็คือการกลับคืนไปสู่ความสว่างไสวแห่งตัวตนเอง ไม่ใช่เดินทางไปสู่ความมืดบอดความอับจน เมื่อเราคิดจะเดินทางไปสู่ความสว่างไสว สิ่งใดเราควรทำก็ยังคงต้องกระทำ สิ่งใดไม่ควรกระทำก็ลด ละ เลิก ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงกล่าวได้ว่าความดีหากรักษาได้จึงมีค่า ความชั่วหากแก้ไขได้จึงเป็นคนดีมีประโยชน์ ฟังเช่นนี้แล้วก็คงไม่ยากเกินไปที่จะดำเนินชีวิตอย่างผู้บำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)

เรามีปัญญา มีสติ มีความรู้ เราต้องรู้จักกรองและเลือกสรรสิ่งที่ดีมาสู่ตน หากเห็นทุกอย่างแล้วก็รับมาหมด เก็บมาหมดอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) อะไรที่ไม่ดีก็ต้องตัดทิ้งบั่นทอนออกไปใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่ออะไรยาวเกินก็ต้องตัด เมื่ออะไรสั้นเกินก็ต้องต่อ แต่บางครั้งเราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาต่อ ไม่รู้ว่าจะตัดอย่างไร จะยากก็ตรงที่ตัด แล้วก็ยากตรงที่ต่อใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าคิดให้ดีๆ ไม่ยากเลย เปิดใจให้กว้างๆ วางใจให้เป็นกลาง มองทุกอย่างให้ตก มองให้ปลงให้ได้ เราก็จะรู้ว่าเรื่องราวบนโลกนี้ง่ายเหลือเกิน อยู่แค่พลิกฝ่ามือใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนไม่มีแรงที่จะพลิกตัวเอง ฟื้นตัวเองให้เป็นคนที่กล้าหาญ ให้เป็นคนที่เข้มแข็ง ให้เป็นคนดีของสังคมได้ เพราะว่ามักพ่ายแพ้และมีอำนาจแห่งการกระทำดีน้อยเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะแรงกิเลส แรงอารมณ์มีมากกว่าแรงกระทำดี แรงบำเพ็ญดีใช่หรือเปล่า (ใช่) จึงมีหลายครั้งยากจะทำดีได้สำเร็จ ยากจะบำเพ็ญตนและขัดเกลาตนให้มีจิตใจที่ใสสะอาดและดีงามใช่หรือไม่ (ใช่)

ฟังเรามากๆ อย่าเพลินไปเลยนะ ต้องมีตอบ ต้องมีคิดและต้องมีการใช้เหตุผลวิเคราะห์พินิจพิจารณา เวลาฟังแล้วไม่ใช่ฟังอย่างเดียว แต่ฟังแล้วต้องใช้สติ ใช้ปัญญา และใช้สมาธิ ฟังดูแล้วก็แยกแยะให้ถูก อะไรดีก็เก็บไว้กับตัว อะไรไม่ดีก็รีบตัดทิ้ง แล้วตัวเราก็จะไม่เป็นถังขยะเคลื่อนที่ แทนที่จะเก็บสิ่งดีของคนอื่นไว้ แต่กลายเป็นเก็บความไม่ดีของคนอื่น แล้วตัวเราก็เต็มไปด้วยความไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนแรกเป็นของคนอื่น ไปๆ มาๆ กลับมาเป็นของตัวเองได้ ว่าเขาขี้บ่น ว่าเขาขี้โมโห ว่าเขาชอบนินทา แต่ไปๆ มาๆ วันนี้เรานินทาไปแล้ว บ่นไปแล้ว โมโหไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการดำเนินชีวิตต้องมีสติ รู้จักยั้งคิด แล้วก็ตามให้เท่าทันทุกเหตุการณ์ที่พัดผ่านเข้ามาในใจเรา

การฝึกเป็นคนละเอียดรอบคอบอยู่ทุกขณะทุกเวลา จะทำให้เราเป็นคนที่ยากกระทำผิด ยากจะพลั้งเผลอ เพราะเรื่องราวบนโลกนี้เราประมาทไม่ได้แม้นาทีเดียว ประมาทไม่ได้แม้ชั่วความคิดเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) หนทางจะเป็นทางเดินได้เพราะเรารู้จักหมั่นเดิน หญ้าจึงไม่ขึ้นรก จิตใจของเราจะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง เราต้องรู้จักหมั่นขัดเกลาทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เช่นนั้นเมื่อใจว่างคุณธรรมไปสักครู่หนึ่ง ความคิดชั่วร้ายย่อมผุดขึ้นมาได้ทันที แล้วเมื่อใดที่เรามีใจคิดชั่วร้าย เราก็เป็นปีศาจร้ายได้ทันทีเหมือนกัน แต่เป็นปีศาจที่ยังไม่ออกฤทธิ์ไม่ออกลาย อย่าปล่อยให้ปีศาจแฝงอยู่ในตัวตน เพราะเมื่อใดที่มีปีศาจอยู่ อันตรายย่อมเกิดขึ้น ความทุกข์ย่อมบังเกิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังอย่างนี้แล้วดูการดำเนินชีวิตช่างเป็นเรื่องที่สนุกเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ที่ว่าเราจะขยับเขยื้อนตัวเองนี้ให้ดำเนินเรื่องใด บางครั้งเล่นเรื่องเศร้าโศกา บางครั้งเล่นเรื่องสุขปรีดาใช่หรือไม่ (ใช่)

ในโลกนี้มนุษย์เรามีสติปัญญาและความสามารถแตกต่างกันออกไป จะมีทั้งผู้ที่รู้ก่อนและผู้ที่รู้หลัง และก็อาจจะมีผู้ที่เข้าใจก่อนและผู้ที่เข้าใจหลัง เพราะอะไรถึงต้องแบ่งเป็นคนสองประเภท ก็เพราะว่าผู้ที่รู้ก่อนและเข้าใจก่อนต้องมีหน้าที่ไปบอกผู้ที่ยังไม่รู้หรือผู้ที่รู้ทีหลังให้เข้าใจ คนบำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเรารู้ว่าต้องบำเพ็ญธรรม เมื่อเราตื่นแล้วว่าจะต้องบำเพ็ญธรรม ชีวิตนี้ถ้าบำเพ็ญได้จะมีความสุข หากเรารู้ก่อนแล้วใครยังไม่รู้ เราก็มีหน้าที่จะต้องไปบอกให้เขารับรู้ แล้วถ้าหากว่าคนรู้ก่อน เข้าใจก่อน ตื่นก่อนแล้วไม่สนใจคนที่ยังไม่ตื่น คนที่ยังไม่เข้าใจจะเป็นเช่นไร คนที่ยังไม่รู้ยังไม่เข้าใจก็เต็มบ้านเต็มเมืองใช่หรือไม่ ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อน เข้าใจก่อน เห็นก่อน จะเห็นแก่ตัวไม่ได้ เอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ เมื่อมีโอกาส มีเวลาต้องรีบไปช่วยคนอื่นเขา ฉะนั้นการไปขอความรู้จากผู้อยู่หน้า เราจะทำตัวเย่อหยิ่งผยองได้หรือไม่ (ไม่ได้) ไม่อย่างนั้นแม้ผู้ที่รู้ก่อน หรือตื่นก่อนเขาอยากจะให้เพียงใดเราก็ยากจะรับ เพราะจิตใจเราปิดกั้นไม่ยอมรับใช่หรือเปล่า (ใช่)

วันนี้มาฟังธรรมะ มาเรียนรู้หลักธรรมะ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ต้องรู้จักมีน้ำใจต่อกัน จบชั้นแล้วก็ต้องรู้จักขอบคุณผู้ที่พาเรามาใช่หรือไม่ (ใช่) เจอหน้ากันก็ต้องรู้จักทักทายยิ้มแย้มต่อกันบ้าง เพราะเรื่องที่เขารู้ก่อนเข้าใจก่อนเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวหรือเปล่า (ไม่ใช่) ฉะนั้นเวลาจะรับอย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือปั้นปึง ต้องมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมที่จะรับใช่หรือไม่ (ใช่) ภาษาที่เราพูดก็เข้าใจกันทุกคน เรื่องที่เราพูดก็เป็นเรื่องที่ท่านเห็นกันทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรเราถึงทำไม่ได้และไม่เข้าใจ เพราะเหมือนเส้นผมบังภูเขาหรือไม่ก็เหมือนรู้แล้วแต่ไม่ยอมทำ



"ไม่ประดุจตายแล้วทั้งเป็นอยู่ มีประตูต้องเข้าใจวาจารู้จักใช้"

ในตัวเรามีประตูที่เปิดและปิดอยู่หลายทาง ประตูที่เปิดและปิดนั้นก็คือการรู้จักควบคุมที่จะรับเข้ามาแล้วนำออกไปใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วในตัวของเรานั้นมีประตูอะไรบ้าง (ตา ใจ ปาก) ใจเป็นประตูบานใหญ่ใช่ไหม วันนี้จะได้รับรางวัลหรือไม่ได้รับก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะยอมเปิดหรือปิดประตูบานนี้หรือไม่

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามเลือกระหว่างผลไม้กับดอกไม้)

ใครๆ ก็อยากได้รับผลที่ดี แต่ผลที่ดีอย่าวัดกันที่รูปลักษณ์ภายนอก ดอกไม้ก็มีคุณค่าของดอกไม้ ผลไม้ก็มีคุณค่าของผลไม้ อยู่ที่ตัวเราได้รับสิ่งนั้นแล้วเห็นคุณค่าแห่งสิ่งนั้นหรือเปล่า เรามักกล่าวอยู่เสมอว่าสิ่งที่มีคุณค่าแต่
ตัวเราไม่เห็นคุณค่าก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า สิ่งที่ไม่มีคุณค่าแต่รู้จักนำมาใช้พลิกแพลง ให้กลับมามีคุณค่าก็แสดงว่าคุณค่าต่างๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ แต่อยู่ที่ว่าตัวเราจะกระทำต่อสิ่งนั้นเช่นไร ธรรมะก็เช่นเดียวกัน จะมองเป็นธรรมะธรรมดาหรือธรรมะที่มีคุณค่าก็ขึ้นอยู่ที่ว่าท่านเห็นธรรมะแล้วนำไปปฏิบัติเช่นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)

หลายต่อหลายครั้งที่เราไม่รู้จักเปิดและปิดประตูของเราให้ถูกต้อง จนทำให้ชีวิตเราเหมือนกับตายทั้งเป็น ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) นอกจากประตูทางใจ ปาก ตาแล้ว ยังมีประตูใดอีก (หู , กระหม่อม , ประตูทวารทั้ง๙) หากเรารู้จักควบคุม เปิดปิดประตูของร่างกายเรานี้ให้ถูกต้องเหมาะสม รู้จักเลือกรับเลือกปฏิเสธ การที่จะหาเพื่อนหามิตรบนโลกนี้ก็ไม่ยาก การที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขก็ไม่ยากเช่นกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่โดยปกติมนุษย์รู้จักอายตนะแต่ไม่รู้จักใช้ มักจะใช้กันอย่างสับสนปนเป ไม่รู้ว่าเมื่อใดควรมองไม่ควรมอง เมื่อใดควรลิ้มรสหรือไม่ควรลิ้มรสใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเราไม่รู้จักใช้อายตนะ หากทุกวันเอาแต่ใช้สักวันย่อมเสื่อมได้ เช่นหู ถ้าฟังมากๆ ฟังเสียงดังเกินไปหูก็หนวกได้ ลิ้นรับรสจัดเกิน ลิ้นก็เฝื่อนได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือเปิดปิดเป็นแต่ควบคุมไม่เป็น ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้เราต้องรู้จักควบคุมกาย ใจ ตา หู จมูก ปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)

เราอยู่บนโลกทุกๆ วันนี้มีแต่เพิ่มเติม ไม่ยอมลด ไม่ยอมปล่อยวาง ทำให้ความทรงจำความรู้สึกที่เรามีต่อโลกนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย แล้วเราก็ปลงไม่ได้ วางไม่ได้อยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเป็นกิเลสตัณหา ความรู้สึกที่ดีและไม่ดีของคนอื่นเต็มไปหมด ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราบรรจุไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่วุ่นวายสับสนปนเปจนยากที่จะทำให้ใจบริสุทธิ์ ยากที่จะ ขัดเกลา ชะล้างทำใจให้สะอาด และบำเพ็ญตนให้เป็นคนดีอย่างแท้จริงได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะสายตา ทัศนคติหรือความคิดที่มีต่อโลก ต่อคน ล้วนแต่เลวร้าย ล้วนแต่ย่ำแย่ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เมื่อบำเพ็ญแล้วทำให้ท่านวางไม่ลง และคิดว่าตนไม่มีทางบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นพุทธะได้ เรารู้จักรับเข้ามาแต่ทำไมเราจึงไม่รู้จักปลดปล่อยบ้าง ล้างออกบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นผู้ที่รู้จักรับได้เพียงฝ่ายเดียวแต่ไม่รู้จักเทออกหรือแบ่งออกเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ที่รับได้อย่างเดียวก็ยากจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าทุกวันหวังแต่จะรับแต่ไม่เคยให้ แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะเป็นการช่วยกันตัดกิเลส ลดตัณหา ลดการเพิ่มในตัวตน ลดการเพิ่มสิ่งเลวร้ายในชีวิตของเรา ทำอย่างไรจึงจะช่วยชะล้างความไม่ดีออกจากตัวเราหรือทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เพิ่มมากไปกว่านี้ (รู้จักปล่อยวาง,ยินดีในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่) นั่นก็คือรู้จักค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ (ต้องรู้จักเสียสละ) เสียสละเวลาของตนเองไปอุทิศช่วยเหลือผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) (การให้อภัย) การให้อภัยเกิดขึ้นได้ตอนไหน ตอนที่โมโหหรือตอนที่ลูกเรา สามีเราทำอะไรไม่ได้ดังใจ บางครั้งก็ต้องให้อภัยเขาบ้าง ถ้าใช้วิธีเดิมแล้วไม่เคยก้าวหน้าหรือไม่เคยดีขึ้น เราก็ต้องรู้จักเปลี่ยนวิธีบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)

เราจะลดกิเลสหรือลดความอยากในตัวเองไม่ให้พุ่งพล่าน ไม่ให้เพิ่มเติมมากกว่านี้ได้อย่างไร เพราะหลายครั้งถ้าเราไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีชีวิตอยู่เพื่อให้ได้สิ่งที่สมความอยาก เราย่อมเหนื่อยกับการที่ได้มาซึ่งความอยากนี้ แล้วเราก็ต้องทุกข์ร้อนกับความอยากของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดความอยากขึ้นเราจะทำอย่างไรดี ในบางครั้งเมื่ออยากแล้ว มักจะทำให้เราบิดเบือนความเป็นจริง หรือทำให้เราบิดเบือนจากการเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ เพราะการให้ได้มาซึ่งความสมอยากนั้นมีทั้งวิธีที่รวดเร็วและมีทั้งวิธีที่ช้า ถ้าได้มารวดเร็วก็อาจทำให้เราต้องบิดเบือนทำนองคลองธรรม บิดเบือนกฎหมาย ถ้าได้เร็วแล้วต้องบิดเบือนเราก็ควรตัดความอยากทิ้ง หรือเลิกความอยากนั้นเสียใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราจะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะความอยากในใจเรานี้ให้หลุดไปจากตัวเราได้ เพราะหลายครั้งที่เราทำแล้วไม่สามารถหลุดได้ เราสร้างขึ้นมาแล้วแต่ยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้นมา บางครั้งก็ทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)

นั่นก็คือเวลาเจอความอยากในตัวเรา พบว่าตัวเรากำลังอยากจะทำสิ่งที่ผิดเราก็หนีเลย อย่างนั้นดีไหม คิดดีๆ เพราะในการดำเนินชีวิต บางทีเราแก้ไม่ออก นึกไม่ได้ จนในหนทาง จนในความทุกข์ เราก็หนีเสียเลย จริงๆ แล้วการหนีเป็นทางออกที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง) เราหนีได้เฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เราหนีต่อจิตใจของเราที่รู้สึกต่อเรื่องนั้นไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) (รู้จักยับยั้งใจ) รู้จักยับยั้งหักห้ามใจตนเอง แล้วใช้อะไรมายับยั้งห้ามใจ เวลาเรามีความอยาก ใจเรานั้นไม่เป็นเอก ไม่เป็นหนึ่งเดียว ใจเราแบ่งเป็นสอง แต่ถ้าแบ่งแล้วต้องตรวจสอบให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นใจที่แบ่งออกไปนั้นอาจจะมีมากกว่าใจที่ยับยั้งใช่หรือเปล่า เมื่อมีใจยับยั้งต้องเพิ่มพลังใจยับยั้งให้เหนือกว่าใจแห่งความอยาก เราจึงจะขจัดความอยากนั้นทิ้งลงได้ และปลงลงได้ใช่หรือไม่ (มีสติปัญญา) ต้องให้สติปัญญาอยู่เหนือกิเลส อยู่เหนืออารมณ์ ทุกคนมีสติมีปัญญา แต่ยากจะทำให้อยู่เหนืออารมณ์ และตามให้ทันความอยากได้ นอกจากมีสติปัญญา แล้วยังต้องมีสมาธิ (ต้องมีศีล สมาธิ และปัญญา) ศีลคืออะไร (ศีลคือสิ่งที่เราได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดี) นั่นก็คือคุณธรรมและหลักแห่งการดำรงชีวิตที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)



“มิพากันเบียดเบียนอย่างฮึกเหิม ปราชญ์ประเดิมฝึกให้ทานจากภายใน”

การจะตัดหรือลดกิเลสจากตัวเองได้นั้น วิธีง่ายๆ ก็คือรู้จักหมั่นอบรมบ่มเพาะ ขัดเกลาจิตใจตนเอง อย่างที่เรากล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่าหากจิตใจเราว่างคุณธรรมไปชั่วครู่ ความคิดชั่วร้ายย่อมแทรกเข้ามาได้ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทุกวันเรามีคุณธรรมบ่มเพาะและหล่อเลี้ยงจิตใจ การจะกระทำผิดก็ย่อมยาก
ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วสิ่งใดที่นำพาไปสู่ทางไม่ดี ทางแห่งความเสื่อมเสีย ทางแห่งความวิบัติ เราต้องไม่ชิดใกล้ เราต้องไม่เดินไปหาใช่หรือไม่ (ใช่) จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “แม้ศาสตราวุธก็ยากทำร้ายตัวเรา แม้เภทภัยก็ยากมาต่อกรกับตัวเรา” ก็เพราะว่าเราไม่เดินเข้าไปใกล้ เราไม่เดินเข้าไปหา แล้วเภทภัยนั้นจะมาทำร้ายเราได้หรือไม่ (ไม่ได้) เหมือนเราเห็นสัตว์ร้าย เรารู้ได้ทันทีว่าถ้าเราเดินเข้าไปใกล้ สัตว์ร้ายนั้นจะต้องเข้ามาทำร้ายเราทันที เราจึงไม่เดินเข้าไปใกล้สัตว์ร้ายนั้น แต่หลายครั้งที่ผู้บำเพ็ญธรรม เดินเข้าไปแล้วกลับเจออันตราย เจอศาสตราวุธและสัตว์ร้าย เพราะว่าไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่เดินเข้าไปหา สิ่งที่ตนเองกระทำนั้นเป็นสัตว์ร้ายหรือเป็นอาวุธร้าย จึงทำให้หลายครั้งต้องทำผิดพลาด หลายครั้งที่ต้องเลือกเดินทางผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าที่ใดเป็นที่ดี นำมาซึ่งความสงบ นำมาซึ่งศีลธรรม อบรมบ่มเพาะจิตใจ เราก็ควรชิดใกล้ เราก็ควรหมั่นฝึกฝน เดินเข้ามาหาใช่หรือไม่ แล้วที่ใดล่ะ ก็คือสถานที่ที่มีความสงบ ความศักดิ์สิทธิ์ และความร่มเย็นใช่หรือไม่ (ใช่) นอกจากภายนอกแล้ว เรายังหาได้จากภายในตัวเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาพูดตั้งมากมาย มีหลายคนที่ได้รับทั้งดอกไม้ ผลไม้ และก็มีหลายคนที่ไม่ได้รับ แต่ก็คงไม่รู้สึกเสียดาย เพราะท่านก็ได้รับรู้หลักสัจธรรมที่จะนำไปใช้ในชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เรากล่าวไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งที่ดีที่เรามอบให้แก่กัน ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนไกล ไม่ต้องไปเหนื่อยเดือดร้อนหาในที่ไกลๆ นั่นก็คือหยิบยื่นสิ่งที่ดี หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้แก่กันใช่หรือไม่ (ใช่) หากทุกๆ คนรู้จักหยิบยื่นสิ่งที่ดี รู้จักหยิบยื่นในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แล้วทำคุณค่านั้นออกมาให้ปรากฏ สักวันหนึ่งเราก็ย่อมเป็นผู้ที่มีประโยชน์หรือเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเป็นคนประเสริฐเพียงคำพูดเท่านั้น แต่ต้องประเสริฐได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าวาจาหรือการปฏิบัติ

การจะเป็นคนที่มีคุณค่าวัดได้จากตรงไหน (การกระทำ,จิตใจ) ต้องดูที่จิตใจคนว่าเขามีความเมตตาหรือเปล่า แต่ความเมตตาที่จะทำให้เราเห็นได้และรู้ได้นั้นก็คือเขาต้องแสดงออก แต่จะดูเขาเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าดูเขาเป็นแต่ดูเราเองไม่เป็น ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ดูเขาเป็น ตัวเราเองก็ต้องเป็นได้อย่างเขาด้วย แล้วเราจะวัดค่าแห่งความเป็นคนที่ประเสริฐนั้นได้จากอะไรอีก (จิตใจดีงาม) แล้วถ้าจิตใจดีงามไม่เคยปฏิบัติไม่เคยแสดงออกมาเลย จะเป็นคนดีที่แท้จริงหรือเป็นคนประเสริฐได้หรือเปล่า (ยังไม่ได้) ต้องลงแรงกระทำด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) ความกรุณาเอื้ออาทรเป็นการปฏิบัติของตน แต่ถ้าปฏิบัติได้แค่ตอนต้น แต่ตอนปลายไม่ปฏิบัติ ผลที่ได้รับก็ได้แค่ครึ่งเดียว หากมีความกรุณาแต่ทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่งก็ย่อมไม่ดี เมื่อจะกระทำสิ่งใดต้องกระทำให้ตลอดรอดฝั่งใช่หรือไม่ (ใช่) หากมาแค่หนึ่งวันจะเรียกว่ามาศึกษาธรรมเพื่อดำรงตน เพื่อบ่มเพาะตน เพื่อขัดเกลาตน เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้นหรือ (ต้องรู้จักอดทนและเสียสละ) หลายครั้งที่เราให้เขาได้ แต่เรามักจะอดทนไม่ตลอดรอดฝั่ง และตัดใจเสียสละไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่ายากที่จะยอมเสียเปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากจะเสียสละและอดทนได้นั้น เราต้องไม่คิดแม้เราจะเสียเปรียบบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)

การที่คนๆ นั้นจะมีคุณค่าได้ หรือเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ว่าเขากระทำเพื่อตนเองหรือเพื่อส่วนรวม คนประเสริฐที่เป็นพุทธะอริยะ เป็นบุคคลที่ขัดเกลาตนเองได้อย่างแท้จริง เขาล้วนกระทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบว่า สิ่งที่กระทำนั้นมีผลกระทบ มีผลทำร้ายต่อคนรอบข้างหรือเปล่า เมื่อทุกขณะที่เราดำเนินชีวิตรู้จักนึกถึงคนอื่น รู้จักมองคนอื่นบ้าง นั่นก็คือรู้จักฝึกเปิดใจกว้าง ฝึกเปิดใจเมตตาเฉกเช่นพุทธะ ค่าของเขาจึงประเสริฐที่ตรงนี้เอง นั่นก็คือไม่ได้มีชีวิตเพียงเพื่อตัวเองหรือครอบครัวตนเองเท่านั้น แต่ชีวิตของเรายังมีค่าและมีผลกระทบต่อปวงชนได้เช่นกันใช่หรือเปล่า (ใช่) หากเราตัดต้นไม้ต้นหนึ่ง ผลกระทบก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน เราเป็นคนไม่ดีก็สามารถสร้างผลกระทบได้เหมือนกัน แล้วสร้างผลกระทบต่อใคร (ต่อคนรอบข้าง) อย่าคิดว่าการกระทำของเราไม่มีผลกระทบต่อคนอื่น การกระทำที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเรา แล้วแสดงออกมามีผลกระทบต่อโลกใบนี้ได้ ถ้าเราทำไม่ดีหากคนอื่นเห็นแล้วเอาเป็นแบบอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว เราก็เป็นคนที่ทำให้เขาแย่ไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราทำดีตลอด เขาเห็นแล้วเอาเป็นแบบอย่าง เราก็ได้บุญโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) อยากได้ผลร้ายหรือผลดีโดยไม่รู้ตัวก็ไปคิดเอาเอง แล้วรีบไปกระทำเสีย

ขอเพียงวันนี้ท่านมาศึกษา แล้วพรุ่งนี้มาให้ครบ เมื่อศึกษาแล้วขอให้นำไปปฏิบัติให้ได้ ผลประโยชน์นั้นไม่ใช่ตกอยู่ที่ตัวเราแต่ตกอยู่ที่ตัวท่านเอง สิ่งที่เราพูดในวันนี้จะหลอกลวงหรือเป็นความจริง ก็อยู่ที่ท่านจะนำไปใช้แล้วไปประจักษ์ผล วันนี้ที่เรามานั้น ไม่ใช่เป็นการเล่นละครหรือเป็นการแสดงปาหี่หลอกลวงท่านเลย เราต้องการให้ท่านรู้และเข้าใจชัดถึงสัจธรรมที่เราได้เห็นว่าดี แต่เห็นว่าดีแล้วจะทำอย่างไรให้ท่านลงมือปฏิบัติ ให้เป็นคนดีให้ได้นี่ต่างหากที่สำคัญ บำเพ็ญอย่างตั้งใจแล้วหมั่นขัดเกลาตนให้ได้ แม้อุปสรรคจะมากมายเพียงใด ขอให้รู้ไว้ว่าอุปสรรคเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเราจะเป็นพุทธะหรือว่าปุถุชน ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นนานัปการในการบำเพ็ญธรรม เป็นเครื่องวัดจิตใจของเราว่ามั่นคงแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าท่านมุ่งมั่นและเห็นว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดี การขัดเกลาตนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แม้จะเจอความทุกข์ยากลำบากบ้างก็ต้องไม่ย่อท้อ ก็ต้องฟันฝ่าให้ได้ เพราะเราต้องการไปให้ถึงซึ่งความดีอันยิ่งใหญ่ ฉะนั้นอย่าได้ยอมแพ้อุปสรรคและความทุกข์ยาก อย่าได้ยอมแพ้ต่อความท้อแท้ที่เกิดขึ้นในจิตใจตนดีหรือไม่ (ดี)



(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานดอกไม้ในตะกร้าที่ท่านถือให้กับนักเรียนที่ตอบคำถามจนเกือบหมด)

เมื่อตอนมาตะกร้ามีดอกไม้เต็มๆ ตอนนี้ก็ว่างเปล่าแล้ว ชีวิตของเราก็เหมือนตะกร้าใช่หรือไม่ (ใช่) จะตักตวงสิ่งใดกลับขึ้นไป ถ้ายิ่งตักตวงความดีได้มากเท่าใด ความดียิ่งส่งผลมากเท่านั้น ถ้าความดีส่งผลถึงขนาดผลักดันให้เราหลุดพ้นจากวัฏฏะเวียนว่ายก็คงดีไม่ใช่น้อย อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ค่า และมีค่าในการที่ได้เกิดมาเป็นคนชาตินี้ และขอเป็นชาติสุดท้ายใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะบำเพ็ญตนและกลับคืนขึ้นไปยังเบื้องบนดีหรือเปล่า (ดี) ขอให้ทุกคนจูงมือกันไปให้ได้ ใครล้มใครทุกข์ใครท้อขอให้ช่วยกัน ใครยังมีกำลังใจก็เอากำลังใจนั้นไปช่วยคนทุกข์คนท้อ ยามท้อยามอ่อนแอ อย่าเพียงล้มเป็นแต่ลุกไม่เป็น หากล้มเป็นแล้วต้องลุกเป็นด้วยดีหรือไม่ (ดี)

(นักเรียนในชั้นร่วมกันขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทชี้แนะ)

เราก็ต้องขอบคุณท่านด้วยที่ทำให้เรามีโอกาสมาพบเจอกัน ผูกบุญสัมพันธ์กันใช่หรือไม่ (ใช่) ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีปุถุชนไม่มีเวไนยชน หรือจะมีพุทธะโพธิสัตว์" ไม่มีท่านหรือจะมีเราที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านก็มีค่าช่วยทำให้เรามีค่ายิ่งขึ้น ทุกคนอยู่ร่วมกันต่างเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน นำพากันไปสู่สิ่งที่ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งแล้วในการเป็นคน คงหมดวาจาที่จะกล่าวแล้วนะ ลาก่อน




วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



รีบรีบเร่งก้าวก้าวย่างสู่แดนโลก พร้อมลมโบกฝนโปรยปรายก็มาถึง

รีบรีบเดินนะศิษย์เอ๋ยอาจารย์ดึง อย่าดื้อดึงติดวิสัยปุถุชน

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้ แฝงกายกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า



สามัคคีกันและกันยอดแห่งขวัญ อยู่ร่วมกันยังทรมานเพราะอะไร

หัวใจตายคนเป็นเพราะขาดไป ขาดจริงใจร้ายแทรกได้ตลอด

เพียรจิตใจไม่ช่างตินินทา อนิจจาอย่าลุ่มหลงให้ใจบอด

ใครร้อนช่างใจหวังตนรอด โลกาวอดวุ่นวายศิษย์มากกว่าใคร

ปฏิปทาใช่ต้องมากมายตั้งหลายครั้ง ใจนี้ดังเป็นพุทธะยากเวียนว่าย

ยิ่งแก้ไขตนยิ่งดีเพราะแก้ไข ไม่ต้องหวั่นนานไกลยิ่งผ่องแผ้ว

สิ่งยิ่งดีอุปสรรคยิ่งมากแล ทว่าใช่ยิ่งแย่มาฝ่าคล่องแคล่ว

เดินระวังอย่างยิ่งให้ถูกแนว ปัญญาใช้แน่แน่วงามลงตัว

ไม่เข้าใจผลเหตุมาคุยกัน สารพันยิ่งลือไกลเรือยิ่งรั่ว

บ่ากว้างจึงแบกรับเกินตัว ทยอยลดในเรื่องตัวกลัวจาบัลย์



รักตนเกินหนักเบาพาลสับสน เปรียบความอดทนเสมือนสิ่งพื้นฐาน

เดินทางร่วมเพื่อนพี่น้องสมัครสมาน ศิษย์ดีกันอาจารย์นี้ก็ยินดี

ฮา ฮา หยุด







ยกเว้นไม่คิดจะกลับคืน จะหลับตื่นจะเร็วหรือจะช้า หนทางที่สุดตา หรือสั้นค่าอย่างไร

จะสุขทุกข์เท่าไหน เหนื่อยเพียงไรมิหยุดหวัง เข็ดจำไม่คิดวาง แล้วว่ามันธรรมดา

ผ่านสิ่งนี้ตรมใจ รวบสิ่งใหม่มาแทนขาดเกิน ระหกระเหิน ก้มหน้าแล้วเดิน เจ้าไม่เข้าใจ

* โปรดตระหนักและมองที่ใจเจ้าเอง เวลาเร็วไม่เกรงก็เกรงแค่จิตหลง เบือนบิดทางสายตรง ด้วยการล้มลงเพียงครั้งหนึ่ง (ศิษย์ไม่คิดจะก้าวต่อ)

กระจ่างต่างกับรักหลง จิตคงมั่นเกิดเพราะศรัทธา เห็นใครดีกว่า ชื่นชมมิเฝ้าขื่นใจ ศิษย์ก้าวขาตามฟ้ามีหรือจนใจ ฝนทั่งจิตไว้แม้ทำไม่ง่าย ( ซ้ำ * )



เพลง : กระจ่างต่างกับรักหลง

ทำนองเพลง : ไม่เจียม






พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ปรบมือคนละแปะสองแปะแบบนี้จะถึงฟ้าหรือเปล่า ความไม่พร้อมเพรียงจะไปถึงฟ้าหรือเปล่า มีหลายคนคิดว่าไม่ถึง คนที่บอกว่าไม่ถึงก็จะไปให้ถึงใช่ไหม (ใช่) ทำไมคนที่บอกว่าไม่ถึงจึงไปถึงล่ะ เพราะคิดว่าไม่ถึงจึงเร่งรีบพยายามใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์เคยเร่งรีบพยายามเรื่องใดบ้าง (รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์, ตั้งจิตมั่น, เร่งรีบทำความดี, เร่งรีบบำเพ็ญทางจิต) ชีวิตนี้เร่งรีบที่สุดคือเร่งรีบหาเงิน เพราะเงินทองขาดไปจากกระเป๋าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ต้องรีบหาใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วต้องเร่งรีบหาอะไรอีก (หาธรรมะ) อาจารย์ว่าเร่งรีบหาสิ่งที่จะทานใช่ไหม (ใช่) เวลาเราอยากจะทานก็ต้องหาในสิ่งที่อร่อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ ศิษย์นั้นได้เร่งรีบที่จะให้ตนเองนั้นเป็นคนที่ไม่น้อยหน้าใคร เรามีความเร่งรีบต่างๆ ก็เป็นความเร่งรีบแห่งปุถุชนใช่หรือเปล่า (ใช่) เรานั้นบอกว่าเราเร่งรีบในการทำความดี เรารีบแต่เราไม่ได้ทำ รีบๆ เร่งๆ อยู่ในใจ เวลาทำจริงๆ แล้วทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราทำไม่ได้มาก เพราะฉะนั้น การที่เราเป็นปุถุชนอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่ตัวเราหามา ตัวเราค้นมา ตัวเราสร้างให้ตัวเราเป็นปุถุชนใช่หรือไม่

ในวันนี้มาประชุมธรรม คนที่อยู่หน้าชั้นพูดถึงเรื่องพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถามว่าศิษย์ของอาจารย์มีความคิดอยากจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยาก) แล้วพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำในสิ่งไหนบ้าง (สิ่งที่ดี) สิ่งที่ดีเฉยๆ ได้หรือเปล่า (สิ่งที่ดีงาม) สิ่งที่ดีงามไม่ใช่ดีงามเฉพาะตน แต่ดีงามต่อคนจำนวนมากใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการให้ต่อคนจำนวนมากเราก็ต้องเสียสละมากด้วย ถ้าเราเสียสละน้อยๆ ก็ดีเพียงแค่ตัวเองใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ดีแค่คนในบ้าน แต่ต้องดีไปถึงคนข้างๆ บ้านด้วย แล้วเคยเป็นคนดีของสังคมไหม เราเคยเป็นคนดีของคนทั้งประเทศไหม เราเคยเป็นคนดีของคนทั้งโลกไหม (ไม่เคย) แล้วถามว่าเราจะเป็นพุทธะให้ใครกราบไหว้ ให้ตัวเองหรือให้คนข้างบ้านกราบไหว้ พุทธะมีคนแค่นี้กราบไหว้ใช่ไหม (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จึงต้องทำความดีที่เป็นความดีของคนทั้งสังคม ทั้งประเทศ และคนทั้งโลกใช่หรือไม่ (ใช่)

ยกตัวอย่างเช่น พระศรีอาริย์ฯ พระพุทธองค์ ศิษย์รู้จักดีใช่หรือไม่ คนที่กราบไหว้ท่านนั้นมากมายหลายประเทศ เป็นค่อนโลกใช่หรือไม่ (ใช่) เราคงไม่ต้องไปยิ่งใหญ่เท่าท่าน แต่ขอให้เราดีจริงๆ เพราะว่ามนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีความดี แต่เป็นความดีที่ไม่เที่ยง เป็นความดีเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ลมเพลมพัดใช่หรือไม่ ลมพัดแรงหน่อย ความดีของเราก็ฟุ้งกระจายไปไกลหน่อย ถ้าความดีของเรามีเพียงแค่เล็กน้อย ถึงลมจะมาแรง แต่ก็ไม่ทำให้ความดีของเราไปงอกเงยที่ไหนเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เกสรของดอกไม้เวลาโดนลมพัดก็จะฟุ้งกระจายไปไกล ความดีของเราเปรียบเสมือนเกสรดอกไม้ที่เวลาลมพัดไปก็ไปมอบความเจริญงอกงามให้แก่ที่นั่น แต่ทุกๆ วันนี้เรายังทำไม่ได้ถูกหรือเปล่า (ถูก) เรายังทำไม่ได้เพราะว่าเรามีอะไรเยอะ (กิเลส) อาจารย์อยากถามว่าพวกเรารู้จักคำว่า “กิเลส” ดีแค่ไหน (กิเลสคือรัก, โลภ, โกรธ,หลง) รู้จักกิเลสกันเพียงเท่านี้เองหรือ



“รีบรีบเร่งก้าวก้าวย่างสู่แดนโลก พร้อมลมโบกฝนโปรยปรายก็มาถึง





เมื่อสักครู่ฝนตกใช่หรือไม่ (ใช่) ฝนตกแล้วเป็นอย่างไรบ้าง (เย็นสบาย) ฝนตกลงมาเย็นคนเดียวหรือเปล่า (เปล่า) ฝนตกลงมาคนที่หายร้อนก็คือคนที่กำลังร้อนอยู่ ชีวิตนี้เราเคยทำตัวได้เหมือนสายฝนไหม เราเห็นฝนมาตั้งแต่ตอนที่เรายังเล็กๆ อยู่ แล้วมองมาตั้งนาน รู้สึกอยากเป็นแบบฝนไหม (อยาก)

พุทธสถานที่นี่ชื่อว่าอะไร (เฉิงอี้) “เฉิงอี้” แปลว่าอะไร (ศรัทธาจริงใจ) ถามว่าศิษย์จริงใจหรือเปล่า (จริงใจ) จริงใจนั้นเคลือบแฝงสงสัยหรือเปล่า (เปล่า) ข้างในสถานธรรมเรียกว่า “ข้างในประตูพุทธะ” ข้างนอกสถานธรรมเรียกว่า “ข้างนอกประตูพุทธะ” อยู่ภายนอกไม่สามารถเข้าสู่สภาวะวิมุติได้ อยู่ข้างนอกเป็นปุถุชนสบายๆ อยากทำอะไรก็ได้ทำ มีอิสระแต่ไม่สามารถเป็นพุทธะที่สมบูรณ์ได้ เพราะเราเอาแต่ใจตนเอง ดังนั้นสู้ข้างในร้อนแล้วเราเข้ามาอยู่กับเขาข้างในดีหรือเปล่า (ดี) ประตูพุทธะนั้นอยู่ที่ไหน (ที่ใจ) เข้าให้ถึงจิตใจของตนเองที่สุกใส เมื่อยามที่คนเขาเกลียดชิงชังเรา เราเกลียดตอบได้ไหม (ไม่ได้) เมื่ออาจารย์เดินเข้ามา หลังประตูนี้ก็คือประตูแห่งพุทธะแล้ว ศิษย์รู้สึกว่าเรามีเกียรติหรือเปล่า (มี) แล้วถามว่าจิตของเราที่ยังเคลือบแฝงอยู่นั้นควรมีหรือเปล่า (ไม่ควร) เมื่อเราได้รับเกียรติเช่นนี้ควรทำอย่างไรที่จะให้สมเกียรตินี้ (ทำในสิ่งที่ดี) หรือพูดอีกทีต้องเร่งรีบที่จะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นทำความชั่วจะเหมือนเราทำความชั่วไหม (ไม่เหมือน) เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเองใช่หรือไม่ แม้ว่าจะมีคนทำไม่ดีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่เราก็ต้องทำอย่างไร (ทำความดี)



"สามัคคีกันและกันยอดแห่งขวัญ" ถามว่าสามัคคีกันดีหรือเปล่า (ดี) สิ่งใดที่เกิดก่อนความสามัคคี (ความจริงใจ, ความเป็นมิตร, ความเอื้ออาทร, ความโอบอ้อมอารี) ในการที่เรานั้นจะมีความสามัคคี ต้องมีสิ่งหนึ่งที่มาก่อนความสามัคคี ก็คือความรักผู้อื่น ความเข้าใจผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยอยู่บ้านเดียวกันแล้วคุยกันไม่รู้เรื่องไหม ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะเราไม่เข้าใจกันใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เข้าใจเขา เขาจึงไม่เข้าใจเรา แต่ว่าอาจารย์ไม่ได้หมายความว่าศิษย์จะคุยกัน ทะเลาะกันไม่ได้สักครั้งหนึ่ง แต่หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นบ่อยครั้งใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องทำอะไรบ้างถึงจะสามัคคีกันได้ เราจะต้องมอบความเข้าใจต่อเขา มอบความรักให้เขา ในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มอบความรักความเข้าใจให้คนรอบๆ ตัวเราหรือยัง ให้มากมายเพียงพอที่เรานั้นจะสามัคคีกันได้ไหม ในการบำเพ็ญธรรมแห่งยุคนี้ อาจารย์นั้นเน้นให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนสามัคคีกัน เพราะว่ามาอยู่ร่วมกันเปรียบเสมือนพี่น้องกัน หากว่าเรานั้นไม่สามัคคีกัน ก็ไม่สามารถจะเดินไปด้วยกันจนสุดทางได้ ความสามัคคีนั้นเราจะเรียกร้องให้ผู้อื่นให้กับเราได้หรือไม่ (ไม่) จะเรียกร้องให้เขาเข้าใจเราก่อนโดยที่เราไม่เข้าใจเขาได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราทุกคนต้องมีสิ่งนี้ให้แก่กัน การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ธรรมะลงสู่ครัวเรือน เพราะฉะนั้น นอกจากจะสามัคคีกันต่อคนในสถานธรรมแล้ว ยังต้องสามัคคีต่อคนในบ้านของตัวเองด้วย ถ้าเรายังไม่สามารถสามัคคีกันก็แสดงว่าตัวเรายังไม่สามารถทำให้คนรอบๆ ตัวเรามีความรักในตัวเราได้ แล้วคนจำนวนมากเป็นร้อยคน เป็นล้านคน เราจะสามัคคีกับเขาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ทุกๆ ครั้งที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง จะต้องมองตัวเราเองก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่) หลายๆ ครั้งที่เรามองเห็นว่าเขาทำผิด เราใช้อะไรมอง (ตา) และเราใช้หูของเราฟัง แล้วเราก็บอกว่าคนที่อยู่ตรงข้ามกับเราคนนี้เป็นคนผิด จริงๆ แล้ว นอกจากเขาผิดแล้ว ต้องใครผิดด้วย (ตัวเราเอง) เพราะว่าตัวเรานั้นก็มีร่างกาย มีความคิด เรานั้นก็ผิดเป็น เพราะฉะนั้น เมื่อผิดแล้วต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเองผิด หลายคนยอมรับแล้วแต่ยอมรับอยู่ที่ไหน (ที่ใจ) ไม่ได้แสดงออกว่าเรานั้นผิดใช่หรือเปล่า เราไม่อยากจะยอมรับผิดกับผู้อื่น เพราะว่าเราขายหน้า ถ้าเราเป็นพุทธะ การที่เราเริ่มสามัคคีกัน เราต้องละทิ้งอะไรด้วย (ละทิ้งความอาย) ต้องละทิ้งความอับอายขายหน้า และยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ใช่หรือเปล่า

ในสังคมมนุษย์ บางคนที่มีกิเลสมาก เมื่อไม่มีสิ่งนี้ก็ทำเหมือนมีสิ่งนี้ เมื่อจนก็ทำเหมือนรวย เมื่อยากจนแล้วก็ควรที่จะยอมรับว่าตัวเราเป็นคนที่ยากจน เมื่อเราทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) การยอมรับดังนี้เรียกว่าได้ทำในสิ่งที่มนุษย์ควรทำ หมายความว่าเป็นคนที่เหมือนคนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเป็นคนที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แสดงว่าเราเป็นคน แต่ใจเราไม่ใช่คน ใจเราตกต่ำไปเสียยิ่งกว่ามนุษย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ทำไมต้องพูดถึงเรื่อง “มนุษย์” (เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นผู้มีความเที่ยงตรง) ทำไมจึงบอกว่ามนุษย์เรานั้นต้องเที่ยงตรงเสียก่อน เพราะว่าบางคนร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจไม่ใช่มนุษย์ ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนที่กินทิ้งกินขว้างก็ไม่ต่างกับอะไร สัตว์ประเภทไหนที่กินข้าวเหลือก้นชาม (สุนัข) ถ้าหากเป็นคนที่ทำอะไรแล้วทิ้งขว้างก็เป็นคนที่ไม่เรียบร้อยเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อหน้าที่ เราก็เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)

มนุษย์นั้นมีปัญญาและความฉลาดแต่กลับไม่ใช้ ชอบแก่งแย่งชิงดีกัน การแก่งแย่งชิงดีมีแต่ในพวกผี วิญญาณ เวลาที่ศิษย์ทำบุญแล้วกรวดน้ำไป พวกผีวิญญาณนั้นจำเป็นต้องแย่งกัน เคยได้ยินหรือเปล่า เพราะเขานั้นไม่มีแล้ว ไม่สามารถจะมีได้แล้ว ศิษย์ของอาจารย์มักชอบแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง เงินทองในโลกนี้มีมากมาย ขวนขวายอย่างไรก็ได้ แต่ว่าเราจะหาโดยสุจริตหรือทุจริต คนใช้ความฉลาดไปทำสิ่งที่ทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ นับว่าเป็นการกระทำของมนุษย์หรือไม่ (ไม่) การเป็นมนุษย์นั้นยาก ร่างกายของมนุษย์เกิดมาก็ยาก พ่อแม่นั้นกว่าจะให้กำเนิดเราให้ร่างกายที่สมบูรณ์นั้นยากหรือไม่ (ยาก) ทำไมคนจึงเกิดมาพิการ (เพราะเขาทำกรรมไว้) ถามว่าศิษย์ของอาจารย์ชาตินี้ทำกรรมมากหรือน้อย แล้วชาติหน้าจะเกิดไปเป็นคนสมบูรณ์หรือพิการ ถ้าหากว่าชาตินี้ทำความไม่ดี ชาตินี้ก็พิการแล้ว พิการที่ใด (ใจ) ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า เพราะการนินทาคนลับหลัง เราก็ผวา ต้องคอยเหลียวหน้าเหลียวหลังเพราะเราทำความผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) สู้ไม่ทำเลยจะดีกว่า เพราะการเป็นคนนั้นยากยิ่ง จึงควรทำในสิ่งที่สมควรทำ สิ่งที่มนุษย์สมควรทำนั้น เป็นเรื่องที่ต้องไม่เผอเรอ ต้องไม่ยอมที่จะผิดพลั้ง เพราะว่าตนเองเจตนาไปพลั้งเผลอ

(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปวงกลม ๓ วง)





















แดน ๓ แดนนี้ แดนแรกคือแดนมนุษย์ เป็นที่ที่มนุษย์อยู่ จึงต้องทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วย แดนต่อมาที่ชอบลงไปบ่อยๆ เรียกว่าอะไร (นรก) แดนต่อไปที่ไปกันไม่บ่อยนักเรียกว่าอะไร (สวรรค์) แดนสวรรค์นี้ต้องคนที่ทำความดีถึงขึ้นไปได้ แล้วตอนนี้เราทำบุญกุศลพอที่จะไปแดนไหน สมมติว่าตอนนี้เราจะไปแล้ว เราจะไปที่ไหน (สวรรค์) ทุกคนอยากไปสวรรค์ แต่ลองคิดดูสักนิดว่า ตามที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ การกระทำของศิษย์ที่ผ่านมาจะพาให้ศิษย์ไปนรกหรือไปสวรรค์ (เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองไปนรก แต่รับธรรมะแล้วรู้สึกว่าตัวเองต้องไปสวรรค์) ชั่วชีวิตนี้ ตั้งแต่วันแรกที่กำเนิดเป็นร่างกายมนุษย์ จนกระทั่งอายุล่วงเลยมาถึงวันนี้ ใครว่าไปนรกยกมือ (มีนักเรียนในชั้นยกมือ) คนที่ยกมือตรงนี้แสดงว่าเป็นผู้ที่รู้จักสำนึกแล้ว ถึงแม้ศิษย์สำนึกแล้ว กลับตัวกลับใจไม่ทำผิดก็ ย่อมสามารถไปสวรรค์ได้ คนที่คิดว่าไปสวรรค์ยกมือขึ้น (มีนักเรียนยกมือ) แล้วที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปนรกหรือไปสวรรค์ยกมือขึ้น ศิษย์ยังไม่รู้ว่าตัวเองกระทำความผิดหรือความชอบ แล้วจะให้ใครรู้ล่ะ จะบอกว่าไปนรกก็ตามแต่จริงๆ แล้วควรจะรู้ตัวเองจึงทำให้เราสามารถเดินอย่างคล่องแคล่ว ถ้าหากว่าเราไม่รู้ตัวเองแล้วจะให้ผู้ใดรู้ ไม่รู้ตัวเองแล้วผู้อื่นเตือนก็ไม่ฟัง จึงไม่สามารถเดินทางได้อย่างคล่องแคล่วจนถึงปลายทางได้ใช่หรือไม่ (ใช่)

แดน ๓ แดนนี้ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปนรกดีหรือว่าสวรรค์ดี ก็เป็นวิญญาณพเนจร ก็คือวนไปเกือบจะถึงสวรรค์แล้ว แต่ไปไม่ถึง ลงไปนรกก็เข้าไม่ได้ วนซ้ายและวนขวา อยู่ท่ามกลางสวรรค์และนรกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราควรที่จะมีจุดมุ่งหมายในการทำความดี จะได้ไปสู่สวรรค์ได้ แต่ว่าบัดนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นมนุษย์ ต้องการที่จะไปถึงสวรรค์ยังยาก แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงนิพพานนั้นยากขึ้นไหม (ยาก) นิพพานอยู่เหนือสวรรค์ขึ้นไปอีก เป็นมนุษย์ยากไหม (ยาก) อยากพบนรกหรืออยากไปสวรรค์ยากไหม (ยาก) แล้วอยากจะไปนิพพานยากไหม (ยาก) เพราะฉะนั้น เราต้องเพิ่มความเพียรให้กับตัวเอง ถ้าเราเพียรน้อยเราจะไปถึงไหม (ไม่ถึง) ศิษย์เคยเห็นธนูไหม (เคย) ยิ่งง้างแรงยิ่งพุ่งไกล ถ้าหากศิษย์ง้างไม่แรงก็พุ่งไม่ไกล ถามว่าถ้าเราง้างขึ้นมาต้องใช้แรงไหม (ต้อง) แล้วถามว่าปล่อยออกไป ต้องปล่อยด้วยความมั่นคงไหม (มั่นคง) ต้องปล่อยออกไปด้วยความมั่นคง เพราะว่าจุดหมายของเรานั้นอยู่ข้างหน้า ถ้าหากว่าเล็งเป้าพลาดก็จะไปไม่ถึง ฉะนั้นสิ่งที่พูดมาต้องใช้ความพยายามในการดึง ง้างคันธนู ต้องใช้ความมั่นคงในการปล่อยธนูออกไป ล้วนเกี่ยวกับใครทั้งสิ้น (ตัวเราเอง) หากว่าศิษย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะไปพ้นสามแดนนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ถึงแม้ว่าการไปนิพพานคือเรื่องยาก แต่ทว่าพระพุทธเจ้า พระอริยะและปราชญ์เมธีทั้งหลาย ที่ไปถึงแล้ว ล้วนเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มีร่างกายเช่นเดียวกับเราทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้น พวกท่านเหล่านั้นทำได้เราก็ต้องทำได้ด้วย ถึงตอนนี้มั่นใจหรือไม่ที่จะให้ตัวเองไปถึง (มั่นใจ) นิพพานยังไกลหรือเปล่า (ไม่ไกล) เมื่อก่อนนี้พระพุทธเจ้าและผู้ที่บำเพ็ญทั้งหลายต้องออกแสวงหาสิ่งหนึ่ง จึงจะสามารถหลุดพ้นได้ นั่นคือหาจิตของตนเองให้พบ แต่ในบัดนี้ ในวันที่ศิษย์รับธรรมะนั้น อาจารย์ได้ชี้บอกให้แล้ว แม้ว่าศิษย์จะไม่รู้เลยว่าเป็นจิตของตนเอง เพราะว่าเรานั้นยังไม่มีบารมี ยังไม่มีฐานที่
รองรับได้แน่นหนาเหมือนกับปราชญ์อริยะสมัยก่อน แต่ทว่าศิษย์ของอาจารย์ได้แล้วก็คือได้แล้ว ของมาถึงมือแล้วก็คือถึงมือแล้ว ไม่สามารถปัดทิ้งได้ จิตของเราอยู่ที่ไหน ศิษย์นั้นจะต้องลงแรงบำเพ็ญที่นั่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าในชาตินี้ได้รับแล้วทำเหมือนไม่ได้รับ เป็นคนโง่หรือคนฉลาด (คนโง่)

เรือลำนี้ที่ศิษย์นั่งเป็นเรือพุทธะ เมื่อสักครู่นี้ศิษย์พายเรือใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พายกันไม่เป็นจังหวะไม่พร้อมกัน ตอนนี้เอาความตั้งใจของเราที่อาจารย์มอบให้มาพายดีไหม (ดี) การที่เราพายเรือนั้นเราต้องพายด้วยความสมัครสมานสามัคคี ถูกหรือเปล่า (ถูก)

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพายเรือธรรมและทำท่าประกอบ)

กลัวไม่กลัวที่จะพายไปถูกคนข้างๆ (กลัว) ถ้าเราพายถูกจังหวะก็จะไม่ชนคนข้างๆ ฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องทำผิดให้น้อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์นั้นเมื่อทำผิดต้องมีสิ่งใด (ต้องมีสติ) ความรู้ที่เราเรียนมานั้นต้องทบทวนไปด้วยอย่าได้ทำผิดอีก เรือลำนี้ของศิษย์ยังไปพายแข่งกับใครไม่ได้ ถ้าพายแข่งกับใครต้องพ่ายแน่ เพราะฉะนั้นเราต้องเพิ่มความสามัคคีใช่หรือเปล่า (ใช่) ความสามัคคีเกิดจากอะไร เกิดจากความรักคนข้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเขาผิดเราต้องตักเตือน ถ้าเราผิดเราต้องแก้ไข แต่คนทั่วไปในสังคมนี้เมื่อเห็นผู้อื่นผิดหรือได้ดีมักทำอย่างไร เรามักแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ผิดตามเขา ในที่สุดเขาเดินลงนรก เราก็เดินลงนรกไปพร้อมกับเขาถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นถ้าเขาผิดเราต้องบอกเขา แต่ถ้าบอกเขาไม่ได้ เราก็อย่าได้เผอเรอทำผิดตามเขา โดยทั่วไปมนุษย์มักทำผิดตามกันไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนมดที่ขนอาหาร คนอื่นไปขนจากที่ไหนก็จะไปขนจากที่นั่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้จะรับธรรมะแล้ว ได้รู้จิตของตนเอง ได้รู้ทางหลุดพ้น แต่อาจารย์คงช่วยศิษย์ของอาจารย์ที่ไม่รู้จักบำเพ็ญไม่ไหว ฉะนั้นเมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว จงรู้จักปฏิบัติทางที่ถูกที่ควรได้หรือไม่ (ได้) การเป็นพุทธะนั้นเป็นเรื่องยากต้องอาศัยปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นเดียวกับการดำรงชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนี้ขอให้ศิษย์เริ่มที่จะสร้างกุศล เริ่มที่จะทำในสิ่งที่ดี เมื่อเห็นผู้อื่นทำไม่ดี จงอย่าได้ไปทำตามดีหรือเปล่า (ดี)

หลายๆ ครั้ง อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์ทำท่าเป็นคนฉลาด ทำไมถึงบอกเช่นนั้น เพราะเวลาที่เห็นคนอื่นได้ดี เราก็หลับหูหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ทำในสิ่งเดียวกับเขา แล้วก็คิดว่าคงจะได้ดีเหมือนกัน แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่ทำผิดแล้วได้ดีเพราะเขามีบุญหนุน แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเจ้ามีหรือเปล่า ศิษย์ไม่สามารถที่จะรู้ตัวเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงเวลาเมื่อทำผิดแล้ว เมื่อบาปแล้ว ศิษย์จะเป็นคนของฟ้าได้อย่างไร ถึงเวลานั้นจะมากราบพระขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถามว่าคนชั่วมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นพวกเจ้าทั้งหลายเป็นศิษย์ของอาจารย์แม้ว่าหนทางยังไกล แต่ศิษย์นั้นจะต้องเดินไปให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)

“จะสุขทุกข์เท่าไหน เหนื่อยเพียงไรมิหยุดหวัง" ถึงแม้ว่าเราจะเหนื่อย เราก็ต้องทำให้ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ จะผิดก็แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นอยากได้แต่กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นสิ่งที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการเลย ศิษย์จึงไม่สามารถกลับมาเป็นพุทธะได้

"เข็ดจำไม่คิดวาง แล้วว่ามันธรรมดา" ทั้งเข็ด ทั้งจำ แต่ไม่คิดวาง แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์มักมีคำนี้ไว้ในใจ บอกว่าที่เราสุขเราทุกข์ก็ธรรมดา ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันใช่หรือไม่ (ใช่) นับแต่นี้ไปศิษย์ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองจากความเป็นปุถุชนเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นพุทธะ การเป็นพุทธะเปรียบเสมือนกับการก้าวเข้าประตู ถ้าหากว่าศิษย์หยุดยืนอยู่หน้าประตู แม้จะยืนติดประตูพุทธะก็ไม่สามารถก้าวเข้าไปได้ แม้ว่าศิษย์ก้าวเข้ามาแล้ว แต่จิตใจพะว้าพะวงอยู่ข้างนอก ในที่สุดแล้วก็ต้องก้าวออกไปถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นตัดกิเลสจึงต้องตัดจากที่ใด (ที่ใจ) แม้ว่าผู้บำเพ็ญนั้นจะเป็นผู้ที่บำเพ็ญดี แต่หากว่าผู้บำเพ็ญนั้นไม่ยอมตัดสินใจก้าวข้ามประตูมา แม้ว่าจะทำดีเท่าไร แต่ไม่ตัดกิเลส ในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถเป็นพุทธะได้ ถ้าหากว่าจิตของศิษย์นั้นพะว้าพะวง ถามว่าศิษย์จะยืนหยัดเป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับใจของศิษย์เองว่าศิษย์นั้นตัดได้หรือไม่ ศรัทธาหรือไม่ และมั่นคงหรือไม่

เสื้อผ้าสวยงามที่เราอยากได้ คนที่เรารัก บ้านที่อยากจะได้สักหลังหนึ่ง รถที่เราอยากจะได้สักคันหนึ่ง ละครที่เราติด เบอร์ที่เราชอบเล่น สุรานารีที่เราชอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี ทั้งทรัพย์สินและความสนุกชั่วแล่น ดังนั้นเราจึงไม่ใช่พุทธะ พุทธะเล่นเบอร์ พุทธะกินเหล้าได้ไหม (ไม่ได้) พุทธะสูบบุหรี่ได้หรือเปล่า ถ้าพุทธะเมาเหล้าหรือสูบบุหรี่จะไปช่วยคนได้ไหม (ไม่ได้) พุทธะกำลังเล่นล็อตเตอรี่เล่นหวยอยู่ หากล็อตเตอรี่จะออกแล้ว ถ้ามีคนจมน้ำอยู่ข้างหน้าจะเลือกอะไร จริงๆ แล้วก็เลือกที่จะช่วยคน แต่ตาของเรามองเห็นแต่เบอร์ ก็เลยช่วยไม่ได้ เพราะเราไม่ได้นำตาของเราไปมองความเดือดร้อนของผู้อื่น เรามองเห็นแต่ตัวเอง ส่วนใหญ่เราจะมองเห็นความผิดของผู้อื่น แต่กลับไม่เห็นความผิดของตัวเอง ความผิดของเราและของคนอื่นก็เหมือนกัน แต่เราต้องเสียสละตัวเองไปช่วยคนอื่นใช่หรือไม่ ในที่สุดแล้วเราก็จะไม่สร้างความผิดเพิ่ม ส่วนความผิดที่มีอยู่ก็ชดใช้เสียให้สิ้น

“สิ่งยิ่งดีอุปสรรคยิ่งมากแล ทว่าใช่ยิ่งแย่มาฝ่าคล่องแคล่ว”

เราเคยยิ่งแย่หรือเปล่า แล้วเราสู้ด้วยอะไร (กำลังใจ) กำลังใจมาจากสิ่งที่เรามุ่งหวังจะให้เป็นใช่หรือไม่ ศิษย์เคยมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ หรือเคยมีกำลังใจที่จะช่วยผู้อื่นหรือเปล่า เราต้องมีสองสิ่งนี้เท่าๆ กัน เรามีกำลังใจเพราะว่าเรานั้นมีจุดหมาย การบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะนั้นต้องมีจุดหมาย จุดหมายคือนิพพาน กำลังใจนั้นคือการที่จะคิดให้คนอื่นนั้นหลุดพ้นไปพร้อมๆ กับเรา ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องคิดอย่างนี้เช่นกัน แม้ว่าเราจะมีอุปสรรคมากมาย แต่ต้องไม่ปล่อยให้ตัวของเรายิ่งแย่ลงไป

“เดินระวังอย่างยิ่งให้ถูกแนว” ถ้าเราเดินไม่ระวังก็อาจจะสะดุดล้มได้ การเดินเป็นสิ่งที่เรานั้นจะต้องออกแรง เราจะต้องควบคุมร่างกายของเราให้ดี ถ้าหากว่าทางหนึ่งเป็นทางอับเฉา อันได้แก่บ่อนการพนันทั้งหลาย กับทางหนึ่งเป็นทางไปสู่สถานธรรม ศิษย์จะเลือกทางไหนดี

“ปัญญาใช้แน่แน่วงามลงตัว” ศิษย์รู้จักใช้ปัญญาหรือยัง ปัญญาเหมือนกับความฉลาดไหม (ไม่เหมือน) เมื่อเราอยากจะได้ของสิ่งนี้ แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา เราจะใช้ความฉลาดของเราทั้งหมดนั้นหาวิธีเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนที่มีปัญญา ย่อมรู้เท่าทันว่าสิ่งนี้เป็นของเราหรือไม่ ถ้าหากไม่ใช่แล้ว ปัญญาสอนให้เราปล่อยได้วางได้ นี่คือปัญญา ไม่เช่นนั้นแล้วมนุษย์ทุกๆ คนจะรู้จักแก่งแย่งกันได้อย่างไร ทั้งนี้แก่งแย่งกันด้วยความฉลาดและเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)

หากศิษย์ของอาจารย์ปล่อยวาง ปล่อยวางอย่างไร สมมติว่าแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือเป็นของสิ่งหนึ่ง การปล่อยก็คือปล่อยลงไป ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งนั้นจะเจ็บเป็นหรือเปล่า เพราะถ้าหากศิษย์ไม่ทำเช่นนี้ ก็ไม่สามารถปล่อยได้ถูกหรือเปล่า (ถูก) แล้ววางทำอย่างไร สมมติสิ่งๆ นี้ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นของที่มีความรู้สึกก็ใช้วิธีการปล่อยไม่ได้ ศิษย์ก็วางมันลงไปโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าเรานั้นต้องการสิ่งนั้นอีกหรือเปล่า เวลาเรามีเรื่องกลุ้มใจ เราก็ปล่อยวางไม่ลง เพราะว่าเราเป็นมิตรกับมัน หรือเพราะมันให้ประโยชน์กับเราถูกหรือเปล่า แล้วทำไมเราถึงปล่อยให้มันให้ประโยชน์กับเรา ถ้าเราให้ประโยชน์กับมัน มันก็ต้องให้ประโยชน์ต่อเราด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นหากว่าศิษย์คิดจะปล่อยวาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ขอให้ปล่อยมันลงไป ขอให้วางมันลงไปดีหรือไม่ (ดี) เวลาที่อยากจะปล่อยวาง ขอให้ปล่อยวางโดยไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ดีหรือเปล่า (ดี) ใจเล็กๆ ของคนนี้เก็บความทุกข์ไว้มากมายใช่ไหม (ใช่) ความทุกข์มากมายเกิดเพราะเราปล่อยวางไม่ลงถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่นี้ไปเราต้องหัดปล่อยวาง ใบหน้าของเราก็จะยิ้มแย้มขึ้น อยากจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มไหม (อยาก) แล้วทำไมเราจึงยิ้มยาก พูดไปพูดมา วนไปวนมา เราก็รู้สึกว่าเรามีปัญหามากมายใช่หรือไม่ (ใช่)

“ก้าวขาตามฟ้า” ฟ้านี้คือฟ้ามโนธรรมสำนึก ก้าวขาตามฟ้าก็คืออย่าทำอะไรที่ผิดไปจากมโนธรรมสำนึกในใจของตัวเราเอง อาจารย์บอกได้เลยว่าหากศิษย์มีมโนธรรมสำนึกก็จะไม่เกิดความจนใจ จนกับยากจนนั้นไม่เหมือนกัน แม้จะยากจนแต่ว่าคงคุณธรรมไว้ก็จำเป็นต้องเลือกสิ่งนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนนั้นบอกว่าเราทำตามมโนธรรมสำนึก ความผิดชอบชั่วดีแล้ว แต่จนลงทุกวันๆ จะทำอย่างไรดี ศิษย์ก็ยังต้องรักษามโนธรรมสำนึกอันนี้ไว้ ไม่ใช่ไปรักษาความรวยความจนที่อยู่นอกกายนั้น

“มีหรือจนใจ” คือไม่จนใจเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนส่วนใหญ่นั้น ถึงแม้จะร่ำรวยแต่ก็มีความทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม

“ฝนทั่งจิตไว้แม้นทำไม่ง่าย” หมายความว่าจิตใจของเรานั้นจะต้องทำการฝนถึงแม้จะทำไม่ง่าย ฝนจิตใจทำอย่างไรดี รู้จักฝนทั่งให้เป็นเข็มไหม (รู้) แล้วเราจะฝนทั่งของเรานี้ให้เป็นเข็มทำอย่างไรบ้าง จิตใจของเราเป็นอย่างไรจึงต้องการการขัดและการฝน จิตใจของเราเต็มไปด้วยอารมณ์ เต็มไปด้วยความไม่ยอมกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก) จิตใจของเราไม่ยอมรับว่าตัวเรานั้นมีสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี เราต้องทำอย่างไรจึงจะเอาสิ่งนี้ออกไปได้ ก็คือการฝนทั่งให้เป็นเข็มใช่หรือไม่ (ใช่) เราฝนทั่งให้เป็นเข็มแล้วย่อมสามารถใช้ประโยชน์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้องระวังที่จะทิ่มแทงผู้อื่นด้วย

(พระอาจารย์เมตตาเรียกแม่ครัวเข้ามาในชั้นเพื่อประทานผลไม้และให้นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณแม่ครัว)

แม่ครัวมาแล้วทำอย่างไรดี (ขอบคุณแม่ครัว) ขอบคุณด้วยอะไร (ด้วยใจ) ขอบคุณด้วยใจแม่ครัวมองไม่เห็นต้องทำอย่างไรดี (มอบผลไม้) ถ้าหากว่าทุกคนตอบว่าขอบคุณแม่ครัวด้วยใจ วันหน้ามีโอกาสมาสถานธรรมต้องทำอาหารให้แม่ครัวทานดีหรือเปล่า (ดี) อย่างนี้จึงเป็นการขอบคุณจริงๆ

"ปฏิปทาใช่ต้องมากมายตั้งหลายครั้ง" ปฏิปทาคือการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าต้องมากมายแต่ให้ทำสิ่งนั้นๆ ให้ได้จริงจัง ให้ได้ดีที่สุด ถ้าเราจะเป็นพุทธะแล้วบอกว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ค่อยปฏิบัติธรรม อย่างนี้เป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้) หรือบอกว่า พรุ่งนี้ค่อยไปสถานธรรมดีกว่า ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้ไปใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกว่าไม่ใช่ว่าต้องมากมาย หมายความว่าเมื่อเราจะเป็นเหมือนกับสะพานให้คนเหยียบย่างขึ้นสู่แดนนิพพาน อาจารย์บอกว่าไม่ต้องมาก ขอให้ศิษย์ทำในปณิธานที่ศิษย์ได้พูดก็พอแล้ว แต่ไม่ใช่มีคนมาทำให้เราโมโหเราก็โกรธเขา ในที่สุดแล้วปฏิปทาของเราที่บอกว่าจะให้เขาเหยียบแต่ไม่ได้บอกว่าเราจะไม่โกรธเขา ในที่สุดเราก็เป็นพุทธะไม่สำเร็จ

"สิ่งยิ่งดีอุปสรรคยิ่งมากแล" ใครอธิบายได้บ้าง (บุคคลที่จะทำความดีนั้นย่อมมีอุปสรรคเข้ามาคอยขัดขวางไม่ให้กระทำความดี เหมือนกับทำความดีย่อมมีอุปสรรค มารไม่มีบารมีไม่เกิด มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า) อธิบายได้ดีหรือเปล่า (ดี)

"ยิ่งแก้ไขตนยิ่งดีเพราะแก้ไข" อันว่าชีวิตก็คือการปรับปรุงแก้ไข เพราะว่าชีวิตนี้การกระทำของเรา ความประพฤติของเรามีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีความผิดมากขึ้นเป็นเงาตามตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรานั้นไม่รู้จักแก้ไข ไม่รู้จักปรับปรุงเราก็จะมีความผิดสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว ฉะนั้นเมื่อเรากระทำในสิ่งหนึ่งจึงต้องสำรวจว่าตนเองมีการกระทำที่ผิดหรือเปล่า เมื่อผิดแล้วแก้ไขสิ่งนั้นๆ ชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จได้ และเรานั้นก็จะหลงลืมตนเองไม่ได้เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าคิด อย่าเข้าใจว่าตัวเราเองนั้นทำอะไรก็ถูกไปหมด ถ้าเราคิดเช่นนี้แล้วย่อมไม่สามารถจะเป็นพุทธะได้ เพราะว่าวันและคืนนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากวันนี้ไปสู่วันพรุ่งนี้มีสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย ดังเช่นตัวศิษย์ก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนนี้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น ไม่ได้ชรา ผมของเราไม่ได้หงอก ไม่ได้ขาว แต่ในปัจจุบันเราเป็นเช่นนั้นอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่) นับวันยิ่งมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ชีวิตจึงต้องมีการปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ หากว่าได้ปรับปรุงแล้วก็ย่อมจะประสบความสำเร็จได้ อาจารย์จึงบอกว่า "ยิ่งแก้ไขตนยิ่งดีเพราะแก้ไข" ตนยิ่งดีหมายความว่า ไม่ใช่ผู้อื่นนั้นจะได้ดีเลย แต่จะได้ดีที่ตัวเราเอง อยากจะให้ตนเองได้ดีหรือไม่ (อยาก) อยากจะให้ผู้อื่นได้ดีหรือไม่ (อยาก) เราต้องทำดีให้เขาเห็น แล้วเมื่อเขาเห็นเราทำดี เขาก็จะทำดีตามเรา ศิษย์เคยทำดีจนคนอื่นคิดที่จะทำดีตามหรือเปล่า (เคย) ไม่ใช่ใช้วิธีการแนะนำ แต่ใช้วิธีการกระทำจนกระทั่งเขาทำตาม ศิษย์ลองไปนับๆ ดู ถึง ๑๐ คนหรือยัง ทำได้ปีละ ๑ คน ถึงหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงเราก็ยังไม่เป็นพุทธะที่เป็นแบบอย่างที่ดีใช่หรือไม่ การทำดีไม่ใช่ทำแบบประเดี๋ยวเดียว ทำแล้วพอเลิกแล้วก็ลืมไป แต่ต้องเป็นการทำดีที่เสมอต้นเสมอปลาย

ความเป็นปุถุชนกับความเป็นพุทธะนั้นต่างกัน เราก็รู้ว่าการฟังธรรมะเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็เมื่อย แล้วเราเลือกที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจมากขึ้น หรืออยากที่จะไม่เมื่อยดี เราก็รู้ว่าเราควรจะเลือกฟังธรรมะ ศิษย์ต้องตัดสินใจว่าศิษย์จะทำสิ่งนั้นดีหรือสิ่งนี้ดี ข้างหนึ่งเป็นไปตามใจของตัวเราเอง อีกข้างหนึ่งเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ถึงเวลาแล้วก็ต้องเลือกว่าจะต้องทำสิ่งไหน ขออย่าให้ตาซ้ายกับตาขวาเอียงไม่เท่ากัน ตาหนึ่งเล็กตาหนึ่งใหญ่ไม่เท่ากัน ในที่สุดเราก็เลือกเอาตาเล็กแล้วก็ต้องสูญเสียตาใหญ่ไปใช่ไหม (ใช่) ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นคนที่ทำอะไรตามใจตนเองอยู่แล้ว เพราะเราไม่มีความยับยั้งชั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต่อไปนี้เราต้องฝึกฝน การฝึกฝนย่อมมีความยากลำบาก ศิษย์อยากเป็นนักเรียนจบชั้นก็ต้องเพียรพยายามที่จะเรียนหนังสือ เมื่อศิษย์อยากที่จะเป็นพ่อค้าร่ำรวยก็ต้องฝึกหัดค้าขาย เมื่อศิษย์ร่ำรวยแล้วไม่อยากหลงตัว ก็ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจของตัวเองให้เหมือนเดิม

อันว่าเวลาของอาจารย์ก็มีน้อยและอาจารย์นั้นไม่สามารถมาพบปะกับศิษย์ได้บ่อยๆ ต้นไม้ไม่สามารถจะโตได้ภายในสองวัน สองวันที่มาศึกษานี้เป็นเพียงการเอาเมล็ดหว่านลงไปบนพื้นเท่านั้นเอง แต่หลังจากสองวันไป ศิษย์จะกลับมาศึกษาได้หรือไม่ (ได้) ถ้าหากว่าไม่ศึกษาย่อมไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดได้ถ่องแท้ อย่าเห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ลวงโลก เพราะสิ่งที่ลวงโลกนั้นแท้จริงภายนอกมีอยู่มากมาย อาจารย์นั้นต้องการให้ศิษย์พ้นจากสิ่งเหล่านี้ การที่อาจารย์มายืมร่างนี้ย่อมไม่ใช่ร่างของอาจารย์ ขอให้ศิษย์นั้นยึดหลักสัจธรรม ขอให้รู้จักบำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้นถ้าหากว่าศิษย์ไม่รู้จักที่จะบำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้น แม้อาจารย์จะให้ผู้อื่นมาเรียกศิษย์ให้บำเพ็ญศิษย์ไม่ยอมเดินออกเหมือนไม่ยอมก้าวเข้าประตูพุทธะ มัวแต่หยุดยืนอยู่หน้าประตูใครกันแน่ที่ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะ (ตัวเราเอง) ตัวศิษย์เองที่ไม่สามารถเป็นพุทธะและตัวศิษย์เองที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด แท้จริงอาจารย์นั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับศิษย์เลยในการเวียนว่ายตายเกิด แต่อาจารย์นี้เป็นห่วงศิษย์อย่างยิ่ง ศิษย์บางคนครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเรื่องวิญญาณ เรื่องมนุษย์และเรื่องสวรรค์ เป็นเพราะว่ามองไม่เห็นจึงไม่เชื่อ แต่รอจนถึงวันที่เรามองเห็นเราจะหนีพ้นไหม (ไม่พ้น) ถึงเวลานั้นเราก็หนีไม่พ้นแล้ว เพราะฉะนั้น อาจารย์ยืนยันว่าขอให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญเถิด บำเพ็ญด้วยการให้ตนนั้นเป็นคนดียิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น เมื่อเราสามารถเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์เที่ยงแท้แล้ว เราจึงจะสามารถเป็นพระอริยะได้ในขั้นแรก หากว่าไม่สามารถเป็นมนุษย์ที่ดีแล้ว จะไปเป็นพุทธะได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง)

ทำอย่างไรเราจึงจะเอาใจของเรา ซึ่งมีใจให้กับสิ่งต่างๆ นานา ในโลกนี้ไปบอกให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เราใช้สิ่งใดแสดงออกถึงใจเราได้ (การกระทำ)

อาจารย์ไม่ชอบให้ศิษย์กลับบ้านดึก อาจารย์ไม่ชอบให้ศิษย์กลับคืนเบื้องบนยามค่ำ ตอนนี้เวลาของฟ้าดิน เย็นย่ำสนธยาเต็มที ศิษย์เอ๋ย แม้ว่าร่างกายของเรานั้นไม่ได้กลับคืนไปถึงฟ้าในขณะนี้ แต่จงฝึกจิตใจของเราให้เป็นพุทธะตั้งแต่ตอนอยู่บนโลก เท่ากับว่าเราได้สร้างผลสำเร็จแห่งมรรคผลไว้ตั้งแต่เรานั้นยังไม่เข้าสู่เวลาเย็นย่ำจนเกินไป หากว่าเย็นย่ำเกินไปแล้ว ตอนนั้นเพิ่งจะมาเริ่มก้าวเริ่มเดิน ในที่สุดนั้นเวลาเย็นเกินไป ประตูบ้านปิดแล้วจะเข้าไปอย่างไร นิพพานนั้นเป็นบ้านเดิมของศิษย์ เพราะว่าศิษย์เคยเป็นพุทธบุตรอยู่บนฟ้า แต่ศิษย์หารู้ไม่ ในวันนี้เข้าใจว่าเราเป็นคนที่จน ไม่ค่อยมีเงิน แล้วเราเคยคิดไหมว่าเรานั้นเคยเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มาก่อน มนุษย์ไม่แบ่งจนหรือรวย พุทธะไม่แบ่งคนหรือสัตว์ ย่อมมีพุทธจิตธรรมญาณเหมือนกันทั้งสิ้น ถ้าศิษย์ของอาจารย์ทำได้เหมือนกับพุทธะ ก็เป็นพุทธะเช่นเดียวกัน แต่ว่าศิษย์นั้นได้ยอมรับตัวเองหรือเปล่า หากว่ายังไม่สามารถยอมรับว่าเราเป็นพุทธะ ไม่สามารถบำเพ็ญตนอย่างพุทธะ ถามว่าเราจะเป็นพุทธะได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องมั่น ใจว่าเราเป็นพุทธะแล้วทำในสิ่งที่พุทธะควรจะทำ แล้วพุทธะทำอะไรกันบ้าง (ทำความดีเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม, ช่วยเหลือผู้อื่น, มีจิตใจโอบอ้อมอารี, ศึกษาธรรมะ, รู้จักวางเฉย, ให้อภัย, เมตตา ,เสียสละ, รู้จักยับยั้งชั่งใจ) สิ่งเหล่านี้ต้องไปทำจริงๆ จึงจะได้ผลจริง ถ้าทำอยู่เพียงแค่ในความคิดก็เรียกว่ามีแต่ใจ แต่ไม่สามารถเป็นพุทธะที่ลือชื่อได้

นักเรียนในที่นี้ใครจำไตรรัตน์ไม่ได้บ้าง เหมือนกับตอนนี้พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ประตูพุทธะแล้วแต่ว่าไม่มีกุญแจ สมมติว่าตอนนี้เรามายืนอยู่หน้าประตูแล้ว ตัวเราก็พร้อมที่จะเข้าไป แต่ขาดลูกกุญแจ อยากจะรู้ว่ากุญแจมีกี่ ล็อค (๓ ล็อค) แล้วไขกี่ครั้ง (ครั้งเดียว) และใส่กุญแจเข้าไปกี่ครั้ง (ครั้งเดียว) เราต้องรู้ว่าแม่กุญแจอันนี้มีกี่ล็อค และกุญแจทำด้วยเงิน ด้วยทอง หรือด้วยสิ่งไหน เพราะฉะนั้นตอนนี้ขาดกุญแจไม่ได้ ไม่ใช่บำเพ็ญแทบตาย แต่สุดท้ายลืมกุญแจกลับบ้าน แล้วก็ไปงัดไปแงะเอาใช่หรือไม่ (ใช่)

คนที่ทำไม่ดีเขาต้องมีข้อดี เราต้องค้นหาให้เจอ อาจารย์เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่าเวลาศิษย์มองเห็นเขาเป็นโจร ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็เป็นโจร เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ เวลามองก็ต้องพิจารณา ไม่ใช่มองว่าเขาเป็นคนไม่ดีตลอดไปใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ารอจนวันหนึ่ง มีคนมาบอกว่าแท้จริงแล้วคนๆ นี้เป็นคนดี แต่ศิษย์นั้นได้ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขาไปแล้ว ต่อไปคนๆ นี้กับศิษย์ก็จะเป็นศัตรูกัน เมื่อเกิดอคติในใจ น้ำเสียงนั้นก็มีอคติด้วย ปลายเสียงก็เต็มไปด้วยอคติ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นผู้ไร้อคติใดๆ อย่าได้เกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือว่าชอบ ในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง มียากมีง่าย ถ้าหากศิษย์คิดว่าตนเองนั้นยังไม่เก่งกล้า ก็จงเริ่มทำจากสิ่งที่ง่าย ไปจนถึงสิ่งที่ยาก หากว่าศิษย์นั้นรู้สึกว่าตนนั้นเก่งกล้าแล้วก็เริ่มจากตรงที่ยากไปสู่ตรงที่ยากกว่า เดิมทีนั้นศิษย์รู้ว่าสิ่งใดถูกต้องสิ่งใดไม่ถูกต้อง เพียงแต่ไม่เคยเชื่อใจตนเอง แล้วก็หลอกว่าเชื่อใจตนเอง การเริ่มต้นอันใดยากก็เริ่มตั้งแต่ง่าย อันใดง่ายก็จงพยายามยิ่งขึ้นไป

(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท “ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก”)

รู้จักความลำบากกับความยากไหม เวลาเราเจอกับความยากและความลำบาก เราท้อใจไหม (ท้อใจ) ถ้าหากว่าการบำเพ็ญนี้ยาก ศิษย์จะรามือหรือเปล่า (ไม่รา) แล้วถึงเวลาที่ได้รับความลำบาก ได้รับความยากจะรามือไหม (ไม่รา) ขอให้จริงอย่างที่ศิษย์พูด เวลาที่เรานั้นบำเพ็ญธรรม หากยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งยากจนลงเรื่อยๆ บำเพ็ญแล้วคนยิ่งต่อว่าเรา ถามว่าศิษย์จะย่อท้อไหม (ไม่ท้อ) โดยมากศิษย์ของอาจารย์มักท้อถอยต่อความยากต่างๆ นานา ถ้าหากอาจารย์จะทำเช่นศิษย์ อาจารย์คงจะรามือไปหลายครั้งแล้ว รามือด้วยเหตุใด ด้วยเหตุว่าจะหาศิษย์ได้สักกี่คนที่มีความเชื่อและจริงใจ หากศิษย์เชื่อจะหาได้สักกี่คนที่ยอมเดินจนสุดทางใช่หรือไม่ เวลาที่ศิษย์นั้นท้อใจไม่สมหวัง ขอให้ท่องไว้ว่า “ไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อ” ทำได้ไหม (ได้) ถ้าศิษย์ทำได้ดังนี้ แน่นอน ความไม่ย่อท้อจะมาเคียงคู่กับความพยายามด้วย แล้วในที่สุดก็จะประสบความสำเร็จ เมื่อศิษย์เลือกทำการใด อาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกทำสิ่งที่ดีเท่านั้น หลังจากวันนี้อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ของอาจารย์ย่อท้อ ไม่แม้แต่จะคิดว่าเราจะท้อใจ ไม่แม้แต่จะเลิกราไม่สนใจเวไนยสัตว์ทั้งโลก ทำได้หรือเปล่า (ได้) เป็นเรื่องที่ใหญ่นะ แล้วก็หนักด้วย หนักจนเกินตัวของศิษย์เลยทีเดียว

(พระอาจารย์เรียกญาติธรรมท่านหนึ่งออกมา)

ศิษย์ของอาจารย์คนนี้บำเพ็ญแล้วยิ่งจน บำเพ็ญแล้วไม่ดี ช่วงที่ไม่ดีนั้นรู้สึกย่อท้อไหม (รู้สึก) ศิษย์ของอาจารย์ทนผ่านไปอย่างยากลำบากใช่หรือเปล่า ถ้าเวลาเราย่อท้อ เราทำให้ตัวเองไม่ย่อท้อได้ไหม (ได้) ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เช่นนี้ น่าชมเชยไหม ไม่เพียงแต่อาจารย์จะชมเชย แม้แต่ฟ้าดินก็ชมเชยด้วย อันว่าคนเรามีทุกข์ร้อนเป็นเรื่องธรรมดา ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจฝ่าฟัน แม้ว่าจะเกิดความย่อท้อ แต่ก็ไม่ถอยหลังกลับไปเป็นปุถุชนอีก เมื่อหันหน้าบำเพ็ญสู่พุทธะแล้วจงหันทิศนี้ตลอดไป ทำได้ไหม (ได้) อาจารย์ก็ขอชื่นชมศิษย์ อุปสรรคยังมีอีกไม่น้อย ครั้งนี้ฝ่าฟันได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็ต้องไม่ย่อท้อและต้องผ่านให้ได้

วันนี้เย็นมากแล้ว อาจารย์เห็นทีจะต้องกลับ อยากรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้ พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปไหม (พร้อม) เมื่อหันสู่ทิศของการเป็นพุทธะแล้ว เดินต่อไปจนสุดทางได้หรือไม่ (ได้) ขอให้ศิษย์นั้นมีความมั่นคงจริงใจ มีความศรัทธา วันนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังสงสัยค้างคาอยู่ รู้สึกว่าตัวเองยังรู้ไม่พอก็ไม่แปลก แต่ขอให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาอีกในวันต่อไปดีหรือไม่ (ดี) หากว่ามีคนมาเรียกเราแล้วเราจะบอกเขาว่าไม่ว่างหรือเปล่า (ไม่) ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ว่างหลอกๆ อย่างนี้ไม่ดี ชีวิตคนเรานั้นจะหาเวลาว่างไม่ได้หากว่าใจเราไม่ว่าง ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูกต้องดีหรือไม่ (ดี) การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ไม่มีใครที่จะสามารถดึงเราได้ หากมีคนมาบอกเราว่าต้องบำเพ็ญอย่างนี้อย่างนั้น เราก็ไม่ฟัง ถึงครานั้นศิษย์จงเปิดใจให้กว้าง เมื่อมีคนเขาตักเตือนต้องยินดีฟัง เมื่อคนเขาต่อว่า เราต้องพิจารณา ไม่ใช้อารมณ์มาเป็นที่ตั้ง ไม่นำความหลงมาเป็นที่ตั้ง ดีหรือเปล่า (ดี) อาจารย์เชื่อแน่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่าคนข้างๆ ของเราก็คือพี่คือน้อง ขอให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญจนบรรลุนิพพาน บำเพ็ญจนตนเองมั่นใจว่าก้าวข้ามผ่านธรณีประตูแห่งนิพพาน แล้วจึงหยุด ดีหรือไม่ (ดี)

ในชั้นนี้หลายคนเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว ๔๐-๕๐ ปีผ่านไปแล้ว เราต้องรู้จักรักษาสุขภาพและต้องรู้จักรักษาเวลาของเราให้ดีๆ คนที่เขายังมีเวลาอีกมาก เขาอาจจะอู้ได้ท้อได้ แต่เรามีอายุมากแล้วหมดเวลาแล้ว อย่าได้ท้อถอย จงเดินหน้าอย่างเดียว แม้ว่าร่างกายของเราจะไม่ไหวแต่ใจของเรายังสู้ดีไหม (ดี)

วันนี้อาจารย์จะกลับไปด้วยความรู้สึกที่ดีๆ ขอให้ศิษย์ศึกษาให้รู้อย่างแท้จริง เพราะว่าเดินทางสายนี้ ถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้ายิ่งเดินหาก็จะยิ่งไกลไปใหญ่ เมื่อเราเดินไปจนถึงทางสายกลางแล้ว แต่ยังไม่เลือก ฝืนเดินต่อไปจนเอียงซ้าย ก็เท่ากับว่าเป็นคนที่ไม่รู้ทางสายกลาง หัวหน้าชั้นเป็นผู้ที่มีรากบุญดี เช่นเดียวกับรองหัวหน้าชั้น อย่าปล่อยเวลาของเราให้หมดไป ขอให้อาจารย์นั้นได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ตลอดไป

(นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงส่งพระอาจารย์)

อาจารย์รู้สึกว่าวันนี้ อาจารย์มาอยู่กับศิษย์นานมาก นานจนทำให้ความรู้สึกของอาจารย์ที่ผูกพันกับศิษย์อยู่แล้วยิ่งผูกพันหนาแน่นยิ่งขึ้น อาจารย์เห็นทีจะต้องแกะปมแห่งความผูกพันของเราให้จบลงเท่านี้ ในวันนี้ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจงเดินหน้าด้วยความมั่นคง ด้วยใจที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ไม่ว่าหนักไม่ว่าเบาอาจารย์เชื่อมั่นว่าศิษย์ของอาจารย์คงพร้อมที่จะเผชิญ






[๑] อาเวศ ทาง









พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก”


หลับผวาตื่นพะวงนิจจาเอ๋ย ชีวิตเอยความสุขนั้นอยู่หนไหน

ต่างลอยเลื่อนกลาดเกลื่อนมิตื่นใจ เข้ายุคปลายภัยลงกวาดไม่ปรานี

คัดเท็จจริงคัดหยกหินออกจากกัน แม้ยืนยันบำเพ็ญแล้วค้นถ้วนถี่

ทั้งวาจาใจต้องเป็นเลิศแห่งดี และกายมีต้องอุทิศเพื่อเวไนย

เลิกเบียนเบียดกันและกันยอดทาน ทรมานเพราะเป็นคนช่างใจร้าย

ไม่ลุ่มหลงให้ใจช่างร้อนวอดวาย ศิษย์มากมายเป็นดังนี้แก้ไขตน

ยิ่งนานวันต้องยิ่งดีใช่ยิ่งแย่ อุปสรรคมายิ่งแน่วแน่ใช้เหตุผล

ใจยิ่งกว้างจึงแบกเรื่องหนักเกินตน ความอดทนเสมือนเพื่อนร่วมทาง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2539

2539-12-28 พุทธสถานเฉิงอี้ จ.ราชบุรี


PDF 2539-12-28-เฉิงอี้ #23.pdf

#ทวนกระแส  #สติ  #ปัญญา   #ฉุดช่วยบรรพชน


วันที่ ๒๘ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  วิหคเหินทิศาเดียวมุ่งกลับบ้าน  ชีวิตท่านเบาบางงานกุศล
เมื่อต้องข้ามทะเลทุกข์จึงอับจน  ดั่งอุบลเพลินลุ่มหลงในโคลนตม
    เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้     แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ยังสามารถเห็นฟ้าสางวันนี้  ให้รู้ที่ทบทวนลองไปคิด
เป็นโชคดีที่ผ่านคืนยังชีวิต  เตือนพินิจหนึ่งในมากยอมทบทวน
กี่ผลงานทำได้ปีหนึ่งนี้  ณ สิ่งดีมียากรู้สงวน
บำเพ็ญจิตบ้างหรือไม่จงใคร่ครวญ  นานเพียงไหนแค่มากตรวนอันตราย
พินิจในทุกสิ่งล้วนตามทำนอง  ถูกครรลองแก้ไขฤดีไม่มีพ่าย
ฝึกพุทธะจงมองทวนให้เข้าใจ  ยอมตัดทิ้งมากเท่าไรยิ่งเจริญ
ปรารถนาอยู่หรือไปน้ำพาแล่น  ศึกษาแก่นการตามไปเป็นผิวเผิน
รู้ขั้นตอนยามเรือพายอย่าเพลิดเพลิน  ให้ดำเนินทวนน้ำจึงพ้นตรวน
ของมีค่าแลกมาใช่ง่ายดาย  รักสบายยากสำเร็จลองคิดหวน
จิตอำไพขึ้นปีใหม่หยุดทบทวน  ณ จิตใจเราควรฟื้นฟูนำ
เป็นคนใหม่ตามพยายามรอยอริยา  ทุกนาทีมีค่าแปรบำเพ็ญข้าม
ทั้งชีวิตขวนขวายด้วยตนมีธรรม  ทุกเช้าค่ำรู้พลาดรู้แก้ไข
บำเพ็ญจิตต้องเสมอทั้งต้นปลาย  จนสุดท้ายของขวัญคือได้สู่จุดหมาย
บัลลังก์เซียนเปี่ยมค่างามเกินบรรยาย  ผู้จะได้เสมอผู้ลงแรง
      ฮา  ฮา   หยุด





  มุ่งกลับไปแดนเดิมตั้งใจ   ต้องใฝ่การบำเพ็ญ มุ่งมั่นพา   โดดเด่นดังดารา แสงพราวพร่างพราย   ปฏิบัติธรรมที่มี จิตแห่งความกังขายากนำพา   ร่างเหยียดหมดนาที ให้เดินคืนสุทธา
  อาจมีวันล้า  ฟื้นฟูใจตนมิเบียดเบียน จนออกห่าง   หากเป็นคนช้า จงรุด มิรอจน ต้องเจ็บใจ ที่เอนเอียงอยู่   ช่วงเวลาที่สำคัญ ก็คือยามนี้   ผ่านล่วงไปคงมิอาจเรียกคืนหวน ได้เช่นเดิม
เพลง : นาทีแห่งดาว
ทำนองเพลง : เก็บมันเอาไว้


พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

วันนี้ตั้งใจมาทำอะไรกัน  คิดมาประชุมธรรมก็ต้องตั้งใจฟังใช่ไหม  แต่ทำไมถึงตั้งใจหลับกัน  บางคนก็มองเราด้วยความฉงนสนเท่ห์  บางคน
ก็มองเราด้วยความไม่เชื่อ  ตั้งใจฟังกันหรือเปล่า ไม่ใช่อยู่ข้างหลังเมื่อย
ก็ออกไปข้างนอก อย่างนี้แล้วเขาเรียกว่าตั้งใจฟังจริงๆ หรือเปล่า  ฉะนั้น
ถ้ารู้สึกเมื่อยหรือง่วงก็ต้องรู้จักนั่งให้ถูกวิธี  ถ้านั่งสบายก็หลับสบายใช่ไหม  จะฟังสบายได้อย่างไร  บางคนก็ผงกศรีษะไปอย่างนั้น บางคนก็ไม่ได้ยินเลย
ใช่หรือเปล่า  อย่างนี้จะเรียกว่าตั้งใจมาศึกษาอย่างแท้จริงไหม
ชีวิตก็เหมือนกับอากาศใช่ไหม เหมือนตรงไหน  ถึงแม้ท่านจะไม่เชื่อว่าเราจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท็จ  แต่เป็นการคุยสนทนากับคนๆ หนึ่งดีหรือไม่  พุทธจิตลงมาสู่กายมนุษย์ก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาใช่หรือไม่  จะต่างกันตรงไหน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เคยย้ำบ่อยครั้ง ว่าต่างกันตรงที่พุทธจิต
ภายในของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพุทธะ ท่านรู้แจ้งทุกสิ่งแล้วสามารถกลับคืนสู่
เบื้องบนได้ แต่พุทธจิตที่อยู่ภายในกายของมนุษย์ของทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ไหม  สามารถรู้แจ้งชีวิตแห่งตนได้หรือเปล่า  ได้แต่เพียงแค่รู้ แต่เมื่อถึงเหตุการณ์ที่ต้องนำมาใช้ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง ใช่หรือไม่  มนุษย์นั้นก็เป็นเพียงผู้ที่เรียนรู้เพื่อถมความรู้ให้เต็ม
ภายในใจ  แต่มีใครบ้างที่จะเรียนรู้เพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนอย่างแท้จริง  เราเรียนรู้เพียงว่าเรียนจบแล้วเราจะทำอะไร มีหน้าที่อะไร  เรารู้เพียงแต่ภายนอก แต่จิตใจภายในเราไม่เคยรู้ ใช่หรือไม่ แล้วสำนวนที่ว่า
“ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” จะมีไว้ทำไม ในเมื่อเรารู้เพียงแค่ภายนอก แต่
จิตใจภายในของตนเองไม่รู้แม้เพียงสักนิดเดียว อย่างนี้จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างแท้จริงไหม  แต่บางคนอาจจะตอบว่าชีวิตเราก็วิ่งตามไปกับอารมณ์
วิ่งตามไปกับความอยาก คอยวิ่งไปทางโน้นที ทางนี้ที  แต่บางทีเมื่อเหนี่อยแล้วก็อยากหาที่พัก อยากหาที่สงบ  บางทีเราสามารถสงบ หาที่พักผ่อนให้กับ
ร่างกายได้ แต่จิตใจที่เหนื่อยล้า จิตใจที่มืดมน เราสามารถหาความสงบได้จากที่ไหน ใจตนเองอยู่ตรงไหน ตอนนี้รู้หรือยัง แล้วควบคุมได้หรือยัง  บางคนรู้แล้วก็เหมือนไม่รู้ รู้แล้วก็เหมือนปิดตาตนเอง  ปิดตาตนเองส่องกระจกจะมองเห็นกระจกไหม  มาศึกษาธรรมะแต่ตาทั้งสองข้างปิดไปด้วยความกังขาและ
ความสงสัย แล้วอย่างนี้จะศึกษาได้กระจ่างหรือเปล่า ไม่กระจ่างใช่ไหม 
เราอ่านหนังสือ เราจะเข้าใจหนังสือได้ก็ต่อเมื่อเรามีจิตใจที่อยากค้นคว้าหาความรู้ในหนังสือ ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่  ถ้าเปิดหนังสืออ่าน แล้วในใจก็คิดว่าไม่ชอบคนเขียนคนนี้เลย ถึงแม้อ่านไปตั้งแต่ต้นจนจบก็
ไม่เข้าใจใช่ไหม มาศึกษาหลักธรรมก็เหมือนกัน ถ้าท่านปิดใจตัวเองไว้จะศึกษาเข้าใจไหม ถ้าเรามีความง่วงปิดกั้นตนเองอยู่ จะศึกษายังศึกษาไม่เข้าใจ  ฉะนั้นมาศึกษาตนเอง ดวงตาแห่งปัญญาได้เปิดอย่างแท้จริงหรือเปล่า ดวงตาแห่งจิตใจได้ไขที่จะศึกษาแท้จริงหรือไม่
ชีวิตก็เหมือนกับอากาศใช่ไหม เหมือนตรงไหน (ความว่าง)  ไม่ใช่ความว่างอย่างเดียว อากาศนี้ก็เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เหมือนกับ
เราทุกคนที่บางครั้งก็ทุกข์บางครั้งก็สุข เมื่อมีความสุขก็เหมือนลมเย็นที่โชย
พัดผ่านมา เมื่อมีความทุกข์ก็เหมือนฝนฟ้าคะนองที่ตกภายในใจใช่ใหม (ใช่)  จิตใจนั้นสำคัญยิ่ง เราอยากจะให้ทุกข์มากเพียงไหน อยากจะให้สุขมาก
เพียงไหน ถ้าจิตใจนี้ไม่ไปน้อมรับ ไม่ไปหยิบยืมนำพามาไว้กับตัวเอง ก็ยาก
ที่จะทุกข์ ก็ยากที่จะสุขได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นั้นการอยู่เฉยๆ มักจะเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ยาก นั่งเฉยๆ สักพักก็รู้สึกเมื่อย อยู่เฉยไม่ได้นานก็รู้สึกเบื่อ  ฉะนั้นเมื่อมนุษย์อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ก็ชอบดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหา อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียง อยากเป็นคนที่มีคุณค่า 
ถ้าเราถามทุกท่านว่าคุณค่าของคนอยู่ที่ตรงไหน ใช่อยู่ที่ประดับตกแต่งให้ตัวเองมีความสวยงาม มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย หรือเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะ
สูงส่งไหม  คุณค่าของมนุษย์อยู่ตรงไหน อยู่ที่จิตใจใช่หรือไม่
ในที่นี้ถ้าเราพูดว่าทุกคนคือคนดี ไม่มีใครเป็นคนไม่ดี  แต่จะเป็นคนไม่ดีก็ต่อเมื่อ เราเริ่มกระทำสิ่งร้าย เราเริ่มประกอบสิ่งไม่ดี ใช่หรือเปล่า  ถ้าเรามียศถาสูงส่ง แต่ว่าภายในจิตใจเรายังมีความอิจฉาริษยาอยู่ความสูงส่งนั้น
ก็เป็นเพียงเปลือกนอกใช่ไหม เรายากที่จะมองเห็นคนไหนดีคนไหนไม่ดีได้
ฉะนั้นถ้าทุกคนบอกว่าตนเองเป็นคนดีแต่ไม่ได้แสดงความดีออกมาให้ผู้อื่นเห็น เขาจะสามารถรู้ไหมว่าเราเป็นคนดีที่แท้จริง หรือว่าเป็นคนดีที่เก็บไว้อยู่ภายใน ถ้าในโลกนี้ทุกคนต่างเป็นคนดีที่เก็บไว้อยู่ภายใน โลกนี้จะสันติสุขไหม แค่เราอยู่กับเพื่อน อยู่กับญาติพี่น้อง เราก็อยากให้ญาติพี่น้องทำแต่สิ่งที่ดีใช่ไหม ถ้าเราอยู่กับญาติอยู่กับเพื่อน แต่เพื่อนอยู่เฉยๆ นิ่งๆ แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนดี  แต่วันแล้ววันเล่าเราก็ไม่เคยมองเห็นความดีจากตัวเขาเลย อย่างนี้จะสามารถเรียกว่าเป็นคนดีที่แท้จริงได้ไหม ฉะนั้นเมื่อตนเองรู้แล้วว่าตนเองเป็นคนดี และอยากให้คนรอบข้างเป็นคนดีด้วย ตนเองก็ต้องเริ่มทำจากตนเองก่อนใช่หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าเรียกร้องผู้อื่นไม่สู้เรียกร้องตนเอง ตนเองเป็น
ผู้เริ่มทำ ไม่สู้บังคับข่มขู่ให้ผู้อื่นเริ่มทำก่อนใช่หรือไม่ แล้วโลกนี้จะดีได้ บริสุทธิ์สงบราบเรียบได้อย่างแท้จริง ความชั่วร้ายต้องหมดสิ้นไปจากโลกใบนี้ด้วย
ใช่หรือไม่ เราอยากให้โลกนี้เต็มไปด้วยพฤกษาที่อุดมสมบูรณ์ เราก็ต้องปลูกพฤกษา เราอยากให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยคนที่ประกอบคุณงามความดี เราก็ต้องปลูกคุณงามความดีใช่ไหม แล้วตอนนี้พื้นนาแห่งจิตใจ พื้นนาแห่งร่างกายอันนี้เคยหยั่ง เคยฝังรากลึกแห่งความดีมากมายเพียงไหน เคยมองตนเองไหมว่า
ที่ว่าตนนั้นดี ดีอย่างไร หรือดีเพียงแค่ภายนอก แต่ภายในยังอดไม่ได้ที่ยังเห็นคนอื่นดีกว่าตน แล้วนึกอยากจะแข่งขันที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าเรา นึกอยากจะ
ต่อสู้อยู่ร่ำไปใช่ไหม ฉะนั้นจิตแห่งพุทธะนั้นจะเป็นจิตแห่งพุทธะที่แท้จริง
ได้หรือไม่ ตอนนี้รู้สึกแล้วว่าตนเองเป็นพุทธะที่ยังมีจิตใจไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมเราก็ต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อฟื้นฟูพุทธจิตให้งดงาม ให้ผ่องใสได้อย่างแท้จริง สิ่งไม่ดีหมั่นชะล้าง สิ่งดีหมั่นถนอมรักษา ทำได้ไหม เป็นคนดีเขาจะเรียกเราว่าดีได้ เราต้องดีไปตลอดรอดฝั่งใช่หรือไม่ แต่ถ้าดีแล้วมีอารมณ์โมโหอย่างนี้
จะเรียกว่าดีแล้วขี้โมโหใช่ไหม เป็นคนดีที่ชอบทำบุญ ชอบทำทาน ชอบ
ช่วยเหลือผู้อื่น เห็นผู้อื่นทำดีมีความสุข แต่มักชอบลืมเรียกตนเองให้ทำดี
ได้เท่าเขาใช่ไหม เมื่อเห็นผู้อื่นล้มเหลวผิดพลั้งมีใครบ้างที่มีจิตใจอยากจะ
ฉุดช่วยเขา อยากจะเข้าไปปลอบใจเขาบ้างมีหรือเปล่า โลกนี้ใครๆ ก็อยากได้ความจริงใจต่อกัน ความเมตตารักใคร่ต่อกันอย่างแท้จริงใช่ไหม ฉะนั้นคิด
บ้างหรือไม่ที่อยากจะบำเพ็ญดีชะล้างสิ่งไม่ดี  ถ้าไม่เริ่มคิดเราจะเร่งให้ท่านกระทำก็เร่งไม่ขึ้นใช่ไหม คนถ้าไม่คิดจะปลูกต้นไม้ ตีเขาเท่าไหร่ต้นไม้ก็ยากขึ้นจากคนๆ นั้นได้ใช่หรือไม่  ตอนนี้เมื่อเริ่มมีใจคิดอยากกระทำดี อยากบำเพ็ญดี ก็ต้องมาศึกษาวิธีที่จะทำดีให้ได้อย่างตลอดรอดฝั่งใช่ไหม เพราะทุกคนทำดี
แล้วมักล้มกลางคัน ทุกคนทำดีแล้วพบอุปสรรคมักพ่ายแพ้ใช่ไหม  ฉะนั้นพุทธะในใจก็เป็นพุทธะเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นพุทธะที่เป็นเพียงดาวกระพริบบ้างดับบ้าง
ใช่ไหม ฉะนั้นอยากจะเป็นดาวที่สุกสว่างอย่างแท้จริง อยากเป็นดาวที่งดงามอย่างแท้จริงก็ต้องเรียนรู้วิธีตัดความเลวร้ายชะล้างสิ่งเลวร้ายแห่งตน นั่นคืออะไร (กิเลส)  สติปัญญานั้นอยู่ที่ท่านใช่ไหม คนที่จะค้นหาให้เจอแล้วก็ดึงมา
ใช้ให้ได้ก็คือท่านอีก  เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ถ้าชี้แล้วท่านไม่เดินตาม ท่านจะไปถึงหรือเปล่า ก็ไม่ถึงคำว่า “สติ” ไม่ถึงคำว่า “ปัญญา” ใช่ไหม  ถ้าวุ่นวายไปเรื่อยๆ เราก็ไม่สามารถพบสติ  แต่ถ้าใจเรานิ่งสงบ เราจึงจะพบสติได้   และถ้ามีสติอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ  ท่านก็จะสามารถมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิอยู่
ทุกขณะ  ปัญญาจึงจะเกิดได้ เข้าใจไหม
ถึงแม้ท่านท่องกาพย์กลอนได้มากมาย มีสัจธรรมก็เรียนรู้ได้จนหมดสิ้น แต่ถ้าไม่สามารถหยิบใช้ได้ทันท่วงที นึกถึงได้ทันเหตุการณ์ แม้จะมีเงินตรามากมายหรือมีอาวุธข้างกาย เมื่อภัยมาใกล้ตัว เราก็ยากจะหยิบใช้ได้ทันใช่ไหม  ฉะนั้นมีความรู้ มีปัญญา มีสติ ก็ต้องรู้จักควบคุมจิตใจให้ถูกต้อง  การจะ
ควบคุมจิตใจได้นั้นเราต้องรู้จักตัวตนเดิมแท้ของตนก่อน ถ้าไม่รู้จักตัวตนเดิมแท้ของตนว่าตนเองเป็นคนอย่างไร เราจะสามารถควบคุมตนเองได้ไหม ตนเองที่แท้จริงก็คือตนที่ไร้ตน สามารถเดินไปตามรอยแห่งธรรมะปฏิบัติสอดคล้องกับหลักสัจธรรม นั่นคือตนที่รู้จักใช้ตนได้ถูกต้อง ไม่ใช่ตนที่ตกเป็นทาสแห่งตนเอง ไม่ใช่ตนที่ติดอยู่กับหน้าตา ติดอยู่กับชื่อเสียง ติดอยู่กับลาภยศ เข้าใจหรือเปล่า  จะตัดสิ่งใดได้นั้นให้เราพบความดี ให้เราพบความสงบ นั่นก็คือตัดตนเองให้ได้ก่อน  เมื่อมีตนจึงมีกิเลส เมื่อมีที่อยู่ให้กับกิเลส ก็มีอารมณ์ มีความอยาก ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น ใช่ไหม
“ศึกษาแก่นการตามไปเป็นผิวเผิน”  มาศึกษาต้องมีใจที่อยากศึกษา ไม่ใช่มาเพราะอยากตามคนอื่นมา ถ้ามาแบบนี้ท่านก็จะเรียนรู้ได้เพียงผิวเผิน นั่งได้ ๑ นาที ก็ไม่อยากฟังแล้วใช่ไหม
อยู่บนโลกนี้ ถ้าเราปล่อยไปตามกระแสโลก ปล่อยไปตามกระแสลมพัดมา เราก็ยากที่จะรู้ตนเองได้ว่าตนเองจะไปถูกอะไรกระทบกระทั่ง  ฉะนั้นดำรงชีวิตบนโลกต้องรู้จักทวนกระแสแห่งจิตใจ ทวนกระแสแห่งโลก แต่การทวนกระแสจิตใจ ทวนกระแสแห่งโลก ไม่ใช่ทำตัวเป็นคนขวางโลก ทำตัวเป็นคนแปลกประหลาดแห่งโลก  ต้องเข้าใจตรงนี้ให้ถูกต้อง เพราะมีผู้บำเพ็ญธรรมบางคนเมื่ออยู่ในสังคมภายนอกก็มักจะโดนคนว่าเป็นคนแปลกประหลาด เป็นคนขวางโลก การทวนกระแสนั้นก็คือ การทวนอารมณ์แห่งจิตใจ เมื่อเราประสบความสุข ความดีใจ ความพอใจ ภายในใจก็อย่าลุ่มหลงในความสุขความพอใจนั้นจนเกินไป  ให้มีใจหยั่งคิดว่าเมื่อเรามีได้ก็ต้องมีเสีย เมื่อมีทุกข์ก็ต้องมีสุข  ในการดำเนินชีวิตหากรู้จักยับยั้งจิตใจไม่ให้หลงสิ่งใดจนเกินไป ไม่ให้ทุกข์เศร้าเสียใจจนกลัดกลุ้มวิตกกังวล ชีวิตนี้เราก็จะไม่มีทุกข์ไม่มีสุขจนเกินไปใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง เก็บมันเอาไว้  ชื่อเพลง นาทีแห่งดาว)
นาทีแห่งดาวนั้น แม้จะสว่างเพียงชั่วครู่ แต่ถ้าท่านสามารถรักษาความสว่างเพียงชั่วครู่นี้ให้อยู่ตลอดไปในจิตใจได้  ท่านก็สามารถดำรงชีวิต
ภายนอกได้ กำลังใจก็เหมือนความสว่างแห่งร่างกาย ถ้าเรามีกำลังใจที่เข้มแข็งไม่มืดมน เราก็สามารถดำรงชีวิตได้
การดำรงชีวิตนั้นเราอย่ามองเพียงตัวเราคนเดียว เราต้องมองคนอื่นด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)   ชีวิตนี้เราต้องอยู่ร่วมกันหลายๆ คน  ถึงแม้จริงๆ
จะบอกว่าไม่เมื่อย แต่ผู้อื่นอาจจะเมื่อยได้  ฉะนั้นก็ต้องรู้จักมองผู้อื่นบ้าง  ในการดำรงชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเราคนเดียวแต่ยังมีผู้อื่นอีก  ฉะนั้นเห็นใจเราก็ต้องเห็นใจเขา เคารพเราก็อย่าลืมเคารพเขาด้วยดีไหม (ดี)
สิ่งมีค่าต่างๆ ล้วนแลกมาได้ไม่ง่าย แต่จิตใจของเราที่มีค่ายิ่งกว่าเงิน ยิ่งกว่าทรัพย์สินนั้น ทำไมเราถึงปล่อยปละ ทำไมเราถึงละเลย  ถ้ากายนี้ไร้ซึ่งญาณแล้ว ทรัพย์สินเงินทอง ยศถา ความรู้มีคุณค่ามีประโยชน์ไหม  ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการรู้จักดำเนินชีวิตต้องรู้จักความพอดี รู้จักหยุดบ้าง   หยุดแล้วก็
ไม่ใช่หยุดเลย หยุดแล้วต้องรู้จักทบทวนด้วยว่าสิ่งใดที่ดี สิ่งใดที่ไม่ดี สิ่งใดควรคงอยู่ สิ่งใดควรแก้ไข ใช่ไหม
(พระพุทธองค์กล่าวว่า คนเรานี้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์
การอยู่ในโลกมนุษย์นี้เหมือนทะเลทุกข์ อยู่กับความทุกข์ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า
จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นทะเลทุกข์ และเมื่อเราอยู่ในทะเลทุกข์ ทำอย่างไรเราจึงจะหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ได้  ดังนั้นจึงได้มีธรรมะลงมาฉุดช่วยเรา ธรรมะจึงเหมือนกับเป็นเรือธรรมที่จะมาดึงเราขึ้นจากทะเล เมื่อเราขึ้นมาสู่เรือธรรมะ เราก็สามารถที่จะคืนฝั่งนิพพานได้ พ้นจากทะเลทุกข์นี้ได้  เพราะฉะนั้นนาวาธรรมในปัจจุบันมีมากมาย เช่นพุทธสถานแห่งนี้เราก็เรียกว่านาวาธรรม เพราะว่าเรามีโอกาสมารับรู้ธรรมะ รับรู้ทาง
หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)
กลอนที่เราให้ถ้ามีโอกาสขอให้ไปศึกษาเพิ่มเติม พวกท่านยังมีหัวข้อ-ธรรมที่ต้องศึกษาอีกหลายหัวข้อใช่ไหม ตั้งใจฟังให้ดีๆ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ที่สำคัญก็คือศึกษา ๒ วันแล้วต้องได้ประโยชน์หรือมาแค่ ๑ วันก็ได้ประโยชน์ด้วย
ชีวิตนี้คุณค่าอยู่ที่ตรงไหน เราก็พูดไปแล้ว คุณค่านั้นก็อยู่ที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข ไปอยู่ที่ไหนใครก็ต้อนรับ ไปอยู่ที่ไหนใครก็รักใคร่ อย่างนี้จึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ชีวิตนี้ไปที่ไหนใครๆ ก็
ขับไล่  ไปที่ไหนใครๆ ก็ไม่ต้องการ ชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตที่เกิดมาแล้วเสียเปล่า  อย่างนี้ศึกษาหลักธรรมไปแล้วไม่เกิดคุณค่าใช่ไหม (ใช่)  เพียงธรรมะง่ายๆ
เรารักเขา เขารักเรา  เรามีเมตตาต่อเขา เราอยากให้เขาเป็นสุข  เขาก็อยากให้เราอยู่กับเขาด้วยใช่ไหม (ใช่)  ง่ายๆ เองใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นมองให้เห็น
ตัวตนเองที่มีหน้าตาเดิมแท้ ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่มีความรัก ไม่มีความชอบ
ไม่มีความโลภ ไม่มีความหลง  ถ้าท่านหาหน้าตาเดิมแท้ของตนเองพบเมื่อไหร่ ท่านก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้เมื่อนั้น ถ้าไปอยู่เบื้องบนแต่ยังมีจิตที่ชอบเลือกที่รักมักที่ชัง พุทธจิตแม้จะกลับคืนเบื้องบนก็อยู่ไม่ได้นานใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อไรที่เราทำชั่วนรกก็อยู่ที่ตัวเรา  เมื่อไรที่เราคิดร้าย เราก็เป็นเหมือนมารร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ว่าคนอื่นเลว ว่าคนอื่นไม่ดี ถามตนเองก่อนว่ามีสิ่งเลวมีสิ่งไม่ดีไหม  ชมคนอื่นดี ชมคนอื่นน่ารัก ก็แปลว่าเรามีความดี มีความน่ารักอยู่
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พุทธจิตของทุกท่านนั้นก็เป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่ทำไมถึงกลับคืนเบื้องบนไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่รู้จักเดินให้เต็มที่ ไม่รู้จักบำเพ็ญอย่างจริงจัง พ่ายแพ้ความดีของตนเอง พ่ายแพ้อุปสรรคต่างๆ  ฉะนั้นมาศึกษาหนึ่งวันแล้ว ขอให้ได้คุณค่า  ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เชื่อคนข้างหน้า ก็ขอให้เชื่อคนที่ชักพาเรามา เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นคนดีจึงอยากให้เราพบสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีนี้สามารถนำไปใช้ในชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตจะดี ชีวิตจะงดงามต้องเดินตามรอยปราชญ์ เดินตามรอยพระโพธิสัตว์ที่มีจิตเมตตา ไม่หวังผล ไม่หวัง
สิ่งตอบแทน โดนเขาว่าก็ยังคงรักเขา ยังคงเมตตาเขาใช่ไหม (ใช่)  เรายังเห็นหลายๆ คนอาจจะไม่มาที่นี่อีก  ถึงแม้จะไม่มาก็ให้จำไตรรัตน์ไว้ให้ดี รักษา
คุณความดีให้อยู่กับตน แล้วพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะคุ้มครองท่าน จากร่างกายแล้วสิ่งที่เรานำไปได้คือความดีความชั่วใช่ไหม  ถ้ามีความดีมาก ท่านก็สามารถเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  แต่ถ้ามีความชั่วมาก ท่านก็ไม่สามารถเป็นได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
บำเพ็ญธรรมดีหรือเปล่า (ดี)  อยู่ที่ท่านคิดพิจารณาให้ดี  มีโอกาสวันนี้ไม่ใช่ง่ายดาย อย่าปล่อยทิ้งไปให้น่าเสียดาย




วันที่ ๒๙ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนมากมายให้สามัคคีย่อมลำบาก  แต่ไม่ยากพยายามหน่อยจะดีไหม
ณ ผลดีลองตรองดูเกิดที่ใคร  เจริญใจได้ฟื้นฟูพุทธญาณ
    เราคือ
  พระอรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้     แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
  สงสารศิษย์เจ้าพินิจไปถึงไหน  มองใครใครหลายคนก็ต่างสี
อย่าเปรียบเทียบสิ่งเดียวกับที่เรามี  ศิษย์คนดีควรมองตนวันนี้เทอญ
เป็นมนุษย์เมื่อยหลังเมื่อยกระดูก  อาศัยหยูกอาศัยยารักษาไม่หาย
อาศัยบุญก็จะมีสบายใจ  แต่ให้ง่ายพ้นไปเลยจะยิ่งดี
โอ้อาจารย์แก้วดีแล้วที่ศิษย์ใฝ่หา  สองวันนี้ได้มานั่งฟังอาจารย์
ทานเจได้นับว่าบุญเหลือประมาณ  แลประสานจงสมบูรณ์ทั้งกายใจ
วัชระอยู่ในมืออย่าปล่อยทิ้ง  ทิ้งเพชรจริงไปคว้าดินน่าใจหาย
ชีวิตนี้อย่ามัวเฝ้าเสี่ยงทาย  ก่อนวางวายให้สร้างกุศลพอคืนแดน
นั่งฟังธรรมจนเข้าใจอย่าทำเฉย  ศิษย์ต่างเคยเป็นพุทธาบนแดนฟ้า
อย่าให้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาพร่างตา  แล้วคิดว่านั่นคือจริงทวีลำบาก


ในชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย  รวมพลังมาเร่งพายดรีฟ้า
การบำเพ็ญแม้ลำบากแต่มากค่า  ให้ศิษย์อย่าเพิกเฉยจนเลยกาล
ฮา  ฮา  หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง





หลงฝักใฝ่ หนึ่งปีใจทบทวน  เรื่องต่างล้วนวุ่นวาย ไม่หยุดลงสักที  หากมีเป้าหมายเข้าใจทันที  ไม่มีคงล้มซัดเซทั้งปี
เปลี่ยนปีใจทบทวน  ไม่ติดกิเลสที่ชักชวน  เส้นทางสายด่วนต้องทวนครั้งใหญ่  ศิษย์มีใจทบทวน มาแก้ไขเร็วเข้าเร่งด่วน  สะบั้นชนวนนึกคลางแคลง  เริ่มต้นวันนี้มีจิตแห่ง...พุทธา
ขอผลัดต่อ ยากคืนฐานพุทธา  เมื่อเกณฑ์ฟ้าเลื่อนไป  ว่ายเวียนโดยมิควร
ทำนองเพลง : ฝันและใฝ่


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะไป ๒ วันแล้วศิษย์ของอาจารย์ได้ปัญญาเปิดขึ้นหรือเปล่า 
ถ้าจะให้อาจารย์นั่ง ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นคนอย่างไร (เป็นคนดี)  แล้วศิษย์ของอาจารย์ยังไม่ดีอีกหรือ  ไหนใครว่าตัวเองยังไม่ดีบ้าง คนไม่ดีแล้วเขาชวนมารับธรรมะได้อย่างไร  ถ้าอยากจะให้อาจารย์นั่งศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นคนขยัน ต้องมีความเมตตา ต้องเข้าใจในหลักสัจธรรมอย่างแท้จริง ที่สำคัญต้องให้โลกนี้ทั้งโลกเป็นอย่างไร (สันติสุข)  การฟังธรรมะเราจะต้องจับประเด็นสำคัญของการฟังธรรมะได้ เมื่อจับประเด็นการฟังธรรมะที่สำคัญได้ก็ย่อมนำมาซึ่งความเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ในการพูดสนทนาธรรมแต่ละหน ถ้าหากว่าจับประเด็นไม่ได้เลย ก็มีความกลัวอยู่ ความไม่เข้าใจอยู่ แต่ไปด้วยกันก็คือการไม่ตั้งใจฟัง  ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้อะไรจากการฟังธรรมะไหม  การที่ให้มาจัดประชุมธรรมสองวัน ไม่ใช่ว่าเป็นการให้ศิษย์นั้นมานั่งอยู่เฉยๆ คนที่เขามาพูดบรรยายธรรมให้เราฟังนั้น ก็ขอบคุณเราใช่ไหม  ที่เรานั้นมานั่งฟังเขาพูดใช่หรือเปล่า  แต่ว่าเรานั้นก็อย่าลืมขอบคุณเขาด้วย  ขอบคุณนั้นไม่ใช่การขอบคุณออกจากปากตรงนี้แต่เป็นการขอบคุณออกจากจิตใจการขอบคุณออกจากจิตใจนั้นทำอย่างไร ทำง่ายไหม(ง่าย)  เวลาที่เรามีความโกรธนั้น  โกรธมาจากตรงไหน(ใจ)  เวลาที่เรามีความชอบนั้นชอบมาจากทางไหน(ใจ)แล้วเวลาที่เราจะขอบคุณ  เราขอบคุณออกมาจากใจหรือเปล่า  ส่วนใหญ่นั้นจะให้เราขอบคุณออกมาจากจิตใจนั้น  ต้องมีการทำประโยชน์ที่เราพึงใจด้วย  เราจึงจะรู้สึกว่าเรานั้นอยากจะขอบคุณเขา  แต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน  ถึงแม้ประโยชน์นั้นศิษย์ยังไม่เห็นก็ต้องมีการขอบคุณออกจากใจได้  ใจดวงนี้เราต้องบังคับบัญชาได้ ต้องทำให้ใจนั้นรู้สิ่งที่เรากระทำอยู่ตลอดเวลา สิ่งนั้นเรียกว่า “สติ” เข้าใจหรือไม่
นั่งฟังธรรมะมา ๒ วันแล้ว ถามว่าการบำเพ็ญของศิษย์เป็นแบบไหน (การปฏิบัติตาม)  การตามนั้นถ้าหากว่าตามไปเฉยๆ ตามไปโดยไม่รู้อะไร  ตามโดยไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ  การตามชนิดนี้เรียกว่าตามเพียงผิวเผิน  มรรคผลนั้นก็ได้แค่มองเห็น แต่ไม่สามารถไขว่คว้ามาเป็นของตัวเองได้  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นคือการศึกษาให้เข้าใจเอง เข้าใจแล้วต้องมีความเข้าใจอย่างแท้จริง  ในยามปกตินั้น ทุกๆ คนก็คือคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่คนธรรมดาคนนี้ต้องหาทางที่เป็นเอก ก็คือหนทางที่จะบรรลุมรรคผลได้ แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์หาเจอหรือยัง (เจอแล้ว)  คนเราอายุมากน้อยนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าทุกๆ วันของชีวิตนั้นยังสามารถที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อมวลมนุษย์ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทุกๆ วันของเรานั้นยังมีค่า  คนบางคนนั้นเกิดมามีอายุ ๑๐๐ ปี แต่ว่าไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับใครเลย ถามว่าคนๆ นั้นอายุ ๑๐๐ ปี มีค่าหรือเปล่า (ไม่มีค่า)  หรือว่าจะมีประโยชน์ให้แค่ลูกหลานของตนเอง  ถ้าหากว่าผู้เป็นพ่อแม่นั้นเป็นคนที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย เมื่อมีลูกหลานซึ่งดำเนินรอยตาม เขาก็จะเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเช่นกัน  เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นผู้ที่รู้แล้ว ตื่นแล้ว ต้องเป็นผู้นำที่ดี  “นำ” ในที่นี้หมายความว่านำเขาไปในทางที่ดี  ถามว่าเมื่อมีทุกข์ศิษย์ของอาจารย์จะพ้นได้อย่างไร ศิษย์นั้นต้องปิดทางนรก ถามว่าเราจะปิดอย่างไร เมื่อมีกายเนื้อเป็นมนุษย์นั้นทุกคนหนีไม่พ้นความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่  การที่เราเจ็บป่วยอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ถ้าเป็นโรคที่ร้ายแรงรักษาไม่หายก็เหมือนอยู่ในนรก แต่ว่าจิตใจที่เป็นจิตพุทธะของเรานั้น ขณะนี้ยังสามารถที่จะพลิกตัวตื่นขึ้นมาได้  ศิษย์ของอาจารย์คิดว่าบุญสัมพันธ์ บุญวาระเช่นนี้ง่ายหรือไม่ (ง่าย, ไม่ง่าย)  คนที่ตอบว่าง่ายก็ต้องบำเพ็ญแบบง่ายๆ ดีไหม (ดี)  อันว่าความสบายนั้นก็เป็นภัยชนิดหนึ่ง มีรถมารับถึงที่แล้วก็ไปส่งถึงที่ มีอาหารมาวางถึงหน้า  ความสบายเช่นนี้นั้นทำให้เราหลงได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์อยากบำเพ็ญแบบสบายๆ ให้ตั้งใจบำเพ็ญจริงๆ ถ้าหากว่าอยากจะให้ตัวเองสบาย ต้องรู้จักทำให้คนอื่นสบายด้วย อย่าลืมคำนี้ของอาจารย์นะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าศิษย์ทำให้ตนเองสบายแต่ทำความลำบากให้ผู้อื่น ตนเองนั้นจะสบายได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เรามานั่งตัวตรงๆ เหมือนนั่งอยู่บนฐานบัวของเซียนดีไหม  อาจารย์สอนการนั่งบนฐานของเซียนไว้ก่อน นั่งตัวตรงๆ พิงพนักเก้าอี้ให้น้อยที่สุด เอามือประสานไว้ข้างหน้า อย่านั่งกอดอก ให้เท้าชิดกัน วางไว้ราบเรียบ ดวงตานั้นอย่าล่อกแล่ก จิตใจเปิดกว้างมีเมตตา ขานั้นให้ขยับเข้ามาชิดกัน ถ้าสามารถนั่งอย่างนี้ได้ ๒ วัน  ถือว่าเป็นการฝึกฝนที่ดี
ตอนนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว ปีใหม่ศิษย์อยากเจอสิ่งดีๆ หรือเปล่า (อยาก)  ถ้าอยากเจอจะต้องเป็นคนอย่างไร (คนดี)  ปีใหม่นี้อยากเป็นคนที่โชคดี ก็ต้องเป็นคนใหม่เหมือนกับปีที่ใหม่ใช่ไหม (ใช่)  อายุเราที่มากขึ้นหมายความว่าเราเป็นคนมีประสบการณ์ในการบำเพ็ญธรรมะ ในการอยู่ทางโลก ทางโลกนั้นก็เพลาๆ ให้น้อยลง ซึ่งหมายความว่าอะไรก็ตามที่ยอมได้ ลดได้ ละได้ ก็ให้กระทำเพื่อให้ใจของเรานั้นเป็นใจที่มีความสุข ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์พูด ศิษย์ก็จะเป็นคนที่มีความสุข  ขอให้ปีใหม่นี้เป็นคนใหม่ ดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้อาจารย์ให้เพลงหนึ่งเพลง เพลงนี้มีความหมายว่า ถ้าศิษย์ของอาจารย์นั้นหลงฝักใฝ่ หนึ่งปีที่ผ่านมาให้มีใจทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่วุ่นวายที่ยังไม่หยุดลง  ถ้าหากว่ามีเป้าหมายในการเดินทาง เราจะไม่สนใจสิ่งอื่นใดมากกว่าเป้าหมาย เราจะไม่สนใจสิ่งใดมากกว่าจุดหมาย ใจของเรานั้นไม่ยุ่งในเรื่องไร้สาระทั้งหลาย จิตใจดวงนี้ก็จะเป็นจิตใจที่ไม่ล้ม และแน่นอนว่ามีความสุข  แต่อาจารย์ขอถามว่านั้นมีความสุขใดที่จีรังยั่งยืนบ้าง (ไม่มี)  ทำจิตใจของเราให้เป็นจิตใจที่กระปรี้กระเปร่า ที่สดชื่นอยู่เสมอ เหมือนกับต้นไม้ที่ได้น้ำรินรด ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ไม่มีเป้าหมาย เป็นคนที่ล้มลุกคลุกคลานตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ทั้งปี  อาจารย์ขอศิษย์ให้เป็นคนที่มีจุดมุ่งหมายในการทำสิ่งใดก็ตาม ถ้ามุ่งหมายว่าอยากให้การค้าเจริญรุ่งเรือง เมื่อเจริญรุ่งเรืองแล้ว จงวางมือซะ ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าทำได้เช่นนี้ศิษย์เองที่จะมีความสุข แต่คนส่วนใหญ่นั้น เมื่อการค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปแล้ว งานรุมรัดตัวทำให้เรานั้นกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เราเองนั้นก็ไม่รู้จักใช่ไหม (ใช่)  ทำไมมนุษย์ในสังคมนั้นจึงมีหน้ากาก เพราะว่าทุกๆ คนนั้นมีความทะเยอทะยานอยู่ ถ้าศิษย์ตัดในส่วนนี้ได้ หาสิ่งที่ดีให้กับตนเอง ศิษย์ของอาจารย์ก็จะมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่)  ธรรมะคือธรรมชาติ วันนี้มานั่งฟังธรรมะ เรานั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อยู่กับอาจารย์แล้วก็ต้องมีความเป็นธรรมชาติด้วยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ใครก็ตามที่ยังมีจิตใจลังเลสงสัย ขอให้วางจิตใจนั้นลงเสียก่อน มิฉะนั้นนั่งฟังอาจารย์ไปจนกระทั่งอาจารย์กลับไปแล้ว ใครกันเล่าที่ยังแบกความสงสัยนี้ เพราะฉะนั้นก็ให้ตั้งใจฟังเสียดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสถานธรรมนั้นเปรียบเหมือนบ้านของเรา  เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีบ้านที่ดีนั้น ก็คือเราจะต้องมีความศรัทธาจริงใจ เมื่ออยู่ในบ้านที่ชื่อว่าบ้านศรัทธาจริงใจ ศิษย์ก็จะต้องมีความศรัทธาจริงใจ การเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้จึงจะประสบความสำเร็จ ให้อาศัยบ้านหลังเล็กๆ หลังนี้หมายถึงเรือธรรมลำนี้บำเพ็ญให้สำเร็จได้มรรคผล เมื่อบ้านหลังนี้ผุผังตามกาลเวลา ตัวศิษย์ก็จะยังไม่ผุผัง จะมีกายทิพย์ จะกลายเป็นเรือทิพย์เข้าใจไหม (เข้าใจ)
“เปลี่ยนปีไปทบทวน ไม่ติดกิเลสที่ชักชวน เส้นทางสายด่วนต้องทวนครั้งใหญ่”  หมายความว่า ตอนนี้เรานั่งอยู่บนเรือธรรม  เรือธรรมลำนี้ถ้าไหลตามน้ำเป็นอย่างไร ตอนนี้เปลี่ยนปีหมายถึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเรา  หัวเลี้ยวหัวต่อหมายความว่า เรานั้นมีร่างกายที่เป็นคนเป็นมนุษย์ดีกว่าสัตว์ทั้งหลายมากมาย แต่ถ้าคิดจะฝึกเป็นพระพุทธะ คิดจะฝึกเป็นเซียน ถามว่าไกลหรือเปล่า (ไกล)  ถ้าไกลก็ขยันๆ เดินจะได้ใกล้ขึ้น  ตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะมีกายเป็นมนุษย์ แต่ว่าอยากจะได้อริยมรรคที่เป็นเซียน อาจารย์บอกว่าไม่ยาก เพราะหากนึกตรึกตรองให้ดีคนที่เป็นเซียนนั้นก็ล้วนเคยมีกายมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจจะบอกว่าท่านมีบุญบารมีมาถึง ๕๐๐ ชาติ  แต่ตัวเรายังมีบุญไม่พอ แต่หากว่าสมทบกับบุญแห่งบรรพชนพอไหม (พอ)  ศิษย์เชื่อไหมว่าบรรพชนของเรามีบุญ (เชื่อ)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะบรรลุธรรมในชาตินี้ ไม่เนื่องต่อเพียงเราคนเดียว แต่ต้องมองกลับไปถึงบรรพชนของเรา เรามีโอกาสบำเพ็ญธรรม รับธรรมะในชาตินี้ล้วนเป็นบุญของบรรพชนตั้งแต่สมัยโบราณกาล  การฉุดโปรดสามภพนั้นไม่ได้บันทึก แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนที่เกิดมาทันพอดี ถามว่าตนเองนั้นมีบุญไหม (มี)  เมื่อมีบุญมากมายขนาดนี้การบำเพ็ญนั้นเราต้องใช้จิตใจแห่งโพธิสัตว์ การที่เราจะบำเพ็ญนั้นเราบำเพ็ญตัวของเราเอง เรายอมรับความยากลำบาก เพราะเราเป็นคนที่มีบุญไม่มากมาย แต่อย่าลืมว่าการที่เราจะบำเพ็ญชาตินี้เราจะต้องช่วยบรรพชนด้วย ช่วยเวไนยสัตว์ทั้งมวลด้วย จำได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนที่ไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป การบำเพ็ญในชาตินี้ เราก็จะมีสิทธิ์ขึ้นไปสู่แดนนิพพานได้ แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่มีความเชื่อในตนเอง ความคลางแคลงที่เกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความสงสัย ความสงสัยไม่จบสิ้นนั้นทำให้เราบำเพ็ญธรรมไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เพราะฉะนั้นมีโอกาสวันนี้ ก็ให้ใช้โอกาสวันนี้เป็นพุทธะให้เต็มที่ มีโอกาสวันพรุ่งนี้ก็ให้ใช้โอกาสวันพรุ่งนี้ให้เต็มที่ เรานั้นไม่สามารถจะมั่นใจว่าตัวเราเองนั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่นานเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่แน่ว่าชื่อของศิษย์นั้นอาจจะเป็นชื่อที่ต้องเสียชีวิตในวันพรุ่งนี้ ใครจะทราบใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีโอกาสวันนี้ วันนี้เป็นคนขยัน  มีโอกาสพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เป็นคนขยัน มีธรรมะหนึ่งวันให้เราศึกษา ก็ศึกษาหนี่งวัน  มีธรรมะให้เราปฏิบัติหนึ่งวัน ก็ปฏิบัติหนึ่งวัน เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  อาจารย์พูดอย่างนี้เป็นการเอาเปรียบศิษย์เกินไปไหม (ไม่)  ผลดีต่างๆ ตกอยู่ที่ใคร (ศิษย์)  การที่เราฟื้นฟูจิตใจของเราขึ้นมาได้นั้น จิตของใครที่จะสะอาด (ตัวเราเอง)  เพราะฉะนั้นวันนี้บอกว่าให้เรามาสะบั้นบ่วงแห่งความคลางแคลง มีความสงสัยมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าหากว่าเราสามารถตัดห่วงนี้ได้จะเป็นคนที่มีความสุขใจที่สุด ไม่ว่าเรานั้นจะยืนอยู่ตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในสังคมโลกนั้นสอนวิธีการเอาตัวรอด แต่ในสังคมของการบำเพ็ญธรรมนั้น สอนวิธีการเป็นพระพุทธะ ทางโลกและทางธรรมติดตามควบคู่กัน  แต่หากว่าศิษย์นั้นให้ความสำคัญทางด้านธรรมะ  ในที่สุดเมื่อถึงสุดท้ายศิษย์ก็จะตัดทางโลกได้ แต่ถ้าหากศิษย์หนักไปทางโลกเบาในทางธรรม ถามว่ามีคนอีกมากมายที่เขาพยายามบำเพ็ญ แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้รับการคัดเลือกไปจากผลไม้เข่งนั้นไหม  มีผลไม้หนึ่งเข่งมีทั้งดีมีทั้งเสีย ผลไม้เข่งนี้เป็นผลไม้วิเศษ ดีขึ้นได้ทุกวัน เสียลงได้ทุกวัน  ศิษย์ของอาจารย์เป็นผลไม้ที่เสียลงทุกวัน  คนอื่นนั้นเป็นผลไม้ที่ดีขึ้นทุกวัน ถามว่าหากให้ศิษย์เลือกกินผลไม้เข่งนั้น ศิษย์จะเลือกผลไม้ที่ดีหรือผลไม้ที่เสีย (ที่ดี)  เพราะฉะนั้นศิษย์ก็ต้องบำเพ็ญดีๆ  ถ้าหากว่าขอผลัดไปก็จะไม่มีฐานพุทธะให้ศิษย์นั่ง และถ้าหากว่าเกณฑ์ฟ้าเลื่อนไปแล้ว ต้องเวียนว่ายตายเกิดจนเราเองนั้นก็คิดไม่ถึง ชาตินี้ไม่รู้ชาติที่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นชาตินี้ที่เรารู้ตัวเราเอง พบโอกาสที่ดีที่สุด ถ้าหากว่ามีความสงสัยมากกว่า ความจริงนั้นก็จะไม่ปรากฎ  การเวียนว่ายตายเกิดถือว่าทุกข์ไหม (ทุกข์)  นึกถึงภาพเมื่อเรากำลังจะจมน้ำทะเล ภาพของการสำลักน้ำ สำลักแล้วสำลักอีก อยากจะพ้นก็ไม่พ้น อยากจะตายก็ตายไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลัวตัวเองนั้นจะลำบากถ้าหากจมน้ำลงไป ถ้าหากว่าขึ้นมาก็ไม่มีเรือขึ้นมา เมื่อเราเกิดมาย่อมไม่รู้ตน เมื่อเราแก่ก็มีความทุกข์ทรมานต่อสังขารที่ปวดๆ เมื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  อันว่าเราเจ็บเราทุกข์ทรมานอยู่แล้ว ถามว่าตายนั้นหนักกว่าเรานั้นจะทุกข์ทรมานกว่าไหม (กว่า)  แล้วถ้าหากว่าเราต้องเวียนไปบรรจบสิ่งนั้นอีก เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์คงจะนึกออกว่าเป็นความทุกข์เท่าไหร่  ตอนนี้แม้ว่าภาวะรอบๆ ข้างของเราทำให้เรานั้นมีความทุกข์ ไม่ราบรื่น มีปัญหามากมาย แต่ท่ามกลางปัญหานั้นศิษย์จะต้องรู้จักตนเองให้ดี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  อาจารย์นั้นรักศิษย์ทุกคน เฝ้าแต่ตักเตือน ถามว่าศิษย์วันนี้จากกันไปแล้วไม่เชื่ออาจารย์ มีโอกาสมานั่งเรือสองวัน ต่อไปนี้จะไม่นั่งเรืออีก  หากตัดสินใจไปเช่นนี้ศิษย์ก็คงจะเดินลงทะเลไปเหมือนกับที่อาจารย์ว่า  เพราะฉะนั้นจึงบอกให้ศิษย์รักษาโอกาสที่เป็นกายคนนี้ให้ดี  ตอนนี้ในมือมีเพชรอยู่แล้ว อย่าโยนเพชรทิ้ง แล้วกำดินขึ้นมาแทน หรือว่าจะรักษาเพชรไว้ แล้วทิ้งดินไป
ทุกๆ ครั้งที่ศิษย์ของอาจารย์ได้ประสบความสุขหรือความทุกข์ขอให้นึกถึงเพลงนี้ ทบทวนเพลงนี้ขึ้นมา  ถ้าศิษย์ทำได้ตามคำของอาจารย์ ความทุกข์ก็จะมีน้อยลง ความสุขก็จะไม่มีมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนกระทั่งเราจะไม่ได้พบ  เพลงนี้เป็นพรปีใหม่ของอาจารย์ ก็ถือว่าเป็นพรที่ดีที่สุดสำหรับศิษย์  เข้าใจใช่ไหม (เข้าใจ)
พระโอวาทของการประชุมธรรมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะให้เป็นการบ้านกลับไปคิดด้วย ช่วงที่เราว่างเว้นจากการประชุมธรรมเป็นช่วงที่ดี ศิษย์ต้องใช้เวลาให้มีคุณค่า เพราะฉะนั้นเมื่อได้คำนี้กลับไปแล้วต้องทำให้ได้ด้วย ทำได้แล้วก็ต้องเป็นคนใหม่ ทำได้แล้วศิษย์ของอาจารย์ก็มีความเจริญรุ่งเรือง
การบำเพ็ญนั้นไม่รอคนที่ช้า เวลาก็ไม่รอใคร ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพ แต่อย่าลืมว่าใจของเรานั้นก็ต้องรักษาเช่นกัน มีกาย ใจจึงอยู่ได้  มีใจ กายจึงอยู่ได้  อย่ามองว่าอาจารย์เป็นผู้วิเศษ รักษาโรคภัย  อยากจะให้โรคภัยทางกายหายไม่สู้ตัวเราเองนั้นหายป่วยทางด้านจิตใจดีกว่า  คนทั่วไปให้ความสำคัญกับการป่วยทางกายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจริงๆ แล้วใจที่ป่วยนั้นย่อมหนักกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นโรคที่เรามองไม่เห็น ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่เมื่อย แต่ว่าเต็มไปด้วยพิษใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญคือบำเพ็ญฟื้นฟูใจ ฟื้นฟูให้เรานั้นเป็นปกติดี  ทุกๆ วันนี้ใจของเรายังไม่เป็นปกติดี เมื่อใจป่วยกายก็ป่วยด้วย  เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องรักษาให้หายป่วยทั้งกายทั้งใจ
อาจารย์เห็นว่าเราทุกคนนั้นยังเด็กอยู่ บำเพ็ญนั้นเป็นเด็กก็ดี เพราะว่าเด็กนั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์ใส ไม่เคยคิดร้ายต่อผู้ใด ในธรรมะต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้นสามารถหาข้อดีออกมาได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่จุดไหน ส่วนไหน  ศิษย์ของอาจารย์นั้นให้หาข้อดีออกมาจากธรรมะต่างๆ  ธรรมะคือธรรมชาติ หากว่าศิษย์เข้าใจจริงๆ แล้วธรรมชาติอยู่ที่ไหน หลักเหตุผลนั้นมีไว้เพื่อที่ให้ความยุติธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์คิดอย่างไม่มีเหตุผล ยามนั้นก็ไกลธรรมะ  เพราะว่าธรรมะคือธรรมชาติ คือความเป็นกลาง  ศิษย์ของอาจารย์ต่างหากที่เป็นคนห่างไกลความเป็นกลาง เรานั้นมานั่งฟังธรรมะ ควรจะมีความเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง  การเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริงนั้น พิจารณาจากสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลที่สุด อาจารย์นั้นไม่บังคับให้ศิษย์ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่บอกให้ศิษย์ต้องทำสิ่งนี้ ไม่ทำสิ่งนี้  ทุกๆ อย่างขึ้นอยู่กับมโนธรรมสำนึกของศิษย์เอง เมื่อศิษย์ทำได้มีความเป็นกลางที่สุด ยามนั้นศิษย์ก็เป็นคนที่มีธรรมะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะกลัวอะไรว่าคนอื่นจะบังคับเราให้ทำอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในแต่ละคนนั้นจะหาผู้ที่เข้าใจธรรมะจริงๆ นั้นหาได้ยาก  ไม่ใช่ว่าคนๆ นี้บำเพ็ญธรรมะมาก่อนแล้ว เขาก็มีความเข้าใจธรรมะมากกว่าเรา เขาเข้าใจจริงมากกว่าเรา มองตรงนั้นหรือเปล่า  ศิษย์ของอาจารย์ต้องมองสิ่งที่เป็นสัจธรรมมากที่สุด จึงได้ชื่อว่าเป็นคนที่บำเพ็ญที่ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ยามอยากจะได้สิ่งใดที่ดีขึ้น มีค่ามากขึ้น ก็ให้ทบทวนสิ่งนั้น แก้ไขสิ่งที่บกพร่องที่อยู่ในสิ่งนั้นๆ เราก็จะได้สิ่งที่ดีขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกให้ศิษย์เอาเงินมาเพื่อที่จะบำรุงสิ่งต่างๆ หรือเปล่า (ไม่)  อย่างนี้เท่ากับว่าอาจารย์ก็ไม่ได้บอกให้ศิษย์ทำสิ่งใดที่เกินไปกว่ากำลังของศิษย์เลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมฟังให้ดีๆ  ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนสุดท้ายของปีนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ยังไม่ดีก็ทบทวนแล้วก็แก้ไข สิ่งใดที่ดีอยู่แล้วก็ทบทวนแล้วก็ทำให้ดียิ่งขึ้นได้หรือเปล่า (ได้)  สิ่งใดที่รู้อยู่แล้วแต่ยังทำไม่ได้ หรือคิดว่าทำไม่ได้ก็ลองแก้ไขดู  เมื่อศิษย์เป็นคนใหม่แล้ว คนใหม่คนนี้จะเป็นคนช่วยโลกดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าอาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์ทบทวนมากที่สุด อยากให้ศิษย์แก้ไขมากที่สุด ไม่ใช่เป็นการบีบบังคับหรือว่าให้ทำอะไรเกินกำลัง แต่ว่าให้รู้ที่จะทบทวนแก้ไข  เมื่อแก้ไขได้ ฟื้นฟูได้ ก็เป็นพุทธะ
ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ศิษย์อยู่ด้วยกันกับอาจารย์ อย่างน้อยอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า การบำเพ็ญนั้นควรบำเพ็ญอย่างไรโดยคร่าวๆ  ที่เหลือนั้นคงจะให้ศิษย์กลับไปศึกษาเอง แน่นอนว่าอาจารย์นั้นไม่สามารถทำให้ศิษย์เข้าใจได้ทุกคน  คนในที่นี้นั้นมีหลายระดับความรู้ ก็ไม่สามารถชี้เฉพาะเจาะจงให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้าใจได้  เมื่ออีกคนเข้าใจ อีกคนก็จะไม่เข้าใจ  เพราะฉะนั้น ที่ดีที่สุดสำหรับตนเองก็คือการที่เรากลับไปศึกษาเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าลืมว่าเรานั้นไม่ได้มาคนเดียว บุญของเรานั้นไม่ใช่เป็นบุญของเราคนเดียว เป็นบุญของบรรพชนด้วย  ศิษย์จะทำอย่างไรให้ดีที่สุด ให้บุญนั้นถึงมือบรรพชนด้วย  อย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ แค่มาฟังธรรมะสองวันก็จบไป เรือนั้นมีไว้ให้พาย มีไว้ให้นั่ง และจอดรับศิษย์ทุกคน  ถ้าหากศิษย์เองเป็นคนที่ไม่ใส่ใจ เรือลำนี้แล่นขึ้นไปสู่เบื้องบนโดยว่างเปล่า ไม่มีคนที่จะนั่งไปด้วย ย่อมจะถือว่าเรือลำนั้นเป็นเรือที่ไม่มีใครสนใจ เราต้องดูว่าคนที่เป็นเจ้าของสถานธรรมนั้นได้ทำเต็มที่หรือยัง  เราต้องดูตัวเราซึ่งเป็นบุคลากร ซึ่งเป็นคนใหม่นั้นได้สนใจหรือเปล่า  อย่ามัวรอให้คนอื่นเขามาตาม มาเรียกถึงจะไปสถานธรรม ให้ฝึกความกระตือรือร้นไว้เป็นพื้นฐานให้กับตนเอง  ถ้ามีเวลาน้อยก็สละน้อย ถ้ามีเวลามากก็สละมาก  ความลำบากนั้นเป็นธรรมดาของคน ถ้าไม่เจอความลำบากเลยย่อมไม่รู้ว่าความสบายเป็นอย่างไร คนที่ทำงานมาเหนื่อยทั้งวันนั้น พอได้พักผ่อน ได้ล้มตัวลงนอน ก็ย่อมรู้สึกว่าเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ทำงานไม่หนักพอ กลางคืนอาจจะนอนไม่หลับ  เพราะฉะนั้นอยากจะได้มรรคผล เราก็จะต้องเหนื่อยพอ กุศลเราก็จะต้องมากพอ  อาจารย์อยากจะถามศิษย์ทุกคนในตอนนี้ว่าเชื่อหรือเปล่าว่าตนเองนั้นสามารถที่จะพ้นขึ้นสู่นิพพานได้ (เชื่อ)  ถ้าเชื่อแล้วขอให้ศิษย์ไปพยายาม ถ้าไม่เชื่อขอให้ศึกษาต่อไป
ในวันนี้คงพบกันเพียงเท่านี้ก่อน อย่าได้แบกความสงสัย ความสับสน ความลังเล ความไม่เข้าใจ มาเป็นสิ่งที่บั่นทอนตัวเราเอง  คนทุกคนก็เป็นคนดีหมด แต่คนดีที่สามารถบรรลุคืนนั้นมีกี่คน  เป็นเทวดาก็สำเร็จได้ เพราะเป็นคนดี  เป็นมนุษย์คนก็ยกย่องว่าเป็นคนดี แต่ตัวเราย่อมรู้ตัวเราเองมากที่สุด คนที่ติดหลงในคำชม คำยกยอ ไม่ฟังคำติเตียนจากใคร  คนๆ นั้นจะยังไม่เจริญ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  คนเดินขึ้นไปยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ให้รู้จักหาทางให้กับตนเอง ถ้าจะมีทั้งทางธรรมและทางโลกอยู่ด้วยกัน ก็ขอให้มีอย่างสมดุล  มีอย่างพอดี เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ชั้นนี้เป็นชั้นประชุมธรรมที่สุดท้ายของปีแล้ว ใจหนึ่งอยากจะอวยพรให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนประสบแต่ความโชคดี แต่อย่างที่อาจารย์ว่าดีมากเกินไปก็เป็นภัยกับศิษย์เอง  มนุษย์เกิดมาย่อมต้องมีโรคภัย  เพราะฉะนั้นความลำบากจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นบ้าง อย่ามัวไปท้อกับสิ่งเหล่านั้น  มีสิ่งเหล่านั้นจึงสอนให้รู้คุณค่าของการเป็นคน  ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้าย ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนกลับมาสถานธรรม จะมาศึกษาหรือว่าจะมาเพียงแค่ยืนดู  อาจารย์ก็ยังดีใจ ไม่อยากจะเห็นศิษย์ของอาจารย์หายไปต่อหน้าต่อตา  จากวันนี้ไปใครที่คิดว่าตนเองพอแก้ไขอะไรได้ ก็ไปเริ่มแก้ไข




อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา