แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2543 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2543 แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-23 สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี


PDF 2543-12-23-ถงซิน #25.pdf

#หลักการบำเพ็ญ หลี่ อี้ เหลียน ฉื่อ


วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ใช้ความรู้ความสามารถให้ถูกทาง ศึกษากว้างไปสู่ละเอียดใหม่
อยากรู้ตนกลับแสวงอยู่นอกกาย แล้ววันใดน้องจะเจอดังต้องการ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

เพียงวันเดียวแห่งผู้เปี่ยมปัญญา ย่อมมีค่ากว่าร้อยวันของคนโลเล
หากว่าทำสิ่งใดไม่ทุ่มเท จะปนเปความแพ้พ่ายตลอดทาง
แต่ครานี้ประชุมธรรมรวมสองวัน ปวงน้องท่านต้องมั่นคงใจเป็นหนึ่ง
แม้สองวันอาจเข้าใจธรรมลึกซึ้ง อย่าทิ้งกลางคันครึ่งมาไม่ครบ
ขอให้รู้โลกวุ่นวายใจคนวุ่น ธรรมะหนุนลงกู้โลกคลายสับสน
แม้ว่าจะมีร่างกายได้เป็นคน แต่มากล้นคนจิตเสื่อมหาใช่คน
จงตั้งใจย้อนมองตนแก้ไขผิด แม้เพียงนิดไม่ยอมทำผิดซ้ำซ้อน
จงนำใจของตนเป็นขั้นตอน แม้ลุ่มดอนเพียรบำเพ็ญพ้นทุกข์นา
ชีวิตคนถ้าไม่ทุกข์ก็คือยังไม่เจอ ท่านอย่าเผลอรักกิเลสกว่าตนหนา
เกิดมาแล้วให้เพียรสร้างคุณค่า เร่งเปิดตาแห่งปัญญาของตนเอง
อันคนเก่งไม่อาจเก่งตลอด ไม่อาจกอดทรัพย์สินโดยไม่ปล่อย
ขอให้บำเพ็ญจริงจริงอย่าลอยลอย เริ่มจากน้อยไปหามากก้าวของเรา
ฝึกจิตใจอภัยเพื่อทำงานใหญ่ คนจู้จี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
ขอตรวจสอบจิตตนก่อนบำเพ็ญใจ เพื่อจะได้ลดการโทษคนอื่นผิด
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมเพื่อศึกษาไปปฏิบัติ
ในชาตินี้ขอหลุดพ้นเพราะเคร่งครัด รู้จำกัดใช่เรียกว่าขาดเสรี
ขอตั้งใจเปิดใจตนเป็นกุศล จงอดทนนั่งฟังด้วยปัญญาแท้
ดีเร่งตามหากว่าไม่อย่าเปลี่ยนแปร ศึกษาต่อธรรมะแท้ไร้รูปนาม
ขอให้มีปณิธานดั่งพุทธะ เร่งลดละอบายมุขสิ่งต้องห้าม
กามราคะตัดสิ้นสง่างาม เร่งเดินตามรอยแห่งอริยา
จงรักษาพุทธระเบียบในชั้นเรียน และพากเพียรไม่กระจ่างต้องหัดถาม
ใดขุ่นเคืองมองให้ชัดอย่าวู่วาม อันไฟลามอาจเกิดจากแค่ประกาย
อย่าให้พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า บางคนเขลาเพราะเคืองใจชั่วขณะ
การบำเพ็ญคือขัดเกลาเพื่อชนะ และชนะครั้งนี้คือชนะตน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
และจะอยู่ร่วมกับน้องทั้งสองวัน คนสำคัญท่านจงได้ตั้งใจจริงจริง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา    หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระนาจา

ความสบายมาเปลี่ยนคนเปลี่ยนนิสัย การอภัยเป็นดั่งฟ้าหลังฝน
คร้านเพียรดั่งเทพทิ้งวิมานตน สามารถทนปรักปรำได้กุศลจริง
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนลำบากหน่อยทนได้หรือเปล่า

สุขทุกข์ร้ายดีเหลือเพียงอารมณ์ จะขื่นขมปรีดาสิ่งทั้งสอง
คืนความใสธารไหลตามครรลอง อย่าหลงค้างกรองตะกอนคืนชีวา
อย่าให้วัตถุสำคัญเหนือใจจิต สำคัญผิดเงินซื้อได้ใต้หล้า
รู้จักให้ความสุขไม่กำพร้านา ย่อมดีกว่ามากสุขลำพังมี
ให้ก่อนรับคิดดีเป็นมงคล ตั้งต้นใหม่ฉลาดกว่าคิดหนี
แพ้ความสบายแม้คนบำเพ็ญดี จิตไม่หลับรัศมีจับสร้างอะไร
คนมักลืมน้ำใจในคนคุ้น คนมีบุญโชคอยู่หน้าแจ่มใส
ใช้รอยยิ้มพูดแทนเสียงหัวใจ ร้ายนิ่มนิ่มใคร่ครวญไม่ขุ่นตาม
รู้คุณทำให้โลกเพราะสำนึก มาผนึกพลังช่วยสมดุลความบุ่มบ่าม
ให้เมตตาได้อุ่นโลกดีงดงาม เพียรพยายามย่อมสำเร็จกันทุกคน
กลัวลำบากยากเดินสู่มุ่งหมาย หากเข้าใจเพียงผิวเผินเดินสับสน
สู่จุดหมายต้องมีใจอดทน เพื่อส่งผลสัมฤทธิ์อันงดงาม
ฮิ ฮิ   หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

อยู่บ้านเราเคยชิน จะทำอะไรเราก็ได้ทำตามที่เราต้องการ แต่พอมาอยู่ในสังคมคนหมู่มากก็ต้องมีกฎระเบียบ ข้อบังคับและสิ่งที่ต้องทำให้เหมือนกัน ทำให้เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ตามใจเรา  ฉะนั้นพอมาอยู่นี่ นั่งเฉยๆ บางทีก็เบื่อ ต้องโทษนิสัยเราที่ปล่อยเราเคยชิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจตัวเองจนเคยตัว พอมีคนมาบังคับตัวเองหน่อยก็เลยลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนอะไรที่ทำให้ตัวเองลำบากก็จะพยายามไม่ทำ  อะไรที่ตัวเองเหนื่อยก็พยายามจะหนี ใช่ไหม (ใช่)  พอมาอยู่ที่นี่ ลำบากก็ต้องทน ต้องใช้ธรรมะมาข่มว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นคนศึกษาพุทธศาสนาต้องทน  เกิดเป็นคนทนไม่ได้ก็เสียความเป็นคนแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นิสัยความเคยชินนี้ ถ้าเราปล่อยตามใจตัวเองโดยที่ไม่รู้จักควบคุม ย่อมส่งผลดีหรือผลร้าย (ผลร้าย)  หน้ามือหรือหลังมือ (หลังมือ)  บางครั้งเราปล่อยตัวเองตามใจตัวเองก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูก การรู้จักควบคุม การรู้จักอยู่ในกฎระเบียบ  ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มากได้
ตั้งใจฟังก็จะได้ยิน ถ้าไม่ตั้งใจฟังแม้ได้ยินก็ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้หายเมื่อยหรือยัง (หายแล้ว)  หายเมื่อยจริงๆ นะ งั้นพรุ่งนี้เพิ่มอีกเป็นสามวันดีไหม (ดี)  ฟังแล้วดีไหม (ดี)  งั้นเพิ่มอีกเป็นสี่วันดีไหม  ทำไมเสียง “ดี” เบาลงๆ ล่ะ  แปลว่าคนเห็นด้วยเริ่มน้อยลงแล้วสิ ใช่หรือเปล่า
ตอนนี้ท่านอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ๆ เวลาตอบอะไรบางทีท่านต้องฟังเสียงข้างๆ ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเสียงของท่านอาจตัดสินชะตาชีวิตทั้งชั้นเลยก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเราอยู่ในโลกนี้ ตัวท่านที่เป็น “คน”  ไม่ว่าจะพูด ทำ คิด จึงต้องระวัง อย่าปล่อยให้ตัวเองมีอารมณ์ผูกพันกับนิสัยความเคยชิน ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นคนที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นคนที่ทอดทิ้งตัวเองโดยที่ตัวเราเองไม่รู้ตน จริงไหม (จริง)
หลายต่อหลายคนรักตัวเอง เป็นห่วงตัวเอง  แต่บางครั้งการกระทำอะไร พอเราทำสำเร็จไปอย่างหนึ่ง เราเพิ่งรู้ว่าเราทำแบบนี้ไม่รักตัวเองเลย เคยไหม (เคย)  เราบอกว่าเราทำงานเพื่อเราจะได้มีความสุข แต่พอเราทำ เรารู้สึกไหมว่าเรารักตัวเองหรือเรากำลังทำร้ายตัวเอง (ทำร้ายตัวเอง)  บางครั้งตอนแรกเรารู้ว่าชีวิตเราเกิดมาถ้าไม่ทำงาน เราจะไม่สามารถถนอมร่างกายนี้ได้  แต่พอเราทำงาน เรานึกว่าทำเพื่อจะทำให้เรามีชีวิตอยู่ แต่กลับกลายเป็นยิ่งทำก็ยิ่งทำร้ายชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราทำอะไรก็ตาม เราคิดว่าเราทำแบบนี้เรารักเราหวังดีกับเขา แต่พอคิดไปคิดมาโดนคนว่ากลับบอกว่าไม่ใช่ เธอทำแบบนี้เธอรักตัวเธอเอง แล้วเธอจะให้ฉันทำให้เธอ เคยไหม (เคย)  บางครั้งการกระทำของเราเอง จึงต้องคิดพิจารณาให้ดีว่า จริงๆ แล้วเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น จริงๆ แล้วเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่คนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านอยู่ในโลกนี้ล้วนแต่เคยเห็นแต่คนๆๆๆ ใช่ไหม  ตาที่เห็นก็เป็นแต่คน หูก็ฟังแต่เสียงคน ใจที่เปิดรับก็เปิดรับแต่ความเป็นคน พอพุทธะมาก็เลยเป็นคน จริงไหม (จริง)  เพราะว่าเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าความเป็นพุทธะเป็นแบบไหน จิตแห่งพุทธะเป็นอย่างไร  เรารู้เราเห็นก็เพียงแค่พุทธะคือรูปภาพสวยๆ ยืนอิริยาบทแตกต่างกันไป มีความสงบนิ่งลึกล้ำอยู่ภายใน และก็มีภูมิประวัติงดงามที่น่าศึกษาเรียนรู้ ใช่ไหม (ใช่)  แม้เราจะพยายามศึกษาค้นคว้าเราก็ได้รู้เพียงแค่กระพี้เปลือกนอก แต่เราไม่เคยได้ถึงแก่นแท้ความเป็นจริง  แม้เราจะพยายามหาภาพความเป็นพุทธะ แก่นแท้แห่งธรรมะ เราก็พบได้แค่ความเป็นคน ไม่เคยพบซึ่งความเป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะบางครั้งขนตาใกล้ๆ มองไม่เห็น สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้แจ้ง นั่นก็คือว่าความเป็นพุทธะที่แท้จริงแล้ว มนุษย์เราเฝ้าแสวงหาจากโลกภายนอก แต่แท้จริงแล้วอยู่ที่ภายในใจของตัวตนเอง  ธรรมะไม่ได้เรียกร้องจากใคร ไม่ได้เรียกร้องจากหนังสือคัมภีร์  แต่ธรรมะจริงๆ แล้วต้องเรียกร้องจากจิตใจตัวเอง บุกเบิกตัวเองให้ค้นพบความเป็นพุทธะ  แต่จะบุกเบิกให้ค้นพบได้อย่างไรล่ะถ้าเราไม่ได้ศึกษา ถ้าเราไม่ได้ค้นคว้า จริงไหม (จริง)  ถ้าเราเอาแต่ดำเนินชีวิตตามความเป็นคน เราก็จะไม่พบความเป็นพุทธะ  ฉะนั้นท่านจึงต้องให้เวลาตนเองได้มาค้นหาความเป็นพุทธะในตัวตนและในตัวคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแล้วงงไหม
แต่ก่อนใจเราคิดว่าตัวเราก็คือคนๆ หนึ่ง แล้วก็ยอมรับว่าคือคนๆ หนึ่ง  แล้วท่านจะเห็นพุทธะไหม (ไม่เห็น)  ถ้าเราบอกว่าในตัวคนๆ หนึ่งนี้สามารถมีพุทธะได้ สามารถมีผู้ประเสริฐได้ แต่ถ้าเอาแต่คิดแล้วไม่ลงมือทำ เราจะพบไหม (ไม่พบ)  เหมือนเวลาเราอ่านหนังสือของคน เราก็จะพบคนในหนังสือ  แต่ถ้าเราอ่านหนังสือของพุทธะ เราก็จะพบพุทธะในหนังสือใช่หรือไม่ (ใช่)  กลับกัน หากเราเปิดใจของเรา เปิดหาคำว่าคน คนคืออะไร ชีวิตคนคือแบบไหน เราก็จะพบคน ชีวิตคนในใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเราอยากพบคำว่าพุทธะก็ต้องเปิดที่ใจเรา แล้วพุทธะเป็นแบบไหนล่ะ พุทธะคือผู้ที่มีเมตตาจิต มีไหม (มี)  แล้วพุทธะเป็นแบบไหนอีก  ใครพยายามเปิดหาความเป็นพุทธะในใจของเราที่เราเคยได้รู้มา (รู้จักให้อภัย, เป็นคนดี)  ใครว่าก็ไม่โกรธ ใครผิดก็ไม่นินทา อะไรที่ลำบากก็ต้องอดทน อะไรที่ขัดใจตนก็ต้องอดกลั้น  นี่เราค่อยๆ เปิดใจดูว่าความเป็นพุทธะมีอยู่ในตัวเราไหม พอเราเปิดได้หนึ่งข้อเราก็สำรวจตัวเราได้หนึ่งอย่างว่าเรามีไหม มีแล้วใกล้ชิดไหม หรือมีแล้วยิ่งถอยห่าง เหมือนเราพูดว่าเป็นคนต้องมีเมตตา ยิ่งเมตตาแบบมหาเมตตาจะเรียกว่าพุทธะหรือโพธิสัตว์ใช่ไหม (ใช่)  และยิ่งถ้าเมตตาโดยไม่สนใจตัวตนก็เรียกว่าพุทธะอริยะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอพูดคำว่าเมตตา ทำไมเราไม่มีเลย นั่นก็แปลว่าเราพบแล้วว่าเรามีความเป็นคนมากกว่าความเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้แค่เปิดนิดหนึ่ง อยากค้นไหมว่าความเป็นพุทธะมีอีกหรือเปล่า แล้วจะมีอย่างไร อยากรู้ไหม (อยาก)  อยากรู้เท่านี้เองหรือ เห็นเรียนนั่นเรียนนี่ก็อยากเรียนไปหมด ทำไมไม่เห็นมีใครอยากเรียนเป็นพุทธะเลย  ฉะนั้นต้องระวังความคิดเพียงชั่ววูบ  หากคิดผิดก็ทำร้ายความดีของเราจนหมดสิ้น แต่ถ้าคิดถูกเราก็จะสามารถชำระล้างความทุกข์ให้มลายเบาบางลงไปได้  ฉะนั้นหนึ่งความคิดก็ต้องระมัดระวังให้ดี
อยากสมัครเป็นพุทธะไหม มีคนไม่อยากสมัครด้วย ถ้ายังไม่อยากก็ยังไม่บังคับ แต่ถ้าไม่อยากก็ลองฟังดูซิว่า การเรียนฝึกฝนเป็นพุทธะนั้นยากเกินไปไหม แล้วก็ลองพินิจพิจารณาดูว่าหากเรียนจบแล้วเป็นพุทธะได้ไหม ดีหรือเปล่า  แต่อย่าลืมนะว่าการเรียนฝึกฝนเป็นพุทธะต้องทนคำนินทาว่าร้ายและกล่าวหาปรักปรำได้ ข้อนี้มักจะสอบไม่ผ่าน  สังเกตว่าการจะเรียนอะไรก็ตาม จะก้าวไปหนึ่งขั้น เป็นพุทธะจบชั้นหนึ่ง เป็นพุทธะจบชั้นสองได้ ต้องมีการสอบวัดความรู้ใช่ไหม (ใช่)  การฝึกฝนความเป็นพุทธะก็ต้องมีการวัดความมั่นคงด้วย  สังเกตว่าคนถ้าจะทำความดี หากไม่มีความมั่นคง มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้โดนอะไรนิดหน่อยก็หวั่นไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่แท้ แม้โดนอะไรนิดหน่อยจะไม่หวั่นไหว สิ่งที่มากระทบกลับยิ่งทำให้เข้มแข็งและหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเรียนการเป็นพุทธะแล้ว แต่โดนกล่าวหาปรักปรำว่าเป็นพุทธะที่ไม่ได้เรื่อง เป็นพุทธะที่ชอบนินทา เป็นพุทธะที่ยังปากร้าย เป็นพุทธะที่ยังปากว่าตาขยิบ เป็นพุทธะที่โดนกล่าวหาว่าเลวร้ายตลอดเวลา ยังอยากเป็นอยู่ไหม
(อาจารย์บรรยายธรรมพูดว่า “เชื่อว่าคงได้อะไรกลับไปจากสองวันนี้เยอะมากทีเดียว”)
ไม่มากก็น้อยดีกว่า เอามากไปเดี๋ยวฟังไม่รู้เรื่องก็จะเสียเปล่า ใช่หรือไม่  เอามากไปแล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ไร้ค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีแล้วแต่ก็ไม่ยอมดีตลอดก็ไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  ฟังพุทธะทีหนึ่งก็กระเตื้องทีหนึ่ง แต่พอกลับบ้านไปที่กระเตื้องขึ้นก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เป็นไหม  ต้องถามผู้ที่ปฏิบัติธรรมข้างๆ ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  ส่วนท่านที่อยู่ตรงนี้ เราอยากบอกอีกสักนิดหนึ่ง บอกเกือบทุกครั้งที่มาเยือนบนแดนโลกนี้เลยนะว่า อย่าเพิ่งสงสัยกัน เปิดใจแล้วลองคิดพินิจพิจารณาสิ่งที่เราพูดนี้ให้ดีๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ และไม่ใช่เรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องที่ทุกๆ ท่านสามารถทำได้  และถ้าทำได้ ท่านนั่นแหละจะโชคดียิ่งว่าถูกล็อตเตอรี่อีกนะ เอาไหม (เอา)
พุทธะแต่งตัวเพื่อปกปิดร่างกาย แต่มนุษย์ตกแต่งเพื่อสวยงามหล่อเหลา  หรือไม่ก็เสริมสร้างบารมีใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องและทำท่าประกอบเพลง “พายเรือธรรม” )
ทุกคนอยู่ในโลกนี้ต่างคนต่างปั้นหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างไม่มีความจริงใจให้แก่กัน ก่อนที่เราจะพูดแบบนี้เราต้องถามตัวเราก่อนว่า เราได้ยิ้มบ้างหรือยัง เราได้จริงใจให้กับคนอื่นบ้างหรือยัง สิ่งนี้มักจะเป็นสิ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักเรียกร้องให้ทุกคนทำก่อน เราอย่าได้ไปเรียกร้องคนอื่น เราเรียกร้องที่ตัวเอง เรายิ้มโลกก็ยิ้มให้เรา เราทุกข์ทุกคนก็จะโบกมือลาให้เราทุกข์คนเดียว ชีวิตนี้เรามีความทุกข์เป็นเพื่อน เราไม่ได้มีความสุขเป็นเพื่อน ความสุขมักไม่ค่อยรักเรา ชอบวิ่งหนี เวลาเราได้สุขมาเราก็ดีใจ แต่สุขมักไม่อยู่กับเรา อยู่เพียงครึ่งชั่วโมงหรือวันเดียวก็หนีไปแล้วก็กลายเป็นทุกข์ ความทุกข์เราสะบัด เราชี้หน้าว่า  ไล่ไปก็แล้วแต่ทุกข์ก็ไม่ยอมไป จะหลับจะตื่นก็ต้องทุกข์  เพราะชีวิตของมนุษย์นั้นมีความทุกข์แอบแฝงซ่อนอยู่เบื้องหลัง ก็เพราะว่าเมื่อใดที่เรามีร่างกายนี้ เมื่อนั้นความทุกข์ย่อมเป็นเพื่อนเรา สังเกตไหมว่าเวลามืดพอมีแสงจันทร์ส่อง เราเห็นเงาสะท้อนมืดใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งกลางวันเราเดินไป เงาที่เห็นยิ่งเห็นชัดยิ่งสะท้อนความมืด เพราะอะไร สิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการจะบอกก็คือมีปริศนาธรรมแฝงอยู่ในนั้น เวลาเราเจอแสงแดดร้อนเราก็หลบ แต่ถ้าคิดให้ดีฟ้ายิ่งสว่างเงายิ่งทอดเห็นชัด แต่ชีวิตของคนนั้นจะมืดจะดำ ขาว บริสุทธิ์ ถ้าหากมีความสว่างไสวของชีวิตมาส่องจะเห็นได้ว่าอะไรมืด อะไรสว่าง อะไรจริง อะไรปลอม ฉะนั้นมนุษย์เราจิตจึงต้องสัมพันธ์ เพราะถ้าจิตสว่างเราย่อมเห็นอะไรแจ่มชัด ถ้าจิตบริสุทธิ์เที่ยงตรงเท่าไหร่ ยิ่งมองอะไรได้บริสุทธิ์ยุติธรรม นั่นก็คือเมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องเห็นพระอาทิตย์สว่างแล้วส่องเงาดำได้ชัดเท่าไหร่ ต้องสะท้อนใจไว้ว่า ความสว่างยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างของจริงกับของปลอมได้ชัด ใช่ไหม (ใช่) มีใครทำอย่างนั้นบ้าง แท้ที่จริงแล้วมีปริศนาสอนอยู่ข้างในธรรมชาติบนโลกใบนี้ ฉะนั้นเวลาเรามองอะไรต้องมองให้ดี ดั่งที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า สรรพชีวิตมีใจเป็นผู้นำ หากคิดดีก็กระทำดี หากคิดร้ายใจเห็นพ้องด้วยก็กระทำชั่ว ศิษย์น้องเวลาว่าคนในเรื่องร้ายมักจะใส่อารมณ์มากกว่าปกติ ทำไมไม่ใส่อารมณ์ไปในความดีความงามบ้าง สิ่งที่ไม่ดีมักชอบเติมแต่ให้ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวเลย เพราะถ้าน่ากลัวจริงศิษย์น้องคงไม่ชิดใกล้และไม่เข้าไปกระทำเด็ดขาด เพราะเมื่อใจเป็นผู้นำแล้วมีสถานการณ์บังคับ เราจึงพร้อมที่จะทำไม่ดี   เวลามีเหตุการณ์บีบบังคับเรายอมทิ้งดีไปทำชั่ว  กับอีกคนหนึ่งแม้สถานการณ์จะบีบบังคับให้ทำเลวร้ายอย่างไรก็ตาม  ให้ทำไม่ดีอย่างไรก็ตาม   แต่เขาก็ยังยึดมั่นไม่ยอมทำสิ่งที่เลวร้าย กลับมั่นคงในการทำความดี เพราะอะไร  สองคนนี้แตกต่างกันเพราะอะไร (จิตใจ, จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก, ปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้, กรรม)  เพราะกรรมหรือ เมื่อสักครู่เราบอกว่าพระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าสรรพสิ่งมีใจเป็นผู้นำ ไม่ใช่มีกรรมเป็นผู้นำ  (มีศีลธรรมและคุณธรรม)  และอีกคนที่ทำไม่ดีเพราะไม่มีศีลธรรมและคุณธรรมหรือ (เพราะลืมไปชั่วขณะ)  ศิษย์พี่ถามว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจทำไม่ดี เพราะอะไรถึงตัดสินใจทำดี (ปณิธานที่แน่วแน่ในการทำความดี)  สิ่งบางอย่างไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกรรม  ตอนนี้สิ่งที่ศิษย์พี่ยกตัวอย่างนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจชั่วขณะ  ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้น  อารมณ์ตอนนั้นศิษย์น้องอยากดีหรืออยากไม่ดี  ตอนนั้นอยากดีแล้วมีดีให้รักษาไหม  หรือว่าอยากไม่ดีแม้จะมีดีให้รักษาก็ไม่เอา ใช่ไหม    เหมือนคนๆ หนึ่งอยากได้ส้มลูกนี้เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดินผ่าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็น ท่านอยู่ข้างๆ  ก็ล้วงหยิบเอา   ชั่วขณะนั้นเขามีแค่อารมณ์อยากได้  แต่ไม่มีสติและไม่มีคุณธรรม ไม่มีความละอายและไม่มีการยั้งคิด  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่มีความมุ่งมั่นในตัวตน  มุ่งมั่นอะไรล่ะ มุ่งมั่นในตัวตน มุ่งมั่นจะเป็นคนดี ใช่ไหม  (ใช่)  เขามุ่งมั่นแต่เพียงว่าเขาอยากได้ๆ เขาวิ่งไปตามอารมณ์  แต่ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)    อยู่ที่ตอนนั้นสติยั้งคิดเรื่องอะไร อยากได้เป็นอันดับหนึ่ง หรือว่าคุณธรรมการยั้งคิดเป็นอันดับหนึ่ง ฉะนั้นช่วงขณะหนึ่งของทุกชีวิตจึงสามารถตัดสินตัวเราได้ว่าดีหรือร้าย  ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นเราต้องไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต แต่หลายคนแม้ช่วงขณะหนึ่งจะคิดดี แต่อารมณ์มักจะทำให้เราผูกพันและเกี่ยวเนื่องกับใจ ชักพาใจเราให้ไขว้เขว ยากจะตัดสินได้อย่างยุติธรรม จริงไหม (จริง)   สมมติว่าเวลาที่ศิษย์น้องอยู่กับเพื่อน เขาก็มีความเห็นที่ถูกต้อง ศิษย์น้องก็มีความเห็นที่ถูกต้อง ต่างคนต่างถูกต้อง เราจะใช้อะไรมาตัดสิน  เราเอาปัญญามาช่วยตัดสิน เอาคุณธรรมมาเป็นเกณฑ์วัดความเที่ยงตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนั้นเราจะอิงเหตุผลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องใช้คุณธรรม ก็คือคุณธรรมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจริงใจไหม เราซื่อตรงไหม ในความมีเหตุผลในการตัดสินใจ นี่คือข้อรายละเอียดในการตัดสินใจ แปลว่าช่วงขณะหนึ่งในการทำ แม้เราจะมีใจเป็นผู้ทำ แต่อารมณ์มักจะทำให้เราไขว้เขวได้ ฉะนั้นเราต้องอยู่บนโลกแบบกันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมไว้ก่อนจะสาย ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท แม้เพียงชั่วขณะจิต เราก็กลายเป็นคนที่ดีหรือร้ายได้เพียงหนึ่งวินาที จริงไหม ความดีทำได้ไม่ง่ายแต่ความชั่วทำง่าย
คนนั้นมีใจเป็นผู้นำ แต่ใจนี้ต้องไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับอารมณ์ ถ้าเมื่อไรมีใจเป็นผู้นำ แต่ใจนำเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับอารมณ์ การตัดสินใจก็ยากที่จะบริสุทธิ์และยุติธรรมได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นทำดีหรือทำชั่วขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาใจของเราได้ดีเพียงใด เราจะสามารถควบคุมสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้มาเกี่ยวเนื่อง และชักพาใจให้เหลวไหลไปหรือเปล่า ต้องระวังให้ดี เพราะศิษย์น้องหลายๆ คนพอมีใจเป็นผู้นำ กายเป็นผู้ตาม แต่ว่ากายยืนอยู่บนอารมณ์ที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม การตัดสินใจหรือการทำอะไรก็ยากที่จะสำเร็จและลุล่วงด้วยดี  แม้จะบำเพ็ญธรรมก็ยากบำเพ็ญได้สำเร็จมรรคผล แม้จะปฏิบัติธรรม มาศึกษาบำเพ็ญธรรมก็ยากจะปฏิบัติได้โดยราบเรียบ จริงไหม (จริง)
เมื่อสักครู่ศิษย์พี่พูดว่าความทุกข์มีอยู่ในทุกผู้ทุกคนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกชีวิตมีความทุกข์ครอบคลุมอยู่ ไม่ว่าเด็กหรือแม้กระทั่งสรรพชีวิตที่มองดูเหมือนไม่มีชีวิตก็ตาม ศิษย์พี่พูดเช่นนี้เพราะต้องการให้ศิษย์น้องรู้ว่ามนุษย์นั้นมีความทุกข์เป็นธรรมดาของโลก หลายคนมักจะห่วงกังวลความทุกข์ ยากจะดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขเพราะหาทางกำจัดทุกข์ไม่เจอ และก็ไม่รู้ว่าทุกข์ที่แท้จริงนั้นมาจากแห่งใด แล้วสุขที่แท้จริงจะหาได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เรามารู้กันหน่อยว่าทุกข์มาจากไหน ดีไหม (ดี)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นกำมือตัวเองแล้วบีบให้แน่นๆ และถามว่าเจ็บไหม และค่อยๆ ให้ปล่อยมือที่กำออก)
เข้าใจไหมว่าศิษย์พี่กำลังบอกอะไร (คือการปล่อยวาง, ไม่ยึดมั่น)  เป็นคำตอบที่ถูก นั่นก็คือว่าชีวิตของมนุษย์นั้นมีความทุกข์เป็นธรรมดาของชีวิต เกิดทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  เปลี่ยนแปลงทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตายทุกข์ไหม (ทุกข์)  เกิดแก่เจ็บตายเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในตัวมนุษย์ ไม่มีใครหนีพ้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้  แต่ว่าเราต้องรู้และเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวเรา สิ่งของเกิดได้ไหม (ได้)  รูปนามเกิดได้ไหม (ได้)  นามที่เป็นชื่อเสียงเกียรติยศหรือแม้แต่ชื่อเราเองเกิดได้ไหม (ได้)  วันนี้คนยกชื่อเราสูงเชียว สักพักเขาก็ยกลงมา กลาง แล้วก็ต่ำ  ทุกๆ อย่างเกิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดอะไรได้ เกิดทุกข์ได้ และเป็นเหตุให้เราทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  อยู่ที่ว่าใจเรากำลังเกี่ยวข้อง  กำลังสัมผัสเรื่องอะไร เราอาจจะคิดว่าส้มลูกนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องและเป็นเหตุให้เราทุกข์ได้ แต่ไม่แน่ถ้าส้มนี้เป็นของๆ เรา แล้วส้มลูกนี้ก็หายไปจากเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะอะไร เพราะความเปลี่ยนแปลง แต่ใจนั้นไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ใจนั้นยึดมั่นอยู่กับส้ม  ส้มนั้นต้องเป็นของเรา ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงไม่มีส้มแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องต้องรู้ไว้ว่า ทุกสิ่งมีเกิดแล้วก็มีตาย ก็ถือว่าส้มหายไปแล้ว  นั่นก็คือว่าพอสิ่งใดมากระทบใจใจก็ไม่นิ่ง พอสิ่งนั้นอยู่ในใจ เราก็เริ่มครอบครองแล้วถือว่าเป็นของเรา พอบอกว่าเป็นของเรา จากมือที่ว่างๆ ก็กลายเป็นรับส้มหนึ่งใบ แต่ในความเป็นจริงส้มนั้นไม่มีอยู่ แต่ใจรับส้มอยู่ก็เลยเป็นทุกข์ จริงไหม (จริง)  เพราะใจมีส้มแต่มือไม่มีส้มแล้ว ใจไร้ส้มเราจึงเป็นทุกข์  ฉะนั้นทางแก้ของการดับทุกข์ก็คือตัดส้มทิ้ง หรือตัดใจทิ้ง (ตัดใจทิ้ง)  ทุกข์บางอย่างต้องปล่อยทิ้งบ้าง แต่มนุษย์หลายคน แม้จะรู้ว่าตรงนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ใจอย่ายึดมั่นนัก ใจอย่าเปิดรับนัก ใจอย่าผูกมัดนัก  เรารู้ไหมว่าอย่าทำอย่างนี้ มีทั้งไม่รู้แล้วก็รู้ แต่วันนี้ศิษย์น้องรู้หรือยัง
(นักเรียนในชั้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าเปลี่ยนจากส้มเป็นคนจะทำอย่างไร)
ถ้าเปลี่ยนจากส้มเป็นคนพูดยากกว่าอีกนะ เพราะส้มไม่มีจิตใจ ไม่มีขาเดิน แต่คนนั้นไม่ใช่ วันนี้ท่านรักเขาแต่พรุ่งนี้ยังจะรักเขาไหม วันนี้เขาบอกว่ารักท่านแต่พรุ่งนี้เขาจะรักท่านไหม ใจนั้นจับยากยิ่งกว่าส้มอีกนะ  ฉะนั้นจับคนอย่าไปจับเลย ยึดมั่นแล้วเป็นทุกข์เปล่าๆ เพราะใจเรานั้นเปลี่ยนแปลงทุกๆ หนึ่งวินาที สู้ส้มก็ไม่ได้ จะชี้หน้าว่าส้มๆ ก็ไม่ว่ากลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอเรารู้ว่าความทุกข์ต้องเกิด แล้วเกิดได้ทุกๆ อย่างที่อยู่รอบตัวเรา และทุกๆ อย่างเป็นเหตุให้เราทุกข์ได้ เราต้องทำใจ  นั่นก็คือบางครั้งเราต้องปล่อยวางตัวตนเองบ้าง อย่าให้ทุกข์มีที่อยู่ อย่าให้สุขมีที่อาศัย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราปล่อยวางแล้ว เราก็จะไม่ต้องเสียใจ  แต่ที่ศิษย์น้องต้องรู้อย่างหนึ่งก็คือ สรรพสิ่งในโลกนี้เปรียบเหมือนหินก้อนหนึ่งกลิ้งไปแล้วก็กลิ้งมา แล้วสิ่งที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นี้เปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  วันนี้เราเห็นเป็นแบบนี้ แต่ถ้าพรุ่งนี้หินนี้กลิ้งไปอีกทางหนึ่ง พอกลิ้งไปวันหนึ่งหินก็เปลี่ยนไปรูปหนึ่ง พอกลิ้งไปอีกวันหนึ่งหินก็เปลี่ยนเป็นอีกรูปหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้เป็นเหตุบอกให้รู้ว่า เมื่อเราศึกษาสิ่งใดก็ตาม เมื่อใจเราคิดสิ่งใดก็ตาม เราจะต้องไม่ยึดมั่นกับความคิด กับสิ่งที่ศึกษาอย่างตายตัว พลิกแพลงไม่เป็น เพราะว่าชีวิตบนโลกนี้หรือเรื่องราวในโลกนี้ก็เหมือนหินที่กลิ้งอยู่ตลอดเวลาและเปลี่ยนรูปไปอย่างไม่จบสิ้น  ถ้าเกิดเรายึดมั่นว่าหินต้องเป็นหินๆๆ  หินต้องเป็นรูปนี้ หินต้องเป็นสามเหลี่ยมหยักอย่างนี้ พอพรุ่งนี้เราก็ยืนยันว่าเป็นสามเหลี่ยมอย่างนี้ พออีกคนหนึ่งมาบอกว่าไม่ใช่ เราไปว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้)  หากเราไปว่าเขาและเรายึดมั่น คนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง แต่เราต้องพร้อมใจที่จะเปลี่ยนแปลงด้วย หรือเข้าใจสรรพชีวิตด้วย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกตัวอย่าง โดยนำผลสาลี่มาเปรียบเทียบ)
เราต้องยอมรับว่าโลกนี้มาก็เหมือนสาลี่หนึ่งลูก แล้วก็กลับเหมือนสาลี่หนึ่งลูก เรามาเหมือนสาลี่หนึ่งลูก แต่บางทีเรากลับเหมือนสาลี่เว้าๆ แหว่งๆ หนึ่งลูก เรามาเหมือนสาลี่หนึ่งลูก แต่บางทีเราแบกสาลี่ไปอีกสองลูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เลยไม่สามารถเข้าใจสัจธรรมชีวิตที่เรียกว่า  “มาตัวเปล่าแล้วก็กลับตัวเปล่า” เราจึงต้องทุกข์ เวลากลับแล้วก็ทุกข์ เวลาที่เกิดอยู่บนโลกนี้ก็ทุกข์ เพราะเราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจงจำไว้สรรพสิ่งในโลกนี้เหมือนหินที่กลิ้งแล้วเปลี่ยนมุมได้ตลอดเวลา  ความรู้ก็เฉกเช่นเดียวกัน เรามั่นใจว่าเราเป็นผู้รู้จริง รู้แท้ แต่โลกใบนี้ ไม่มีใครที่สามารถรู้ได้อย่างแท้จริง  เพราะโลกนี้เปลี่ยนทุกเวลาทุกนาทีใช่ไหม (ใช่)  คนที่รู้จักนอบน้อมเรียนรู้ศึกษาอย่างถ่อมตนจึงเป็นผู้ที่รู้กว้างอย่างแท้จริง  แต่คนที่ยึดมั่นว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมีความสามารถนั่นแหละคือคนที่โง่เขลา ไม่รู้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกับสรรพชีวิต  เราเอาเรื่องนี้มาสอนใจเราได้เหมือนกันว่า เมื่อเราเข้าใจว่าชีวิตนี้อย่าได้ยึดมั่นในความรู้ อย่าได้ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองมี เพราะบางครั้งเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และเมื่อเราเข้าใจเราก็จะไม่ยึดติดทั้งรูปนามแล้วก็ตัวตน ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเผชิญกับเรื่องราวที่เข้ามากระทบใจเราก็จะไม่ประหวั่นพรั่นพรึง แล้วจะกลัวทุกข์ทำไม ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว จริงไหม (จริง)  คราวนี้รู้หรือยังว่าทุกข์มาจากไหน แล้วรู้หรือยังว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร มีคนมากมายที่จบชั้นบัณฑิตพุทธะแล้วแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ก็มีออกถมไป  รู้มากมายแต่นำไปใช้ไม่ได้สักอย่างหนึ่ง เพราะว่าเมื่อรู้แล้วไม่ยอมฝ่าความยากลำบากในการฝึกฝน จึงไม่สามารถสำเร็จในบทเรียนนั้นได้อย่างแท้จริง  ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้องต้องเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ใช่ว่ายากสอนยาก อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ เป็นเด็กที่ไม่น่ารักใช่ไหม (ใช่)
"ใช้รอยยิ้มพูดแทนเสียงหัวใจ"
บางครั้งไม่ต้องพูดอะไร ยิ้มอย่างเดียวก็ดีนะ แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้วก็บอกว่านี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดอะไรเลย เขาคงบอกว่าเด็กคนนี้บ้าแน่เลย แต่ในโบราณหากศิษย์น้องได้ศึกษาจะรู้ว่าปราชญ์บางครั้งสอนธรรมะจากจิตสู่จิต จากใจหนึ่งสู่อีกใจหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลย บางครั้งตี ก็รู้แจ้ง แต่ศิษย์น้องตีก็หลง จริงไหม (จริง)  ยิ่งพูดยิ่งไกลธรรมะ แต่ไม่พูดเลยก็ไม่เข้าใจธรรมะใช่ไหม (ใช่)  พูดมากๆ ก็งงธรรมะ มากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็ไม่ดี ฉะนั้นต้องพอดีๆ ถึงจะดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเรานั้นเวลาอยู่ด้วยกันหลายๆ คน บางครั้งมีลำแข้งตัวเองแต่ชอบไปพึ่งลำแข้งคนอื่นบ่อยๆ จึงทำให้คนอื่นต้องลำบากใจ แต่คนบางคนไม่อยากรบกวนคนอื่น ตัวเองลำบากใจไม่เป็นไร คนอื่นอย่าลำบากใจ คนสองประเภทนี้เหมือนมากเกินกับน้อยเกินไหม  ทำไมจึงบอกว่าเหมือนมากเกินกับน้อยเกิน ในชีวิตของศิษย์น้องทุกๆ คน บางครั้งถ้าเราเห็นตัวเองมากหน่อย เราก็จะทำให้คนอื่นลำบาก และเป็นทุกข์เพราะตัวเรา แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นตัวเราน้อยหน่อยเห็นคนอื่นมากหน่อย เราจะยอมลำบากมากแล้วคนอื่นไม่ต้องลำบาก  แต่ศิษย์น้องมักจะเห็นตัวเองมาก ให้คนอื่นลำบากไว้ใช่ไหม (ใช่)  พอเห็นตัวเองมาก ตัวเองทุกข์นะ ตัวเองไม่ดีนะ ตัวเองไม่เก่งนะ หรือไม่ตัวเองเก่งแล้ว คนไม่เก่งก็ฝึกๆ ไปเถอะ ตัวเองทุกข์ เขาไม่ทุกข์หรอก เขาสบาย ทำไปเถอะจริงไหม (จริง)
เราอยู่บนโลกนี้เราอย่าได้เป็นแบบนี้ เพราะว่าประเภทมากเกินกับน้อยเกินนั้นไม่มีใครต้องการ ถ้าศิษย์น้องคิดถึงตัวเองมากคิดถึงคนอื่นน้อยก็ไม่ดี คิดถึงคนอื่นมาก คิดถึงตัวเองน้อยก็ไม่เหมาะสม ฉะนั้นต้องคิดอย่างครึ่งทาง แล้วเราจะทำงานกับเขาได้อย่างไม่ลำบากใจ แล้วก็ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร สรรพสิ่งในโลกนี้เกิดมาเรารู้ว่าเกิด พอดับไปแล้วเราทำให้สิ่งที่ดับไปเกิดมาใหม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจงอยู่อย่างไม่ทำร้ายและเข่นฆ่าเขา  ฉะนั้นนับจากนี้ไปจะไม่กินเนื้อสัตว์ ก็เมื่อสักครู่ศิษย์น้องพูดเอง ใช่หรือไม่
พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า สรรพชีวิตเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ทำไมจึงน่าอัศจรรย์ล่ะ เกิดมาหนึ่งครั้งแล้วก็ต้องตาย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือเกิดมาหนึ่งแม้เราจะทำร้ายเขาอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าทำให้เขาตายเมื่อไร ศิษย์น้องจะไม่สามารถเรียกให้เขากลับคืนมาเหมือนเดิมได้ นี่คือความเป็นจริง กฎของสัจธรรม กฎของชีวิต ฉะนั้นอยู่ด้วยกันเราจงสร้างแต่สิ่งที่ดีต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน ดังคำกล่าวที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นแนวทางของตน ตนต้องตรวจสอบตน และตนต้องรู้จักตน"  คำกล่าวนี้ทำให้เราได้รู้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถบังคับทำให้เราบริสุทธิ์หรือทำให้เราสกปรก ทำให้เราไม่บริสุทธิ์หรือทำให้เราสะอาดได้ นอกจากตัวตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า "หว่านเมล็ดพืชสิ่งใดลงไปเราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลของสิ่งนั้น"  เราอยากให้เขาทำอย่างไรกับเรา เราจึงต้องรู้จักทำสิ่งนั้นสู่เขาก่อน หากชีวิตศิษย์น้องเกิดมาเบียดเบียนล้างผลาญชีวิต ศิษย์น้องก็จะได้การเบียดเบียนล้างผลาญตอบแทน หากศิษย์น้องมีเมตตาจิต มีความจริงใจนำสิ่งดี ศิษย์น้องก็จะได้เมตตาจิต และความดีตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งชีวิต  ฉะนั้นเราอยากได้รับสิ่งใด เราต้องเป็นผู้ที่สร้างสิ่งนั้นขึ้นด้วยตัวเราเอง บุคคลที่รู้จักสร้างและบำเพ็ญด้วยตัวเราเองจะเป็นแสงสว่างให้แก่คนรู้ไหม (รู้)  รู้ตื่นกับไม่รู้ตื่นต่างกันเช่นนี้แล สว่างกับมืดบอดก็เป็นแบบนี้หนอ คำนี้ย่อมสื่อให้รู้ว่าชีวิตของตัวเรานั้น ไม่มีใครจะกำหนดชีวิตเราได้นอกจากตัวของเราเอง และชีวิตนี้จะสว่างไสวได้ก็ต่อเมื่อเราต้องช่วยตัวตนเอง และเมื่อไรที่เราช่วยตัวตนเองได้ ความสว่างในชีวิตก็จะเป็นแสงสว่างนำผองชนได้เฉกเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ที่ศิษย์พี่พูดมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดับทุกข์ หรือการจะทำสิ่งใดก็ตามศิษย์น้องได้เรียนรู้แล้ว ศิษย์น้องจะต้องวางแนวทางให้กับตนเองว่านับจากนี้เราได้รู้แนวทางแห่งนี้แล้ว เราจะเดินบนแนวทางนี้ไหม เราจะตรวจสอบตัวเองไหม และเราจะตั้งต้นในการบำเพ็ญหรือไม่ แต่คนบำเพ็ญธรรมจะบำเพ็ญไม่ได้เลย หากไม่รู้จักปล่อยวางซึ่งการแสวงหาลาภยศ ชื่อเสียง และความสุขของตัวตนเอง  สิ่งหนึ่งที่ศิษย์น้องไม่สามารถมาบำเพ็ญได้ และไม่สามารถลงแรงที่ตัวตนเอง แล้วบำเพ็ญตน ขัดเกลาเพื่อค้นหาความเป็นพุทธะในใจตนที่แท้จริงได้ก็เพราะว่าห่วงสุข ยังกังวลทุกข์ ยังห่วงทรัพย์สิน ชื่อเสียง และยังห่วงตัวเอง จริงไหม (จริง)  จึงทำให้ศิษย์น้องไม่สามารถเสียสละเวลามาบำเพ็ญได้บ่อยๆ และไม่สามารถลงแรงที่ใจตนเองแล้วชี้ชัดเห็นผิดที่ตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)
จะเอาอะไรมาเล่นกับศิษย์น้องดีนะ หากพูดแต่ธรรมะศิษย์น้องก็จะเบื่อ เมื่อก่อนศิษย์พี่มาจะเล่นสนุกสนานตลอด แต่หลังๆ นี้จะไม่ค่อยเล่นแล้ว พอเล่นมากๆ ศิษย์น้องก็ติดเรื่องเล่น ไม่ยอมจริงจังกับชีวิต ไม่ยอมเข้มงวดกับตัวเอง ปล่อยปละตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าการบำเพ็ญธรรมคืออะไร วันนี้มาศึกษาธรรมเพื่อนำพาตนเองไปฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ ถ้าเกิดจะไปฝึกฝนเป็นพุทธะ แต่พุทธะนี้ยังดับทุกข์ตนเองไม่ได้ ยังปล่อยวางไม่ได้ จะไปฝึกฝนได้ไหม  ถ้าเกิดพุทธะที่อยากจะฝึกฝนนี้ไม่รู้จักขัดเกลาตนเอง เอาแต่ชี้ด่าว่าคนอื่น เอาแต่เข้มงวดคนอื่น แต่ไม่เข้มงวดตัวเอง และไม่ลงแรงที่ตนเอง จะฝึกฝนบำเพ็ญได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาตั้งแต่ต้นนั้นก็คือให้รู้เหตุแห่งทุกข์ และดับทุกข์ ให้รู้จักปฏิบัติตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง ลงแรงที่ตัวเอง และสร้างแนวทางให้กับตัวเองใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ศิษย์พี่แค่ชี้ แต่ศิษย์น้องจะต้องเป็นผู้ปูแนวทางในการบำเพ็ญตนบนโลกนี้ด้วยตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราหาความสุขได้อย่างไร  มนุษย์มีความสุขในการทำสิ่งใดบ้าง  ศิษย์น้องบอกศิษย์พี่ได้ไหม  (ทำความดี, การช่วยเหลือผู้อื่น เช่น ช่วยคนแก่ข้ามถนน, พูดปลอบใจเมื่อเขาทุกข์, ช่วยผู้อื่นให้หมดความทุกข์, การไม่ยึดติด, ปล่อยวาง, ทำตนให้เป็นคนดีในสังคมและในหมู่เพื่อนฝูง, ตัดโลภ โกรธ หลง, กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ, ช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังของตนเอง)  เรารู้ว่าความสุขบนโลกหาได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกความสุขในทางธรรมทำอย่างไรดีไหม (ดี)  รู้แล้วต้องทำให้ได้นะ หากรู้แล้วยังกลับมาร้องไห้เหมือนเดิม คราวหน้าศิษย์พี่ไม่บอกแล้วนะ ความสุขในทางโลกทำอย่างไรรู้ไหม กินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่ มีที่อยู่ ไม่เจ็บป่วย เป็นสุขไหม (สุข)  (มีความรู้จักพอ, มีความกตัญญูรู้คุณ)  แต่ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องไม่ใช่แบบนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ดี ทำให้มีความสุข แต่เราไม่ได้หมั่นทำในทางนี้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราหมั่นทำกันและมีความสุขได้ก็คือ  การมีเงินเยอะๆ มีเสื้อหลายๆ ตัว มีชื่อเสียง เรียนสูงๆ นี่คือความสุขที่ศิษย์น้องแสวงหา แต่สิ่งที่ศิษย์น้องตอบศิษย์พี่มานั่นเป็นความสุขที่ศิษย์น้องไม่ค่อยได้ทำเลย เป็นการทำดีแต่ไม่ได้เรียกว่า “สุข” ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องนิยมสิ่งนั้นว่าการทำดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าศิษย์น้องเพิ่มเข้าไปอีกว่า “ทำดีแล้วมีสุขอิ่มใจ” ศิษย์น้องจะทำบ่อยกว่านี้ จริงไหม (จริง)  จะทำบ่อยและก็จะลดเรื่องการแสวงลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง ลงไปเยอะเลย  ความสุขที่แท้จริงก็คือ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุขราบเรียบ ไม่ลุ่มๆ ดอนๆ  ไม่กวัดแกว่งไปมาอย่างหาที่ลงไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ นั่นก็คือ ความสุขจะเกิดได้เมื่อเราสามารถเยียวยา โลภะ โทสะ โมหะ และราคะ ให้หายจากใจ และสามารถดับไฟแห่งทิฐิอัตตาตัวตน  เมื่อมีสิ่งนี้อยู่ในชีวิต ก็จะวุ่นวายไม่จบสิ้น ยากที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างสงบราบเรียบร่มเย็น  เมื่อไม่สามารถตัดได้ ไม่สามารถเยียวยาให้หายได้  เมื่อไม่สามารถดับไฟในใจลงได้ เมื่อนั้นศิษย์น้องก็ยังต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ จริงไหม (จริง)   แต่เมื่อเราจะทำก็ทำได้เหมือนกัน เราต้องกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับตัวเอง ราคะ ตัณหา โทสะ โมหะ เกิดจากใจ  ทิฐิอัตตาความยึดมั่น ความเป็นตัวของตัวเองเกิดจากไหนล่ะ  ก็ตัวเอง  แล้วดับที่ใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องเอาชนะความเพลิดเพลินในแสงสีบนโลกนี้ให้ได้เสียก่อน หากเอาชนะไม่ได้ก็จะดับไฟในใจไม่ลง หากไม่รู้ความสุขในการหาคุณธรรมก็จะไม่มีวันบำเพ็ญตน
วันนี้ศิษย์พี่รู้ว่าศิษย์น้องนั่งเก้าอี้นี้เมื่อยมากๆ เลย ใช่ไหม มาฟังธรรมะ นั่งเก้าอี้ตัวนี้จริงๆ แล้วเป็นโชคดีนะศิษย์น้อง  เพราะสมัยก่อนนั้น การจะศึกษาหลักธรรมเพื่อค้นพบการเป็นพุทธะในตัวตน ศิษย์น้องจะต้องไปแสวงหาเอง ไปกราบแสวงหาอาจารย์เอง และค้นคว้าลงแรงเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่วันนี้เพราะคนอื่นเขาลากมา แล้วก็ต้องยอมเอง แล้วสำเร็จไหม ไม่สำเร็จหรอก  เพราะว่าศิษย์น้องมาแบบคนไร้ใจ  ฟังมาตั้งแต่ต้น จุดสำคัญมีอยู่อย่างเดียว ที่ศิษย์พี่บอกไว้ก็คือว่า ถ้ามาฟังธรรมะอย่างไม่มีใจ ฟังอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง  ฟังไปแล้วเข้าใจ  แต่กลับไปก็เหมือนเดิม  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการศึกษา ไม่ว่าธรรมะหรือศึกษาข้างนอกต้องมีใจ  หากมีใจเราจะสามารถทำทุกๆ อย่างได้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ใจเราก็จะสู้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าศิษย์น้องไร้ใจที่จะศึกษา แม้แค่นั่งตรงนี้ ข้าวก็ไม่ต้องทำ นั่งฟังอย่างเดียวศิษย์น้องก็ไม่เอา จริงไหม (จริง)
วันนี้เป็นวันแรกและเป็นครั้งแรกที่ศิษย์น้องจะได้รู้ว่าการฝึกฝนเป็นพุทธะเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้ว่ามีความลำบากด้วย มีความสนุกด้วย มีความดีด้วย ทำไมจึงไม่ศึกษาธรรมแต่ไปศึกษาข้างนอก  ศึกษาโลก ศึกษาชีวิต ศึกษาคน ศิษย์น้องเรียนรู้มาช่วยชีวิตได้  ช่วยตนเองได้ แต่ค้นพบความสว่างไหม (ไม่)  ช่วยดับทุกข์ให้ศิษย์น้องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่ใช้ธรรมะไปควบคุมใจ ใช้ธรรมะไปดับทุกข์ในจิตใจ และสามารถส่องสว่างให้กับคนอื่นได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องเข้มงวดกับตัวเอง มีใจแล้วก็จงตั้งใจและมุ่งมั่นไปให้สมดั่งใจ แล้วความสำเร็จจะมีสู่ใจ  อย่าเห็นว่าการบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ถ้าศิษย์พี่ทำได้ ทำไมศิษย์น้องจะทำไม่ได้  ศิษย์พี่บรรลุธรรมตอนกี่ขวบ (เจ็ดขวบ)  ศิษย์น้องบรรลุกี่ขวบ (ยังไม่บรรลุเลย)  ธรรมะก็ยังไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าห่วงตัวเองมาก อย่าห่วงมันสมองมาก อย่าห่วงชื่อตัวเองมาก แต่จงห่วงคุณค่าของชีวิตให้มากๆ  คุณค่าตัวเองมีเท่าไร ตั้งแต่เกิดมาสร้างประโยชน์ให้กับใครบ้างไหม เคยดีกับพ่อแม่บ้างหรือยัง เคยรักตัวเองจริงๆ บ้างหรือเปล่า เคยหาความสว่างให้กับชีวิตบ้างหรือไม่  ฉะนั้นจงหมั่นหาเวลา สละเวลาที่ตนเองพอสละได้มาศึกษาหลักธรรม  วันนี้ไม่สามารถปลูกต้นโพธิ์ได้ในหนึ่งวัน แต่อย่างน้อยก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิไว้บ้างก็ยังดี แล้วหว่านเมล็ดนี้คงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ และนำพาให้ศิษย์น้องกลับคืนสู่เบื้องบนได้
ชีวิตนี้หาเงินมาก็มากแล้ว เรียนรู้มาก็มากแล้ว มาลองเรียนธรรมะศึกษาความเป็นพุทธะบ้างจะเสียประโยชน์อะไร จริงไหม (จริง)  อย่าเอาศิษย์พี่มาเป็นเหตุแล้วทำให้ไม่บำเพ็ญแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อไม่ได้ แต่จงเอาตัวเองเป็นหลักของตัวเองโดยมีความเข้าใจ โดยมีความมุ่งมั่นและมั่นคงในการศึกษา อย่าเอาใครเป็นลำแข้ง  จงยืนด้วยตนเองและก้าวไปด้วยตัวเอง สู่หนทางที่ถูกต้องและแสงสว่างแห่งชีวิต ทำได้ไหม (ทำได้)  ขอเพียงเอาชนะนิสัยตัวเองให้ได้ ลดความเป็นตัวของตัวเองลง อย่ายึดมั่นในตัวเอง เพราะยิ่งมีตัวของตัวเองมาก คนที่ทุกข์ก็คือตัวของศิษย์น้องเอง จริงไหม (จริง)  และก็อย่ายึดมั่นสิ่งที่อยู่รอบตัวมาก เพราะยึดมั่นเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เงินเดี๋ยวมาก็ต้องไป  ชีวิตคนก็เหมือนกัน วันนี้เขาดีกับเรา พรุ่งนี้เขาก็เปลี่ยนแปลง ไม่อยากจะทุกข์จะต้องคิดเผื่อไว้  วันนี้ดีพรุ่งนี้อาจจะร้าย วันนี้ร้ายคิดในใจพรุ่งนี้ต้องดี ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ได้พรุ่งนี้อาจจะเสีย ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วศิษย์น้องจะไม่ทุกข์มากกว่านี้จริงไหม (จริง)  เผื่อใจไว้ก่อน แล้วจะไม่เจ็บมากกว่านี้
ชั้นนี้เป็นชั้นประชุมธรรมครั้งสุดท้ายของปีนี้ เหลือพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน แต่ครั้งนี้เป็นการอบรมครั้งสุดท้ายแล้ว  ศิษย์พี่ก็ต้องจากศิษย์น้องไป ไม่เห็นหน้าหลายเดือน  ก็ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เอาชนะจิตใจตัวเองให้ได้  นิสัยความเคยชินที่ไม่ดี ล้างทิ้งนะ อย่าเก็บไว้ เรื่องไม่ดีของคนอื่นเราต้องทำใจ ไม่มีใครดีไปหมดโดยที่ไม่มีร้าย  เผื่อใจไว้บ้างแล้วเราจะไม่เจ็บ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ ทุกทีจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาอวยพร คราวนี้ฟังศิษย์พี่ที่เป็นเด็กอวยพรให้ศิษย์น้องได้ไหม  (ได้)  ศิษย์พี่เป็นศิษย์พี่ แม้จะอายุน้อยกว่า แต่คนที่มีความรู้กว้างอย่างแท้จริง จะไม่เกี่ยงเรียนรู้ แม้จากผู้ที่มีประสบการณ์อายุน้อยกว่า เพราะความรู้มีมากศึกษาไม่มีวันหมด อวยพรก่อนจะจากกัน ให้เป็นเด็กดีของสังคมทำได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่เป็นเด็กดีของตัวเอง แต่จงเป็นเด็กดีของสังคม ดีอย่างแท้จริง ดีอย่างผู้ให้ไม่หวังผล ดีอย่างผู้ปิดทองหลังพระ ไม่นึกถึงตัวเอง ทำได้ไหม (ได้)  ขอให้เป็นคนดีนะ แล้วก็บำเพ็ญให้ดีๆ โบกมือลา ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ  หนทางบำเพ็ญยังอีกยาวไกล  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่ายอมแพ้ความยากลำบาก และอย่าแพ้ใจตัวเอง  ไม่อยากจากไปเลย แต่ต้องไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนฉลาดที่ยังโลภน่าหวาดกลัว ไม่รู้ตัวตกอยู่ในสภาวะไหน
คนส่วนใหญ่รู้สึกตัวต่อเมื่อสาย เรื่องง่ายง่ายอย่าทำให้กลายยากเกิน
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลกจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมถงซิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ใกล้ปีใหม่แล้วอวยพรให้ศิษย์โชคดีมีชัย

ถ้าหากหวังโดยไม่เผื่อใจ  วันหนึ่งผิดหวังต้องมาหมดหวัง  หากคนทุกคนมุ่งอย่างระวัง  โอกาสฝังในมือของเรา
เกิดเป็นคนสูงที่ใจ  เมื่อจะทำดีแล้วไม่หวังผลวกวน  อย่าคอยเอาเปรียบรักแต่พวกของตน  หากสับสนคงจุดหมายย้ำเดิน
ไม่อยากเห็นเขาดีกว่าเรา  ตามความสมบูรณ์ที่ไร้ทิศทาง  ก้าวตามทุกข์ทุกข์พาห่างหายต้องระวัง   บำเพ็ญโดยหมดคำถามราบรื่นดี  สู้บนเส้นทางที่เคยหลง
ก้าวหน้าเมื่อรับความเป็นจริง  ต่างมีน้ำใจได้กว่านี้  เก็บศักดิ์ศรีไว้ไม่ต้องใช้เลย  เคลือบแคลงทำไมจิตนี้  ตั้งใจได้กว่านี้   ก้าวหวนแดนเดิม

เพลง  : ดีได้กว่านี้
ทำนองเพลง :  ข้ามสีทันดร

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้จักนิพพานหรือเปล่า ใครว่าตัวเองรู้จักนิพพานยกมือขึ้น อายุขนาดนี้แล้วรู้จักตนเองไหม รู้จักคนอื่นไหม ทำไมถึงไม่รู้จักตัวเอง เราเกิดมากี่ปีแล้ว  คนอื่นเราก็ไม่ค่อยจะรู้จัก ตนเองก็รู้จักไม่หมดสักที  แล้วชีวิตที่ผ่านมาทำอะไรอยู่  เกิดมาก็ต้องรู้จักสร้างตัวเองให้มีคุณค่า  ชีวิตเราเกิดมา เรารู้จักคนอื่นไหม เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่รู้จัก  ถามว่ารู้จักตัวเองไหม เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่รู้จัก  เราจะไปที่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมีข้อมูลที่นั่น รู้จักที่นั่นพอสมควรถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าหากว่าไม่รู้จักที่นั่น พอถึงแล้วจะรู้ไหมว่าเป็นนิพพาน (ไม่รู้)  ในตอนนี้ถ้าศิษย์อยากจะเจอนิพพาน ไม่ได้รอเจอตอนตาย  แต่ว่าเจอได้ในจิตใจของตัวเอง  เหมือนคำพูดที่ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ"  บางคนตอนนี้จิตใจไปถึงนิพพานแล้ว ก็ไม่รู้จักว่านี่คือนิพพาน  อยู่ไปอยู่มาก็พาตัวเองลงมาจากนิพพานนั้นๆ  บางคนจิตใจของตัวเองตกนรกลงไปเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่รู้จักอีกว่านี่เราตกนรกแล้วนะ  ไม่รู้จักฉุดตัวเองขึ้นมาเร็วๆ  แล้วให้ใครพาตัวเองไป ให้ใครบอกตัวเองได้ ในเมื่อเราเองเราก็ไม่ค่อยจะฟังใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในเมื่อเราไม่อยากฟังใคร ก็ต้องหัดรู้จักที่นั้นๆ ด้วย  บางคนบอกว่าเราฝึกสติ เราฝึกสมาธิ  สมาธิของศิษย์บางคนก็มีแค่ตอนนั่งเท่านั้นเอง  พอลุกขึ้นมาจากสมาธิ สมาธิไปไหนก็ไม่รู้  บอกว่าฝึกสติ เวลาคนเขายั่วโมโหเราโกรธไหม (โกรธ)  เวลาคนขโมยของโกรธไหม (โกรธ)  ทำไมล่ะ สติไปไหน  แต่อาจารย์ก็ยังอยากให้ศิษย์นั้นฝึกในสิ่งเหล่านี้อยู่ ไม่ได้บอกว่าให้เลิกฝึก  สมมติให้ศิษย์ไปสะกดรอยคนๆ หนึ่ง ตอนแรกเราก็ต้องไปเดินตามเขาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินตามเขาไปเรื่อยๆ  แล้วคนที่อาจารย์ให้ศิษย์ไปสะกดรอยนั้นคือใครรู้ไหม  ตัวนี้สะกดด้วย จ.จาน สระอิ ต.เต่า  ให้เราไปสะกดรอย “จิต” ของเราเอง  ตอนนี้ยังตามจิตใจของตัวเองไม่ทัน บางทีก็โมโหเก่ง ทั้งๆ ที่เป็นคนมีสติดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็เป็นคนมีสติดีนะ แต่เราก็ยังโลภอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็สติดีนะ แล้วเรารักลูกคนอื่นเท่าลูกเราไหม (ไม่เท่า)  เราเป็นคนสติดี  แล้วก็มีอารมณ์ต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง  ถ้าหากว่าให้ศิษย์จดขึ้นมา วันหนึ่งมีอารมณ์เป็นสิบๆ ครั้งเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าตอนนี้ต้องสะกดรอยก่อน เราต้องตามจิตของเรานี้ไป ตามไป จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเราตามทัน  ตามทันจิตใจเป็นอย่างไร ตอนนี้มีคนมายั่วโมโหให้เราโกรธ  มีใครบ้างไม่โกรธ (ไม่มี)  ประเภทโกรธง่ายหายเร็วเป็นลักษณะของคนที่ตามทันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะตอนนี้บอกศิษย์ว่าไม่โกรธ อย่าโกรธนะ ทำได้ไหม (ไม่ได้) ยิ่งคนที่บอกว่าทำได้ยิ่งต้องระวัง คนที่ตอบว่าทำได้ ฉันเก่ง ส่วนใหญ่จะไม่เก่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยคิดไหมว่าตัวเองเก่ง พอให้ชมว่าคนนั้นก็เก่งคนนี้ก็เก่ง ถามว่าใครเก่งที่สุด เราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีความเชื่อมั่นก็เป็นสิ่งดี แต่ว่าเชื่อมั่นแล้วก็ต้องใช้ในทางที่ถูก  ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง ก็ต้องนำตัวเองให้ถูกต้อง  บางคนก็เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองดี แต่ทุกๆ วันก็นำตัวเองอย่างผิดลู่ผิดทาง จิตใจไม่มีธรรมะอย่างนี้ก็ไปไม่ถึงไหน  ในที่สุดเราก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ ก็จะเดินอยู่ ย่ำอยู่ แต่ไม่ไปไหนเลย  เมื่อกี้ตามไป แล้วก็ตามทันแล้วใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปเป็นอย่างไร (แซงจิต)  แซงจิตก็เป็นประเภทอัจฉริยะ บ้าๆ บ๊องๆ อยู่ในโลกนี้ไม่ค่อยได้ เหมือนอาจารย์แซงจิต  ตามไป ตามทัน ทีนี้เรากับจิตคือคนๆ เดียวกันไหม (คนๆ เดียวกัน)  มนุษย์แบ่งเป็นแค่หนึ่งกายหนึ่งใจรวมกันเรียกว่าหนึ่งชีวิต เมื่อเราตามทันจิตของเรา เราก็รวมจิตของเราให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ต้องไปรวมกับคนอื่น ไม่ต้องไปรวมกับแฟน ลูก สามี ภรรยา ญาติพี่น้อง  แต่ว่าควรจะรวมก่อน นี่คือรวมตัวเอง  รวมจิตใจของเราให้เป็นหนึ่ง เมื่อเราตามทันจิตใจของเราได้ ก็รวมกับกายของเราให้เป็นหนึ่ง นั่นเรียกว่าคนที่มีสติ  รวมตัวเรากับคนที่เราสะกดรอยให้เป็นหนึ่ง เพราะแท้จริงแล้วที่เราตามอยู่ก็คือจิตใจของเราเอง  อย่ามัวแต่ไปจ้องจับผิดจิตของตัวเอง แต่ให้รวมจิตใจของตัวเราให้เป็นหนึ่ง  เมื่อจิตใจเป็นหนึ่งได้ กายเป็นหนึ่งได้ไหม (ได้)  เหมือนที่อาจารย์เคยให้ศิษย์มาจ้องธูปข้างหน้าว่าตรงไหม คนอื่นปักเท่าไหร่ก็ไม่ตรง เราปักก็ตรงแล้ว พอกลับไป คนต่อไปมาดูก็ยังบอกว่าไม่ตรงอยู่ดี  เพราะว่าจิตของเราไม่ตรงใช่หรือไม่ (ใช่)     มองเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่ตรง  ถ้าหากว่าจิตใจของเราตรงแล้ว ทุกอย่างที่ตามมาก็จะตรงเอง ทุกอย่างก็จะดีพร้อม
ฉะนั้นในวันนี้มาที่นี่ ศิษย์บอกว่าพายเรือกลับนิพพานบ้านของเราเอง เราต้องรู้จักบ้านของเรา  สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ  จะไปนิพพาน อย่ารอให้ตัวเองตาย  อย่าคิดว่าตายไปแล้วฉันจึงจะไปถึง  บางทีศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้จักว่าดีคืออะไร นิพพานคืออะไร  ไม่รู้จักว่ากุศลคืออะไร ไม่รู้จักว่าตัวเองคืออะไร อันหลังนี่สำคัญที่สุด  ไม่รู้จักอย่างนี้ก็ไม่สามารถจะเข้าถึงความดีได้ ไม่สามารถจะทำความดีได้  ไม่รู้จักนิพพาน ต่อให้ไปถึงนิพพานก็บอกว่านี่ไม่ใช่  ทำไมสวรรค์ของคนฝรั่ง คนจีน คนไทยไม่เหมือนกัน  เพราะว่าจิตไม่เหมือนกัน จริงๆ แล้วก็มีอยู่ที่เดียว พอไปถึงต่างคนก็ต่างจินตภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกัน นิพพานที่ศิษย์จะไปถึง สภาพที่ว่างแล้ว เมื่อเราไปถึงก็คือเป็นสภาพตามจิตใจของเราเช่นเดียวกัน  ทำไมบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่ามีผลท้อล่ะ ทำไมยังบอกว่าสวมเสื้อเซียนล่ะ เพราะอะไร ก็แค่จินตภาพออกมาให้ศิษย์เห็นตามที่ศิษย์รู้จักเท่านั้นเองว่ามีผลท้อ เพราะศิษย์ยังติดเรื่องกินใช่หรือไม่ (ใช่)  จินตนาการให้ศิษย์เห็นว่ามีเสื้อผ้า เพราะว่าศิษย์ใส่เสื้อผ้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงเวลาอีกหน่อยเราจะต้องข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นสัญญาในจิตใจของเราข้ามพ้นไปให้ได้  แต่นั่นเป็นขั้นที่สูงกว่าที่ศิษย์จะทำตอนนี้  ตอนนี้ที่ศิษย์ต้องทำก็คือความดีที่เป็นความดีแท้ การขัดเกลาอารมณ์ของตัวเองที่เป็นการขัดเกลาให้สิ้นซาก อย่าบอกว่าคนที่บำเพ็ญก่อนฉัน ทำไมถึงทำไม่ได้ แล้วทำไมฉันจะต้องทำให้ดีกว่าล่ะ  เพราะว่าเรานั้นมุ่งหมายไปทำ แต่ว่าการที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องทำได้สำเร็จ  บางคนทำสำเร็จ บางคนทำไม่สำเร็จ  ถ้าศิษย์อยากสำเร็จ ทำไมจะต้องไปเทียบกับคนที่เขาทำไม่สำเร็จล่ะ   ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เกิดความรู้สึกที่ท้อแท้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เรามาพายเรือกันอีกรอบหนึ่ง เราจะพายไปให้ถึงนิพพาน ศิษย์ก็ต้องรู้จักนิพพานของตัวเองด้วยนะ
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพายเรือธรรม) พายถึงไหนแล้ว (ไม่ไปไหนเลย)  แสดงว่าชั้นนี้ไม่ได้ไปถึงไหนเลย
ศิษย์คิดดูนะว่าเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าในแดนโลกนี้ก็บอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร อยู่ดีๆ ก็ประเสริฐหรือเปล่า เพราะเรายกย่องตัวเองให้ประเสริฐหรือเปล่า คงไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นมีความคิด สัตว์มีความคิดไหม (มี)  คำว่าความคิดอันนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ ไม่ได้เป็นความรู้สึกรักหรือความรู้สึกโลภนั้นๆ แต่ความรู้สึกที่อาจารย์พูดถึงนี้ หมายถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำให้มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ ตามลักษณะภายนอกหัวเราชี้ฟ้า ขาเราเหยียบดิน  แต่สัตว์ทั้งหลายหลังชี้ฟ้าหน้าก้มดินใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นทั้งภายนอกและภายในเรานั้นประเสริฐกว่าทั้งหมด แต่ด้วยเหตุนี้อาจารย์อยากถามศิษย์ว่า ถ้าหากว่าเราเป็นผู้รู้จักคิด รู้ผิดชอบชั่วดี ความคิดของเราถ้าไม่สะอาด คิดแต่เรื่องร้ายๆ ไม่สามารถจะมองโลกในแง่ดี ไม่สามารถจะคิดต่อผู้อื่นให้ดีได้ เราจะต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานต่างๆ ไหม (ไม่ต่าง)  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักทำความคิดของเราให้สะอาดสะอ้าน ต้องรู้จักที่จะคิดดี ถ้าหากว่าเรารู้ว่าสิ่งนี้ผิดแล้วเรายังจะทำ เราจะต่างกับสัตว์ทั่วไปอย่างไรได้
ศิษย์เชื่อหรือไม่เชื่ออาจารย์ก็จะพูดอย่างนี้ คนเกิดมามีการเวียนว่ายตายเกิด แล้วถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่สามารถรักษาความคิดของตัวเองให้สะอาดได้ ต่อไปศิษย์จะเกิดเป็นอะไร ศิษย์ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรายิ่งทำผิดทำบาป เราก็ยิ่งเพิ่มกรรมให้ตัวเองนั้นเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมากขึ้นใช่หรือเปล่า นี่เป็นสาเหตุที่ทำเรามองเห็นสัตว์ในโลกนี้มีมากมาย แล้วคนก็ยังมีมากอยู่ แต่ถึงแม้ว่าคนจะมีมากเท่าไหร่ ก็อยากให้คิดทบทวนดูว่า ที่เราเกิดมาเป็นคนนั้น แม้ว่าคนจะมีมากมายอยู่ แต่คนที่ดีนั้นหาได้กี่คน เราผู้ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั้นได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีคุณค่าหรือยัง ชีวิตของเราที่เกิดมาเท่ากับอายุของเราที่มีอยู่ตอนนี้ ทำในสิ่งที่ได้ชื่อว่ามีคุณค่าพร้อมแล้วหรือยัง สมมติว่าศิษย์จะต้องเสียชีวิตไปในสามวันห้าวันนี้ ชีวิตที่ใช้มาคุ้มค่าหรือยัง (ยัง)  ชีวิตคนเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่มีชีวิตอยู่มาจนผมขาวแล้ว แก่เฒ่าแล้วต้องบอกตัวเองว่าเป็นคนโชคดี อย่ามัวน้อยใจลูกหลานว่าลูกหลานไม่แยแสเรา อย่ามัวที่จะน้อยเนื้อต่ำใจ อย่ามัวใช้ชีวิตของตัวเองแบบเลื่อนลอย เรายิ่งอายุมากเรายิ่งต้องขยับแข้ง ขยับขา ขยับมือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำในสิ่งที่มีคุณค่าให้มากยิ่งขึ้น จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าความคล่องแคล่วของเรานั้นจะขาดหายไปเมื่อยามที่เราอายุมาก แต่ว่าพลังของใจก็ยังมีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสนใจในเรื่องที่ควรสนใจเช่น สนใจในเรื่องการช่วยเหลือผู้คน ศิษย์จะลืมความแก่ของตัวเองไปถนัด จะลืมความอายุมากของตัวเองไป เพราะยิ่งเราแก่ยิ่งเรารู้สึกว่าเวลามันไม่พอใช้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรื่องไม่คาดฝันนั้นมีขึ้นมากมาย ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอดู เพราะหมอดูอาจจะแม่นหรือไม่แม่นก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้เขาอาจจะดูเราแม่นแต่ว่าเราไปสร้างกรรมเพิ่มมากขึ้น  เขาก็ดูไม่แม่นแล้วนะ  แล้วเราก็สร้างกรรมมากขึ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน สร้างความดีน้อยลงๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้
พระศรีอาริย์บอกว่า อยากให้โลกนี้เป็นแดนสันติสุข สงสัยว่าจะยากแล้วล่ะนะ ขณะอยู่ในห้องพระอยู่ในสถานธรรมบอกว่า ทำดีน้อยลง ทำชั่วมากขึ้น ก็ยังบอกว่าใช่อีก เห็นไหมว่าข้างหน้านี่ใคร พระศรีอาริย์ ท่านมีปณิธานช่วยให้โลกนี้มีสันติสุข แล้วพวกเราที่เป็นดั่งลูกหลานของท่านต้องเป็นผู้ช่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าท่านมีปณิธานอยากจะทำอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าคนที่อาศัยในโลกนี้ก็คือเราผู้เป็นมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องช่วยท่าน เมื่อเราคิดว่าเราจะทำให้โลกนี้เกิดสันติสุขควรจะทำอย่างไรล่ะ ทำตัวเหมือนที่ผ่านมา อยู่กับบ้านเฉยๆ  นึกจะทำก็ทำ นึกจะไม่ทำก็ไม่ทำ  คนโกรธมาฉันก็โกรธตอบ โลกอย่างนี้สันติสุขได้หรือไม่ (ไม่ได้)  วันๆ คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงผู้อื่น ช่วยผู้อื่นก็เพียงน้อยนิด  ส่วนใหญ่จะช่วยตัวเอง ถามว่าวันหน้าต่อไปสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เมื่อวานศิษย์พี่มาสอนการเป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  การเป็นพุทธะนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แค่อะไร แค่อย่าห่วงตัวเองมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ศิษย์เก่าๆ อมทุกข์มีทุกข์มากเลย  เจอหน้าอาจารย์จะยิ้มให้อาจารย์สักนิดยังยิ้มไม่ออกเลย  ไหนใครอมทุกข์บ้างยกมือขึ้นหน่อยซิ  อาจารย์ให้คิดนะบางทีที่เราบอกว่าทุกข์ๆ อยู่นี้ ถามตัวเองสักคำว่าเราทุกข์เพราะตัวเราเองหรือเปล่า เราทุกข์เพราะเรื่องส่วนตัวของเราเองทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ครอบครัวเรา งานเรา พี่น้องเรา การเงินของเรา ญาติของเรา คนที่เรารู้จัก  มีแต่เราทั้งนั้นเลย ถ้าเราทุกข์เพราะเรื่องแค่นี้ ขอให้เรานั้นปล่อยวางบ้าง รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินนะ  ตอนนี้ยิ้มไม่ออกลองยิ้มบ่อยๆ  ครั้งแรกยิ้มอาจจะไม่จริงใจเท่าไร แต่ยิ้มไปยิ้มมาก็จริงใจเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเรายิ้มให้เขา เขาก็ยิ้มให้เรา พอยิ้มเสร็จเขาก็มาคุยกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ยิ้มมีคนกล้าคุยกับเราไหม (ไม่กล้า)  ถ้าหากเราต้องการให้คนคุยด้วย ต้องใช้เงินซื้อหรือเปล่า (ไม่ต้องใช้)  การอยากให้คนคุยด้วยสนทนาด้วยไม่ต้องใช้เงินซื้อ  รอยยิ้มของเราก็ไม่ต้องใช้เงิน ความสบายใจก็ไม่ต้องใช้เงินเหมือนกัน หลายคนหาเงินมาแทบตายแต่ตัวเองไม่มีความสุขเลย ถามว่าเงินมีค่าตรงไหนล่ะ  ถ้าให้เลือกระหว่างสุขกายกับสุขใจสิ่งไหนดีกว่า  (สุขใจ)  สุขใจนั้นก็เกิดขึ้นด้วยอะไร ก็เกิดขึ้นด้วยใจของเราเอง  เกิดขึ้นด้วยเราทำจิตใจของเราให้เบา ไม่อาฆาตมาดร้ายใคร  ไม่ไปหวังในตัวของใครมากไป 
ความสุขใจเกิดขึ้นง่ายๆ  เรายิ้มให้เขา เขายิ้มให้เรา  กล้าคุยกัน ยิ่งคุยก็ยิ่งสบายใจ ความทุกข์ใจที่มีอยู่ก็หายไป ถ้าหากใครมีความทุกข์ ใครอยู่ในสภาพอมทุกข์อับเฉา เพราะว่าเรานั้นมัวแต่หาเงิน แล้วก็ปัญหาทีได้มาทั้งหมดนี้ก็เกิดจากตอนไปทำงาน  หรือปัญหาที่ได้มาทั้งหมดเกิดจากความที่เรานั้นมีจิตใจที่อับเฉาอยู่ตอนนี้ ลองเปลี่ยนตัวเองสักหน่อยสิ ใกล้จะปีใหม่แล้วเปลี่ยนตัวเองสักหน่อยให้จิตใจของเรานั้นชื่นบาน คำว่า “จิตใจชื่นบาน” ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทอง  ไม่ต้องใช้วิธีการอะไรเลย เป็นวิธีการพื้นๆ ตื้นๆ ที่ศิษย์นั้นลืมไป ใช่หรือไม่ ตอนเป็นเด็กให้ท็อฟฟี่ก็ดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ตอนนี้อยากจะดีใจต้องให้คนให้เงิน ใช่หรือเปล่า ให้เท่าไรเราถึงพอล่ะ รู้สึกว่ามีมากก็ใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย แล้วเท่าไรพอล่ะ  ในจิตใจของเรามีแต่คำว่าไม่พอเท่านั้น ใช่หรือไม่  (ใช่) เพราะว่าจบเรื่องนี้ก็ต้องใช้เรื่องนั้น  จบเรื่องนั้นก็ใช้เรื่องโน้น  ถ้าไม่ใช่ลูกเราใช้ หลานเราก็ใช้ เราไม่อยากใช้พี่น้องเราก็ใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีเท่าไรก็จึงไม่พอ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ โลภ เป็นคนโลภจะมีความสุขได้ไหม (ไม่ได้) เป็นคนโลภก็มีความสุขไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แล้วเราเป็นคนโลภหรือเปล่า (ไม่เป็น) ไม่เป็นเลยนะ ศิษย์ว่าไม่เป็นก็ไม่เป็น  
คำว่า “โลภ” นี้พูดง่ายๆ สั้นๆ แต่กินความกว้าง คนนั้นไม่ได้โลภแค่เงินทอง ไม่ได้โลภยศฐาบรรดาศักดิ์  แต่โลภความสุข รู้จักไหมคนโลภความสุข ไปส่องกระจกดูสิแล้วจะเห็น มีเท่านี้ก็ไม่พอต้องมีเท่านั้น  มีเท่านั้นไม่พอต้องมีเท่านี้  อะไรๆ ก็อยากจะให้สมหวัง  อะไรๆ  ก็อยากให้ดีงามพร้อมไปหมด แต่ว่าตัวเรานั้นไม่พร้อม ตัวเรานั้นไม่ดีงามแท้ จึงหาความพร้อมไม่ได้  ถ้าหากว่าอยากได้สิ่งใด ก็หัดทำสิ่งนั้น อาจารย์พูดง่ายไหม (ง่าย)  แต่ทำยากหรือเปล่า  (ยาก) ถ้าหากว่าอยากได้สิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น อยากให้คนเอาเงินทองมาให้ ก็ต้องให้คนอื่นก่อนนะ  ถ้าอยากให้คนอื่นนำความสุขให้ เราก็ต้องให้คนอื่นก่อนถูกหรือเปล่า (ถูก)  มีไปถึงมีมา มีออกถึงมีเข้า ถ้าหากว่าเข้าอย่างเดียวไม่ออกได้ไหม โลกนี้ก็ไม่ยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะฉะนั้นหากว่าเราเป็นคนโลภอยากได้มากๆ  ต้องให้มากๆ ถ้าอยากจะได้ความสุขมากๆ  ก็ให้ความสุขมากๆ  ถ้าอยากได้ความทุกข์มากๆ  ก็ให้ความทุกข์ไปมากๆ ก็กลับมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยโกรธ เกลียด รักเขาไหม รักเกินไปไหม  โกรธคนก็ชอบโกรธ  เกลียดคนก็ชอบเกลียด  เป็นคนช่างจดช่างจำก็เท่านั้น  จำได้แต่เรื่องที่ไม่ดีเสียด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่กลับมาก็จะเป็นความทุกข์มาก  
ตอนนี้เราทุกข์ใจมาก  ไม่มีความสุขเลย  เราต้องหันกลับมามองว่าเราทำอะไร  เทพเจ้าแห่งความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล เทพเจ้าแห่งความสุขนั้นอยู่ใกล้ ใกล้มาก  นั่นคือตัวเราเอง  ขอเพียงแต่เรานั้นรู้จักที่จะทำในสิ่งที่ดี  สิ่งที่ตอบกลับมาก็คือสิ่งที่ดี  หากว่าเราทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี วันๆ ก็เกลียดคนโน้น วันๆ ไม่ชอบคนนี้ จำว่าคนนี้เขาไม่ดีอย่างไร  แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร  อะไรควรลืมก็ต้องลืม  อะไรควรจำก็ต้องจำ  ยามที่ต้องเสียก็ต้องเสีย  ยามที่ต้องรักษาก็ต้องรักษา  ยามที่บำเพ็ญก็ต้องบำเพ็ญ  ยามที่ต้องใช้ปัญญาก็ต้องใช้ปัญญา  มีไหม (มี)  มีเท่าไหน มีน้อย มีมาก  อย่าบอกว่ามีกลางๆ นะ  ตัวเราตั้งเท่านี้  ตัวใหญ่ไหม (ใหญ่)  ปัญญาต้องทำไม (มาก)  เพราะว่าเราตัวใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เทียบกับมด  เทียบกับแมลงเราตัวใหญ่ไหม เทียบกับสุนัขใหญ่ไหม  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ตัวใหญ่เหมือนกับช้างม้าวัวควาย  เสร็จแล้วปัญญาของเรามีอยู่นิดเดียวก็เหมือนกับอะไร  เราก็เหมือนช้างม้าวัวควายนั่นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามจริงๆ เถอะว่าคนกับช้างม้าวัวควาย อะไรฉลาดกว่ากัน (คน)  ทั้งที่คนตัวเล็กกว่าช้างม้าวัวควาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ตัวใหญ่เท่านี้แล้วยังปัญญาเท่านี้  ก็เท่ากับว่าเราก็เหมือนเป็นช้างม้าวัวควายดีๆ นั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าสัตว์ต่างๆ  นั้นมีคุณธรรมเฉพาะตัวของเขามีคุณธรรมเฉพาะตัวมากมายที่เป็นสิ่งที่ดี  ด้วยความที่เขานั้นเป็นสัตว์ที่ไม่ได้รู้ผิดชอบชั่วดีอย่างมากมายเท่ากับเรา  เมื่อสัตว์เหล่านั้นไม่มีปัญญาเท่ากับขนาดตัวที่มีอยู่ จึงเป็นสัตว์ที่โง่  จริงๆ แล้วคนนั้นเป็นผู้ที่มีปัญญามาก  จึงอยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้น รู้จักใช้ปัญญาในการนำทางของตัวเอง เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  คิดดูสิว่าคนนั้นประเสริฐแค่ไหน  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเวลาปั้นออกมาเป็นรูปอะไร เป็นรูปคน  เพราะฉะนั้นคนจึงต้องรู้จักบำเพ็ญให้ดีๆ  
ให้ศิษย์ถือหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก  แต่เราสงสัยหนังสือเล่มนี้เหลือเกินว่ามันจะดีจริงหรือเปล่า เพราะว่าเรานั้นเกิดความไม่แน่ใจในหนังสือเล่มนี้ เกิดความไม่แน่ใจในคนเขียนหนังสือเล่มนี้  แม้จะเปิดไปๆๆ  ความรู้สึกดีนั้นต่อให้มีก็มีน้อยลง ใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นวันนี้ ไม่ว่าอาจารย์นั้นจะมาจริงหรือเปล่า  ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นจริงหรือเปล่า  ไม่สำคัญ  อาจารย์ไม่เคยคิดจะให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการเชื่ออาจารย์  แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการเชื่อคำพูดของอาจารย์  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนดีอย่างแท้จริง  เป็นคนดีที่รู้จักความดี  ไม่ได้ทำความดีไปอย่างนั้นๆ  หรือทำความดีเพราะว่าตั้งแต่สมัยก่อนเขาก็สอนให้เราทำดี  เราจึงทำดี  ไม่ใช่แค่นั้น  แต่เราต้องดีอย่างคนที่รู้จักความดี  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนดี  ถ้าหากว่าศิษย์สามารถทำอย่างที่อาจารย์พูดได้  ต่อให้ศิษย์เชื่อหรือไม่เชื่ออาจารย์นั้นไม่สำคัญ  เพราะอาจารย์ไม่ได้อยู่กับศิษย์ตลอด  และอาจารย์ก็ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไชศิษย์  ฉะนั้นขอให้แค่ทำในสิ่งที่อาจารย์พูดให้ได้  มีเวลาว่างก็มาสถานธรรม  มาหัดฝึกฝน ไหว้พระ  มาหัดฝึกฝนพิธีกรรมต่างๆ  มาหัดศึกษาให้เป็นเข้าไว้  
ถ้าหากคิดว่าธรรมะนี้ดี เราก็บำเพ็ญต่อไป  อย่าไปมองคนอื่นว่าเขาดีหรือไม่ดี  ให้มองว่าเราทำดีหรือยัง  ส่วนใหญ่ที่บำเพ็ญธรรมไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง สามปี ห้าปีก็เลิกแล้ว  เพราะว่าตาเราสอดส่าย มองแต่คนโน้น มองแต่คนนี้ เห็นคนโน้นบำเพ็ญไม่ดี  คนนี้บำเพ็ญไม่ได้  เราก็รู้สึกว่าไม่อยากที่จะบำเพ็ญแล้ว  อย่างที่อาจารย์บอกเมื่อสักครู่ว่า ถึงเวลาควรรักษาก็ต้องรักษา  ตอนนี้อาจารย์ยืมคำว่า “รักษา” มาบอกว่า “รักษาโอกาส”  ตอนนี้ถ้าหากว่าศิษย์ทำอย่างที่อาจารย์พูดก็เท่ากับศิษย์นั้นเป็นคนที่ไม่รักษาโอกาส ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะคุ้มค่ากับชีวิตหนึ่งชีวิตที่เกิดมาหรือ  ธรรมะที่มาฟังบางคนก็บอกว่าไม่รู้ว่าธรรมะจริงหรือเปล่า  ไม่รู้ว่าธรรมะดีหรือเปล่า  แต่ว่าการที่จะรู้ว่าดีหรือไม่ดีนั้น มองภายนอกก็ไม่สามารถเห็นภายใน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเทียบไปแล้วอาจารย์ให้ศิษย์นั้นเกาะกลุ่มกัน  ปกป้องอะไรสักอย่างหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง  ให้รุมล้อมๆ ๆ  ชั้นในก็เป็นอาจารย์อาวุโส ส่วนชั้นนอกก็เป็นศิษย์ทั้งหลาย  รุมเข้าไปเรื่อยๆ จนกลุ่มใหญ่ ให้ศิษย์มองไปบอกว่าธรรมะนี้ดี มองเห็นอะไร  ก็เห็นแต่ภายนอกก็คือคนใช่หรือไม่ (ใช่) ใช้เวลาสามปีมองเห็นข้างในไหม (ไม่เห็น)  ก็ยังไม่เห็นหรอก   ธรรมะที่ดี ธรรมะที่แท้นั้นก็มองยากพอๆ กับมองจิตใจของตัวเองไม่ได้ตามหาเจอง่ายๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเจออย่างง่ายดายแล้วก็ตาม แต่การที่ให้เรานั้นนำธรรมะแท้ๆ ซึ่งเป็นหัวใจที่คนนั้นเขาพยายามที่จะปิดไว้ มาปิดบังไว้เยอะแยะ ให้ศิษย์เอาหัวใจนี้ออกมาบำเพ็ญ ก็ต้องฝ่าอุปสรรคตั้งหลายด่าน เพราะฉะนั้นบางทีเจอคนบำเพ็ญด้วยกันแล้วเขายังไม่ดีเท่าไหร่ หรือไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าศิษย์มัวแต่ไปใส่ใจเรื่องพวกนี้ศิษย์จะบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีเจอคนจู้จี้ ขี้บ่น บางทีเจอคนเอาแต่ใจ คนดื้อ บางทีเจอคนวางอำนาจ บางทีเจอคนที่ยังบำเพ็ญไม่ดี บางทีเจอปัญหา พอดีคลื่นเรากับคลื่นเขามาจูนชนกันก็เกิดเรื่องปัญหา หากมัวสนใจสิ่งภายนอกก็บำเพ็ญไม่ได้ การบำเพ็ญคือการบำเพ็ญจิตใจของตัวเราเอง มองในทางกลับกัน ถ้าทุกคนต่างมีจิตใจที่ดีงาม การแสดงออกก็นอบน้อม พูดจาก็ไพเราะ ถามว่าคนกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันมีปัญหาไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่า ที่ไหนที่งานธรรมมีปัญหาเราลองมาดูสิว่าตัวเราดีหรือยัง ไม่ต้องดูปัญหาอะไร ไม่ใช่บอกว่างานธรรมมีปัญหาไปดูสิปัญหาอยู่ที่ใคร ใครผิด คนที่จะไปหาคนผิดนั่นแหละ ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้มอง ถ้าเราคิดว่าตอนนี้ที่เราอยู่มีปัญหาก็ให้เราดูว่าตัวเราดีหรือยัง ถ้าทุกคนๆ ต่างดี ปัญหาก็ลดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้เริ่มจากเราเป็นผู้แก้ปัญหาที่จิตใจของเราเอง ทำจิตใจของเราให้สะอาดสะอ้านจะได้สมกับที่ได้เกิดเป็นคนที่รู้ผิดชอบชั่วดีทำตัวของเราให้เหมาะสมกับคำว่าบำเพ็ญธรรม 
บำเพ็ญธรรมต้องไวๆ แต่ต้องไวอย่างคนมีสติ บางคนบำเพ็ญธรรมอืดอาดยืดยาด กว่าจะบำเพ็ญธรรมสามปีผ่านไปแล้วก็ยังไม่เริ่ม มีแต่ชื่อว่าเป็นคนบำเพ็ญ แต่ว่าบางคนก็ไวชอบคิดแทนคนอื่นไปหมด คนที่ไม่ชอบออกความเห็นอะไรเลย เหมือนใคร อาจารย์จะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีคนอยู่คนหนึ่งเขาเป็นคนที่เฉยๆ เรียบๆ ง่ายๆ เทียบไปแล้วก็เหมือนกับคนที่ไม่ยอมยกมือ คือคนนั้นจะดีฉันก็ไม่ออกความเห็น ฉันก็ไม่ชม คนนั้นจะแย่ฉันก็ไม่เตือนเขา ฉันก็เฉยๆ เหมือนกัน สุดท้ายถามว่าคนประเภทนี้จะบำเพ็ญธรรมอย่างไร ในเมื่ออย่างนั้นๆ ธรรมะดีนะแต่ฉันไม่บำเพ็ญ เป็นคนที่จะดีก็ได้จะร้ายก็ได้เป็นไปตามสภาวะการณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงเหตุการณ์คับขันตัวเองจะเดือดร้อนแล้วก็เลือกเข้าข้างใครข้างหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนมีนิสัยเอาตัวรอดใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนที่ไม่ชอบออกความคิดอะไรเลย อย่างนี้อาจารย์จะบอกให้ว่าบำเพ็ญไม่สำเร็จพุทธะ เพราะว่าคนทำงานมากก็มีผลงานมาก มีผลงานมากก็มีความผิดมากไหม
(นักเรียนท่านหนึ่งตอบว่า ถ้าเราไม่ทำทั้งสองอย่าง เราอยู่เฉยๆ ดีก็ไม่ไป เสียก็ไม่ไป)  อยู่เฉยๆ ศิษย์หมายถึงเรื่องอะไร การบำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ดีก็ไม่ไป เสียก็ไม่ไป แล้วสุดท้ายศิษย์จะเป็นอะไรล่ะ ถามว่าเวลาที่เราจะต้องไปสู่ช่องทางของการเวียนว่ายตายเกิดเราเป็นอะไร ทะลุไปที่เฉยๆ มีไหม (ไม่มี)   ไม่มีที่ไหนของสวรรค์ที่เรียกว่าที่เฉยๆ ไม่มีนรกที่ไหนที่เรียกว่าที่เฉยๆ  เหมือนกัน คนเราเกิดมาก็ด้วยสร้างกรรม ไปเป็นเทพหรือเซียนก็ด้วยสร้างบุญ ถ้าศิษย์อยู่เฉยๆ  ศิษย์จะเป็นอะไร เคยเห็นคนที่เกิดมาหาเช้ากินค่ำไหม (เคย)  ถ้าเขาทำเขาก็มีกิน  ไม่ทำเขาก็ไม่มีกิน นี่แหละเป็นคนเฉยๆ  อยากเป็นคนรวยหรืออยากเป็นคนจน (อยากเป็นคนรวย)  อยากเป็นคนรวยชาตินี้ก็ทำบุญเยอะๆ เรียกว่าอะไร ถ้าหากว่าทำดีมากก็ต้องมีข้อผิดพลาดมาก ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่โดนตำหนิตลอดเวลา ให้เราคิดทบทวนว่าสิ่งที่โดนตำหนิมากๆ  บ่อยๆ นั้นเกิดจากเราทำความดีมากใช่ไหม  ถ้าหากว่าทำดีมาก  เราต้องภูมิใจกับสิ่งที่เราโดนตำหนิ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)   แต่ไม่ใช่ภูมิใจอยู่อย่างนั้น ผิดฉันไม่แก้ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)   ความผิดต้องแก้ไหม  ต้องยอมรับไหม หรือว่าฉันแก้ไปอย่างนั้นๆ  ฉันก็ไม่ยอมรับผิดของฉันหรอก คนอื่นว่าฉันผิด แต่ฉันว่าลึกๆ  ฉันถูกอย่างนี้ได้ไหม  (ไม่ได้)   อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้แบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” แล้วพอครั้งใหม่เราก็ผิดมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราแก้ไปเรื่อยๆ  วันหนึ่งเมื่อผลงานของเรามาก ความผิดของเราก็จะน้อยลง สรุปแล้วคนที่โดนตำหนิติเตียนน้อย  ก็แสดงว่าเขาทำมากแล้วก็ปรับปรุงมาก  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อาจารย์อวยพรให้ไม่ได้ยิน แต่พอคนนินทาให้ได้ยินไหม  (ได้ยิน)   ทำไมได้ยินล่ะ  ต้องเลือกที่จะฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดได้ดีตลอดเวลา อาจารย์เข้าใจเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น คำว่า “คน” ก็หมายถึงดีครึ่งไม่ดีครึ่ง แต่ถามว่าศิษย์จะยอมให้ครึ่งไหนมากกว่าครึ่งไหน (ครึ่งดี)  ถ้าเราดีไปเรื่อยๆ ครึ่งดีของเรามันมากขึ้น จนในที่สุดไม่เหลือความไม่ดี สมมติว่ามีวงกลมอยู่วงหนึ่ง  มีครึ่งดีเป็นสีขาว ครึ่งไม่ดีเป็นสีดำ แล้วตอนแรกมันเป็นกลางอยู่อย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็ให้ครึ่งดีมากขึ้นเรื่อยๆ  จนกระทั่งทำสีขาวกลืนสีดำไป ถามว่าคนที่มีจิตใจขาวสะอาดเหมือนอะไร  เหมือนคนไหม  (ไม่เหมือน)  เหมือนผีไหม  (ไม่เหมือน)  เหมือนเทวดา เหมือนเทพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าคนส่วนใหญ่มีคนบอกว่าเธอไม่ใช่คน ไม่ค่อยชอบเท่าไร สรุปอาจารย์จะต่อให้ว่า ศิษย์ไม่ใช่คนก็ดีแล้ว แสดงว่าศิษย์เป็นเทพนี่ ชอบไหม  (ชอบ)  เพราะฉะนั้นเวลาโดนคนอื่นว่าไม่ใช่คน อย่าไปเดือดเนื้อร้อนตัว  ก็คิดในแง่ที่ดี  เพราะเขาอาจจะบอกว่าเราเหมือนเซียนก็ได้  อย่างนี้เวลาโดนคนอื่นว่าอย่าโกรธดีไหม (ดี) 
อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงนั้น  โกรธได้ขึ้นชื่อว่าเกิดบ่อยที่สุด  ส่วนอารมณ์รักเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่คลายง่ายๆ อันว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วก็จะมัดเราอยู่กับที่ ส่วนอารมณ์โลภ ก็จะเกิดขึ้นมาเป็นระลอกๆ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เรานั้นจับเงินครั้งแรก  เพราะว่าเวลาที่เราโลภ มันก็เกิดขึ้นมาแบบเรื่อยๆ ดูแล้วเหมือนบ่อย แต่จริงๆ ไม่ใช่  ความโลภบางทีปักหลักอยู่ในใจของเรา  แต่ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนครั้งมากที่สุดคือความโกรธ  ส่วนความหลงนั้นเป็นสิ่งที่มาซึมอยู่ในจิตของเราทีเดียว ความหลงนี้ทำให้คนเห็นธรรมะเป็นอวิชชา เห็นผิดเป็นชอบ  สิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ก็คือความหลง  เพราะฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง สี่อย่างที่เราได้ยินกันมาบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ในด้านของการตัด การละจริงๆ เรายังไม่ค่อยที่จะทำ  ฉะนั้นคนที่ต้องการจะบำเพ็ญธรรม คือบุคคลผู้ที่จะต้องไปตัดรัก โลภ โกรธ หลงเหล่านี้  แม้ว่าศิษย์ตัดไม่ได้อย่างเฉียบขาด ก็ขอให้ตัดได้บ้าง หากตัดไม่ได้นิด ก็ขอให้ตัดให้ได้หน่อย  มีเวลาที่เราตัดได้ มีเวลาที่เราตัดไม่ได้ ก็เหมือนคน บางทีเราสะกดรอยตามทัน บางทีเราก็ไม่มีเลยทั้งสี่อย่าง เราก็กลายเป็นใจที่เป็นหนึ่งเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นก็ยังจำเป็นที่จะต้องสะกดรอยตามไป เพื่อให้ตามทันและเพื่อให้กลมกลืนเป็นจิตเดียวกันได้ ถ้าหากว่าเราตามไป โอกาสของการเกิดขึ้นบ่อยก็จะลดน้อยลง  ถ้าหากว่าเราตามทันก็ยิ่งน้อยลง ถ้าหากว่าเราสามารถกลมกลืนเป็นจิตเดียวกันได้ โอกาสของการเกิดก็แทบจะเป็นศูนย์  แต่ไม่ใช่ศูนย์ทุกวัน  บางวันจิตใจตกหน่อยก็เกิดขึ้นมาอีกแล้ว แต่เราต้องไม่ท้อ ไม่เบื่อ ไม่หน่ายที่จะไปตัดมันใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนบำเพ็ญธรรมไปนานๆ แล้วเบื่อ  เราเป็นกันบ่อยๆ เลย อารมณ์เบื่อหน่าย  อันว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องเป็นกันทุกคน เพราะว่าศิษย์ยังเป็นมนุษย์ทุกคน  แต่ว่าทำอย่างไรให้มันหายไปเร็วที่สุด  ทำอย่างไรให้ความเบื่อหน่ายไม่มาพรากศิษย์ให้เลิกบำเพ็ญ ส่วนใหญ่บางคนนั้นก็เรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง พาตัวเองให้ตกต่ำชนิดที่เราเลิกบำเพ็ญไปทีเดียว  บางคนกินเจอยู่ก็เลิกกินเจไป โดยไม่สนใจว่าตัวศิษย์เองจะเป็นอย่างไรเมื่อผิดปณิธานตัวเอง  อาจารย์จึงห่วงใยศิษย์มาก อยากจะให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะห่วงใยตัวเอง และเกิดความรู้สึกกลัวเกรงต่อสิ่งที่ยังมาไม่ถึงบ้าง โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลัว  เรียกว่าอนาคตเป็นอนาคต วันนี้ไม่เกี่ยว และก็จะเป็นเหตุที่ทำให้จิตศิษย์นั้นตกต่ำลงไปเรื่อยๆ  แล้วกรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องเป็นผู้รับผลเอง  อาจารย์นั้นก็มีแค่เตือน มีแค่ห่วงใย ช่วยได้เท่าที่ช่วย  คนทำผิดอาจารย์ต้องปล่อยให้รับผล มีเจ้ากรรมนายเวรมายังต้องปล่อยให้เขาไปหาศิษย์เองเลย  ฉะนั้นอาจารย์อยากช่วยศิษย์ ศิษย์ต้องช่วยตัวเองด้วย  บุญต้องสร้าง กรรมต้องลด ดีต้องทำ บาปต้องลด  เพื่อให้เรานั้นเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไม่ว่าจะมองในเวลาไหน ไม่ว่าจะมองภายนอก การกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะมองภายในจิตใจเราก็ดี  ขอให้มีความเสมอต้นเสมอปลาย เสมอนอกเสมอใน ทำได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้คนออกมาอธิบายกลอน "คนส่วนใหญ่รู้สึกตัวต่อเมื่อสาย เรื่องง่ายง่ายอย่าทำให้กลายยากเกิน" (คือคนที่จะรู้ตัว คนที่โลภนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัว คนที่ฉลาดคือคนที่ค่อนข้างน่ากลัว เพราะว่าเขามีความรู้ในสิ่งที่เขาจะทำในสิ่งที่ไม่ดีได้  คนพวกนี้มักจะไม่รู้ตัวว่าขณะนี้เขามีความโลภอยู่ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาทำในสิ่งที่ไม่ดี เขาจะรู้ตัวต่อเมื่อสายเกินไปแล้ว คือทำความผิดไปมากแล้ว  เรื่องง่ายๆ คือเรื่องการทำความดีเราอย่าทำให้มันยากไป คืออย่าไปหลง ถ้าเกิดเราโลภมาก ก็จะทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก)
ถ้าหากว่าศิษย์จะบำเพ็ญธรรม เป็นสิ่งที่ดีมาก จะทำให้ชีวิตของเราดียิ่งขึ้นกว่านี้อีก เพราะว่าโดยทั่วๆ ไปแล้วคนทุกคนมีดวงชะตา ถึงแม้ว่าอาจารย์ไม่ให้ไปหาหมอดู แต่ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ไม่มีดวงชะตา ทุกคนมีดวงชะตา มียามที่ดวงตกกันทุกคนเลย ยามที่ดวงตกเรียกว่าเคราะห์ภัยมาหา การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อที่จะฉุดจากร้ายให้กลายเป็นดี หรือถ้าดีไม่ได้ก็จะฉุดให้เบายิ่งขึ้น ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็เพื่อช่วยตัวเอง การนั่งสมาธิก็ไม่ใช่สงบแค่ตอนนั่งเท่านั้น แต่สมาธิอยู่ในทุกขณะๆ ไม่ว่าจะยืน นั่ง เดิน นอน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กินข้าว ทุกขณะก็ต้องมีสมาธิ  และสมาธิที่ดีที่สุดก็คือสมาธิตามไปให้ทันอย่างที่อาจารย์พูด เข้าใจไหม
เห็นไหมว่าคนๆ นี้แม้จะเป็นนักเรียนในชั้น เป็นญาติธรรมใหม่ แต่ก็สามารถที่จะพูดธรรมะได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้พูดอย่างไม่เกรงใจศิษย์นะ ทุกคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราอ่านหนังสือมาก รู้เนื้อหามาก มีประสบการณ์มาก ก็จะเกิดการพูดที่ชำนาญขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน  แต่คนเราจะดีแต่พูดไม่ได้  อันว่าอาจารย์บรรยายธรรมหมายความว่า ต่อให้ศิษย์นั้นจะไม่เต็มใจที่จะเป็นคนดีหรือจะไม่เต็มใจที่จะแสดงถึงความดีออกมา ศิษย์ก็ยังต้องทำ มันเป็นการยาก เหมือนกับที่สิ่งที่เราพูดทั้งหมดเราต้องทำได้  แต่หากว่าศิษย์สามารถฝืนตัวเองได้อย่างอย่างที่อาจารย์พูด ผลดีทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ตัวเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
บางคนคิดว่าตัวเองมีโอกาสที่จะทำไม่ดี  หมายความว่าเราอยากจะทำดีก็จริง แต่เหมือนกับว่าต่อให้เราทำไม่ดี ก็ไม่มีใครมาสนใจเรา ถ้าเราหยุดพักผ่อน พักร้อน เลิกบำเพ็ญไปพักหนึ่ง ก็ไม่มีใครสนใจเรา หรือต่อให้เขาว่า เราก็ไม่สนใจเท่าไหร่  เราถือว่าเรามีสิทธิ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า อยู่อย่างคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิที่จะหยุดนั้นดีกว่า  หมายความว่าไม่เปิดโอกาสให้ตนเองนั้นไปปล่อยตัวเองลอยชาย พอเราไม่รู้สึกว่าเราสามารถที่จะไปหยุดได้ เราก็จะไม่หยุด  แม้ว่าจะเหนื่อยกว่าปกติ แต่ผลที่ตอบรับมาจะดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองนั้นไหลไปตามกระแสอีก วัยรุ่นบางคนก็เพราะมีความรัก ก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากบำเพ็ญหรือบำเพ็ญได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางคนก็เลิกบำเพ็ญไป  หรือบางคนเลิกบำเพ็ญไปเพราะว่าโกรธคนนั้นโกรธคนนี้ คนนี้ทำให้ฉันรู้สึก
ว่าการบำเพ็ญของฉันไม่ราบรื่น ก็เลิกบำเพ็ญไป  บางคนก็เกิดความรู้สึกรับไม่ได้ที่ทำไมการบำเพ็ญธรรมเป็นอย่างนี้ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่าการบำเพ็ญนั้นเป็นการบำเพ็ญระหว่างคนและคน ธรรมะเป็นสิ่งไม่มีรูปลักษณ์ ว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าต้องโปรดคนในโลกนี้ รูปลักษณ์ที่อยู่ข้างหน้านี้ก็จะไม่มีเช่นเดียวกัน การบำเพ็ญนั้นจึงต้องใช้ปัญญา ความคิดของศิษย์นั้นต้องเที่ยงตรง โดยเฉพาะความคิดในแง่ธรรมะ ภาษาจีนเรียกว่า "หลี่เนี่ยน” (        )  จะต้องเที่ยงตรง เวลาที่เราเป็นผู้นำเราก็เป็นผู้นำที่ดี เป็นผู้น้อยก็เป็นผู้น้อยที่ดี เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดี เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่ดี เป็นญาติก็เป็นญาติที่ดี เป็นน้องก็เป็นน้องที่ดี  ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ จะต้องอยู่ในภาวะที่เป็นน้องในบางวัน เป็นผู้นำในบางที เป็นผู้น้อย เป็นผู้ตาม เป็นลูก เป็นพี่  ทุกคนต้องตกอยู่ในสภาวะนี้ทั้งนั้น  แม้ว่าเราไปอยู่ในสถานะไหน ก็ขอให้เราอยู่ในสถานะนั้นให้ดีๆ  โดยเฉพาะคนที่จะทำงานธรรมะ  ความคิดเกี่ยวกับอาวุโสผู้น้อย  ความคิดเกี่ยวกับการทำงานธรรมะนั้นต้องให้ชัดเจน  หากว่าศิษย์ไม่รู้ เราสามารถที่จะศึกษาได้  อย่ามั่นใจว่าตัวเองเข้าใจถูกไปเสียหมด  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเดิมทีไร้รูปลักษณ์  มีรูปลักษณ์ มีกฎเกณฑ์ก็เพราะว่ามันอยู่กับคน  เพราะฉะนั้นกฎต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจและขาดเหตุผล เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์คงไว้ครองไว้ ก็คือ ธรรมะในหัวใจของศิษย์ บรรยากาศธรรมที่เราจะมีร่วมกัน  การเกิดบรรยากาศธรรมภายนอกเกิดได้เพราะว่าความสามัคคี ส่วนบรรยากาศธรรมในจิตใจนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าเรามีความตั้งใจที่จะบำเพ็ญ มีความศรัทธาจริง  คนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็จะคล่องแคล่วว่องไว คนที่มีใจบำเพ็ญก็จะคล่องแคล่วว่องไวเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นคนไหนเนือยๆ เฉื่อยๆ ช้าๆ นั่นก็แสดงว่าตอนนี้ท้อแล้ว  ถ้าเราเห็นคนท้อแล้วเราควรซ้ำเติมหรือควรให้กำลังใจ ถ้าหากว่าคนที่ท้อคนนั้นเป็นคนที่นิสัยไม่ค่อยดีเราจะทำอย่างไร เราจะซ้ำเติมดีหรือว่าให้กำลังใจดี  (ให้กำลังใจ)  ใช่ เราต้องให้กำลังใจ  เพราะเราต้องคิดว่าตัวเราก็มีทั้งดีและไม่ดี ตัวเขาเองก็มีทั้งดีและไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน จิตใจที่ดีก็เข้าได้กับทุกสภาวะ มองสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดีให้ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำครอบพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
 (พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมแข่งกินส้มโดยแบ่งนักเรียนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละห้าคน)
ฝ่ายชายเชียร์กลุ่มไหน ข้างตัวเองนะ ฝ่ายหญิงเชียร์ข้างนี้ใช่ไหม แล้วอยู่ตรงกลางเชียร์ข้างไหน (อะไรก็ได้)  ระวังนะคนที่อะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้  อีกหน่อยสวรรค์ก็เอา  นรกก็เอาใช่ไหม 
อาจารย์จะชี้ให้ศิษย์เห็น ทำไมให้เล่นเกมนี้  เพราะว่าการทำงานธรรมะหรือการทำงานใดใดในชีวิตประจำวันของศิษย์ก็ดี  ก็คือความเร่งรีบ ก็คือความสมบูรณ์แบบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็คือการสามัคคีกัน แล้วคืออะไรอีก  จุดสำคัญคือ ในกลุ่มเดียวกันนั้นไม่ใช่คนประเภทเดียวกันทั้งหมด  ทำไมกลุ่มนี้ชนะ  ไม่ใช่ว่าเขากินเก่งนะ  แต่กลุ่มนี้มีคนที่ยังมีแรงและพลังอยู่ถึงสอง ถือว่ามีวัยรุ่นอยู่ถึงสองคน ในขณะที่กลุ่มนี้เขาเลือกออกมาแล้ว มีแต่คนอ่อนวัยทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมดา  อาจารย์จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า  ในระหว่างการทำงานร่วมกัน วัยที่ต่างกัน  ความคิดที่ต่างกัน  สิ่งที่เจอที่ต่างกัน ภูมิหลังที่ต่างกัน  บางทีคนในกลุ่มนั้นอาจจะเป็นคนที่เคี้ยวช้า  แต่บางคนในอีกกลุ่มอาจจะเป็นคนเคี้ยวเร็วหรือว่าฝึกเคี้ยวเร็วได้  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันก็มีสิ่งที่ไม่ตรงกันเรียกว่าวิทยุคนละคลื่น  กลุ่มนั้นมีคลื่นลูกหลังที่วิ่งเร็วใช่ไหม  แซงคลื่นลูกหน้ากลุ่มนี้ ใช่หรือไม่  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันสิ่งที่สำคัญคือความสามัคคี  ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน  อาจารย์สังเกตเห็นตอนนี้ในการนำพาของทุกๆ เตี่ยนฉวันซือ มีสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลง เป็นการมีปัญหาเล็กน้อยในทุกๆ กลุ่ม เนื่องด้วยกว้างขึ้น คนมากขึ้น  ต่างคนต่างมีภาระมากขึ้น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นต่างมีความสามัคคี ต่างคนต่างยอมถอยให้กันหนึ่งก้าว  เพื่อจะได้ไม่มีปัญหา  สิ่งใดที่ไม่ตรงกัน ไม่เข้าใจกันก็หมั่นคุยกัน  สิ่งใดที่อภัยได้ก็ให้อภัย เพราะเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม  เราไม่ได้ต้องการทำงานเพื่อให้ได้เงิน  เราไม่ได้ต้องการแข่งกันเพื่อเอาชนะ แต่เราต้องแข่งกับตัวเอง ชนะใจตัวเองให้ได้นะศิษย์นะ  การที่ต่างคนต่างมีความคิดก็คิดได้ไม่เป็นไร  แต่ขอให้มีความคิดที่เที่ยงตรง เที่ยงธรรม ยุติธรรมด้วย เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
เงินทองไม่สามารถที่จะซื้อได้ทุกสิ่ง โดยเฉพาะความสุข  แม้ว่าสถานธรรมที่นี่สร้างออกมาจะดูสวยงาม  แต่หากว่าจิตใจของเราไม่สวยงามแล้วก็ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่วยกันมาไหว้พระ  ช่วยกันทำบุญ ช่วยกันทำจิตใจให้ดีงาม แล้วคนที่เป็นเด็กๆ ก็อย่าบอกว่าไม่มีส่วนร่วม อาจารย์ไม่เคยมองข้ามศิษย์ของอาจารย์ที่เยังอายุน้อยๆ  อาจารย์อยากจะเตือนศิษย์เหล่านี้ว่า การคุยกัน คุยได้ แต่ขอให้คุยแล้วมีธรรมะบ้าง  อย่าคุยแต่เรื่องไร้สาระ  จิตใจอย่าฟุ้งซ่านง่าย  ยิ่งคุยกันก็ขอให้คุยแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่จรรโลงจิตใจแล้วนำพาให้ตัวเองและเพื่อนนั้นบำเพ็ญธรรมะไปได้รอด เพราะว่าคำว่าบุญนั้น  คนที่มีรากบุญไม่ใช่ว่าคนที่อายุมากรากบุญหนักกว่าคนที่อายุน้อย  คนที่สูงจะมีภาวะคุณธรรมที่สูงส่งกว่าคนที่เตี้ย ก็ไม่ใช่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดูจากชาติที่แล้วๆ มา  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่มีบุญในชาติที่แล้วๆ มา  ขอให้สร้างบุญชาตินี้  ขอให้วิ่งตามให้ทัน  เราเหนื่อยหน่อยไม่เป็นไร  ขอให้เวไนยได้ขึ้นฝั่งนะศิษย์นะ เข้าใจไหม 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ดีได้กว่านี้” ทำนองเพลง “ข้ามสีทันดร” และเมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
คนเราเมื่อจิตใจเป็นหนึ่งแล้วก็ไม่ควรจะได้อะไรมากเกิน  จับปลาสองมือปลาก็จะดิ้นหลุดทั้งคู่ใช่ไหม (ใช่)  บางทีศิษย์ของอาจารย์บางคนมีสิ่งที่ดีอยู่ในมือแล้ว  แต่กลับไม่ใช้สิ่งที่มีอยู่ในมือให้มีประโยชน์  กลับเรียกหาสิ่งที่เป็นสิ่งที่ใหม่  เรียกหาเพิ่มเติมแต่สิ่งที่อยู่ในมือนั้นยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่เลย  ก็อยากแต่จะได้สิ่งใหม่ๆ อยากจะได้สิ่งใหม่อยู่เรื่อยๆ  สุดท้ายสิ่งใหม่ที่เราหวังจะได้มาก็ยังไม่มา หรือมาแล้วก็ไม่ได้ดีเท่าของเก่า  แถมนำปัญหามาให้ ของเก่าที่อยู่ในมือก็ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์  อย่างนี้แล้วเราจะหาสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จะอธิบายเพลงนี้บางท่อน “ถ้าหากหวังโดยไม่เผื่อใจ วันหนึ่งผิดหวังต้องมาหมดหวัง” หมายความว่าอะไร  แสดงว่าคนที่หมดหวังอยู่ตอนนี้ก็คือคนที่มีความหวัง แต่ว่าศิษย์หวังโดยที่ศิษย์ไม่ได้เผื่อใจไว้  ในที่สุดเมื่อเราแพ้พ่ายก็ต้องผิดหวัง  ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะ  ถ้าหากว่าชีวิตคนไม่มีความหวัง  มนุษย์ในโลกนี้ก็พูดอยู่แล้วว่าคนไม่ความหวังก็คือคนที่ตายเสียดีกว่า    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกว่า หวังได้แต่ศิษย์ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ไม่มีใครชนะโดยไม่เคยแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งเราจะต้องแพ้พ่าย  เพราะฉะนั้นให้เราหวังอย่างคนที่เผื่อใจไว้  ถ้าหากว่าเราแพ้ก็ขอให้รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อย่าเก็บเป็นความแค้นเก็บกดอยู่ในใจจนเป็นความเครียด คนสมัยนี้เครียดง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็เครียดแล้ว อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่อยากจะอยู่แล้ว อย่างนี้เป็นชีวิตของคนไม่มีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราๆ รู้มากกว่าคนอื่นว่าชีวิตของเรามีค่าแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของตนให้ถึงที่สุด  ต้องทำในขณะที่เรามีชีวิตมีสติอยู่นี้  
“โอกาสฝังในมือของเรา” คนที่เป็นผู้ที่รู้จักทำสิ่งใดอย่างเป็นผู้ที่ระวังโอกาส โอกาสของเราจะงอกเงยขึ้นมาใหม่เสมอๆ  ขอให้เราเป็นผู้ที่รู้จักระมัดระวังตัว จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่สูงอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้นคนสูงส่งนั้นก็สูงโดยจิตใจของตนเอง
“ไม่หวังผลวกวน” คือ เมื่อจะทำแล้วบางคนก็บอกว่าฉันทำดีไม่หวังผลหรอก  บางครั้งได้นิดหน่อยก็ดีนะ  ผลก็ไม่หวังแต่เดี๋ยวก็มาหวังอีกแล้ว  บอกว่าไม่หวังๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ใจลึกๆ ก็คือหวังอยู่  อย่างนั้นจะพูดไปให้มันเสียคำพูดทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
“อย่าคอยเอาเปรียบรักแต่พวกของตน” บางคนก็มีกลุ่มของตัวเอง คนกลุ่มนี้ของฉัน แล้วฉันก็หวังดีเฉพาะคนกลุ่มนี้เท่านั้น  คนอื่นฉันไม่รู้ด้วย อย่างนี้ไม่ได้  โดยเฉพาะการบำเพ็ญธรรมนั้นถึงแม้ว่าจะต่างอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม แต่ศิษย์ทุกคนนั้นก็เป็นคนที่อยู่ในสายของท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักรักกันไว้  ถึงแม้ว่าเฉียนเหยรินของศิษย์นั้นไม่ค่อยได้มาหา  แต่ว่าทุกๆ ขณะ ทุกๆ เวลา  ท่านมองดูเราอยู่  งานธรรมะในเมืองไทยนั้นรุ่งเรืองเพราะว่าจิตใจพื้นฐานของศิษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่คำว่า “เป็นคนดี” แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์จะบำเพ็ญธรรมะได้หลุดพ้น  เพราะว่าเรานั้นไม่ใช่ดีแท้  เราจะต้องหัดปรับปรุงตนเองให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่านี้  เราจะต้องรักแม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนละอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมกัน  เราจะต้องรักกัน  มีอะไรก็ต้องคุยกัน  สิ่งที่ควรพูดก็ต้องพูด  ไม่ควรพูดก็เก็บไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนนั้นบำเพ็ญด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าจุดหมายของตัวเองคืออะไร หรือแม้จะรู้ว่าจุดหมายของตัวเองคืออะไร  แต่กลับไม่รู้ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร  ควบคุมไม่ได้  อาจารย์บอกว่าขอให้คุมจิตใจของตัวเองให้ดี  หากว่ามีความสับสนในด้านการบำเพ็ญธรรมก็ให้กำยึดจุดหมายของตนเองให้ดี การที่เรารู้จุดหมายของเราเองก็คือ รู้ว่าเรามุ่งไปไหน สิ่งที่เรามุ่งไปคือนิพพาน เพราะฉะนั้นก็คือทำดีเท่านั้นเอง เลือกทำแต่สิ่งที่ดี
“ตามความสมบูรณ์ที่ไร้ทิศทาง”  บางคนบอกว่า ฉันต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบแล้วก็เฝ้าเรียกร้องตัวเอง เรียกร้องเสียสูง ต้องการแต่ความสมบูรณ์แบบ แต่อาจารย์บอกว่าความสมบูรณ์ของศิษย์นั้นเป็นความสมบูรณ์แบบไหน เป็นความสมบูรณ์ที่มีทิศทางก็คือเป็นความสมบูรณ์ที่ก้าวไปสู่ความดี หรือเป็นความสมบูรณ์ที่ไม่มีทิศทาง อะไรก็ได้ขอให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการโดยที่ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างนั้นเรียกว่าเป็นความสมบูรณ์ที่ไม่มีทิศทาง 
“ก้าวตามทุกข์ทุกข์พาห่างหาย”  คำว่า ห่างหาย นี่ก็คือ ห่างหายจากงานธรรมะ ห่างหายจากการบำเพ็ญ เพราะว่าคนบางคนมีทุกข์มากเกินไป แล้วคิดว่าการเลิกบำเพ็ญคือการจบทุกข์ อาจารย์จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด
“ต่างมีน้ำใจได้กว่านี้”  การบำเพ็ญธรรมนั้นต่างคนต่างต้องการน้ำใจ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีน้ำใจให้กันมากกว่านี้ “ศักดิ์ศรี”  รู้จักคำว่าศักดิ์ศรีไหม บางคนไม่รู้ว่าศักดิ์ศรีคืออะไร แต่ว่าใช้แต่ความหยิ่งและทะนง ในเมื่อศิษย์คิดว่าศักดิ์ศรีของศิษย์คือความหยิ่ง อาจารย์จะบอกว่าศักดิ์ศรีนั้นเก็บไว้ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องหยิ่งในการที่เราจะเข้าหาใคร ยิ่งเราเป็นอาวุโสก็ยิ่งต้องเข้าหาผู้น้อย บางทีวันดีคืนดีเราพูดธรรมะอยู่ข้างบน วันดีคืนดีเราเข้าไปทำครัวบ้าง เข้าไปขัดห้องน้ำบ้าง เข้าไปดูแลความทุกข์ของคนที่อยู่ข้างล่างบ้าง หากศิษย์มองจากข้างบนจะมองข้างล่างชัดไหม (ไม่ชัด) เหมือนอาจารย์อยู่ข้างบน ยังต้องมาหาศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละศิษย์ต้องทำแบบเดียวกัน บางทีก็ต้องลงมาดูให้มันชัดๆ ด้วย ไม่ใช่อยู่แต่ข้างบน อยู่บนหอคอยมันก็มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน
ชื่อเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อว่า “ดีได้กว่านี้”  หมายความว่าศิษย์ทุกคนนั้นในสายตาอาจารย์ยังดีได้กว่านี้อีก ศิษย์ยังสามารถจะดีขึ้นกว่านี้อีก ขอให้เราเชื่อมั่นว่าเราจะไปถึง ทำความดีให้สมกับที่เราเกิดมาเป็นคน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า“สุข สวัสดี”)
คำว่า “สุข” นี้คือความสุข อันว่าความสุขนั้นเป็นสิ่งหายากในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์มีอยู่ตอนนี้ก็คือความสุขจอมปลอม แต่ว่าถ้าความสุขจอมปลอมนั้นทำให้ศิษย์จิตใจเบิกบานได้ก็อยากให้ศิษย์มีความสุข 
ความ “สวัสดี” ก็คือความเจริญรุ่งเรือง เมื่อเราอยากได้ความเจริญรุ่งเรือง เราก็ต้องหาความก้าวหน้าให้กับชีวิตตัวเอง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความก้าวหน้าในชีวิตนั้นคงเทียบไม่ได้กับความก้าวหน้าทางจิตใจ พัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้น ในเมื่อเราไม่ชอบให้ใครเตือน ในเมื่อเราไม่ชอบให้ใครบอก เราก็ต้องยกระดับจิตใจของตัวเรานี้ด้วยตัวเอง
อาจารย์มีความคิดหนักอกที่อธิบายให้ศิษย์ฟังไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ทั้งศิษย์และอาจารย์ใครหนักอกเรามาถอนหายใจพร้อมกันดีไหม (ดี)  แล้วหลังจากถอนหายใจแล้วเราก็ขอให้ความทุกข์นั้นมันละลายหายไปดีหรือไม่ดี (ดี)  แต่การที่ความทุกข์จะหายไปจริงๆ อยู่ที่ศิษย์กลับไปทำทุกอย่างของตนให้ดีขึ้นด้วยการแก้ไขชีวิตของตัวเอง  ถ้าสิ่งใดที่เราแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะสาเหตุเกิดขึ้นจากคนอื่น  เราก็ต้องหัดปล่อยวางบ้าง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  พร้อมไหม (พร้อม)
ขอให้ศิษย์ทุกคนมีความสุข มีความสวัสดี โชคดีมีชัย ทำตัวเป็นที่รักของมนุษย์และทำตัวเป็นคนที่น่ารักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าดื้อ  อย่าหาเรื่องใส่ตัว ดูแลตัวเองให้ดีๆ สิ่งที่ควรทำก็ไปทำ สิ่งที่ควรพูดก็ต้องพูด ควรหยุดก็ต้องหยุด  เกิดเป็นคน หนีไม่พ้นคำครหาว่ากล่าว มีใครในที่นี้สักคนไหมที่ไม่เคยโดนคนอื่นครหาปรักปรำ คงไม่มี  อยากจะให้ชีวิตนี้ราบรื่น อยากให้ชีวิตนี้มีสุข ก็จงมอบความสุขให้กับคนอื่น เป็นเด็กๆ ก็บำเพ็ญให้ดีๆ ยึดใจของตัวเองให้ดีๆ อย่าปล่อยให้มันเขวไปเขวมา  ศิษย์เบาแรงอาจารย์ได้เยอะ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้เราจะเป็นวัยรุ่น แต่วันข้างหน้าเราคือผู้ใหญ่  วันนี้เราเป็นผู้ใหญ่ วันหน้าเราเป็นอาวุโส
เพราะว่าอาจารย์คงไม่เจอศิษย์อีกเป็นพัก วันนี้มีศิษย์จากหลายๆ ที่มารวมกัน ศิษย์หลายๆ คนว่างในเวลาเดียวกัน อาจารย์จึงอยากสั่งเสีย 
(ขณะที่พระอาจารย์เดินผ่านแถวนักเรียนซึ่งนั่งบนเก้าอี้ นักเรียนหลายคนลุกจากที่มาห้อมล้อมกราบพระอาจารย์ เชาฉือบอกให้นักเรียนกลับนั่งที่เดิม)  ไม่เป็นไรหรอกนะนี่เป็นความรักของเขาส่วนหนึ่งที่ให้อาจารย์ อาจารย์มีคำพูดเหมือนเดิมๆ คืออยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญดีๆ เข้าใจซึ่งกันและกัน 
ร้องเพลงส่งอาจารย์แล้วกันนะ อาจารย์อยู่นานไปก็จะรบกวนเวลาของศิษย์อีก เดี๋ยววันนี้ยังต้องฟังธรรมะต่อ ฟังสิ่งใดได้ก็เก็บสิ่งนั้นไปปฏิบัติ อาจารย์มีอยู่สี่คำพูดเป็นคำสุดท้าย ภาษาจีนเรียกว่า  หลี่ (     )  อี้ (     ) เหลียน (     )  ฉื่อ (     )  ก็คือผู้บำเพ็ญธรรมนั้นต้องมีจริยธรรมอันดีงาม ต้องมีมโนธรรมสำนึกที่เพียบพร้อม ต้องมีสุจริตธรรม สุดท้ายต้องมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ศิษย์อย่าลืมนะ เราผู้บำเพ็ญต้องมีสี่อย่างนี้จำใส่ใจให้มองเห็นได้ทั้งในแง่ของการปฏิบัติ ทั้งในแง่ของทางจิตใจของเรา อย่าทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงเรา อย่าเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ นานาสารพัด แต่ขอให้เราเป็นต้นเหตุของความสงบสุขสารพัดที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ อาจารย์ไม่เจอศิษย์แล้วดูแลตัวเองดีๆ นะ เจอกันใหม่วันหลัง ขอให้อาจารย์ได้เจอศิษย์บ่อยๆ 

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สุข สวัสดี”

เงินซื้อความสุขไม่ได้ การให้สุขมากกว่ารับ
คิดดีสบายแม้หลับ รัศมีจับคนสร้างบุญ
โชคอยู่ในคนหน้ายิ้ม พูดนิ่มใครไม่ทนขุ่น
ช่วยทำให้โลกสมดุล โลกอุ่นได้เพราะความดี

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-16 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี


PDF 2543-12-16-เจิ้งซิน #24.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ผลแห่งกรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นอย่าฉงน
ในบัดนี้ต้องมารู้จักตัวตน บำเพ็ญพ้นเกิดตายสู่นิรพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกท่านจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
หนึ่งชีวิตเกิดมาอย่าค่าไร้ เกิดเป็นคนใช่ง่ายดายอย่างที่คิด
อย่าปล่อยผ่านไปวันวันไม่ลิขิต จะทำผิดทำถูกต้องพิจารณา
เมื่อมีบุญกราบรับธรรมต้องรักษา ฟังธรรมาใช่ฟังแค่ผ่านหู
ขอให้มีปัญญามาเคียงคู่ ขอให้เป็นนักต่อสู้ต่อชะตา
กรรมลิขิตอดีตอนาคต แต่บำเพ็ญกำหนดทางคืนฟ้า
ต่างมีสิทธิ์อย่าตัดสิทธิ์ตนเลยนา ใช้ความกล้าที่ตนไม่เคยมี
บุญไม่ทำกรรมไม่สร้างอยู่กลางกลาง ท่านเลยต่างมีสุขทุกข์ที่เลือกได้
ขยันหน่อยจะสบายพ้นยากไป ขี้เกียจไประทมจนอย่างเป็นอยู่
จงรู้ว่านำชีวิตตนเองสูง จิตใจอย่าปรุงแต่งให้วนหลง
สุรานารีเป็นตัวร้ายที่ฉุดลง เดินทางตรงต้องช่วยตนก่อนช่วยคน 
ความอิ่มบุญยากพบในใจคนโลภ นกบินโฉบคิดแต่จะเข่นฆ่า
เกิดในโลกจิตพ้นโลกเหนือมายา จิตเมตตาต้องปลูกฝังให้กับตน
สองวันนี้โอกาสดีมาเริ่มต้น สร้างชีวิตให้กับตนนะน้องเอ๋ย
เปลี่ยนแปรตนคนเก่าที่ละเลย เอาจริงกับการเดินเอยเดินทางธรรม
ฟังไปแล้วต้องนำกลับไปปฏิบัติ ต้องจำกัดตนเองอย่าทำเล่น
ธรรมศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตใจไม่อ่อนเอน มีกฎเกณฑ์มางัดกับนิสัยตน
อย่าไปหลงสิ่งเพลินตาอีกเพลินใจ คนแก้ไขทุกวันย่อมดีขึ้น
สัจธรรมนำชีวิตไม่เมามึน ขอให้ขึ้นสวรรค์เถิดน้องเมธี
เรื่องวันนี้ต้องทำเสร็จในวันนี้ อย่าให้มีนิสัยดินพอกหางหมู
ขอให้คุมจิตใจตนให้คงอยู่ ตนเองคงดูตนเองชัดที่สุด
จงหลีกเลี่ยงการทำผิดอีกทำบาป ธรรมมาปราบคนที่ไม่รู้ตื่น
ความศรัทธาไม่ทำให้ใครกล้ำกลืน คนรู้ตื่นย่อมเป็นกำลังให้เบื้องบน
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
อย่าดูถูกตนเองต่างมีญาณ จิตชื่นบานฟังธรรมะให้จริงใจ
กลับตัวอีกกลับใจเถิดน้องท่าน น่าสงสารถ้าเวียนว่ายหลังชาตินี้
เพราะว่าต่างได้ชื่อเป็นคนดี และต่างมีบุญมาเกิดประเทศธรรม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
หวังว่าน้องอยู่ครบทั้งสองวัน ฟังธรรมกันไม่ผ่านหูไปเฉยเฉย
เวลาว่างกลับมาสถานธรรม ให้ละกรรมเป็นส่วนหนึ่งของเรือนี้
จงมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมี หนึ่งชีวีจงใช้ไปเพื่อเวไนย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด 


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

กอบกำสำเร็จอยู่ในมือ จะต้องถือเสียสละเป็นสรณะ
บำเพ็ญกายเป็นดั่งผู้มีใจพุทธะ และลดละกิเลสจึงสงบสุขจริง
เราคือ
เสียวเสี่ยวเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะน้อยๆ ทุกท่านฟังธรรมะเข้าใจบ้างไหม
กล้าพูดแย้งนอบน้อมไม่เพิ่มปัญหา เมื่อขัดกันต้องพิจารณาอย่าไปเพ่ง
ทะเลาะเพราะผลประโยชน์มาขัดกันเอง จิตเครียดเคร่งถูกอารมณ์นำผิดทาง
เศร้าโดดเดี่ยวปล่อยใจจะยิ่งสับสน ฟุ้งซ่านเพราะเป็นคนที่คิดมากอย่าง
อภัยไม่แค้นเก่งย่อมช่วยได้บ้าง โชคอาจเยือนได้กลางคนจิตดี
ยืนเขย่งเพราะนานไม่อาจยืนแกร่ง โลกธรรมแปดใครแจ้งปลงโลกนี้
หลงชอบอวดเก่งเข้าทางใครมี เหนือฟ้าย่อมจะมีฟ้าเสมอมา
ใครเตือนกล้ามาบอกขอบคุณไว้ อุทิศตนสิ่งของไม่ไปยึดคว้า
ยามใดแม้เป็นเราเจ้าของนา อย่าได้ให้ตาบอดมามอมเมาใจ
ยินตลอดคนตายจึงจะไม่สู้ หน้าผาริมยืนอยู่น่าเสียวไส้
ก้าวร่วงหล่นหันกลับมาปลอดภัย คิดไกลใกล้อยู่เพื่ออะไรหนอคน
อย่าบำเพ็ญดั่งมีใจที่อ่อนล้า สิ่งได้มาไม้ผุที่อุ้มฝน
ให้ทางนำเท้าย่อมเดินเวียนวน ชีวิตตนรู้จักตนให้ฝึกตนเดิน 
ดวงตาสว่างคืนมากลางเสียงธรรม เสรีนำดั่งนกกลางหาวร่อนเหิน
เมื่อบำเพ็ญต้องใช้ธรรมออกลงเดิน อย่ามัวเพลินโลกจนกระทั่งลืมบำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

ชีวิตนี้จริงๆ แล้วมีความสุขหรือไม่ (มี)  แล้วมีความสุขแบบไหน (สุขใจ)  ชีวิตนี้มีความสุขง่าย แต่บางคนก็ไม่สุขง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอยู่ในโลกนี้บางทีก็เรียกว่าสุขง่ายๆ บางทีก็ไม่ได้ยาก ไม่ได้ง่ายเลย  บางครั้งเราบอกความสุขของเราก็คือทำอะไรก็ได้ตามใจใช่ไหม  ตามใจชนิดที่แบบห้ามมีคนขัด ถ้าขัดเมื่อไรไม่มีความสุขเหมือนมีคนมาตีกรอบ มีคนมาชี้นิ้วใช้ มีคนมาบังคับให้นั่งฟังไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  ความสุขใครๆ ก็อยากเรียกร้องให้อยู่กับตัวเอง  ถ้าหากว่านั่งตรงนี้มีความสุข ท่านก็ต้องเรียกร้องให้ตัวเองมานั่งตรงนี้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็เหมือนเราชอบกลิ่นหอม เราชอบกลิ่นหอมเราก็ต้องไปใกล้กลิ่นที่หอมๆ  สมมติว่ากลิ่นหอมคือความสุข ท่านบอกว่าท่านชอบความสุขและสิ่งใดที่ทำให้ท่านสุข ท่านก็จะไป  หากความสุขเหมือนกลิ่นหอม สิ่งใดหอมท่านก็จะไปหาใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าความทุกข์คือกลิ่นเหม็น สิ่งใดที่เหม็นท่านก็จะไม่ไปหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่ากลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็นเหมือนความสุขกับความทุกข์ของมนุษย์ ดูง่ายๆ เหมือนใบไม้ใบหนึ่งถ้าเอาไปห่อหุ้มขวดน้ำหอมห่อนานเข้า วันแรกวางออกจากหัวน้ำหอมก็ไม่มีกลิ่นแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าห่อไว้สักเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง จะติดนานไหม (นาน)  แม้จะห่างขวดไปก็ยังหอมอยู่ แต่ถ้ากลิ่นเหม็นห่อวันเดียวเป็นอย่างไร (เหม็น)  เหม็นแบบห่างจมูกแล้วจมูกเราก็ยังติดกลิ่นเหม็นอยู่ และเดินไปไหนก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นยังติดจมูกอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ความทุกข์ความสุขก็เหมือนกัน เราอยากจะหาความทุกข์ความสุขมาใกล้ตัวก็ง่ายๆ เหมือนเราอยู่ใกล้กลิ่นหอมกลิ่นเหม็น  ถ้าเราอยากหาความสุขมาใส่ตัว เราก็ต้องหมั่นชิดใกล้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่  ถ้าเราไม่อยากให้ความทุกข์มาใส่ตัว เราก็ต้องห่างไกลความทุกข์แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราบอกว่าบางครั้งแม้เราจะไม่ได้ดมสิ่งที่เหม็น ไม่ได้ดมสิ่งที่หอมแล้วแต่ใจเรา จมูกเรายังติดกลิ่นอยู่จริงไหม (จริง)  ถ้าวันนี้จบจากเราพูดไปแล้วท่านลองไปดมอะไรก็ได้ที่เหม็นที่สุดเสื้อท่านก็ได้  พอท่านดมทีหนึ่งแล้วท่านก็วางเสื้อไว้ เดินไปไหนก็ได้จมูกท่านก็ยังได้กลิ่นอยู่จริงไหม (จริง)  แล้วยิ่งถ้าใจท่านรู้สึกว่าเกลียดสิ่งนี้มากๆ เดินไปไหนท่านก็รู้สึกว่าเหม็นจริงๆ  แต่มีสิ่งหนึ่งที่คอยควบคุมเราให้สามารถค้นหาความสุขความทุกข์ได้เหนือสภาวะแวดล้อมนั่นคือ ใจดวงนี้ของเรา ที่จะกำหนดให้เราสุขสั้นๆ หรือสุขยาวๆ สุขโดยที่แม้สภาวะแวดล้อมไม่สุข ทุกข์ได้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่น่าจะทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนบอกว่าเราจะสุขได้ต้องมีกลิ่นหอม ต้องมีสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ใจเราอยากเป็น สภาวะแวดล้อมที่ดี ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญอยู่ที่สภาวะแวดล้อม  แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเราต่างหาก  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าใบตองห่อยาเส้นก็จะหอมกลิ่นยาเส้น เชือกร้อยปลาร้อยสัตว์ที่ตายแล้วก็จะมีกลิ่นคาวสัตว์ที่ตายแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวมนุษย์เราก็เฉกเช่นเดียวกันอยากมีสภาวะจิตใจ อยากมีความประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกสภาวะแวดล้อมเช่นไรให้กับตัวเอง ท่านอาจจะพูดว่าเราเกิดเป็นคน เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าเราเลือกที่จะเป็นเช่นไรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้มีแต่คนไม่ดี ชอบนินทา ชอบทำร้ายเบียดเบียน เขาเป็นอย่างนั้นแล้วเราต้องเป็นตามเขาไหม  อยากเป็นใบไม้ห่อยาเส้นก็หอมกลิ่นยาเส้น ใบไม้ห่อปลาร้าก็มีกลิ่นปลาร้า อย่างนี้ก็เป็นคนที่คบไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่กับใครก็เป็นอย่างนั้น อยู่กับอีกคนหนึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักตนเองจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่ามาพูดว่าทำดี ทำไม่ได้หรอก เพราะว่าสังคมยังเลวร้าย เช่นนี้ท่านก็เอาความเลวร้ายไปฝากไว้กับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “คนดีจะพูดว่าทำดีง่าย  คนชั่วจะพูดว่าทำดียาก”  และมีคำกล่าวต่อไปอีกว่า “ท่านที่ชอบสรรค์สร้างสิ่งที่ดีย่อมมีความสุข ผู้ที่เอาแต่สั่งสมความชั่วร้ายย่อมมีความทุกข์”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ยากเลยถ้าคิดจะทำความดีหากคิดอย่างนี้อยู่เสมอ ถ้าเราพูดว่าทำดียากเราก็กลายเป็นคนชั่วใช่หรือไม่  ถ้าเราเป็นคนที่เอาแต่ทำความชั่วเราก็กลายเป็นคนที่ต้องทุกข์ แล้วอย่างนี้อยากที่จะดมกลิ่นเหม็นไปตลอดชีวิตเลยหรือ  ถ้าเราบอกว่าคนที่ทำชั่วเหมือนคนที่นั่งอยู่หน้าห้องส้วมท่านอยากทำไหม (ไม่อยาก)  คนที่เป็นคนชั่วเหมือนคนที่ทำส้วมแตก ส้วมแตกไปอยู่ที่ไหนก็เหม็น แต่คนทำดีเหมือนทุ่งดอกไม้บาน ไปอยู่ที่ไหนก็หอม หอมทั้งทวนลมและตามลมใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้หอมได้แค่ตามลม แต่คนทำดีหอมทั้งทวนลม และตามลม ฉะนั้นมาทำดีกันเถอะ
เด็กคุยกับผู้ใหญ่จะอยู่ได้นาน เพราะผู้ใหญ่มองเด็กก็เห็นว่าน่ารัก น่าเอ็นดู แต่เวลามองผู้ใหญ่ด้วยกัน ช่างขี้บ่น เอาแต่ใจใช่ไหม  แต่เด็กอยู่กับเด็กก็ต้องอยู่ได้นานเพราะสนุกสนานด้วยกันใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเด็กเท่านั้นที่จะอยู่กับทุกๆ วัยได้อย่างเป็นสุขจริงหรือเปล่า (จริง)
เกิดมาเป็นคนอยู่บนโลกอะไรๆ ก็เพื่อตัวเอง  อันนี้ขอให้ฉันเองได้ไหม เกิดเป็นคนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราต้องอยู่กับคนหมู่มาก  ถ้าหากว่ามีชีวิตอยู่แล้วเราเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเองก็เป็นคนที่น่ารังเกียจของสังคมไม่น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดออกมาคำหนึ่งก็ต้องเพื่อฉัน เธอพูดไม่เห็นถูกใจฉัน เปลี่ยนใหม่เธอพูดไม่เพราะ พูดให้เพราะๆ อย่างนี้รำคาญไหม (รำคาญ)  ฉะนั้นเราต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า เราอยู่ในสังคมหมู่มากจะบังคับให้ทุกคนเป็นเส้นตรง ไม่คดได้ไหม  ห้ามพูดหยาบคาย ต้องมีน้ำใจ ทุกคนห้ามแล้งน้ำใจกับเรา ต้องซื่อสัตย์ห้ามคดโกงได้ไหม (ไม่ได้)  เราบังคับเขาด้วยปากไม่ได้ เราบังคับให้เขากระทำตามที่เราต้องการก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบังคับสิ่งที่พูดเพื่อตัวเองอย่างเดียว ไม่มีใครที่ทำตามท่านเด็ดขาด  ฉะนั้นไม่ว่าจะเรียกร้องสิ่งใดจากผู้อื่น จงพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อนว่าเพื่อเขาหรือเพื่อเรา คิดถึงตัวเองหรือว่าคิดถึงเขา  ถ้าคิดถึงแต่ตัวเอง แม้ท่านจะเรียกร้องเป็นสิบเป็นร้อยครั้งเขาก็ไม่ทำตาม ไม่เปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ (จริง)  กิเลสเป็นตัวร้ายที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถค้นพบความเป็นพุทธะ กิเลสเป็นตัวร้ายที่ทำให้มนุษย์สามารถทิ้งความดีแล้วมากระทำความชั่วร้าย และกิเลสเป็นตัวร้ายที่ใครมีแล้วย่อมยากที่จะเป็นคนดีจริงไหม (จริง)  อย่าให้นั่งแล้วเสียเปล่า อย่าให้เสียงผ่านหูแล้วก็หลับ  ศึกษาธรรมะมีแค่สองวันตั้งใจศึกษาให้มากๆ  อย่าเหนื่อยอ่อนล้าจิตใจ
ในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนนั้นมีความเหมือนมีความต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะมองให้เหมือนก็มีส่วนที่เหมือน ถ้าเราจะมองให้ต่างก็มีส่วนที่ต่าง  แต่มนุษย์เราปัญหาไม่ได้อยู่ที่เหมือนที่ต่าง แต่อยู่ที่ใจของท่าน ทำไมเราจึงบอกว่าอยู่ที่ใจ  คนทุกคนใช่มีความเหมือนต้องมองให้ออก คนทุกคนมีความต่าง อะไรคือความต่าง  เมื่อรู้ความเหมือนความต่างและเกี่ยวอะไรกับใจ คนทุกคนอยู่รอบตัวเรา บางครั้งเราเห็นความต่างมากเกินไปอย่างเช่นใจท่านชอบเขา ใจท่านเกลียดเขา ในใจเรากำหนดไว้ว่า สิ่งที่ท่านชอบต้องเป็นผอมสูงขาว  เมื่อชอบก็อยากอยู่ใกล้ มองอะไรก็ดูดี เห็นอะไรก็ชอบไปหมด  แต่ถ้าเกลียดก็ไม่อยากมองไม่อยากอยู่ใกล้ แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าหากว่าเขามาอยู่ในรัศมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเหมือนและความต่างจึงเริ่มมีปัญหาและทำให้เกิดทุกข์สุข หลายต่อหลายคนมีคำ  “ชอบ”  มีคำว่า “เกลียด”  ก็เริ่มแบ่งแยกสิ่งที่เหมือนกับต่าง ไม่ยอมมองตรงที่ต่างให้เหมือนๆ กัน อย่างเช่นท่านบอกว่า พอคนไหนที่ท่านเกลียด คนที่ท่านเกลียดคือคนที่ดำ อ้วนตุ๊ต๊ะ ท่านเกลียด  แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนเหมือนคนขาวผอมไหม (เหมือน)  แต่เพราะอะไรท่านถึงเกลียด เพราะใจที่ชอบกับไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรใจถึงชอบกับไม่ชอบ นั่นก็คือใจเรายึดมั่น พอรักเรายึดมั่น พอไม่ได้ดั่งรักเราก็เสียใจ  พอเกลียดเรายึดมั่นแล้วเกลียด ไม่ไปดังที่ใจเราต้องการเราก็เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงบอกว่ามนุษย์รู้จักแบ่งแยก ความเหมือน ความต่างเป็นสิ่งที่ดี  แต่บางครั้งหากความเหมือนความต่าง ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดสุข ที่ยึดมั่นจนเกินไป ก็จงมองความต่างให้เป็นเช่นความเหมือนแล้วเราจะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)  มองคนดำให้เป็นคนขาวแล้วเราจะรักเขาได้เหมือนคนขาวที่เป็นคนขาว มองคนอ้วนเป็นคนผอมแล้วเราจะรักเขาได้เหมือนคนผอม นี่ก็คือการรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจ แม้สิ่งแวดล้อมจะไม่เป็นดังใจเราหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มองสิ่งต่างให้เหมือนกับสิ่งที่เหมือน  มองสิ่งเหมือนให้รู้จักแตกต่าง ไม่ว่าต่างไม่ว่าเหมือนก็คือ สิ่งเดียวกันเข้าใจหรือเปล่า ท่าทางจะยังงงกันอยู่
พูดง่ายๆ นาย ก. นาย ข. นาย ง. ก็คือคน  แต่คนหนึ่งชื่อนาย ก. คนยาว นาย ข. คนอ้วน นาย ง. คนสั้น  ถ้าเรามองแบ่งแยกก็ต้องเป็นคนผอม คนอ้วน คนสั้น  แต่แท้จริงแล้วก็คือคนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าชอบคนต้องเป็นแบบนี้ ต้องดีอย่างนี้ ต้องเหมือนอย่างนี้และต้องมีความสุขเหมือนความสุขที่กำหนดว่าต้องได้แบบนี้  แต่พอได้เป็นแอปเปิ้ลลูกเดียวเราก็ทุกข์ใจ ต้องให้ได้แอปเปิ้ลสองลูก ต้องแอปเปิ้ลสองลูกเท่านั้นถึงจะมีความสุข  แต่บางครั้งชะตาชีวิตได้แค่ลูกเดียว ก็จงสุขในลูกเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือรู้จักยอมรับตามแต่ที่เป็น ทุกๆ สิ่งในโลกนี้มีเหตุมาและก็มีเหตุไป  หากเราเอาแต่กำหนดใจให้ตายตัว จะเป็นคนที่ทุกข์ง่าย สุขยากจริงหรือเปล่า (จริง)  เราจะยกตัวอย่างอะไรที่ง่ายๆ อีก เวลาที่ท่านเดินไปสวนสัตว์เห็นนกบิน ท่านเดินไปได้อย่างสบาย  แต่ถ้าเห็นเสือเดินเพ่นพ่านท่านเดินแบบรีบๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่ต่าง เสือกับนกต่าง หรือว่าใจที่ต่าง (ใจต่าง)  ใจที่สัมผัสกับสภาวะแวดล้อมต่าง นกกับเสือก็คือสัตว์  ถ้าท่านคิดว่าเสือก็คือสัตว์ นกก็คือสัตว์ ท่านจะเดินอย่างไม่รู้สึกแตกต่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
หลายต่อหลายคนที่ไม่กล้าเข้ามาในห้องพระ เพราะบอกว่าอยู่ในห้องพระกับอยู่ในแดนโลกต่างกัน และอะไรที่ต่าง  ใจต่าง สถานที่ใช่ต่าง แต่อารมณ์ความรู้สึกผูกพันธ์และสิ่งที่เราตระหนักพึงรู้ในใจเราต่างด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมหลายต่อหลายคนไม่อยากมาอยู่ในห้องพระ ไม่กล้ามาเดินเหยียบ เพราะรู้สึกว่าใจเราไม่สะอาด ห้องพระคือที่สะอาด บริสุทธิ์ ต้องสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แดนโลกีย์จะดีจะชั่วอยู่ไปเถอะ แล้วทำไมเราไม่ชอบสิ่งที่สะอาด เรากลับชอบสิ่งที่สกปรก ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ จริงไหม (จริง)  แล้วท่านก็รู้ว่าท่านละอายใจ นั่นก็หมายความว่า ความต่างในนั้นก็มีสิ่งที่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือในโลกนี้ไม่ว่าจะเหมือน ไม่ว่าจะต่างจงรู้จักใช้ปัญญาขบคิด และนำสิ่งที่เหมือนมานำพาให้ถูกทาง อย่านำทางให้จิตใจหม่นหมองและจมปลัก ไม่รู้จักทางสว่างเช่นนี้จะเรียกว่า รู้ต่าง รู้เหมือน แล้วไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  หลายต่อหลายคนเวลาทำงานอยู่ร่วมกันมองเขาเหมือนๆ กัน สบายใจไหม  แต่เวลาทำงานร่วมกันมองเขาเหมือนๆ กันได้ไหม (ไม่ได้) จะไม่สามารถช่วงใช้เขาได้เหมาะสมกับงาน  ถ้าเรามองเขาทำงานเก่งหมดทุกอย่าง จริงๆ แล้วไม่ถูก เราต้องรู้จักในหนึ่งเหมือนเราต้องรู้จักความต่าง ใช่ไหม (ใช่)  คนนี้ขยันชอบล้างจาน คนนี้ชอบนั่งเฉยๆ ทำงานจดๆ เขียนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเอาความต่างมาช่วงใช้ให้มีประโยชน์ เราจึงจะสามารถนำเขา ดึงความสามารถเขาได้ถูกทาง  แต่มีอันหนึ่งต้องมองความต่างให้เป็นความเหมือน นั่นก็คือเวลาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่บอกคนนี้ขี้บ่น พูดมาก ชอบนินทา ท่านจะอยู่กับเขาอย่างมีความสุขไหม (ไม่มี)  เพราะในใจท่านมีแต่สิ่งต่างที่เป็นรอยด่างพร้อย อยู่กับเขาก็อย่างทุกข์ใจ  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นความต่าง ต้องเปลี่ยนความต่างให้เป็นความเหมือน เขาก็เหมือนกันหมด  มีดีมีร้าย มีเสียมีดี ใช่หรือไม่  เหมือนตัวเรามีดีมีร้าย มีเสียมีดีเหมือนกัน  แล้วเราจะคุยกับเขาได้อย่างเป็นสุขและอยู่กับเขาได้อย่างสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้เรามักอยู่กับคน อยู่กับแฟนเรา พี่น้อง เพื่อน อยู่กันแล้วคุยกันได้อย่างไม่จริงใจ ไม่สามารถเข้าใจกันได้  เพราะเรามีความต่างของเรา  เขามีความต่างของเขา  เรามีความเป็นตัวของตัวเรา  เขามีความเป็นตัวของตัวเขาและก็มีความเป็นตัวของเขาอยู่ในใจเรา ทำให้เราคุยกับเขาเหมือนมีกำแพงบางๆ มากั้นไว้  คุยกันรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  ภาษาเดียวกันแต่ไม่รู้เรื่อง  ในใจเราก็คิดว่าคนนี้นิสัยไม่ดี ทำให้เราไม่สามารถยืนในตำแหน่งเขาและเข้าใจจิตใจเขาได้  ทำให้เขาไม่สามารถยืนในตำแหน่งเราและเข้าใจจิตใจเราได้  บางครั้งเราอยู่ด้วยกันหลายๆ คน ความรู้สึกต่อคนย่อมต่างกัน  ต่อคนที่มีอำนาจท่านจะรู้สึก (เกรงกลัว)  กับผู้ใหญ่จะรู้สึกเกรงใจ  กับเด็กจะมีความรู้สึกเอ็นดู รัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราบอกว่าถ้าอยู่ในโลกให้ล้างความรู้สึกนั้นทิ้งบ้าง  เพราะความรู้สึกนั้นจะทำให้ท่านไม่สามารถพูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างจริงใจ เป็นไหม (เป็น)  เวลาเราอยู่กับคนที่มีอำนาจ เวลาจะพูดต้องค่ะ ครับ  จะผิดจะถูกอย่างไรก็ได้  แต่ในใจก็แย้งว่าหัวหน้าพูดอย่างนี้ไม่ถูกนี่ จริงไหม (จริง)  เป็นเพราะว่าในใจของเรารู้สึกเช่นนั้น จึงทำให้เราไม่สามารถเป็นคนที่จริงใจ และพูดอะไรได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือพูดอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา  กลอนนำเราจึงบอกไว้ว่า บางครั้งถ้าสิ่งใดที่เราได้ยิน ไม่แน่ใจ รู้สึกว่าไม่ใช่ เรารู้มาว่าไม่จริง การที่จะพูดแย้งต้องใช้เวลา ใช้ความนอบน้อม  จะพูดแย้งกับหัวหน้าว่า คุณพูดไม่ถูก  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ต้องรอให้หัวหน้าพูดให้จบก่อน  เราค่อยอธิบาย  เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจเราผิด เห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจจะเป็น แต่ตอนนั้นพ่อแม่กำลังพูดอยู่ เราจะไปทำเป็นจระเข้ขวางคลอง  ท่านจะฟังเราไหม (ไม่ฟัง)  เราต้องใช้ท่าทีนอบน้อมค่อยๆ พูด จึงจะไม่เกิดปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเราพูดง่ายๆ ไม่ยาก เข้าใจได้และนำไปใช้ในชีวิต สามารถจะเป็นคนที่พูดได้อย่างถูกต้อง กระทำได้อย่างดีงาม ไม่เกิดความผิดพลาดในชีวิตบ่อยๆ  เพราะสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตนำมาซึ่งความ (ถูก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนแบมือออกมา)  คนข้างๆ แบมือข้างซ้าย  ตัวท่านเองแบมือข้างขวา  ตบมือตนเอง  ตบมือเขาเป็นอย่างไร  กลัวจะโดนตีกลับใช่ไหม เพราะเรามีความกลัวอยู่ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามีความกลัวว่าเราจะทำอะไรก็ตาม หากเราไปโดนคนอื่น เรากลัวที่จะโดนกลับ  ถ้าหากทุกขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราคิดเช่นนี้ เราไม่มีทางไปเบียดเบียนทำร้ายใคร จริงหรือไม่ (จริง)  แต่โดยปกติแล้วเรานึกจะตีก็ตี นึกจะไปก็ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่บอกว่า ตีเขาซิ หันไปมองก่อน ไม่มี  แปลว่าเวลาเราจะทำอะไรก็ตาม บางครั้งหากมีสติเราจะยังมองตนเองอยู่บ้างว่า เบานิดหนึ่ง พอตีเขาก็ตีลงไปเลย ไม่รู้ว่าเขาจะเจ็บไหม  ไม่รู้ว่าจะไปโดนสิ่งใดของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่ออยู่ด้วยกัน เราต้องระมัดระวังสักนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ชอบขัดแย้งกัน ต้องระวังให้หนัก อย่าใช้แต่อารมณ์ ไม่เช่นนั้นอารมณ์จะพาท่านไปไม่ถูกทาง
ใครชอบโมโหยกมือขึ้น ใครเกลียดโมโหยกมือขึ้น ใครมีโมโหยกมือขึ้น  ท่านจงแยกภาษาไทยให้ออก ชอบโมโหแปลว่าชอบมาก  มีโมโหแปลว่าตัวเองนั้นมีโมโห ไม่มีใครชอบโมโห แต่ตัวเองมักจะมีโมโห จงทำให้ดี คนเราเวลาโมโหจงนึกถึงสองอย่าง หากโมโหแล้วพรุ่งนี้ต้องเสียใจ อย่าโมโห  หากโมโหแล้วต้องร้องไห้เสียใจ อย่าโมโห  ถ้านึกสองอย่างนี้ได้จะไม่โมโหอีกเลย ดีไหม (ดี)  แต่ทุกครั้งที่โมโหต้องคิดก่อนนะ โมโหแล้วท่านต้องเสียใจ อย่าโมโห ถ้าพรุ่งนี้มานั่งคิดมากอีก อย่าโมโห แล้วเช่นนี้จะโมโหไหม (ไม่โมโห)  ใช่แล้วจำไว้นะ
“โชคอาจเยือนได้กลางคนจิตดี”  คนชอบมีโชคลาภ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโชคเป็นเงินก้อนโตกับมีโชคเป็นเพื่อนอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุข อันไหนดีกว่ากัน  ใครว่าอันเดียวหรือสองอัน คนที่เลือกอันเดียวเลือกอย่างไหน (เงินก้อนโต)  ถึงว่าไม่ยอมมาบำเพ็ญกันเลย เพราะว่าห่วงเงินก้อนโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกว่า สี่ ห้า หก เจ็ด คือเลขท้าย คงมีใจมาประชุมธรรมอีก  พอมาหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ๆ บอกว่าขอเงินสักสิบบาทไม่มาอีกเลย ใช่ไหม  ชีวิตนี้ท่านอย่าเห็นเงินเป็นใหญ่ เพราะว่าเงินไม่สามารถช่วยชีวิตท่านได้ตลอดชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)  เราถามท่านว่า เวลาท่านทุกข์ ท่านมีเงินร้อยบาทช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม ลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม  สมมติว่าท่านเป็นโรคร้าย มีลอตเตอรี่ใบหนึ่งคิดว่าถูกรางวัล ช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม (ช่วย)  ตอนแรกช่วย แต่พอรู้ว่าโรคนี้รักษาไม่หาย มีเงินก็ช่วยไม่ได้ และสิ่งที่ช่วยท่านได้คือ การรู้จักปลงและยอมรับความเป็นจริงด้วยจิตใจที่กล้าหาญและต่อสู้กับโรคร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  การรู้จักปลงและจิตใจกล้าหาญต่อสู้กับโรคร้าย คือการรู้จักนำธรรมะมาใช้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาธรรมะมาเรียกร้องตัวตนเองให้เป็นคนที่ต้องสู้เมื่อยามล้ม ทุกข์ทนเมื่อยามเจ็บปวด ตอนเจ็บเราต้องรู้จักเอาธรรมะมาช่วยสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ ว่าเงินแท้จริงนั้นหาได้ซื้อความสุขที่จริงๆ ไม่  แม้ท่านจะมีเงิน มีทรัพย์สิน เกียรติยศตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วก็ซื้อความสุขได้ไม่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ อย่าให้เงินหลอกความดีไปจากใจเลย พุทธะน้อยๆ อย่าให้เงินมาซื้อคุณธรรมในใจ น่าเสียดายเปล่าๆ  ยอมเป็นคนที่โลภแล้วหาความสุขได้ยากก็เพราะว่าหลงเงิน ยอมเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เพราะอยากได้เกียรติยศเช่นนี้แล้วหรือ เรียกว่าคนน่าคบ เช่นนี้หรือจะเรียกว่ามนุษย์ที่เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีใครเรียกได้ และไม่มีใครอยากจะเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาตัวเราคด แล้วไปคดกับคนอื่น ทำยากไหม (ยาก)  แล้วเงินมีมากๆ รำคาญไหม (ไม่)  ทำไมท่านไม่รำคาญ จริงๆ น่าจะรำคาญ ไม่ใช่หรือ มีเงินมากๆ ก็เป็นห่วงมาก กังวลมาก มีเงินน้อยๆ ไปไหนก็สบาย ไม่กลัวใครมาจี้ ไม่กลัวใครมาปล้น และไม่ต้องกลัวใครมาขอ จริงหรือไม่ (จริง)
ท่านอยู่ในชั้นนี้ต้องทำสมาธิให้ดีๆ ยิ่งวุ่นวายอย่างนี้จิตต้องนิ่ง ไม่อย่างนั้นจะฟังตรงนี้ไม่รู้เรื่อง  มนุษย์นั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม หากมีใจยึดมั่นก็จะทำให้เราสุขได้ยาก หากจิตใจมีอคติก็จะทำให้เราอยู่กับคนอื่นอย่างเป็นมิตรได้ยาก จริงหรือไม่ (จริง)  คนเราถ้าใจคิดร้ายแม้จะฝึกฝนบำเพ็ญตนก็เหมือนอาบน้ำโคลน  แม้ว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่น จิตใจจะบำเพ็ญธรรมแต่ก็เหมือนทุกวันอาบน้ำโคลน เพราะว่าจิตใจคิดไม่ดี เหมือนกันเวลาท่านเข้าวัดแต่ใจท่านไม่ชอบพระ แม้จะฟังพระท่านพูด พระพูดคำหนึ่งท่านก็อาบน้ำโคลนคำหนึ่ง แม้ว่าพระท่านจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าในใจท่านอคติกับพระไม่มีความบริสุทธิ์กับพระ ทั้งที่จะอาบธรรมด้วยความบริสุทธิ์อิ่มเอมใจ แต่ยิ่งอาบแล้วยิ่งเหม็นสกปรก เหมือนท่านไม่เคารพพระองค์นี้  แต่วันนี้ต้องมานั่งฟังเพราะท่านฟังแล้วเกิดความดีขึ้นไหม ถ้าตราบใดที่ใจท่านมีอคติและท่านไม่ชอบ เหมือนท่านอยู่กับใครก็ตาม หากจิตใจท่านไม่ชอบแม้อยู่กับเขาก็เป็นทุกข์ใจเพราะว่าใจไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านอยู่กับทุกๆ คนด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยใจที่เที่ยงธรรมไม่ยึดมั่น ไม่ยึดเอาแต่ใจตัว เวลาอยู่กับใครท่านก็จะอยู่กับเขาด้วยความสบายใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ายึดมั่นเอาแต่ใจตัว ยึดมั่นว่าเขาเป็นคนที่ไม่ดีแม้จะฟังเขาพูดดีกี่รอบ ก็เหมือนเอาน้ำโคลนสาดเข้าหาตัวเอง  ฉะนั้นแม้จะฟังเรื่องราวดีมากมายเพียงไร แต่ถ้าใจขาดซึ่งความบริสุทธิ์ก็ยากที่จะชำระด้วยธรรมะได้ ฉะนั้นขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่งว่า หนึ่งต้องไม่รู้จักยึดมั่น สองต้องวางใจเป็นกลางและบริสุทธิ์ยุติธรรม
หลายต่อหลายคนพอฟังว่าพระมีเรื่องไม่ดีก็อคติกับพระทุกองค์ เช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ไม้ต้นหนึ่งผลไม้เสียไปลูกหนึ่ง ผลไม้มีตำหนิลูกหนึ่งจะโทษทั้งต้นไม่ได้เรื่องได้หรือ ก็ไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญจะมองต้นไม้เป็นต้นไม้ หรือต้นไม้เป็นต้นร้าย ก็อยู่ที่ใจของเรา  บำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน จะยิ่งบำเพ็ญแล้วก้าวหน้าบริสุทธิ์ หรือยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งสกปรกขุ่นมัวก็อยู่ที่ใจของเรา  จงมองทุกคนให้เป็นคนดีแล้วเราจะสบายใจ  แต่ถ้าเมื่อไรต้องใช้เขาจึงต้องแยกแยะคนให้เป็นใช่หรือไม่  นี่คือสิ่งสำคัญ  มนุษย์เราที่ต้องวุ่นวายและไม่หยุดหย่อนในการแสวงหาก็เพราะ ตาดู จมูกดม ปากลิ้มรส และก็หูฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมวาดรูปตา หู จมูก ปาก หัวใจ มือ แล้วนำมายืนประกอบให้เป็นรูปหน้าคน)
 เมื่อตาเห็นสิ่งสวย ตาก็วิ่งไปบอกใจว่าสวย  เมื่อจมูกดมกลิ่นหอม จมูกก็ไปบอกใจว่าหอม  เมื่อปากได้ลิ้มรสอร่อย ปากก็ไปบอกใจว่าอร่อย  คำว่าความรู้สึกเป็นหน้าที่ของใจ ร่างกายเราเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่  ตาเห็นแล้วยังเลือกที่จะมองด้วย  จมูกเวลาดมแล้วยังเลือกที่จะดมด้วย แต่บางครั้งก็ต้องดมทั้งหมดใช่หรือไม่  เพราะจมูกเวลาไม่ดมต้องใช้มือปิด เวลาปากไม่พูดก็จะปิดปากใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านลองดูว่าชีวิตของมนุษย์วิ่งวนไขว่คว้า เมื่อตาเห็นแล้วไปบอกใจ เมื่อจมูกได้กลิ่นแล้วไปบอกใจ เมื่อปากได้ลิ้มรสแล้วไปบอกใจ พอใจได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น ใจก็ไปบอกตาว่าให้ไปมองสิ่งที่สวยจริงไหม นั่นก็คือใจมีสัญญา ใจมีความทรงจำ เมื่อใจสวยก็ไปบอกตาว่าจงไปมอง นี่คือระบบของอายตนะกับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าสมมติว่าตา หู จมูก ปาก และมือไปทำทุกอย่าง แต่ใจบอกว่าไม่ทำ แม้ตาจะดู ใจก็นิ่งเฉยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ร่างกายเราจะขยับไหม (ไม่ขยับ)  บางครั้งอายตนะภายนอกมาควบคุมใจ แต่บางครั้งใจที่มีสัญญามีความทรงจำที่จำได้ว่าสวยเป็นอย่างไร ก็เรียกร้องให้ร่างกายภายนอกไปกระทำ แต่ถ้าสมมติว่าใจท่านแม้ตาจะดูหูจะฟัง มือจะขยับแต่ใจท่านไม่เอาแล้ว พอแล้ว ตาดู หูฟัง ทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าใจไม่สัญญาไม่มีซึ่งความทรงจำอะไรแล้ว ตาดู หูฟัง ช่วยอะไรท่านได้ไหม ก็แค่ทำหน้าที่ตามที่เป็นเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ทุกวันนี้ ตาวิ่งไปทาง จมูกก็อยากดม มือก็อยากจับ หูก็อยากฟัง ใจก็เลยต้องทำหน้าที่ให้ครบทั้งตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราที่ยังต้องวิ่งวุ่นอยู่  เพราะว่าอายตนะภายนอก  แล้วใจก็วิ่งวุ่นตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าถ้าใจของมนุษย์รู้จักหยุด รู้จักสงบนิ่งบ้าง  แม้ตาจะมองก็มองได้แค่เท่านี้  แม้จมูกจะดมกลิ่นก็ดมได้เท่านี้ เพราะใจไม่ไปด้วยจริงไหม (จริง)  ถ้าใจไปด้วยร่างกายก็ขยับตามใจด้วย  เราต้องวิ่งเหนื่อยตามหู ตา จมูก ปาก  แล้วท่านที่เป็นอยู่เมื่อยังไม่รู้จักพอใจก็ยากที่จะนิ่ง  เมื่อใจยังไม่รู้จักพอก็ตกเป็นทาสอารมณ์ของ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการแสวงหาในโลกนี้จะเป็นทุกข์มาก  ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จักหยุดมองบ้าง บุกบ้างไม่รับมือบ้าง และใจก็หัดวางเฉยบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต้องรู้วางชีวาบ้างจึงดีได้  ยินตลอดคนตายจึงจะไม่สู้”  หลายต่อหลายคนเกิดมาชีวิตต้องสู้ เคยได้ยินคำนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนตายเท่านั้นจึงสู้ไม่ได้  แต่คำว่าสู้ไม่ใช่เกิดมารบแล้วต้องชนะ บางครั้งรบแล้วแพ้บ้าง  ยอมถอยบ้าง ท่านเคยเห็นเสือเวลาจะตะคุบหรือตะปบเหยื่อต้องย่อตัวให้สุด หมอบให้ต่ำ ถึงจะสามารถตะคุบเหยื่อได้มั่นคงจริงหรือไม่ (จริง)  นกเวลาจะกระพือปีกบิน ต้องวางตัว กระดูกต้องเบาใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วจะต้องแยกขาค่อยๆ กระพือออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนก็เหมือนกันการจะก้าวหน้า การจะรุกไปสู่ข้างหน้า บางครั้งต้องรู้จักถอยหลังบ้าง และบางครั้งต้องรู้จักอ่อนน้อมบ้าง เราถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและดีงาม  นั่นก็คือไม่ว่าจะทำสิ่งใดขอให้ย้อนกลับมาคิดที่ตนเองก่อน ก่อนที่จะเริ่มต้นที่จะกระทำสิ่งใดเข้าใจไหม (เข้าใจ)
“หน้าผาริมยืนอยู่น่าเสียวไส้”  ชีวิตนี้ถ้าเราปล่อยตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือปล่อยไปตามกิเลสความปรารถนา ก็เปรียบเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผาแห่งกิเลสตัณหา ถ้ายิ่งก้าวลงไปก็มีแต่ถลำลึกไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น  คนเราเมื่อมีความต้องการมีใครบ้างรู้จักพอไม่มีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะหยุดความต้องการได้ ไม่ใช่ต้องเติมให้เต็ม แต่คือรู้จักเต็มในความมีใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะบอกว่า เรามีไม่เคยเต็ม  แต่อย่าลืมว่าในสิ่งที่มีสามารถเต็มได้ถ้าใจเราบอกว่าพอและเต็ม จริงไหม (จริง)  เราจะหยุดแสวงหาสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักพอ รู้จักหยุด รู้จักพักผ่อนร่างกายในการหาเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง
“ก้าวร่วงหล่นหันกลับมาปลอดภัย  คิดใกล้ไกลอยู่เพื่ออะไรหนอคน”  มนุษย์เราเกิดมาไม่ใช่วิ่งวุ่นไปตาม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อสมปรารถนาเท่านั้น  เราเกิดมาใช่หน้าที่ต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายตัวตนนี้  แต่ค่าที่เหนือกว่านั้นก็คือทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมบ้าง รู้จักเสียสละเอาชีวิตของตนเองช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง จึงจะเป็นคนที่เรียกว่าเกิดมามีคุณค่า  คนเราหากรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่น คือคนที่รู้จักคุณค่าแห่งชีวิตและความงามแห่งจิตใจ  ถ้าเกิดคนเราไม่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น คนนั้นจะไม่มีวันพบคุณค่าความงามในตัวตนได้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  คนเรามีความงามได้ งามที่ตรงไหน คนเรามีความสมบูรณ์ดีงามได้ที่ตรงไหน ไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง แต่รู้จักทำแล้วหยุดของตนเอง แล้วแบ่งปันส่วนของตนเองให้กับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อย่าบำเพ็ญดั่งมีใจที่อ่อนล้า”  คนบางคนมีชีวิตเกิดมานั้นไม่สามารถมีความเข้มแข็งในตัวเองได้  จะยืนอยู่ได้ต้องมีคำปลอบใจจากผู้อื่น ต้องมีความช่วยเหลือจากผู้อื่น ต้องมีคำพูดที่ดีจากผู้อื่นจึงจะสามารถอยู่ตรงนั้นได้ สามารถที่จะทำงานตรงนั้นได้ เช่นนี้ถูกต้องไหม เวลาท่านอยู่ในครอบครัว บางครั้งท่านเรียกร้องพ่อแม่ว่าอย่าขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่)  เวลาท่านอยู่กับสามี ท่านจะเรียกร้องกับสามี อย่าว่าฉันบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนตัวท่านนั้นมักจะบอกว่า อยู่กับใครก็ตามเรามักจะเรียกร้องเขาว่า อย่าเป็นเช่นนั้น อย่าเป็นเช่นนี้  แล้วเราจะอยู่กับเขาได้ ใช่ไหม  เราคำนึงถึงเขาหรือคำนึงถึงตัวเรา ที่อยู่ร่วมกัน  เราคำนึงถึงตัวเรา แล้วก็ยึดมั่นที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็อคติที่เขาเป็นตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต่างมีความเป็นตัวของตัวเองเยอะ  แต่บางครั้งอยู่ร่วมกันต้องพบกันครึ่งทาง แล้วเดินไปตรงกลาง  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันอย่าเอาแต่เรียกร้องคนอื่น เราจงถามตัวเราเองก่อน เราทำได้ดีหรือยัง ก่อนที่จะไปเรียกร้องใครๆ เขา ใช่ไหม (ใช่)
“สิ่งได้มาไม้ผุที่อุ้มฝน  ให้ทางนำเท้าย่อมเดินเวียนวน”  การบำเพ็ญธรรมแม้จะมีทาง แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่คิดอะไรเลย เราไม่ใช้ปัญญาเดินไปตามทาง โดยไม่คิดก็จะทำให้ท่านเดินวนอยู่ในเขาวงกต ไม่ว่าจะเดินทางไหนก็ตาม อย่าเดินตามทาง แต่จงเดินด้วยใจและปณิธานของตน จะไม่หลงทาง จริงไหม (จริง)  เมื่อมีทางเดิน แต่ถ้าท่านไม่มีแผนที่ ไม่มีเข็มทิศ เดินไปตามทาง พอเจอทางก็ต้องมีทางแยก ท่านจะเลือกทางไหน  ถ้าท่านไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีแผนที่และไม่มีจุดหมายที่จะไป  ชีวิตของมนุษย์เราเหมือนคนที่เดินไปตามทาง เดินไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตได้อะไร  ได้เงิน ได้เกียรติยศ เท่านี้หรือคือคุณค่าสูงสุดของชีวิต  ตอนนี้ท่านได้รู้ว่าคุณค่าสูงสุดของชีวิตบนทางที่ท่านเดินอยู่ มีอีกทางหนึ่งคือการบำเพ็ญตัวเองเป็นพุทธะ ขัดเกลาจิตใจตน แต่การจะบำเพ็ญขัดเกลาจิตใจตนต้องรู้จักลดความปรารถนาทางโลก และเอาเวลาที่ลดความปรารถนาทางโลกมาศึกษาธรรม และลดความปรารถนาทางโลกมาลดกิเลสในใจตน ล้างใจตนเองให้สะอาดและรู้จักสงบวาง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฟังดูแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  บำเพ็ญธรรมสิ่งสำคัญนั่นก็คือต้องรู้จักปิดตา จมูก ปาก หู การกระทำบ้าง  แล้วเอาเวลาว่างที่ปิดทั้งหมดนี้มาศึกษานั่งฟังธรรมะให้เข้าใจ และนำเอาสิ่งที่เข้าใจนั่นไปช่วยคน คือการสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่  ทำไมพุทธะจึงมีคนกราบไหว้ จึงมีคนเรียกว่าพุทธะ  เพราะว่าพุทธะไม่ใช่ทำงานหาแต่เงิน แต่พุทธะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยมวลชน  คนจึงเรียกว่าพุทธะ คนจึงกราบไหว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คือสิ่งที่เราให้อยากให้ท่านมาศึกษาและบำเพ็ญตามรอยการเป็นพุทธะ ทำได้ไหม (ได้)  คงไม่ยากเกินไป
“ชีวิตตนรู้จักตนให้ฝึกตนเดิน”  ท่านเคยเห็นนก นกบินสูงหรือบินต่ำ (สูง)  แล้วเวลาสิงห์สาราสัตว์ เวลาจะตะคุบเหยื่อ จะตะคุบต่ำหรือสูง (ตะคุบต่ำ)  จากต่ำไปสู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราก็เหมือนกัน  แม้ตัวเองจะต่ำต้อย แต่ไม่ใช่ว่าจะทะยานสูงไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดว่านกคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ก็คงไม่กางปีกกระพือบินสูง จริงหรือไม่ (จริง)  เสือถ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ ก็คงจะไม่รู้จักหมอบต่ำบ้าง เพื่อจะได้เหยื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนอย่าดูถูกตนและก็อย่าได้หลงตัวเอง ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด บางครั้งก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะต่ำต้อยเพียงใดก็ต้องรู้จักที่จะทะยานขึ้นสู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนจึงจะมีคุณค่า นั่นก็คือการสร้างโอกาสให้กับตนเอง อย่าดูเบาตนเองและอย่าหลงตนเองจนเกินไป  ฟังธรรมะมาตั้งนาน อยู่กับเรามาตั้งเยอะแล้ว พอเข้าใจอะไรบ้างไหม (เข้าใจ)
“ดวงตาสว่างคืนมากลางเสียงธรรม”  วันนี้เซียนเด็กมามีแต่ให้ธรรมะ ไม่ได้ให้เพลง
“เสรีนำดั่งนกกลางหาวร่อนเหิน”  คำบรรยายในธรรมะมักจะมีรูปอยู่รูปหนึ่ง นั่นคือรูปนกบินกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนไม่ว่าจะออกมาจากบ้านไกลแค่ไหน  เมื่อยามทุกข์มักจะนึกถึงบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  นึกถึงบ้านตัวนี้หรือบ้านแห่งจิตเดิมแท้ (จิตเดิมแท้)  ลองหมั่นนึกถึงใจเดิมแท้บ้าง มนุษย์เราหลงอยู่ในโลกมานานนับหลายปีแล้ว หลงในแสงสีเสียง บันเทิง คำพูด รูปลักษณ์ เกียรติยศ เงินทอง ท่านหลงมากี่ปีแล้วก็ไม่รู้ จนกระทั่งท่านมีชีวิตก็หลงมาอีกหลายปี ไม่ยอมวางกันซักที  แล้วไปยึดตัวตนนี้ เลยไม่เคยปล่อยวาง  หากมนุษย์เรารู้จักปล่อยวางตัวตนบ้าง ปล่อยวางรูปลักษณ์ภายนอก แสงสีเสียง สัมผัสของโลกบ้าง ท่านก็จะมีเวลามาศึกษาธรรมมากขึ้น เข้าใจธรรมะแล้วเอาไปช่วยคนได้มาก  แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนมัวแต่ห่วงเรื่องชีวิต เรื่องชื่อเสียง หน้าใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้ามาห้องพระโดนเขาว่าจนเสียชื่อ โดนเขาว่าขายหน้าไปหมดแล้วก็ไม่มาอีกเลย อย่างนี้ท่านบำเพ็ญเพื่อหน้าหรือว่าบำเพ็ญเพื่อความว่างเปล่าแห่งจิตใจกัน  การบำเพ็ญธรรมก็คือ หวนกลับไปสู่ความว่างเปล่าไม่ยึดติดแม้รูปลักษณ์ กลิ่นเสียง อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรม อย่าบำเพ็ญเพื่อหน้าสวยๆ ชื่อหอมๆ อย่างเดียว  ชื่อหอมน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ยึดติดจนมากเกินไปใครแตะต้องไม่ได้ ใครว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ เขาว่ากล่าวตักเตือนต้องขอบคุณและน้อมรับมาพิจารณา นี่ถึงเรียกว่าผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้วันนี้จะได้ธรรมะไม่มากแต่ขอให้เอาไปคิดพิจารณาให้ดีๆ นะ วันนี้เรามีโอกาสเจอท่านใช้เวลานานเหมือนกัน จิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ใจทำให้กายนั้นอยู่นิ่งๆ ใจทำให้กายบริสุทธิ์แล้วใจก็บริสุทธิ์ด้วย ใจทำให้กายสว่างใจก็สว่างด้วย ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตามขอให้อย่าลืมตรวจสอบใจ  หากใจบริสุทธิ์ยุติธรรมก็จะมองทุกอย่างได้บริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ถ้าใจมีอคติ คดงอก็จะมองทุกๆ อย่างอคติคดงอใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ฟังเสียงธรรมใจก็จะคดงอไม่มีทางได้ธรรมเข้าใจไหม ฉะนั้นยิ่งบำเพ็ญใจต้องยิ่งสะอาด ไม่ใช่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีแต่อคติ ความไม่ดีของคนอื่นล้างทิ้งไป ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วมากำหนดว่าแบบนี้จะต้องเป็นแบบนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ  ผู้บำเพ็ญคือผู้ที่ถอยหลังไปสู่ความว่างเปล่า ไม่ใช่เดินไปสู่ความมืดจริงไหม (จริง)  ถอยไปบ้างหรือยังผู้บำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายต้องรู้จักล้างจิตใจ และเอาเวลาไปช่วยคนกันบ้างหรือยัง ช่วยคนแล้วเจอต่อว่าบ้าง เจอทุกข์บ้างก็อย่าได้ยอมแพ้ จงก้าวต่อไปเรื่อยๆ  การก้าวไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เจออุปสรรคก็ต่อสู้จะทำให้ท่านแข็งแกร่งในการบำเพ็ญธรรมทุกท่าน พุทธะน้อยๆ ในที่นี้ก่อนจะบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นรักษาความดีให้อยู่กับตัว ทำบุญ รักษาศีลทำให้ได้ อบายมุข ตัณหา กามราคะ สุรา นารี พาชีกีฬาบัตร รู้ว่าไม่ดียังอยากจะทำ ทำแล้วจะมาบอกว่าพุทธะไม่ช่วยไม่ได้ เพราะท่านทำตัวท่านเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนโลภก็ต้องตกเป็นทาสของความโลภ ฉะนั้นสู้ทำความดีจะได้ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งใด รู้จักควบคุม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จะได้ไม่เป็นทาสใจดวงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากพูดเยอะๆ  ก็จะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติ อย่าเป็นห่วงตัวเองมาก นึกถึงคนอื่นบ้างแล้วเราจะช่วยเขาได้อย่างเต็มที่จริงหรือเปล่า อย่ามัวแต่ห่วงสุขของตัวเองไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะไม่สามารถเห็นทุกข์ของใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่ข้างหน้าแล้วต้องควบคุมดูแลตัวเองให้ดี เพราะถ้าท่านก้าวผิดธรรมะจะหมดสิ้นเลยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ค่าของธรรมะจะหมดสิ้นเพราะตัวท่าน อย่าทำให้ธรรมะที่มีค่าที่พุทธะพยายามรักษาโอบอุ้มไว้ให้ท่าน ต้องหมดค่าไปเพราะตัวท่านเองเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  รักษาธรรมะให้ดี ธรรมอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจ ความยุติธรรมบริสุทธิ์จะเกิดได้จากที่ไหน ก็เกิดจากใจ ใจที่ไม่มีความโลภ ความหลง และเห็นแก่ตัว เข้าใจไหม (เข้าใจ)  จงตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ นะพุทธะน้อยๆ รักษาความดีให้มั่นคง บุญกุศลก็หัดสร้าง อย่าเป็นเด็กดื้อของพ่อแม่ จงเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักของเด็กๆ ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าได้ให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด เพียรตลอดอย่าให้ความพยายามถึงฝั่งก่อน
คนสองสีอาจารย์หนาวหนาวร้อนร้อน ความลุ่มดอนหวังศิษย์อดทนบำเพ็ญ
เราคือ
พุทธะจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจิ้งซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอยากบำเพ็ญธรรมไหม
ความต้องการและความรู้ต้องสมดุล ความเชื่อมั่นปัญญาหนุนให้ต่อเนื่อง
จิตใจคนอย่าคิดมากจนสิ้นเปลือง คนปราดเปรื่องไม่ได้มาจากการร่ำเรียน
จิตใจตรงมั่นคงและอดทน แม้อับจนเท่าไหร่มุ่งไม่เปลี่ยน
บำเพ็ญใจสร้างกุศลพ้นวนเวียน ตามรอยเกวียนแห่งพุทธะเหล่าเมธา
มีเรื่องอีกมากมายให้ศิษย์ฝึก ตรึกตรึกตรึกอันสิ่งใดคือคุณค่า
ธรรมะแท้ขอให้ศิษย์สละเวลา ยามเดินหน้าอย่ามีใจท้อมาปน
เฝ้าอภัยวิสัยแห่งผู้มีบุญ ไม่โกรธกรุ่นวาสนาเทดั่งฝน
ความเมตตาต่างมีอยู่ทุกผู้คน เฝ้าฉงนวิสัยแห่งผู้มีกรรม
ศิษย์รักเอยอาจารย์ฝากดูแลตน บำเพ็ญยืนบนความจริงอ่อนน้อมต่ำ
สิ่งใดที่อาจารย์พูดใส่ใจจำ เป็นดั่งน้ำอมฤตช่วยประชา
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าทุกวันๆ มีคนมาสถานธรรมเยอะอย่างนี้ก็ดีใช่หรือไม่  อยู่บนนี้เหมือนอยู่บนสวรรค์ไหม (เหมือน)  ตอนนี้คนที่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องเป็นเทวดา และตอนนี้เราเหมือนเทวดาไหม (เหมือน)  มีคนบอกว่าเก้าอี้ที่เรานั่งนี้เขาเรียกว่าเก้าอี้เซียนใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดอีกทีก็เรียกว่าเก้าอี้เทวดา นึกจะกินก็มีกิน ร้อนก็มีคนส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เทวดาที่นี่ทำไม่ได้อย่างเดียวอะไรรู้ไหม อาจารย์หมายความว่าอยู่บนนี้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทางขึ้นสวรรค์แคบหรือไม่ (แคบ)  เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันมาสถานธรรมอีกหน่อยจะได้ขยายกว้างๆ ดีหรือไม่ (ดี)  สวรรค์เมื่อวานนี้ร้อนไปหน่อย แต่วันนี้มีบุญมีแอร์ใช้ แต่ว่าคนที่เป็นเทวดานึกอยากจะกินข้าวก็มีกินเหมือนคนอิ่มทิพย์ นึกอยากจะนั่งก็มีเก้าอี้ดีๆ ให้นั่ง  แต่เทวดาที่นี่ทำไม่ได้อย่างเดียวคือ นอนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เทวดาก็ยังแอบหลับ ใครนั่งที่นี่ยังไม่หลับเลย แสดงว่าโดยทั่วๆ ไปทุกคนมีการแอบหลับใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่ามีวิชาช่วงใดช่วงหนึ่ง ของใครคนใดคนหนึ่งที่พูดมา แต่ว่าเราฟังไม่ได้ยิน เพราะว่าช่วงนั้นเราหลับไป พอจะตกเก้าอี้ก็กลับมาฟังใหม่ใช่หรือเปล่า แสดงว่าสองวันที่ฟังมา วันละห้าสิบเปอร์เซ็นต์ สองวันก็เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า (ไม่ได้)  เรายังฟังไม่ได้กันร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นก็มีสิ่งที่เราฟังแล้วเรายังไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ฟังแล้วได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หมายความว่าไม่หลับเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจทุกอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญ การมานั่งฟังธรรมะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  หนังสือธรรมะที่เราอ่านคงจะเทียบไม่ได้กับการที่เราลงมือปฏิบัติเองใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าเราไปฝึกปฏิบัติเองก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือทีละหน้า วันนี้เราสามารถที่จะละอารมณ์โมโหได้แล้ว ก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือเรื่องความโกรธ แล้วเราพยายามที่จะละใช่หรือไม่ (ใช่)  การปฏิบัติของเราจะดียิ่งกว่าการที่เรามานั่งอ่านโดยไม่ทำ หรือนั่งฟังโดยไม่รู้เรื่องอีก แต่ว่าการที่ให้ศิษย์มานั่งฟังจะว่าบังคับก็ไม่เชิง ไม่บังคับก็ไม่ใช่  แต่ว่าการที่เราถูกบังคับในขณะนี้แล้วเราควรที่จะได้สิ่งใดกลับไปบ้าง เพื่อนำกลับไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้มากก็ต้องทำให้ได้น้อย  หากว่าทำน้อยไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้นิด  ถ้าทำนิดไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้หน่อย  การทำสิ่งใดจะทำได้หรือไม่ได้นั้นอยู่ที่ตัวเราเอง จะทำได้หรือไม่ได้ไม่ใช่คนอื่นมาตัดสิน แต่ว่าอยู่ที่ตัวเรา  หากว่าเรามั่นใจว่าเราทำได้ เราจะทำได้ไหม (ได้)  ต่อให้ไม่ได้มาก ก็ได้น้อย ไม่ได้น้อยก็ได้นิด ฉะนั้นจะต้องพยายามหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าบอกว่าเราเป็นชาวบ้านธรรมดา เราอ่านหนังสือไม่ออก เราไม่มีความรู้ เราอายุมากแล้ว เราไม่ค่อยมีเงิน เราจะบำเพ็ญได้หรือไม่ (ได้)  มั่นใจตัวเองไหม (มั่นใจ)
“อย่าให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด”  ทุกคนก็เหมือนกับมีชีวิตอยู่ในทะเลทุกข์ หากว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้ธรรมะเลย เป็นคนที่มัวเมากิเลสตัณหา ก็เหมือนกับคนที่ลอยคออยู่ในทะเลทุกข์  แต่หากว่าคนที่รู้ตื่นจิตใจเบิกบาน จิตใจฟื้นฟูความเป็นพุทธะได้มากขึ้น ก็เปรียบเสมือนหนึ่งคนที่ขึ้นเรือแล้ว  ส่วนคนที่ขึ้นเรือมาแล้ว คือตื่นแล้วยังกลับไปหลับอีก แถมยังแพ้กิเลสตัวเองในเรื่องเดิมๆ ที่ตัวเองเคยแพ้มาแล้ว แสดงว่าไฟกิเลสของเราไม่ได้ดับสนิท แต่ดับแบบพร้อมจะคุอยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาศิษย์จะดับไฟกิเลสดวงไหนพยายามดับให้สนิท หมายความว่า เวลาเราจะละอารมณ์ ละกิเลสข้อไหน จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในข้อไหน ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงไปให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เป็นเหมือนเรือล่มเมื่อใกล้จอด ไม่ใช่ขึ้นเรือมาแล้วก็กระโดดกลับไปอีก เพราะว่าเหมือนคนที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด และถ้าทำผิดซ้ำเข้าไปอีกบาปกรรมที่เคยมี สมมติว่าศิษย์ทำผิดข้อนี้ กรรมของศิษย์ก็เพิ่มมาเท่านี้ แต่ถ้าหากคนที่ทำผิดข้อนี้รู้อยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด แล้วยังทำผิดเข้าไปกรรมจะเพิ่มเข้ามาอย่างไร (เป็นสองเท่า)  แล้วถ้าหากว่าเป็นกรรมชนิดที่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น หมายความว่าต้องเดือดร้อนผู้อื่น กรรมอันนี้จะสามารถคลายได้ไหม เพราะว่าประกอบด้วยความแค้นของสิ่งนั้นๆ ที่เราไปทำด้วย  ฉะนั้นถ้าให้ดี ถ้าศิษย์เลือกได้จะเกิดเป็นคนรวยหรือคนจน (คนรวย)  ถ้าเลือกได้ศิษย์ก็อยากเป็นคนรวยใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบความจริงจากใจไม่ต้องโกหก มนุษย์ในโลกนี้ไม่มีใครบอกว่าฉันไม่อยากรวย เลยเป็นจุดบกพร่องชิ้นโต เหมือนตะบองที่เอาไว้คอยทุบศีรษะตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าศิษย์เลือกได้จะเลือกเป็นคนดีหรือคนไม่ดี (คนดี)  รวยกับจนเลือกได้ไหม (ไม่ได้)  ดีกับไม่ดีเลือกได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นเราควรจะเลือกในสิ่งที่เราเลือกได้  สิ่งที่เลือกไม่ได้ก็อย่าไปเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน รวยจนเลือกไม่ได้ แต่ดีชั่วเลือกได้  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกตั้งแต่วันนี้ ให้รู้ ให้ดู ให้เห็นว่าตัวเองอยากจะเป็นใคร เพราะว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว จะกลับไปแก้อดีตเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก แต่อนาคตเกิดขึ้นหรือยัง (ยัง)  อยากจะให้ตัวเองมีชะตาชีวิตที่ดีจะต้องเลือกทางเดินให้กับอนาคต อย่าเป็นคนสองจิตสองใจ ชีวิตนี้ทำดีก็ได้ เขาไม่ดีมาเราก็ไม่ดีด้วย ตกลงคนนี้เป็นคนดีไหม (ก็ยังไม่ดีเท่าไร)  เพราะว่าจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับคนอื่น ถ้าคนอื่นไม่ดีมาเราจะไม่ดีตอบ แต่ถ้าคนอื่นดีมาเราจะดีตอบคนนี้เป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์ของอาจารย์โดยส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือรอดูว่าเขาจะดีกับเราหรือเปล่า ถ้าเขาดีมาเราจะดีไป ถ้าเขาไม่ดีมาเราก็ไม่ดีไป  ศิษย์ยังไม่ได้เลือกทางให้กับชีวิตของตนเองเลยว่าเราจะเป็นคนดีไหม แล้วคนดีคนนี้เป็นคนดีแท้หรือคนดีเทียม ดีแบบสามวันดีสี่วันไข้ หรือเป็นคนดีที่มุ่งมั่นทำความดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะทำดี อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นคนดีแท้  หมอดูไม่สามารถบอกอะไรเราได้ ดีหรือไม่ดีก็ใกล้ๆ กับหมอเดา  การเรียนหนังสือมีคนเรียนเก่งได้ที่หนึ่ง กับคนเรียนบ๊วยก็อยู่ในห้องเดียวกัน  คนเรียนบ๊วยก็สามารถผ่านข้ามชั้นได้ หมอดูก็เหมือนกันผ่านมาจากชั้นเดียวกัน บางทีก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน คนที่เดาถูก คนที่สามารถคำนวณได้ก็มี แต่ว่าคนที่คำนวณผิดๆ ก็มี  ฉะนั้นคนที่คำนวณได้ถูกที่สุดคือใคร (ตัวเราเอง)  ศิษย์เชื่อคำของพระพุทธองค์ ฉะนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าศิษย์ทำดีศิษย์จะได้อะไร (ได้ดี)  ถ้าศิษย์ทำชั่วศิษย์จะได้อะไร (ได้ชั่ว)  แล้วทุกวันนี้ทำดีตลอดไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นชีวิตของเราก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าหากว่าอยากให้ชีวิตได้ดีก็ต้องทำดี แม้ว่าวันนี้ผลที่ตอบกลับมายังไม่ดีเท่าไร แต่คิดว่าวันหน้าจะดีกว่านี้ไหม (ดีกว่า)  แล้วถ้าหากว่าวันหน้าก็ยังไม่ดีเท่าไร วันต่อไปจะดีไหม ก็คงจะมีสักวันหนึ่งที่ผลของความดีตอบกลับมาเป็นผลดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำดีก็ต้องได้ดีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ดีกรรมดีก็ไม่มีจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาศิษย์จะทำการค้าเวลาทอนเงิน ลูกค้าให้เงินมาเราต้องมองแบงค์หรือเปล่า (มอง)  ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่มีแบงค์ปลอม ความดีปลอมๆ มา  สมมติว่าศิษย์เป็นคนขายต้องเอาแบงค์มาส่องก่อนไหม (ส่อง)  ถ้าศิษย์เป็นคนที่ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วพ่อค้าเป็นเบื้องบน หรือนรก เช็คความชั่วและความดี และสามวันดีสี่วันไข้ไม่รู้ว่าวันนี้จะกลับตัวได้หรือเปล่า คนที่เป็นพ่อค้าต้องเช็คก่อน ศิษย์ของอาจารย์จะทำดีได้หรือเปล่า จะกลับตัวได้หรือไม่ เช็คเสร็จแล้วทอนกลับมาเท่าเดิมไหม (ไม่เท่าเดิม)  สมมติว่าศิษย์เป็นลูกค้า อาจารย์อยากทอนจะทอนกลับห้าสิบไหม (ไม่ทอน)  ต้องทำอย่างไรก่อน ต้องเอาไปจ่ายเจ้ากรรมนายเวรก่อนและเหลือทอนเท่าไรค่อยเอากลับไปใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นอย่าได้ใจร้อนมาก ไม่ใช่ว่าทำดีแล้วต้องได้ดี แล้วอย่าบอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป บางทีเราก็ทำชั่วเหมือนกันนะ แต่ก็ได้ดีด้วย เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่มีทั้งความชั่วและความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเปรียบกับการแต่งตัวของเรา ถ้าหากศิษย์ใส่เสื้อข้างบนขาว จะใส่กางเกงข้างล่างสีอะไร ผู้ชาย (น้ำเงิน)  ถ้าใส่เสื้อสีขาวใส่กางเกงสีเข้มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าบอกว่าสีน้ำเงิน เพราะตอนนี้ไม่ใช่สีน้ำเงินก็ใส่สีเข้มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้หญิงถ้าข้างบนสีขาว จะใส่ข้างล่างสีอะไร (สีเข้ม)  สีเข้มๆ เหมือนกัน สีขาวคือความดีเปรียบเหมือนเสื้อ ตัดกับอะไร ตัดกับสีเข้มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ถ้าหากว่าใส่ขาวทั้งตัวจะดูเป็นเทวดาไม่ได้ เทวดาอยู่โลกมนุษย์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามศิษย์ว่าอะไรดี อยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก) คนไหนที่อยากบำเพ็ญธรรมยกมือขึ้น การที่เราจะบำเพ็ญธรรมได้ต้องมาพร้อมจิตใจศรัทธา ใช่หรือไม่  แต่ความศรัทธาหนุนเนื่องมาจากการศึกษาเข้าใจเสียก่อน ถึงจะเกิดความศรัทธาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ศิษย์กำลังศึกษาธรรม นี่ก็เป็นการเริ่มต้นของการบำเพ็ญธรรม เพียงแต่ว่าคนที่จะเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมได้ กว่าจะมีความศรัทธาได้ ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้  แต่ว่าโดยส่วนใหญ่หลุดรอดมาบำเพ็ญธรรมไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่สามารถพยุงตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง ส่วนใหญ่ก็เสียสละเวลามาศึกษาแค่สองวันนี้เท่านั้นเอง พอกลับไปบ้านธรรมะก็อยู่ในใจ ใจก็มองไม่เห็น เลยไม่มีใครเห็นว่าศิษย์บำเพ็ญตรงไหน ในที่สุดก็เลิกบำเพ็ญ  เพราะคนนั้นเวลาห่างธรรมะไปนานๆ ถ้าหากไม่มีคนคอยบอกศิษย์ว่าทำดีแล้วได้ดี ศิษย์ก็จะเผลอไปทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่ได้ด้วยกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราก็เลยชอบที่จะเอาตัวเราไปเกาะไว้กับใครก็แล้วแต่ บางทีทำความดีไม่ได้ ก็โทษกัน โทษใคร โทษแฟน โทษลูก โทษเวลา โทษชาวบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนที่อยู่รอบข้างทั้งหลาย เราก็โทษไปเรื่อย  เราก็เอาตัวเราไปเกาะกับคนนั้นคนนี้ แล้วก็บอกว่าเราทำดีไม่ได้เพราะมีมารอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าจริงๆ แล้วมารอยู่ที่ไหน บางทีมารก็อยู่กับตัวเราเอง เพราะอะไรเราเป็นคนช่างคิดมาก ปกติให้คิดอะไรเป็นเหตุผล คิดไม่ค่อยออก แต่พอให้คิดมากคิดเป็นตุเป็นตะ เรื่องคิดมากเป็นทุกคนไหม ทำอย่างไรจะคิดน้อยได้ ตัดหัวสมองส่วนหนึ่งทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  ตัดแขนข้างหนึ่งทิ้งแล้วจะเลิกคิดมาก เชื่อไม่เชื่อ (ไม่เชื่อ)  ควักหัวใจออกมาบีบๆ ไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ทำอย่างนั้นมากๆ แล้วจะหายกลุ้มใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าลูกหลานดีแล้วจะหายกลุ้มใจใช่ไหม บางคนก็คิดว่าถ้าลูกหลานเราดีกว่านี้ เราคงจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้ บางคนก็บอกว่าถ้าแฟนฉันดีกว่านี้ ทั้งชีวิตคงมีความสุข คงจะคิดเรื่องทำบุญ ทำดีมากๆ หน่อย ไปๆ มาๆ อาจารย์ก็พูดวนไปวนมา อาจารย์ก็พูดกลับมาที่เดิมว่า เราเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนนั้นคนนี้ แล้วหวังว่าสิ่งต่างๆ ดีขึ้นก็จะได้ทำความดี  ถ้าหากว่าเรามีเงิน เราคงมีเวลาว่างมาสถานธรรม ถ้าเรามีความรู้มากกว่านี้ มีความฉลาดมากกว่านี้เราก็คงอยากมาสถานธรรรม  ถ้าเรามีเสื้อผ้าดีๆ กว่านี้หน่อย เราก็คงอยากมาสถานธรรม จริงๆ ใช่ไม่ใช่ (ไม่ใช่)  พุทธะที่อยู่เบื้องบนที่สำเร็จธรรมไป คนไม่มีความรู้ก็มี คนหน้าตาอัปลักษณ์ก็มีอย่างอาจารย์ คนที่หน้าตาดีก็มีเยอะแยะไป คนที่กลิ่นตัวเหม็นๆ ก็มี คนที่เป็นขอทานก็ยังมี แล้วศิษย์เป็นใคร ดูว่าเราเป็นคนที่สมประกอบไหม (สมประกอบ)  หัวสมองเรายังคิดได้ไหม (คิดได้)  ต้องพยายามคิดถึงในเรื่องดี ใช่หรือไม่ ต้องพยายามที่จะมุ่งเดินหน้าไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวให้ตัวเองมาจอด จอดอยู่ที่ไหน (ทะเลทุกข์)  ตอนนี้ศิษย์จอดอยู่ในหัวใจตนเอง ทะเลที่เต็มไปด้วยความคิดเข้าข้างตัวเอง และก็สรุปว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยากเกินไป ยังไม่ถึงเวลาของเรา อาจารย์อยากให้ศิษย์ลองคิดดูใหม่ ศิษย์คิดว่าถ้าศิษย์เลือกเป็นคนดีได้ ศิษย์ก็เลือกเป็นคนดี คนดีลงท้ายที่ไหน คนดีไปนรกหรือไปสวรรค์ (ไปสวรรค์)  เมื่อศิษย์ไปถึงสวรรค์แล้ว ไม่ไปให้ถึงนิพพานหรือ ใกล้นิดเดียวไปไม่ไป (ไป)  จะไปนิพพานเพิ่มอีกอย่างเดียว จะไปสวรรค์ต้องเป็นคนมีบุญ มีกุศล จะไปนิพพานเพิ่มอีกนิดเดียว ตัดกิเลส ง่ายไม่ง่าย (ง่าย)  รู้สึกว่าเสียงมันสะท้อนอยู่ในหัวใจตัวเองไหม เคยเห็นเด็กทารกไหม เมื่อวานก็อยู่กับเด็กมาแล้ว เด็กดูแล้วใสไหม (ใส)  ดูแล้วมีกิเลสไหม (ไม่มี)  แล้วเราเคยเป็นเด็กไหม เราเคยเป็นคนที่ไม่มีกิเลสมาก่อนทุกคน แต่กิเลสเกิดขึ้นหลังจากที่เราเติบโตขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก็แค่กลับไปสู่จิตใจเดิมๆ แค่หันหลังเดินกลับไปแค่นั้นเอง ยากไหมยาก (ไม่ยาก)
วันนี้เซียนไม่ได้นั่ง อยู่กับอาจารย์เซียนอดนั่ง มีใครที่ยืนอยู่แล้วไม่เอาตัวพิง ส่วนใหญ่ก็เกาะไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่คนแถวหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกว่าการบำเพ็ญธรรม คือการที่ถูกบังคับให้เราได้ถูกกดดัน บังคับให้เราได้ลำบาก บังคับให้เราต้องสู้  ศิษย์ลองคิดดูว่าตอนนี้ ถ้ามีคนกดหัวศิษย์ลงพื้น ศิษย์จะทำอย่างไร จะยอมให้เขากดจนติดเลยไหม (ไม่ยอม)  เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเขากดแล้วเรายอม ให้เขากดจนหัวถึงพื้น แล้วเราเอามือยันไว้ ถ้าหากว่าหน้าติดพื้นเมื่อไร เราจะยอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นการที่อาจารย์บอกว่า ต้องโดนกดดัน ต้องให้รับความยากลำบาก การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ศิษย์โดนกดอยู่ ก็คือโดนกรรมเวรของตัวเองกดอยู่ และนี่เป็นอำนาจที่อยู่เหนือตัวศิษย์ แต่ว่าศิษย์จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ การที่ได้รับความยากลำบาก บางทีไม่ใช่เบื้องบนทดสอบ แต่กรรมวิ่งมาหา มากดเราไว้แต่เราไม่ยอม ก็ให้ศิษย์พยายามที่ต่อสู้  ถ้าหากเบื้องบนมาทดสอบกดศิษย์ไว้ ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ศิษย์เลือก ในยามที่ลำบากที่สุด ในยามที่ต้องถูกสิ่งที่ตัดสินใจยากเข้ามาบีบบังคับ  ถ้าหากศิษย์กล้าที่ตัดสินใจไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดนคนนินทาครหามากๆ ในยามที่ถูกกดอย่างนี้ เหมือนคนมากดหัวเราไว้ เราก็กล้าตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็คือที่หนึ่งในการผ่านข้อสอบนั้นๆ มา ในการได้พ้นจากกรรมนั้นๆ มา  ฉะนั้นคนที่อยู่ข้างหน้าก็เปรียบเสมือนคนที่โดนกดอย่างที่อาจารย์ว่า ศิษย์อยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ มีแต่ถูกบังคับให้ยืนไว้ ส่วนคนข้างหลังมีที่เกาะก็เกาะเข้าไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคนที่ยืนข้างหน้าข้างหลังใครยืนเก่งกว่ากัน (คนข้างหน้า)  เพราะว่าเราเหมือนกับได้รับสิ่งที่ลำบากมากกว่า เมื่อเทียบไปแล้วคนที่อยู่ข้างหน้าก็เหมือนกับอาจารย์อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า เหมือนกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมที่อยู่ข้างหน้า ยิ่งอยู่หน้าเท่าไรยิ่งไม่มีอะไรให้เกาะ  เมื่อเราเป็นอาจารย์บรรยายธรรม เมื่อเราเป็นฐันจู่ หรือขณะที่เรานำใครอยู่ เราก็คือผู้นำ แล้วผู้นำก็ต้องยืนอยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ มีแต่ถูกกดไว้แล้วก็ต้องตัดสินใจต้องเลือก ต้องคิด ทั้งที่คิดไม่ออกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากศิษย์สามารถพ้นได้ก็จะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องที่ลำบากจนเกินไป เพราะว่าในปัจจุบันนี้ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมในขณะที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ให้ออกไปบำเพ็ญคนเดียว ศิษย์ยังมีพ่อยังมีแม่ ยังมีญาติและคนรอบข้าง เมื่อเวลาที่เรายากลำบากก็ยังมีคนที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ การบำเพ็ญธรรมยุคนี้จึงไม่ยากจนเกินไป แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการบำเพ็ญธรรมในตอนนี้คือการฝ่าจิตใจของตัวเราเอง จิตใจของเราเองที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดสำหรับการบำเพ็ญธรรม  เมื่อวานเซียนน้อยมาพูดให้ศิษย์ได้รู้จักดีไม่ดีเป็นอย่างไร ธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันใช้อย่างไร  เมื่อวานนี้เป็นภาพมนุษย์ สอนให้รู้เรื่องมนุษย์และการคงอยู่ในโลกมนุษย์นี้  ถ้าหากว่าศิษย์กลับไปบำเพ็ญธรรม ศิษย์เอาธรรมะที่เมื่อวานใช้ ไปใช้กับชีวิตทุกวันได้และเป็นคนดีที่หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้อาจารย์สอนให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเพื่อให้กลับไปเป็นพุทธะ หากว่าศิษย์สามารถทำได้ศิษย์ก็เป็นพุทธะ เพราะคนที่เป็นพุทธะได้ต้องมาจากมนุษย์
(พระอาจารย์เมตตาถามหัวหน้าชั้นว่า)  กลับไปบ้านจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก (เปิดประตูบ้าน)  ลองตีความหมายว่า เปิดประตูบ้าน เทียบกับอะไร ธรรมะคือธรรมชาติไม่ว่าศิษย์จะตอบมาอย่างไร จะตลกขบขัน แต่ทุกอย่างสามารถใช้เป็นปริศนาธรรมได้สำหรับอาจารย์  ถ้าหากอาจารย์จะบอกว่า การที่ศิษย์เกิดมาชีวิตหนึ่งนี้ก็เปรียบเสมือน ศิษย์เดินเข้าบ้านหลังหนึ่ง เดินเข้าบ้านหลังนี้แล้วศิษย์ยังไม่เคยออกมาเลย วันๆ เฝ้าแต่คิดว่าความดีเป็นอย่างไร ถ้าจะบำเพ็ญธรรมะ บำเพ็ญอย่างไร เงินทองหามาอย่างไร วันๆ มีแต่นั่งคิดไปต่างๆ นาๆ คำว่าเปิดประตูในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เปิดประตูเข้าไป เพราะศิษย์เข้าไปตั้งนานแล้ว อาจารย์หมายความว่า ให้ศิษย์เปิดประตูออกมาจากความคิดเพ้อเจ้อ ความคิดฝันกลางวันออกมาจากการคาดเดา ถ้าหากว่าเราเอาชีวิตของเราตั้งอยู่บนโลกแห่งความจริง ศิษย์จะได้รู้ว่า ชีวิตของศิษย์มีค่ามากกว่านั้น มีค่ามากกว่าการเดินเข้าบ้านหลังหนึ่งไป แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยออกมาทำประโยชน์ให้กับใคร เราออกจากบ้านหลังนั้นมาเพื่อที่จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่น  การเปิดประตูครั้งนี้ อาจารย์หมายความว่า ขอให้ศิษย์ได้เปิดประตูออกมา เปิดประตูความทิฐิ เปิดประตูของความอิจฉา ความเพ้อเจ้อ ออกมาอยู่กับโลกของความเป็นจริง ทำในสิ่งที่ตัวเองสมควรจะทำ ชีวิตคนไร้ค่าก็เพราะศิษย์รู้ว่าสมควรทำอะไร แต่ยังไม่เคยลงมือ จิตใจหนึ่งเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะโดนคนว่า กลัวว่าถ้าทำออกไป
แล้วจะไม่ได้ดีเท่าไร ก็เลยไม่เคยกล้าลงมือทำ  แต่กลับกัน การเล่นหวยเป็นเรื่องที่น่าทำไหม (ทำ) แล้วศิษย์รู้ไหมว่าการที่เราไปซื้อจะขาดทุนหรือได้กำไร (ขาดทุน)  ก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าหากเราออกไปซื้อเราก็ต้องขาดทุนแน่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ก็โดนกิน แต่ทำไมกล้าไปทำ (เป็นกิเลส, ความโลภ)  ในทางกลับกันสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่บางทีศิษย์กล้าไปทำมากกว่าที่จะไปทำดี เพราะอะไร ในเรื่องนี้ก็บอกว่าศิษย์มีความโลภ มีความอยากได้เงิน ต่อเรื่องอื่นๆ ที่เป็นลักษณะนี้ กับเรื่องที่เป็นความดีส่วนใหญ่เราก็ไม่กล้าไปทำ เรื่องที่เป็นความชั่วส่วนใหญ่เรากล้าทำ  อาจารย์อยากให้ศิษย์มองกลับกัน ถ้าหากว่าศิษย์ไปทำดีต่อสิ่งใดก็แล้วแต่ ผลที่กลับมาอย่างมากที่ไม่ดีที่สุดก็คือ ไม่มีผลตอบแทนของความดีนั้นกลับมาเลย อย่างเช่นเราไปช่วยเขาแต่เขาบอกว่าเรายุ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ อย่างมากก็แค่นั้น วันหลังเราก็ต้องดูตาม้าตาเรือใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเขาแนะนำว่าเรายังไม่ได้ดู วันหลังเราก็ต้องดูใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะเข็ดไหม (อย่าเข็ด)  ส่วนใหญ่แล้วเข็ด แต่พอเป็นเรื่องทำความชั่ว ไปซื้อหวยแล้วถูกกิน ครั้งต่อไปซื้อไม่ซื้อ (ซื้อ)  เรื่องไม่ดี อย่างคนนี้บอกว่าไม่เคยซื้อ แต่ถามว่าไม่เคยเลยหรือชีวิตนี้ ก็ตอบว่าเคย กับเรื่องที่ไม่ดีก็เคยทำมาแล้ว  บางคนก็ทำครั้งหนึ่ง บางคนก็ทำสองครั้ง อย่างนี้กลับกล้าที่จะลองใช่หรือไม่ (ใช่)  ความไม่ดีนั้นก็เหมือนเหล้า กินแล้วก็เมา มีกี่คนที่กินแล้วไม่เมามีไหม (ไม่มี)  ถ้าหากว่ายังไม่เมากินมากๆ ไปก็เมา หากว่าเรากินจนไม่เมาได้แสดงว่าเราต้องเป็นเซียนเหล้าทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  กินมากๆ เป็นโรคตับแข็ง อย่างนี้เป็นเซียนเหล้าหรือเป็นเซียนบนฟ้าดี  เป็นเซียนกิเลสหรือเป็นเซียนบนฟ้าดี (เซียนบนฟ้า)  ไม่ต้องทำความไม่ดีจนกระทั่งเขาเรียกเราว่าเป็นเซียนนะ อย่างนี้คงไม่ดีเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เซียนเหล้า ผีพนันอย่างนี้เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ต้องหัดที่จะทำความดีให้มากๆ ความดีนั้นช่วยจรรโลงโลกเหมือนกับน้ำที่ไว้รดน้ำต้นไม้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นนานๆ ทำทีต้นไม้ของศิษย์ตายไม่ตาย (ตาย)  เราไม่ค่อยรดน้ำต้นไม้ก็ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารดน้ำตรงเวลาตามเวลาต้นไม้ตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  ชีวิตของเราก็คือต้นไม้ต้นนั้น อยากให้ต้นไม้ของชีวิตของเราตายไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากให้ต้นไม้ของเราตายก็ต้องหัดทำความดีมากๆ ถ้าหากทำความชั่วก็เหมือนกับอะไร (การไม่รดน้ำต้นไม้)  ในที่นี้รู้เรื่องต้นไม้ทุกคน ต้องให้อาจารย์สอนปลูกต้นไม้ไหม ถ้าหากว่าต้นไม้โดนอะไรแล้วจะตาย (แมลงที่กัดกินต้นไม้)  การทำไม่ดีก็เหมือนกับแมลงกัดต้นไม้ ความไม่ดีได้เข้าไปกัดต้นไม้ทีละนิดทีละหน่อยจนต้นไม้ต้นนี้ตายโดยไม่รู้ตัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นให้ศิษย์เลือกระหว่างความดีที่เหมือนกับน้ำที่ไปรดไปหล่อเลี้ยง กับให้ศิษย์เลือกทำความชั่วที่เหมือนแมลงกัดต้นไม้ตายโดยไม่รู้ตัว จะทำอะไรกับชีวิตของตัวเองดี (ทำความดี)
“อย่าให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด เพียรตลอดอย่าให้ความพยายามถึงฝั่งก่อน”  ระหว่างเรือกับความพยายาม เรือก็คือตัวเราที่อยู่บนเรือกับความพยายามต้องไปควบคู่กันใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่แล้วศิษย์ของอาจารย์เกือบทำสำเร็จแล้ว แต่ความที่ว่าเพียรพยายามมานานมากเกินไป ความพยายามไปถึงที่สุดก่อนที่ความสำเร็จจะวิ่งมาหา บางทีความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม แต่ความสำเร็จนี้ไม่มีรูปให้ศิษย์เห็นเหมือนกับเสื้อผ้า เงินทอง ความสำเร็จเหล่านี้ไม่มีรูปให้ศิษย์เห็น ศิษย์จึงไม่รู้ว่าเราควรที่จะทำต่อไป คำว่า “ใกล้” ของอาจารย์บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าสองวัน คำว่าใกล้อาจจะหมายถึงสองปีก็ได้ แต่หมายความว่าในที่สุดจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่ความพยายามของเราไปถึงฝั่งก่อน ส่วนเรือของเราที่พยายามจะพายอยู่นี้มันไม่ไปถึง ถ้าหากว่าความพยายามไปถึงฝั่งก่อนเรือ เรือลำนี้ก็ล่มเมื่อใกล้ที่จอดใช่หรือไม่ (ใช่)
“คนสองสีอาจารย์หนาวหนาวร้อนร้อน”  คนสองสีมีสีขาวมีสีดำ แต่ว่าสองสีในที่นี้ไม่ใช่สองสีเหมือนเสื้อผ้า แต่หมายถึงสองสีที่จิตใจ จิตใจที่เป็นสองฝักสองฝ่าย รักดีบ้างรักชั่วบ้าง รักชอบบ้างรักไม่ชอบบ้าง พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง นึกอยากปลงก็ปลง ไม่อยากปลงก็ไม่ปลง นึกอยากได้ก็เอามา ไม่อยากได้ก็ไม่เอามา คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ ตามจิตใจตนเองเสียจนเคยตัว ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ไม่ได้อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอย่างเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้เบื้องบนอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ถูกเพราะว่าศิษย์เอาแต่ใจของตัวเอง นึกอยากทำก็ไปทำ นึกไม่อยากทำก็ไม่ทำ ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนที่ต้องช่วยคนๆ นี้จะเบื่อไหม (เบื่อ)  แต่อาจารย์ไม่ได้เบื่อหรอกนะ ไม่ได้เบื่อศิษย์ของอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์มีศิษย์มากมายเข้าใจนะ เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวให้เป็นคนแน่นอน คนที่แน่นอนไม่ว่าจะพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นก็ชื่นชม แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็ยังจะชื่นชม ชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักที่จะเป็นคนที่แน่นอน เมื่อเราคิดจะทำดีก็ต้องทำดี เมื่อเราคิดจะทำไม่ดีก็ต้องรู้จักกลับตัวกลับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่านึกจะทำดีก็ทำ พอนึกจะทำไม่ดีก็ไปทำอีก แบบนี้เสร็จแน่ๆ เลย
การที่อยากจะบำเพ็ญธรรมนั้นมีอยู่ทางเดียวคือ ทางที่จะทำดีเท่านั้น แต่การทำดีนั้นมีอยู่หลายลักษณะ หลายรูปแบบ หลายสถานะการณ์ ต้องใช้ปัญญาของเรามาช่วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ต้องยอมให้ความต้องการ ความเชื่อมั่นของศิษย์ควบคู่ไปกับปัญญาและความรู้ของศิษย์ บางคนความรู้น้อยความต้องการก็ต้องน้อยด้วย บางคนมีความเชื่อมั่นมาก ปัญญาของศิษย์ก็ต้องสูงด้วย จึงจะควบคู่ไปพร้อมๆ  กันได้ บางคนความรู้น้อย ภาวะที่จะได้มาน้อยแต่ความต้องการของศิษย์ไม่สมดุลกัน เพราะฉะนั้นเราจึงเกิดความล้มเหลวขึ้นบ่อยๆ  ระหว่างความต้องการและความรู้ ความเชื่อมั่นและปัญญาจะต้องควบคู่กัน จะต้องให้ตัวเองอยู่บนความสมดุลให้ได้ ปัญญานั้นนำมาพลิกแพลง ความเชื่อมั่นต้องคงอยู่และจะต้องมีสืบไป บนเหตุบนผล บนความถูกต้องเข้าใจไหม
เมื่อวานเซียนน้อยบอกว่านักเรียนที่นี่เบื่อเก่ง นั่งๆ ไปยังกล้าหลับ ถ้าหากว่าอาจารย์มาสอนศิษย์ที่นี่ อาจารย์ก็คงต้องบอกว่าถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับพุทธะเบื้องหน้า พุทธะที่สำเร็จไปก่อนหน้านี้ท่านนั่งเกวียนลุยไปข้างหน้าตามรอยเกวียน เมื่อเกวียนผ่านไปศิษย์ยังเห็นรอยไหม (เห็น)  ศิษย์ของอาจารย์ถึงแม้ว่าจะลำบากมากเท่าไรในการมุ่งมั่นบำเพ็ญธรรม ศิษย์ก็ยังพอจะมองเห็นรอยเกวียนที่คนข้างหน้าเขาวิ่งไปแล้ว ศิษย์ก็แค่วิ่งตามรอยเกวียนนั้นมา บางทีบางเรื่องเคยเกิดมาแล้วในอดีต ศิษย์ก็แค่เดินตามหรือทำตาม แก้ปัญหาอย่างที่คนข้างหน้าเขาแก้ แต่ไม่ใช่เลียนแบบไม่ใช้ปัญญาเลย  ต้องใช้ปัญญาบ้าง เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ รอบตัวก็เปลี่ยนไป จิตใจของมนุษย์สมัยนี้ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าจิตใจของมนุษย์สมัยนี้จะไม่ดี แต่จิตใจของมนุษย์สมัยนี้ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่เหมือนกับจิตใจของคนสมัยก่อน จิตใจของคนสมัยก่อนถึงแม้ว่าเขาจะไม่ดีแต่เขาก็หนักแน่น ในสมัยนี้คนไม่ดี หรือคนดี ก็ไม่ค่อยหนักแน่น การที่เราจะแก้ปัญหาอะไรสักอย่างก็เลยเป็นเรื่องยาก เหมือนกับที่อาจารย์บอกศิษย์ตั้งแต่ต้นว่า ศิษย์เคยตัดกิเลสอันนี้ไปได้แล้ว แต่ถึงวันดีคืนดีก็กลับมาใหม่เพราะว่าเราไม่หนักแน่นพอ  เมื่อตัดแล้วก็ตัดไม่ขาดเลยกลายเป็นปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าอยากจะหนีปัญหาก็หนีไม่พ้น แต่หากว่าอยากจะแก้ปัญหาก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่หรือไม่ อย่าไปเสียดายจิตใจของเราที่เราเคยหลงสิ่งนี้ เคยรักสิ่งนี้ เคยชอบสิ่งนี้ บางทีก็เหมือนกับการตัดเนื้อร้ายสักชิ้นออกไป  ถ้าหากว่านิ้วของศิษย์เป็นนิ้วที่เสียถ้าหากว่าไม่ตัดเนื้อร้ายก็จะกินไปเรื่อยๆ จนแขนกุด ศิษย์จะทำอย่างไร จะปล่อยให้กินไปเรื่อยๆ หรือไม่ เราก็ต้องพยายามหาวิธีทางรักษา แต่หากทำไม่ได้ก็ต้องยอมตัดทิ้งใช่หรือไม่ ถ้าหากไม่ตัดทิ้งจะเป็นอย่างไร มันก็กินไปเรื่อยๆ  ในที่สุดก็กินไปถึงหัวใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นความเด็ดขาดก็จำเป็นต้องมีในตัวตนทุกคนไป เด็ดขาดเพื่อให้อนาคตของเราดี บางทีการบำเพ็ญก็ขาดความสบาย ขาดคนรัก ไม่มีใครรัก บางทีก็ขาดความแข็งแรงของร่างกาย แต่การบำเพ็ญก็ไม่ได้ให้ศิษย์มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง คนที่มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างคือคนที่ไม่ยอมบำเพ็ญ  เพราะว่าพร้อมสมบูรณ์มากเกินไปจนกระทั่งลืมไปว่าอยู่ในทะเลทุกข์ ฉะนั้นวันนี้แม้ว่าเราจะมีความลำบากมีอุปสรรคบ้าง แต่นั่นจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้ศิษย์กล้าที่จะออกมาบำเพ็ญ บางทียังต้องขอบคุณสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น)  วงคำว่า “ต้อง”  อาจารย์ขอให้ศิษย์แม้ว่าต้องเจออุปสรรคอะไรก็ต้องบำเพ็ญ ได้ไหม (ได้)  เพราะชีวิตคนเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ใช่จะราบรื่นตลอด อย่างไรก็ต้องบำเพ็ญ  ถ้าทางที่ศิษย์เลือกคือทางนิพพาน เดินไปก็ต้องถึง เพราะยังไงก็ต้องบำเพ็ญ เข้าใจไหม  การเล่นหวยไม่ดี แต่ถ้าถูกก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้คิดแบบคนที่ไม่มีสิทธิ์จะหลุดพ้น ตอนนี้ศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ หากวันไหนมีคนที่อยากได้ศิษย์ของอาจารย์ เพราะรู้ว่าอาจารย์จะพาไปนิพพาน ถ้าหากรู้ว่าคนไหนจิตใจไม่มั่นคงพอ มีจุดอ่อนตรงชอบซื้อหวย ก็ให้ถูกหวยทุกงวดเลย เสร็จแล้วยังจะเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงอยู่ไหม ก็ไปเป็นศิษย์ของมารร้าย ไปเป็นศิษย์ของอบายมุข ไปเป็นศิษย์ของคนที่อยากจะลากศิษย์ไปลงนรก ไปหรือไม่ไป  เราไม่ได้มีชีวิตเกิดมาเพื่อกินเหล้า ไม่ได้มีชีวิตเกิดมาเพื่อลุ่มหลง ศิษย์มีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อชดใช้หนี้กรรม)  ชดใช้หนี้กรรมก็ดี แต่ต้องสร้างบุญด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พาตัวเองให้หลุดพ้นด้วยดีหรือไม่ (ดี)  ชาตินี้เราเกิดเป็นคนมีความทุกข์มากไหม (มาก)  ตอนนี้บอกมีความทุกข์มาก แต่จริงๆ แล้วอาจจะยังไม่มากเท่าไหร่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ว่ารอบต่อไปของการเวียนว่ายตายเกิด เราจะไปเกิดเป็นอะไร ตอนนี้เราว่าเราเกิดเป็นคนเราก็ลำบาก ก็ทุกข์แล้ว ถ้าคราวหน้าเกิดไปเป็นหมูให้เขาเชือด ลำบากไหม (ลำบาก)  หมูมีชีวิตวันๆ หนึ่ง สบายหรือเปล่า (ไม่สบาย)  เขามาเลี้ยงเรากิน อยู่ไปก็เหมือนเทวดา เหมือนราชา มีคนเขาประเคนให้ตลอดเวลา เวลาที่เรากิน เขาก็ให้เรากินอย่างเต็มที่ ไม่มีใครห้าม เหมือนกับให้เราถูกกิเลสมาปรนเปรออย่างเต็มที่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนสมัยนี้ บางคนก็ชอบกินเหมือนหมู กินโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ เรียกว่ามีกิเลสอยู่ที่ปาก กินเข้าไปชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็เกิดเป็นหมู ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  มีชีวิตให้สบายเต็มที่ เกิดเป็นคนกินมากไป มีคนบ่น ถ้าหากเกิดเป็นหมู จะมีคนบ่นไหม (ไม่มี)  ยิ่งเรากินมากเขายิ่งชอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สบายไปตลอดชีวิตเลย จบที่ไหน โดนฆ่าตาย  ตอนนี้เกิดเป็นคนก็ลำบากแล้ว ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ เกิดเป็นคนก็ยังดี เพราะฉะนั้นเราควรที่จะเริ่มจากจุดที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อาจารย์พูดศิษย์อาจจะยังไม่เชื่อ ว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องยาก อย่างเราหรือจะทำได้ ศิษย์ได้ลองแล้วหรือยัง (ยัง)  แล้วกล้าลองไหม (กล้า)  ซื้อหวยยังซื้อถูกซื้อผิด ตอนนี้ให้ลอง จะลองไหม (ลอง)  ลองสักตั้งดีไหมผู้ชาย (ดี)  ลองสักตั้งดีไหมผู้หญิง (ดี)  ตอนนี้ทุกๆ คนก็เหมือนกับปลาที่อยู่ในน้ำสายหนึ่ง ปลาเมื่อตอนที่เกิด แม้จะเกิดในที่ไกล แต่เขาก็สามารถว่ายทวนน้ำก็ไปสู่ต้นน้ำที่เป็นของเขาได้ นั่นหมายถึงเป็นที่ที่บรรพชนเขาอยู่ได้ โดยที่เขาไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่า ต้นน้ำอยู่ที่ไหน แต่เขาสามารถว่ายไปถูกทิศทาง ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ศิษย์ทุกๆ คนมีจิตใจที่อยู่ภายใน พูดอีกทีก็คือญาณหรือจิตแท้  พูดอีกทีก็คือจิตแห่งพุทธะที่อยู่ภายใน  ถึงแม้ว่าตอนนี้ ศิษย์ของอาจารย์จะไม่รู้ว่า จิตพุทธะมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าตัวเรามีจิตพุทธะอยู่ ไม่รู้ด้วยว่าไปนิพพาน ไปอย่างไร ศิษย์ก็เหมือนปลาตัวนั้น ทุกๆ คน รู้วิธีการจะกลับคืนขึ้นสู่นิพพานได้ เพียงแต่ว่าใครอยู่ไกล อยู่ใกล้มากกว่ากัน ในที่สุดศิษย์ก็จะไปถึงโดยที่ศิษย์ไม่รู้ตัวทีเดียว ขอเพียงแต่ว่าเราจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูจิตใจของเราให้เหมือนเดิมให้ได้ ยิ่งจิตใจของเราฟื้นฟูได้เหมือนเดิมมากเท่าไร เราก็ยิ่งใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  จำที่อาจารย์พูดได้หรือไม่ ปลาตัวนั้นแม้จะอยู่ปลายน้ำ แต่ว่าโดยสัญชาติญาณแล้ว เขากลับต้นน้ำถูกต้อง แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้เลยว่า ต้นน้ำเดิมอยู่ที่ไหน แต่ปลาตัวนี้ว่ายกลับไปถูก เหมือนกับศิษย์ ศิษย์ก็คือปลาที่อยู่ปลายน้ำ ที่มาโดนปล่อยไว้ไกล แต่หากว่าศิษย์เชื่อในสิ่งที่อาจารย์พูด อาจารย์จะบอกว่าศิษย์กลับต้นน้ำถูก บำเพ็ญกลับสู่นิพพานได้ ต่อให้วันนี้ไม่มีอาจารย์ มาช่วยชี้ทางบอกศิษย์ สักวันหนึ่งศิษย์ก็กลับได้ เคยรู้อย่างที่อาจารย์พูดไหม ต่อให้อาจารย์ไม่ชี้บอก ศิษย์ก็กลับถูก เพราะศิษย์มีใจเป็นดั่งพุทธะเหมือนกับอาจารย์ สักวันหนึ่งก็กลับได้ เพียงแต่ว่าอีกนานแสนนาน  แต่ตอนนี้อาจารย์ช่วยย่นระยะทางหรือช่วยบอกทางให้ศิษย์รู้ว่าไปทางนี้ รีบๆ ไปอย่ามัวช้า หรือบางคนอาจารย์ก็จับขึ้นมาแล้วก็พาไปล่วงหน้าจนใกล้ๆ บอกว่าพยายามว่ายไปอีกนิดหนึ่งก็จะถึงแล้ว ขอให้รีบๆ ว่าย ฉะนั้นคนที่เป็นศิษย์อาจารย์ในชาตินี้ อย่างน้อยศิษย์ก็มีคนช่วยคุ้มครอง เพียงแต่ศิษย์ขอให้อยู่ในความคุ้มครองของอาจารย์ด้วยเหมือนกัน นักโทษที่พยายามจะแหกคุก ไม่ยอมรับความผิดของตนเอง พยายามแหกคุกออกมา แม้ว่าจะถูกกักขังไว้แน่นหนา ก็ยังออกมาได้  หากอาจารย์บอกในสิ่งที่ดีแล้ว หากจะพยายามหนีอาจารย์ไปก็ย่อมสำเร็จ เพราะอาจารย์ก็บอกศิษย์อยู่แล้วว่า ไม่ว่าศิษย์จะทำอะไร ก็ทำได้สำเร็จทั้งนั้น ทำดีให้สำเร็จก็ได้ ทำไม่ดีให้สำเร็จก็ได้ สำเร็จเป็นพุทธะก็ทำได้ สำเร็จเป็นผีนรกก็ทำได้ เวียนว่ายตายเกิดต่อไปก็ทำได้ อยากจะเป็นคนเหนือคนก็ทำได้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่ศิษย์จะทำอะไร  อยู่ในโลกมนุษย์ก็คืออยู่ท่ามกลางสวรรค์ และนรก วันหน้าอยากไปสวรรค์ ก็ต้องเลือกทางไปสวรรค์ตั้งแต่ยังมีชีวิต วันหน้าอยากไปนิพพาน ก็ต้องเลือกทางไปนิพพานตั้งแต่ยังมีชีวิต อย่าปล่อยให้ชีวิตสักแต่ลอยไปๆ แล้วรอสักวันให้ไปถึง หากว่าคนทุกคนบนโลกนี้ สามารถกลับคืนนิพพานได้อย่างที่อาจารย์บอก คนที่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม คนนั้นจะเป็นคนสุดท้าย แล้วศิษย์อยากเป็นคนสุดท้ายไหม (ไม่อยาก)  หากไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่ไปถึง ก็ขอให้เรารู้จักที่บำเพ็ญ รู้จักตัวเราเองว่าเราต้องแก้ไขปรับปรุงอะไร อย่าคอยให้คนอื่นเตือน เมื่อคนอื่นเตือนก็อย่าไปว่าเขา ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ศิษย์จะทำได้เวลานี้ ทุกคนเกิดมามีกรรมเหมือนกัน กรรมผลักดันให้ศิษย์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การจะหนีให้พ้นกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย การต่อสู้กับกรรม ดีที่สุดก็คือหันหน้าเผชิญ ยอมชดใช้และสำนึกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจารย์มาทุกครั้งก็จะพูดอะไรที่คล้ายๆ อย่างนี้ แต่อาจารย์ก็เห็นศิษย์ของอาจารย์บางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีศิษย์อาจจะเข้าใจ แต่ในทางปฏิบัติกลับอยู่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของศิษย์ เกินกว่าที่อาจารย์จะเชื่อว่าศิษย์เข้าใจจริงๆ 
 (พระอาจารย์เมตตาประทานท๊อฟฟี่)
เห็นท๊อฟฟี่ไหม อาจารย์มักจะแจกท๊อฟฟี่ให้ศิษย์แล้วพูดว่า ขอให้ศิษย์เป็นคนพูดจาหวานๆ พูดจารื่นหู เพราะมีแต่คนที่ชอบฟังคำพูดที่ดีๆ ทั้งนั้น ไม่มีใครชอบฟังคำพูดที่ทิ่มแทงใจ เพราะว่าคำพูดมันทิ่มแทงใจได้มากกว่าอาวุธศาสตราใดๆ ไม่ว่าเราจะเป็น คนประเภทไหน จะเป็นคนชอบอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ตอนที่เราพูดออกมาต้องรู้จักพูดแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น คนเรามีภาพพจน์ของตัวเองอยู่ ถ้าหากว่าการที่เราสามารถที่จะสร้างภาพพจน์ของเราได้ด้วยคำพูดก็จะเป็นการดี แต่ว่าภาพพจน์จากคำพูดก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มีอยู่ ย่อมต้องประกอบไปด้วยการกระทำ การปฏิบัติ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความจริงใจ เพราะว่ามนุษย์สมัยนี้ไม่ค่อยจะมีความจริงใจให้กัน เวลาที่ทำอะไรแล้ว ไม่ค่อยจะมีความจริงใจให้กัน ก็เลยกลายเป็นดาบสองคมที่จะประหัตประหารตัวเอง ถ้าหากว่าเราพูดดี ก็ต้องรู้จักที่จะทำดี เมื่อเราสร้างภาพพจน์ด้วยคำพูด ก็ต้องรู้จักที่จะรักษาภาพพจน์นั้นๆ ด้วย อันว่าพูดอะไรต้องทำสิ่งนั้นได้ ถ้าหากว่าพูดแล้วทำไม่ได้ คนเขาก็ไม่ฟังเรา เหมือนอาจารย์บรรยายธรรม ถ้าหากว่าเราพูดธรรมะได้ดี เราก็ต้องทำได้ดีด้วย จึงเป็นการรักษาภาพของตนเองอยู่ อย่าเป็นคนที่สร้างภาพ เพราะว่าคนใช้เวลาตลอดชีวิตในการพิสูจน์ซึ่งกันและกัน  วันนี้เราให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนอย่างไร วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ ปีสองปียังพอไหว บางคนไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ก็ยังดี ถ้าเจอกันทุกวัน ถ้าเป็นนักสร้างภาพจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ภาพต่างๆ มันออกมาจากใจของศิษย์ ดีก็ดีมาจากใจ ไม่ดีก็ต้องขจัดให้ทิ้งไปจากใจ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้)  ยืนๆ ริมบันไดอย่าให้ตกบันไดไปนะ เดี๋ยวจะต้องกลับไปอยู่กับอาจารย์เร็วเกินเหตุ หรือไม่อีกทีหนึ่ง กลับไปอยู่ไม่ได้เพราะว่ามาเร็วเกินไป กุศลยังไม่ทันจะสร้าง
ทำไมอาจารย์แจกท๊อฟฟี่วันนี้ ท๊อฟฟี่ก็มีรสชาติหวานอร่อยดีใช่หรือไม่ เคยเห็นเด็กกินท๊อฟฟี่ไหม กินมากๆ ฟันก็ผุ เพียงแต่ผู้ใหญ่รู้จักระมัดระวังมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในสายตาอาจารย์ศิษย์ทุกคนก็ยังเป็นเด็กอยู่ เป็นเด็กที่กินท๊อฟฟี่แล้วฟันผุทุกคน แต่ไม่ได้ผุที่ฟัน ไปผุที่ใจเพราะอะไร เวลาเรากินท๊อฟฟี่ไปมันก็มีรสชาติหวาน เป็นเด็กก็ติดใจรสชาติหวานอย่างนี้ รสชาติหวานๆ อย่างนี้ก็เปรียบเหมือนกับกิเลสของเราเอง กิเลสก็มีสิ่งที่ทำให้ศิษย์ติดใจ ติดใจรสชาติความหวาน เวลาที่เรามีกิเลส พอกินเข้าไปแล้วก็ติดใจ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ แต่ในที่สุดฟันก็ผุ ใจก็ผุ ผุเพราะว่ากิเลสที่เราสะสมมากเกินไป  เพราะฉะนั้นบางทีจึงต้องลด ละ และก็เลิกใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กๆ เวลาเขาจะกินท๊อฟฟี่เขาก็กินได้ตามใจ เขาอยากจะกินเท่าไรเขาก็กิน ถ้าเราไม่ไปห้ามเขาก็กินไปเรื่อยๆ  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็กำลังอมอยู่เหมือนกัน แต่อมกิเลสไว้ แล้วพออมไปเรื่อยๆ  ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักห้ามตัวเองเราก็กินไปจนฟันของเราผุ เราอมกิเลสไว้ก็ทำให้ใจของเราผุใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นผลของการสะสม เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะยับยั้งช่างใจของตัวเราเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จักยับยั้งช่างใจตัวเองแล้ว ใครจะเป็นผู้ห้ามไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเวลาคนห้ามไม่ชอบฟังใช่หรือเปล่า ถึงฟังก็ไม่เชื่อใช่หรือไม่ หน้าอย่างหลังอย่างก็มี ล้วนแต่เป็นความไม่ดี ต้องพยายามที่จะเตือนตัวเองถ้าหากว่าไม่ชอบให้คนอื่นเตือนเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า .เห็นแก่ส่วนรวม”  ไว้ที่สถานธรรมฉงเต๋อ และได้ประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า “มากกว่าส่วนตน” ที่สถานธรรมเจิ้งซิน)  คำว่า เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เป็นหนึ่งในความตั้งใจของพุทธะอริยะ หรือว่าวีรชนปราชญ์ทั้งหลายที่พร่ำช่วยคนอื่น ถ้าหากคิดเราจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองแล้วจะมีใครทำเพื่อคนอื่นบ้าง ถ้าหากว่าเราคิดว่าทำทุกอย่างเพื่อตนเองจะมีวีรบุรุษที่ไหน ที่เขาถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ วีรชนก็เพราะว่าเขานั้นช่วยผู้อื่น อันว่าช่วยนั้นมีช่วยมาก ช่วยน้อย อาจารย์ไม่ได้อยากให้ศิษย์เป็นวีรชนพร้อมๆ  กันทุกคน เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักช่วยผู้อื่นเท่าที่ตัวเองสามารถที่จะทำได้ในเวลาอันเหมาะสม บางคนชักช้าเห็นแล้วแต่ทำเป็นไม่เห็น ผ่านๆ  เลยไป ถึงเวลาผ่านเลยไปแล้วคิดว่าตอนนั้นน่าจะช่วยแล้วเป็นอย่างไร เสียใจไหม (เสียใจ)  ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น คนจมน้ำตายศิษย์จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่หากว่าเป็นเรื่องเล็กๆ  เช่น เห็นแม่บ้านกำลังทำกับข้าว คิดว่าจริงๆ  เราน่าจะช่วยเขา แต่ความที่ว่าเราเป็นผู้ชายเราไม่ชอบช่วย เราก็ไม่ช่วย การแสดงน้ำใจเล็กๆ  น้อยๆ  ทำไม่ได้ ถามว่าวันหลังเรียกให้แม่บ้านช่วย แม่บ้านอยากช่วยไหม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักช่วยเขา เขาจะช่วยเราไหม พูดง่ายๆ ถ้าหากว่าคนเป็นลูกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่เราน่าจะเดินเข้าไปช่วยแต่เราไม่ช่วย ถึงเวลาผ่านไปแล้ว และมาคิดว่าตอนนั้นเราน่าจะช่วยแม่ ผ่านไปแล้วอาหารออกมาแล้วจะช่วยทันไหม  คนที่อยู่อุบลฯ ต้องรักสามัคคีกันให้ดีๆ ปีๆ ผ่านไปเราไม่รู้อนาคตเราเป็นอย่างไร ปีที่แล้วก็มีคนช่วยเรามากกว่านี้ ปีนี้แม้แต่จะช่วยกันเขาก็ยังไม่ยอมมาเลย เพราะฉะนั้นต้องดูว่าเราดูเขาแล้วเอามาเป็นตัวอย่าง ว่าเราจะไม่แตกแยกกันอย่างนั้น ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อภัยกัน รักกัน สามัคคีกัน ทำได้ไหม  สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ผ่านมาศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว สิ่งใดที่เคยเห็นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเก็บมาเป็นบทเรียน และต้องจำไว้ว่าเราจะบำเพ็ญตลอดชีวิต ฉะนั้นเวลาที่เราต้องทน ก็ขอให้ทน ถ้าหากว่าเราทนไม่ไหวอาจารย์อยากให้ศิษย์สงบใจลงพิจารณา ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวาง บำเพ็ญธรรมะก็ต้องใช้ธรรมะให้เป็น ถ้าหากว่าใช้ธรรมะไม่เป็นจะได้ชื่อว่าบำเพ็ญธรรมะแต่ชื่อเข้าใจไหม เวลาเจอคนทะเลาะกันพยายามอย่าเข้าข้างใครคนไหนมากกว่าใคร ถ้าหากว่าเราไม่รู้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะทำให้ความแตกแยกที่เกิดขึ้นลามไปมากกว่าเดิม ทุกคนที่เป็นศิษย์อาจารย์ก็บำเพ็ญธรรมะด้วยหัวใจทั้งนั้น อันว่าเคยที่จะเป็นศิษย์อาจารย์ เคยฟังคำพูดของอาจารย์ทุกคนก็มีจิตใจที่ดีงาม เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งถูกสิ่งที่ไม่ดีมาบดบัง เราอย่าได้โกรธกัน เราอย่าได้เถียงกัน ขอให้เรามีความเข้าใจ และเชื่อว่าทุกคนบำเพ็ญธรรมะด้วยหัวใจเช่นกัน ในตอนนี้เวลาที่คนเขาโมโห เวลาที่คนเขาโกรธ พูดอะไรไปก็คงฟังไม่เข้าหู แต่อย่าลืมว่าเราต้องห้ามปากของเรา ที่เรามีไว้พูด
เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนไว้ว่าอย่างไร สอนไว้ว่าตาไปบอกหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เราควบคุมหัวใจและไปควบคุมตา ควบคุมหัวใจและมาควบคุมปากของเรา ให้เราพูดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น บางเรื่องปล่อยผ่านๆ ไป เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะดีขึ้น บางเรื่องก็ไม่ใช่อย่างนั้นที่ไม่ดีขึ้นก็อาจจะดีขึ้น ก็อาจจะเป็นเพราะเราเป็นส่วนที่ทำให้เขาแตกแยก เพราะเราพูดเยอะก็เป็นไปได้ ฉะนั้นเวลาเจอคนที่ทะเลาะกัน คนที่ไม่เข้าใจกัน ถ้าจะพูดก็ขอให้พูดแต่สิ่งที่ดี ศิษย์ต้องเชื่อมั่นว่าทุกคนเข้ามาบำเพ็ญธรรมะเดิมทีเข้ามาด้วยหัวใจ ตอนนี้ก็ยังด้วยหัวใจ ไม่มีอะไรที่อาจารย์จะสอนศิษย์ได้ดีเท่ากับการรู้จักควบคุมตัวเอง ถ้าสมมติเราเป็นคนที่ทะเลาะกันอยู่ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายข้างซ้าย หรือข้างขวาที่เขายืนทะเลาะกันอยู่ก็ดี ไม่ว่าฝ่ายข้างซ้ายหรือฝ่ายข้างขวา คนใดคนหนึ่งยอมที่จะหยุด เรื่องก็จะหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการควบคุมตัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอยู่ บางทีบางเรื่องจบลงได้ด้วยคำว่าขอโทษ เราก็ขอโทษ  บางทีบางเรื่องจบลงได้ด้วยคำว่า ขอบคุณ เราก็ขอบคุณ  บางทีบางเรื่องจบได้ด้วย การหยุดเราก็หยุด  อย่าได้ใช้อารมณ์มาเป็นเหตุ อย่าใช้อารมร์มาเป็นหลัก แต่คำว่า ขอบคุณ ขอโทษ ทั้งหลายนี้ ต้องมาจากหัวใจของเรามันถึงจะดี เวลาศิษย์เห็นคนยิ้มไม่จริงใจศิษย์มองออกไหม (ออก)  เวลาศิษย์เห็นคนหัวเราะไม่จริงใจ ศิษย์เห็นไหมว่าเขาไม่จริงใจ (เห็น)  เพราะทุกคนมีสายตาที่แจ่มชัด แต่อย่าให้ชัดเกินกว่าความเป็นจริง ไม่ใช่ชัดแบบเราเห็นเองว่ามันชัดก็ชัดอยู่คนเดียว คนอื่นตาพร่าหมด มีแต่เราชัดเท่านั้น อย่างนี้เราก็เป็นคนที่ทำให้เรื่องใหญ่โตเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีที่สุดคือควบคุมตัวเอง ถ้าหากว่าเราเป็นสาเหตุและปัญหา เราต้องทำให้มันจบ แต่ไม่ใช่พยายามให้จบแบบไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครเห็น บางทีเราต้องสำนึกว่า ความห่วงใยที่ทุกคนมีให้เขาก็อาจจะห่วงใยด้วยการพูดเยอะไปหน่อย บางทีก็ห่วงใยด้วยแววตาที่ชัดไปหน่อย ทำไมเราไม่มองโลกในแง่ดีและทุกอย่างจะดีขึ้น
ตอนนี้ก็ใกล้จะปีใหม่อยู่แล้ว เดือนนี้ก็เป็นเดือนธันวาคมแล้ว ผ่านมาแล้วก็ผ่านมาอีกปี บำเพ็ญก็ต้องดีขึ้นทุกๆ ปี แต่ว่าไม่ใช่บำเพ็ญแล้วถอยหลังไปทุกๆ ปี หรือว่าก้าวไปสู่วันหน้าที่เราอาจจะเหมือนใครสักคนที่เราเห็นตอนนี้มันก็จะไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ศิษย์ทุกๆ คน ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่ารักแต่ตัวเอง มองให้เห็นผู้อื่น มองให้ทะลุผู้อื่น เลือกมองแต่ในสิ่งที่ดีๆ อย่าไปมองในสิ่งที่ไม่ดีของเขา ทำได้ไหม (ได้)  ความสามัคคี ความปรองดองอยู่ที่ไหนมันก็ต้องต่างส่งมือออกมา ไม่ใช่เราส่งอยู่คนเดียวหรือเขาส่งอยู่คนเดียว อย่างนี้ก็จะลำบาก ใกล้ปีใหม่แล้วอาจารย์อวยพรให้ศิษย์ทุกๆ คน มีชีวิตที่ราบรื่นมากขึ้น ด้วยการละอารมณ์ ละกิเลสให้เบาบางลง อย่าเอาแต่ใจมาก สิ่งใดไม่ดีก็แก้ไข สิ่งใดไม่ดีก็ทบทวน สิ่งใดไม่ดีก็ขจัดทิ้ง ถ้าหากว่าปีใหม่ทุกๆ ปี ศิษย์ของอาจารย์ขจัดทิ้งได้ทุกปี เมื่อขึ้นปีใหม่ก็จะเป็นปีที่ดีของศิษย์ทุกๆ ปี คนเราชีวิตไม่แน่ไม่นอนเหลือเกิน วันนี้ก็ไม่รู้พรุ่งนี้เป็นอย่างไร คนที่จะเสียชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นคนแก่เสมอไป เป็นศิษย์อาจารย์ก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้นความตายเสมอไป ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คน อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่งในการจะทำความดี ขอให้ศิษย์ทุกๆ คน เฝ้ารักสถานธรรมเหมือนรักบ้านตัวเอง มีเวลาก็มาช่วยกัน อย่าเกี่ยงกัน ยังเป็นเด็กก็ทำตัวเป็นเด็กที่ดี  ทุกๆ คนเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของอาจารย์เสมอ อย่าให้ความท้อแท้เข้ามาแปดเปื้อนจิตใจของตัวเอง จนมากมายเกินกว่าคำว่า “บำเพ็ญ”  วันนี้อาจารย์เรียกศิษย์ทุกๆ คน ก็เรียกศิษย์รัก เรียกศิษย์ทุกคนก็เรียกศิษย์เมธี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเมธีหรือเปล่า คงต้องพยายาม อาจารย์อยากให้สถานธรรมที่นี่ งานธรรมะได้รุ่งเรือง ทุกคนเป็นคนที่เอาแน่เอานอนได้ ในสายตาของอาจารย์ งานธรรมะโดยการนำพาของ ฮวั๋งจิงหลี่ ดูยากลำบากก็เพราะทุกคนมีจิตของความเป็นคนอยู่มากเกินไป อาจารย์อยากให้ศิษย์มีจิตใจแห่งพุทธะให้มากๆ ถึงเวลาต้องเด็ดขาดก็ต้องเด็ดขาด ถึงเวลาควรจะหยุดก็ต้องหยุด ควรละอารมณ์ ควรจะอภัยได้แล้วก็ต้องอภัย ทุกคนต่างควบคุมตัวเอง ต่างรู้จักตัวเอง ทุกคนดีงานธรรมะก็ดีเอง รู้ไหม (รู้)
การบำเพ็ญธรรมะเป็นสิ่งที่สูงส่ง ศิษย์ต้องทำจิตใจให้สูงส่ง ชีวิตไม่ใช่เรื่องที่สุขเท่าไรนะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันใหม่  บางทีอาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อาจารย์ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ หวังว่าการบำเพ็ญธรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตานี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของศิษย์ได้ จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนได้ แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็งกว่านี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ชั่วฟ้าดินสลาย  อาจารย์สู้อดทน สู้เข้มแข็งทุกวันๆ เพื่อให้ศิษย์เข้มแข็งได้ตามมา แต่บางทีก็ดูเหมือนว่าเป็นความฝันที่เลื่อนลอย  อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง เข้มแข็งเอาชนะกิเลส เข้มแข็งเอาชนะจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ไม่ให้ศิษย์ท้อแล้วถอยไป มีใจก็กลับขึ้นมาใหม่ อย่างนี้ศิษย์อาจจะวิ่งไม่ทันเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง  อาจารย์ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่พูดไม่ออกก็พูดไม่ออก ขอให้ใจของศิษย์ทุกคนมีอาจารย์ แล้วให้อาจารย์ที่อยู่ในหัวใจของศิษย์สอนศิษย์นะ

การบำเพ็ญธรรมะเป็นสิ่งที่สูงส่ง ศิษย์ต้องทำจิตใจให้สูงส่ง ชีวิตไม่ใช่เรื่องที่สุขเท่าไรนะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันใหม่  บางทีอาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อาจารย์ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ หวังว่าการบำเพ็ญธรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตานี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของศิษย์ได้ จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนได้ แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็งกว่านี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ชั่วฟ้าดินสลาย  อาจารย์สู้อดทน สู้เข้มแข็งทุกวันๆ เพื่อให้ศิษย์เข้มแข็งได้ตามมา แต่บางทีก็ดูเหมือนว่าเป็นความฝันที่เลื่อนลอย  อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง เข้มแข็งเอาชนะกิเลส เข้มแข็งเอาชนะจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ไม่ให้ศิษย์ท้อแล้วถอยไป มีใจก็กลับขึ้นมาใหม่ อย่างนี้ศิษย์อาจจะวิ่งไม่ทันเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง  อาจารย์ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่พูดไม่ออกก็พูดไม่ออก ขอให้ใจของศิษย์ทุกคนมีอาจารย์ แล้วให้อาจารย์ที่อยู่ในหัวใจของศิษย์สอนศิษย์นะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มากกว่าส่วนตน”

ต้องขัดแย้งกันเพราะผลประโยชน์ ถูกปล่อยเดี่ยวโดดเพราะเป็นคนเก่ง
คนไม่อาจยืนได้นานเพราะเขย่ง ชอบอวดเก่งใครเขาจะมากล้าเตือนตน
สิ่งใดแม้เป็นของเราไม่ตลอด คนตาบอดยืนริมผาใกล้ร่วงหล่น
หันมาบำเพ็ญดั่งมีไม้เท้านำทางตน รู้จักตนดั่งตาสว่างคืน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา