แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสี่ยวผีเซียนถง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสี่ยวผีเซียนถง แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-06 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท

西元二○一九年歲次己亥十一月十一日            仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒           สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง  (小皮仙童)
  ชีวิตหนึ่งมีค่ามีความหมาย                 สุขที่ใจรู้ตนรู้หน้าที่
ขยันซื่อตรงละบาปสร้างสิ่งดี                  อย่าปล่อยชีวีผ่านไปแค่วันวัน
                              เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง   (小皮仙童)           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านหายง่วงหรือยัง
   วิธีการเปลี่ยนความคิดจิตยิบย่อย     ถึงแม้หัวเดียวนิดหน่อยไม่อ่อนแอ
กลัวไม้เรียวก็เลยคิดไม่ถ่องแท้           ไขกุญแจได้ชีวิตเป็นแยกทางตรง
อันชีวิตมีหนทางเรื่อยไปไกล             กล่าวถึงบั้นปลายเห็นมิชัดระวังหลง
อะไรที่ทำได้ทำด้วยใจปลง               แค่ประสงค์ความเปลี่ยนดีกว่าวันวาน
มีอัตตานิดเดียวทำตัวเองแย่             คนพ่ายแพ้คิดแต่อยู่อย่างนั้น
ชีวิตมีหน้าเดียวหรือไรทุกท่าน           บำเพ็ญกันคิดได้นี่แสนโล่งใจ
จริงใจเสริมยิ้มรอยนี้ดูสว่าง              ธรรมกระจ่างหน้าตาดูแล้วแจ่มใส
ประกายนัยน์ตาคนให้น่าชื่นใจ          บำเพ็ญใจทำได้ดีสุขในตา
คนมีสตินาทีมหาศาลส่งคุณ              คอยเกื้อหนุนนาวาแล่นกลับคืนฟ้า
จากหนึ่งลำเปลี่ยนเป็นหลายหลายนาวา    คุมวาจาความคิดนิดคนเต็มเรือ
ความสำเร็จไม่คิดจะครั้งเดียวเลิก       มงคลฤกษ์เดี๋ยวเดียวเป็นจิตที่เบื่อ
ต่างหลากหลายได้ไปใจทุกเมื่อ           เป็นคนทุกข์ง่ายต้องเผื่อทำใจ
                                                                                                    ฮิ ฮิ หยุด



พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง  小皮仙童



เราอยู่ในโลก โดยส่วนใหญ่เรามักทำในสิ่งที่เราชอบเราถึงทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ ขอถามท่านหน่อย ถ้าเราพูดถึงธรรมะ ถ้าธรรมะคือสิ่งที่ทำให้เราสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรมะ เราเรียนรู้แล้วก็ต้องนำธรรมะนั้นมาทำให้เราสงบเย็นได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นยิ่งฟังแล้วเรายิ่งสงบเย็นหรือยิ่งฟังแล้วเรายิ่งเบื่อ (สงบเย็น)  จริงๆ แล้วถ้าธรรมะคือความสงบเย็น การเรียนรู้ธรรมะก็คือเอาธรรมะมาทำให้ใจเราเย็นยิ่งขึ้น ใจเราสงบง่ายขึ้น
เหมือนที่คนโบราณบอกว่า เราอยู่ในโลกเป็นธรรมดาที่มีคนที่เราชอบและคนที่เราไม่ชอบ มีสิ่งที่เราชอบทำและไม่ชอบทำ ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่จะนำธรรมะมาอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบได้อย่างเป็นสุข แม้ไม่ชอบแต่เราก็สามารถที่จะสงบเย็นได้ เป็นเรื่องที่เราต้องคิดนะ เรารู้ว่าการสวดมนต์ไหว้พระเป็นอย่างไร แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อเราเจอคนที่เราไม่ชอบหรือเจอภาวะที่เราไม่เข้าใจ แต่เราต้องทำความเข้าใจ และต้องสงบหรือเย็นให้ได้ เป็นเรื่องที่เราไม่เคยทำกัน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำได้ ก็จะทำให้เราค้นพบธรรมและพบกับความสงบเย็นได้ เหมือนที่เราบอกว่า เวลาเราโกรธ เราก็อภัยเขา สงบและเย็นได้ไหม (ได้)  จริงหรือ โดยส่วนใหญ่เราสงบไม่ได้ อภัยแค่ไหนเราก็ยังสงบและเย็นไม่ได้ ถ้าบอกว่าต้องเอาธรรมะมาใช้ นอกจากละบาปบำเพ็ญบุญแล้ว ต้องเข้าถึงความสงบและบริสุทธิ์ได้ นั่นถึงจะเรียกได้ว่าปฏิบัติธรรมได้อย่างแท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “มองเห็นโทษของตน เพื่อเข้าใจผู้คน และผ่อนปรนคนอื่น”  เราเคยนิสัยไม่ดี ปากร้ายและนินทาเพื่อนไหม (เคย)  ฉะนั้นถ้าเพื่อนนินทาเราจะโกรธไหม (โกรธ)  เราก็เคยทำนะ เราไม่ชอบคนที่โกหกเราใช่ไหม แล้วเราเคยโกหกไหม (เคย)  คนโบราณจึงสอนไว้ว่า “เห็นความผิดตนเพื่อเข้าใจผู้คนและผ่อนปรนความเกลียดชังเขา” สามารถล้างใจได้ไหม ที่ผ่านมาฉันก็เคยด่าเขา เขาด่าฉันก็ยุติธรรมแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉันเคยโกงเขา เขาโกงเรากลับ ก็ยุติธรรมแล้ว ถ้าเราเอาความเข้าใจตัวเรามามองคนอื่น เราจะรู้ว่าคนที่เราบอกว่าเขาน่าเกลียด แท้จริงแล้วเราก็น่าเกลียด เหมือนที่เราบอกว่า อาจารย์บ่นอะไรนักหนา ก็หนูทำได้แค่นี้ อาจารย์ไม่เข้าใจเลย จะมาบ่นอะไรหนู อาจารย์ไม่มีเมตตาเลย เราว่าอาจารย์ไม่มีเมตตา ตัวเราก็ไม่มีความเมตตากับอาจารย์ที่ไม่เข้าใจอาจารย์เลยว่า อาจารย์ก็เป็นแบบนี้ เอาความเข้าใจตัวเองมาเปิดให้กว้างๆ เพื่อเราจะได้เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น แล้วจะได้เกลียดใครไม่ลง เราถามหน่อย ตัวท่านเองอยากจะอยู่กับคนที่รักและเข้าใจเรา หรือเอาแต่จะเกลียดเราโดยไม่มีเหตุผล ถ้าอยากได้คนที่รักและเข้าใจเรา ถามจริงๆ ตัวท่านชอบไหม คนที่ชอบว่าแต่คนอื่น ไม่ดูตัวเองเลย (ไม่ชอบ)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม
เราเคยเข้าใจหัวใจพ่อแม่ และคนที่อยู่รอบข้างไหม ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกอย่าสนใจแต่เป้าหมาย จนลืมระยะทางในการเดินไปสู่เป้าหมาย อย่าสนใจแต่สิ่งที่เราปรารถนา จนลืมการที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาว่าถูกต้องหรือไม่ คนโบราณจึงสอนว่า ไม่สำคัญว่าเธอเป็นอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ เธอทำอะไรก่อนที่เธอจะได้เป็น บอกว่าฉันเป็นคนดีเป็นคนเก่ง แต่ที่ไหนได้แอบด่าเพื่อนทุกวันเลย เราอยากได้ความรัก แต่ไม่เคยสนใจความรักที่พ่อแม่ให้เลย มัวแต่ไปหวังความรักจากผู้ชายซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ แต่พ่อแม่ที่รักเรา เรากลับรำคาญ แล้วรู้ไหมว่าผู้ชายที่เราไปแอบหลงรักอยู่ เขาอาจจะพูดในใจว่ารำคาญเราก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าเราอยากได้สิ่งใด หรือปรารถนาสิ่งใด อย่ามัวแต่สนใจความอยากของตน อย่ามัวแต่สนใจเป้าหมายของตน จนลืมไปว่าระหว่างที่เราทำเพื่อไปสู่เป้าหมาย ถูกต้องไหม หรือเราสนใจแต่เป้าหมายจนลืมดูแลคนใกล้ชิดหรือเปล่า เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นอยู่ในโลกท่านคงเกลียดคนน้อยลง ถ้าเข้าใจว่าแท้จริงคนที่น่ารังเกียจ เราก็น่ารังเกียจไม่ต่างกัน แท้จริงคนที่นิสัยไม่ดี เราก็เคยนิสัยไม่ดีไม่ต่างกัน ถามท่านตรงๆ คนที่ท่านเกลียดนิสัยเป็นอย่างไร ชอบเอาของเราไปใช่ไหม แต่อย่าเผลอนะ เราก็เอาของคนอื่นไปเหมือนกัน ชอบแต่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เสื้อผ้าของตัวเองมักจะไม่พอใจ แต่มักพอใจเสื้อผ้าที่อยู่ในร้านค้า เงินที่มีไม่เคยพอ มักกระตือรือร้นกับการถูกลอตเตอรี่
ชีวิตหนึ่งมีค่ามีความหมาย        สุขที่ใจรู้ตนรู้หน้าที่
ขยันซื่อตรงละบาปสร้างสิ่งดี       อย่าปล่อยชีวีผ่านไปแค่วันวัน”
ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าชีวิตของทุกคน ที่ล้วนมีค่ามีความหมายตรงที่รู้จักสุขเป็น รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ขยันสัตย์ซื่อ ละบาปทำสิ่งดี หากเกิดเป็นคนมีชีวิตผ่านไปวันๆ ทั้งขี้เกียจ ไม่ซื่อตรง ชอบทำผิด ชอบทำบาป อย่างนี้ไม่น่าเรียกว่าชีวิตที่มีค่าเลยจริงไหม (จริง)  เราเป็นแบบนั้นไหม ละบาปหรือทำบาป บาปคือสิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของกิเลสจนไม่รู้จักศีลธรรม คนที่ทำบาปคือคนที่ได้รับผลเป็นความทุกข์ เป็นเคราะห์ เป็นกรรม เป็นภัยพิบัติ ฉะนั้นถ้าเกิดเป็นคนไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีภัยพิบัติ ไม่อยากมีทุกข์ ก็ต้องพยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลง และการประพฤติผิดศีลขาดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งมนุษย์เราพ้นไหม (ไม่พ้น)  เพราะเรายังทำ (บาป)  ไม่ใช่การปล่อยวางเรื่องทางโลก แต่ต้องปล่อยวางเรื่องการยึดติดทางความคิด เพราะมนุษย์อดไม่ได้ที่จะชอบเอาตัวเองเป็นมาตรฐานในการวัดทุกสิ่ง บางทีสิ่งที่เราว่าใช่ ก็อาจไม่ใช่ สิ่งที่เราว่าไม่ใช่บางทีก็อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เหมือนถามว่าเราจริงหรือเท็จ ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้วเราก็เท็จท่านก็เท็จ เพราะความจริงคือทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง
เราบอกว่าก็เราหน้าตาแบบนี้ พอผ่านไปยี่สิบปีหน้าตายังเป็นแบบนี้ไหม ผ่านไปอีกสิบปี หน้าตายังเป็นแบบนี้หรือไม่ (ไม่)  อย่างนั้นแล้วตกลงว่าแบบนี้จริงหรือไม่ (ไม่จริง)  ฉะนั้นอะไรคือความแท้จริง ความแท้จริงคือความเปลี่ยนแปรผัน ท่านชอบคนขัดใจไหม (ไม่ชอบ) แต่ตัวท่านก็ไม่ชอบทำอะไรตามใจคนอื่นอยู่แล้วใช่ไหม บอกให้ไปทางหนึ่ง ท่านก็ไปอีกทางหนึ่ง บอกอย่าทำท่านก็ทำ แสดงว่าท่านก็ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ จริงไหม เราพูดตามตรง มนุษย์มีจิตใจที่ดี ชอบคนเมตตา แต่บางครั้งที่ใจเราไม่ดีบ้าง ใจดำบ้าง โหดร้ายบ้าง บางทีมันฝืน ถามว่าลึกๆ แล้วเราเป็นคนใจดำมาตั้งแต่เกิดไหม (ไม่)  และลึกๆ เราเป็นคนเห็นใจคนใช่ไหม  ถ้าเราเห็นใจคนเราจะบ่นคนอื่นไหม (ไม่บ่น) แล้วจริงๆ เราบ่นไหม (บ่น)
การละบาปบำเพ็ญบุญ เข้าถึงความบริสุทธิ์ นี่คือหนทางแห่งความเป็นพุทธศาสนา แค่อภัยอย่างเดียว ยังไม่บริสุทธิ์พอ แต่ถ้าเราสามารถเข้าใจความเป็นจริงของผู้คน โดยสามารถปลดทุกข์ในใจได้ โดยไม่ก่อบาปได้ นั่นเรียกว่า ละบาปบำเพ็ญบุญ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ที่เรียกว่าเห็นความผิดตน เข้าใจผู้คนและผ่อนปรนผู้อื่น เมื่อไรที่เขาด่าเรา ให้คิดว่าเราอาจจะเคยด่าเขา เมื่อไรที่เขารังเกียจเรา เราก็คิดว่าเราอาจจะทำตัวน่ารังเกียจก็ได้ เราเคยเป็นไหม เดินไปสักที่หนึ่งไปเจอคนนี้เราชอบ แต่อีกคนเราไม่ชอบ ไม่ถูกชะตาเลย ก็หัวอกเดียวกัน โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุก็ไม่ตกผล ถ้าเราไม่สร้างตรงนั้น แล้วเราจะมารับผลตรงนี้ไหม (ไม่)  ถ้าธรรมะสอนเพื่อให้ร่มเย็นและสบายใจ อะไรที่ทำให้เราร่มเย็นและสบายใจ เราต้องเปิดใจให้กว้าง และเข้าใจผู้คนให้มาก มนุษย์มีความเป็นคนไม่ต่างกัน เขาด่าเป็น เราก็ (ด่าเป็น)  และเก่งกว่า
ถ้าพูดธรรมะก็เบื่อใช่ไหม (ไม่เบื่อ)  แน่ใจนะ เราอยู่ในโลก มนุษย์อยู่ด้วยอารมณ์ ทำอะไรด้วยความรู้สึก ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ อารมณ์เรามีวันเปลี่ยนแปลงกลับกลายไหม ตอนนี้เราไม่ชอบ แต่นานๆ ไปเราอาจจะชอบ ตอนนี้เราชอบอยู่นานๆ ไป เราอาจจะไม่ชอบ แล้วอารมณ์ของเรามีวันหมดไหม (มี)  เพราะยังมีคำว่า “หมดอารมณ์” เลย วันนี้เราชอบทานสิ่งหนึ่งแต่พอทานบ่อยๆ ก็หมดอารมณ์ชอบแล้ว วันนี้เกลียดคนๆ หนึ่ง แต่วันหนึ่งก็หมดอารมณ์เกลียดแล้ว ก็มองเขาว่าเขาก็มีดีเหมือนกันนะ จริงไหม ถ้าเราอยู่ในโลกทำอะไรแล้วใช้อารมณ์เป็นหลัก วันหนึ่งอารมณ์เกิดเปลี่ยนแปลง เกิดกลับกลาย หรือเกิดอารมณ์หมดขึ้นมา เราไม่แย่หรือจริงไหม เขาชอบและรักเราเพราะอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนี้มีวันหมดอารมณ์และเปลี่ยนไหม (มี)  เขายังมีวันกลับกลายไหม (มี) ก็เรายังเปลี่ยนเลยจริงไหม พอเห็นอีกคนก็รู้สึกชอบ พอมองไปมองมา ชอบคนนี้มากกว่า ชอบคนนี้น้อยลง ถ้าใช้อารมณ์ ก็มีวันหมดลงและไม่แน่นอนได้ ในอารมณ์ที่เราชอบ ถามหน่อยว่าเราทำไปแล้วเรากังวลไหม กังวลว่าทำในสิ่งที่ฉันชอบแล้ว เขาจะชอบฉันและรักฉันไหม ถ้าทำอะไรด้วยอารมณ์ก็จะมีความแกว่งไปแกว่งมา มีวันหมดอายุและเปลี่ยนแปลง
ถ้าเราอยู่ในโลก เราจะทำอย่างไรดีที่สามารถผูกเขาได้ ทำให้เขาไม่เปลี่ยนใจได้ ลองปฏิบัติกับเขาด้วยธรรม ใช้ความเมตตาและความซื่อตรง ความเห็นอกเห็นใจที่สุด สิ่งเหล่านี้จะมีวันหมดไหม ยิ่งความเมตตาก็จะเมตตาได้เรื่อยๆ เหมือนกับเราเป็นคนขี้สงสาร เห็นอะไรก็รู้สึกสงสาร มีวันหมดความสงสารไหม (ไม่มี)  ใช่ไหม ยิ่งใช้ธรรมะไปปฏิบัติกับผู้คนก็จะเป็นสายใยที่ผูกไม่มีวันขาด เป็นสายใยแห่งธรรมที่ปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม แต่รู้ไหมการปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ สิ่งที่ได้มาคือความชอบ ความชังและกรรม กรรมดีและกรรมไม่ดี ถ้าเราปฏิบัติต่อเพื่อน ด้วยความซื่อตรง ไม่นินทา ทำด้วยความจริงใจ ถามจริงๆ เพื่อนจะไม่รักเราหรือ คนอื่นอ้าปากนินทา แต่เราไม่เคยว่าใคร แบบนี้เรารักไหม เรากลัวเขาจะแทงเราข้างหลังไหม เพราะไปอยู่กับใคร เขาก็เป็นแบบนี้ เราปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมหรือปฏิบัติด้วยอารมณ์ต่อกัน (ปฏิบัติด้วยธรรม)  เพราะธรรมยั่งยืนและเที่ยงแท้กว่าอารมณ์ แต่ทุกชีวิตมักปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมหรือด้วยอารมณ์ (ด้วยอารมณ์)  เราก็เลยพร้อมจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลาย สิ้นสลายเพราะไม่มีอะไรมั่นคง
(ท่านเสี่ยวผีเซียนถงเมตตาวาดรูปแอปเปิลบนกระดาน)
  

อันนี้ก็แอปเปิล อันนี้ก็แอปเปิล แม้จะขนาดเล็กหรือใหญ่ ถามว่าจริงๆ แล้วถ้าเราวาดพร้อมกันสองอัน ท่านอาจจะเห็นความแตกต่างบ้าง แต่จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนเท่าๆ กัน ถูกไหม แล้วถ้าเราบอกว่า เราสามารถทำให้แอปเปิลสองลูกนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดินได้ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทำไมเชื่อง่ายจัง ไหนบอกว่าไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าเราบอกว่าผลแรกติดโบ ผลที่สองต้องมีโบไหม อันไหนมีค่ากว่าอันไหน เบอร์หนึ่งหรือสอง ไหนใครว่าเบอร์หนึ่งยกมือขึ้น ไหนใครว่าเบอร์สองยกมือขึ้น ทำไมคิดว่าเบอร์สองมีค่ามากกว่า (เพราะสวยกว่า)  สงสัยเราต้องวาดให้เหมือนกัน บังเอิญว่าวาดรูปหนึ่งใหญ่กว่ารูปหนึ่ง โดยทั่วไปเราก็มองอย่างนี้ ต่างไหม บางทีท่านอาจคิดว่าไม่ต่างหรอก อันนี้อาจจะเป็นหมายเลขหนึ่ง อันนี้อาจจะเป็นหมายเลขสอง หรืออาจจะคิดอีกอย่างว่า อันนี้ได้รางวัลที่หนึ่ง อันนี้ได้รางวัลที่สอง เริ่มแตกต่างกันไหม ถ้าสมมติว่าอันนี้กินแล้วรวย อันนี้กินแล้วจน ต่างไหม (ต่าง)  เมื่อสักครู่บอกไม่ต่าง ทำไมพอมีคำว่ารวยกับจนบอกว่าต่าง อันนี้กินแล้วโชคดี อันนี้กินแล้วโชคร้าย ต่างไหม เอาไหม เราถามท่านนะ จริงๆ แล้วในโลกใบนี้ แท้จริงแล้วทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์เอาตัวเราไปกำหนดคุณค่า มนุษย์เอาตัวเราไปเปรียบเทียบ มนุษย์เอาความคิดเราไปแบ่งแยก เริ่มทำให้มองสรรพสิ่งที่เหมือนๆ กัน กลายเป็นแตกต่างกัน คนอื่นกำหนดคุณค่านั่นก็คือส่วนของเขา แต่ถ้าเราร่วมกำหนดคุณค่า เราก็จะเห็นโลกใบนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เหมือนเราถามท่านว่ายีราฟคอยาวไหม (ยาว)  เต่าคอสั้นไหม (สั้น)  แล้วท่านคอพอดีไหม (พอดี)  เมื่อเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บอกว่า เขาทำกับเราเกินไป เขาทำกับเราน้อยเกินไป เรานี่แหละพอดี นั่นเป็นเพราะว่าเขามากเกินไป หรือเราเอาตัวเราไปตัดสินผู้อื่น เหมือนเราถามท่านว่า ดอกกุหลาบกับดอกหญ้า อะไรมีค่ามากกว่ากัน (กุหลาบ)  เห็นไหมมนุษย์ก็อดติดในคุณค่าไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วดอกหญ้าก็มีความงามของดอกหญ้า ดอกกุหลาบก็มีความงามของดอกกุหลาบ
ฉะนั้นวันนี้บางสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกชอบ กับบางสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่ชอบ เป็นเพราะว่าใจที่เรายึดติด แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีใจเรายึดติด ทุกอย่างก็เท่ากัน สมมติว่าเราลบหมายเลขสองออก ลบคำว่ารวยออก ลบคำว่าจนออก ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเท่ากัน ถ้าเราไม่เอาตัวเราไปวัดทุกสิ่ง เราไม่เอาตัวเราเป็นมาตรฐานคอยเปรียบเทียบ ไปยึดติด โลกนี้จะมีอะไรที่สูงกว่า และอะไรที่แย่กว่าไหม (ไม่)  บางครั้งที่มนุษย์เราทุกข์ ที่ไม่เข้าใจผู้คน เพราะเราชอบเอามาตรฐานตัวเองไปวัด และก็ยึดติดกับมาตรฐานนั้น แต่เราถามจริงๆ ยีราฟคอยาวเกินไปไหม (ไม่)  เต่าคอสั้นเกินไปไหม (ไม่)  และยีราฟคอยาวจนน่าเกลียดไหม (ไม่) เต่าคอสั้นจนน่าเกลียดไหม (ไม่)  เหมือนกันคนบางคนที่ทำอะไรเกินไปแล้วท่านรำคาญ เขาก็เหมือนกับยีราฟ เหมือนที่เราถามท่านว่า จะหวังให้ยีราฟเป็นเต่าได้ไหม (ไม่ได้)  ให้เต่าเป็นยีราฟได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลก อย่าเอามาตรฐานตัวเองไปวัดสรรพสิ่ง เพราะถ้าเมื่อไรเอาตัวเองไปวัด โลกก็จะเกิดการแบ่งแยกอย่างสุดขั้ว เมื่อเกิดการแบ่งแยกอย่างสุดขั้ว เราก็ก่อเกิดเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า ดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข ชอบชัง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเข้าใจและเอาตัวเองออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกินไป แต่มีตัวเราต่างหากที่ยึดติดเกินไป ดังคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจยึดติดมั่นหมาย ปัญญาไม่กระจ่างแจ้งก็เพราะว่าหัวใจชอบยึดติดยึดมั่น”
การหลีกหนีสภาวะแวดล้อม สิ่งที่ควรระมัดระวังคือใจที่ยึดติด ฟังเข้าใจไหม เหมือนเราถามท่านง่ายๆ ส้มหนึ่งผลน้อยไหม (น้อย)  นั่นแหละคือเราชอบยึดติด จริงๆ อาจจะไม่น้อยก็ได้ ถ้าหนึ่งนี้มันมีค่า อันนี้อาจจะเยอะเกินไปก็ได้ ถ้าเราไม่ยึดติด แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อใจของมนุษย์ยังมีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในใจ ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าการแสดงซึ่งปรากฏการณ์ทุกอย่างที่ออกมาจากใจ นั่นเรียกว่ามนุษย์ แต่การรู้จักระงับยับยั้งความคิดไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่คิด หรือยึดติดกับนามรูป นั่นแหละเรียกว่าธรรมะ
เมื่อสักครู่สิ่งที่เราพูด ถ้าเกิดทุกคนรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เราก็จะไม่เดือดร้อน และก็จะไม่ทุกข์ ดำก็สวยแบบดำ ดั้งหักก็สวยแบบดั้งหัก อย่าไปเอามาตรฐานคนอื่นมาทำร้ายตัวเราเอง คุณค่าไม่ได้อยู่ที่การแสดงออกภายนอก แต่คุณค่าคือการแสดงออกจากภายในและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความถูกต้อง อยากทำตัวเองให้มีค่า และให้คนอื่นสนใจ หากเปลี่ยนแต่ภายนอกแต่ภายในไม่เปลี่ยนและแก้ไขก็ไม่มีประโยชน์ มีสวยก็มีสวยกว่า เราพยายามสวยเพื่อให้มีคนสวยกว่า หรือที่พยายามสวยเพราะขาดสวย ถ้าเรารู้จักคุณค่าตัวเองในแบบที่เราเป็น ทุกคนก็จะสวยกันคนละแบบ เหมือนท่านดูดอกไม้บนโต๊ะ สวยไหม (สวย)  แล้วถ้าเป็นดอกเดียวกันทั้งหมด ก็สวยไปอีกแบบใช่หรือไม่ แต่ในความเป็นจริงของดอกเดียวที่เหมือนกันทั้งหมด เหมือนกันจริงไหม ก็ยังมีบางอย่างที่แตกต่างกัน ฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองและเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามเป็นคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นไหม คางต้องแหลม จมูกต้องโด่ง หน้าต้องขาว ใช่ไหม (ใช่)
ฟังธรรมวันนี้แค่นิดเดียวเอง ไม่ไหวแล้วหรือ ฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  เราถามท่านว่าในโลกนี้ มีสรรพสิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วบางครั้งก็เหมือนมีสองขั้ว เมื่อมีฟ้า ฟ้าก็ต้องมีความมืดและความสว่าง อากาศมีร้อนก็มีหนาว มีน้ำก็มีไฟ มีความแข็งก็มีความอ่อน มีสุขก็มีทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นภาวะที่เราต้องเจอในโลกนี้ และเป็นการหมุนเปลี่ยนที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเจออะไรสักอย่างหนึ่ง เราบอกว่าเราชอบอย่างหนึ่งแล้วเราไม่ชอบอีกอย่างหนึ่ง ได้ไหม (ไม่ได้)  เราถามท่านว่าท่านชอบความมืดหรือความสว่าง (สว่าง)  ชอบสุขหรือชอบทุกข์ (สุข)  อากาศหนาวกับอากาศร้อนชอบแบบไหน (หนาว, ร้อน)  บางคนชอบร้อนบางคนชอบหนาว อย่างนั้นถามหน่อยว่าแล้วโลกนี้เป็นไปได้ไหมที่เราหวังแต่จะสุขแล้วไม่ทุกข์ หวังแต่สว่างแล้วไม่มืด หวังแต่อากาศหนาวแล้วไม่ร้อน (ไม่ได้)  ฉะนั้นมีเขาก็ต้องมีเรา มีคนดีก็ต้องมีคน (ไม่ดี, เลว)  ไม่มีดีกว่าเลยหรือ ฉะนั้นโลกเป็นภาวะของความเปลี่ยนแปลงที่สมมติว่าเราอยากได้สิ่งหนึ่งแล้วเรา ไม่อยากได้อีกสิ่งหนึ่ง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนอยากได้แต่ข้างหน้าแต่ไม่อยากได้ข้างหลัง ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ชอบแต่ข้างหน้า ข้างหลังไม่ชอบได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะต้องมีแต่เรื่องดี ไม่มีเรื่องร้าย (เป็นไปไม่ได้)  ท่านก็รู้นี่นา เราถามหน่อยเป็นไปได้ไหมวันนี้ค้าขายแล้วจะกำไรไม่ขาดทุน (ไม่ได้)  แล้วจะมีแต่สุขไม่มีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเรามองว่าจริงๆ แล้วโลกนี้เมื่อมีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งสองสิ่งของโลกนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง พึ่งพิง และสร้างความสมดุลอย่างสอดคล้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงไหม (จริง)  เราอย่าหวังอยากสิ่งหนึ่ง จนเราลืมมองความเป็นจริง เพราะชีวิตของความเป็นจริงคือชีวิตแห่งธรรม และธรรมก็หนีไม่พ้นชีวิต ความผิดเป็นครูของความถูกต้อง สีขาวเป็นแม่ของสีดำ ทุกข์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสุข ฉะนั้นผู้มีปัญญาต้องมองออกถึงความเป็นจริงในโลกที่แม้จะแตกต่าง แต่ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เสียศูนย์เพราะยึดติดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนไม่ยอมมองความเป็นจริง เมื่อไรที่เราทุกข์แสดงว่าเราจมอยู่กับความทุกข์จนลืมหาความสุข ที่ท่านบอกว่ามนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจชอบยึดติดมั่นหมาย ปัญญาไม่กระจ่างแจ้งก็เพราะชอบยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่ความเป็นจริงของโลกล้วนมีสองสิ่งที่คอยเกื้อหนุนกัน อย่ากลัวที่จะเจ็บไข้ อย่ากลัวที่จะเจอปัญหา อย่ากลัวที่จะอ่อนแอและพ่ายแพ้ เพราะไม่อ่อนแอจะรู้หรือว่าชีวิตมีค่า ถ้าไม่เจ็บป่วยจะรู้หรือว่าคนที่ใกล้ชิดเราต้องพยายามดูแลรักษาให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ มีโทษหรือ โลกล้วนสอนให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณแค่ไหนก็มีโทษ มีโทษแค่ไหนก็มีคุณได้ เหมือนเราเจอปัญหา แต่ปัญหากลับทำให้เรารู้จักก้าวต่อไปและเก่งขึ้น เหมือนความทุกข์ ถ้าไม่มีความทุกข์ เราจะเข้าใจตัวเองไหม (ไม่)  เราคิดว่าเก่ง แน่ เอาอยู่ แต่พอทุกข์จริงๆ ถึงได้รู้ว่าไม่เก่งเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำไว้นะศิษย์ เราไม่ได้ทำดีเพื่อเอาบุญ แต่เราทำดีเพื่อละบาปในใจ เพื่อยับยั้งใจที่ง่ายจะไหลลงต่ำ ฉะนั้นรู้หรือยังว่าทำไมเกิดเป็นคนแล้วจะต้องดี เพราะใจของมนุษย์ง่ายที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี และง่ายที่จะตามใจตนเองมากกว่าที่จะคิดถึงคนอื่น
(คนดี)  แล้วเรียกว่าคนบุญไหม เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  เมื่อเราเข้าใจว่าเราทำไมต้องดี พอเราดีแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะไม่หวังว่าทำดีเพื่อต้องการ
คำชม เมื่อโดนคนว่า เราก็จะไม่ท้อถอย เพราะเราอยากทำดี เพราะเรา
จะได้ละบาป เวลาเราทำดีเราจะได้ไม่ท้อแท้ เพราะเหตุของการทำดีก็เพื่อเราจะได้ไม่สร้างบาปต่อ เข้าใจหรือยัง
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ร้ายนั้นไม่ใช่ใจ แต่สิ่งที่ร้ายคือความคิดที่ถูกครอบงำ แล้วสั่งให้ใจต้องทำตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเราอยู่ดีๆ ถ้าเราไม่คิดก็ไม่มีอะไร เรื่องราวก็ผ่านไปก็จบไป ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเผลอคิดขึ้นมาแล้วคิดดีไม่เป็น มักจะคิดร้ายเสมอ อย่างนี้สรุปว่าใจไม่ดี หรือความคิดของเราไม่ดี ฉะนั้นเมื่อเราพูดว่าทุกสิ่งสำเร็จได้สำคัญที่ใจ อย่างนี้ที่บอกว่าไม่ดี ใจไม่ดี หรือความคิดที่ครอบงำใจไม่ดี (ความคิดที่ครอบงำใจไม่ดี)  ฉะนั้นจิตหรือความคิด ที่เป็นตัวทำให้เราร้าย (ความคิด)  ใช่หรือไม่
ใครอยากโดนก็โดนไป
ทั้งชีวิต แต่ความดีในใจมันยังมีอยู่ สู้ได้ไม่ได้เพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่เขา
รักเรา จิตใจนี้ดีอาจารย์ขอให้เข้มแข็งสู้เอาชนะมันให้ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรอยากก็ให้แบกเก้าอี้ไป ถ้ามันอยากมากๆ ก็แบกเก้าอี้ไปไกลๆ
ไม่เกลียด ไม่อยาก จนเกินไป
สิบเจ็ดปีที่เริ่มหรือสิบเจ็ดปีที่กำลังจบ ทุกขณะที่ศิษย์พบคือทุกขณะที่ศิษย์พราก ทุกขณะที่ศิษย์เริ่มคือทุกขณะที่ศิษย์จบ ทุกขณะที่ศิษย์เกิดคือ
ทุกขณะที่ศิษย์กำลังตาย เราดีใจที่เราได้เกิดมายี่สิบปี แต่จริงๆ แล้วยี่สิบปีนั้นคือยี่สิบปีแห่งความตาย ฉะนั้นควรดีใจไหมกับวันเกิด ถ้าเรามองตามความเป็นจริง ทุกครั้งที่เราพบก็คือทุกครั้งที่เรากำลังจะพลัดพราก ทุกครั้งที่เรารู้จักกันคือทุกครั้งที่เรากำลังจะจากกัน ทุกครั้งที่เรากำลังมีชีวิตคือ
ทุกครั้งที่เรากำลังจะจบชีวิต ถ้าเราสำนึกอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะใช้เวลาของชีวิตวันนี้ให้ดี เราจะทิ้งเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ค่าไหม (ไม่)  อย่าเพิ่งเบื่อ ฟังให้จบ มาแค่ฟังใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ใช่มาแค่ฟังจริงไหม เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเพิ่มปัญญา ปัญญาที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเจ็บปวดกับโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้
มาจากความ (คิด)  ความคิดที่เรียกว่าตัวตนของตัวเอง ความคิดที่เข้าออกและยึดติดในอารมณ์นั่นเรียกว่า กิเลส ฉะนั้นกิเลสเกิดจากความคิด ถ้าเราเปลี่ยนความคิดเป็น มองเห็นด้วยความเข้าใจ มองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง เราก็จะสามารถชำระความคิดนั้น ทำให้เราไม่สามารถจะคิดอีกได้ ถ้ามีคนมาด่าว่าศิษย์ โกรธไหม (โกรธ)  แต่ถ้าเราคิดว่าเขาคือคนบ้า เราจะโกรธไหม
(ไม่โกรธ) เพราะเราเข้าใจว่าเขาเป็นคนบ้า เหมือนกันถ้าเราเข้าใจอย่าง
แจ่มแจ้งในความเป็นจริงของโลก เราก็จะไม่ถูกโลกใบนี้ทำให้เราทุกข์ได้ หรือทำให้เราเจ็บปวดได้ เราจะคิดว่าทุกคนบ้าได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เราต้องคิดอย่างคนที่มีปัญญาและเข้าใจ
สิ่งที่ศิษย์ยึดติด สิ่งที่ศิษย์พยายามดูแลเพื่อไม่ให้ทุกข์ พุทธะเรียกอีกอย่างว่าอะไรรู้ไหม ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา)  ออกจากจมูกเรียกว่า (ขี้มูก)  ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก)  ออกจากมือเรียกว่า (ขี้มือ)  ออกจากตัวเรียกว่า (ขี้ไคล)  ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู)  แล้วอย่างนี้ตัวของเราใช่ถุงขี้หรือเปล่า
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสำนึกในความเป็นจริงว่า สิ่งที่ศิษย์เกลียดนั้นคือถุงขี้ แล้วสิ่งที่ศิษย์รักก็คือถุงขี้ แล้วศิษย์ชอบเล่นขี้ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วศิษย์ชอบแต่งถุงขี้ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วแต่งตัวทำไมหรือ แล้วศิษย์ว่าขี้น่ารังเกียจไหม (น่ารังเกียจ)  แล้วศิษย์นินทาไหม (นินทา)  นั่นก็คือการนำขี้ปากของคนอื่นมาละเลง แล้วนำขี้ปากของคนอื่นไปเล่าต่อ อย่างนี้เรียกว่าเล่นขี้
ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยนำขี้ปากของคนอื่นมาทาตัวเอง แล้วก็มาชโลมใจของตัวเองไหม (เคย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วไหนบอกว่าไม่เล่นขี้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป แล้วเราจะรัก หลง หรือยึดแล้วอยากทำไม
ในเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่ถุงขี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราหลงถุงขี้ไหม
เวรกรรม ทำไมถึงจะต้องเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรม เพราะเมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรม เราจะไม่เกิดหน่อเนื้อหรือเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอะไรในโลกอีกเลย เพราะทุกครั้งที่อยากก็หนีไม่พ้นกิเลส กรรม ทุกข์ แล้วเราอยากทำบุญเพื่อกลับมาเกิดแล้วทุกข์อีกใช่หรือไม่ เราอยากเป็นคนดีเพื่อชาติหน้าจะได้มีบุญวาสนาดีๆ แล้วกลับมาเวียนทุกข์เวียนเกิดอีกใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นการสิ้นทุกข์ที่ดีที่สุดคือการไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเลย ขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” เราเกิดมาเพราะมีกรรม และหนีไม่พ้นกรรมที่ตัวเองสร้าง เราควรอยู่เพื่อสร้างกรรม หรืออยู่เพื่อสิ้นกรรม (สิ้นกรรม) และทุกขณะที่เราทำเป็นการสิ้นกรรมหรือสร้างกรรม (สร้างกรรม)  แล้วเราจะพ้นกรรมได้อย่างไร
เมื่อวานเซียนน้อยบอกไว้ว่า อย่าปฏิบัติต่อใครด้วยอารมณ์ เพราะอารมณ์มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะอารมณ์มีวันกลับกลาย และเมื่อถึงที่สุดก็ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปบุญคุณโทษและเวรกรรมที่ต้องสนอง แต่จงปฏิบัติต่อผู้คน
คนที่อาวุโสกว่าเรา ก็ต้องให้เกียรติเคารพ คนที่อาวุโสน้อยกว่า ก็ให้มีเมตตารักใคร่ ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยธรรม ทำหน้าที่รับผิดชอบซื่อตรงให้ดีที่สุด
จงอยู่เพื่อธรรมอย่าอยู่เพื่อตน เพราะถ้าอยู่เพื่อตนจะหนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าอยู่เพื่อธรรมจะสิ้นกรรมและกลับคืนสู่ธรรม ต่างกันไหม (ต่าง)  แล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่อตน หรือมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติซึ่งธรรม จิตกลับสู่ฟ้า กายลงสู่ดิน ถ้าอัตตาตัวตนยังไม่สิ้น จิตก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าจิตจะกลับคืนสู่ฟ้า กายสู่ดินได้ ก็ต่อเมื่ออัตตาตัวตนสิ้นแล้วซึ่งความยึดมั่นถือมั่น กลับคืนสู่สภาวธรรม
ก็ไม่ได้ถ้าไม่มีความเจ็บ เราจะไม่รู้จักเวลาว่ามีค่า ถ้าเราไม่รู้จักความตาย
เอาตัวเองให้เป็นธรรมให้ได้ ธรรมที่สอนให้เราเป็นกลาง และสมดุลโดยไม่เสียศูนย์ ความยึดติดต่างหากที่ทำให้เราเสียศูนย์ ต้องเป็นแบบนี้ อย่าเป็นแบบนั้น แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าจะแบบนี้หรือแบบนั้นก็คือเรื่องธรรมดา
“เปลี่ยนความคิดนิดเดียว”)
เอาธรรมมายับยั้งใจและมองให้เห็นความจริง เราจะได้ไม่จมอยู่กับความทุกข์ เปลี่ยนความคิดได้ชีวิตก็เปลี่ยน จริงไหม (จริง)  เจ็บได้ที่ตัวแต่อย่าเจ็บลงที่ใจ ป่วยได้ที่กายแต่อย่าป่วยที่ใจ จำไว้นะศิษย์ และชีวิตตายได้ แต่ที่ยังตายไม่ได้ก็เพราะถ้ายังมีอัตตาตัวตนให้ยึดติดอยู่ ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่เรียกว่าบุญบาป แต่ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมแล้วยังก้าวไปไม่ถึงที่สุด ไปไม่ถึงที่สุดอย่าเพิ่งตาย จะตายทั้งทีมันต้องคุ้มต่อชีวิตหนึ่งที่อุตส่าห์เสียสละมาดีก็ต้องดีที่สุด ซื่อตรงก็ต้องซื่อตรงให้ดีที่สุด ยากหรือศิษย์ ไม่ยาก แต่ยากตรงที่เมื่อไรจะทำสักที ไม่จำเป็นต้องเชื่ออาจารย์ แต่ขอเพียงให้เชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามในจิตใจของศิษย์ เชื่อมั่นในความดีงามของตัวเองว่าเรามีดี อย่าทำให้ตัวเองไม่ดีเพราะความอยาก ความหลง เพราะความอยากความหลง หนีไม่พ้นคือวัฏฏะแห่งความทุกข์ ศิษย์รู้ไหมโกรธมากๆ ก็คือเปลวไฟนรก อยากมากๆ ไม่รู้จักอิ่มก็เรียกว่าเปรต หลงมากๆ ก็เรียกว่าเดรัจฉาน รออยู่อย่างเดียวชีวิตนี้จะมีใครรักหนู เห็นสัตว์ไหมพอมีใครรักเท่านั้นแหละ นอนหงายยอมมอบกายถวายชีวิตเลย แล้วเราเป็นแบบนั้นหรือเปล่า เรารู้จักรักตัวเองไหม เรารู้จักเข้าใจตัวเองหรือเปล่า ฉะนั้นรู้จักควบคุมความคิดตัวเองให้ได้นะศิษย์ แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ใจ แต่คือความคิดโมโหชั่วแล่น ความคิดชั่ววูบที่มันเข้ามาแล้วทำให้เราทำผิดทำพลาดนั่นแหละน่ากลัวที่สุด
ดีงาม คุ้มครองจิตให้ศิษย์มีใจที่เข้มแข็ง เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
จริงไหม เอาไหมเอาบุหรี่แลกแอปเปิล (เอาครับ)  ไม่ใช่แลกซองนี้นะ
แลกทั้งซองแห่งชีวิต อยากเมื่อไรควบคุมให้ได้นะ ชีวิตจะได้ไม่ต้องพบความทุกข์ความลำบากในอนาคต
ไม่ต้องกลัว ฟ้าให้ศิษย์อยู่ต่อ ตราบที่ศิษย์ยังสู้ไหว ใช่หรือไม่ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม น่าส่งเสริมน่ายินดี ใช่หรือไม่
จำคำอาจารย์ดีๆ นะ ทุกข์แค่ไหนอย่าฆ่าตัวเองตาย อย่าทำคนอื่นตายทั้งเป็น แปรความทุกข์เป็นสุข นำพาผู้คนด้วยความสงบร่มเย็นดีกว่านะ เปิดใจให้กว้างๆ มองให้ออก ในทุกข์มีสุขซ่อนอยู่เสมอ ในทุกข์มีทาง
พ้นทุกข์อยู่แล้ว ขอเพียงศิษย์พลิกเปลี่ยนความคิดได้จริงไหม (จริง)  ไปให้ถึงซึ่งความจริงแห่งธรรม
ต่อไหม อาจารย์ให้ศิษย์อยู่ต่อ แต่ศิษย์ต้องสู้กับความเจ็บให้ได้ ศิษย์ต้องเข้มแข็งกับความเจ็บให้ได้ ดีที่มันยังเจ็บ ถ้าไม่เจ็บแล้วก็ไปหาอาจารย์
จะเอาอย่างไร เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ฉะนั้นเจ็บเพื่อได้ปลดปลง เจ็บเพื่อได้ฝึกปล่อยวางให้กายกับใจแยกจากกัน อย่าติดในกาย เราต้องฝึกใจให้สูงฝึกใจให้พ้นทุกข์ เอาความทุกข์มาแปรเป็นหนทางที่นำพาให้พ้นทุกข์ นี่ถึงจะเป็นการฝึกบำเพ็ญธรรม ไม่ต้องกลัวเจ็บ ให้ขอบคุณที่เจ็บ จำไว้นะ ไม่ใช่ยิ่งเจ็บยิ่งแย่ ยิ่งเจ็บยิ่งซึมยิ่งถอย อาจารย์ให้ศิษย์อยู่ก็แปลว่าอยากให้ศิษย์ทำให้เต็มที่ เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมให้ได้ เข้าใจไหม

ผู้ที่เข้าใจธรรมคือยอมรับความเป็นจริงอันเป็นกลางด้วยความเป็นจริงและสอดคล้อง ถ้าเมื่อไรท่านรักความสุข แต่เกลียดความทุกข์ ก็แสดงว่าท่านไม่มีธรรม หวังแต่กำไร ไม่คิดขาดทุน แสดงว่าคิดแบบคนที่ไม่มีธรรม หวังแต่ให้คนชม ไม่ให้คนด่า แสดงว่าท่านกำลังลำเอียงกับตัวเอง
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกทุกท่านในที่นี้ว่า สิ่งที่ท่านเกลียด สิ่งที่ท่านไม่ชอบและไม่อยากเจอ แท้จริงแล้วล้วนต้องการให้มนุษย์รู้จักสมดุล และมองความเป็นจริง ไม่มีอะไรร้ายถ้าเราเปิดใจกว้าง เหมือนวันนี้ไม่ชอบฟังธรรมะ แต่ถ้าเราเปิดใจสักนิด ลองชอบหน่อย บางทีก็มีอะไรดีๆ ที่เรามองไม่เห็น และสิ่งที่เราชอบมากๆ หากลองมองให้ดีๆ บางทีก็มีโทษเหมือนกัน ฉะนั้นเราควรอยู่อย่างคนที่ใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก หรือควรอยู่อย่างคนที่เอาธรรมะมาประจักษ์แจ้ง และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ เหมือนตอนนี้ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าความมืดไม่ได้เลวร้าย ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ทั้งความทุกข์ความผิดหวัง ความเจ็บป่วย มันก็มีดี เมื่อมีดีแล้วอะไรที่เราเกลียดก็ไม่มี อะไรที่เรารำคาญก็ไม่มี เมื่อไม่มีอารมณ์ ตัวเราก็ไม่มี เมื่ออารมณ์เราไม่มีแล้วเราก็ไม่มีกรรม เมื่อไม่มีกรรมเราก็ไม่มีทุกข์ เมื่อทุกข์ไม่มีเราก็ไม่มีเคราะห์ภัย แต่ถ้าเมื่อไรที่เราทำอะไรด้วยอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว หนีไม่พ้นทุกข์สุข และก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นเปิดใจให้กว้างๆ แล้วจะรู้ว่าในร้ายก็มีดี ในดีก็อาจจะมีร้าย และอะไรหรือที่เราควรเกลียด อะไรหรือที่เราควรหลงรักอย่างหัวปักหัวปรำ ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง
จิตใจของมนุษย์มีนิสัยเหมือนๆ กันอยู่อย่างหนึ่งคือ ชอบมองออกและชอบยึดติด อันเป็นต้นเหตุทำให้ทุกข์ แล้วก็ชอบใฝ่ไปในอารมณ์ที่ตัวเองใคร่ เวลามองคนอื่นก็โทษเขาก่อน ไม่เคยที่จะโทษตัวเอง รู้ว่าเป็นทุกข์แล้วก็ไม่ควรจมอยู่กับความทุกข์ แต่ก็ชอบยึดติดในความทุกข์ ถ้ารู้ใจตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขด้วยการเอาธรรมะมาสอนใจและข่มใจ ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อย่าขยันแต่ปฏิบัติภายนอก แต่ลืมลงแรงที่ใจ อย่าเป็นคนดีแค่การกระทำ แต่ลืมทำใจตัวเองให้ดี ฉะนั้นคนที่ใจดีๆ ย่อมใจเย็น ใจกว้าง และคนที่ใจมีธรรม ต้องใจเย็นและใจกว้าง ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรมแล้วใจยังไม่เย็นและใจยังไม่กว้าง ก็แปลว่าเรายังไม่มีธรรม เรามักจะบอกว่า เรื่องธรรมเป็นเรื่องของคนแก่ ถ้าเรารู้ธรรมและมองเห็นความเป็นจริง และเข้าใจชีวิตตัวเอง จัดการกับตัวเองได้ ตอนนั้นเมื่อเราเจอกับอะไร เราก็สามารถที่จะรับมือได้ไหว ถูกไหม (ถูก)  เรารอจนกระทั่งเรารับมือไม่ไหว แล้วเราค่อยมาจัดการกับตัวเอง ทันไหม (ไม่ทัน)  กว่าจะคิดได้ (ก็สายแล้ว)
วันนี้เราคุยกับท่านง่ายๆ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ใช่แค่สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ แต่การปฏิบัติธรรมคือ เอาหลักธรรมความเป็นจริงมากระจ่างแจ้งภายในใจ จนนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์และเข้าใจผู้คน โดยไม่เกิดเป็นกิเลสและอารมณ์ มีแต่คนที่ฟังธรรมะมาเป็นสิบๆ ปี ถึงจะเข้าใจ แต่จงเชื่อเราสักอย่างหนึ่ง ทำอะไรอย่าใช้แต่อารมณ์ เพราะอารมณ์มีวันเปลี่ยนแปลงและกลับกลายได้ อารมณ์ไม่เคยทำให้ใครมีความสุขแท้จริงได้ แต่จงปฏิบัติด้วยธรรมย่อมดีกว่า
สิ่งสำคัญในการศึกษาธรรมคือเริ่มต้นที่ใจ ศรัทธาเชื่อมั่นในใจของตนเอง ถ้าบอกว่าไหวยังไงก็ไหว ถ้าบอกไม่เอา แค่ง่ายๆ ก็ไม่ไหว ฉะนั้นจะได้ไม่ได้อยู่ที่ใจเรา และวันนี้ทุกท่านจะประเมินใจตนเองแค่นี้ หรือจะประเมินใจตนเองให้สูง อดทนในสิ่งที่ยากทน นั่นเรียกว่าคนเก่ง อดทนในสิ่งที่ทนได้ยาก นั่นเรียกว่าคนบำเพ็ญตนเองเป็น ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ นั่นเรียกว่าคนเหนือคน และเราคิดว่าเราเป็นคนธรรมดาหรือคนเหนือคน ถามใจตนเอง
ฉะนั้นการศึกษาธรรมสอนให้มนุษย์มีปัญญา รู้นำพาชีวิตตนเอง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสนองกิเลสอารมณ์ และตกเป็นทาสแห่งบาปบุญและกรรม แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งเห็นจริง ไม่เกลียดใครในโลก และไม่รักใครในโลกจนเกินไป เพราะมองเห็นธรรมอันเป็นธรรมดา ใครดีที่สุดไม่มี ใครแย่ที่สุดไม่เห็น เพราะทุกคนเหมือนกัน เขานิสัยไม่ดี เราก็ไม่ดี เขาขี้บ่น เราก็ขี้บ่น ว่าเขาเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง แล้งน้ำใจ ไม่ยุติธรรม แต่บางทีเราก็เป็น ฉะนั้นแปรความผิดบาปของตนเองเป็นความเข้าใจ และผ่อนปรนผู้อื่น เพื่อจะได้ลดละความโลภ โกรธ หลง ที่จะนำพาให้เราทุกข์ทน


วันเสาร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒        สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่ไม่จริง เพราะสิ่งที่แท้จริงไม่เคยทำให้ใครทุกข์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  คนบำเพ็ญนำสุขใช้เดินฟันฝ่า          เป็นคนหลงรักเวลาด้วยจุดหมาย
กายสังขารไปเร็วเพิ่มทุกข์กลายกลาย   การวุ่นวายหนีจะยิ่งกว่าซ้ำเติม
จัดระเบียบความคิดพูดได้ทำได้         อีกเรื่องเรื่องวินัยส่งเสริมและสร้างเสริม
ส่วนความรู้หัดปัญญาฟื้นญาณเดิม      เรื่องไม่เปลี่ยนแก้ไขหมั่นเพิ่มจิตศรัทธา
จงระวังความคิดนิดเดียวไม่หยุด         เป็นมนุษย์รับธรรมบำเพ็ญขึ้นสู่ฟ้า
ชาตินี้ชาติเดียวคิดมากไร้ค่า             ยิ่งแก้ปัญหามีได้ความคิดใหม่
มโนธรรมสำนึกอย่างไรเป็นคนเต็มคน  จิตกุศลดีให้ได้เผยแผ่ได้
ตั้งใจเปลี่ยนนิดเดียวคนยิ่งใหญ่          ระวังใจความคิดนิดเดียวทำพัง
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ต้องเดินให้รอบๆ จะได้เห็นหน้าศิษย์ของอาจารย์ทุกคน จะถามว่าคิดถึงกันไหมก็ไม่ใช่ เพราะบางคนยังไม่เคยเจอกันเลย ยังไม่รู้จักกันเลย กินข้าวอิ่มแล้ว ฟังธรรมะอิ่มหรือยัง (ไม่อิ่ม)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ายังมีใจมีแรงฟังอาจารย์อยู่ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าให้ตอบอย่างเดียวบางทีก็จะหลับอีกจริงไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนตอบโดยใช้การยักไหล่แทนการตอบ)
นั่งมากๆ ก็เมื่อยเป็นธรรมดา เกิดเป็นคนยังมีอารมณ์ ยังมีความรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ดีกว่านั่งแล้วไม่รู้สึกอะไร อย่างนี้ก็น่ากลัวนะ อย่างนี้บางทีก็ต้องขอบคุณที่ยังรู้สึกเจ็บ ขอบคุณที่ยังรู้สึกเมื่อย ขอบคุณที่ยังรู้สึกปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่าไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
นั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง)  ศิษย์เอ๋ย เกิดเป็นคนอย่าคิดแต่อยากจะนั่งแล้วไม่ยืน ขึ้นชื่อว่าคน ก็ต้องนั่งได้ยืนได้ จริงไหม (ไหม)  ตอนนี้อยากนั่งหรืออยากยืน (นั่ง,ยืน)  ศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากให้ชีวิตยุ่งยาก ก็อย่าคิดแบบยึดมั่นตายตัว นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ อย่างนี้จะไม่ทุกข์
อาจารย์ถามก่อน นักเรียนในชั้นของอาจารย์เป็นเด็กดีไหม (ดีมาก)  นักเรียนในชั้นกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าตัวเองเป็นคนดีมาก ดีจริงใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่สามวันดีสี่วันร้ายใช่ไหม (ใช่)  ที่พูดว่าดี ตกลงว่าอาจารย์คิดผิดหรือศิษย์พูดผิด โดยส่วนใหญ่นั้นเวลาเราศึกษาธรรม ธรรมนั้นสอนให้เราเป็นคนดี และเราก็รู้ว่าเราต้องพยายามเป็นคนดี แต่บางครั้งการที่เราเป็นคนดี แต่ก็อดถามใจตัวเองไม่ได้ว่าจะดีไปทำไม คนโบราณมักบอกว่าทำดีเพื่อเอาบุญ แต่บุญยังไม่อยากได้ อยากได้ความสบายใจก่อน ทำดีมากๆ ก็เหนื่อย การจะเป็นคนดีมักคิดถึงผู้อื่นก่อน อาจารย์ ศิษย์ก็พยายามเป็นคนดี แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นมากเกินไป ชีวิตนี้ก็คงไม่ต้องทำอะไรเลย
ถ้าเราอยากเป็นคนดี เมื่อเราคิดถึงตัวเองแล้ว เราก็ต้องรู้จักคิดถึงผู้อื่นด้วย แล้วโดยส่วนใหญ่เราคิดถึงตัวเองหรือคิดถึงผู้อื่น (คิดถึงตัวเอง)  การเกิดเป็นคนนั้นบางทียากนะศิษย์ คิดถึงคนอื่นมากไปก็สูญเสียคุณค่าความเป็นคน คิดถึงตัวเองมากเกินไปก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ แต่ถ้าหากเราเกิดเป็นคนแล้ว บางครั้งทำอะไร เมื่อรู้จักนึกถึงตัวเองแล้วก็ให้รู้จักนึกถึงผู้อื่นให้มากกว่านี้อีกหน่อย ก็จะทำให้เราดียิ่งขึ้น ถ้าเราคิดถึงตัวเองมากกว่า และคิดถึงผู้อื่นน้อยกว่าเราจะดีน้อยลง ความดีช่วยทำให้เรารู้ว่า การเป็นคนดีนั้นควรรู้จักคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่าคำนึงถึงตัวเอง คนดีควรเป็นคนที่ชอบชมตัวเองแล้วกดคนอื่น จริงไหม (ไม่จริง)  เราเกิดเป็นคนเราควรที่จะยกตัวเองหรือข่มตัวเอง เกิดเป็นคนเราควรจะยกตัวเองให้สูงหรือกดคนอื่นให้ต่ำเตี้ย บางทีอยู่ในโลกก็ชวนให้เราฉงนสนเท่ห์ เรายกตัวเองสูงคนก็พยายามกดเราให้ต่ำ แต่พอเรากดตัวเองให้ต่ำ แทนที่เขาจะยกเราให้สูง กลับมาเหยียบเราให้จมดิน เกิดเป็นคนควรทำอย่างไรดีถึงจะเรียกว่า ดีและถูกต้อง อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ใช่ เกิดเป็นคนมีชีวิตแล้ว ต้องไปให้สูง คิดต้องคิดให้ดี ก้าวต้องก้าวให้ไกลไปให้ถึง เมื่อตั้งใจอะไรแล้วนั่นเป็นจุดหมาย แต่ไม่ใช่เอามาเพื่อยกตัวเองแล้วข่มผู้อื่น อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะมนุษย์มีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หลงตัวเอง เมื่อโดนชมหรือคนบอกว่าดีหน่อย หลงตัวเองไหม (หลง)  พอคิดว่าตัวเองดีก็เลยชอบมองคนอื่นว่ายังไม่ดี สิ่งที่เราต้องระวังอย่างหนึ่งคือ เกิดเป็นคนต้องยกและชมคนอื่นได้ เพื่อเป็นการให้กำลังใจและผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ดีๆ ให้ดียิ่งขึ้น แต่สำหรับคนไม่ดีก็อย่าไปนินทา เพราะไม่เคยมีใครได้ดีจากการนินทา ถ้าคนหนึ่งไม่ใช่คนดี และอาจารย์ก็เอาแต่ประจานและนินทา จะทำให้เขาดีขึ้นไหม มีแต่เขาจะยิ่ง (เกลียด)
ฉะนั้นอย่าคิดว่าการว่าคนแล้วจะทำให้คนที่ถูกว่านั้นดีขึ้น ไม่มีนะ ยิ่งว่าก็มีแต่จะทำให้เขายิ่งแย่ลง และเมื่อคนจนตรอกแล้วก็จะกัดไม่เลือก เขาไม่ดีจริงๆ ว่าไปให้สุด ด่าไปให้สุดเลย สุดท้ายแล้วพอถึงเวลาคนที่ถูกทำร้ายก็คือเรา เกิดเป็นคนว่าคนอื่นก็ไม่ดี ยกตัวเองเกินไปก็ไม่ดี แล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้เราไม่หลงตัวเอง นั่นก็คือรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหน ต้องอยู่ให้เขารักอย่าอยู่ให้เขาเกลียด และอยู่ให้เขาคิดถึงดีกว่าอยู่แล้วเขาอยากจะบอกให้เรารีบกลับไปๆ สักที
การศึกษาธรรมสอนให้เราต้องเป็นคนดี แต่โดยความเป็นจริงของมนุษย์นั้น มีดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นทำอย่างไรเราถึงจะสามารถเป็นคนดีได้ตลอดเวลา และมีพลังที่อยากจะเป็นคนดี เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเราก็จะดีบ้างไม่ดีบ้าง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต้องอยากดี เพราะมนุษย์มักคิดร้าย และมนุษย์ก็ง่ายที่จะทำเรื่องร้าย และการที่เราจะดีก็เลยกลายเป็นเรื่องยาก สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมเกิดเป็นคนต้องเป็นคนดีก่อน ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ก็บำเพ็ญธรรมไม่ได้ แต่ทำไมเราต้องเป็นคนดีศิษย์รู้ไหม เพราะการเป็นคนดีจะช่วยยับยั้งความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ในใจ โดยส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรผิดมือจะสั่นไหม ตาจะลอกแลกไหม แล้วมักจะคิดว่าคนเราก็ต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้าง นิดๆ หน่อยๆ ผิดพลาดไม่เห็นเป็นไรเลย แต่ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อกล้าทำผิดได้หนึ่งครั้ง เราก็กล้าที่จะทำผิดครั้งที่สอง เมื่อมีครั้งที่สองก็มีครั้งที่สาม แล้วพอไหม (ไม่พอ)  จากที่เคยลอกแลกก็จะไม่ลอกแลก  ฉะนั้นการทำดีเราทำดีเพื่อยับยั้งความชั่วในจิตใจ การทำดีเพื่อยับยั้งจิตใจที่ง่ายจะไหลลงที่ต่ำมากกว่าดึงขึ้นสูง เหมือนเวลาเรามองคนๆ หนึ่ง เราคิดดีหรือคิดร้าย
ศิษย์ต้องเข้าใจก่อน เมื่อเราทำดีก็จะได้ผลตอบแทนคือความดี เมื่อละบาปได้เราก็ได้บำเพ็ญบุญ แต่เมื่อทำบุญมาก หากไม่สามารถละบาปก็ไม่เรียกว่าบุญ ทำบุญมาตั้งมากมายแต่ละบาปไม่ได้ จะเรียกว่าได้บุญหรือได้บาป (ได้บาป)  มือหนึ่งทำบุญ แต่อีกมือหนึ่งยังชี้หน้าด่า หรือมือหนึ่งยังทำบุญ แต่อีกมือหนึ่งยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือบาป (บาป)  บาปที่พยายามจะเป็นบุญ สาเหตุหลักที่เราเกิดเป็นคน เมื่อศึกษาธรรมแล้วเราต้องเป็นคนดี จำไว้ว่าเราดีเพื่อเราจะได้ห่างไกลจากความคิดชั่ว ห่างจากบาป ห่างจากจิตที่ง่ายจะไหลลงต่ำ เมื่อละบาปได้เราก็คือคนบุญ อาจารย์ถามง่ายๆ ทำบุญตั้งมากมาย แต่บาปไม่เคยละ ยังเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  แต่ในทางตรงข้าม ละบาปหมด แต่ถึงแม้ไม่ได้ทำดี ยังเรียกว่าคนดีไหม
แล้วอะไรที่ทำให้จิตเราไหลลงต่ำ คิดร้ายมากกว่าคิดดี (กิเลสความอยาก)  อาจารย์เคยได้ยินว่า กิเลสนั้นไม่มีตัวตนนะ แล้วมาจากไหน (ความต้องการ)  ความต้องการมาจาก (ตัวเรา)  แล้วกิเลสร้ายหรือตัวเราร้าย (ตัวเราร้าย)  ถ้าเราบอกว่ากิเลสนั้นเลว กิเลสนั้นไม่ดี แล้วเราไปคบกับมันทำไม เอามาใส่ใจทำไม จริงๆ ตัวที่ร้ายไม่ใช่กิเลส แต่เป็นคนที่หวั่นไหวไปกับกิเลส คนที่พ่ายแพ้ต่อกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นแปลว่าคือตัวของเราใช่ไหม (ใช่)  ตัวเราเองที่ร้าย ถูกต้องไหม (ถูก)  แล้วตัวของเราตรงไหนหรือที่ร้าย ศิษย์เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ใจของเรานั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดมักจะคิดอะไรแย่ๆ จึงทำให้เมื่อมองอะไรในชีวิตก็เลยแย่ไปเสียทุกอย่าง เช่น ใจของเราอยู่ดีๆ แต่ตัวเราเองอยากพูดคำหยาบ “เฮ้ย มึงมองอะไรกูวะ” ชีวิตจึงหยาบๆ นิสัยจึงหยาบๆ ใช่ไหม (ใช่)  ใจนี้อยู่ดีๆ แต่ความคิดนั้นไม่ดี เช่น ทำดีรวยช้า ต้องทำชั่วๆ จึงจะรวยไวดี คิดดีไม่ได้ได้แต่คิดชั่ว ชีวิตจึงได้แบบชั่วๆ
ถ้าเราหาเหตุแห่งทุกข์ไม่พบ เราก็จะดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเรายังหาตัวปัญหาที่แท้จริงไม่พบ เราก็จะดับทุกข์ไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นปัญหาที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์นั้น ไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่ปัญหาที่น่ากลัวของมนุษย์คือ ความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้เราจะควบคุมความคิดได้อย่างไร เหมือนคำพูดที่ว่า จิตนั้นดี แต่ที่ไม่ดีและหม่นหมองก็เพราะความคิด ใช่ไหม (ใช่)
มีคนตอบอาจารย์ไหม ตอบว่า (มีสติ)  มีสติ รู้ทันตัวเอง รู้ทันผู้อื่น
แล้วถึงเวลาเรามีสติรู้ทันความคิดเราไหม (รู้)  แต่เสียอย่างเดียวเวลาอารมณ์มาครอบงำความคิดและชีวิตจิตใจ ถ้าเรารู้ไม่ทันเราก็จะพังไปทั้งชีวิตเลย ศิษย์อย่าบอกว่า อาจารย์ไม่เป็นไรหรอก ผิดนิดเดียวเดี๋ยวคนก็ให้อภัย อาจารย์ถามหน่อยมีใครบ้างที่ไม่กลัวบาปกรรม และเวรกรรมบ้าง อาจารย์ไม่เป็นไรหรอก ขาดสตินิดเดียว มันพังแล้วก็พังไปช่วยไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
ถ้าอาจารย์บอกว่าไปเอาเก้าอี้มาให้หน่อย วางไว้ เปลี่ยนใจเอากลับไปคืน เปลี่ยนใจเอากลับมาใหม่ อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าชีวิตเราหากโดนแกล้งขนาดนี้ เราโดนทำร้ายขนาดนี้ เพียงเพราะเราคิดว่าไม่เป็นไร ผิดนิดหน่อย ใช้เขานิดหน่อย ก็เราเป็นผู้ใหญ่กว่า นี่เป็นเด็กกว่า ใช้ได้ก็ใช้ไป ด่าได้ก็ด่าไป อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แต่อาจารย์ถามหน่อย ในความเป็นจริงของคนเรา แค่พูดว่าหยวนๆ แล้วมันจบไหม (ไม่จบ)  ร้ายมาร้ายตอบนี่คือนิสัยของมนุษย์ แรงมาแรงกลับนี่คือความเป็นคน เตะมาไม่ใช่เตะกลับด้วยบางทีเอามันให้น่วมเลย
ฉะนั้นเกิดเป็นคนศิษย์อย่าพูดว่า ไม่เป็นไรอาจารย์นิดเดียว แก้กันนิดเดียวก็หาย เป็นแล้วมันหายยาก ติดแล้วมันแก้ยาก มีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอก จิตมันดี แต่ความคิดความหลงมันครอบงำทำให้เราพลาดไป
ศิษย์จำไว้ว่า ชีวิตก็เหมือนหนทางๆ หนึ่ง จำไว้ว่าเมื่อเราเดินผ่านมาแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากทำวันนี้ให้ดีที่สุด อดีตที่ผ่านมากลับไปแก้ได้ไหม อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ (ปัจจุบัน)  ฉะนั้นมีโอกาสทำสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เมื่อศิษย์ผิดพลาดไปแล้ว ศิษย์รู้ไหมพระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า ไม่มีแรงใดต้านแรงกรรม ไม่มีอำนาจใดเอาชนะอำนาจแห่งเวรกรรมได้ เกิดเป็นคนทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามไว้ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วมาขอโทษก็จะไม่จบ ถูกไหม (ถูก)  เราเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยสติ
อีกอย่างที่อาจารย์อยากบอกก็คือ ทำไมคนต้องมีธรรม เราทำดีเพื่อละบาป แต่เรามีธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เมื่อเรามีศีลเพื่อละบาป เรามีธรรมเพื่อบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อกัน เราเข้าใจธรรมเพื่อพ้นทุกข์ เมื่อดีแล้วยังไม่พ้นทุกข์ แต่เมื่อเข้าใจแบบแจ่มแจ้งในธรรม ธรรมนั้นจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ แล้วธรรมอะไรที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ ไม่โกรธ
เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่า อาจารย์สูงหรือเตี้ย (เตี้ย)  แต่ในความเป็นจริงธรรมะสอนให้เรารู้อย่างหนึ่งว่า ธรรมะคือความเป็นกลาง ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น เราเข้าใจความเป็นกลาง มนุษย์จะไม่เสียศูนย์ แล้วศิษย์ทุกคนเป็นกลางไหม (ไม่กลาง)  ให้ศิษย์จำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแท้จริงแล้วมีความเป็นกลางอยู่แล้ว เราจะหลงลำพองตัวเองไหมว่า ฉันอ้วนกำลังดี ฉันดำกำลังดี ฉันหุ่นกำลังดี แบบนี้หลงตัวเองไหม (ไม่หลงตัวเอง)  หากมีคนที่ดีกว่า เราจะรู้สึกว่าตัวเองแย่ไหม (ไม่แย่)  เพราะก็ยังมีคนที่แย่กว่า เวลาสิ่งที่เราได้มา เราบอกว่าแย่จัง เราลองมองในสิ่งที่ว่าแย่จัง มองไปอีกทีอาจจะมีสิ่งที่ (แย่กว่า)  เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นกลาง มนุษย์จะไม่อยากอะไรมากเกินไป และจะไม่หลงตัวเองมากเกินไป ไม่โกรธเขามากเกินไป เพราะว่าตราบใดชีวิตยังหมุนไม่สิ้น วันนี้ศิษย์ร้องไห้ที่โดนคนนี้เขาด่า พอเวลาผ่านไปก็คิดว่าไม่น่าร้องไห้เลย เพราะยังมีที่โดนด่ามากกว่านี้อีก
ศิษย์เอ๋ยถ้าชีวิตมันยังหมุนไปไม่ถึงที่สุด อย่ารักอะไรจนเกินไป อย่าเกลียดอะไรจนเกินไป และอย่าเพิ่งทุกข์กับอะไรในชีวิตจนเกินไป เพราะถึงที่สุดแล้วมันอาจจะมีทุกข์มากกว่า หรือทุกข์น้อยกว่า ฉะนั้นถ้าศิษย์มีธรรมคอยสำนึกอยู่ในจิตใจตลอดเวลา โอกาสที่เราจะทุกข์นั้นก็เป็นไปได้ยาก เช่น เขาว่าเรา เขาทำร้ายเรา เขาโกงเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกเจ็บปวดไหมที่ถูกว่า (เจ็บ)  เรารู้สึกโกรธเคืองไหมที่ถูกทำร้าย (โกรธ) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าชีวิตยังหมุนเวียนเปลี่ยนผัน อะไรคือสิ่งที่น่าโกรธที่สุด การที่เราโกรธที่เขาว่าเราตรงนี้ คิดไปคิดมานั่นอาจจะไม่น่าโกรธ ถ้ามองจนไปถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถูกเขาทำร้าย คิดไปคิดมาก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากเราพบคนที่เลวร้ายกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้รู้ว่ามนุษย์อย่าลืมความเป็นกลาง มองไปจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นอกจากความคิดของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชาย-หญิงส่งตัวแทนออกมาแถวละหนึ่งคน แล้วให้ทุกคนนำแก้วของตัวเองไปเติมน้ำ)
กติกาคือ ให้คนแรกเติมน้ำมาระดับหนึ่ง คนที่สองต้องไปเติมน้ำให้มากกว่าคนแรก แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์โลภมากเกินไป คนท้ายๆ จะแย่ เพราะถึงที่สุดจะต้องหาน้ำให้มากที่สุด แต่ห้ามล้นแก้ว ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะไปเอาน้ำ ศิษย์จะต้องดูว่าควรจะเติมน้ำแค่ไหน และจะต้องนึกถึงคนต่อไปว่าเขาจะเอาน้ำอย่างไรด้วย
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ชอบหาแล้ว ต้องหาให้มากขึ้น เยอะขึ้น แต่อย่าลืมนะ หามากเท่าไรก็ใช่ว่าจะได้มาก และเมื่อหามาก็ใช่ว่าจะไม่เดือดร้อนคนอื่น ฉะนั้นในเมื่อชีวิตชอบหา ก็ต้องหาโดยไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนกลุ่มใหม่ออกมา โดยให้ทำอย่างไรก็ได้ ให้น้ำในแก้วหมดไปให้เร็วที่สุด และนักเรียนทุกคนใช้วิธีการดื่มน้ำให้หมด)
การกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่กลัวลำบากและไม่เกี่ยงให้คนอื่น เป็นจิตใจที่น่ายกย่อง รักษาจิตใจนี้ไว้นะ จำไว้นะศิษย์ เกิดเป็นคนต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ขอให้รักษาใจนี้ไว้นะเด็กน้อย
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : เปลี่ยนความคิดนิดเดียว  ทำนองเพลง : อย่ามารักฉันเลย)
เพลงนี้มาจากคำที่ศิษย์ไปวงกลมในบทกลอนเมื่อสักครู่นี้ ไม่ใช่ได้มาลอยๆ อาจารย์ให้ศิษย์ไปวงกลมในบทกลอน แล้วได้เนื้อร้องออกมาเป็นเพลงนี้นะ นำสิ่งที่อาจารย์เมตตานี้ไปใช้ไปปฏิบัติให้ดี ปัญหาของความทุกข์ ปัญหาของชีวิตนั้นเกิดจากความคิดที่เรายึดติด ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ชีวิตก็เปลี่ยน จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนที่อาจารย์เมตตาไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ใจนั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดมักพาให้ไปในทางที่แย่ ใจนั้นอยู่ดีๆ แต่นิสัยของเรามักจะทำ มักจะพูดอะไรหยาบๆ ใจก็เลยหยาบ ชีวิตก็เลยหยาบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจนั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดมักไหลไปในเรื่องร้ายๆ ชีวิตจึงมีแต่สิ่งที่ร้าย ฉะนั้นหากเราเปลี่ยนความคิดได้ เราสามารถควบคุมความคิดของเราได้ แล้วเรารู้จักจัดการกับความคิดของเราเองได้ สิ่งที่เรายึด สิ่งที่เราเข้าใจ เมื่อเรามองให้กว้างๆ แท้จริงแล้ว นั่นอาจจะไม่ใช่ความทุกข์หรือสิ่งที่เลวร้ายก็เป็นได้ ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินไหม ธรรมะมีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบมองข้ามไป สรรพสิ่งในโลกเหมือนเป็นภาวะคู่ มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีดำก็มีขาว มีเกิดก็มีแก่ เจ็บ ตาย ถ้าอาจารย์ถามว่าวันนี้ศิษย์มีอายุเท่าไร (สิบเจ็ดปี)  สิบเจ็ดเป็นสิบเจ็ดปีที่เกิดหรือสิบเจ็ดปีที่ตาย สิบเจ็ดปีที่พบหรือสิบเจ็ดปีที่พราก
ศิษย์ยิ่งเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมมากเท่าไร การเกิดเป็นคนก็จะทุกข์และเจ็บปวดน้อยที่สุด สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง อาจารย์มีวิธีแก้ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้แล้ว แต่ศิษย์รู้ไหมว่าอาจารย์ช่วยแก้ (ไม่รู้)  เราทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเราเอง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ และมาเป็นทาสแห่งความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วศิษย์รู้ไหมว่า กิเลสตัณหา
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมา)
สมมติว่าเราเห็นคนหนึ่งหน้าตาดี ดีไหม (ดี) ชอบไหม (ชอบ)  ถ้าเราคิดแบบยึดติดว่าคนนี้ดี คนนี้หล่อ อาจารย์ถามว่าจริงๆ มีคนหล่อกว่านี้ไหม (มี)  แล้วจะหลงรักเขาไหม (ไม่)  การมองตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง จะทำให้เราไม่หลงยึดติดและไม่หลงรักใครโดยง่าย อาจารย์ขอถามหน่อย เขาหน้าตาดีหรือหน้าตาไม่ดี (หน้าตาดี)  ศิษย์อย่ามองแบบยึดติดตายตัวสิ ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่เป็นนายแบบ นางแบบ อาจารย์ว่าก็อย่างนั้นๆ เห็นไหมการประจักษ์แจ้งความจริงจะทำให้เราไม่หลงอะไรมากเกินไป และไม่เกลียดอะไรจนเกินไป เมื่อเราไม่หลงและไม่เกลียดจนเกินไป กิเลสก็ครอบงำอะไรเราไม่ได้ เมื่อเราคิดว่าเราก็ไม่ได้ดูดีเกินไป เราก็จะไม่หลงตัวเอง เมื่อมีคนมาว่าเรา หรือความแก่มาทำให้เราหน้าเหี่ยว หรือแดดมาทำให้เราหน้าดำ เราก็คงไม่แอบไปแต่งหน้า เพราะศิษย์รู้ไหมเมื่อถึงที่สุด
ศิษย์รู้ไหม พระพุทธะล้วนบอกไว้ว่า กายนี่คือถุงหนังที่มีรูทวารทั้งเก้า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วอะไรคือที่สิ้นสุดของเราก็ไม่รู้ สิ่งที่จะกำหนดชะตาชีวิตของเราก็คือการทำวันนี้  ฉะนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ ชีวิตจะจบดีหรือไม่ดี หรือจะเป็นอย่างไรต่อก็อยู่ที่ว่า เรามีเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีเมล็ดพันธุ์ของความอยากอยู่ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์ดำเนินชีวิตแล้วสิ้นเมล็ดพันธุ์ของความอยาก เข้าใจถึงความอยากอย่างถ่องแท้แล้วว่าไม่มีอะไรในโลกน่าอยากเลย เราเพียงแค่ขอยืมใช้
ชีวิตของมนุษย์ไม่ใช่สิ้นสุดแค่มีชีวิต ตราบใดที่มนุษย์ยังหยั่งรากของจิตใจ ให้มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในกมลสันดาน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะของการเวียนว่าย ตราบใดที่มนุษย์ยังหนีไม่พ้นกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะของบาปเวรกรรมที่ตัวเองสร้าง  ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าเกิดเป็นคนให้ทำดี เพราะทำดีช่วยละบาป และทำไมต้องมีคุณธรรม เพราะการประพฤติอยู่ในคุณธรรมช่วยให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยไม่สร้าง
ฉะนั้นให้ปฏิบัติด้วยธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติด้วยกิเลสอารมณ์ เหมือนที่
จงเรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ มองอย่างคนมีธรรม อย่ามองอย่างคนที่เอาแต่คิดยึดติด เพราะความคิดยึดติดหนีไม่พ้นกิเลสและกรรม เหมือนเวลาเรามองใครที่ทำไม่ดี ไม่น่ารัก แต่เราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรมดีไหม (ดี)  แล้วเราจะได้ไม่เสียใจ เพราะชีวิตเราไม่สามารถเดาได้ว่า เราจะเกิดและจบเมื่อไร เหมือนที่ศิษย์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าเกิดเป็นคนให้ทำบุญมากๆ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ จะให้ทานต้องให้ทานที่เรียกว่าประเสริฐ คือ ให้ธรรมะเป็นทาน เขาปฏิบัติต่อเราแบบไม่มีธรรม แต่ฉันจะให้ธรรมแก่เขา เขาปฏิบัติต่อเราทำให้เราขุ่นมัว แต่ฉันจะเอาการปฏิบัติที่ขุ่นมัวนั้นมาล้างใจให้บริสุทธิ์และสร้างบุญกับเขา เหมือนที่เรียกว่า อยู่กันด้วยบุญหรืออยู่กันด้วยกรรม
บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าอยู่กันแล้วมีแต่ความทุกข์ เขาเรียกว่า อยู่กันด้วยกรรม ล้างใจกับวัดได้ กับคนทำไมเราไม่รู้จักล้าง ทำบุญกับพระได้ กับคนทำไมไม่รู้จักทำบุญ เขาทำให้เราขุ่น เราจะไม่ขุ่น เขาทำให้เราร้าย เราจะไม่ร้าย เราจะแปรบาปเป็นบุญ เปลี่ยนความคิดนิดเดียว พลิกได้ชีวิตก็เปลี่ยนได้ เราจะสามารถทำทุกที่ให้เป็นวัด ทำทุกที่ให้สงบด้วยใจอันบริสุทธิ์ อย่าไปล้างโลกเลย ล้างใจเราดีกว่า ศิษย์เคยได้ยินไหม ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราแย่ อะไรที่ทำให้จิตใจเราแย่ ใช่ไม่ใช่ความคิด จิตนั้นดีอยู่แล้วแต่ความคิดแห่งความเป็นตัวตนเป็นตัวชักนำจิตให้มองไม่เห็นความดี ดั่งที่พระพุทธะสอนไว้ว่า “จิตเดิมแท้ประภัสสร หมองหม่นไปเพราะความคิดนั้นจรเข้ามา”  ถ้าเราหยุดความคิดได้ เราก็เอาชนะความทุกข์ได้ ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย ทุกข์ไหม เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ยึดติดกับความทุกข์และมองเห็นเรื่องทุกข์เป็นเรื่องตาย เรื่องเจ็บ เรื่องแย่ แต่พุทธะไม่ยึดสำคัญมั่นหมาย มันเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ ถ้าไม่มีความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย เราจะรู้จักความหมายที่แท้จริงของชีวิตหรือ เราจะรู้ถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน และเราจะเข้าใจความเข้มแข็งได้ไหม
ฉะนั้นศิษย์อย่าทุกข์กับความคิดที่ยึดติดอย่างตายตัวเลย เพราะถึงที่สุดแล้วเราแค่มายืมใช้ ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป กลับคืนสู่สภาวธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
ฉะนั้นเมื่อไรความคิดไหลลงต่ำ ความคิดเกิดแย่ มีสติรู้ให้ทัน
ศิษย์เอ๋ยศึกษาธรรมเข้าใจแล้วนะ หนทางของการศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ละบาปบำเพ็ญบุญ ประกอบคุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน เข้าถึงความเป็นจริงเพื่อประจักษ์แจ้งและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และไม่เจ็บปวดกับโลกใบนี้ เมื่อศิษย์เข้าใจธรรมมากเท่าไร อาจารย์อยากจะบอกว่ามันจะทำให้ศิษย์ไม่ต้องร้องไห้กับโลกใบนี้ ไม่ต้องทุกข์กับคนบนโลกใบนี้เลย สังขารมันไม่เที่ยง ไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่เพียงจิตกลับคืนสู่ธรรม
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้วนะ ขอให้บุญแห่งความถูกต้องและ
จับมือไหม เด็กดื้อเชื่อไม่ได้ใช่ไหม ก็ไม่ต้องเชื่ออาจารย์นี่ แค่เชื่อในสิ่งที่ดีที่อยู่ในใจตัวเองก็พอ แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกหรือไม่ เราทำดีเราก็ปลอดภัย แต่ถ้าเราไม่ทำดี ชอบสูบบุหรี่ทำร้ายตัวเองก็ไม่มีใครช่วยได้
แล้วอย่าเอาทุกข์มาแบกไว้ทั้งชีวิตนะ เราแบกทุกอย่างไว้ไม่ได้ แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ อย่ากลัวความเจ็บป่วย อย่ากลัวความทุกข์ แต่จงรู้จักเข้มแข็งและลุกขึ้นสู้ ถ้าวันหนึ่งเราต้องไร้ชีวิต เราจะได้ไม่เสียดายเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ รักษาความดีนะ รู้เรื่องไหม ตั้งใจบำเพ็ญด้วยหัวใจที่เสียสละบ้าง ใช่ไหมเด็กดื้อ พบอาจารย์ต้องไม่ร้องไห้แล้ว พบอาจารย์ก็ต้องให้อาจารย์ภูมิใจในสิ่งที่ศิษย์เป็น อย่างน้อยทำให้เต็มที่ เราจะได้ไม่เสียดายกับชีวิตที่เกิดมา ชีวิตทุกคนมีเป้าหมาย แต่เป้าหมายนั้นต้องเกิดจากการที่ใจของเราสร้างขึ้นเอง ไม่ใช่เกิดจากแรงผลักดันจากใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป้าหมายนั้นจะยิ่งใหญ่ หรือจะเล็กนิดเดียว ก็อยู่ที่ความกล้าหาญ เกิดเป็นคนแล้วอย่ากลัว อย่ายอมแพ้ ทำให้ดีที่สุด
บางครั้งการที่เขายังไปไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่ห่วง ฉะนั้นเราต้องทำให้เขาหมดห่วง เขาจะได้สบาย อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง รักษาความดีงามไว้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่มีใครเราก็อยู่ได้ ไม่มีใครเราก็สุขได้ ใช่ไหม เข้มแข็งให้มากกว่านี้ อย่ายอมแพ้กับชะตาชีวิตที่มันเกิดขึ้น ความรู้ความสามารถมีมาก แต่เสียสละไม่ค่อยออกนี่น่าเสียดายนะ รู้เรื่องไหม ขอให้บุญรักษานะ จงมีศีลมีธรรม ชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับตัวของศิษย์แล้วนะ
ตั้งใจบำเพ็ญได้ดีแล้วขอให้ก้าวต่อไปให้ถึงที่สุดที่ศิษย์เข้าใจ อย่ายอมแพ้ รักษาความดีไว้อย่าผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรผิดพลาด ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่ามากเกินไป เดี๋ยวจะทำร้ายตัวเองนะศิษย์ เข้มแข็งนะ ถือว่าอุปสรรคที่ผ่านมาคือตัวที่ทำให้เราได้ชดใช้กรรม
ตั้งใจบำเพ็ญศึกษาธรรมให้กระจ่าง เพื่อนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อไรที่ศิษย์ทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้นะ เราพ้นทุกข์ได้ เรามีทางเลือก อย่าฆ่าตัวเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ไม่อย่างนั้นมันจะบาปติดตัวไปตลอดชีวิต
ทำให้เขาหมดห่วงที่สุด เขาจะได้ไปสบาย ไหวไหมและอยากอยู่
เป็นห่วงศิษย์จริงๆ เป็นห่วงจากใจ อย่าได้ทุกข์เพียงเพราะสิ่งที่ไม่น่าทุกข์เลยนะ รักตัวเองดูแลตัวเองนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ได้ นี่ถึงจะเรียกว่า คนมีธรรมที่มีปัญญาอันชาญฉลาด ไปแล้วนะ อาจารย์ไม่ได้จับมืออย่าโกรธเคืองกันเลย แต่ความรักที่อาจารย์ให้ศิษย์ไม่เคยมีวันเปลี่ยนแปลง
(พระอาจารย์เมตตามาที่แผนกอักษร เพื่อแก้ไขกลอนนำ)
อาจารย์อยากให้เป็นคำพูดที่ทำให้เราฉุกคิดได้ อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่ไม่จริง เพราะสิ่งที่แท้จริงไม่เคยทำให้ใครทุกข์ ไม่ใช่กลอนนะ เป็นเหมือนคำที่ให้แง่คิด อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่ไม่แท้จริง เพราะสิ่งที่แท้จริงไม่เคยทำให้ใครทุกข์ เมื่อเราว่างกับสิ่งที่เรายึดติด จิตเราจะเป็นอิสระ และความคิดที่แบกทุกข์ก็จะไม่มี อยากให้ศิษย์เข้าถึงประโยคนี้ จะได้ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ เราทุกข์ที่ไม่ยอมรับความจริง ทุกข์ที่อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างใจ แต่จริงๆ แล้วเราหันไปมองกับสิ่งที่เราทุกข์เพราะมัน มันทำให้เราทุกข์หรือเปล่า หรือเราไม่ยอมรับที่มันเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วทุกสิ่งมันต้องเป็นไปตามความเป็นจริง จริงไหมศิษย์ เหมือนศิษย์ไม่อยากป่วย แต่ก็ต้องป่วย ถ้าเรารับไม่ได้ เราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเรายอมรับมัน บางทีความทุกข์อาจจะจบแล้ว แต่เราไปจำว่า เมื่อวานเรายังเจ็บอยู่ วันนี้ก็ยังคงเจ็บอยู่ เพราะเรายังคิดยึดติดกับความเจ็บอยู่ว่ามันยังเจ็บ บางทีความเจ็บมันยังเจ็บแต่มันจบไปแล้ว ใจยังไปผูกมัดกับความเจ็บลึกๆ ที่มันอยู่ในใจว่า รู้สึกปวดขาจัง เมื่อวานยืนเมื่อยจนปวดขา แต่วันนี้อาจจะไม่ปวด แต่ใจไปยึดติดกับความปวด ลองทำความกระจ่างแจ้งตรงนี้ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปลี่ยนความคิดนิดเดียว”
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว หัวเรียวก็เลยคิดได้ ชีวิตมีหนทางเป็นแยกเรื่อยไป   มิเห็นบั้นปลาย ทำได้ทำดี
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว ทำได้หน้าเดียวหรือนี่ รอยยิ้มเสริมหน้าตาคนให้ดูดี มหานที สติเป็นลำนาวา
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว ไม่คิดจะเป็นไปได้ หลายครั้งจิตใจ สุขทุกข์ง่าย ต้องใช้เวลา รักหลงเพิ่มเร็วไป คิดหนีจะยิ่งทุกข์กว่า หัดเรื่องวินัยส่งเสริมปัญญาหมั่นแก้ไข
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว รับธรรมบำเพ็ญคิดได้ มีปัญหาขึ้นมา ความคิดเป็นอย่างไร สำนึกดีให้ได้ เปลี่ยนความคิดนิดเดียว
ทำนองเพลง: อย่ามารักฉันเลย
ชื่อเพลง: เปลี่ยนความคิดนิดเดียว



อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา