แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จงหลีเฉวียน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จงหลีเฉวียน แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2547
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544
2544-11-10 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
PDF 2544-11-10-เหยรินเต๋อ #12.pdf
หมวด: เมตตาปัญญากล้าหาญ
วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
มวลมนุษย์ลุ่มหลงสุขสบาย และเหนื่อยหน่ายเห็นบำเพ็ญเป็นลำบาก
อันโลกนี้เรื่องยากคือทำใจยาก และลำบากหรือไม่ล้วนอยู่ที่ใจ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนบูรพา เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีทั้งหลาย เกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
จงฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้ปรากฏ มาละลดเหล่ากิเลสให้หมดสิ้น
อันเชื้อเพลิงอย่าเหลือในใจชาวดิน ยามได้ยินพิจารณาปัญญาคม
เกิดเป็นคนประเสริฐสุดกว่าสิ่งใด จงได้ใช้โอกาสตนอย่ามัวหลง
ทั้งลาภยศเงินทองใจไม่ปลง จะยิ่งหลงยิ่งลึกยากช่วยคืน
อันแท้จริงมีแต่ตนช่วยตนได้ อย่าเย็นใจอยู่ในวัฏสงสาร
อันเกิดแก่เจ็บตาบเรื่องทรมาน น้องรู้กาลอันคับขันเร่งบำเพ็ญ
อย่าปล่อยตนอยู่ในโลกแสงสี เป็นคนดียังต้องบำเพ็ญเพิ่ม
ชำระจิตให้สะอาดเป็นประเดิม ขอจงเริ่มแต่วันนี้ด้วยตั้งใจ
สามวันแห่งประชุมธรรมศึกษาธรรม การกระทำต้องสำรวจตนครั้งใหญ่
ในอดีตแม้เคยทำพลาดไป อนาคตจะไม่ให้ผิดซ้ำรอย
จงแสดงศรัทธาด้วยการปฏิบัติ เดินทางรัดชาตินี้อย่าให้เสียเปล่า
จงตื่นขึ้นจากความฝันไม่มัวเมา อย่าดูเบาจิตภายในล้วนพุทธา
อริยะสำเร็จไปจากมนุษย์ แดนวิมุตติทุกท่านล้วนมีส่วน
อย่าต้นดีปลายร้ายเฝ้าเรรวน ใดสมควรเร่งเท้าไปเผชิญ
น้องทุกท่านต่างมีบุญกับพุทธะ จงสละทั้งสามวันหมั่นศึกษา
อย่าได้ให้จิตเกิดอวิชชา ใช้ปัญญาที่มีอยู่ในตัวตน
หลังจากจบชั้นไปแล้วหมั่นกลับมา โลกมายามากปัญหาขบไม่แตก
การบำเพ็ญต้องมีใจมุ่งมั่นดุจแรก อย่าได้แทรกความหลงคอยบังตา
ในบัดนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนขอน้องข้าตั้งใจยิ่ง
จงเป็นคนที่มีศรัทธาจริง รักษายิ่งพุทธระเบียบในชั้นเรียน
จงอย่าได้มีจิตใจเคลือบแคลงหนัก จงโปรดรักตนเองเลิกอบายมุข
ขอให้คนที่ยังล้มได้เร่งลุก ขอให้ทุกข์ในจิตใจสลายลง
มีจิตใจเสมอต้นปลายให้จงดี ขอจงพลีเวลามาฝึกฝน
ขอจงเชื่อสามารถกลับเบื้องบน ขออดทนต่อสิ่งที่ไม่สมใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซีนน ท่านจงหลีเฉวียน
อย่าชื่นชนความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน
จงยอมรับคุณค่าแห่งกันและกัน สูงสุดคือสามัญธรรมดา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกา แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา
พลังชีวิตอุ่นอาบอยู่ในตัว ฤทัยทั่วยังอบอวลความกระตือรือร้น
ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต
ถึงปัญหาหลายครั้งปัญญามี มองคนที่ความดีงามชีวิต
เป็นกลางพลางใช้ปัญญาช้อนคิด ใช้อดีตความผิดช่วยส่องภัย
สู่ชีวิตมีไฟคนมีธรรม กระแสน้ำดุจจ่อจดเที่ยงจุดหมาย
ไม่มีจิตวอกแวกให้อันตราย หนึ่งจิตใจเพียงดิ่งไหลดำรง
หากใจมุ่งลึกเหวแห่งมายา คนเมินฟ้าแดนคับขันประชันหลง
สะดุ้งรู้ฝึกตนเป็นผู้มั่นคง ก้าวบรรจงกิเลสใหญ่ยิ่งพาเพลิน
อัตตาอย่าแฝงในคนปล่อยวาง เมตตากว้างใจช่วยคนน่าสรรเสริญ
เห็นแก่ตนใช้ไม่กลางเจริญ อัตตาเกินเราเป็นแกนตัดสิน
คนฉลาดอาจไม่ตรองสำรวมใจ ประมาทไปขาดการตริตรองสิ้น
น้ำตาเป็นเลือดไม่ย้อนเวลาผิน ฟ้าถวิลคือปรองดองการรวมตัว
งานสรรค์สร้างไม่อาจขาดความอุตส่าห์ พิจารณาถี่ถ้วนเห็นมองให้ทั่ว
ชีวิตดั่งความฝันกว่าฟื้นตัว ดั่งเหยี่ยวมองต้องทั่วใช้เวลา
ย่อมใจกว้างคนที่วางตระหนี่ จงไม่มีแง่เหลี่ยมแห่งอัตตา
บำเพ็ญธรรมเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า วิริยะใกล้มาเรื่อยบ้านของเรา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านจงหลีเฉวียน
ฟังธรรมะมาทั้งวันแล้ว มีความอดทนมากน้อยแค่ไหน (อดทนมาก) ต้องทนมากไหนในการฟังธรรม (มาก) มากเลยหรือ มีทั้งต้องใช้ความอดทนมากและอดทนน้อยใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเรามีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว ถ้าข่ออารมณ์ตนเองไม่ลงจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์) แล้วใครทุกข์ท่านทุกข์หรือคนที่พูดธรรมะ ตัวเราเองหรือใครทุกข์ (ตัวเราเอง) ถ้าให้เลือกระหว่างทุกข์และสุขจะเลือกอะไร (สุข) ถ้าข่มอารมณ์ไม่ได้ก็เกิดความทุกข์ แล้วใครทำให้ใครกันล่ะ (เราทำตัวเอง) จะโทษคนที่บังคับให้ท่านมาฟังได้หรือเปล่า (ไม่ได้) โทษได้เหมือนกันเพราะก้าวพลาดมาแล้วใช่หรือเปล่า โดนพามาแล้วก็ต้องนั่งใช่ไหม แต่จะสุขจะทุกข์นั้นอยู่ที่ตัวเองใช่หรือไม่ แม้ว่าต้นเหตุจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของเราทั้งหมดก็ตาม เราถูกเรียกให้มา ถูกพามาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แต่อย่างไรเราก็ต้องหาความสุขท่ามกลางที่ที่เราไม่สมหวังดั่งใจ
“อย่าชื่นชมความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน”
ในโลกปัจจุบันนี้มีทั้งคนที่เห็นแก่ตัวและคนที่กินแรงคนอื่นเป็นจำนวนมาก เราจะอยู่ร่วมกับเขาในสังคมได้อย่างไร ถ้าเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำเช่นนั้นด้วยคงไม่ดีแน่ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเราเผลอเป็นคนหนึ่งในนั้น จงพยายามให้กำลังใจคนขยัน แต่อย่าได้ต่อว่าหรือเดินออกห่าง เพราะหลายต่อหลายคนนั้นไม่รู้จักว่าอะไรคือการทำงาน อะไรคือความขยัน รู้แต่ว่าถ้าฉันไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ดี ถ้าตัวเรานั้นไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ถูกใจนัก หากเรายังเป็นคนอย่างนี้และรู้จักว่าตนเป็นคนอย่างนี้ ก็จงมองให้ออกว่าคนที่ขยันนั้นบางครั้งเขาก็ต้องการความช่วยเหลือไม่มากก็น้อย ต้องการคำพูดดีๆ ไม่มากก็น้อย แต่ไม่ใช่เราขี้เกียจแล้วกลับไปว่าคนขยันว่าขยันเกิน เช่นนี้หรือเรียกว่าการให้กำลังใจคนดี ย่อมไม่อาจเรียกว่าใช่ แล้วเราอยากเป็นผู้ทำลายความดีบนโลกนี้ด้วยน้ำมือเราเองหรือด้วยคำพูดของเราบ้างหรือไม่ (ไม่) แล้วเราจะทำอย่างไร นอกจากพูดส่งเสริมเขาสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือต้องเป็นให้ได้อย่างเขาไม่มากก็น้อย ไม่ใช่เห็นงามเห็นหน้าที่ เราเดินหนี เช่นนี้เราก็จะเป็นคนที่หนีงานไปตลอดชีวิต และไม่มีทางเป็นงานได้เลย ในปัจจุบันนี้สังคมทุกคนต้องมีหน้าที่ไม่มากก็น้อย แต่หน้าที่อย่างหนึ่งที่เราต้องพึงมีและรู้จักทำนั่นก็คือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เห็นใจซึ่งกันและกัน ใครตกทุกข์ได้ยากเราต้องรีบลงไปช่วยอย่าได้ช้า อย่าได้เกียจคร้าน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้ที่ทำลายความดีไปทีละเล็กทีละน้อย และถ้าโลกนี้ปราศจากความดีแล้วใครเล่าจะเป็นคนดี ฉะนั้นขอความดีจงเริ่มต้นจากใจของท่านและ
ลงแรงด้วยน้ำมือของท่านเอง เห็นอะไรที่เป็นงานเป็นการหรือมองอะไรไม่ออก ก็ลองดูคนที่เขาทำอย่างไม่หยุดนั่นแหละ แล้วค่อยๆ ศึกษาจากเขาแล้วเราจะรู้ว่าความขยันคืออะไร เราเห็นบ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะชมคนที่ฉลาดมากกว่าชมคนที่ความดี โดยเฉพาะลูกหลานเรา เมื่อให้ไปสิบบาทแต่จ่ายไปห้าบาท เก็บอีกห้าบาท แล้วก็บอกว่าจ่ายหมดแล้ว ถ้าจับได้เรากลับชมลูกว่าฉลาดเราชมถูกหรือเปล่า ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกว่าให้ลูกไปหยิบไม้เรียวมาเพราะเป็นความผิด ลูกดันไปหยิบไม่เรียวอันเล็กๆ มา แทนที่จะหยิบอันใหญ่ๆ เราชมลูกว่าฉลาด เวลาใครโกง โกงได้ร้อยบาทสิบบาท กลับเอาคำพูดนี้ไปบอกต่อคนอื่นแล้วชมเพื่อนว่าฉลาด เราภูมิใจแทนและอยากเลียนตามใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) เลยทำให้สังคมปัจจุบันนั้น เด็กเข้าใจสิ่งที่ผิด เพราะว่าตัวท่านเองบอกว่าฉลาดจังลูก แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วอย่างนี้เขาจะแก้ไขไหม (ไม่) จากหนึ่งทำได้ก็จะต้องเป็นสองและจะต้องมากกว่านั้น ฉะนั้นเราต้องชี้ให้เขาเห็นก่อนว่าอะไรผิดอะไรถูก แล้วก็ต้องลงโทษในความฉลาดของเขา แล้วเขาจะไม่ฉลาดใจทางนี้อีก อยากให้ลูกฉลาดหรืออยากให้ลูกดี (ดี) แต่ทำไมชมฉลาดมากกว่าชมดี อยากให้หลานหรือเป็นคนดี (คนดี) แต่ขยันชมจังเลยเวลาเขาฉลาดเราไม่ขอเรียกว่าฉลาดได้ไหม เรียกว่าเจ้าเล่ห์ ตัวเล็กแค่นี้ยังบ่มเพาะความเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้ ถ้าโตไปล่ะ แต่ก่อนที่จะถามว่าถ้าโตไปนั้น เขาเอาความเจ้าเล่ห์มาจากไหน ถ้าไม่ใช่คนรอบข้าง เหมือนที่เรารู้จักกันว่าความรู้ได้มาจากการศึกษา พฤติกรรมได้มาจากใหน แล้วความคิดควรได้มาจากสิ่งใด ให้ท่านคิดก่อน
หากท่านคิดว่าเด็กคนนี้กล้าแสดงตัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาคงกล้ามาก จริงหรือไม่ เป็นองค์ไหนไม่เป็น เป็นจงหลีเฉวียนด้วย ลองคิดให้ดีๆ ว่าการที่เขากล้าแบบนี้ บาปมหันต์หรือเปล่า หรือว่าเขามาจริงๆ
ฟังธรรมะแล้วต้องมีแต่ความกระชุ่มกระชวย และขอให้มีอย่างนั้นไปตลอดทั้งสาม ชุ่มชื่น กระชุ่มชวยเพียงวันนี้ แล้วอีกสองวันก็หายไป ช่างน่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะคืออะไร ธรรมก็คือหลักแห่งการประพฤติปฏิบัติของความเป็นคน จะเป็นคนธรรมดาที่สมบูรณ์แบบหรือคนเหนือคนขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกหลักธรรมะใดมาปฏิบัติ
เมื่อตอนเริ่มต้นเราทิ้งคำถามไว้สองคำถาม ความรู้ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้จึงทำให้เรารู้ แล้วความประพฤติเกิดจากอะไร ทำไมเราจึงมีความประพฤติเช่นนี้ (สิ่งแวดล้อม) สิ่งแวดล้อมใกล้หรือไกล (ใกล้) เกิดจากสิ่งแวดล้อมใกล้ๆใช่หรือไม่ ลูกเราเดินเหมือนเราไหม ไม่เหมือนพ่อก็เหมือนแม่ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าความประพฤติเกิดจากครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง เราต้องมีความประพฤติส่วนใดส่วนหนึ่งที่คล้ายกับครอบรัวในบ้านเรา ไม่มากก็น้อย แล้วความคิดได้มาจากสิ่งใด ความคิดเกิดจากการอบรมสั่งสอน และการสั่งสอนของพ่อแม่แต่ละคนมีบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกันไหม (ไม่เท่า) แล้วมีเหตุผลที่สมบูรณ์แบบไหม (ไม่สมบูรณ์) ดังนั้น ถ้าเราให้ความคิดของลูกหลามาจากความประพฤติและการสั่งสอนของเรา ความคิดของลูกหลานจะเที่ยงธรรมไหม (ไม่เที่ยง) เพราะแต่ละบ้านย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป แปลว่าเขาย่อมผิดพลาดได้ ถ้าเกิดเขาไปอยู่ในสังคมแล้ว เขาจะเอาสิ่งใดซึ่งสามารถมีความคิดที่ถูกต้องแม่นยำและเที่ยงตรง ไม่ใช่เหตุผลที่เข้าข้างหรือเอนเอียง หรือยึดติดในความชิน เราเคยคิดกันบ้างไหม โดยส่วนใหญ่เกิดมาก็ไม่รู้ มีชีวิตอยู่ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเอาความคิดของเรามาจากไหนกันที่ทำให้เราสามารถเป็นคนดีที่เที่ยงตรง ที่สั่งให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ผิดพลาดบ่อยๆ เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครรังเกียจ แปลว่าความคิดเราไม่มีใครรังเกียจ แต่ความคิดเราต้องเที่ยงตรงใช่หรือไม่ และได้จากอะไร คิดออกไหม ใจของท่านลำเอียงไหม (ลำเอียง) บางครั้งลำเอียง เวลามีของสิบส่วน ถ้าหนึ่งในการแจกนั้นมีลูกหลานเราด้วย เราให้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) การตัดสินใจใครผิดใครถูก ถ้าหนึ่งในนั้นมีลูกของเราอยู่ในจำนวนนี้ด้วย เราจะลำเอียงไหม (ลำเอียง) แล้วทำอย่างไร ถึงจะทำให้เราเที่ยงได้ (ธรรมะ) จากธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราจึงลืมธรรมะกันล่ะ เพราะไม่ค่อยได้คิด ไม่ค่อยได้เอามาใช้ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่เราใช้โลกนี้คืออะไร เงิน ทอง และความสามารถ และความเจ้าเล่ห์ฉลาด เราได้ใช้ธรรมหรือเปล่า ใครไม่เคยใช้เลยยกมือขึ้น ตั้งแต่เราเด็กจนถึงโต จนป่านนี้ไม่เคยใช้ธรรมะสักข้อเดียว ยกมือขึ้น เพราะเราเห็นเป็นสิ่งไกลตัว เป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ค่อยได้ผลใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นสิ่งที่ทำแล้วเหมือนคนปิดทองหลังพระ ไม่มีใครชื่นชมเราก็เลยค่อยๆ หนี ค่อยๆ ทิ้ง แล้วก็ค่อยๆ วางลงไป โดยไม่รู้ตัวหรือโดยตั้งใจ จริงหรือไม่ (ใช่) อย่างเช่น ทำดีแล้วไม่ได้ดีก็เลยเลิกทำ ทำงานขยันกว่าคนอื่นแต่เจ้านายดันให้คนที่เอาหน้ามากกว่า เลยเลิกขยันใช่ไหม (ใช่) เป็นคนที่แต่ก่อนพูดน้อย แต่พอพูดน้อยแล้วอย่างไร ไม่ได้ดี ก็เลยพูดมากๆใช่หรือไม่ เป็นคนที่แต่ก่อนไม่เคยว่าใครเลยแต่ทำไมคนช่างว่าเรา ก็เลยว่าคนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าเราพ่ายแพ้คุณธรรมในตัวตนเอง แต่เพราะเราเข้าใจหลักธรรมไม่ถ่องแท้ เราจึงทิ้งธรรมกันเป็นทิวเป็นแถว จริงหรือไม่ (จริง) แล้วต่อไปนี้จะทิ้งอีกไหม (ไม่ทิ้ง)
ถ้าให้เราแสดงอภินิหารก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเดี๋ยวนี้ อภินิหารกับมายากลไม่แตกต่างกันเลย จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราจะมองสิ่งที่ลวงหลอกหรือมองสิ่งที่เป็นจริงดีกว่ากัน สู้มองสิ่งที่เป็นจริง แล้วใช้ได้ตลอด ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่
เมื่อครู่เราพูดว่าความคิดต้องได้จากหลักธรรม หลักธรรมคอยชี้นำความคิด คอบควบคุมความคิด และคอยตักเตือนความคิดของเรา ไม่ให้ก้าวผิด ไม่ให้ก้าวพลาด
มนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดย่อมมีพลังใช่หรือไม่ (ใช่) พลังที่ออกจากมนุษย์ มีอยู่สองทางคือ พลังกายและพลังใจ พลังกายเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพลังใจนั้นขับเคลื่อนตามขึ้นด้วย กายกับใจถ้าเกิดขับเคลื่อนพลังพร้อมกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน งานที่ทำย่อมสำเร็จ แต่ถ้าเกิดว่ากายอยากทำอย่างหนึ่ง ใจคิดอย่างหนึ่ง เวลาทำย่อมผิดพลาดและอาจจะล้มเหลวได้ใช่หรือไม่ แล้วในพลังใจนั้นยังประกอบไปด้วยสองอย่างคือ พลังใจฝ่ายดีกับพลังใจฝ่ายร้ายใช่หรือไม่ พลังใจฝ่ายดีนั้น ย่อมสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นและสำเร็จด้วยดีได้ แต่พลังฝ่ายร้ายแม้จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ แต่ว่าทำให้คนเป็นอย่างไร ทั้งทุกข์และเจ็บช้ำและเบียดเบียนทำร้ายได้ ฉะนั้นเมื่อเวลาเราจะผลักร่างกายนี้ขับเคลื่อนร่งกายนี้ให้ทำสิ่งใดก็ตาม เราอย่าลืมมองที่พลังใจของเราด้วยความคิดที่มีธรรมะว่าใจเรานั้นฝักใฝ่ฝ่ายดีไหม ในเรานั้นคิดดีเป็นพื้นฐานหรือไม่ หากไม่มีความดีหากไม่ฝักใฝ่ดี อย่าออกมาซึ่งการกระทำ ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนเจ็บช้ำมากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ดั่งคำที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “โจรถ้าอยู่กับโจรย่อมทำร้ายซึ่งกันและกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ถ้าเกิดจิตใจของมนุษย์ ตั้งอยู่ในที่ผิดแล้ว ทำร้ายตัวตนเองมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก” ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวเช่นนี้ คำว่าตั้งที่ผิดหมายความว่าอย่างไร นั่นก็คือ ถ้าใจยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เข้าใจหรือเรียนรู้อย่างไม่เที่ยงตรง เวลาทำสิ่งใดย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมผิดพลาด) ย่อมผิดพลาด ย่อมเกิดผลร้ายภายหลังใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่าจะทำสิ่งใดขอให้ตรวจสอบใจและลองมองย้อนที่ใจตัวเราเองว่าตั้งอยู่บนคุณธรรมความดีไหม ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรมหรือเปล่า ถ้าทุกขณะที่คิดเช่นนี้ ไม่ว่ากายหรือใจจะทำสิ่งใดย่อมยากที่จะก่อผลร้าย
“ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต”
ถ้าเกิดว่าพลังใจนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องแล้ว ใจนี้จึงเปรียบได้ดั่งน้ำอมฤตที่ต่อเติมลงไปในร่างกายใครก็จะเกิดแต่สิ่งที่สัมฤทธิ์ผล และเป็นมงคลจริงไหม (จริง) เอาง่ายๆ วันนี้ถ้าใจท่านคิดร้าย อย่างเช่นเด็กคนนี้หลิกลวง เด็กคนนี้แสดงละคร วันนี้ท่านจะไม่ได้อะไรจากเสือตัวนี้เลย จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเกิดว่าท่านคิดดีจริง ไม่จริงไม่เป็นไร ลองฟังดูว่าน่าสนใจไหม ถูกต้องไหม จริงเท็จไหม บางทีท่านอาจจะได้ โดยที่จับเสือมือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สำคัญอย่างหนึ่งต้องมีความกล้า เมื่อจะเข้าถ้ำเสือแล้วต้องกล้าที่จะจับเสือ หรือไม่ก็ต้องกล้าอย่างน้อยไม่ได้แม่เสือก็ต้องได้ลูกเสือใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพร้อมจะจับไหม จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ได้) อย่าไปพึ่งพิงอาวุธใดเลย เหมือนกับท่านอยู่ในโลกนี้ ท่านก็เหมือนต้องออกไปจับเสือใช่หรือไม่ เงินทองเหมือนเสือไหม (เหมือน) ท่านว่าเหมือนไหม ไม่มีปากแต่ทำเราเจ็บไหม ไม่มีปาก ไม่มีร่างกายทุบตีเรา แต่ทำเราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราก็ชอบ ชอบจับเหลือเกินใช่ไหม วันไหมไม่ได้จับวันนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าจับแล้วก็ต้องอาจเจ็บบ้าง ต้องอาจทุกข์มาก อาจทุกข์บ้าง แต่ก็ขอจับก็ยังดีใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เหมือนธรรมหรอกนะท่าน ท่านมามือเปล่าหรือมีอาวุธ จับอย่างไรก็ไม่เจ็บ จะเจ็บก็ตรงที่ว่า ท่านมีกิเลสจับแล้วถึงเจ็บ ท่านมีอัตตาตัวตนจับแล้วจึงทุกข์ใช่หรือไม่ แต่ถ้าท่านมาด้วยความว่างเปล่า จับธรรมไปเจ็บไหม (ไม่เจ็บ) รัยธรรมะไปทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ไม่ทุกข์แถมธรรมะยังทำให้ท่านเป็นคนเหนือคนหรือว่าเป็นคนยิ่งกว่าคนด้วย เอาไหม (เอา) วันนี้เอา สิบวันจะเอาหรือเปล่า มนุษย์เรานี้แปลก ถ้าให้เห็นประโยชน์อยู่ตรงหน้าใครบ้างไม่เอาใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราบอกว่า ธรรมะคือกระดาษเพียงเล็กๆ แค่นี้ เอาไม่เอา (เอา) เพราะเราให้ท่านถึงเอานะ
สิ่งใดในโลกนี้ทีไม่มีประโยชน์เลยให้หามาหนึ่งอย่าง และสิ่งใดในโลกนี้ที่เรียกว่าว่างเปล่าให้หามาอีกหนึ่งอย่าง (กิเลส,วัตถุ, คิดว่าไม่ต้องหาที่ไหนอยู่ที่ตัวเราเอง อยู่ที่ใจเราเองถ้าใจเรามีทุกข์สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์, ความหลงผิด, ความว่างเปล่า) กิเลสนั้นหากท่านรู้จักใช้อย่างพระพุทธองค์ ความทุกข์ โลภ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเหมือนหนึ่งในกิเลสทั้งมวล ท่านสามารถเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้ท่านตรัสรู้ อย่างนี้เรียกว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (มี) พระพุทธองค์สอนว่า อริยสัจสี่ เราต้องเข้าใจและรู้ให้แจ่มชัด ถ้าเราเข้าใจอริยสัจสี่ที่เรียกว่าทุกข์ เราจะรู้แจ้ง สิ่งใดในโลกที่ไม่มีประโยชน์เลย (ความหลงผิด) ความหลงก็ไม่ถูก ดูง่ายๆ พระพุทธะอย่างองคุลีมาลย์เคยหลงผิด แล้วท่านตื่นจากความหลงผิดที่ยิ่งใหญ่ จึงทำให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธในปัจจุบัน ดังนั้นความหลงผิดก็มีประโยชน์ ความว่างเปล่ามีประโยชน์ไหม อย่างเช่นห้องมีตันหรือกลวง ห้องมีเต็มหรือว่าง ในความว่างจึงมีความเต็ม แล้วในความเต็มเช่นเต็มกำแพงแต่กลวงตรงกลางจึงทำให้เกิดประโยชน์ เหมือนแก้วน้ำ ถ้าแก้วน้ำเต็มมีประโยชน์ไหม (มี) อาจจะเอาไปวางเป็นที่ทับของได้ แต้ถ้าแก้วน้ำว่างมีประโยชน์หรือไม่มี (มี)
เราเฉลยว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ไม่มีประโยชน์ หญ้าหนึ่งใบมีประโยชน์ไหม (มี) บางคนเอามาแคะหู เอาไปแหย่เพื่อน กระดาษแม้เพียงเล็กนิดเดียว แต่ถ้าเขียนอะไรสักหนึ่งข้อความ ไปฝากคนที่อยากรู้ มีประโยชน์ไหม (มี) แปลว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์ และในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นยารักษาโรคทุกอย่างล้วนรักษาโรคได้ วันนี้ท่านเสียใจแต่ถ้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งส่งมาหาท่าน ท่านกลับยิ้มได้ กระดาษก็รักษาท่านได้ เสื้อผ้าหนึ่งตัวที่ท่านว่าไม่มีประโยชน์ ลองเอาไปให้คนที่ไม่มีแม้สักหนึ่งชิ้น มีประโยชน์ไหม (มี) อะไรคือความว่าง (ความนึกคิด) เพราะว่างจึงได้นึกคิด ความนึกคิดไม่ใช่ความว่างทำไมเราจึงบอกว่าให้ท่านไปหารู้ไหม เพราะว่าความว่างต้องใช้รูปลักษณ์หรือเปล่า (จริง) ท่านอื่นตอบได้ไหม ตบมือให้สามท่านผู้กล้าที่มาจับเสือ มีคำกล่าวว่า “หากจะจับเสือต้องใช้ความกล้า แต่หากจะจับลิงในใจต้องใช้ปัญญา” วันนี้ท่านก็เหมือนตัวแทนสองคนที่จะต้องจับลิง ก็คือใจของเราที่เหมือนลิงวิ่งไปวิ่งมา จังให้มั่นแล้วใช้ปัญญาคิดให้ออก จับลิงได้มั่นแล้ว ลิงตัวนี้จะเดินไปจับเสือด้วยความกล้าถูกไหม (ถูก)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีใจที่ชอบขบคิดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าใจนี้สั่งสมความรู้และคุณธรรมเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ใจนี้จะบังเกิดปัญญาซึ่งเป็นความรอบรู้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ใจของมนุษย์วอกแวกไม่อยู่นิ่ง แม้ยืนฟังตรงๆ นิ่งๆ แต่ใจวอกแวกใช่หรือไม่ (ใช่) แม้นั่งอยู่กับเก้าอี้ตัวนี้ แต่ใจฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยใช่หรือเปล่า จึงทำให้เรายังจับลิงไม่ได้ แล้วจะมาจับอะไรกับเสือตัวนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นท่านจงเอาปัญญานี้จับให้อยู่ เมื่อปัญญาคุมตัวเองได้ เมื่อนั้นปัญญาจะสามารถจับทุกสิ่งในโลกนี้ได้อย่างถูกต้องและไม่ทำร้ายใคร และไม่เกิดผลพวงที่เรียกว่าความทุกข์ มีคำกล่าวว่า “ใจนั้นถ้าข่มได้จะสำเร็จและบังเกิดประโยชน์ และถ้าใจนั้นควบคุมบังคับได้ จะบังเกิดความสุขที่แท้จริง”ใช่หรือไม่ แต่คนเราหรือตัวท่านหรือเมธีในห้องนี้เกือบหมด จับใจไม่ค่อยได้ ข่มใจได้บ้างไม่ได้บ้าง บังคับใจยิ่งเหลวใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องมองซ้ายมองขวามองที่เรานั่นแหละใช่หรือหรือ (จริง) เวลาไปจับเสือข้างนอก ในโลกที่เรียกว่าเงินทองจึงโดนเสือกัดเสียเจ็บไปหมด เวลาไปจับคนที่อยู่ในโลกเพื่อจะหาความรัก เพื่อจะหาความสมหวังจึงต้องทุกข์บ้าง ผิดหวังบ้าง เพราะไม่รู้จักจับใจตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) ได้อะไรไปบ้างหรือยัง ได้ลูกเสือไปบ้างหรือยัง ได้ไปหรือยัง (ได้) เสียอยู่อย่างหนึ่งอะไรรู้ไหมที่ทำให้จับไม่ได้เลย นั่นก็คือความกล้าๆ กลัวๆ เราก็เป็นคนเหมือนท่านมาก่อน แต่ก่อนก็เป็นคนที่หวาดกลัว แต่พุทธะสอนไว้ว่ากลัวอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับกลัวใจตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่กลัวตัวเอง กลัวคนอื่นมากกว่า กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้ เวลาทำผิดใช่ไหม (ใช่) คำสอนคำหนึ่งที่พระพุทธองค์สอนไว้ก็คือ จงมีความละอาย ความละลายเกรงกลัวต่อบาป แต่จริงๆ แล้ว ความหมายโดยนัยท่านต้องการสอนว่า “จงมีความละอายเกรงกลัวต่อบาปของตนเอง” หรือเกรงกลัวตนเองนั่นเอง เพราะถ้าเกรงกลัวคนอื่น วันนี้เขาไม่เห็น ท่านก็กล้าที่จะทำใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรกลัวตัวเองจะเห็น ละอายตัวเองที่จะรู้ ทำไหมความผิด (ไม่ทำ) ไม่ทำไม่ว่าที่ลับที่แจ้งเพราะว่าละอายใจตัวเอง กลัวตัวเองเหมือนที่ปราชญ์โบราณสอนไว้ว่า “อยากให้คนอื่นเคารพท่าน ตัวท่านนั้นต้องเคารพตัวเอง” คือไหว้ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาไหว้เรา แต่คือการปฏิบัติกระทำแต่สิ่งที่ดีให้คนเคารพใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันเราอยากจะเป็นคนดีได้ สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกคือ ความผิดต้องไม่กล้ำกราย แต่ก่อนนั้นอาวุธเราฝึกมานักต่อนักแล้ว เราไม่หวาดกลัวที่จะเข้าไปเผชิญภัย เราไม่หวาดกลัวที่จะเผชิญอันตราย แต่คนที่จะหวาดหวั่นได้คนที่จะไม่หวาดกลัวใจต้องกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว จึงพร้อมที่จะเผชิญความยากลำยาก ไปเผชิญเภทภัย แต่ถ้าท่านขาดซึ่งความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวแถมพ่วงท้ายไปด้วยความมั่นคง หากขาดซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายท่านก็ต้องพ่ายแพ้จริงหรือไม่ ความกล้าหาญต้องมี ความดีต้องปฏิบัติ ความร้ายเราต้องหลีกหนี แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญกาลยุคขาว ความร้ายห้ามหนี เมื่อร้ายยิ่งต้องเดินเข้าไปช่วย ยิ่งดีต้องรักษาให้คงมั่น แต่สำคัญคือต้องกล้าหาญและมั่นคงเด็ดเดี่ยว ท่านถึงจะไปช่วยคนที่เลวร้ายและฉุดเขาขึ้นมาจากนรกหรือทะเลอันว่ายวนนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนหลายคนในโลกนี้มักจะหลีกหนีคนไม่ดีเข้าใกล้คนดี แล้วอย่างนี้ความดีจะเติบโตได้ไหมในสังคม (ไม่ได้) แล้วท่านมีความดีกับความไม่ดีอยู่ในใจไหม (มี) ถ้ามัวแต่คิดถึงแต่สิ่งที่ดี แต่ท่านไม่เคยล้วงเอาความไม่ดีของตนเองออกมาชำระล้าง ออกมาแก้ไข แล้วความไม่ดีนี้จะหมดไปจากใจไหม ไม่หมด ตราบใดที่มนุษย์ยอมรับว่าตนเองมีแต่ความดี เมื่อนั้นความไม่ดีในตัวจะไม่มีวันล้างหมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งน่ากลัวของมนุษย์อีกอยางหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่าย วนไปแล้วก็ต้องวนกลับมาอีก นั่นก็คือ ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะแก่หรือผู้เฒ่า ย่อมมีทุกข์เหมือนกันหมดนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกข์อย่างหนึ่งที่อยากให้ท่านได้เรียนรู้วันนี้ก็เป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวล นั่นคืออะไรรู้ไหม (กิเลส, ทุกข์, ความโลภ, ใจ) อย่ากลัวที่จะกล้า
มีใครตอบได้อีก ฟังหัวข้อสัจธรรมไปแล้วมิใช่หรือ เราเลือกคำถามที่ง่ายและคนตอบได้ง่าย (พลัดพรากจากที่สิ่งที่รัก) พลัดพรากจากสิ่งที่รักทำให้เราทุกข์ แล้วทุกข์ครั้งหนึ่งจะทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก) อย่างนั้นไม่รักใครอีกเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องกลัวการพลัดพราก (ไม่ดี) ไม่ต้องพบใครเลยได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นเราจะต้องพยายามทำใจ และนี้เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่ เหมือนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโลกนี้เราหนีไม่พ้น ถ้าเกิดท่านทำใจได้เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านก็จะทำใจได้ และถ้าหนึ่งทำได้อีกสิงต้องทำได้ เราขออวยพรนะ
ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย) ยืนเป็นกำลังใจให้นักเรียน และยืนเป็นกำลังใจให้เราได้ไหม (ได้) ฉะนั้นต้องยืนให้สง่างาม
ถ้าให้ท่านตอบคำถามโดยไม่ให้อะไรก็จะไม่มีกำลังใจในการทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าท่านทำแล้วหวังผลกำลังใจอย่างนี้ไม่เรียกว่าดี มีใครท่านใดตอบอีกไหม ก่อนที่เราจะเฉลย (ไม่สมหวังดั่งใจ,รัก โลภ โกรธ หลง)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีเหตุผล รู้ว่าทำผิดก็ยังมีเหตุผล ขนาดรู้ว่าตัวเองผิดคุกเข่าไปร้องไห้ไป ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ศิษย์ผิดไปแล้วแต่เพราะมีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ารู้ว่าผิดไม่จำเป็นต้องพูดเหตุผล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดูออก แต่บางครั้งความทุกข์ ความผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ มนุษย์ละอายเกินกว่าที่จะหันกลับไปเห็นธรรมใช่ไม่ (ใช่) เหตุหนึ่งที่พลัดพรากจากธรรมก็คือละอายใจ ไม่มีหน้าไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน้ากลับไปเป็นคนดี เพราะว่าเคยทำผิดมา แต่เราอยากย้ำเตือนให้ท่านรู้ไว้ว่า พุทธะทุกพระองค์เห็นความทุกข์เห็นปัญหา และเอาความทุกข์มาทำให้ท่านตื่นหรือตรัสรู้เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในอริยสัจสี่ หรือตรัสรู้ในสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ เหตุแห่งการดับทุกข์คืออะไร แล้วทุกข์มาจากไหนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคามผิดพลาดและความบาปสามารถทำให้มนุษย์ตื่นได้ไหม (ได้) อย่างเช่นองคุลีมาลย์ ฆ่าคนมากี่คน ทำร้ายคนมามากเท่าไหร่ ทำไมท่านยังกลับตัวกลับใจได้ แล้วนับอะไรกับความผิดของตัวท่าน ถ้าเทียบกับองคุลีมาลย์ท่านยังผิดน้อยกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราจะตื่นรู้หรือไม่ จงตื่นรู้จากความทุกข์ทุกข์ความผิดพลาดนั่นแหละ รู้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจจะ เป็นความจริงแท้ ที่ธรรมดาทุกคนต้องมี ไม่มีใครพ้นแต่เราจะยิ้มสู้หรือเราจะทุกข์ทนสู้เราต้องยิ้มสู้และใช้สติยั้งคิดใช่หรือไม่ ใช้ปัญญาเป็นตัวฟันฝ่าออกไป จึงจะเรียกว่ายิ่งทุกข์เท่าไรยิ่งตื่นเท่านั้น ใช่ไม่ (ใช่) ตื่นในความไม่รู้ มนุษย์เราทุกข์เพราะไม่รู้ทางออก ไม่รู้ว่าในทุกข์นั้นมีความสุขอยู่ ไม่รู้ว่าในสุขมีทุกข์อิงแอบจริงหรือไม่ (จริง) ถ้าเราลุ่มหลงยึดติด
ฉะนั้น เราจงตื่น ยิ่งทุกข์ต้องดีใจว่าชีวิตนี้ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสียแล้ว ความสวยงามแฝงไปด้วยพิษภัย ความสะดวกสบายแฝงไปด้วยความทุกข์ทนและเจ็บปวด เมื่อไรที่เราติดในความสุขมาก เมื่อสุขหายไปเราจะทุกข์มาก เมื่อเราติดในรักมาก เราพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เมื่อนั้นเราจึงมีทุกข์ ฉะนั้นอย่าได้ติดสิ่งใด จงมองสิ่งเป็นความว่าง แม้จะเห็นว่ามี แต่จงมองสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ให้มองเห็นและรับรู้ว่าทุกสิ่งล้วนชั่วคราว แม้กายตัวนี้ แม้ผลไม้ลูกนี้ หากถูกกินหมดแล้ว ชั่วคราวไหม ถูกคนลักไปชั่วคราวไหม (ชั่วคราว) แต่ทำใจไม่ได้ เพราะอะไร (เพราะยึดมั่นถือมั่น) ถูกต้องแต่เพราะไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้เผื่อใจ ไม่ได้เก็บใจ ไม่ได้เก็บใจไว้เผื่อทุกข์จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นจงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้ผิดหวัง จงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้รับความว่าง ทำได้ไหม (ได้) เหมือนกระเป๋า ร่างกาย เส้นผม ชุดของเรา จงเผื่อใจไว้ว่าสักวันจะกลายเป็นความว่าง ถ้าเราเผื่อใจไว้ทุกขณะจิต ทุกขณะจิตยั้งคิดว่าเผื่อใจเราจะไม่ทุกข์ เหมือนตัวเพื่อนเรา เหมือนตัวคนสนิทญาติมิตรเรา เหมือนแม้กระทั่งคำพูดของคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา เผื่อไว้ว่าพูดวันนี้ก็คือความว่างในวันรุ่งขึ้น ทำไมเราเก็บเอาคำพูดไปเป็นความมีหรืออารมณ์ มนุษย์เราเสียแล้วพลาดแล้ว ทำไมจึงต้องเอาอารมณ์ของเราเสียเข้าไปอีก ตัวตนเสียยิ่งขึ้นไปอีก แม้เขาจะพูดผิดไปแล้วพลาดไปแล้ว เราจะเอาอารมณ์ของเรา ไปเกี่ยวผิดด้วยหรือ ไม่อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องดึงกลับมา แล้วยั้งคิดว่าพรุ่งนี้ก็คือความว่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ อีกสิบนาทีเสียงนี้ก็หายแล้ว ฉะนั้นอย่าได้กลัว ทุกคนต่างมีชะตา ชะตากำหนดไว้แล้ว แม้คนร้อยคนจะแช่งให้ท่านตกนรก แต่ถ้าท่านเป็นคนที่ทำดี มีความดี คำพูดนั้นก็ไม่สาปส่งให้คนนั้นตกนรกจริงๆ อย่ากลัวคำพูดคน อย่ายอมแพ้การตั้งใจกระทำความดี เอาชนะอารมณ์ของตัวเองให้ได้
เราเป็นคนปกติอย่างไร มีอารมณ์โกรธไหม (มี) นั่งอย่างนี้เคยโกรธไหม รักไหม มนุษย์มีความปกติใช่หรือไม่ (ใช่) ความปกติก็คือไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เห็นสิ่งถูกใจจึงเกิดรัก แต่ก่อนปกติเรามีรักไหม (ไม่มี) พอเห็นคนโอบอุ้มประคับประคองเราก็ไม่รู้หรอกว่า นี่เรียกว่ารัก จนกระทั่งได้เรียนรู้สัญลักษณ์ เรียนรู้ถ่อยคำ การแสดงออก จึงเรียกว่ารัก เราผิดปกติหรือปกติ (ผิดปกติ) พอมีคนมาพูดกระทบใจให้ไม่ถูกหู โกรธหรือไม่ (โกรธ) ปกติหรือไม่ (ไม่) พอโกรธเรายอมรับเลยว่าไม่ปกติ แต่พอรักก็บอกว่าปกตินะ แต่จริงๆ แล้วชีวิตของเราโดยปกติมี รัก โลภ โกรธ หลงไหม (ไม่มี) โดยปกติของมนุษย์แล้วไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง แต่พอมีเสียงมาให้ได้ยิน มีสิ่งของมาให้มองเห็น รัก โลภ โกรธ หลง วิ่งเข้ามาสู่ใจ ถ้าในใจเรามีหลายห้อง ห้องใดเรียกว่ารัก เมื่อมองเห็นสิ่งใดที่พ้องเข้ากับห้องของความรัก อารมณ์รักก็เกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ ก้องใดที่พ้องกับความไม่ถูกโฉลก น่าเกลียด รังเกียจ อารมณ์โกรธไม่ชอบก็บังเกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ หรือที่เรียกว่าสัญญาใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้จงหมั่นล้างใจให้สะอาดวางใจให้บริสุทธิ์ พอมีสิ่งของมากระทบตา มือไปกระทบสิ่งใด หูสัมผัสสิ่งใด เมื่อใจว่างเปล่าอารมณ์จะบังเกิดไหม (ไม่บังเกิด) แต่ใจมนุษย์ปัจจุบันนี้สกปรกยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่) เด็กต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็ว่าแก่แดดใช่หรือเปล่า (ใช่) เพื่อนเราต้องให้ความหวัง ต้องเป็นมิตร ต้องจริงใจ ต้องเสียสละ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็บอกว่าไม่ใช่มิตรใช่ไหม แต่ถ้าท่านล้างใจให้บริสุทธิ์ทุกขณะจิต สิ่งไม่ดีในใจล้างออกให้หมด ให้ใจเราสะอาด ให้ใจเราว่างไม่มีสิ่งใด เมื่ออะไรมากระทบอะไรมาสัมผัสก็จะเกิดความว่างสะท้อนกลับไป อารมณ์ก็จะไม่มี ถูกไหม แล้วตอนนี้ปกติหรือยัง (ไม่ปกติ)
มนุษย์เราในโลกนี้มีทั้งคนดี คนร้าย คนเข้มเข็งและคนอ่อนแอ ฟ้าปรารถนามากที่สุดก็คือความปรองดองในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่มนุษย์เราเมื่อเห็นความแตกต่างก็เกิดจิตแบ่งแบก เมื่อเกิดจิตแบ่งแยกก็เกิดการยึดมั่นถือมั่น ดี ชอบ ร้าย เสีย และกำหนดตาบตัวในจิตใจ ความทุกข์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมจึงบังเกิดความแตกแยกจึงมีให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ฟ้าปรารถนามากที่สุดคือ คนเราอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองแม้นไม่ใช่เกิดมาจากสายเลือกเดียวกันแต่เป็นคนที่เกิดอยู่บนโลกเดียวกันก็เป็นพี่น้องกันได้ก็รักกันได้ เหมือนตัวท่านกับตัวเราแม้นเราจะเกิดคนละยุคคนละสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผูกใจไว้นั่นก็คือจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งความดีที่ยังคงสานเชื่อมต่อกันอยู่ ที่ยังคงสานทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้มนุษย์เป็นคนที่ดีอยู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากลงมาโปรดมนุษย์บนโลกนี้ให้กลับคืนขึ้นไปให้จงได้ เพราะว่าท่านยังมีจิตที่เรียกว่าฝ่ายดีอยู่ เมื่อไรที่มนุษย์สามารถขยายจิตฝ่ายดีให้เต็มใจจนไม่เหลือฝ่ายร้าย และเอาฝ่ายดีไปฉุดช่วยคน เขาก็คือคนๆ หนึ่งที่เรียกว่าพุทธะ แต่ถ้าเมื่อเรามีความคิดฝ่ายดีและทำทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกขณะเพียงเพื่อตนเอง เพียงเพื่อแสวงหาให้กับตนเองโดยไม่คิดถึงความทุกข์ของใคร เขาก็ยังเรียกว่าปุถุชนหรือมนุษย์ เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธะกับมนุษย์บนโลกหรือยัง ก็คือท่ามกลางการมีชีวิตเราแสวงหาความสุข การหลุดพ้นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ช่วงที่แสวงหาเราสามารถยื่นมือไปช่วยคนได้ด้วย เราสามารถโอบอุ้มประคับประคองคนได้ด้วย ด้วยหัวใจแห่งธรรมะ ที่เรามีนั่นคือพุทธะบนแดนดินทำได้ไหม (ได้) ยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก) หากทำได้นั่นคือผู้บำเพ็ญธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ) หากเมื่อใดที่เราทุกข์ เราลองหันไปมองความทุกข์ของผู้อื่น แล้วเรายื่นมือไปช่วยคนที่ทุกข์กว่าเราจะพบความสุขที่แท้จริงและความสุขที่เจิดจรัสในการช่วยคนให้พ้นทุกข์ ลองไปหาดู บ่อยครั้งมนุษย์โลกนั้นค้นหาความสุขโดยการที่ช่วยแต่ตนเอง หรือหาทางดับทุกข์เพื่อตนเอง ลองหันกลับไปดูว่าเมื่อใดที่คนอื่นทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ด้วย และเราไม่สนใจที่จะหาความสุขในตนเอง แต่กลับไปช่วยค้นหาความสุขให้กับมนุษย์ เรากลับพบความสุขที่เจิดจรัสยิ่งกว่าความสุขที่หาให้กับตัวเองยิ่งนัก และถ้าทำได้ จากพุทธะจะเรียกว่า โพธิสัตว์ จากเซียนเดินดินจะกลายเป็นโพธิสัตว์บนแดนโลกเอาไหม (เอา) น้ำหนึ่งสายจะเกิดได้นั้น ต้องเกิดจากก้าวแรกของตัวท่าน และเป็นสายที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือการสืบเท้าต่อไปเรื่อยๆ วันนี้จะบำเพ็ญเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับก้าวแรกของท่าน หากก้าวแรกเริ่มต้นดีก็จงสืบเท้าก้าวก่อไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบสิ่งที่ดียิ่งกว่าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ มนุษย์เราหาเงินทองมาก็มาก หาลาภยศชื่อเสียงมาก็ไม่น้อย ทำไมไม่หาความสุขแห่งการหลุดพ้นและฉุดช่วยมวลชนกลับคืนเบื้องบนบ้าง ลองไปทำดูนะ ถ้าท่านทำได้จากพุทธะก็กลับเป็นโพธิสัตว์ จากมนุษย์ก็เป็นพุทธะเอาไหม (เอา)
อยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ตาเราเมื่อมองเห็นจงมองให้รอบๆ จงมีความรอบคอบ จงมีความรอบคอบ จงมีความสุขุมและระมัดระวัง ปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าดำรงชีวิตทุกย่างก้าวเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบาง” เราจงมีความสุขุมและระมัดระวังดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำได้ไหม (ทำได้) ความผิดพลาดก็จะบังเกิดได้น้อยยิ่งนัก แต่จะบำเพ็ญธรรมได้นั้น แม้วันนี้เราจะพูดได้ดีเพียงใดก็ตาม ถ้าท่านรู้จักปล่อยวางหน้าที่การงาน ทิ้งความสนุก ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต แล้วกลับมาแสงหาคุณธรรม ความเป็นพุทธะในตัวตน วันนี้ฟังไปทั้งวันหากท่านไม่ปล่อยวางหน้าที่การงานบ้างก็เปล่าประโยชน์ถ้ากลับไปแล้วยังหมกมุ่นเหมือนเดิม จริงหรือไม่ (จริง) กลับไปแล้วคงพร้อมที่จะมีใจให้เวลากับตัวเอง อย่าลืมว่ามนุษย์เรานั้นหากใจอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องก็จะนำมาซี่งความสุข จะยืนอย่างไม่หวั่นไหว ก็มีคุณธรรมเท่านั้น อารมณ์ความเคยชิน เงินทอง เกียรติยศ ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์อยู่ในโลกนี้และโลกน้าได้ มีแต่คุณธรรมเท่านั้นที่ช่วยให้มนุษย์ไปได้ตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า กลัวไหมกับความตาย คนทุกคนต่างมีความตายหรือมรณะแฝงอยู่ในทุกขณะลมหายใจของชีวิต ฉะนั้นจงรู้จักปลงและปล่อยวางและทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“บำเพ็ญเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า” เมื่อไรที่พร้อมบำเพ็ญและเมื่อไรที่ยอมรับการขัดเกลา เมื่อนั่นท่านกำลังเป็นผู้ที่ปูทางกลับคืนฟ้าเบื้องบน แต่ถ้าเมื่อไรยอมรับการบำเพ็ญแต่ไม่พร้อมการขัดเกลา เมื่อนั้นท่านไม่สามารถพบทางกลับคืนเบื้องบนได้ จำคำนี้ให้ดีนะ แม้ไม่มีเรี่ยวแรงแต่จงรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ทำได้ไหม (ได้) ผู้ที่อายุมากแล้ว เราแยากบอกท่านว่าแม้จะไม่มีเรียวแรงจะไปฉุดช่วยคนหรือไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปดึงคนให้พ้นจากทุกข์ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านจะทำได้นั่นก็คือการรักษาใจให้บริสุทธิ์และหมั่นเอื้อนเอ่ยวาจาในสิ่งที่ดี นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมแล้ว สิ่งที่เราอยากให้ท่านบำเพ็ญง่ายๆ ก็คือ ใจรักษาให้สะอาด อบายมุข กิเลส ลดละให้สิ้น วาจาพูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี กระทำแต่สิ่งที่ดี นั่นจึงเรียกว่าบำเพ็ญ ทำได้ไหม ยากไหม (ยาก) ไม่ยากแล้วนะ ถ้าวันนี้ยากท่านจะเอาอะไรกลับไป (บุญ) บุญจะบังเกิดได้จิตต้องเป็นกุศล หากจิตไม่สะอาดแม้จะทำบุญก็บุญไม่เต็มแรง บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฉะนั้นใจต้องสะอาด สำหรับท่านที่อายุยังน้อยสิ่งที่เราะพูดอาจจะดูไกลแต่สักวันหนึ่งท่านต้องเจอ ขอให้ท่านจำไว้ให้ดี อย่าหลงในกิเลสตัณหา มายาอันจอมปลอมบนโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความเป็นจริงไม่เช่นนั้นท่านคือผู้ที่น่าสงสารที่สุด ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง คนอื่นมีแต่ชี้แนวทางและนำทางท่านเท่านั้น ตัวท่านจะเดินหรือไม่เดิน ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อยแย่แล้วใช่ไหม เราคงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ขอให้ตังใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี มองหลักธรรมนี้ให้ถ่องแท้ อย่ามองเพียงนิดหน่อย อย่ามองเพียงผิวเผิน หรืออย่าวัดเพียงรูปลักษณ์ภายนอกมองสิ่งใด จงมองให้ถึงแก่นแท้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) มีโอกาสเราคงได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กันอีก เป็นการยากเหลือเกินที่จะได้เจอกันแบบนี้ จงถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี ไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
ท้องใหญ่ใจกว้างรับทุกสิ่ง ให้มนุษย์ทิ้งทุกสิ่งลงในย่าม
พระศรีอาริย์โปรดเกณฑ์ในยุคสาม คนอยากจามฮัดเช้ยหูอื้อลืมฟัง
เราคือ
ต้าเชี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเซียนน้อยน้อย มีความสุขหรือเปล่า
ใจงามยิ้มก็สวยไปเอง คนเก่งมีคุณธรรมไม่ทำชั่ว
คนดีไปไหนไม่ต้องกลัว รู้ตัวทำอะไรต้องรู้ตัว
เหนื่อยหรือไม่ชีวิตแสวงกันขวักไขว่ ใจไม่ได้สว่างขึ้นพร้อมทั่ว
เปรียบชีวิตกับแข่งขันจึงเหนื่อยกลัว ไฉนฝาดตัวเองไว้กับโลกีย์
งานรุ่งเรื่องหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่
เวลาเหมือนแม้นช้าเชื่องขณะนี้ แต่ฤดีล้าไม่อ่อนสุขุมพอ
ความดีอย่าอ่อนลงตามเวลา ประกายตามุ่งมั่นแรงไม่ท้อ
บำเพ็ญก้าวทางตามสร้างทางต่อ ไฉนหนอทำลายง่ายยากสร้างตรง
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
เพียงศึกษาหลักธรรมนำชีวิต เพื่อสะกิดพุทธจิตตื่นหลับใหล
เริ่มวันนี้พรุ่งนี้อีกต่อไป ด้วยเข้าใจสู่ศรัทธาท้ายมั่นคง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีพุทธะทุกท่าน สบายดีไหม
เตือนใจคนเข้าใจเตือนสัมฤทธิ์ โลกกว้างคนอดทนด้วยตามพะวง
ความลังเลไม่ขวางอุปสรรคประสงค์ ไร้ละเอียดเมื่อลงเล็กสำเร็จลาง
ร่วมปณิธานรวมพลังที่ต่างกัน อาศัยกันเริ่มแต่นี้อภัยตั้ง
ยามสบายตั้งใจยามลำบากหนีห่าง เลือกแต่ราบรื่นกำลังไร้บำเพ็ญ
เมื่อใจสู้ใจเข้มแข็งกว่าเก่า สนุกเดารู้ยิ่งเกินกว่าเห็น
ความเสื่อมวัดอันตรายไว้ยุคเข็ญ ฟ้ายามเย็นต้องระวังปัจจัยครบ
รู้จักใช้ความกล้าอย่าผิดแนว ถนอมแก้วของจิตใจใจสงบ
ถือสาเรื่องเล็กน้อยวุ่นไม่จบ อย่าผิดเรื่องเพราะกระทบอายตนะเลย
ฮิ ฮิ หยุด
เปลี่ยนแปลงตนเองทำวันนี้ให้ดี ให้ความดีจงคุ้มครองพลัน
เปลี่ยนแปลงใจใครคอยใจหายทุกวัน ถ้าเราดีกันความหมองสิ้น
ชื่อเพลง : สละให้-ได้รับ
ทำนองเพลง : แปลงฟัน
โอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถงและท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ (ตั้งใจ) หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไวๆใช่หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดินไปทางไหนก็มีแต่คนใช่ไหม ท่านอยู่ที่นี่มีคนหรือเปล่า คนเบื่อคนไหม (ไม่) เวลามีปัญหากับใคร (คน) เบื่อไหมไหนใครเบื่อบ้างยกมือขึ้น เดี๋ยวใครไม่ยกมือก็ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าอยากยกมือแล้วไม่ยอมยกแสดงว่าไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครชอบคน ยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วนคที่ไม่ยกหมายความว่าอย่างไร (บางทีก็เบื่อบางทีก็ไม่เบื่อ) ต้องเอารางวัลเข้าล่อใช่ไหม ชอบรางวัลหรือไม่ รางวัลเป็นเงินชอบไหม (ไม่ชอบ) เสียงเบาๆ ไม่ขอบใช่ไหม ชอบจนๆ ใช่ไหม (ชอบรวยๆ ค่ะ ) ทำไมล่ะ รวยๆ แล้วดีหรือเปล่า (ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง, ดี) จนๆ ดีหรือเปล่า (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ชอบโกหกเหรอ พูดก็พูดไม่จริง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดี๋ยวถ้าใครไม่ยอมตอบ จะจับมาอยู่ข้างหน้าสถานธรรมดีหรือเปล่า ให้ยืนขาแข็งเป็นชั่วโมงดีหรือเปล่า (ดี) กลัวโดนสะกดจิตหรือ ขนาดจนยังไม่กลัวเลยใช่หรือเปล่า กลับไปดีกว่าไม่มีใครอยากคุยไหนใครอยากคุยกับเรายกมือขึ้น
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่มีใครช่วยยกมือเลย ยืนอยู่ข้างหลังก็เป็นกำลังใจด้วย
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ในโลกนี้มีคนเบื่อคนมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าโลกนี้มีเราคนเดียวก็ดีสิ ชอบพูดแบบนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ไม่ใช่หรือ บางเวลาเบื่อๆ มากๆ ชอบพูดว่า ถ้ามีเราคนเดียวก็ดี ในความจริงเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ในความเป็นจริงแล้ว เราไปทางไหนก็มีแต่คนใช่หรือไม่ และคนก็มีทั้งน่าเบื่อและไม่น่าเบื่อใช่หรือเปล่า (ใช่) คนน่าเบื่อคือเราหรือเปล่า (ไม่ใช่) คนน่ารักคือเราหรือเปล่า (ใช่) ชมตัวเองกันหมดเลย ไหนใครร่ารักยกมือขึ้นสิ คนไหนน่ารักยกมือขึ้นเร็ว
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครไม่น่ารักยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : รู้สึกว่าแถวนี้ยกเก่งนะ เดี๋ยวจับแถวนี้มานั่งหน้าแถวนี้ไปนั่งหลังดีไหม (ไม่ดี) เวลาเห็นท่านบึ้งๆ ยิ่งอยากยิ้มใหญ่เลยใช่หรือเปล่า เวลาเห็นท่านบึ้งๆ เราตลกจังเลย ถ้าอยากให้เราเศร้าหน่อย ท่านก็ยิ้มให้เราหน่อยดีหรือเปล่า (ดี) จะบอกให้นะ ทุกท่านเกิดมาในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเพียงคนเดียว ฉะนั้นการเกิดมาในโลกนี้ก็มีแต่คนมีปัญหากับคน ไม่มีคนก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างไรก็ตามท่านก็หลีกคนไม่พ้น ฉะนั้นเวลาเจอปัญหาต้องทำไม (เข้าหาปัญหา) เวลาเจอปัญหากับคน ท่านต้องยิ้มให้หน่อยดีหรือไม่ ยิ้มหน่อยไม่พอ ก็ยิ้มให้มากหน่อยดีหรือไม่ (ดี) เพราะว่าเวลาที่พวกท่านอยู่ในโลกนี้ คนที่เขาชอบก็ชอบมองที่ยิ้มหรือบึ้ง (ยิ้ม) เวลาเขามองเขาก็ชอบมองคนที่ยิ้ม ต่อให้มีปัญหากัน เขาก็อยากให้ท่านยิ้มใช่หรือเปล่า ฉะนั้นยิ้มเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี) แล้วพวกท่านยิ้มวันละกี่นาที
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่างนี้ต้องเอานิ้วดันเพื่อจะยิ้มขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มวันละกี่นาที ไหนใครตื่นขึ้นมาก็ยิ้มเลย ยกมือขึ้น จริงหรือเปล่าตื่นขึ้นมาก็ยิ้ม (จริง) เราเห็นตื่นขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้วใช่หรือเปล่า นาทีแรกท่านก็คิดถึงปัญหาชีวิตท่านเวลาหรือเปล่า (ใช่) ไม่มีใครจะยิ้มเลยใช่หรือเปล่า เป็นเซียนเด็กนะ มีความสุข ทุกท่านแม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์แต่อยากเป็นเซียนทันทีก็ทำได้เหมือนกัน กายไม่ใช่เซียนแต่จิตใจเป็นเซียนเวลาเจอความทุกข์ต้องยิ้มใส เวลาเจอความสุขก็ต้อง (ยิ้ม) ไม่ใช่ อย่างนี้เป็นเซียนไม่ได้ (เฉยๆ) อย่างนี้ส่งลงจากสวรรค์เลย เวลามีความสุขท่านก็ทำให้ผู้อื่นเห็นว่ามีความสุขเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านมีความสุขก็ต้องเอาความสุขนั้นไปแบ่งให้ผู้อื่น ยิ่งท่านแบ่งความสุขไป ความสุขจะยิ่งเป็นอย่างไร (มากขึ้น) ท่านเก่งจริงๆ เลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ความจริงเขาก็รู้อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยยอมทำ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้หรอก เราเห็นเหวลามีกุศลแล้วก็หวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีการทำบุญต้องเขียนชื่อ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาทำบุญต้องกรวดน้ำใช่หรือไม่ (ใช่)ต้องอุทิศส่วนกุศล แต่บางคนก็อุทิศไปแล้วหมด เพราะว่าท่านนั้นไม่ได้คิดว่าจริงๆ แล้ว ยิ่งให้ไปจะยิ่งมาก บางคิดว่ากุศลมีอยู่หนึ่งแก้ว เวลาทำกุศลมามีอยู่หนึ่งแก้วแล้วมันจะหมดแบบนี้ (ท่านดื่มน้ำหมดแก้ว) บางคนคิดว่ากุศลท่านจะหมดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วกุศลไม่ใช่แบบนี้ กุศลเป็นเสมือนอากาศที่ลอยไปลอยมาด้วย ยิ่งท่านให้คนอื่นได้รับโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เท่าไร ก็ยิ่งจะมีใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีวันหมดไป อากาศหมดไหม ถ้าอากาศหมดไปเมื่อสองสามวันก่อนนี้ที่นี่ไม่มีคนเลยเพระว่าไม่มีคนชอบมาสถานธรรม ตรงนี้อากาศเยอะแยะไปหมด แล้ววันนี้ให้ท่านเข้ามาเต็มไปหมด อากาศหมดเรียบไหม (ไม่หมด ) ในดินแดนของกุศลและดินแดนของความดี ยิ่งท่านให้ก็จะยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งท่านให้ท่านก็ยิ่งได้รับมากขึ้น เคยคิดแบบนี้ไหม แต่เวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลก็คิดโน่นคิดนี่ ต้องนับก่อน ต้องกรวดน้ำไปให้คนที่สำคัญๆ ก่อน ท่านคิดว่าคนที่ไม่เคยสำคัญนั้น สำคัญไหม เพราะว่าไม่ใช่ญาติท่าน ท่านจึงคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วทุกๆ คนในโบกนี้เป็นญาติท่านใช่ไหม (ใช่) ท่านเกิดมาไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้นคนทุกคนในตรงนี้ รวมทั้งเราสองคนด้วย ให้เราเป็นญาติกับท่านดีหรือไม่ (ดี) ให้เราเป็นญาติท่าน ให้ท่านเป็นญาติเรา และเราทุกๆ คนมองหน้ากันแล้วมีรอยยิ้มให้กันดีหรือไม่ (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดีหรือ ต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ไวๆ นะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดี เพราะจะโดนจ้ำจี้จ้ำไช
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เราว่าดีออก จ้ำจี้จ้ำไชให้เป็นคนดี พุทธะบ่นท่านบ่นได้ไหม (ได้) พุทธะไม่เคยตีด้วยมือจริงๆ นะ พุทธะตีด้วยคำพูดและคุณธรรม และพุทธะก็ช่วยฆ่ากิเลสในตัวท่านด้วย เราไม่ใช่พุทธะที่ฆ่าท่านด้วยคำพูด เป็นพุทธะที่ช่วยฆ่ากิเลสในใจท่าน
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ใครฆ่าด้วยคำพูด (คน)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่าคิดแบบคนมากพยายามคิดให้เป็นพุทธะ คิดอย่างที่พุทธะคิด ทำอย่างที่พุทธะทำ เหมือนอย่างที่อาจารย์ของท่านสอนไว้ และเป็นอย่างที่พุทธะเป็นได้ แต่มนุษย์มักอยู่รวมกันแล้วคิดแบบมนุษย์ก็เลยวนกันแบบมนุษย์ คิดกันคน คน คน ไม่หยุดสักที
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วก็คนไป แล้วก็คนมา เละไปหมดเลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เห็นนะ เห็นกินกันอิ่ม กินตั้งหลายจาน เป็นคนบำเพ็ญต้องรู้จักพอ พอดีบ้าง กินอิ่มมากเกินแล้วเราจะง่วง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้ว่ากินเจอร่อยไหม (อร่อย) กินชออร่อยไหม กินเจกับชอต่างกันตรงไหน
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่กับท่านต้าเซี่ยวฝอถง เมตตาให้เลือกจะนั่งหรือยืนหรือจะนั่งครึ่งๆ )
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ถ้าเลือกยืนแล้วง่ายกว่านั่นครึ่งๆใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนนั้นต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว อยากจะทำสิ่งใดก็ต้องตั้งมั่นอยู่สิ่งนั้นสิ่งเดียว อย่าวอกแวกถึงสองสิ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบากใจ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยืนก็ง่าย นั่งก็ง่าย แต่ให้ครึ่งยื่นครึ่งนั่งนั้นยากใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นจะบำเพ็ญก็ง่าย ไม่บำเพ็ญก็ง่าย แต่ถ้าบำเพ็ญบ้างไม่บำเพ็ญบ้างก็ยาก เจกับชอต่างกันตรงไหน (เจคืออาหารที่บริสุทธิ์) เจกับชอก็ต่างกันง่ายๆ ชอเอาเนื้อสัตว์มาปรุง เจก็ไม่มีเนื้อ ชออร่อยไหม ต้องตอบจริงๆ จะโกหกตัวเองไปทำไม ชอก็บอกว่าอร่อย เจก็บอกว่าอร่อย จะโกหกไปทำไม โกหาตัวเองแล้วมาโกหาเราไม่น่ารักเลย ชอก็บอกว่าอร่อย เจก็บอกว่าอร่อย แต่สิ่งที่ตัวเองแตกต่างไม่ใช่อยู่ที่ความอร่อย ความอร่อยอาจทำให้ท่านไม่ได้กินเจต่อจากวันนี้ใช่หรือเปล่า แต่สิ่งที่ทำให้ท่านกินเจต่อจากวันนี้ได้ก็คือ การกลัวบาปเป็นการเริ่มต้นใช่หรือไม่ (ใช่) พอทำได้แล้ว ท่านก็ค่อยๆคิดไปถึงความเมตตา เพราะความเมตตาเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก เพราะฉะนั้นเวลามีคนถามว่า กินเจอร่อยไหม อร่อยจริง อร่อยแล้วกินเจไหม (ไม่) จริงๆแล้วท่านไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง เวลาจะกินเจท่านก็ไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง ให้คิดถึงการกลัวบาปเป็นที่ตั้ง ส่วนการกินชอท่านนึกอะไร (อร่อย) ฉะนั้นถ้าท่านจะงดชอท่านก็ต้องคิดถึงความกลัวบาปเป็นที่ตั้งใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้ท่านก็จะกินเจง่ายขึ้นใช่หรือเปล่า มีใครในโลกนี้ไม่กลัวบาปบ้าง ถ้าเราบอกว่ากินชอแล้วบาป ท่านเชื่อไหม (เชื่อ) แล้วกลับจากวันนี้ไปท่านกลัวบาปไหม (กลัว) แล้วท่านจะเริ่มกินเจไหม (เริ่ม) แย่จังเลยเพราะท่านนั้นกลังบาปก็กลัว อร่อยก็อร่อยใช่หรือเปล่า (ใช่) กลัวบาปกับอร่อยอันไหนมากกว่ากัน (กลัวบาป)
ตอนนี้ท่านอยู่ในอารมณ์ที่ปกติมากขึ้น ทีนี้เราจะสอนท่านยิ้ม ยิ้มเป็นไหม (เป็น) มนุษย์ชอบยิ้มแต่มียิ้มหลายอย่าง ยิ้มหัวเราะเยาะ ยิ้มแหยๆ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มหยันๆ ยิ้มแหยะๆ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มมีความสุข ยิ้มด้วยความชื่นใจ ยิ้มด้วยความจริงใจ ท่านรู้จักยิ้มเหล่านี้ไหม เวลาที่ท่านมีความทุกข์ก็อยากให้ท่านยิ้มให้กับความทุกข์นั้นๆ เวลาท่านมีความสุขก็อยากให้ท่านยิ้มกับความสุขนั้นๆ จริงๆ แล้วยิ้มนั้นมียิ้มเดียวแต่ใจท่านมีหลายใจ ฉะนั้นยิ้มก็ต่างกันตามจิตใจของท่านเอง ตอนนี้ถ้าใจของท่านเป็นอย่างไรท่านก็จะยิ้มออกมาอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ลองดูมนุษย์บอกว่าถ้าอยากยิ้ม ให้พูดว่า คำว่า สี่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ไหนลองพูดว่า สิบห้า แล้วยิ้มดู
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เราให้ท่านยิ้ม ท่านไหนไม่ยิ้มจะให้มายิ้มหน้าห้องหนึ่ง สอง สาม สี่
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้นักเรียนเล่นยิ้ม)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : คนดีไปไหนไม่ต้องกลัวใช่หรือไม่ (ใช่) ลางคนบอกว่ากลัวโน่นกลัวนี่ คนดีทำดีไม่มีอะไรคุ้มครองใช่หรือเปล่า ก็เลยกลัวว่าไปโน่นไปนี่ แล้วจะไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ใช่) เราแนะวิธีง่ายๆ ให้ คนโดนปล้นเพราะอะไร (ท่านต้าเซี่ยวฝอถงยหตัวอย่างนักเรียนในชั้น) อย่างนี้ไปไหนปลอดภัยไหม (ไม่ปลอดภัย) เพราะอะไร (มีสมบัติเยอะ) เพราะมีทองใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วคนนี้ล่ะปลอดภัยไหน (ปลอดภัย) เราจะบอกให้ผู้หญิงหน้าตาไม่ได้แต่ง ผิวพรรณก็ไม่ได้บำรุง ฉะนั้นก็มอมแมมๆ ไปไหนก็สบาย แต่คนสมัยนี้ ทาครีมเช้า ทาครีมเย็น ฉะนั้นถ้ายิ่งแต่งหน้าด้วยยิ่งสวยก็ยิ่งไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ไม่) มีอีกหลายสาเหตุของความไม่ปลอดภัยของท่านที่ต้องเจออยู่ทุกวันนี้ ท่านต้องคิดว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะเราดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยใช่หรือไม่ แต่คนดีจริงๆ ก็มีสุภาษิตกล่าวว่า “คนดีผีคุ้ม” ท่านก็ต้องเชื่อตรงนี้ด้วย ถ้าท่านเป็นคนดีท่านก็ไม่ทำอะไรที่ผิดท่านก็มั่นใจว่าตัวท่านนั่นแหละปลอดภัยที่สุด แต่ตอนที่ท่านอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากแล้วเป็นอย่างหนึ่ง พอลับหลังไปอยู่คนเดียวคิดก็คิดไม่ดี ทำก็ทำไม่ดีอย่างนี้จะปลอดภัยได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการที่ท่านมองว่าใครเป็นคนดีนั้นท่านก็มองไม่ออกเพราะว่าเขาตั้งใจปกปิดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าจำเป็นไหมที่ท่านจะต้องมองว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า (จำเป็น) จำเป็นหรือ แล้วท่านมองตัวเองสิว่าเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าท่านบอกว่า ท่านจำเป็นต้องมองให้ออกว่าคนอื่นดีหรือเปล่า ท่านก็ต้องมามองให้ออกว่าตนเองนั้นดีหรือเปล่าก่อน ถึงจะดีใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนบอกว่าเวลาจะไปทำการค้ากับคนนี้ เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า เวลาจะไปสมาคมกับคนนี้ เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า ในขณะที่ท่านมองเขา ก็มีคนอื่นกำลังมองตัวท่านอยู่ ฉะนั้นก่อนที่จะมองคนอื่นก็ต้องรู้จักที่จะมองตนเอง แล้วถ้าหากว่าท่านทำได้ นี่ก็เป็นหนึ่งคุณสมบัติของคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่เพิ่งจะเป็นแค่ย่างก้าวแรกหรือจะเป็นแค่การเริ่มต้นก็ดี ขอให้ท่านนำความคิดของท่านนั้นไปสู่สิ่งที่ดีความคิดของท่านดี ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ออกมาดี ไม่ว่าท่านจะชวนอะไรใครก็ออกมาดี ไม่ว่าท่านจะพูดจากับใครคำพูดของท่านนั้นก็จะมีแต่สิ่งที่ดีใช่หรือไม่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อยากกินลูกอมยักษ์ไหม เราเพิ่งรู้นะลูกอมโลกมนุษย์ใหญ่ขนาดนี้ มนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในถาดนี้ อยู่ที่ว่าวันใดเราจะถูกหยิบไปกิน จริงไหม (จริง) แต่โชคดีที่พุทธะเก็บไป แต่ไม่รู้ว่ท่านจะเป็นหนึ่งในโชคดีนั้นหรือเปล่า ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในกะบะนี้ วันใดจะถูกหยิบขึ้นมาแล้วก็หายไปจากกะบะนี้ ใช่ไหม แล้วรู้ไหมว่าเราจะถูกกิน ไม่รู้แล้วกลัวไหม (กลัว) ถ้าตราบใดที่เรายังกลัวอยู่ แปลว่าตอนนั้นเรายังไม่ดีพอเราถึงกลัว จริงหรือเปล่า ถ้าตอนที่ท่านรับธรรมะ มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มีพุทธะท่านหนึ่งได้รับธรรมะชี้หนึ่งจุด แม้วันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่กลัวเลย” เคยได้ยินคำนี้กันมาหรือเปล่า (เคย) คงเคยมาบ้างเพราะอย่างน้อยก็รับธรรมะมาแล้วใช่หรือเปล่า แต่พอเรารับไปแล้วแต่ทำไมเราถึงกลัวตายอยู่อีกล่ะ นั่นแปลว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษา และเรายังดีไม่พอ การจะเป็นคนดีให้พอและไม่ต้องถูกดึงออกไปทิ้งอย่างไร้คุณค่า เราจึงต้องทำตัวเองให้ดีก่อน ท่านเห็นไหมว่าลูกอมแต่ละเม็ดในกะบะนี้ล้วนมีสีสัน และล้วยมีการห่อหุ้มที่สวยงามต่างกันออกไปใช่ไหม ก็แปลว่ามนุษย์เราก็เหมือนกับลูกอมต่างๆ หลากสีนี่แหละพยายามประชันขอให้ตัวเองนั้นเด่นที่สุด แต่ว่าความตายไม่มีใครเลือกว่าใครสวนใครเด่น ไม่มีเลือกว่าอายุน้อยอายุมาก เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้องไป ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนที่จะถูกเลือกไปนั้น ก็คือทำตัวให้ดีใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราจะบอกท่านว่ามีหลักอยู่ไม่กี่ข้อในการทำตัวให้เป็นลูกอมที่แสนดี หลักง่ายๆ ก็คือ หนึ่ง รู้จักสำรวมความประพฤติ ก็คือ พูด คิด ทำ วนเป็นสิ่งที่ดี กิริยามารยาทล้วนเรียบร้อย มีความร่าเริงได้ แต่ในความร่าเริง ในความสนุกสนานนั้นต้องอย่าลืมความระมัดระวัง สอง ปฏิบัติหน้าที่ตนเองให้สมบูรณ์ ทำได้ไหม (ได้) ทุกคนต่างมีหน้าที่มากกว่าหนึ่งหน้าที่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ หน้าที่เป็นบิดามารดา และหน้าที่ในการเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนกับเพื่อน หรอหน้าที่ความเป็นพี่เป็นน้อง ฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ต่างๆ เหล่านั้นให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง สาม มีความสามัคคี ทำไมคนดีต้องมีความสามัคคีรู้หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : บางคนบอกว่าประชุมธรรมต้องไม่ยึดติด ไม่กินกาแฟแล้ว จริงๆ กาแฟก็ขม แต่ก่อนที่จะเลิกกาแฟไปเลิกอย่างอื่นก่อนก็ดีนะ เลิกยึดติดในเงินทองยากนะ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : สามัคคีก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นคนที่ต้องอยู่กับหมู่มาก ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน ท่านต้องอยู่มากกว่าหนึ่งคน นั่นคือสามัคคีนั้นแปลว่า อยู่ในบ้านก็ต้องสามัคคีปรองดอง อยู่ในที่ทำงานก็ต้องสามัคคีปรองดองกับเขาได้ ไม่ทำตัวผิดแผกแตกต่าง หรือให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนอื่น แล้วอยู่กับตัวเองต้องมีความสามัคคีไหม (มี) ทำไมเราบอกว่าต้องสามัคคีเพราะว่าร่างกายเราประกอบไปด้วยกายและใจ ถ้ากายกับใจเมื่อจะทำสิ่งใด ใจคิดมากแล้วมือจะทำได้สำเร็จไหม ฉะนั้นกายกับใจก็ต้องมีความสามัคคี หลักของการทำตัวดีมีสามข้อแล้ว ท่านทำได้ไหม (ได้) หากท่านทำได้ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ หรือทำสิ่งใดก็จะเป็นที่ปรารถนาของทุกคนในสังคม จริงไหม (จริง) แต่ยังแถมท้ายด้วยอีกข้อที่ลืมไม่ได้คือ สี่ ความเสียสละ เป็นคนดีแม้จะดีทุกอย่างแต่ไม่เคยยืนมือช่วยใคร ไม่แคบเอื้อนเอ่ยพูดสิ่งใดที่เป็นการช่วยเหลือคนอื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าดีไม่สมบูรณ์ ดีแค่ตัวเอง ฉะนั้นการทำความดีมีอยู่กี่ข้อ (สี่ข้อ) มีอะไรบ้าง ใครตอบได้เราจะให้ลูกอม
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : “งานรุ่งเรืองหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่”
หน้าก้าวฉลาดถอย หมายความว่า ก้าวไปข้างหน้าก็ต้องก้าว แต่เวลาจะถอยก็ต้องถอยอย่างชาญฉลาด พระอาจารย์ท่านเคยพูดว่า คนฉลาดนั้นไม่ดีแต่เราคิดว่าถ้าท่านฉลาดโดยไม่มีเล่ห์กลอุบายอะไรก็ดี ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นเรียกว่าชาญฉลาด ใช้ไหวพริบ ใช้ปัญญา ใช้ความเข้าใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ท่านอยู่ ถ้าหากการจะมาสถานธรรมเป็นอุปสรรค หากงานธรรมะเดินไม่สะดวก ขอให้ฉลาดที่จะพลิกแพลง เพราะเวลาท่านเดินก็จะมีอะไรมาขัด ท่านก็ต้องรู้จักที่จะหลบ เจ้าใจไหม ดีไหม ถ้าหากท่านไม่พอใจและอยากจะเปลี่ยนแปลง ต้องรู้จักใช้ความฉลาดด้วยปัญญา อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เราคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะดีแล้ว
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาสอนลุก-นั่งตอบคำถาม)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เป็นคนดีเราต้องทำอะไรบ้าง (ปฏิบัติดี, มีความเสียสละ, มีสามัคคี) สามัคคีตรงไหนบ้าง (ตรงจิตใจ) ตรงจิตใจและการทำงานเป็นหมู่คณะ หรือไม่ก็ในครอบครัว (ปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์, มีความสำรวม) สำรวมอะไร สำรวมความประพฤตินะ วันนี้เราอยากแสดงอะไรให้ท่านดูหน่อย อยากดูละครเรื่องหนึ่งไหน (อยาก)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้นักเรียนอาสาสมัครขึ้นมาเล่นตาบอดคลำช้าง)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ สรุปก็คือ คนทุกคนหรือทุกๆ ท่านในที่นี้ล้วนมีความรู้ประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน เวลาเรารู้แล้วเราก็จะยึดติดกับสิ่งที่เราเคยรู้ แล้วก็ยึดมั่นกับความรู้ตรงนั้นแบบไม่ปล่อยเหมือนกับคนแรกกับคนที่สอง จับได้ว่าเป็นแขนกล้ามแข็งๆ ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นผู้ชาย ผู้ชายในโลกนี้กล้ามนิ่มๆ มีบ้างไหม (มี) ฉะนั้นบางครั้งเราจะเสริมเหตุผลอะไรของเรานั้นเราอย่าเพิ่งบอกว่ใช่เสมอไป ต้องบอกว่ายังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าผู้ชายโดยส่วนใหญ่กล้ามจะแข็ง คำพูดที่จะออกมานั้นใช้การเดาอย่างเดียวแล้วยึดติดในกระสบการณ์อาจไม่ถูกต้องเสมอไป รองหัวหน้าบอกว่าใส่ผ้าคลุมผมต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ใส่ผ้าคลุมผมได้เวลาอากาศร้อน นี่คือการยกตัวอย่างนะไม่ใช่ต่อว่า แต่คนเอาโดยส่วนใหญ่พอมั่นใจในความรู้ก็จะยึดมั่นในความรู้ไม่ปล่อยเหมือนที่คนคลำช้างคิดว่าช้างเหมือนหม้อเพราะจับหัว เหมือนกระด้งเพราะจับหู แล้วก็เถียงกันยกใหญ่ เฉกเช่นเดียวกันวันนี้ท่านมาศึกษาธรรมหลักธรรมที่ท่านอยู่ในใจ ที่ผ่านไปวันนี้สิ่งที่สรุปอยู่ในใจท่านก็จะแตกต่างกันบางคนจะบอกว่าธรรม หมายถึง การทำดี บางคนก็สรุปว่า ธรรมคือการเสียสละ แต่รู้ตรงนี้แล้วก็มั่นใจในตรงนี้ แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงตรงนี้ ถูกไหม (ไม่ถูก) สรุปง่ายๆ วันนี้เราเจอรองหัวหน้า รองหัวหน้าดูเรียบร้อยแล้วท่านก็มั่นใจว่าเมื่อพูดกับรองหัวหน้าก็เรียบร้อย แต่ถ้าวันใดรองหัวหน้าเกิดหัวเราะหลุดพูดคำไม่เรียบร้อยขึ้นมา ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ รองหัวหน้าเป็นคนเรียบร้อยเข้าใจไหม (เข้าใจ) เหมือนชีวิตที่ท่านเรียน รู้อย่ามองเพียงหนึ่งเป็นหนึ่ง อย่ามองแค่สุขทุกข์เป็นแค่สุขทุกข์ แต่จงมองให้มากกว่านั้น และจงเข้าใจให้ลึกกว่านั้น เหมือนที่ท่านมองลูกอม ถ้าท่านบอกว่าลูกอมคือต้องห่อแบบๆ มีลายแบบนี้อันอื่นไม่ใช่ลูกอม ถูกไหม (ไม่ถูก) ฉะนั้นเราเรียนรู้อะไรในโลกนี้อย่ายึดมั่น เมื่อเรียนรู้แล้วจงให้เป็นเหมือนแพ พอข้ามมาฝั่งหนึ่งแล้วจงทิ้งแพนั้น อย่าเอาแพนั้นมาแบกไว้บนหัว เหมือนท่านเรียนรู้การเป็นคนดีท่านก็แบกความดีไว้บนหัว ใครมาว่าท่านไม่ดีท่านก็โกรธเช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) เหมือนท่านจะทำตรงนี้และเขาต้องพูดว่าดีนะ แต่เขาพูดว่าร้ายท่านก็โมโห นี่แปลว่าเรายึดในแบบใช่หรือไม่ และหวังผลในแบบที่เรายึดมั่นเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้เล่นสัญลักษณ์ บวก ลบ คูณ หาร)
อย่างนี้แปลว่า (บวก) อย่างนี้แปลว่า (ลบ) อย่างนี้แปลว่า (คูณ) ผิด นี่นิ่วมือกวาดไปกวาดมาจริงหรือเปล่า (จริง) บอกแล้วว่าอย่างยึดใช่ไหม ชีวิตเราบางครั้งต้องมีการเพิ่มอะไรให้กับชีวิต แล้วก็ตัดอะไรให้กับชีวิต การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการบวกกับการลบ การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการคุณกับการหารได้เหมือนกัน แต่เราต้องดูให้ออกว่าชีวิตเราอะไรควรบวก อะไรควรลบ อะไรควรคูณ อะไรควรหาร บางครั้งผลสรุปในความคิดต้องมีการแสดงออก เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ผลต้องมีการแสดงออก เหมือนกันวันนี้ท่านรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นก็คือการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ถ้าท่านเอาแต่พูดไม่มีผล ต้องลงมือปฏิบัติ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาที่ท่านมาฟังธรรมสามวันนี้ วันนี้วันที่สองใช่ไหม (ใช่) วันนี้เป็นวันที่สองแล้วในจิตใจของท่านต้องรู้สึกมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง ถ้าแม้จะฟังธรรมจะยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือปลอม ยังสรุปไม่ได้ว่า ดีแน่หรือเปล่า แต่ว่าในจิตใจของพวกท่านสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเปลี่ยนแปลงในจิตใจ จิตใจต้องรู้สึกว่อยากที่จะทำความดีมากขึ้น นี่เป็นความสำเร็จของการฟังธรรมสองวันนี้ เพราะว่าเรามาฟังธรรม ไม่ใช่มาจับผิดใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราจับผิดก็ไม่ได้จับคนอื่น แต่ต้องจับผิดจิตใจของตนเอง ต้องให้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นในการที่เราฟังธรรมต้องให้จิตใจของเราถูกโน้มน้าวไปในการทำความดีมากขึ้น ถ้าหากท่านยังไม่รู้สึกอยากทำความดีมากขึ้น หรือฟังจบไปพอเย็นแล้วก็เฉยๆ อย่างนี้แสดงว่าในจิตใจของท่านนั้นถูกโน้มน้าวให้เป็นดียากมากใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าตอนนี้ทุกท่านดีอยู่แล้ว เราก็อยากให้ท่านดีขึ้นกว่านี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีใครบังคับให้ใครบำเพ็ญได้ แม้ว่ามีคนมาบังคับให้ท่านทำงานได้ บังคับให้ท่านล้างชาม ส่งผ้าหรือทำกับข้าวได้ แต่ไม่มีใครบังคับให้ท่านบำเพ็ญธรรมได้เพราะบำเพ็ญนั้นจริงๆ เป็นเรื่องของจิตใจ คือ การทำจิตใจให้เป็นปกติ และทำจิตใจให้สะอาด ตอนนี้ต้องกลับไปทำเองใช่หรือไม่ คนอื่นบังคับให้ท่านปฏิบัติธรรมได้แต่ไม่สามารถบังคับท่านให้บำเพ็ญได้ ต่อให้ท่านปฏิบัติธรรมมากมายถ้าท่านบำเพ็ญด้วยความรู้สึกถูกบังคับ บีบคั้น ท่านก็จะไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) หลายๆ คนมาวันนี้ด้วยความเกรงใจ บางคนมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มร้อย จิตใจยังไม่พร้อม
หวังว่กลับไปจากสามวันนี้ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีให้ท่านเกิดความรู้สึกเต็มร้อยในจิตใจของท่านเองมีความรู้สึกอยากจะบำเพ็ญธรรม มีความรู้สึกอยากจะชำระจิตใจให้สะอาด อยากจะเอากิเลสออกจากตัวท่านเองนั่นแหละคือการบำเพ็ญธรรมของท่านใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอท่านทำได้ดังนี้ผลดีก็คือจิตใจของท่านนั้นจะสว่างเหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์ไหม เวลาจิตใจสว่างกับโลกสว่างเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน) แล้วเวลาที่โลกสว่างไสวกับใจที่สว่างไสวอันไหนเกิดความรู้สึกปิติ เต็มตื้นมากกว่ากัน (ใจสว่าง) จิตใจที่สว่างไสว ย่อมเป็นพลังชีวิตให้ท่านเดินทางต่อไปไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยหนุนหลังให้ท่านเกิดความสำเร็จในการทำงานทั้งปวง แม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญธรรมไปรวมกับการทำงานทางโลกไปเลี้ยงลูก ไปหาเงินแม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญไปรวมกันสิ่งใดก็ตาม การบำเพ็ญธรรมจะทำให้ท่านไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น นอกเสียจากว่าท่านคิดจะทำชั่ว การบำเพ็ญธรรมช่วยท่านไม่ได้ แต่เราเชื่อมั่นว่าโดยปกติแล้วมนุษย์ไม่มีใครคิดจะทำชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านมีแต่จะคิดทำดีให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เวลาทำดีให้ผู้อื่นท่านรู้สึกว่าไม่สมใจที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ แต่ว่าคนบำเพ็ญธรรมทำได้แค่ไหน อย่างมากก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ท่านแก้แค้นคนอื่นไม่ได้ ท่านไปบังคับคนอื่นไม่ได้ ขอให้ท่านเมื่อผิดหวังให้ย้อนกลับมาดูตัวเองใหม่ว่าเราดีพอหรือยังที่อยากจะให้คนอื่นดีตามเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าท่านทำได้อย่างนี้ ท่านก็จะเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่ใกล้ๆกับการบำเพ็ญธรรมมากขึ้น
เวลาท่านมาสถานธรรม มีบรรยกาศธรรมมากมายที่เป็นบรรยกาศธรรมที่ดี เวลาท่านเป็นรุ่นพี่แล้ว บรรยากาศธรรมเหล่านี้บางคนบอกว่าทำไมไม่เห็นบรรยากาศธรรมดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าคนรุ่นก่อนอายุมากไปหมดแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ก็คือพวกท่านที่มา ท่านไม่เคยเอาความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ไปให้กับคนอื่น หมายความว่าพร้อมที่จะเป็นผู้นับไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านไม่เคยเอาสิ่งดีๆ ที่ได้มาให้คนอื่นจะได้รับไหม (ไม่ได้) ท่านก็ต้องพยายามด้วยแรงนะไม่ใช่หมดหายใจ
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ ท่านเมตตาสอนร้องเพลงทำนองเพลง :แปรงฟัน)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แปลกนะแปรงฟันก็แปรงทุกวัน แต่พอแก่แล้วก็ใส่ฟันปลอม แสดงว่าสิ่งที่ท่านรักที่สุดและถนอมสุดความสามารถนั้นก็ไม่ได้อยู่กับท่าน เวลาตั้งความหวังในตัวผู้อื่น เช่นลูกเราหรือใครก็แล้วแต่ที่ท่านสามารถตั้งความหวังกับเขาได้ ท่านก็อย่างตั้งความหวังมากเกินไปเพราะตั้งไปแล้วก็เหมือนฟันใช่หรือไม่ ถึงเวลาแล้วฟันก็หลุดใช่ไหม หลุดแล้วท่านก็ต้องหาฟันปลอมมาใส่ใช่หรือไม่ (ใช่) ก็ขอให้ท่านรักษาให้ดีที่สุดแต่อย่าหวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เราสองคนจะกลับแล้วนะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากจะเป็นภาระของอาจารย์พวกท่านเลยนะ แต่ว่าไปดีกว่า ไม่อยากให้เราไป อย่างนั้นถ้ายิ้มหนึ่งครั้ง เราจะอยู่ต่ออีกห้านาที (ยิ้ม) ตอนเรามากว่จะให้ท่านยิ้มก็ใช้เวลานานบังคับแล้วบังคับอีก แต่พอเราจะกลับส่งยิ้มให้เราทำไม
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีโอกาสกลับมารศึกษาบ่อยๆ นะ เพราะว่งานประชุมธรรมกว่าจะเริ่มขึ้นได้ต้องอาศัยแรงกายของมนุษย์เป็นผู้เดิน แล้วพุทธะถึงจะลงมาช่วยเสริม ปกติแล้วคนเริ่มงานก็ต้องมีการเตรียมงานใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดการดูแลห้อง การเก็บของ ทำของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมที่จะจัดงานใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าใครมาถึงห้องพระ มีโอกาสกลับมาศึกษา มีโอกาสรีบกลับมาสร้างกุศลให้กับตัวเองโดยใช้แรงกายและแรงใจ นี้เป็นการเสียสละ เพราะคนอื่นทำแล้วนะรอท่านอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) คนข้างหน้าทำแล้ว รอพวกท่านเดินกุศลให้กับตัวเองมีโอกาสต้องหมั่นมาสร้างกุศลเยอะๆ ทำความสะอาด เช็ดโต๊ะพระ กวาดห้องพระ มาร่วมสร้างห้องพระนี้ให้เต็มไปด้วยความสามัคคี เต็มไปด้วยพุทธะดีไหม (ดี) มีโอกาสกลับมาห้องพระบ่อยๆ นะ ห้องพระก็เหมือนบ้าน ทำได้ไหม แต่เดี๋ยวเราต้องไปก่อน ฉะนั้นอยู่กับท่านต้าเซี่ยวไปอึกช่วงหนึ่ง เรายังมีหน้าที่ต้องไปช่วยเหลือคนอื่นๆ อีกยังมีหน้าที่ต้องไปช่วยพุทธะองค์อื่นๆ อีก
เอาอะไรเป็นกำลังใจให้คนที่มาช่วยเตรียมงานดี เอาส้มสีทองให้แก่คนที่มาช่วยเตรียมวงานตั้งแต่ก่อนที่จะมีงานนี้และช่วยเก็บหลังจากประชุมธรรมนี้หากเราไม่ได้ช่วยเตรียมก็มาช่วยตอนเก็บได้ไหม (ได้)
ใครเป็นคนลำปางยกมือขึ้น ความหวังอยู่ที่พวกท่านแล้วนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี หากวันนี้ยังไม่เข้าใจต้องมาฟังอีก เพราะวันนี้เราไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมอย่ายอมแพ้ ไม่หูเบาแต่อย่าปากหนัก
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เอาไว้คิดถึงพวกเราก็ไปหาพวกเรานะ รู้หรือเปล่า (รู้) พวกท่านนั้นล้วนเป็นพุทธะได้ หากใครได้รับทอฟฟี่จากเราไป จะเป็นคนโชคดี เห็นไหมาว่าพวกท่านยังติดอยู่เลย อะไรที่เป็นของท่านก็เป็นของท่านอยู่วันยังค่ำใช่หรือเปล่า มนุษย์ถ้าหากว่าจะโชคดีก็โชคดี อยากได้โชคดีไหม ต้องทำอย่างไรถึงจะโชคดี (ทำดี) ทำดีแล้วโชคดีหรือเปล่า (ดี) แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องทำมากกว่านั้นอีก คนเราจะโชคดีต้องสร้างเหตุแห่งความโชคดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากอยากรวยก็ต้องรู้จักหาเงินทอง ถ้าหาเงินหาทองโดยทุจริตก็จะไม่ได้สิ่งที่เป็นโชคดีนั้นๆ เพราะว่าโชคดีผ่านไป โชคร้ายก็เข้ามาแทน จริงๆ แล้ว โลกมนุษย์ไม่ดึงดูดให้อยู่เลย รู้หรือเปล่า เพราะว่าโลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์ แต่ท่านอย่าลืมว่าท่ามกลางความทุกข์ถึงจะสามารถสร้างความสุขขึ้นมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนเราถ้ามีความทุกข์ถึงที่สุด ความสุขก็จะบังเกิดฉะนั้นถ้าอยากโชคดีต้องมีโชคร้ายมาบ้าง ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด ฉะนั้นถ้าอยากโชคดีก็ต้องมีโชคร้ายมาบ้าง ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด
ในที่สุดเราก็ผ่อนภาระของท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ ยิ่งเรามายิ่งภาระเยอะใหญ่เลย ขอให้พวกท่านได้รับความโชคดี ยิ้มให้เรานิดหนึ่ง ร้องเพลงไปด้วยยิ้มไปด้วย ความทุกข์จะได้หมดไปจากหัวใจท่านนะ
วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว
ไม่มีเรื่องเหมือนมีเรื่องก็คือรู้กลัว ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี
เราคือ
หนันผิงจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลาย อยากจะบำเพ็ญหรือยัง
สกุณาโผบินลงมาจากทิศใด อยู่เป็นเพื่อนคนผู้เคว้งข้างใจจิตใจ เหงาหงอยในคน ยกตนไปสูงเหนือใคร หลิกฟื้นจิตเคยหลงไปด้วยการบำเพ็ญติดดินไม่เลื่อนลอย
สกุณาโผบินมาตรงหน้าของเรา ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย ชนะจิตใจของตน ศึกษาย้อนรอยรู้แล้วแล้วอย่ามั่วเลื่อนลอย จงน้อมมุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม
นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา เรียกคนมาคลายหลงไป แม้ฟ้าจะสูงเพียงใด แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว
เพลง : นกบนฟ้าปัญญาในใจ
ทำนองเพลง : เงาที่หายไป
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
หัวข้อตั้งยาวจำหมดไหม (จำไม่หมด) เวลามาฟังธรรมจำได้หมดหรือเปล่า (ไม่หมด) อะไรที่เราสมควรจะจำอยู่ในใจ สมมุติว่าเรามาสถานธรรม มีคนเรียกเราฟังธรรมสามวันก็เหมือนกับผลไม้หนึ่งถาดนี้เลย ตั้งขึ้นมาสูงๆ อย่างนี้บรรยายไปเนื้อหาดีๆ ก็ตั้งขึ้น ตั้งขึ้น แล้วพานนี้ก็เหมือนกับจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่เราต้องจำนั้น เราจำไหมว่ารายละเอียดของผลไม้เป็นอย่างไร เราจะจำหมดไหม (ไม่หมด) สมมุติว่าถาดนี้ไม่ได้มีแค่สาลี แต่มีสารพัดลูกให้เราจำ ทั้งหมดในถาดนี้ว่ามีอะไรบ้าง เราจำได้หรือเปล่า (จำไม่ได้) ถ้าให้ลักษณะว่าซ้ำตรงไหน เขียวตรงไหน เหลืองตรงไหน จำได้ไหม (จำไม่ได้) เพราะฉะนั้นเรามาฟังธรรมสามวัน ก็เหมือนชื่อหัวข้อที่ยาวๆ แล้วเราจำไม่ได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นแก่นหรือใจความสำคัญที่เราต้องจำ คืออะไร มีแก่นอย่างหนึ่งที่เราต้องจำ ไม่เช่นนั้นเราฟังสามวันนี้ก็เหมือนกับฟังไปแล้วไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่เราต้องจำคืออะไร (วิธีการปฏิบัติ, หัวใจสำคัญของเรื่อง, ธรรมะ) อยากให้ตอบให้ตรงประเด็นกว่านี้สักนิดหนึ่ง ว่าสิ่งที่เราจะนำกลับไปปฏิบัติคืออะไร ไม่ได้หมายความว่า มีหัวข้ออะไร แต่ถามว่าคืออะไร สิ่งที่เราจะจำไป (การบำเพ็ญ) ตอบถูกหรือยัง เกือบถูกแล้วนะ (ความศรัทธาจริงใจ, การตังปณิธานแน่วแน่ที่จะปฏิบัติให้ได้) ผลไม้หนึ่งพานนี้ ต่อให้ทั้งพานนี้คือสาลี่ ต่อให้ในพานนี้มีผลไม้หลากหลายแต่สิ่งที่ต้องจำคือ นี่คือผลไม้
ธรรมฟังไปสามวัน สิ่งที่ต้องจำคือธรรมที่เรานั้นจะเอาไปปฏิบัติ ฟังไปหมดสามวันนี้ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวถึงขนาดเก็บมาพูดเป็นฉากๆ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งกว่าคนที่มาพูดข้างหน้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากทุกอย่างที่เราฟังไปรู้สึกว่าดีนั้น เราไม่ได้เอามาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องกลับไปแล้วทำก็คือกลับไปปฏิบัติธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก)
“ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว”
หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่โดยปกติแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดี แต่วันดีคืนดีก็มีเรื่องขึ้นมา พอเรื่องจบไปเรื่องหนึ่งแล้วก็มาเรื่องใหม่อีก ปัญหาชีวิตครั้งใหม่มาอีกแล้วก็จบไปอีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าบางคนนั้นไม่ใช่มีเรื่องเฉยๆ แต่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมถึงบอกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะว่าคนนั้นมักจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ชอบหาเรื่องอย่างเช่น เห็นคนอื่นอยู่ด้วยกันเราก็ชอบยุยงให้เขาแตกแยกกัน อย่างนี้เคยเห็นไหมคนประเภทนี้ (เคยเห็น) เห็นคนอื่นเขาทำอย่างนี้แล้วไม่ถูกใจก็ไปว่าเขาอย่างนี้ถือว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยนไหม (ใช่) เวลาที่เราทำอะไรแล้วมีเรื่องก็เพราะว่าเราไปยุ่งกับคนอื่น ทำไมเราถึงไม่ยุ่งกับตัวของเราเอง แปลกไหม ใครบ้างที่เรามีสิทธิ์ที่จะยุ่งได้ ตัวเราเองมีสิทธิ์ที่จะยุ่งด้วยมากที่สุดใช่หรือไม่ รองลงมาคือใคร (ครอบครัว, ลูกและสามี, คนรอบข้าง, ญาติพี่น้อง, บิดามารดา, คนในปกครอง)
มีคนกลัวอาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์นี่ถ้าเรียกเป็นภาษาสามัญก็คือ ครู ครูถือพัดไม้ ไม่ได้ถือไม้ กลัวโดนตีด้วยหรือ จะบอกให้ว่านอกจากตัวเราเองแล้วไม่มีใครจะยอมให้เรายุ่งด้วยเลยใช่หรือไม่ (ใช่) คิดดูดีๆ แม้กระทั่งลูก ตอนที่เราเป็นลูก เราอยากให้พ่อแม่ยุ่งกับเราไหม (ไม่อยาก) พ่อแม่โดนลูกบังคับมากๆ เคยเห็นในปัจจุบันไหม ตอนนี้คงจะได้เห็นลูกบังคับพ่อแม่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีแต่เดี๋ยวนี้มีแล้ว ลูกบังคับพ่อแม่ถามว่าพ่อแม่อยากให้ลูกยุ่งไหม ความจริงก็ไม่อยาก ฉะนั้นคนที่เราควรจะยุ่งด้วยมีอันดับเดียวและเป็นอันดับสุดท้ายก็คือตัวเราเองเท่านั้น ยุ่งกับตัวเราแบบไหน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีอารมณ์มากขึ้นทุกวัน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีกิเลสมากขึ้นทุกวัน การยุ่งแบบนี้ทำให้ยุ่งแล้วไปนิพพานไหม การยุ่งอย่างนี้แล้วทำให้เราไปสวรรค์ไหม (ไม่ไป) ยุ่งไปไหน (ไปนรก) ยุ่งวนเวียนกันอยู่ในโลกมนุษย์นี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยุ่งให้จิตใจของเรานั้นเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องยุ่งให้น้อยๆ ลง ยุ่งในแง่ของกิเลสตัณหา ยุ่งในแง่ของความอยากปรารถนา ยุ่งในแง่ของความโลภให้น้อยลง แต่ให้ยุ่งในด้านการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น ยุ่งในแง่ของการทำจิตใจของตัวเองให้สบายมากขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าไม่มีเรื่องก็อย่าไปหาเรื่อง แล้วเวลามีปัญหาอย่าไปกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัวเสียบ้าง อย่าให้รู้สึกเหมือนตัวเองสบายๆ อะไรก็ไม่กลัว อย่างนั้นถือเป็นความประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นยามไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัว กลัวว่าจะมีปัญหาเกิด แต่ถ้ามีปัญหาเกิดเราจะทำอย่างไร (แก้ไข) ถูกหรือยัง อาจารย์จะให้มีแนวตรงกันข้าม (อย่ากลัว, วิ่งเข้าหา, อย่ามีเรื่องจะได้ไม่กลัว, เหมือนไม่มีเรื่อง) ใช่แล้ว เวลามีเรื่องก็เหมือนไม่มีเรื่อง
กลัาคิดต้องกล้าพูดหรือพูดออกมาแล้วกลัวไม่ดีหรือเปล่า ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้นินทาใคร เป็นสิ่งที่ดีแต่ใช้ความคิด ใช้ปัญญา
“ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี” ทำเหมือนไม่มีคือไม่มีอะไร อันนี้ต้องไปทำความเข้าใจแล้วคิดต่อให้จบนะ ประโยคสุดท้ายนี้เป็นประโยคที่ทำยากใช่หรือเปล่า เวลาคนมีเรื่องอย่างแรกคิ้วจะขมวด จะทำเป้นไม่มีอะไร ทำยากใช่หรือไม่ (ใช่) ปัญหายิ่งหนัก ยิ่งมาก แต่ยิ่งต้องพยายามทำ ต่อให้ไม่สบายใจ ต่อให้เรากลุ้มใจ ต่อให้เราวิตกกังวลไปต่างๆ นานา ปัญหาก็ไม่ใช่ว่าจะจบ แต่สิ่งที่ทำให้ปัญหาจบคือการแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่สามารถจะบอกให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงได้ มีแต่บอกให้ตัวเองเปลี่ยนแปลง ตัวเรากับปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเราอยู่ตรงไหน สมมติว่าอาจารย์เป็นตัวของศิษย์ และศิษย์เป็นปัญหาของอาจารย์ ก็จะดูว่าสิ่งที่เป็นปัญหาระหว่างอาจารย์กับตัวปัญหาคืออะไร ตรงไหนเป็นปัญหาก็แก้ไข ตรงนี้เป็นปัญหาเข้าไปแก้ไข เมื่อแก้ไขจบแล้วปัญหาก็เบาไป เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรามากกว่าขึ้นกับผู้อื่น เมื่อคนอื่นเห็นเราแก้ไขแล้วคนอื่นเขาจะแก้ไขสิ่งที่คนอื่นเป็นไหม (แก้) ศิษย์คิดดูดีๆ ว่าเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน ศิษย์มีอัตตาหนึ่ง คนตรงข้ามมีอัตตาหนึ่ง คนตรงนั้นมีอัตตาหนึ่ง ทุกคนมีอัตตาพร้อมกันขึ้นมาแค่คนละหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญหาใหญ่โต ถ้าทุกคนยอมถอยคนละหนึ่งก้าว ปัญหาก็จะลดน้อยลง ถ้าศิษย์ยอมถอยหนึ่งก้าว คนๆ นั้นเขาเห็นศิษย์ยอมลดอัตตาแล้ว เขาอยากลดไหม (อยาก) ศิษย์คิดว่าอยู่กับอัตตามีความทุกข์ไหม (มี) อยู่กับความสบายใจมีความทุกข์ไหม (ไม่มี) อยู่กับความสบายใจไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครอยากจะมีอัตตา ไม่มีใครอยากจะโกรธอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกลียดอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะแค้นอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกิดความชังอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าให้คิดให้ดี แม้กระทั่งในเวลาที่ศิษย์เกิดอารมณ์โมโหขึ้มาจริงๆ แล้วศิษย์ก็ไม่อยากมี เพราะว่าอารมณ์โมโหนั้น ทำให้เรารู้สึกร้อนแม้อากาศเย็นหรือว่าความรู้สึกชังทำให้เราหนาวจับขั้วหัวใจทั้งที่อากาศร้อน แสดงว่าตัวเราไม่ปกติ อารมณ์ไม่ปกติที่มีจิตใจที่ไม่ดีทำให้เรานั้นป่วย ถ้าหากว่าเราเกิดความรู้สึกร้อนภายในคือเกิดความโกรธ ในขณะที่อากาศนั้นหนาวเย็น ร้อนจะเผาผลาญตนเอง จิตใจของเราเต้นแรง หูตาของเราพล่ามัว ถามว่าคนๆ นี้สุขภาพดีไหม (ไม่ดี) ศิษย์รู้ไหมว่าหลายๆ คนป่วยด้วยโรคของจิตใจ จิตใจของเราป่วย ป่วยแบบอารมณ์โกรธครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่และครั้งที่ห้า วันหนึ่งโกรธกี่ครั้ง (หลายครั้ง) หนึ่งปีโกรธกี่ครั้ง (หลายๆ ครั้ง) สามร้อยหกสิบห้าคูณ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว คูณด้วยอายุตัวเอง โรคที่สะสมอยู่ในจิตใจมีมากไหม (มีมาก) แล้วเราว่าเราป่วยไหม (ป่วย) จริงๆ แล้วเราสุขภาพแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง) ไม่แข็งแรงหรือ จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังแข็งแรงอยู่แต่ไม่ได้มาตรฐานของความแข็งแรง ถ้าเรามีจิตใจที่สบาย จิตใจที่มีความดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ เหมือนคนเขาบอกว่ามีอากาศดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงไหม สุขภาพจิตแข็งแรง สุขภาพกายแข็งแรง เลือกอะไรแข็งแรงมากกว่ากัน (สุขภาพจิต) สุขภาพจิตแข็งแรงเป็นพื้นฐานของความแข็งแรงทั้งหมด ถ้าหากทำได้บางคนที่ป่วยอยู่เป็นโรคที่ทำไมหาหมอไม่หายสักที โรคแบบนี้มาจากจิตใจที่ไม่แข็งแรง มาจากจิตใจที่ไม่สะอาด มาจากจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นตรวจที่ร่างกายจึงไม่พบต้นเหตุของโรค อยากให้แข็งแรงกว่านี้ ก็ทำจิตใจให้สะอาดกว่านี้ ดีหรือไม่ (ดี) แต่ไม่ใช่เปลี่ยนจิตใจให้แข็งแรง แล้วร่างกายแข็งแรงทันที เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ยานี้รักษาโรคอันนี้เป็นยาที่อยู่ที่อารมณ์ของเราเอง อาจารย์กล้าบอกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีคนไหนไม่เป็นโรค เป็นคนละนิด รักษาตัวเองดีไหม (ดี) เมื่อรักษาจิตใจให้แข็งแรงได้ย่อมสามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ และบำเพ็ญธรรมได้ก็บรรลุเป็นพุทธะได้ ข้อดีหลายต่อยิ่งกว่าซื้อของในโลกมนุษย์แล้วลด แลก แจก แถมอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เอาไม่เอางานนี้ (เอา) เสี่ยงไม่เสี่ยง (เสี่ยง) เสี่ยงไม่เสี่ยงขึ้นอยู่กับตัวเอง ตอบอาจารย์ตอนนี้บอกเสี่ยง กลับไปบ้านแล้ว เอาไว้ก่อน ทำไมหนอ เพราะว่าเราไม่ได้เกิดความซาบซึ้งในธรรมะจริงๆ เป็นความซาบซึ้งเพียงเปลือกนอก เป็นการฟังธรรมะแล้วแค่รู้สึกว่าดีเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาไปปฏิบัติ จึงยากที่จะกลับไปบ้านแล้วบำเพ็ญต่อได้ ถ้าหากว่าทำได้ ไปอยู่กับอาจารย์ ถ้าหากทำไม่ได้ไปไหน (กลับบ้าน) ถามว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้ บ้านนี้กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ก่อนหน้ามาก็มีอยู่แล้ว อากง ทวด เคยอยู่บ้านหลังนี้ แล้วตอนนี้ทำไมเขาไม่อยู่แล้ว เพราะว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านจริงๆ เราจะกลับมาอยู่บ้านนี้เราต้องเป็นอย่างไร ชาตินี้เราเป็นคน เราอยู่บ้านนี้ ชาติหน้าถ้าอยากกลับมาอยู่บ้านนี้อีก ถ้าไม่ใช่หลาน เหลน โหลน ก็กลับมาเป็นตุ๊กแกเกาะฝาผนังดีไหม (ไม่ดี) ถ้าหากว่ายังหมกมุ่น ถ้าหากว่ายังมีอะไรที่เวียนว่ายอยู่ในอารมณ์ตอนนี้ ก็ให้รู้ไว้ว่าเราก็คนต้องเวียนว่ายอย่างนี้ ชาติหน้าอาจเกิดเป็นตุ๊กแกก็ได้ เกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัว เพราะว่าคนเป็นจิตญาณใหญ่ กลมใสที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ตุ๊กแกเป็นจิตญาณเล็กๆ ถ้าเกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัวนะ ถ้ารักบ้านหลังนี้มาก
ในตอนแรกที่เรามาสถานธรรม มีหลายครั้งเราเกิดความรู้สึกงงว่าคืออะไร ทำอะไรกัน มีที่เป็นมาอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง วันนี้ได้ฟังหัวข้อพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ก็ได้รู้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้นว่าเบื้องหลังในสิ่งที่เราเห็นมีการเสียสละจากคนมากมาย ที่เขาล้วนฝืนวัฏสงสาร ฝืนร่างกายนี้ดับสิ้น ไม่ได้รอแต่ว่ามีใครบ้างที่คิดจะสืบทอดไป คนมีปณิธานใหญ่สืบทอดธรรมะช่วยงานธรรม คนมีปณิธานเล็กก็คือทำตัวเองให้ดีๆ ฉะนั้นคนเราบางคนเกิดมายิ่งใหญ่ บางคนเกิดมากระจ้อยร่อย บางคนเกิดมาไม่มีใครรู้ว่าเกิดตาย ตายไปไม่มีใครรู้ว่าตาย เพราะอะไร ชะตาชีวิตลิขิตกำหนดให้เป็นเช่นนั้นไหม หรือว่าเรามากำหนดชีวิตของตัวเราเอง พรหมลิขิตในชีวิตเราเป็นอย่างนั้นหรือว่าเรากำหนดชีวิตของตัวเอง (เรากำหนดชีวิตของตัวเอง) ลองย้อนกลับไปข้างหลัง วีรชนผู้เก่งกล้าทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่สละชีพ พวกเขาเหนื่อยไหม พวกเขามีความยากไหม (มี) แล้วลองดูตัวเราในตอนนี้ ยังมัวแต่ห่วงตัวเองอยู่เลย มนุษย์ชอบพูดว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วค่อยไปคิดช่วยคนอื่น ถามให้ตอบอย่างซื่อๆ ตรงๆ ว่าเมื่อไรรอด ตอบได้ไหม (ไม่ได้) ไม่มีวันนั้น แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เสียสละเพื่อส่วนรวมทั้งหลายยังไม่สามารถฝืนอาการเจ็บป่วยไปได้ ในขณะที่เขาเสียสละชีวิต ในขณะที่เขาเหนื่อยนั้นเขาก็มีความเจ็บป่วย ในขณะที่เขายอมทนเพื่อคนอื่นนั้น เขาก็มีภาระที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาตกได้เช่นเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังอดทนช่วยพวกเราขึ้นมา ฉะนั้นถ้าหากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็จำเป็นที่จะต้องทนต่อความยากลำบากและหัดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่ตนเองยังทำไม่ค่อยได้ก็ตาม ต้องพยายาม ต้องช่วยเหลือผู้อื่น อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้มีความเมตตา มีมหาเมตตาช่วยเหลือผู้ที่ตกยากกว่าตน ช่วยเหลือผู้ที่อวดทะนงกว่าตนให้เขาได้รู้สำนึก เพราะว่าเรานั้นก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา และยังมีคนที่เหนือกว่าเรา เลือกเอาที่ตนเองช่วยได้ ช่วยเมื่อโอกาสเปิด ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าสามารถนำพุทธระเบียบในสถานธรรมไปใช้กับคนข้างนอกได้ เราจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจริยมารยาทมากเลย เพราะมีคนเชิญเรานั่งบ่อยๆ แต่เราเคยเชิญให้ผู้อื่นนั่งหรือเปล่า ก็มีน้อยครั้งเหมือนกัน ใช่หรือไม่ ถ้าเรานำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะเป็นคนที่มีความน่ารักมีจริยมารยาท ความอ่อนน้อมที่ขาดหายไปในสังคม ขาดแล้วขาดอีกให้เพิ่มแล้วเพิ่มอีก
ในสองวันนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้อะไรเลย อาจารย์เตือนไว้ก่อน วันนี้วันสุดท้ายเรียกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายไม่เอาก็อย่าเอา ใช่ไหม วันนี้วันสุดท้ายแล้วใครสามารถตอบคำถามได้ก็ให้ตอบ หากใครอยากได้ผลไม้ก็ช่วยตอบแล้วช่วยเอาผลไม้บนโต๊ะนี้กลับไปบ้านดีหรือไม่ (ดี)
หลังจากวันนี้กลับไปจะเริ่มทำอะไรเป็นสิ่งแรก (ทานเจ, ทำความดี, ปฏิบัติธรรม) เอาแบบพูดได้แล้วทำได้ (ปฏิบัติธรรม, ทบทวนตัวเอง, บำเพ็ญตนตามพระโอวาท, ปรับปรุงตัวเอง)
“เหงาหงอยในคน ยกตนไปสูงเหนือใคร” คนที่เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่ง และมีความสามารถ ส่วนใหญ่แล้วก็คือยกตัวเองขึ้นมาหรือว่ายกย่องตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นลักษณะของคนที่ชอบยกย่องตนเองว่าเก่งและมีความสามารถ ส่วนคนที่มีความสามารถจริงๆ นั้นรอให้ผู้อื่นยกย่องใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าเวลาที่เรายกย่องตัวเองขึ้นไปสูงมากๆ ตัวเราเองก็จะโดดเดี่ยวเอกา เราก็จะลำพัง ฉะนั้นคนที่ยิ่งมีความสามารถ ยิ่งต้องอยู่กับคนที่เราเข้าใจว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อจะได้ชี้แนะเสมอๆ เห็นเขาผิดตรงไหนก็จะได้ชี้แนะ ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนขึ้นมาวงคำในพระโอวาท)
มาฟังธรรมสามวันแล้วก็ค่อยตรองดู พิจารณาดูแล้วเลือกว่าเราจะบำเพ็ญหรือเปล่า ไม่ใช่บำเพ็ญตามใครคนหนึ่งที่บอกเราให้บำเพ็ญ แต่พอเข้ามาแล้วคนแนะนำก็เรื่องหนึ่ง ตัวเราก็เรื่องหนึ่ง เราบำเพ็ญสร้างกุศลให้ตัวเราเอง ทางก็เป็นของเรา มัวแต่ติดในตัวบุคคล เราบำเพ็ญก็บำเพ็ญให้คนอื่น เข้าใจไหม ตัดสินใจด้วยการตรองทุกเรื่องที่ผ่านมา สมใจตรองไว้อย่าดีใจเกิน เสียใจตรองไว้อย่าเสียใจเกิน
“การปรองดอง” ปรองดองระหว่างกายกับใจ โรคจะได้หาย ปรองดองระหว่างธรรมะกับจิตใจของเรา ปรองดองระหว่างทางบ้านกับตัวของเรา ปรองดองกับผู้คนที่เราอยู่ร่วม ปรองดองให้โรคในใจหาย โรคภายนอกหาย ปรองดองให้ทุกอย่างดีขึ้น ดีหรือไม่ (ดี) แต่ปรองดองต้องใช้ปัญญา ต้องมีปัญญาในการที่จะนำตนเองเดินไป ฟังอะไร คิดอะไร พูดอะไร หลังจากวันนี้ศึกษาให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก เราจะได้ขึ้นมาอย่างมั่นคง ดีไหม
อาจารย์เปรียบศิษย์เป็นเลือด ขาดศิษย์ไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่บำเพ็ญอาจารย์ต้องตายแน่ๆ เลย ให้อาจารย์ตายไหม ตายแล้วตายอีก เวลาที่อาจารย์มีศิษย์ ศิษย์ทุกคนเหมือนเป็นเลือดของอาจารย์ แม้อาจารย์เป็นพุทธะ ไม่มีเลือด แต่ทุกคนในที่นี้เปรียบเหมือนเลือด รักศิษย์เหมือนดังรักเลือดของตัวเองทีเดียว ฉะนั้นฝากความหวังไว้ที่เราบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมให้มาก
(อาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง : เงาที่หายไป” และสอนร้อง)
วันนี้คนอายุมาก อาจารย์ให้วงคำว่า “เข้มแข็งใจสู้” หมายความว่าเรายิ่งอายุมาก ชีวิตของเราก็สั้นลง โดยไม่ต้องรู้ว่าชีวิตของเราจะดับไปเมื่อไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เรารู้อยู่แล้วชีวิตสั้นลง ฉะนั้นทุกๆ เวลาๆ ทุกๆ นาทีที่เหลือมีค่ายิ่งกว่าทอง ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เข้มแข็งต่อสู้ เพราะเราเป็นคนอายุมาก ส่วนคนที่อายุน้อยยิ่งต้องรักษาโอกาส ฉวยโอกาส คิดจะทำอะไรให้เร่งทำ ส่วนคนที่อายุมากนั้นอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบทำไป เลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่ควร บางครั้งเรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ก็ต้องทำให้สำเร็จก่อน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจึงทำใช่หรือเปล่า ทีนี้เราจะมองเรื่องสองเรื่องนี้ เราจะมองเห็นได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอันไหนเราต้องพยายามทำให้เสร็จ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไหนเราต้องมองก่อน รู้ก่อน ต้องแยกแยะด้วยอะไร (ปัญญา) ใช่ต้องแยกแยะด้วยปัญญา
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายชื่อเพลงพระโอวาท “นกบนฟ้าปัญญาในใจ”)
มีนกตัวหนึ่งอยู่บนฟ้าไม่รู้บินมาจากไหน มาอยู่เป็นเพื่อนเรา เราเป็นผู้ที่มีความเคว้งคว้างในจิตใจ แม้เราจะยกตนสูงเหนือใคร แต่ว่าอะไรอยู่สูงกว่า (นก) แต่นกก็ยังยอมลงมาอยู่กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) นกเห็นเราเหงา นกลงมาอยู่เป็นเพื่อน พอเราพลิกฟื้นจิตที่เคยหลงไปให้มาบำเพ็ญ เราเป็นคนบนดิน เราต้องบำเพ็ญให้ติดดิน นกตัวเดิมบินลงมาตรงหน้าเรา ปลดปล่อยความมืดมนออกไป คนที่ไม่มีอัตตาสูงเกินไป คนที่ไม่มีทิฐิ คนที่รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อยวาง จิตใจนี้ก็จะโล่งสบาย
“ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย” ชีวิตของเราเป็นชีวิตของศิษย์จริงๆ แต่ว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะถอยไปจากชีวิตนี้ คนที่ถอยเป็นอย่างไร เคยเห็นคนที่โดดตึกตายไหม คนที่กินยาตาย คนที่ฆ่าตัวตาย นี่คือคนที่ถอย เขาเอาความทุกข์ทั้งหมดใส่ยาแล้วกินเข้าไป รู้ไหมว่าเอาความทุกข์ทั้งหมดไปโดดตึกครั้งเดียว แต่เจ็บไหม (เจ็บ) เจ็บมาก ยาที่กินเข้าไปครั้งเดียว แต่ทรมานไหม (ทรมาน) ทรมานมากมายทีเดียวพอถอยก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงบอกว่า ชีวิตของศิษย์ไม่มีสิทธิ์ถอย คนที่ไม่ถอยเป็นอย่างไร ก็ชนะจิตใจของตัวเอง เราชนะมาทั้งหมด ทำการค้าก็ชนะ คุยกับใครก็ชนะ แค่มองตาเรายังชนะ แต่ว่าไม่ชนะอยู่อย่างหนึ่ง คืออะไร จิตใจของตัวเอง แพ้อยู่เรื่อยเลย ใช่ไหม อยากจะได้เสื้อสีชมพูก็ต้องไปซื้อสีชมพู ซื้อสีเหลืองไม่ได้ อยากจะได้เงินทองก็ต้องไปหาเงินทอง ไม่เอาไม่ได้ ลูกไม่เชื่อฟังก็ตี ให้เขาฟังเราให้ได้ใช่ไหม (ใช่) สามีไปนอกใจก็ดิ้นรนจะตายให้ได้ นี่คือคนที่ไม่ชนะจิตใจของตัวเอง อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งใดที่อยู่นอกตัวบังคับไม่ได้ บังคับได้คือตัวเอง คนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้เป็นโรคอะไร โรคที่ขยับแขนขยับขาไม่ได้ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ใช่หรือไม่ นี่คือคนที่เป็นโรค แต่ว่าเราชนะจิตใจของตัวเอง ในเมื่อเราสามารถบังคับมือ บังคับเท้า บังคับอะไรก็ได้ เราต้องบังคับใจได้ ใช่หรือไม่
“ศึกษาย้อนรอย” ศึกษาย้อนรอยไปดูอะไร ศึกษาย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่นหรือเปล่า ศึกษาย้อนรอยไปดูความสมหวังของคนอื่นหรือเปล่า ใช่เราย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่น แต่ไม่ได้ดูเพื่อเยาะเย้ย แต่ดูว่าเขาผิดได้อย่างไร แล้วเราจะผิดเหมือนเขาไหม ย้อนรอยไปดูว่าเขาสมหวังอย่างไรแล้วเรามีสิทธิ์สมหวังไหม ย้อนรอยเพื่อไปดู ไม่ทำให้ชีวิตของเราล้มเหลวด้วยมือของเราเอง ให้ชนะทุกอย่างด้วยตัวของเราเอง
“รู้แล้วอย่ามัวเลื่อนลอย” ชีวิตของเราตอนนี้ ถ้าศิษย์นั่งเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี เคยเป็นไหม (เคย) ถ้าเช่นนี้แสดงว่าชีวิตของเราเลื่อนลอยเต็มที คนนั้นถ้ายิ่งนั่งอยู่เฉยๆ ยิ่งไม่มีงานทำ แต่ว่าคนยิ่งทำงานงานยิ่งมาก คนยิ่งไม่ทำงานงานยิ่งน้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้สึกว่าเราว่าง ให้เราลุกออกไปหา เป็นงานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง เป็นงานที่เราไม่เคยทำเลยยิ่งดี อย่างที่ผู้ชายบางคนไม่เคยทำกับข้าว ถ้าหากวันไหนไม่รู้จะทำอะไรดี ก็ไปทำครัวดีไหม (ดี) เหมือนเหลาจู่ซือ ถ้าหากผู้หญิงไม่เคยขับรถไปขับได้ไหม (ได้) ไม่ได้ต้องไปกัดก่อน หากขับออกไปเลยเราอาจทำคนอื่นเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยก็ต้องไปหัด ผู้ชายหากไม่เคยทำครัว ทำครั้งแรกอร่อยไหม (ไม่อร่อย) ผู้หญิงไม่เคยขับรถ ไปกัดขับบนถนนใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าหากเราไปฝึกฝน งานก็จะมีมากขึ้น
“มุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม” มุ่งมั่นทำจิตใจของเราให้ดีงามไม่ว่าทำอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญก็คือ จิตใจที่ดีงามของเราเอง เพราะหากว่าจิตใจของเราดีงามแล้วทุกสิ่งย่อมดี มองไปที่ไหนก็ย่อมสวยงาม เห็นแดดร้อนๆ ก็ยังรู้สึกว่าแดดเป็นประกาย ไม่ใช่บอกว่าวันนี้เห็นแดดร้อนตามัวเลย
“นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา เรียกคนมาคลายหลงไปแม้ฟ้าจะสูงเพียงใด แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว” นกเปรียบเหมือนปัญญามาเรียกให้เราคลายความหลง ท้องฟ้าก็เปรียบเหมือนจิตใจ เพราะว่านกบินอยู่บนฟ้า ฉะนั้นสิ่งทีครอบคลุมปัญญาของเราก็คือจิตใจ ชีวิตไม่เคยยากเย็นเสียทีเดียว เพราะทั้งจิตใจและปัญญานั้นเป็นหนึ่งในชีวิตของเรา เราทำตัวเองนำทางไปทางไหน ชีวิตของเราก็ไปทางนั้น หากว่าคนที่ชอบเล่นการพนัน ชอบซื้อหวย เล่นไพ่ ชีวิตของเขาก็ไม่พ้นผีพนันใช่หรือไม่ ถ้าเราชอบช่วยคน ชอบเกื้อกูลคน คนๆ นี้อนาคตก็ไม่พ้นเป็นวีรชน อยู่ที่ว่าช่วยแล้วหวังผลตอบแทน ช่วยแล้วมีความก้าวหน้ามากแค่ไหน ค่อยนับเลื่อนขึ้นไปเป็นพุทธะทีละหน่อย
ท้องฟ้าเปรียบเสมือนจิตใจ จิตละเอียด ใจหยาบ คนเลี้ยงๆ ได้แค่กาย ปราชญ์นั้นหล่อเลี้ยงอารมณ์ให้นิ่ง เมธีนั้นเลี้ยงใจให้สะอาด อริยะนั้นเลี้ยงจิตให้สงบ ลองดูซิว่า ทุกๆ วันเราเลี้ยงอะไรบ้าง เลี้ยงคน, ตัว หรือเลี้ยงแค่กายหรือเปล่า (เลี่ยงแค่กาย) ฉะนั้นต้องเลื่อนขั้นตัวเองขึ้นมาอีก ปราชญ์ใกล้กับมนุษย์ที่สุด เรามาเลี้ยงอารมณ์ของเราให้เยือกเย็นดีไหม (ดี) คนที่เป็นคนอารมณ์เย็นอยู่เสมอๆ คนมักชอบที่จะรักใคร่ คบหา ถ้าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน ก็ไม่มีคนอยากจะคุยด้วย ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยด้วย เรามาสำรวจตัวเองว่าเวลาพูด เราพูดเสียงแข็งไหม เวลาเราพูดทำให้คนอื่นคิดมากหรือไม่ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นคิดมากต้องมาสำรวจตัว หากพูดแล้วทำให้เขาคิดไปในแง่ของปัญญาได้ จึงนับว่าเป็นคนที่พูดแล้วมีสาระ พูดแล้วทำให้คนคิดมากนี่ไม่ดี บางคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมอย่าคิดมาก แต่ไว้สอนตัวเอง อย่าบอกว่าคนอื่นอย่าคิดมาก เพราะว่าเราพูดไม่ดีเราต้องรู้ว่าเวลาพูดอย่าให้คนอื่นคิดมาก
จิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเราปรับอารมณ์ของเราได้ เราลองมาปรับใจของเราให้ดีแล้วค่อยเลื่อนขั้นพุทธะไป ทำจิตใจให้สงบดีไหม (ดี) ทำไมสมัยก่อนการนั่งสมาธิจึงมีประโยชน์ ทำไมสมัยก่อนการทำสมาธิจึงทำให้คนบรรลุได้ เพราะว่าการฝึกจิตเป็นลำดับสุดท้ายของการฝึกทั้งมวล เพราะฝึกมาทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ทำจิตให้สงบเท่านั้นเอง ถึงเวลาเขาบรรลุต้องบรรลุ แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ นั่งหลับตาแต่จิตใจคิดไปเรื่อย ถือโอกาสนั่งหลับ ฉะนั้นจึงไม่เหมือนกัน จะบอกว่าคนสมัยก่อนนั่งสมาธิไม่บรรลุไม่ได้ พูดไม่ได้เสียทีเดียว แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ คือนั่งแล้วจิตใจไปเรื่อย สงบจิตไว้ก่อน แต่พอออกสังคมก็วุ่นวายไว้ก่อน อย่างนี้ไม่มีประโยชน์
ชีวิตไม่ได้ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็ไม่งายใช่หรือเปล่า (ใช่) ยากกับง่ายใครกำหนด (ตัวเรา) ตัวเราเป็นผู้กำหนดชีวิตให้ยากหรือให้ง่ายนะอย่าลืม
อยู่กับอาจารย์ อาจารย์เป็นพุทธะ ฉายาของอาจารย์ “พุทธะเดินดิน” อาจารย์ยังมาเดินอยู่บนดิน ศิษย์ของอาจารย์ก็ให้บำเพ็ญติดดินให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อุปสรรคอยู่เบื้องหน้า ชัยชนะอยู่เบื้องหลัง”)
คนทั่วๆ ไป เวลาอยากจะสำเร็จมักจะคิดถึงชัยชนะก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วอะไรมาอยู่ข้างหน้าของเราก่อนชัยชนะ (อุปสรรค) สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเราคืออุปสรรคให้คิดถึงอุปสรรคก่อนแล้วชัยชนะที่อยู่เบื้องหลังนั้น ก็จะมาแทนที่อุปสรรค ตอนนี้เฉพาะหน้าอุปสรรคอยู่เบื้องหน้า แต่ชัยชนะนั้นอยู่เบื้องหลังไปก่อน ถ้าเราใช้ความพยายามมาก อุปสรรคก็ไปอยู่ข้างหลัง แล้วชัยชนะก็มาอยู่เบื้องหน้า ไม่มีอะไรที่ยากเย็นเกินคนที่พยายาม แม้กระทั่งคนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะนั้น ก็ไม่ได้ยากเกินไป อย่าคิดว่าตัวเรานั้นทำไม่ได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ เพราะว่าครั้งหนึ่งอาจารย์ก็เคยเกิดเป็นคนมาแล้ว แล้วอาจารย์ก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ตอนนี้เป็นคนก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เป้นคนประเสริฐกว่าสิ่งใดทั้งมวล ที่เห็นมีร่างกายเหมือนกันก็คือสัตว์ สัตว์มีร่างกาย ศิษย์มีร่างกาย แต่ศิษย์ประเสริฐกว่า เพราะว่ามีความคิด มีปัญญา เทวดาไม่มีร่างกาย มนุษย์มีร่างกาย มนุษย์ประเสริฐกว่า ผีนรกนั้นชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นมนุษย์ยังทำกรรมอยู่ ถ้าหากว่าเราทำกรรมมาก วันหนึ่งเราก็ต้องชดใช้กรรมก็ไม่ต่างกับผี ฉะนั้นตอนนี้ทำความดีหรือความชั่วก็ต้องรู้อยู่กับตัว เราต้องเลือกอนาคตของเราตั้งแต่วันนี้ อันว่าคนนั้นสามารถสำเร็จเป็นพุทธะ อันว่าพุทธะองค์นั้นเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ ในศิษย์ของอาจารย์นั้นพยายามเริ่มตั้งแต่คนที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นต้นไป ไปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เมตตา เป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นโพธิสัตว์น้อยๆ เป็นอรหันต์น้อยๆ แล้วเป็นอรหันต์ใหญ่ๆ ในวันข้างหน้าดีหรือไม่ (ดี) ถ้าหากว่าวันนี้ ศิษย์เดินไปทางไหน คนยกมือไหว้ แสดงว่าเรานั้นมีคนนับถือ ถ้าหากว่าวันนี้เราเดินไปทางไหน คนเชิดใส่ แสดงว่าเราอะไร โพธิสัตว์คนอยากเจอ มีแต่ผีเท่านั้นคนไม่อยากเจอ คนเห็นเราแล้วกลัวแสดงว่าเราไม่ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์ แสดงว่าเรากำลังบำเพ็ญเป็นผี เพราะฉะนั้นตอนนี้ดูว่าเราเดินไปทางไหนมีคนทักเราไหม (มี) แล้วตอนที่เขาทักเรานั้นเขายิ้มหรือไม่ ตอนนี้เราทำอะไร วันหน้าก็คือสิ่งนั้น ตอนนี้ให้ตั้งใจทำให้ดีให้งาม ไม่ต้องคิดว่าเวลาเราทำดี คนอื่นจะต้องมาตอบแทนดีกับเรา หรือบางคนบังคับให้คนไหว้ได้ แต่จิตใจของเขาไม่เคารพ อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นเราควรให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติหล่อเลี้ยงทุกสิ่ง ให้ธรรมชาติหล่อเลี้ยงใจของศิษย์ ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเป็นธรรมชาติ มาที่นี้ไม่มีใครสามารถบังคับให้ศิษย์ทำอะไรได้ บังคับให้กินเจก็ไม่ได้ คนที่ต้องบังคับก็คือตัวเราเอง ขอให้รู้จักละอายต่อบาปที่เราสร้าง รู้จักที่จะทำดีให้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไป อาจารย์หวังในตัวศิษย์มากมาย
บ่ายโมงแล้วนะ อาจารย์ไม่อยากรบกวนศิษย์มากเกินไป วันนี้อาจารย์มีความสุขมากที่เห็นศิษย์แม้ว่าจะน้อยแต่ว่ามีคุณภาพ ศิษย์เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสี่พระองค์ยังให้โอวาทยาวขนาดนี้ จนอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์คงเป็นผู้มีภูมิธรรมมาก ส่วนจริงๆ แล้วเรามีภูมิธรรมแค่ไหน เราคงต้องเป็นผู้ตัดสินตัวเราเอง
พุทธะเกิดมาบนโลก แต่พุทธะไม่ยอมบำเพ็ญต่อ แม้ว่าจะสูงเกียรติยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์
อาจารย์มอบกำลังใจให้ศิษย์ทุกๆ คนทุกๆ เมื่อ คนลำปางทุกๆ คน ทุกๆ วันที่อยากได้กำลังใจ ทุกๆ นาทีที่อยากได้กำลังใจ
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ มีบุญแล้วต้องรู้จักใช้ในทางบำเพ็ญด้วย บุญกุศลนี้หมดไปได้ ร่อยหรอลงได้ ขอให้ตั้งใจนะ อาจารย์รอศิษย์อยู่นะ แต่ไม่รู้ว่ารอครั้งนี้เสียเปล่าหรือเปล่า ขอให้ความหวังของอาจารย์สำเร็จที่ตัวศิษย์ รักสามัคคีกันให้มาก อย่าทะเลาะเบาะแว้ง มาบำเพ็ญร่วมกันก็ขอให้เดินทางธรรมร่วมกัน ขอให้อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ชั่วฟ้าดินสลาย อย่าทอดทิ้งอาจารย์นะ
มีเวลาว่างมาสถานธรรมนะรู้ไหม บำเพ็ญใจอยู่ที่บ้านบำเพ็ญยากก็ให้พยายามแม้เหตุการณ์ไม่เป็นใจก็ต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองมากๆ เข้าใจไหม รีบๆ บำเพ็ญนะ อายุมากแล้ว รีบๆ บำเพ็ญ ทำอะไรได้ก็ให้รีบๆ ทำได้แล้ว
ขอให้ครั้งนี้เจอกันเป็นครั้งแรกและมีครั้งต่อไป มีเวลาว่างศึกษาธรรมะให้หนักๆ พบสิ่งใดชอบใจ ไม่ชอบใจต้องใช้ปัญญาแยกแยะ
รักษาตัวให้พ้นมารพ้นภัย รักษาใจให้สะอาดๆ อาจารย์หวังว่าทุกครั้งที่อาจารย์เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นคนที่มีความสะอาดพร้อม หวังว่าทุกๆ ครั้งที่เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นศิษย์อาจารย์ ยอมรับอาจารย์ในหัวใจ หวังว่าศิษย์นั้นยอมให้จิตใจของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น อาจารย์อยู่ในใจศิษย์ต่อเมื่อศิษย์นั้นมีอาจารย์ในหัวใจ อย่าคิดว่าการทำดีนั้นยาก อย่าคิดว่าการเป็นพุทธะลำบาก อาจารย์รับประกันว่า ถ้าศิษย์พยายามย่อมที่จะไปถึง ขอให้ทุกคนนั้นแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี นิสัยที่ไม่ดีเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มลงมือทำอะไร ให้มองเห็นในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ดีอยู่เพื่อให้นิสัยของเรานั้น ความประพฤติของเรานั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น เพื่อให้ความประพฤติของเรานั้นเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น
สังคมการบำเพ็ญธรรมนั้นยังเป็นสังคมแคบ เมื่อเทียบกับสังคมมนุษย์ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมนั้นยังบำเพ็ญอยู่บนทะเลทุกข์ จึงขอให้ทุกๆ คนอดทนและพยายาม เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในธรรมะที่ศึกษา มีเวลาแบ่งเวลามาสถานธรรมให้มาก อย่าทอดทิ้งกลางคัน อย่าล้มเลิกกลางคัน ถ้ารักอาจารย์ก็ตามอาจารย์มาละกันนะ
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2542
2542-06-12 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
PDF 2542-06-12-เหยรินเต๋อ #12.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
มหาฤกษ์เบิกชัยในสถาน ประชุมงานฟ้ามนุษย์ร่วมกันจัด
วิสุทธิอาจารย์เบิกธรรมชี้ทางลัด ขอเร่งรัดตนเองบำเพ็ญจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในวันนี้น่ายินดีพบหน้ากัน ขอใจนั้นสุขุมนิ่งเบาสงสัย
ธรรมะแท้หรือเท็จล้วนอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใครนำกลับไปปฏิบัติ
ชีวิตหนึ่งดั่งภมรสุขกี่ครั้ง มิหยุดยั้งน้ำลงต่ำน่าสงสาร
อย่าปล่อยตนไม่ใส่ใจทรมาน รู้ซึ่งกาลแห่งฟ้าดินส่งสายทอง
ย้อนมองตนชีวิตหนึ่งใดสำคัญ จะเหหันไม่ถูกทิศชีพไร้ค่า
รู้จักที่ประมาณตนมากด้วยค่า กลับคืนสู่ที่มาไม่ทุกข์ตรม
ในวันนี้มาศึกษาธรรมกระจ่าง ขอจงสร้างบรรยากาศธรรมในตนด้วย
ในจิตใจเป็นพุทธะจะสำรวย มุ่งมั่นช่วยตนก่อนไปช่วยคน
ดูสิว่าเมื่อได้รู้จงปฏิบัติ รู้เคร่งครัดกับตนยากผิดพลาด
คนส่วนใหญ่ชอบดำเนินอย่างประมาท และเฝ้าขาดพิจารณาตนด้วยปัญญา
ในบัดนี้ประสบโอกาสพบธรรมแท้ ขอเร่งรีบแก้ไขตนอันเคยผิด
จะขึ้นหรือจะลงอยู่ขณะจิต ขอให้คิดถี่ถ้วนยอมบำเพ็ญ
ละกิเลสที่เคยกินไม่รู้อิ่ม ความอยากลิ้มชิมเท่าไรไม่รู้รส
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันมากำหนด แม้บรรพต๑ช่างสูงนักป่ายปีนถึง
ในยุคสามสำรวมใจให้แม่นมั่น บำเพ็ญนั้นต้องปฏิบัติสม่ำเสมอ
อย่าให้ปล่อยใจลอยไปพลั้งเผลอ แม้จะเจออุปสรรคผ่านด้วยใจ
สามวันนี้จงตั้งใจจะเรียนรู้ หมายเชิดชูจิตพุทธะมิทำเล่น
อันความสุขไม่มีซึ่งกฎเกณฑ์ มิโอนเอนตามใจตนนับว่าดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังว่าน้องคงตั้งใจขมันขมี
เมื่อรู้แท้ปฏิบัติแท้ไม่รอรี หวังว่ามีพุทธะเดินดินเพิ่มขึ้นมา
ประชุมธรรมงานพุทธะรักษากฎ ในใจคดดัดให้ตรงโดยถ้วนหน้า
สามัคคีรวมพลังระเบียบนา เป็นเมธาผู้สุขุมโดยทั่วกัน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
๑ บรรพต ภูเขา
วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน
หนึ่งเวลาสามารถกำหนดชีวิตคน ในฝึกฝนสามารถได้ความตื่นรู้
แปดคุณธรรมนำใจแท้ให้คงอยู่ เซียนเคียงคู่ความพากเพียรไม่ห่างไกล
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
แม้หลายปีบำเพ็ญยังต้องบากบั่น มากที่ผ่านอย่างคนกำลังท้อ
พ่ายหมายความไร้ทางน้ำตาคลอ กุศลต่อก็ล้างมืดสิ้นงงงวย
คนบากบั่นเดินคล้ายเสี่ยงกลับชนะ การฟื้นฟูใจพุทธะสติช่วย
ทนยิ่งนักจากกิเลสคอยอำนวย ใจล้มป่วยที่หนักฟื้นบริบูรณ์
อันสัทธรรมในเข้าใจควรลงแรง ปฏิปทา๑อันแอบแฝงอย่าให้สูญ
ปัญญามีต่างคำนึงถึงเกื้อกูล เชื่อใจพูนใจกันร่วมบำเพ็ญ
ฝึกกล้าแกร่งอดใจไม่คะนอง คนแม้ยากปรองดองในความเห็น
อย่าแต่งเติมสรรหาเกินจำเป็น แม้ลำเค็ญฝ่าปลุกคนโดยเมตตา
บำเพ็ญไปไม่หวั่นหลงโลกีย์นั้น สลัดฝันเกียจคร้านไม่ล่าช้า
ผิดถูกช่างคนใหม่ไม่ถือสา สู่ความหมดมัจฉริยะ๒หนาชื่อกังวาน
การนับถือผู้เพียรใช่แต่นับถือ นับถือคือกระทำตั้งใจตามอย่างท่าน
ปณิธานนำสื่อความงามมุ่งมั่น ท้อครามครันทำตามกำลังมี
ฮา ฮา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
มองสิ่งใดจงมองไปให้ถึงปลาย ดูสิ่งใดดูให้ถึงซึ่งแก่นแท้
ด้วยปัญญาพิจารณาย่อมรู้แน่ จริงเท็จแท้เกิดดับ ณ ใจตน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
อารมณ์ส่งผลให้ใจไม่ตรง โกรธาส่งห้ำหั่นล้างไม่ไว้หน้า
ธรรมทั้งมวลยุติภัยไม่พ้นเมตตา สืบดีงามใจฟ้าสันติพลัน
ขอความเป็นแรงใจให้ปรีดา ไม่อิจฉาต่างใจไม่ปิดกั้น
ช่วยกันหนาหนึ่งเวลาค่าอนันต์ กีดและกันชั่วกาลบาปราวี
พลีบำเพ็ญหลุดพ้นกงเกวียนมายา พลีบำเพ็ญพ้นชีวากงกรรมนี้
ก่อนอื่นให้ฤทัยมั่นคงที่ แลมุ่งมั่นจากนี้ตลอดไป
ปฏิปทาอันแกร่งใจต้องแกร่งคู่ วิญญูรู้ย้อนมองผลจากไหน
ปลุกตนตื่นดูคนยอมแก้ไข ไม่แต่มองอย่างไรดีปฏิบัติตาม
ร้ายมาดีสู่เส้นทางพุทธา พรจากฟ้าเสรีทุกข์พ้นข้าม
ความวิริยะส่งผลคืนใสงาม ชีวิตความยิ่งใหญ่เมื่อแจ้งญาณ
ดิ้นรนวนตายเกิดโลกดั่งเวที วนเวียนมิสิ้นสุดทางวัฏสงสาร
เพื่อพ้นไปต้องบำเพ็ญผ่านนานัปการ เวลาผ่านกี่มาลีมิทนรอ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียนและท่านหันเซียงจื่อ
ท่านหันเซียงจื่อ : คนมากอย่างนี้รู้สึกอึดอัดหรือเปล่า หรือคิดว่ามีเพื่อนมาศึกษาด้วย ใช่หรือไม่ สมัยก่อนนั้นการจะศึกษาธรรมะ ถ้าใครมีความตั้งใจจริงก็ต้องพยายามดั้นด้นแสวงหาไปให้พบจนได้ เมื่อพบแล้วการจะหาเพื่อนร่วมศึกษาก็เป็นการยาก ส่วนมากเมื่อใครตั้งใจแล้วคนๆ นั้นก็จะไปเพียงคนเดียว ไม่มีการเรียกเพื่อนพ้องเท่าใดนัก เพราะว่าการที่เราจะมีใจศึกษาธรรมได้นั้นต้องเกิดจากจิตใจภายในของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้เราได้ศึกษาธรรมร่วมกับหลายๆ คน เราย่อมมีเพื่อน การศึกษาจึงเป็นการศึกษาร่วมกัน ไม่ใช่นั่งศึกษาอยู่คนเดียวเหมือนดังแต่ก่อน
ท่านจงหลีเฉวียน : ร้อนไหม (ไม่ร้อน) มีพัดลมอยู่หลายตัว ร้อนหรือไม่ร้อน แล้วใจร้อนหรือไม่ร้อน (ไม่ร้อน) ใจร้อนกับอากาศร้อนอันไหนร้อนกว่ากัน นั่งฟังธรรมะครึ่งวันแล้วใจยังร้อนอยู่เช่นเดิมหรือไม่ (ไม่ร้อน) อากาศร้อนต้องใช้พัดลมช่วยปัดเป่าเพื่อให้หายร้อน เมื่อใจร้อนใช้สิ่งใดปัดเป่าให้หายร้อน (ธรรมะ) ธรรมะที่ท่านฟังในวันนี้สามารถปัดเป่าให้ท่านหายร้อนหรือไม่ (หายร้อน) ต้องมั่นใจต่อตนเองได้ ท่านคิดว่าใจท่านที่ยังอยู่ในขณะนี้เป็นใจที่ดีหรือไม่ (ดี) ท่านจะใช้ธรรมะปัดเป่าเพียงสามวันหรือมากกว่านั้น (มากกว่านั้น) ธรรมะปัดเป่าแล้วท่านใจเย็นสบายขึ้นท่านจะใช้ปัดเป่ากี่วัน (ทุกวัน)
ท่านหันเซียงจื่อ : เพราะชีวิตนั้นร้อนตลอดจึงต้องใช้ธรรมะปัดเป่าตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นหรือ แต่ถามเข้าจริงๆ ท่านก็คงไม่ใช้ธรรมะ เวลาใจร้อนก็ไปปรับอากาศให้เย็นๆ เปิดเครื่องทำความเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่ากายหรือใจร้อนอย่างไรก็ต้องไปหาสิ่งที่ตรงกันข้ามเพื่อดับให้เย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนรู้สึกว่าตนเองร้อนจึงเอาน้ำดับ ดับทั้งกายและดับทั้งใจแต่แท้จริงแล้วหาดับได้สนิทไม่ จะดับได้อย่างแท้จริงนั้นจะต้องดับที่ใจเรา เกิดจากตรงไหนก็ดับที่ตรงนั้น ดับที่ต้นเหตุไม่ใช่ดับที่ผล
ท่านจงหลีเฉวียน : อยู่กับเราทั้งสอง ทุกๆ ท่านจะต้องมีจิตใจที่เป็นสมาธิ จึงจะสมแล้วกับผู้ที่ต้องการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมอย่างแท้จริง ด้วยว่าทุกๆ ท่านนั้น ในชีวิตๆ หนึ่ง ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที คำว่าสมาธินั้นขาดหายไปจากจิตใจ อยากจะได้สมาธิสักครั้งหนึ่งก็ต้องจงใจไปนั่งสมาธิ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าในยามที่ท่านนั่งสมาธินั้นท่านได้สมาธิไหม (ได้) สมาธิของท่านเป็นสมาธิที่สมบูรณ์พร้อมหรือเปล่า (ไม่สมบูรณ์) เพราะว่าท่านนั้นนานๆ ฝึกฝนทีจึงไม่ใช่สมาธิอันแท้จริง ดังนั้นสมาธิไม่ใช่จงใจให้ท่านไปนั่งสมาธิ แต่ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีนั้น ท่านยิ่งต้องมีสมาธิเกิดขึ้นในขณะที่ท่านนั้นเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งนั่นเอง ท่านทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) หวังว่าหลังจากที่ท่านกลับไปจากวันนี้แล้ว ทุกๆ ท่านจะทำใจให้เป็นสมาธิได้ อันว่าสมาธินั้นเกิดทุกๆ ขณะที่เคลื่อนไหว ในขณะที่ท่านนั่ง ในขณะที่ท่านยืน ในขณะที่ท่านเดิน ในขณะที่ท่านนอน ทุกๆ ขณะจิตของท่านนั้นฝึกฝนสมาธิได้ ไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตา ภาวนาให้เกิดสมาธิ ยิ่งในขณะที่ท่านมีอารมณ์โกรธ โมโห ไม่ยินดี ไม่พอใจ มีความอยาก นั่นยิ่งเป็นการทดสอบใหญ่ว่าท่านนั้นแท้จริงแล้วมีสมาธิหรือไม่ บางคนบอกว่าความ โกรธนั้นต้องตัดให้ขาด แต่ในขณะที่เราจะตัดขาดจากความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความไม่ชอบใจนั้น ท่านสามารถมองเห็นตนเองได้ว่า สิ่งที่ท่าน ฝึกฝนมานานนับ อันได้แก่ สมาธิ ความรู้ตื่นนั้น ได้ถึงการแจ้งอย่างที่สุดหรือยัง ท่านเคยสังเกตสิ่งเหล่านี้ไหม
ท่านหันเซียงจื่อ : ในท่ามกลางกระแสแห่งความคิดที่หลากหลาย ในท่ามกลางความจริงและเท็จ บ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะสับสน แยกแยะไม่ออกว่าควรจะเชื่อถือสิ่งใด หรือควรจะตัดสินสิ่งใดว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ เพราะหากมนุษย์เอาแต่เชื่อสายตาของตนเอง คิดว่าสิ่งที่ตนเองมองนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง คือสิ่งที่เป็นจริง การใช้แต่สายตาโดยไม่ใช้สมองคิดก็เรียกว่าคนที่อาจจะถูกหลอก ลวงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การใช้แต่สมองคิดโดยไม่ใช้สายตาก็อาจจะเกิดความคิดที่ผิดเพี้ยนหรือผิดพลาดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่เราคิดว่าตาของเราน่าเชื่อถือที่สุด ในบางครั้งตาของเราก็ลวงหลอกเราได้เหมือนกัน เหมือนเรามองฟ้ามีพระอาทิตย์ แล้วมองว่าฟ้าและ พระอาทิตย์ดวงเล็กนิดเดียว ใช้มือบังก็มิด แต่แท้จริงแล้วตาที่เราควรจะเชื่อนั้นบางทีก็เชื่อไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราคิดว่าความคิดเราถูกต้องแล้ว ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างแน่ชัดแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อกาลเปลี่ยนไป เรื่องราวของโลกย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาล บางครั้งวันนี้เราว่าเรารู้ดีเรื่องนั้นอย่างชำนิชำนาญแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นเรื่องที่เรารู้อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือผิดพลาดไปได้
ฉะนั้นไม่ว่าจะมองหรือจะดู เหมือนเราดูหนังสือเล่มหนึ่งแล้วจะซื้อ เราต้องมองตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้โดยการมองอย่างเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้) ต้องใช้การดูและพินิจพิจารณาด้วยความคิดและปัญญาของเรา เราถึงจะทราบแก่นแท้และเนื้อเรื่องที่แท้จริงของเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้น เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ของชีวิตสอนให้เรารู้ว่าอย่ามองคนเพียงผิวเผิน อย่ามองคนเพียงแค่คำพูด แต่ต้องมองคนหรือสิ่งของให้เห็นถึงแก่นแท้ของความเป็นจริงที่อยู่ภายในตัวเขา เราไม่สามารถวัดคนได้เพียงการแต่งตัว ไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของเขาได้โดยการมอง หรือใช้สายตาพินิจ อย่ามองคนเพียงแค่คำพูด แต่เราต้องมองคนหรือสิ่งของให้เห็นถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของเขาที่อยู่ภายใน เราไม่สามารถวัดคนได้เพียงการแต่งตัว เราไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของเขาได้ด้วยการมองโดยใช้สายตาพินิจ นั่นก็แปลว่าบ่อยครั้งตาเราก็อาจจะหลอกเราได้ ความคิดของเราก็อาจจะพาเราผิดเพี้ยนไปได้เหมือนกัน ตาที่หลอกได้ ความคิดที่ผิดเพี้ยนได้เกิดขึ้นเพราะเราเป็นคนที่ปิดกั้นตน ทำไมถึงเรียกว่าปิดกั้นตน เพราะคนที่ปิดกั้นตนคือคนที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใดๆ ไม่ยอมเปิดรับสภาพความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลง ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อหรือสิ่งที่ตนเองเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่อย่าลืมว่าจิตใจของเราเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้เราว่าใจเราเที่ยง แต่พรุ่งนี้ถ้ามีความรักความชอบเข้ามา ใจเราอาจจะ ไม่เที่ยงก็ได้ วันนี้ตาเราว่าเรามองได้ชัดเจน แต่พรุ่งนี้ตาเราอาจจะมองได้ไม่ชัดก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ฉะนั้นคนที่รู้จักเปิดใจกว้างรับทุกสภาพ ย่อมสามารถที่จะตรวจสอบและมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนว่า ตอนนี้ตนเองเที่ยงเพียงใด ตอนนี้ตนเองเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน เมื่อเรามองตนออก การจะมองคนอื่นออกก็คงจะไม่ยากอะไร ถึงแม้เราจะมองคนอื่นออก แต่มองตนเองไม่ออกย่อมเป็นปัญหาใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ท่านมองตนออกหรือเปล่า (ไม่ออก) ลองชั่งใจคิดพิจารณา พาใจนี้ให้สงบลง แล้วท่านลองพิจารณาดูว่า การที่ท่านรู้จักคนอื่น กับการที่ท่านรู้จักตนเองนั้นสิ่งใดมากกว่ากัน บางท่านนั้นตอบว่าท่านรู้จัก ตนเองมากกว่า แต่เมื่อคิดให้ลึกซึ้ง คิดกันให้จริงจังท่านจะเห็นว่าท่านนั้นไม่รู้จักตนเองเลย เพราะว่าเรานั้นไม่เคยชนะตนเองได้เลยสักอย่างหนึ่ง เมื่อจิตใจคิดอยากได้สิ่งใด ประสงค์สิ่งใด แม้ผู้ที่เป็นบุพการีห้ามปรามยังไม่ฟัง โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ จึงยังห่างไกลจากความกตัญญู ส่วนคนที่สามารถฟังคำ ทัดทานจากบุพการีได้ แต่ฟังคำทัดทานจากตนเองไม่ได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ชีวิตนี้มีเวลาจะว่ายืดยาวก็ยืดยาว มองเห็นผมขาวขึ้นทีละเส้นๆ จะว่าสั้นก็สั้นนัก พริบตาเดียวผมทั้งศีรษะก็กลายเป็นสีขาว เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งสั้นหรือยาวก็อยู่ที่ตัวท่านเองว่าท่านนั้นใช้ชีวิตนี้ไปทำอะไร หากท่านใช้ชีวิตนี้ไปทำในสิ่งที่ทรงคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่า ชีวิตท่านย่อมเป็นชีวิตที่มีคุณค่า แต่ถ้าท่านใช้เวลาทั้งชีวิตนี้เพื่อตนเอง เพื่อความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านคิดว่ามากมายแล้ว ชีวิตนี้ของท่านก็เป็นชีวิตที่ยังหาค่าได้น้อย
สัจธรรมชีวิตให้แง่คิดแก่ตัวท่าน หากท่านไม่นำกลับมาย้อนคิด ท่านก็จะไม่ได้อะไรจากสัจธรรมชีวิต แต่หากท่านย้อนคิดแล้วก็จะพบว่าท่านนั้นอยู่กับ สัจธรรมชีวิตมาตลอด เหตุใดยังต้องให้ผู้อื่นมาสอน ก็เพราะว่าท่านยังไม่ได้ย้อนมองอย่างจริงจัง เวลาเห็นผู้อื่นล้มป่วย เจ็บ ตาย ท่านเคยย้อนกลับมาคิดไหมว่าตัวท่านนั้นก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ มีหลายคนที่คิดได้เมื่อชีวิตของตนนั้นล่วงเลยไปสู่วัยของคนที่มีเพื่อน มีญาติเสียชีวิตไปแล้ว แต่ท่านยังไม่คิดเลยว่าตัวท่านนั่นแหละอาจจะเป็นรายต่อไปก็ได้ เมื่อคิดได้แล้วถามว่าชีวิตของท่านนั้นยังมีสิ่งใดที่ควรจะไปทำมากที่สุด
ท่านหันเซียงจื่อ : เหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น (เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น) อย่างนั้นก็แปลว่าตั้งแต่ที่มีชีวิตมาไม่ดีขึ้นเลยหรือ เรารู้ว่าการนั่งฟังในห้องแคบๆ แบบนี้ อากาศไม่เป็นใจแบบนี้ ย่อมเกิดความอึดอัดเบื่อหน่ายและหน่ายท้อ โดยเฉพาะจิตใจที่ไม่ฝักใฝ่ที่จะมาศึกษาธรรมด้วยแล้ว การจะนั่งอยู่ตรงนี้ย่อม ไม่สงบสุข ในใจจะคิดว่าแม้แค่หนึ่งนาทีสั้นๆ ในใจก็จะคิดว่าเหมือนหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งปี แม้เขาจะพูดโน้มน้าว สนุกสนานอย่างไร ถ้าจิตใจท่านไม่สนุกสนานเกิดความเบื่อหน่าย หน่ายท้อ อย่างไรก็ไม่เกิดความสุข จะทำอย่างไรให้ชีวิต ตนเองตรงนี้มีความสุข แล้วสามารถเรียกความสุขให้เกิดขึ้นมาอยู่ในตัวเราได้ ก็คือยอมรับสภาพความเป็นจริงตรงนี้ให้ได้ แล้วเราก็จะพลิกจากความเบื่อหน่ายให้เป็นความสุขได้เหมือนกัน บางคนทำไมแค่นั่งอยู่นี้จึงเกิดความสุขสันต์ จึงเกิดความยินดีปรีดา แต่ทำไมคนนั่งข้างๆ เรากลับเกิดความหน่ายท้อ ความกลัดกลุ้ม ความเบื่อหน่ายง่วงเหงาหาวนอน เพราะว่าใจคนหนึ่งยอมรับ ชอบ รักที่จะฟังเรื่องธรรม แต่ใจอีกคนหนึ่งเบื่อหน่าย ไม่ชอบเรื่องธรรม สองคนที่มานั่งอยู่ด้วยกันจึงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เหมือนมองฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงย่อมเห็นความแตกต่าง เหมือนคนที่นั่งข้างๆ เรากับตัวเราย่อมไม่เหมือนกัน คนเรานั้นเกิดมาเหมือนกันหมด มีร่างกาย มีชีวิต แต่มีจิตใจที่แตกต่างกัน จิตใจที่แตกต่างกันจึงทำให้สีหน้าที่ปรากฏแตกต่างกันไปด้วย คนที่รู้จักยอมรับเปิดใจกว้าง อารมณ์ดี แจ่มใสใบหน้าย่อมยิ้มแย้ม เบิกบาน ใบหน้าย่อมสงบสุข แต่คนที่มีชีวิตที่กลัดกลุ้มวิตกกังวล ใบหน้าย่อมเป็นทุกข์หมองเศร้า แล้วตอนนี้อยากดูกระจกไหม จะได้รู้ว่าจิตใจตอนนี้ท่านเป็นอย่างไร หากทุกขณะที่เรามีชีวิต ที่เราดำเนินชีวิต หากเป็นไปได้ท่านลองติดกระจกไปพร้อมกับตัวเองด้วย เวลาเกิดอารมณ์อย่างไร หยิบกระจกขึ้นมามอง เวลาสุขอย่างไร หยิบกระจกขึ้นมาดู เวลาทุกข์เช่นไร หยิบกระจกขึ้นมาดู แล้วตอนนั้นท่านจะเห็นคนที่แต่งหน้าเป็นพันหน้าเลย ใครปั้นหน้าเราไม่เก่งเท่าตัวเราปั้นหน้าเราเอง ปั้นได้ทุกสภาวะ ปั้นได้ทุกแบบ อย่าไปมองเขามองที่ตัวเรา
ท่านจงหลีเฉวียน : เมื่อได้รู้เช่นนี้ใครที่ยังไม่มีใบหน้าติดรอยยิ้ม ขอให้เริ่มยิ้มขึ้นได้แล้วดีหรือไม่ (ดี) การยิ้มไม่ใช่เรื่องยาก รอยยิ้มที่ดีคือรอยยิ้มที่จริงใจ ขอให้ทุกท่านมีรอยยิ้มที่ดี แม้ไม่มีกระจกก็ยิ้มได้
ทุกท่านในที่นี้มีความสุขดีหรือไม่ มีความสุขท่ามกลางอากาศที่ร้อน
อบอ้าวหรือไม่ อันความสุขแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) เพราะฉะนั้นอากาศภายนอกไม่มีผลใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่ (จริง) ชีวิตคนนั้นก็เช่นเดียวกัน จิตใจและร่างกายนั้นเป็นคนละส่วนกันแต่กลับมีความสัมพันธ์กันอย่างคาดไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่อากาศร้อนจิตใจก็ร้อน ในยามที่อากาศเย็นสบายจิตใจก็เย็นสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาชีวิตนี้ไม่สมหวังท่านเป็นทุกข์เวลาชีวิตท่านสมหวัง ท่านก็มีความสุขมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนั้นสัมพันธ์กันเช่นนี้ได้อย่างไร ตลอดเวลาของชีวิตที่ผ่านมาท่านปล่อยให้ปัจจัยภายนอกมีผลต่อจิตใจของท่านใช่หรือไม่ (ใช่) ดังเช่นเวลาเห็นของที่สวยงาม จิตใจหวั่นไหวอยากจะได้ เป็นเพราะปัจจัยภายนอก ทำให้จิตใจนั้นสั่นคลอน ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังเช่นเวลาที่บุรุษเห็นสตรีงามก็เกิด จิตใจฝักใฝ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ถ้าหากว่าท่านสามารถตัดจิตใจเหล่านี้ได้ ท่านนั้นก็จะเป็นเซียนพุทธะได้ในเร็ววัน แต่ในขณะนี้ทุกๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน เป็นคนธรรมดา หมายความว่าทุกๆ คนนั้นล้วนมีใจรักกิเลสทั้งสิ้น ท่านจึงต้องเป็นปุถุชน ทุกๆ วันหาเช้า กินค่ำ
อยากจะเป็นเซียนพุทธะไหม (อยาก) เมื่อสักครู่นี้เราให้ไว้ในกลอนบอกว่าเซียนเคียงคู่สิ่งใด เซียนเคียงคู่ความพากเพียร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อท่าน ตั้งใจที่จะมาศึกษาธรรม ตั้งใจที่จะมาเลิกละกิเลส ท่านจะต้องมีความพากเพียร ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านหันเซียงจื่อ : เมื่อสักครู่เราได้พูดทิ้งค้างไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ให้ทุกท่านพกกระจกไปทุกขณะ แล้วจะได้ตรวจสอบใบหน้าและจิตใจของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าวันใดวันหนึ่งท่านเกิดลืมกระจก ท่านจะใช้สิ่งใดช่วยตรวจสอบ จิตใจและใบหน้าของตนเอง การที่ท่านโมโหท่านจะยอมรับไหมว่าท่านนั้นโมโหท่านจะยอมรับไหมว่าตอนนั้นตัวเองโมโห (ยอมรับ) แล้วจิตใจนั้นจะมองเห็นใบหน้าตนเองได้หรือไม่ (ได้) มีกระจกบานหนึ่ง บางครั้งเราไม่ต้องพกมันไป ไปที่ไหนเขาก็ช่วยตรวจสอบ ช่วยวัดเราได้ว่าเรากำลังเป็นคนเช่นไรหรือเราเป็นคนมีจิตใจแบบไหนคือกระจกแบบใด (คนรอบข้าง) คนรอบข้างช่วยตรวจสอบท่าน ช่วยวัดว่าท่านเป็นคนเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมตอบว่าใช่ เราถามให้ท่านพูด ให้ท่านคิดจะได้ไม่เบื่อ และจะได้ดูว่าสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดนี้เป็นการท่อง เป็นการเตรียมมาหรือเปล่า ดีหรือไม่ (ดี) ท่านตรวจสอบเรา เราตรวจสอบท่าน แล้วทำไมถึงเชื่ออย่างนั้นว่าคนสามารถช่วยตรวจสอบเราได้ ช่วยวัดเราได้ว่าเราเป็นอย่างไร อย่างเช่นเราชอบสิ่งใดเรามักจะอยู่ใกล้กับสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเราชอบเสื้อผ้าสวยๆ เรามักจะอยู่ท่ามกลางร้านค้าตลาดหรือว่าร้านที่ขายเสื้อผ้าล่ะ ก็ต้องร้านที่ขายเสื้อผ้า ใช่หรือไม่ (ใช่) เราชอบนินทาว่าร้าย คนรอบข้างเราก็ชอบนินทาว่าร้ายพูดใส่ไคล้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราชอบพูดไม่เพราะ คนที่อยู่รอบข้างเราพูดเพราะหรือพูดเช่นเดียวกับเรา (พูดเช่นเดียวกับเรา) มนุษย์มีจริตอย่างไร จริตแบบนั้นย่อมถ่ายทอดและนำพาตนเองไปสู่หนทางนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วปกติชีวิตของมนุษย์หรือชีวิตของทุกท่านมีจริตที่ฝักใฝ่กันด้านใดบ้าง ส่วนมากจะเป็นด้านลาภยศ ชื่อเสียง ความสนุกสนาน ความอิสระเสรี ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่จะมีจิตใจฝักใฝ่หาคุณธรรมนั้นนับเป็นเรื่องเดือดร้อน เมื่อทุกข์ยาก เราถึงจะฝักใฝ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแก้เมื่อผลเกิดย่อมไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต เราจะแก้ไขเราต้องรู้จักแก้ไขตั้งแต่ต้น เราอย่ามองข้ามอันตรายเล็กๆ น้อยๆ อันตรายจะเกิดขึ้นจริงได้ก็เพราะคนเรามองข้ามพื้นฐานเล็กๆ ข้อบกพร่องที่ผิดพลาดน้อยๆ จึงทำให้เกิดความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่และเรื่องราวที่น่ากลัวบานปลายขึ้นมาในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราอยู่ในสังคมการเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว การเอาแต่ชนะผู้อื่นย่อม ไม่เป็นประโยชน์ เพราะการเอาแต่ชนะและคิดว่าตนเองแน่ย่อมมักพาให้ตนเองพบแต่ศัตรู และเรื่องราวที่ไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่การรู้จักเปิดใจกว้างพร้อมยอมรับและรับรู้ว่าตนเองสู้ได้ สู้ไม่ได้ การยอมรับตนเอง การรู้จักตนเองย่อมนำพาให้ตนเองพบกับความเป็นจริงและพบกับหนทางที่แจ่มใสได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่คิดว่าตนเองแน่ ไม่ยอมฟังใคร คิดว่าความคิดเห็นของตนเองถูกต้องที่สุด ของคนอื่นนั้นผิดหมด ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นกับผู้อื่นหรือรับฟังความคิดเห็นของผู้ใด นานๆ เข้าคนๆ นี้ย่อมยากที่จะได้รับฟังเรื่องที่เป็นจริง เรื่องที่ ถูกต้อง หนักเข้าไปอีกเขาจะมีแต่คนที่โป้ปดมดเท็จอยู่รอบข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนสำนวนที่กล่าวว่า “ยาดีย่อมขมปาก คำเตือนมักขัดหู” เพื่อนที่จะเป็นเพื่อนแท้คือเพื่อนที่กล้าตักเตือนข้อผิดพลาดของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่จะนำพาชีวิต นำพาจิตใจเราไปสู่หนทางที่แท้จริงได้ต้องกล้าชี้ข้อบกพร่องในตัวเรา ต้องกล้าพูดว่าอะไรดี อะไรไม่ดีของเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การอยู่บนโลกนี้นั้นหากเราไม่รู้จักวางใจให้ดีแล้ว ย่อมง่ายที่จะพลั้งเผลอ ง่ายที่จะปล่อยตามอารมณ์และจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) และอารมณ์ที่เราชอบพลั้งเผลอและปล่อยไปตามจิตใจเป็นอารมณ์อะไรกันบ้าง (อารมณ์โกรธ) โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์โกรธ ทุกคนมักจะปล่อยอารมณ์โกรธได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่เราก็รู้ว่าโกรธแล้วย่อมนำผลร้ายมาสู่ตน โกรธแล้วคนที่เจ็บก่อนก็คือตน ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เพราะอะไรเรารู้ตัวเช่นนี้เราถึงยับยั้งไม่ได้ ควบคุมตนเองให้เอาชนะอารมณ์ ไม่ได้วางเหนืออารมณ์ เพราะเราง่ายที่จะเคยชิน ง่ายที่จะปล่อยไปตามอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเรามักจะปล่อยชีวิตไปตามอิสระ นึกอย่างไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น ตอนนี้โกรธก็ปล่อยให้โกรธไม่อยากเก็บไว้ เก็บไว้ก็มีแต่อัดอั้นตันใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อเรารู้ว่ามี ทำไมเราไม่รู้จักล้างให้เป็น ความโกรธเป็นเหมือนสิ่งสกปรก มีแล้วก็ทำให้ขุ่นมัว ทำไมไม่รู้จักล้าง มือเวลาสกปรกยังรู้จักล้าง ใจเมื่อแปดเปื้อนธุลีสิ่งมึนมัว ทำไมเราไม่รู้จักขจัดทิ้ง ล้างทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราเมื่อมีชีวิต เรามักแสวงหาหรือไปตามใจปรารถนาของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นตอนนี้เราถามใจท่านว่าอยากอะไร ปรารถนาสิ่งใดในตอนนี้ (ความสุข, ความหลุดพ้น, อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น) ในที่นี้คงมีความปรารถนาและความต้องการแตกต่างกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดทีละอย่างดีไหมตอนนี้เขาตอบสามคน มนุษย์เราทุกคนปรารถนาซึ่งความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อสักครู่เราได้ฟังท่านจงหลีเฉวียนพูดไว้ว่าความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากจิตใจ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากภายนอกใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าภายในจิตใจของเราทำให้ว่างเปล่าแล้วคอยเติมความสุขให้เต็ม เราจะมีวันสมกับความสุขไหม สามารถจะเติมความสุขนี้ได้เต็มไหม คิดว่าจะเติมได้เต็มไหม (เต็ม,ไม่เต็ม) มีทั้งเต็มและไม่เต็ม ท่านคิดว่าจะเติมให้เต็มไหม (เติมให้เต็ม) คือการที่เราพยายามไขว่และคว้าหาความสุข ถ้าเกิดว่าการพยายาม ไขว่คว้าหาความสุขแต่ภายในจิตใจเราไม่เคยมีความสุข แม้จะเติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับมนุษย์เราอยากจะมีความต้องการ มีเงิน มีทรัพย์สิน แต่ถ้าเราทำจิตใจภายในให้กลวงเปล่า เติมอย่างไรย่อมไม่มีวันเต็ม จนกว่าภายในจิตใจของเรามีความรู้สึกว่าพอแล้ว หยุดแล้ว สุขแล้ว คงที่แล้วนั่นแหละใจเรา จะค่อย ๆ เต็มขึ้นมาเองโดยฉับพลันทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจตรงนี้ไหม เราอธิบายให้ง่ายขึ้นไปอีกนิดหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนให้ท่านจงหลีเฉวียนคุย กับทุกท่าน ความสุขภายนอกที่ได้มาด้วยลาภยศหรือเงินทองชื่อเสียง แม้เราจะได้มาด้วยความต้องการที่เกิดจากภายใน เมื่อเราได้มาหนึ่งครั้งเรารู้สึกว่าความสุขนั้นชั่วคราวหรือว่าเป็นความสุขที่นิจนิรันดร์ (ชั่วคราว) จนกว่าความสุขนั้นเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเราจนรู้สึกพอแล้ว หยุดแล้ว ความสุขนั้นจึงจะเปลี่ยนจากชั่วคราวเป็นนิจนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เฉกเช่นเดียวกันแม้เราจะมีความสุข ความสุขนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่มีเงินบาทหนึ่ง หรือว่ามีเงินแค่สิบบาท แต่ถ้าใจเรารู้สึกอิ่มในความสุขหนึ่งบาทหรือสิบบาทนั้น แม้ว่าความสุขภายนอกจะมาเติมความสุขนั้นก็ยากจะมีผลอะไร เพราะใจเราสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือว่าแม้ภายนอกจะได้มามากเท่าไร แต่ถ้าจิตใจเราทำให้ว่างเปล่าไร้ ก็ไม่มีวันสุข ไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริง การจะหาความสุขที่แท้จริงได้ ต้องเริ่มต้นจากใจเรา รู้จักพอ รู้จักสุขแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น (ทำความดี) ทำความดีแน่ใจหรือไม่ว่าทำความดีจะได้ชีวิตที่ดีขึ้น (แน่ใจ) การที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ทำได้อย่างเดียวคือการแก้ไขตัวเอง ปัญหาใดๆ ที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดี แก้ไขสภาพ แวดล้อมที่เราเป็นอยู่โดยเริ่มจากตัวเรา อย่าเกี่ยงว่าสภาพแวดล้อมที่เราอยู่นั้น ไม่ดี แต่ว่าให้เรานั้นไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ให้ได้ เพราะว่าเราเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีทุกอย่างก็ดีขึ้นใช่ไหม ชื่อเสียง ลาภยศหรือเงินทองนั่นไม่ใช่ชีวิตที่ดีขึ้น รู้ไหม
ตอนนี้ทุกท่านยังทำท่าอมทุกข์อยู่เลย นั่งที่นี้มีความสุขที่แท้จริงหรือไม่ ความสุขที่แท้จริงนั้นออกมาจากใจมิใช่หรือ ทุกท่านลองเอาใจของท่านออกมา แสดงถึงความปิติสุขหน่อยดีไหม ความสุขทำอย่างไรบ้าง การนั่ง นั่งให้สง่างาม ตรงๆ ตรงโดยธรรมชาติไม่ต้องฝืน มือไม่กอดอก เพราะมือที่กอดอกนั้นแสดงถึงความไม่เข้าใจ ไม่เปิดใจของตัวท่านเอง มีรองเท้าให้ใส่ไว้ ใบหน้าประพรมด้วยรอยยิ้ม หากใจมีความสุขจริงๆ ก็จะยิ้มออกมาได้อย่างธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครยังทำไม่ได้แสดงว่าจิตใจยังไม่มีความสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าใจและกายต่างคนต่างอยู่ก็จริงแต่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) อัน สุดท้าย ไม่แสดงกิริยาง่วงเหงาหาวนอน เปิดปากหาวโดยที่ไม่ปิดปาก เป็นไหม เราต้องเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เมื่อเป็นบุรุษก็เป็นบุรุษที่สง่างาม เมื่อเป็นสุภาพสตรีก็เป็นสตรีที่อ่อนโยนนิ่มนวล ทำได้ไหม (ได้) การนั่งสามวันนี้จะดูแล้วทรมานยิ่ง หรือจะดูแล้วสบาย ๆ ผ่านไปสามวันดั่งเซียนพุทธะ ล้วนอยู่ที่ท่านนั้นเอาจิตใจออกมาช่วยหรือไม่ ถ้าทำแต่กายไม่เอาใจออกมาช่วยใจย่อมเมื่อยล้า ในที่สุดแล้วไม่มีสมาธิที่จะฟัง แต่หากท่านนั้นมีจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นปิติสุขท่านย่อมฟังสามวันนี้ผ่านไปอย่างสบาย
เมื่อสักครู่นี้พูดถึงความพากเพียรใช่หรือไม่ (ใช่) ความพากเพียรนั้นมาอยู่คู่กับเซียนพุทธะได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนพุทธะที่มีความเมตตา เมื่อเป็นนักเรียนเรียนหนังสืออยากได้ที่หนึ่งต้องอาศัยความพากเพียรหรือไม่ (อาศัย) เมื่อเป็นคนอยากจะได้หน้าที่การงานที่สูงส่งตัวเองจะต้องมีความพากเพียรไหม (มี) ใครที่ไม่มีคุณสมบัติ ความสามารถอันแท้จริงก็จะไม่สามารถจะไต่เต้าขึ้นไปยังที่สูงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นในครานี้เรามาที่นี่เราอยากให้ท่านพากเพียรไปเป็นพุทธะ มิใช่ปุถุชนธรรมดาสามัญ การที่จะข้ามขึ้นไปถึงเป็นเซียนพุทธะนั้น ต้องพากเพียรอย่างหนัก ใช่หรือไม่ (ใช่) อันความทุกข์ที่เจอมาในโลกที่ว่าทุกข์แล้ว การที่เราฝึกเป็นเซียนพุทธะนั้นอาจจะทุกข์เสียยิ่งกว่า ท่านจึงต้องมีใจที่กว้างใหญ่ไพศาล รู้จักที่จะอภัยคนผู้อื่นจึงจะสามารถอภัย ตัวเองได้ ท่านจะต้องมีใจเมตตาที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงจะสามารถที่จะหยุด การกินเนื้อสัตว์ได้ ท่านจะต้องมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีช่วยผู้อื่นด้วยปัญญา อันด้วยท่านนั้นมีปัญญาสูงส่งยิ่ง ฉะนั้นการพากเพียรเป็นพุทธะนั้นจะต้องอาศัย ตัวท่านเองด้วยจิตใจอันปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่ใช่จิตใจที่หนักอึ้ง อึมครึมเหมือนฝนจะตกกระนั้น ทุกๆ ท่านนั้นมีจิตใจเพียงดวงเดียว แต่ในขณะเดียวกันกลับคิดไปได้หลายอย่าง คิดไปได้หลายเรื่อง ในสิ่งนี้ท่านจะต้องควบคุมให้ลดน้อยถอยลง ให้ตัวท่านนั้นมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวเสียก่อนจึงจะฉุดช่วยผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ การพากเพียรนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่เราจะมาพากเพียรกันนั้นท่านต้องมีความมั่นคง ความมั่นคงเกิดได้ด้วยสิ่งใด (ความตั้งใจ )
เราน่ากลัวกระนั้นหรือ ถ้าหากว่าเราน่ากลัวแล้วทุกท่านถ้าได้ดูกระจก สักครั้งจะรู้ว่าทุกท่านนั้นน่ากลัวกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ในหนึ่งนาทีคิดไปได้หลายอย่าง แล้วในหลายอย่างนั้นก็มีความคิดที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) และในหนึ่งความคิดของท่านนั้นมีความคิดที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วยจึงบอกว่าความคิดของท่านนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความคิดของเราอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) อันว่าความคิดอยู่ภายใน การกระทำอยู่ภายนอก ในขณะนี้ท่านจึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วท่านมีความน่ากลัวเท่าไร การพากเพียรเกิดด้วยสิ่งใด (ความขยัน, ความอดทน) อันความพากเพียรนั้นเกิดได้ด้วยท่านนั้นมีความเข้าใจ เมื่อท่านเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีท่านจึงออกแรงที่จะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความเข้าใจเกิดได้ด้วยสิ่งใด ความเข้าใจเกิดได้ด้วยท่านนั้นศึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังสามวันนี้ที่ท่านนั้นได้กระทำอยู่ก็เรียกว่าการศึกษาแต่ว่าศึกษาได้เข้าใจเท่าไหร่ แม้ว่านั่งอยู่ด้วยกันในหนึ่งชั้นคนจำนวนมาก แต่อาจจะมีคนเข้าใจเพียงครึ่งเดียวก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นเป็นเพราะเหตุใด นั่นเป็นเพราะว่าท่านนั้นยังไม่มีจิตใจที่ศรัทธาเชื่อมั่นพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นความมั่นคงนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อท่านนั้นได้มี ความจริงใจในการศึกษาเท่านั้น สิ่งต่างๆ ก็จะเกิดตามท่านมาเอง ฉะนั้นหวังว่าสามวันนี้เมื่อท่านจริงใจศึกษาอยู่ที่นี่ จึงไม่เป็นการเสียแรงเปล่าที่ท่านนั้นได้มานั่งฟัง ความพากเพียรนั้นเป็นสิ่งที่พุทธะเบื้องบนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์นั้นควรมีทั้งสิ้น ท่านมานั่งอยู่ที่นี่ในขณะนี้มีความร้อน ต้องใช้สิ่งหนึ่งเรียกว่าความอดทน ความอดทนนั้นช่วยอะไรได้ ในการจะทำงานสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุล่วงต่อไปได้ ท่านนั้นต้องอาศัยความอดทน ความอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ความอดทนในความร้อนจำเป็นต้องมีไหม (มี) เมื่อมีความอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ชีวิตวันข้างหน้าก็ไม่ต้องห่วง ท่านนั้นก็จะสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดมุ่งหมายของท่านได้เอง แต่หากวันนี้ความอดทนเรื่องเล็กน้อยไม่มีเกิด วันหน้าจะสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหันเซียงจื่อ : มีสำนวนไทยกล่าวไว้ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” แล้วตอนนี้ท่านเป็นอย่างไร คับที่หรือคับใจ (คับที่) ไม่คับที่แต่คับใจ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ขอให้ไม่ทั้งสองนะ เพราะที่นี้ก็กว้างมาก แล้วใจท่านก็กว้างเช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินว่าเมธีบนโลกมนุษย์ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นคนใจกว้าง ใจกว้างอย่างนี้ก็ต้องยอมรับเราทั้งสองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แม้เราจะดูเหมือนเด็กและก็มีคนที่เป็นผู้ดำเนินรายการกล่าวว่าเป็นพุทธะ เป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ภายในใจก็เกิดความแย้งว่าไม่น่าใช่ ไม่น่าเชื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วอย่างนี่จะเรียกว่าใจกว้างหรือเปล่า ไม่เรียกว่าใจกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ……
ท่านเคยต้องทำงานร่วมกับหัวหน้าหรือนายใหญ่สักคนหนึ่ง โดยที่ตัวท่านเองต้องเป็นลูกน้อง เคยไหม (เคย) แล้วท่านทำอย่างไรเมื่อหัวหน้านั้นทำอะไรก็ไม่ถูกใจเรา ทำอะไรก็ขัดใจเราไปตลอด เราจะทำอย่างไร อย่างแรกระเบิดความรู้สึกออกมาเลย กับอีกอย่างหนึ่งทนให้ได้ กับอีกแบบหนึ่งทนไม่ไหวก็เข้าห้องน้ำระบายความเครียด ความอัดอั้น ทนได้แล้วก็กลับออกมาสู้ใหม่ มนุษย์เรามักเป็นแบบไหนกัน ตัวท่านเป็นแบบไหนกัน ไม่เป็นหนึ่งในสามนี้ใช่หรือไม่
ถ้าอยู่ในชีวิตมนุษย์เรา ไม่มีเรื่องอะไรที่จะถูกใจท่านไปหมด ที่จะพร้อมสมบูรณ์ไปทุกอย่าง เรามีชีวิตได้มาล้วนต้องเสียไป ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ แม้เราจะทำอะไรก็ได้ตามใจเราไปทุกอย่าง แต่เรื่องบางเรื่องไม่ใช่จะถูกใจเราไปเสียหมด ใช่หรือไม่ แล้วเรื่องที่ได้มานั้นก็คือการเสียเวลาของชีวิตไป หากใจเรา ไม่ยอมรับ เรานั้นต้องได้เรื่องเสียไปอย่างน่าทุกข์ น่าเศร้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราบอกว่าในชีวิตของคนเรานี้ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์พร้อมไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่) และไม่มีอะไรที่จะถูกใจเราไปหมดทุกอย่าง บางครั้งเราอยู่บ้าน พ่อแม่ตามใจเราไปหมดทุกอย่าง แต่ออกข้างนอกบ้าน เพื่อนไม่ตามใจเรา ใช่หรือไม่ บางครั้งเราอยู่บ้าน เพื่อนตามใจเราทุกอย่าง แต่พ่อแม่ไม่ตามใจ ใช่หรือไม่ หากการมีชีวิตคือการเสียเวลาของชีวิต การได้มาสิ่งหนึ่งก็ต้องเสียไปสิ่งหนึ่ง แล้วเราจะหวังทุกๆ อย่างให้ได้ตามที่เราต้องการเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ทุกๆ วันนี้เราต้องเสียเวลาแห่งชีวิตไปทุกขณะ เมื่อเราไม่สมหวังเราก็จะเกิดทุกข์ เมื่อเราสมหวังเราจะเกิดความยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำ อย่างไรให้เมื่อไม่สมหวัง เราจึงเกิดความสุขได้ นั่นก็คือการเปิดใจยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) และรู้จักควบคุมตน เพราะการปล่อยตนตามอิสระไม่ใช่จะให้คุณ บางครั้งก็ให้โทษ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วโดยปกติชีวิตของเรามักปล่อยไปตามอิสระ หรือรู้จักควบคุมตนกัน มักจะถนัดปล่อยไปตามอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อครู่ท่านจงหลีเฉวียนกล่าวไว้ว่าต้องนั่งให้ตรง ไม่นานท่านก็เผลอนั่งพิงพนัก ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเรามีชีวิต เราต้องรู้จักควบคุมตนให้เป็น ไม่ทำผิดพลาด เผลอสักพักหนึ่งเราก็ผิดไปแล้ว เราก็พลาดไปแล้ว เราก็ทุกข์ไปแล้ว เมื่อผิดไปแล้ว พลาดไปแล้ว เราเสียเวลากับชีวิตไหม (เสียเวลา) ฉะนั้นถ้าตั้งแต่มีชีวิตเรารู้จักควบคุมตนเองให้เป็นตั้งแต่แรก การที่จะสูญเสียไป ความผิดย่อมน้อย ความถูกและความสุขย่อมประสบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ผู้บำเพ็ญธรรมนั้นก็คือผู้ที่รู้จักแบ่งเวลา การแบ่งเวลาได้นั้นดีทั้งสุขภาพร่างกายและดีทั้งสุขภาพจิตใจ ชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีเวลา ไม่มากนัก การแบ่งเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับทุกท่าน การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ลำบาก มีความลำบากมาก แต่ยิ่งมีความลำบากมากเท่าไร ท่านยิ่งต้องแบ่งเวลาให้เป็นมากเท่านั้น
หากว่าท่านนั้นต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต หน้าที่ทางโลกก็ขอให้ท่านนั้นทุ่มเทจิตใจกระทำ แต่อย่าให้เกิดกิเลสเป็นเงาตามมา อย่าได้เกิดเวรกรรมเป็นเงาตามตัว หากว่าท่านนั้นต้องการจะสำเร็จไปถึงนิพพานแดนฟ้า ขอให้ท่านนั้นลงแรงที่จิตใจของตัวเราเอง เพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ท่านสามารถที่จะลงแรงจิตใจของท่านให้สะอาดได้มากเท่าไร ท่านก็จะได้สิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้นเท่านั้น
ความผิดต่างๆ ที่มนุษย์นั้นก่อกระทำขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่ผิดมากหรือผิดน้อย แต่กลับเป็นจิตใจที่คิดกระทำว่าโหดร้ายมากเพียงใด โหดร้ายมากเท่าไรความผิดบาปและกรรมนั้นก็จะมากขึ้น หากว่าท่านนั้นไม่มีจิตใจที่เจตนามาก แม้ว่าเป็นกรรมหนักแต่บาปกรรมที่ได้รับผลนั้นก็จะเบาลง ท่านเชื่อสิ่งนี้ไหม สิ่งนี้เป็นความแยบยลของบุญและกรรมที่ท่านนั้นไม่เคยรู้จักเลย
มีคนบอกว่าถ้ากินเนื้อวัวจะเป็นบาปมาก แต่กินเนื้อไก่จะเป็นบาปน้อย เพราะว่าวัวตัวใหญ่และไก่ตัวเล็ก ใช่หรือเปล่า สมมติว่าให้ฝ่ายชายเป็นวัว ให้ฝ่ายหญิงเป็นไก่ เพราะว่าฝ่ายชายนั้นรูปร่างใหญ่กว่า ฝ่ายหญิงรูปร่างเล็กกว่า ใช่หรือไม่ ถามว่าถ้าหากฝ่ายหญิงคิดจะไปฆ่าฝ่ายชายแล้วบอกว่ากรรมเยอะ ใช่หรือเปล่า ฝ่ายชายคิดฆ่าฝ่ายหญิงเพราะว่าฝ่ายหญิงตัวเล็กกว่า กรรมคงจะนิดเดียว ใช่หรือไม่ ต่างมีชีวิตเพียงหนึ่งชีวิต อันว่าความตายนั้นเราทดลองไม่ได้ เมื่อท่านตายไปแล้วก็ถือว่าแล้วกัน กรรมที่ก่อขึ้นย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่กรรมนั้นจะมากหรือน้อยย่อมอยู่ที่เจตนาในใจของท่านเอง อย่าบอกว่ากินสัตว์เล็กแล้วกรรมจะน้อยกว่า หากว่าในขณะที่ท่านต้องการที่จะได้สัตว์เล็กขึ้นมากิน ดังเช่นปลา ไก่ หรือเนื้อสัตว์เล็กๆ แต่ว่าตัวท่านนั้นมีเจตนาที่โหดร้าย ถามว่าท่านจะมีบาปไหม (มี) ในขณะที่ท่านนั้นกำลังทานสัตว์ใหญ่อยู่ แต่ท่านนั้นไม่มีเจตนาเลย ท่านไม่รู้ ถามว่าท่านมีกรรมไหม (มี) มากหรือเปล่า ไม่มากแต่ก็พอที่จะทำให้ท่านนั้นไม่สามารถที่จะก้าวพ้นวัฏสงสารนี้ไปได้ แม้เพียงสัตว์ตัวเดียวก็ตาม ฉะนั้นชีวิตนี้ของท่านนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแก้ไขตนเองนั้นมีได้หลายอย่าง บางคนนั้นแก้ไขตนเอง แก้ไขในเรื่องราวที่เกิดขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือการแก้ไขตนเองโดยหลักการ อีกวิธีหนึ่งคือการแก้ไขในใจของตัวท่านเอง การแก้ไขนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยท่านมีจิตใจที่จะแก้ไขเท่านั้น ทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการแก้ไข เป็นเพราะว่าทุกๆ ท่านนั้นในขณะนี้มีการทำผิดบาปมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องการการแก้ไขหรือไม่ (ต้องการ) หากท่านไม่แก้ไขท่านก็จะไม่ได้เป็นพุทธะ หากท่านที่จะแก้ไขแม้จะแก้ไขไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ชื่อว่าเบาบางลง
ความผิดจะร้อยอย่างพันอย่าง โดยมากนั้นเกิดขึ้นจากใจของท่านเอง ฉะนั้นการแก้ไขที่ใจนั้นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดในขณะเดียวกัน เชื่อไหม (เชื่อ) ใจดวงเดียวอันนี้แก้ไขยากที่สุด การแก้ไขในเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วท่านกลับไปแก้ตัวนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด ส่วนการแก้ไขในหลักการนั้นท่านจะต้องศึกษาให้เพียงพอ รู้และแน่ใจจึงจะทำได้ ดังเช่นหากว่าท่านว่าเกิดโมโหไปชกตีกับใครเข้า หากมีความสำนึกได้ก็กลับไปขอโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฝ่ายตรงข้ามอภัยให้แล้วก็ถือว่าเป็นการแก้ไขที่จบแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อได้รับการอภัยจากอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ถือเป็นการจบกัน การแก้ไขชนิดนี้ง่ายไหม (ง่าย) หากว่าท่านไปทำให้พ่อแม่น้ำตาไหลด้วยความเสียใจ ท่านกลับไปกราบขอโทษพ่อแม่ พ่อแม่อภัยให้แล้วก็ถือว่าจบ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แน่นอนความผิดอันนั้นถือว่าจบกัน แต่ทว่าการแก้ไขที่หลักการทำอย่างไร การแก้ไขตามหลักการ จะเร็วกว่าตรงที่ว่าท่านต้องมีสติตามให้ทัน ท่านนั้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสติ สมาธิแล้ว ท่านได้ศึกษาถ่องแท้แล้ว ท่านก็ไม่เผลอที่จะโกรธง่าย
อันว่าความโกรธนั้นเปรียบเสมือนไฟ ท่านก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับไฟนี้ เมื่อท่านแก้ไขความโกรธนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นการจบเช่นเดียวกัน แต่การแก้ไขที่ใจยากกว่านั้น เมื่อความโกรธเกิดขึ้นทันทีทันใด ท่านจะต้องรู้สึกตัวในขณะนั้น ความโกรธนั้นก็จะละลายหายไป ไม่เกิดแม้แต่ในความคิดคำนึง การแก้ไขเช่นนี้ยากกว่าหรือไม่ (ยากกว่า) แต่ว่าใจนี้เป็นของท่าน จึงบอกว่า จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ใช่ อยู่ที่ตัวท่านเองนั้นรับที่จะแก้ไขหรือไม่
หากท่านมีใจที่จะแก้ไข แม้ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดท่านก็จะป่ายปีนถึง แต่หากว่าท่านไม่มีใจ แม้ภูเขานี้สูงเท่าคนๆ เดียว ท่านก็ปีนไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกอย่างจึงอยู่ที่ว่าท่านนั้นมีใจที่จะแก้ไขตนเองมากเท่าไร ความเคยชินต่างๆ อันเป็นนิสัยของมนุษย์นั้นปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ท่านมีทุกๆ คน จะแก้ไขได้มากหรือน้อย ขอให้ท่านไปย้อนมองใจของตัวเองแล้วจะรู้ว่าท่านนั้นพร้อมที่จะแก้ไขหรือยัง
ท่านหันเซียงจื่อ : หากวันนี้เรามาถามท่านพร้อมจะบำเพ็ญไหม วันนี้ก็คงยัง ไม่พร้อม ใช่หรือไม่ หากวันนี้ถามว่าทุกท่านพร้อมจะศึกษาธรรมไหม พร้อมหรือไม่ (พร้อม) วันนี้ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม เพราะวันนี้คือการมานั่งศึกษาหลักธรรม ธรรมสอนให้เรารู้จักชีวิต แล้วชีวิตแตกต่างจากสรรพสิ่งบนโลกนี้ไหม ชีวิตกับสรรพสิ่งบนโลกนี้แตกต่างกันไหม (ไม่แตกต่าง) ถ้าบางคนที่ยังไม่เข้าใจว่า แตกต่างหรือไม่ คราวนี้ลองนั่งแล้วควบคุมใจให้สงบ แล้วมองวันเวลาที่ผ่านไป มองฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน มองใบไม้ที่ร่วงหล่น หากหันกลับมามองชีวิตของเรา ชีวิตของเราล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือดูง่ายๆ เหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นไปตามอายุขัย เมื่อใบไม้ร่วงหนึ่งใบก็ย่อมมีใบอ่อนที่แตกยอดออกมาอีกหนึ่งใบ เมื่อชีวิตเราล่วงไปหนึ่งปีหรือหนึ่งขวบกาล ก็ย่อมมีอายุเพิ่มมาอีกหนึ่งปี หนึ่งขวบกาล ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉันใดก็ฉันนั้น สรรพสิ่งของชีวิตย่อมมีการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับสูญ ในท่ามกลางเกิด เปลี่ยนแปลงและ ดับสูญ เราสามารถยื้อยุดสิ่งใดไว้กับเราได้บ้าง เราสามารถหน่วงเหนี่ยว เกาะกุม หรือรั้งสิ่งใดให้อยู่กับตนเองได้บ้าง หากมองด้านวัตถุ เรายึดถือ เราหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดได้บ้าง (ไม่ได้) ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเรารักร่างกาย ร่างกายนั้นหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
สรรพสิ่งสอนให้เรารู้ว่า เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ เมื่อมีพบย่อมมีพราก ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่เราทำใจไม่ได้ เราอยากรั้งชีวิตของเราไว้ เราอยากรั้งอายุขัยของเราไว้ แต่เรารั้งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติสอนให้เข้าใจชีวิตว่า ชีวิตของเราต้องพบสัจธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือความเที่ยงนำไปสู่ความไม่เที่ยง ความมีนำไปสู่ความไร้ แล้วในทางกลับกัน ความไร้นำไปสู่ความมี ความ ไม่เที่ยงนำไปสู่ความเที่ยง ซึ่งวนเวียนเป็นวัฏจักร ชีวิตของมนุษย์ก็อยู่ในวัฏจักรนี้ หากเราเข้าใจเราย่อมวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนี้ได้อย่างเป็นสุข แต่หากเราไม่เข้าใจการผ่านของวัฏจักรนี้ ย่อมผ่านด้วยความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดพร้อมกับคราบน้ำตา แต่ถ้าเมื่อใดเราเข้าใจวัฏจักรนี้ ยอมรับวัฏจักรนี้ได้ เมื่อยอมรับได้ เข้าใจได้ เมื่อนั้นเราย่อมเข้าใจชีวิต และเมื่อนั้นเราย่อมเข้าใจสรรพสิ่ง เมื่อ เข้าใจชีวิต เข้าใจสรรพสิ่งแล้ว เราย่อมเข้าใจธรรม เมื่อใดที่เราเข้าใจธรรม ค้นพบธรรมในตัวแล้ว เมื่อนั้นเราสามารถพบความเป็นพุทธะในตัวตนได้ เหมือนดังสำนวนที่กล่าวว่า “ที่ใดมีธรรม ที่นั่นย่อมมีพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่” แต่ตอนนี้เรายังไม่พบธรรมในตัว เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจสรรพสิ่ง เมื่อใดที่เราเข้าใจชีวิต เข้าใจสรรพสิ่งและยอมรับได้ แล้วพร้อมเดินไปด้วยความเป็นสุข เมื่อนั้นเราจะพบสัจธรรมของชีวิต พบคุณธรรมภายในตัวตน เมื่อเราพบคุณธรรม เราก็พร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม เมื่อพร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม เราย่อมพร้อมที่จะฝ่าฟันความยากลำบาก และนำพาชีวิตตนเองไปสู่ความหลุดพ้นได้ นี่คือหลักการง่ายๆ ในการรู้จักชีวิต แล้วนำพาชีวิตไปสู่ความหลุดพ้น
แต่มนุษย์ทุกวันนี้ ชีวิตยังไม่สนใจ ความเป็นจริงยังไม่อยากรับรู้ เหมือนตอนนี้ให้รับสภาพการนั่งตรงนี้ให้เป็นสุขได้ ท่านยังยอมรับไม่ได้เลย แล้วเมื่อท่านต้องไปเผชิญทุกข์ เผชิญความยากลำบาก เผชิญคนร่วมงานที่ขัดใจท่าน เผชิญเพื่อนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน ท่านจะทำอย่างไร เอาแต่หนีก็ไม่มีวันพ้น เราจะอยู่กับเขาอย่างเป็นสุขได้อย่างไร หากเราเอาแต่ชนะ เอาแต่ข่มเหง
การจะอยู่กับส่วนรวมได้อย่างเป็นสุขและฉันท์มิตร นั่นก็คือยอมรับและยอมพ่ายแพ้บ้าง ถ้าเรารู้ว่าเราสู้ไม่ได้ก็ยอมรับเสีย คนที่ยอมรับความจริงย่อมอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข และมีความยินดีปรีดา ชีวิตของเราก็เหมือนชีวิตของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา มีเกิด มีเปลี่ยนแปลงและมีดับ เมื่อไรที่เรา เข้าใจการเกิด เปลี่ยนแปลงและการดับ เมื่อนั้นเราย่อมยอมรับได้ เมื่อเราเข้าใจ ยอมรับได้ เราย่อมมองเห็นสัจธรรมของภายนอก และสัจธรรมของชีวิต เมื่อเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิต สัจธรรมของภายนอก เมื่อนั้นเราย่อมค้นพบคุณธรรมในตัวตน ค้นพบคุณธรรมในสรรพสิ่ง เมื่อเราค้นพบ แล้วเราพยายามใฝ่หาการ ค้นพบให้ลึกเข้าไปอีก เราก็จะยิ่งเข้าใจธรรมมากยิ่งขึ้น เมื่อเรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะพบธรรมในตัวตน พบธรรมในชีวิต นั่นก็คือการมุ่งมั่น ใฝ่หาซึ่งหลักธรรม ค้นพบธรรมในตัวตนก็คือการเริ่มต้นค้นพบพุทธะในตัวตน เมื่อไรมีธรรม เมื่อนั้นมีพุทธะ เมื่อไรมีพุทธะ เมื่อนั้นมีธรรม
การจะไปให้ถึงธรรมไม่ใช่แค่รู้แจ้งแค่เกิด เปลี่ยนแปลง ดับ แต่ต้องยอมรับและมีสุขในการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับได้ เมื่อเรามีสุขในการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับ พร้อมจะฝ่าฟันชีวิตทุกรูปแบบ ทุกสภาวะ เมื่อนั้นก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญตน เมื่อฝึกฝนบำเพ็ญตน ฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากได้ทุกอย่างแล้ว เมื่อนั้นเราจะรู้แจ้งชีวิต และเมื่อนั้นเราจะค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตและพุทธะแห่งตัวตน ดูแล้วอาจจะยากแต่ขอให้ลงมือทำ หากเรายอมรับชีวิตได้ ยอมรับ สรรพสิ่งได้ เราย่อมยอมรับธรรมมาอยู่ในตัวตนได้ คนที่เข้าใจธรรม คนที่เข้าใจตัวตน นั่นก็คือคนที่ยอมรับได้ทุกสภาวะ ปราศจากซึ่งความรังเกียจเดียดฉันท์ พุทธะรับได้ทุกสภาวะ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง นี่คือความเป็นเอกของพุทธะ เมื่อ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อนั้นย่อมเกิดจิตใจเมตตากับทุกๆ คน
ท่านจงหลีเฉวียน : เป็นธรรมดาที่ทุกท่านนั้น จะเห็นเรื่องการเกิดตาย เป็นเรื่องน่าชวนหัว เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะฟัง แต่ดังที่บอกไปแล้วว่า ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น แม้แต่ตัวท่านเอง ฉะนั้นสามวันนี้ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ ขอให้รู้ว่าชีวิตของตนเองนั้น ตนเองต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่มีใครรับผิดชอบให้เราได้ หากวันนี้ท่านเห็น
เป็นเรื่องเล่น วันหน้าเมื่อท่านเจอแล้ว ท่านย่อมรู้ว่าท่านยังเอาตัวเองไม่รอด
ชีวิตนี้เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องของการเกิดและตาย การเกิดมาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ การตายนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในแดนของสวรรค์และนรก ตั้งแต่โบราณกาลมานั้นมีอยู่สองทางที่ท่านไปหลังจากที่ท่านนั้นดับสิ้นชีวิตแล้ว นั่นก็คือสวรรค์และนรก ท่านต้องเลือกไปทางไหนสักทางหนึ่งในสองทางนี้ หากว่าแย่กว่านั้นท่านอาจต้องไปจุติเกิดในสถานที่ที่แย่กว่านี้ หากว่าท่านได้เป็น ผู้บำเพ็ญเพียร ท่านก็จะเกิดในทางที่ดีกว่านี้ นั่นก็คือนิพพาน แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์นั้นขาดสิ่งหนึ่งคือ ความพากเพียร คือความพยายาม จึงไม่สามารถ จะค้นหาจิตแท้ที่อยู่ในตนเองพบ หวังว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ มีบุญแล้ว จะต้องหมั่นรักษาบุญของตนเอง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไปง่ายๆ
มนุษย์นั้นรู้จักรักษาโอกาสของตนเองอย่างยิ่ง แต่ส่วนใหญ่นั้นจะทำในสิ่งที่ได้มาซึ่งลาภยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง เงินทอง ซึ่งในสมัยก่อนนั้นที่เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ก็ทำเช่นนี้เนื่องด้วยไม่เห็นเหตุสำคัญของการที่จะต้องหลุดพ้นไป ด้วยไม่รู้จักทางแท้ ทุกท่านแม้จะเคยเป็นเช่นนั้น แต่ในบัดนี้ท่านได้รู้ทางแท้แล้ว จึงหวังว่าจะไม่ปล่อยทิ้งไปง่ายๆ ด้วยเหตุที่ว่าไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ อันว่าเท็จแท้นั้นขึ้นอยู่กับใจท่านเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะจริง แต่ถ้าท่านนั้นไม่นำสิ่งที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดไปปฏิบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้จริงตัวท่านนั่นแหละเท็จ หากว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท็จแต่ว่าพูดในสิ่งที่ดีแล้วท่านเอาไปปฏิบัติ แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเท็จแต่ท่านนั้นก็จะได้เป็นพุทธะที่จริง อย่างนี้ไม่เป็นการดีหรอกหรือ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเท็จแท้นั้นขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง อย่าได้เอาความสงสัยในตัวของเราทั้งสองนั้นไปเก็บ ไปหมกมุ่นไว้ในใจ แล้วทำให้ท่านนั้นไม่ได้มรรคผลนิพพาน ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านหันเซียงจื่อ : ท่านคิดว่าธรรมะมีค่ากับชีวิตไหม (มี) ถ้าไม่มีค่าก็ไม่ต้องมีหัวข้อศึกษาในชั้นเรียน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่มีค่าป่านนี้สังคมหรือตัวคนก็คง ไม่เรียกร้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือถ้าไม่มีค่าป่านนี้ตอนที่เราเป็นเด็กๆ เราก็คง ไม่ได้ยินพ่อแม่พูดว่าต้องเป็นเด็กดี ต้องกตัญญู แปลว่าธรรมะมีค่ากับชีวิต ท่านเคยเห็นเครื่องดนตรีไหม ฝ่ายชายคงชอบเล่นกีตาร์กัน กีตาร์แม้จะส่งเสียงได้ไพเราะเพราะพริ้งหรือแม้จะมีราคามูลค่าหลายหมื่นหลายแสน หรือเครื่องดนตรีอะไรก็ตาม แม้จะมีค่าที่ทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ แต่หากปราศจากนิ้วมือหรือความชำนาญของคน เครื่องดนตรีนั้นก็ย่อมยากประจักษ์คุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เฉกเช่นเดียวกันแม้ธรรมะจะมีอยู่ในชีวิตแต่ถ้าขาดซึ่งคนหรือตัวคนขับเคลื่อนธรรมะให้ปรากฏ ธรรมะนั้นก็ย่อมยากที่จะส่งเสียงใดออกมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนต่างพูดว่าตัวเองนั้นไม่มีดีมากก็ต้องมีดีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้ว่าการจะให้ยอมรับคนใดคนหนึ่ง พี่ก็ไม่ใช่ น้องก็ไม่ใช่ เจ้านายก็ไม่ใช่ เรื่องอะไรจะต้องมายอมรับ ใช่หรือเปล่า แต่วันนี้เรื่องที่เราคุยกับท่านไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของตน ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ แต่แค่ลองคุยกับเราสักนิดหนึ่ง จะหลอกลวงเราสักครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ชีวิตนี้เหมือนกับความฝัน อย่าลืมที่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้น ความฝันอย่างนี้จะเป็นฝันดีหรือฝันร้ายย่อมอยู่ที่ตัวท่านนั้นเลือกกำหนดตัวท่านเอง อย่าได้เอาชีวิตของเรานั้นไปบนทางที่เราไม่รู้จัก ทางในโลกียภูมิอันนี้ ในโลกมนุษย์อันนี้ วันข้างหน้าเป็นอย่างไรท่านยังไม่แน่ใจเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) จะตกต่ำไปถึงขีดสุดหรือจะรุ่งเรืองไปถึงที่สุด ท่านนั้นยังไม่แน่ใจแต่ขอให้ท่านจง อยู่กับชีวิตปัจจุบันนี้ ให้ท่านรู้จักทำปัจจุบันนี้ให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในเมื่อวันนี้มาสู่เส้นทางแห่งพุทธะนี้ก็ขอให้ทุกท่านเอาคำว่าพุทธะเข้าไปใส่ในใจท่าน เอาแบบอย่างของพุทธะนั้นเข้าไปใส่ในใจท่าน พุทธะนั้นทำสิ่งที่ดีตลอด กล่าวในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดีและคิดในสิ่งที่ดี สิ่งใดที่ว่าไม่ดีนั้นท่านจะทำไปทำไม ไม่เห็นจะมีประโยชน์ในการที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น ท่านพูดในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาปากของท่านนั้นเหม็นไป ทำในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาตัวของท่านนั้นเหม็นไป คิดในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาใจของท่านนั้นไม่ได้รับความสงบสุข มีความกังวลอยู่เรื่อย มนุษย์นั้นเวลาทำความผิดจะรู้สึกว่าเหมือนมีใครมองเราอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แท้จริงแล้วใครกำลังมองท่านอยู่ (ตัวเราเอง) แท้จริงแล้วผู้ที่มองท่านอยู่ก็คือพุทธะในตัวของท่านเองคอยบอกท่าน เพียงแต่ท่านไม่รู้จักตน ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงบอกว่าท่านนั้นมีพุทธะอยู่ในตนทุกๆ คน เพียงแต่จะเลือกฟังพุทธะองค์นี้หรือไม่ ท่านลองพิจารณาดูตลอดมาหนึ่งชีวิตนี้ ท่านถือหลักคำสอนองค์ที่อยู่ในใจของท่านนั้นกี่หนแล้ว จนท่านเองไม่แน่ใจว่าตัวท่านนั้นเป็นคนดีหรือเปล่า เป็นเพราะเหตุที่ท่านไม่เคยฟังเสียงที่อยู่ในใจของท่านเอง ฉะนั้นหลังจากวันนี้กลับไปขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจเริ่มต้นปฏิบัติตนได้ ดีหรือไม่ (ดี) รู้จักแบ่งเวลาให้เป็น รู้จักทำชีวิตให้ดี ให้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุขอันแท้จริง ไม่ใช่ให้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุขอันจอมปลอม อันได้แก่ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง สิ่งบันเทิงเริงใจต่างๆ นี้เป็นสิ่งลวงตาหาจริงแท้ไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) หวังว่าทุกท่านคงได้สติตื่นจากความฝันที่ผ่านๆ มาและทำชีวิตจากวันนี้ให้เป็นชีวิตที่แท้จริงดีไหม (ดี)
การเกิดและการดับนั้นขึ้นอยู่ได้ที่ตัวท่านเอง หลังจากวันนี้ออกไปจะกลายเป็นพุทธะในคราบมนุษย์หรือเปล่าหรือจะกลายเป็นคนที่ไม่ดีในคราบของมนุษย์ก็แล้วแต่ท่านจะเลือก
ท่านหันเซียงจื่อ : ความจริงไม่กี่ชั่วโมง การจะให้เข้าใจหมดทุกกระบวนนั้นก็คงเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เวลากับตัวเองอีกสักนิดหนึ่ง วันนี้เสียสละมาหนึ่งวันแล้วยังขาดอีกสองวันก็จะครบ ขอให้มาให้ครบดีหรือไม่ (ดี) อดทนในเรื่องเล็กๆ ได้ เรื่องใหญ่จะไปกลัวอะไร อดทนในเรื่องเล็กไม่ได้ เรื่องใหญ่ก็ยากจะสมปรารถนา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ทองโดนหลอมอย่างไรก็คือทอง ใช่หรือไม่ (ใช่) หากท่าน ไม่ใช่ทองท่านก็จะสลายหายไปเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครที่มาไม่ครบสามวันนี้ก็คงจะไม่ใช่ทอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอให้ท่านคิดว่าท่านเป็นทอง แม้จะโดนอากาศที่อบอ้าวหลอมเช่นไร ขอให้ท่านนั้นยังคงอยู่ทั้งสามวัน ดีหรือไม่ (ดี) ส่วนทองในตัวของท่านนั้นจะเป็นทองแท้หรือทองเทียมก็อยู่ที่ว่าท่านนั้นดีมาก ดีน้อยเท่าไร
ท่านหันเซียงจื่อ : อย่างที่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้น การจะดูหรือมองสิ่งใดนั้นขอให้มองให้เห็นซึ่งแก่นแท้อย่าติดเพียงรูปลักษณ์จอมปลอมสิ่งภายนอก มิฉะนั้นตาเราเองนั่นแหละจะลวงหลอกเราทำให้เราหมดโอกาสที่จะทำให้เราพบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะมองคนทั้งทีคนๆ นั้นเป็นคนอย่างไรก็ดูที่จุด มุ่งหมายหรือดูที่ปณิธานของเขา ถ้าปณิธานเขาสูงส่ง การมุ่งมั่นไปให้ถึงปณิธานเขาไม่เคยย่อท้อ เมื่อเขาประสบผลสำเร็จหรือประสบความล้มเหลว เขาก็ไม่เปลี่ยนใจในความมุ่งมั่น แปลว่าจิตใจของคนๆ นี้น่าเคารพ น่าเชื่อถือ น่านับถือ ใช่หรือไม่ (ใช่) การมองคนหรือการจะดูใครหรือการจะดูธรรมะหรือ ผู้ปฏิบัติงานธรรม เราดูเขาเพียงภายนอกเรายากจะรู้ถึงจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราก็ดูที่จุดมุ่งหมายที่เขากำลังจะทำอยู่ การดูจุดมุ่งหมายของเขาจะช่วยทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีเพียงใด มุ่งมั่นแค่ไหน แล้วเขาทำเพื่อใคร
ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทั้งสองก็คงมาเพียงเท่านี้ ร้องเพลงส่งเป็นการอำลาจาก ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านจงหลีเฉวียน : หวังว่าวันหน้ามาคงได้เจอเมธีทุกท่านอีกดีหรือไม่ ตอนนี้ทุกท่านนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง หากว่าสามารถจะรดน้ำต้นไม้ต้นนี้ให้เจริญเติบโต ผลนั้นก็จะให้คนอื่นได้รับประทานได้ แต่หากต้นไม้ต้นนี้ท่านนำกลับไปแล้วเลี้ยงไม่รอด แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่ได้ร่มเงา ขอให้พิจารณาให้ดีๆ
จะขอเตือนเมธีที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ความกล้าแกร่งและความคะนองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง ความกล้าแกร่ง ความกล้าหาญหมายในการทำสิ่งที่ดี ส่วนความคะนองนั้นคือการทำอะไรไม่ยั้งคิด
ในขณะนี้บางท่านยังมีความสุข ยังเต็มไปด้วยความสุขแวดล้อมหรืออาจจะเจอความทุกข์มาจนอยากจะประชดชีวิต แต่อยากจะบอกท่านว่าผลดีและ ผลเสียต่าง ๆ นั้นจะขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง อย่ารอให้เจอความทุกข์จนยากจะเยียวยารักษา ท่านจึงค่อยคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะบำเพ็ญ ขอให้ทุกขณะจิตนั้นมีการบำเพ็ญ การเดินหน้าและการใช้ชีวิตไปด้วยกัน แล้วอย่าลืมว่าหากวันไหน ผิดหวัง ท้อแท้ชีวิต อย่าได้คิดฆ่าตัวตาย ขอให้กลับมาที่พุทธสถาน ขอให้มีจิตใจที่บริบูรณ์พร้อมกลับมาทุกคน แล้วหวังว่าวันหน้านั้นจะได้เจอกันใหม่ดีไหม (ดี) บุญสัมพันธ์ของเรานั้นคงหมดลงในไม่ช้านี้ หวังว่าทุกท่านนั้นคงจะมีชีวิตที่ก้าวหน้าในทางธรรมให้ดีๆ อย่าให้ชีวิตให้ลอยชายเหมือนคนใจลอย หาแก่นสาร ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องเสียใจกับชีวิตนี้จนตลอดไปทีเดียว
(ท่านจงหลีเฉวียนเมตตาประธานพระโอวาทนักเรียนฝ่ายหญิง)
หวังว่าทุกท่านนั้นบำเพ็ญให้ดี ๆ ไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นสตรี ปัจจุบันสตรีนั้นเปรียบเสมือนพระจันทร์ในยามค่ำคืน ทอแสงเด่นเป็นประกาย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เน้นหนักให้ผู้บำเพ็ญนั้นอยู่ในบุรุษ ในบัดนี้ท่านได้เกิดเป็นสตรี หนำซ้ำยังพบอนุตตรธรรม ประจวบเหมาะกับการแผ่โปรดนับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ชีวิตนี้แม้ไม่โชคดีสิ่งใด แต่มาโชคดีสิ่งนี้ก็ถือเป็นมหาโชค ฉะนั้นจงบอกตนเองไว้เถิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้โชคดีอย่างยิ่ง เกิดมาไม่มีพี่น้อง ท่านก็จะได้พี่น้องในสถานธรรมแห่งนี้มากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว หวังว่าท่านจะรัก สามัคคีกันให้ดี มิเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ขอให้บำเพ็ญให้สามารถพาตนเองและผู้อื่นนั้น กลับคืนขึ้นสู่บ้านเดิมโดยทั่วหน้ากัน
ท่านหันเซียงจื่อ : ถึงเวลาเราคงต้องไปกันแล้ว มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ วันนี้คงไม่สามารถที่จะพูดเรื่องหลักธรรม เรื่องชีวิตให้ท่านกระจ่างได้ทั้งหมด เพราะว่าหลายคนนานาจิตตัง พูดที่หนึ่งอีกที่หนึ่งไม่ได้ยิน พูดอีกที่หนึ่งให้เข้าใจ อีกที่หนึ่งก็ไม่เข้าใจ พอมาพูดตรงนี้ใจท่านก็ไปหาอีกท่านหนึ่ง ตอนนี้ใจท่านยังจับตัวเองไม่ได้ ยังจับใจให้อยู่กับที่ไม่ได้ แล้วเวลาเดินออกไปจะประสบอันตรายหรือจะประสบความโชคดีได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เดี๋ยวไปทางโน้น เดี๋ยวไปทางนี้ ฉะนั้นเวลาผิดพลาดอย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษใจเราต่างหากที่ไม่เคยอยู่นิ่ง วิ่งไปวิ่งมาเหมือนลิง เหมือนวานร
ผู้บำเพ็ญธรรมฝ่ายหญิงเป็นอย่างไรกันบ้าง บำเพ็ญธรรมเจอความยากลำบากไหม ความลำบากหรือไม่ลำบากต้องถามใจเราด้วย ถ้าใจเราพร้อมเผชิญทุกสภาวะ ใจเราไม่เป็นตัวก่อปัญหา อุปสรรคต่างๆ ถึงแม้จะเข้ามาเราก็สามารถหลีกหนีหลบหน้าได้ แต่ถ้าใจเราเองเป็นตัวสร้างปัญหา แม้จะมีปัญหามากี่ทีเราก็หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจะดับภัยต้องดับตั้งแต่ภายใน อยากจะมีสุขต้องสร้างตั้งแต่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่) คงต้องไปแล้ว จากกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มดีกว่า
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เถลไถลไม่รู้ตัวกลัวศิษย์หลง กระตือรือร้นอย่าพะวงหน้าพะวงหลัง
ชีวิตคนมีทุกข์ง่ายรู้ระวัง สุขที่หวังย่อมได้แน่เพราะรู้พอ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า
ถูกความคิดพาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ความเป็นจริงอยู่หนไหนเร่งไปหา
หลงและตื่นใช่อยู่ที่หลับลืมตา กลืนความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น
หายใจเข้าเอาความกล้ามาบำเพ็ญ ใช้ธรรมะกันเป็นไหมไถลลื่น
ความเข้าใจเพราะศึกษาทุกวันคืน ดีใจเมื่อศิษย์ข้าตื่นโดยเร็ววัน
แผ่เมตตาพาจิตใจให้มีสุข ไปล้มลุกคลุกคลานอย่าโศกศัลย์
รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน
ทำงานแห่งดินฟ้าศรัทธาไว้ แห่งหนใดพากันถ้วนทั่วตื่น
ฟ้างามตาคือใจศิษย์อันสดชื่น แบกผู้อื่นไม่หนักใจเพราะเต็มใจ
ขึ้นมาบนเรือธรรมง่ายอย่าละทิ้ง บ่าทั้งสองแห่งคนจริงช่างกว้างใหญ่
ปัญญาเอ๋ยศิษย์อย่าลืมเฝ้านำใช้ นำตนเองก้าวไกลไม่ท้อกลางคัน
สู่ธรรมนี้ด้วยมั่นคงใจไม่ท้อ ความรู้พอพาให้เกิดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
ก้าวสู่ปลายย่อมเกิดจากก้าวแรกนั้น ไกลไม่หวั่นหวั่นไม่ยอมจะก้าวเดิน
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมื่อครู่ทำท่าจับปูใช่หรือเปล่า ปูมีกี่ก้าม (สองก้าม) ก้ามปูเหมือนกับอะไรที่อยู่ในตัวเรา (ปาก) ตอบได้ถูก ปูใช้ก้ามหนีบคน คนใช้อะไรหนีบคน (ปาก) คนชอบใช้ปากหนีบคน ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะเป็นปูหรืออยากจะเป็นคน (เป็นคน) ถ้าอยากเป็นคนต้องใช้ปากไปทำอะไร (พูด) คนใช้ปากพูด แล้วเรา ใช้ปากของเราพูดแต่ในสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าเราใช้ปากเราพูดไม่ดี เราก็ใช้ปากของเราหนีบคน ปากหนีบคนเป็นอย่างไร ประชด ว่า เสียดสี นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นผู้บำเพ็ญ เราใช้ปากหนีบคน ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าเราใช้ปากของเราหนีบคน ปากของเราก็จะยื่นยาวออกมา แล้วจะมีความคมขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) พอนานๆ เข้าปากของเราก็จะกลายเป็นมือปู ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากเป็นผู้บำเพ็ญต้องมีปากที่ใช้พูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครคิดว่าตนเองใช้ปากพูดในสิ่งที่ไม่ดี ยกมือขึ้น ยอมรับตัวเองไหม ใครเคยนินทาคนบ้าง ใครเคยว่าคนลับหลังบ้าง ใครเคยออกไปว่าคนต่อหน้าบ้าง ใครเคยประชดประชันว่าเสียดสีเปรียบเปรยลอยๆ ไปตามลมบ้าง ยกมือขึ้น คนที่ตอบอาจารย์บอกว่าก้ามปูเหมือนปากคนยังไม่ยอมยกอะไรสักอย่างหนึ่ง สงสัยยังไม่เคยทำ (ทำทุกอย่าง)
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม การที่เราจะควบคุมปากของเราเอง ง่ายไหม (ไม่ง่าย) ปากจะเปิดใครสั่งเปิด (ตัวเราเอง) ปากจะปิดใครสั่งปิด (ตัวเราเอง) แล้วตัวเองควบคุมยากไหม (ยาก) ยากอีกหรือ เวลาเปิดปาก มีเสียงไหม (มี) เวลาปิดปากมีเสียงไหม (ไม่มี) แล้วถามว่าเวลาที่จะว่าคนแล้ว ปิดปากยากไหม (ไม่ยาก) แค่ปิดปากเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่อไปค่อยไปจัดการที่ใจ ถ้ายังจะคิดอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราจะควบคุมตัวเองนั้นที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่เรานั้นรู้จักควบคุมตัวเอง ตอนนี้เราอยากจะนินทาคนนี้จะแย่อยู่แล้ว คนนี้ทำไมไม่ดีเลย วิธีการแก้ง่ายๆ คือมามองตัวเองดีไหม (ดี) ตัวเราเองดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ตัวเรามีข้อดีไหม (มี) ตัวเรามีข้อเสียไหม (มี) ต้องบอกตัวเองว่า คนที่เราอยากจะนินทานั้นเขาก็มี ข้อเสียและข้อดีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาข้อดีของเขามาลบข้อเสียของเขาทิ้งดีหรือไม่ (ดี) เวลาเราฟังใครพูดถึงข้อเสียของเขา เราก็เก็บมาใส่ใจ เวลาเราฟังข้อดีของเขา เราก็เก็บมาใส่ใจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถามว่า เราจะเลือกฟัง ได้ไหม (ได้) ท่าทางคนเวลากำลังจะนินทามักจะไม่ปกติ กล้ามาจับไมค์เหมือนเวลาบรรยายธรรมะไหม (ไม่กล้า) เวลาจะนินทาคน ต้องพูดเบาๆ แล้วพูดกันอยู่สองสามคน ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราเห็นคนพูดลักษณะอย่างนี้ เราก็หลีกไปให้ไกลเลยดีไหม (ดี) อย่าคิดว่าเขาอาจจะกำลังนินทาเราอยู่เลยต้องเข้าไปฟังหน่อย เช่นนี้เราจึงจะมีปากที่ไม่ใช่ปากปู ดีหรือไม่ (ดี) ปากของเราก็จะเป็นปากคน เป็นปากที่สวยงามด้วยการพูดจาแต่ในสิ่งที่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) การพูดจาแต่ในสิ่งที่ดีนั้นยังไม่พอ ต้องทำในสิ่งที่ดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนชอบพูดมากกว่าทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าคนที่ชอบพูดมากกว่าทำนั้น ส่วนใหญ่ ทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) เวลาเราพูดไปร้อยอย่าง เวลาทำทำได้กี่อย่าง ไหนใครคิดว่าตัวเองทำได้สิบอย่าง ทำได้สักสิบเปอร์เซ็นต์ยกมือขึ้น ทำได้สักเท่าไร ห้าสิบถึงไหม เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะมาเป็นผู้บำเพ็ญธรรม อีกอย่างหนึ่งก็คือ การพูดให้น้อย ทำให้มาก เรายิ่งทำดีมากเท่าใดคนก็ยิ่งยกย่องเรามากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่การทำดีทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่ได้ทำเพื่อจะให้คนอื่นมายกย่องเรา แต่ทำเพราะว่าเรานั้นต้องการจะฝึกฝนตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนกับการมานั่งในสามวันนี้ นั่งที่นี่ ร้อนไหม (ร้อน) แต่ก็จำเป็นต้องนั่งเพื่อเป็นการฝึกฝนตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราฝึกฝนตนเองได้ดีมากเท่าไร สภาพเช่นนี้เราสามารถอดทนได้ วันหลังเมื่อเราเจอคนมาว่าเราต่อหน้า เราก็จะสามารถยิ้มให้ได้เอง แต่ถ้าหากว่าเราไม่เคยทุกข์ยาก ไม่เคยลำบากเลย เวลาที่คนอื่นมาว่าเรา เราก็จะทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นความทุกข์นั้นมีประโยชน์ ที่ทำให้เรานั้นเป็นคนเต็มคน ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่รู้จักอดทนในสิ่งใดเลย ฉะนั้นจึงบอกว่าความทุกข์นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี ความสุขนั้นต้องเข้าใจใช้ เข้าใจอยู่กับความสุข ไม่ใช่อยู่กับความสุขด้วยความหลง ความทุกข์ความสุขเป็นอย่างไร เราชอบความสุข ความสุขอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็อยู่ข้างหลัง ถามว่าความทุกข์และความสุขนั้นแยกจากกันได้ไหม (ไม่ได้) กลางความสุขมีความทุกข์ เพราะว่าต้องหาแทบตายจึงได้ความสุขนิดหน่อย ส่วนกลางความทุกข์เช่นที่เรานั่งกันท่ามกลางอากาศที่ร้อนเช่นนี้ กลับมีความสุข เพราะว่าเราได้ธรรมมาชำระล้างจิตใจให้สะอาด ศิษย์ของอาจารย์คงไม่ปฏิเสธถ้าอาจารย์จะพูดว่า แม้ชำระไม่ได้มากก็ชำระได้น้อย คือชำระจิตใจของศิษย์ได้บ้าง หาทางแก้ปัญหาในตัวของศิษย์ได้บ้าง เพราะฉะนั้นความทุกข์และความสุขนั้นวนเวียนอยู่รอบตัวเรา ยามใดที่เราเจอความทุกข์ เราก็รู้ว่าตอนนี้ความทุกข์อยู่ข้างหน้า แต่ความสุขอยู่ข้างหลัง สองสิ่งนี้แยกจากกันไม่ได้ ถ้าหากอยากได้ความสุขก็ต้องได้ความทุกข์ด้วย เหมือนกับการกินมะระ เวลากินมะระตอนอยู่ที่ลิ้นเป็นอย่างไร (ขม) ตอนอยู่ที่คอเป็นอย่างไร (หวาน) เอาที่ลิ้นหรือเอาที่คอ (ที่คอ) ดังนี้ทุกคนก็รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่อยู่ที่ภายภาคหน้าของเรา อยากได้ความสุขก็ต้องหาจากความทุกข์จึงจะเจอความสุขอันแท้จริง
ในสามวันนี้มาพูดเรื่องการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ พุทธะเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสบายๆ การเรียนก็ดี ภรรยาก็ดี ลูกก็ดี การงานก็ดี ทุกอย่างดีหมด ถามว่าคนๆ นี้รู้จักความทุกข์ไหม (ไม่รู้จัก) หากคนนี้ไม่รู้จักความทุกข์ ถามว่าอยากบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่อยาก) เพราะชีวิตนั้นมีความสุข อยู่ดีๆ ก็ให้ผละจากใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีมาใส่เสื้อผ้าสีขาวก็ย่อมยาก เพราะฉะนั้นในการที่ศิษย์รู้จักความทุกข์นั้นจึงเป็นสิ่งที่ดี อย่าได้มองความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ไม่ควร ไม่เอา ในการบำเพ็ญธรรมนั้นมีความยากลำบากต่างๆ นานา ศิษย์กล้าที่จะเผชิญความยากลำบากเหล่านี้ไหม (กล้า) ถ้าไม่กล้าเผชิญความยากลำบากแม้แต่เล็กน้อย จะได้สิ่งที่เป็นผลที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร หากอยากจะได้ผลที่ยิ่งใหญ่ต้องพบอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก่อน
“เถลไถลไม่รู้ตัวกลัวศิษย์หลง”
เคยเถลไถลไหม (เคย) เถลไถลเพราะอะไร (ไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง, เพราะเราไม่อยากจะทำ, ขี้เกียจ, ทำแล้วไม่เห็นผลเลยไม่อยากทำ) มนุษย์ชอบที่จะเห็นผลได้ทันตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่จะเห็นผลทันตาทุกอย่าง การปลูกต้นไม้ก็ต้องใช้เวลา อยากให้คนชั่วได้รับผลชั่วก็ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นผู้ลิขิตเสียเอง ไปลิขิตให้เขาได้ผลชั่วเสียเดี๋ยวนั้นโดยการที่เราลงมือเอง อย่างนี้ก็เป็นการใจร้อนเกินไป ชีวิตคนเป็นอย่างไร (ชีวิตคนสั้น, มีทุกข์, ไม่แน่นอน) อาจารย์อยากบอกว่าชีวิตมีทุกข์ แล้วจะได้ความสุขอย่างไร
“ชีวิตคนมีทุกข์ง่ายรู้ระวัง สุขที่หวังย่อมได้แน่เพราะรู้พอ”
อาจารย์บอกว่าความสุขได้แน่เพราะรู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครรู้จักความพอไหม ยังไม่รู้ว่าความพอที่แท้จริงเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เรามีเงินสูงสุดในตัวห้าพัน มีความสุขไหม (มี) แต่มีอีกคนหนึ่งมีเงินสูงสุดในตัวหนึ่งหมื่น ถามว่าเขากับเราใครมีความสุขมากกว่ากัน (เรา ,เขา) ทำไมถึงว่าเขามีความสุขมากกว่า (เพราะสามารถหาความสุขได้, คนที่มีเงินมากกว่าอาจจะไปขโมยเงินคนอื่น) เห็นไหมว่าความคิดของคนนั้นมีหลากหลาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่จำเป็นว่าความคิดของเราจะต้องถูกเสมอไป อาจารย์อยากรู้ว่ามีเงินหมื่นมีความสุขกว่าคนที่มีห้าพันตรงไหน (มีเงินหมื่นแล้วรู้จักพอ) น่าเสียดายที่มนุษย์สมัยนี้มีเงินหมื่นแล้วไม่พอ ถ้าพูดตามนิสัยของคนบนโลกมนุษย์นี้ทั้งห้าพันทั้งหนึ่งหมื่นก็ ไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่สองคน แต่มีคนอยู่ มากมาย เวลาเราฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ คนที่มีเงินหมื่นล้านเราก็อยากจะได้ด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเราเห็นคนที่มีเงินหนึ่งล้านเราก็รู้สึกว่าอยากจะได้ด้วย แต่ถามว่าใครมีความสุขมากกว่ากันระหว่างสองคนนี้ ไม่มีใครมีความสุขเลยและถ้าหากว่าใครคนหนึ่งจะมีความสุข ก็ด้วยเหตุที่เขารู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครรู้จักพอคนนั้นก็ย่อมมีความสุข มีเงินน้อยใช้แต่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) มีเงินน้อยก็ใส่เสื้อผ้าราคาถูกหน่อยหนึ่ง เสื้อผ้ามีไว้ทำอะไร (ปกปิดร่างกาย) ศิษย์จะปกป้องร่างกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงหรือราคาถูก เหมือนกันไหม (เหมือนกัน) อาหารการกิน คนที่กินอาหารมื้อละพันกับคนที่กินมื้อละร้อย เหมือนกันไหม (เหมือนกัน) ชีวิตคนนั้นอย่าได้ให้ความสำคัญกับเงินทอง อย่าใช้เงินทองตัดสินคน เพราะว่าเงินทองนั้น ทุกๆ ใบในแบงก์สิบ แบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อยไม่มีชื่อเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีเราเป็นเจ้าของแบงก์ใบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเงินเข้ากระเป๋านี้แล้วก็ออกไปอยู่กระเป๋าคนโน้นเหมือนกันไหม (เหมือนกัน) ก็ดู ไม่ออกว่าเป็นเงินทองของใคร เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินกันด้วยเรื่องของเงินทอง อย่าให้เงินทองเป็นเจ้าชีวิต ขอให้สร้างชีวิตให้มีคุณค่า แล้วชีวิตนี้จะมีค่ามากขึ้น เชื่ออย่างนั้นไหม (เชื่อ)
ใจของศิษย์เป็นใจที่สะอาดๆ หรือเปล่า (สะอาด) เป็นใจที่มีความศรัทธา
หรือเปล่า (มี) มีความศรัทธามากหรือน้อย (มาก) มีความศรัทธาปลอมๆ หรือจริงๆ (จริงๆ) อาจารย์ก็หวังว่าอย่างนั้น เพราะถ้าหากว่าศรัทธาไม่จริงรับไปก็รับไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับคนส่งอยู่อีกฝั่งแต่คนรับอยู่อีกฝั่ง ไม่ได้ยืนอยู่ฟากเดียวกัน แล้วจะถึงไหม (ไม่ถึง) เหมือนกับยืนอยู่ประตูคนละฟาก ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์แม้จะได้ยินเสียงของอาจารย์ แม้ว่าจะรู้ในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ไม่เปิดใจออกรับ ก็จะไม่ได้รับในสิ่งที่อาจารย์พูด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นหวังว่าศิษย์ทุกๆ คนคงมีความศรัทธาจริงใจ คงตั้งใจฟังและระงับความสงสัยไว้ชั่วขณะ ไม่มีจิตที่เล่นๆ จริงๆ หยอกๆ เย้าๆ ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรียกว่าอาจารย์แล้ว ถ้าหากว่าทำดื้อรั้นกับอาจารย์ อาจารย์ก็มีสิทธิ์ลงโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อาจจะลงโทษให้ออกมายืน มาเดินเป็ด ดีหรือไม่ (ดี) ศิษย์ของอาจารย์ดื้อหรือเปล่า (ไม่ดื้อ) คนดื้อมักจะบอกว่าตัวเองไม่ดื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เมื่อยังมีร่างกายอยู่ก็เป็นการยากที่จะรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรงได้ถ้าหากเป็นผู้ที่ตามใจตัวเองอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตามใจปาก เราก็หาโรคเข้าใส่ตัวเราด้วยการกิน ตามใจอารมณ์ก็หาโรคเข้าหาตัวเราด้วยอารมณ์ต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าตามใจร่างกายพาตัวเองไปเหนื่อยกับการเล่นเกม กับการทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปเที่ยว ไปหาความสุขด้วยการใช้ร่างกายของเราไปในทางที่ไม่ดี ก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดโรคได้เช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนเพิ่งอายุยี่สิบกว่า บางคนมากกว่านั้น ถามว่าจะรักษาร่างกายให้แข็งแรงไปจนอายุ หกเจ็ดสิบได้อย่างไร เพราะว่าคนที่เป็นหนุ่มสาวสมัยนี้ เราปวดเมื่อยเป็นไหม (เป็น) บางคนก็มีโรคประจำตัวต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเป็น ไข้หวัดก็รู้ว่าตัวเองนั้นร่างกายไม่แข็งแรง แล้วจะรักษาร่างกายของเราให้อยู่ ยืนยาวจนแก่จนเฒ่าโดยมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่านี้ได้อย่างไร นั่นต้องถามตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงจึงจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ หากเรามีสุขภาพไม่แข็งแรงเวลาที่จะบอกคนอื่นมาบำเพ็ญธรรม เราจะมีแรงออกไปเดินตามได้กี่คนเมื่อเทียบกับคนที่แข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราจะรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรง ศิษย์ของอาจารย์จำเป็นต้องสังเกตตนเอง อย่างแรกคือร่างกายของเราทุกๆ ส่วน อย่างที่สองคืออารมณ์ในใจของเรา อย่างที่สามคือความคิดคำนึงต่างๆ ของเรานั้น ต้องรู้จักควบคุมให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) นอกจากเรื่องร่างกายอันแข็งแรงแล้วยังต้องดูเรื่องการปฏิบัติตนด้วย หากมีคนที่ทำให้เราไม่พอใจ เราก็ไม่พอใจตอบ คนๆ นี้เหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เหมือน) คนๆ นี้ไม่สุภาพ ไม่เรียบร้อยเหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เหมือน) แล้วทำไมต้องบำเพ็ญธรรม (เพื่อให้หลุดพ้น, เพื่อให้จิตใจดีงาม, เพื่อความสบายใจ, เพื่อให้จิตใจสงบ, เดินตามอาจารย์จะได้เห็นผล) ถ้าหากว่าโดนคนเขาดึงจะทำอย่างไรดี คนอื่นว่าบำเพ็ญธรรมไม่ดีหรอกมากับเขาดีกว่า เวลาสามวันนี้เราฟังธรรมะก็มีความเข้าใจกระจ่างดี แต่พอกลับไปบ้านมีคนมาบอกว่างมงาย คนนั้นก็บอกว่าไม่จริง อีกคนบอกว่าไม่ใช่ ถามว่าเราเชื่อตัวเอง หรือเปล่า (เชื่อ) เราจะดึงเขาหรือจะให้เขาดึงเรา (เราจะดึงเขา) หากเขามาดึงเรา เราก็ต้องดึงกลับใช่หรือเปล่า (ใช่) ดึงใคร สมมติว่าคนนั้นเป็นพุทธะ แล้วอาจารย์เป็นมาร ถ้าอาจารย์ดึงเขาถามว่าเขาต้องทำอย่างไร (ดึงกลับ) ต้องเป็นพุทธะที่สามารถดึงทุกคนที่อยู่รอบข้างเราให้กลับเป็นพุทธะได้อย่างเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่) ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพุทธะ แต่หากว่าเราโดนผู้อื่นดึง เราก็ยังสมัครใจไปอยู่กับมาร ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าอาจารย์เป็นพุทธะแล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นอาจารย์ดึงศิษย์เพื่อให้ศิษย์ตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะดูว่าหลังจากที่อาจารย์ดึงศิษย์ในวันนี้แล้ว ศิษย์จะตามมาหรือเปล่า (ตาม) ตามไม่ตามไม่ใช่อยู่ที่วันนี้ เขาบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไม่ใช่ว่าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าศิษย์ตามมาแล้วก็จะตามมาจริงๆ ต้องดูว่าหลังจากสามวันนี้เป็นอย่างไร หลังจากนี้ให้หลังปีหนึ่งยังอยู่ไหม สามปียังอยู่หรือเปล่า ห้าปียังอยู่หรือเปล่า สิบปีมาดูกันว่าบำเพ็ญดีขึ้นหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญนั้นก็คือการขัดจิตใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) ขัดอะไรออก เวลาที่เราทำน้ำหวานเปื้อนลงไปที่พื้น ถามว่ารอยเปื้อนอันแรกขัดออกง่ายไหม. (ง่าย) รอยเปื้อนอันที่สองยังไม่อยากขัดเลยปล่อยทิ้งไว้เป็นอย่างไร (ขัดยากขึ้น) ถามว่าปีหนึ่งผ่านไปขัดออกไหม (ขัดไม่ออก) เพราะว่าแน่นใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งทียิ่งแน่นขึ้นเรื่อยทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าพื้นนี้เป็นจิตใจของเรา เราทำอะไรเปื้อนลงไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว เปื้อนมากี่สิบปีแล้ว เคยไปขัดไหม (ไม่) เรายังไม่เคยขัดจิตใจของเรานี้เลย เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปขัดจิตใจของเรานั้นต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกมนุษย์บอกว่าต้องใช้น้ำยาขัด ต้องใช้น้ำยาที่แรงมากๆ ถึงจะสามารถขัดรอยเปื้อนอันนี้ออก ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องใช้ธรรมะที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงจึงจะสามารถที่จะขัดจิตใจของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าธรรมะศักดิ์สิทธิ์นั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน (ความเชื่อ, ใจ, ความนับถือ, ความศรัทธา, อยู่ที่การปฏิบัติ) ธรรมะนั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ อยู่ที่เรานั้นนำไปปฏิบัติหรือไม่ ถ้าหากว่าอาจารย์พูดไปกี่คำ กี่ครั้ง ก็ไม่ปฏิบัติ ธรรมะจะศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถือว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ฟังไม่เข้าใจ ไม่นำกลับไปปฏิบัติ ธรรมะก็ขาดความศักดิ์สิทธิ์ ในทางเดียวกัน เวลาที่เราอยู่ ข้างนอกถ้าหากว่าคนที่พูดให้เราฟังนั้นไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นเพื่อนของเรา เป็นพี่ของเรา เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นคนที่เราไม่รู้จักหน้าตา ถามว่าเขาพูดให้เราฟังแล้วเรานำไปปฏิบัติศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์) คำพูดของคนคนนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติได้มากเท่าไร จะศักดิ์สิทธิ์มากหรือน้อยก็ล้วนอยู่ที่ตัวของเราเอง ขึ้นอยู่กับว่าใจของเรานั้นต้องการจะเป็นพระศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไร
มานั่งฟังธรรมะสามวันนี้ อาจารย์ขออย่างเดียว ขอให้มานั่งด้วยความ เต็มใจ ด้วยความเข้าใจ อย่าได้นั่งฟังธรรมะเพราะว่าความจำใจที่คนอื่นเรียกให้มาฟัง สิ่งที่ดีๆ ที่แฝงอยู่ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าไม่น่าฟังเลยจะเกิดขึ้นไหม ก็ไม่สามารถจะมีขึ้นได้ แต่หากว่าศิษย์ตั้งใจฟัง แม้พ่อแม่จะบ่นยาวยืดศิษย์ไม่อยากฟัง แต่ในคำบ่นนั้นก็มีคำสอนที่ดีเกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์เต็มใจเท่าไร ความเต็มใจคือใจที่เต็ม แล้วทำให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นได้ก้าวหน้าขึ้นจากความไม่รู้ทั้งหลาย
ในโลกมนุษย์นี้ ไม่ใช่ว่ามีแค่สิ่งบันเทิงล่อใจ ไม่ใช่มีแค่โลกีย์ แต่ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ศิษย์นั้นต้องไปศึกษา การบำเพ็ญธรรมะ การศึกษาธรรมะไม่ใช่เรื่องของคนแก่ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะบอกว่าเป็นเรื่องของคนแก่ ก็ลองย้อนมองดู ในการศึกษาของโลกปัจจุบันนี้ทุกๆ อย่างอาศัยหลักธรรมชาติในการเรียนรู้ ก่อสร้างขึ้น ดาราศาสตร์ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า ดาราศาสตร์เรียนรู้เอาจากธรรมชาติว่าโคจรไปทางไหน เป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ปัจจุบันนี้มีการนำของเก่ากลับมาใช้ใหม่ เรียกว่ารีไซเคิล ถามว่าเรียนรู้มาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวศิษย์เกิดขึ้นมา แก่ เจ็บ ตาย สัจธรรมชีวิตที่สอนขึ้นมานั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นอยากจะได้ความเจริญก้าวหน้า อยากจะได้สิ่งที่ดีในชีวิตก็ต้องเรียนรู้จากธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ต้องเรียนรู้จากธรรมชาติว่า ธรรมชาติให้อะไรกับเราบ้าง เวลาที่ศิษย์โยนผลไม้ลูกนี้ขึ้นไปถึงที่สุดแล้ว เป็นอย่างไร (ตกลงมา) ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าชีวิตของเรานั้นเมื่อขึ้นถึงที่สุดก็ต้องหล่นลงมา หล่นลงมาเป็นธรรมชาติไหม (เป็น) ถามว่าใครหลีกพ้นหรือเปล่า ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ มีทรัพย์สินเงินทองเป็นร้อยล้าน ในที่สุดพอขึ้นไปถึงที่สุดก็ต้องหล่นลงมา ไม่พ้นต้องหล่นลงมาเบื้องล่าง เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นจะขึ้นไปที่สูง ยิ่งสูงเท่าไรยิ่งตกลงมาแรงเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรดี จะใช้สิ่งใดมารองรับชีวิตอันนี้ดี เพราะว่าชีวิตนั้นเกิดมาต้องตายในที่สุดหลีกหนีไม่พ้น
ตอนเกิดเรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร แต่ตอนตายรู้ไหมว่าจะทำอย่างไร (ทำความดี) รู้จักความดีไหม (รู้จัก) วันหนึ่งเราทำความดีกันกี่ครั้ง เอาความดี หนึ่งวันมารวมๆ กันได้สักชั่วโมงหนึ่งไหม (ไม่ได้) ก็อาจจะยังไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นมนุษย์โดยส่วนใหญ่ในโลกนี้ทำความชั่วมากกว่าความดี ในขณะที่เราบอกว่าเราเป็นคนดีอยู่ เราก็ยังทำความดีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นในวัฏสงสารนั้นจึงก่อกำเนิดสองแดนที่นอกเหนือจากโลกมนุษย์ ก็คือสวรรค์และนรก บอกว่าไม่เชื่อเลยว่ามีสวรรค์และนรก สวรรค์และนรกนั้นเป็นธรรมชาติ ก่อเกิดจากศิษย์ของอาจารย์ทำความชั่วมาก ทำความชั่วมาก ใคร ลงมาลงโทษเรา ถ้าในโลกนี้ไม่ได้รับการลงโทษเลยแล้วใครจะลงโทษเรา ก็คือธรรมชาติของนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนที่ทำความดีมากก็ไปรับผลบุญอยู่ในแดนสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นสองแดนนี้จึงเป็นธรรมชาติของศิษย์ที่ทำความชั่วและความดี ทำเท่าไรก็ได้เท่านั้นทำดีมากไปรับผลดี ทำชั่วมาก มารับผลชั่ว
เขาบอกว่าทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก เพราะฉะนั้นความชั่วอยู่ เบื้องล่าง และความดีอยู่เบื้องบน ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราจะปีนบันไดขึ้นไป ข้างบน ยากไหม (ยาก) กับการที่เรานั้นจะไถลลงมาอยู่ข้างล่าง ยากไหม (ไม่ยาก) การทำความดียากหรือเปล่า (ยาก) ถามว่าต้องทำไหม (ทำ) เราอยากจะปีนบันไดขึ้นไปบนสวรรค์หรือจะไถลลงมาในนรก (ปีนบันได) เวลาปีนขึ้นไปลำบากไหม (ลำบาก) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า ความดีและความชั่วนั้นเป็น ธรรมชาติของมนุษย์เหมือนกัน ในการที่เรานั้นออกจากร่างกายนี้แล้ว จิตของเรานั้น เมื่อทำความดีมากก็จะเบาเหมือนกับขนนก อารมณ์โกรธก็มีน้อยลง ความโลภก็ไม่ค่อยมี ความรัก ความเกลียดก็ไม่มี จิตนี้ก็จะเบา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทุกวัน เดี๋ยวก็โกรธคนโน้น เกลียดคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ เดี๋ยวก็ไปทำกรรมอันนี้ คิดร้ายอย่างนี้ ไปขโมยทรัพย์สินอย่างนี้ ทุกวันๆ ผ่านไป สมมติว่าจิตเป็นพัดอันนี้ พอใส่หินมากขึ้นเป็นอย่างไร (หนัก) ใส่หินก้อนเล็กๆ คือทำความชั่วไม่ดีเล็กๆ ใส่หินก้อนแรกลงไปเป็นอย่างไร หนักขึ้นไหม (หนัก) หนักเล็กน้อย ใส่อีกก้อนหนักไหม (หนักขึ้น) หนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะทำความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ในที่สุดแล้วพัดอันนี้เป็นอย่างไร พัดอันนี้ก็หล่นลงตกลงสู่ที่ต่ำ เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะไม่สามารถยืนยันความดีอันนี้ของตนเองได้ เพราะทุกวันก็เฝ้าทำความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดแล้วตกลงสู่ที่ต่ำ ต่ำไปถึงที่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง จึงบอกว่าธรรมชาตินั้นให้ศิษย์นั้นเรียนรู้ หากศิษย์ดำรงชีวิตนี้ด้วยความเป็นธรรมชาติ ทำความดีให้มาก ทำความชั่วให้น้อย ย่อมจะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน เป็นเรื่องของธรรมชาติของชีวิต คนที่ทำความดี ความชั่ว เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์นี้มีธรรมชาติเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในปรโลก แต่ถามว่าศิษย์ของอาจารย์ชอบอยู่ใกล้คนดีหรือไม่ดี (คนดี) เพราะฉะนั้นเราจึงบอกตนเองว่าอยากเป็นคนดีหรือไม่ดี (ดี) แล้วเราทำดีหรือยัง เราเป็นคนดีเต็มที่หรือยัง จึงต้องกลับมามองตนเองและถามตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน”
ทำไมถึงบอกว่าสว่างคืน การคืนมาแสดงว่าเดิมทีจิตใจของเราทุกคนเป็น
จิตใจที่ใสสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเวลานาน แต่ว่าในการที่เกิดมาชาตินี้ ศิษย์ของอาจารย์ก็มีจิตใจที่สว่างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คือเวลาที่เรานั้นเป็นเด็กเล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนเป็นเด็กนั้นจิตใจของเราก็ดี แต่พอ ยิ่งโตขึ้นๆ ก็เหมือนกับเอาก้อนหินหยอดลงบนพัดทีละก้อนๆ ในที่สุดแล้วจิตใจของเราแปรเปลี่ยนเป็นจิตใจที่ไม่งดงามแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการ ที่เรานั้นจะแปรเปลี่ยนจิตใจให้สว่างคืนมา ทำอย่างไรบ้าง (บำเพ็ญธรรม, ยกหินออก, ขัดเกลา, เอาสิ่งดีๆ เข้ามาใส่, ใช้ธรรมะมาปฏิบัติ)
(มีนักเรียนคนหนึ่งถามอาจารย์ว่า ใช้ธรรมปฏิบัติข้อไหนที่จะได้มรรคผล)
เมื่อสักครู่เราคุยกันบอกว่า ธรรมมีมากมายจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อยู่ที่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นธรรมข้อไหนก็สามารถที่จะให้ศิษย์นั้นหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้ทั้งสิ้น พระกวนอูมีธรรมหลายข้อที่เด่นมาก แต่มีธรรมข้อหนึ่งที่เด่นที่สุดคือความซื่อสัตย์ มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้รู้จักความซื่อสัตย์ไหม (รู้จัก) รู้จักแต่ไม่มีใครที่จะลงมือทำ ถ้ามีโอกาสคว้าได้ก็คว้าเลย เพราะฉะนั้นธรรมที่ศิษย์ของอาจารย์ใช้จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เลย เพราะว่าทำทุกๆ ข้อก็ไปหยุดที่กลางคัน เสร็จแล้วก็จบแล้วจบกัน
ร่างกายของคนนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง หัว แขน ขา ถามว่าในคนนี้ ตรงไหนที่เรียกว่าคน เราก็บอกว่าต้องมีหัว มีแขน มีขา ตาก็ต้องมีสองข้าง หัวต้องชี้ฟ้า ขาต้องเหยียบดิน อย่างนี้ถึงเรียกว่าคน เพราะฉะนั้นการที่จะใช้ธรรมข้อใดปฏิบัติก็แล้วแต่ ธรรมนั้นต้องรวมทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในศิษย์ ไม่สามารถบอกได้ว่าใช้ธรรมข้อใด นั่นขึ้นอยู่กับว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะใช้สิ่งใดเป็นหลักเท่านั้นเอง เหมือนกับพระกวนอูใช้ความซื่อสัตย์เป็นหัว หมายถึงว่า มองแล้วก็รู้ว่าคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก ใช้ความเมตตาเป็นแขน ใช้มโนธรรมเป็นขา ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องรวมกันเป็นหนึ่ง ศิษย์ต้องรวม ขึ้นมา ต้องมีคนบอกว่าศิษย์เป็นคนมีธรรม มีจิตใจที่ตื่นรู้อยู่เสมอ นี่จึงบอกว่าศิษย์นั้นเป็นผู้บำเพ็ญได้ ไม่ใช่บอกว่าคนๆ นี้ไม่มีธรรมเลย ถ้าอย่างนี้จะบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์มีแต่จะบอกศิษย์ว่า สิ่งที่ใช้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นบันไดพื้นฐานให้ศิษย์เหยียบขึ้นไปนั้นอยู่ที่ไหน ศิษย์จะขึ้นไปถึงบันไดขั้นไหนนั้น อยู่ที่ศิษย์ พื้นฐานคือคุณธรรมทั้งแปดอย่าง๑
ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง ถ้าหากว่าอยากเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความกตัญญูจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธะไหม เขาว่าคนนี้เป็นพุทธะปลอมๆ เป็นพุทธะแต่ชื่อ เป็นพุทธะแต่ในนาม ใส่เสื้อขาวกระโปรงน้ำเงินหรือกางเกงน้ำเงิน แต่ใจไม่ขาวเลย อย่างนี้จะบอกว่าเป็นพุทธะ เป็นคนที่มีธรรมก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการมองไม่ใช่มองแต่เพียงภายนอก
บันไดขั้นที่สองคือความปรองดองในหมู่พี่น้อง ทั้งพี่น้องที่บ้านและในสถานธรรม ผิดนิดอภัยบ้าง ผิดหนักอภัยใหญ่ อยู่ที่ว่าใจของเราใหญ่เท่าไร ถ้าใจเราใหญ่มากก็อภัยมาก เขาผิดมากแต่ใจเราเล็กกว่าเราจะอภัยเขาได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ที่ใจของศิษย์เอง เขาผิดมากใจเรานิดเดียวเราจะอภัยเขาไหวไหม (ไม่ไหว) เขามีความผิดมากเท่าไร ใจเราต้องกว้างมากกว่านั้น
๑ คุณธรรมแปด
๑. กตัญญู ๕. จริยธรรม
๒. พี่น้องปรองดองกัน ๖. มโนธรรม
๓. ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ๗. สุจริตธรรม
๔. ความสัตย์จริง ๘. ละอายและเกรงกลัวต่อบาป
บันไดขั้นที่สามคือความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง ในการที่เกิดมาเป็นคนนั้นแม้ชีวิตจะสั้นมาก แต่คุณค่าของคนมากที่สุดนั้น อยู่ที่ความรับผิดชอบ หากว่าเรามีหน้าที่เป็นลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบ ในหน้าที่ของตนเอง คือเป็นผู้มีความกตัญญู รับผิดชอบในหน้าที่การงาน การเรียนหนังสือ ในการบำเพ็ญตน การรับผิดชอบต่างๆ นั้น หัวใจคือต้องทำให้ทันเวลา ไม่ใช่รับผิดชอบเหมือนกัน แต่บอกว่าเดี๋ยวเอาไว้ก่อน เป็นดินพอกหางหมูก็ไม่ได้
บันไดขั้นที่สี่คือความมีสัจจะ สัจจะต่อผู้อื่นต้องมีไว้ แต่สัจจะที่ สำคัญมาก คือสัจจะต่อตนเอง อาจารย์ถึงบอกว่าการเป็นพุทธะนั้น อย่า พูดเยอะ ให้ทำเยอะ จึงจะรักษาสัจจะไว้ให้คงอยู่ หากว่าเราพูดเยอะ ทำน้อย สัจจะนั้นก็จะ ไม่สามารถที่จะคงอยู่ได้
บันไดขั้นที่ห้าคือมารยาท คือจริยธรรม จริยธรรมคือการทำทุกอย่างเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่ชิงสุกก่อนห่าม ไม่ผิดมารยาทต่อผู้อื่น สิ่งที่ไม่ควรฟังอย่าฟัง สิ่งที่ไม่ควรดูอย่าดู สิ่งที่ไม่ควรทำอย่าทำ สิ่งไม่ควรคิดอย่าคิด
บันไดขั้นที่หกคือมโนธรรมของเรา มโนธรรมที่อยู่กับเราตลอด ใจที่บอกให้เราทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง มโนธรรมที่คอยอยู่ในใจเราแล้วเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลา ขอให้เรานั้นทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง แล้วเรานั้นต้องทำแล้วปฏิบัติตาม
บันไดขั้นที่เจ็ด บันไดขั้นที่แปด คือหิริโอตตัปปะ คือความรู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป เวลาเราทำผิดบาป ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะละอาย เกรงกลัวต่อบาปแล้ว เมื่อนั้นก็จะขาดพุทธจิตที่อยู่ในจิตของตนเองไป เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นบาป สิ่งใดที่ผิดต้องรู้จักละเว้น เริ่มจากน้อยไปหามาก เริ่มละอายเมื่อไรก็ต้องรู้จักที่จะหักห้ามใจของตัวเองเมื่อนั้น ไม่ใช่หาเหตุผลต่างๆ เข้าข้างตัวเอง แล้วก็บอกว่าเรานั้นถูกอยู่เสมอ ผู้อื่นผิด ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะไม่ได้ในสิ่งที่ถูกต้องใส่ตัว เพราะเป็นคนที่ช่างเจ้าเหตุผล มีแต่บันได พื้นฐานแปดข้อนี้ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไว้เป็นบันไดจริงๆ การบำเพ็ญพุทธะ การที่จะหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยืดยาวกว่าที่อาจารย์พูดอีก อาจารย์พูดเยอะแต่ศิษย์ของอาจารย์ต้องไปทำเยอะกว่านี้ ยังมีการทดสอบใจของเราอีกหลายเรื่องที่ต้องไปฝ่าฟันให้ได้ เพราะว่าการชนะสิ่งใดก็ไม่เท่าชนะใจตนเอง
ชอบใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยงไหม (ไม่ชอบ) ใครที่ชอบไปเล่นไพ่ เล่นหวย เล่นไฮโล ชอบชกต่อยกับคน ล้วนเป็นเรื่องของความเสี่ยงในชีวิตทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงไม่สมควรจะไปใช้อย่างเสี่ยงเช่นนี้ ศิษย์ของอาจารย์สามารถใช้ชีวิตอย่างราบเรียบปกติสุขได้ ความราบเรียบเป็นความไม่มีสีสัน แท้จริงแล้วสีที่สวยที่สุดก็คือสีขาว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หลายคนชอบเป็น สีแดง สีเขียว สีดำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เวลาที่เรามองดอกไม้ ดอกไม้มีหลายสี อยู่รวมกันเป็นสิ่งที่สวยก็จริง แต่ถามว่าดอกไม้ทุกดอกนั้นเหี่ยวเฉาได้ไหม (ได้) เหมือนกับชีวิตของคน ในที่สุดแล้วดอกไม้ก็ไม่สามารถที่จะยืนยงอยู่ได้ตลอดไป วัยของเราก็เหมือนกับดอกไม้ที่เพิ่งจะแย้มบาน มีความแข็งตัว แต่ถ้าหากใช้ชีวิตนี้ด้วยการเสี่ยงต่อไป อาจจะกำหนดชีวิตตนเองทำให้พิการไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถือว่าเป็นการเสี่ยงที่ ไม่สมควร ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงควรใช้ชีวิตนี้ด้วยความระมัดระวัง สิ่งใดเป็นการเสี่ยงภัย สิ่งใดที่เกิดจากอารมณ์มากเกินไป การใช้อารมณ์มากเกินไป โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เกลียด แค้น สามอารมณ์นี้ขอให้เบาบางลงทุกๆ วัน อันว่าอารมณ์นั้นเกิดขึ้นภายใน คนอื่นอาจจะไม่รู้ก็ได้แต่ว่าเรานั้นรู้ดีที่สุด คนที่ มีอารมณ์โกรธมากๆ นานๆ เข้าจะกลายเป็นโรคหัวใจ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น
“ลืมความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น”
อาจารย์บอกเช่นนี้แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทุก ๆ คนต้องไปหาความหวานที่อยู่ในความขมให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราคิดที่จะกินมะระ เราก็ต้องเลือกว่าเราอยากจะขมลิ้นหวานคอหรืออยากจะกินของหวานลิ้นขมคอ ชีวิตของเรานี้ถ้าเกิดว่าอยากจะมีสีสัน ความบันเทิง ความแปลกอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้ วิวัฒนาการของโลกยุคใหม่นี้ก้าวหน้าไปทุกวัน ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าที่ศิษย์ได้รับไปนั้นคืออะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) ของบางอย่างผลิต ขึ้นมาไม่รู้ว่าผลวันหน้าจะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ ศิษย์ไม่รู้ก็เหมือนกับการที่ไปเสี่ยง เหมือนกับเอาตัวเราเข้าไปเสี่ยง คือการกินของบาดลิ้นแต่ไม่รู้ว่ามันขมคอเท่าไร อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้ถ้าทำอะไรไม่รู้จักคิด เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ทำอะไรรู้จักคิด ไม่ใช่คิดครั้งเดียวแต่ต้องรู้จักคิดถึงสามครั้งก่อนที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่เสียใจภายหลังอยู่ตลอดเวลา
อันว่าความเข้าใจเกิดขึ้นได้ ในยามที่ศิษย์ของอาจารย์กำลังทำความ เข้าใจอยู่ แต่ต้องรู้ว่าความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วต้องไม่ขาดปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ขาดซึ่งความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสามสิ่งนี้ไป ก็ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ดีพร้อม ถ้าอยากเป็นคนดีพร้อมต้องมีความเข้าใจใน เรื่องราวต่าง ๆ นานา มีปัญญาต้องมีความดีประกอบคู่กันเข้าไปด้วย ซึ่งความดีก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ขาดแคลนยิ่งนัก บอกว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีแต่จริงๆ แล้วดียังไม่ถึงที่สุด เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วคนอื่นยังดีกว่าเราอีก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถามหน่อยว่าหากว่าเบื้องบนจะคัดเลือกหยกที่ดีที่สุด เราเป็นหยกปนหิน เบื้องบนเอาไหม (ไม่เอา) แล้วถามว่าถ้าเราเป็นหยกแท้ เป็นหยกที่ดี เป็นหยกที่เย็นเบื้องบนเอาไหม (เอา) ถ้าเรายังเป็นหินปนหยก หยกปนหินอยู่
ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นหยกแท้ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นทองแท้ ย่อมไม่ดีแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คำที่ศิษย์ออกมาช่วยกันออกมาวงทุกคน ๆ อ่านว่า “ธรรมะคือเข็มทิศของจิตใจ”
ชีวิตคนหนึ่งชีวิตนั้น เดินไปทางไหนเหมือนกับการเสี่ยงทายไม่มีผิด แต่อาจารย์จะบอกว่ามีเครื่องที่ใช้วัดความเที่ยงอยู่ไม่กี่ชนิด อันแรกคือไม้ตั้งฉาก ใช้สำหรับวัดความเหลี่ยมใช่หรือไม่ (ใช่) สร้างออกมาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วน เข็มทิศนั้นก็เป็นเครื่องวัดหาความเที่ยงตรงและการเดินทาง เป็นวงกลมใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์จะเดินทางต้องพกเข็มทิศใช่หรือไม่ แต่ว่าอาจารย์ไม่มีเข็มทิศแจกคนละอัน อาจารย์มีอย่างเดียวคือสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ นั่นคือธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตของศิษย์นั้นจะสามารถพาขึ้นไปให้ดี หรือว่าจะพาลงไปตกต่ำย่อมขึ้นอยู่กับศิษย์เอง การบำเพ็ญธรรมะจะอยู่จะรอด จะไปไม่ไปย่อมอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอาจารย์ขอมอบสิ่งหนึ่งที่ไม่มีรูป ไม่มีลักษณ์ นั่นก็คือธรรมะ
เมื่อครู่เพื่อนนักเรียนถามว่าธรรมะชนิดไหนที่จะพาไปให้สู่ความหลุดพ้น ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว อาจารย์ไม่มีธรรมะที่จะหลุดพ้นทีเดียวให้ อาจารย์มีแต่ก้าวบันไดธรรมะที่เป็นก้าวให้ศิษย์ไปทำ หากว่าศิษย์ทำไม่ได้ก็เหมือนกับ ไม่ได้ก้าวขึ้นบันได เหมือนกับการก้าวอยู่กับที่ ย่อมเป็นการเสียเปล่าชีวิตนี้ที่ เกิดมาหนึ่งชีวิต เพราะฉะนั้นธรรมะย่อมเป็นเข็มทิศของจิตใจของเรา ธรรมะ ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอกแต่อยู่ที่จิตใจ เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นเข็มทิศให้ศิษย์ไว้ใช้ เดินทาง เดินทางนี้เดินทางธรรมะ เดินทางการเป็นพุทธะ ต้องบำเพ็ญเพียรจนชีวิตหาไม่ทีเดียว ใครบำเพ็ญแค่ห้าปีเจ็ดปี แล้วบอกว่าสามารถที่จะขึ้นสู่แดนนิพพานนั้นไม่จริง ต้องวันสุดท้ายของชีวิตถึงบอกได้ว่าศิษย์คนไหนสามารถเป็นพุทธะได้ แต่เครื่องวัดอย่างหนึ่งที่ศิษย์สามารถมองว่าศิษย์นั้นเป็นพุทธะได้หรือไม่ คือลองดูว่ารอบๆ ข้างเรานั้นมีใครเรียกเราเป็นพุทธะเดินดินบ้าง ถ้าเขา ยกย่องเราว่าเป็นพุทธะเดินดินได้ แสดงว่าเรานั้นก็มีสิทธิ์เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจึงบอกว่านิพพานไกลไหม นิพพานจะว่าไกลก็ไกล แต่ว่าใกล้ก็อยู่ข้างหน้าศิษย์นี้เอง อยู่ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะไปหรือไม่ไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไกลแล้วก้าวทีละก้าวถึงไหม (ถึง) เหมือนกับการวิ่งแข่งกัน การวิ่งแข่งวิ่งไปข้างหน้า คนนี้ขาไม่ดีแต่ว่าขยันวิ่งถึงไหม (ถึง) คนนี้ขาดีมากเลย ทุกสิ่ง ทุกอย่างสภาวะแวดล้อมปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าฐานะ หน้าที่ เงินทอง การงาน กุศลผลบุญพร้อมหมดแต่ไม่ยอมวิ่ง ถึงไหม (ไม่ถึง) ถามว่าจะมีใครมาแบกมาลากเขาไปไหม (ไม่มี) แบกไปไว้ครึ่งทางเหนื่อยแล้วเขาก็วางใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะแต่ละคนนั้นต้องรับผิดชอบกรรมที่ตัวเองกระทำมา ก่อมา ศิษย์อาจจะราบรื่นในแง่นี้ ในการเดินทางอย่างนี้ แต่จะไม่ราบรื่นในอีกแง่หนึ่งที่คนอื่นเขามองไม่เห็นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าเฝ้าอิจฉากัน อย่าเฝ้าบอกว่าเขาบำเพ็ญง่ายกว่าเรา จริงๆ แล้วทุกๆ คนถ้ามาเปรียบเทียบกัน ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมารวมๆ กัน ไม่มีใครบำเพ็ญง่ายกว่าใครเลย
ทุกคนมีอุปสรรคเป็นของตัวทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ขอให้บำเพ็ญธรรมโดยการก้าวทีละก้าวไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่าช้ามาก ไม่รีบร้อนแต่อย่าอืด อย่าเฉื่อยแฉะอย่าเถลไถล เหมือนกับเวลาฟังนิทานเมื่อสมัยเด็ก เต่ากับกระต่ายวิ่งแข่งกันใครชนะ (เต่า) ทำไมเต่าชนะ เต่ามีความเพียรแต่กระต่ายมีความขี้เกียจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วลองถามตัวเราเองว่าเรานั้นมีความขยันหรือ ขี้เกียจ ถ้าหากใครตอบว่ามีขยันกับขี้เกียจปนกันก็ฟังอาจารย์พูดให้ดีๆ คนที่มีความขยันและขี้เกียจปนกัน ถ้าเผอิญว่าในยามที่ศิษย์ขยันนั้นไม่มีสนามให้ วิ่งแข่ง แต่ว่าในยามศิษย์ขี้เกียจนั้นกลับมีเส้นชัยขึ้น ถามว่าตอนที่เราขยันนั้นมีประโยชน์ไหม (ไม่มี) ในยามที่เราขยันนั้นก็ไม่มีประโยชน์
เหมือนกับในยามนี้ที่มหาธรรมลงสู่โลกยุคนี้ เมื่อคนมีความชั่วมากธรรมะจึงลงมารวดเร็ว เข้าถึงตัวศิษย์อย่างง่ายดาย แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้ จะมา ขี้เกียจเอาตอนนี้ก็จะเป็นการเสียโอกาส เพราะฉะนั้นในยามนี้เหมือนกับมีสนามแข่งตั้งอยู่ตรงหน้า หากว่าศิษย์ขี้เกียจ คนอื่นก็จะวิ่งแซงตัวเองไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ในที่สุดแล้วศิษย์ก็จะเสียโอกาสการเป็นพุทธะต้องมาเวียนเกิดเวียนตาย
ใครที่บอกว่าตัวเองทุกข์แล้ว อาจจะเจอทุกข์อีกร้อยรอบพันรอบก็ได้ อาจจะเจอทุกข์อีกล้านรอบแสนรอบไม่มีวันสิ้นสุด ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าการที่ให้ศิษย์บำเพ็ญนั้น อาจารย์ใจร้อนมาก เพราะอาจารย์รู้แล้วว่าตอนนี้ใกล้เวลาอันคับขัน จึงได้เวลามหาธรรมลงสู่โลก เพื่อฉุดช่วยพุทธะให้กลับคืน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใส่ใจ จึงยากบอกว่าจะให้ใครเป็นพุทธะ ให้ใครเวียนว่ายตายเกิด หวังใจอย่างยิ่งว่าคนนั้นไม่ใช่ศิษย์
อันว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น เวลาชีวิตคนที่ว่าสั้น เวลาของอาจารย์ พบหน้าศิษย์สั้นยิ่งกว่า อาจารย์หวังตั้งแต่มาว่าศิษย์ที่ดื้อรั้นของอาจารย์นั้นจะไม่มองอาจารย์ด้วยสายตาอันเคลือบแคลงสงสัย แต่จนถึงบัดนี้ มีกี่คนที่คิดเปลี่ยนแปลงตนเองบ้าง ชีวิตเหมือนกับการเล่นละครก็จริงอยู่ แต่อย่าทำชีวิตเป็นเล่น ประมาทก็คือทางแห่งความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งจึงประมาทไม่ได้แม้สักครั้งเดียว ไม่ใช่ขอประมาทเพียงครั้งเดียว หากการประมาทครั้งนั้นเกิดผิดพลาดไป แล้วจะมีใครช่วยเหลือเรา ในเมื่อชั่วชีวิตนี้ของเราไม่เคยช่วยใคร แล้วใครจะช่วยเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ขนาดคนที่คอยช่วยผู้อื่น อยู่ทุกวันยังไม่ตั้งตนอยู่บนความประมาทเลย แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นใครจึงตั้งตัวอยู่บนความประมาททุกวันๆ ได้รู้ทางแท้แล้วกลับมองเป็นเล่น ชีวิตคน ฟ้ากำหนดอย่างนั้นหรือ ชีวิตคนนั้น คนเป็นผู้กำหนดมาเอง กำหนดมาตั้งแต่ต้น ทำชั่วมากกว่าดีก็ศิษย์กำหนด ตอนนี้อยากจะทำดีมากกว่าชั่ว ก็ศิษย์กำหนด อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่าดื้อรั้น อย่าคิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้มนุษย์บางคนมีอายุมาก ภูเขาก็มีอายุมากกว่าศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฟ้าก็มีอายุ มากกว่าภูเขาอีก ฉะนั้นชีวิตนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตนเองนั้นสามารถกว่าใคร อ่อนน้อมไว้เป็นดีที่สุด ถ่อมตนไว้ขอให้ผู้รู้นั้นช่วยเราไม่ดีหรือ ลองหยิ่ง ทะนง อวดเก่งแล้วถามว่าใครอยากช่วยคนประเภทนี้ ต่อให้เป็นศิษย์ ก็ไม่อยากจะช่วยเขา
ในสามวันนี้เป็นชั้นเรียนสำหรับฟื้นฟูดวงจิตของเรา การฟื้นฟูดวงจิตนั้นย่อมนำมาจากการกระทำต่างๆ เมื่อศิษย์ได้กระทำในสิ่งที่ดี ก็ถือว่าศิษย์นั้น ฟื้นฟูมากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่อาจารย์บอกไว้ในบทเพลงบอกว่า “กระทำนำสื่อความตั้งใจ” สิ่งที่เรากระทำนั้น ถ้าเราตั้งใจมาก การกระทำของเราก็เป็นคนที่ตั้งใจทำ เหมือนสั่งให้ศิษย์พับผ้าสักผืนหนึ่ง คนตั้งใจพับกับคนไม่ตั้งใจพับ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) เหมือนสั่งให้ศิษย์ล้างชามสักใบหนึ่ง คนที่ตั้งใจล้างกับคนที่ไม่ตั้งใจล้างเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) คนที่ล้างชามไม่สะอาด พับผ้าไม่เรียบร้อย เขาก็บอกว่าไม่มีใจทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมถึงเอาใจมาอ้างอีก ก็เพราะ ทุกอย่างออกมาจากใจศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อศิษย์บอกว่าศิษย์มีใจบำเพ็ญก็ให้ทำอย่างคนมีใจบำเพ็ญ ช่วยเหลือผู้อื่น ฝึกความเมตตา เมื่อศิษย์บอกว่าศิษย์มีใจที่อยากจะหลุดพ้น ก็ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจสร้างกุศล คุณงามความดี ขยันให้มากขึ้นๆ ในทุกวัน อย่าบอกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ยุ่งยาก มากเรื่อง ถามว่าในโลกนี้มีเรื่องใดที่ง่ายๆ บ้าง ขนาดจะกินข้าวยังต้องมองคนอื่นว่าใช้ช้อนอย่างไร ถ้าศิษย์ทำไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกอย่างมีการเริ่มต้น เริ่มต้น ยากหน่อย ลำบากหน่อย แต่หวังว่าศิษย์คงไม่ท้อ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะมาเป็นพุทธะ เราไม่ได้มาเป็นปุถุชน ปุถุชนเหมือนคนที่ไหลตามน้ำ ทำตัวสบายๆ แต่พุทธะเหมือนคนที่ทวนกระแสน้ำ เหมือนกับปลาที่ไม่ปล่อยให้น้ำพัดพาลงสู่ที่ต่ำ แม้กระทั่งเวลาหลับ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้หลับหรือตื่นอยู่ (ตื่น) ตื่นอยู่ ปล่อยน้ำแห่งความสบาย ปล่อยน้ำแห่งกิเลสนั้นพาตนเองไปเบื้องล่าง ได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์ต้องเชื่อมั่นว่าศิษย์นั้นเป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้อง เชื่อมั่นว่าใจอันขุ่นหนักของเรา ใจอันไม่ได้เรื่องของเราอันนี้ เราจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นได้ มีใครนึกดูถูก ตัวเองไหมว่า เรานั้นเป็นบุคคลธรรมดา อยู่ดีๆ จะไปเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้อย่างไร ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ มากับอาจารย์ มีศิษย์หลายคนในที่นี่มีความคิดว่าตนเองนั้นเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีอะไรวิเศษวิโส แล้วจะมาบำเพ็ญเป็นพุทธะได้อย่างไร ขอเพียงศิษย์มีร่างกายพร้อมบริบูรณ์นี้ ศิษย์ก็เป็นพุทธะได้ มีความไม่เข้าใจอยู่มากมายค่อยๆ คลายไปทีละเรื่อง ใช้เวลามากหน่อย หวังว่าจะ เสียสละเวลาตรงนี้ ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ ให้เข้าใจมากๆ ให้รู้มากๆ จะได้ช่วยคน ได้มากๆ ตั้งใจให้ดีๆ มั่นคงให้มากๆ เสียสละเวลาสักนิดหมั่นทำให้มากๆ
ศิษย์ตั้งหลายคนอยู่ที่นี่ บอกให้อาจารย์ไม่ห่วงไม่อาลัย คงเป็นไปไม่ได้ อาจารย์มีแต่บอกศิษย์ว่า บำเพ็ญดีๆ ศึกษาให้มากๆ มั่นคงให้นานๆ นี่คงเป็นคำสุดท้าย ที่อาจารย์ควรจะพูดกับศิษย์มากที่สุด หากศิษย์ได้รู้ว่าคนที่มีความทุกข์มากๆ เป็นความทุกข์ที่ผู้อื่นนั้นหามาให้เรา แล้วเราไม่มีทางแก้ไขได้ ได้แต่ยืนมองดู เอาใจช่วย คงรู้ว่าความรู้สึกของอาจารย์ตอนนี้เป็นอย่างไร อาจารย์ ไม่รู้ว่าจะบอกศิษย์อย่างไร หากว่าอาจารย์เวียนว่ายตายเกิดแทนได้ แล้วพาศิษย์ให้รู้ตื่นได้โดยฉับพลัน ถ้าทำได้อาจารย์ทำแล้ว แต่กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นต้องรับ จนวันสุดท้าย จนหมดสิ้น อาจารย์ทำสิ่งนั้นไม่ได้เลยเพราะอาจารย์นั้นเป็นธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ การเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็ฝืนธรรมชาติ ไม่ได้ จึงได้แต่บอกว่าให้บำเพ็ญ ศึกษาให้เข้าใจ มั่นคงให้นานๆ มีอาจารย์อยู่ในใจ อย่าเขี่ยอาจารย์ทิ้งไปนอกใจ วันหน้าขอให้อาจารย์ได้พบศิษย์อีก
ถูกความคิดพาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ความเป็นจริงอยู่หนไหนเร่งไปหา
หลงและตื่นใช่อยู่ที่หลับลืมตา กลืนความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น
หายใจเข้าเอาความกล้ามาบำเพ็ญ ใช้ธรรมะกันเป็นไหมไถลลื่น
ความเข้าใจเพราะศึกษาทุกวันคืน ดีใจเมื่อศิษย์ข้าตื่นโดยเร็ววัน
แผ่เมตตาพาจิตใจให้มีสุข ไปล้มลุกคลุกคลานอย่าโศกศัลย์
รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน
ทำงานแห่งดินฟ้าศรัทธาไว้ แห่งหนใดพากันถ้วนทั่วตื่น
ฟ้างามตาคือใจศิษย์อันสดชื่น แบกผู้อื่นไม่หนักใจเพราะเต็มใจ
ขึ้นมาบนเรือธรรมง่ายอย่าละทิ้ง บ่าทั้งสองแห่งคนจริงช่างกว้างใหญ่
ปัญญาเอ๋ยศิษย์อย่าลืมเฝ้านำใช้ นำตนเองก้าวไกลไม่ท้อกลางคัน
สู่ธรรมนี้ด้วยมั่นคงใจไม่ท้อ ความรู้พอพาให้เกิดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
ก้าวสู่ปลายย่อมเกิดจากก้าวแรกนั้น ไกลไม่หวั่นหวั่นไม่ยอมจะก้าวเดิน
ฮา ฮา
หยุด
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมะคือเข็มทิศของจิตใจ”
ส่งมวลดีงามยุติห้ำหั่น ล้างภัยใจความอิจฉา ต่างเป็นแรงใจกันและกันหนา หนึ่งชั่วชีวาบำเพ็ญหลุดพ้น ให้มุ่งมั่นจากใจอันตื่นรู้ ย้อนมองดูอย่ามองแต่ผล คนดีดีมาจากวิริยะส่งผล เสรีสู่ความยิ่งใหญ่
เกิดตายวนเวียนมิสิ้นสุด
โลกดั่งทางผ่านมาผ่านไป กี่ปีที่ผ่านอย่างไร้ความหมาย ก็คล้ายเดินบนทางมืดเสี่ยงนัก ฟื้นฟูใจจากที่ป่วยล้มหนัก เข้าใจในสัทธรรมอันแอบแฝง ต่างมีใจกล้าแกร่ง อดใจคำสรรเติมแต่ง แม้ยากฝ่าไปไม่หวั่น
ปลุกคนหลงช่างฝัน
เกียจคร้านคนจะหมดความนับถือ
ผู้เพียรใช่แต่ชื่อ
กระทำนำสื่อความตั้งใจ ถูกความหลงกลืนหาย
ใช้ความดีแผ่ไปรักษา ช่วยทำงานแห่งฟ้าแบกขึ้นบ่า ปัญญานำสู่ความก้าวไกล
ทำนองเพลง : จี้เฮ่า
ชื่อเพลง : วิริยะบำเพ็ญ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.