แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาวนา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาวนา แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

2557-06-28 29 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์


西元二○一四年 歲次甲午 六月 初二日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

ยิ่งแข็งดื้อคนกลับให้อ่อนน้อมนัก ยิ่งอวดจักคนกลับให้ดูเบายิ่ง
จิตอ่อนน้อมสุภาพเป็นที่รักจริง ดุจไม้ผลดกยิ่งน้อมต่ำลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านสราญฤๅ

โดยมากฟังอรรถามารู้แค่รู้ สาระเหมือนผู้คนก็แต่งเสริมไป
ปัญญาน้อยกลับว่ารู้เห็นบ่อยไป ธรรมรู้ยากถึงแต่ใจไม่มั่นคง
จึงบำเพ็ญปฏิบัติได้ไม่เต็มที่นัก กิเลสหากมากก็ยังยึดโลภหลง
กระจ่างธรรมจากใจไกลการอวดองค์ พูดทุกคำธรรมอย่าหลงสัจธรรมจริง
ธรรมเหมือนว่าปฏิบัติได้ไม่สิ้นสุด เพียรไม่หยุดดีได้ด้วยจิตนิ่ง
สิ้นกายแค่ก็เพียงเปลี่ยนเปลือกทิ้ง เมื่อทุกข์ผ่านไปต้องยิ่งทบทวนตน
สติย้ำหยั่งถึงใจพูดกลั่นกรอง เมื่อคิดตรองให้ตนทำไม่สับสน
ดึงชีวิตอยู่ไหมมีคำตอบตน อย่าตกใจในผลถ้าไม่ระวัง
เดินทางธรรมรักษาธรรมจักได้ดี วิสัยที่เคยชินนำใกล้เหมือนห่าง
มาร่วมใจร่วมธรรมถากถางทาง นกกางปีกคนต้องกางคุณธรรม

ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
วันนี้ใครคิดว่าตัวเองอดทนได้เก่งมากๆ บ้าง ยกมือขึ้น แล้วความอดทนนี้อยู่ได้กี่วัน (สองวัน)  นึกว่าได้แค่วันเดียววันนี้ก็พอแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไหนใครคิดว่าอดทนแล้วจะอดทนอีก ยกมือขึ้น ส่วนที่ไม่ยกมือแปลว่าไม่อดทนแล้ว ใช่ไหม ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัดไหม (มี)  ถ้าเรามีความสุขที่ได้อดทน เรามีความสบายใจที่ได้อดทนอดกลั้น คิดว่าความสุขที่ได้จากการอดทนอดกลั้นจะมีขีดจำกัดไหม (ไม่มี)  ถ้าเราอดทนด้วยความรู้สึกไม่ชอบ รำคาญ เบื่อหน่าย อดทนได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิก จริงไหม (จริง)  แต่ว่าถ้าในความอดทนนั้นเรามีความสบายใจ มีความสุขใจ มีความปลื้มใจว่าไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะอดทนได้ขนาดนี้ ความอดทนนั้นจะไปได้เรื่อยๆ จริงไหม อย่างนั้นวันนี้อดทนด้วยความสบายใจหรืออดทนด้วยความลำบากใจ (สบายใจ)  ถ้าอดทนด้วยความสบายใจความอดทนนั้นก็ต้องไม่มีขีดจำกัด ยังอดทนได้เรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาฟังธรรมะมีความสุขกันดีไหม ใครที่รู้สึกว่าฟังไม่ไหวแล้วยกมือขึ้น ยังไหวกันไหม (ไหว)  อย่างนั้นสู้ต่ออีกวันก็ยังไหว เพราะว่าเรามีความอดทนได้ดี
วันนี้มาฟังธรรมะ ส่วนใหญ่ก็มาฟังเพื่อจะได้เป็นคนดี มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าฟังธรรมะแล้วกลายเป็นคนไม่ดี แถมยังมีความทุกข์ เราจะฟังธรรมะกันไหมโดยส่วนใหญ่เราฟังธรรมะก็เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ให้เป็นคนดีในสังคม เมื่อทำดีแล้วจะได้มีความสุขเมื่อดำเนินชีวิต แต่ว่าเราปฏิบัติได้อย่างที่เราพูดไหม ทำได้ดีแล้วมีความสุขไหม ถ้าทำได้ดีมีความสุข เราก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายธรรมะอะไรเพิ่มแล้ว ถูกไหม (ไม่)  เพราะว่าต่างคนก็ต่างทำได้ดีมีความสุขแล้ว ใช่ไหม (ไม่)  ฟังธรรมะก็เพื่อให้ได้ดีมีความสุข แล้วตอนนี้ดีหรือยัง มีความสุขหรือยัง (ยัง)
โดยส่วนใหญ่เราฟังธรรมะกันเยอะ เพราะคิดว่าเมื่อฟังแล้วจะต้องได้ดี เมื่อมาฟังธรรมะแล้วชีวิตจะต้องดี แค่นั้นหรือเปล่า แต่ถ้าแค่ฟังแล้วไม่ลงมือปฎิบัติจะได้ดีหรือ แค่ฟังโดยที่ไม่ทำอะไรเลยจะได้รับผลดีได้หรือไม่ (ไม่ได้) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเรามาฟังธรรมะ แล้วยังกลับไปด่าว่าคนเหมือนเดิม ฟังธรรมะแล้วยังขี้โมโหเหมือนเดิม ฟังธรรมะแล้วยังใจวุ่นวายเหมือนเดิม จะได้ดีไหม (ไม่ได้)  
ฉะนั้นถ้าแค่ฟังธรรมะแล้วบอกว่าจะต้องได้ดี อย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ ที่ถูกต้องคือเมื่อฟังธรรมะแล้วจะต้องลงมือปฏิบัติ ถ้าฟังธรรมะแล้วไม่ปฏิบัติจะให้ได้ดีก็คงยาก อย่างมากสุดก็แค่เมื่อฟังธรรมะที่ดีๆ ก็จะได้แค่ความสบายใจ ได้เข้าใจ ได้อิ่มใจ ได้รู้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านอยากได้มากกว่านั้น เมื่อฟังแล้วเข้าใจแล้ว ท่านก็จะต้องกลับไปกระทำกลับไปปฏิบัติ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำดีกันถึงที่สุดหรือไม่ (ไม่ถึง)  ท่านสามารถทำดีได้ตลอดหรือไม่ (ไม่ได้) เพราะมีนิสัยอย่างหนึ่งในจิตใจที่เป็นสิ่งขวางกั้นไม่ให้มนุษย์ไปถึงความดี จริงๆ แล้วจิตใจลึกๆ มนุษย์ก็อยากเป็นคนดี แต่ในจิตของความที่อยากเป็นคนดีนั้น ก็มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำให้ไปไม่ถึงซึ่งความดี คืออะไรรู้ไหม (ไม่มีความอดทน)  ตอบได้ดีนะ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่คอยขวางกั้นนั่นก็คือ ความคิดที่ว่า “ทำไมฉันต้องทำ ทำไมฉันต้องยอม” ใช่หรือเปล่า
สมมติเวลาเราอยู่ร่วมกับคน คนอื่นเขาเอารัดเอาเปรียบ เราอยากเป็นคนดีไหม (อยาก, ไม่อยาก)  ส่วนใหญ่จะไม่อยาก ถ้าตอนนี้เราทำงานอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็นั่งเฉยๆ เราก็ทำงานไป พอสักพักเราเห็นเพื่อนไม่ทำงาน เราทำไหม (ไม่อยากทำ)  ตอนนี้เรากำลังนั่งฟังธรรมด้วยใจจดใจจ่อ แต่เห็นคนอื่นหลับคร่อกฟี้ๆ เราอยากฟังต่อไหม (อยาก) เขาหลับ เราหลับด้วย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์อยากจะเป็นคนดี แล้วไปไม่ถึงความดี นั่นคืออะไรรู้ไหม เพราะเราคิดว่าทำไมเราต้องทำความดีมากกว่าคนอื่น ทำไมเราจะต้องทำดีแล้วเหนื่อยกว่าคนอื่น ทำไมฉันต้องทำดีแล้วเสียเปรียบคนอื่น ทำไมฉันทำดีแล้วต้องกลายเป็นคนโง่ที่ปล่อยให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบ ใช่ไหม เหมือนคนอื่นเขาโกง เขาไม่ขยัน เราขยันอยู่คนเดียว พอเห็นเพื่อนที่ร่วมงานเขาไม่ขยัน เราเป็นอย่างไร วันแรกก็ยังพอไหว พอวันที่สอง วันที่สามเริ่มท้อแล้ว วันที่สี่ วันที่ห้า ขยันไปทำไมในเมื่อไม่มีใครขยันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงไปไม่ถึงความดี เพราะอะไร (ไม่อดทน)  แน่ใจหรือว่าเป็นเพราะไม่อดทน แต่บางทีเพราะเรากลัวเสียเปรียบหรือเปล่า จริงไหม (จริง)  เหมือนเราทำงานเหนื่อยแทบแย่เลย กลับมาลูกนั่งเฉยๆ สามีนั่งเฉยๆ โมโหไหม (โมโห)  ทำไมโมโหล่ะ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาแทบแย่ แล้วทำไมจะต้องมานั่งเก็บกวาด ทั้งที่สามีกับลูกนั่งเฉยๆ คนดีก็เลยดีแตกเลย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นแปลว่าคนดีแพ้คนขี้เกียจ หรือแพ้ใจตัวเอง (แพ้ใจตัวเอง)  แล้วใจอะไรที่แพ้แล้วทำให้เราไม่สามารถไปถึงฟากฝั่งแห่งความดีได้สำเร็จ เพราะแค่ยอมไม่ได้หรือ เพราะแค่รู้สึกว่าเสียมากกว่าหรือ จริงไหม (จริง) เราจึงอยากจะบอกว่าถ้าจะเป็นคนดีอย่ากลัวการเสียเปรียบ อย่ากลัวการรักษาความดีแม้จะต้องเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นคนดีแล้วทำได้สองอย่างนี้ความดีที่สุดเราถึงแน่ แต่ถ้าทำดีแล้วเห็นคนเอาเปรียบแล้วยอมไม่ได้เราก็ไปไม่ถึงความดีหรอก จริงไหม (จริง)  ถ้าทำดีแล้วเจอคนรักสบายแต่เราต้องเหนื่อยแล้วเรายอมแพ้ เราก็ไปไม่ถึงความดีหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปให้ถึงความดีที่สุดไหม (อยาก)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทำดีมาช่วงหนึ่งแล้วเจอคนเอาเปรียบ เจอคนกินแรง เราโมโหแล้วเราก็เอาเปรียบแล้วก็กินแรงกับเขาถึงที่สุดแล้วเราสบายใจไหม (ไม่สบายใจ)  แล้วรู้สึกว่าเราดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีเลย แล้วทำไมยังยอมแพ้ความชั่ว ไปไม่ถึงความดีกันเล่า ฉะนั้นถ้าอยากทำดีแล้วไปถึงความดีจงอย่ากลัวการเสียเปรียบและจงอย่ากลัวความเหนื่อยในการพยายามทำให้ถึงที่สุดแห่งความดี เพราะโดยพื้นฐานนิสัยของมนุษย์ที่ขวางกั้นไม่ให้ไปถึงความดีนั่นก็คือไม่อยากเป็นคนแพ้ ไม่อยากยอม และลึกๆ ก็เกียจคร้าน
จำไว้นะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาด้วยความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่สร้างเหตุ จะได้รับผลหรือ ฉะนั้นอยากได้ผลดีก็จงสร้างเหตุดี แล้วตอนนี้เราสร้างเหตุดีบ้างหรือเปล่า ไม่สร้างเลย นึกมาแต่ละอย่างว่าเขาเอาเปรียบ เราก็ต้องเราเอาเปรียบ เขาขี้เกียจ เราก็ต้องขี้เกียจ แล้วอย่างนี้จะไปถึงความดีงามได้ไหม (ไม่ได้) 
และนิสัยของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่ขวางกั้นไปให้ไม่ถึงความดีคืออะไรรู้ไหม ข้างนอกทำเหมือนแข็ง แต่ข้างในอ่อนแอ ข้างนอกพยายามทำดีแสนดี แต่จริงๆ ข้างในร้ายเหลือทน มนุษย์แม้จะอยากดีขนาดไหน แต่ถ้าคุมร้ายไม่อยู่นอกจากจะไปไม่ถึงความดี ความดีไม่สัมฤทธิ์ผล ความร้ายก็พร้อมจะออกมารุกรานใจเราได้ทันที แล้ววันนี้ใครคิดว่าตัวเองสามารถข่มความร้ายแล้วรักษาความดีได้ยั่งยืนนานจน ไม่ปริปากบ่นสักคำ ไม่บ่นเบื่อ ไม่บ่นเหนื่อย มีไหม (มี)  ปรบมือให้ตัวเองหน่อย
ถ้าอยากไปให้ถึงความดี ที่สำคัญก็คือคนดีไม่กลัวเสียเปรียบ คนดีไม่กลัวพ่ายแพ้ ถ้าเราโดนดูถูก โดยเรียกว่าคนขี้แง ไม่แน่จริง ถ้าโดน  ดูถูกแบบนี้ยอมไหม (ไม่ยอม)  ส่วนใหญ่ไม่ยอม แรงมาก็แรงกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ ทุกคนเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะโลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้ เราจึงไม่สามารถรักษาความดีได้ เพราะเมื่อโดนหยาม โดนดูถูกนิดหนึ่ง ยอมไหม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถรักษาความดีได้ พระพุทธองค์จึงสอนว่าเป็นคนดีอย่ากลัวพ่ายแพ้เพราะยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นอย่ากลัวอย่าเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะความพ่ายแพ้ทำให้เราเข้มแข็ง แต่ถ้าจะเอาชนะอย่างเดียวเราจะเข้มแข็งไหม (ไม่)  แล้วมีใครในโลกนี้บ้างชนะแล้วไม่เคยแพ้ (ไม่มี)  คนที่แพ้ได้ก็คือคนที่ชนะได้ แต่คนที่ชนะได้ไม่เคยเห็นสักรายที่จะแพ้ได้จริง คนที่กล้าแพ้ได้คนนั้นคือคนที่ชนะเป็น แต่เราไม่เคยเห็นในโลกเลยที่ชนะเป็นแล้วแพ้ได้ ถูกไหม (ถูก)  ทำไมพระพุทธองค์จึงบอกว่าจงรู้จักพ่ายแพ้ จงอย่ากลัวพ่ายแพ้ เพราะคนที่แพ้เป็นคือคนที่ทำให้เวรกรรมไม่ยืดเยื้อ คือคนที่มองเห็นแล้วฉลาดกว่าคนที่เอาแต่มีเรื่อง แล้วหาเรื่องตอบคือคนที่ทำให้เวรไม่จบ
ฉะนั้นอยากให้ไปถึงความดี
๑. อย่ากลัวการเสียเปรียบ
๒. อย่ากลัวพ่ายแพ้
๓. อย่าขี้เกียจ
๔. อย่ากลัวเหนื่อย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายสองคนออกมายืนหน้าชั้น)
เล่นเป่ายิงฉุบเป็นไหม (เป็น)  คิดว่าตัวเองจะแพ้หรือชนะ (แล้วแต่จังหวะโอกาส และดวง)  แต่ถ้าเราไม่กลัวแพ้ ยอมรับความพ่ายแพ้ เวลาแพ้จะเสียหน้าไหม (เสียก็ไม่กลัวแค่สมมติ)  และถ้าเรารู้จักเตรียมตัวแพ้ไว้ก่อนใจเราจะเสียไหม (ไม่เสีย เพราะเป็นเกมชนิดหนึ่ง)  ท่านก็เข้าใจได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนใช่ว่าจะต้องชนะ แต่บางครั้งการเตรียมตัวแพ้ก็ไม่เสียหาย ไหนลองเป่ายิงฉุบ
(ครั้งแรกและครั้งที่สองเสมอกัน ครั้งที่สามและครั้งที่สี่ผลัดกันชนะคนละครั้ง)
จริงๆ กรรไกรก็แพ้ค้อนอยู่แล้ว ทำอย่างไรกรรไกรก็ชนะค้อนไม่ได้ แม้กรรไกรจะแพ้ แต่ถึงเวลาค้อนก็ยังรู้จักช่วยเหลือกรรไกร อย่างที่นักเรียนท่านนี้พูดว่า ถ้ากรรไกรเสีย ค้อนก็สามารถช่วยทุบให้กลับมาเป็นปกติได้ ฉะนั้นชนะแล้วอย่าหลงลำพองตน ชนะแล้วต้องรู้จักเอื้อประโยชน์เพื่อผู้อื่น แล้วความชนะนั้นจะได้ไม่เป็นที่รังเกียจของใคร ฉะนั้นถ้าอยากไปถึงซึ่งความดี อย่ากลัวการพ่ายแพ้ อย่ากลัวการเสียเปรียบ และอย่าขี้เกียจ เพราะว่าการที่เรารู้จักระมัดระวังเช่นนี้ จะทำให้เวลาที่เราทำอะไร เราจะสามารถทำได้จนถึงที่สุด
แต่โดยปกติแล้วมนุษย์ก็มักจะพลั้งเผลอและหลงลืมตัวเอง แม้รู้ขนาดนี้ก็ยังไปไม่ถึงความถูกต้องและดีงาม ธรรมะทางสายพุทธจึงสอนไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักรักษาศีล” ทางสายปราชญ์จึงสอนไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักมีคุณธรรม” แต่ถามว่าศีลคืออะไร คุณธรรมคืออะไร บางครั้งเราก็ยังสับสน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงศีลและมีคุณธรรมเราควรคิดอย่างไรดี (ต้องเริ่มศึกษาและปฏิบัติ)  ต้องรักการเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรารู้ว่าทำไมการเป็นคนดีและเราจะรักษาความดีได้นั้น ทางพุทธสอนว่าให้มีศีล ทางปราชญ์สอนว่าให้มีคุณธรรม แต่ศีลห้าข้อเรารักษาได้ครบไหม (ไม่ครบ)
พื้นฐานของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน จำไว้เลยนะ
๑. ปฏิบัติต่อกันด้วยดี คือมีเมตตาธรรม ไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยความไร้เมตตา มีศีลก็เข้าถึงธรรม ถ้าเข้าถึงศีลถึงธรรมก็จะเข้าใจความเป็นปกติที่เรียกว่าคนดีที่มีรากฐานอันงดงาม ในศีลห้าข้อนี้ถ้าทำได้เรียกว่าคนปกติใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าทำไม่ได้สักข้อหนึ่งเรียกว่าคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)
๒. ของของใคร ใครก็หวง อย่าคิดอยากได้ของใคร คือมีมโนธรรม มีสำนึกที่ดี เงินหนึ่งร้อยบาทอยู่กับเรา เราดีใจไหม (ดีใจ)  แต่พอเห็นร้อยหนึ่งของคนอื่นเราอยากได้ไหม (อยาก)  ทั้งที่รู้อยู่ว่าของของใคร ใครก็หวง แล้วเราไปเอาทำไม ถูกไหม (ถูก)  ทั้งที่เรามีไหมหนึ่งร้อย (มี) แต่ทำไมยังอยากได้อีกหนึ่งร้อย (ไม่พอ)  ถามว่าเรามีแฟนไหม (มี)  แต่ทำไมเห็นคนอื่นดีกว่า ใช่หรือเปล่า
๓. ให้เกียรติ สุภาพ อ่อนน้อมต่อกัน คือมีจริยธรรมที่งดงาม
๔. อย่าปากว่าตาขยิบ ปากหวานก้นเปรี้ยว คือมีความซื่อตรง 
๕. ชอบคนคุยรู้เรื่อง คือปัญญาธรรม แปลว่าเป็นคนรักคนมีปัญญา คนที่ชอบดื่มสุรายาเมาคุยรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่หลงแต่ความคิดของตัวเองคุยกันรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่จมอยู่ความชอบของตัวเองแล้วมองไม่เห็นความถูกต้อง ไม่มีความยุติธรรมคุยรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
เพื่อนที่อยู่ใกล้ฉลาดกว่า โง่กว่า หรือไม่ต่างจากเรา (ไม่ต่างจากเรา)  ไม่ต่างเลยใช่ไหม ฉะนั้นเราจึงไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะเราเกลียดคนที่เก่งกว่า เพราะอยู่ใกล้คนเก่งกว่าเรากลายเป็นคนโง่ ทั้งที่จริงๆ แล้วโง่แล้วเราก็จะได้ปัญญา อยากเข้าถึงความดีก็อย่ากลัวความโง่ ใช่ไหม (ใช่)  การเข้าถึงความดีจนกระทั่งมีศีลมีธรรม แล้วกลับสู่ความเป็นปกติที่เรียกว่าคนดีงาม ยากไหม (ไม่ยาก) 
บางทีทะเลาะกับแฟนเพราะอะไร คุยกันไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ต่างคนต่างหวังดีคนละแบบ แต่ไม่เคยมองกันตรงกลาง ไม่เคยมองความจริง ถูกหรือเปล่า มนุษย์อยู่ด้วยกัน ขนาดเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังยอมเสียเปรียบต่อกันไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)  ภรรยาเหนื่อยกว่าสามียอมได้ไหม สามีเหนื่อยกว่าภรรยายอมได้ไหม ถ้ายอมไม่ได้ถึงที่สุดครอบครัวก็ทะเลาะกัน แล้วก็ไม่อบอุ่น น่าเสียดายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเหนื่อยกว่าหน่อย ให้เขาสบาย ยอมทำให้ถึงที่สุด สักวันหนึ่งคุณค่าความดีงามของเราต้องสะเทือนใจเขาบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่สำคัญที่เราทำดีนั้น เพื่อความสุขใจ เพื่อความสบายใจไม่ใช่หรือ ฉะนั้นถ้าท่านยอมเหนื่อยหน่อย แต่ได้ความสุขของครอบครัวกลับมา ถ้าเสียเปรียบหน่อยแต่ได้ความร่มเย็นของครอบครัว อย่างนี้ยอมถอยหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า ถ้าเอาแต่ถือดี เอาแต่ถือว่าตัวเองเสียเปรียบ แล้วถึงที่สุดก็มีแต่ความทุกข์ ถึงที่สุดคนที่ต้องช้ำใจก็คือคนที่ถือนั่นแหละ จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นอย่ามัวหวังแต่ผลดีจนลืมนึกถึงต้นทุน คือชีวิตและหัวใจ อย่ามัวหวังว่าจะต้องสมบูรณ์พูนสุข จนลืมคนรอบข้างและจิตใจตนเอง เราเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่า เวลาลูกไม่ได้ดี โกรธไหม (โกรธ)  สามีไม่ได้ดี โกรธไหม (โกรธ)  แล้วท่านโกรธกันทำไมหรือ เพราะเขาไม่เหลืออะไรดีเลยจริงๆ หรือ อย่ามัวมองเห็นแต่สิ่งที่เสีย จนลืมมองเห็นคุณค่าที่ยังเหลือมี เขาอาจจะเสียแค่เรื่องเดียว แต่อีกร้อยเรื่องก็ไม่ได้เสียนี่ เขาอาจจะไม่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทั้งหมดนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมัวกังวลแล้วทุกข์ใจกับข้อเสีย จนลืมเห็นคุณค่าของข้อดีอีกหรือไม่ ถ้าเขาเจ้าชู้รับได้หรือไม่ หรือถ้าภรรยาเป็นคนขี้บ่นรับได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ได้เลยหรือ นี่แหละอย่างที่เราบอกว่าอย่าเห็นแต่สิ่งที่เสียเพียงอย่างเดียว แล้วทำลายร้อยความดีทั้งหมด ถึงแม้เขาจะขี้บ่นแต่เขาดูแลบ้านดีไหม แม้เขาขี้บ่นแต่ซื่อสัตย์ไหม แม้จะขี้บ่นแต่ถึงอย่างไรก็รักเราใช่ไหม แล้วทำไมจึงให้เรื่องขี้บ่นเพียงอย่างเดียว ทำให้เราเกลียดเขาไปทั้งหมด ทั้งๆ ที่อยู่กันมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว แถมยังทำให้ครอบครัวแตกแยก ไม่คุ้มเลยนะ แล้วถ้าคิดว่าขี้บ่นทนไม่ได้ แล้วเราไปหาใหม่ ท่านคิดว่าท่านจะไม่เจอคนขี้บ่นอีกหรือ ในเมื่อมนุษย์ชอบพูดว่า ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ฉะนั้นอย่าทำให้ข้อเสียแค่อย่างเดียวแล้วทำให้เราทุกข์ทั้งชีวิต อย่าแค่มองเห็นความผิดพลาดครั้งเดียว แล้วเราไม่มีความสุขใจเลยไปตลอดชีวิต ท่านเคยเป็นไหม เวลาที่เสื้อตัวโปรดหายแล้วเสียใจไหม (เสียใจ)  บ่นแล้วบ่นอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีความสุขไหม (ไม่มี)  แค่เสื้อตัวเดียวเองนะ หรือเพื่อนสนิททำให้เสียใจนิดหน่อย แต่เรากลับสูญเสียความสุขไปเลย ช่างน่าเสียดายนะ ฉะนั้นอย่ามัวกังวลผลจนลืมต้นทุนแห่งชีวิต อย่ามัวกังวลว่าผลต้องได้ดีจึงทำร้ายร่างกายและจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความไม่ดีก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปทั้งหมดเหมือนกับที่ผู้หญิงชอบเป็น อย่ากลัวแค่หน้าเหี่ยวแล้วชีวิตจะไม่เหลือดี แล้วเราจะไม่เหลือดีอะไรให้ภูมิใจเลยหรือ เราก็เลยต้องไปทำทุกอย่างเพื่อจะให้หน้าเราดีแค่นั้นเองหรือ แต่สิ่งอื่นเราไม่เคยดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากปฏิบัติไปให้ถึงความดีหากรักษาศีลไม่ได้ก็จงมีธรรม รักษาธรรมไม่ได้ก็จงมีศีล รักษาศีลรักษาธรรมไม่ได้ก็จงมีความเป็นคนอันปกติ รักดีก็ต้องปฏิบัติดี ไม่ชอบคนปากว่าตาขยิบ เราก็อย่าเป็นคนปากว่าตาขยิบ ชอบคนคุยรู้เรื่องเราก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง ชอบคนเคารพให้เกียรติเราก็ต้องให้เกียรติคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก) 
“สุขสงบ” กับ “สงบสุข” สองคำนี้อะไรดีกว่ากัน เมื่อสักครู่เราพูดถึงเรื่องการทำดีแล้วไปให้ถึงดีแล้วใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราจะพูดถึงเรื่องความสุข ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า สุขแล้วสงบ หรือ สงบแล้วค่อยสุข (สงบแล้วสุข)  สงบก่อนแล้วค่อยสุข ใช่ไหม (ใช่)  หรือสุขก่อนแล้วค่อยสงบ (ทั้งสองอย่าง)  ถ้าอยากหาความสุข แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจสองคำนี้ ท่านจะไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริงได้ ยิ่งถ้ามองไม่เห็นความแตกต่าง ยิ่งไม่มีวันมีความสุขที่แท้จริงได้ เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ขอสุขก่อนแล้วค่อยสงบ แล้วทุกวันนี้สุขแล้วได้สงบไหม ยิ่งหาความสุขก็ยิ่งไม่สงบ ยิ่งพยายามหาความสุขก็กลับไม่เคยสงบ พุทธะจึงสอนไว้ว่าจงสงบสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะสงบได้อย่างไร ในเมื่อพื้นฐานความเป็นคนของเรายังดีไม่เป็นปกติเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารักษาความเป็นคนอันเป็นปกติให้ดีแล้ว สงบแล้วจะสุขยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนี้เราพยายามสุขเพื่อจะให้ (สงบ)  แล้วเจอไหม (เจอ)  ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า ถ้าอยากพบสุขจงสงบให้เป็นก่อนแล้วจึงสุข แล้วจะสงบได้อย่างไรในเมื่อยังไม่ดีเลย แถมชอบยึดดี เรียกร้องดี ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ได้ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากสงบและสุขจงถามตัวเองก่อนว่า ถ้าดีได้แท้จริง สงบก็สุขได้ แต่ถ้ายังดีไม่ถ่องแท้ก็ยากสงบและพบสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สิ่งที่มนุษย์มักหาความสุขกันมีสองอย่างคือสุขที่เกิดจากภายนอก กับสุขที่เกิดจากภายใน ภายนอกก็คือพอมีอะไรดีเราก็มีความสุข พออะไรไม่ดีเราก็มีความทุกข์ ถ้าอะไรที่เรายึดติดนั้นมันขึ้นๆ ลงๆ ใจเราก็ต้อง (ขึ้นๆ ลงๆ)  แล้วทำไมเราไม่หาความสุขที่เกิดจากภายใน ทำไมเราจึงปล่อยใจไปสุขทุกข์กับภายนอก ใช่ไหม
โดยส่วนใหญ่ทุกข์ก็เกิดที่ใจ สุขก็เกิดที่ใจ หาใช่ภายนอก แต่มนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น เขาดีเราจึงสุข เขาไม่ดีเราก็ (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนทำให้เราสุขหรือเปล่า (ไม่)  จริงๆ แล้วสุขอยู่ที่ไหน (ใจ)  ดีก็อยู่ที่ (ใจ)  ร้ายก็อยู่ที่ (ใจ)  ถ้าเรารู้จักควบคุมใจได้ วางใจเป็น กระทบภายนอกก็ไม่กระเทือนภายใน จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นฟังใหม่นะ ดีก็อยู่ที่ (ใจ)  ร้ายก็อยู่ที่ (ใจ)  ฉะนั้นถ้าเราวางใจเป็น กระทบก็เพียงภายนอก ใจข้างในก็จะไม่กระเทือน จริงไหม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์ มองเห็นทุกข์กับสุข ดีกับร้ายเท่ากัน มนุษย์จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บาปก็จะไม่เกิดเพราะว่ามองเห็นสองสิ่งนี้เท่ากัน ทำได้ไหม (ได้)  ดังนั้นถึงเขาร้ายเราก็ไม่ (กระเทือนใจ)  กระทบแต่ไม่กระเทือนใจเพราะมันมีค่าเท่ากัน เท่ากันตรงไหนล่ะ เขาร้ายตลอดไหม แล้วคนที่ดีกับเราควรดีใจไหม เขาดีตลอดหรือ (ไม่)  แล้วควรยิ้มดีใจไหม วันนี้เขาชมดีใจไหม แล้วแน่ใจหรือเขาจะชมตลอด ฉะนั้นพุทธะจึงสอนว่า ถ้าอยากพ้นทุกข์ พ้นจากความผิดบาปและความชั่ว จงมองความทุกข์และความสุขเท่ากัน จงมองความดีและความร้ายไม่ต่างกัน และหมดเยื่อใยจากความแตกต่างได้เสีย ทุกข์สุข เมื่อนั้นเรียกว่าผู้พ้นทุกข์ วางใจเป็นกระทบก็ไม่กระเทือน วางใจไม่เป็นยังไม่กระทบก็กระเทือน
ถ้าเราวางใจไม่ยึดติดในชอบ ไม่รังเกียจในชัง เห็นเท่ากันบาปก็ไม่เกิด ทุกข์ก็ไม่มี ถ้าเราหมดเยื่อใยในชอบในชัง เราก็คงพ้นทุกข์ฟังดูเหมือนง่ายๆ แต่ทำยาก ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าทำได้ กระทบเท่าไหร่ก็ไม่กระเทือนเพราะวางใจเป็น จำไว้นะเรื่องภายนอกไม่ได้น่ากลัว เรื่องภายนอกไม่ได้เลวร้าย แต่เพราะใจเราไม่ยอมเรื่องเล็กๆ เลยเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราไม่ยอมแค่นั้นเอง ตรงกันข้ามเรื่องใหญ่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องเล็กได้ถ้าเรายอม จำไว้นะ วางใจเป็น กระทบก็ไม่กระเทือน แต่ถ้าวางใจไม่เป็น กระทบเมื่อไหร่ก็เจ็บปวดและทุกข์ทนเมื่อนั้น แค่กลับไปที่คำว่า “ยอม” จำคำต้นเราได้ไหม ยอมเสียเปรียบแค่นั้นเอง ทุกข์ก็จะหยุดตั้งแต่ต้น แต่เพราะไม่ยอมเราจึงต้องมารอแก้ตรงนี้ ทุกข์ไปแล้วแก้หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นถ้ายอมแต่แรกจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าไม่ชังตั้งแต่แรกจะทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าไม่ชอบตั้งแต่แรกจะมาเศร้าเสียใจที่รักมากเกินไปไหม ฉะนั้นวางใจให้เท่าๆ กัน กระทบเมื่อไหร่ก็ไม่กระเทือน กระแทกเมื่อไหร่ก็ไม่กระเทือน ได้หรือไม่ถ้าเมื่อไรมนุษย์หมดเยื่อใยในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มนุษย์ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ยังมีเยื่อใยยังรัก ยังชอบ ยังทุกข์ ยังสุข ถึงจะวางใจให้พ้นทุกข์อย่างไรก็หนีไม่พ้น กระทบเมื่อไหร่ก็กระเทือนเมื่อนั้น แต่ถ้าวางใจให้เท่าๆ กันก็ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  
ใครที่ร้ายที่สุดในโลก (ตัวเรา)  ใครที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดในโลก (ใจที่ไม่รู้จักยอม)  แค่คำเดียวเองนะ ยอมได้ทุกข์จบเมื่อนั้น ยอมไม่ได้ทุกข์ไม่จบ โง่ได้ทุกข์จบเมื่อนั้น โง่ไม่ได้ทุกข์ไม่จบ เกียจคร้านเมื่อไหร่ ทุกข์ก็ไม่จบ แต่คนขยันทุกข์จบได้ เพราะชีวิตไม่ยอมแพ้ จนก็ไม่กลัว ลำบากก็ไม่กลัว เพราะขยัน แต่ถ้าเกียจคร้านก็ตาย ลำบากก็แย่ ฉะนั้นกลับไปตั้งแต่ต้น “อย่ากลัวเสียเปรียบ ไม่กลัวพ่ายแพ้ อย่าขี้เกียจ อย่ากลัวเหนื่อย” วิธีพ้นทุกข์ของเรายากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าวางใจเป็น เรื่องใหญ่แค่ไหนก็กลายเป็นเรื่องเล็กได้ แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ยึดติดในชอบชัง ดีร้าย เพียงชั่วครู่ก็ทุกข์ได้ในทุกๆ ขณะ แม้ไม่มีเรื่องราวอะไรก็ตามจริงไหม (จริง)  
วันนี้เราไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ขอเพียงยอมได้ ไม่ขี้เกียจ แพ้ได้ ไม่กลัวเสียเปรียบ ลืมแล้วหรือ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความสงบมีแล้วอยู่ภายใน แต่จิตใจไม่ว่างพอได้ตระหนัก
ความพ้นทุกข์มีอยู่แล้วทุกขณะ แต่มัวรักโลภโกรธหลงจนหลงลืม

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังคิดอะไรอยู่แล้ววางไม่ลง

สุขกับความหลงตน สุขกับความต้องการ สุขกับมายาท่วมเต็มจิตใจ ใจไม่ว่างพอเพื่อตระหนัก อย่างไรยับยั้ง ใจที่ไม่เคยได้หยุด สุขใจยังสร้างเอา
* สุขอยู่ในหัวใจ ผ่อนคลายในหัวตน สุขคือทุกข์ทุกข์ก็คือสุขนั้น
** เพียงคิดได้เองไม่มียาก ได้สุขเป็นของขวัญ ชีวิตที่มีที่อยู่ ก็แค่ลมหายใจ
*** รู้รู้ทั้งรู้มิหยุดใจ ยังคงสุขใจช่างมัน ตัวเองที่ไม่เคยรู้จัก ห้ามแล้วห้ามอีกยังไม่ฟัง รู้รู้ทั้งรู้มิหยุดใจ สุขมาสุขไปใจรกแทน ทำเพื่อตนให้สุข ยิ่งทุกข์ใจตนเอง    (ซ้ำ * ,** ,** ,***)
ชื่อเพลง : สุขพบได้ด้วยใจไม่ใช่สร้างเอา
ทำนองเพลง : ด้วยมือของเธอ

หมายเหตุ: “แต่มัวรักโลภโกรธหลงจนหลงลืม” สามคำที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแต่งกลอนต่อให้สมบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นโอกาสดีที่ได้มาเจอศิษย์ แต่ในโอกาสนั้นก็มีความจำกัดอยู่ ทุกเรื่องทุกราวที่เกิดขึ้นล้วนพร้อมจะเกิดแล้วก็ดับไปในเวลาเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะคุยเรื่องอะไรดี ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ทุกคนมีความสงบสุขและความพ้นทุกข์อยู่แล้ว ศิษย์ว่าจริงไหม (จริง)  อย่าเชื่อเพราะคนอื่นเขาพูดหรืออย่าเชื่อเพราะอาจารย์พูด แต่จะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติแล้วเห็นจริง จึงค่อยตอบว่าเชื่อ ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะชอบฟังๆ กันมา ได้ยินมา เชื่อตามๆ กันมา ฉะนั้นก็เลยทำให้เราไม่เคยรู้จริงสักที แค่ฟังๆ มา เราจะรู้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งที่ฟังนั้นไปปฏิบัติจนเห็นจริง นั่นแหละจึงควรเชื่อ แต่ถ้าเกิดยังไม่เคยเอาไปปฏิบัติแล้วบอกว่าจริง อย่างนั้นไม่ควรจะรีบเชื่อ อย่างนั้นเรียกว่างมงาย ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นปฏิบัติ ถึงเวลาก็เชื่อเลย ฟังแล้วดีนะ เชื่อนะ แต่พอถึงเวลาไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรามีความสงบไหม เราเคยมองหาไหมว่าตัวเรามีความสงบไหม หรือชีวิตมันวุ่นๆ ไวๆ แล้วก็วุ่นๆ แล้วก็ไวๆ รวมกันเป็นวุ่นวายๆ จริงๆแล้ว ความสงบมีอยู่แล้วนะ แต่อยู่แค่เพียงว่าเราหันกลับมามองตัวเองบ้างหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) 
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ดีใจจริงๆ หรือ ขอดูหน้าคนดีใจหน่อยนะ ไม่เป็นไรนะเป็นธรรมดา มีคนยินดี มีคนไม่ยินดี เป็นเรื่องปกติธรรมดา มีคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา มีคนเข้าใจไปกับอาจารย์กับมีคนไม่เข้าใจอาจารย์ก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาอยู่กับศิษย์ทำไมไม่ธรรมดานะ อยู่กับคนอื่นก็ปลอบใจเขาได้ แต่พอถึงเวลาเป็นเรื่องของเราเป็นอย่างไร (ไม่ธรรมดา)
โดยส่วนใหญ่เรามีชีวิตเพื่อ (เพื่อรับกรรม, บำเพ็ญ, ปฏิบัติความดี, ทำดีและทำชั่ว)  ทำดีและทำชั่ว เขาตอบได้ดีนะ ใช่ไหม (ใช่)  เรามีชีวิตอยู่เพื่อ (ตอบแทนคุณแผ่นดิน)  จริงหรือ ทุกวันนี้ก็แทบจะขโมยต้นไม้ ขโมยน้ำ ขโมยอากาศ เราได้ตอบแทนคุณแผ่นดินอะไรบ้าง มีแต่ทิ้งของไม่ดี ปล่อยอากาศพิษ อย่างนี้เรียกว่าตอบแทนคุณแผ่นดินหรือเปล่า (ไม่)  บอกชีวิตมีเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ถึงเวลาปฏิบัติธรรมไหม (ไม่ปฏิบัติ)  เริ่มต้นมาก็จะบ่นคนอื่น ด่าคนอื่น อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม ชีวิตเกิดมาเพื่อใช้กรรม ใช่ไหม (ใช่)  รับกรรมอดีตหรือกำลังสร้างกรรมใหม่เพื่อจะได้ก่อเกิดเป็นอนาคต
ชีวิตเกิดมาเพื่อ (หาความสุข)  อาจารย์ว่าหัวหน้าตอบถูกที่สุดเลย โดยส่วนใหญ่มนุษย์มีชีวิตเพื่อหาความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นที่ตอบมาให้อาจารย์ฟังนั้นไม่จริงเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อีกคนหนึ่งก็ตอบถูก เกิดมาเพื่อทำดีและทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์เกิดมาเพื่อหาความสุข อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย แล้วที่หาอยู่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วที่มีอยู่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วที่ติดอยู่ดีหรือร้าย (ร้าย)  แล้วสิ่งที่ชอบสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ไหนบอกว่าเกิดมาเพื่อหาสุข ทำไมถึงที่สุดกลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นพออยู่ๆ ไปเราจึงเข้าใจว่าชีวิตที่แท้ไม่มีสุขไหนจริง ไม่มีทุกข์ไหนแท้ถ้าเราเข้าใจว่าเราเกิดมาเพื่อหาสุข อย่างนั้นวิธีที่จะทำให้เรามีสุขได้ คือทำอย่างไร (ทำใจ)  ตอบได้ดีนะศิษย์ ในเมื่อทำแล้วไม่ได้สุข ก็ต้องทำใจ ฉะนั้นเราก็เลยหาทางทำอย่างไรให้เรามีสุขตลอด แล้วมันไม่พลิกกลับเป็นทุกข์ ด้วยการทำอย่างไร (หาเรื่องทำให้สงบ)  แค่พูดว่าหาเรื่องก็ไม่สงบแล้วนะ (หาวิธีปฏิบัติ, ทำใจให้มีความสุข)  ก่อนอื่นศิษย์ ต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายก่อน ชีวิตทุกๆ คนอยากพบความสุข จำไว้เลยนะศิษย์ ถ้าศิษย์คิดว่าชีวิตนี้ศิษย์อยากมีสุข ฉะนั้นคิดแล้วทุกข์ก็ต้องเลิกคิด ติดแล้วทุกข์เลิกติด ด่าแล้วเจ็บเลิกด่า บ่นแล้วทุกข์เลิกบ่น ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ยังบอกเลยทำใจๆ ก็ในเมื่อหลักของชีวิตเกิดมาตั้งแต่ต้น สิ่งที่ศิษย์ทุกคนอยากได้คือความสุข แล้วถ้าคิดแล้วทุกข์ คิดทำไม ด่าแล้วทุกข์ ด่าทำไม โกรธแล้วทุกข์ โกรธทำไม ถ้าเราเริ่มต้นคิดอย่างนี้แล้วเข้าใจชีวิต ตั้งแต่นี้เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะเกลียด เราจะอยากอะไรจนเกินไปไหม ถ้ามันอยากแล้วเหนื่อยแทบตาย อยากทำไม อยากแล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วอยากไหม (ไม่)  จริงหรือ ก็เห็นยังอยากอยู่ แค่อยากก็เหนื่อยแล้วศิษย์ อย่างนั้นอยากให้น้อยๆ หน่อยไม่ดีหรือ หรือบางทีไม่อยากบ้าง จะตายไหม (ไม่ตาย)  แล้วทำไหม (ไม่ทำ)  ก็เลยเอาแต่ฝืน ทำใจๆ อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)
ฉะนั้นวิธีแก้ที่ศิษย์พยายามที่จะหนีให้พ้นทุกข์ คือทำอย่างไรรู้ไหม (บำเพ็ญเพียร)  ตอบ ได้ดีนะ (เอาธรรมะมาเข้าทางใจ)  ธรรมะเป็นรูปร่างที่เข้าทางใจได้หรือศิษย์ (เดินทางสายกลาง, ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ, ละวางปล่อยวาง, หาเหตุแห่งทุกข์และดับทุกข์)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ถึงเวลาที่เราทุกข์จริงๆ เราเคยหาเหตุแห่งทุกข์กันหรือไม่ (ไม่เคย)  แล้วเราเคยดับที่ทุกข์กันหรือไม่ (ไม่เคย)  แต่พอทุกข์ศิษย์ไปแก้กันที่ไหนรู้ไหม เวลาที่ศิษย์บอกว่าชีวิตนี้อยากมีสุข และไม่อยากมีทุกข์ สิ่งแรกที่ศิษย์จะทำเลยก็คือ ใส่บาตร ทำบุญ ทำทาน เผื่อว่าอานิสงส์ของบุญทานนั้น จะดลให้เรามีสุขพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่
โดยส่วนใหญ่ชีวิตทุกคนต้องการความสุข แต่บางครั้งถ้าสิ่งใดคิดแล้วทุกข์ หยุดแล้วถามตัวเองก่อนดีไหมว่าควรจะคิดไหมถ้าทำแล้วทุกข์ ทำไมไม่หยุดก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองตะบี้ตะบันทำต่อไป แล้วจมอยู่กับความทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตอยากหาความสุขไม่ใช่หรือ วิธีแก้ของศิษย์ส่วนใหญ่ที่ทำกันเป็นพื้นฐานคือ ทำบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม เพื่อว่าผลของบุญในการใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมนั้นจะมีอานิสงส์ที่ทำให้ศิษย์นั้นมีสุข พ้นทุกข์ ทำบุญ ๑๐๐ วัด แต่ถ้าใจไม่ปล่อยวางความคิด ไปทำบุญ ๑๐๐ วัดทุกข์ก็ยังอยู่ในหัว ถึงศิษย์ไปฟังเทศน์ ๑๐๐ วัด ไหว้พระ ๙ วัด ถ้าศิษย์ยังหาทุกข์ไม่เจอ แม้ฟังจนจบศิษย์ก็ยังแบกทุกข์ไปวัด แล้วแบกทุกข์กลับมาบ้านเหมือนเดิม ถูกหรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นวิถีทางปฏิบัติของทางศาสนาพุทธจึงสอนไว้ว่า การปฏิบัติเพื่อทำให้เราพ้นทุกข์นั้นไม่ยาก อย่างแรกคือ ทาน อย่างที่สองคือ ศีล อย่างที่สามคือ ภาวนา อย่าง ที่สี่คืออะไรรู้ไหม โดยส่วนใหญ่วิธีปฏิบัติเมื่อเวลาเราอยากจะหาเหตุแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ให้ได้ พระพุทธะก็สอนไว้ว่าให้รู้จักมี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แปลว่าทานยังเป็นส่วนเล็กๆ ถึงที่สุดจึงเข้าถึงปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถวายทานอะไรได้บุญที่สุด (ถวายธรรม, อภัยทาน, ทาน, ให้ปัญญา, ให้ธรรมะ, ให้บุตร, สร้างสถานธรรม, กตัญญูพ่อแม่)
ทางสายพุทธจะเน้นเรื่องเกี่ยวกับทาน ศีล สมาธิ และปัญญา แต่ทางสายปราชญ์จะเน้นเรื่องการมีคุณธรรมประจำใจ หรือการมีคุณธรรมในการดำรงชีวิต อย่างเช่น ถือกตัญญูเป็นหลัก ใครมีพระคุณต้องรู้จักตอบแทนคุณ กับพี่น้องรู้จักสามัคคีปรองดอง กับเพื่อนรู้จักซื่อตรง กับภาระหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ นี่คือการใช้คุณธรรมในการดำเนินชีวิต แต่ศิษย์เป็นคนนับถือพุทธ ธรรมะทางพุทธสอนให้เรารู้จักทำทาน แต่ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทานที่ประเสริฐที่สุด ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าคืออะไร พระพุทธะบอกว่าให้ทานกับสัตว์ไม่สู้ให้ทานกับคน ให้ทานกับคนไม่สู้ให้ทานกับพระภิกษุ แต่อาจารย์ว่าไม่ว่าพระ ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระภิกษุ ศิษย์ให้ได้หมดทานเล็กๆ ก็ค่อยๆ สะสม ไม่ใช่รอแต่ให้ทานใหญ่ๆ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างน้อยเล็กๆ ก็ทำให้ใหญ่ได้ ไม่ใช่เอาแต่ใหญ่ๆ ฉะนั้นศิษย์บางคนจึงบอกว่าถวายทานทั้งทีต้องสังฆทาน เพราะสังฆทานได้บุญมาก ใช่ไหม (ใช่)  กับสัตว์ศิษย์ก็เตะ กับคนศิษย์ก็ด่า แต่ทำบุญอยู่แค่สังฆทาน กับสัตว์ก็ต้องเมตตา กับคนก็ต้องเมตตา ไม่ใช่ทำบุญแค่สังฆทานใหญ่ๆ บุญเล็กๆ ไม่ทำ ไม่อย่างนั้นกลายเป็นเราสร้างบุญที่หนึ่ง สร้างบาปอีกที่หนึ่ง ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ถวายสังฆทานโดยที่ไม่เจาะจงหนึ่งครั้ง ยังได้บุญมากกว่าถวายภัตตาหารโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขร้อยครั้งพันครั้ง คือทำโดยไม่เจาะจงได้บุญเยอะกว่า ทำสังฆทานร้อยครั้งพันครั้ง ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง ให้ธรรมะเป็นทานให้คนเข้าใจธรรมะร้อยครั้งพันครั้งก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้อภัยทาน ใช่ไหม (ใช่)  สังฆทานร้อยครั้งไม่ประเสริฐเท่ากับสร้างวิหารหนึ่งครั้ง สร้างโบสถ์ให้คนปฏิบัติธรรม สร้างวิหารร้อยครั้งร้อยโบสถ์ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง ให้ธรรมะเป็นทานร้อยครั้งก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้อภัยทานหนึ่งครั้ง แปลว่าสร้างโบสถ์เป็นร้อยๆ ครั้งต้องใช้เงินหลายล้าน แล้วทำไมเราไม่ทำบุญที่เราไม่ต้องใช้เงินเลย นั่นก็คือการให้อภัย แล้วไม่ก่อกรรม ไม่ทำให้เวรมันยืดเยื้อ ทำให้เราจบเวรจบกรรมเป็นบุญยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าให้ธรรมะเป็นทาน บุญยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหาร
แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ ชอบไปสร้างโบสถ์วิหารแต่ก็ยังแช่งชักหักกระดูกคน กลายเป็นมือหนึ่งสร้างบุญ อีกมือหนึ่งสร้างบาป บุญกับบาปชดเชยชำระกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญ บาปก็อยู่ส่วนบาป แล้วบุญให้ผลคือความสุข และบาปให้ผลเป็นความทุกข์และมีวิบากกรรม แต่บุญให้ผลคือความสุขและวิบากกรรมเหมือนกัน แต่เป็นกรรมในด้านสุข ความชั่วให้ผลคือทุกข์และวิบากกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญเยอะๆ ชาติหน้าก็อาจจะได้กลับมาเกิดเป็นคนที่มีเงินมากมาย หรือไม่ก็ได้เสวยสุขบนสวรรค์ เมื่อหมดบุญก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ อย่างนี้หนีพ้นอย่างแท้จริงหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่าทานยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้
แล้วการรักษาศีลสามารถทำให้พ้นทุกข์ได้หรือไม่ มีทั้งคนที่บอกว่าได้และไม่ได้นะ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้ล่ะ เพราะถ้ารักษาศีลแล้ว แต่ยังยึดติดในการรักษาศีล ก็ยังต้องไปรับบุญ รับผลของศีลนั้น เคยได้ยินหรือไม่ว่า ถ้าเราเมตตาสัตว์มากๆ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ทำให้อายุยืน แปลว่ายังต้องไปรับผล ไม่ลักขโมยของผู้อื่น ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ทำให้เป็นคนมีทรัพย์และไม่สูญเสียทรัพย์ ไม่โดนฉ้อฉล ประพฤติซื่อสัตย์สุจริตไม่ผิดลูกผิดเมียใคร ทำให้เจอรักแท้ ลูกก็อยู่ในโอวาท ถ้าใครอยากได้แบบนี้ก็จงรักษาศีลข้อนี้ เพราะจะทำให้เจอรักแท้ และลูกก็ว่านอนสอนง่าย ถ้าศิษย์บอกว่าสามีก็ไม่ได้เป็นรักแท้ ลูกก็ไม่ว่านอนสอนง่าย แปลว่าศิษย์เคยผิดข้อธรรมข้อนี้ แล้วศิษย์เคยไหม พูดอะไรก็ไพเราะ พูดอะไรคนก็ฟัง เพราะศิษย์เป็นคนรักษาความสัตย์ จึงทำให้พูดอะไรคนก็เชื่อฟัง แต่ถ้าเวลาศิษย์พูดไม่มีใครบอกว่าไพเราะ น่ารำคาญ ไม่เชื่อฟัง แปลว่าศิษย์โกหกมดเท็จ
ฉะนั้นศีลจึงยังไม่นำพาให้พ้นทุกข์ เพราะศีลยังเป็นเหตุ เป็นผลที่ยังต้องรับกันอยู่ จำไว้นะ แล้วถ้าอยากมีปัญญาดี ก็อย่าเสพของมึนเมา เวลาเรียนหรือทำอะไร ทำไมเราความจำไม่ดี เพราะเราชอบเสพของมึนเมาหรือเปล่า อย่างนั้นหมายความว่าทั้งทานและศีลทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นต้องทำอย่างไร (สงบกาย สงบใจ สงบวาจา)  ถ้ามนุษย์รู้จักหมั่นทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เราก็จะเกิดความปิติสุขที่ได้ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ก็จะเกิดความสงบได้ แต่ว่าเวลาโดนทุกข์กระทบ เรายังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ เพราะอะไรรู้ไหม (เพราะใจยังไม่สงบ)  ใช่ไหม เมื่อสักครู่ศิษย์ตอบว่า (สงบกาย สงบใจ สงบวาจา)  แต่เขาบอกว่าใจยังไม่สงบ เราก็เลยยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องสงบๆ (ต้องทำสมาธิให้เกิดปัญญา)  ตอบได้ดีนะเป็นคนมีปัญญา
ก้าวต่อไปที่เราต้องเรียนรู้ก็คือทำอย่างไรให้เราสงบ นั่นก็คือสมาธิ แต่สมาธิโดยความหมายแท้จริงหมายความว่าความมั่นคง ไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ไม่ใช่หลับตาแล้วบอกว่านี่คือสมาธิ แต่สมาธิที่แท้จริงคือเมื่อโดนกระทบ จิตสงบไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบไม่กระแทกกระทั้นย้อนกลับไป แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราสามารถสงบได้ นั่นคือต้องมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์จึงอยากมาคุยกับศิษย์เรื่องทุกข์และทางดับทุกข์ โดยใช้สติและปัญญาและรู้แจ้งด้วยธรรม ถ้าอย่างนั้นเราต้องเข้าใจก่อนว่าเราทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะเรายังปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่ได้)  เหตุแห่งทุกข์มีเยอะไหม (เยอะ)  เยอะแล้วเราแก้ได้สักข้อไหม (ไม่ได้)  ได้แต่ทำใจๆ อย่างเดียว ทำใจอย่างเดียวรักษาได้ทุกโรคไหม (ไม่ได้)
อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ ทุกข์นี้ถ้าทางหลักธรรมมีสาเหตุมาจากความไม่รู้ (อวิชชา)  ไม่รู้แล้วจึงอยาก (ตัณหา)  อยากแล้วจึงยึด(อุปาทาน)  เพราะไม่รู้จึงอยาก เมื่ออยากแล้ว จึงอยากยึด แล้วศิษย์เคยรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นดี แต่เพราะความอยากจึงทำให้เราสูญเสียความยุติธรรม สูญเสียปัญญาและสูญเสียความกล้าหาญในการเผชิญความจริง ฉะนั้นพระพุทธะก็เลยบอกว่า เพราะว่าเราไม่รู้ แล้วไม่รู้อะไรหนอที่ทำให้ทุกข์ ไม่รู้จักใจตัวเองหรือไม่รู้จักเท่าทันโลภ โกรธ หลง หรือไม่รู้จักธรรมเป็นความจริงแท้ ใช่ไหม ที่ศิษย์พูดมาทั้งหมดมีหลายอย่าง บางคนทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง เรียกว่ากิเลส ถ้าเชื่อกิเลสก็หนีไม่พ้นการสร้างบาปและวิบากกรรม ถ้าเราเลิกโลภ โกรธ หลง เราสามารถควบคุมได้ เราก็หยุดบาป หยุดวิบากกรรมได้ ฉะนั้นตอนนี้โลภ โกรธ หลง หยุดได้ไหม (ไม่ได้)  มีแล้วก็มีอีก แล้วทำอย่างไรดี
หนึ่ง คือ ทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง
สอง คือ ทุกข์เพราะเราไม่รู้ความเป็นจริงของโลกใบนี้
สมมติว่าตอนอาจารย์มาถึง มองแต่ตัวเอง คิดแต่เรื่องตัวเอง ไม่สนใจศิษย์เลย แต่สักพักหนึ่งเมื่ออาจารย์สงบ อาจารย์ก็หยั่งรู้ได้ถึงจิตของศิษย์ว่ามีศิษย์บางคนกำลังนินทาอาจารย์อยู่ พระพุทธะจะรู้จักจิตคนได้ก็ต่อเมื่อท่านสงบแล้วหยั่ง เมื่อหยั่งรู้ว่าศิษย์คนนี้กำลังนินทา ศิษย์คนนั้นกำลังเบื่อว่าเมื่อไหร่จะจบ เมื่ออาจารย์หยั่งรู้แล้ว ก็คิดท้อแท้อุตส่าห์มาเพื่อให้ศิษย์รู้จักพ้นทุกข์ แต่ศิษย์กลับมาทุกข์เพราะอาจารย์ ทำไมเป็นแบบนี้ แต่ถ้าอาจารย์พลิกใหม่ คิดใหม่ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคน มีชอบก็มีชัง มีดีก็มีร้าย มีชื่นชมก็มีรังเกียจเดียดฉันท์ แล้วอาจารย์จะเอาอะไรกับความไม่แน่นอนของคนและความเป็นเช่นนั้นเองของศิษย์ นั่นคือตัวอย่าง เช่นศิษย์ถูกเขาว่าแล้วศิษย์ก็รู้ว่าเขากำลังว่า ศิษย์จะคิดว่าเขาว่าเราทำไม ทำไมต้องว่าด้วย ผิดตรงไหน เราก็ดีนะ ทำไมทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จะใช้แบบนี้ก็ได้นะ เห็นทุกข์แล้วจงทุกข์ต่อไปนะศิษย์ เชิญเต็มที่กับทุกข์เลย กับอีกแบบหนึ่ง เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดา มีชอบก็มีชัง มีเกลียดก็มีรัก เป็นธรรมดาของโลก จะไปอะไรกับทุกเรื่องราว ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถามตัวเองว่าทำดีหรือยัง เบียดเบียนเขาไหม ก็ไม่ได้เบียดเบียน ว่าเขาไหมก็ไม่ได้ว่า แต่เขานินทาก็ช่างเขา ขนาดพระพุทธรูป คนยังติเลย แล้วเอาอะไรกับฉัน ทำไมเขาจะไม่ติ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเอาแบบไหน (แบบสอง)  นั่นคือรู้อะไรถึงพ้นทุกข์ เรารู้อะไรเราถึงปล่อยวางได้ (รู้ต้นเหตุแห่งทุกข์)  รู้สติใช่ไหม หนึ่งคือรู้เท่าทันความคิด เมื่อทุกข์มากระทบหน้า ทุกข์มันตบหน้า คนด่าเรา โดนตบหน้า เราจะตบตัวเองซ้ำอีกไหม เหมือนเขาด่าศิษย์ครั้งเดียว เขาว่าศิษย์ครั้งเดียว ว่าแล้วก็จบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เอามาคิดอีก ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นต่อไปนี้จะรู้อะไร (รู้ให้อภัย)  รู้ให้อภัยยังแก้แค่หลักของทาน รู้เมตตาก็ยังแก้แค่หลักของศีล แต่ถ้ารู้แล้วสงบ ไม่หวั่นไหว เรียกว่าหลักของสมาธิ แต่รู้แล้วเห็นแจ้ง แล้วหยุดได้ ไม่หวั่นไหว ไม่โต้ตอบไป ไม่ทุกข์ นั่นคือหลักของปัญญา รู้อะไร (รู้เท่าทันความคิด, รู้ตื่น)  รู้ความจริงอันเป็น
สัจธรรมของโลกใบนี้ หรือเรียกว่าโลกธรรม๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีทุกข์มีสุข มีชมมีด่า มีรักมีเกลียด เป็นธรรมดา ฉะนั้นโดนด่าก็ธรรมดา เวลาป่วยก็ธรรมดา ป่วยกายไม่ป่วยใจ เจ็บขา ไม่ใช่เจ็บทั้งตัว แต่ศิษย์แปลก เจ็บที่เท้า แต่สั่นไหวทั้งตัวเลย แค่เจ็บเท้าจะตายๆ ใช่ไหม (ใช่)  มันเป็นธรรมดาของโลก มันเป็นจริงของโลก ที่ต้องมีเปลี่ยนแปลง แล้วที่สุดก็หาตัวตนไม่ได้ แล้วเราทุกข์ไหม
ฉะนั้นเรามารู้ความจริงอีกคำหนึ่งคือ โลกใบนี้ล้วนไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ฉะนั้นเจอคนชมก็ธรรมดา โดนคนด่าก็ธรรมดา สามีไปมีแฟนใหม่ก็ (ธรรมดา)  ลูกดื้อก็ธรรมดา แต่เราจะทำอย่างไรให้ความธรรมดานั้นมันไม่ทำให้เราทุกข์ เมื่อรู้ว่ามันคือสิ่งธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องเจอ แต่เมื่อบางครั้งมันมาจุกอกเรา เราจะทำอย่างไร จำไว้นะศิษย์ ต้องไม่กลัวคำว่าทุกข์ ทุกคนมักจะหันหลังและเบือนหน้าหนีความทุกข์ ไม่อยากเจอมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องรักทุกข์มีทุกข์เป็นเพื่อน และอีกอย่างที่ศิษย์จะต้องจำไว้ในใจคือ ความทุกข์ไม่ได้แปลว่าซึม เศร้า หงอย ห่อเหี่ยว หมดแรง ตายแน่ ให้ศิษย์ล้างไปจากความคิด ล้างไปจากหัวเลยนะ ทุกข์ แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เมื่อเวลาทุกข์มาให้อยู่เฉยๆ อย่าไปเกลียดเพราะยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ถ้าความทุกข์มา ความพลัดพรากมา การโดนนินทามา การสูญเสียมา ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน ไม่ต้องหนี ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องให้ค่า ปล่อยมันวางเฉยไว้อย่างนั้น พอถึงเวลามันจะหายไปเอง มันเริ่มที่ไหน ก็ให้ละ ให้วาง ให้จบ ให้หยุดที่นั่น โดยที่ไม่ต้องให้ค่า ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องคิดซ้ำซาก คิดวนเวียน ปล่อยให้ทุกข์อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ส่วนเราเดี๋ยวทุกข์ก็จะจบไปเอง แต่พอทุกข์มา ศิษย์มักจะซึม เศร้า หงอย ตายแน่ อาจารย์จะบอกว่าไม่ใช่นะให้คิดใหม่ว่า เมื่อทุกข์อยากมาก็ให้มันมา แต่ทุกข์ก็อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ของเรา ให้ไปใส่ใจเรื่องอื่นแทน แล้วทุกข์มันก็จะหายไปเอง แต่ศิษย์โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ ทุกข์มาก็ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์
ฉะนั้นวิธีที่อาจารย์จะแก้คือศิษย์จะใช้ใจมนุษย์ไปสัมผัสทุกข์ หรือจะใช้จิตแห่งความพ้นทุกข์ไปสัมผัสทุกข์ ถ้าใช้ใจในการสัมผัสทุกข์ก็หนีไม่พ้นความรู้สึก ความยึดติด แต่ถ้าใช้จิตเดิมแท้ที่ศิษย์ได้รับหนึ่งชี้ จิตเดิมแท้นี้มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่ต้องการที่อยู่และไม่ต้องการคนครอบครอง เอาจิตตัวนั้นทำงานเมื่อเจอทุกข์ จิตตัวนั้นมีหน้าที่แค่เพียงตื่นรู้ แค่รู้ รู้ตัวเอง ทุกข์มาแล้วฉันจะเอาจิต ฉันจะไม่เอาใจ ฉันจะใช้จิตที่ตื่นรู้มาอยู่ร่วมกับทุกข์ เพราะเมื่อเราใช้ใจ เราหนีไม่พ้นฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนั้น ฉันคิดอย่างนี้ ใช่ไหม นี่คือใจมนุษย์ แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าธาตุรู้หรือจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์อยู่ เอาจิตนั้นแหละ จิตที่ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการคนครอบครอง ทำหน้าที่แค่เพียงรู้ เมื่อเวลาทุกข์มากระทบ เลือกตามจิต ไม่ตามใจ เพราะจิตเป็นสภาวะที่พ้นทุกข์อยู่แล้ว และเป็นสภาวะว่างแล้วนะ และมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคนนะ ฉะนั้นเราจะเลือกใช้ใจหรือใช้จิต (ใช้จิต)  แล้วเราจะเลือกเข้าใจทุกข์แล้วพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นลบไปจากหัวใจเลยนะ ทุกข์ไม่ได้แปลว่าซึม เศร้า หงอย แต่ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยาก
อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์คือทุกข์เพราะการยึดติดในตัวตน ฉะนั้นตัวตนนี้ถ้าอาจารย์ตีก็เจ็บทุกที่ ตีตรงไหนก็ (เจ็บ)  ลองตีตัวเอง เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บหรือ อย่างนั้นเริ่มใหม่ ตีแรงกว่านี้หน่อย ตีมือเจ็บไหม (เจ็บ)
ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เชื่อไหมว่า แม้คำพูดที่พูดไปแล้วคนไม่ฟัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แม้เสื้อผ้าที่เราทิ้งไปแล้ว หากมีคนนำมันมาเหยียบย่ำ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แม้จานข้าวที่เรากินแล้ว แล้วมีคนนำมากระแทกๆ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทุกข์หมดทุกอย่าง ฉะนั้นเหตุแห่งทุกข์อีกอย่างที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “สุขพบได้ด้วยใจไม่ใช่สร้างเอา” ทำนองเพลง ด้วยมือของเธอ)
ได้ผลไม้แล้วจะเอาไปทำอะไร (รับประทาน)  รู้จักให้ต่อจะได้เกิดบุญที่กว้างไกล ไม่ใช่เก็บบุญไว้ที่ตนเอง ฉะนั้นจะนำไปให้ใครดี
(รับประทาน)  ขออีกคนหนึ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้มาแล้วรู้จักให้ จะได้บังเกิดบุญที่ยิ่งใหญ่ จะนำไปให้ใครดี (ให้คนข้างๆ)  คนข้างๆ มัวแต่นั่งก้มทำอะไรไม่รู้ ให้เขาช่วยตัวเอง ให้ใครดี (ให้คนที่นั่งข้างๆ)  อย่ามัวแต่นึกถึงเพื่อนจนลืมนึกถึงพ่อแม่ ใช่ไหม (ใช่)  จะนำไปให้ใคร (รับประทาน
เอง)  นักเรียนชั้นนี้ไม่รู้จักสร้างบุญต่อเลยนะ (อยู่ที่บ้านคนเดียว)  ก็นำไปผูกบุญกับเพื่อนบ้านก็ได้ คนที่ทำงานก็ได้ คนที่ชักชวนเรามาก็ได้ (เกษียณแล้ว)  แล้วไม่มีเพื่อนบ้านเลยหรือชีวิตนี้ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งต้องรักเพื่อนบ้าน ยิ่งต้องเกื้อหนุนเพื่อนบ้าน เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่พึ่งได้คือเพื่อนบ้าน การรู้จักให้ต่อจะได้มีบุญ บุญจะได้กว้างไม่ได้จมอยู่ที่เราคนเดียว
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ตอบคำถามแล้วได้ผลไม้ จงรู้จักนำไปผูกบุญสัมพันธ์กับคนอื่นต่อ อย่าเก็บไว้ทานคนเดียว ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ร้อนไหม ศิษย์สบายดีนะ ทำดีโดยไม่ยึดติดนะ โลภ โกรธ หลงตัดได้บ้างหรือยัง (ตัด ได้บ้างแล้ว)  ตัดได้บ้างหรือยัง (ยัง)  ยังเลยหรือ อายุปูนนี้แล้วนะ โลภ โกรธ หลง ต้องเบาบางได้แล้ว ถ้าศิษย์อยากไปหนทางที่ดี หลับตาแล้วก็สบายใจ โลภ โกรธ หลง คือทางแห่งบาปและความทุกข์และการเวียนว่าย เมื่อศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญแล้ว โลภ โกรธ หลง ต้องละและเบาบางให้น้อยที่สุด หรือพูดง่ายๆ คือพยายามอย่าให้มี ด้วยการรู้จักเท่าทันตัวเอง ควบคุมชีวิตด้วยสติ ใช้จิตในการนำพาตน ไม่ใช่ใช้ใจ เพราะชอบรู้สึก รู้สึกอยากได้ รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนี้ ซึ่งหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าใช้จิตอันเดิมแท้ที่เรียกว่าธาตุแห่งความรู้ หรือจิตแห่งพุทธะจะไม่มีตัวมีตน ไม่มีรู้สึก และไม่มีคนต้องครอบครอง ในตัวเรามีสิ่งที่ประเสริฐที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ ที่ใช้แค่การตื่นรู้ด้วยสติ และเข้าใจสรรพสิ่งด้วยปัญญา ถ้าศิษย์เข้าใจในการดำเนินชีวิต ใช้จิตมากกว่าใช้ใจ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมันจะเกิดและจบได้ด้วยตัวเรา แต่ถ้าศิษย์เอาแต่ใช้ใจเอาแต่รู้สึก ก็หนีไม่พ้นโลภ โกรธ หลง ก่อเวรกรรม ทำโน่นทำนี่ เกิดตัวตนไม่จบสิ้น ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมากระทบ ให้จิตมองให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น มันเป็นกิเลสไม่ใช่ตัวตนเดิมแท้ ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ไม่ต้องให้ค่าปล่อยมันไว้ เดี๋ยวมันก็จบไปเอง ให้เหลือแต่จิตที่ว่าง จิตที่นิ่ง จิตที่สงบ เมื่อจิตไม่รวมกับอารมณ์ก็เรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อจิตไม่ยึดติดในอารมณ์ความคิดก็เรียกว่าวิมุตติ ใช่ไหม
อย่าฟังแล้วไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นศิษย์ไม่พ้นทุกข์นะ อย่าฟังแต่ถึงเวลาขาดสติทำไม่ได้ ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นวังวนแห่งความทุกข์ เราเกิดมาเพื่อจบ เกิดมาเพื่อดับ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเกิดตัวตนไม่จบสิ้น ทุกสิ่งกำลังเกิดและจบ เกิดและจบ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมันเลยไม่จบ เอาอดีตมาคิด เอาอนาคตมากังวล ปัจจุบันก็ทำไม่ได้ดี ใช่ไหมศิษย์ ปูนนี้แล้วนะศิษย์ไม่ใช่อายุน้อยๆ ฉะนั้นปลงได้ปลง วางได้วาง โลภ โกรธ หลง อย่าไปเอามาให้ครอบงำใจ ไม่อย่างนั้นศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ก่อเอง เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย ถ้าเราไม่สร้างปัจจัยให้เราทุกข์ เราจะไปรับกรรมอะไร จริงไหม
ฟังแล้วทำนะศิษย์ ทำให้ได้นะ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่ตายแล้วถึงจะพ้นทุกข์ แต่พ้นทุกข์ขณะนี้เดี๋ยวนี้เลย เราสามารถพ้นทุกข์ได้ทุกขณะ ไม่ต้องกังวล ทำตรงนี้ให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา ทำตัวเองให้มีสติรู้ตัวเอง เห็นจิตตัวเอง ไปที่ๆ พ้นทุกข์กับอาจารย์นะอย่าทิ้งอาจารย์ไปคนเดียวเลย ได้หรือไม่ (ได้)  พ้นทุกข์ตื่นรู้ด้วยตัวเองนะ ศิษย์เอยชีวิตมันชอบดื้อ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ นะ ไม่ได้วนเวียนอยู่กับทุกข์ ทุกข์สุดท้ายที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจ ตื่นรู้ แล้วพ้น
มีอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ยังมักจะติดกันแล้วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แห่งความมีตัวตน นั่นคือการยึดติดในสิ่งที่ตาเห็น หูฟัง ลิ้นสัมผัส มือยึดถือ หัวใจดิ้นรน ศิษย์รู้ไหมว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ ถ้าเรากินแอปเปิลแล้วอร่อยทำให้เราทุกข์ได้ไหม อร่อยแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  อร่อยก็ทุกข์ มันเกิดสัญญาจำได้หมายรู้ว่าอร่อย คราวหน้าถ้ามีโอกาสกินอีกลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  กินอีกคำหนึ่งเจอหนอน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะความจำได้หมายรู้ตอนแรกมันอร่อย มันไม่มีหนอน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทุกข์เพราะการยึดติดในรสชาติ ยึดติดในสิ่งที่เห็น เห็นแล้วต้องสวย เห็นแล้วต้องเจริญตา ต้องสบายใจ ใช่ไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะว่าคราวหน้ามันต้องสวยอีก ถ้าไม่สวย ทุกข์ ถูกไหม ได้ยินต้องเจริญหู ไม่เจริญหู ทุกข์ไหม (ทุกข์)  มนุษย์ทุกข์เพราะการยึดติดในสิ่งที่ต้องดี ไม่ดีไม่ได้ แล้วเป็นไปได้ไหม ในเมื่อศิษย์รู้ความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าธรรมดาของโลกมีได้ ก็ต้อง (มีเสีย)  มีสุขก็ต้อง (มีทุกข์)  มีดีก็ต้อง (มีร้าย)  รู้อย่างนี้แล้วทำไมถึงยังทุกข์อีก เพราะเราขาดสติตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่เรากำลังกระทบอยู่ ฉะนั้นอยากกินแล้วไม่ทุกข์เอาไหม อยากเห็นแล้วไม่ทุกข์ เอาไหม อยากอยู่ในโลกเกิดแล้วจบดับ เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  ไม่ต้องรอตายแล้วค่อยดับทุกข์นะศิษย์ ทุกข์ดับได้ทุกวันเลย คือกินไม่อร่อยก็ได้ เห็นไม่สวยก็ได้ ได้ยินไม่ดีก็ได้ เรียกว่าเห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสสัมผัสเพียงแค่สักแต่ได้กิน แต่มนุษย์ไม่ใช่ กินก็ต้องอร่อย อยู่ก็ต้องสบาย มันก็เลยทุกข์ ถ้าไม่อร่อย ไม่สบาย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ กินไม่อร่อยก็ได้ ถ้าอร่อยแล้วต้องสร้างกรรม ควรกินไหม (ไม่ควร)
อาจารย์ถามนะ ถ้าอร่อยแล้วสร้างกรรมและวิบากกรรมแห่งการจองล้างจองผลาญไม่จบสิ้น เอาไหม (ไม่เอา)  กินไหม (ไม่กิน)  ถ้าอย่างนั้นพยายามกินเนื้อสัตว์น้อยๆ นะ เพราะศิษย์ไปเอาเนื้อเขามานิดนึง แล้ว
แผ่บุญแผ่กุศลให้ ศิษย์ว่ามันพอหรือ (ไม่พอ)  ศิษย์ไปเอาเขาทั้งชีวิต แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด เขาพอไหม (ไม่พอ)  แค่คนด่าศิษย์ ศิษย์ยังจำแล้วจำอีกเลย แล้วนี่ศิษย์ไปเอาถึงชีวิต แล้วแผ่เมตตาพอหรือ ฉะนั้นอย่าสร้างกรรมที่ทำให้เราต้องชดใช้เกิดวิบากกรรม ฉะนั้นทำอะไร คิดให้ดีๆ บาปคือผลพวงของความทุกข์และการเวียนว่าย บุญคือเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส แต่ปัญญาคือสิ่งที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม อันเป็นธรรมดาของโลก
ฉะนั้นระวังไว้นะศิษย์ คนที่ศิษย์ทำร้ายเขา ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ ถ้าเขาแก้แค้นศิษย์ยังไม่สาแก่ใจ แม้ศิษย์จะเจ็บขนาดนี้ ถ้าเขาบอกว่ายังไม่พอ เขาก็จะทำแล้วทำอีก อยากรับผลหรือ ถ้าไม่อยากอย่าสร้างเหตุในการเข่นฆ่าสรรพสัตว์และผู้คน ทางสายปราชญ์จึงสอนว่า เกิดเป็นคนจงมีเมตตา เมตตาแล้วจะฆ่าใครไหม เมตตาแล้วจะนินทาใครไหม เมตตาแล้วจะด่าใครไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าจำอะไรไม่ได้ เกิดเป็นคนขอให้มีเมตตา ดีไหม (ดี)  เมตตาจะต้องให้อภัยใครไหม (ไม่ต้อง)  ไม่ต้องแล้ว ก็เมตตาเขาแล้ว ถ้ายังต้องให้อภัย แปลว่าโกรธแล้วค่อยให้อภัย แปลว่าเกลียดแล้วค่อยให้อภัย ถ้าเมตตาแล้วจะเข้าใจ อะไรจะเกิดก็เข้าใจว่าคนไม่เท่ากัน คิดไม่เหมือนกัน มันเป็นธรรมดา เขาคิดซ้าย เราคิดขวา เขาชอบ เราไม่ชอบ เราจะไม่โกรธ แต่เราจะเมตตา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรามีความซื่อสัตย์สุจริต เราจะโกงใครไหม (ไม่โกง)  เราจะเบียดเบียนใครไหม (ไม่เบียดเบียน)  เราจะอยากได้ของใครมาเป็นของเราไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่มีศีลก็จงมีธรรม ถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรม ก็ไม่รู้จะได้เจออาจารย์หรือเปล่านะ
เกิดเป็นคนทำไมต้องรักษาความดีงาม เพราะความดีชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ความชั่วนำพาให้มนุษย์ทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นขอให้ศิษย์คิดเอา ชีวิตนี้จะตามใจ หรือตามจิตเดิมแท้ ใจที่มีแต่อารมณ์โลภโกรธหลง หรือจะตามจิตเดิมแท้ที่เข้าถึงสภาวะว่าง ไม่มีตัวตนให้ครอบครอง
คิดให้ดีก่อนจะทำอะไร พลาดแล้วจะถอยหลังไม่ได้ตลอดนะ ตราบใดยังมีลมหายใจ ยังมีโอกาสแก้ไข แม้ศิษย์ทำผิดแล้วศิษย์ยังมีลมหายใจ ฟ้ายังให้โอกาส ถ้าผิดแล้วยังมีลมหายใจรีบแก้เพราะถ้าเมื่อไรที่ลมหายใจหมดลง ศิษย์หมดโอกาสที่จะแก้ตัวแล้ว ศิษย์จะต้องรับผลของการกระทำที่ศิษย์ก่อ แต่ตอนนี้ยังมีลมหายใจพยายามทำความดีเยอะๆ ทำสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจความทุกข์ ดับทุกข์ด้วยตัวเอง เพราะตัวตนที่แท้จริงก็ยึดถือไม่ได้ ความดีก็ยึดถือไม่ได้ ถ้ายึดถือแล้วจะต้องไปรองรับอีก แต่ทำดีด้วยการพ้นทุกข์ คือ ทำดีโดยไม่หวังผล ไม่มีตัวตนต้องไปรับแล้ว เราพ้นทุกข์แล้ว แต่ถ้าทำดียังยึดในผล คือการเอาตัวไปรับ รับแล้วพ้นทุกข์ไหม 
(มีนักเรียนในชั้นคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า การสวดมนต์แผ่เมตตาทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ไหม)
ถ้าแรงกระแสจิตของศิษย์นิ่งและมั่นคง ช่วยคนได้ ช่วยสรรพสัตว์ได้ และช่วยจิตให้ศิษย์สงบได้ แต่สวดมนต์ไม่มีประโยชน์ ถ้าถึงเวลาศิษย์อยู่กับคนแล้วศิษย์สงบไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  การสวดมนต์เป็นอุบายอย่างหนึ่งให้เกิดจิตที่สงบ จิตที่นิ่ง ถ้าถึงเวลาเจอคนว่าศิษย์ แล้วศิษย์โมโหเหมือนเดิม ก็ไม่ได้เรื่องอะไร จิตต้องสงบเมื่อโดนกระทบ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์บอกแล้วนะว่า หนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่มีเพียง ทาน ศีล แต่มีสมาธิ คือ ความมั่นคง และ มีปัญญา คือ ความเข้าถึงธรรม และรู้ตื่นด้วยสติตนเอง เมื่อเวลาโดนกระทบแล้วไม่กระแทก แต่โดนกระทบแล้วจบได้ที่ใจ ไม่ก่อเกิดเป็นตัวตนอีกตนหนึ่งที่ทับซ้อนเรา
อาจารย์อยากคุย อยากพูดธรรมะเยอะๆ อาจารย์อยากช่วยศิษย์ แต่ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว (อยากฟังอาจารย์อีก)  ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ถ้าศิษย์ไม่นำกลับไปทำ อาจารย์แค่ชี้ทางสว่าง ถึงเวลาศิษย์ต้องเดินไปให้พบทางสว่างด้วยตนเอง ตัวตนมันไม่น่ายึดถือนะ เพราะถึงที่สุดก็หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ที่ทนได้ยาก ว่างเปล่าจากการยึดถือ ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เหมือนที่อาจารย์บอกศิษย์ว่า นี่คือหน้าตาของศิษย์จริงๆ หรือเปล่า หน้ายังเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  และยังหาที่สุดไม่ได้ ตราบที่ยังไม่หยุดกรรมของตัวเอง หน้านี้จะไม่ใช่หน้าสุดท้าย แต่ถ้าเราหยุดได้ในทุกขณะหน้านี้ชาตินี้คือชาติสุดท้าย จะพ้นทุกข์ให้ได้ด้วยตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ธรรมรู้ทำ”)
รู้ธรรมรู้ทำ แปลว่า ธรรมะที่อาจารย์ได้บอกไปแล้วจงเอาไปปฏิบัติการ ปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปตรวจสอบใคร แต่เอามารู้ด้วยใจตัวเอง แก้และเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงใจตัวเอง รู้เท่าทันใจตัวเองไม่ก่อให้เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง ที่เป็นหนทางแห่งบาปอีกต่อไป
จำไว้นะศิษย์ให้อภัยทานดีกว่าสร้างวัดวิหารอีกนะ อาจารย์ยังมีแอปเปิลอีกลูก เอาให้คนที่ยิ้มยากแล้วกันนะ เวลาทำอะไรให้ใจเย็นๆ ยิ้มง่ายๆ เป็นคนที่ทุกข์ยากสุขง่าย ดีไหม (ดี)  แต่ที่สำคัญลด ละ เลิกเหล้าก่อนนะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะเหลือแค่นี้ ถ้าศิษย์เลิกเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้เป็นยาได้นะ แต่ถ้าศิษย์เลิกเหล้าไม่ได้ก็จะทำให้ศิษย์ยิ่งตายไว คิดให้ดีๆ ก่อนกินนะศิษย์
มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญกลับมาหาอาจารย์อีกนะ มาร่วมสร้างบุญนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ แต่เอาธรรมะเป็นประทีปส่องทางให้ชีวิตพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์ได้ ขอเพียงไม่เอาใจไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่จงใช้จิตเดิมแท้นะศิษย์ มีโอกาสกลับมาอีกเด็กดื้อทั้งหลาย อย่าฆ่าตัวเองด้วยมอเตอร์ไซค์ อย่าฆ่าตัวเองด้วยผู้หญิง หรือโลภโกรธหลง อบายมุขนะศิษย์ ได้ไหม
อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อาจารย์อยากได้ศิษย์ไปด้วยนะ ตั้งใจทำอะไรขอให้มีสติ ชีวิตไม่เหลือมากแล้วนะ คิดให้ดีๆ รู้เรื่องไหม โดนลูกบังคับมาใช่หรือเปล่า ฟังรู้เรื่องไหม ทำอะไรขอให้มีสติอย่าเอาแต่อารมณ์ คิดให้ดีๆ มีโอกาสกลับมาอีกนะ ใช่ไหมเด็กดื้อ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุดนะ คิดอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ อย่าทุกข์เพราะความคิด อย่าทุกข์เพราะอารมณ์ ทำอะไรคิดให้ดีๆ มีสติรักษาจิตให้บริสุทธิ์นะ ศิษย์เอ๋ยชีวิตมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนะ คิดให้ดีๆ ถ้าประมาทชีวิตก็แขวนอยู่บนความตายได้ ใช่หรือไม่ ดูแลห้องพระดีหรือเปล่า ทอดทิ้งใช่ไหม (ทำทุกวัน)  แล้วแอบบ่นตัดพ้อได้หรือ
ตั้งใจนะศิษย์เอ๋ย จิตใจที่ดีงาม อาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาจิตที่ดี จิตที่บริสุทธิ์ ทำได้ดีแล้วพยายามต่อนะ เดินหน้าต่อไป อย่ายอมแพ้นะ อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ทุกข์มันจบแล้ว เรื่องบางเรื่องจบแล้ว เริ่มต้นใหม่กับชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ เข้าใจไหม เริ่มต้นใหม่ได้แล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญ นำพาผู้คนด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอแล้วนะ รักษาบุญ รักษาโอกาสด้วยหัวใจที่ระมัดระวัง อาจารย์ช่วยเต็มที่แล้วนะ ไม่ต้องคิดมาก
มีโอกาสกลับมาอีกนะ สัญญากับอาจารย์ได้ไหม บำเพ็ญเพื่อตัวเองนะศิษย์ ทำงานธรรมะอย่าเหนื่อยอย่าท้อ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ เป็นเด็กดี ไม่ใช่หลงแต่แสงสีอยากได้แอปเปิลต้องเลิกกินหมากก่อน
อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวความลำบาก อาจารย์อยากให้พร อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น กลัวอะไรหรือ ไปแล้วนะศิษย์เอย อาจารย์อยากจับมือทุกคน อาจารย์อยากให้พรศิษย์ทุกคน ให้ศิษย์เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ อย่าทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อย่าให้ความคิดทำร้ายชีวิตนะศิษย์เอย รู้จักนำพาชีวิตให้ถูกทาง เราเกิดมาบนโลกเพื่อพบความสุขที่แท้จริง แล้วสุขที่แท้จริงคืออะไร คือเข้าใจตัวเอง รู้ถึงตัวเองอันแท้จริง รู้เท่าทันตัวเองไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์อีกต่อไปนะ ดูแลตัวเองนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ธรรมรู้ทำ”
ฟังผู้คนอรรถามาก็มาก 
เหมือนรู้แต่กลับยากปฏิบัติได้
ถึงว่ารู้แต่ไม่มาจากใจ
ก็ยังไกลคำว่าปฏิบัติธรรม
อย่าได้เพียงแค่ดีก็ผ่านไป
ต้องหยั่งตรองให้ถึงใจตนย้ำ
คิดพูดทำมีไหมอยู่ในธรรม 
รักษาธรรมจักนำธรรมร่วมใจ



พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม ณ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ
จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗

กลอนพระโอวาทหน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๒ และพระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๕
เดิม ต่างมีความเป็นฉันครุกรุ่นคุกคาม แก้เป็น ต่างมีความเป็นฉันคุกรุ่นคุกคาม

กลอนพระโอวาทหน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๔ และพระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๑๐
เดิม บางคนเดินจนแค่ไม่รู้หน้าที่ แก้เป็น บางคนเดินจนแทบไม่รู้หน้าที่

กลอนพระโอวาทหน้า ๓๕ บรรทัดที่ ๑๓ และพระโอวาทครอบ วรรคที่ ๒
เดิม ก่อนครุเป็นอารมณ์ฉัน เป็น ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน

เพลงพระโอวาท หน้า ๑๕ บรรทัดที่ ๙
เดิม เพียงเด้วยความไม่ประมาท เป็น เพียรด้วยความไม่ประมาท

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา