แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฐันจู่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฐันจู่ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-22 ชั้นผู้ดูแลสถานธรรม ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ


元二〇一七年嵗次丁酉三月二十六日           仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐          ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  รากฐานธรรมต้องมั่นคงแข็งแกร่ง      การลงแรงขยันเก่งแต่อ่อนน้อม
สมานกลมกลืนกับผู้คนอย่างรอมชอม    แลต้องพร้อมอยู่เบื้องหลังฉุดช่วยคน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนเหนื่อยไหม

  หมั่นเข้าใจความลำบากของผู้คน       คือฝึกตนให้เกียรติคนเป็นพื้นฐาน
ให้อภัยข้อผิดพลาดกันและกัน           ฝึกตามทันปรับอารมณ์ไม่ตามใจ
หมั่นชื่นชมความดีงามของผู้อื่น          คือฝึกคืนใจบริสุทธิ์ให้คงไว้
กล้ายอมรับข้อผิดพลาดตนได้เมื่อไร      คือคนที่เข้าใจชีวิตจริง
จะร้ายดีก็ล้วนต้องเป็นไป                คนฝึกใจทำใจได้ใจก็นิ่ง
ราบรื่นหรือวุ่นวายล้วนคือความจริง     รักษาใจปกตินิ่งสงบวาง
ไม่มีเราหรือของเราในทุกสิ่ง              มีแต่ธรรมหมุนตามจริงในสรรค์สร้าง
ในความเกิดมีความดับทุกสรรพางค์      ผู้รู้แจ้งก็ย่อมว่างจากทุกข์พลัน
                                                                      ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ก็แค่วาระใช้ให้หมดสิ้น แต่จงจำสิ่งที่อาจารย์พูดไว้อย่างหนึ่งว่า กรรมเป็นเพียงแต่ที่สังขารแต่ที่จิตหามีกรรมไม่ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม  เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ที่จิตเดิมแท้ไม่เคยมีกรรม ไม่เคยมีทุกข์ มันมีอิสระอยู่ทุกเมื่อ จงตื่นรู้นะ ตื่นรู้อย่างคนที่เข้าใจที่แท้จริง กรรมเป็นของสังขารหาใช่ของจิต เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
ทุกคนมีกรรมแค่ทางสังขาร แต่จิตเรามีอิสระได้ จิตเราพ้นทุกข์ได้ แต่เราตื่นรู้หรือยัง หรือเรายังตกเป็นทาสของสังขารอยู่ร่ำไป เรามีกรรมแค่ใช้ตามสังขารแต่เราไม่มีกรรมทางจิต จิตเราอิสระอยู่แล้ว แต่ศิษย์มักจะเอาตัวตนไปเชื่อมกับสังขาร จึงทำให้เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราเข้าใจว่าจิตเดิมแท้ของเรามีธรรม ธรรมที่ไม่มีตัวตน ธรรมที่ไม่ต้องการผู้คนมาครอบครอง เมื่อนั้นศิษย์จะกลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่ต้องทุกข์ ทุกข์มันเป็นสังขาร อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจธรรมจริงๆ เพราะถ้าเมื่อเข้าใจธรรมศิษย์จะรู้ว่ามันทุกข์แค่กาย แต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ เรามีอิสระเดิมแท้อยู่ในตัวเรา มีธรรมเดิมแท้อยู่ในตัวเรา เราเคยหันมาเจอหันมามองไหม เราเคยเห็นธรรมไหม ไม่เคย เราเคยเห็นแต่นิสัยตัวตน ซึ่งมันน่าเสียดายนะศิษย์  จะเอามันมาขังตัวเองอีกทำไม จริงหรือเปล่า อาจารย์พูดไม่ได้ห่างจากธรรมเลย อาจารย์พูดว่าให้ศิษย์กลับมา เมื่อไรเจอเรื่องอะไรหันมามองตัวเอง  กลับมามองอย่างคนที่มีธรรม กลับมามองอย่างคนที่เข้าใจธรรม แล้วศิษย์จะรู้ว่า อ๋อ..มันไม่มีอะไร แต่เรากำลังยึดถือเพราะความคิดความหลงผิด ความเข้าใจ ความเป็นตัวตน ความเป็นอัตตาเท่านั้นเอง เพราะจริงๆ แล้ว หัวใจแห่งการพ้นทุกข์คือความไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ใช่ไหม ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะเรายึดอะไร อาจารย์ถามหน่อย ถ้าไม่มีมันตายไหม ธรรมสอนให้คนฉลาดนะศิษย์ ธรรมไม่ได้สอนให้คนโง่ ทำไมถึงที่สุดท่านถึงบอกว่าปัญญาล่ะ แล้วปัญญาคืออะไร คือความฉลาดไม่ใช่หรือ ฉะนั้นธรรมไม่ได้สอนให้ศิษย์โง่ แต่ความเป็นตัวตนทำให้เราโง่ในบางเรื่อง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นศิษย์เป็นคนมีปัญญา ศิษย์เป็นคนที่สามารถเข้าถึงปัญญาได้ แต่อย่าให้ความเป็นตัวตนนั้นขังจนมองไม่เห็นปัญญา ใช่ไหม ความทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่หลงผิดคิดว่าตัวเองต้องทุกข์สิน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้ทุกคนเขียนฐันจู่ในใจฉัน คนละข้อ และอาจารย์จะนำไปให้ฐันจู่ในชั้นได้รู้)
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ล้าไหม (ไม่ล้า) ท้อไหม (ไม่ท้อ)  อ่อนแอหรือเปล่า (ไม่อ่อนแอ) ใจยังเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  จิตใจแรกเริ่มกับจิตใจตอนนี้เหมือนเดิมไหม จิตใจเดิมไม่มีวันเปลี่ยน แต่ใจคนมันเปลี่ยน เหมือนอาจารย์ถามว่าเหมือนเดิมไหม ต้องตอบว่า (เหมือนเดิม) คนที่ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยไปมองใจเดิมแท้เลย ใช่ไหม
ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็ง จริงไหม อาจารย์ไม่เคยสอนให้อ่อนแอ อาจารย์สอนให้ศิษย์เข้มแข็ง อาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนฉลาด ฉลาดที่บางครั้งจะต้องรู้จักโง่ให้เป็น และตอนไหนควรจะฉลาดให้เป็น ถูกไหม (ถูก)  เพราะธรรมะเป็นหลักของผู้มีปัญญา ปัญญาที่คิดได้ ปัญญาที่เข้าใจ จริงหรือไม่ (จริง)
ศิษย์เอ๋ย...ฐันจู่ คนดูแลสถานธรรม คิดง่ายๆ อาจารย์ถามว่า ตอนนี้เราเป็นฐันจู่ มีญาติธรรมมาบ่อยๆ เยอะขึ้น หรือหายไปเยอะขึ้น น่าจะเยอะขึ้น ถ้าหายไป โทษเขาหรือโทษเรา (โทษเรา)  แล้วที่เหลือมาอย่างจำใจหรือมาอย่างมีความสุข (มีความสุข)  อยากรู้ว่าเราเป็นผู้ดูแลสถานธรรมที่พร้อมสมบูรณ์จริงหรือยัง ให้หันกลับไปมองญาติธรรม ให้หันกลับไปมองคนที่ตามมาเบื้องหลัง เขาสะท้อนกับเราว่าอย่างไร นั่นแหล่ะคือความเป็นตัวเราที่ปฏิบัติมา จริงไหม (จริง) ตัวเราขยันไหม ตัวเราดูแลห้องพระ ทำให้ห้องพระสกปรกหรือเปล่า เราต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือไม่ เรารังเกียจรังงอน ตั้งข้อแม้ ตั้งข้ออะไรเยอะแยะหรือเปล่า ต้องถามตัวเรานะ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเป็นผู้ดูแลสถานธรรมใจต้องกว้าง ใจต้องใหญ่ ใจต้องเมตตา เรากว้างไหม เรามัวแต่ห่วงตัวเอง หรือเปล่า บำเพ็ญถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังห่วงตัวเองก็จะดูแลใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเอง จริงไหม (จริง) 
เราต้องเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมทำไมต้องมีผู้ดูแลสถานธรรม อาจารย์อยากจะบอกว่าผู้ดูแลสถานธรรมเป็นเหมือนรากของต้นไม้ เป็นเหมือนท้องเรือที่สำคัญ หรืออีกอย่างหนึ่งเขาเรียกเป็นเหมือนอะไรที่อยู่ข้างหลัง (หางเสือ) หางเสือดีเรือที่อยู่ข้างหน้าก็ไปได้ดี หางเสือไม่ดีเรือก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าอ้างว่าแก่แล้ว ถึงแก่แล้วแต่แก่อย่างคนที่น่ารัก ถึงแก่แล้ว แต่เป็นฐันจู่ที่ดูแลอบอุ่นเย็นใจสบายใจ มีหรือใครจะไม่มาช่วย ใช่ไหม (ใช่) เป็นฐันจู่ไม่ใช่เอาแต่ชี้นิ้วใช้เขา ได้ไหม (ไม่ได้) เป็นไหม ฉันทำเยอะแล้ว ต่อไปเธอทำบ้าง เธอทำเยอะๆ มีหน้าที่ใช้เขาได้ไหม (ไม่ได้) ใช้ไม่ได้นะ ต้องให้เขาสมัครใจ จริงไหม (จริง)  “อ้าว! อาจารย์ไม่ใช้เขาเลย แล้วเขาจะรู้งานหรือ” อาจารย์ว่าตอนแรกเขาไม่รู้ แต่ต่อไปเขาจะรู้เอง เมื่อเราทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่ช่วยเราเลยหรือ จริงไหม (จริง)  ให้เขาขยับด้วยตัวเอง  ดีกว่าเราบอกให้เขาขยับ คุณค่าของความหมายมันต่างกันนะศิษย์ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ให้เขาออกมาจากใจ ช่วยเราด้วยใจ กับการบังคับแบ่งหน้าที่ ใช่แบ่งหน้าที่ แต่ถึงเวลาฐันจู่ก็ต้องเป็นอย่างไร ต้องรู้ทุกหน้าที่ด้วย แบ่งหน้าที่เป็นหน้าที่ของอาจารย์ข้างบนอีกทีหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราคือคนที่อยู่ตรงกลางที่ต้องสมานกลมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ศิษย์เป็นคนดูแลสถานธรรม บางครั้งอาจจะไม่ค่อยได้ไปห้องพระเลยก็มี บางคนเป็นแต่ชื่อ ไม่ค่อยได้ไปเลย มีไหม ไม่ได้นะ อย่าเป็นแค่ชื่อ ตัวเราเองมีโอกาสต้องไปช่วยดูแลเป็นส่วนหนึ่งด้วย อย่ามีแค่ชื่อ อย่ารอให้มีงานแล้วค่อยเข้า อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นผู้ดูแลที่แท้จริง มีโอกาสว่างเราต้องรีบไป ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าบอกว่าเราเป็นผู้ดูแล เคยไหมน้อยอกน้อยใจ ไม่เห็นมีใครมาอยู่ช่วย ปล่อยเราทำงกๆ อยู่คนเดียว เป็นบ่อยไหม มีทั้งเป็นและไม่เป็น คนที่ขยันทำอยู่คนเดียวนั่นแหล่ะมักจะเป็น ส่วนคนที่ไม่เป็น คือไม่ค่อยได้มาทำ นานๆ มาที ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อาจารย์จะบอกศิษย์นะ ห้องพระใหญ่ ใจต้องใหญ่ ห้องพระเล็กใจก็ต้องใหญ่กว่าได้ด้วย จริงไหม (จริง)  อยากให้เขาเข้าใจหัวอกเรา ตัวเราต้องเข้าใจหัวอกเขา พูดคำหนึ่งว่า เป็นฐันจู่ไม่มีน้ำใจมาช่วยฉันเลย แต่เมื่อไรที่เราอ้าปากว่าเขาไม่มีน้ำใจ เราก็ไม่มีน้ำใจเข้าใจเขาเลย ถูกไหม (ถูก )  ว่าเขาใจแคบไม่ช่วยเราเลย เราก็เป็นอย่างไร จริงไหม (จริง)  ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะของผู้คน เราทำได้ เราก็ได้ เขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้เลย เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหยุมหยิมไร้สาระ แต่อาจารย์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องหยุมหยิมไร้สาระนี้ เมื่อไรจะมองข้ามสักที คนที่เดินเข้ามาก็ว่าฐันจู่ไม่ดี ฐันจู่ก็ว่าคนที่เดินเข้ามาไม่ได้เรื่อง อย่างนี้เรียกว่า ร่วมบำเพ็ญกันถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)
ฉะนั้นจงใช้ชีวิตอย่างผู้ที่มีเมตตาเข้าใจและเปิดใจกว้าง  ศิษย์จะไม่มีคำว่า เสียใจ เคืองแค้น โกรธเคือง ไม่เข้าใจ  จงรู้จักใช้เมตตา ความเข้าใจ เปิดใจกว้าง ในการอยู่ร่วมกับผู้คน เมื่อไรที่ศิษย์ใช้คำว่า เมตตา เข้าใจ เปิดใจกว้าง ศิษย์จะไม่มีคำว่า เสียใจ ผิดหวัง โกรธเคือง  ไม่เข้าใจ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังเสียใจ ไม่เข้าใจ ผิดหวัง แปลว่าศิษย์ยังเมตตาไม่พอ เข้าใจเขาไม่มากพอ ใจยังเปิดกว้างไม่พอ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เมตตาพอใจเปิดกว้างพอ เข้าใจพอ เราทำเราก็ได้ เราทำเราก็สุขใจ ใครไม่รู้ จำไว้ว่าฟ้ารู้ อาจารย์รู้ ศิษย์รู้ ไม่เห็นต้องน้อยใจเลย จริงไหม (จริง) 
ทำไปเถอะศิษย์ ยิ่งทำมันยิ่งได้ ไม่ทำซิ ไม่มีวันได้ แต่ถ้าทำไปตัดพ้อไป มันทำไปก็เหมือนกระชอนก้นรั่ว  ทำแบบนี้ดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ทำแบบนั้น ถ้ายังทำใจไม่ได้ ก็ก้มหน้าก้มตาทำไปบ่นไป ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำอย่างไร เดินหนีไปเลย ได้ไหม (ไม่ได้ )  แล้วทำอย่างไร
ถ้าตอนนั้น ยังทำใจไม่ได้ หันกลับมาทำใจ ทำใจอย่างไร เข้าใจเขาให้มาก อ๋อ! เขาคงติดธุระ อ๋อ! เขาคงมีงาน ไม่เป็นไร เขาให้โอกาสเราทำเต็มที่ ขอบคุณ ปรับใจของเรากลับก่อนที่จะไปทำใหม่ ไม่อย่างนั้นทำไปก็รั่วไป ไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่ฝืนทำไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใช่หรือเปล่า (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  ขอบคุณอาจารย์เลยหรือ เพิ่งรู้หรือ แล้วที่ผ่านมา รั่วไปถึงเท่าไหร่แล้ว ใช่ไหม ทำไปด่าไป ใช่ไหม ทำไปบ่นไป ไม่ได้นะศิษย์ ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วบ่น หันกลับมาจัดการใจของตัวเอง ปรับให้เข้าใจ  ปรับให้เมตตา ปรับให้ใจกว้าง แล้วเราจะได้ไม่มีจุดด่างพร้อย งานนั้นจะได้ทำออกมาอย่างบริสุทธิ์ และดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอย่างเต็มเปี่ยม ถูกหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก่อนอาจารย์จะขึ้นมาหาศิษย์ อาจารย์ให้คนข้างล่างเขาเขียนว่า “ฐันจู่ในใจของฉัน” อ่านแล้วไม่ต้องบอกว่า ข้อนี้ต้องคนนี้แน่เลยไปเขียน ไม่ให้ศิษย์ไปคิดอย่างนั้น แต่ให้ศิษย์อ่านแล้วกลับมาย้อนมองตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงเขียน “ฐันจู่ในใจของฉัน” เขาอยากได้แบบนี้ แต่ศิษย์ไม่ได้เป็นแบบที่เขาอยากได้หรือเปล่า
        มาช่วยกันดูคร่าวๆ แล้วหันกลับมามองตัวเอง ไม่ใช่ดูหนึ่งข้อ อ้อ.คนนี้เขียน ดูอีกหนึ่งข้อ คนนี้ว่าฉันแน่ ถูกไหม (ไม่ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ในชั้นร่วมกันอ่านฐันจู่ในดวงใจที่ผู้ปฏฺบัติงานธรรมร่วมกันเขียน ทั้งหมด ๒๒ ข้อ) 
  • มีอัธยาศัยที่ดี ต้อนรับญาติธรรมทุกคน
  • พูดจาไพเราะ ไม่ดุดัน
  • มีน้ำใจ และอภัยญาติธรรม
  • ใจกว้าง จริงใจ
  • มีความอบอุ่นเสมือนญาติผู้ใหญ่
  • ดูแลเอาใจใส่ห้องพระ สถานธรรม
  • มีความอดทนอดกลั้น
  • ไม่ตัดพ้อต่อว่า
  • ไม่หวงอาหารการกิน
  • รับฟังปัญหาและเป็นผู้ฟังที่ดี
  • อ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อฟังอาวุโส
  • เมตตาต่อผู้น้อย
  • เมื่อมาสถานธรรมพบฐันจู่เสมอ
  • ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
  • แบ่งปันเรื่องราวการบำเพ็ญ
  • สามารถสอนและฝึกฝนพุทธระเบียบ
  • รู้จักบทบาทหน้าที่ของฐันจู่
  • สร้างบรรยากาศเป็นกันเองกับญาติธรรม
  • มีความปรารถนาดีต่อทุกคน
  • สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
  • ทำห้องพระให้สะอาด
  • ขยันหมั่นเพียร ตรงต่อเวลา
แต่ถ้าคิดกลับกันอีกด้านหนึ่งก็คือ เรามีทั้ง๒๒ข้อครบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าจะคิดอย่างผู้บำเพ็ญเรายังไม่ครบ เราจะต้องทำให้ครบ ฉะนั้นคิดสูงก็ได้กำลังใจ แต่ไม่ใช่การคิดร้ายแล้วกดขี่ข่มเหงจิตใจก็ไม่ใช่ การคิดเพื่อมองอีกด้านหนึ่ง มองทั้งสองด้าน เรียกว่ามองให้สมดุล มองเข้าข้างตัวเองก็ยกเกินไป มองติตัวเองจนไม่มีกำลังใจให้อยากทำอะไร ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมทำไมจึงพูดว่าต้องให้เดินสายกลาง ไม่ใช่ยกตัวเอง และก็ไม่ใช่กดตัวเอง และก็ไม่ใช่มองตัวเอง และก็ไม่ใช่มองเขา แต่มองทั้งเขามองทั้งเรา อย่างสมานกลมกลืนอย่างรักษาความเป็นสมดุล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาว่าแบบนี้ เราลองตรวจสอบดู เรามีแบบนี้ไหม ถ้ามีแบบใดที่ดีแล้วก็รักษาต่อไป แต่ถ้าแบบใดไม่ดีก็จงแก้ไข อย่าให้อับอายเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะข้อบางข้อไม่น่าจะมีเลย หวงของดีไหม (ไม่ดี) ใครจะจับอันโน้นไม่ได้ ผลสุดท้าย อันนี้ของฐันจู่ห้ามกิน เขียนแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เมื่ออยู่ห้องพระส่วนรวมแล้ว จะเขียนชื่อว่าอันนี้ของฉัน อันนั้นของฉัน ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นต้องทำใจ ถ้าออกมาแล้วก็กลายเป็นของส่วนรวม ถ้าไม่อยากให้เขาเห็นล่อตาล่อใจก็เก็บไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  พูดอย่างคนเปิดอก เขามาห้องพระ บางครั้งเขาหาอะไรกินไม่ได้ เขาเห็นแล้วหยิบกินโกรธไหม เห็นไหมเขียนชื่ออยู่ไม่รู้หรือ ตอนนั้นเป็นการฝึกใจเราอย่างดีเลยนะศิษย์ เปลี่ยนเป็นอะไรดี กินไปแล้วหรือ สงสัยชื่อเขียนไม่ชัด ดีไหม (ไม่ดี)
ฐันจู่อยากเขียนไหมว่า เจี่ยงซือในใจฉัน เตี่ยนฉวันซือในใจฉัน ปั้นซื่อในใจฉัน อยากเขียนไหม (ไม่อยาก)  ถ้าศิษย์กล้าพูดกับอาจารย์เต็มปากเต็มคำว่าไม่เอา อาจารย์ภูมิใจนะ แปลว่าใครแบบไหนศิษย์ก็รับได้ ใครแบบไหนศิษย์ก็เข้าใจ ไม่เรียกร้อง นี่ถึงเรียกว่าหัวใจฐันจู่ รับให้ได้ทุกแบบ แล้วทำทุกแบบให้สมานกลมกลืนกับเบื้องบนเบื้องล่างให้ได้ นี่แหละหัวใจฐันจู่เลยศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นฐันจู่ที่โด่เด่ไม่มีใครเอา ยืนขวางคลอง ยืนขวางเป็นอะไรอยู่อย่างนั้นไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เราฝึกบำเพ็ญเพื่อย้อนมองส่องตนแก้ไขจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ  เพราะหัวใจของการเข้าใจธรรม กลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่มีคำว่า ตัวฉัน ตัวเขา  ของฉัน ของเขา อีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ายังมีตัวฉันตัวเขา ของฉันของเขา นั่นยังไม่เรียกว่าผู้ที่เข้าใจบำเพ็ญธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
ฉะนั้นเมื่อใดที่เราเจอเรื่องอะไร อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์หันกลับมามอง โดนเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ถามใจศิษย์เมตตาหรือยัง เข้าใจเขามากหรือเปล่า หัวใจเปิดกว้างไหม ถ้าเมตตาแล้ว เข้าใจเขาแล้ว ใจเปิดกว้างที่สุดแล้ว ไม่มีคำว่าคนแย่หรอก ถูกไหม เพราะหัวใจที่ยิ่งใหญ่อะไรก็เข้าใจ
อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับ ว่าใจของฐันจู่ คำว่า “เมตตา” หมายความว่าอย่างไรหรือ
(ให้อภัยทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น, อย่าพยายามค้นหาความผิดของผู้อื่น, ต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น, ต้องแก้ไข, มีความรักให้กับทุกคนโดยไม่มีข้อแม้, ยอมรับในสิ่งที่เขาติในทุกสภาวะ, โอบอ้อมอารี, ให้ความรักความห่วงใยกับทุกคน, ให้ความอบอุ่นกับญาติธรรม, ใจกว้างเข้าใจยอมรับ, แก้ไขปัญหาให้ญาติธรรม, ให้ทุกอย่างที่ให้ได้, เสียสละและใจกว้าง, ใจกว้างรับความจริงให้ทุกเรื่องเป็นที่ปรึกษาให้เขา, ต้องดูแลญาติธรรมให้เหมือนคนในครอบครัว, ให้โดยไม่หวังผล, แสดงความรักต่อญาติธรรมทุกท่าน)
ศิษย์แต่ละคนตอบได้ (ดี)  อาจารย์ว่ายังตอบได้ไม่ดีพอ ศิษย์มักจะติดคำว่าดีกัน บำเพ็ญติดดีมากเกินไปก็ไม่ดี พอเจอคำว่าไม่ดีก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่ายังตอบได้ไม่ดีพอ ทำไมอาจารย์ถึงพูดคำนี้ เพราะผู้ที่เข้าถึงความเมตตาที่แท้จริง ต้องบอกว่า เรายังทำได้ไม่ดีพอ เรายังจำกัดความ แปลว่าเมตตาของศิษย์มีความจำกัด ถ้าเรายังสรุปคำแปลความเมตตาของศิษย์มันมีแค่ศิษย์สรุปความ แปลว่าที่เหลือนั้นศิษย์ยังไม่สามารถเมตตาได้เต็มที่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมตตาคืออะไร บางทีตอบไม่ได้  แต่ถ้าอาจารย์จะพูดอย่างเข้าใจง่ายๆ ก็คือ เห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจธรรม ยิ่งช่วยเขามากเท่าไหร่เรายิ่งเข้าใจธรรมมากเท่านั้น เขาคือความเป็นธรรมที่ทำให้เรายิ่งเข้าถึงแล้วเข้าใจ ยิ่งเข้าถึงปฏิบัติแล้วได้เห็นความเมตตา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมตตาก็คือเห็นเขาไม่มีคำว่าต่างกับเรา เห็นเขาคือสภาวธรรมแห่งการเวียนว่ายในทุกข์ แล้วอยากทำให้เขาพ้นทุกข์ แล้วเมื่อเราไปจับเขาก็คือการที่เราได้จับธรรม เมื่อไรที่เราวิ่งไปช่วยเขา เมื่อนั้นเรากำลังช่วยให้ธรรมในใจของเราชัดขึ้น ฉะนั้นเขาก็คือธรรม เราก็คือธรรม แต่การช่วยเขามากเท่าไหร่ ทำให้เราเห็นธรรมในใจเรามากขึ้นเท่านั้น จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเข้าถึงเมตตาธรรมยังไม่ถึงนะ  ส่วนที่ไม่ตอบเพราะ เพราะรู้สึกยังไม่เมตตา ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการบ่งบอกตัวเรา ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม อาจารย์ย้ำอยู่ทุกๆ ที่ ให้ศิษย์ย้อนกลับมา เจอเรื่องอะไรย้อนกลับมา ศิษย์จะเห็นธรรม ศิษย์จะแจ้งธรรม ศิษย์จะตื่นรู้ในธรรมทันที โดนเขาว่า โดนเขาพูด โดนเขาทำอะไรก็แล้วแต่ หันกลับมา เรายังขาดธรรม เรายังพร่องในธรรม เรายังไม่มีธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นทำ เรายังไม่ถึงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จริงๆ วันนี้มีหลายเรื่อง มีหลายอย่างที่อาจารย์อยากเน้นย้ำให้ศิษย์ของอาจารย์ทำให้ได้และไปให้ถึง เพราะถ้าเราอยู่ในห้องพระ ดูแลห้องพระ เป็นเสาหลักอีกเสาหนึ่งของห้องพระ เราก็จะต้องมีความเข้าใจธรรมที่แจ่มชัด เพราะเมื่อไรที่เราเจอเรื่องราว เมื่อไรญาติธรรมเจอเรื่องราว เราสามารถตอบเขาได้ เราสามารถไขปัญหาให้เขาได้  เหมือนอาจารย์ถามว่า ถ้าบำเพ็ญธรรมแล้ว ทำไมยังต้องเจ็บปวด ถ้าบำเพ็ญธรรมทำไมยังเจอโชคร้าย ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ไหม ว่าอย่างไร  (เพราะเรายังมีตัวตน เรายังมีกรรมเก่า เราจึงต้องใช้กรรม)  เราต้องบอกว่าเรากำลังใช้กรรมเก่า เราไม่สร้างกรรมใหม่ เรากำลังได้หมดกรรมเก่า เพื่อจะได้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า บำเพ็ญธรรมแล้ว ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วอุบัติเหตุไม่เจอ
สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องรู้แล้วเข้าใจก็คือ เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรม มนุษย์ถึงได้พ้นการเกิด แก่ เจ็บตาย แต่เราหยุดการเกิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจ ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่มีโชคร้าย มีแต่โชคดีเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นไปไม่ได้ เคราะห์ภัยไข้เจ็บโชคร้ายเป็นเรื่องของกรรมเก่า
เรามีความเป็นปกติของสังขารที่จะต้องแก่ เจ็บ ตาย ฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติของสังขารหาใช่ปกติของจิตเดิมแท้ ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ เรามีกรรมเพียงแค่สังขาร แต่เราไม่มีกรรมทางจิตใจเดิมแท้ จิตเดิมแท้เราไม่มีกรรม แต่เรามีกรรมเพียงแค่สังขารของตัวตน ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังยึดสังขารแห่งตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นการทำที่ก่อเกิดเป็นกรรมไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์บำเพ็ญธรรมจนเข้าถึงสภาวธรรม มันไม่มีกรรมที่ต้องกลับไปชดใช้ ไม่มีกรรมที่ต้องไปเวียนว่าย เมื่อไรที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นในความดีความร้าย มนุษย์จึงหนีไม่พ้นกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เข้าถึงสภาวธรรม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า การเกิด นั่นแหล่ะเรียกว่าเข้าสู่ธรรม ฉะนั้นถามตัวเองว่า บำเพ็ญธรรมเดินถูกทางไหม ถ้ายังยึดติดดีชั่ว แปลว่ายังยึดติดในการมีกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราไม่ยึดติดดีชั่ว เรามองเห็นความเป็นจริงแห่งสภาวธรรมเราก็คือธรรม  ทำไมอาจารย์ถึงเน้นให้มันยาก แต่อาจารย์ว่าไม่ยากถ้าเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจแล้ว ศิษย์เจอเรื่องราวอะไร ศิษย์ก็จะบอกว่า มันเป็นธรรมดาของสภาวธรรมของสังขาร มีใครไม่โดนว่า มีใครไม่โดนด่า มีใครไม่ถูกชื่นชม มีใครไม่เจ็บ มีใครไม่สูญเสีย เป็นธรรมดาของสภาวธรรมที่ยังมีสังขาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  
แต่ถ้าเราบำเพ็ญธรรมจนเข้าถึงธรรมแล้ว มันเป็นเรื่องของสังขาร ไม่ใช่เรื่องของจิตเดิมแท้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง มันจะมีไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของผู้บำเพ็ญธรรมและผู้ดูแลสถานธรรม จำไว้เลยศิษย์ไม่มีบาปใดน่ากลัวเท่ากับความหลงผิดและยุยงคนในห้องพระให้แตกแยก นั่นคือกรรมที่หนัก อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนอย่าได้มีใจเช่นนี้ ความหลงผิดและจิตใจที่แบ่งแยก นี่คนของฉัน นี่คนของเธอ อย่าได้ทำแบบนี้ เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม ไม่มีบาปใดน่ากลัวเท่ากับยุยงคนบำเพ็ญธรรมให้แตกแยกและทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วศิษย์จงจำไว้อีกอย่างหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราไม่มีหน้าที่ไล่ใครออกจากห้องพระ ไม่ได้นะศิษย์  เขามาก็เป็นบุญกรรมของเขา แม้จะเป็นคนบ้าศิษย์ก็ต้องค่อยๆ ทำกับเขา มีตั้งหลายที่ไม่เดินมา เดินมาหาเรา แล้วเราจะไล่เขาอย่างกะหมูกะหมาได้ไหม คิดว่าอาจารย์มาก็แล้วกัน ดีไหม (ดี)  ดูแลอย่างไรให้ดี ให้อาจารย์เดินออกไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนย้อนมองส่องใจศิษย์ อย่ารังเกียจใคร และขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมอย่าฆ่าใครในห้องพระมันบาปนะศิษย์ ไม่ว่าฆ่าด้วยวาจา ฆ่าด้วยสายตาเหยียดหยาม ฆ่าด้วยท่าทีเมินเฉย อย่าทำนะ เป็นฐันจู่เปิดใจกว้าง ยอมรับด้วยความเข้าใจ เปิดกว้างเท่าไหร่ ศิษย์ก็คือใจฟ้า เข้าใจมากเท่าไหร่ศิษย์ก็คือฟ้าดินที่สมานกลมกลืน ใช่ไหม (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ยากอย่างเดียวคือไม่ยอมทำ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าบอกว่าหนูทำไม่ได้ แล้วยิ่งช่วงนี้มีหลายเรื่องราวเข้ามาทดสอบจิตใจ จริงๆ อาจารย์ไม่อยากใช้คำว่าทดสอบใจเลย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า มันเป็นความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะเหตุปัจจัย ไม่ว่าเจอโชคร้าย ไม่ว่าจะเจอโรคร้าย ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้าย อาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์ดีใจ เพราะอะไรรู้ไหม ดีใจได้ใช้เขาให้หมด ดีใจที่จะได้จบกันแล้ว ดีใจที่มีโอกาสได้หมดเคราะห์หมดโศกแล้ว ทำไมไม่ดีใจ จะยึดทำไมให้ทุกข์ จะห่วงทำไมให้เจ็บปวด จะป่วยก็ป่วยไปสิ อาจารย์ยังต้องป่วยเลย อาจารย์ยังโดนนินทาเลย อาจารย์ยังโดนเขาเหยียบเลย อาจารย์ยังโดนคนดูถูกเลย  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ยอมแพ้ไหม (ไม่ยอม)  นั่นแหละทำให้อาจารย์เป็นอาจารย์ ทำให้พุทธะเป็นพุทธะ ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะเข้าใจในความเป็นธรรมที่มันเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น มันจะร้ายต่อใจศิษย์ก็ตาม แต่มันร้ายหรือ มันดีมากๆ ต่างหาก ดีที่ได้เข้าใจ ไม่มีอะไรต้องยึดเลย ให้ทิ้งท้าย ฉะนั้นความเจ็บปวดมันคือการสละที่ติดค้างให้กับโลกนี้ แต่สละอย่างคนที่ให้แล้วมีความสุข ป่วยอย่างไรมีความสุข นี่แหละคือสุดยอดบำเพ็ญ ป่วยถึงขั้นสุดท้ายแล้วยังมีความสุขได้ นี่แหละเขาเรียกว่าสละจนเข้าถึง เจ็บมันเจ็บแค่กาย มันร้องไห้ได้หัวเราะก็ได้ ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ต้องดีใจสิ ดีใจที่ได้เจอเรื่องแบบนี้ อย่าเศร้า อย่าทุกข์ ขอบคุณมันที่มันทำให้ศิษย์ได้สละ ไอ้ชิ้นสุดท้ายตัวนี้ ให้ฉันสละจนฉันทุกข์ถึงธรรม ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง) 
จะตัดพ้อทำไม บำเพ็ญมาตั้งนานทำไมหนูยังต้องเจอโรคแบบนี้ ทำไมหนูต้องเจ็บแบบนี้ อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์อย่าคิดแบบนี้ เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์ทำมามันจะล้างทิ้งหมดเลย ไอ้ที่หนูทำมามันไม่ช่วยอะไรหนูเลย เป็นเพราะว่าหนูเจ็บ ทำไมเป็นแบบนี้ อย่างนี้คิดไม่ถูกนะศิษย์ จริงไหม (จริง)  ทนทำดีมาแทบตาย พอป่วยแค่นี้ ทำไมธรรมะไม่เห็นดีเลย ทำไมหนูยังต้องเจ็บแบบนี้ นั่นคือศิษย์ไม่เข้าใจธรรมเลยนะ ถ้าพูดแบบนี้ สิ่งที่ทำมาทำไมศิษย์ไม่มีความภูมิใจ ไม่มีความศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น แล้วทำลายมันทิ้งเพียงแค่ศิษย์เจ็บปวด ศิษย์เจออุบัติเหตุ ศิษย์เจอความทุกข์ ถูกหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องดีใจที่ได้เข้าใจ ดีใจที่ได้แจ่มแจ้งในธรรม ดีใจที่ได้ละวางและเข้าถึงธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เข้าใจในหลักธรรมมากๆ เพราะว่าถ้าศิษย์ยิ่งเข้าใจมากเท่าไร ศิษย์จะรู้ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าศิษย์ยังทุกข์อยู่ แปลว่าศิษย์ยังยึดมั่นมันอยู่ไม่ปล่อยวางต่างหาก จริงไหม (จริง)  แล้วบำเพ็ญธรรมมีไหมที่ตัดพ้อว่า อาจารย์เมื่อไรจะถึงที่สุด เคยไหม มันต้องไปถึงที่สุดเมื่อไหร่ล่ะอาจารย์ อาจารย์พูดไม่ออกถ้าศิษย์พูดแบบนี้ บอกไม่ถูกเลยว่าจะบอกศิษย์ว่าอย่างไร เพราะว่าทุกอย่างถ้าศิษย์เข้าใจจริงๆ ศิษย์จะรู้ ว่าไม่ได้เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวศิษย์เอง ดีกับเขามันก็คือช่วยตัวเอง ช่วยเขามากเท่าไหร่ก็คือช่วยเรามากเท่านั้น ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกอาจารย์ว่าต้องทำถึงเมื่อไหร่ แปลว่าศิษย์ไม่เข้าใจเลย ใช่ไหม ฉะนั้นเข้าใจธรรมมันต้องให้ถึงธรรมนะศิษย์ อย่าเข้าใจธรรมแล้วถึงแค่ความเป็นตัวตนมันหนีไม่พ้นทุกข์ เอาความเข้าใจนั้นไปให้มากๆ แล้วศิษย์จะรู้ว่าเราสามารถหยุดอยู่ตรงนี้ช่วยคน แต่จิตเรากลับมีความสุขที่สุด อิสระที่สุด และมีค่าที่สุด เข้าใจในการมีชีวิต มีความหมายขึ้นมาทันที เหมือนดังคำพูดว่า จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง มากกว่าเอาแต่มองผู้อื่น เมื่อไรที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเองมาก เราจะรู้ว่าทุกเรื่องทุกราวที่มันเกิดขึ้นมันเริ่มที่นี่และมันต้องจบที่นี่ ไม่ใช่ไปแก้ที่คนอื่น เมื่อไรที่ศิษย์เรียนรู้ที่ศิษย์จะอยู่กับความจริง แล้วรู้ว่าอะไรที่ความจริงมันเกิดมันดีที่สุดแล้ว ศิษย์จะบอกอาจารย์ได้เลยทุกวันคือวันที่ดี ทุกวันคือยาอายุวัฒนะ ที่ทำให้ศิษย์มีความสุขมีความหมาย อยู่กับความจริงอย่างคนที่เข้าใจ ทุกวันจะทำให้ศิษย์มีความสุข แล้วมันคือยาที่เยียวยาใจเราได้ ยาชั้นดีเลยนะ อยู่กับความจริง แล้วมันทำให้ศิษย์พอในโลก ฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เข้าใจในปัจจุบันแล้วมองอย่างเมตตา
อาจารย์ให้แบบง่ายๆ จะได้เข้าใจ อีกอันหนึ่งนะ
จงเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีเมตตา มีความเข้าใจ มีใจที่เปิดกว้าง แล้วศิษย์จะไม่มีคำว่าเสียใจ ผิดหวัง เคืองแค้นใจ
จงเรียนรู้ที่จะแก้ไขตัวเองมากกว่าผู้อื่น แล้วศิษย์จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่เราและจบที่เรา
จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับขณะนี้ แล้วศิษย์จะรู้พอ
จงเรียนรู้ที่จะให้ แล้วศิษย์จะมีสุขใจ
จงเรียนรู้ที่จะขอบคุณ แล้วศิษย์จะได้ยาอายุวัฒนะที่ดี
ลองเอากลอนกลับไปพิจารณาดูนะ ดีไหม (ดี)  กลับไปจะอ่านกันหรือเปล่า กลับไปศึกษาแล้วมองตัวเองบ้างไหม ฉะนั้นศึกษาลงแรงบำเพ็ญอย่าหน่ายท้อ อย่าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่น อย่าเอาแต่มีทิฐิ ใช่ไหม  อาจารย์มาเพียงแค่ครู่หนึ่ง อาจารย์คงต้องกลับแล้ว
ยังคงห่วงศิษย์ทุกคนอยู่นะ  รู้จักคิดรู้จักทำอย่าใช้อารมณ์ ทำอะไรจงมีสติรู้จักคิด พิจารณาอย่างคนที่มีปัญญา อย่าใช้อารมณ์เป็นหลัก จงรู้จักใช้ธรรมเป็นหลักอย่าให้ทิฐิมาบดบังปัญญา อย่าทำให้ตัวตนมันทำให้เรามองไม่เห็นความจริงแห่งธรรม แต่จงมีธรรมด้วยสติ จงมีธรรมที่คอยยั้งคิด ให้ดำเนินชีวิตให้ถูกทาง บางครั้งความสบายก็ทำให้คนหลง บางครั้งความยึดมั่นตนก็ทำให้เราก้าวผิดพลาด ฉะนั้นจงคิดไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะทำลงไป เพราะจะทำให้เสียใจทีหลังนะ ใช่ไหม (ใช่) 
เข้มแข้งอย่าอ่อนแอ มีปัญญา มองทุกสิ่งอย่างคนที่เข้าใจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมรอคนทำ ธรรมรอคนเข้าถึงธรรม แต่คนมักยึดติดความเป็นคน จึงมองไม่เห็นธรรม ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ขวัญกำลังใจศิษย์ ศิษย์ก็จงรู้จักให้ขวัญกำลังใจตัวเอง อาจารย์ให้ศิษย์มีปัญญาที่ดีงาม ศิษย์ก็จงสร้างปัญญาในทางที่ไม่หลงผิด อาจารย์ให้ความเข้มแข็งกับศิษย์จิตใจต้องเข้มแข็ง สังขารช่างมัน มันเป็นตามกาลเวลา ใจของศิษย์เข้มแข็งอยู่แล้ว แต่อย่าเอาไปห่วงกับมันมาก จนทำให้จิตมันไม่สู้ ไม่เป็นไรได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องไปกังวลใจ ใจสู้เสียอย่าง
อะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับนะศิษย์ แม้มันไม่เป็นดังสิ่งที่หวัง จิตที่ยิ่งใหญ่คือจิตกล้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยหัวใจแห่งโพธิสัตว์ เข้มแข็ง เรื่องราวทุกอย่างล้วนมาทดสอบและวัดใจเรา ใช่ไหม (ใช่) 
จะให้อาจารย์ช่วยหรือ อาจารย์จะช่วยปัดเป่าได้ชั่วคราวนะ แต่ไม่สู้ปัญญาของศิษย์ที่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ตลอดเวลา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นรู้จักคิดรู้จักทำอย่าทำให้คนเข้าใจผิดด้วยการหลงตัวเองนะ สู้นะศิษย์เอ๋ย เรื่องราวทุกอย่าง ล้วนทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจธรรม ใช่ไหม (ใช่) ต้องทุกข์ได้เยอะๆ ปัญญาจะได้ดีๆ ใช่หรือไม่
ศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลาย อย่าหลงผิดทาง เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ อ่อนแอได้แล้วก็กลับมาเข้มแข็งได้ จริงไหม (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญอย่าหวั่นไหว จงมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ก้าวออกไปให้ถึงหัวใจให้ธรรมที่มันไม่ได้อยู่ไหน มันอยู่ในตัวเรา ที่มันไม่ได้ห่างไกลเลย แต่มันรอวันที่เราตื่นรู้จากความจริงด้วยสติ ด้วยธรรมยั้งคิด ด้วยชีวิตที่เข้าใจชีวิตอย่างเห็นธรรมแต่ไม่อ่อนแอ อย่างคนที่เข้มแข็งและเข้าใจเรื่องราวในโลกใบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าให้ความเป็นตัวตนบังความเป็นธรรมในกาย อย่าให้นิสัยอารมณ์ทำให้ศิษย์ไม่เข้าใจธรรม อย่าให้ทิฐิชั่ววูบทำให้เราห่างไกลกันเลยนะศิษย์ เงินทองไม่ตายหาใหม่ได้ แต่หัวใจที่ดีงามของศิษย์เวลามันผิดแล้วมันกลับคืนมาดีดั่งเดิมมันยากนะ จริงไหม ฉะนั้นอย่าเพียงเพราะความหลงผิดแค่นิดเดียว ทำให้หัวใจที่ดีงาม มันกลายเป็นสิ่งที่สกปรกเลยนะ ใช่ไหม ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วต้องกล้ายอมรับ ใช่ไหม (ใช่) ขอเพียงมีปณิธานมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นที่ดีและจิตใจที่ดีช่วยแปรเปลี่ยนเรื่องราวที่เลวร้ายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีงามได้ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
ฉะนั้นจงเชื่อมั่นในความดีงาม จงเชื่อมั่นในหัวใจที่ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญ อะไรจะเกิดอย่ายอมแพ้แต่มันคือสิ่งที่ดีแล้ว ใช่ไหม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ดีแล้ว ที่ฟ้าให้ศิษย์เพื่อให้ศิษย์เข้าถึงธรรม ไม่ยึดมั่นไม่หลงผิด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดร้ายแค่ไหน แย่แค่ไหน จงรักษาใจที่ขอบคุณ จงรักษาใจที่เข้าใจธรรมนี้ไว้ให้มันถึงที่สุดจนถึงลมหายใจสุดท้าย นั่นแหล่ะ มันถึงที่สุดมันสมบูรณ์แล้วศิษย์ ฉะนั้นอย่าให้อะไรมาพรากความคิด มาพรากจิตของศิษย์เพียงเพราะคิดผิดอันเดียวเองนะ และไม่ว่าจะเจอเรื่องราวอะไรรักษาใจอันนี้ไว้ ใจที่ศรัทธา  ใจที่เชื่อมั่น ใจที่มุ่งมั่นไปให้ถึงจนลมหายใจสุดท้าย ศิษย์ก็ไม่ยอมแพ้ ศิษย์ก็ไม่กล่าวโทษ ศิษย์ก็ไม่ตัดพ้อ นั่นแหละมันสมบูรณ์งามที่สุดสำหรับการบำเพ็ญเลย เชื่ออาจารย์เถอะนะ

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

2553-06-13 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ


西元二0一0年 嵗次庚寅 五月 初二日 仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วัชรกายฐานบัวทองในแดนฟ้า ล้วนฟันฝ่าการทดสอบในโลกนี้
ฉุดช่วยคนร่วมพายเรือให้เต็มที่ ด้วยจิตใจมุ่งมั่นมีแกร่งในธรรม
เราคือ
อรหันต์จี้กงพร้อมนำพาหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทุกข์ยากลำบากเพียงไร

ฐันจู่ต้องเพียรศึกษารับฟังธรรม และทบทวนมาน้อมนำปฏิบัติยิ่ง
หมั่นตรวจสอบเร่งแก้ไขที่ผิดจริง อย่าเที่ยววิ่งตรวจสอบตนไม่ตรวจสอบใจ
ฐันจู่ต้องไม่เคยลืมหน้าที่ตน ด้วยเกียรติแห่งปณิธานตนอันยิ่งใหญ่
ภูมิใจในสิทธิ์และศักดิ์ที่คงไว้ กอปรด้วยจริยะเคร่งครัดในสุภาพชน
ฐันจู่ต้องดุจไม้ใหญ่เงาร่มเย็น อย่าอวดเบ่งคับที่จนคนถอยร่น
คำพูดขาดสำรวมระวังทิ่มแทงจน ขาดหัวใจคนบำเพ็ญไม่เหลือดี
ฐันจู่ต้องใบหน้าอาบอิ่มรอยยิ้ม อบอุ่นพิมพ์ประทับใจคนเยือนนี้
เป็นกันเองด้วยอ่อนน้อมธรรมพาที งานพิธีฉะฉานตรงแม่นยำ
ฐันจู่ต้องขยันส่งเสริมดูแลคน ไม่ยึดติดในผลตนหนุนนำ
อย่าลำเลิกเบิกประจานเป็นประจำ ใจฟ้าทำไม่หวังผลใดใด
ฮา  ฮา   หยุด





พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
และท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน
พระอาจารย์จี้กง : พูดไปได้เยอะหรือยัง นิดๆ หน่อยๆ หรือ อาจารย์มาขัดจังหวะ ขัดเวลาและขัดใจไหม (ไม่ขัด)  เจอหน้าศิษย์อาจารย์ก็ดีใจ แต่อาจารย์อยากบอกความนัยอย่างหนึ่ง อาจารย์ไม่ได้มาคนเดียว จะยิ่งดีใจใหญ่ไหม
รู้ไหมว่าคนที่ได้ตั้งปณิธานเป็นฐันจู่ เบื้องฟ้ามีฐานบัวทองรองรับ แต่ศิษย์บางคนบำรุงเลี้ยงฐานบัวทองได้ไม่ค่อยดี โตแล้วก็เหี่ยว แต่อย่าให้ตายเลยศิษย์ ขอให้เหี่ยวแล้วยังกลับมาสดชื่นชูช่อใหม่ อาจารย์ก็ดีใจแล้ว เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราเป็นอะไร ถ้าวันนี้ไม่มีผู้นำข้างหน้าบอกว่าให้จัดชั้นนี้ ศิษย์บางคนคงลืมไปแล้วว่า ศิษย์ก็มีหน้าที่นี้ด้วยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  คิดถึงเขาไหม (คิดถึง)  เดี๋ยวอาจารย์ให้เวลาเขาอยู่กับศิษย์สักครู่หนึ่งนะ เจ้าบอกหน่อยละกันนะ เจ้าเป็นใคร เขายังไม่รู้
ท่านเฉียนเหยิน : วันนี้มองไปมองมาใครๆ ก็แก่ไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่สาวตอนนี้แก่หมดแล้ว พออายุมากก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เพราะฉะนั้นอุปสรรคเจอมา อย่าท้อใจ อย่าเหนื่อยง่าย อย่าอ่อนแอ ชนะใครไม่ได้ ต้องชนะตัวเอง ฐานบัวเบื้องบน รอให้ศิษย์น้องทุกคนไปไขว่คว้า วันนี้เป็นมนุษย์ก็ถือว่าเป็นโอกาส ถ้าหากวันหนึ่ง ตายไปแล้วแบบเฉียนเหยิน จะสามารถเจริญกุศลใดเล่า มีเวลาหนึ่งวัน ใช้เวลาหนึ่งวัน มีเวลาสองวัน ใช้เวลาสองวัน ใครจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงนี้จะเป็นอย่างไร อย่าได้ดูเบาตัวเอง อย่าได้หน่ายง่าย อย่าได้ลืมตัว ต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ปณิธานตั้งไปแล้ว ต้องเจริญให้ได้ดีที่สุด เราไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักที่จะทำหน้าที่ให้ดีทุกๆ วัน
ไม่เจอกันนาน ทุกคนคงสบายดี ใช่หรือไม่ (สบายดี)  ครั้งนี้
เฉียนเหยินมา มีทั้งความดีใจที่ได้พบเจอ มีทั้งความเศร้าใจอยู่ลึกๆ ที่ได้เห็น หลายๆ คนดูอายุมากขึ้น สมัยก่อนก็คงรู้จักอยู่ไม่กี่คน ก็คือ
เตี่ยนฉวนซือทุกท่าน แล้วก็ปัจจุบันที่เป็นฐันจู่และเจี่ยงซือหลายๆ คน เมื่อก่อนเจอกันไม่กี่คน วันนี้วงการธรรมกว้างขวางแล้ว แต่เรื่องของ
จริยระเบียบ พุทธระเบียบ กลับหย่อนยานไปนิดหนึ่งนะ เราทุกคนลื่นไหลไปตามกระแสโลก  ไม่สามารถประคองตัวเองอยู่ได้ พุทธระเบียบที่ใช้ก็มักจะชอบพลิกแพลงไปตามสภาพตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลิกแพลงไปมา แม้แต่คำว่า “จริยะ” ก็รักษาไม่อยู่ อย่างนี้จะเป็นผู้น้อยที่อยู่ข้างหลังเรา ผู้ได้รับชื่อว่า “หลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน” ได้อย่างไร บางทีจะทำอะไรจึงต้องคิด การไหว้พระจะต้องไหว้ด้วยจิตศรัทธา สำนึกขอขมา และแก้ไขทบทวน ต้องมีระเบียบ ต้องมีวินัย โดยเฉพาะหน้าสถานธรรม หน้าพระนี้ หย่อนยานไม่ได้ ขี้เกียจไม่ได้ สกปรกไม่ได้ และก็มักง่ายไม่ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  หลายๆ คน ที่อยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะว่ามีความรู้น้อย รู้น้อยก็เลยทำได้ผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้ว ศิษย์น้องทุกคนก็รู้ว่าตัวเองบำเพ็ญธรรมผิดๆ ถูกๆ จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วทำไมไม่ทำให้ถูก มโนธรรมสำนึกที่อยู่ภายใน คือคุณครูคนที่สามารถสอนได้ อย่าลืมว่าเวลาเขาสอนอะไรต้องฟังด้วย เพราะว่ามโนธรรมสำนึก คือพุทธะเบื้องฟ้าในอนาคต ผู้ซึ่งศิษย์น้องนั้นต้องฝึกฝน หากว่าไม่รู้จักฟังแม้กระทั่งจิตใจของตัวเอง แล้วจะสามารถนำพาวงการธรรมต่อไปได้อย่างไร
วงการธรรมจะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเตี่ยนฉวนซืออย่างเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นฐันจู่ทุกคนด้วย เพราะว่าพิธีกรรมก็เกิดขึ้นในสถานธรรม จะชวนคนรับธรรมะก็ต้องอยู่ในสถานธรรม ญาติธรรมมาก็ต้องกินข้าว ญาติธรรมจะกลับจะมา ก็ต้องมีคนรับมีคนส่งเขา ถ้าหากว่าเรายังเข้าใจผิดๆ ถูกๆ แล้วจะให้ญาติธรรมเข้าใจถูกอย่างไร เราทำได้เพียงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ญาติธรรมรุ่นหลังมาก็คงทำได้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถึงวันนี้ที่นั่งอยู่ที่นี่เหลืออยู่แปดเปอร์เซ็นต์ ความเข้าใจในทางธรรมบางคนก็เต็มร้อย บางคนก็เหลือแปดสิบ บางคนก็เหลือห้าสิบ แล้วจะบำเพ็ญธรรมจนตายนั้นจะเหลืออยู่สักกี่สิบ จะเอาอะไรไปกราบเรียนอาจารย์ว่า ศิษย์น้องทุกคนในที่นี้เหลืออยู่เท่าไหร่ จะเอายี่สิบเปอร์เซ็นต์ หรือสิบเปอร์เซ็นต์ หรือห้าสิบหรือห้าเปอร์เซ็นต์นี้ไปกราบพระอาจารย์หรือ ไม่ขายหน้าหรือ ไม่รู้สึกว่ามันน้อยเกินไปหรือ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักที่จะขยันในการศึกษาธรรม โดยเฉพาะคนที่เป็นฐันจู่
การศึกษาธรรมก็คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติใจ ใจเป็นเรื่องใหญ่มาก ใจเป็นเรื่องสำคัญมาก บางคนเป็นฐันจู่ วันๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เลย มัวแต่คิดถึงเรื่องตัวตน มัวแต่คิดถึงเรื่องความลำบากความเหนื่อย มีตาก็เที่ยวมองออก ว่าคนนั้นไม่ทำคนนี้ไม่ดี เราเฉียนเหยินอยากจะบอกว่า นี่เป็นอารมณ์มนุษย์ นี่เป็นความคิดมนุษย์ เบื้องบนนั้นจดไว้ชัดเจน ใครทำใครได้ ใครไม่ทำเขาก็ไม่ได้ ฉะนั้นถ้า หากว่าคิดได้อย่างนี้ ก็คงจะไม่นั่งทะเลาะกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าได้มองคนอื่น อย่าได้ฟังมาก อย่าทะเลาะกันในสถานธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ต้องหัดควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี คิดเสียว่าถ้าวันนี้เราตายไป เราจะเป็นเซียนอะไรหรือ เรามีสิ่งใดที่โดดเด่นเป็นคุณธรรม สามารถให้คนรุ่นหลังนึกถึงได้หรือ หรือว่าตายไปหนึ่งปี คนก็ลืมหมดแล้ว คงเป็นอย่างนั้นแน่เลย ใช่หรือไม่ แต่เป็นอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์ คือ ผู้ที่ขยันทำเพื่อผู้อื่น เมื่อเราจากไปคนก็อาลัยรักเสียดาย อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ เหมือนกับหลินสูฮว๋า ตอนนี้ใครๆ ก็คิดถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องห่วงนะ จึงต้องทำเหมือนกัน ทุกคนก็จะต้องคิดว่าตัวเองนั้น ทำอย่างไรจึงจะสามารถที่จะอยู่แล้วมีค่ามากกว่านี้ รักษาหน้าที่มากกว่านี้ ได้หรือไม่ (ได้)  ต้องมีคนช่วยถาม ถึงจะตอบนะ เสียงก็เบาไปตามเราเลย ใช่หรือไม่
ตอนนี้เฉียนเหยินนั้นอยู่เบื้องบน ทุกคนพยายามทำงานธรรมะอย่างสุดกำลัง วันนี้เราพยายามที่จะไม่ร้องไห้ เพราะว่าร้องไห้ก็คงจะพูดอะไรไม่ออก ใช่ไหม นานๆ ได้เจอกันที ก็รักษาเวลาทุกๆ เวลา ทุกๆ วินาที ให้มีค่าที่สุด เพราะว่าเฉียนเหยินมีเวลาน้อย วันนี้เพราะว่าศิษย์น้องทุกคนไม่ลืม ทุกวันก็ยังกราบพระ ทุกวันก็ยังกราบเฉียนเหยินอยู่ ทุกคนก็ยังมีความเหนื่อยยาก ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจในความเหนื่อยยากของทุกคน แต่มรรคผลเบื้องฟ้าใครทำใครได้ ใครที่กล้าลงมือทำก่อน คนนั้นก็ย่อมได้ก่อน เบื้องบนมีงานหลงฮว๋าต้าฮุ่ย ซึ่งแน่นอนถึงวันนั้นทุกคนจะบอกว่าที่เหนื่อยมาคุ้มค่า ในวันนี้วงการธรรมในเมืองไทยรุดหน้ามากขึ้น แต่วันนี้ไม่ใช่รุดหน้า แล้ววิ่งไม่หยุดแล้ว วันนี้เป็นการรุดหน้าที่เริ่มชะลอตัว เพราะว่าทุกคนนั้นเริ่มจะอายุมากขึ้น แล้วก็เหนื่อย แล้วก็มีภาระเพิ่มมากขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้มาเพื่อให้กำลังใจว่า อย่ายอมแพ้ ถ้าหากว่ามือเท้ามันแก่แล้ว ผมมันหงอกแล้ว แต่ฟันกับลิ้นยังไม่แก่ ยังพูดได้ ฟันจริงหลุดไปยังมีฟันปลอม ยิ้มก็ยังสวยอยู่ เพราะฉะนั้นพูดธรรมะให้คนอื่นฟังให้มากๆ ไม่ต้องคิดว่าทำแล้วจะได้ผลตอบแทนอะไร ยิ่งทำอย่างไร้อัตตาจะยิ่งมีมรรคผลมากขึ้น วงการธรรมในเมืองไทยก็ขอให้ทุกคนทำอย่างเต็มที่ วงการธรรมที่ไต้หวัน ตอนนี้เฉียนเหยินก็ห่วงอย่างยิ่ง ห่วงตรงไหน ก็เป็นปัญหาเดียวกัน ทุกคนเริ่มชราวัย ทุกคนเริ่มที่จะหมดแรง แต่ว่าแรงอันนี้มันอยู่ข้างใน ถ้าหากว่ารู้จักที่จะพยายามขยัน ศึกษาธรรม แรงก็จะมาเอง ฉะนั้นขอฝากความระลึกถึงไปถึงวงการธรรมที่ไต้หวัน ทุกๆ คน
เฉียนเหยินไม่เคยลืมใครเลย วงการธรรมเมืองไทยเฉียนเหยินก็เฝ้ามองทุกคนอย่างเป็นห่วง ยังกราบพระให้ เฉียนเหยินก็ยังมีไฟ เหมือนกับตอนที่สมัยมีชีวิตอยู่ จึงหวังว่าทุกคนนั้นอย่าเพิ่งหมดไฟ ดีหรือไม่ (ดี)
ในวันนี้ที่เหลือคงจะให้พระอาจารย์เป็นผู้สอนศิษย์น้องทุกคน แต่ที่ลืมไม่ได้ เป็นสิ่งที่คงจะต้องบอกไว้ ก็คือ อย่าลืมเรื่องจริยระเบียบ อย่าลืมเรื่องจริยระเบียบ เป็นเตี่ยนฉวนซือแล้ว ทุกคนต้องรู้จักที่จะย้อนมองส่องตน ทบทวนตน เพราะไม่มีใครมาตี ไม่มีใครมาว่า พระอาจารย์พูดทุกครั้งก็เกรงใจศิษย์น้องทุกคนมากๆ เพราะเห็นว่าเหนื่อย เห็นว่าหนัก แต่อย่าลืมไม่ว่าเป็นใคร ก็จะต้องรู้จักตัวเองทั้งสิ้น มาอย่างคนที่ไม่รู้ทาง ทุกคนจะกลับอย่างคนที่รู้ทาง ก็จำเป็นที่จะต้องมีสติในการทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะทำ เพราะว่าทุกอย่างจะมีผลกระทบทั้งวันนี้และวันข้างหน้า พฤติกรรมของทุกคนในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดมรรคผลในวันหน้า อย่าลืมนะ พระอาจารย์เมตตา
พระอาจารย์จี้กง : ไม่ไหวก็กลับก่อนนะ
ท่านเฉียนเหยิน : เฉียนเหยินก็ขอดูหน้าทุกคนให้ชัดๆ แล้วก็อย่าลืมว่าเราเคยเจอกัน วันหน้าหวังว่ากลับไปแล้วได้ทักทายกัน อย่าได้มารับธรรมะในปัจจุบัน แล้วเป็นแค่ฐันจู่ ไม่สามารถกลับฟ้าได้ ขอให้ได้กลับฟ้าทุกคน ขอให้ได้สำเร็จธรรมทุกคน ขอให้ขยันที่จะรดน้ำพรวนดินอาสนะมรรคผลฐานบัวของตน คิดถึงทุกคนจริงๆ  ขอบคุณมากที่ทุกคนนั้นพยายาม แล้วก็พยายาม แล้วก็พยายาม
รู้ไหมว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากมือเรา ทุกอย่างสำเร็จได้กว่านี้จากมือเรา เริ่มจากเรา ไม่เริ่มจากคนอื่น อย่าลืมนะ รักษาสุขภาพให้ดีทุกคน วิบากกรรมมีบางคนต้องเจอ แต่ว่าเวลาที่เรารักษาตัวเราให้ดี หนักก็กลายเป็นเบา อย่ามัวแต่ร้องเรียกพระอาจารย์ เพราะพระอาจารย์ท่านเหนื่อยมากจริงๆ นะ
พระอาจารย์จี้กง : ไม่เป็นไร มีเวลาน้อย อยู่กับเขาให้เต็มที่ ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ
ท่านเฉียนเหยิน : เฉียนเหยินก็อยากจะรีบให้พระอาจารย์ได้พูดนะ แล้วก็อยากจะดูทุกๆ คนให้ชัด ๆ ความเข้าใจในธรรมะอย่าลืม อย่าบอกว่าเป็นฐันจู่มานาน แล้วเราก็ไม่ศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าความรู้ทางธรรมมีได้ไม่หยุด มีได้ไม่จำกัด อย่าได้ลืมว่าทุกคนนั้นต้องฟังธรรมะให้มากๆ ไม่ฟังธรรมะก็พูดไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  ฟังธรรมะน้อยจะไปพูดอะไรกับคนอื่นได้ ถ้าทำตัวไม่ดีจะไปเป็นตัวแทนธรรมได้อย่างไร
อย่าลืมว่าต้องฝึกฝนคุณธรรมแล้วก็นำพาตัวเองไปให้ดี แต่ไม่ใช่นำพาตัวเองแล้วเอาเปรียบเห็นแก่ตัวผู้อื่นนะ เป็นฐันจู่ยิ่งต้องเสียสละ แล้วก็ยิ่งต้องลงแรง ถ้าหากว่าเราไม่เสียสละลงแรงแล้ว คงให้คนอื่นเรียกร้องผู้อื่นไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ก็มีความชื่นใจที่ได้พูด เฉียนเหยินเสียไปหลายปีแล้วก็คงไม่ต้องจะร้องไห้ ใช่หรือเปล่า เฉียนเหยินก็ไม่อยากจะร้องไห้แล้ว เพียงแต่ว่าเห็นศิษย์น้องทุกคนในที่นี้ ยังอดไม่ได้ จริงหรือเปล่า ร้องเพลงส่ง
เฉียนเหยินสักเพลงหนึ่งดีไหม (ดี)  อย่าลืมว่าถ้าหากว่าไม่มีคนอื่นเข้าใจ ทุกวันนี้อยู่ด้วยเพราะว่ามีใจ ไม่มีใครเข้าใจเรา ขอให้คิดว่าเฉียนเหยินเข้าใจนะ เข้าใจทุกคนเลย ฝากธรรมะไว้ในมือทุกคนด้วย ฝากวงการธรรมไว้ในมือทุกคนด้วยนะ
(ฐันจู่ในชั้นร่วมกันร้องเพลง “ครอบครัวเดียวกัน”  เพื่อน้อมส่ง
ท่านเฉียนเหยิน)
พระอาจารย์จี้กง :  คำว่า “ครอบครัวเดียวกัน” เป็นความหมายที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์มีจิตสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราคือครอบครัวเดียวกันจริงๆ  พี่ด่าน้อง น้องประชดประชันพี่ ถึงจะโกรธกัน ถึงจะเกลียดกัน พอผ่านไปก็เหมือนเดิม นี่คือครอบครัว ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งถ้าพี่กับน้องรักใคร่สมัครสมานกันมากเท่าไร ถึงโดนว่าแรงๆ ถึงโดนน้องประชดแรงๆ  ทั้งพี่ทั้งน้องก็ยังรักกันได้อยู่ ผูกพันกันได้อยู่ แต่ใจศิษย์ลึกๆ ศิษย์มักคิดอะไรเล่า ครอบครัวเดียวกันไหม ศิษย์จะบอกว่า ร้อยพ่อพันแม่ มาจากคนละที่ ถ้าคิดอย่างนั้นศิษย์ก็ต้องคิดว่าร้อยพ่อพันแม่มาคนละที่ นิสัยคนละแบบก็ต้องยอมกันได้สิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคิดว่าคือครอบครัวเดียวกัน ก็ยิ่งต้องยอมกันได้ใหญ่ ไม่ใช่หรือ (ใช่)  แต่ทำไมลึกๆ เรากลับเก็บฝังใจในความรู้สึกที่ไม่ดีของคนๆ นั้น แบบลืมไม่ลง จำได้แม่นยำยิ่งกว่าความรู้ทางธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าความรู้ทางธรรมกับนิสัยของคน ศิษย์จำอะไรได้มากกว่า นิสัยของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหรือแม้กระทั่งตัวอาจารย์มา ก็พูดเรื่องเดิมๆ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็ยังเป็นนิสัยเดิมๆ แก้กันไม่หาย ยึดทิฐิถืออารมณ์ ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตน อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าบำเพ็ญนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญ ทิฐิต้องลดลง อัตตาตัวตนต้องปล่อยวาง ความยึดมั่นถือมั่นต้องไม่มี ต้องเปลี่ยนเป็นความอ่อนน้อมสุภาพ
สิ่งสำคัญของฐันจู่ที่อาจารย์อยากให้พึงมี ๓ ประการ
อย่างแรก คือ ท่าทีที่สุขุม แต่ในความสุขุมนั้น ต้องมีความแจ่มแจ้งกระจ่างในธรรม เพราะคนเป็นฐันจู่นี้ เมื่อเจอญาติธรรมมีทุกข์มา เราต้องสามารถให้ความกระจ่างในธรรมกับเขาได้ ช่วยปลดทุกข์เขาได้ไม่มากก็น้อย เพราะเขาเห็นว่าสถานธรรมเหมือนที่พึ่งอันร่มเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้บางคนจะมีสถานธรรมที่เป็นสถานธรรมในบ้าน แม้บางคนจะได้ดูแลสถานธรรมที่เรียกว่า สถานธรรมส่วนรวมก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ขาดไม่ได้คือ ท่าทีที่สุขุม แต่ภายในแจ่มกระจ่างเรื่องธรรม
อย่างที่สอง การฟังธรรม สิ่งที่สอง ศิษย์มักจะเป็นกันอยู่เสมอ คือ เกลียดการฟังธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ตอบให้อาจารย์ได้ชื่นใจหน่อย บอกให้มาฟังธรรม ตั้งใจฟังไหม (ตั้งใจ)  ตั้งใจหรือ ให้มาฟังธรรมสองวัน โอ๊ยไม่เอา เดี๋ยวต้องหายาเยอะแยะ ใช่ไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วการศึกษาธรรม เป็นการปลุกเร้าและส่งเสริมศักยภาพในการศึกษาธรรมให้เห็นแจ่มแจ้ง และเห็นแจ่มแจ้งธรรมในตน เราฟังธรรมะที ฟังธรรมะจากอาจารย์ หรือฟังธรรมะจากใครก็ตามที บางทีพูดไปแล้วหลายประโยค แต่มีประโยคหนึ่งประโยคเดียวที่โดนใจและจำขึ้นใจ ใช่ไหม (ใช่)  อืม คำนี้ดี กลับไปต้องจำให้ขึ้นใจ
ฉะนั้นการฟังธรรม สิ่งที่มีประโยชน์คือ ปลุกเร้าศักยภาพในการเข้าใจธรรมให้แจ่มกระจ่าง ฉะนั้นศิษย์ต้องไม่หน่ายท้อในการศึกษาธรรม ยิ่งเราเรียนรู้เข้าใจมากเท่าใด เราก็ยิ่งเข้าใจตัวตนมากเท่านั้น ปาดน้ำตาเก็บความรู้สึกได้แล้ว ชีวิตยังต้องมุ่งหน้าต่อไป อาจารย์ลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่ง และยิ่งการที่เรารู้หลักธรรมมากเท่าไร การจะช่วยปกโปรดคน การจะนำพาเวไนยก็กว้างขวางยิ่งขึ้น บางคนรู้น้อยก็เลยพูดได้น้อย พอรู้น้อย พูดได้น้อย ก็เลยช่วยคนได้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งเรียนรู้ศึกษามาก ยิ่งช่วยตนมาก และช่วยคนได้มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นอย่าดูเบาการเรียนรู้หลักธรรม เพราะการเรียนรู้หลักธรรมทำให้เราแจ่มกระจ่างในธรรมที่อยู่ภายในตัวเอง และสามารถฉุดโปรดแก้ไขปัญหาทุกข์ของมวลเวไนยได้ ถ้าศิษย์ยิ่งศึกษาธรรมให้ลึกมากเท่าไร ศิษย์ศึกษาธรรมให้กว้างมากเท่าไร ศิษย์ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความเข้าใจ การศึกษาธรรมจะทำให้เราไม่หลงกลายเป็นคนมืดบอดและหลงภูมิตัวเอง กลายเป็นคนหัวแข็งไม่ฟังใคร แต่ยิ่งศึกษากลับทำให้เรายิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนและเปิดกว้างด้วยหัวใจที่พร้อมยอมรับทุกเรื่องทุกราว อย่าเป็นพวกที่ศึกษามาก รู้มากแต่ไม่ฟังใคร ฟังตัวเองอย่างเดียว อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
อย่างที่สาม คือ ฉุดช่วยเวไนย มีโอกาส นำสิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจไปฉุดโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ สามอย่างนี้เอง อาจารย์ขอจากคนที่เป็นฐันจู่ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)  เขาบอกให้มาเข้าอบรมอีก จะยอมมาไหม ตั้งใจไหม จะบ่นไหม (ไม่บ่น)  ใครบ่นอาจารย์จะฟาดหัวให้เลย ดีไหม (ดี)  ดูซิว่าหัวแข็งๆ โดนอะไรมันก็เจ็บ หัวโดนโขกแล้วเจ็บไหม แล้วศิษย์หัวแข็งไหม (แข็ง)
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ในชั้นเรียนเคาะหัวตัวเอง)
แข็งไหม อย่าเคาะเบา เคาะแรงๆ  จะได้รู้ว่ามันเจ็บไหม หัวแข็งๆ นี้ หัวนิ่มเจอแข็งก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ แต่หัวแข็งไม่ว่าเจอนิ่มเจออ่อน มันก็เจ็บทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฐันจู่ต้องหัวอ่อนแต่ไม่ใช่อ่อนแอ ไม่ใช่อ่อนแอจนไม่มีความคิด ใครลากไปไหนก็ไป อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  จุดยืนก็ต้องมี อาจารย์จี้กงอยู่ด้านซ้าย ไปไหม (ไป) เห็นอาจารย์จี้กงไปวัดโน้น ไปไหม (ไม่ไป)  ยังเห็นมีคนแอบไปอีก แถมเป็นฐันจู่อีก อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วนะ
เราศึกษาหลักธรรมเพื่ออะไร เรามีชีวิตบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไรเล่า เพื่อเรียนรู้เข้าใจและใช้ช่วงชีวิตนี้ให้เต็มที่ ถึงเวลาก็ต้องรู้จักปล่อยวางอาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนหนีไม่พ้น เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์ มีโลภ มีการพลัดพราก มีการสูญเสีย แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น มีมาเพื่ออะไร อาจารย์ย้ำหลายรอบแล้วนะศิษย์ มีมาเพื่ออะไร มีมาเพื่อเรียนรู้ทุกข์ เข้าใจแจ่มแจ้งและปล่อยวาง ไม่ใช่เพื่อเรียนรู้เข้าใจแล้วยึดมั่น อย่างนั้นคือคนโง่ ใช่ไหมศิษย์  (ใช่)  เพราะถ้าเข้าใจว่าร่างกายนี้คือความทุกข์ สรรพสิ่งล้วนคือทุกข์ ถ้าศิษย์ยึดมั่น ศิษย์ก็คือคนโง่ที่อยากมีทุกข์
ฉะนั้นเราบำเพ็ญเพื่อเรียนรู้เข้าใจชีวิต เห็นกระจ่างแล้วปล่อยวาง ยิ่งเจ็บป่วยมากเท่าไร ยิ่งทำให้เราต้องรู้ต้องปล่อยมากเท่านั้น ยิ่งสูญเสียมากเท่าไร ก็ยิ่งสอนให้ศิษย์รู้ว่า ชีวิตนี้ไม่มีอะไรครอบครองได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  สามี บุตร เงินทอง ฉะนั้นศิษย์ต้องตอกย้ำความเข้าใจตรงนี้ให้แจ่มกระจ่าง เมื่อเจอข้อทดสอบใด ศิษย์จะหวั่นไหวไม่เป็น จะไม่หวั่นไหวเลย เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ารู้เยอะแต่ถึงเวลาท่าดีทีเหลว ไม่เอา อาจารย์ไม่อยากได้ศิษย์แบบนั้น
ทุกขณะจิตที่คิดพูดทำ อาจารย์ขอให้ศิษย์อย่าห่างคุณธรรม ทุกขณะจิตที่คิดพูดทำ มีสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม ซื่อตรงไหม เคารพให้เกียรติผู้อื่นไหม กล่อมเกลาด้วยปัญญาจึงออกมาพูด ออกมาคิดไหม ถ้าผ่านทั้งห้านี้ ทุกขณะที่คิดพูดทำ ศิษย์จะไม่เกิดกิเลส จิตศิษย์จะเป็นกุศลทุกขณะที่คิดพูดทำ เมื่อเป็นกุศล ภาวะแห่งพุทธจิตย่อมเบิกบานแจ่มใส ฟื้นฟูกลับคืนมาได้เร็วไว ฉะนั้นทุกขณะที่คิดพูดทำ เมตตาไหม ทำแล้วละอายต่อฟ้าดินไหม พูดแล้วซื่อตรงไหม พูดแล้วเคารพให้เกียรติผู้อื่นหรือไม่ แล้วกล่อมเกลาออกมาด้วยปัญญาจากใจศิษย์ไหม พูดช้าหน่อยเป็นไร ทำช้าหน่อยเป็นไร แต่ถ้าเกิดศิษย์ทำได้ขนาดนั้น ทุกขณะจิตที่คิดพูดทำ จิตจะเกิดกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่าให้เงินทองอีก และสามารถทำตอนไหนเล่าศิษย์ อยู่บ้านก็ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คบเพื่อน พูดกับเพื่อน ทำงานกับใคร ศิษย์ก็สามารถทำได้ เมื่อทุกขณะจิตเรามีธรรมกล่อมเกลา เมื่อทุกขณะจิต ศิษย์ไม่ห่างธรรม ภาวะธรรมจะไม่บังเกิดในใจหรือ การจะน้อมนำคนให้เดินสู่หนทางธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกให้ศิษย์ อย่าลืมทบทวนสิ่งเหล่านี้
ในสถานธรรมอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนขยัน ไม่ว่างานในงานนอก ขยันรับผิดชอบไม่บกพร่อง ไม่ว่างานข้างบน งานข้างล่าง ระมัดระวัง สุขุม ไม่ให้ผิดพลาด งานนอกงานในคืออะไร งานบนงานล่างคืออะไร ใครตอบอาจารย์ได้ แต่ศิษย์มักจะเป็นอย่างไร เกียจคร้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกียจคร้านทำให้ขาดจริยะ มักง่ายทำให้มองดูไม่งดงาม อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ งานในงานนอก
งานนอก ก็คืองานที่ศิษย์รับผิดชอบในฐานะความเป็นคน
งานใน ก็คือการดูแลห้องพระ
งานบนงานล่าง คือ ข้างล่างต้อนรับญาติธรรม ข้างบนกราบไหว้พระ ดูแลโต๊ะพระ ทำหน้าที่พิธีกร สามารถพูดจาเป็นพิธีกรได้แม่นยำฉะฉาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์บางคนเกียจคร้าน โต๊ะพระมีกี่โต๊ะที่นี่ เอาแค่ห้องพระนี้มีกี่โต๊ะ
(พระอาจารย์เมตตาถามฐันจู่เฉพาะจำนวนโต๊ะพระในห้องพระ)
ถ้าศิษย์จะนำไหว้ แล้วตอนนั้นมีศิษย์คนเดียว ศิษย์จะทำอย่างไร บอกอาจารย์ซิ แล้วคนข้างหลังมีเยอะกว่า ศิษย์จะทำอย่างไร หัดคิดทุกขณะที่ทำ อย่ามักง่าย อย่าเกียจคร้าน เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ถ้าศิษย์เป็นผู้นำเขา แต่อยู่คนเดียว ศิษย์ให้ผู้น้อยปักธูป ถูกไหม หรือศิษย์ปักโต๊ะเดียว ที่เหลือให้เขาตามมาปัก ถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าตั้งใจไหว้พระ ก็ต้องไหว้ให้ถึงที่สุด ถ้ากลัวลำบากอย่าตั้งหลายโต๊ะ ถูกไหม อาจารย์พูดถูกไหม (ถูก)  ถ้ามีห้องพระแล้วยังขี้เกียจอีก ตั้งทำไมหลายโต๊ะ ฉะนั้นอย่าเกียจคร้านจนขาดจริยะ อย่ามักง่ายจนเกินงาม อาจารย์ขอย้ำอย่างนี้นะศิษย์นะ แล้วก็ต้องรู้จักต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเอง เพราะเขาคือ โพธิสัตว์คนหนึ่ง เราช่วยเขาได้ เราฉุดโปรดเขาได้ เราก็คือผู้ที่ทำให้พระโพธิสัตว์เกิดในโลก แล้วอย่างนี้เราจะไม่ใช่พระโพธิสัตว์ด้วยหรือ ฉะนั้นไม่ใช่เห็นญาติธรรมก็หน้าบูดบึ้ง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
สามสิ่งในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ไม่ควรจะขาด
หนึ่ง คือ การดูแลชีวิต
สอง คือ การบำเพ็ญจิต
สาม คือ การนำพาเวไนย
งานนอกงานในไม่ได้ขาด นั่นก็คือภาระรับผิดชอบ ศิษย์เป็นอะไร ทำให้ได้ดี ถึงศิษย์จะลาเพื่อมางานธรรมะ เขาก็ไม่ว่า เพราะศิษย์ทำได้ดี ทำได้เหมาะสม ถูกหรือไม่ (ถูก)  รับผิดชอบได้งดงาม ถึงจะลาเยอะลามาก เขาก็จะรู้สึกว่าไม่โกรธเคือง เพราะเราทำเต็มที่ เมื่อมีเวลาว่างเราก็เสริมให้ดีขึ้น ฉะนั้นถึงเวลา เราจะลา เราจะหยุด เขาก็จะไม่โกรธเคืองศิษย์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์ งานข้างนอกศิษย์ทำไม่เต็มที่ ลาก็บ่อย หยุดก็บ่อย นี่บำเพ็ญอะไร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นงานในการดูแลชีวิต ต้องทำให้ได้ดี ทำให้ได้เหมาะสม ทำเลี้ยงชีวิต ใช้ประโยชน์ในการมีชีวิต ให้ถูกต้องและดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
บำเพ็ญจิต  บำเพ็ญอย่างไร อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์ของอาจารย์มีหลายแบบ ใช่ไหม (ใช่)  ขยันทำงานในห้องพระ แต่ไม่ขยันทำงานนอก ขยันทำงานดูแลสถานธรรม แต่ไม่ขยันชวนคน หรือขยันทำงานในสถานธรรมแต่ไม่ขยันทำงานที่บ้าน อย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วเมื่อไรที่ศิษย์เป็นคนขยันทำความสะอาดในห้องพระ ศิษย์มักจะเป็นอย่างหนึ่งคือ พอทำสะอาดแล้ว ใครอย่ามาทำสกปรก อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์คิดแบบนี้ ศิษย์จะไม่มีกุศล ศิษย์จะมีแต่บุญ แต่เป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์ กุศลที่แท้จริง คือ ทำเพื่อให้เขามาทำให้สกปรกอีก แล้วเราได้ทำอีก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำเพื่อให้เขาทำสกปรก แล้วเราได้มีใจได้ทำสะอาดอีก นี่คือจิตเป็นกุศล ถูกไหม (ถูก)
ศิษย์นำพาคนไหม บางคนขยันทำข้างนอกเป็น แต่ไม่ขยันข้างในสถานธรรมในบ้าน ขี้เกียจทำหรือไม่ ชวนคนเก่งที่หนึ่งเลย แต่ชวนคนเก่งที่หนึ่งแล้วเป็นอย่างหนึ่ง ที่จะไม่ได้กุศล แต่ได้บุญอันไม่บริสุทธิ์ คืออะไร คนนี้ฉันก็ชวน คนนั้นฉันก็ชวน พอนานไปแล้วเขาลืมฉัน เป็นไหม (เป็น)  เขาลืมแล้วหรือว่าฉันเป็นคนชวนเขามานะ ตอนนี้เขาเป็นเจี่ยงซือแล้ว เขาลืมฉัน ถึงเวลาฉันต้องมาอยู่ต่ำกว่าเขา อย่างนี้ได้ไหม คิดแบบนี้ได้ไหมศิษย์ (ไม่ได้)  อย่างนี้เรียกว่าอะไร อย่างนี้เรียกว่ายึดติด เมื่อไรที่ยึดติด นั่นไม่เรียกว่ากุศล แต่เป็นบุญอันไม่บริสุทธิ์ เพราะบุญที่บริสุทธิ์ต้องชำระจิตให้ผ่องใส แต่ทำแล้วจิตยังขุ่นมัว ไม่เป็นกุศลเพราะอะไร มีความโลภ มีความหลง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทำแล้วต้องปล่อยวาง ถึงเวลาเขาเหยียบหัว เหยียบเรา เราก็ต้องปล่อย ปล่อยได้ไหม (ได้)  เขาไม่ยอมเรา ปล่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ กับอีกแบบ มีฐานะเป็นฐันจู่ บำเพ็ญจิตไหม ไม่เอา ทำอะไรไหม ไม่ทำ มาห้องพระไหม แทบจะไม่มา มีหัวข้อพูดเมื่อไร มาเมื่อนั้น อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ตั้งปณิธานฐันจู่ไปทำไม ถ้าอย่างนั้นเป็นเจี่ยงซือไปอย่างเดียวพอ ฐันจู่ไม่ต้องตั้ง แต่ศิษย์จะบอกอาจารย์ว่า ก็ตั้งไปแล้วอาจารย์ ถอยไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อถอยไม่ได้แล้ว ความหมายคืออะไร ต้องเดินหน้าอย่างเดียว ถ้าศิษย์ไม่ลุปณิธาน แล้วกลับมา จะกลับมาเกิดใหม่ เอาไหม จนกว่าจะลุปณิธาน แล้วก็ลืมอีก ต้องกลับมาเกิดใหม่ แล้วตอนนั้นอาจารย์อาจจะไม่ปกโปรดชี้นำแล้วด้วยก็ได้ เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำให้เต็มที่ มีโอกาสก็มา ไม่จำเป็นต้องลางานก็ได้ ใช่หรือไม่
กับอีกแบบหนึ่ง รู้ดีไปหมด ห้องพระ โน้นฉันก็รู้ นี่ฉันก็รู้ รู้ไปหมด พูดก็เก่ง แต่ทำอะไรไม่เคยเก่งสักที ใช้คนโน้นที ใช้ชาวบ้านเขาไปตลอด ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้จะเรียกว่าฐันจู่ที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเป็นไหม (เป็น, ไม่เป็น)  ตอบอาจารย์สิเป็นไหม เบาเหลือเกินนะเสียง เราทำเต็มที่แล้ว นานๆ เขามาที ใช้เขาให้เต็มที่เลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไหม (ไม่ทำ)  อย่าทำ ศิษย์บางคนถือโอกาส เห็นเขามาก็ดี ศิษย์จะได้เบาๆ บ้าง ปล่อยให้เขาทำให้เต็มที่ ไม่ถูกนะ เราก็ต้องร่วมทำด้วย ร่วมเหนื่อยกับเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอต่อไปมีเรื่องมีราว เขาก็จะได้อยากมาอยู่กับเราด้วย อย่าให้เขาเข็ดกับเราอีกเลย ไม่ดีไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
นำพาเวไนย ทำไมเราจึงต้องนำพาฉุดช่วยเวไนยให้พ้นทุกข์ เพราะเราเข้าใจชีวิต เราเข้าใจยุคนี้เป็นยุคสาม ปกโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ ชีวิตนี้คือ กรงขังแห่งทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นวัฏฏะวนที่ไม่มีใครตัดได้ นอกจากคนที่จะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นให้อะไรไม่ประเสริฐเท่าให้ธรรม การให้ธรรมชนะการให้ทั้งมวล รสแห่งธรรมชนะรสทั้งมวล อาบอิ่มในธรรมยิ่งกว่าอาบอิ่มใดๆ ทั้งมวลในโลกนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเมื่อไรเราสามารถเอาชนะกิเลสตัณหาได้ เราคือผู้ชนะความทุกข์ในโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจโดยเฉพาะยุคนี้ อาจารย์ไม่อยากพูดว่า เป็นเพราะว่าเภทภัยน่ากลัว เพราะถ้าพูดไป ศิษย์ก็จะบอกว่า เมื่อไรเล่าอาจารย์ อยากรู้กันจริงๆ อาจารย์ก็ไม่เข้าใจจะรู้ไปทำไม ให้มันไม่มานั่นดีแล้ว แต่ถามอาจารย์ วันที่เท่าไร ศิษย์จะได้เตรียมตัว ถูกไหม เขามีแต่ให้มันไปไกลๆ ศิษย์ก็อยากจะเรียกให้มันมา อะไรๆ เกิด ศิษย์ก็บอก ใช่เลยๆ มันจะเกิด เพื่ออะไร
ต้นเหตุแห่งภัยพิบัติทั้งมวลในโลก เกิดจากอะไรรู้ไหมศิษย์ เกิดจากหัวจิตหัวใจของคนที่ตอนนี้ขาดธรรม ขาดจนไม่เหลือแล้วความเป็นคน มนุษย์เมื่อไรทำอะไรโดยขาดธรรมในความเป็นคน โลกย่อมเปลี่ยนแปลง จริงไหมศิษย์ คนเดี๋ยวนี้ทำอะไรมักง่าย ขาดคุณธรรม ขาดเมตตา หนึ่งคนมักง่ายอย่างหนึ่ง เอาแค่ตัวศิษย์เอง ทิ้งขยะชิ้นเดียว มักง่ายทุกวัน โลกร้อนไหม (ร้อน)  ร้อนแล้วเกิดผลกระทบอะไร ศิษย์ก็รู้ ฉะนั้นภัยพิบัติเกิดจากอะไร เราต้องมองให้ถึงจุดต้นเหตุ เกิดจากหัวใจที่ขาดธรรม ขาดมโนธรรมสำนึก ขาดจิตเมตตา ขาดความซื่อตรง แล้วก็เป็นคนเกียจคร้าน ใช่ไหม (ใช่)  ขยันหน่อยจะเป็นอะไร เกียจคร้านกันเหลือเกิน เดินอีกนิดหน่อย ก็ถึงถังขยะแล้ว อาจารย์ถามหน่อย ชั้นนี้เป็นชั้นฐันจู่ ใช่ไหม (ใช่)  กินข้าวใครล้างจานบ้าง ใครเก็บจานตัวเองบ้าง เก็บจานไหม (เก็บ)  เก็บเก้าอี้ไหม (เก็บ)  เช็ดโต๊ะไหม (เช็ด)  เข้าห้องน้ำ เข้าเสร็จแล้วทำเลอะ ล้างไหม (ล้าง)  เห็นพูดดี แต่ทีเหลวทุกที ใช่หรือไม่ ถ้าทุกคนร่วมกันดูแล ทุกคนร่วมกันเอาใจใส่ โลกนี้จะเกิดภัยพิบัติไหมศิษย์ (ไม่เกิด)  ความน่ากลัวจะไม่เกิดได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกันดูแล ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้ามนุษย์รู้จักดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี มีหรือจะเกิดอันตราย เพราะเราทำอะไรด้วยสติ และผ่านการกล่อมเกลาด้วยปัญญา และดำเนินอยู่ในหนทางแห่งธรรม ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ควรขาดหายไปจากลมหายใจการเป็นคนและการมีชีวิต
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์เข้าไม่ถึงใจของศิษย์ แล้วแก้ไม่ถึงต้นเหตุของศิษย์ คืออะไรรู้ไหม คือ ศิษย์ทุกคนไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมีนิสัยที่ไม่ดี ที่ต้องแก้ พูดกับอาจารย์ หัวดื้อไหม ดื้อ แก้ไหม ไม่เคยแก้ ใช่ไหม (ใช่)  บางคนเถรตรง ซ้ายก็ต้องซ้าย ขวาก็ต้องขวา เป็นอย่างนั้นไหม เป็นไหม (เป็น)  ยังมีคนไม่กล้าตอบอาจารย์อีกนะ ฉะนั้นศิษย์จะไม่มีวันบำเพ็ญได้ถึงที่สุด หรือเข้าถึงการบำเพ็ญได้ ถ้าศิษย์ไม่ยอมรับว่าศิษย์มีข้อผิดพลาดกัน ใช่ไหม (ใช่)  เก่งนัก การดูคนอื่นแม่น การดูคนอื่นเป็น แต่เก่งไหม ดูตัวเองเป็นหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  
อารมณ์โกรธนี้เป็นอย่างแรกสุดสำหรับคนบำเพ็ญ ที่น่าจะตัดได้แล้ว แต่ยังตัดไม่ได้กันสักที ควรจะเป็นคนใจเย็น ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ ต้องใจเย็นเป็นอันดับหนึ่ง ใจเย็น ใจเย็น ท่องไว้ ใจเย็นไหม ไม่ เย็นชา เขาเหนื่อย เหนื่อยไป ฉันเหนื่อยพอแล้ว ถูกไหมศิษย์ (ไม่ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ยังจะบอกไม่เป็นอีก ใครพูดอะไรผิดหูได้ไหม ใครทำอะไรผิดใจได้ไหม เข้าใจที่อาจารย์อยากจะให้ศิษย์รับรู้ไหม เพื่ออาจารย์หรือไม่ (ไม่ใช่)  เพื่อใคร (เพื่อตัวเราเอง)  เพื่อตัวศิษย์เองนะศิษย์รัก เวลามีไม่มาก เวลาใครเล่า (เวลาของเรา)  เราช่วยเขา เราเห็นเขาไหม เห็นชัดเจนเลยว่า การประมาทในการดำเนินชีวิต คือหนทางแห่งความตาย การไม่มองเห็นทุกข์ให้ชัดเจน จะทำให้ตัวเองทุกข์จนวันตาย แล้วศิษย์เข้าใจจนถึงขนาดนี้แล้ว ทำไม่ยังพ่ายแพ้ภัยตัวเอง บำเพ็ญเพื่อยอมจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรให้ยอม นั่นเรียกว่าบำเพ็ญได้ถึงที่สุด ถูกกล่าวหา ถูกต่อว่า ถูกตำหนิ ถูกใส่ไคล้ นั่นก็คือการทดสอบใจ ยินดีรับด้วยใจที่แช่มชื่น ไม่โกรธ เพราะนั่นคือการขัดเกลาจิตใจของตัวเอง ถ้าเราโกรธ ถ้าเรายึดมั่น เราก็ยังมีตัวตนให้ต้องทุกข์ ศิษย์ก็ยังต้องไปรับผลกรรมอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าโกรธ ใจเย็นๆ ให้อภัยด้วยความเข้าใจ
ในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ ล้วนคือความทุกข์ ยึดมั่นดีก็ทุกข์ดี ยึดมั่นโชควาสนาก็เป็นทุกข์ในโชควาสนา ยึดมั่นในตัวตนก็เป็นทุกข์สารพัดสิ่ง บำเพ็ญเพื่อไม่ยึดมั่น บำเพ็ญเพื่อปล่อยวาง สัจธรรมชีวิตมีให้เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูให้เต็มตา แล้วถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไป ศิษย์เอ๋ย ทำถึงที่สุดกันหรือยัง (ยัง)  เต็มที่กันหรือยัง (ยัง)  ยอมจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรยอมได้หรือยัง (ยัง)  ปล่อยวางได้บ้างหรือยัง อยากจะลืมทุกข์ ช่วยเวไนยจึงลืมความทุกข์ความเจ็บปวดของตน มุ่งมั่นแล้ว ไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงเส้นชัย ไม่ถอยสักก้าวเดียว ทำให้ได้นะ ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ในโลกใบนี้ อยากจับมืออาจารย์ไหม เพื่ออะไรเล่าศิษย์ อาจารย์มาเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อศิษย์ ใช่ไหม อาจารย์ทำเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ทำเพื่อศิษย์ ถูกหรือไม่ เหนื่อยก็ได้ แต่อย่าท้อ ท้อก็ได้แต่อย่าหยุด เข้มแข็ง มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด มาห้องพระ มาช่วยคนนะ อาจารย์ไม่เคยท้อ เพื่อศิษย์รักอาจารย์ไม่เคยหวั่น ขอให้ทำเพื่อเวไนย เพื่อศิษย์รักอาจารย์ทำได้ทุกอย่าง แต่ศิษย์จะทำทุกอย่างเพื่ออาจารย์ได้ไหม เจ็บปวดก็เพื่อปล่อยวางนะ ยุ่งมากนักหรือ ศิษย์เอ๋ยถึงเวลาทุกสิ่งต้องเป็นไป ศิษย์ก็ได้ไม่หมดหรอก ใช่ไหม ชีวิตทุกข์มากแล้ว ที่สุดของทุกข์คือการปล่อยวาง ที่สุดของชีวิตคือการไม่ยึดมั่นถือมั่น อดทนได้ก็อดทน เต็มที่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มุ่งมั่นให้เต็มที่นะ เข้าใจในการช่วยคน เป็นคนดีที่ขาดไม่ได้ เข้มแข็งอย่าอ่อนแอ
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ในชั้นร้องเพลงพระโอวาท
“เจ้าคือธงชัยของอาจารย์และอาจารย์ก็คือธงชัยของเจ้าเช่นกัน”)

อาจารย์อยากให้เพลงนี้กับคนที่นี่ด้วยนะ ให้กับฐันจู่ ศิษย์คือธงชัยของอาจารย์ หมายความว่า อาจารย์ก็คือธงชัยของศิษย์เช่นกัน ได้หรือไม่ เดี๋ยวจะกลับบ้านดึกนะ อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ตอกย้ำเข้าไปในใจ แล้วทำให้ถึงที่สุดนะ เข้าใจนะ เพื่อศิษย์แล้วอาจารย์ไม่เคยหวั่น เพื่อศิษย์แล้วอาจารย์ไม่เคยเหนื่อย เพื่อศิษย์แล้วอาจารย์ทำได้ทุกอย่างนะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา