แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กุศลกรรมสิบ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กุศลกรรมสิบ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

2557-03-29-30 สถานธรรมหมิงฮุย , ลพบุรี


西元二○ 四 年 歲次甲午 二月 二十九日    仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

    ดีหรือร้ายได้หรือเสียสุขหรือทุกข์    ก็เพราะตัวเราเคล้าคลุกไปทุกสิ่ง
ถอนตัวเราจึงมองเห็นความแท้จริง    เพราะทุกสิ่งล้วนแค่นั้นเท่านั้นเอง
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบประณตน้อม
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    การเวียนว่ายเมื่อเชื่อควรบำเพ็ญธรรม    กฎแห่งกรรมเมื่อเชื่อละไฟฟอน
บาปอกุศลเชื่อมั่นว่าควรลงกลอน    อย่าอาวรณ์ต้องละให้แท้จริงเทียว
ละกิเลสต้องละจริงจริงอย่าถวิล    เปลี่ยนเคยชินเปลี่ยนควรไม่ควรเหลียว
ความมุ่งมั่นความตั้งใจกว่าเขาเขียว    คนเด็ดเดี่ยววางใจใจเบาใสเย็น
กลับคืนว่างเพราะแต่เดิมไม่มี    ในวันนี้บำเพ็ญธรรมละความเห็น
ลดอัตตาสู่การละการอยู่เป็น    ยังชีวิตหยุดยอมเย็นที่พึ่งพา
โลกนี้ใดเป็นจริงแท้พินิจตรอง    ทรัพย์สิ่งของละไปไม่ตามหา
โมหะจะต้องการกว่ายิ่งยิ่งกว่า    คุณค่ากับมีค่าถ่องแท้หรือยัง
ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงไม่คงอยู่    คนต่อสู้แย่งเอาไม่รู้ห่าง
ทำเพื่ออยู่หรือเพื่อธรรมนั้นต่าง    ที่กำลังทำอยู่นั้นคือสิ่งใด

            ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ถ้าในหัวใจเราไม่มีการแบ่งแยกว่าสิ่งใดที่เราเรียกว่าชอบ สิ่งใดที่เรียกว่าไม่ชอบ สิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ สิ่งใดที่เรียกว่าสุข นั่งอยู่ตรงนี้ก็คงไม่เมื่อย ไม่เบื่อ ไม่ทุกข์จริงไหม (จริง)  ถ้าเราอยู่ตรงนี้แต่หัวใจของเราไม่มีกรอบ ไม่มีความเคยชิน ไม่มีความยึดติดว่าทำแบบนี้เรียกว่าสุข ทำแบบนี้เรียกว่าทุกข์ ไม่ว่าเจออะไรผ่านเข้ามาในชีวิตจะมีอะไรเรียกว่าสุข จะมีอะไรเรียกว่าทุกข์ไหม (ไม่มี)  หรือพูดง่ายๆ ถ้าหัวใจของเราไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความเคยชิน ไม่มีลักษณะของตัวตน แต่เป็นหัวใจที่กว้าง ถ้าอะไรผ่านเข้ามามันจะเกิดการกระทบแล้วเรียกว่าสุข ทุกข์ ดี ร้าย ได้ เสียไหม (ไม่)  เพราะใจมันกว้าง ใจมันไม่มีกรอบ ไม่มีการยึดว่าแบบนี้ได้ แบบนี้ไม่ได้ ไม่มีแบ่งแยกว่าอันนี้ทุกข์ อันนี้สุข แต่ใจเป็นความกว้างใหญ่หรือที่เรียกว่าถ้าใจเป็นนภาฟ้ากว้าง อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะดับไป ก็ไม่ทุกข์ ก็ไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่ที่เราต้องทุกข์ ต้องสุข เป็นเพราะว่าเรายึดติดกับความรู้สึก เรายึดติดกับความเคยชิน เรายึดติดกับความจำได้หมายรู้ที่เรียกว่าตัวตน จริงไหม
ถ้าถามว่าใจเราเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าเป็นคนขี้น้อยใจ เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนเช่นนั้นเป็นคนเช่นนี้ เมื่อใจมีกรอบมีขอบมีเขต เวลาโดนอะไรกระทบก็เลยเจ็บปวดและเป็นทุกข์ แต่ถ้าใจเรากว้างหาที่สุดไม่ได้ หาคำจำกัดความไม่ได้ แล้วอะไรเรียกว่าทุกข์ จริงไหม (จริง)  เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก)  แต่มนุษย์ชอบยึดมั่นถือมั่น จำกัดขอบเขตความรักความสุข แบ่งแยกว่าแบบนี้ฉันไม่เอา จะต้องเป็นแค่นี้ เดี๋ยวนี้ เท่านี้ แล้วเราก็ต้องทุกข์เพราะคำว่าแค่นี้ เดี๋ยวนี้ แบบนี้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ไม่มีคำว่าแค่นี้ แบบนี้ เดี๋ยวนี้ หรือฉันก็เป็นคนอย่างนี้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ยิ่งตอกย้ำว่าฉันเป็นคนแบบนี้ เรายิ่งตีกรอบให้ตัวเองแคบมากเท่าไหร่ เราก็ทุกข์ง่ายเท่านั้น เรายิ่งตีกรอบใจเราให้สุขน้อยเท่าไหร่ เราก็ทุกข์มากเท่านั้น ฉะนั้นเปิดใจกว้างๆ ดีกว่าไหม (ดี)  แล้วตอนนี้รู้สึกทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จริงหรือ (จริง)  ฉะนั้นถ้าใจกว้างดั่งนภา ถ้าใจกว้างดั่งผืนธารา อะไรจะทำให้เราทุกข์ได้ แม้คนจะแช่งชักหักกระดูกก็ตาม เพราะไม่มีตัวเราอยู่ในที่ใด จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่
“ดีหรือร้ายได้หรือเสียสุขหรือทุกข์    ก็เพราะตัวเราเคล้าคลุกไปทุกสิ่ง
ถอนตัวเราจึงมองเห็นความแท้จริง    เพราะทุกสิ่งล้วนแค่นั้นเท่านั้นเอง”
ลองดึงตัวเราออก มีอะไรเรียกว่าได้ มีอะไรเรียกว่าเสีย ดึงตัวเราออกมีอะไรเรียกว่าสูง มีอะไรเรียกว่าต่ำ แต่เพราะเราเอาตัวเราเข้าไปใส่ แล้วในตัวเราก็มีความยึดมั่นถือมั่น แบบนี้เรียกว่าสูงส่ง แบบนี้เรียกว่าต่ำเตี้ย แบบนี้เรียกว่าดี แบบนี้เรียกว่าไม่ดี แต่จริงๆ แล้วในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วก็ไม่มีใครดีที่สุด แต่เราต้องมองให้กว้าง กว้างแค่นี้ไหม ใช่ไหม
เวลาเรามองเรามองกว้างแค่ไหน (ไม่กว้าง)  เรายังเลือกมองแต่สิ่งสวยๆ ดีๆ ที่ไม่สวยไม่ดีก็เลือกที่จะไม่มอง ไม่สบายตาไม่มองใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงสุขทุกข์ ทุกข์สุข ทุกสิ่งถ้าเราถอนตัวเราออกมา อะไรจะสุข อะไรจะทุกข์ จริงไหม (จริง)  ตอนนี้อยากรู้จักเราหรือยัง (อยาก)  ความอยากก็เป็นทุกข์นะ เราอยู่ในโลกบางครั้งยึดติดคำว่าต้องได้มากไปหรือเปล่า ทำอะไรก็ต้องได้ทำ อะไรก็ต้องดี พอไม่ได้ไม่ดีก็เลย (ทุกข์)  พอไม่ได้บ้างไม่ดีบ้างทำให้รู้ใจตัวเอง
ถ้าไม่ยึดมั่นสำคัญมั่นหมาย ติดรูปลักษณ์จนเกินไปเราก็จะพบธรรมะที่แท้จริง แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักยึดติดสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่ตัวเองรู้ เราเคยมองไหมว่าต้นเหตุแห่งทุกข์ล้วนเกิดจากใจ ดังคำปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “เมื่อใจว่างทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นของว่างโดยฉับพลัน แต่เมื่อใจวุ่นแม้ทุกสิ่งจะนิ่งเงียบงันก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายได้ในทันที” ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดีงาม และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราเลวร้าย ประโยคนี้เราพูดบ่อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ย้ำบ่อย เหมือนเวลาเรารู้สึกดีโดนว่าเรายังยิ้มได้ แต่ถ้าเวลาเรารู้สึกแย่โดนชมเรายังไม่เชื่อใจเลย ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ทุกข์จึงต้องค้นหาต้นเหตุ แล้วต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจากใจท่านเอง ปราชญ์โบราณกล่าวว่า “หนีความวุ่นวาย หนีสิ่งแวดล้อมไม่สู้หนีใจตัวเอง” เคยไหม เวลาเราทุกข์ใจ เราหนีไปทั่ว แต่สิ่งที่หนีไม่พ้นคือ (ใจตัวเอง)  ใจที่ไม่ยอมหยุดคิดสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยู่ในโลกนี้ขอให้เราไม่ทุกข์ ขอให้เราไม่พลัดพราก ขอให้เราไม่สูญเสีย ขอให้เราไม่เจ็บป่วย ขอให้เราไม่โดนนินทา ขอให้เราไม่ถูกทำร้าย ขอให้เราไม่โดนเข้าใจผิด ขอให้เราไม่โดนโกงได้ไหม (ไม่ได้)  ตอบว่าไม่ได้ แล้วถึงเวลาขอกันทั้งนั้นเลย ขอให้ลูกเป็นคนดี ไม่ทำตัวประพฤติผิดได้ไหม (ไม่ได้)  ตอบเองนะว่าไม่ได้ แล้วขอไหม (ขอ)  อย่างนั้นถ้าเอาใหม่ ขอให้ไม่เจ็บป่วย ขอให้ไม่ทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่แน่นะ ขอให้ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ขอให้ชีวิตนี้ไม่ต้องสูญเสียอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเวลาเจอพระขออะไรดี ขอพระไม่สู้ขอตัวเราเอง วิงวอนพระไม่สู้วิงวอนตัวเอง เอาเวลาไปขอพระ สู้ขอให้ตัวเองเข้มแข็งรับให้ได้ทุกเรื่องไม่ดีกว่าหรือ (ดี)  ฉะนั้นเวลาเจอพระ ขอให้หนูเข้มแข็ง ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้หนูรับได้ ทนได้ สู้ไหว ผ่านไปไหว อะไรดีกว่ากัน (ขอตัวเอง)  ขอให้หนูรับให้ได้ในเรื่องที่หนูไม่อยากเจอที่สุด ขอให้เข้มแข็ง ผ่านไปกับเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ดีที่สุด โดยไม่ล้มคว่ำไปเสียก่อน นี่คือสิ่งที่ท่านกราบพระแล้วควรจะขอมากที่สุด ไม่ใช่ขอให้รวย ขอให้ไม่เจ็บ จริงไหม (จริง) 
อย่างนั้นเมื่อเราขอแล้ว เจ็บก็ได้ เสียก็ได้ พลัดพรากก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ปฏิเสธมัน แล้วพอเจอเราต้องผ่านให้ได้ แต่ถ้าเราเริ่มต้นปฏิเสธก็แปลว่าเราไม่สู้ ยอมแพ้ ฉะนั้นเมื่อไม่สู้ ยอมแพ้ พอเจอก็รับไม่ไหว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าท่านผ่านด่านนี้ได้ เดี๋ยวเราจะบอกด่านอีกด่านหนึ่ง ทุกข์ได้ไหม เจ็บได้ไหม สูญเสียได้ไหม จนได้ไหม (ได้) 
มนุษย์เราแต่เดิมมาเราไม่มี แล้วถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ความไม่มี รวยไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดก็ต้องปล่อยวาง มีน้อยๆ ปล่อยก็ง่าย แปลกนะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังอดใจไม่ไหว ด่านแรกยังผ่านไม่ได้เลยแล้วจะไปด่านที่สองได้หรือ เราจะบอกวิธีแก้ด่านที่สองของเราไม่ยาก เห็นพัดนี้ไหม ท่านคิดว่ามีอะไรบกพร่องมีหรือไม่ (มี)  ส่วนใหญ่เริ่มเห็นข้อบกพร่อง ถามว่าถ้ามีพัดอันนี้แล้วเวลากางออก มีอยู่ซี่หนึ่งที่ติดอยู่กางไม่เออก เอาไหม (เอา)  วันนี้ท่านอาจอยากได้พัดแต่ติดตรงที่ว่าพัดมีหนึ่งซี่กางไม่ออก ทำให้มองไม่เห็นตัวหนังสือที่ซ่อนอยู่จะเอาไหม (เอา)  พอเป็นพัดของเราก็อยากได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเราจะซื้ออะไรสักอย่างหนึ่งแล้วมีตำหนิหรือข้อผิดพลาดจะยังต้องการอยู่อีกหรือเปล่า ไม่เอาทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  นั่นแหละเป็นนิสัยที่น่ากลัวของมนุษย์ ฉะนั้นเจอคนๆ หนึ่งหรือเจอเรื่องหนึ่งเราเลยผ่านไปไม่รอด เวลาเจอใครคนหนึ่งเขาขัดตานิดนึงเราเลยรู้สึกว่าไปไม่รอดใช่ไหม (ใช่) 
เราจะบอกท่านว่าอย่าปล่อยให้ข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวทำลายความดีงามของสิ่งๆ หนึ่งทั้งหมด จากตัวอย่างเรื่องพัด ต้องการซื้อพัดเพื่อคลายร้อน แต่เพียงติดอยู่ซี่เดียวแล้วไม่ซื้อเลย แล้วมานั่งทนร้อน เคยไหมเกลียดคนบางคน ไม่ให้เขามาทำงานด้วยกันเพราะเกลียดเขา แล้วก็กลับมาทุกข์เอง เพราะอะไร เพราะรับไม่ได้เพียงแค่เขาไม่ดีข้อเดียว จึงทำลายความดีงามทั้งหมด เหมือนกันเวลาท่านทุกข์อกหักครั้งเดียวถึงกับคิดตายกันเลย  แล้วคุณค่าทั้งชีวิตที่มีไม่เหลือแล้วหรือ จริงไหม (จริง)  เคยรวยมาก่อนล้มละลายทีเดียว ฆ่าตัวตายเลย อย่างนั้นแปลว่าชีวิตทั้งชีวิตคุณค่ามีอยู่แค่กองเงินกองนี้ ถ้ากองเงินกองนี้หมดตายลูกเดียว คุณค่าชีวิตของเราทั้งชีวิตคือเขาคนเดียว เขาไม่รักเรา ตายใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าเพียงเพราะทุกข์อย่างเดียวแล้วปลิดชีวิต อย่าเพียงเพราะทุกข์อย่างเดียวแล้วมีสุขไม่ได้ อย่าเพียงเพราะผิดพลาดครั้งเดียวแล้วอยู่ไม่รอด อย่าเพียงเพราะไม่ชอบเขาเหม็นขี้หน้าจึงไม่คิดคบหาและอยู่ร่วม อย่าเพียงเพราะเสียงๆ เดียวทำให้สมาธิหาย ใช่ไหม (ใช่)
ไปสองด่านพ้นไหม ส่วนใหญ่พอเราติดอะไรเขานิดเดียวเราก็มองไม่พ้นแล้ว พอไม่ชอบนิดเดียวสิ่งดีๆที่เหลือ หาเจอไหม (ไม่เจอ)  น่าเสียดายยิ่งนัก บางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด แต่ถึงเวลาก็ต้องมีสิ่งที่พร่องให้เห็นจนได้ เราถามนะ ท่านเคยไหม พอถึงที่สุดแล้วขอให้เหลือดีสักหนึ่งแม้ทั้งร้อยจะเลวร้ายก็ตาม เคยเป็นไหม (เคย)  และส่วนใหญ่จะเป็นใครหรือ คนที่เรารักใช่หรือไม่ (ใช่)  มองตอนแรกเราว่า ทั้งร้อยนะมีดีทั้งร้อยเลย หาเสียไม่ค่อยเจอ แต่พออยู่ไปนานๆ เป็นอย่างไร ทั้งร้อยดีนั้นเหมือนเสียหมดเลย กว่าจะหาดีได้นี่หลับตาดูเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฝ่ายหญิงนึกถึงสามี ถูกหรือไม่ (ถูก)  และผลสุดท้ายก็ต้องอยู่กับสิ่งที่แค่เหลือดีอย่างเดียว ก็เอานะ อย่างน้อยก็ยังมีดีสักหนึ่งอย่างใช่ไหม
แล้วทำไมกับคนอื่นเขามีดีเป็นร้อย เสียอย่างเดียวไม่เอาแล้วล่ะ ฉะนั้นถ้ามองให้ดีเป็นเพราะใจเราหรือไม่ ถ้าเราไม่ติดจนเกินไปทุกเรื่องทุกราวก็มีคุณค่า ทุกคนก็มีข้อดี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็คงไม่ทุกข์ ถูกหรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นด่านที่สาม ลองไปกับเราดูไหม ไหวไหม (ไหว)
ด่านที่สาม เคยได้ยินไหมว่า “เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้ใจสูญเสีย เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้ใจเสียศูนย์” เป็นคำพูดที่มนุษย์พูด ทำไมจึงพูดแบบนี้ กายเป็นของตาย แต่จิตเดิมแท้เป็นของเป็น เมื่อไหร่ที่มนุษย์ผูกพันตัวตนอยู่กับกายก็หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดก็คือความสูญสลาย หรือว่างเปล่า แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์ค้นพบจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี้อยู่เหนือกฎแห่งไตรลักษณ์ อยู่เหนือกฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เอาตัวกายเป็นตัวตน มนุษย์จะหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เอาจิตเดิมแท้คือตัวจริง เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ ยากไปไหม (ไม่ยาก)  ถ้าไม่ยากเราต่อนะ
อย่างนั้นมีคำพูดคำหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ถือกายเป็นตัวตนมากกว่าจิตเดิมแท้ กายนี้เราควรเอาเป็นของตัวตนไหม ควรยึดมั่นถือมั่นไหม (ไม่ควร)  พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน” แต่เรายึดไม่ยึด (ไม่ยึด, ยึด)  นี่คือเรา นี่คือของเรา นี่คือตัวฉัน ของฉัน ฉะนั้นพอกายเจ็บใจก็เจ็บ พอกายป่วยใจก็ป่วย พอกายทุกข์ใจก็ทุกข์ แล้วควรหรือที่จะยึดเอากายเป็นตัวตน เพราะกายหนีไม่พ้นความเที่ยงแท้ที่เรียกว่าสัจธรรม หรือเรียกว่ากฎแห่งไตรลักษณ์ อย่างนั้นเราควรเอาอะไรเป็นตัวเป็นตนดีล่ะ แล้วจิตอยู่ตรงไหน (ตรงใจ)  จริงๆ ใจยังมีความเป็นตัวตนอยู่ ไม่เหมือนจิต จิตนั้นคือ “ภาวะที่ได้รับการชี้หนึ่งจุด”  นั่นคือจิตตรงนั้น แต่จิตตรงนั้นที่มนุษย์หาไม่เจอแล้วเอามาเป็นตัวตนไม่ได้ แล้วเอามาเป็นที่พึ่งไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตเดิมแท้ไม่มีรูปลักษณ์ จิตเดิมแท้มีอยู่ในตัวตนเมื่อเข้ามาอยู่ในกายทำให้เรียกว่าชีวิต ถ้าจิตออกจากกายทำให้กายนี้ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อจิตเข้ามาอยู่ตัวเรา เราเคยนำจิตนี้มาเป็นที่พึ่งของชีวิตไหม (ไม่)  เรามักจะยึดกายเป็นที่พึ่ง พอกายเจ็บ ใจก็เจ็บ ตอนนี้เรากำลังจะบอกกับท่านว่า เมื่อท่านได้รับหนึ่งจุดชี้ กายเป็นสิ่งที่เราคุมไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ในกฎแห่งสัจธรรมที่ว่าเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ฉะนั้นอย่ายึดกายเป็นตัวตน ถ้ายึดกายเป็นตัวตนท่านจะทุกข์ไม่จบสิ้น แต่จงยึดจิตเป็นตัวตนเดิมแท้ เพราะจิตอยู่เหนือกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง แล้วจิตแบบไหนที่อยู่ในตัวเราแล้วทำให้เราพ้นทุกข์มานานแล้ว แต่เราไม่เคยนำจิตมาเป็นตัวตน เรายึดมั่นแต่กายแล้วก็ใจ ใจที่เพิ่งมาสร้างทีหลังหลังจากอยู่ในกายนี้ แต่จิตเป็นสิ่งเดิมแท้ไม่มีลักษณะนิสัย เป็นความว่างไม่มีรูปลักษณ์แต่เมื่ออยู่ในตัวตน จึงเรียกว่า “ชีวิต” ถ้าออกจากตัวตนเรียกว่า“ความตาย” กายตัวนี้เรียกว่าความตาย ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้ามนุษย์หาจิตเดิมแท้เจอ มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ในทุกๆ วัน ศิษย์เจอไหม (เจอแล้ว)  แต่ไม่เคยอยู่กับจิต ชีวิตอยู่แต่กับใจแล้วก็กาย กายที่เปลี่ยนไปแบบนั้นแบบนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอยากพ้นทุกข์หาจิตให้เจอแล้วอยู่กับจิตให้ได้ หรือที่พระพุทธศาสนาสอนเราว่า “แค่ตื่นรู้ก็พ้นทุกข์” แล้วตื่นรู้อะไร ไม่ยากเราถามท่านนะ ระหว่างดอกบัวกับกุหลาบท่านว่าอะไรคือธรรมะ (ดอกบัว, กุหลาบ)  ถ้าอย่างนั้นถามต่อยังไม่เฉลย คนหนึ่งสวดมนต์แต่คนหนึ่งกำลังดุว่า อะไรคือธรรมะ (สวดมนต์)  ทำไมเราจึงมองไม่เห็นธรรม เราเอาใจนำหน้า เอาตัวตนนำหน้า เราจึงมองไม่เห็นธรรม เมื่อมองไม่เห็นธรรมเราจึงไม่สามารถหันมาพบจิตเดิมแท้ได้ ย้อนมาคำถามที่ว่าอะไรคือธรรมะ “ไม่ยึดติดให้ความสำคัญในสิ่งสมมติ” ใบ้ขนาดนี้แล้วนะ ระหว่างดอกบัวกับกุหลาบ ตอบว่าทั้งสองสิ่งก็คือธรรมะแต่สิ่งหนึ่งกลายเป็นโลกทันทีและสิ่งหนึ่งกลายเป็นธรรมทันทีเพราะใจติดยึด แต่ทั้งสองจะกลายเป็นธรรมทันทีถ้าว่างเปล่าจากหัวใจที่ติดยึด ถูกหรือไม่ (ถูก) 
มนุษย์มักมองว่าดอกบัวคือตัวแทนของธรรม ตัวแทนของความสงบ ส่วนกุหลาบคือความเป็นโลกแท้ๆ เลย เมื่อไรที่มีคำว่าดีใจ เสียใจ ไม่เป็นธรรมะแล้วนะ ไม่เป็นตัวตนแค่นั้นแล้วนะแต่กลับกลายเป็นกิเลสทันที เห็นไหมว่าแค่ดอกบัวกับดอกกุหลาบ แต่ถ้าเราไม่ยึดติดสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่เราเรียนรู้ เราจะมองเห็นความเป็นจริงแท้ ก็ดอกบัว ก็ดอกกุหลาบ แต่ถ้าเมื่อไรเรายึดติดสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่เขากำหนดกัน ได้รับดอกกุหลาบก็ยิ้มได้ ดอกบัวก็รู้สึกไม่อยากรับ ใช่ไหม เมื่อมีได้ มีเสีย มีชอบ มีชัง จึงกลับกลายเป็นไม่ใช่ธรรมแต่กลายเป็นกิเลส แต่ถ้าเมื่อไรมองเห็นแค่นั้น เท่านั้น เช่นนั้น ดอกกุหลาบหรือดอกบัวก็คือธรรม ว่าไม่ได้ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้นจึงกลายเป็นกิเลสฆ่าเราได้ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเป็นนายเหนือกิเลสหรือเราตกเป็นทาสกิเลส อยู่ที่ว่าเราใช้ใจหรือกายหรือจิต แล้วจะเข้าถึงจิตได้อย่างไร ง่ายๆ เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารู้ นั่นแหละท่านกำลังอยู่กับจิต จิตที่แม้จะได้ดอกบัวในวันวาเลนไทน์ก็ไม่ทุกข์ แล้วจิตที่ได้ดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์ก็ไม่ยึดติดสุข ธรรมะคืออะไรเราขอไม่กำหนด แต่ธรรมะคือสิ่งที่ไม่ใช่ยึดดีเกลียดเลวร้าย แต่ธรรมะคือสิ่งที่มองเห็นความเป็นจริงมากกว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสียในความคิดหรือในใจที่เรายึด พอเข้าใจไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเห็นหรือยังอะไรธรรม อะไรกิเลส อะไรใจ อะไรจิต ฉะนั้นขอแค่เพียงท่านมีสติตื่นรู้ทุกขณะที่เกิดขึ้น ไม่หลงไปกับดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข โดยไม่เอาตัวตนเองไปร่วม ทุกครั้งที่โลกนี้วุ่นวาย ทุกครั้งที่โลกนี้สับสนเพราะมนุษย์เอาตัวตนไปวัดทุกๆ สิ่งในโลก จริงไหม (จริง)
เหมือนเราถามท่านนะ เราสูงหรือเตี้ย จะมองแบบใช้ใจมองหรือใช้จิตมอง (ใช้จิตมอง)  แล้วรู้ไหมว่าถ้าเราใช้จิตมอง เราจะอยู่ร่วมกันโดยไม่ก่อเวร ก่อภัย ฉะนั้นถ้าเราใช้จิตมอง จิตจะทำให้เราก้าวข้ามพ้นทุกข์และพ้นการเวียนว่ายและก่อเวรก่อกรรมกับคนได้ ฉะนั้นสูงหรือเตี้ยหรือถ้าพูดง่ายๆ “ไม่รู้” ใช่ไหม (ใช่)  อย่าพยายามรู้ทุกเรื่อง อย่าพยายามมีความคิดกับทุกๆ คน เพราะพยายามจะไปพูดให้เขาคิด พูดให้เขารู้ นั่นแหละเรากำลังหาเรื่องทุกข์ ฉะนั้นบางครั้ง “ไม่รู้” ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าบอกว่า ฉันรู้ๆ แบบนี้ว่าเรียกว่า เตี้ย พูดไปทุกข์ไหม ใครทุกข์ (คนฟัง)  ใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าท่านมองว่าเราเตี้ย เราเดินไปบอกอีกคนหนึ่งว่า เธอๆ เขาว่าฉันเตี้ย ถ้าคนนี้คิดไม่เป็น ใช้ใจมากกว่าใช้จิต เรื่องไม่จบเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจำไว้นะ อยู่ในโลก ใช้ใจหรือใช้จิต ถ้าใช้จิตทุกขณะจะพ้นทุกข์ได้ทุกขณะ นี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญได้ทุกเวลา แค่มีสติตื่นรู้อะไรเกิดขึ้น ใช้ตัวจิตอย่าใช้ตัวใจไปวัดใคร จิตเดิมแท้ที่มองเห็นสรรพสิ่งอย่างจริงแท้ ไม่ใช่สรรพสิ่งแบบยึดมั่น สำคัญมั่นหมาย ยากใช่ไหม เพราะมนุษย์มีสติไม่ได้ตลอดเวลา พุทธะจึงสอนว่า จงใช้คุณธรรมกำกับชีวิต ไปเรื่องคุณธรรมต่อแล้วนะ เมื่อสักครู่พูดเรื่องธรรม ใจ จิต กิเลส ตอนนี้คุณธรรม ทำไมจึงบอกว่าใช้คุณธรรม
ท่านเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม สิ่งใดที่ทำให้ใจบริสุทธิ์ยุติธรรม นั่นเรียกว่า กำลังบำเพ็ญ เมื่อคุณธรรมก่อเกิดหนี้เวรกรรมย่อมได้สะสาง ภพภูมิชาติย่อมถูกตัดลง ฟังเรายากไหม สิ่งใดที่ปฏิบัติดำรงอยู่แล้วทำให้เราบริสุทธิ์ยุติธรรม สิ่งนั้นเรียกว่าคุณธรรม สิ่งใดที่ทำแล้วทำให้เราวิ่งไปตามความเคยชิน แล้วเกิดกิเลส อารมณ์ และตัวตน สิ่งนั้นไม่อาจเรียกว่าคุณธรรมได้ เราไม่กำหนดนะว่าคุณธรรมคืออะไร แต่เราบอกให้เพียงว่า ถ้าปฏิบัติแล้วทำให้เราดำรงซึ่งความถูกต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม เรียกว่าคุณธรรม แล้วเมื่อใดคนใดคนหนึ่งปฏิบัติคุณธรรมจนคุณธรรมก่อเกิดในชีวิตและจิตใจ บาปเวรกรรมเขาจะได้ถูกสะสาง ภพแห่งการเวียนว่ายเขาจะถูกตัดลงทันที เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่สามารถมีสติตื่นรู้ แล้วไม่สามารถปฏิบัติให้ตนเองดำรงอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเบียดเบียน เห็นแก่ตน เอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า อยากตัดภพแห่งการเวียนว่าย ไม่อยากเวียนว่ายในโลกใบนี้หรือโลกอื่น จงรู้จักรักษาทาน ศีล และภาวนา หรือเรียกว่าปัญญา ใช่หรือไม่ มีหลายคนตามเราไม่ทันนะ
หลายครั้งที่ฟังธรรมะมาเยอะ เรามักจะงงว่าธรรมะคืออะไร แล้วธรรมะเกี่ยวอะไรกับคุณธรรม ตอนนี้เราบอกไปแล้วว่าธรรมะคืออะไร แล้วทำไมถึงต้องปฏิบัติธรรม สรุปได้ไหม อย่างนั้นวิธีทดสอบ ระหว่างคนที่มีแต่ให้กับคนที่หวังแต่จะรอรับอย่างเดียว อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (คนที่ให้)  คนที่มีแต่รอขอ ปฏิบัติธรรมไหม เขาไม่ปฏิบัติแต่ทำให้เราต้องปฏิบัติ เขาปฏิบัติทำให้เรากลายเป็นไม่ปฏิบัติ เข้าใจความหมายเราไหม คนที่มีแต่ให้เขาปฏิบัติได้ดี แต่ถ้าเราเอาแต่ยืนรับเราไม่ได้ปฏิบัติ เมื่อเห็นคนให้เรารู้จักให้หรือยัง ไม่ทำใช่ไหม เรามองคนออกแต่อย่าลืมมองตัวเอง เรากำลังให้หรือเรากำลังรอรับ
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าทางสายปราชญ์คือ คุณสัมพันธ์ห้า คุณธรรมแปด ถ้าทางสายพุทธเรียกว่า ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ หรือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ต้องฟื้นฟูใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ทุกคน แต่ไม่ค่อยกระทำกัน ลองดูทางสายปราชญ์ คุณธรรมทั้งแปดมีอยู่ในตัวเราไหม กตัญญูมีไหม (มี)  เห็นใครมีพระคุณต้องตอบแทนคุณ เราตอบแทนคุณทุกคนไหม จริงๆ ทุกคนมีพระคุณต่อเรานะ ไม่มีเขาจะมีเราหรือ โลกหมุนไม่ได้เพียงคนคนเดียว ชีวิตไม่สามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้เพียงเพราะเราคนเดียว อย่าเผลอหลงตัวเอง ต้องขอบคุณทุกๆ คน แล้วก็ต้องขอบคุณสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้เราได้รู้จักคิดด้วย

สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงกล่าวไว้ว่าเพียงมีคุณธรรมหนึ่งข้อ “กตัญญูรู้คุณ” ก็เปรียบได้กับเทพพรหมในแดนสรวง แต่มนุษย์เพียงคุณธรรมข้อเดียวก็ยังทำไม่ครบสมบูรณ์ เราเคยไปแลเหลียวพ่อแม่หรือไม่ มีแต่ดูดำดูดีหัวดำของเราเอง ใช่หรือเปล่า รักไหม (รัก) ห่วงไหม (ห่วง)  ห่วงแต่รักไกลๆ แต่ห่วงห่างๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่ากตัญญูอย่างแท้จริง
คุณธรรมทั้งแปดนอกจากกตัญญูแล้วยังมีซื่อสัตย์สุจริต
ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
1. ซื่อตรง
2. สัตยธรรม
3. สุจริตธรรม
เรามีหรือไม่ ในหัวใจ (มี) โกหกเป็นว่าเล่น เบียดเบียนเป็นนิจศีล แต่ถามจริงๆ ว่าสิ่งนั้นมีอยู่ในใจเราหรือไม่ เรารักคนซื่อตรง เรารักคนซื่อสัตย์ เราชอบคนกตัญญูรู้คุณ เราชอบแล้วเราทำหรือไม่ (ไม่)  เรียกร้องเขาอย่าลืมเรียกร้องตัวเรา ถามหาที่ตัวเขาแต่อย่าลืมถามตัวเราว่ามีครบหรือยัง ถ้าเราดำรงอยู่ในคุณธรรมตลอด ความเป็นตัวตนก็จะหายไป แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ทุกครั้งที่ดำเนินชีวิตมักจะวิ่งไปตามความอยากมากกว่าความถูกต้องชอบธรรม  เมื่อไรที่มนุษย์ยึดกายมากกว่ายึดจิต มนุษย์จึงสามารถทำผิดและชั่วช้าได้อย่างที่ไม่คาดคิด เพียงเพื่อกายตัวนี้เอง โกง โกหก ก็เพื่อกายเพียงอย่างเดียวจริงๆ แล้วกายตัวนี้ไปกับเราไหม แล้วกายตัวนี้นำแต่ทุกข์มาให้เราใช่ไหม แล้วไปคบกายทำไม แล้วทำไมจึงไม่คบจิต ตื่นรู้ได้ด้วยจิต ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์เข้าใจธรรม กิเลสก็ไม่สิ่งที่น่ากลัว เมื่อใดที่มนุษย์มีปัญญาเข้าถึงคุณธรรม กิเลสมีวันจบสิ้นได้แต่กิเลสจะกลายเป็นธรรมะที่จะนำพาให้เรารู้ตื่นในทันที โดยที่ไม่ต้องปล่อยอะไร แต่มันจะเกิดและดับไปเองเพราะไม่มีตัวตนที่ยึดมั่นหมาย
“ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงไม่คงอยู่        คนต่อสู้แย่งเอาไม่รู้ห่าง
ทำเพื่ออยู่หรือเพื่อธรรมนั้นต่าง        ที่กำลังทำอยู่นั้นคือสิ่งใด”
หรือที่ทางสายพุทธเรียกว่าศีลห้า การปฏิบัติเพื่อนำพาตนเองไปในหนทางที่ถูกต้องดีงาม ในศีลนั้นมีธรรมอยู่ ในธรรมนั้นมีศีลอยู่ ไม่ฆ่าสัตว์คือมีเมตตา ไม่ลักทรัพย์คืออะไร ไม่รู้อะไรเลย ใช่หรือไม่ เพราะทุกวันวิ่งวนไปแต่หาเพื่อกายแต่ลืมจิตเดิมแท้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นยิ่งยึดติดกายมากเท่าไหร่ กายก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เราได้รับหนึ่งจุดชี้เพื่อตื่นรู้แล้วมองเห็น เจ็บกายแต่อย่าเจ็บใจ ปวดกายแต่อย่าปวดใจ หนาวร้อนกายได้แต่ใจต้องไม่หนาวร้อน แค่รู้ เราเกิดมาแค่รู้ ตื่นรู้ในความเป็นจริงว่าจิตนั้นอยู่พ้นกายมานานแล้ว แต่เราไม่เคยสังเกต ไม่เคยสงสัยเลยใช่ไหม ฉะนั้นอะไรล่ะที่จะทำให้เรารู้แล้วมีสติ นั่นก็คือดำรงซึ่งคุณธรรมความถูกต้องดีงาม ความถูกต้องดีงามจะทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่าธรรมะ ว่าใดๆ ในโลกล้วนยึดมั่นไม่ได้
ฉะนั้นเราศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาจิตและดำรงอยู่กับจิตที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ แต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่พบจิต ยังปล่อยตัวเองไปตามใจ ตามอารมณ์นั่นก็คือกิเลสและการเวียนว่าย แต่ถ้าเราได้รับหนึ่งจุดชี้และพบจิตแล้ว จิตอยู่เหนือกฎแห่งการเวียนว่าย จิตไม่มีความเป็นตัวตนแต่สภาวะจิตเป็นของว่าง เมื่อไรที่เราหาจิตเจอเมื่อนั้นเราจะพ้นทุกข์ได้ในทุกๆ วัน
ลองกลับไปพิจารณาสิ่งที่เราพูดดูนะ ว่าทุกคนมีจิต จิตที่พ้นทุกข์ จิตที่อยู่เหนือกาย แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ ชอบเอากายไปผูกพันกับใจ แล้วก็วนเวียนอยู่กับทุกข์ พอทุกข์มากๆ ก็เลยต้องใช้คุณธรรมมาเสริมใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วจิตพ้นทุกข์มานานแล้วนะ
แล้วเราจะค้นพบจิตได้อย่างไร มีสติแล้วมองให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอย่าเอาตัวตนไปวัด มองตามเป็นจริงอย่างไม่ยึดมั่น อย่างไม่สำคัญมั่นหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นท่านไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไร เขาเกิดดับตลอดเวลาแล้ว เรากำลังจะปล่อยอะไร กำลังจะวางอะไร ไม่ต้อง แค่เราไม่เอาใจเราไปผูกพัน ไม่เอาใจเราไปเกี่ยวข้อง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอิสระของตัวตนเอง แม้กระทั่งกายอยู่ในอำนาจเราได้ไหม ท่านบอกให้มันไม่เหี่ยวได้ไหม แม้แต่คนที่เรารัก ท่านบอกให้เขาไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่กายที่เราดูแลจนถึงเต็มที่ที่สุด ท่านบอกให้เขาไม่ป่วยได้ไหม อย่างไรก็ต้องป่วย ฉะนั้นจิตตัวเดียวที่จะทำให้เรารู้ จิตที่พ้นจากการยึดมั่นถือมั่น ความจำได้หมายรู้นี้ ขอแค่เพียงมีสติตื่นรู้ อะไรเกิดขึ้น มองอย่างคนที่เข้าใจธรรม แต่ไม่เอาใจตัวเองไปวัด เขาเป็นธรรมดาไหม เขาอยู่ในกฎของธรรมชาติไหม ถ้าเขาอยู่อย่าไปเศร้า เพราะมันคือความจริงที่ทำให้เราได้เห็นธรรม แต่สิ่งสำคัญก็คือเราอยู่กับเขา เราเอาคุณธรรมปฏิบัติกับเขาไหม หรือเราเอาตัวตนปฏิบัติกับเขา หรือเราเอาความยึดมั่นปฏิบัติกับเขา ถ้าเอาความยึดมั่นก็คือความทุกข์ คือกิเลส ไม่ใช่ธรรม แต่ถ้าเราเอาคุณธรรมปฏิบัติกับเขา เขาก็ได้ธรรม เราก็ได้ธรรม เขาก็เห็นธรรม เราก็เห็นธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาความยึดมั่น เธอต้องเป็นอย่างนี้ เธอต้องเป็นอย่างนั้น โลกต้องเป็นแบบนี้ โลกต้องเป็นแบบนั้น นั่นคือตัวตนล้วนๆ เลย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับนักเรียนท่านหนึ่ง)
ไม่ร้องไห้แล้วนะ ทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนมีข้อดี มองให้เห็นธรรม เราสูญเสียแล้วทำไมไม่เอาสิ่งนั้นเป็นประตูให้เราก้าวข้ามทุกข์ เราเจ็บปวดแล้วทำไมไม่เอาสิ่งนั้นมาเป็นบันไดให้เราเหยียบ แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ แต่ทำไมจมอยู่กับทุกข์แล้วทุกข์อีก ใช่ไหม ทำไมเราไม่เอาสิ่งที่เราสูญเสีย สิ่งที่เราเจ็บปวด สิ่งที่เราผิดหวังเป็นบันไดก้าวข้ามให้เราพ้นทุกข์ เป็นเหมือนเทียนที่ทำให้เราไม่มืดบอดแต่ส่องสว่างอย่างเต็มที่ ฟังรู้เรื่องไหม
(ในชั้นประชุมธรรมมีนักเรียนฝ่ายชายท่านหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ)
น่าสงสารเขานะเขาลำบาก เขาฟังภาษาไทยไม่ได้ อย่างน้อยต้อง
ยกย่องความอดทน แม้ฟังไม่รู้เรื่อง เขายังอยู่จนนานขนาดนี้ ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ตัวท่านก็ไม่แพ้กัน ปรบมือให้ตัวเองหน่อย ตั้งใจฟังดีกว่านะ
ถึงเวลาคงต้องไปแล้วนะ มีชีวิตไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตให้เต็มที่ แต่มีชีวิตเพื่อค้นหาธรรม และพาตัวเองให้หลุดพ้น โลกใบนี้ไม่สวยจริงๆ หรอกนะ ถ้ามนุษย์ยังตามหาจิต แล้วอยู่กับจิตตัวเองไม่ได้ จงมีสติตื่นรู้และดำรงอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคนให้ดีนะ และมีโอกาสเราจะได้ไปเจอกันข้างบนดีกว่านะ จิตที่เข้าถึงภาวะแห่งธรรมคือจิตอันบริสุทธิ์ ใส และงดงาม
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    มีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เห็น    ยั้งหยุดก่อนปรุงแต่งเป็นอารมณ์ฉัน
มองเป็นกลางกล้ายอมรับทุกสิ่งกัน    แม้พลิกผันก็ยิ่งแจ้งธรรมแท้ใน
        เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนตอนนี้ยินดีต้อนรับอาจารย์หรือยัง

    อยู่เพื่อลดละ สู้เพื่อลดละ อย่าคิดแค่จะ อาจจะต้องสายไป  เกิดในหัวใจ ตัดที่หัวใจ หากไม่ละจริงใจ มีแต่เพิ่มทุกวัน
* เพิ่มความอยากทำง่ายดาย แต่การลด ทำยากกว่า  ข้ายังอยากดู ศิษย์ลงแรงกว่านี้
** เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละวางโดยแท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ ยิ่งละยิ่งพบปัญญาแท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป มีกิเลสมากมาก การเพียรหลุดพ้นแสนลำบาก  ศิษย์รักต้องพยายามมากกว่านี้  มีความระวัง ให้สติยั้งหยุดใจของตน (ซ้ำ *,**)
*** เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ  ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริงเป็นยิ่งกว่าการละไป
ชื่อเพลง : ลดละวาง
ทำนองเพลง : เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

หมายเหตุ เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายได้มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลดละวาง”
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์รักส่วนใหญ่อยากปฏิบัติธรรมไหม (อยาก)  วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อนำพาชีวิตให้รู้จักเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ถูกหรือไม่ วันนี้มาฟังธรรม อยากปฏิบัติธรรมไหม (อยาก)  อาจารย์ถามหน่อยนะ ทำบุญเพื่ออะไร นั่งสมาธิเพื่ออะไร (ลดละกรรม)  ลดละกรรมนี่ทำบุญหรือว่านั่งสมาธิ (ทั้งสองอย่าง)  ทำบุญเพื่อลดละกรรม ไปเบียดเบียนเอาชีวิตเขามาแล้วไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ลดละกรรมหรือเพิ่มกรรม (เพิ่มกรรม)
การทำทานจะบริสุทธิ์ได้ ก่อนทำก็ต้องบริสุทธิ์ สิ่งที่จะเอามาให้ทาน ก็ต้องบริสุทธิ์ หลังให้ ขณะให้ กำลังให้ทานก็ต้องบริสุทธิ์ทั้งหมด ถ้าเกิดมันบกพร่อง ทานนั้นก็ต้องมีเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ทุกคนอยากปฏิบัติธรรม แต่บางครั้งทางในการปฏิบัติธรรมมันมีหลายทาง ใช่ไหม (ใช่)  อันนั้นก็ดี ใช่ไหม แล้วเราก็รู้ปฏิบัติอะไรมันก็ดี แต่ถ้าเอาแต่ปฏิบัติอย่างเดียวก็เรียกว่าเราทำแต่เปลือกนอกแต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ก็เปล่าประโยชน์ นั่นเรียกว่ากำลังหลงกับการทำหลงกับการปฏิบัติ แล้วหลงไปหลงมาก็ยึด ต้องแบบนี้เท่านั้นเป็นแบบอื่นไม่ได้ แบบนั้นถูกหรือไม่ (ไม่)  เรียกว่าปฏิบัติไหม ปฏิบัติแต่หลงใจหลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรานั่งสมาธิ ทำบุญทำทาน สวดมนต์ ไหว้พระเพื่ออะไร (การนั่งสมาธิคือการกำหนดจิต กำหนดสติ กำหนดใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก)  ที่ตอบมาทั้งหมดคือวิธี แต่ที่ทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร แปลกนะหลงกับวิธีการแต่ลืมไปว่าเราทำเพื่ออะไร อันนี้คือวิธีการปฏิบัติแต่ว่าเราปฏิบัติเพื่ออะไร (เพื่อให้หลุดพ้นเกิดแก่เจ็บตาย) นั่งสมาธิเพื่อให้หลุดพ้น ใช่ไหม (มีส่วน) แปลกนะหลับตานั่งสมาธิทำใจได้อะไรก็ทำใจได้หมด แต่พอลืมตาเท่านั้นแหละ ที่ทำใจได้หายไปหมดเลย จริงๆ แล้วเรานั่งสมาธิคือนั่งเพื่อหาความสงบให้กับใจ เพราะเรารู้สึกว่าโลกนี้มันวุ่นวายเหลือเกิน ใจเรามันวุ่นเหลือเกินอยากหาที่พักใจให้นิ่งๆ บ้าง สงบบ้าง
จุดประสงค์ของการนั่งสมาธิที่ศิษย์เข้าใจคือความสงบ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงในการนั่งสมาธิของพระพุทธองค์คืออะไร (พัฒนาจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้น)  อาจารย์อยากบอกว่าไม่มีอะไรถูกอะไรผิด แต่จริงๆ แล้วการนั่งสมาธิโดยความหมายของพระพุทธองค์ คือการรักษาจิตให้กลับไปสู่ความเป็นปกติ ศีลคือความปกติ ถ้าใครมีศีลห้าครบเรียกว่าเป็นผู้ปกติ แต่ถ้าใครรักษาศีลห้าไม่ครบเรียกว่าผิดปกติ ศิษย์ลองคิดให้ดีๆ นะว่าถึงที่สุดการนั่งสมาธิคืออะไร หรือถ้าจะให้อาจารย์เปรียบเทียบ เคยได้ยินคำพูดหนึ่งของพระพุทธองค์ไหม ว่าทำทานเยอะๆ ก็ไม่เท่ากับมีศีลหนึ่งข้อให้ทานไปเยอะเท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งสร้างวัดเป็นร้อยก็ไม่สู้รักษาศีลได้หนึ่งวัน รักษาศีลห้า ไม่สู้รักษาศีลแปด รักษาศีลแปดไม่สู้รักษาศีลสิบ รักษาศีลสิบ ไม่สู้รักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ถึงแม้บวชเป็นพระนับถือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อแล้ว ก็ไม่สู้มีสมาธิแค่ช่วงช้างกระดิกหู หรือมีสมาธิแค่ไก่กระพือปีก ยิ่งใหญ่กว่าการรักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อ นั่นคืออะไร คือจิตนิ่ง นิ่งเพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง แล้วกลายเป็นกระแสกรรม กลายเป็นวิบากกรรม และกลายเป็นบุญบาปที่เกี่ยวกรรมไปหมด แต่นิ่งแล้วไม่หวั่นไหว รักษาจิตให้บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น ถ้าทำได้อย่างนั้น ยิ่งใหญ่กว่าถือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้ออีกนะ
แล้วสุดยอดยิ่งกว่านั่งสมาธิเป็นร้อยวัน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญา แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง แล้วรู้แจ้งอะไร ศิษย์เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของธรรมะและพยายามปฏิบัติกันหรือยัง (รู้แจ้งในอัตตาความว่างเปล่าไม่มีตัวตน)  ถูกต้องแต่ยังไม่หมด แต่ยังต้องรู้แจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงในตัวตนเองนี้ ประเสริฐยิ่งกว่าการสร้างบุญรักษาศีลอีก ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่า เพราะเรามีตัวตน เพราะยึดตัวตนจึงสร้างเรื่องสร้างราวทั้งหมด แต่ถ้าเรารู้ว่าถึงที่สุดตัวตนนี้ไม่ใช่ของเรา เราจะหยุดสร้างทุกๆ อย่างเพื่อตัวตนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเรื่องหนึ่งที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า คนที่ตกนรกยมบาลจะถามวิญญาณที่ตกนรกว่า ตอนมีชีวิตอยู่เคยเห็นเทวทูตทั้งสามองค์ไหม ข้าส่งไปเตือนแล้วนะ ให้รู้ว่าต้องหมั่นทำดี รักษาศีล ทำบุญสุนทาน ดำรงตนเป็นคนดี แต่ทำไมเจ้าไม่ทำเลย เอาแต่ทำชั่วหมกหมุ่นแต่กิเลส โลภ นินทา อยาก เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตสามองค์เลยหรือองค์แรกก็คือความแก่ องค์ที่สองก็คือความเจ็บ องค์ที่สามคือความตาย
ส่วนใหญ่ที่ศิษย์ไม่ปฏิบัติธรรม ยังประมาท ยังปล่อยตัวเองไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง เพียงเพราะคิดว่ายังมีเวลา ใช่ไหม (ใช่)

ฉะนั้นการรู้แจ้งเห็นจริงจึงเกิดปัญญา มีอยู่เรื่องเดียวในวันนี้ที่อาจารย์พูดก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งศิษย์เห็นอยู่ทุกๆ วัน เตือนอยู่ทุกๆ วัน และยมทูตนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเรา แต่เราก็ยังคิดว่ามีเวลา ก็เลยไม่ค่อยจะอยากทำดีเท่าไร ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นวิธีปฏิบัติธรรมที่อาจารย์อยากบอกศิษย์ง่ายๆ ก็คือ
ข้อหนึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ครบสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องด้วยคุณธรรม มีหน้าที่อะไรก็ต้องรู้จักรับผิดชอบทำให้ดี ไม่ใช่เกี่ยงงอน นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรมได้หนึ่งลำดับแล้ว เป็นลูกต้องรู้จัก (กตัญญู)  เป็นพ่อแม่ต้องรู้จักรักลูก
ข้อสองมีเมตตา เป็นพี่น้องต้องรู้จักปรองดอง เอื้ออาทร รู้จักให้
ฉะนั้นก่อนจะไปปฏิบัติภายนอกศิษย์ต้องเริ่มต้นปฏิบัติภายในให้ดีงามไม่ขาดตกบกพร่องก่อน ถ้าความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์ ศิษย์จะไปทำความเป็นพุทธะให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนอยู่ร่วมกันในสังคมศิษย์ยังเบื่อหน่าย แล้วศิษย์จะไปแจ้งในความเป็นพุทธะเป็นไปไม่ได้ ศิษย์ต้องทำความเป็นคนให้ดีงามสมบูรณ์ก่อน ทำความเป็นคนให้ปกติก่อน ฉะนั้นศีลหรือคุณธรรมคือ ทำคนให้เป็นคนปกติและสมบูรณ์งดงาม
ใครคิดว่าตัวเองสมบูรณ์ในหน้าที่แล้วยกมือขึ้น ไม่มีให้เห็นเลยหรือ ใครเป็นลูกกตัญญูครบสมบูรณ์ยกมือขึ้น มีสองคนนะ เป็นพี่ก็ต้องรู้จักมีเมตตาเอื้ออาทรน้อง ไม่เอาเปรียบน้อง ไม่แก่งแย่งสมบัติกัน อายเขานะ ใครทำงานซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงกิน ไม่โกหก น่ากลัวนะ เพราะเป็นศีลที่ง่ายที่สุดแต่เรากลับรักษาไม่ได้
(นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับพระอาจารย์จี้กงเมตตาและร่วมร้องเพลง “ต้อนรับ”)
ไม่เป็นไรนะ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขารำคาญใจ กังวลใจหรือไม่สบายใจ อาจารย์ก็ยินดีสละตัวเองออกนะ อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ นะ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขาทุกข์ใจ อาจารย์ก็พร้อมจะจากไป ถ้าอยู่แล้วทำให้คนเขาทุกข์ใจ บางทีเราก็ต้องยอมที่จะทิ้งความเป็นตัวตนเองลงไปบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาเกิดความทุกข์ ผู้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญทุกๆ อย่างในการปฏิบัติธรรมก็คือการทำให้เกิดความสงบ การอยู่ร่วมกันทำให้เกิดความสบายใจ ถ้าพูดแล้วทำให้วุ่นวาย ทำให้ไม่สบายใจ ยอมเก็บไว้ที่ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ หรือไม่ก็ละลายความคิดนั้นออกไปเสีย แล้วสู้ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ดีกว่าหรือ บางทีพูดไปทุกอย่างที่ใจคิดมันก็ไม่ดีนะ จริงไหม
อยากยืนเป็นเพื่อนอาจารย์หรือว่าอยากนั่ง (อยากยืน, อยากนั่ง)  ถ้ายังไม่พร้อมใจกันก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ช่วยตัดสินนะ ถ้าอาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้รีบนั่ง ได้ไหม (ได้)  ถ้านั่งไม่พร้อมกันต้องกลับมายืนใหม่ พร้อมหรือยัง (พร้อม)  ดูแลตัวเองไม่ต้องเป็นห่วงใครและถ้าตัวเองดูแลตัวเองได้ดี ศิษย์จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนในโลกนี้มัวแต่ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ แล้วลืมดูตัวเอง และผลสุดท้ายความห่วงนั้นจะทำให้คนอื่นทุกข์ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าไม่อยากทำให้คนอื่นทุกข์ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด การปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่คนมัวแต่ไปห่วงคนอื่นแล้วลืมดูตัวเอง การเรียนรู้ธรรมะคือนำธรรมะมาย้อนมองส่องตน ไม่ใช่นำธรรมะไปตรวจสอบใคร ใช่หรือไม่
เมื่อเอาตัวเองรอดแล้วอย่าลืมช่วยคนอื่น ทำตัวเองให้ดีแล้วทำตัวเองให้รอดแล้วอย่าลืมช่วยคนอื่นให้รอดด้วย เพราะถ้าเมื่อไรเราลืมคนที่กำลังเดือดร้อน เขาจะหันกลับมาเล่นงานคนดีจริงไหม (จริง)
ความแก่ ความเจ็บ ความตายล้วนเป็นธรรมดาของทุกชีวิต จำให้ดีนะ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาของทุกชีวิต และทุกชีวิตจะต้องเจอความจริงอันนี้อย่างหนีไม่ได้ จำให้แม่นและจำให้ได้นะศิษย์ เพราะถึงเวลาจริงๆ แล้วจงอยู่กับความจริงมากกว่าสิ่งที่รัก และความจริงจะสอนให้เราพบธรรม ฉะนั้นธรรมแท้จริงจึงไม่ใช่อยู่แค่เพียงภายนอก ธรรมแท้จริงจึงไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ แต่ธรรมแท้จริงค้นหาได้ในตัวตนเรา ถ้าสว่างจากภายในย่อมสะท้อนให้เกิดความสว่างภายนอก แต่หลายครั้งที่เราอ่านธรรมะแล้วเหมือนเราสว่างภายนอก แล้วพยายามส่องให้เห็นภายในซึ่งมองอย่างไรก็ไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้เสมอว่า ทุกชีวิตมีความเป็นธรรมดาเหมือนกันคือ (เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย)  พอถึงเวลาความแก่มา ความเจ็บมา แต่ส่วนใหญ่ที่เราทุกข์เพราะเมื่อถึงเวลาเกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตศิษย์ทำใจไม่ได้ (ต้องกล้าสู้ความจริง)  ตอบได้ดี เพราะว่าไม่สู้ความจริง มีใครบ้างที่ไม่อยากแก่ยกมือขึ้น อาจารย์ว่าแล้วเชียว ข้างหน้าไม่ยกมือแปลว่ายอมแก่ ใช่ไหม (ใช่)  โกหกๆ ถ้ายอมแก่จริงๆ จะไม่ยอมซื้อเครื่องสำอางเด็ดขาด จะไม่มองกระจกทุกวันก่อนออกนอกบ้านหรอก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ ถ้าเรารู้อยู่ เห็นชัดอยู่ ชีวิตอะไรมันจะเกิด เราก็ “รู้อยู่แล้ว” เหมือนสามีภรรยา พอเขาจะว่าเรา พอเขาจะบ่นเรา เราก็ “รู้อยู่แล้ว” ถูกไหม (ถูก)

วันนี้เงินมา อีกวันเงินไป อะไรจะมาทำร้ายศิษย์ได้ล่ะ ก็ในเมื่อศิษย์รู้อยู่แล้ว แล้วศิษย์เคยเจอคนที่เรารู้ทันหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน มุกไหน เราก็ (รู้อยู่แล้ว)  ทำไมศิษย์ไม่เอามาใช้กับชีวิต เอามาใช้กับเงินทอง ใช้กับผู้คน ใช้กับตัวเอง หรือเอามาสอนใจตัวเอง ศิษย์รู้หรือไม่ว่าคนเราเกิดมาต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผิดหวัง สมหวัง โดนด่า โดนนินทา ซึ่งทุกคนก็ต้องเจอ ดังนั้นไม่ว่าศิษย์จะเจอรูปแบบไหน ศิษย์ก็จะ (รู้อยู่แล้ว)  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมาหนักหนาแค่ไหน มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา ฉะนั้นถ้าจะต้องเจอกับความตาย ก็ให้จำไว้ว่าอาจารย์เคยบอกแล้ว จึงอยากให้ศิษย์ทำใจไว้ก่อน และตระหนักรู้อยู่เสมอ เพราะถ้าเราทำใจไว้ก่อน ตระหนักรู้อยู่เสมอ อะไรจะเกิดศิษย์ก็มีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว ดีกว่าคนที่ไม่เคยเตรียมใจ พออะไรมันเข้ามา ก็รับไม่ได้ เพราะว่ามันคือความจริง และเป็นความจริงที่ศิษย์หนีไม่พ้น แต่ศิษย์มักจะพูดว่ามันเป็นเวรกรรมอะไรของฉัน ทำไมต้องเจอแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็จะถามกลับว่าแล้วศิษย์กำลัง “กำ” อะไรของศิษย์ ในเมื่อมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดา แต่เรากำลังกำอะไรไว้ แล้วเราถึงได้บอกว่ามันเป็นกรรม ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้สึกว่ากรรมอะไรของศิษย์ อย่าถามฟ้า อย่าถามคนรอบข้าง อย่าถามพุทธะ แต่หันกลับมาถามตัวเองว่า เรากำลังกำอะไรที่ไม่แบอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  เรากำอะไรกันไว้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นความจริง ทำไมศิษย์ไม่ปล่อยมันไปล่ะ อย่ามัวหลงอยู่แต่สิ่งที่เห็น แต่จงเรียนรู้เข้าใจสิ่งที่เป็นไป บางครั้งเราติดหลงอยู่กับสิ่งที่เห็น ว่าเราโดนด่า เราเสียเงิน เราเสียสามี สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่ (เป็นธรรมดา แต่รับไม่ได้)  อาจารย์จะบอกว่าไม่ต้องไปรับ เพราะทุกสิ่งมันเกิดแล้วมันก็จบของมันเอง แต่ศิษย์ไปกำสามีไว้เอง

กำเขาไว้ในใจไว้ในความคิด แล้วสามีไปหรือยัง (ไปแล้ว)  กำไหม (กำ)  แบหรือยัง (ยัง)  แล้วจะกำอะไรนักหนา อย่ามัวแต่หลงกับสิ่งที่เห็นจนลืมเข้าใจความเป็นไป ถึงแม้ว่าความเป็นไปนั้นมันจะเป็นจริง แต่ในความจริงนั้นมันไม่เคยหยุดนิ่ง มันเปลี่ยนตลอดเวลา อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น แต่จงมองให้เข้าใจความเป็นไปที่เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายสี่คนออกมาหน้าชั้น)
สมมติว่าอาจารย์มีศิษย์อยู่สี่คน อาจารย์ปฏิบัติต่อสี่คนนี้ ศิษย์คนที่หนึ่งอาจารย์รัก ศิษย์คนที่สองอาจารย์ก็รัก ศิษย์คนที่สามอาจารย์ไม่รัก ส่วนศิษย์คนที่สี่อาจารย์เกลียด ฉะนั้นเวลาอาจารย์มีอะไรให้ อาจารย์ก็ให้คนที่อาจารย์รัก แล้วคนที่อาจารย์ไม่รัก แล้วยังเกลียดด้วยจะให้อะไรไหม (ไม่ให้) อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะศิษย์ (ลำเอียง)  ก็คนเราเป็นอย่างนี้ ศิษย์ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ ที่รักก็ดีมาก ที่เกลียดก็ไม่เอาเลย ถูกไหม (ถูก)
ถ้าศิษย์เป็นคนที่ต้องเจอภาวะแบบนี้ในชีวิต อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น แต่จงเข้าใจความเป็นไปที่แท้จริงของชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจประโยคนี้การกระทำของอาจารย์จะทำให้ศิษย์เห็นธรรม
เป็นผู้นำคนต้องเที่ยงตรงยุติธรรม อย่าลำเอียง ถ้าศิษย์เจอการปฏิบัติอย่างนี้ ศิษย์จะทำอย่างไร ให้บังเกิดธรรม
เวลาเจอสิ่งที่กระทบในชีวิต อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น แต่จงเข้าใจความเป็นไปนั้นมากกว่านั้น อาจารย์ก็บอกแล้ว มันเป็นธรรมดา แล้วอาจารย์สอนวิธีจะแก้อย่างไรให้ธรรมดานี้มันสงบสุขได้ ศิษย์ต้องรู้จักคิดให้เป็น ไม่ต้องรอใครมาช่วย นั่นคือพื้นฐานของการดำรงชีวิตอยู่ ถ้าเราต้องทำงานอยู่กับคนที่เขาไม่เที่ยงธรรม แม้เราจะซื่อตรงขนาดไหน แม้เราจะเป็นคนดีขนาดไหน แต่หัวหน้ายังลำเอียง เพื่อนยังลำเอียง เพื่อนยังว่าเรา เราต้องปรับเปลี่ยนใจก่อน ก่อนจะไปจัดการคนอื่น จงจัดการใจตัวเองให้สงบก่อน เพราะใจวุ่นไปอยู่ที่ใดก็วุ่น ถ้าใจนิ่งอยู่ที่ใดก็สงบแล้วบังเกิดธรรม แต่อาจารย์อยากจะสอนในแง่กลับกัน ถ้าเราเป็นคนที่ได้แล้วอีกคนหนึ่งต้องเสีย มันเป็นธรรมดา จำให้ขึ้นใจนะศิษย์ ถ้าวันหนึ่งเขาโดนชมแต่เราโดนว่า ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนได้แต่เราต้องเป็นคนเสีย ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนสุขแต่เราต้องทุกข์ ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนชนะแต่เราต้องแพ้ จำไว้ว่ามันคือเรื่องธรรมดา นี่แหละจึงเรียกว่าโลกสมดุล เพราะมันคือโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีความหมายโดยนัยนะศิษย์ เขาต้องการบอกอะไร แก้อย่างไร (ต้องมีเมตตากับเพื่อนและคิดว่าอีกหน่อยเราก็คงเป็นเหมือนกัน)  ตอบได้ดีไหม เรานอกจากเห็นความเป็นธรรมดา หัวหน้าเห็นความเป็นธรรมดา ยังเห็นความเป็นธรรมดาของอาจารย์ด้วย วันนี้รัก พรุ่งนี้อาจจะเกลียด อย่าไปยึดมั่น ถ้าวันนี้เขาให้ศิษย์ได้ แต่วันหน้าเขาเอาคืนศิษย์จะทำอย่างไร ไม่มีของฟรีในโลก ใช่หรือเปล่า ยิ่งเขารักมาก ให้มากก็หวังมาก จริงไหม อย่างนั้นควรรับไหม (ไม่รับ)  แล้วจะทำอย่างไรดี (ที่ได้มาก็แบ่งปัน) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์สามารถแก้และเปลี่ยนได้คืออะไรรู้ไหม อาจารย์จี้กงบอกว่ารับไปแล้ว อย่าลืมแบ่งเขาด้วย เห็นไหมว่าเขาจะไม่เกลียดอาจารย์เลย ถ้าเรารู้จักดำรงตน อย่าเห็นกับสิ่งที่เห็นแต่จงเข้าใจความเป็นไปอันเป็นธรรมดาของชีวิตและจะทำให้การอยู่ร่วมกันนั้นคือการปฏิบัติธรรมและเห็นธรรม ไม่ใช่การอยู่ร่วมกันแย่งกันไปก็แย่งกันมา ด่ากันไปก็ด่ากันมา รับคนนั้นไม่ได้ เกลียดคนนี้ แต่โลกหมุนได้ถ้าใจเรารู้จักและเข้าใจชีวิตพอ จริงไหม
ให้อย่างไรดี ให้หมดหรือให้ครึ่ง (แบ่งครึ่ง)  อาจารย์บอกแล้วว่าบางทียอมสูญเสียตัวตนให้หมดเลยยังดีกว่าอีกนะ ศิษย์เคยได้ยินไหม เวลาเราให้ของใครของมันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเราได้ของใครมามันแสลงนะ มันจะคอยบอกเตือนเราเสมอเลยว่าเรากินของเขาไปแล้ว เอาของเขาไปแล้วจะไม่ตอบแทนอะไรเขาบ้างเลยหรือ รับบ่อยๆ ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยหรือ ฉะนั้นให้ดีไหม (ดี) ปรบมือให้เขาหน่อยนะ
เราจะอยู่ร่วมกันได้เพราะทุกคนรู้จักรับรู้จักให้ หรือบางทีให้แล้วไม่รับเลยมันสะเทือนใจกว่านะ ให้ช่วยเท่าที่ได้แต่ต้องช่วยแล้วไม่เห็นแก่ตัว ไม่ปลูกฝังนิสัยคนเอาแต่ได้ นี่แหละเรียกว่าเมตตาแล้วใช้ปัญญา แล้วประกอบด้วยความกล้าหาญ
ธรรมะไม่ได้สอนเพื่อให้เราอยู่กับทุกข์แล้วจมกับทุกข์ แต่สอนให้เราเข้าใจทุกข์และหาทางพ้นทุกข์ให้เจอ การมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วลด ละ วางกิเลสได้ทันท่วงทีก่อนที่จะปล่อยให้กลายเป็นบาป อกุศลหรือความอยาก นั่นเรียกว่าการปฏิบัติธรรม
อาจารย์จะบอกวิธีง่ายๆ ในการอยู่บนโลกแล้วใช้ธรรมะอะไรช่วยทำให้เราเบา ดีไหม (ดี)  อาจารย์เห็นศิษย์หลายคนแบกทุกข์ แบกความกังวล แบกความเบื่อหน่าย และความวิตกทุกข์ร้อนมาเยอะแยะเต็มไปหมด ก่อนที่จะมานั่งกลุ้มใจ ทำไมไม่สู้ความจริง ที่เรากลุ้มเพราะเรากลัวที่จะเจอความจริง ทั้งที่ความจริงนั้นคือธรรมะ คือความเป็นธรรมดา อย่างที่สองคือศิษย์มักชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดีเลยทุกข์ และอย่างที่สามก็คือศิษย์มักจะชอบขอจากผู้อื่นแต่ไม่ยอมเรียกร้องตัวเอง ฉะนั้นวิธีปฏิบัติของอาจารย์ก็คือจงมีชีวิตอยู่กับความจริง จะได้เบาทุกข์ แต่สิ่งที่อาจารย์อยากบอกมากกว่านั้นคือจงมีชีวิตอยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ แค่นี้ แต่ที่เราทุกข์อยู่เพราะว่าเราไม่เคยอยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เราชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับ (ผู้อื่น)  ที่ยอมรับความแก่ไม่ได้เพราะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยู่กับตอนนี้ไหม (ไม่อยู่)  แล้วตอนนี้คือความเป็นจริงที่สุด แล้วเรากำลังเปรียบเทียบอะไร (อดีต)  หรือบางทีเราก็เปรียบเทียบกับคนข้างๆ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากหมดทุกข์จงอยู่กับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ อย่ายึดติดกับอดีต จงอยู่กับขณะนี้ แม้ปัจจุบันก็ยังเปลี่ยนแปลงไปตลอด เรายังเชื่อไม่ได้ แล้วอนาคตจะมีได้อย่างไรถ้าขณะนี้ยังอยู่ไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ที่มนุษย์ไม่สามารถมีความสุขในทุกวันนี้ได้ เพราะไม่อยู่กับความจริง มัวแต่ติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองหวัง ติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเปรียบเทียบ หรือสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น จึงทำให้ตัวเองไม่สามารถมีความสุขได้ในตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ให้เรื่องเกี่ยวกับปัญญา เพื่อให้ศิษย์นั้นรู้แจ้งเองในทุกขณะที่ต้องเจอเรื่องราวอะไรก็ตามในชีวิต ไม่ต้องรอให้ใครช่วย เราต้องช่วยเหลือตัวเอง แล้วเมื่อเกิดอะไรขึ้นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไว้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ สิ่งนั้นไม่ได้กำลังจะเกิดขึ้น แต่สิ่งนั้นกำลังจะจบลง ศิษย์ส่วนใหญ่เวลามีอะไรเกิดขึ้นมักจะบอกว่า มันเกิดแล้วๆ แต่พระพุทธะไม่เคยมองว่ามันกำลังเกิด แต่มันกำลังจะดับแล้ว ศิษย์คิดอย่างนั้นไหม เรามีอายุกี่ขวบปี ส่วนใหญ่จะบอกว่าเราเกิดกี่ปี แต่พุทธะไม่ได้บอกว่าเกิดนะ พุทธะบอกว่าเราดับไปแล้วกี่ขวบปี ฉะนั้นการมองของพุทธะแตกต่างกับการมองของมนุษย์ เรามองว่าเราเกิดกี่ปี แต่พุทธะมองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือกำลังดับลงทุกที
อาจารย์ถามหน่อยนะ เมื่อไรที่เราเห็นว่าทุกขณะคือการดับ เราจะได้แง่คิดอะไรกับการดับในทุกๆ ขณะบ้าง ใครตอบอาจารย์ได้ ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือการดับ เราได้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง (ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง)  ใช่หรือ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งรอบข้างเรากำลังจะดับลง ถ้าเรารู้ว่าชีวิตที่เราคิดว่ามันคือการเกิดนั้นมันกำลังจะดับลง อาจารย์คิดว่าศิษย์คงมีแง่คิดในการดำเนินชีวิต เปลี่ยนหลังมือให้เป็นหน้ามือได้ จริงไหม เราคงจะไม่ประมาทและอยู่ร่วมกับทุกคนด้วยความเอาแต่ใจตนไหม (ไม่)  แต่จะรักทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะรักพ่อแม่ ไม่ใช่รักแต่ตัวเอง
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกศิษย์ไปแล้ว โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกว่า โลกนี้มันกำลังเกิดขึ้น เกิดเรื่องนั้น เกิดเรื่องนี้ แต่พุทธะไม่ได้มองแบบนั้น พุทธะกำลังมองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันกำลังจะดับลง ดับลง และดับลง ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งกำลังดับลง เราจะทำอย่างไรกับชีวิต (ถ้าเราจะปฏิบัติธรรม ถ้าเราคิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะเราก็ยังไม่ทำ แต่ถ้าคิดว่าเวลาเราเหลือน้อยเราก็จะเร่งทำ)  แล้วตอนนี้พร้อมจะทำหรือยัง (ได้บ้าง)  แปลว่ายังคิดอยู่เลยนะ เราปฏิบัติได้ทุกขณะนะศิษย์เอย แค่ดำรงตนทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ และรู้จักอยู่กับคนรอบข้างโดยไม่ทำให้เขาทุกข์ใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์ทุกคนไม่รู้วันตาย แล้วศิษย์จะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีวันพรุ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมตอนนี้ เดี๋ยวนี้ไม่รีบทำ ดับทุกข์ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วแน่ใจหรืออีกสองสามนาทีเกิดหมดสติแล้วจากไปเลย แน่ใจไหมว่าจะเดินพ้นประตูนี้ ฉะนั้นคนประมาทคือคนที่ตายไปแล้วครึ่งชีวิต อาจารย์ขอถามว่าถ้าทุกขณะเรากำลังจะดับ เราควรรีบทำอะไร (ทำความดี,ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เกิด) ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังจะดับเราจะทำอะไร (อยู่กับปัจจุบัน) แน่ใจนะก็มันดับไปแล้ว มันจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร แต่เราควรอยู่กับความจริง อย่าคะนองให้มากไปนะ อย่าคิดว่าจะอยู่จนผมขาว ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นต้องทำแต่สิ่งที่ดีงาม (เป้าหมายคือการปฏิบัติธรรม) ศิษย์เอยศิษย์มีความเป็นพุทธะอยู่ ถ้าเรารู้ว่าวันนี้เราจะดับสิ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์คือ สมาทานศีล ศิษย์มีศีลครบไหม ถ้านึกถึงว่าขณะนี้เราจะดับ จะคิดไหมว่าศีลยังมีอยู่ครบหรือเปล่า ใจบริสุทธิ์แล้ว ถ้าตอนนี้ใจจะดับก็ดับได้แล้ว (เป็นธรรมชาติ) ทำได้ไหม บริสุทธิ์หรือยัง
ถ้าอยากอยู่บนโลกให้มีความสุข จงอย่าลืมสิ่งที่อาจารย์บอก
1. เรามีแค่ขณะนี้เดี๋ยวนี้
2. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังเดินไปสู่ความดับ และ
3. ความไม่คงทน
สวยขนาดไหนก็ต้องมีวันไม่สวยได้ ดีขนาดไหนก็ต้องโดนว่าได้ เก่งขนาดไหนก็ต้องโง่ได้ แน่ขนาดไหนก็ต้องยอมคนได้ มีเงินเยอะขนาดไหนก็ต้องจนได้
สิ่งที่มนุษย์ยึดติดมากที่สุด และนำพาให้มนุษย์ทุกข์ทน แม้จะรู้ทั้งรู้ในสิ่งที่อาจารย์บอก นั่นก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตัวตนเองนี้คือ ผลรวมของกรรม และผลรวมของกรรมนี้ก็มาจากความคิด ในเมื่อมันเป็นกรรม เรายังควรจะยึดมันหรือไม่ (ไม่ควร)  ในเมื่อมันเป็นกรรม ไม่ควรยึด และไม่ใช่ของเรา อย่างนั้นเราเกิดมาควรทำอย่างไรกับร่างกายนี้ (ไม่ยึดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา)  ไม่ยึดว่าเป็นของเรา แต่พอเราอยู่กับตัวตนนานๆ เราหลงติดหรือไม่ (หลง)  แล้วทำอย่างไรถึงจะไม่เผลอยึด คิดอย่างไรถึงจะไม่เผลอยึด ถ้าศิษย์คิดได้ ศิษย์จะไม่พยายามยึดร่างกายเลย มันเจ็บก็แค่นั้น มันป่วยก็แค่นั้น เพราะคิดว่ามันคืออะไร (ตัวเรา)  เพราะยังคิดว่ามันคือตัวเรา ก็เลยยังทุกข์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องคิดอย่างไรล่ะ เพื่อไม่ให้เผลอยึด และหลงกับตัวนี้ แล้วเราจะสามารถอยู่กับการใช้ร่างกายนี้โดยไม่หลงยึดติด (ปล่อยวาง)  ร่างกายนี้ ศิษย์จะไปควบคุมมันก็ไม่ได้ มันเป็นอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใจเราเลย สิ่งที่ควบคุมกายนี้ได้ก็คือ ฟ้าและดิน หรือเรียกว่าสัจธรรม ฉะนั้นศิษย์ไปควบคุมร่างกายไม่ได้นะ แต่ทำอย่างไรล่ะที่เราจะไม่หลง เผลอยึดตัวนี้ คิดอย่างไรถึงจะพ้นตัวนี้ ง่ายๆ เลยนะศิษย์ (คิดว่ายืมเขามาใช้)  คำเดียวเลยคือ ยืมเขาใช้ ถ้าเราคิดแบบนี้เราจะยึดหรือไม่ (ไม่)  แล้วเราจะรักมันมากหรือไม่ (ไม่)  หรือตอบอีกอย่างได้ว่า ร่างกายนี้เป็นแค่ศาลาที่พักใจ ศิษย์แน่ใจหรือว่าหน้าตาของเราตอนนี้คือที่สุดแล้ว แล้วศิษย์ว่าหน้าของเรานี้จะหาที่สุดเจอหรือไม่
ตราบใดที่ยังไม่หาทางพ้นทุกข์ หน้าตานี้จะไม่ใช่หน้าจริงๆ ของศิษย์ และหน้าตานี้จะไม่ใช่หน้าสุดท้ายของศิษย์ ถ้าเราคิดอยู่เสมอว่าเรายืมร่างกายนี้ใช้ เราจะรักมันมากไหม เราจะยึดติดไหม ร่างกายเป็นแค่ศาลามาพักใจ เราเอาไปได้ไหม ถึงเวลาเราเอาไปแค่จิตตื่นรู้อย่างเดี่ยว บุญก็ไม่ยึด เพราะถ้ายึดบุญก็ไปสวรรค์ พอหมดบุญก็ต้องกลับมาเวียนว่ายอีก
ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมต้องเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ว่า ร่างกายนี้ยังหาที่สุดไม่เจอ แล้วเราควรหรือที่จะยึดมั่นว่าของเรา ยึดไหม (ไม่ยึด)  จำไว้ว่าเรายืมเขามา มันเป็นเหตุปัจจัยหนุนนำจึงทำให้เรามีกายนี้ แต่ถ้าเหตุปัจจัยหมด เราจะไปตรงไหนรู้หรือยัง ฉะนั้นอย่าเผลอยึดว่านี่คือตัวเรา จำไว้เสมอว่ายืมเขาใช้ ถึงเวลาต้องคืนเขาไป แล้วตัวเราอย่างเดียวไหมที่ยืมเขาใช้ อากาศ ฟ้า ดิน ทรัพย์สิน บ้าน สามี ลูก ยืมมาเพื่อช่วงใช้
ข้อคิดของอาจารย์ง่ายๆ คือ
1. มีแค่ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้
2. ทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมดา
3. ทุกสิ่งไม่ใช่กำลังเกิดขึ้น แต่กำลังจะดับไป
4. เรามาเพียงเพื่อยืมใช้
ถ้าคิดได้ครบสี่ข้อนี้ ไม่มีวันทุกข์ เชื่ออาจารย์เถอะ
(พระอาจารยืเมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายชายคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
สี่ข้อมีอะไรบ้าง ไหนตอบให้ชื่นใจหน่อย เห็นจดอยู่ตลอด (อาจารย์ถามว่าอะไร)  มัวแต่จด ศิษย์เอ๋ยชีวิตมีแค่ตอนนี้นะ ถ้าอยากจะอยู่บนโลกนี้ไม่ให้ทุกข์ จงจำไว้เสมอว่าชีวิตมีแค่ตอนนี้ อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับอดีต อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะตัวเราแค่ยืมเขาใช้ ใช่ไหม (ใช่)  และอีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะยืมเขาใช้ อาจารย์บอกว่าอะไรนะ
(เพราะทุกอย่างเป็นธรรมดา)   ที่จดมาช่วยได้ไหม ฉะนั้นอย่าฝากชีวิตไว้กับกระดาษแต่จงฝากชีวิตไว้กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่าฝากความรู้ไว้กับหนังสือแต่จงจำด้วยสติ เห็นไหมจดไปมากมายถึงเวลาก็หยิบใช้ไม่ทัน ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมฝึกร้องเพลงพระโอวาท “ลดละวาง” ทำนองเพลง เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย)
ร้องยากไหม ลองพยายามดูได้ไหมศิษย์เอย เหมือนการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ไม่ค่อยยอมทำกัน มีใครร้องได้ไหม อาจารย์รู้ว่าเพลงนี้ร้องยาก แต่อย่างน้อยก็มีความกล้าที่จะออกมาร้องนำ อาจารย์ให้รางวัล ดีไหม (ดี)  ขอแอปเปิ้ลคืน นี่คือรางวัลของอาจารย์ บางทีอย่าเอาแต่รอการให้ ถ้าถูกเรียกร้องขอก็ไม่เป็นไรเพราะมันเป็นธรรมดา
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ลดละวาง”)
“เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ” ตอนนี้ศิษย์เข้าใจแล้วว่ากิเลสเป็นต้นเหตุของความชั่วร้าย ความไม่ดี และการยึดมั่นถือมั่นตัวตนเป็นทางมาแห่งบาป อกุศล ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วก็ต้องตั้งใจเปลี่ยนให้จริงๆ ลดละวางให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป” เมื่อไรที่เราละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ เมื่อนั้นศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ที่ไม่ต่างอะไรกับพระพุทธะ แต่ถ้าศิษย์ยังละไม่ได้ ลดไม่ได้ ศิษย์ก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายในโลกนี้ ชีวิตนี้มีอยู่ไม่กี่ทาง อยากโลภ อยากโกรธ อยากหลงเป็นอกุศลนะ แต่ถ้าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นกุศลกรรม อย่ารู้แต่การทำบุญแต่ต้องรู้จักการสร้างกุศลด้วย และกุศลที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมากมีอยู่แค่สิบประการ
กุศลภายนอกสาม
1. ไม่ฆ่าสัตว์
2. ไม่ลักทรัพย์
3. ไม่ผิดลูกผิดเมียเขา
ไม่สร้างอกุศลทางปากสี่อย่าง
1. ไม่พูดปด
2. ไม่พูดยุแยง
3. ไม่พูดใส่ร้ายป้ายสี
4. ไม่พูดปั้นน้ำเป็นตัว หรือทุกครั้งที่จะพูดต้องคิดว่าจริงไหม ดีไหม ถ้าจริงแล้วไม่ดีอย่าพูด เดี๋ยวจะกลายเป็นอกุศล หลายคนบอกว่าพูดเรื่องจริง แต่ศิษย์ต้องพิจารณาว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่ดีอย่าพูด จริงแล้วดีไหม ดีแล้วสมานสามัคคีไหม ถ้าจริงแล้วแต่ทำให้ครอบครัวแตกแยกก็อย่าพูดเลย
กุศลมูล ต้นเหตุของความดีสามประการคือ
1. ไม่โลภ
2. ไม่โกรธ
3. ไม่หลง
แล้วเราเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม หรือเลือกที่จะตามใจตัวเอง  หาความสงบภายนอกใส่ชุดขาวภายนอก แต่ถ้าภายในไม่ขาวก็แปลว่าสวยแต่ข้างนอกนะ เข้าใจแต่ถึงเวลาไม่ปฏิบัติก็น่าเสียดายนะ ศิษย์เอยการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าเรามีสติรู้เท่าทันใจตัวเองไหม มีสติรู้หยุดยั้งอารมณ์ได้ไหม เราต้องการหาความสงบ เราต้องการหาความสบายใจ สิ่งที่พูดสิ่งที่ทำสงบไหม สบายใจไหม อย่าเป็นคนที่มีศีลแค่ภายในวัด ทำบุญแค่ภายในวัดแต่ให้ มีศีลสมาธิกับทุกคน ทำบุญได้กับทุกคน ทำไมเรารู้จักให้กับพระ แต่กับคนอื่นเราให้ไม่เป็น ทำไมเรารู้จักสงบได้เมื่ออยู่ในวัด แต่ทำไมอยู่คนอื่นจิตเราไม่สงบ เพราะเราให้ไม่ได้ เรายอมไม่เป็นหรือเปล่า ถูกไหม (ถูก) เรากำลังยึดมั่นถือมั่นกับความคิดตัวเองมากไปหรือเปล่าไหม ชีวิตนี้จริงๆ  ทุกข์กายแล้วทำไมยังหาเรื่องให้ใจทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกายอาจารย์ก็บอกแล้วว่ายึดไม่ได้ แล้วตอนนี้ศิษย์กำลังยึดอะไร ยึดนิสัยความเคยชิน ถูกไหม (ถูก) นิสัยความเคยชินเป็นอย่างไร เอาแต่ใจ ขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ยอมรับผิด เอาเปรียบได้เอาเปรียบ กินแรงได้แอบกินแรง สบายได้แอบสบาย ดีไหม (ไม่ดี) ทำไหม (ไม่ทำ)  บางคนคิดว่ายืนฟังอาจารย์แล้วเมื่อย ไปนั่งฟังดีกว่า แล้วได้ฟังไหม (ไม่ฟัง)  นี่เรียกว่าตามใจไหม (ตามใจ)  แต่ได้ปฏิบัติธรรมคือถ้ามันขัดใจได้ แล้วทำให้หลุดพันการยึดมั่นถือมั่นใจ ทำไมไม่ลองขัดดูบ้าง ถ้าตามใจแล้วทำให้นิสัย กิเลส และใจพอกพูน ใจยึดมั่นถือมั่น มีตัวมีตน ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ก็มีใจไปรองรับทุกๆ เรื่อง แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อขัดจนไม่มีใจ ทั้งที่จริงๆ ศิษย์ไม่มีใจตั้งแต่เดิมอยู่แล้วนะ เพิ่งมาเกิดทีหลังจากเกิดจากกรรม กรรมที่เกิดจากความคิด กรรมที่เกิดจากนิสัย กรรมที่เกิดอารมณ์ กรรมที่เกิดจากการปรุงแต่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงตื่นรู้ได้แล้วนะศิษย์ ทำตัวเองให้ตื่นรู้ ตื่นรู้ทุกขณะจิตว่าโลกนี้ยึดไม่ได้ เราเกิดมาเพื่อยืมใช้และจงอยู่กับปัจจุบัน และสามารถเผชิญกับสิ่งปัจจุบันด้วยการยอมรับความจริงว่ามันไม่เที่ยง ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์ว่าก็ดีไม่น้อยนะ โลกนี้คงมีแต่ละคนพ้นทุกข์ พ้นทุกข์ พ้นทุกข์
อาจารย์พูดไปตั้งเยอะแยะแต่ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือเปล่า จนบางครั้งอาจารย์รู้สึกว่าอยากจะเฉยๆ ไม่พูดอะไรดีกว่า เพราะการพูดนั้นก็ยังไม่ประเสริฐเท่าศิษย์รู้ตื่นด้วยตัวเอง เข้าใจชีวิตด้วยตัวเอง ฉะนั้นจงทำอะไรด้วยสติ เมื่อเจออะไรจงรักษาใจให้เป็นปกติ อย่าหวั่นไหวไปกับดีร้ายได้เสียอันไม่เที่ยงของโลกใบนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์มีความสุข ความสุขในการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ปล่อยวางความทุกข์ที่เคยแบกมานับไม่ถ้วน เพราะศิษย์คุมมันไม่ได้ หวังให้มันเป็นดั่งใจไม่ได้ มีอะไรคุมได้ มีอะไรยึดได้ มีอะไรเป็นของศิษย์ เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้ ยืมใช้เพื่ออะไร เพื่อค้นพบธรรมะที่แท้จริง ที่เรียกว่าพระพุทธะในตัวตน มีโอกาสกลับมาอีกนะ ฟังธรรมะคือการเพิ่มปัญญา ปัญญาที่นำพาให้ศิษย์หลุดพ้นจากโลกใบนี้ และปัญญาจะเกิดได้ด้วยการมีสติตื่นรู้ เมื่อโดนกระทบ เห็นไหม เห็นแล้วควรจะรู้สึกไหม มันไม่เที่ยง เอาอะไรกับความไม่เที่ยง เรากำลังโกรธอะไรกับคนที่ไม่เที่ยง เรากำลังเกลียดอะไรกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เรากำลังยึดอะไรกับสิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งที่มันเกิดมันกำลังจะดับ จะโกรธมันกำลังจะดับอยู่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะว่าเกิดมาเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากของตนหรือเกิดมาเพื่อเข้าใจธรรมะอันแจ่มแจ้งในตัวตน และปล่อยวางเพื่อค้นพบพุทธะที่แท้จริงกันเล่า ไม่ใช่ตื่นมาอยากกินอะไร ตื่นมาอยากไปเที่ยวไหน ตื่นมาอยากทำอะไร นี่ก็สนองกิเลสทั้งนั้น แล้วบำเพ็ญธรรมคืออะไรล่ะ ตื่นมาเพื่อทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์ที่สุด รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไหม มีน้ำใจไหม ช่วยคนไหม ทำหน้าที่สมบูรณ์หรือยัง ไม่ได้เกิดมาฉันอยากอะไร ฉันจะไปทำอะไร ฉันหวังอะไร นั่นกิเลสล้วนๆ เลยนะศิษย์ นั่นคือการยึดติดทั้งนั้นเลยนะ
เปลี่ยนใหม่ ถามตัวเองสิทำหน้าที่แห่งความเป็นคนได้สมบูรณ์หรือยัง ไม่มีใครช่วยศิษย์พ้นทุกข์ได้นอกจากจิตของศิษย์เอง ปัญญาของศิษย์เอง กราบไหว้พระพุทธะภายนอกไม่สู้กราบไหว้พระพุทธะที่อยู่ในใจ จริงไหม (จริง)  หาธรรมภายนอกไม่สู้ค้นหาธรรมภายใน ธรรมที่ประเสริฐที่สุดไม่ต้องลงแรงอะไรมากคือความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มองมันให้ชัด เห็นมันให้แจ่มแจ้ง แล้วศิษย์จะรู้เลยว่าโลกนี้ไม่น่ายึดติด ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ทุกสิ่งมาให้เรารู้จักปล่อยวางและแจ่มแจ้งในธรรมแค่นั้นเอง และเมื่อเราเข้าใจเราก็จะสามารถนำพาคนรอบข้างให้มีความสุขไม่เกิดทุกข์
ศิษย์รู้ไหมว่าโลกใบนี้ บางคนเกิดมาพิกลพิการ บางคนเกิดอยู่ในโลกที่สามที่ต้องทุกข์ทน เราเห็นเราสงสารไหม เราสงสารแล้วเราทำอะไร เราจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนเขาไหม แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าวันๆ เอาแต่โลภไม่รู้จักพอ สักวันหนึ่งศิษย์จะต้องกลับไปเกิดเหมือนคนแบบนั้นที่ไม่มีกิน ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นเหตุปัจจัย หยุดก่อนที่ต้องรับผล รู้ระมัดระวังตนก่อนที่จะต้องทุกข์ทน แล้วเราจะได้ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว เราทำหน้าที่ความเป็นคนสมบูรณ์แล้ว เรามีธรรมครบแล้ว เราไม่เบียดเบียนใคร ทำบุญกับทุกๆ คนได้เต็มที่
ลด ละ วางให้ได้นะ มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกไหม ฝืนใจมากหรือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตอยู่ที่ไหน อยู่ที่การแสวงหาความสุขหรือหาทางพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ฟังเข้าใจหรือเปล่า เอาแต่สบายไม่ทำอะไรเลยได้หรือไม่ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ ศิษย์เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เป็นคนรู้มาก ชีวิตลำบากไหมรู้จักปล่อยบ้างนะ อาจารย์ดีใจที่เจอศิษย์นะ แต่ศิษย์ต้องรู้จักคิด รู้จักสู้ชีวิตให้เป็น อย่ายอมแพ้กับความทุกข์ อย่าเสียใจกับความผิดหวัง มันเป็นธรรมดา อาจารย์อยากให้กำลังใจ ให้ศิษย์รู้จักรู้ รู้จักคิด ทำอะไรด้วยปัญญา เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว มีโอกาสกลับมาอีกนะ แต่ต้องมาด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ถูกบังคับ
ร้องเพลงที่อาจารย์เพิ่งให้อีกรอบนะ ศิษย์จะได้จำได้ขึ้นใจ “เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ”
อาจารย์หวังดีเลยกระแทกแรง อย่าน้อยใจอาจารย์ มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย อย่ายอมแพ้ อย่าหน่ายท้อ อาจารย์อยากให้กำลังใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาร่วมร้องเพลงพระโอวาท “ลดละวาง” พร้อมกับนักเรียนในชั้น)
ตั้งใจบำเพ็ญนะ ลดละกิเลส ลดละการยึดมั่นถือมั่นตัวตนให้ได้นะศิษย์เอ๋ย เพราะตัวตนไม่ใช่ของศิษย์ มันอยู่เหนือการควบคุม อย่าไปยึดมันมากเลย ยึดไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถือสติและจิตเดิมแท้เป็นที่ตั้งในการทำสิ่งใด ถือคุณธรรมเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต เผื่อสักวันหนึ่งอาจารย์จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแต่มีศิษย์ร่วมกลับมา ดีไหม (ดี)  จิตที่กลับมาเป็นพุทธะเหมือนกัน ไม่มีคนที่อาจารย์ต้องห่วงแล้วเพราะทุกคนรู้ตื่นและนำพาตัวเองพ้นทุกข์ได้ พุทธะจะเป็นพุทธะได้อย่างไรถ้าเวไนยสัตว์ยังทุกข์ทน พุทธะจะมีความสุขได้อย่างไรถ้าเวไนยยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ปาดน้ำตาแล้วเข้มแข็ง สู้กับชีวิตนี้ให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
“เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละวางโดยแท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ” ทำให้ได้นะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลดละวาง”
เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ
ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป



พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม ณ สถานธรรมหงเต้า
จ.เชียงราย เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
แก้ไขชื่อเพลงพระโอวาท หน้า ๓๕
ชื่อเพลงเดิม ทุกอัตตา        แก้เป็น ทุกข์อัตตา

แก้ไขเพลงพระโอวาทย่อหน้าที่ ๓
เดิม หวังว่าที่สอนไปยิ่งต้องเข้าใจทุกอัตตา ไม่ทุกข์ให้เกินทน สุขทุกข์เป็นเรื่องสัญญา เสียงตอบมาก็ยิ่งน่าฟัง
แก้เป็น หวังว่าที่สอนไปยิ่งต้องเข้าใจทุกข์อัตตา ไม่ทุกข์ให้เกินทน สุขทุกข์เป็นเรื่องสัญญา เสียงตอบมาก็ยิ่งน่าฟัง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา