แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปฎิบัติธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปฎิบัติธรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-01 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一九年歲次己亥四月廿八日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป        คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน       สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา
                              เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

  การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด     กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง              หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
สังเกตุใจแอบกระถด[๑]ออกทีละหน่อย    สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ           เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน
คบไฟหยัดยืนส่องทางสามแพร่ง          มองลอดแสงหัดพุทธบุตรกลับสวรรค์
จิตชนะพุทธะเป็นผู้ข้องใดกัน              ฟื้นใจตะวันให้ได้ขัดเกลาใจ
พอหรือไม่วินิจฉัยตนอยู่เนืองเนือง       แจ้งว่าเรื่องใดเป็นทุกข์ต้องขยาย
คุมความคิดตัวเองความโลภทั้งหลาย    การอ่อนให้ทำให้ตกเป็นทาส
    หมายแก้ทางนั้นไม่มีวันสำเร็จ             เข็ดกิเลสปลดแอกใช่ด้วยความสามารถ
ไม่ต้องเก่งบางทีพิจารณาข้อจำกัด        คนจักรู้ที่เคร่งครัดโดยปริยาย
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์     ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม           แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ
                                                                             ฮิ ฮิ หยุด

 พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
รอความศักดิ์สิทธิ์ข้างนอก ไม่สู้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในตัวเรา รอแต่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่ลืมทำตัวเองให้น่าเคารพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ใครก็ปรารถนา รักและอยากใกล้ชิด เพราะนำความร่มเย็น ทำไมเรามัวแต่รอความร่มเย็นจากภายนอก ทำไมเราไม่รู้จักทำความร่มเย็นจากภายใน ฉะนั้นมัวแต่หาภายนอกก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับพยายามทำภายในให้ศักดิ์สิทธิ์ ร่มเย็นและน่าเคารพ ไม่เช่นนั้นกราบไหว้พระพุทธะไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไหว้ไปแล้ว แต่ตัวเองยังทำตัวไม่น่าเคารพ ไหว้ไปแล้ว ขอไปแล้ว ยังทำตัวเองไม่ร่มเย็น อย่างนี้อยากเอาพระกลับมาบ้านด้วยไหม แม้เอากลับมาบ้านแล้วก็ยังไม่ร่มเย็น เอามาแขวนกับตัวก็ยังไม่ร่มเย็น เพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือตัวเราเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองต้องเจอเคราะห์ร้ายไม่ใช่พระแต่เป็นตัวเราเอง พูดไม่ถูกต้อง พูดไม่เหมาะสม ถ้าทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม ไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่เหมาะ ทำไม่ถูก ทำผิดศีลธรรม ขาดธรรม แม้มีพระคุ้มครอง พระก็ไม่คุ้มครอง จริงหรือไม่ (จริง)  พระก็ไม่อยากอยู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกราบไหว้พระ อย่าลืมนำความเป็นพระมาใส่ไว้ที่ใจ อยากได้ความสงบร่มเย็น อย่าลืมนำความสงบร่มเย็นมาอยู่ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนี้ คุยกันได้ไหม ยอมให้เรามาคุยด้วยได้ไหม (ได้)  ถ้าท่านยอม เราก็อยู่ แต่ถ้าท่านไม่ยอม เราก็ (อยู่)  เราเพิ่งเคยได้ยิน ยอมก็อยู่ไม่ยอมก็อยู่ โดยส่วนใหญ่ ถ้าไม่ยอมให้อยู่ก็ต้องกลับใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าจะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านแล้วนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนทำตัวน่ารัก คนทำตัวร่มเย็น คนทำตัวน่าเคารพ มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยู่ใกล้แล้วไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ อยู่ด้วยแล้วร้อนเป็นไฟ อย่างนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย แม้แต่ตัวเราเองยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย แล้วเราทำตัวเองไหม (ไม่ทำ)  จึงมีคำพูดง่ายๆ ว่า ถ้าความดี ความถูกต้อง การมีศีล มีธรรม เปรียบเหมือนน้ำ ความชั่ว ความโลภ ความผิดศีลขาดธรรม การมีโลภ โกรธ หลง เปรียบเหมือนไฟ เกิดเป็นคนตายเพราะน้ำ ดีกว่ามีชีวิตอยู่แล้วถูกไฟเผาตายทั้งเป็น จริงไหม (จริง)  เคยไหมถูกความโกรธเผาจนอยู่ไม่เป็นสุข อยู่ที่ไหนก็ร้อน (เคย)  แต่เลือกไหมที่จะนำน้ำแห่งความดีมาปฎิบัติ ก็ไม่เลือก จริงไหม (จริง)  โลภแล้วก็ทำให้อิจฉาริษยา ทำให้แก่งแย่ง ทำให้ผิดศีล ทำให้ขาดธรรม ทำให้ใจร้อนรุ่ม อย่างนี้อยากจะโลภอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แต่ก็ยังโลภอยู่
ฉะนั้นตายเพราะความดี กับตายเพราะกิเลส ชีวิตไหนจะมีค่ากว่ากัน (ความดี)  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้ว เรายอมอดทนจนถึงซึ่งความดีไหม ก็ตบะแตกก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกความทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง และการผิดศีลขาดธรรม เผารนจิตใจอยู่ และเหมือนไม่เคยมีความสุข
เพราะเราไม่เคยดีแท้ ๆ แต่เรามักเป็นดีที่มีโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่
  “คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป    คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน    สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา”
เคยไหม คนชักแม่น้ำทั้งห้า อันนี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ฟังแล้วดูดี แต่ในความดีนั้นก็ยังดูไม่จริงไปเสียทั้งหมด ใช่หรือไม่ และบางครั้งถึงเขาจะพูดจริงขนาดไหน แต่มันก็ยังเหมือนจะดี แต่ยังดีไม่ตลอด ดีเกิน ตรงเกิน ก็เหมือนขวานผ่าซาก ใช่หรือไม่ จริงเกินไปก็เจ็บปวดใช่หรือเปล่า ฉะนั้นหากพูดแล้วคิดว่ากำลังจะโกหกก็ยิ้ม ๆ แทนได้ไหม หรือบอกว่าเดี๋ยวไปทำธุระก่อน ใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงเราพูดอย่างไร เหมือนเขา ถามว่าเขาดีไหม ถ้าเราตอบชัดเจนว่าไม่ดี แล้วเขาอยากดีขึ้นไหม (ไม่อยาก)  หากเขากำลังอยากทำดี เลยไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นแบบนี้บ่อยไหม ฉะนั้นพูดจริงเกินไปก็ใช่ว่าจะ(ดี)  พูดสวยแต่หาความจริงไม่ได้ก็ใช่ว่าจะ (ดี)  ฉะนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  แต่เราอยากบอกว่าดี ลองอยู่ในโลกพูดให้น้อยทำให้เยอะ น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่ในโลกนี้พูดมากทำน้อยไม่น่ารักเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นประเภทแรกหรือประเภทหลัง เงียบเลย อย่างนั้นแปลว่าเป็นแบบหลังใช่ไหม พูดมากแต่ไม่ค่อยทำ
การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด  กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
  กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง      หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
ถ้าวันนี้ใครนั่งฟังแล้วก็หลับ แปลว่าไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเองในการฟังธรรมใช่หรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  รู้ไหมว่าการฟังทำให้เกิดปัญญาอันสว่างไสว จิตมักมืดมนไปเพราะกิเลส การมาฟังธรรมคือทำให้จิตสว่างโดยไม่ถูกกิเลสมาทำให้มืดมน เหมือนคนโบราณชอบเข้าวัดเข้าวาเพราะทำให้จิตผ่องใส กลับมาแล้วเบิกบานใจแต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา จะเข้าก็เพราะไปเอาสามตัวสองตัว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ไปเพื่อผ่องใสหรือเพื่อมืดมน สามตัวได้มานั่งลุ้นวันที่สิบหก ถูกหรือไม่ถูก แล้วก็กลับมามืดมนใหม่ เพราะถูกกิน
“สังเกตใจแอบกระถดออกทีละหน่อย สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ     เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน”
เกิดเป็นคนมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือยังไม่ทำอะไรก็ยอมแพ้ กับอีกประเภทหนึ่งคือสู้ยิบตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนักเรียนในห้องนี้เป็นประเภทไหน (สู้ยิบตา)  สู้ยิบตาจริงๆ หรือ สู้ยิบตาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง หรือสู้ยิบตาเพื่อให้ได้ตามใจของตัวเอง ความหมายไม่เหมือนกันนะ
เราขอเริ่มต้นง่ายๆ ก่อน โดยส่วนใหญ่เมื่อมานั่งฟัง ทุกคนก็มักจะคิดว่า ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะบำเพ็ญรอดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  แค่ชีวิตตอนนี้ทำมาหากินก็จะแย่อยู่แล้ว แล้วจะให้มาบำเพ็ญอีก ก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกคนก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวก่อน ดีขนาดไหน ก็บอกเดี๋ยวก่อน เพราะตัวเองยังไม่รอดเลย อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะคิดว่า ถ้าตัวเองยังไม่รอด อย่ามาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ อย่ามาพูดถึงเรื่องการเป็นคนดี ขอให้ชีวิตของตัวเองรอดไปก่อน เมื่อรอดแล้ว อยู่ตัวแล้ว แล้วค่อยมาว่าเรื่องการบำเพ็ญ การเป็นคนดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราถามนะ ถ้าคนๆ หนึ่ง มีจุดหมายว่า ตัวเองต้องรอดก่อน แล้วช่วงที่จะรอด จะต้องฆ่าคนอื่นให้ตายหมดก่อน แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าคนนี้บ้าง เหลือคนนี้บ้าง ฆ่าคนโน้นบ้าง แล้วทำดีกับคนนี้บ้าง แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นก็แปลว่า ถ้าเราจะไปรอด คนนั้นก็ต้องอยู่ด้วย คนนี้ก็ต้องอยู่ด้วย คนนั้นเราก็ต้องดี คนนี้เราก็ต้องดี ศีลเราก็ไม่ขาด ธรรมเราก็ไม่บกพร่อง แล้วเราก็รอดด้วยใช่ไหม (ใช่)  เราว่าที่เราเห็นไม่ใช่แบบนี้นะ คนไหนศีลห้า ไม่บกพร่องเลยยกมือขึ้น
ทุกคนมีเป้าหมาย คือ ต้องมีเงิน ต้องสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่สิ่งผิดที่ทุกคนมีเป้าหมายในการมีความอยากบ้าง อยากทำโน่น อยากทำนี่ แต่ความอยากนั้นต้องไม่ทำให้เราขาดไปซึ่งคุณธรรมความเป็นคน ความอยากนั้น ต้องไม่ทำให้เราเป็นคนที่ผิดศีลขาดธรรม เพราะคุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ แต่คุณค่าของคน คือ ทุกขณะที่ก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ เราสามารถกอดเพื่อน รักเพื่อน แล้วเดินไปพร้อมกับเพื่อน ไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในชีวิตจริง เราเป็นเช่นนี้ไหมหนอ ไม่เคยทิ้งเพื่อน ไม่เคยเตะเพื่อน ไม่เคยโกหกเพื่อน ไม่เคยเบียดเบียนใคร เพื่อความสำเร็จและเพื่อการได้เงินมา ไม่เคยผิดศีลขาดธรรมเลย ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าคุณค่าของความหมายของชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ได้มาแล้วต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว ความสำเร็จที่ได้มาแล้วไม่เหลือซึ่งใครที่เป็นมิตรแท้ หรือไม่เหลือซึ่งความเป็นคน การหามาเช่นนี้ก็หาใช่จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริงไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าทำเพื่อความสำเร็จ แต่ฆ่าคนทุกคน แล้วตัวเองอยู่รอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม ตัวเองรอดก่อนคนอื่นทีหลัง กับอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่ารอดแล้วยังไม่พอยังขอมีอีกนิดหนึ่ง มีอีกเยอะๆ หน่อยใช่หรือไม่ แล้วก็คิดว่าเยอะๆ แล้วจะได้มีความสุข สมมติมีคนชมว่าเราเก่ง ไม่เคยชมเลยแล้วชมว่าเราเก่ง เรารู้สึกว่าดีใช่หรือไม่ แต่ถ้าทุกวันชมเราว่าเก่ง เยอะไปมันก็ไม่ดี บางอย่างอะไรที่เราชอบกินบ่อยๆ มันก็ไม่ค่อยอร่อย เงินหาบ่อยๆ หาเยอะๆ ดีไหม สุขไหม บางอย่างเราหาเยอะๆ ก็ดี แต่ในทางกลับกันเยอะแล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไรเพิ่มเติม คุณค่ามันก็แค่นั้น เท่านั้น สิบกับหนึ่งบางทีก็ไม่ต่างกันเลย บางทีหามากเกินก็กลายเป็นไม่สมดุล มัวแต่หาเงินจนลืมดูแลครอบครัว ลืมความสัมพันธ์ที่ดีที่ควรจะมีต่อกัน มัวแต่ห่วงเรื่องเงินจึงทำลายมิตรภาพ เคยเห็นไหมเงินเพียงสิบบาททะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นเงินมันสำคัญกว่ามิตรภาพหรือ บางอย่างเราคิดว่าหาเยอะๆ แล้วเราจะได้ แต่โลกน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าของนั้นเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา แต่หาแทบตายมันกลับไม่ใช่ของเรา แล้วเรายังหาไหม
ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญคือ ธรรมะ เราขาดไม่ได้ เพราะธรรมะจะสอนให้เราพบความจริง และอยู่บนโลกแห่งความจริงโดยไม่ทุกข์ และธรรมะอะไรล่ะที่จะสอนให้เราพบความจริงและไม่ทุกข์ ศิษย์พี่ถามง่ายๆ นะ ในเมื่อหามากๆ ก็ไม่ค่อยดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นหาแต่สิ่งที่ดี ดีไหม ชีวิตเราเกิดมาแล้วก็อยากมีสิ่งดีๆ ในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่า ศิษย์พี่อยากเลี้ยงเป็ดหนึ่งตัว เพราะคิดว่าถ้ามีเป็ดหนึ่งตัวแล้วจะมีความสุข เป็ดตัวนี้ก็ดีนะ สมบูรณ์อ้วนท้วนกำลังดี แล้วศิษย์พี่ก็คิดอีกทีว่า โอ้ย ชีวิตมันต้องดี เป็ดตัวหนึ่งพอไหม (ไม่พอ)  เพิ่มอีกตัวดีไหม (ดี)  หาแล้วหาอีกก็ได้เป็ดอีกหนึ่งตัว แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา ตัวนี้อ้วนกว่า ตัวนี้ผอม ก็เลยตีตัวอ้วนแล้วก็บอกว่า แกต้องแบ่งให้ตัวผอมบ้าง แล้วก็เอาแต่รังแกเป็ดตัวอ้วน เพราะทำให้เป็ดอีกตัวผอม ใช่หรือไม่ เป็นความผิดของเป็ดตัวอ้วนใช่ไหม (ไม่ใช่)  เห็นชีวิตของศิษย์น้องก็เป็นอย่างนี้ ไม่โทษตัวเอง โทษเป็ด ไม่โทษตัวเองทำผิด แต่โทษเพื่อนร่วมงาน ไม่โทษว่าตัวเองคิดผิดแต่โทษว่าคนอื่นคิดไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพิ่มเป็ดตัวที่สามอีกดีไหม ชีวิตต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ ตัวนี้ก็ได้แล้ว ตัวนั้นก็ได้แล้ว พอใจไหม (ไม่พอ)  แล้วก็หวังว่าเป็ดอีกตัวจะทำให้อีกสองตัวดีขึ้น ใช่หรือไม่ คราวนี้เป็นอย่างไร พอไหม เอาอีกไหม
ฉะนั้นบางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดี ให้มาก ๆ และคิดว่าตัวนี้ดีแล้ว แต่ถึงเวลา ที่นึกว่าจะได้ดีกว่าเดิมแล้ว ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วหาอีกตัวดีไหม (ไม่ดี)  ชีวิตมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือศิษย์น้อง อันนี้ก็ไม่เคยพอ แล้วสุดท้ายเป็ดสามตัวทะเลาะกันไหม ทะเลาะกันตั้งแต่เป็ดสองตัวแล้วใช่ไหม แล้วคิดว่าจะหยุดเป็ดไหม หรือหยุดความคิดตัวเอง แล้วเวลาเราแก้ปัญหาเราแก้ที่เป็ดหรือแก้ที่ความคิด
แล้วในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้วอะไรที่เราต้องพบ บางทีก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีต้องพบ อย่างนั้นที่ไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดีพอ หรือว่าเป็ดไม่เคยพอดี เมื่อถึงเวลาเรามักโทษเป็ด เป็ดไม่ดีพอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราต่างหากที่ไม่พอดี หรือดีไม่พอ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีอีกไหม บางทีหวังอยากให้เป็ดเป็นหงส์ ทำไมเป็ดไม่เป็นหงส์ นี่คือความผิดของเป็ดที่ไม่ยอมเป็นหงส์ ผิดไหมที่เป็ดไม่เป็นหงส์ (ไม่ผิด)  มนุษย์ก็แปลกนะ ได้อย่างหนึ่ง แต่ก็อยากได้อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นแค่นี้ แต่อยากให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วเป็ดไม่เป็นหงส์ ผิดที่เป็ดไหม (ไม่)  เมื่อก่อนเป็ดน่ารักกว่านี้ ผอม และดูดีกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เป็ดดูอ้วนเกินไป เราเป็นไหม เมื่อก่อนภรรยาน่ารักกว่านี้ เมื่อก่อนสามี และลูก ก็น่ารักกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปนะ อย่างนี้โทษเป็ดไหม
เข้าใจที่ศิษย์พี่เปรียบเปรยไหม เมื่อเราอยู่ในโลกธรรมะสอนให้รู้ว่าจริงๆ แล้วแท้จริงแล้วความไม่เที่ยงความไม่ทนความไม่แท้นั่นแหละคือความพอดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเรานั่นเองที่มันดีไม่พอ จึงมองเห็นทุกอย่างไม่พอดี เป็ดมันเกินไปหรือใจเราต่างหากที่ยึดติด เป็ดจริงๆ มันแย่ไหม หรือใจเราต่างหากที่แบ่งแยกเปรียบเทียบ คาดหวัง
การเรียนรู้หลักธรรม ปฏิบัติธรรม จึงมีสามแบบ
แบบที่หนึ่ง คือการปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส เรียกว่า ระดับศีล
แบบที่สอง เพื่ออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสงบร่มเย็น เรียกว่าระดับคุณธรรม
แบบที่สาม ปฏิบัติแล้วทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วพ้นทุกข์ เรียกว่าสัจจะความเป็นจริง
ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมเพื่อลดละกิเลส เราก็ต้องมีศีล ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมแล้วอยู่กับคนอื่นได้อย่างสันติสงบสุขร่มเย็น เราก็อย่าขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เกิดเป็นคนต้องมีเมตตา ต้องมีสัจจะวาจา เราทำได้ไหม ถ้าทำได้อยู่กับใครก็ร่มเย็น
อีกอันหนึ่งคือระดับพ้นทุกข์ เอาแค่ศีลและคุณธรรมยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าจะศึกษาระดับธรรมที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าถึงสัจจะความจริง ที่เรียกว่า โลกอันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ในโลกนี้มีสิ่งใดเที่ยง แท้ ทน ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ แต่ความยึดติดของคนต่างหากจึงเรียกโลกว่าดีว่าร้าย เรียกว่าทุกข์สุข
ถ้าเอาศีลมาดับทุกข์จะยาก เอาคุณธรรมมาดับทุกข์จะยาก เหมือนคนที่พยายามเมตตากับคน แต่อย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ที่ไม่เข้าใจเพราะว่าเราหวังให้เป็ดเป็นหงส์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราก็ไม่เคยพอใจในเป็ดที่เป็นเป็ด มักคิดว่าเป็ดต้องดีกว่าเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือถ้าไม่ดีกว่าเดิมก็ต้องไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าเราเอาหลักธรรมความเป็นจริงมาพิจารณาว่า โลกนี้ในตัวเราทุกคนทุกสรรพสิ่งในรูปในนามไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เหมือนถามว่าเรามีชีวิตเรารักชีวิตไหม (รัก)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตเกิดแล้วต้อง (แก่)
การพิจารณาหลักธรรมจนเข้าถึงหนทางที่จะสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ อย่างเมื่อสักครู่ที่เราพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีดีไม่มีร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ สุขและทุกข์ ดีและร้าย นั้นเกิดมาจากความยึดติดในความคิด เรามักใช้ความคิดเป็นตัวตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วมีดีหรือร้ายจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  ระหว่างเราเป็นผู้ให้ กับผู้รับ เราชอบแบบไหนมากกว่ากัน (ได้)  เสียกับได้ เราชอบแบบไหน (ได้)  ศิษย์พี่ถามนะว่า ในโลกนี้มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีเสียบ้าง (ไม่มี)  ศิษย์น้องก็รู้อยู่แล้ว ถ้าหลับตาข้างเดียว ก็บอกว่าตัวเองได้ แต่จริงๆ เสียไปแล้วเท่าไรก็ไม่รู้ ถูกหวยสามตัว ดีใจมากเลย แต่ตอนเสียไป ไม่เคยนับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งเจ็บใจมากยิ่งขึ้น เวลาได้ดันซื้อน้อย แต่เวลาเสียดันซื้อมาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้ชัดๆ มองแบบจริงจังอย่างคนที่จิตใจสงบ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ถ้าจิตเราสงบ เราจะเป็นนายเหนือสถานการณ์ แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่าน สถานการณ์จะครอบงำเราให้ตกเป็นทาส ฉะนั้นถ้าเราจิตสงบในทุกเรื่องราว เราก็สามารถควบคุมสถานการณ์และฉลาดในการมีชีวิตได้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ที่แล้วมาเราทุกข์ คือเราโง่กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริง เหมือนคำว่า “ชีวิต”
“ชีวิต” มีได้แล้วเสียไหม (เสีย)  มีเกิดแล้วมีตายไหม (มี)  แล้วในเกิดตายมีเจ็บไหม มีแก่ไหม (มี)  ถ้าเราอยากมีชีวิตให้มีแต่เกิดแล้วไม่ตายได้ไหม แล้วเราบอกว่าเกิดดีตายไม่ดีได้ไหม ถ้าโลกนี้เกิดดี มีแต่คนเกิดไม่มีคนตายดีไหม (ไม่ดี)  แล้วอยากเกิดไหม คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว แต่อยากเกิดอีกไหม บางคนบอกว่าทำบุญชาตินี้เดี๋ยวชาติหน้าจะได้สบาย ชาตินี้มันไม่สบาย ชาติหน้ามันจะสบายหรือ ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต ใจเราจะไม่กระเพื่อมไหวและไม่ยึดติดว่าอะไรดีอะไรร้าย เพราะจริงๆ แล้วในร้ายมันก็มีดี ในทุกข์มันก็มีสุข แต่เราขาดปัญญาเห็นจริงเท่านั้นเอง ในความเกิดของเราแท้จริงมีความตายอยู่ทุกขณะ เรามองให้ดีๆ แล้วจะไม่ถูกโลกพลิกให้ตัวเองเจ็บปวด แต่เราจะรู้จักพลิกแล้วให้ตัวเองฉลาดมีปัญญาขึ้น เพราะธรรมสอนให้เราเข้าถึงปัญญา ธรรมไม่ได้สอนแค่ศีล สมาธิ แต่ถึงที่สุดคือระดับปัญญาที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ความหมายของชีวิตจึงไม่ใช่คำว่าเกิด แต่ความหมายของชีวิตคือเกิดแล้วตายอยู่ด้วยกันเสมอ สุขและทุกข์ไม่เคยอยู่คนละมุม แต่มันอยู่ด้วยกันเสมอ ร้ายและดีมันก็ไม่ได้อยู่คนละด้าน แต่มันอยู่เกี่ยวเนื่องหนุนนำกันเสมอ แต่ใจเราเองต่างหากที่มันมืดบอดยึดติดความคิด จึงเห็นเหมือนคนละด้านคนละมุม ทั้งที่จริงๆ แล้วอย่างเดียวกัน เพราะมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่ทนและไม่แท้ ฉะนั้นควรหรือที่เราจะถอยห่างสัจธรรม แต่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้สัจธรรมเพื่อจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและเห็นชัดผู้อื่น
ฟังแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  สิ่งที่ศิษย์น้องควรกลัวไม่ใช่ความตายไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นใจที่มองไม่เห็นความจริง และทำให้เราอับจนสู้ไม่ได้ต่างหากจริงไหม เจ็บป่วยใครๆ ก็เป็นถูกไหม ลองมีชีวิตไม่เจ็บแล้วตายทันทีเอาไหม เห็นไหม ไม่มีใครเอาสักคนเลย แต่ทำไมลึกๆ ขอให้มีชีวิตอยู่แล้วตายเลย จริงๆ แน่ใจหรือว่าอยากได้อย่างนั้นใช่ไหม เจ็บหน่อยเพื่อเตรียมตัวยังดีกว่าไม่เจ็บเลยแล้วตายทันทีใช่หรือไม่ แล้วบางทีความตายดูอาจจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วความตายก็เป็นแค่การหมุนเวียนเปลี่ยนผันจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งที่เราเป็นผู้กำหนดใช่ไหม เอาง่ายๆ เบาใสขึ้นฟ้า หนักมึดดำขุ่นมัวลงดิน ตอนนี้เบาใสหรือหนักดำ (เบาใส)  นักเรียนชั้นนี้น่ารักจริงๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  ทั้งเบาทั้งใสเลยนะ
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์ ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม       แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ”
เวลาทุกข์มากๆ นะบางทีร้องเพลงอ้าปากดังๆ เลยอยู่ในห้องน้ำ ถึงจะทุกข์แค่ไหนก็มีความสุข ก็มันเครียดทำอะไรก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยอมรับความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นบางทีการร้องเพลงก็อาจจะช่วยให้เรา (โล่งใจ)  แล้วก็บอกมีคนขว้างปามาโบ้งเบ้ง เราก็ร้องอ๊าก ฉะนั้นบางครั้งในโลกนี้ที่เราทุกข์ที่เราเจ็บปวด เพราะเราไม่รับความจริง ชอบให้เป็ดเป็นหงส์และชอบให้เป็ดต้องดีกว่าเดิม ถ้าศิษย์น้องยอมรับความจริงว่า ไม่แน่เขาอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เราไม่ยึดติดความคิด เราไม่ยึดติดความคาดหวัง เรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เป็น เราสุขเขาก็สุข เพราะใจของมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบไหลลงทุกข์มากกว่าจะดึงตัวเองให้พบความสุข เหมือนนั่งตรงนี้ให้ยิ้ม ยิ้มไหม ก็ยิ้มไม่ออก จะให้ทำยังไงและผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์คือคนที่ยิ้มไม่ออก  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเรียนรู้ยอมรับความจริงและรู้จักพิจารณาความจริงจนบังเกิดทางพ้นทุกข์ นั่นแหละเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ลองเปิดใจแล้วศึกษาธรรมดูนะ เพราะธรรมจะทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ศิษย์พี่เอาตามพระอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแต่ขอเป็นคนไม่ประพฤติชั่วก็ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าเป็นคนดีที่ยุงก็ไม่ตบ มดก็ไม่บี้ แมลงสาปก็ไม่ขยี้ แต่พอคนรู้จักทำอะไรผิดเราด่าเขาเลย อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  ก็ฉันเป็นคนดี
เราเป็นอย่างนั้นไหมหนอ มดก็ไม่ขยี้ ยุงก็ไม่ตบ แมลงสาปก็ไม่เคยฆ่า แต่ถ้าใครไม่ดีก็ด่าเลย อย่าเป็นอย่างนั้นนะ เพราะผู้บำเพ็ญที่แท้จริง คือ ชั่วไม่ทำ เรียกว่าดี ดีกว่าดีก็ทำ ชั่วก็ทำ อย่างนั้นหาดีไม่ ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เฝ้าหวงแหนดินน้ำทรัพย์สินสมมุติ ปล่อยแดนวิสุทธิ์อยู่ไกลกว่าเดิมหนอ
ยึดตายตัวไหนเลยจะรู้พอ              วิมุติก็ไม่ได้ไปหากไม่ปลง
จะลงเอยแค่บำเพ็ญใจให้ดี              จิตไม่ว่างปล่อยชีวีให้ลุ่มหลง
สิ่งใดใดในโลกล้วนไม่ยืนยง            เดินทางตรงพ้นเวียนว่ายคืนนิรันดร์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อย่าเดินหนี  ชีวิตเหนื่อยอ่อนล้า มีปัญหาความรู้ไม่เคยจะช่วยใคร เรื่องใจสับสนเกิน  คำพูดคนอยู่รอบกาย ศิษย์รักทำใจ ศิษย์รักก็รู้เอง
อยู่เยี่ยงไหนได้พบสุขจริง ศิษย์แย่งชิงสู้เขาไม่รู้ทำไปทำไม ไม่ทำแบบเดิมเดิม  ฝึกเพิ่มเติมที่หัวใจ แก้ไขทุกการกระทำจากใจนี้
บำเพ็ญค่อนชีวิต  รับภาระกันขึ้นอีกนิด  หลายครั้งทำตัวไร้ความคิด ชอบเดินหนี อดเจอตัวเองคนสำคัญ ศตวรรษเพลิดเพลิน  ก้าวเดินบรรลุผ่าน พาดไปบนฟ้าไกล  แต่นี้ทุกลมหายใจไว้บำเพ็ญ

ทำนองเพลง : มากกว่ารัก
ชื่อเพลง : ลมหายใจไว้บำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    (พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ลุกขึ้นๆ ต้องให้อาจารย์เมตตาอีกหรือ ไม่ต้องแล้วนะ ต้องเข้มแข็งรู้จักนำพาตัวเองได้แล้วนะ จิตที่เต็มไปด้วยความสุข จิตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ จะทำให้เราอยู่กับใครก็นำพาซึ่งความสุข อยู่กับใครก็จะไม่โกรธ เพราะเรามีสุขและเข้าใจ อยู่กับใครอยากมีสุขไหม ศิษย์ก็อยาก เขาก็อยาก ศิษย์เข้าใจเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจก็ไม่มีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่แท้จริงคืออยู่กับใครก็กลมกลืนสอดคล้อง เรียกว่าหัวใจแห่งธรรม แต่ถ้าอยู่แล้วขัดแย้ง อยู่แล้วเจ็บปวดแปลว่าไม่ใช่ธรรมะจริงไหม (จริง)  สุขได้แล้ว คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย พูดอะไรนึกถึงคนข้างๆ บ้าง เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ในตัวมนุษย์นั้นมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านไม่ดี แล้วเราส่วนใหญ่ใช้ด้านไหนมากกว่ากัน (ด้านดี)  ถ้าเราใช้ด้านดี ก็แปลว่า
ในด้านดี คนดีมักเป็นคน (ดี)  ถ้าใช้ด้านดีบ่อยๆ ก็แปลว่า สามารถปฏิบัติอะไรออกมาเป็นคนดีได้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าใช้ความดีได้บ่อยๆ เราจะทำดียากหรือทำดีง่าย (ง่าย)  ถ้าบอกว่าทำดียาก ก็แปลว่าไม่ค่อยได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำดี ต้องทำอย่างไร (ไม่เสียดสีคนอื่น)  ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดเท็จ แปลว่า ไม่เคยโกหกคนเลยใช่ไหม (ใช่)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ไม่เคยโกหกแน่ใจหรือ ร้อยทั้งร้อยเห็นมาพูดอย่างนี้ ก็โกหกมาแล้วทั้งนั้น จริงไหม (จริง)  ยังจะจริงอีกนะ

ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนดี ทำดีบ่อยๆ อย่างนั้นคนดีเขาจะทำผิดศีลผิดธรรมไหม (ไม่)  ผิดไหม (ไม่)  แล้วคนดี เขาทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนดี (คิดดี พูดดี ทำดี)  แปลกนะคิดได้เพียง คิดดี พูดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่ว อย่างนี้ก็ยังไม่เรียกว่าดี จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์รู้ว่า ในตัวของเรามีสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่าด้านดี และอีกด้านหนึ่งเรียกว่าด้านไม่ดี ถ้าเรารู้จักใช้ด้านดีบ่อยๆ การจะแสดงออก หรือการจะปฏิบัติซึ่งธรรม ซึ่งความดีงาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อถึงเวลาต้องทำจริงๆ แล้ว การแสดงออกซึ่งการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติดี บางคนกลับทำได้ยาก แล้วไม่รู้จักที่จะทำด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนมองเฉยๆ ปล่อยคนอื่นดีไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนที่เลือกด้านดีหรือเปล่า
คนที่เลือกทำในด้านที่ดี เขาต้องคำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรม ใช่หรือไม่ อย่างที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกในจิตใจไหม ถ้ารู้จักคิดตรงนี้ตลอด เราจะไม่มีวันทำผิดศีลขาดธรรมได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มโนธรรมสำนึก เอาแต่ทำอะไรตามใจตนเอง จะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นคนที่มีธรรม ควรปฏิบัติตามธรรมหรือปฏิบัติตามใจตนเอง (ตามธรรม)  เมื่อตามใจตนเองก็ไม่เรียกว่าธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่า เราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตัว แล้วปกติเราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  ถ้าเราเห็นแก่ธรรมเป็นหลัก ทุกอย่างต้องมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก ทุกอย่างต้องมีรู้จักละอายใจเกรงกลัวต่อบาปกรรม เราจะผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ส่วนใหญ่เรามักทำตามใจตนเอง มากกว่าตามธรรม ฉะนั้นอยากรู้ว่าตนเองมีธรรมหรือไม่มีธรรม ก็ดูว่าตามใจตนหรือไม่ตามใจตน ใช่หรือไม่ แล้วเราส่วนใหญ่เห็นแก่ธรรมหรือเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  เมื่อเห็นแก่ตนก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม กรรมดีกรรมชั่ว และความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  และเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  และยังอยากทำแบบเดิมไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเช่นนั้นเรามาศึกษาธรรมกันหน่อยดีไหม อย่างไรเรียกว่า เห็นแก่ธรรมมากกว่าเห็นแก่ตน ยากไหม (ไม่ยาก)  แปลกนะ ไม่ยากแต่ไม่มีใครอยากทำ
(ละเว้นความชั่วปฏิบัติธรรม)  ใช่ไหม อย่างเช่นเวลาขายของ สินค้านี้ดีหรือไม่ดี เราพูดเพื่อเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ธรรม เห็นแก่ตัวอยากเอากำไรเยอะหน่อย เราก็จะบิดเบือนธรรม แต่ถ้าเราเห็นแก่ธรรม เราก็จะพูดตามความจริงว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี แต่เมื่อแม่ค้าอยากขายได้กำไรก็เอาดีกับไม่ดีมาผสมกันแล้วบอกว่าดี เหมือนกันเวลาโดนเขาว่า เราจะเห็นแก่ธรรมหรือเราจะเห็นแก่ตัวเอง ถ้าเห็นแก่ธรรมเราจะทำอย่างไร คำว่าความดีนั้น หรือคนที่ทำอะไรนึกถึงธรรมมากว่านึกถึงตนก็จะคิดให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ศีลทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรมเราก็จะเป็นคนดีและสันติสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เราต้องเริ่มต้นจากการทำดีให้ได้ก่อน ถ้าบาปยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการบำเพ็ญบุญ ถ้าความชั่วยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการเป็นคนดี หลักของการเป็นคนดีส่วนใหญ่ที่เรารู้และเข้าใจก็คือ เพื่อละชั่ว
เหมือนเราทำบุญเพื่อ
(ทำดีชำระกิเลส , สะสมบุญ , ทำใจให้สงบ)  เพื่อความสงบแห่งจิตใจ ทำแล้วสงบบ้างไหม (ไม่นิ่ง, ไม่สงบ)  เพราะเรายังวอนขออยู่ ก็ไม่สงบ เขาตอบได้ถูก ตอบได้ดี จุดหลักของการมีศีลมีธรรมคือความสงบ คือความเย็นใจ คือความสบายใจไม่มีอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อนอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำบุญแล้วยังขอจะสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล สงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล เย็นไหม (ไม่เย็น)  ถ้าอย่างนั้นเรากำลังทำบุญถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วทำไหม (ทำ)  ฉะนั้นอย่างแรกที่เราต้องเข้าใจให้เหมือนๆ กัน ปรับความคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะคุยกันยาวๆ เรื่องยากๆ เราต้องเริ่มที่เรื่องง่ายๆ และเป็นพื้นฐานก่อน คือเรื่องการทำความดีงามใช่ไหม ละบาปไม่ได้ก็จะบำเพ็ญบุญไม่ได้ ละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญดีไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะละบาปได้ ถ้าไม่เข้าใจจุดหลักของการละบาปเราก็บำเพ็ญไม่ได้ บำเพ็ญไม่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  โดยพื้นฐานของการเข้าใจในการทำบุญทำทาน เราทำเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความโลภโกรธหลง ทำบุญเพื่อความสบายใจเย็นใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ถามนะ เราสามารถทำบุญได้เฉพาะที่วัดใช่ไหม (ไม่ใช่)  แสดงว่าถ้าอาจารย์อยู่กับใครแล้วละกิเลสได้และทำให้สงบเย็นได้ และสามารถปฏิบัติกับเขาจนมีธรรมได้เท่ากับอาจารย์กำลังทำบุญทำทานและให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าเราจับหลักของคำว่าบุญกับทานได้ถูกศิษย์จะอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำบุญกับเขาได้ เพราะอยู่กับเขาแล้วเราสงบ อยู่กับเขาเราได้ละกิเลส อยู่กับเขาแล้วเราได้เย็นใจ แต่อยู่กับใครกิเลสก็ไม่ละ เป็นบุญหรือเป็นบาป (บาป)  แล้วมันมีศีลมีธรรม หรือผิดศีลผิดธรรม (ผิดศีลผิดธรรม)  ตกลงเรามีบุญมีศีลมีธรรมเฉพาะวัด ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากเทียบว่า ถ้าสมมติว่าใครด่าเรามา เราอยากทำบุญกับเขา หรืออยากเกี่ยวกรรมกับเขา ถ้าเราอยากทำบุญกับเขา ถ้าเขาด่ามาแล้วเราละความโกรธได้ เราสงบได้ เราให้ธรรมะเป็นทานได้ เท่ากับว่า เขาด่ามา เราได้ทำบุญ เขาด่ามา เราได้ให้ธรรมะที่ประเสริฐที่สุดที่เรียกว่า ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามา เรายังสามารถเข้าถึงศีลได้ด้วย เพราะว่าไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกหกใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดสำนึกในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเขาด่ามา เราสามารถสร้างทาน สร้างบุญ สร้างศีล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกที่เราสามารถทำบุญ ทำทาน มีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำอย่างนี้ไหม (ไม่ทำ, ทำ)
ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามีใครก็ตาม ทำอะไรให้เราเจ็บ แต่เราสามารถกระชาก กิเลสออกจากตัวได้ แล้วเราสามารถสงบเย็นได้ เราสามารถให้ธรรมะเป็นทานได้ แปลว่าทุกที่เรากำลังทำให้เขาเป็นพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังทำทุกที่ให้เป็นวัด เรากำลังทำทุกที่ให้สงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปรากฏว่าเราอยู่ในโลก เรามักจะคิดว่านี่ก็มาร นี่ก็ปีศาจ นี่ก็ชั่วร้าย ใช่ไหม โลกนี้ก็เลยเต็มไปด้วย มารและปีศาจ ใช่ไหม ฉะนั้นปรับความคิดพื้นฐานให้ถูกได้หรือยัง
อย่างนั้นการปฏิบัติให้ได้ทำบุญ ทำทาน ให้ได้มีศีลมีธรรม เราสามารถทำได้ที่ไหน (ทุกที่) แล้วสามารถทำได้ทุกตอน แม้จะถูกคนด่า เราก็ทำได้ ถ้าเขาเอาเงินไป แล้วไม่คืน เราจะยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาเอาสามีของเราไป แล้วไม่คืน ยอมไหม (ไม่ยอม/ยอม)
เมื่อวานพระนาจาก็บอกแล้วว่า ของอะไรที่เป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา ถ้าของที่ไม่ใช่ของเรา อย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา แล้วนั่นใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ไม่มีใครเป็นของเราจริงหรอก ถ้าศิษย์เข้าใจ จริงไหม (จริง) 
หลักสำคัญของการทำทาน ทำบุญ หรือมีศีลมีธรรม ก็คือ เพื่อความสงบเย็น ใช่หรือไม่(ใช่)  หลักสำคัญของการให้ทาน ก็คือ เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละแล้วซึ่งกิเลสโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละกิเลส โลภ โกรธ หลง เราก็ได้ทำบุญ ทำทาน ถ้าหากเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละซึ่งโลภ โกรธ หลง แล้วยังสามารถนำพาซึ่งความสงบร่มเย็น นั่นก็คือ เราได้ทำบุญ ทำทาน และได้ปฏิบัติธรรมแต่หากว่าปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความโลภ เกิดความหลงขึ้น เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  เช่นนี้เรียกว่าตกเป็นทาสของ (กิเลส)  แล้วเมื่อตกเป็นทาสของกิเลส หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  มีใครบ้างมีทุกข์แค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโลภแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโกรธแค่ครั้งเดียว แล้วมีใครบ้างที่โกรธแล้ว เข็ดแล้ว ไม่โกรธอีก (ไม่มี)
มนุษย์เรามีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เรามีทุกข์โดยพื้นฐาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากเพิ่มทุกข์ให้ตนเองไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเช่นนั้นการตกเป็นทาสของกิเลส ได้ความทุกข์หรือความสุข (ความทุกข์)  และพอไหม ฉะนั้นการตกเป็นทาสของกิเลสก็คือ การเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง อยากหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง อยากสองก็ (ทุกข์สอง)  อยากสามก็ (ทุกข์สาม)  และเราเคยพอทุกข์ไหม (ไม่พอ)  และเป็นความทุกข์ที่ตามมาด้วยกรรมชั่วและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์บอกว่า มนุษย์กลัวเคราะห์กรรม มนุษย์กลัวโชคร้าย
เคราะห์กรรมแห่งการโชคร้ายมาจากคนปฏิบัติดีมีศีลธรรมหรือมาจากคนที่ปฏิบัติชั่วตกเป็นทาสของกิเลสและอบายมุข ถ้าเราไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีกรรมชั่ว ไม่อยากมีวิบากกรรม ไม่อยากมีกรรมเลวร้าย เราก็ควรไม่ปฏิบัติชั่ว แล้วเราปฏิบัติดีไหม ถ้าเรารู้ว่าการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของความทิฐิยึดติดในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นซึ่งความทุกข์ วิบากและความชั่ว เราจะเพิ่มกรรมให้ตนเองไหม เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าชั่วกับดีต่างกันอย่างไร ถึงเวลาเราอยากเลือกชั่วหรืออยากเลือกดี จำไว้ว่าชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เลือกที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังหรืออยู่กับที่ เลือกที่จะก้าวให้ดีขึ้นหรือทำตัวให้แย่ลง หรือทำตัวให้ปล่อยวางและเข้าใจในความจริง เรามีสิทธิ์เลือกใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าเราหยุดทุกข์ไม่ได้ เรารับมือกับทุกข์ไม่เป็น มันไม่ใช่ แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อเวลาทุกข์มันมาเจอกับตัว ศิษย์แก้ไขอย่างไร
วันนี้หลักใหญ่ๆ ที่อาจารย์จะมาพูดคือเรื่องความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ทุกข์ได้
มีใครบ้างที่ทุกข์แล้วไม่ทุกข์อีก ศิษย์เคยทุกข์แล้วไปพบคนอื่นที่ทุกข์ เรารู้สึกว่า เราเฉยๆ เลย ศิษย์เคยรู้สึกอย่างนี้ไหม (เคย)  เช่น ตอนนี้เราทุกข์เหลือเกิน แต่เมื่อศิษย์พบคนที่เขาทุกข์ไม่ต่างจากเรา แล้วดูน่าจะหนักกว่าเราด้วย ความทุกข์ของเราก็เหมือนจะน้อยลง เล็กลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้ว บทของความทุกข์นั้นมีสอนใจเราอยู่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะน้อมนำความทุกข์นั้นมาสอนใจเรา และนำมาลงมือปฏิบัติแก้ไขหรือไม่ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเทียบกับคนอี่นแล้ว จะรู้ว่าเรานั้นโชคดีกว่าเขามาก ใช่ไหม (ใช่)  แขนขาก็ครบ เงินก็มี บ้านก็มี รถก็มี แต่ไม่มีอย่างเดียวคือ ความพอดี ถูกไหม (ถูก)  กับอีกแบบหนึ่ง ความทุกข์ที่อาจารย์เห็นเป็นประจำแล้วอาจารย์คิดว่าน่ารักดี คือ ตัวเองก็ทุกข์ คนที่รักก็ทุกข์ แต่ยอมพูดว่า ไม่ทุกข์ เพราะว่าถ้าพูดว่าตัวเองทุกข์ จะทำให้คนที่ตัวเองรักยิ่งทุกข์ อย่างนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  เพราะถ้าเราพูดไป เขาก็ทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเขาเลยไม่ (ทุกข์)  เพราะเมื่อไรที่เราทุกข์ และมีคนที่ต้องทุกข์มากกว่า เราจะสามารถอดทนและความทุกข์นั้นจะเยียวยาใจเราได้ให้ทุกข์ที่เราพบนั้นเหมือนไม่เจ็บ เพราะถ้าเราเจ็บ จะมีคนที่เจ็บกว่าเรา แล้วคนที่เจ็บกว่าเรานั้นเป็นคนที่เรารักมากที่สุด ยกตัวอย่าง แม่ลูกคู่หนึ่ง แม่ก็จูงลูกไป ปรากฏแม่สะดุดล้มคว่ำ ลูกก็ล้มคว่ำ ทั้งแม่ทั้งลูกก็แขนถลอกหมดเลย แม่ถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกตอบว่าไม่เจ็บ ทั้งที่ลูกเลือดไหลมากแต่ลูกไม่กล้าเจ็บ เพราะเดี๋ยวแม่จะเจ็บกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีคนที่รักมากกว่าตัวเอง ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เพราะความทุกข์นั้นจะทำให้คนที่รักศิษย์หรือห่วงศิษย์เขาจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้แล้วยังทุกข์แล้วไม่รู้จักรักษาเยียวยาความทุกข์ ก็แปลว่า ศิษย์ไม่เคยรักใครมากกว่าตัวเอง
ใช่เลย จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่ศิษย์มีคนที่ศิษย์เห็นค่าและรักศิษย์มากกว่า ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เหมือนบางทีศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์คิดว่าศิษย์ทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็นทุกข์เลย เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากบอกว่าเขาเหล่านั้นก็ทุกข์ แต่บางทีเขาไม่แสดงออกซึ่งความทุกข์ เพราะแสดงออกไปแล้วทุกข์ก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเอง และคนรอบข้างดีขึ้นเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่มีทุกข์แล้วไม่เคยแสดงออก แปลว่าเป็นคนที่รู้จักเห็นใจคนอื่น แต่ถ้าเราทุกข์แล้วเราชอบแสดงออกแปลว่าเราเป็นคนที่ (เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นเหมือนกันเวลาศิษย์ทุกข์ ถ้าศิษย์เห็นอะไรมีค่ามากกว่าตัวเอง ศิษย์จะสามารถยอมอดทนในทุกข์ได้ และทิ้งทุกข์ได้เพื่อสิ่งนั้น เพราะมีค่ามากกว่า เราไม่ยอมทุกข์เพราะอะไร เพราะเราอยากกตัญญูกับพ่อแม่ เราไม่ยอมเจ็บปวดเพราะอะไร เพราะเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข จิตมันใหญ่กว่าเดิมไหม เห็นไหมว่าเราสามารถทำบุญได้ แม้ในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนนี้ยิ้มจังเลย หัวเราะจังเลย เขาไม่เคยทุกข์บ้างเลยหรือ ไม่ใช่เขาไม่เคยทุกข์ แต่เขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกทุกข์ไปเพื่ออะไร เพราะความทุกข์มันมีค่าน้อยกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราเป็นแบบนั้นไหม
ฉะนั้นอาจารย์แค่พูดง่ายๆ เริ่มต้นของความเป็นคนธรรมดา แต่มันกลับทำให้เวลายืนด้วยกันแล้วทำไมเขาดูสูงจัง ถ้าคนด้วยกันปฏิบัติเข้าถึงธรรมแล้ว อยู่กับคนนี้แล้วเย็นใจจัง อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่าง ใช่ เพราะเขาปฏิบัติถึงซึ่งคุณธรรมความเป็นคน มากกว่าเห็นแก่ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแค่คน หรืออยากเป็นมากกว่าคน (มากกว่า)
ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเจอทุกข์ สมมติว่าความทุกข์เหมือนลูกสับปะรด จับแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  จับสับปะรดแล้วน่าจะทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  จับดีๆ ก็ไม่ทุกข์นะ จับไม่ดีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่จับเลยก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าสมมติว่าสับปะรดคือความทุกข์ แล้วความทุกข์ไปอยู่กับศิษย์ วิธีที่ศิษย์เจอความทุกข์ศิษย์จะเอาชนะความทุกข์อย่างไร (ปล่อยวาง)  ถ้าสมมติว่าความทุกข์เป็นสับปะรด ส่วนใหญ่บอกว่า ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  และการปล่อยวางที่ดีที่สุดคืออะไร (ปลอกแล้วเอามากิน)  ปล่อยวางแล้วปลอกแล้วเอามากิน ถ้าเป็นความทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไร โดยส่วนใหญ่เวลาเจอทุกข์มีไม่กี่ทางเลือกอย่างแรกคือจ่อมจมกับมันเลย ให้ตายไปเลย ไม่เขาตายก็เราตายไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยๆ กลับมาทุกข์ใหม่ แล้วคิดแล้วทุกข์ไหม แล้วคิดไหม คิดต่อ พอเหนื่อยเสร็จก็กลับมาคิดต่อ คิดต่ออีกหรือไม่ (คิด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีเจอทุกข์ เมื่อเราเจอทุกข์คนบางคนเลือกที่จะจ่อมจมกับมัน กับอีกวิธีหนึ่ง หนีไปให้ไกลๆ แล้วหลอกตัวเองหาความสุขอย่างอื่นแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหายไหม (ไม่หาย)  พอหันกลับไปมอง หันกลับไปเจอเดิมๆ (ทุกข์อีก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีแก้วิธีรับมือของศิษย์มีอยู่สองอย่าง ไม่ทุกข์กับมันให้ตายไปเลยข้างหนึ่งก็เดินหนีไปสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาเจอมันใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  แม้ว่าไปเอาพลังคนอื่นมาเต็มปอด ได้กำลังใจมาแล้ว ว่าไหวแล้ว พอเจออีกทีก็ลมจับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยอมรับให้ได้ว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น เพราะมันเป็นอยู่แล้ว)  อย่างแรกคือ ต้องยอมรับให้ได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร เพราะเรายึดกับความคิดเราจนไม่ยอมมองความจริง เรายึดกับใจที่เราอยาก จนเราไม่ยอมมองความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องปล่อยวางสิ่งที่เรายึด อยาก และรับความจริงให้ได้ เมื่อรับความจริงได้ ก็คือเอาความทุกข์มาทำให้เกิดสติตื่นรู้ จนมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริง นำพาให้เราพ้นทุกข์ ท่านนั้นตอบได้น่ารักนะ ถ้ามันเป็นทุกข์เอามาทุ่มศีรษะก็โง่เกินไป ฉะนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทำไมศิษย์ไม่ลองมองมันให้ชัด ทำให้เกิดความเข้าใจ และพ้นทุกข์ล่ะ ไม่ต้องเป็นความสุขแต่เป็นความเข้าใจ เหมือนทำใจเรื่องสามี สุดท้ายก็ได้เท่านี้ หวังมากกว่านี้ เขาก็ได้เท่านี้ เหมือนสามีที่ทำอะไรกับภรรยาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะบ่นมากแค่ไหน เดี๋ยวเขาก็หยุดบ่นเองถ้าเขาเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกเราหวังขนาดไหน ทุ่มเทขนาดไหน หากเขาทำได้แค่นี้ เราก็ต้องแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปหวังมากกว่านี้ก็ทรมาน
ศิษย์รู้ไหมว่า ชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบัน แต่คนที่จมอยู่กับอดีต คือคนที่ปล่อยให้ตนเองตายแล้ว และเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับความคิดในอดีต แล้วคนที่มีชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบันหรือคนที่จมอยู่กับอดีต (คนที่อยู่กับปัจจุบัน)  ศิษย์จำไว้นะ มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้น จึงอยู่กับอดีต เพราะเขาแก้อะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่มีชีวิต เขาจะไม่ฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็นและจมอยู่กับอดีต แต่จะพยายามมองไปข้างหน้า และอยู่กับปัจจุบันให้มี (ความสุข)  เราทำบุญกับสามีดีไหม ทำบุญกับลูกดีไหม (ดี)  ไปทำบุญเก้าวัดไกลๆ ได้ ทำไมไม่ทำบุญใกล้ๆ บ้าง
ถ้าทำกับเขาแล้วมันได้ลดกิเลส ได้ลดความเป็นอัตตาตัวตน แล้วเราได้แสดงศักยภาพของคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ออกมา เราไม่ได้ทำบุญทำทานกับแฟนเราหรือ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราจ่อมจม แต่จงเอาทุกข์มาทำให้เราเกิดสติปัญญา และนำพาให้เราพ้นทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสุขก็ได้ แต่เป็นความเข้าใจและยอมรับความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะมันได้แค่นี้ ถ้าเขาได้แค่นี้เราก็ต้องแค่นี้ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงให้เป็น บางคนเราอยู่ด้วย เขาทำงานกับเราพูดกี่ครั้งเขาก็ได้แค่นี้ เมื่อเรามีทุกข์เราจะไม่กลัวแล้วใช่ไหม เมื่อเราไม่กลัวทุกข์เราก็จะรับมือกับทุกข์ได้ ถ้าเราอยากจะแก้ทุกข์เราก็ต้องมองให้ออกว่า แล้วทุกข์มันมีสาเหตุมาจากอะไร (ทุกข์เกิดจากใจ)  ใจที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงแต่ยึดติดแต่ความคิดเห็นของตนเอง แล้วก็บอกผู้อื่นว่า ฉันปรารถนาดีนะ ปรารถนาดีกับลูกแต่ลูกทำได้แค่นี้เราก็ต้องยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำงานเต็มที่ เราไม่ได้เลื่อนขั้นแต่คนอื่นได้เลื่อนขั้นเราก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าเรายังฝืนยืนยันว่าทำไมๆ เราถึงไม่ได้ เราก็มีแต่ทุกข์และก็มีบาปติดตัว เกลียดคนนั้นเพราะคนนั้นแน่เลยฉันถึงไม่ได้เลื่อนขั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานสับปะรดให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
เอาสับปะรดไปช่วยอาจารย์แบกเลย
(การกระทำ)  การกระทำอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นั่นคือการกระทำที่เรายึดติด การกระทำที่ประกอบไปด้วยความอยาก การกระทำที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยึดเหตุผล)  ทุกข์เพราะยึดในความคิดว่าเรามีเหตุผลที่ถูกต้อง เคยไหมว่า ฉันมีเหตุผล ฉันถูก คนอื่นเหตุผลไม่ดีไม่ถูก เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วเป็นบ่อยไหม คนทุกคนมีเหตุผล เหตุผลมาจากความรู้ความเข้าใจที่ตัวเองสรุปเอาเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  และโดยส่วนใหญ่เหตุผลที่เราสรุปเองว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี มักจะลำเอียงหรือเที่ยงตรง (ลำเอียง)  เข้าข้างตัวเองมากกว่าตรงกลาง แล้วเหตุผลเราถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์บอกว่าเราทุกข์เพราะเรายึดในเหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของผู้อื่น นั่นก็เป็นปัญหาได้ เพราะเรามองแต่เหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของคนอื่น เหตุผลที่ถูกต้องคือมีศีลธรรมไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เหตุผลช่วยไม่ได้ เพราะเหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง
มีเหตุผลว่าเราดี แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่าดีก็ได้
(แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์)  ความเป็นธรรมดาของสังขาร แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อันเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเป็นธรรมดาแล้วเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่)  ฉะนั้นแก่ก็ไม่ทุกข์ ตายก็ไม่ทุกข์
ดังนั้นการพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ไม่ทุกข์ การถูกว่าก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมดา จำให้ได้อย่างนี้เสมอๆ นะ
(ทุกข์เพราะตนเองเป็นผู้กระทำเอง)  ศิษย์เอ๋ย ทำดีที่สุดก็ยังถูกว่า ทำไม่ดีก็ถูกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน ถูกว่านิดถูกว่าหน่อยก็ไม่เห็นต้องเป็นอะไรเลย เพราะว่าสิ่งนั้นคือความธรรมดา ใช่หรือไม่ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูถูกกล่าวหา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม เพราะเพชรจริงไม่กลัวการเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวก็แต่ว่า เรายังดีไม่พอ แล้วก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มีใครจะตอบพระอาจารย์อีกไหม เราทุกข์เพราะอะไรหรือ
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ละไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกข์โดยไม่ทุกข์ได้ เราจะเลือกแค่เห็นทุกข์หรือเราเป็นทุกข์ เขาพูดให้เจ็บเราจะแค่เห็นหรือเก็บเอามาใส่ใจแล้วเป็นทุกข์ ถ้าแค่เห็นแล้วไม่คิดก็จบ เพราะหลักแห่งธรรมคือความสงบ แต่เราไม่เคยสงบ เพราะเราไม่ยอมจบ เราก็เลยเอามาคิดและก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเราจับแก่นหลักธรรมตั้งแต่แรกเลยเราสงบไหม เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์เราควรเอามาคิดไหม ถ้าเราเห็น แต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น ไม่เห็นแต่เราคิดมันไม่มีก็เหมือนมี ถ้าเราเห็นแต่เราทำเหมือนไม่เห็น จะมีอะไรกับใจเราไหม จะมีอะไรมากวนใจเราไหม ที่เรียกว่าไม่ใส่ใจ ถ้ามันทุกข์แล้วจะทำให้เราเจ็บปวด เราไม่เอามาใส่ใจจะทำเราทุกข์ไหม เหตุหลักของความทุกข์คือการยึดมั่น พระพุทธะจึงกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์ไม่ยึดมั่น ความตายความเจ็บก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่ที่เรายังเจ็บ ปวดและทุกข์ เพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเรายึดสิ่งใดได้ไหม สามียึดได้ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจแก่นของสัจธรรม เพราะแก่นของสัจธรรมล้วนบอกให้เรารู้ว่า เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เอาไว้เป็นคาถาเด็ดปลดทุกข์เลยศิษย์ เห็นเขาอยู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ และบางทีคิดว่าเขาทำให้เราทุกข์ บางครั้งเราทุกข์เพราะเขา แต่บางครั้งเขาก็ทุกข์เพราะเรา ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เพราะเขาคนเดียว แต่เขาก็อาจกำลังทุกข์เพราะเราก็ได้ เราอยู่ในโลกเห็นเหมือนไม่เห็น บางทีมันอาจจะทำให้เราทุกข์น้อยลง
บางทีปากเขาว่าเราแต่ใจเขาอาจจะห่วงเรา เราเคยโมโหลูกแล้วว่าเจ็บๆ แสบๆ ไหม (เคย)  แต่ลึกๆ เรารักลูกไหม (รัก)  แล้วว่าลูกไหม (ว่า)  อย่างนั้นคนที่ว่าเราเจ็บแสบ ลึกๆ เขาอาจจะรักเรา เพราะถ้าไม่รัก เขาจะว่าให้เมื่อยปากไหม แล้วจะว่าให้เปลืองน้ำลายไหม ก็ไม่นะ ที่เราว่าเขาเจ็บแสบเพราะเรารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอกเขาอกเรา เวลาถูกเขาว่าเจ็บแสบก็คิดเสียว่าเขารักเรา เพราะบางทีเราเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น สิ่งที่เรามองไม่เห็นเราลืมไป เหมือนที่บอกว่าดูในร้ายแต่ก็มีดี ดูในดีแต่ก็มีร้าย เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มีก็เหมือนไม่มี ถามว่าเงินมีร้อยบาท เคยรู้สึกว่ามีร้อยบาทไหม มีหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน เคยรู้สึกว่ามันเป็นของเราบ้างไหม (ไม่เคย)  มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  สามีมีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ นะศิษย์ พ้นจากตาเราใช่ของเราไหม อยู่กับเรา ใจเขาเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเอาแก่นของความเป็นจริงแห่งสัจธรรมมาย้ำเตือนใจจนสามารถพ้นทุกข์ ทะลุทะลวงความทุกข์ แล้วใดๆ ในโลกก็ไม่อยากและไม่ยึดอีกต่อไป ที่เรียกว่าแก่นของหลักธรรมคืออะไรในโลกก็ไม่เอากับมันแล้ว อาจารย์ถามหน่อยศิษย์ มีพัดก็ทุกข์เพราะพัด มีแอปเปิล ก็ทุกข์เพราะแอปเปิล มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีอะไรบ้างในโลกที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  แล้วเราอยากมีอีกไหม รู้แล้วยังจะอยากอีก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อสนองกิเลสความอยาก ความหมายเลยไม่เหมือนกัน เมื่อไรที่เราเข้าถึงหลักแห่งความเป็นจริง คนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม แต่ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตัวแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม
ฉะนั้นวัฏฏะสงสารเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความอยาก เมื่อไรที่มนุษย์สิ้นกิเลสความอยากแห่งการเป็นตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตัวตนเป็นมายา ถ้ายังหลงยึดติดในตัวตนแห่งมายา และทำทุกอย่างเพื่อตัวตน มนุษย์ก็จะหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์สามารถสิ้นกิเลสสิ้นตัณหาในใจ เมื่อนั้นมนุษย์ก็พ้นวิบากกรรมได้จริงไหม (จริง)
เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ฉะนั้นเราอยู่เพื่อสร้างกรรมต่อ หรือเราอยู่เพื่อจบกรรม (จบกรรม)  ตอบอาจารย์ว่าจบกรรม แต่ทุกอย่างที่ทำมานั้นเป็น การก่อกรรมทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เป็นธรรม ถ้าศิษย์อยากจบกรรมกับเขา อย่างนั้นหากเขาว่ามา ศิษย์จะต้องไม่ว่าเขากลับ เขาโกงมาศิษย์จะต้องไม่โกงตอบ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์จะไม่ได้อยู่เพื่อสนองความอยากแห่งกิเลส แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ทำตามหน้าที่ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ทำถึงที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับในสิ่งที่เป็น นั่นจึงเรียกว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อสิ้นกรรม
แต่เรากลับตรงกันข้าม เรามักปฏิบัติเพื่อสนองความอยากว่า วันนี้อยากได้อะไร วันนี้เกิดโลภอะไร ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย ก็มาจากกิเลส เมื่อไรที่เชื้อแห่งกิเลสยังไม่หมดไปจากใจ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหนีพ้นจากวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ดังที่เรียกว่า ถ้าจะดับ ก็ต้องดับจนไม่เหลือแม้สักเล็กน้อยที่เรียกว่าเชื้อแห่งความอยาก ดังที่เรียกว่า ตายก่อนตาย
อย่าบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จชาติหน้า แต่ “ต้องบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จตอนนี้ และไม่มีชาติหน้า” เพราะเราไม่รู้ว่า ชาติหน้า เราจะทำได้สมกับที่เราได้เกิดเป็นคนเหมือนในชาตินี้หรือเปล่า แล้วอย่างนี้ทำไมเราจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อเราก็มีร่างกายครบสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ช่วยอาจารย์แต่งชื่อเพลงหน่อยดีไหม ปกติอาจารย์จะให้ทำนองเพลงและชื่อเพลงเลย แต่ในชั้นนี้อาจารย์อยากให้นักเรียนในชั้นนี้ร่วมกันตั้งชื่อให้เพลงนี้ อาจารย์มีชื่ออยู่ในใจแล้วถ้าอาจารย์บอกศิษย์ต้องเอาชื่อเพลงที่อาจารย์ตั้งแน่เลย เพลงเพราะไหม (เพราะ)  เพลงเพราะหรือคนร้องเพราะ (เพลงเพราะ)
(ชื่อเพลง สุขจริง, อย่าทำอะไรแบบเดิมเดิม, มีธรรมะในหัวใจ, นี่คือชีวิต)
ตั้งชื่อว่า (บำเพ็ญบุญต่อไป)  ศิษย์รู้ไหมว่า ชื่อที่ศิษย์ตั้งเหมาะกับให้ศิษย์ไว้ใช้กับตนเอง และเตือนใจตนเองว่ารู้จักบำเพ็ญบุญต่อ อย่าทำบาป อย่าหลงอบายมุขนะ เพราะว่าชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ไม่ฟื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคำที่ศิษย์เขียน เหมาะกับตัวของศิษย์เองทั้งนั้นเลย จริงไหม (จริง)  อาจารย์ว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครอยากได้แอปเปิลของอาจารย์บ้างไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่เราคุยกันค้างไว้ว่า มีอะไรก็เป็นทุกข์ แล้วศิษย์ยังอยากได้อยู่ไหม อยากหรือ มีแอปเปิลก็ทุกข์นะ อร่อยก็ทุกข์ ไม่อร่อยก็ (ทุกข์)  แต่ก็ยังอยากได้ทุกข์
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า ความทุกข์เกิดจากความยึดและความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราต้องการเอาชนะความทุกข์ได้ หรือเข้าใจความทุกข์ได้ เราก็ต้องไม่ (อยาก)  แล้วก็ (ไม่ยึด)  เพราะว่าในโลกใบนี้มีอะไรบ้างที่เราสามารถครอบครองได้ (ไม่มี)  แสวงหาได้แต่ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ร่างกายนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้ว่าไม่ได้ แต่เราก็ยังอยาก แล้วก็ (ยึด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรที่จะเป็นการเรียกว่าการปฏิบัติและบำเพ็ญ แล้วทำให้เราทุกข์น้อยลง
ตอบได้ไหม แปลว่าที่พูดไปไม่มีใครจำได้เลยใช่ไหม (ความอยากได้เป็นทุกข์ ทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่อยากได้เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้ามาเป็นของเราเราก็รับไว้ แต่รู้ว่านั่นมันเป็นของเราแล้ว ซึ่งตรงนี้จริงๆ แล้วมันยากที่คนเราจะทำได้ เราก็ต้องฝึกใจเรา ฝึกปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ตลอดทุกเวลานาที คิดอยู่ตลอดว่าอันนั้นไม่ใช่ของเรานะ แต่ถ้ามันเป็นของเราเราก็ยอมรับมัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็ยอมรับมัน)  หมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเป็นของเราก็เป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่แค่ทำให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติง่ายๆ เลยนะศิษย์ ทำหน้าที่ของตัวเองปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ผิดต่อฟ้า ไม่ผิดต่อดิน ไม่ผิดต่อความเป็นคน แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ ถ้ามันจะได้มันก็ได้ อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ ในโลกนี้ถึงศิษย์จะบอกว่าศิษย์หามาเท่าไหร่แล้วทำไมศิษย์ต้องเสีย ทำไมศิษย์ต้องยอมให้เขา ทำไมเขาต้องเอาของศิษย์ไป อาจารย์อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ มีอะไรเป็นของเรา เราเหมือนเราได้ เราเหมือนเรามี จริงไหม แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยมีอะไรเลย ไม่เคยได้อะไรจริงๆ เลย ถามใจลึกๆ ศิษย์มีจริงๆ ไหม จริงๆ เราไม่เคยมี และจริงๆ เราก็ไม่เคยได้ แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี คิดว่าเราได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ของเรา เราแค่บังเอิญได้เจอมันชั่วขณะหนึ่ง แต่บังเอิญมันอาจไม่ใช่ของเราอีกขณะหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่าเราเสีย เราไม่ได้เสีย เราได้ก็ไม่ได้ได้ แท้จริงเราไม่ได้และไม่ได้เสีย เพราะเรามาจากความว่างเปล่า แล้วเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า แล้วเราจะยึดติดกับความอยากว่า เขาเอาของฉันไป เขาเอาของฉันไป เพื่อสร้างเหตุปัจจัยให้กลับมาเวียนเจอกันอีกใช่ไหม เพื่อสร้างภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการยึดติด เราก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายังทุกข์กับอะไรอีกหรือ
ถ้าให้ตอบแบบสุ่มตอบ แล้วไม่มีใครตอบ อาจารย์บังคับให้ตอบดีไหม ด้วยการส่งสับปะรด หากสับปะรดไปอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ก็คือ เราไม่เคยรู้เท่าทันใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยมองเห็นทันความทุกข์ที่มา เมื่อความทุกข์มาเราจึงยึดความทุกข์ทันที ฉะนั้น เราต้องฝึกสติ สติจะทำให้เรารู้จักคิด รู้จักทำ และกลับมาสู่ความเป็นกลาง อาจารย์จึงให้ศิษย์ส่งสับปะรด เพื่อฝึกสติ
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกม และส่งสับปะรด)
เมื่อร้องเพลงที่อาจารย์ให้ หากอาจารย์บอกให้หยุด แล้วสับปะรดอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ว่า ตัวเราแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุด ตัวเราที่ช่างคิด ตัวเราที่ช่างโกรธ หรือตัวเราที่ช่างน้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้สับปะรดจะกลายเป็นแอปเปิล
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยไข้เจ็บ เป็นเพราะสิ่งที่เราทาน ไม่รู้จักระมัดระวังในการทาน
จริงๆ โรคภัยไม่น่ากลัว โรคภัยเป็นทุกข์แค่สังขารแต่ไม่ใช่ทุกข์ที่จิตใจ เรามีกรรมแค่ที่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ เหมือนที่เขาเรียกว่ากายเจ็บได้อย่าให้ใจเจ็บ กายทุกข์ได้อย่าให้ใจทุกข์ เพราะจะล้มพังไม่เหลืออะไรเลย
(คนรอบข้างทำไม่ถูกใจ)  เหมือนเรื่องเมื่อวานเลย อยากให้เป็ดเป็นหงส์ใช่ไหมแล้วเป็ดก็ไม่ยอมเป็นหงส์สักที บางทีอาจเป็นไก่ไม่ยอมเป็นเป็ด จงยอมรับในธรรมชาติของทุกสิ่งแล้วเราจะไม่ทุกข์
(ใจเราไม่นิ่ง เมื่อใจเรานิ่งทุกข์มากๆ จะน้อยลง)  แค่เห็นทุกข์อย่าไปเป็นทุกข์แค่นั้นเอง เห็นแต่ไม่เป็น ถ้าเราไปเป็นทุกอย่างก็ทุกข์ตาย เราแค่เห็นทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะการดับ เราเห็นโรคแต่เราไม่เป็นโรค เห็นโรคในร่างกายแต่ใจเราไม่เป็นโรค เรามีกรรมแค่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ ใจเราพ้นกรรมมานานแล้วแต่มนุษย์ชอบเอาตัวตนมาบังคับใจของเรา จึงทำให้เราไม่เห็นจิตเดิมแท้
มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์ แล้วจริงๆ เราเคยมีหรือเคยไม่มี (ไม่มี)  แล้วสุดท้ายเราต้องมีหรือไม่มี (ยังอยาก)  ยังอยากอีกหรือศิษย์ปูนนี้แล้วควรจะปล่อยๆ บ้างนะศิษย์ ที่ควรจะมีก็มีเกือบหมดแล้ว ที่ไม่เคยรู้ก็รู้หมดแล้ว ที่ไม่เคยได้ก็ได้เกือบหมดแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากอีกหรือ เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ จะมีเวลาเพื่อสนองกิเลสอีกหรือ (ความอยากเป็นของธรรมชาติ)  ความอยากเป็นของธรรมชาติไหม ความอยากไม่ใช่ธรรมชาติแท้จริง ถามใจจริงลึก ๆ ความอยากคือธรรมชาติแท้จริงที่เราแสวงหาอย่างนั้นหรือ ความอยากเพื่ออะไร จริงแล้วเราอยากเพื่อแค่บำรุงเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอด แค่อยากเพื่อปัจจัยสี่ แล้วพออยากไปถึงที่สุดลึกๆ ในความอยากมีความว่างอยู่ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี แล้วอะไรถึงเป็นแบบนั้น เพราะธรรมะต้องการสอนว่าอยากไปเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี (บางคนมีมากก็ไม่อยากมี)  แล้วเราจะเกิดมาเพื่อวนเวียนวัฏฏะแห่งความอยากอย่างนั้นหรือ (ภายในครอบครัว, สุขภาพตัวเองไม่แข็งแรง)
จริงๆ อาจารย์อยากได้ชื่อเพลงว่า “ลมหายใจเพื่อบำเพ็ญ” เหมือนที่ศิษย์พูดว่า คนเรามีความอยากเป็นธรรมดา ใช่ไม่ผิด แต่ถ้าความอยากนั้น เป็นอยากที่ทำให้ศิษย์เดินเข้าไปในวัฏฏะของการเวียนว่ายแห่งความทุกข์ไม่จบสิ้น กับอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องอยากมาก แต่อยากเท่าที่พอทำได้ คือ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองความอยาก แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ความเป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรามา ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลส
อาจารย์ถามง่ายๆ นะ ระหว่างกิเลส กับธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นเดิมแท้ของใจศิษย์ (ธรรม)  อาจารย์ก็ว่า น่าจะเป็นธรรม ธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ในใจของเรา จริงไหม (จริง)  อารมณ์นั้นมาทีหลัง ถูกไหม (ถูก)  แล้วชีวิตของเราจะกลับคืนสู่ธรรม หรือสนองกิเลส แล้วเวียนว่ายกรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ถ้าอาจารย์ก้าว แล้วก้าวหนึ่งขึ้นฟ้า กับอีกก้าวแค่เล็กน้อยแล้วได้แค่บุญบาป อาจารย์อยากให้ศิษย์ก้าวแล้วถึงฟ้าเลยดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะผลักดันศิษย์ อาจารย์ก็ควรจะผลักดันให้ศิษย์กลับคืนสู่ที่เดิมที่ศิษย์มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เพียงแค่ผลักดันให้ศิษย์กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใครอยากตาย ก็ไม่มีใครอยากตาย จริงไหม (จริง)  เราอยากแก่อีกไหม เราก็ไม่อยากแก่ อยากเจ็บอีกไหม ศิษย์ก็ไม่อยากเจ็บ เพราะในโลกนี้แก่ครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นถ้าศิษย์ไปสนองความอยากแล้วศิษย์ต้องแก่ต้องเจ็บ แล้วต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างนี้ศิษย์ยังจะอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)
มันแค่อยู่ที่ก้าวว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ถ้าเลือกทางนี้สนองความอยาก แต่ถ้าลดความอยากนิดหนึ่งแล้วมันทำให้เราเข้าถึงธรรม ลดละความอยากความโลภ ลดละการยึดถืออัตตาตัวตนแล้วพ้นทุกข์ ทำไมเราไม่ลองก้าวทางนี้ดู ตอนนี้เราเดินมาเจอทางสามแพร่ง ทางหนึ่งอาจารย์ชี้บอกว่ามากกว่าขึ้นสวรรค์คือพ้นทุกข์นิรันดร์ และอีกทางหนึ่งคือกลับไปเหมือนเดิมคือเวียนว่ายในความทุกข์ อีกทางหนึ่งคือยึดติดในความดี ทำดีแล้วสนองความดีนั้น พอหมดกรรมดีก็กลับมาเวียนว่ายกรรมดีกรรมชั่วอีก ศิษย์ว่าอาจารย์ควรชี้ทางไหนดี แล้วทางแรกวิธีที่จะแก้ แล้วทำให้ถึงที่สุดคือ เมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถเอาหลัก
สัจธรรมมาสอนตัวเอง มาทำให้ศิษย์ตั้งตรงอยู่ในสัจจะความเป็นจริง ไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว เข้าสู่ความเป็นกลางเมื่อนั้นศิษย์จะพ้นบาปกรรมและการยึดติดในตัวตนนั้นชาตินี้ ตอนนี้เลย แต่ไม่เลย เราเห็นอะไรเราก็อยาก ชอบ ไม่ชอบ ชอบก็เรียกว่ากรรมดี ไม่ชอบก็เรียกว่ากรรมชั่ว แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องวิเคราะห์ดี ไม่ต้องยึดติดดี ไม่ต้องยึดติดร้าย เพราะถึงที่สุดมันไม่มีอะไรดีจริง ร้ายจริง เพราะทุกสิ่งมันเป็นกลาง เมื่อเห็นเป็นกลางมันก็เลยไม่มีกรรม แต่มันเป็นธรรม

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น แล้วให้พับแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนนักเลง)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ลักษณะแบบนี้เรียกว่านักเลง
ทันทีเลย การยึดติดในความคิด อารมณ์ ความรู้สึก แล้วชอบวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินคน ทำให้เราเข้าไม่ถึงธรรมและมองไม่เห็นความจริงแต่กลับเหวี่ยงไปเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ดี ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วอันนี้ที่ศิษย์ตัดสินว่าเด็กเป็นจิ๊กโก๋แค่เสื้อผ้า เพราะเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นตั้งแต่เขาเดินมา เขาก็ไม่ได้เป็นจิ๊กโก๋นี่ แค่อาจารย์บอกให้เขาทำเหมือนจิ๊กโก๋ แล้วจริงๆ เขาเป็นจิ๊กโก๋ไหม (ไม่)  
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงแก่นของหลักธรรม เราจะไม่ตัดสินอะไรดีอะไรชั่ว แล้วเราจะไม่อยากยึดเขา หรือไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขา เราจะแค่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความถูกต้องเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติและเคารพให้เกียรติต่อเขา เราก็มีจริยธรรม มีเมตตาธรรม ซื่อตรงต่อเขา แม้เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ตัวเองว่าเราดีพอ ปฏิบัติกับเขาถูกพอ และเราก็ไม่ผิดต่อการเกี่ยวกรรมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ตัดสินมันไม่เป็น “ธรรม” แต่มันกลายเป็น “กรรม” ทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเจออะไรอย่าตัดสิน เพราะเขาอาจจะดีหรือไม่ดี ไม่อาจวัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดเขาจะร้าย ทุกข์หรือสุข เราก็ไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีสติทุกขณะ เราจะมีศีลมีธรรมและบำเพ็ญธรรมสิ้นกรรมพ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าอยู่กับเขาหรืออยู่กับใคร สมมติว่าเรารับประทานอาหารแล้วเจอรสเปรี้ยวโกรธไหม (ไม่โกรธ)  กินแกงจืดแล้วรสเป็นต้มยำโกรธไหม (โกรธ)  ซื้อส้มบางมดแล้วคนขายบอกว่าหอมหวาน แต่พอกินแล้วเปรี้ยว โกรธไหม (โกรธ)  เห็นไหมกลายเป็นกรรมเลยไหม ฉะนั้นเขามีสิทธิ์จะพูดเป็นเรื่องของเขา แต่สำหรับศิษย์คือ “การควบคุมใจตัวเอง” ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ต้องรอ ปฏิบัติทุกขณะที่เราโดนกระทบ แล้วเราเลือกได้ว่าจะเป็นผู้มีศีลธรรม หรือเราจะถูกกระทบแล้วเราสร้างกรรม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ที่เราจะแปลสิ่งที่รู้ให้รู้จนถึงที่สุด เชื่อไหมศิษย์ อาจารย์อยากได้คนแบบนี้ “ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ทำ”
เพราะถ้ายึดดีก็ต้องไปเสวยกรรมดี และถ้าหากทำชั่วแล้วละชั่วไม่ได้ก็หนีไม่พ้นที่ต้องไปรับผลของกรรมชั่ว แต่หากว่าดี ทำถึงที่สุดแล้วเราไม่ยึดดี ชั่วเราก็ไม่คิดทำ แต่เราก็สามารถคงไว้ซึ่งคุณธรรมความถูกต้อง นั่นคือ ทางพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาชื่อเพลงลมหายใจไว้บำเพ็ญ)
ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เหลือของศิษย์นั้นอยู่ที่ ศิษย์จะมีลมหายใจเพื่อสนองกิเลสกรรม หรือมีลมหายใจเพื่อบำเพ็ญศีลทานคุณธรรมและนำพาให้ตนพ้นทุกข์ อยู่ที่ศิษย์เลือกเดินแล้วนะ ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทางสว่าง ถ้าศิษย์จะสว่างก็ต้องสว่างให้ถึงที่สุด อย่าเอาสว่างแค่วับ ๆ แวม ๆ ในโลกไม่มีอะไรร้าย ถ้าคุมใจตนเองได้ เราก็สามารถควบคุมคนในโลกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราคุมใจตนเองไม่ได้คนในโลกก็สามารถบีบคั้นจิตใจเราได้ ศิษย์รักตนเองไหม (รัก)  แต่ทำไมเพียงแค่ถูกคนว่า ศิษย์ก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น แปลว่าคน ๆ นั้นไม่เคารพตนเอง ไม่ให้คุณค่ากับตนเอง ปล่อยชีวิตของตนไปอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน เช่นนั้นเมื่อใดที่ถูกคนว่าเราก็หน้าเสีย เขายิ้มเราก็หน้ายิ้ม แสดงว่าเราไม่มีความสุขด้วยตนเองเลย ต้องอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน จริงไหม เรื่องที่ง่าย ๆ ที่สุด เพียงแค่เราถูกคนว่า หากเขาว่าเราแล้ว เราจะปฏิบัติให้ได้ศีล ธรรม ทาน คุณธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง” ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องทุกข์ เจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด ก็จงทำจิตใจให้เข้มแข็ง ได้ไหม (ได้)  แต่อย่าแข็งโป๊กๆ จนกลายเป็นคนดื้อรั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ศิษย์กลับไปพิจารณาอีกที ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ มีพบก็มีจาก เมื่อยามมีชีวิตอยู่ จงทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากไป เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะทำจนถึงที่สุดแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
อาจารย์ไม่ต้องปลอบใจอะไรแล้ว ทำไมยังไม่เข้มแข็งอีกนะ ต้องเข้มแข็ง มั่นคง นำพาคนให้ได้ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ดีใจจังเลย มีความทุกข์อะไรอยากให้อาจารย์ช่วยเหลือไหม มีเวลาน้อยจะได้รักษาเวลานี้ให้มากที่สุด หรืออยากให้อาจารย์พูดปลอบใจอะไร อายุน้อยนะ นักเรียนชั้นนี้อายุน้อย แข็งแรง สดใส แล้วก็ยิ้มหวานทั้งนั้นเลย ฉะนั้นในสิ่งที่ไม่มี เราจะมีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสิ่งที่ขาดแคลนเราจะสมบูรณ์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราผ่านมาทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสมบูรณ์ที่สุด เราก็จะส่งมอบต่อให้คนอื่นได้มากที่สุด จริงไหม (จริง)  มีแต่คนที่มีความสุข ถึงจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่นได้ มีแต่คนที่มีใจกว้าง ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอายุเท่านี้แล้วไม่หงอยแล้วนะ ยิ้มเข้าไว้ ภูมิใจเข้าไว้ว่าเราใช้ชีวิตมาเต็มที่แล้ว
ฉะนั้นหลังจากนี้เราจะเหลือคุณค่าและทรงคุณค่าที่ดีที่สุด ด้วยการเข้าใจชีวิตว่าเราไม่เกิดมาเพื่อรับกรรม ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจความจริง
ที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่ทำแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดถือ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ใส สว่าง สะอาด ในใจ อะไรที่ทำให้ใจของเราสกปรก ก็อย่าไปคิด อะไรที่ทำให้ใจของเราร้าย ก็อย่าไปเอามา เพราะใจของฉันจะกลับฟ้า ฉันจะนำใจเดิมกลับฟ้า ใจฉันต้องสะอาด ต้องใส ต้องดีที่สุด ดีจนไม่มีใครเคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ฉันจะดีได้ถึงขนาดนี้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การประคองใจของตัวเองให้ถูกต้อง ให้ดีงาม ให้มีธรรม ธรรมที่เรียกว่า ทำให้เราประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ ร่มเย็นยิ่งกว่าร่มเย็น ดีงามยิ่งกว่าดีงาม
อาจารย์เชื่อในศิษย์ว่า ขอแค่เพียงศิษย์มั่นใจว่าทำได้ เราก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  ศรัทธาเชื่อในความดี ศรัทธาเชื่อใจธรรมที่เรามี แล้วเราจะได้กลับไปสู่สิ่งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นดูแลจิตใจของตัวเองนะ เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ใจเดิมแท้ของเรานั้นไม่มีกรรม เรามีทุกข์เพียงแค่ร่างกาย แต่ใจเดิมแท้ของเราไม่เคยทุกข์นะ
ศิษย์รู้ไหม การช่วยคนก็คือการช่วยตัวเอง ยิ่งเราพยายามช่วยคนมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเองมากเท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญจึงไม่ดูถูกคุณค่าของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นศิษย์ที่อาจารย์รัก ที่สมแล้วกับการเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง มีหนทางเดินที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติจริงที่งดงาม มีการกระทำที่ดีและถูกต้อง โลภ โกรธ หลง ความอยากในโลกนี้ไม่เคยช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์เท่ากับธรรมะ ธรรมะแห่งความเมตตา ธรรมะที่รู้จักอุทิศเสียสละ
ให้ให้ถึงที่สุด ให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
(ใจไม่ปล่อยวาง)  ก็มัวแต่หมกมุ่นกับความคิด ถ้าเมื่อไรที่คิดฟุ้งซ่าน ลองเอาเพลงธรรมะมาร้อง จะทำให้เราวางลงได้บ้าง เพราะคิดไปก็ไม่ช่วยอะไร จริงไหม ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งก้าวต่อไป กายทิ้งไว้ที่โลกนี้ เอาจิตเดิมแท้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์ เข้มแข็งแล้วรู้จักหาทางออกให้ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้ว
ทุกข์ก็อย่าแบกมันไว้ เข้มแข็งและยอมรับความจริงนะ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยคุณธรรมความเป็นคน ดูแลตัวเองด้วย ทำให้ได้ ตั้งใจนะ มีโอกาสศึกษาบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและเลิกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของศิษย์เองศิษย์ต้องเลือกเอง แต่เมื่อเลือกแล้วจงเลือกสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เพราะชีวิตมันเดินหน้าแล้วมันย้อนกลับไม่ได้ อย่าคิดว่าอายุมากแล้ว ฟังธรรมไม่ค่อยรู้เรื่อง
ยิ่งยากเท่าไร ยิ่งต้องฟังให้ได้ ยิ่งต้องฟังให้รู้ ปัญญามีอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวศิษย์เองทุกคนจะนำปัญญานั้นมาเข้าถึงธรรมไหม อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ธรรม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ทุกข์ แต่ต้องพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำตัวให้ถูกต้องนะศิษย์เอย เป็นอะไรอาจารย์ไม่ว่า ขอแค่ทำให้ถูกต้อง ได้ไหม แล้วสักวันศิษย์จะเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พยายามให้ศิษย์รู้ แค่อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ได้อยากให้ศิษย์ทุกข์ในโลกเลยนะ คิดให้ดีๆ


วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าเรารู้อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องรีบแก้ เราต้องยอมรับอย่าฝืน ถ้าฝืนไปแล้วมันไม่ใช่ แม้บางครั้งผิดก็ต้องผิด อย่ากลัวที่จะผิด เพราะความผิดทำให้เราก้าวหน้า ความผิดทำให้เรารู้จักยอมตัวเองยิ่งขึ้น
จริงๆ อาจารย์อยากคุยกับฐันจู่ ฐันจู่จินโจวเป็นอย่างไรบ้าง
ขอบใจนะศิษย์เอ๋ย อุทิศเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น ยอมอยู่ข้างหลังบ้าง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วนะ  หมดแรงหรือยัง ผลักดันกันไปให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจกันบ้าง ก็ขอให้อะลุ่มอล่วยไปให้ถึงที่สุด อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว บางทีการสร้างห้องพระก็เหมือนการฝึกใจเราที่สุด ฝึกใจให้กว้างยิ่งกว่ากว้าง ยอมยิ่งกว่ายอม ให้ยิ่งกว่าให้
อาจารย์แจกผลไม้เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจ ให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เป็นลูกศิษย์อาจารย์ทั้งทีต้องเข้มแข็ง อย่างน้อยต้องให้สมกับที่ต้องตั้งใจบำเพ็ญ เหนื่อยหน่อยนะ มาเยอะเลย อย่างนี้ผลไม้อาจารย์ไม่พอแน่เลย แต่อย่าลืมนะ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้อย่าไปกลัวใช่หรือไม่ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อะลุ่มอล่วย นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้อภัยกัน
อย่าถือสาเอาเรื่องเอาราว เรามาบำเพ็ญเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เรามาบำเพ็ญเพื่อละความเป็นตัวตน ถ้าบำเพ็ญแล้ว นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ยอมแปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่จริงไหม ฉะนั้นอะไรที่ควรยอมได้ก็ควรยอม อะไรที่ควรให้ได้ก็ควรให้
ฉะนั้นเราได้โอกาสที่ดี เราก็ควรรู้จักแปลงโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ได้ฝึกฝนจิต ไม่ใช่โอกาสที่ตามใจตัวเราเอง อยู่ที่ใจของเราถ้านิดๆ หน่อยๆ เรายอมแพ้ โรคที่มีอยู่นิดๆ ก็จะมีเยอะ แต่ถ้านิดๆ หน่อยๆ ฉันไหวฉันสู้ ฉันได้ฉันผ่าน ที่นิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นไม่มี อาจารย์เคยบอกไว้ตั้งหลายรอบแล้ว กรรมเป็นแค่ที่สังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ถ้าจิตอ่อนแอไปตามกายตามสังขาร เราก็เจ็บทั้งกายและใจ แต่ถ้าเรามีกรรมไว้แค่ที่สังขาร กรรมนั้นก็ทำอะไรที่ใจเราไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็จะทำให้เราเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ เพราะถึงที่สุดกายของเราก็ต้องทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ มีแต่จิตเท่านั้นที่จะต้องไป
ศิษย์เอ๋ย ทำจิตใจให้เข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง ผ่านทุกเรื่องราวด้วยหัวใจที่ดีงาม อะไรที่เก็บไว้แล้วมันเหม็น มันไม่ถูกไม่ดีก็อย่าเก็บ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คนที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ  แล้วเราจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ของใครหรือเปล่า  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสก็ตั้งใจให้เต็มที่นะศิษย์เอ๋ย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง”
            ทำจิตใจให้เข้มแข็ง                          เรื่ยวแรงไม่มีถดถอย
    แม้เป็นแสงเทียนเล่มน้อย                          หิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ
    หยัดยืนหัดเป็นพุทธะ                               ชนะใจตนให้ได้
    ขัดข้องไม่ว่าเรื่องใด                                 วินิจฉัยความคิดตัวเอง
    ความทุกข์ทำให้อ่อนแอ                            ทางแก้ไม่ใช่ต้องเก่ง
    บางทีรู้จักร้องเพลง                                  คร่ำเคร่งไม่สู้ทำใจ
    ปล่อยวางไม่ท้วงหวงแหน                          ดินแดนวิสุทธิ์อยู่ไหน
    ตัวตายก็ไม่ได้ไป                                     หากใจปล่อยวางไม่ลง


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมผูถี เมื่อวันที่
๑๑-๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒   

จากเดิม เพียงผิดหวังไปบ้าง แก้เป็น เพียงผิดหวังไม่ตาย
จากเดิม สุขใจก็มีทุกข์ได้ แก้เป็น สุขใจก็มีความทุกข์ได้

ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน  ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา  สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า  ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย  ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ  ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา  อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำ พิจารณา  ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป  ซึมเศร้ากันไปไหน  คนดีต้องมีละอายเพียงผิดหวังไม่ตาย  ธรรมไมไปไม่มา
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง  จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย  สุขใจก็มีความทุกข์ได้  สุขเพราะปลงความทุกข์ไป  คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาว์
ทำนองเพลง : ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง : กำไรจากความทุกข์



[๑]กระถด : ถดถอย, กระเถิบ, ขยับ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา