西元二○一一年 歲次辛卯十月十七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
ภัยที่ว่าใหญ่แล้วยังไม่ชัด ภัยที่คาดไม่ถึงยังมีอีก
อนาคตคือกรรมที่ไม่อาจหลีก จงกางปีกแห่งธรรมโต้ปวงภัย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
เอาเข้าจริงชีวิตคนก็แค่นี้ สารพัดมีชีวิตคนความจริงว่างเปล่า
คืนสามัญหันคืนสู่ใจของเรา เรื่องไม่เบาใจเรียบช่วยทำใจ
หวังสบายที่แบบง่ายหมดเปลืองมาก ยอมเหนื่อยได้แม้ยากหากเลือกได้
ใช้ชีวิตไม่ให้เงินนำทางใจ อุทิศให้ส่วนรวมมีคนช่วยกัน
คนคนหนึ่งเมื่อพยายามมักมีชัย กลัวแต่ไม่คะนึงจนลืมตาฝัน
โลกล้ำหน้าจะวันไหนตามทัน บังคับผิดบังคับถูกหนึ่งด้านล้านปัจจัย
ชวนตนให้ต้องปลงเพื่อสุขแท้ ธรรมเผยแผ่สู่คนจริงปฏิบัติได้
ฉลาดล้ำความรู้ไม่อาจเหนือใจ ฝึกหัดตนในเลิศใดคือบำเพ็ญ
ปฏิบัติเองรู้เองได้ไม่เป็นอื่น วิญญาณตื่นจึงกลัวเกรงบาปกรรมเห็น
แม้โลกมืดความในใจยังบำเพ็ญ จะรวยจนก็บำเพ็ญใจร้อยเรียง
ละความหลงขจัดกลัวหมู่สามัคคีเกิด จิตประเสริฐได้เมื่อไรปัญญาตรงเที่ยง
ใช้ความดีนำเบาสว่างดุจตะเกียง นิพพานเป็นธงหนักเป็นเพียงเหนื่อยชั่วคราว
ฮวา ฮวา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
มะระแม้ว่าขมขนาดไหนก็ยังกลืนกินได้ แต่อ้อยแม้จะหวานขนาดไหนก็ยังต้องคายชานทิ้ง ลูกอมอมไว้นานๆ ก็หวานปากดี แต่อมนานๆ ก็เป็นโทษต่อฟันไม่ใช่หรือ วันนี้ท่านมานั่งฟังธรรมะแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยลำบาก แต่จริงๆ แล้วถ้าคิดไตร่ตรองให้ดี สิ่งที่นั่งฟังก็ยังมีคุณประโยชน์ หลายต่อหลายครั้งสิ่งที่เราฟังแล้วสบายใจ ถูกใจ ถูกอารมณ์ แต่คิดไปคิดมาก็กลับมีโทษเหมือนกัน จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นชีวิตที่มีความทุกข์ ความผิดพลาด ความล้มเหลวบางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ถ้าเรารู้จักเอาสิ่งที่เป็นความทุกข์ความผิดพลาดมาขบคิดให้เกิดประโยชน์ก็มีคุณได้ ความสำเร็จชัยชนะดูเป็นสิ่งที่ดี ดูเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่ถ้าคิดไปคิดมาแล้ว ชัยชนะนั้นก็อาจจะนำความทุกข์มาให้เราได้ เพราะต้องคอยระวังว่าเราจะรักษาชัยชนะนี้ได้ตลอดหรือไม่ จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นมะระขมยัง (กลืนได้) แต่อ้อยหวานยังต้อง (คายชานทิ้ง) ชีวิตถ้าเจอความทุกข์ยากลำบากก็จงอย่าได้ (ถดถอย) เจอความสุขก็จงอย่าได้หลงระเริงไป
ดังที่พระพุทธะมาทุกครั้งก็กล่าวบ่อยๆ ว่า “ไฟทำคนตายน้อยนัก แต่น้ำทำคนตายมามากต่อมาก” คนที่คิดว่าว่ายน้ำได้แต่ก็ต้องตายเพราะน้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนคิดว่าไฟนั้นอันตรายจึงไม่ค่อยถูกไฟคลอกตายสักเท่าไหร่ จริงหรือเปล่า (จริง)
“ภัยที่ว่าใหญ่แล้วยังไม่ชัด ภัยที่คาดไม่ถึงยังมีอีก”
ภัยพิบัติที่เจอตอนนี้ใหญ่ใช่ไหม (ใช่) แน่ใจหรือว่าใหญ่ ถ้าชีวิตยังมีลมหายใจ สิ่งที่ใหญ่กว่าก็มีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าชีวิตยังมีลมหายใจ สิ่งที่ว่าทุกข์แล้วแต่ไม่แน่ยังมีทุกข์ที่น่ากลัวกว่านี้ก็เป็นได้ จริงหรือเปล่า (จริง)
“อนาคตคือกรรมที่ไม่อาจหลีก จงกางปีกแห่งธรรมโต้ปวงภัย”
ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงได้ คือการกระทำเช่นใด ดังนั้นพุทธะอาจจะกล่าวไว้กี่ครั้ง แต่มนุษย์ก็คงจำไม่ได้ อย่างนั้นเราขอย้ำเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า “ภัยที่ฟ้าสร้างมาหรือเกิดจากฟ้ากำหนด มนุษย์ยังพอหลีกได้ แต่ภัยที่ตัวเองเป็นคนก่อกรรมทำเข็ญไว้หลีกอย่างไรก็หลีกไม่พ้น” จำไว้นะ
เซียนน้อยๆ เคยกล่าวไว้ว่า ถ้ายิ่งฟังธรรมะก็ยิ่งสดชื่น ยิ่งกระปรี้กระเปร่า ก็แปลว่าเราได้อาบรสแห่งธรรมอันร่มเย็น แต่ถ้าหากยิ่งฟังธรรมะยิ่งห่อเหี่ยวหดหู่ ท่านก็เป็นอะไร (ง่วงนอน) เรานึกว่าเป็นปีศาจพญามาร พอเจอพระธรรมหน่อยก็หวาดกลัวไม่เอาแล้ว ท่านเคยเห็นไหมปีศาจเวลาโดนพระธรรมคำสอนหรือพระธรรมคำสวดยิ่งท่องมากเขายิ่งร้อน ยิ่งท่องมากเขายิ่งอยู่ไม่ได้ แล้ววันนี้เรายิ่งฟังธรรมะเราเหมือนคนอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ (อยู่ได้) เราเห็นยิ่งฟังก็ยิ่งใจร้อน อยู่ไม่ได้แล้ว อยู่ไม่ไหวแล้ว นั่นแปลว่าในตัวเรามีคราบของปีศาจมากกว่าคราบของมนุษย์หรือพุทธะ ใช่หรือเปล่า
ยิ่งฟังยิ่งสดชื่น ยิ่งฟังยิ่งสงบเย็น ยิ่งฟังยิ่งเบิกบาน นี่แหละเรียกว่าพุทธะผู้รู้ตื่น มนุษย์ผู้มีจิตใจอันประเสริฐ ไม่ใช่ยิ่งฟังธรรมยิ่งร้อนรน ยิ่งฟังธรรมยิ่งกระสับกระส่าย ยิ่งฟังธรรมยิ่งนั่งไม่ติดเก้าอี้ เราเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังกันเล่า ท่านรู้อยู่แก่ใจ เราแค่ทำให้ท่านได้ย้อนคิดนะ เพราะนิสัยของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร “ที่นาตัวเองมีไม่รู้จักไถหว่าน ไม่รู้จักเก็บเกี่ยว ชอบคิดแต่จะไปเก็บเกี่ยวที่นาของคนอื่น” นั่นหมายความว่า จิตใจของตัวเองไม่หมั่นดูแล แต่ชอบจะไปดูแลจิตใจของผู้อื่นอยู่ร่ำไป
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีกฎเกณฑ์ โลกก็มีกฎของโลก สังคมก็มีกฎของสังคม ชีวิตของผู้คนก็มีกฎระเบียบ กฎของโลกหรือกฎของสรรพสิ่ง หนีไม่พ้นเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักยึดหลักกฎเกณฑ์อันนี้ เราคงไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เราคงไม่ทุกข์กับสิ่งใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อทุกข์จนถึงที่สุด ก็คือความว่าง เมื่อยึดกุมไปถึงที่สุดก็ต้องเจอความเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงนั้นจะนำทุกข์มาสู่ แล้วเราจะยึดมั่นสิ่งใดเป็นของเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วความจริงนั้น ของๆ เราแม้จะเป็นได้ก็เป็นได้แค่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว
ถ้ามนุษย์เข้าใจกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง เข้าใจกฎเกณฑ์ของชีวิต เข้าใจกฎเกณฑ์ของโลก มนุษย์คงไม่ต้องทุกข์กัน แต่ตอนนี้เราเข้าใจหรือไม่ เราเคยเตือนตนเองให้รู้หรือเปล่า ไม่เลย พอมีคนพูดทีก็จำได้ทีหนึ่ง แต่หาได้เข้าใจอย่างจริงแท้ ถามว่าเรายึดอะไรบ้าง ตัวตนเราก็ยึด เงินทองเราก็ยึด บ้านเราก็ยึด รถเราก็ยึด พอเจอความเปลี่ยนแปลงที่ต้องทำให้ทุกข์ เราก็เป็นทุกข์ตามที่โลกเปลี่ยนแปลง พอถึงเวลาต้องว่างเปล่า เปล่าไร้ เราก็กลับทำใจรับไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วโลกกำลังสอนความจริง แต่เรากลับไม่รับฟัง รับได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์พึงสังวรไว้เสมอว่าชีวิตหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์แห่งความจริง ธรรมะไม่ต้องจำอะไรมาก จำแค่สามอย่างนี้ ถ้าจำได้ท่านจะทุกข์น้อยลง ถ้าจำได้ท่านจะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรที่เป็นต้นเหตุให้ตัวเองต้องทุกข์เลย เวลาโดนด่าก็ไม่ทุกข์ เวลาต้องสูญเสียก็ไม่ทุกข์ เพราะเราเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง และในความไม่เที่ยงนั้นมีความทุกข์อยู่ แล้วเมื่อไรคนที่ไปจับความทุกข์นี้ให้ตัวเองทุกข์แล้วทุกข์อีก ถึงที่สุดแล้วความทุกข์ก็คือความว่างเปล่า
ถ้าเข้าใจตรงนี้เราจะทุกข์อะไรกันเล่า ถ้าเข้าใจตรงนี้วันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องไม่มี เราก็ไม่รู้สึก ไม่ทุกข์เลย เพราะโลกทำให้เราได้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งที่เราหลงลืมไป เหมือนโลกมีวันสว่างก็ต้องมีวันมืด ชีวิตมีวันขาวก็ต้องมีวันดำ แต่ดำนั้นต้องไม่เป็นกรรมที่เราเป็นคนสร้าง ถูกหรือไม่ เพราะถ้าเป็นกรรมที่เราสร้าง เราหนีอย่างไรก็ไม่พ้น แต่ถ้าดำนั้นเป็นกรรมที่ฟ้าลิขิต ที่เราต้องสูญเสีย ที่เราต้องพลัดพราก เราก็แค่ทำใจรับให้ได้ ฉะนั้นนี่แค่กฎเกณฑ์ของสรรพสิ่งนะ ถ้ากฎเกณฑ์ของสรรพสิ่งท่านยังยึดกุมไม่ได้ ท่านก็จะผ่านชีวิตนี้ได้ไม่พ้น ภัยท่านก็จะไม่มีวันหนีรอด เพราะท่านไม่เข้าใจกฎเกณฑ์แห่งความเป็นจริง ถูกหรือไม่ (ถูก)
แล้วเรารู้ไหมว่าในตัวของคนมีกฎเกณฑ์อันหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นผู้ ประเสริฐที่สุดและเป็นผู้พ้นทุกข์ในโลกได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์นี้ ก็จะทำให้มนุษย์เป็นจอมโจรและคนใจดำอำมหิตได้ ในตัวมนุษย์มีกฎเกณฑ์อันประเสริฐอยู่สิ่งหนึ่ง ถ้ายึดกุมให้ดี แผ่ขยายให้กว้างไกลและหล่อเลี้ยงบ่มเพาะให้เติบโต กฎเกณฑ์นี้จะนำพาให้มนุษย์ไปสู่ทางสว่าง กฎเกณฑ์นี้จะนำพาให้โลกสันติสุขและพ้นภัยนานาได้ รู้บ้างไหม แต่ถ้ายึดกุมไม่ได้เลยสักข้อใดข้อหนึ่ง ท่านก็คือคนที่พร้อมจะเป็นโจรและท่านคือคนที่พร้อมจะเป็นคนที่ใจดำที่สุดในโลก และเป็นต้นเหตุของภัยทั้งมวล รู้ไหมกฎเกณฑ์อะไรของมนุษย์ ให้ท่านช่วยตอบนะ
เวลาบ้านคนถูกน้ำท่วม หรือตัวเราก็ถูกน้ำท่วม เราสงสารไหม (สงสาร) แล้วถ้าบ้านเราไม่ถูกน้ำท่วมแต่คนอื่นโดนน้ำท่วมสงสารเขาไหม (สงสาร) เห็นอกเห็นใจไหม (เห็นใจ) นี่คือหนึ่งข้อ
ถ้าบ้านท่านไม่โดนน้ำท่วม แต่บ้านข้างๆ โดนน้ำท่วม ให้ท่านไปยืนหัวเราะเยาะหน้าบ้านเขาทำได้ไหม (ไม่ได้) ให้ท่านแอบไปยิ้มเยาะลับหลังเขาทำลงไหม (ไม่ลง) นี่คืออีกข้อหนึ่ง
คนที่ท่านเกลียดขี้หน้ามากที่สุดแต่วันนี้มายกมือไหว้ สวัสดีท่าน ถามว่า สบายดีไหม หัวอกของเราที่โกรธเขามากๆ เราพร้อมจะผ่อนปรนให้อภัยไหม หรือว่าจะยังดื้อดึงถือโกรธอยู่ ว่าอย่างไร (ให้อภัย) นี่คืออีกข้อหนึ่ง
ถามท่านว่าทางกลับบ้าน มีทางหนึ่งไปวัดช่วยคนน้ำท่วม อีกทางหนึ่งเดินไปเข้าร้านเหล้าเคล้านารี ท่านว่าทางไปวัดกับทางไปร้านเหล้าเคล้านารี ทางไหนถูกทางไหนผิด ทางไปวัดน่าจะเป็นสิ่งที่ถูก ทางไปหาเหล้าเคล้านารีเป็นสิ่งที่ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เดี๋ยวนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เหล้าเคล้านารีอย่างเดียว เหล้าเคล้าบุรุษก็มี อย่างนั้นถามว่าหัวอกที่แยกออกว่าอย่างนี้ผิด อย่างนี้ถูก เรามีไหม (มี) ให้เดินไปตบคนเอาไหม (ไม่เอา) ให้เดินไปชมคนทำไหม (ทำ) และอะไรถูกอะไรผิด เรารู้ไหม (รู้)
ฉะนั้นกฎเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถเป็นคนประเสริฐได้ หรือเป็นโจรใจดำอำมหิตได้ นั่นก็คือกฎเกณฑ์ที่เราบอกท่านไปเมื่อสักครู่นี้ เห็นอกเห็นใจคนอื่น ในหัวอกเรามีไหม เมตตาสงสารคนอื่นเราเคยมีไหม รู้จักอับอายขายหน้าที่ตัวเองจะไปทำผิดจะไปด่าใคร รู้สึกอายเหลือเกิน ไม่กล้าทำ แต่ด่าในใจด่าได้ทุกวัน ใช่หรือไม่
ถามว่าในหัวอกมีความอับอายไหม (มี) ฉะนั้นจิตที่รู้จักอับอายคือจิตที่เรียกว่า มโนธรรมสำนึกอันดี จิตที่รู้จักรักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่อยากเบียดบังผู้อื่นให้ต้องเดือดร้อน เรียกว่า จิตแห่งความเมตตา ฉะนั้นเมตตามีในใจไหม (มี) แต่เราเคยบ่มเพาะและดูแลให้เติบโตไหม (ไม่) ฉะนั้นถ้าไม่ปล่อยให้เมตตาเติบโต ทอดทิ้งเมตตา นั่นเรียกว่า โจร ไม่ปล่อยให้มโนธรรมสำนึกคุณธรรมความดีงามเติบโต นั่นเรียกว่า คนใจดำอำมหิต ลองคิดดูนะ เกิดเป็นคนๆ หนึ่งไม่เคยสงสารใครเลย เมื่อไม่สงสารใครก็พร้อมที่จะเอาของใครได้ เมื่อเอาของใครได้ คนนั้นก็คือโจรได้ ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง คุณธรรมแห่งความเป็นคน กตัญญูรู้คุณไม่มี ไม่รู้จักบุญคุณคน ไม่รู้จักบุญคุณอาจารย์ ไม่รู้จักบุญคุณฟ้าดิน เขาก็ต้องทำในสิ่งที่เรียกว่า ใจดำอำมหิตได้ ในเมื่อไม่มีเมตตา เขาจะมีคุณธรรมไหม โลกจึงเกิดโจรที่ใจดำอำมหิตได้
ฉะนั้นจำไว้นะ กฎเกณฑ์ความเป็นคนที่ทำให้มนุษย์ต่างจากโจร บัณฑิตต่างจากคนพาล อยู่ตรงที่ว่าเขามีจิตเมตตาไหม เขามีมโนธรรมสำนึกไหม เขามีจริยธรรมไหม รู้จักเคารพนบน้อมผู้อื่นบ้างหรือเปล่า แล้วเขามีปัญญารู้จักแยกผิดชอบชั่วดีหรือไม่ ถ้ามนุษย์สามารถขยายคุณธรรมทั้งสี่ในจิตใจได้ คนๆ นั้นก็สามารถเป็นพุทธะได้ แต่ถ้าไม่สามารถขยายข้อใดข้อหนึ่งได้ คนๆ นั้นก็พร้อมจะเป็นคนที่สร้างความวุ่นวายในสังคมและเป็นคนที่ใจดำอำมหิตที่สุดได้ แค่มนุษย์เราหนึ่งคนรู้จักเมตตาสงสารตัวเอง แล้วแผ่ความเมตตาสงสารตัวเองไปยังผู้อื่นได้เท่าๆ กับที่สงสารตัวเอง มีหรือโลกจะไม่สันติ รักลูกหลานตัวเองแล้ว ยังรู้จักรักลูกหลานผู้อื่น มีหรือโลกจะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ สงสารแต่ตัวเองไม่สงสารคนรอบข้าง รักแต่ลูกหลานตัวเอง ไม่รักลูกหลานคนอื่น บางครั้งจึงเป็นปีศาจ บางครั้งเป็นเหมือนพุทธะดูแล้วเหมือนคนที่แปลงร่างได้ ใช่ไหม (ใช่)
อยากได้โลกบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม (อยาก) อยากได้คนบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม (อยาก) เริ่มต้นที่ไหน (ตัวเราเอง) อย่าลืมนะ อย่ามัวไปไถหว่านที่นาชาวบ้าน แต่ของตัวเองไม่เคยทำ อย่ามัวไปควบคุมคนนั้นคนนี้แต่ใจตัวเองไม่เคยควบคุม ช่างน่าเสียดาย
ฉะนั้นอย่าลืมคำที่เราบอก โลกมีกฎเกณฑ์ของโลก แต่ตัวมนุษย์ก็มีกฎเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ และถ้าเราดำเนินได้ถูก เพาะเลี้ยงได้ดี เราก็จะสามารถเป็นคนที่เดินเข้าสู่หนทางแห่งพุทธะได้ไม่ยาก แต่อะไรเล่าทำให้มนุษย์เดินไปไม่ถึงหนทางแห่งพุทธะ แต่กลับพยายามเดินไปสู่หนทางแห่งการเป็นจอมโจรและคนใจดำอำมหิต ท่านว่าเพราะเหตุใด
(ความเห็นแก่ตัว) คนดีๆ ก็พร้อมจะใจดำได้ คนดีก็พร้อมจะเป็นโจรได้ อาจจะไม่ใช่เป็นโจรที่ขโมยของ แต่อาจจะเป็นโจรทางสายตา เราอยู่บ้านอยู่กับแม่ที่รักเรามากที่สุด เรายังแอบเป็นโจรได้เลย ใครบ้างไม่เคยขโมยของยกมือขึ้น ตั้งแต่เด็กใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ ยกมือขึ้น จริงหรือ หรือว่าจำไม่ได้แล้ว
มนุษย์มักจะพูดว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นเหตุให้เรากลายเป็นจอมโจร เป็นต้นเหตุให้เราใจดำอำมหิต ฉะนั้นกิเลสจึงเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ อารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่น่าคบค้าสมาคม ตัณหาเป็นสิ่งที่ไม่น่าเอา แล้วถามจริงๆ ว่าท่านคบอารมณ์ไหม (คบ) กิเลสมีเอาไหม ถ้ามีแล้วทำให้เป็นจอมโจรเป็นคนใจดำอำมหิต เรามีไหม มนุษย์ก็จะบอกว่ากิเลสไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย อารมณ์ก็ไม่ใช่สิ่งเลว ตัณหาก็ไม่ใช่สิ่งล่อ เพราะคิดปลอบใจตัวเองอย่างนี้ ก็เลยยังคบค้าสมาคมกับกิเลสตัณหาและอารมณ์ จริงหรือไม่
เราจะบอกท่านว่า จริงๆ แล้วเหตุผลที่ท่านพูดมานั้นถูกต้อง กิเลสไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย อารมณ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ตัณหาก็ไม่ใช่สิ่งที่ย่ำแย่ แต่คนที่คิดจะมีกิเลส ตัณหา อารมณ์ แล้วไม่รู้จักขอบเขต ไม่รู้จักควบคุมก็จะทำให้คนๆ นั้นมีกิเลส ตัณหา อารมณ์ แล้วทำร้ายผู้คน จนกลายเป็นจอมโจรได้
ท่านว่าเงินน่ารังเกียจไหม ตำแหน่ง วาสนา น่ารังเกียจไหม (ไม่น่ารังเกียจ) แต่การให้ได้เงินมาโดยไม่คำนึงถึงเมตตาธรรม ไม่รู้จักอับอายขายหน้า ได้เงินมาแล้วไม่รู้จักแบ่งปัน ได้เงินมาไม่รู้จักช่วยเหลือผู้คน การมีเงินนั้น ก็ทำให้เราน่ารังเกียจ เคยได้ยินปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “แม้ท่านจะร่ำรวยเป็นถึงมหาเศรษฐี มีที่นาเป็นหมื่นไร่พันไร่ ขับกล่อมดนตรีเวลาเดินทางไปไหน ก็จะไม่มีใครยิ้มเยาะและนินทาท่านได้เลย เพราะว่าเมื่อท่านมีที่นา ใครอยากใช้ ใช้ไป เมื่อมีเงิน แบ่งได้ แบ่ง ตั้งโรงทานให้ได้ ให้ ฉะนั้นเมื่อขับกล่อมดนตรี ใครอยากมาฟัง ท่านก็ให้ฟัง ความมั่งมีจึงทำให้ท่านไม่เคยถูกอิจฉาและรังเกียจ” แต่มนุษย์กลับไม่เป็นเช่นนั้น กว่าจะมีได้ก็เบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น พอมีแล้วไม่เคยแบ่งปัน มีพันทำบุญสิบบาท มีร้อยทำบุญห้าบาท
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจกฎเกณฑ์โลก เข้าใจกฎเกณฑ์แห่งความเป็นคน เราจะไม่มีวันละเมิดศีลธรรม และคุณธรรมของความเป็นคน และสามารถเดินกลับสู่หนทางแห่งพุทธะได้ไม่ยาก แต่มนุษย์มักจะหลงลืมไป เห็นวัตถุสำคัญกว่าชีวิต ทั้งที่เราถามท่านว่า ชีวิตกับเงิน อะไรมีค่ากว่ากัน (ชีวิต) อย่างนั้นถ้าเราถามต่อว่าชีวิตกับคุณธรรมอะไรประเสริฐกว่ากัน (คุณธรรม)
ถ้ามนุษย์คิดว่าคุณธรรมประเสริฐที่สุด เราคงไม่ทำผิดคิดร้าย ถ้ารู้ว่าคุณธรรมประเสริฐยิ่งกว่าชีวิต เราคงตั้งใจมาฟังธรรมะโดยไม่ถูกบีบบังคับใจ ถ้าเรารู้ว่าการอุทิศตัวเองช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งประเสริฐมากกว่าการหาเงิน เราคงได้ไปช่วยคนมากกว่าหาเงิน ใช่ไหม (ใช่)
เวลามีภัยพิบัติก็ดูใจคนได้ เวลาโลกเกิดภัยพิบัติก็เห็นใจตัวท่านได้ เอาแต่ตัวเองรอดหรือออกไปช่วยคน ไหนบอกว่าคุณธรรมสำคัญกว่าชีวิต แต่พอภัยพิบัติมาเก็บตัวหนีหายไปไกลๆ พูดอะไรทำไมทำตรงกันข้ามกันเล่า ถูกไหม หัวอกคนมีเมตตาอยู่ไหน หัวอกคนรู้จักช่วยเหลือคนอยู่ไหน พอถึงเวลากลับเอาตัวเองรอดก่อน คนอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน เวลาเราแย่ เรายังอยากได้คนร่วมทุกข์ร่วมสุข เวลาเราเดือดร้อน เรายังอยากได้คนเห็นใจ ชีวิตท่านๆ เป็นคนกำหนดชีวิตตัวเอง ฉะนั้นวันนี้ถ้าท่านเดือดร้อนไม่มีใครดูดำดูดี อย่าโทษฟ้าอย่าโทษดิน อย่าโทษผู้คน ถามว่าตอนคนอื่นเดือดร้อน เราไปดูดำดูดีเขาไหม
วันนี้เรามาพูดให้ท่านตื่นรู้ความจริงที่ท่านมักจะแอบไม่ยอมเปิดมองให้เห็น แล้วก็ให้เหตุผลว่าวันนี้ฉันเป็นคนดีแล้ว ได้ทำบุญตักบาตรพอแล้ว นั่นก็ดีหนักหนาแล้ว มีเงินเป็นหมื่นแต่ช่วยเขาร้อยเดียว เท่านี้พอแล้ว ถูกหรือไม่ ถ้าเราทำได้ดีย่อมสะเทือนต่อผู้คน แต่ถ้าเราทำไม่ได้ก็สอนใครไม่ได้แม้แต่ใจตน จริงหรือไม่ (จริง) โดนเราตีแสกหน้าอย่างนี้เจ็บไหม ไม่เจ็บ เหมือนเดิมไหม เหมือนเดิม หรือว่ายังไม่รู้ตัวอีก รู้ไหม (รู้)
เคยได้ยินไหมว่าชาติหน้าอยากร่ำรวย ชาตินี้ต้องรู้จักที่จะให้ ชาติหน้าอยากมีบริวารดี ชาตินี้ต้องรู้จักบอกบุญสุนทานต่อผู้คน แต่อย่าลืมนะว่า ทำบุญไปมาก แต่ถ้าอกุศลกรรมไม่รู้จักแก้ บุญมากแค่ไหน บาปก็มากแค่นั้น กรรมดีสร้างแค่ไหน กรรมชั่วก็ตามติดเท่าทันเหมือนกัน ฉะนั้นบำเพ็ญไม่ใช่ต้องการให้ท่านติดในบุญ แต่บำเพ็ญต้องการให้ท่านชำระหนทางแห่งการสร้างกรรม ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น เพราะถ้ากรรมไม่ดีเราไม่ทำ เราก็เรียกว่าคนดีแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)
คนคนหนึ่งแม้ไม่ได้ทำดีอะไรมาก แต่ความชั่วไม่เคยทำสักเล็กน้อยเขาก็เรียกว่าคนดีแล้ว แต่ถ้าคนคนหนึ่งความชั่วไม่เคยกำจัด แต่ทำบุญสุนทานจะเรียกว่าคนดีไหม มือตักบาตร แต่ปากยังชอบด่าคน วันนี้จะเรียกคนดีไหม (ไม่ดี) แต่ถ้าอีกคนหนึ่งแม้บุญไม่ทำ แต่บาปไม่เคยก่ออย่างนี้ยังเรียกว่าคนดีได้เต็มปากเต็มคำ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นแบบใด มือทำบุญ ปากด่าเขา ใช่หรือเปล่า คนจริงมักจะอยู่ได้ไม่นาน คนพูดตรงมักจะตายไว คนจริงมักจะถูกคนรังเกียจ คนพูดตรงมักจะไม่มีใครเอา ไม่อย่างนั้นพุทธะจะหนีมนุษย์ไปหมดหรือ ที่เห็นกันอยู่นี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เราเห็นใจผู้อื่นมากกว่าเห็นใจตัวเอง แต่ก็คงหาได้ยาก จะมีก็ต่อเมื่อความรักบังตาเท่านั้นเอง รักบังตาจึงทำให้เราทุ่มได้แม้กระทั่งตัวเองจะเจ็บก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราสามารถแบ่งความรักให้ได้เท่าๆ กัน ก็คงเป็นสิ่งประเสริฐไม่น้อย เพราะพุทธะที่เรียกว่าพุทธะได้ก็เพราะว่าท่านมีเมตตา แม้ตัวเองจะเจ็บท่านก็สละได้
ฉะนั้นเกิดเป็นคนขอเพียงมีจิตสำนึกทั้ง ๔ อย่างนี้ไว้เป็นกฎเกณฑ์ของชีวิต เราก็จะไม่มีวันประพฤติผิดเป็นคนใจดำอำมหิตในโลกได้ แล้ว ๔ อย่างนั้นมีอะไรบ้าง
๑. เมตตา
๒. มโนธรรม รู้จักเกรงกลัวละอายต่อบาป
๓. จริยธรรม
๔. ปัญญา ที่รู้จักแยกผิดชอบชั่วดี
วันนี้สิ่งที่เรานำมาพูดกับท่านเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวไหม (ไม่ไกล) ถ้าท่านมีจิตสำนึกแห่งกฎเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ทั้ง ๔ อย่างได้ ท่านก็สามารถรักษาศีลธรรมในใจได้ แต่ถ้าท่านไม่สามารถรักษาได้แม้สักข้อหนึ่ง ท่านก็จะเป็นคนที่ไม่ดูแลแม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองได้ ถ้าข้อใดข้อหนึ่งท่านไม่สามารถมีได้ ท่านก็เป็นคนที่สามารถทิ้งแม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองได้ลงคอ จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราคงต้องกลับแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ น่าเสียดายนะที่บางคนยังแอบหลับ ท่านหลับทั้งที่ตายังตื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ที่ตื่นแล้วจะไม่มีวันกระโดดลงไปให้ตัวเองต้องทุกข์อีกต่อไป จะมองเห็นโลกอย่างแจ่มแจ้งแท้จริงว่า ชีวิตนี้คือความทุกข์และเราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกและเข้าใจกฎเกณฑ์ของตัวเอง ฉะนั้นอย่าบอกว่าตัวเองไม่หลับ ท่านหลับทั้งที่ตายังตื่น ตื่นที่แท้จริงคือตื่นจากโลกใบนี้ที่มีแต่ความทุกข์ และต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือตัวท่านที่ยังหลงยึดมั่นถือมั่น คิดว่าอยากให้มันเป็นของเรา คิดว่านี่คือของเรา คิดว่านั่นคือของเรา ก็ต้องอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นแหละคือคนที่ไม่ยืนอยู่บนกฎเกณฑ์ความเป็นจริง เพราะคนที่ยืนบนกฎเกณฑ์ความเป็นจริงจะไม่ยึดสิ่งใดเป็นของตน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า คนที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกแล้วลืมตาตื่นอย่างแท้จริงจะไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เพราะทุกสิ่งล้วนเสมอกันด้วยสภาวธรรม
วันนี้เราคงต้องไปแล้ว อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าของตัวเอง มนุษย์มีคุณค่าที่ประเสริฐ ถ้ารู้จักบ่มเพาะสิ่งที่ถูกต้อง เห็นคุณธรรมสำคัญกว่าวัตถุ เห็นคุณค่าของชีวิตสำคัญกว่าเงินทองและอารมณ์เพียงชั่ววูบ เรามีชีวิตเราปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์มามากพอแล้ว ทำไมไม่ประคับประคองให้เดินมาสู่หนทางแห่งความถูกต้องที่เรียกว่าเมตตา มโนธรรม จริยธรรม รู้จักเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าเราเคารพตัวเอง เราจะทำอะไรที่ทำให้คนอื่นดูถูกตัวเองไหม
เราจะทำนิสัยเกเร เราจะเป็นคนดื้อเอาแต่ใจไหม แล้วถ้ารู้จักมีปัญญาอย่างแท้จริง อะไรผิดอะไรชอบ เรายังจะทำสิ่งที่ผิดๆ อีกต่อไปไหม เราก็คิดว่าในชั้นนี้คงมีปัญญานะ ไม่ใช่ฟังจบแล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
น้ำท่วมกรุงเป็นทุ่งน้ำอลหม่าน น้ำรอบด้านกลืนคนทนก็หาย
แต่ใจที่จมน้ำนี่สิเรื่องใหญ่ แม้ยังได้มีชีวิตแต่ติดโคลน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
ซอกยิ้มคนทำงานไม่ยับ กลับเห็นเพียงซอกเล็บดำดำ เจ้าทำเหนื่อยแล้วปางตาย เจ้าประชดคน ไม่เห็นความดีอย่างเหนื่อยหัวใจ ทำน้ำตาไหลได้ รู้ไหมคนดี เจ้าเหนื่อยมากเกิน
สู้ใช้ธรรมสมองผ่อนพัก แต้มยิ้มบนซอกเล็บดำดำ ศิษย์ดูน่ารักเหลือเกิน อย่าทุกข์เพราะใคร อย่าร้อนเพราะใคร เป็นเหนื่อยที่เพลิน ในหัวใจเงอะเงิ่น คนไหนไม่เดินยิ่งไม่สบาย
* ต้องทบทวนธรรมะที่รู้ ตนได้ทำสิ่งไหนจับคู่ ไม่ดูใช่บำเพ็ญหนา มองทุกข์ไม่ทุกข์ เหนื่อยจนแล้วอีกหนึ่งตา หากศิษย์เห็นชัดจะไม่ล้า ทุกสิ่งมา…เพื่อไป
** เจ้าใช้ใจไปมากอย่างนั้น แน่นหัวใจเจ้าคิดทุกวัน มากจนหัวล้านใช้ได้ เจ้าได้สายทองต้องรู้บำเพ็ญจะนอกหรือใน อวิชชาหาไม่ ครั้งนี้เป็นตายต้องกลับเบื้องบน ( ซ้ำ * / ** )
ชื่อเพลง : ทำงานด้วยรอยยิ้ม
ทำนองเพลง : ลาสาวแม่กลอง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
หลายๆ คนมักจะบ่นตัดพ้อกับอาจารย์ว่า ศิษย์บำเพ็ญธรรมมาก็หลายปี แต่ทำไมธรรมะไม่เห็นคุ้มครองอะไรศิษย์เลย บุญก็ทำเยอะ แต่ธรรมะหรือความดีไม่เห็นคุ้มครองอะไรเลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
พุทธภาษิตคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม” แต่ตัวของศิษย์เองนั้นได้ตั้งใจประพฤติธรรมบ้างหรือไม่ เอาธรรมไปประพฤติในชีวิตบ้างหรือไม่
ให้เป็นคนอดทน เราอดทนไหม ให้อดกลั้น เราอดกลั้นไหม รู้อยู่ว่าโกรธคือโง่ โมโหคือ (บ้า) แต่เราทั้งโง่ทั้งบ้าเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอย่าบอกว่า บำเพ็ญธรรมแล้วไม่เห็นธรรมะคุ้มครอง เพราะไม่เคยเอาธรรมะไปประพฤติปฏิบัติตามที่เราโดนกระทบจริงๆ เสียที ไม่ว่าจะกระทบทางกาย กระทบทางใจ เราเอาธรรมะมาตรวจสอบไหม พอเอามาตรวจสอบ เราก็มักจะชอบเอาธรรมะไปตรวจสอบคนอื่น แต่เราไม่เคยเอาธรรมะมาตรวจสอบว่า ตัวเราคิดแบบนี้ถูกต้องไหม คิดแบบนี้คือคนอดทนไหม คิดแบบนี้คือคนที่รู้จักให้หรือเปล่า
เราชอบเอาธรรมะไปวัดคนอื่น ไปตรวจสอบคนอื่น แต่เราไม่เคยหันมามองตัวเองนี่หรือเรียกว่าคนดี นี่หรือคนมีธรรมะ แค่ให้เขานิดหน่อยทำไมเขาเอามากจัง ใช่ไหม (ใช่) พอเราเหนื่อยแต่เขาสบาย ทำไมเขาเอาเปรียบจัง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราคิดแบบนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) ผิดไหม ก็ไม่ผิด แต่ตอนนั้นคิดแล้วเราจะคิดให้ หรือเราจะคิดแบบคนยึดมั่นถือมั่น คิดอย่างคนที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอัตตา ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น หรือคิดอย่างคนที่ให้ความเมตตา ให้ความเห็นอกเห็นใจ
บำเพ็ญธรรมเอาไปใช้ตอนไหน ใช้เมื่อตาถูกกระทบ หูถูกกระทบ ใจถูกกระทบ กระทบแล้วอย่าไปมองเขา หันกลับมามองเราว่ายอมเขาได้ไหม อดทนไหวไหม เสียสละได้หรือเปล่า แล้วเรายอมหรือยัง อดทนหรือยังแต่อาจารย์เห็นศิษย์ด่าจนไม่มีแรงจะด่าแล้วถึงจะยอม บ่นจนไม่มีแรงจะบ่นแล้วเพิ่งจะยอม โมโหจนถึงที่สุดแล้ว ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถึงคิดที่จะยอมก็ได้ อย่างนี้ถูกหรือเปล่า
“น้ำท่วมกรุงเป็นทุ่งน้ำอลหม่าน น้ำรอบด้านกลืนคนคนก็หาย”
อาจารย์ว่าน้ำท่วมก็ดีนะ เพราะอาจารย์ได้เจอศิษย์ที่ไม่เคยจะได้เจอ บางคนถ้าน้ำไม่ท่วมคงไม่มาฟังธรรมะ ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าภัยพิบัติก็มีดี ทำให้คนไม่ปลงก็ต้องปลง ไม่วางก็ต้องวาง ไม่ทิ้งก็ต้องรู้จักทิ้ง
“แต่ใจที่จมน้ำนี่สิเรื่องใหญ่ แม้ยังได้มีชีวิตแต่ติดโคลน”
จริงไหมศิษย์ อาจารย์พูดโดนใจไหม “แต่ใจที่จมน้ำนี่สิเรื่องใหญ่” กายไม่จมแต่ใจมันจม ดูเหมือนใจไม่จม แต่ใจมีโคลนติดเต็มไปหมดเลย คิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น ไหนใครบ้านโดนน้ำท่วม ยกมือให้อาจารย์เห็นหน่อยสิ โดนท่วมไหม ใจติดโคลนไหม ตัวพ้นน้ำแล้วก็ให้ใจพ้นน้ำด้วยนะ ไม่ใช่ใจยังห่วงข้าวของอีก เป็นอย่างนั้นไหมศิษย์ ข้าวของอยู่โน่นแต่ใจตามไปด้วย คิดแล้วข้าวของจะลอยกลับมาไหม สู้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีกว่า อย่ามัวจมปลักอยู่กับอดีต อย่ามัวจมปลักกับสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ควรมองไปข้างหน้าว่าเราจะรับมือกับวันข้างหน้าอย่างไร สิ่งที่จะช่วยให้เรารับมือกับวันข้างหน้าก็คือสติและปัญญา สติคือรู้เท่าทัน ปัญญาคือความเห็นแจ่มแจ้งกระจ่างชัด
บางคนถ้าไม่ใช่ประชุมธรรมที่สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก ก็ไม่มาให้อาจารย์เห็น คิดถึงอาจารย์จริงๆ หรือ (คิดถึงจริงๆ) ถ้าคิดถึงจริงๆ ทำไมไม่โทรหากันบ้าง โทรหาอาจารย์ไม่ยาก แค่นั่งนิ่งๆ สงบใจก็สามารถโทรหาอาจารย์ได้ และอาจารย์ก็จะช่วยตอบคำถามให้ศิษย์ได้เวลาที่ศิษย์ทุกข์ แต่ถึงเวลาศิษย์ไม่เคยนั่งนิ่งๆ หันมามองใจตัวเองเลย ก็เลยไม่เคยได้พบอาจารย์จริงๆ สักที มีคนอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์ เบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์เป็นเบอร์ที่ไม่มีเบอร์ ต้องใช้จิตกับจิตสื่อถึงกัน เหมือนแสงแห่งพุทธะ ทำไมถึงสามารถส่องสว่างมาทั่วโลกได้ ก็เพราะว่าเป็นแสงที่ไร้การจุด แต่สว่างได้ด้วยปัญญาและสติ จุดได้ด้วยความสว่างของปัญญาและสติ ไม่ต้องรอให้ใครจุดแต่ต้องจุดได้ด้วยตัวเอง ปัญญาสว่างโพลงได้ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง จะเป็นปัญญาที่สว่างนิจนิรันดร์ ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็จะเจออาจารย์ได้
คนทุกคนมีโอกาสไม่บ่อยนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งตัดสิน ศิษย์ก็ต้องคิดให้ดีๆ เพราะคนที่จะต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจของชีวิตตัวเองคือตัวศิษย์เอง คนรอบข้างแค่ทำตาม จริงไหม (จริง) ฉะนั้นจะมุ่งมั่นทำอะไรจงยืนหยัดให้เต็มที่ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดอย่ายอมแพ้ อย่ากลัวเหนื่อย
อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ชั้นนี้เป็นคนที่มีความรู้ แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ถ้าเรารู้เท่าคนอื่นเรียกว่าฉลาด ตามทันคน แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้เท่าทันใจของตัวเองเรียกว่าผู้มีปัญญา หรือเรียกว่าผู้รู้แจ้ง
ความรู้ของมนุษย์มีสามแบบ แบบหนึ่งคือรู้จัก แบบหนึ่งคือรู้จริง อีกแบบหนึ่งคือรู้แจ้ง ถามว่าศิษย์รู้จักใครบ้าง ศิษย์รู้จักคนนั้นคนนี้ รู้จักก็คือรู้แค่ผิวๆ แต่ไม่รู้ถึงแก่นแท้ เช่นรู้จักต้นไม้ แต่เรารู้ถึงแก่นแท้ของต้นไม้ ความเป็นมาของต้นไม้ไหม ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้ถึงว่าต้นไม้กว่าจะเติบโตมาเป็นต้นไม้ ต้องทำอย่างไร นี่เขาเรียกว่ารู้จริง แต่คนจริงยังไม่สามารถที่จะเป็นอิสระได้ท่ามกลางสภาวะคู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถเป็นอิสระท่ามกลางสภาวะคู่ในโลกใบนี้ได้ นี่จึงเรียกว่ารู้แจ้ง
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาจารย์รู้จักส้ม ก็แค่รู้จักว่าส้มหน้าตาเป็นอย่างนี้เรียกว่าส้ม แต่ถ้าอาจารย์รู้จริงมากกว่านั้นคือ ส้มมีลักษณะเป็นอย่างไร ข้างในเป็นอย่างไรแม้ไม่แกะดูก็เดาออก ข้างในจะมีอะไรต่อไป ก็มีเมล็ด ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่เราเริ่มรู้จริง แล้วถ้าเกิดเอาเมล็ดไปเพาะจะกลายเป็นส้มอีกต้นหนึ่งขึ้นมา แล้วก็จะออกผล เราแค่รู้จริงแต่เรารู้แจ้งเรื่องส้มหรือยัง (ยัง) ทำไมยังไม่รู้แจ้ง (ยังไม่รู้ว่าเปรี้ยวหรือหวานจนกว่าจะได้กิน) ตอบได้ดีนะ พอเราได้กินแล้ว บางลูกหวาน บางลูกเปรี้ยว บางลูกขม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนรู้แจ้งจริงแปลว่าต้องเคยกินมาสารพัดรสจึงรู้ว่าส้มมันก็แค่นั้น แต่ถ้าคนรู้ไม่จริงถ้วนทั่ว รู้แค่ว่าทุกครั้งที่กิน ส้มนี้หวาน แล้วรู้ไหมว่าอย่างไรเรียกว่าส้มบางมด ส้มธนาธร อย่างไรเรียกว่าส้มบ้านเรา อย่างไรเรียกว่าส้มที่ไม่ใช่บ้านเรา ยังไม่รู้ใช่ไหม คนที่รู้แจ้งถึงขนาดที่แค่เห็นเปลือก ดมกลิ่น จับผล ก็รู้แจ้งได้เลยว่า ส้มลูกนี้มาจากที่ใด นอกจากจะรู้แค่รสชาติ รู้ทั้งนอกรู้ทั้งใน แล้วเขายังรู้มากกว่านั้นคือ ในบรรดาส้มสารพัดส้ม เขารู้จักหมดทุกชนิด แล้วรู้ชัดว่าส้มแต่ละชนิด มีความแตกต่างกันอย่างไร เราก็เลยเรียกว่าคนที่รู้แจ้งทางส้ม แต่ถามจริงๆ ศิษย์รู้แจ้งทางส้มไหม (ไม่รู้) เหมือนจะรู้แต่จริงๆ ก็แค่รู้จัก เหมือนกันเราอยู่บนโลกนี้ เราดูเหมือนจะรู้จริงเรื่องโลก แต่จริงๆ เราก็แค่รู้จัก ถ้ารู้จริงศิษย์ต้องรู้ได้เลยว่า อันนี้อร่อยหรือไม่อร่อย เพราะว่ารู้แจ้ง
เหมือนกันถ้าศิษย์เข้าใจชีวิต ศิษย์บอกว่าศิษย์ฟังธรรมะมาเยอะ ศิษย์ก็ว่ารู้ คนที่รู้ธรรมะจริงๆ จะไม่อวดรู้ เพราะคนที่รู้ธรรมะจริงๆ หรือเข้าใจชีวิตจริงๆ จะรู้ว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ และสิ่งที่ตัวเองรู้ก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นไม่รู้ได้ เพราะธรรมะคือชีวิต ชีวิตคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่คงที่ ฉะนั้นใครพูดบอกว่า ฉันศึกษาธรรมะมาเยอะ ไม่ฟัง รู้แล้ว อย่างนี้แค่รู้จักแต่ยังไม่รู้จริง แล้วก็ยังไม่เข้าถึงความแจ่มแจ้ง
ฉะนั้นวันนี้ศิษย์อย่าบอกนะว่ามาฟังสองวันแล้วรู้แจ้งแล้ว เป็นไปไม่ได้ ถ้ารู้แจ้งแล้วศิษย์จะต้องสามารถไปอยู่กับคนนี้ศิษย์ก็อยู่ได้มีความสุข ไปอยู่กับคนนั้นศิษย์ก็กลมกลืนสอดคล้องได้ แต่ศิษย์ไม่ใช่ ไปอยู่กับคนนี้ก็มีปัญหา ไปอยู่กับคนนั้นก็มีเรื่องมีราว ไปอยู่ที่ใดธรรมะก็คุ้มครองชีวิตไม่ได้ เพราะตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด คนที่รู้แจ้งอย่างแท้จริง ย่อมเป็นอิสระเหนือภาวะคู่ของโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งดีและร้าย เราจะรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตได้อย่างไร รู้หรือยัง รู้แล้ว แต่แค่รู้จัก อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรมะ เราศึกษาธรรมะเพื่ออะไร เพื่อรู้เท่าทันชีวิตและความเป็นจริงของโลกใบนี้ เพราะถ้ารู้ได้ ศิษย์จะไม่มีวันหยิบส้มเปรี้ยวๆ มาใส่ปาก แล้วถึงแม้จะกินเปรี้ยวก็ยังวางลงได้ แล้วไม่รู้สึกว่า “ใครหนอปลูกส้มได้เปรี้ยวจริงๆ แล้วยังมาหลอกขายเราอีก” เราจะไม่รู้สึกว่าถูกคนยัดเยียดให้เราซื้อของผิด แล้วเรากลายเป็นคนโง่ เพราะเรารู้แจ้งชีวิตจริงแล้ว จะโทษใครไม่ได้ ศิษย์เป็นอย่างนี้ไหม พอซื้อส้มได้หวาน ก็คิดว่าโชคดีคุ้มราคา แต่ถ้าเกิดว่ามีอีกคนหนึ่งซื้อมาได้หวานเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่า กลับคิดว่าฉันโง่ จริงไหม (จริง)
ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิตได้เป็น ธรรมะไม่ใช่เรื่องภายนอก แต่ธรรมะเป็นเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คน และจะไม่ก่นโทษว่าผู้คนเลย แต่กลับจะก่นโทษว่าตัวเองที่ยังไม่รู้แจ้งชีวิตจริงๆ ฉะนั้นต่อไปถ้าซื้อส้มมาแพงกว่าคนอื่นจะโกรธไหม จะด่าแม่ค้าไหม แล้วถ้ากินแล้วรสชาติขมจะด่าเขาไหม (ไม่ด่า) ฉะนั้นถ้าเราใช้ชีวิต แล้วชีวิตเจอคนว่าบ้าง เจอคนด่าบ้างเราก็คงไม่ก่อเวรก่อกรรมกับเขา เพราะเราจะหันกลับมามองว่าเราใช้ชีวิตได้ดีหรือยัง เหมือนอาจารย์ยิ้มให้ศิษย์ ศิษย์ก็ (ยิ้มตอบ) แต่ก็ต้องยอมรับว่าโลกมันเป็นโลกคู่ มีคนยิ้ม ก็ต้องมีคน (ไม่ยิ้ม)
เหมือนกับการซื้อส้มมาถุงหนึ่ง บางครั้งก็คว้าเจอลูกหวาน แต่บางครั้งก็เจอลูกเปรี้ยว นี่คือความเป็นจริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิตได้แจ้งเห็นจริง จะเจอส้มหวานส้มเปรี้ยวก็ไม่ว่าใคร เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ฉะนั้นธรรมะจึงมีไว้เพื่อเรียนรู้เข้าใจชีวิตและสรรพสิ่ง แล้วสักวันศิษย์จะรู้ว่าชีวิตนั้น ไม่ว่าการมีหรือได้ ทุกข์หรือสุข ล้วนมีผลไม่แตกต่างกันเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาให้เราเรียนรู้ เข้าใจและปล่อยวาง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์ถามศิษย์นะ มนุษย์กลัวความทุกข์ มนุษย์จึงแสวงหาความสุข แล้วสุขที่มนุษย์แสวงหา อาจารย์แบ่งได้สองอย่าง มีอะไรบ้าง เดาใจอาจารย์ดูสิว่าอาจารย์แบ่งไว้ว่าอย่างไร
(ความสุขชั่วคราว, ความสุขแท้จริง)
(ความสุขจากการให้ชีวิต) ความสุขที่รู้จักปลดปล่อยไม่เบียดเบียนชีวิตใคร
(ความสุขจากการมีสติ และความสุขจากการให้อภัย) ในโลกนี้มนุษย์จะหาความสุขได้ต้องเกิดจากหนึ่งคืออะไร แต่อาจารย์จะบอกว่าถ้าหาได้อีกหนึ่งนี้ ศิษย์จะรู้ว่าดีกว่ากันเยอะและไม่เหนื่อย คนปัจจุบันนี้พยายามหาความสุขด้วยการทำสิ่งใด
(ความสุขจากการเป็นผู้ ให้และความสุขจากการเป็นผู้รับ) มนุษย์มีสุขอยู่ไม่กี่อย่าง แต่อาจารย์อยากจะบอกว่ามีสุขอีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำไปสู่ความประเสริฐ นำไปสู่ความจริงแท้และพ้นทุกข์ได้สุขที่มนุษย์พยายามหาและไปให้ถึง นั่นก็คือสุขที่เกิดจาก การทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
(ทำจิตใจให้มั่นคง) ทำจิตใจให้มั่นคงแม้บางครั้งจะหวั่นไหวไปบ้างก็ตาม
(สุขจากการไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ) คนบางคนเป็นทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่พอเขารู้จักคำว่า อยู่กับโรคให้เป็น เขากลับมีสุขมากกว่าคนที่ไม่เป็นโรคอีก
(มีสุขด้วยการปฏิบัติธรรม) แล้วจะมีทุกข์เพราะไม่ปฏิบัติธรรม
(สุขที่ใจ) สุขมีสองแบบ มีแบบเดียวอยู่ที่ใจ ตรงคำถามมากเลยนะ
(สุขที่ให้อภัยเขาได้) แล้วถ้าเกิดเราให้อภัยเขาได้แต่ถ้าเขาไม่ให้อภัยเรา เราจะสุขได้ไหม ก็ต้องทำใจ ใช่ไหม สุขของมนุษย์อาจารย์อยากจะให้ศิษย์มีแค่สองอย่าง อย่างแรกคืออะไร และอีกอย่างคืออะไร
(สุขกายด้วยพระธรรม) เข้าใจตอบนะ
สุขที่อาจารย์อยากบอกศิษย์และให้ศิษย์เรียนรู้และลองเอาไปใช้ดู มีอยู่ ๒ อย่าง
๑. สุขที่เกิดจากความพยายาม
๒. สุขที่เกิดจากความเข้าใจ
ศิษย์ว่า ๒ อย่างนี้ที่อาจารย์พูดอะไรเหนื่อยกว่ากัน อันหนึ่งคือต้องใช้ความพยายาม อันหนึ่งแค่ใช้ความเข้าใจกระจ่างแจ้ง ถ้าเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วสว่างโพลง ศิษย์จะสุขแล้วสุขตลอดไม่ต้องเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ มนุษย์ปัจจุบันนี้หาความสุขได้ แต่กว่าจะมีสุขได้ต้องพยายามก่อน แล้ว ๒ อย่างนี้ต่างกันอย่างไร
คนที่สุขแบบต้องพยายาม คือคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เบื่อในสิ่งที่ตัวมีเลยต้องพยายามเพื่อไปหาสุขอีกอย่างหนึ่ง แล้วทุกครั้งที่เขาพยายามหา เขาก็จะคิดว่า “สักวันหนึ่งฉันจะสำเร็จ สักวันหนึ่งฉันจะต้องสุขให้ได้” แล้วทุกครั้งที่เขาพยายามหาอยู่นั้น ความสุขของเขาก็เลยเป็นแค่เพียงความหวัง เมื่อหวังก็ต้องมีสมหวังและผิดหวัง และมีโอกาสที่จะสำเร็จและก็ล้มเหลว
ฉะนั้นความพยายามที่จะไปหาความสุขนั้น เริ่มต้นก็ไม่สุขแล้ว มุ่งไปหาก็เหนื่อย แล้วกว่าจะไปถึงก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ แต่มนุษย์ก็พยายามเป็นอย่างนี้ คือหาความสุขของตัวเองในชีวิตด้วยการกระทำแบบนี้ ก็เลยเป็นความสุขที่ต้องพยายามแล้วก็ต้องเหนื่อย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้
แต่ถ้าอาจารย์บอกว่า เราเปลี่ยนเป็นหาความสุขด้วยความเข้าใจ คนที่หาความสุขด้วยความเข้าใจ ก็คือตอนที่จะไปหา “แค่ตอนนี้ก็ดีแล้ว หาได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ทุกครั้งที่เขาหาแม้จะไม่ได้เขาก็ยังมีที่ตรงนี้ที่เขารู้สึกว่าดีแล้ว แต่มนุษย์เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แบบนี้ มุ่งแต่ไปหาความสุขโดยที่ไม่พอใจสิ่งพื้นฐานที่มี พอล้มเหลวกลับมาตัวเองก็ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ก็เลยเป็นคนที่ทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คนที่รู้จักหาความสุขด้วยความเข้าใจและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แม้ไปหาไม่ได้ก็ยังมีสุข
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ คนปัจจุบันนี้ คิดว่าวันทำงานคือวันตกนรก วันได้เงินเดือนคือวันขึ้นสวรรค์ ฉะนั้นในสามสิบวันจะตกนรกยี่สิบเก้าวันและมีวันขึ้นสวรรค์หนึ่งวัน ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือคนที่ปลูกผักช่วงเวลาที่ขุดดินเอาเมล็ดลง รดน้ำ พรวนดิน เป็นช่วงตกนรกทั้งนั้น แต่เมื่อใดที่เขาขายผักได้แล้วได้เงินคือช่วงที่ขึ้นสวรรค์ นี่คือคนที่ไม่เข้าใจความสุข แต่เป็นการหาความสุขด้วยการวาดฝัน ฉะนั้นถ้าศิษย์เปลี่ยนความคิด ทำความเข้าใจความสุขเสียใหม่ ทุกครั้งที่พรวนดิน ก็มีความสำเร็จหนึ่งก้าว ทุกครั้งที่หว่านเมล็ดพันธุ์ ก็ได้ความสำเร็จไปอีกหนึ่งก้าว ทุกครั้งที่ได้รดน้ำ ก็ได้ความสำเร็จมีความสุขอีกหนึ่งก้าว ทุกครั้งที่ทำหนึ่งก้าวๆ เสร็จไปทุกๆ วัน และสุขในทุกๆ วัน
สุขแบบเข้าใจกับสุขแบบพยายาม แบบไหนเหนื่อยกว่ากัน คนขายของมีของให้ขายก็ดีแล้ว หรือว่านั่งเบื่อที่ไม่มีคนมาซื้อ นั่งทุกข์อยู่ทุกวันแล้วก็หน้าบึ้งไม่รับแขก ใครเขาอยากจะเดินเข้าร้าน ถ้าเราดีใจที่ได้ขายหน้าตายิ้มแย้ม คนเขาก็อยากเดินเข้ามา ใครเดินผ่านมาก็ทักทาย มีความสุขได้ทุกวัน ก็เรียกลูกค้าได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขของศิษย์เหมือนการโยนลูกบอล ความสุขของมนุษย์มักเป็นความสุขที่ต้องพยายาม แต่ไม่เคยเข้าใจ แต่ถ้ามนุษย์รู้จักเข้าใจ มนุษย์จะไม่ต้องเหนื่อยในความพยายามเลย มนุษย์มักจะเป็นอย่างนี้ อยากจะทำอะไร เมื่อมีของอะไรสักอย่างหนึ่ง ชอบตกเบ็ด โยนไปก่อนหนึ่งลูก และกลับมาอย่างน้อยได้มาสักสองลูก ถ้าสามลูกก็ใช้เท้าเขี่ยเอา สี่ลูกใช้หัวโหม่งเลย แต่ห้าหกลูกรับไม่ไหว อย่างน้อยให้มันไปแล้วต้องกลับมา แต่ถ้าเกิดมันไปแล้วไม่กลับมาแล้ว รับไหวไหม ต้องไหว และต้องเข้าใจ เพราะไม่อย่างนั้นความพยายามของศิษย์จะเป็นความพยายามที่สูญเปล่า ศิษย์อย่าลืมนะเหมือนเราเล่นลูกบอล ถ้าศิษย์ปาไปโดนกำแพงแข็งๆ มันก็เด้งกลับมา แต่ถ้าศิษย์ปาลงไปในน้ำมันจะเด้งกลับมาไหม แล้วถ้าศิษย์ปาไปให้คนๆ หนึ่งจะเด้งกลับมาไหม ต้องเสี่ยงใช่ไหม คิดว่าอยู่กับคนนี้น่าจะมีความสุขเราเลยลองปาไปดู และศิษย์เจออย่างไร บางคนปากลับมาโดนหัวแถมยังหลงรักเขาหัวปักหัวปำ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเขาปามาและเราปากลับอีก เขาปากลับมาไหม ถ้าเขาไม่ปากลับมาก็นั่งทุกข์ใจ “ทำไมถึงไม่รับรักเราหนอ” ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เปรียบเทียบนะ เป็นเหมือนความรู้สึกของมนุษย์หรือเป็นเหมือนการลงทุน เราเอาส้มปาไปให้คนๆ หนึ่ง เราคิดว่าคนนี้ถูกใจเขาน่าจะปากลับมา แต่ถ้าเขาไม่ปากลับมาศิษย์ทำใจไหวไหม
ฉะนั้นความสุขที่แท้จริงอย่าใช้เพียงความพยายาม แต่ต้องใช้ความเข้าใจด้วย เพราะโลกเราเหมือนปาลูกบอล ศิษย์อยู่บนโลกนี้เหมือนปาลูกบอล ปาถูกที่ก็เด้งกลับมา ปาไม่ถูกที่ก็กลืนหายไป ก็ต้องทำใจให้ได้ และถ้าเขาปากลับมาและแรงกว่าแล้วจงใจปาให้หัวเราแตก เราโกรธไหม ถ้าศิษย์โกรธศิษย์ก็ปาต่อไปไม่จบสิ้น
ชีวิตก็เหมือนกันถ้าเข้าใจเราหยุดการเกี่ยวกรรมได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจเราก็คือคนที่ต้องพยายามหาสุขไม่จบสิ้น และต้องเหนื่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าศิษย์แค่ใช้ความเข้าใจไม่ต้องเหนื่อยอะไรเลย และบางทีไม่ต้องปาก็มีความสุขได้กับตนเอง แล้วชีวิตนี้เราต้องปาไปกี่ลูก ปาไปอายุเท่าไหร่แล้ว สุขแท้หรือยัง อายุปูนนี้แล้วนะยังหาสุขไม่ได้สักที
ฉะนั้นจงเข้าใจให้ดีความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าถ้ามนุษย์รู้จักต้นเหตุแห่งทุกข์ มนุษย์จะสามารถดับทุกข์ได้ แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้ต้นเหตุแห่งทุกข์มนุษย์ก็คงไม่มีวันดับทุกข์ได้
อาจารย์ถามต่อ ทุกข์เกิดจากอะไร
(ทุกข์เกิดจากความไม่รู้จักพอ, เกิดจากความพยายามอยากได้อยากมี, เกิดจากความสูญเสีย, เกิดจากกิเลส, เกิดจากการขาดสติปัญญา, เกิดจากความเจ้าคิดเจ้าแค้น, ทำใจไม่เป็น, เกิดจากทำเวรทำกรรมไว้เยอะ, เกิดจากความรู้สึก) ความรู้สึกที่ชอบคิดปรุงแต่ง คิดจับจด หรือไม่ก็คือคิดฟุ้งจนวางไม่ลง ใช่ไหม
(ความทุกข์คือความไม่ปลง, ทุกข์เพราะความอยาก)
(ฟุ้งซ่านไม่มีสติ, ไม่ปลงไม่ปล่อยวาง) ทั้งที่รู้ก็ยังไม่ยอมปลงไม่ยอมวางสักทีใช่ไหม ทุกข์เพราะอะไรอีก
(กิเลสและตัณหา) กิเลสและตัณหาเป็นตัวที่ทำให้เราทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อวานท่านแปดเซียนเมตตาไปแล้ว ตอบได้ไหม ทำไมจึงบอกว่ากิเลสตัณหาไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เพราะสาเหตุใด มนุษย์ตอบว่าทุกข์เพราะกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง
อาจารย์บอกว่าจริงๆ แล้วโลภ โกรธ หลงไม่ใช่ต้นเหตุแห่งความทุกข์ แต่ต้นเหตุแห่งความทุกข์มาจากใจที่ใช้ความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่างไม่มีคุณธรรมอยู่ในหัวใจ ถ้าเราโลภอย่างคนที่มีเมตตาจิต ความโลภนั้นจะทำให้ใครเดือดร้อนไหม แล้วความโลภนั้นจะเป็นพิษเป็นภัยกับใครไหม ก็ไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราโกรธอย่างคนที่มีสติ เราจะคำนึงถึงผลเสียภายหลังและเราจะโกรธอย่างรุนแรงแล้วไปอาละวาดใครไหม เราก็คงมีแค่โกรธแต่คงไม่แสดงออกพร่ำเพื่อ เข้าใจไหม
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราเห็นคนหน้าตาดี เรารู้สึกชอบ แต่เผอิญว่าถ้าเราไม่มองให้รอบก่อน เราก็มีแฟนแล้ว มองแต่ความรู้สึกชอบของตัวเอง ความโลภหรือความหลงนั้นก็สามารถสร้างพิษภัยให้กับเราและคนรอบข้าง และทุกคนที่เราจะไปเกี่ยวด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าเกิดว่าพอมีหลง แล้วเรารู้สึกว่าเราชอบแต่เรารู้สึกว่า “ก็ดีอยู่ตรงนั้นแหละ” ความหลงของเรามันก็แค่ตรงนั้น ไม่สำเร็จไม่ก่อกรรม ไม่ก่อทุกข์ แล้วก็หยุดลงได้แค่ตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่าถ้ามีเงินตกหนึ่งร้อย ศิษย์จะเอาไหม (เอา) ศิษย์เอ๋ยถ้าเงินหนึ่งร้อยของตัวเองตก ศิษย์ยังอยากให้มันอยู่ตรงนั้นเลย ใครเอาของศิษย์ไปศิษย์ยังคิดแช่งเขา “สาธุ ใครเอาไปขอให้ชาติหน้าชดใช้ฉันมากกว่าเดิมหนึ่งเท่า” แบบนี้เรารับไหวไหม (ไม่ไหว) แรงอธิษฐานของมนุษย์น่ากลัวนะศิษย์ ยิ่งเป็นแรงอธิษฐานที่มุ่งมั่นและเอาจริงเอาจัง เงินหนึ่งร้อยอาจจะทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาเจอเขาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ฉะนั้นหนึ่งร้อยเอาไหม (ไม่เอา) จงเข้าใจให้แจ่มแจ้งจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเพราะความพยายามแล้วสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว
ศิษย์จำให้ดีนะ โลภ โกรธ หลง เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คนที่พยายามจะมีโลภ โกรธ หลง เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงอย่างขาดคุณธรรม ขาดความรู้จักผิดชอบชั่วดีจะกลายเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด และสามารถหาทุกข์ให้ตัวเองต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น
อย่าคิดว่าได้สุข ตอนนี้ เขามาหลงรักเรา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นศิษย์จะตามแก้ไหวไหม ฉะนั้นก่อนที่จะคิดคบกับความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดให้ดีๆ คิดแล้วแน่ใจหรือว่ามันจะให้สุข ถ้ามันให้ทุกข์มากกว่าสุข เลิกคบมันดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท “ทำงานด้วยรอยยิ้ม” ทำนองเพลง “ลาสาวแม่กลอง”)
“ซอกยิ้มคนทำงานไม่ยับ” เข้าใจไหม รอยยิ้มก็คือรอยตรงมุมปาก ซอกยิ้มก็คือตรงนี้ ศิษย์เคยเห็นคนทำงานมากๆ ไหม ยิ่งทำมากก็ยิ่งประชดคนที่ไม่ทำ เพราะพูดไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ก็เลยทำให้เขาดู แต่ยิ่งทำก็ยิ่งไม่มีความสุข หน้าก็ตึง เหนื่อยขนาดไหน ก็ทำๆๆๆ ประชดเลย หน้าก็เลยตึง ซอกยิ้มมันก็เลยไม่เคยยับสักที อาจารย์ก็เลยอยากให้ศิษย์ทำงานด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยแต่เพลิน ไม่ใช่ทำงานด้วยใจที่คิดแต่ว่าทำไมคนนี้ไม่ทำ อยากให้ทำงานด้วยรอยยิ้ม ทำงานรู้จักใช้สมอง ใช้ธรรมะ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า บางทีเราทำด้วยการประชดอีกคนหนึ่ง เวลาเราอยู่บ้าน คนนี้ไม่ทำ เราก็ทำประชด ใช่หรือไม่ อาจารย์อยากให้ศิษย์ศึกษาธรรม เข้าใจแล้วรู้แจ้งด้วยปัญญาของตัวเอง จะทำให้ศิษย์ไม่ลืม ศิษย์ก็จะคิดได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่คิดได้ด้วยอาจารย์ ถ้าคิดได้ด้วยตัวศิษย์เอง อาจารย์ถึงจะดีใจและดีใจที่สุดที่ศิษย์รู้แจ้งจริงสักที ขอให้ศิษย์รู้จักรักคนอื่นเหมือนที่อาจารย์รักศิษย์ทุกคน ขอให้ศิษย์ห่วงคนอื่นเหมือนที่อาจารย์ห่วงศิษย์ เบื้องบนเมตตาศิษย์นะ อดทนกับคนให้ได้ในทุกรูปแบบ
มนุษย์อยู่ด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ไม่เคยอยู่ด้วยคุณธรรมความรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต เวลาผ่านไปทุกวันๆ เดี๋ยวอาจารย์ก็ต้องจากศิษย์แล้ว แต่สิ่งที่อาจารย์อยากพูดวันนี้ยังมีสิ่งสำคัญอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องมองให้ออก ว่าโลกนี้เป็นโลกแห่งความไม่เที่ยงแท้ เราต้องมองให้รู้แจ้งเห็นจริง เกิดมาเพียงเพื่อหาเงินไปวันๆ หนึ่งเท่านั้นหรือ เกิดมาเพียงเพื่อมีเงินแล้วมีสุขไปวันๆ หนึ่งเท่านั้นหรือ ศิษย์ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ได้มีเงิน ได้มีความสุขก็พอแล้ว เอาอะไรมาก ได้มีเงิน ได้มีความสุข ได้มีผลสำเร็จในชีวิต แม้จะล้มเหลวบ้างก็ช่างปะไร จนวันหนึ่งต้องเจอความทุกข์เราแก้ได้ไหม เงินช่วยแก้ความทุกข์ได้ไหม
ศิษย์เอ๋ยอย่าบอกว่าตนเองยังอายุน้อย ไว้ปล่อยวางเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวค่อยรู้แจ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ศิษย์เคยเห็นตอนน้ำท่วมแล้วคนที่ไม่ยอมจากบ้านส่วนใหญ่คือคนที่อายุมากใช่ไหม (ใช่) ไม่ยอมไป ขอยอมตายอยู่กับบ้าน เพราะชีวิตทั้งชีวิตสร้างบ้านหลังนี้สำเร็จมาได้ก็ใช้ชีวิตทุ่มเททั้งชีวิตแล้ว ฉะนั้นถ้าวันนี้บ้านมันจะหมด ก็ขอให้ชีวิตหมดกัน ชีวิตมีค่าแค่บ้านหลังหนึ่งที่น้ำท่วม ใจเราชีวิตเราก็พร้อมท่วมไปกับบ้านด้วย ใช่ไหม (ไม่ใช่)
เรายังมีหนทางที่ประเสริฐ คือปัญญาแห่งการตื่นรู้ ปัญญาแห่งการรู้แจ้ง เมื่อสักครู่ อาจารย์บอกว่ามนุษย์มี รู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง แต่เรายังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ตื่นรู้ หรือต่อไปอีก ตรัสรู้ แต่อาจารย์ไม่หวังศิษย์ต้องไปตรัสรู้หรอก เพราะยังคงไปไม่ถึงแน่ แต่แค่ตื่นรู้ เห็นความจริง ชีวิตนี้สิ่งที่สำคัญและสิ่งที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป นั่นคือปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต มนุษย์เราเกิดมา โลกนี้คือความไม่เที่ยง มีทุกข์แล้วก็ว่างเปล่า แต่เมื่อทุกข์มาเรารู้ได้ที่จะไม่ทุกข์กับมัน หรือถ้าทุกข์มา ศิษย์จำเป็นต้องทุกข์ไหม (ไม่) อยากทุกข์ก็ทุกข์ไปเลย ทุกข์ให้เต็มที่ ทุกข์ให้ถึงที่สุด แล้วพอทุกข์ถึงที่สุดมองให้มันรู้แจ้ง แล้วต่อไปจะไม่ทุกข์กับมันอีก ขอโง่ครั้งเดียวแล้วไม่โง่อีก แต่คนบางคนไม่ใช่ พอทุกข์มาก็หนี แล้วเมื่อไหร่จะรู้แจ้งแล้วพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องกล้าเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อเข้าใจชีวิต พอเข้าใจแล้ว ละวางและทิ้งมันไว้ พอถึงที่สุดอะไรเราก็เอาไปไม่ได้ เงินทองก็เอาไปไม่ได้ แม้กระทั่งชีวิตเราบางทีถึงที่สุดเราก็ต้องวางทิ้งไว้ สิ่งที่เอาไปได้คือกรรมดีกับกรรมไม่ดี
แล้วเราทำกรรมดีมากกว่าหรือกรรมชั่วมากกว่า (กรรมดีมากกว่า) กรรมดีมากกว่าหรือ อาจารย์เชื่อ ถ้าตอนนี้ศิษย์ยังมีลมหายใจคุยกับอาจารย์ได้แปลว่ากรรมดียังค้ำจุนอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์ไปใช้ชีวิตแล้วไม่เหลือชีวิตนั่นคือกรรมดีไม่เหลือแล้ว ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เจอกรรมไม่ดี อย่ารังเกียจ เพราะกรรมไม่ดีทำให้เราได้ชำระหนี้บาปเวรกรรม แต่เราจะชำระแล้วเกี่ยวกรรมต่อหรือเราชำระแล้วจบกัน อย่างเช่นเขาด่ามา เราด่าตอบไหม (ไม่) ถ้าเราอดทนแล้วแผ่เมตตา เราคือจบกรรมกับเขา แต่ถ้าเราไม่อดทน เราด่ากลับ คือเราเกี่ยวกรรมต่อ
ถ้าฟ้าให้น้ำท่วมมา เราด่าฟ้าได้ไหม (ไม่ได้) เราด่าคนได้ไหม (ไม่ได้) เราต้องยินดีแล้วก็รีบเปลี่ยนวิกฤติเป็น (โอกาส) ใช่หรือไม่ (ใช่) ไปขโมยของบ้านเขาเลยได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นทำอะไรจงรู้จักมีศีลธรรมยับยั้งชั่งใจบ้าง แล้วเราจะได้ไม่ต้องทำผิดบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก เกิดเป็นคนสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือรู้จักสร้างกรรมดีไม่สร้างกรรมชั่ว แล้วกรรมดีนั้นต้องอยู่ในศีลธรรม เมตตา มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรม และสัตยธรรม ศิษย์เอย ของสูญเสียได้แต่อย่าให้ใจเสียศูนย์ ของเสียไปได้ ถ้าเรามีลมหายใจเราก็ยังหากลับมาได้ใหม่ แต่ถ้าเราเสียข้าวของไปแล้ว ใจเสียไปด้วย เราก็คือคนโง่สองเท่า โชคร้ายแล้วซ้ำเติมใจให้โชคร้ายอีก เราต้องรู้จักคิดให้เข้าใจ โลกนี้มันเป็นโลกแห่งความไม่เที่ยง มีพบก็มี (จาก) มีได้ก็มี (เสีย) เป็นเรื่องธรรมดานะศิษย์ มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางวัตถุพบใจ”)
เข้าใจไหม อย่าให้วัตถุมีอิทธิพลเหนือจิตใจ อย่าให้วัตถุครอบงำใจจนเรามองไม่เห็นความจริงแท้ อย่าให้วัตถุบดบังปัญญาจนทำให้เรามองไม่เห็นความจริงว่าโลกนี้ไม่เที่ยง และสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นเราต้องมองให้เห็นและทำให้เราพ้นทุกข์ให้ได้ ทำให้เราสงบเย็นให้จงได้
ฟังจนถึงที่สุดแล้วธรรมะคืออะไร ธรรมะคือความเป็นจริงแห่งชีวิตที่ศิษย์ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และปล่อยวาง ถ้าเรียนรู้ แล้วไม่เข้าใจ ยังยึดมั่น ก็คือคนที่หาทุกข์ใส่ตัวหาเหาใส่หัว เพราะในโลกนี้มีอะไรที่ยึดมั่นได้ มีอะไรที่เป็นของศิษย์อย่างแท้จริง ไม่มีหรอกนะ
อาจารย์ขอจบด้วยนิทานเรื่องหนึ่งซึ่งอาจารย์เคยเล่าไปแล้ว และเซียนน้อยก็เคยเอามาเล่าอีก มีชายคนหนึ่งเลี้ยงม้าไว้หนึ่งตัว ตอนที่เขาเลี้ยงม้าก็ไม่ได้คิดอะไร ซื้อม้าไว้ก็คิดว่าเผื่อจะมีอะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง แต่ปรากฏว่าลูกชายเขาอยากลองขี่ม้า ด้วยความที่ไม่เคยเรียนขี่ม้า โดนม้าดีดตกม้าขาหัก ทุกคนเลยบอกว่าเลี้ยงม้าทำไม ลูกชายกลายเป็นลูกชายขาเป๋ ปล่อยม้าไปเถอะ ลุงก็บอกว่าไม่ปล่อยหรอก ม้าอาจจะมีดีก็ได้ ต่อมาบ้านเมืองเกิดวิกฤติต้องเกณฑ์ผู้ชายไปเป็นทหาร ลูกชายของทุกบ้านถูกเกณฑ์ไปหมด แต่ลูกชายของเขาโชคดีเพราะขาหัก ซึ่งการออกไปรบ โอกาสจะรอดกลับมามีแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็บอกว่าโชคดีจริงๆ
เมื่อไหร่ที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ จงเรียนรู้อย่างให้เข้าใจ แม้ในด้านที่ทุกข์ที่สุด ถ้าเราเรียนรู้เข้าใจ ทุกข์ที่สุดอาจจะได้พบสุขที่สุดก็ได้ และสุขที่สุดอาจจะทำให้เราต้องทุกข์ที่สุดก็ได้ ฉะนั้นจำไว้นะ ธรรมะมีไว้เรียนรู้ เข้าใจ แล้วถึงเวลาปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง วัดไม่ได้ อธิบายให้ใครเข้าใจก็ไม่ได้ ศิษย์ต้องเรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเอง อาจารย์เป็นแค่เพียงผู้ชี้นำทางเท่านั้น
ฉะนั้นชีวิตขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เองแล้วนะ จะเดินทางใด วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อนำไปใช้กับชีวิต มองให้เห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตอันไม่เที่ยงแท้ ถ้าเรารู้จักเรียนรู้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เราก็จะเป็นผู้มีความสุขได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องพยายามให้เหนื่อย สุขได้ด้วยการที่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน
หนทางแห่งการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่รู้จักช่วยตนและช่วยผู้คน อย่าคิดอย่างคนเห็นแก่ตัว แต่คิดอย่างคนที่มีเมตตาธรรม มีจิตใจรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป มีจิตใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่ยากใช่ไหม แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำตามอารมณ์แล้วปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำจนมองไม่เห็นผิดชอบชั่วดีหรือเปล่า
สิ่งที่จะช่วยยับยั้งให้เรามีผิดชอบชั่วดีและมีเมตตาจิต นั่นก็คือสติและปัญญา จงทำอะไรด้วยสติและปัญญานะศิษย์ และย้ำเตือนด้วยการนำคุณธรรมมาตรวจสอบความคิด ตรวจสอบการกระทำ เราจะได้ไม่ต้องไปสร้างเวรเกี่ยวกรรมกับใครอีกต่อไป ทุกข์ในโลกนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แล้วเราสร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไว้กับใครหรือเปล่า สุขตัวเองแต่ทำให้คนอื่นทุกข์หรือไม่ คิดให้ดีๆ นะ อย่าคิดแค่เพียงว่า “ฉันสุข คนอื่นทุกข์ไม่เป็นไร” ถ้าเขาผูกใจเจ็บขึ้นมา ศิษย์แก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้ แล้วถ้าเขาจองล้างจองเวรศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร ก็มีแต่ทำกุศลให้มากที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
น่าเสียดายนะที่ไม่ตอบ เด็กดื้อ กลับมาหาอาจารย์อีกนะ อย่าปล่อยให้ชีวิตทำลายชีวิตตัวเองนะ วาสนามีได้ก็หมดได้ บุญมีได้เคราะห์ก็มีได้ มีโอกาสกลับมาช่วยงานห้องพระ แล้วก็ช่วยผู้คน กลับมาฟังให้ครบดีไหม ตั้งใจแล้วทำให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ อย่าบำเพ็ญแค่เฉพาะที่นี่ แต่ต้องบำเพ็ญให้ได้ทุกๆ ที่ อดทนและเข้มแข็งอย่าแพ้ใจตัวเอง ฟังมากี่รอบแล้ว เมื่อไหร่จะทำงานสักที สิ่งใดที่ดีที่สุดจงรีบทำ กลัวแต่ศิษย์ไม่ทำ กลัวแต่ดื้อแล้วเอาแต่ใจตัวเอง ต้องรู้จักฟังเสียงคนรอบข้างบ้างนะศิษย์นะ ความตั้งใจดีแต่บางทีก็มีโทษได้ ศิษย์เอยอย่าทำร้ายตัวเองด้วยความคิดที่ไม่ควรคิด แล้วกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ เมื่อไหร่จะตามมาช่วยงานจริงๆ พูดอะไรต้องระวังหน่อยนะ อาจารย์ดีใจที่ศิษย์ยังกลับมา แต่จะดีใจยิ่งขึ้นถ้าเอาความเข้าใจไปช่วยคนนะศิษย์นะ ศิษย์รักเอยควบคุมอารมณ์ให้ได้นะ อย่าปล่อยให้ความรักบังตานะศิษย์ เหนื่อยไหม สร้างเรือลำหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็สำเร็จได้ ใช่หรือเปล่า
มีใจก็กลับมาอีกนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญ ศิษย์เอ๋ยเวลาไม่เยอะแล้วนะ ปลงได้ก็ปลง วางได้ก็วาง ฝึกหัวใจให้เบาใส ฝึกหัวใจให้ปล่อยวางละวาง ชีวิตไม่ยาวแล้ว ใช่ไหม อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญ เหนื่อยไหมสร้างเรือหนึ่งลำ สู้ต่อไปนะ คนเก่งของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญ ปล่อยได้ก็ปล่อย ปลงได้ก็ปลง อายุเรามากแล้วนะศิษย์ ตั้งมั่นแต่คุณงามความดีในจิตใจ ไม่ร้องๆ เข้มแข็งนะ เวลาช่างน้อยเหลือเกิน เป็นเด็กดื้อหรือเปล่า ฟังแล้วไม่ได้อะไรเลยก็น่าเสียดายใช่ไหม ขอแค่เป็นลูกที่ดี ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังก็ดีแล้ว
ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกแห่งความสุขหรือ อาจารย์ว่ามันเป็นโลกแห่งความทุกข์ที่คนไม่รู้แจ้งเห็นจริงหลงมัวเมาในแสงสี แล้วก็คิดว่ามันคือความสุข แต่ที่จริงแล้วมันคือทุกข์ทั้งนั้น แล้วถ้าทุกข์ที่เจอ ศิษย์นำธรรมะมาใช้ไม่เป็นศิษย์ก็จะต้องกลับมาทุกข์ไม่จบสิ้นใช่ไหม ความรู้ทางโลกไม่สามารถช่วยได้เท่ากับรู้เท่าทันใจตัวเอง ปริญญาบัตรกี่ใบก็ช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์ไม่ได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้ใจตัวเอง จริงไหม (จริง) เงินเป็นร้อยเป็นพันก็ทำให้ศิษย์หมดทุกข์ไม่ได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักหมดทุกข์ด้วยใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะเพื่อรู้เท่าทันตัวเอง ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง มันมาเดี๋ยวมันก็ไป อย่าตายเพราะความทุกข์ อย่าตายเพราะอารมณ์ คนบางคนเพียงความรักไม่สมหวังตายทั้งชีวิต ตายทั้งเป็นคุ้มแล้วหรือ คิดให้ดีๆ นะ ชีวิตยังมีสิ่งประเสริฐที่ยิ่งกว่าอารมณ์รัก ประเสริฐกว่าความหลง นั่นคือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง เข้าใจชีวิตแล้วนำพาชีวิตไปสู่ความสว่างและสงบ และถ้านำพาชีวิตได้เราก็นำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ถ้าเรามีความสุขได้เราก็ทำ ให้คนรอบข้างมีความสุขได้ แต่ถ้าศิษย์ยังทุกข์อยู่ศิษย์ก็คือคนที่ทำให้คนรอบข้างทุกข์ที่สุดได้เช่นกัน
ฉะนั้นจงสุขอย่างคนที่เข้าใจ อย่าสุขอย่างคนที่พยายาม ความสุขนั้นจะยืนนานกว่า และจะนำพาคนทั้งโลกให้สุขได้ด้วยสุขที่เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง เชื่ออาจารย์นะ เพื่อตัวศิษย์เอง ดูแลตัวเองให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าให้อะไรมาทำให้ใจศิษย์อ่อนแอและพ่ายแพ้ใจตัวเอง เข้มแข็งนะ
เบญจศีล (ศีลห้า) เบญจธรรม (คุณธรรมสามัญห้า)
๑. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เมตตาธรรม
๒. งดเว้นจากการลักทรัพย์ มโนธรรม
๓. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม จริยธรรม
๔. งดเว้นจากการพูดเท็จ สัตยธรรม
๕. งดเว้นจากการเสพสุราเมรัย ปัญญาธรรม
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางวัตถุพบใจ”
ชีวิตหันคืนสู่ความเรียบง่าย
แบบที่เงินให้ไม่ได้แม้ส่วนหนึ่ง
เมื่อยามมีคนมักจะไม่คะนึง
จนวันหนึ่งถูกบังคับให้ต้องปลง
คนไม่รู้ความล้ำเลิศในตนเอง
จึงกลัวเกรงในความมืดจนหลง
ขจัดกลัวได้เมื่อไรปัญญาตรง
สามัคคีนำธงหนักเป็นเบา
พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช วันที่ ๒๙-๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
แก้ไขกลอนพระโอวาท หน้า ๑ วรรคที่ ๒ และกลอนในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
จากเดิม ทำเรืองว่าไม่รู้ไม่ไปไหน
แก้เป็น ไม่ลืมว่าไม่รู้ไม่ไปไหน