แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โอวาทปาติโมกข์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โอวาทปาติโมกข์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

2552-11-07 สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา



西元二○○九年 歲次己丑九月廿一日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่


น้อยคือได้มากคือหลงตรงจริงแท้ ผู้รู้แพ้รู้รับฟังคิดแก้ไข
ย่อมดีกว่าหลงตนถูกไม่ฟังใคร ถึงที่สุดย่อมรู้ได้ใดแท้จริง
เราคือ
อว๋า อวา เซียนหนวี่   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา   ถามเมธีทุกท่านง่วงนอนไหม


คนหน้าอย่างหลังอย่างสังคมชั้น ลำพองมั่นลดใจใคร่ครวญหาย
คะนองนานไม่พึงอยากฟังใคร อัตตาแม้น้อยให้มีจิตระวัง
อุปาทานรู้ไม่ตรงคงต้องปราม อคติปนลงความมั่นใจอยาก
โทษใครใจข้างในไม่สว่าง คนกระด้างไม่เกรงใจจิตเสื่อมธรรม
แม้หน่ายโลกสิ่งแรกต้องบำเพ็ญ ขัดเกลาเป็นผวนที่ผันแปรถลำ
อะไรที่ล้นจากพอละประจำ นิสัยนำมักกระทบส่วนความดี
เป็นคนดีเคืองเกินมักประหลาด คนฉลาดแค่รู้ควรยังตระหนี่
ปุถุชนชอบดีกับตนบุคคลดี ขณะนี้คนไหนคือตัวเรา


ฝึกสติระงับในที่วุ่นอยู่ อย่าเป็นผู้รู้ที่กลับอับเฉา
เกษมในความระงับควรเป็นเรา ชอบหลีกสับไม่ปกติเท่าเวรมณี
คนเรียนรู้อดทนจากลำบาก ชีวิตมากความสนใจลำบากถี่
ขันติชนในที่ทนดีขันติ การฝึกที่ควรอุดมบัณฑิตพูน
ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือพร้อมกันตามสัญญาณ)
ท่านว่าถ้าเอาไก่มาเดินอย่างเป็ด แล้วเอาเป็ดมาเดินอย่างไก่ ยากไหม (ยาก)  เอามนุษย์นานาชนิดมารวมกันในห้องแล้วให้เป็นหนึ่งเดียว ก็เลยเหมือนเอาไก่กับเป็ดมาเดินแบบเดียวกัน จะเดินให้พร้อมกันนั้นก็เป็นเรื่อง ยาก  
ฉะนั้นเป็นธรรมดา อยู่ในโลกนี้ย่อมมีคนที่เหมือนและคนที่แตกต่าง ย่อมมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ย่อมมีทั้งคนที่ดีและคนที่ไม่ดี  การที่จะควบคุมให้เขาอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกันจึงเป็นเรื่อง (ยาก)  และฝืนใจ  ฉะนั้นก็ต้องรู้จักยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น เราจะได้ไม่ทุกข์ใจ  แต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐเพราะมนุษย์รู้จักอบรมควบคุมตัวเองให้ดี สิ่งที่ยากก็อาจจะกลายเป็นง่าย สิ่งที่บอกว่าไม่ได้ก็อาจจะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์มีปัญญา มีความเพียรและมีความกล้าที่จะฝึกฝนและไปสู่หนทางที่ดีกว่า เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน”  ถ้าอย่างนั้นถ้าปรบมือครั้งนี้ก็ต้องดีกว่าครั้งที่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนปรบมือหนึ่งครั้ง) ทำไมแย่กว่าเดิมล่ะ ปรบมือหนึ่งครั้ง ปรบมือสองครั้ง ปรบมือสามครั้ง ไหนบอกว่ามนุษย์เป็นผู้มีปัญญา แต่บางครั้งถึงจะมีปัญญาขนาดไหน บางทีก็อาจจะเป็นคนหูหนวกตาบอดและก็ไม่รู้ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือตามที่บอก)
เป็นธรรมดา ย่อมมีคนรู้ก่อนและรู้หลัง มีคนทันและไม่ทัน  ฉะนั้นก็อย่าโกรธ อย่าหงุดหงิดกับคนที่รู้ช้าเลย ถ้าเราพูดหนึ่งแล้วเขายังอยู่หนึ่งไม่ไปสองไปสามก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่ เขาบอกว่าห้ามสูบบุหรี่แต่ก็ยังไปแอบสูบบุหรี่ก็ต้องทำใจ ใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าเกิดชี้ไปในสิ่งที่ดีแล้วไม่ทำ ก็ต้องทำใจแล้ว เพราะคนที่ต้องรับผลการกระทำของตัวเองก็คือคนที่ทำตัวเอง ดื้อดึงเอง ใช่หรือไม่   
มนุษย์เมื่อเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชอบวอนขอ ถ้าการวอนขอนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ป่านนี้ในโลกนี้คงไม่มีใครทุกข์หรอก ทุกคนคงมีความสุขหมด ฉะนั้นพุทธะ จึงบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”  ถ้าไม่รู้จักช่วยตัวเองแล้ว วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นอย่ามัวแต่วอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้ฉันมีความสุข  ทำให้ฉันแข็งแรง แต่จริงๆ แล้วตัวเองล้วนทำให้ตัวเองทุกข์ และทำให้ตัวเองเจ็บปวดทั้งนั้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือตามคำสั่ง)  ท่านต้องทำตรงข้ามกับเรานะ  มือซ้ายอยู่ไหนยกมือขึ้น ขวาอยู่ไหน ปรบมือทางซ้าย ทางขวา ทำไมตามเราล่ะ  สาเหตุหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งความทุกข์ยากได้  ไม่สามารถหยุดยั้งเหตุภัยร้ายต่างๆ ได้ก็เพราะบางครั้งขาดสติใช่ไหม ถึงจะเป็นคนดีเท่าไร ลืมสติ เผลอสติ คนดีนั้นก็อาจจะกลายเป็นคนที่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์ก็ได้  
แล้วนิสัยของมนุษย์ที่ชอบเป็นกันอยู่คือ หัวดื้อ หัวแข็ง ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเองสูง ใช่หรือไม่   และอีกอย่างหนึ่งคือฉันต้องชนะ แพ้ไม่เป็น เมื่ออยากได้อะไร ฉันต้องได้  ต้องมากให้ถึงที่สุด  และอีกอย่างที่ชอบหาเรื่องให้ตัวเองมากที่สุดคือ ตาชอบจับผิด ชอบเอียง และชอบหาเรื่อง ล้วนเป็นคนที่สร้างทางมาแห่งความทุกข์ ล้วนเป็นการปูทางแห่งการก่อกิเลสทั้งมวลทั้งสิ้น ใช่ไหม (ใช่)  คนที่รู้จักแสวงหาอย่างน้อยอย่างพอเหมาะ จะสูญเสียจิตใจอันดีงามได้ยาก แต่คนที่โลภไม่รู้จักพอ ง่ายที่จะสับสนวุ่นวาย และรักษาจิตเดิมนั้นได้ ฉะนั้นถึงแม้ว่าอารมณ์จะยากควบคุม ความเคยชินจะยากป้องกัน ภัยภายนอกควบคุมยากแล้วภัยภายในยิ่งควบคุมยากใหญ่  การรู้เท่าทันรู้จักควบคุมจิตใจตัวเองได้  มนุษย์ก็สามารถตัดทางมาแห่งกิเลสภัยทั้งปวงได้  ถ้าทำได้ก็เป็นการปูทางแห่งกุศล ปูทางให้จิตเรากลับมาได้  จริงไหม ขอเพียงควบคุมตัวเองให้ได้ ระมัดระวังจิตของตัวเองให้ดี เราก็สามารถตัดทางแห่งกิเลสไม่ให้บังเกิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)
พลังแห่งพุทธะและกุศลมูลให้บังเกิดได้ ขอเพียงตามเท่าทันจิตใจหรือมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เข้ามากระทบตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือ)  ควบคุมมือตัวเองยากไหม แต่ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนี้ใช่ไหม บางทีเราต้องทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น มือทำไปและเท้าก็ต้องทำไปด้วยใช่ไหม (ใช่)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือพร้อมขยับเท้าไปด้วย)  ยากไหม (ไม่ยาก) อย่างนั้นแปลว่าการควบคุมตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาทำพร้อมกันหลายๆ คน เราก็มั่วได้ไม่มีใครเห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถึงเวลาชีวิตเราเอง ตัวเราเอง เราต้องดูแลตัวเอง เราจะมั่วๆ ตามคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)
แสดงว่าสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบมีและชอบเป็นก็คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไหร่ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมากเท่าไหร่ ก็เป็นการปูทางแห่งบาปมากเท่านั้น เมื่อใดที่จิตใจรู้สึกว่าต้องชนะ แพ้ไม่ได้ จิตใจที่หวังจะเอาชนะนั่นแหละเป็นสาเหตุของการจองเวรที่ไม่สิ้นสุด  แต่จิตใจที่รู้จักแพ้ รู้จักชนะจะสามารถนำความสันติให้กับชีวิตได้ เมื่อขึ้นชื่อว่ามนุษย์ต้องแพ้ไม่ได้ ชนะได้อย่างเดียว ใช่ไหม โดนเขาว่า ยอมแพ้ไหม เมื่อไหร่ที่เราไม่ยอมและยึดมั่นว่าเขาว่าเรา เราก็กำลังปูทางแห่งบาป และเมื่อเราเดินทางแห่งบาป เราไม่ยอมแพ้ เราก็จะเกิดการจองเวรไม่สิ้นสุด เมื่อเราแพ้เราก็ต้องเอาชนะ คนที่จิตใจมักจะคิดว่าฉันแพ้ไม่ได้ ต้องชนะอย่างเดียว คนที่คิดแต่จะเอาชนะคือคนที่พยายามมีชีวิตอยู่เพื่อการจองเวร คนที่แพ้ไม่เป็น คือคนที่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์จนวันตาย จริงไหม (จริง)  แต่คนที่รู้จักปล่อยวางเรื่องแพ้ชนะได้คนนั้นคือคนที่ปูทางแห่งความร่มเย็นและเป็นสุข ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเท่านี้หรือเปล่าที่เป็นวิสัยของมนุษย์ (ไม่ใช่)  
อีกอย่างที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือตาชอบมอง หูชอบฟัง ใจก็มีแต่ความอยาก  มีใครในโลกบ้างที่อยากครั้งเดียวแล้วไม่อยากอีกเลย (ไม่มี)  ไหนความอยากเป็นอย่างไร ทำไมถึงมีอำนาจควบคุมจิตใจเรา มีตัวตนไหม (ไม่มี)  ความโกรธมีตัวตนไหม (ไม่มี)  ความโลภมีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่ทำไมพอมาอยู่กับเราแล้วตัวตนมันถึงใหญ่และน่ากลัว จริงไหม (จริง)  
ถ้าเราไม่รู้จักประมาณในความโลภ ความโกรธ ความหลง มนุษย์ก็จะถูกอารมณ์และกิเลสรังควานจิตใจได้ง่าย และมนุษย์ก็จะมีชีวิตและจิตใจที่เหมือนกับไม้ผุที่ไม่สามารถต้านแรงลมของกิเลสและอารมณ์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  พอเห็นปุ๊บก็อยากมอง อยากมองแล้วก็อยากได้ อยากได้แล้วก็อยากเป็นเจ้าของ ถ้าเราไม่ควบคุมเราก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป เปรียบเหมือนไม้ผุ
คนที่สูบบุหรี่ ถ้าใจไม่มีบุหรี่ บุหรี่จะมีอิทธิพลต่อเราไหม (ไม่มี)  ตัวเราถ้าไม่เคยสูบเลย มองไปเราก็ไม่อยากสูบบุหรี่ กว่าจะสูบเป็นยังไอแทบตาย แสบคอแทบแย่ เรายังฝืนสูบได้ แล้วทำไมบางครั้งเราไม่รู้จักฝืนอารมณ์กิเลสตัวเองเพื่อตัดทางมาแห่งกิเลส ตัดภัยอันตรายที่เกิดจากตัวเองเป็นผู้สร้าง
มนุษย์ยังหยุดไม่ได้เรื่องการชอบหาความผิดของผู้อื่น ชอบจับผิดผู้อื่น  ยิ่งจับผิดผู้อื่นมากเท่าไร จิตใจท่านก็ไม่ต่างกับเขามากเท่านั้น ฉะนั้นคนที่ชอบจับผิดผู้อื่น คนที่คอยควานหาความผิดของผู้อื่นและเอามาว่า เอามานินทา แปลว่าใจเราก็มีอย่างนั้นไม่ต่างกัน เหมือนกับถ้าใจเขาไม่มีบุหรี่ เขาจะอยากสูบบุหรี่ไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่มีสิ่งที่แย่ๆ แบบนั้น เราจะว่าคนแย่ๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นท่านอยากตัดทางมาแห่งกิเลส ตัดทางมาแห่งความทุกข์ ตัดทางมาแห่งอุปสรรคทั้งมวลก็ต้องรู้จักควบคุมใจของตัวเองให้ได้ ท่านเคยได้ยินไหม ถ้าต้นน้ำสะอาดปลายน้ำก็ต้อง (สะอาด)  ถ้าต้นน้ำสกปรกปลายน้ำก็ (สกปรก)   เพราะฉะนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ตัวมนุษย์จะชอบทำบุญ ทำทาน มีเมตตาจิต แต่ถ้ามือหนึ่งทำบุญ มือหนึ่งทำทาน แต่ใจคิดไปแล้วว่าเขาจะเอาไปทำอะไร เหมือนขาหนึ่งอยู่สวรรค์อีกขาหนึ่งอยู่นรก ขาหนึ่งสร้างบุญอีกขาหนึ่งคิดก่อกรรม ถูกไหม แล้วจะพ้นไหม (ไม่พ้น)  เพราะฉะนั้นบุญก็สร้างบาปก็ก่อ อย่างนี้มันจะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นคนที่รู้จักทำดี แล้วไปให้ถึงดีอย่างแท้จริงนั้น ต้องสะอาดทั้งนอกสะอาดทั้งใน ไม่อย่างนั้นแล้วแม้จะทำบุญมากเท่าไร แต่ก็รั่วมากเท่านั้น ดังคำกล่าวไว้ว่า “ในหนึ่งความคิดก่อเกิดการเวียนว่าย” คิดดีขึ้น (สวรรค์)  คิดชั่วตก (นรก)  ฉะนั้นถ้าในหนึ่งความคิด ในหนึ่งจิตใจ เราไม่สามารถควบคุมได้ เราก็คือผู้ก่อเหตุแห่งการเวียนว่ายที่ไม่จบสิ้น
เคยไหมวันนี้จะไปใส่บาตรแต่พอพบสามียังนอนไม่ตื่นสักทีก็เคาะประตู ปัง ปัง ปัง เมื่อไหร่จะตื่นๆ เป็นไหม (เป็น)  จะไปทำบุญแท้ๆ แต่บุญนั้นไปไม่ค่อยถึง  พอเห็นพระก็นิมนต์พระ แต่ในใจก็คิดว่าพระลงพุงจังเลย ตักบาตรไปก็คิดไป ท่านคงตะกละแน่เลย ท่านคงกินเยอะแน่เลย อย่างนี้จะได้บุญไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่ข้างนอกทำดี ข้างในไม่เคยชะล้าง ไม่มีประโยชน์ เพราะเราจะไปไม่ถึงที่สุดแห่งความดีได้ แล้วเราจะสามารถชะล้างจิตให้ดีงามได้อย่างไร (ทำจิตใจให้บริสุทธิ์, อย่าคิดร้ายกับผู้อื่น)  เอาคำนี้ดีกว่า พยายามมองโลกในแง่ดี ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์รู้พยายามทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ต้องรู้จักปล่อยวาง แต่ถึงเวลาปล่อยได้ไหม ทำไมเป็นแบบนั้น ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยทำให้เราสามารถรักษาใจให้บริสุทธิ์นั่นก็คือ พยายามมองโลกในแง่ดี
ถ้าแอปเปิ้ลมันตกลงถึงพื้นไปแล้วจะเอาไหม (ไม่เอา เพราะมันตกพื้นแล้ว)  ถ้าใจเราสะอาดแอปเปิ้ลก็สะอาดจริงไหม ถ้าเรามองว่าดี ถึงแม้จะสกปรกก็กลับมาสะอาดได้จริงหรือไม่  อย่าพูดว่าได้ แต่ถึงเวลาจริงๆ ทำไม่ได้เราก็คิดว่ามันตก มันสกปรกเลอะแล้ว ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนมันจะมาเป็นแอปเปิ้ลในมือเรามันไม่ตกมาก่อน  มันอาจจะตกมาหลายครั้งแล้วก็ได้ หรือถ้ามันไม่ตก มันอาจจะถูกบีบจนช้ำในก็ได้
เราจะรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร รักษาจิตเราให้เที่ยงตรงได้อย่างไร ถ้าภายในเที่ยงตรง ภายนอกก็ย่อมปฏิบัติเที่ยงตรง แต่ถ้าภายในไม่เที่ยงตรง แม้ภายนอกจะฝืนเที่ยงตรงไป แต่ก็เที่ยงตรงได้ไม่นาน  ฉะนั้นวิธีที่จะควบคุมความแปรปรวนของโลก และทำให้เรารักษาจิตให้มั่นคงและบริสุทธิ์นั่นคือ (มีสติ, คิดดี, พูดดี, ทำดี, มีสติและปฏิบัติเป็นประจำ, รักษาจิตใจให้ใสสะอาดทั้งข้างในและข้างนอก)  อะไรล่ะที่ทำให้เราสามารถรักษาจิตใจของเราให้สะอาดอยู่ได้ตลอดเวลา (ไม่โกรธผู้อื่น, ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน, ทำให้ร่างกายและจิตบริสุทธิ์, รู้จักการให้อภัย, ตั้งมั่นและเชื่อมั่นในตนเอง)  อย่าลืมนะการตั้งมั่นและเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปก็เป็นทางมาแห่งบาปได้เหมือนกัน คนที่ไม่ยอมผิดเลยก็สามารถก่อปัญหาได้เหมือนกัน (ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน, มองผู้อื่นในแง่ดีเสมอ, มีจิตใจที่แน่วแน่) จะทำอะไรก็ต้องทำให้ถึงที่สุด วิธีที่จะทำให้เรารักษาจิตใจที่บริสุทธิ์ได้นั่นก็คือ (มีปัญญา) คือต้องมีอะไร (มีสติสัมปชัญญะ, บำเพ็ญตน, รักษาศีลห้า, มีสติปัญญา)  มีสติปัญญา แต่ใจก็ยังอดคิดร้ายไม่ได้ อดคิดว่าอันนี้จริงหรือเท็จไม่ได้ใช่ไหม (เกรงกลัวต่อบาปละอายต่อบาป, รู้จักให้อภัย, เมตตาต่อคน, ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น) เรามานี่มีคนแอบคิดร้ายต่อเราไหม  เราคิดว่ามีนั่นก็คือถ้าเรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แล้วจะมีอะไรบกพร่อง ถ้าเรามีจิตใจกว้างขวางพอแล้วจะมีคนที่เรียกว่าแล้งน้ำใจไหม ถ้าเราคิดอยู่อย่างนี้เสมอว่าสมบูรณ์แล้ว ดีแล้ว และเป็นเช่นนั้นเหมาะควรแล้ว เราจะคิดตำหนิ ต่อว่าใครไหม  (ไม่)  ถ้าเราใจกว้างได้มากที่สุดจนไม่มีขอบเขต เราจะคิดว่าคนอื่นแล้งน้ำใจกับเราไหม (ไม่)  เมื่อจิตใจเราสามารถธำรงรักษาความรู้สึกสองอย่างนี้ได้ เราจะติเตียนใครไหม  (ไม่)
อีกสิ่งหนึ่งที่ท่านควรจะมีไว้ นั่นก็คือ รู้จักพอบ้างในวันหนึ่งหนึ่ง ถ้ามนุษย์มีชีวิตไม่รู้จักพอ ในวันหนึ่งหนึ่ง มนุษย์ก็สามารถที่จะสร้างเหตุแห่งทุกข์ได้ไม่จบสิ้น  มีใครบ้างที่โกรธครั้งเดียวแล้วไม่โกรธเลย  ถ้ามนุษย์อยากหยุดความทุกข์ในใจ อยากหยุดทางมาแห่งบาป อยากหยุดการจองเวรจองกรรมกับผู้อื่น หรือไม่อยากให้ผู้อื่นมาจองเวรจองกรรมกับเรา อย่าคิดเอาชนะ อย่าคิดคอยจับผิด อย่าคิดอยาก ไม่รู้จักพอ และอย่ายึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองถูก ผิดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นท่านทุกข์แน่ๆ จริงไหม เพราะคนในโลกนี้คิดว่าตัวเองถูก ผิดไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุแห่งการสร้างบาปได้ง่ายใช่ไหม  
ฉะนั้นเราจึงอยากให้มนุษย์นั้นรู้ไว้ว่า หนทางแห่งพุทธะนั้นไม่ได้เดินยาก หนทางแห่งการดับทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่ว่าทุกขณะจิต ทุกขณะชีวิต เรามีสติรู้เท่าทันและหัดควบคุมกายใจของตัวเองได้มากแค่ไหน ถ้ารู้จักควบคุมตัวเองได้ ทางมาแห่งบาปก็ไม่เกิด ถ้ารู้จักควบคุมได้เวรกรรมเราก็ไม่ก่อ การสร้างภพสร้างชาติเราไม่กลัวหรือ (กลัว)  แต่ถึงเวลาเราควบคุมไหม (ไม่)  อย่างนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ จะดูซิว่า ท่านได้เอาสองสิ่งที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้ไปคิดไหม  ถ้าสมมติว่าวันนี้ท่านเช็ดบ้านเสียสะอาดเรียบร้อย สักพักหนึ่งมีสามีมารื้อของ แล้วท่านเดินออกไปข้างนอก กลับมาบ้านสกปรกทนได้ไหม  จากบ้านที่สะอาดแล้ว พอสามีมาเท้าก็สกปรก เสื้อผ้าอาบน้ำกองไว้ที่หนึ่ง กางเกงกองไว้อีกที่หนึ่ง  โต๊ะรื้อกระจายไปหมดทนได้ไหม ประตูเราปิดไว้อย่างดี เรากลับมาประตูยังเปิดทิ้งไว้อีกทนได้ไหม  โมโหไหม  ฉะนั้นแค่คิดว่าทนไม่ได้ รับไม่ได้ โมโห โกรธ  นั้นก็คือเป็นการสร้างทางมาแห่งบาป การจองเวร แล้วก็การปล่อยให้กิเลสอารมณ์มาบงการจิตใจ  เจริญกิเลสให้มันฟูขึ้นใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจอแบบนี้ เราก็คือคนที่สร้างเหตุให้กับตัวเองเป็นทุกข์ใช่ไหม แล้วเราควรจะคิดอย่างไร เราอยากจะบอกท่านว่า อยากจะควบคุมทางมาของกิเลส อยากหยุดทางแห่งการสร้างบาปสร้างเวร  เราก็ต้องรู้จักควบคุมกายและใจ ด้วยการ มีขันติและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
เราบอกว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้น ก็สมบูรณ์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสมบูรณ์แล้วจะมีอะไรพร่อง ถ้าเราใจกว้างถึงที่สุดจะมีใครเรียกว่าแล้งน้ำใจ คิดเสียว่าดี เขาทำให้เราได้ออกกำลังกาย ทำให้เราเป็นคนรอบคอบ  ฉะนั้น หนึ่งต้องมีขันติ สองต้องรู้จักยินยอมพร้อมรับ ถูกไหม  ยินดีรับให้ได้ ก็ท่านเป็นคนเลือกเขามาแต่งงานกับท่านเองไม่ใช่หรือ ถูกไหม (ถูก)  รับมาได้ตั้งสี่ห้าปี พอพบนิสัยแบบนี้เพียงหนึ่งวันจะเลิกกับเขาเลยหรือ เหมือนลูก ให้เรียนหนังสือ พอถึงเวลาสอบแล้วเกิดสอบตกขึ้นมา โกรธไหม  ต้องไม่โกรธ มีขันติเข้าไว้  ยินดีรับให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อยินดีรับได้ เราจะเห็นใจ เมื่อเราเห็นใจ เราจะให้อภัย เมื่อเราให้อภัย เราจะกลับคืนสู่จิตแห่งความปกติได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คืออาการควบคุม และตัดหนทางที่มาแห่งกิเลสและบาปได้ด้วยตัวของเราเอง ใช่ไหม  แต่จะยากตรงที่จะทำได้หรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)   
ฉะนั้นบางครั้งเราอยู่ในโลกนี้  เมื่อสักครู่เราบอกตั้งแต่ต้นจะให้เป็ดเดินเหมือนไก่ หรือให้ไก่เดินเหมือนเป็ดเป็นไปได้ไหม ไก่ก็ต้องเป็นไก่ เป็ดก็ต้องเป็นเป็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เราบางคนอยากจะสูบบุหรี่ก็สูบไป อยากจะตายก็ปล่อยให้ตายไป เรื่องดีๆ ไม่เอาก็ปล่อยเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนที่ต้องรับผลของการกระทำของตัวเอง ก็คือคนที่ดื้อดึงเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาเกิดเป็นลูกเรา เป็นเพื่อนเรา แฟนเรา เขาอยากแต่งตัวอย่างนี้ ยืนอย่างนี้ พูดอย่างนี้ เราจะทำอะไรเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่พอใจ คนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง    แต่ถ้าเราใจกว้างเราก็จะอดทนต่อเรื่องราวในโลกได้อย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าเขาจะเดินเอียงไปบ้างก็ตาม เรียกว่าเป็นสีสันของชีวิต  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกคนเดินตรงกันหมด ท่านรู้สึกว่าไร้ชีวิตชีวาไหม  ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเดินอย่างนี้บ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าอย่างนี้สมบูรณ์แล้ว
ฉะนั้นอย่าควบคุมแต่ภายนอก แต่ควบคุมภายในใจไม่เป็น อย่ารู้จักแต่จะควบคุมผู้อื่น แต่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ตัวอย่างเช่น คิดจะสอนลูกปูเดินให้ตรง แต่แม่ปูก็แอบเดินไม่ตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมต้องขัดเกลาเข้มงวดตนเอง แต่ไม่ขัดเกลาเข้มงวดใคร แล้วหนทางแห่งความสุขก็จะอยู่ไม่ไกลจากตัวเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)  
อย่าปล่อยให้คนอื่นเขาเสียสละ แล้วทำให้เรานั้นไม่ได้อะไรเลยนะ อย่างนั้นน่าเสียดายใช่ไหม (ใช่)  คนอื่นเขาอยากให้เรามานั่งฟังว่าดี แต่ตัวเรารู้สึกว่าไม่เห็นมีดีอะไรเลย เสียเวลาเปล่า ฉะนั้นเมื่อคิดได้ปลงตก นั่งตรงนี้ก็เหมือนอยู่บนสวรรค์ ถ้าคิดไม่ได้ ปลงไม่ตก นั่งตรงนี้ก็เหมือนไฟลนก้น ใช่ไหม (ใช่)  คิดได้ก็เกิดโพธิจิต คิดไม่ได้ก็เหมือนอมยาพิษ ยิ่งคิดยิ่งอมก็ยิ่งทุกข์แล้วก็ยิ่งเจ็บปวด ฉะนั้นเพียงแค่หนึ่งความคิด สามารถก่อเหตุแห่งการเวียนว่ายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักคิดให้เป็น คิดให้ได้ เราก็สามารถหยุดการเวียนว่ายได้ด้วยตัวเอง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจบชาตินี้แล้วจะไม่มีชาติต่อไป ถ้าไม่รู้จักควบคุมตน แค่ศีลยังรักษาไม่ได้ ควบคุมตนยังควบคุมให้ดีไม่เป็น แล้วแน่ใจหรือว่าชาติต่อไปจะได้เกิดเป็นคน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยกมือซ้าย ยกมือขวา ปรบมือซ้าย ปรบมือขวาเพื่อฝึกสมาธิ) ไหนว่ามีสติแล้วไง ฉะนั้นแม้สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาถ้าไม่ได้ลงมือปฏิบัติเราก็ไม่รู้ว่าตัวเราเองนั้นควบคุมได้หรือไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรบมือง่ายไหม (ง่าย) แต่ทำไมควบคุมตัวเองถึงไม่ง่ายเลยล่ะ
วันนี้คงได้อะไรจากเราไปไม่มากก็น้อย แต่ถ้านั่งฟังแล้วใจไม่สงบ ใจไม่นิ่งก็คงไม่ได้อะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  อย่าปล่อยให้วันนี้อุตส่าห์เสียสละเวลามาแล้วไม่ได้อะไรไปเลย ลองเอาสิ่งที่เราพูดไปคิดพิจารณาดู มือหนึ่งทำบุญแต่หัวใจไม่รู้จักทำบุญตามด้วย ไม่อย่างนั้นสร้างบุญมากเท่าไหร่เราก็แอบสร้างกรรมตามมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมทั้งภายนอกทั้งภายในต้องควบคุมให้ได้ดี แล้วเราจะไม่ก่อให้เกิดกิเลสทางมาแห่งบาปและการจองเวรเลยเมื่อมีชีวิตอยู่ จริงไหม (จริง)  
มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครอยากเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้าตัดภพตัดชาติได้เราก็อยากจะตัด แล้วก็คงไม่อยากให้ใครมาจองเวรจองกรรมเรา จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราจะหยุดการจองเวรจองกรรมได้อย่างไร ก็ด้วยการรู้จักเป็นผู้ยอมบ้าง อย่ามีชีวิตอยู่ในโลกแล้วเอาแต่เป็นผู้ชนะเพียงอย่างเดียว เพราะคนที่เอาแต่ชนะมักจะได้รับการจองเวร แต่ผู้รู้จักแพ้และชนะจึงสามารถมีความสุข จะแพ้ก็ไม่เป็นไร จะชนะก็รู้จักสละหลีก การชนะของเราก็จะไม่ก่อให้เกิดการจองเวรที่ไม่สิ้นสุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นเราไปก่อนได้ไหม ทุกชีวิตล้วนมีเวลามา เวลาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะอยากยั้งอยู่ขนาดไหน แต่ถึงเวลาไปเราก็ต้องยอมรับการไปด้วยจิตใจที่เป็นสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง ท่านก็จะเดินไปสู่ทางแห่งบาป จำไม่ได้หรือเราบอกตั้งแต่ต้นแล้ว ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเป็นหนทางแห่งบาปแท้ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นให้อีกบทดีไหม (ดี)  ไม่ดีกว่าไว้โอกาสหน้า มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กัน
ขอให้มีสติรู้เท่าทันเมื่อดำเนินชีวิตแล้วความผิดพลาดแล้วความทุกข์ก็จะไม่บังเกิด ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่า “สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว” ด้วยใจที่เปิดกว้างนะ แล้วเราจะรับทุกๆ คนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ











วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
 วกดูจิตของตนให้ค้นเข้าไปจิตใจ  รู้ตัวไม่ฝึกใจ  รู้สึกไวจึงชอบโทษตน  หากใครขานรับกล้าเปลี่ยนแปลง  จิตใจเหนียวแน่นสู้ทน  ทุกทุกวัน ฝึกฝนนั้น ย่อมได้ดี
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
ผู้ฝึกย่อมได้ดีเพราะพยายาม ชอบมองข้ามแล้วหวั่นบำเพ็ญสูญ
บำเพ็ญไม่มีหนึ่งวันที่บริบูรณ์ อย่าอาดูรไม่ดีย่อมมีดี
เมื่อมีสติเกือบตลอดกับชีวิต เวลาคิดเวลาพูดจะเต็มที่
ว่างในวุ่นความปลอดโปร่งฤดี วุ่นสารพันวันนี้ทุกข์เพื่อใคร
ขยับใกล้ชีพอันจากธรรมห่าง ดับกิเลสใจว่างใช่เรื่องใหม่
ปลงชีวิตใจว่างมีทางไป ว่างสบายอะไรก็ไม่แต่งประชัน
ชีวิตหนักรักโลภคือเหตุต้น ชีวิตคนปราศจากอันเที่ยงแก่นสาร
คนไม่วายใจว่างกลับเบิกบาน ดุจปัจจุบันวุ่นขุ่นจากเรื่องใด
ฮา ฮา หยุด
ชัดเจนเป้าหมายอย่าสนใจคมหนาม  แม้ทุกข์เป็นเงาตาม ไม่กังวล  เข้าหาสิ่งดี  ถ้าความคิดทำลาย  หัดคุมเพื่อเปลี่ยนน้ำดี  คิดต้องมีเพียบพร้อมทั้งคุณธรรม  
* ติดเป็นคนรู้ตัว  แต่ใจไม่ขืนไว้ ลมพัดไหว  ไม้ใบก็หมุนสุดแรง  
** เจ้าอย่าทำตาบอด  เจ้ารู้เหมือนใครรู้ ทำน้อยดูมิได้แรง  ได้ฝึกใจมาก่อน กล้ารับผลเปลี่ยนแปลง  จงอย่าแสร้ง รู้เหมือนไม่รู้เลย
วกดูจิตของตนให้ค้นเข้าไปจิตใจ  รู้ตัวไม่ฝึกใจ  รู้สึกไวจึงชอบโทษตน  หากใครขานรับกล้าเปลี่ยนแปลง  จิตใจเหนียวแน่นสู้ทน  ทุกทุกวัน ฝึกฝนนั้น ย่อมได้ดี (ซ้ำ *, **, **, __)


ชื่อเพลง : ผู้ฝึกฝนย่อมได้ดี   ทำนองเพลง : แค่โทรมาบอกว่าคิดถึง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มนุษย์เราตามใจอยากมากพอสมควรแล้วจริงไหม  อะไรอยากกินก็กิน อะไรอยากทำก็ทำ เคยเกรงอกเกรงใจใครไหม เคยคิดถึงหัวอกใครไหม (ไม่)  มนุษย์ถ้าวิ่งวนไปตามความอยากมากเกินไป ได้สมอยากก็มีความสุข ได้ไม่สมอยากก็มีความทุกข์ แต่เรายังวิ่งไปตามใจที่อยากอยู่ไหม (วิ่ง) ก็วิ่งใช่หรือไม่ ไม่เคยหยุดไม่เคยเหนื่อย เหมือนรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว สิ่งที่ดีควรจะทำ สิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรที่จะทำ แต่ก็ทำ  อาจารย์ถามฝ่ายชาย ใครยอมรับว่าแอบสูบบุหรี่ยกมือขึ้น อาจารย์ว่ามีมากกว่าหนึ่งแล้วนะ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ แต่ถ้าขาดคุณธรรมของความเป็นมนุษย์นั้นก็น่ากลัว  อย่าเพียงเพราะความอยากจึงทำให้เราลืมละอายเกรงกลัวต่อบาป อย่าเพียงเพราะว่าความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตน จึงทำให้เราลืมความเมตตาและมโนธรรมสำนึก อย่าเพียงเพราะรักสบาย เอาแต่ได้ จึงทำให้เราลืมจริยธรรมของความเป็นคน เมื่อเราอยู่ร่วมกันในสังคมใช่หรือไม่  เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ถามว่ารักสบายไหม (รักสบาย)  แต่ถ้ารักสบายมากเกินแล้วกินแรงคนอื่น นี่เรียกว่ามนุษย์ที่ดีไหม (ไม่ดี)  วันนี้เวลากินได้ทำอะไรบ้างไหม  ไม่ได้ทำอะไรแล้วควรจะทำอะไรต่อ ขอบคุณเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  กินแล้วควรจะช่วยเขาเก็บบ้าง ไม่ใช่กินแล้วก็ทิ้งใช่หรือเปล่า เขาให้เราสบายแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะมีในจิตสำนึกนั้นก็คือ รู้จักตอบแทนคุณแล้วเก็บให้เรียบร้อย ให้คนที่เห็นแล้วรู้สึกว่านี้คือมนุษย์กิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยเห็นไหม คนถ้ากินอย่างพอดีก็เรียกว่า คน  ถ้ากินมากจนเกินไปเรียกว่า หมู  ถ้ากินแล้วมูมมามเก็บไม่เป็นที่ เรียกว่า (สุนัข)  ศิษย์พูดเองนะ อาจารย์ไม่ได้พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าให้นิสัยแสดงออกถึงความเป็นตัวตน อย่าปล่อยให้กิเลสอารมณ์ควบคุมจนเราลืมความเป็นคนไปจริงไหม (จริง)  มนุษย์มีอะไรบ้างที่อยู่กับเราแล้วน่ากลัว ทั้งที่ยังไม่ได้มาจากไหนเลย แต่พอเรามีแล้วก็น่ากลัว  (ความอยาก, กิเลส, ความโกรธ, ความโลภ, ความหลง, ตัณหา, ราคะ, ความหน้ามืดตามัว)  ขึ้นชื่อว่าคนสิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ ปาก  ถ้ากินไม่รู้จักคิด การกินนั้นก็อาจจะทำให้ขาดความเป็นคนได้  ถ้าพูดไม่รู้จักระมัดระวัง การพูดนั้นจะทำให้เราเสียความเป็นคนได้  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามนุษย์อาจารย์อยากบอก เวลาจะพูดขอให้คิดไว้ถึงสามอย่าง  ตะแกรงร่อนสามอย่างก่อนที่จะพูดหรือจะทำอะไร  พระพุทธองค์ท่านทรงบอกว่า ให้คิดก่อนว่าสิ่งที่จะพูดดีไหม  อย่างที่สองให้คิดว่ามีประโยชน์ไหม  อย่างที่สามคิดว่า เหมาะกับกาลเวลาไหม  ถ้าไม่ครบสามองค์ประกอบท่านจะไม่พูดเลย  ถึงแม้จะดี  ถึงแม้จะมีประโยชน์  แต่ถ้าไม่เหมาะกับกาลเวลาพูดไปก็ผ่านไม่มีคุณค่าอะไร ฉะนั้นถ้าเกิดทุกครั้งที่เราจะพูดคิดถึงสามอย่างที่พระพุทธองค์บอก เราก็คงไม่พูด แล้วทำให้ทำลายความเป็นคนในตัวเราจริงไหม หรือที่มนุษย์ชอบพูดกันว่าขอให้คิดอยู่สามอย่างคือ ก่อนจะพูดเป็นความจริงไหม รู้จริงหรือยังที่พูด ได้ยินเขาพูดมา  แล้วดีไหมที่พูดนี่  ถ้าไม่ดีไม่ควรพูด  ถ้าไม่จริงก็ไม่ควรพูด  อย่างที่สามเหมือนกันมีประโยชน์ไหม  ถ้าทุกขณะจิตเราคิดอยู่แล้วกรองด้วยสามอย่างนี้ จริงไหม ดีไหม มีประโยชน์ไหม การพูดของเราก็จะไม่ทำให้เราสูญเสียสัตยธรรมหรือความเป็นคนไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากทำลายมโนธรรม  ความเห็นแก่ตัวทำให้เราสูญเสียความเมตตาธรรม  คิดจะพูดก็พูดโดยไม่คำนึงถึง จะทำให้เราขาดสัตยธรรม ทำอะไรเห็นแก่ความสบายของตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะลำบากขนาดไหน ก็ย่อมสูญเสียจริยธรรมในการอยู่ร่วมกัน  ฉะนั้นถ้าคิดไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จะไม่มีวันสูญเสียความเป็นคนไปจากหัวใจได้
หากศิษย์ตามใจจนลืมนึกถึงคุณธรรมของความเป็นคนไป แล้วคิดว่าวันๆ หนึ่งเราสูญเสียความเป็นคนบ่อยไหม (บ่อย)  สูญเสียเพราะอะไรบ้าง เคยไหมเพียงเพราะว่าอยากกินเราจึงสูญเสียความเป็นคนได้ น่าละอายแท้ๆ เพียงเพราะติดบุหรี่เราจึงสูญเสียวาจาสัตย์ความน่าเชื่อถือ เบาๆ หน่อยดีไหม (ดี)  
ฉะนั้นเราจะเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญธรรม คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน ควรที่จะมีและไม่บกพร่อง ควรที่จะกระตือรือร้นและหมั่นให้มีอยู่ในใจเสมอ ฝึกคิดไตร่ตรองก่อนกระทำได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะถามเหมือนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยถามว่าถ้าเดินๆ ไปเห็นเงินตกศิษย์จะทำอย่างไร เก็บเข้ากระเป๋า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ใจเขาก็ใจเรานะศิษย์นะ ศิษย์เคยคิดไหมว่าเวลาศิษย์ทำของหาย อยากจะนึกในใจว่ามันอยู่ตรงไหนก็อยากให้อยู่ตรงนั้น ฉะนั้นถ้าเห็นเงินตก ศิษย์จะเก็บไหม (เก็บ)  นี่แหละคือปัญหาของความเป็นคน รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วแต่ถามว่าเก็บไหม เก็บ ถึงว่าศิษย์ทำของหายก็เลยหาไม่เจอสักที
เราอยู่ในโลกสิ่งที่เราอยากมีคืออะไร (ความสุข)  แล้วเราเดินไปหาความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากัน (ความทุกข์)  ความสุขของศิษย์มักจะเป็นความสุขที่ต้องดิ้นรนกลับไปหาทุกข์อยู่เสมอ ไม่เคยเป็นความสุขที่แท้จริงเลยสักที ขึ้นชื่อว่าชีวิตมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์อยากมีและอยากเป็นมากที่สุดคืออะไร อยากมีเงิน อยากเป็นคนรวย ผู้หญิงก็อยากเป็นคนสวย  ผู้ชายก็อยากเป็นคนหล่อ  แต่อะไรล่ะที่มีและเป็นแล้วไม่ร้อนรุ่มใจ ไม่แผดเผาใจ ไม่ทำให้เราหนักใจ มีไหม  ไหนใครว่ามีเงินแล้วไม่ร้อนรุ่มใจ ยกมือขึ้น ไหนใครว่าเป็นคนสวยแล้วไม่ทุกข์ใจ ยกมือขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนมีเกียรติ ไม่มีเกียรติ เป็นคนสูงส่งขนาดไหน เมื่อมีแล้วเป็นแล้ว ล้วนทำให้เราหนักอกหนักใจ แล้วก็กลุ้มใจได้ทั้งนั้น เราจะมี จะเป็นในโลกนี้อย่างไร ที่จะทำให้เรานั้นไม่วิ่งวนไปเป็นทุกข์แล้วก็กลับมาเป็นสุข ไม่เป็นสุขแล้วก็กลับมาเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถามศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ ว่าระหว่างความเบาสบายใจกับความหนักใจ เราชอบอะไรมากกว่ากัน (ชอบความสบายใจ) อาจารย์ไปถามกี่คนๆ ก็ต้องบอกว่าชอบความสบายใจ อะไรที่ทำให้เราหนักอกหนักใจอยากมีอยากเป็นไหม  ไม่อยากมีไม่อยากเป็น เป็นตัวเราเองยังหนักอกหนักใจเลย อย่างนั้นถ้าเกิดอาจารย์ถามต่อว่า โลกนี้วุ่นวาย สังคมนี้วุ่นวาย คนนี้ก็วุ่นวาย แต่ไม่เคยเห็นใครเลยที่รู้ว่า ชีวิตนี้ก็วุ่นวายแล้วจะกลับไปหาความ (สงบ)  ใช่หรือไม่ รู้ว่าวุ่นแล้วจะไปหาความสงบไหม รู้ว่าวุ่นแล้วจะไปหาความสบายใจไหม ไม่ กลับยังมีความสุขในการวุ่นวายอยู่ จริงไหม ถามว่าความหนักอกหนักใจกับความสบายใจ ใครเลือกสิ่งไหน (ความสบายใจ)  อาจารย์ย้ำอีกครั้งนะ สบายใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่เป็นอยู่นี้ สบายใจหรือหนักใจ (หนักใจ)  มนุษย์นั้นแปลกนะ ชอบอีกอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราเป็นอยู่ได้สร้างความสบายใจให้เรามากน้อยแค่ไหน หรือสร้างความหนักใจให้เรามากกว่ากัน ลองคิดๆ ดู ถามทุกๆ คนก็บอกว่า ระหว่างความหนักอกหนักใจกับความสบายใจ ใครๆ ก็ต้องเลือกความ (สบายใจ)  แต่ถึงเวลาจนแล้วจนรอดเราก็วิ่งไปหาความ (หนักใจ) ฉะนั้นเราจะสามารถหยุดยั้งความหนักอกหนักใจให้กลายเป็นความสบายใจได้อย่างไร  ในเมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต เงินก็ต้องหา ภาระก็ต้องมี ความหนักอกหนักใจก็เลยหนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ แต่ถามจริงๆ ว่าเราสามารถหนีพ้นได้ไหม ถ้าเกิดว่าเราไม่เคยหยุดบ้างเลย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวไว้ว่า ศิษย์เคยเห็นวัวกับควายไหม นิสัยวัวกับควาย มันต่างกันอย่างไร ไม่ได้ก็อย่าพูดเล่น  ต้องคิดให้ดีๆ นะ เพราะว่าพูดแล้วอาจเข้าตัวเองก็ได้ อย่าได้รู้ในสิ่งที่รู้อยู่แล้วแล้วก็ยังฝืนทำในสิ่งที่รู้ ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือน (ควาย)  ศิษย์พูดเองนะ ไม่ว่าจะเป็นหมู เป็นหมา เป็นอะไร ศิษย์ก็เลือกพูดนะ ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราจะดำเนินชีวิตในโลกอย่างไร ให้เกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ ในโลกแล้วไม่ทำให้ก่อเกิดความหนักอกหนักใจ แต่ก่อเกิดเป็นความสบายใจและสุขใจได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่สุขอันจอมปลอม
เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากี่ชั่วโมง ชั่วโมงกว่าๆ ใช่ไหม ไม่ว่าอาจารย์จะนั่งหรือยืน ศิษย์ก็จะ (ยืน) อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ระวังคำพูดก็จะทำให้เราสูญเสียความเป็นคน และฆ่าเราตายได้เหมือนกันจริงไหม รู้แค่ว่าสูญเสียความเป็นคนแต่อย่าลืมนะว่าถ้าพูดแล้วไม่รู้จักคิดให้ดีๆ  คำพูดก็ทำให้เราตายทั้งเป็นได้ อาจารย์ถามคิดให้ดีๆ  ถ้าอาจารย์ยืน ศิษย์จะ (นั่ง) ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์จะ (นั่ง)  อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อไม่ได้ใช่ไหม ตอนแรกว่าอย่าง ตอนหลังว่าอย่าง ต้องย้ำอีกทีหนึ่ง ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ถูกหรือเปล่า เหมือนเวลาเป่ายิงฉุป ถ้ารอบแรกศิษย์แพ้ รอบหลังศิษย์ชนะ ก็ต้องมีอีกรอบหนึ่งใช่หรือไม่ อาจารย์ถามใหม่นะ คิดให้ดีๆ ถ้าอาจารย์ยืน ศิษย์จะ (นั่ง)  ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์จะ (นั่ง)  โอ๋..คุณธรรมของความเป็นคน ต้องรู้จักมีเมตตาเห็นอกเห็นใจคนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนอื่นยืน แต่ตัวเองนั่ง ไม่ว่าเขาจะนั่งหรือจะยืนตัวเองก็ไม่สนใจ ตัวเองนั่งอย่างเดียวอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนไหม อาจารย์ถามจริงๆ  อาจารย์มาสองชั่วโมง อาจารย์ต้องยืนทั้งสองชั่วโมงไม่ได้นั่งเลย ศิษย์จะทนไหวไหม อาจารย์บอกแล้วถ้าจะทำอะไร จะพูดอะไรขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นคนที่ทำลายคุณธรรมความเป็นคนของตัวเอง ก็คือตัวเราเอง อย่าไปโทษผู้อื่นถูกไหม ถ้าเราแล้งน้ำใจกับผู้อื่น ฉะนั้นเจอผู้อื่นแล้งน้ำใจก็ไปว่าเขาไม่ได้ ต้องหันกลับมามองว่าเรามีน้ำใจเต็มที่แล้วหรือยัง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)  อาจารย์เดินวนจนรอบแล้ว  คิดแล้วคิดอีกว่าศิษย์จะจำในสิ่งที่อาจารย์พูดได้บ้างไหม อาจารย์พูดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะตามใจตัวเอง รักสบายขนาดไหน สิ่งที่เราต้องพึงไตร่ตรองไว้เสมอก็คือ พูดแล้วกระทบกระเทือนคนอื่นหรือเปล่า  กระทำลงไปแล้วทำให้เราสูญเสียความเป็นคนหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักสบายแล้วทำให้เราไม่มีน้ำใจต่อผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าคิดไตร่ตรองแล้วเห็นว่าไม่ดี ก็ควรที่จะพอ รู้จักที่จะหยุดยั้งบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะการวิ่งไปตามความอยากนั้น บางทีอาจจะไม่ได้ตามความอยาก  แต่อาจจะได้ความบกพร่องก็มี ยิ่งไปหาความมี แต่ถึงเวลาอาจจะเรียกว่าไม่มีก็ได้  เหมือนศิษย์หาเงินได้ แต่ศิษย์หาคำว่ามีเงินในใจศิษย์ได้หรือยัง (ยัง)  เงินถึงไม่พอสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะหามาเท่าไร ใจเรารู้สึกว่ามีเงินหรือยัง  แม้เรามีเงินเต็มกระเป๋าก็ตาม แต่ถ้าหัวใจเราไม่บอกว่ามีเงิน เราก็จะรู้สึกว่าไม่มีเงินสักทีจริงไหม (จริง)  อย่าได้มีแต่เงินในกระเป๋า แต่หัวใจไม่เคยรู้สึกถึงคำว่ามีสักที ไม่อย่างนั้นการมีของศิษย์ก็จะไม่มีวันถมเต็มได้  เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ให้เรามีความสุขไม่วกกลับมาเป็นความทุกข์ เราจะแสวงหาในโลกนี้อย่างไร ให้การแสวงหานั้นไม่ก่อเกิดเป็นความทุกข์ ที่ไม่มีวันพบความสุข ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไหร่ที่เราแสวงหาเราก็รู้สึกกลุ้มกังวลได้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอได้มาแล้วก็กลุ้มกังวลต่ออีกว่า เดี๋ยวจะเสียหรือจะเก็บได้อยู่ ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้แล้วสามารถเป็นอิสระ ไม่ถูกความมั่งมี ไม่ถูกความได้ ความเสีย มาทำให้เราสูญเสียหัวใจอันสงบไป นั่นก็คือ อยู่ร่วมกันโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นได้หรือเปล่า อยู่ร่วมกันโดยปล่อยวางตัวตนได้หรือไม่  เป็นเรื่องยากใช่หรือไม่(ใช่)  เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็อดมีคำว่าตัวตน ของตัวของตน  ไม่ได้ พอมีตัว มีตน ของตัว ของตน  ความยึดมั่นก็ตามมา เมื่อมีความยึดมั่นตามมา ความกลุ้มกังวล ความได้  ความเสียก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะลดความหนัก ความกลุ้มไปจากใจ เราก็ต้องรู้จักความปล่อยวางบ้าง ถึงที่สุดทำเต็มที่แล้ว ได้ไม่ได้ ปล่อยวางได้ไหม ลงทุนไปสิบบาท ได้กำไรไม่ได้กำไร ทำใจได้ไหม (ได้)  ถ้าลงทุนไปล้านบาท ไม่ได้กำไร ทำใจได้ไหม (ได้,ไม่ได้)  อาจารย์ว่าแล้วสิบบาทได้ แต่พอเป็นล้านแล้วทำใจไม่ได้เลย อาจารย์ถามว่า มีอะไรในโลกที่ได้แล้ว  ได้เงินมีไหมที่ไม่เสี่ยงว่าจะเสียเงิน  ได้คนรัก มีไหมจะไม่สูญเสียคนรัก  ได้ทองมีไหม จะไม่สูญเสียทอง ได้ตำแหน่งชื่อเสียงมีไหมจะไม่สูญเสียตำแหน่งชื่อเสียง (ไม่มี)  ฉะนั้นพึงอย่าประมาท เมื่อได้มาก็ต้องพร้อมที่จะ (เสีย)  ถ้าศิษย์ได้มาหนึ่งล้าน แล้วศิษย์อยากได้อีกหนึ่งล้าน ศิษย์ต้องทำอย่างไร ก็ต้องยอมเอาไปเสี่ยงใช่หรือไม่  เมื่อขึ้นชื่อว่าความเสี่ยง ศิษย์จะต้องมีวันเสียไม่เสีย ก็ห้าสิบห้าสิบ ใช่ไหม หรือบางครั้งอาจจะ แปดสิบยี่สิบ ใช่หรือไม่  ฉะนั้นศิษย์ก็ต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ เพราะโลกนี้มีสิ่งใดเล่า เป็นของเรา มีอะไรบ้างเป็นของศิษย์ ศิษย์ยกมือมา ศิษย์ว่ามีอะไรเป็นของเราบ้าง เสื้อผ้าเป็นของศิษย์ไหม (ไม่)  วันนี้ใช่ แต่ต่อไปไม่แน่ ใช่หรือไม่ ร่างกายนี้ศิษย์ว่าเป็นของตัวเองไหม  แน่ใจหรือว่าเดินออกไปไม่ถูกฟ้าผ่าตาย แน่ใจไหม ว่าเดินข้ามถนนจะไม่ถูกรถชนตาย ฉะนั้นทุกอย่างทุกชีวิตล้วนมีแต่ความเสี่ยง มนุษย์จึงไม่ควรตั้งตรงอยู่ในความประมาท ควรพึงระลึกไว้อยู่เสมอว่าทุกสิ่งล้วนได้มา ก็ต้องมีวันเสียไป
ถ้าจะพูดว่าในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในคำว่า ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา ใช่หรือไม่ มีความทุกข์เป็นธรรมดา มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ และมีความสูญสิ้นเป็นเรื่องสามัญวิสัย
ฉะนั้นศิษย์จะมั่นใจได้อย่างไรว่า เงินที่อยู่ในกระเป๋า ชีวิตที่อยู่ในมือเรา คนที่เรารักแน่ใจหรือว่าจะอยู่กับเราไปตลอด ถ้าเราพึงระลึกอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปวัฎจักร เราก็คงไม่ต้องให้ความยึดมั่นถือมั่นมาทำให้เราทุกข์และหนักใจ เพราะคิดว่าทุกชีวิตล้วนมีชะตากรรมเป็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่  แม้แต่ตัวศิษย์เอง วันนี้มีห้านิ้ว แน่ใจหรือห้านิ้วจะอยู่กับเราครบ ใช่หรือไม่  ศิษย์เคยกลุ้มกังวลไหม ทำไมนิ้วโป้งไม่เท่ากับนิ้วชี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมนิ้วชี้มันยาวไปมันน่าจะสั้นเท่ากับนิ้วก้อยหรืออะไรอย่างนี้ ถูกหรือไม่ เรากลุ้มกับความไม่สวยของมัน ถึงเวลาสวยไม่สวยถ้าเกิดเวลาสูญเสียเราก็อยากให้มันอยู่ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอย่ามัวกลุ้มกังวลกับสิ่งที่ไม่ควรกลุ้ม แต่ควรคิดในสิ่งที่ควรคิดว่า ในโลกนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป มีขึ้นในทุกๆ สิ่ง แม้แต่สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์หรือไร้รูปไร้ลักษณ์ก็ตาม  ถ้าคิดอย่างนี้แล้วเราจะยึดมั่นถือมั่นอะไรเป็นของรักของหวงไหม (ไม่ยึด)  เวลาโดนใครว่าเราจะโกรธไหม (โกรธ, ไม่โกรธ)  จริงหรือ (จริง)  ถ้าเราคิดได้อย่างนี้เสมอแม้โดนว่าก็จะไม่โกรธ แม้จะสูญเสียก็จะไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เพราะแต่ก่อนเราได้เขามาไหม แต่ก่อนเรามีแฟนไหม (ไม่มี)  แล้วตอนนี้แฟนหนีไปเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  แต่ก่อนเรามีเงินไหม (ไม่มี)  โดนคนเขาขโมยไปเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่ปล่อย เอาแต่ยึดมั่นถือมั่นไว้ คนที่ยึดมั่นถือมั่นแน่นเท่าไรก็เจ็บเท่านั้น ศิษย์ลองดูมือ มือที่เรียกว่ามือแล้วใช้งานได้เพราะว่าอะไร
(พระอาจารย์เมตตากำมือและแบมือให้นักเรียนดู)
นี่แหละเรียกว่าชีวิต ขึ้นชื่อว่าชีวิตคือไม่ว่าตั้ง ไม่ว่าหุบ ไม่ว่ากาง ไม่ว่าแบมือ นี่ก็เรียกว่าชีวิต แต่ถ้าเมื่อไรเราแบมือแล้วไม่หุบ หุบแล้วแบมือไม่ได้ นี่เรียกว่าอะไร ผิดปกติ ใช่หรือไม่ แล้วตอนนี้ศิษย์กำลังยึดอะไรจนแน่น แล้วจับอะไรจนปล่อยไม่ได้ แล้วไม่ยอมรับความจริงเป็นอย่างนั้นไหม ศิษย์ว่าวันนี้ศิษย์ขาดบุหรี่ไม่ได้ แน่ใจหรือ ถ้าวันนี้ไม่รู้จักขาด วันหน้าศิษย์จะรู้จักนรกทั้งเป็น ถูกไหม จริงนะไม่จำเป็นต้องเป็นบุหรี่ก็ได้ศิษย์ แต่บุหรี่นี้เหมือนกระทะทองแดง ใช่ไหม (ใช่)  บางคนมีชีวิตอยู่เกิดมาเพื่อมีรัก พอรักไม่ได้ รักจับไม่แม่น รักไม่อยู่กับฉัน ตายเพราะรักเลยคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  เกิดมารักอย่างเดียว พอไม่สมรัก ก็ตายเลย คุ้มไหมศิษย์ (ไม่คุ้ม)  ฉะนั้นใช้ชีวิตให้คุ้ม แล้วมองชีวิตให้เป็น แล้วมายาของโลกก็จะไม่ฆ่าศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเห็นคนเขาตกปลาไหม (เคยเห็น)  ปลาโง่ๆ เวลามากินเบ็ดคือ ฮุบทั้งอันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปลาที่ฉลาดเวลาที่กินเบ็ดคือ (ตอด)  ถูกต้องศิษย์ ต้องรู้จักตอด ตอด ตอด อย่าไปกินหมด ใช่หรือไม่  เพราะไม่อย่างนั้นกินแล้วนอกจากเบ็ดจะเกี่ยวคอแล้วก้างยังแทงพุงอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกจึงต้องรู้จักช่วงใช้สิ่งต่างๆ ให้เป็น ใช้เงินให้เป็นอย่าให้เงินมาใช้เรา ถูกไหม (ถูก)  ให้เงินมาเป็นทาสเรา ไม่ใช้ให้เงินมาจิกหัวเรา วันนี้เจ้าต้องไปเอาเงินมานะ เจ้าไม่เอาเงินเจ้าต้องตาย เจ้าต้องเจ็บปวด เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  วันนี้เจ้าต้องไปหานะ หน้าคนนี้หล่อๆ ถ้าไม่ไปหาเจ้าจะทุกข์ เจ้าจะร้องไห้ เป็นไหม (เป็น)  
ในโลกจึงใช้มายาโลกให้เป็น แล้วเราจะไม่ทุกข์เพราะมายาในโลก คิดถึงเวลาคนตกเบ็ด ถ้ากินมันทั้งหมด เราก็มีแต่ตายกับตาย แต่ถ้ารู้จักหยุดให้เป็น เราก็จะอยู่รอดและไม่ทุกข์ ศิษย์เอ๋ยติดในความดีก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน หรือติดในตัวอาจารย์ก็เป็นทุกข์ได้ ถ้าวันไหนอาจารย์ไม่มาให้เห็น ศิษย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นได้หรือไม่ได้ อาจารย์จะมาหรือไม่มาก็ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าศิษย์จะยึดมั่นถือมั่นในตัวอาจารย์ ศิษย์จะทุกข์ไหมถ้าอาจารย์ไม่มา (ทุกข์)  หรือแม้กระทั่งความดี ศิษย์ทุกคนชอบทำดี แต่ถ้ายึดมั่นว่าฉันเป็นคนดี ใครมาว่าฉันเลว ฉันรับไม่ได้ อย่างนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ใครมาตำหนิว่าฉันไม่ดีจริง ฉันทนไม่ไหว ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะเรายึดมั่นในความดี คนดีที่แท้จริงคือคนดีที่รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุงตัว นี่ถึงจะเรียกว่าดีแท้ ไม่ใช่ดีแบบยกตัวเองสูงใครว่าไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าดีไม่แท้
อะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและจิตใจของมนุษย์มากเหลือเกิน แม้รู้ว่าเป็นเหยื่อล่อทำให้เราต้องตาย แต่เราก็ยังคิดที่จะไปตะครุบมันอีก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงคำในพระโอวาท)
ตอบอาจารย์ได้ไหม อะไรที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์  เมื่อมีแล้วก็ทำให้เราสามารถหลงลืมความเป็นคน แม้อยากจะหาความสุขก็กลับกลายเป็นความทุกข์เสียได้  (ความอยาก)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทในทำนองเพลงแค่โทรมาบอกว่าคิดถึง)
มนุษย์สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคือความอยาก ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความอยากให้ดี ความอยากนี้อาจจะบงการชีวิตเราให้ต้องเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิตก็ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานแอปเปิ้ลให้นักเรียน)  เราจะทุกข์เพราะแอปเปิ้ลไหม ยิ่งถ้าได้กิน ได้ลิ้มรสแล้ว เราจะเป็นทุกข์เพราะได้แอปเปิ้ลไหม ก็ไม่แน่ ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ยึดมั่นถือมั่นเหมือนศิษย์ อาจารย์ก็คงกลับแล้วนะ มีอะไรที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่น่ารักเลย (ความโกรธ, ความโลภ, ความเห็นแก่ตัว, ความไม่รู้จักพอ, กิเลสตัณหา, ติดในความสบาย, ไม่มีความพอดี, ความแค้น, ความยึดมั่นถือมั่น, โลภ, โกรธ, หลง)  คิดอะไรได้มากกว่าโลภ โกรธ หลง ไหม เช่น เห็นคนอื่นได้ แต่เราไม่ได้ เราเลยอยากได้ (อิจฉา) อิจฉา ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ความเกลียด, ความอยากได้, ความโกรธ,ความอยากได้อยากมี,ความโลภ,พูดไม่รู้จักคิด, ความอยากได้จนเกินพอดี,มีกิเลสตัณหามาก,ความคิด,ความประมาท)
ต้องรอให้อาจารย์นำตลอดเลยใช่ไหมนี่ (ใช่)  แล้วถ้าอาจารย์ไม่ตามใจศิษย์ล่ะ เสียงที่ดีย่อมไม่ร้องจึงเรียกว่า เสียงดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าร้องไม่ได้ อาจารย์ให้นำไปหัดร้องดีไหม ให้เพลงวัยรุ่นเกินไป วัยรุ่นก็ไม่กล้าออกมาร้อง ให้เพลงเก่าเกินไป วัยรุ่นก็บอก ไม่ตามใจวัยรุ่นบ้างเลย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงคำในพระโอวาท)
การบำเพ็ญธรรมเราควรฝึกฝนอะไร ฝึกฝนความเป็นมนุษย์ให้กลับคืนขึ้นมา เป็นมนุษย์ธรรมดาหรือควรจะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ (เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ)  แล้วขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐคือ ควรที่จะรู้ ขัดเกลาตัวเองมากกว่าขัดเกลาผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อดทนในที่ที่ควรอดทน อาจารย์ว่าศิษย์ในชั้นนี้เวลาแตกกันทำงานแล้ว ใจก็แตกไปด้วย ใช่หรือไม่ ฟังอะไรก็เลยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะฟังทางนี้ดีหรือฟังทางนั้นดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้น ร้องเพลงอิปปียาพร้อมทั้งทำท่าประกอบตามที่บอก)  หายง่วงหรือยัง  บางครั้งลืมตัวลืมตนไปบ้าง ถ้าไม่ลืมตัวไม่ลืมตน บางครั้งการมีตัวตนก็ทำให้เราทุกข์อยู่เป็นนิจศีล จะนั่งก็ทุกข์ จะยืนก็ทุกข์  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่ยืนและก็ไม่นั่งจนเกินไปใช่หรือไม่ (บุญคุณต้องทนแทน ความแค้นต้องชำระ)  อาจารย์ว่าแล้วศิษย์ต้องตอบแบบนี้  เมื่อวานเซียนน้อยก็สอนแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าคิดแต่จะเอาชนะเวรย่อมไม่มีวันระงับ  เวรย่อมระงับได้ ด้วยการไม่จองเวร  นี่เป็นธรรมะเก่าแก่ที่ไม่ว่ากาลเวลาไหนมนุษย์ก็รู้กันอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญคุณต้องทดแทน  ความแค้นต้องให้อภัย  
ฉะนั้นถ้ามนุษย์เรามีความเห็นอกเห็นใจกัน จิตใจมีความเมตตา  ไม่เห็นแก่ตัวเอง  รู้จักเห็นแก่ผู้อื่นบ้าง  เราก็คงไม่เคืองแค้นใครได้เป็นนานสองนาน ตัวศิษย์เองก็เคยทำผิดใช่ไหม ตัวศิษย์เองเคยว่าคนอื่นไหม (เคย)  ตัวศิษย์เองที่บอกว่าพูดเพราะๆ เคยปากร้ายไหม (เคย)  ฉะนั้นถ้าอยากให้อภัยคนอื่นก็จงมองว่าเขาก็เหมือนเรา  ถ้ารักคนอื่นก็เท่ากับรักตัวเราเอง แล้วเราจะว่าคนอื่นและเราจะทำร้ายคนอื่นไหม (ไม่)  เขาก็คน เราก็คน  ถ้าคนนั้นเราไม่เห็นใจ แล้วทำไมคนนี้เราถึงเห็นใจ ถ้าคนนั้นเราไม่ยุติธรรม แล้วคนนี้เราจะหาความยุติธรรมจากใครในโลกถูกหรือไม่  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคน สิ่งที่ขาดไม่ได้อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หรือแม้ตอนกลาง และแม้ตอนท้าย อาจารย์จะกลับ อาจารย์ขอย้ำอยู่เสมอว่า อย่าเห็นแก่ตัว จนลืมเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าหวังแต่ตัวเองสบาย จนลืมนึกถึงความลำบากใจของผู้อื่น ไม่เช่นนั้นคุณธรรมแห่งความเป็นคนของเราจะหายไปทันที เพราะคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงใคร เห็นแต่ตัวเองสบาย ไม่สนใจว่าคนอื่นจะลำบาก คนที่รู้จักเห็นใจผู้อื่น ความเมตตาจะกลับมา คนที่รู้มีศีลมีธรรม ความชั่วจะไม่บังเกิด ความดีจะบังเกิดขึ้นในจิตใจถูกไหม (ถูก)  พระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์ปฏิบัติมีอยู่สามอย่าง  ละชั่ว  ยังกุศลให้บังเกิด  ทำจิตใจให้บริสุทธิ์  เราจะละความชั่วในโลกนี้ได้อย่างไร ถ้าศีลเรายังมีไม่ได้ ศิษย์เคยเห็นคนโกหกไหม แล้วศิษย์เคยเป็นไหม (เป็น)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าคนโกหกพระพุทธะที่ศิษย์นับถือท่านเทียบได้กับอะไร  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ศิษย์เคยตักน้ำมาขันหนึ่ง  ศิษย์รู้ว่าการโกหกนั้นมันไม่ดี แต่ถ้าศิษย์ยังพูด เท่ากับว่าศิษย์เทความดีของศิษย์ทิ้ง  แล้วถ้าเกิดรู้ว่าโกหกครั้งหนึ่งแล้ว ยังโกหกอีกไหม
มนุษย์เมื่อกล้าโกหกครั้งหนึ่ง ก็ย่อมมีครั้งที่สอง เมื่อเราเทความดีออกไปส่วนหนึ่ง แล้วยังโกหกอีก  ยังพูดโกหกมดเท็จ ความดีที่จะเหลือนั้นก็ไม่เหลือเลย  แล้วโกหกอีกไหม  (โกหก) จากที่ควรจะเหลือก็ไม่เหลือเลย กลายเป็นคว่ำขัน ไม่มีดีเลย คนเมื่อโกหกหนึ่งครั้ง ก็พร้อมจะชั่วได้จริงไหม แล้วโกหกเพราะอะไร เพราะแอบไปทำอะไรไม่ดีมา ใช่หรือไม่  แล้วโกหกอีกไหม ใช่ยังโกหกอีก ความดีที่ควรจะมีอยู่ ที่เคยเก็บสะสม เทไปแล้ว เทจนหมด คว่ำขันแล้ว หงายขันมาก็ไม่เหลือดีเลย  ถ้ายังรู้ว่าโกหกแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วยังโกหกอีก ความดีก็จะไม่เหลือในตัวตน
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคน ศีลธรรมไม่ควรขาดไปจากใจ มีศีลได้ ธรรมก็บังเกิด เมื่อมีศีลมีธรรมบังเกิดแล้ว ความชั่วมีหรือจะเข้าใกล้ กุศลมีหรือจะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ เมื่อหมั่นทำความดี มีหรือจิตใจจะไม่ร่มเย็นเป็นสุข การทำความดี ละความชั่ว ย่อมสามารถทำให้เราดำรงชีวิตอยู่กับผู้อื่นและสังคมได้อย่างปกติสุขมีความสุขใช่หรือไม่ แต่การทำจิตใจให้บริสุทธิ์คือการหาความสุขให้กับตัวเอง มนุษย์นั้นชอบว่างไม่เป็น แต่ชอบวุ่นเป็น และมักจะถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอยากหาความสงบเหลือเกิน แต่อาจารย์จะบอกว่า เมื่อไหร่ที่หยุดนิ่ง เมื่อนั้นแหละความสงบอยู่ไม่ไกล จริงไหม เมื่อไหร่ที่รู้จักพอ ความสุขไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลย  แล้วเราจะหาความบริสุทธิ์ได้อย่างไรล่ะ พอหรือยัง หยุดได้ไหม นิ่งเป็นหรือเปล่า  เมื่อนิ่งเป็น พอได้ หยุดได้ เมื่อนั้นความบริสุทธิ์ไม่ได้อยู่ไกล อยู่ที่ตัวเรา เมื่อบริสุทธิ์ได้ ความสุขที่แท้จริงก็กลับมาสู่เราได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักหาความสงบ ความบริสุทธิ์ ก็ไม่อยู่ไกล เมื่อมนุษย์รู้จักหาความสงบ ความสุขอันแท้จริงก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ที่ว่าพอหรือยัง หยุดได้บ้างไหม  แล้วอาจารย์บอกว่าให้พอแล้วไม่ต้องอยากในโลกหรือเปล่า ไม่ใช่ แต่ให้รู้พอในวันๆ หนึ่ง แค่นั้นเองได้ไหม (ได้)  จะโกรธ จะโลภ จะหลงอย่างไร พอถึงเวลาวันหนึ่ง ให้ได้เท่านี้พอแล้ว ได้ไหม (ได้)  รู้จักหยุดเป็นบ้าง รู้จักนิ่งเป็นบ้าง ความสงบ ความบริสุทธิ์ และความว่าง ก็จะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อมเลย พระอาจารย์เมตตาพระทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ความวุ่นคืนสู่ความว่าง”  ตัวศิษย์เองคือความวุ่น แต่รากฐานเดิมของศิษย์คือความว่าง  ใช่หรือไม่   ศิษย์วิ่งไปหาความวุ่นเท่าไร แต่ถึงที่สุดสามัญลักษณ์ของธรรมชาติ นั่นก็คือกลับคืนสู่ความว่าง จริงไหม (จริง)  สรรพสิ่งในโลกแม้จะเติบโตเท่าไหร่แต่ผลที่สุด ถึงที่สุด ก็ต้องกลับลงสู่พื้นดินเหมือนกันหมด ถามศิษย์ตั้งแต่แรกเดิม เด็กๆ ศิษย์มีความวุ่นวายในชีวิตเท่าวันนี้ไหม  จิตใจศิษย์วุ่นวายสับสนเท่าวันนี้ไหม  แล้วเราจะหยุดความวุ่นได้อย่างไร รอจนฝาโลงปิด รอจนหมดลมหายใจแล้วถึงจะคืนความว่างหรือ ใช่หรือไม่ รอวันนั้นหรือ แล้วตอนนั้นจะรอไหวไหม (ไม่ไหว)  ถ้ายังมีความยึดมั่นถือมั่น แม้ฝาจะปิดโลงแล้ว ตายไปก็ต้องกลับมาเฝ้าสมบัติอีก ฉะนั้นขอให้หนึ่งวันรู้จักความว่างบ้าง ความว่างที่แท้จริง ก็คือรู้จักความพอและความสามัญ  ถ้ามนุษย์รู้จักความพอและความสามัญได้ความว่างก็ไม่ไกลจากชีวิตเลย   เหมือนอย่างคำที่กล่าวไว้ว่า “ทุกสิ่งสูงสุดย่อมกลับคืนสู่สามัญ”  วันนี้อาจารย์บอกศิษย์ได้ แต่ต่อไปศิษย์ต้องรู้จักเตือนตัวเอง วันนี้อาจารย์ชี้หนทางที่ดีให้กับศิษย์ได้ แต่วันต่อไป ศิษย์ต้องรู้จักเลือกทางของตนเอง มนุษย์ทุกคนมีชะตาชีวิตอยู่ที่ตัวเรากำหนด แต่ถ้าเกิดว่าปล่อยชีวิตให้ขึ้นๆ  ลงๆ  ตามความรัก โลภ โกรธ หลง เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เสียใจกลับไปดีใจ แล้วดีใจกลับไปเสียใจ เหนื่อยไหม แล้วเมื่อไหร่จะหยุดนิ่งบ้าง  
ถ้ารู้จักหยุดนิ่งแล้ว เข้าใจว่าการหยุดนิ่งเป็นอย่างไร จงเอาเวลาที่เหลือไปช่วยคน หรือยังหยุดนิ่งไม่เป็นแต่ยังมีใจช่วยคนได้ก็ประเสริฐเหมือนกัน ขายของไป เห็นใครดี ชวนไปฟังธรรมะ ได้หรือเปล่า (ได้)  จะขายตลอดเวลาเป็นไปได้ไหม
ความว่างที่แท้จริงมีอยู่ในจิตใจของศิษย์ แต่อยู่ที่ว่าเราเคยหยุดนิ่งและค้นหาความสงบในพื้นฐานของตัวตน พอใจในตัวตนธรรมดาสามัญบ้างไหม ถ้าไม่พอใจก็ยังต้องวิ่งวนต่อไป ใช่หรือไม่  อาจารย์ถามหน่อยนะยิ่งวิ่งวนไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า กับสิ่งที่ธรรมดามันก็ไม่ต่างอะไร เดี๋ยวก็มีคนชม เดี๋ยวก็มีคนว่า สู้รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี อย่าพยายามเพื่อให้ได้มี แต่ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครชม ศิษย์มักจะบอกว่าอยากมีอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ถึงเวลาพอเป็นแล้ว มีใครบ้างที่ไม่โดนติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นก่อนจะไปแสวงหาสิ่งใด จงรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เป็นสุขในสิ่งที่ตนเองได้ ถ้าพื้นฐานยังไม่สามารถเข้าใจตรงนี้ วิ่งวนไปหาเท่าใดก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น อยู่ในโลก อย่าปล่อยให้มายาโลกหลอกลวงเอา ศิษย์ชอบกินเบ็ดของโลกใบนี้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นมีสติรู้เท่าทันตัวตน อย่าปล่อยให้กิเลสอารมณ์มาครอบงำจิตใจ มิเช่นนั้นแล้วกิเลสอารมณ์ก็นำพาให้ศิษย์ทุกข์จนไม่มีวันพ้นทุกข์ได้เลย  ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิดหน่อย ได้หรือเปล่า  สรรพสิ่งในโลกแม้ตัวศิษย์เองหรือตัวอาจารย์เองก็หนีความจริงนี้ไม่พ้น ทุกสิ่งล้วนมีที่มา และทุกสิ่งล้วนต้องมีที่ไป คนเราก็เหมือนกันแต่ก่อนที่เราจะไปเราควรทำอะไรที่ดีๆ ทิ้งไว้หน่อยนะ จิตใจที่มุ่งมั่น ขัดเกลาตัวเอง มีเวลาออกไปช่วยผู้อื่น ไม่ใช่แก้ไขผู้อื่นแต่ไม่แก้ไขตัวเอง ก็เปล่าประโยชน์ อย่าฟังเสียเปล่า กลับไปอ่านและคิดพิจารณาสิ่งที่อาจารย์พูดด้วย ได้หรือเปล่า (ได้)
ดูแลตัวเองดีๆ นะมีโอกาสกลับมาศึกษาอีก อาจารย์อยากรักษาจิตใจมากกว่ารักษาร่างกาย เพราะถ้าจิตใจเข้มแข็ง ร่างกายภายนอกก็เข้มแข็ง แต่ถ้าจิตใจภายนอกอ่อนแอ แม้ว่าปัญหาเล็กน้อยก็ทำให้ใจนั้นยอมแพ้ได้ รักตัวเองได้ก็ต้องรักผู้อื่นได้ ให้อภัยตัวเองได้ก็ต้องให้อภัยผู้อื่นเป็น ใช่หรือไม่ รู้โทษตัวเองไม่ดีอย่างไร ดื้ออย่างไร ทำไมไม่แก้ไข อาจารย์ช่วยศิษย์ไม่ได้ตลอดนะ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักช่วยตนเองบ้าง ถึงเวลาอาจารย์ก็ไปแล้ว ศึกษาบำเพ็ญตั้งใจให้ดีนะศิษย์นะ อย่าเสียทีที่เกิดเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว แต่ถึงเวลาเอาตัวเองไม่รอด แพ้ภัยตัวเอง น่าเสียดาย ตอนนี้อาจารย์ช่วยศิษย์ได้ แต่ต่อไปถ้าศิษย์ไม่ช่วยตัวเอง ก็ไม่มีใครช่วยศิษย์แล้วนะ เป็นคนข้างหน้าแล้วต้องรู้จักฟังคนข้างบนแล้วก็ต้องนำพาคนข้างล่างนะศิษย์นะ น่าเสียดายที่ฟังได้แค่วันเดียว มีโอกาสกลับมาอีกนะ รู้เรื่องหรือเปล่า ศิษย์จอมขี้สงสัยของอาจารย์ เมื่อทำแล้วก็ทำได้ดี ใช่หรือไม่ ตั้งใจอะไรแล้วก็ขอให้ทำให้ถึงที่สุด ไม่เปิดใจแล้วจะฟังอาจารย์รู้เรื่องหรือ อย่าฟังแล้วเสียเปล่านะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์ใหม่นะ ถ้าไม่เชื่อ ฟังอย่างไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเชื่อ ศิษย์ก็จะเกิดปัญญาได้ ศิษย์หัวดื้อ อาจารย์ไปแล้วนะ คนดีเป็นได้แต่อยู่ที่จะเป็นหรือไม่ เรื่องไม่ดียังแก้ไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นจะแก้ได้หรือ ทั้งคนนี้ คนนั้นด้วย ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ดีก็จงทำ อะไรดีแล้วก็จงปฏิบัติให้ดี อะไรไม่ดีเลิกซะเถอะนะ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ขัดเกลาแก้ไขนิสัยของตัวเองนะศิษย์



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ความวุ่นคืนสู่ความว่าง”

พึงลดใจใคร่อยากมีให้น้อยลง ความมั่นคงในจิตใจไม่ผันผวน
สิ่งที่ล้นจากพอดีคือเกินส่วน ควรร/้แค่ไหนดกบตน
รู้ระงับในที่ที่ควรระงับ ความว่นกลับเป็นปกติไม่สับสน
รู้อดทนในที่ที่ควรอดทน บัณฑิตชนฝึกดีแล้วย่อมได้ดี
วันวันหนึ่งมสติเกือบตลอด ย่อมจะปลอดความวุ่นจากชีพนี้ 

อันใจว่างใช่อะไรก็ไม่มี แต่งคือเที่ยงอันปราศจากขุ่นว่นวาย



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทที่ผู้ปฏิบัติงานธรรมจัดทำผิดพลาด
พระโอวาทประชุมธรรม สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
วันเสาร์และอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒


หน้า ๒
กลอนบทสุดท้าย จาก  “ไม่เคยไม่ทะเลาะเรื่องช่วยคน
เปลี่ยนเป็น  “ไม่แค่ไม่ทะเลาะทั้งยังช่วยคน


หน้า ๑๖
บรรทัดสุดท้าย จาก  “ลบเดียวจำจนตาย
เปลี่ยนเป็น รบเคี่ยวจำจนตาย


พระโอวาทประชุมธรรม สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
วันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม และวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ผู้ฝึกฝนย่อมได้ดี
ประโยค แต่ใจขืนไม่ไว้ลมพัดไหว
เปลี่ยนเป็น แต่ใจไม่ขืนไว้ลมพัดไหว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา