แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สัจธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สัจธรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2560-05-06 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี

西元二○一七年歲次丁酉四月十一日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                        สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
  ยามชีวิตสุขสบายอย่าลืมคิด              ยามชีวิตพลาดล้มผิดรับไม่ไหว
ลืมความจริงอันไม่เที่ยงผันเปลี่ยนไป     ลืมยั้งใจยามมีทุกข์ค่อยหาธรรม
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ดวงตะวันลาแล้วไม่เคยลาลับ          โปรดอย่าท้อใจกับอย่าถอดใจ
เลิกฟูมฟายตามอย่างความสิ้นหวังไป    อยู่อย่างไรชีวิตในทุกข์คิดดีดี
เป็นทองแท้ท้ออย่าไร้จิตสร้างสรรค์      พรสวรรค์อย่าลับหายในคำติ
พลิกสถานการณ์หมดหวังล้มจมความดี  สุขในทุกข์ลุกเพื่อที่ชนะตน
เพียงเราดียิ่งขึ้นยืนบนฝั่ง                 ขุมของพลังแรงปลุกจากฝึกฝน
จะไม่เพียงยังศรัทธาไว้แค่ตน             แต่ยังยลสู่ในใจชาวประชา
ออกแรงดึงตนคุณค่าจากทางตัน         ธรรมเรียกขวัญเรียกสติใครสุขหนา
ที่จริงกำลังใจไม่มีสมบูรณ์นา             คนสุขหนาทุกข์ได้ใจไม่ตาย
มีแล้วเสื่อมโลกธรรมย้ำตนเป็นเพื่อน     เหตุการณ์เตือนโลกธรรมดาสัจธรรมดลให้
เมื่อรับรู้ตื่นจิตจากภายใน                อย่ายึดมั่นในสิ่งใดให้ลำเค็ญ
หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางรับนับไม่ไหว              จะอยู่อยู่ดับไปยากมองเห็น
อยากหลุดพ้นวนเวียนว่ายต้องบำเพ็ญ   นิ่งภายในอยู่หมุนเกณฑ์ธรรมจักรวาล
ธรรมพิสุทธิ์สงบว่างความเป็นหนึ่งเดียว  ชีวิตเทียวบรรจบสว่างกระจ่างธรรมเดี๋ยวนั้น
อย่าได้ให้โชคชะตามาปิดกั้น                      ลมพัดผ่านทุกข์มาดับทุกข์ไป
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ  พระโอวาทวรรคที่ขีดเส้นใต้  พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้ 
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

เมื่อยามมีสุขเราก็ไม่เคยคิดว่ายามมีทุกข์แล้วมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน จนกระทั่งพอมีทุกข์แล้ว ตอนนั้นเราถึงได้คิดว่า ธรรมะอยู่ที่ใด ช่วยเราที ใช่ไหม ยามเรามีสุข เราเคยคิดถึงธรรมะไหม น้อยคนที่จะคิดถึงธรรมะ คิดถึงธรรมะตอนมีสุขวันเกิด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ แล้วทุกวันคือวันที่เราดับสิ้น เราฉลองวันเกิดหรือเราฉลองวันตาย (วันตาย)  ฉะนั้นยามมีทุกข์เราค่อยคิดถึงธรรม หรือเราควรจะพิจารณาถึงธรรมอยู่เนืองๆ เพื่อทำให้เราเข้าใจในทุกข์ เพื่อจะได้รับมือกับความทุกข์ได้ (พิจารณาธรรมเนืองๆ)  ฉะนั้นผู้ใดที่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ความทุกข์นั้นจะมากัดกร่อนกินใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ ในเรื่องของการจัดการใจเมื่อยามมีทุกข์หรือเมื่อยามที่เราทำอะไร เราควรใช้ความคิดหรือใช้สติ (สติ)  แต่ส่วนใหญ่ใช้สติหรือใช้ความคิด (ความคิด)  มีคำกล่าวว่า จงมีสติรู้ทันยั้งคิด ถ้าเรื่องของใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งสับสนวุ่นวาย การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งหลงตัวเอง หาทางออกไม่เจอ อย่างนั้นเเปลว่าไม่ต้องคิด ใช่หรือไม่  อย่างนั้นเราจะบอกความเเตกต่างให้ระหว่างการทำอะไรโดยใช้สติกับการทำอะไรโดยใช้แค่ความคิด ลองพิจารณาตามดูว่าสิ่งที่เราพูดเป็นจริงอย่างที่ใจท่านเป็นไหม เรื่องของใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้สติอย่าใช้ความคิด จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เเละจงอย่าคิดว่าตัวเองคิดเเล้วเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น เพราะเวลาเราใช้ความคิด ความคิดของเรามักจะง่ายในการไหลไปตามใจตัวเอง ตามความรู้ความเข้าใจของตัวเอง เรามักเอาความคิดเราไปเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น ซึ่งบางทีทำให้เรามองผิดพลาด ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยหัวใจอย่าเอาเเต่ใช้ความคิด เพราะความคิดจะง่ายที่ทำให้เราไหลเเละหลงเข้าข้างตัวเองเเละง่ายที่จะฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเเค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวาย เราจึงบอกว่าทำอะไรจงใช้สติ
สติต่างจากความคิดตรงไหน เรามักจะได้ยินว่า สติสอนให้เรารู้ทัน ยั้งคิด แปลว่าสติสอนให้เรารู้แต่ไม่หลงไปกับความคิด สติสอนให้เราเห็นความคิดในใจตน และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรใช้สติยั้งคิดหรือเอาแต่คิดแล้วไร้สติ (ใช้สติยั้งคิด)  เรามีสติหรือเรามีแต่ความคิด หรือเอาแต่คิด ลืมสติ ถ้าเรามีสติรู้ทันยั้งคิด ก็ต้องหยุดความคิดได้ แต่ทำไมยิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ยิ่งคิดไม่จบ ทำอะไรด้วยสติจะทำให้เรารู้ทันยั้งคิดและยับยั้งอารมณ์ได้ แต่ถ้าทำอะไรเอาแต่วนกับความคิด เราจะไม่สามารถรู้ตัวเองและกำลังตกเป็นทาสอารมณ์ และกำลังคิดหลงตัวเองและเอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เอาไปวัดผู้คน ใช่หรือไม่ เหมือนนั่งตรงนี้เอาสิ่งที่จำได้หมายรู้วัดคนนั้นพูดดี คนนี้พูดไม่ดี ไม่ได้ใช้สติ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเรียนรู้ธรรม ธรรมสอนให้วางอัตตาตัวตน และธรรมที่แท้จริงไม่มีตัวตนให้ยึดถือ จะบอกว่าใจเราคือแก้วก็คงไม่ใช่ แต่ใจเราคือธรรม และธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าเมื่อไรยังแบ่งแยกยึดถือ นั่นแปลว่าเรายังหลงยึดติดตัวตนที่หนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)
โลกใบนี้จริงๆ แล้วมันทุกข์และวุ่นวาย ใช่ไหม (ใช่)  ใช้สติยั้งคิด อย่าเอาความคิดไปวัดโลกวัดผู้คน โลกนี้วุ่นวาย โลกนี้มีแต่ทุกข์จริงไหม โลกนี้มีแต่สิ่งที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียจริงไหม โลกนี้มีทุกข์สุขจริงไหม โลกนี้วุ่นวายจริงไหม (จริง, ไม่จริง)  เราจะบอกให้ ลองถอนความเป็นตัวเองออกจากโลก แล้วหันกลับไปมองโลกอย่างไม่มีตัวตน โลกนี้วุ่นวายจริงๆ หรือใจเรามันวุ่น (ใจเรามันวุ่น)  ถ้าไม่มีเรา โลกยังหมุนไปไหม (หมุน)  โลกยังวุ่นวายอย่างนี้ไหม (ไม่)  เพราะมีตัวเราจึงทำให้มันวุ่นหรือเปล่า แล้วโลกนี้มีทุกข์จริงไหม มีดีร้ายจริงไหม มีได้เสียจริงไหม ลองถอนตัวเราออกแล้วหันกลับไปมอง แล้วจะรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีดีไม่มีร้าย ลองถามตัวเองสิใครดีที่สุดในโลก ใครร้ายที่สุดในโลก อะไรคือสุขที่แท้จริง อะไรคือทุกข์ที่เที่ยงแท้ มันไม่มี แต่เรามักจะยึดติดกับปรากฏการณ์ ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับความคาดหวัง ยึดติดกับรูปนามที่เรายึดถือ ว่ามีอย่างนี้เรียกว่า “มี” อย่างนี้เรียกว่า “ไร้” แต่ลองไปมองคนที่ต่ำกว่า สิ่งที่เราบอกว่าไร้ เขาบอกว่าเรามีสิ่งที่เรามี ไปเจอคนสูงกว่าเขาบอกเรา (ไม่มี)  ตกลงเรามีหรือไม่มี เราหาแทบตายทำไมยิ่งหาเหมือนไม่มี (ไม่พอ)  เราพยายามหาความสุขเเต่ทำไมยิ่งหากลับไม่สุข แปลว่าลึกๆ ในใจของเรามีอะไรที่กำลังบอกให้เราค้นให้เจอหาให้พบเเล้วเราลืมไป ความจริงเเห่งสัจธรรมที่ถึงที่สุด คือ มีก็เหมือน (ไม่มี)  ได้ก็เหมือน (ไม่ได้)  เหมือนสุขเเต่จริงๆ ก็มีทุกข์ เหมือนวุ่นวายเเต่จริงๆ ไม่ได้วุ่นวาย ถ้าใจเราเข้มเเข็งใจเรามั่นคง ใจเราเห็นแจ่มชัด อุปสรรคความทุกข์ การสูญเสียไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงใจของเราได้ เเต่มนุษย์มักใช้ใจคนไม่ใช้ใจธรรม เห็นเเต่ความเป็นใจคนเเต่ไม่เคยเห็นเเก่นแท้ของใจธรรมที่อยู่ในตัวเราทุกคน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในแปดเซียนทั้งหลาย เเต่ก็เป็นเพียงเเค่รูปลักษณ์ รูปลักษณ์หนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เเต่ใจที่เข้าถึงธรรมไม่หมุนเปลี่ยนเวียนผัน ถึงเเล้วก็ถึงเลย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เมื่อยังมีตัวตนให้ยึดถือก็แปลว่า ยังมีทุกข์ให้เจ็บปวดให้ยึดมั่น แต่เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถดับทุกข์และสิ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงก็คือ การที่ไม่เข้าใจว่าจริงแท้ตัวตนของเราคืออะไรกันแน่
มนุษย์ชอบกล่าวว่าตายไปแล้วก็กลับคืนฟ้า แต่เราอยากบอกท่านว่า ตายไปแล้วก็กลับคืนสู่ธรรม ถ้ายังหวังกลับคืนฟ้า คืนสวรรค์ คืนนิพพาน ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่ยึดถือ มีดีร้าย แต่ถ้ากลับคืนสู่ธรรม ธรรมคือสภาวะกลาง ที่ไม่มีดีไม่มีร้าย และไร้ตัวตนที่จะไปเวียนว่ายวนในวัฏสงสาร ฉะนั้นจะคืนสู่นิพพาน หรือคืนสู่ธรรม (ธรรม)  นิพพานแปลว่าสงบเย็น เมื่อไรที่สงบเย็นก็มีนิพพานชั่วขณะ แต่ในความเป็นคนไม่เคยมีนิพพานตลอดเวลา เมื่อมีตัวตน ความอยากก็วิ่งวุ่นไม่จบสิ้น อยากเพื่ออะไร อยากให้ใคร เมื่อธรรมมีแต่ความว่างเปล่า และไร้ตัวตนที่ยึดถือ จริงไหม เมื่อใจเรายึดติดชอบจึงเกิดคำว่าสุข เมื่อใจเรายึดติดชังจึงเกิดคำว่าทุกข์ เเต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นกลางในทุกสรรพสิ่ง ชอบชังก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์สุขได้
จริงๆ แล้วมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่ ลองยืนเฉยๆ ถามว่ามีคนที่สูงกว่า มีคนที่เตี้ยกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่ร้ายกว่า มีคนที่สุขกว่า มีคนที่ทุกข์กว่าท่านไหม (มี)  ถ้าตอนนั้นหัวใจท่านไม่ยึดติดแบ่งแยกก็ว่างทันที ใช่ไหม เเล้วใครดีใครร้าย เเล้วตัวเราแย่ไหม เมื่อตัวเราเเย่ เรามองดีกว่าหรือมองต่ำกว่า เรามองเเย่กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเอาเเต่จมกับความคิดที่มองกับเหตุการณ์ที่แย่กว่า แต่จริงๆ เเล้วความเป็นกลางในตัวท่านมีอยู่ตลอดเวลา เเต่อยู่ที่เราเปิดกว้างอย่างคนที่มองเห็นชัด หรือเอาเเต่คิดตามใจตน เราจะเปิดกว้างอย่างคนที่มองตามจริงหรือมองตามใจ เเล้วทุกข์คือสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  เเต่สิ่งที่เราควรกลัวคือใคร (ตัวเราเอง)  ใจเราที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง ใจที่เราไม่เปิดรับสิ่งที่เรียกว่าโลกเเห่งความเป็นจริง เอาเเต่ยึดติดในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังมุ่งหวังยึดถือ จริงหรือไม่
เมื่อกราบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์มักจะขอให้มีสุข ขอให้ร่มเย็น ขอให้โชคดี ใช่ไหม (ใช่)  เจ็ดส่วนมนุษย์กำหนด สามส่วนฟ้ากำหนดให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนสร้างมา ฉะนั้นโชคดีโชคร้ายขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือขอใจตัวเอง (ขอใจตัวเอง)  โชคดีแต่คิดร้ายจะได้ผลดีหรือร้าย ได้ดีแต่ปากร้าย ได้สิ่งที่ดีแต่ชอบมองต่ำ ร้ายหรือดีกันเล่า ฉะนั้นควรขอฟ้าหรือขอใจตน (ขอใจตน)  ถ้าอยากกราบขอพระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จงขอให้จิตใจเข้มแข็งกล้ารับความจริง เพราะมนุษย์ทุกคนมีความกลัวลึกๆ อยู่ในใจ มีใครกลัวหมดตัวบ้าง กลัวหรือ เราว่านะไม่ต้องกลัวหมดตัว แต่กลัวใจขี้เกียจแล้วหมดใจมากกว่านะ จริงไหม (จริง)  ของหมดเรายังหาใหม่ได้ ของสูญเสียขอเพียงอย่าไร้หัวใจที่สู้ ไร้หัวใจที่กล้ายอมรับความจริง ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง)  ยังกลัวอดอีกไหม ใครกลัวโดดเดี่ยวบ้าง กลัวไหม (ไม่กลัว)  ถ้าเราจะบอกว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ลึกๆ กลัวสูญเสีย กลัวโดดเดี่ยว และก็กลัวชีวิตไม่มั่นคง พยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามี มั่นคงและไม่เหงาโดดเดี่ยว ใช่ไหม ทุกครั้งที่หาได้มา ทำไมลึกๆ ในใจบอกว่าเหมือนไม่เคยมี ทุกครั้งที่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เเต่ทำไมลึกๆ เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยว เราพยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตมั่นคง เเต่ทำไมลึกๆ เรากลับรู้ในใจว่าไม่มีอะไรมั่นคง เราจะไขปริศนานี้ให้ท่านรู้ เพราะใจของทุกคนล้วนต้องกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่สอนว่ามาเดี่ยวก็ต้องกลับเดี่ยว มามือเปล่าก็ต้องกลับมือเปล่า เเละสิ่งที่คิดว่ามั่นคงที่สุดในชีวิตก็คือสิ่งที่ไม่มั่นคง ยึดอะไรไม่ได้  ธรรมสอนใจเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราไม่เคยฟังใจที่พยายามพร่ำบอกว่าถึงที่สุดเธอก็ไม่มี ถึงที่สุดเธอก็ต้องไปคนเดียว ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอมั่นคงนอกจากความว่างเปล่าเเละหัวใจที่กลับคืนสู่กระเเสเเห่งธรรม
ฉะนั้นจะยึดมั่นตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้นทำไม อย่ากลัวความไม่มี เพราะความไม่มีคือสภาวะเดิมเเท้เเห่งสัจธรรม อย่ากลัวความโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่จริงเเท้เเห่งธรรมที่สอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้ตายคนเดียวทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน เราไม่ได้กลับไปมือเปล่าคนเดียว ทุกคนก็กลับไปมือเปล่าเหมือนกัน แล้วเราจะยึดเเล้วจะพยายามปล่อย หรือเราจะพยายามเข้าใจก่อนที่จะไปยึดถือเเล้วต้องทุกข์ทรมานเพื่อพยายามปล่อย อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลง ความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่เป็นของเราเเม้กระทั่งความทุกข์ อย่ากลัวความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความพลัดพรากเเละความดับสิ้น เพราะความสูญเสียพลัดพรากดับสิ้นกลับทำให้เราได้ปลดปลงปล่อยวางกลับคืนสู่ธรรมที่เเท้จริง เเต่สิ่งที่ท่านควรกลัวคือความหลงยึดมั่นในตัวตนที่ยังยึดติดดีและร้ายและหนีไม่พ้นกระแสวิบากกรรมแห่งวัฏฏะเวียนว่ายทำดีก็ต้องไปดี ทำชั่วก็ต้องไปชดใช้ชั่ว
เราศึกษาธรรมเพื่อหลงหรือเพื่อละ (หลง, ละ)  ไม่ต้องทุกข์แล้วนะ ควรยิ้มสู้ชีวิตที่มันเป็นไป และไม่ควรตัดพ้อโทษฟ้าโทษดิน แต่ควรถามใจตัวเองว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือกำลังหลงเดินผิดทาง เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวว่าอยู่แค่ยืมใช้ ร่างกายนี้เหมือนเรือนที่กำลังถูกไหม้ไฟ แล้วเราจะหนีออกจากเรือนที่กำลังจะถูกไหม้ไฟ และกำลังมีทุกข์อยู่ทุกขณะด้วยการทำอย่างไร ก็แค่หันกลับมาเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากบุญกรรม และเราอยากจะหยุดบุญกรรมเพื่อไปต่อหรือจบเวรจบกรรม
ฉะนั้นเรื่องที่อยู่ในใจแล้วยังไม่ลืมควรจะจบได้แล้วนะ เพราะว่าจิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ เป็นเหมือนผืนแปลง อย่าเผลอปลูกอะไรลงไปในจิต เพราะถ้ามันเติบโตขึ้นมาแล้ว เราจะรับไม่ไหวกับกรรมที่เราก่อ ฉะนั้นมนุษย์เมื่อทุกข์มากๆ จึงพยายามทำดี เผื่อว่าความดีนั้นจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมทำดีแล้วไม่ทำให้พ้นทุกข์เพราะอะไรหรือ (ตัวตัณหา)  ตัวตัณหาทำให้ทุกข์ ถ้าทำบุญเเล้วยังมีตัณหาก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าทำดีเเล้วยังโลภหลงในบุญก็เรียกว่า “ตัณหา” ไม่ได้เรียกว่า “บุญ”
(ใจเราปรุงเเต่งในเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ต้องรู้จักปล่อยวาง ใช้สติหยุดความคิด)  จริงๆ ถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะ เเต่เพราะมุนษย์มักไม่ค่อยยอม ใจที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวที่เราไม่ชอบจบไปแล้วหรือไม่ (จบแล้ว)  เเต่ทำไมยังฝังอยู่ในใจ ทำไมยังฝังอยู่ในความคิด จิตยึดติดหรือจิตไม่ยอมรับที่จะชดใช้เขา ถ้าท่านยังจำไม่ลืมเเปลว่าท่านยังอยากผูกเวรเกี่ยวกรรม ถ้าเจอแล้วยังอดไม่ได้เเปลว่ายังอยากจองเวรจองกรรม คิดให้ดีๆ ว่าควรจบได้หรือยัง ควรจบเมื่อยังมีกายให้รู้จักมีสติปัญญา พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจะเอาทุกข์มาก่อให้เกิดปัญญาหรือจะเอาทุกข์มาเป็นกงเกวียนกำเกวียน (เกิดปัญญา)  อย่างนั้นควรจะจำไหม (ไม่ควรจำ)  เหมือนที่เราบอกแต่ต้น ที่เราเกลียดเขาว่าเขาไม่ชอบเขา เพราะเราเอาบรรทัดฐานเราไปวัดเขา เเต่เราไม่เคยมองเขาที่เป็นเขาจริงไหม (จริง)  ถ้าเรามองเขาที่เป็นเขาจะไม่มีคำว่าดีเเย่ เเต่มีคำว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจเท่านั้น
ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี ถ้าการทำดีนั้นยังหลงยึดมั่นถือมั่นนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า “ธรรม” เพราะธรรมสอนให้เราละความหลง เเต่ถ้าทำดีเเล้วยังหลงยึดถือนั่นก็ไม่อาจเรียกว่าธรรม ธรรมสอนให้เรายอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจปกติ ไร้กิเลสอารมณ์ที่ยึดถือเกี่ยวพัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่ทำ จึงเรียกว่าหัวใจธรรม 
วันนี้เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก) ไกลตัวไหม (ไม่ไกล)  เป็นสิ่งใกล้ตัวที่ท่านมองไม่เคยเห็น ทั้งที่มันคือความจริง เหมือนที่เราบอก ถ้าเราเข้าถึงใจแห่งธรรม ใจแห่งธรรมไม่ใช่ใจที่เป็นแก้ว แต่ใจแห่งธรรมคือใจที่เป็นธรรม ถ้ายังเป็นแก้วแปลว่าเรายังต้องมียึดถือ มีรองรับ มีรังเกียจ มีเอา มีไม่เอา แต่ใจธรรมคือ เมื่ออะไรๆ ก็เป็นธรรมแล้วเราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่เสียอย่างเดียว เรายังไปไม่ถึงธรรม ค่อยๆ ฝึกนะมนุษย์ทุกคนล้วนมีสภาวะธรรมเดียวกัน ถึงจะรวยจะมีจะจนเเต่เราหนีไม่พ้นธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ถ้าเข้มเเข็งพอ เข้าใจธรรมจริง จะรู้ว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจธรรม จงเอาธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน ถ้าปฏิบัติได้ดีถูกต้องเรียกว่าผู้มีคุณธรรม ถ้าปฏิบัติเเล้วสามารถนำพาให้คนพ้นทุกข์เรียกว่าเข้าถึงธรรม
อย่ากลัวความไม่มี ถ้าหัวใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวความโดดเดี่ยวถ้ารู้จักประพฤติปฏิบัติดีเเละถูกต้อง อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลงเพราะความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ให้เข้าใจความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เเละอย่ากลัวความดับสิ้น เพราะความดับสิ้นเเละความเจ็บปวดสอนให้เราปลดปลงในสิ่งที่เรากำลังยึดมั่นจนเป็นทุกข์ เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือความหลง การตกเป็นทาสเเห่งตัวตน เเละกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราประพฤติผิดประพฤติชั่วร้ายเเละก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมที่เรียกว่าความทุกข์ทน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ไม่กลัวใคร ไม่ด่าใคร ไม่เกลียดใคร และไม่กล้ารักใคร ทำไมถึงบอกว่าไม่กล้ารัก ถ้าเข้าใจตัวเองจะรักคนเป็น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง รักใครก็ต้องทุกข์ ทุกข์เพราะเขาหรือเพราะเรากันแน่หนอ เพราะเรา ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ฉะนั้นเราถึงบอกท่าน อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความสูญสิ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงและความสูญสิ้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ทำให้เราเข้าใจสัจจะความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง)  การรู้จักเข้าใจและปลดปลงปล่อยวางได้ก่อนที่จะทุกข์เป็นหนทางที่ประเสริฐที่สุด อย่าเอาแต่ทำดีแล้วไม่ละชั่ว แต่จงละชั่วประพฤติดีมีคุณธรรม คือหนทางแห่งการเข้าถึงธรรม ทำดีอย่าลืมละชั่ว เพราะถ้าเป็นคนดีแต่ความชั่วยังไม่ละก็ไม่อาจเรียกว่าคนดี รู้แล้วเข้าใจทุกอย่างแล้วละได้หรือยัง ยังละชั่วไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นวิบากกรรมแห่งความทุกข์ทน โลภมากๆ ก็เป็นเปรต โกรธมากๆ ก็หนีไม่พ้นไฟนรกแผดเผาใจ หลงมากๆ ก็เหมือนคนที่มีตาแต่ใช้ได้ข้างเดียว มีหูแต่ถูกปิดไปข้างหนึ่ง ฉะนั้นเราควรดำเนินชีวิตอย่างคนมีสติ แล้วมองให้เห็นธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ทำบุญเพื่อลดละโลภยึดถือ             ทำดีคือยั้งใจไหลลงต่ำ
บำเพ็ญเพื่อย้อนมองตนหยุดสร้างกรรม  ศึกษาธรรมเพื่อตื่นรู้ในความจริง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
    *ตบเท้าเรียงหน้าทำดี สมชื่อนักธรรม บางครั้งขึ้นก้าวถอยก้าว เป็นด้วยเหตุอะไร หวังว่าข้อคิดเข็มทิศหนุนจิตใจฟ้า ฝึกหัดดั่งนักศึกษางัดข้อแก้ไข หลักธรรมเป็นมิตรคู่คิดชุบจิตใจฟ้า บำเพ็ญอย่างไร้ปัญญา มักสลดในใจ
บำเพ็ญคล้ายการทำดี ต่างที่ระวัง เป็นเพียงเส้นใยบางบาง ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มีสายเส้นกลาง ก็เลยวุ่นวาย
**บำเพ็ญธรรมจ้องมอง เจ้าไม่มองจ้องธรรม จึงช้ำคำคน บำเพ็ญต้องทนก็เลยทนเหลือเกิน ยังไม่รู้ใจ คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา เฝ้าทบทวนตน เรื่องในคน คน คน แล้วแต่ใครรู้ตัว ให้ธรรมสอนใจ (*,**)

ทำนองเพลง: กินอะไรถึงสวย

ชื่อเพลง :บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังต้องการกำลังใจจากอาจารย์อีกหรือ จิตใจที่เข้มแข็งต้องมาจากหัวใจที่แข็งแกร่ง ใช่ไหม
ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์เป็นพุทธเอาแต่พุทธไม่เอาธรรม คนศึกษาธรรมต้องมองให้เป็นกลาง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วมาศึกษาธรรมเขาก็บอกอีกว่า วันนี้เราต้องมาบำเพ็ญธรรม ใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์ก็จะบอกว่า เป็นคนดีก็ลำบากแล้ว แล้วมาให้บำเพ็ญธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่)  คนในโลกนี้ใครถูกต่อว่าได้บ้าง (ไม่ได้,ได้)  คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ว่าไม่ค่อยได้ แล้วสอนก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมต่างจากการทำความดีตรงที่ทำความดีทำไปเป็นสิ่งที่ดี แต่การบำเพ็ญธรรมคือ ทำดีแล้วรู้จักย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า เรารู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ทุกข์มาบีบบังคับแล้วเราค่อยคิดเปลี่ยนแปลง การศึกษาธรรมคือ ย้อนมองส่องตน แก้ไขตน ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร เพราะโลกทั้งใบเกิดขึ้นจากความคิดของเราเป็นหลัก และคนจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ความคิดเราเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมคือเป็นคนดีแล้วรู้จักย้อนมองแก้ไขตน คนดีแค่ไหนไม่เคยคิดแก้ไขตนก็ไม่อาจเรียกว่าดีแท้จริงได้ เป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ก็ยังไม่เรียกว่าคนที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษาบำเพ็ญคือ ทำดีแล้วรู้จักละชั่วแล้วย้อนมองส่องตน ยากไหม (ไม่ยาก)  ก่อนที่เราจะไปว่าเขาต้องเริ่มที่ตัวเรา ก่อนจะไปเปลี่ยนเขาต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ทำความคิดเห็นให้ตรงกันแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่เรียกให้ศิษย์เป็นคนดี แต่ศึกษาบำเพ็ญธรรมคือ คนดีพร้อมจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ชอบคนชี้หน้าด่า ไม่ชอบคนว่า ฉะนั้นจะรอให้เขาด่าแล้วค่อยสำนึกตัว หรือสำนึกตัวก่อนจะถูกด่า (สำนึกตัวก่อนจะถูกด่า)  ฉะนั้นรีบแก้ไขเปลี่ยนแปลง ดีหรือไม่ (ดี)  เกิดเป็นคนก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถ้าศิษย์มาฟังธรรมะก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง มาแค่แตะๆเสียเวลาเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ที่เราคิด เราก็สามารถดลบันดาลให้คนที่เราคิดเป็นนางฟ้า เป็นเทพ หรือเป็นพญามารปีศาจได้ ใช่ไหม (ใช่)  และถ้าศิษย์โดนคนด่า ศิษย์จะทำอย่างไรหลักธรรมสามารถที่จะฉุดช่วยใจเราได้และสามารถฉุดช่วยใจผู้คนได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรายอมแปรเปลี่ยนใจคนให้เป็นใจธรรมได้หรือยัง
อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้มีคนเดินเข้ามาด่าศิษย์ว่าบ้า ด่าว่าโง่ ศิษย์จะทำอย่างไร (เคียดแค้น โกรธ)  แล้วศิษย์จำที่อาจารย์บอกตอนแรกได้ไหม โลกนี้เป็นไปตามความคิด แล้วเราจะสร้างสรรค์โลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดิน (สวรรค์บนดิน)  แต่พอถึงเวลาทำไมไม่เห็นเหมือนอย่างที่ตอบเลยนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามนะว่าถ้ามีคนมาด่าศิษย์ว่าบ้า ว่าโง่ ศิษย์จะมองเขาสวยหรูไหม (ไม่)  ศิษย์อยากทำให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดินอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราอยากทำให้เป็นสวรรค์บนดิน เราควรมองเขาเป็น (เทวดา)  ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าถ้ามาศึกษาธรรม ก้าวแล้วต้องก้าวให้ไกล ไปแล้วต้องไปให้ถึง เรามาศึกษาเพื่อเรียนรู้เข้าใจหลักธรรม นำธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมที่ทำให้เราได้เป็นพุทธะหรือทำให้เรากลับคืนความเป็นพุทธะ หรือธรรมที่ทำให้เรากลับคืนความเป็นธรรม ถ้าโดนเขาว่า ศิษย์จะเอาเวรกรรมหรือศิษย์จะเอาบุญกุศล (เอาบุญกุศล)  ศิษย์จำไว้นะ ถ้าโดนเขาว่าแล้ว สามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์นั่นเรียกว่าบุญ ถ้าโดนเขาด่าแล้วสามารถขัดเกลาความเป็นตัวตนให้ทิ้งลงได้นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้าโดนเขาด่าแล้วแค้น โกรธ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม แล้วศิษย์ก็เลยแก้ด้วยความพยายามที่จะอภัย ด้วยการด่าเขาไปก่อนแล้วค่อยอภัยเขาทีหลัง
เราอยู่ในโลก เราอยากมีทุกข์ไหม อยากมีกรรม อยากมีบาปติดตัวไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเขาด่ามา เราเคียดแค้น เราจองเวร เราผูกใจเจ็บ นั่นคือบาปหรือบุญ (บาป)  ทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  แล้วอยู่ที่ฟ้ากำหนดหรือเรากำหนดชีวิต (เรา)  เราจะรอไปทำบุญแค่ที่วัดหรือเราจะทำบุญได้ทุกๆ ที่ (ทุกๆ ที่)  ฉะนั้นใครด่ามา (เงียบ)  ก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง อย่ารอวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่มีกรรม พรุ่งนี้ก็ไม่มีกรรม แต่ถ้าวันนี้อยากมีกรรม พรุ่งนี้ก็ต้องเกี่ยวกรรมต่อไป จริงไหม (จริง)  ถ้าเขาด่ามาให้ขอบคุณ เราได้ชำระล้างใจจะได้บริสุทธิ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แค่คิดว่าเขาด่าเรา ตัวตนก็เกิด เขาว่าเรา ก็คือยึดมั่นถือมั่นตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไร ที่ใดมีความเกิดที่นั่นมีความทุกข์ จริงไหม (จริง)
มนุษย์บอกว่า ร่างกายคือตัวตน ไม่ใช่ร่างกายนี้เรียกสังขาร ตัวตนเกิดเมื่อมีความยึด แล้วเป็นอารมณ์แล้วไหลไปตามโลภโกรธหลง และยึดติดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราคิดได้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่า  ยึดตัวตน สร้างเหตุให้ทุกข์มีที่อยู่และกิเลสเกาะกินใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าโดนด่ามา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าเกิดเข้าสู่สภาวธรรมเป็นกลาง ไม่มีอะไรให้ยึดถือ จริงไหม (จริง)  ความเป็นกลางมีอยู่ในตัว แต่เราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่ายสร้างกรรมหรือเราจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)
ตอนนี้อาจารย์ถามว่าจะนั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง)  ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่า ยึดถือตัวตนมากๆ เลย เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์มักพูดกับศิษย์เสมอว่า นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ทำให้เราไม่ยึดติดความเป็นตัวตน ไม่ยึดติดความคาดหวังมุ่งหวังให้ทุกข์ทน ฉะนั้นนั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าทำอะไรศิษย์บอกเดี๋ยวก่อนๆ ศิษย์ก็กำลังสร้างตัวเองให้อยู่ในกรงขังแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดีที่สุด กลัวอะไรกับอนาคต กลุ้มกังวลอะไรกับอดีต เพราะทุกวันคือวันที่ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ว่าในโลกนี้ สิ่งใดร้ายและน่ากลัวที่สุด (ความคิด)  ในโลกนี้ใครร้ายที่สุด (ตัวเรา)  ตัวเราและความคิดเราร้ายที่สุด แต่ความคิดก็มีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราตรงไหนที่มันทำให้เราร้าย (ใจ)  ใจหรือ อยากจะแก้ที่สาเหตุต้องหาเหตุให้เจอ ใจตรงไหน จิตหรือ (จิตใฝ่ต่ำ มันห้ามยาก อยากเล่นไพ่)  จิตมันง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ใช่ไหม (ใช่) แต่ใจมันไหลลงต่ำ ตกลงว่าใจมันใฝ่ดีหรือใจมันใฝ่ร้าย (ดีแล้วเดี๋ยวมันก็ร้าย)  มันอยู่ทั้งสองอัน ตัวไหนที่ร้าย (ตัวที่เราห้ามไม่ได้ที่จะไปที่ต่ำ)  ตัวไหนที่ร้าย (กิเลส)  อาจารย์อยากรู้คำตอบของศิษย์แต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร แตกต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่จะบอกว่ามนุษย์คือตัวที่ร้ายที่สุด อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่า เวลาดี (ดีใจหาย)  เวลาร้าย (ร้ายสุดๆ)  รักแรงเกลียดก็แรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครดีมา (ดีตอบ)  ใครร้ายมา (ร้ายตอบ)  ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่สิ่งที่ทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายที่สุดนั่นก็คือ เราไม่เคยคิดควบคุมหรือยับยั้งสิ่งที่เรียกว่าร้ายในตัวเองเลย อารมณ์ดีก็ (ดี)  อารมณ์ร้ายก็ (ร้าย)  แล้วก็บอกว่า ก็หนูเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกับหนูนักหนา คิดแบบนี้ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์กำลังสร้างทุกข์มาทับซ้อนในสังขารที่หนีไม่พ้นสัจธรรม แล้วยังสร้างทุกข์มาซ้อนเพื่อให้ทุกข์ซ้ำเติมใจตัวเองอีก อย่างนั้นจะทำอย่างไรละ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์เราร้ายเพราะเราไม่เคยยั้งคิด ยั้งอารมณ์ ยั้งกิเลส เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าบอกว่าคนเราก็ต้องมีอารมณ์บ้าง นิดเดียวเอง แค่คิดว่านิดเดียวเองก็ยึดติดในกิเลส อารมณ์ที่ตัวเองมีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเมื่อไรเราเปิดใจรับกิเลสอารมณ์ก็ยึดเกาะใจเราทันที แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการ กิเลสจะสามารถมายึดเกาะใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ทุกครั้งเวลาโกรธ ศิษย์เป็นอย่างไร (เปิดรับ)  สนองตามอารมณ์โกรธทันที ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด ถ้าเรารู้จักยั้งคิดเราก็จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ศิษย์รู้ไหมว่ามูลเหตุของความชั่วทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีรากฐานมาจากโลภ โกรธ หลง แล้วเมื่อโลภ โกรธ หลงให้ผลเป็นกรรม ศิษย์ก็หนีวิบากกรรมที่ศิษย์สร้างไม่มีวันพ้น ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีบาปติดตัว ไม่มีกรรมที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ศิษย์จะต้องรู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลง ให้ได้ เพราะถ้าควบคุมไม่ได้ สิ่งนั้นจะชักนำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น มีบาปติดตัวและมีกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย เหมือนที่มนุษย์บอกว่าเกิดมาใช้กรรม เราหยุดโลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ได้)
ถ้าอาจารย์บอกว่ามีมะม่วงหนึ่งผล ทานแล้วมีแต่สุขกับมะม่วงอีกผลทานแล้วมีแต่ทุกข์ ศิษย์จะรับมะม่วงผลไหน
(พระอาจารย์เมตตายื่นมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่สุขสลับไปมากับมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่ทุกข์ ให้นักเรียนในชั้นเลือก)
แล้วถ้าลูกนี้กินแล้วไม่สุข ไม่ทุกข์ รับไหม (รับ)  ตกลงเอาสุขหรือเอาทุกข์ (ไม่เอา)  มนุษย์มักมองไม่เห็นความจริง มัวแต่ติดรสชาติที่อร่อย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ศิษย์รู้ไหมแค่ชั่วขณะจิตคิดอยากได้ คิดไม่อยากได้ มันทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นกลางและมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นอะไรก็เฉยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะถ้าไม่เอาก็ยังยึดติดคำว่าไม่ชอบ เอาก็ยังยึดติดคำว่าชอบ แล้วไม่ชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปกับคำว่าโกรธ เกลียด แค้น ส่วนชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปสู่ความ โลภ หลง และยึดติด แล้วก็รังเกียจและก็แค้นได้เช่นกัน ถ้าชั่วขณะจิตที่ศิษย์บอกว่าเอาหรือไม่เอา มันก็คือความหลงเหมือนกัน แต่ถ้าชั่วขณะจิตศิษย์บอกว่าเฉยๆ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้)  มันยากนะอาจารย์ เห็นแล้วมันก็ยังอยาก ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ในลูกที่สุกมากๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่กินแล้วจะไม่มีทุกข์ (ไม่)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นในลูกที่ทุกข์มากๆ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่มีสุข (ได้)  ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของแต่อยู่ที่ใจเราจัดการกับสิ่งที่เราเห็นอย่างไร คิดให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบาป หรือคิดให้เป็นกุศล ชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์รู้ศิษย์จะคิดได้เลยว่า จะทุกข์หรือสุขมันไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวและระวังไม่ใช่อยู่ที่ตัวผลไม้ แต่อยู่ที่หัวใจเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร เมื่อเจอเรื่องราวที่มากระทบใจ
ในโลกนี้เมื่อคิดจะเอาก็ต้องยอมรับการยึดถือที่หนักหน่วง มีอะไรบ้างในโลกที่ยึด แบกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีเลยนะ แต่ถามว่ายังอยากไหม เราก็ยังอยากอยู่ดี ใช่ไหม (ใช่)  รับผลไม้ไหม (รับ ผลไม้สามารถแก้ไขสันดานได้ไหม)  อาจารย์บอกว่าไม่รับแก้ได้นะ แต่ถ้ารับบางทีแก้ไม่ได้ เพราะใดๆ ในโลกถ้าเรามั่นหมายยึดถือตลอดเวลา มันก็มีที่ให้ทุกข์อยู่เสมอๆ มีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วไม่ทุกข์ ฉะนั้นไม่รับเลยจะดีกว่า ก็หยุดทุกข์ไปได้หลายอย่าง จริงไหม (จริง)
อยู่ในโลกนี้ เป็นไปได้ไหม เวลาเราเลือกอะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วจะต้องมีดีไม่มีร้าย (เป็นไปไม่ได้)  มีได้ไม่มีเสียได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้อะไรมาเราก็ต้องยอมรับว่าการได้มา ทำให้เราต้องรู้จัก (เสียไป)  ฉะนั้นวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือทำอย่างไร ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์อยากได้รางวัลจากอาจารย์ไหม (อยากได้)  ก็ศิษย์บอกเอง ถ้าอยากไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ต้องปล่อยวาง เมื่อสละแล้วยังเอาอีกหรือ ก็ปล่อยวางเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะเป็นของเรา อย่างไรก็เป็นของเรา ถึงเวลามันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา ขอแค่เราไม่ทุกข์ และไม่ยึดมั่นจนเจ็บปวด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่ถึงจะเรียกว่า สละและละวางอย่างคนที่ทำถึงที่สุดแล้วเข้าใจ
(ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง ถ้าเรามีสติ เราน่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ดี เราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน)  สติทำให้เรารู้จักยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นศาสนาของผู้รู้ไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้แล้วไปยึด แต่แค่รู้ สติสอนให้เราแค่รู้ แต่ไม่ไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น สติสอนให้เรารู้จักแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมชาติ และศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบตู่เอาธรรมชาติมาก่อเกิดเป็นกิเลส โลภ โกรธ หลง และยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ จริงไหม (จริง)  ร่างกายเราก็คือธรรมชาติ เงิน ทรัพย์สิน บ้าน ชื่อเสียง ที่อยู่ ล้วนเป็นของ (ธรรมชาติ)  แล้วเราคือนักตู่ตัวยงที่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครครอบครองธรรมชาติได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้ก็ต้องรู้จักสละ
เมื่อรู้จักมีก็ต้องรู้จักให้ พระพุทธะก็เลยสอนให้รู้จักการให้ ให้อย่างคนมีศีล ให้อย่างคนฉลาดมีปัญญา อย่าให้อย่างคนที่ตามใจคนจนเคยตัว แต่การที่จะทำให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันเป็นเรื่องยากนะ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์ถามหน่อยนะว่า เวลาเราอยากได้อะไรขึ้นมา มันเคยเติมเต็มในใจเราได้ไหม เคยไหมที่หามากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอและสมอยากสักที ยิ่งหายิ่งเป็นหนี้ ยิ่งหายิ่งไม่พอ
อาจารย์มีวิธีหาที่ทำให้ไม่โลภ หาแล้วทำให้เราไม่โกรธ ไม่หลง กลายเป็นยิ่งเพิ่ม
ศิษย์มีเงินเท่านี้ แต่ความอยากใช้เงินมีมากกว่า ฉะนั้นเงินกับความอยากมันเลยไม่เคยสมดุลกัน แต่ถ้าตอนนี้เงินมีเท่านี้แต่ความอยากเราไม่มี แล้วเราจะโลภไหม ยิ่งความอยากน้อยเท่าไหร่ เงินก็กลายเป็นมีมากขึ้น
เหมือนวันนี้เราไม่หยุดหาเงิน แล้วจะได้มานั่งฟังอาจารย์พูดไหม แล้วศิษย์จะรอหยุดตอนไหน ทำๆ สุดท้ายตายแล้วทันไหม ตอนนั้นเราก็ไปพร้อมกับกรรมที่เราสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักหยุดให้เป็นก่อนที่มันจะทำให้เราทุกข์ หยุดให้เป็นก่อนที่มันจะก่อบาปก่อกรรมและตามติดตัวไปไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)
แล้วศิษย์หวังจะมีแต่ดีไม่มีร้าย มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรจะยึดมันไหม (ไม่ยึด)  แล้วเราเคยเห็นความจริงของสิ่งที่เราโลภหลงชัดสักครั้งไหม เรามองว่ามันดี มีเงินแล้วดี มีแฟนแล้วดี มีทรัพย์สินแล้วดี มีเกียรติยศแล้วดี แต่อาจารย์ถามว่า ในดีนั้นมีร้ายไหม (มี) แล้วเรายังอยากจะโลภอีกไหม ที่เราโลภเพราะเรามองเห็นอันนี้ แล้วลืมความจริงข้างหลังใช่ไหม ที่เราหลงเพราะเราเห็นแค่นี้ แต่ไม่เคยมองให้ถึงที่สุดใช่ไหม
ถามจริงๆ ว่า ในโลกที่ศิษย์อยาก ที่ศิษย์หลง ที่ศิษย์ยึด มีอะไรบ้างที่ไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ มีอะไรบ้างที่สวยสดไม่มีวันแห้งเหี่ยว รังเกียจสิ่งนี้แต่สิ่งนี้มันก็ต้องตามสิ่งนั้น รักสุข ทุกข์ก็ตามติด รักดี ร้ายก็ไม่ได้เลวร้าย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอะไรที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือดวงตาที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่เห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น ไม่ได้เห็นเพราะเราโลภหลง แต่เห็นเพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้เราแค่เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่เห็นอย่างคนที่มีสติปัญญา เพราะธรรมสอนให้เราฉลาดไม่โง่ ธรรมสอนให้เรารักษาความเป็นปรกติ และรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงให้จงได้ด้วยหัวใจที่สงบแล้วบังเกิดปัญญา
ในตัวเรามีสิ่งที่อ่อนสิ่งที่แข็ง สิ่งที่สวยงาม และสิ่งที่เป็นเส้นเลือดหนังกำพร้าขี้ไคลขี้หูขี้ตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์บอกว่ามันน่ารัก แสดงว่าศิษย์ยังมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมเพื่อให้เราตื่นรู้แล้วเห็นความจริงอย่างไม่ลุ่มหลง แต่เกิดปัญญาเห็นแจ้งชัดในความเป็นธรรม ถ้ายังหลง ยังโลภ หมายความว่ายังมองไม่เห็นความจริง อย่างที่อาจารย์บอกว่าศึกษาธรรมแล้วอะไรๆ ก็ดี เพราะเราไม่สามารถรู้ชะตาชีวิตได้ ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถควบคุมโลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ก็จะชักนำให้ศิษย์ต้องรับกรรมและหนีไม่พ้นบาปที่ติดตัวและนำพาให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ยังอยากโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่อยาก)
คนนี้เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรและเป็นแบบคนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร จริงไหม (จริง)  ถ้าเลือกแบบนี้ ไม่เลือกแบบนั้น รับรองศิษย์อายุสั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงในโลก ความโลภ โกรธ หลงทำอะไรเราไม่ได้หรอก อะไรๆ ก็ทำให้เรามีสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนกระทบแล้วก่อเกิดเป็นความรู้สึกชอบ ชัง และไหลหลงไปตามอารมณ์ที่ตนยึดถือ ก็หนีไม่พ้นกรรมและบาป เหมือนที่เวลาเราโดนกระทบแล้วรู้สึกดี ก็เป็นกรรมดี กระทบแล้วรู้สึกชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว แต่ถ้ากระทบแล้วไม่รู้สึก วางเฉย แปลว่าเราอกรรมหรือสิ้นกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ โดนกระทบแล้ว คิดแค่ว่าตีฉันทำไม ก็แปลว่าเรายึดถือตัวตน แปลว่าเรามีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้สึกเฉยๆ เหมือนที่อาจารย์บอกไปตั้งแต่ต้นว่า กระทบแล้วจะจองเวรจองกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจบกรรม เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมไม่จบสิ้น หรือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้วไม่สร้างกรรมอีกต่อไป เพราะต้นเหตุของกรรมมาจากความโลภ หลง ที่ยึดถือในตัวตน แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มี แต่ที่มีตัวตนเพราะว่าเราชอบสิ่งนั้น เราชอบสิ่งนี้ เราเกลียดแบบนั้น เราเกลียดแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เพียงเรารู้สึกชอบ มันก็ก่อเกิดเป็น โลภ โกรธ หลง ที่หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวรกรรม แต่ถ้าโดนกระทบแล้วจบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันหยุดที่ตรงนั้นเลย ศีลคือความปกติ สมาธิคือใจที่สงบไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือดวงตาเห็นแจ้งในความจริง
อยากเป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ หรือเป็นศีล สมาธิ ปัญญา และเกิดความเป็นพุทธะตื่นรู้ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ ทำนองเพลง : กินอะไรถึงสวย)
ถ้ามีใครชมศิษย์ว่าสวย ศิษย์ดีใจไหม (ดีใจ)  นั่นแหละเรียกว่าหลงยึดถือ หนีไม่พ้นทุกข์ เพราะจริงๆ แล้วสวยไหม (ไม่สวย)  ถ้ามีใครว่าศิษย์ขี้เหร่ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
อาจารย์ให้เพลง เพื่อนำเพลงนั้นมาย้ำเตือนสติ ไม่ใช่ให้เพลงแล้วหลงในความเพลิดเพลิน ฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้อะไร อย่างนั้นเปล่าประโยชน์นะ
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มีบางคนที่ต้องยืนและมีบางคนที่ต้องได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่)  เราโกรธคนที่ยืนหรือเราเกลียดคนที่นั่ง (เฉยๆ)  ให้เฉยๆ ไปแบบนี้ตลอดนะ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น โลภโกรธหลงหนีไม่พ้นทุกข์และหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ตามติดให้เราต้องทุกข์ทน ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง เวลาเจอเรื่องใดที่มากระทบจิตกระทบใจขอให้คิดให้ดีด้วยสติ ว่าควรจะวางเฉยหรือโกรธเกลียด หรือได้ชำระล้างบาป หรือได้สร้างกุศล หรืออยากจะยึดถือตัวตนเพื่อเป็นต้นเหตุให้ทุกข์ต่อไป คิดให้ดีนะ การเรียนรู้ศึกษาธรรมจริงไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น แต่การเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อละวางแล้วมองเห็นความจริงด้วยปัญญา ว่าสิ่งที่เราเห็นแท้จริงยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราบอกว่าสุขแท้จริงมันมีทุกข์ และสิ่งที่เราเห็นว่ามันทุกข์แท้จริงมันอาจจะไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดเรา ความคิดสร้างโลภและสร้างตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราเปลี่ยนจากความคิดเป็นสติแล้วมองด้วยปัญญาธรรม เราจะเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราควรยึดถือแล้วก่อให้เกิดบาปกรรมทุกข์ติดตัวเลย จริงไหม (จริง)
แล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งปฏิบัติแล้วละโลภโกรธหลงได้ดีที่สุด ใครตอบอาจารย์ได้
(ปล่อยวาง เดินสายกลาง)  ปล่อยวางแปลว่า ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ประมาณกลาง มีก็ได้ ไม่มีก็ได้)  ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นจะร้ายหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มองให้เข้าใจความเป็นธรรมชาติ)  มองให้เข้าใจความเป็นจริง ไม่ยึดติดดีร้าย ได้เสีย (คิดดี ทำดี พูดดี)  แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้คิดดี ทำดี พูดดี แต่ไม่ละชั่ว
(ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม พอประมาณกับตัวเรา ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป)  อาจารย์จะแนะนำง่ายๆ นะ การปฏิบัติธรรมก็คือเมื่ออยู่กับผู้คนรู้จักมีคุณธรรม เมื่ออยู่กับตัวตนรู้จักมีศีลธรรมและดำเนินอยู่ในครรลองครองธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือเป็นกำลังใจให้กับนักเรียนท่านหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาฟังธรรม แต่ก็กล้าหาญลุกขึ้นตอบคำถามของพระอาจารย์)
อย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (นั่งฟังธรรม)  ศิษย์รู้ไหม การทำความคิดให้กระจ่าง การฟังธรรมด้วยจิตน้อมนำเป็นกุศล เป็นบุญ เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วในการปฏิบัติธรรมถ้าจิตรู้สึกขอบคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลในทุกขณะ ขอบคุณที่เขาพูดธรรมะทำให้เราเข้าใจ ขอให้สิ่งดีนั้นแผ่ไปยังทุกคน นี่คือทุกขณะที่ฟังเราได้บุญ ได้กุศลและยังแผ่บุญ แผ่กุศล ใช่หรือไม่
แล้วคิดแบบนี้บ้างไหม เพิ่งคิดตอนที่อาจารย์พูดใช่ไหม ศิษย์เอ๋ย โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ นะ ทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ คิดด้วยสติ
(มีจิตใจเมตตาและกรุณา)  ไม่ใช่เมตตาแค่ตัวเองแต่ลืมเมตตาต่อผู้อื่นนะ รักษาความถูกต้องในตน รักษาความเมตตากรุณาในผู้คน ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ดีนะ
(รู้เท่าทันความคิดของตัวเองและความคิดของผู้อื่น)  เวลาใครเขาด่าเรา เขาทำไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เราจะต้องไปรู้ทันเขามาก เพราะรู้ทันมากเราก็เจ็บมาก รู้ทันคนแล้วทำให้อยู่กับคนไม่มีความสุข บางครั้งเราก็ต้องโง่บ้าง ปิดตาบ้าง ยอมบ้าง ก่อนจะไปจัดการใคร เราควรจัดการตัวเอง รักษาใจให้ปกติ ยอมได้ก็ยอม เพราะถ้ายอมแล้วทำให้เราได้ฝึกจิต สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่สร้างกรรม ก็ยอมไปเถอะ
(คิดดี ทำดี) โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่าเกิดเป็นคนจะต้องคิดดี ทำดี แต่นิสัยแย่ๆ ไม่เคยแก้ก็ไม่ดีนะ คิดดี ทำดีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะมีไว้ก็คือ อะไรที่ไม่ดี ลด ละ เลิก แก้ไขนะ ใช่ไหม (ใช่) 
(นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ บริสุทธิ์)  นั่งสมาธิหลับตาไม่รับรู้อะไร ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะว่า การปฏิบัติธรรมคือการสอนให้เรามีสติ รับรู้หรือรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะถ้ามัวแต่หลับตา มัวแต่หลีกหนี มัวแต่มองไม่เห็น แต่พอลืมตากลับมาเห็นแล้วรับไม่ได้อีกก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่
ศิษย์ต้องตีความหมายในพุทธศาสนาให้ดีว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือสงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งชัดจนไม่ตกเป็นธาตุของกิเลสอารมณ์
ถึงศิษย์จะทำตรงนี้ให้บริสุทธิ์แต่ถ้าศิษย์ลืมตาแล้วศิษย์ยังอดใจไม่ไหว มันก็ยังไม่ได้ แล้วอาจารย์ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติตอนที่เราเห็น เมื่อโดนกระทบแล้วเราสามารถวาง เข้าใจ อย่าไปรอด่าให้สะใจแล้วค่อยไปทำบุญชดเชย ล้างกันไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  สู้ทำบุญตั้งแต่ตอนนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนั้น ไม่ดีกว่าหรือ แค่จิตเราสงบ ปกติ ก็บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเมื่อไรที่โดนกระทบ เกลียดเขา ด่าเขา นั่นคือความสกปรกเป็นมลทิน แต่ถ้าโดนกระทบแล้วอย่างที่อาจารย์จี้กงบอกช่างมันเถอะ ใช่ไหม (ใช่)  โลกเป็นดั่งใจศิษย์คิด อยากให้เป็นนรกหรือให้เป็นสวรรค์หรือให้เป็นอะไร มันอยู่ที่เราจัดการ จริงไหม (จริง)
(การทำดี)  ทำดีมันยังไม่พ้นทุกข์ ถ้ายังไม่ละชั่ว ยังไม่ละโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ให้ทุกวันละชั่วนั่นคือคนดีนะศิษย์ (คือการมองโลกให้เห็นไปตามความเป็นจริงของชีวิต)
(ใช้หลักศีลห้าในการดำรงชีวิต)  ศีลแปลว่าความปกติ นั่นคือถ้าศิษย์ต้องใช้หลักแห่งศีลแปลว่าโดยปกติศิษย์ผิดปกติมาตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) ปกติเราเบียดเบียนคนไหม ปกติเราอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเราเสมอไหม และปกติเราผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่มีกิเลสครอบงำ มนุษย์เรามีศีลอยู่แล้วแต่เพราะกิเลสมากระทบครอบงำเราเลยผิดศีล ผิดธรรมเพราะขาดการยั้งคิดและมีธรรมไว้ครองใจ ใช่ไหม
(ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เพราะเวลาไม่เหลือเยอะแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
(คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ)  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราต้องมีกรรมเวรมาเกี่ยวกันจึงเจอกัน จึงต้องชดใช้กัน ถ้าศิษย์ยอมก็จบในชาตินี้ แต่ถ้าศิษย์ไม่ยอม ผูกใจเจ็บศิษย์ก็ยังต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นยอมดีหรือไม่ยอมดี (ยอม)  ยอมด้วยหัวใจที่เข้าใจ ยอมด้วยหัวใจที่ได้ชะล้างกลับคืนสู่บุญกุศล ไม่กลายเป็นกรรมวิบากกรรม ดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ดับทุกข์ที่ทุกข์”)
ทุกข์เกิดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราไม่ชอบแบบนี้ แสดงว่าศิษย์กำลังสร้างพื้นที่ให้ทุกข์อยู่ สร้างพื้นที่ให้กิเลสยึดเกาะ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่มีแบบนี้ ไม่มีแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับคืนสู่ธรรม แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้ามีทุกข์ก็คงเป็นทุกข์ของความเป็นจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราไม่เกิดทุกข์ที่ทำให้ทุกข์เวียนว่ายอีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างเราหรือเขา ทุกสิ่งล้วนต้องเกื้อหนุนกัน จริงหรือไม่ (จริง)  สกปกรกที่สุดจึงเกิดความสะอาดที่สุด ทุกข์จึงรู้จักคำว่าพ้นทุกข์ ร้ายจึงรู้จักดี อะไรในโลกที่เราควรเกลียด อะไรในโลกที่เราควรยึดลุ่มหลง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและในเหตุก็มีความดับอยู่ในทุกสิ่ง แล้วเรากำลังจะพยายามดับอะไร สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ตอนนี้เรากำลังดับอะไร ถ้าเราต้องดับก็แปลว่าเรายังมีตัวตนให้ยึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เรามีชีวิตหมุนเวียนไปตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง ดีพร้อมสมบูรณ์ต่อผู้คน ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ต่อตัวตนไม่ขาดศีลธรรมบกพร่อง ทำให้ถึงที่สุด อะไรจะเกิดก็กล้ารับเพราะเป็นเพียงแค่ความหมุนเวียนแห่งสัจธรรม โลกยังมีความสว่างยังมีความมืด เรื่องราวในชีวิตมีร้ายมีดีเป็นปกติ ฉะนั้นเมื่อถูกชมก็ธรรมดา เมื่อถูกด่าก็ธรรมดา มีได้ก็ธรรมดาถึงเวลาเสียก็ธรรมดา เมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยก็ธรรมดา ความสูญเสียเป็นเรื่องกรรมของสังขาร แต่หาใช่กรรมของจิตเดิมแท้ไม่ ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจเรื่องจิตเดิมแท้จึงชดใช้กรรมเพียงสังขาร จิตไม่ได้ชดใช้กรรมแต่จิตมาเพื่อตื่นรู้ เห็นความเป็นจริงในโลกและกลับคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง
ธรรมะไม่ได้ตื่นรู้เพียงแค่การฟัง แต่ต้องลงมือปฏิบัติ วันนี้อาจารย์มาก็คงต้องกลับแล้ว ขอให้ศิษย์บำเพ็ญตนในหนทางที่ถูกต้อง ทำอะไรมีสติยั้งคิด ทำอะไรรู้จักดำรงอยู่ในศีลธรรมความถูกต้อง อย่ามีแต่นิสัยอารมณ์แล้วตกเป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะศิษย์ ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ถ้าไม่อยากมีบาปกรรมติดตัวก็อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำแล้วก็เป็นทุกข์ใจเลยศิษย์ตั้งใจทำสิ่งที่ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาจับมือกับนักเรียนในชั้น)
จับมือกับอาจารย์ไหม (จับ)  กลับมาศึกษาอีกนะ มีโอกาสลองมาศึกษาและตั้งใจ เสียสละตัวเอง ช่วยผู้อื่นบ้างนะ เข้าใจบ้างไหม
เวลาแห่งชีวิตเหลือไม่มากแล้วนะ รู้จักไปเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องดีงามด้วยสติ อย่าให้อดีตที่เป็นบทเรียนแล้วกลับมาทำร้ายตัวเอง รู้จักคิด รู้จักทำ อย่าใช้แต่อารมณ์ เรื่องราวบางเรื่องผ่านไปแล้ว จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ธรรมะรู้เยอะแต่ถ้าเกิดปฏิบัติไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์ ยิ่งให้ยิ่งได้ธรรม
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง อย่าผิดพลาดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่ามัวแต่ทุกข์กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จงมองความเป็นจริง สังขารไม่เที่ยง ใช่ไหม อาจารย์ก็ดลใจช่วยอยู่นะ แต่ใจศิษย์นั้นต้องเข้มแข็งกว่าสังขารอีก อย่างนั้นไม่ต้องกลัวนะ
มีโอกาสกลับมาศึกษาร่วมกันอีก มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกับอาจารย์อีก เข้มแข็งนะ รักษาหัวใจแห่งนักสู้ด้วยจิตใจที่อุทิศเสียสละ รักษาจิตใจแห่งพุทธะด้วยการรู้คิด รู้ทำด้วยสตินะศิษย์
โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจที่ไม่รู้จักควบคุมให้ดี เรื่องเลวร้ายในโลกเพียงมาทดสอบให้เราได้ชดใช้กรรม จะกลัวอะไรถ้าเข้าใจความจริง จะกลัวอะไรกับความทุกข์เพราะความทุกข์บางครั้งก็ทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง กลับคืนสู่ที่เดิมที่เราเคยมา เข้มแข็งและมีปัญญาที่แท้จริง ธรรมสอนให้ศิษย์ฉลาด ธรรมสอนให้ศิษย์รู้จักคิด ไม่ใช่เอาแต่ใจ ความบริสุทธิ์และความดีงามมีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน แต่บางทีอารมณ์ชั่ววูบทำให้เราหลงผิด สังขารไม่น่าทุกข์เท่ากับใจที่ไม่สู้
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ถูกทาง เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เดินหน้าปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจ อย่ากลัวชะตากรรม เราเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ถ้าหัวใจอ่อนแออะไรก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าหัวใจรู้จักคิดไม่ยึดมั่นถือมั่น เปิดใจได้กว้าง อะไรๆ ก็คือธรรมที่ทำให้เราเห็นธรรม หัวใจแรกเริ่มหายไปไหน หลงทางหรือไม่ อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด รักษาความดีด้วยหัวใจที่รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าปล่อยให้เรื่องราวภายนอกทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่ออก แต่จงใช้สติปัญญาแห่งธรรม มองอย่างคนมีธรรม เข้าใจธรรม และเห็นธรรม
อาจารย์คงต้องจากศิษย์แล้วนะ เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในโลกด้วยหัวใจแห่งพุทธะด้วยหัวใจที่มีแต่ธรรมไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือ มีแต่ธรรมที่คงไว้ ธรรมที่เป็นกลาง อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงแล้วทำให้ตัวเองเวียนวนในวัฏสงสารเลยนะศิษย์


  พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดับทุกข์ที่ทุกข์”
 
     อย่าท้อใจกับความทุกข์ในชีวิต                อย่าสิ้นคิดอย่าท้อแท้อย่าหมดหวัง
ล้มเพื่อลุกทุกข์ยิ่งปลุกแรงพลัง                    ขอเพียงยังศรัทธาในคุณค่าตน
ดึงสติเรียกขวัญกำลังใจ                             ไม่มีใครสุขสมบูรณ์ได้ทุกหน
โลกธรรมธรรมดาโลกเตือนใจตน                  สัจธรรมดลจิตตื่นรู้ในทาง
     เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป                              เวียนหมุนอยู่ในความว่าง
สงบบรรจบสว่าง                                     กระจ่างธรรมเป็นหนึ่งเดียว



  (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมก่อนไปเมตตานักเรียน)

อาจารย์ฝากบอกไปอย่างหนึ่ง ช่วงนี้มีหลายคนที่เจ็บป่วย ไม่ว่าจะทางสายนี้หรือทางสายไหนก็ตาม อาจารย์มักพูดอยู่อย่างหนึ่งที่พูดซ้ำๆ บ่อยๆ อาจารย์ขอให้เอาสิ่งที่อาจารย์พูดซ้ำบ่อยๆ ไปเป็นกำลังใจเรียกให้เขามีสติ
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตญาณคือความเข้าใจแท้จริงแห่งสภาวธรรม
กรรมของสังขาร มีเพื่อสอนให้เรารู้จักปลดปลงแต่หน้าที่ของจิตญาณเดิมแท้คือตื่นรู้ในความเป็นจริงและกลับคืนสู่ธรรม
เรามีกรรมเพียงสังขาร อย่าให้มันลากจิตทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตคือตื่นรู้ กลับคืนสู่สภาวธรรมและปลดปลงในการยึดถือตัวตน
ฝากไปให้กำลังใจพร้อมกับคำความหมายที่เรียกสติเขากลับมา ว่าอย่าไปยึดในสังขาร เพราะสังขารมีทุกข์เป็นธรรมดาแต่จิตเดิมแท้เราไม่เคยมีตัวตนให้ทุกข์นะ แต่การยึดมั่นและหลงผิดก่อเกิดให้เรายึดถือและหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรม ฉะนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ฝากไปให้กำลังใจ อาจารย์ไม่ให้ผลไม้นะ อาจารย์ขอเป็นคำพูดเตือนสติเรียกกำลังใจกลับคืนมา ใจเราเข้มแข็งได้ก็อ่อนแอได้ แต่จริงๆ แล้วใจเดิมแท้เข้มแข็งและอ่อนแอมันก็คือใจแห่งธรรม ฉะนั้นตื่นรู้นะ อย่ารอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปลดปลงปล่อยวาง แต่เราต้องรู้ก่อน รู้และเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมชาติของสังขาร ไม่ใช่ธรรมชาติของจิตเดิมแท้ของเรา จริงไหม (จริง)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสภาวธรรมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือยอมรับความจริง


(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมรอบ 2 หลังจากเสด็จกลับไปแล้ว )

( พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายเพลงธรรมที่เมตตาประทานให้ )  

 " ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง  หนทางไม่มีสายกลาง ก็เลยวุ่นวาย" 

  ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างการทำดี กับการบำเพ็ญ ฉะนั้นเราบำเพ็ญหรือเราแค่ทำดี ตอบได้หรือยัง ถ้าแค่ทำดี เราก็ไม่ได้ขัดเกลาตัวเอง การบำเพ็ญคือการทำดีด้วยแล้วต้องขัดเกลาตัวเองด้วย อาจารย์ก็เลยถามว่า บำเพ็ญหรือเพียงแค่ทำดี  บอกตัวเองได้หรือยัง ว่าสิ่งที่เราทำมันมีทางสายกลางไหม ถ้าไม่มีทางสายกลาง ไม่ได้แก้ไขตัวเอง ทำแต่สิ่งที่ดี มันไม่พ้นวุ่นวาย

เนื้อเพลง "บำเพ็ญต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"   ให้เว้นวรรค  "บำเพ็ญ...ต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"
ถ้าศิษย์ใช้คำว่า ต้องทน แปลว่า ศิษย์ก็ยังไม่รู้ใจตัวเอง เพราะว่าเราฝึกฝนบำเพ็ญคือ เราขัดเกลาตัวตนจนไม่เหลือตัวตนให้นึกถึง มันเป็นการที่เราไม่ต้องใช้คำว่า ต้องทน ถ้าศิษย์บอกว่า “บำเพ็ญต้องทน” เขาจะเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรมต้องทน    มันไม่ได้  ให้เว้นจังหวะเวลาร้อง

    " คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา  "
  เข้าใจสิ่งที่อาจารย์บอกไหม  เวลามีเรื่องอะไร บางทีเราชอบเสนอ เราชอบออกความคิดเห็น จนทำให้เราไม่มีโอกาสเปิดกว้างในการที่จะรับรู้เรื่องราว  เหมือนเวลาเขามีเรื่องพูดอะไรขึ้นมา มีไหมที่เราจะอดใจรับฟังคนอื่นได้  ส่วนใหญ่เราจะพ้อว่า ทำไมเธอไม่ทำอย่างนี้อย่างนั้น  ทำไมไม่ทำแบบนั้น  ฉะนั้นถ้าคนเราตั้งใจจริงๆ เราจะไม่ชิงพูดจา เราจะรู้จักนิ่งก่อน แล้วฟังเรื่องราวให้ชัดๆ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาตั้งใจ  เวลามีอะไรขึ้นมา ฉันคิดอย่างนี้ ทำไมเธอไม่เป็นแบบนี้ นี่แหละความหมาย
  แต่บางครั้งที่อาจารย์ไม่อยากอธิบายกลอนหรือเพลง เพราะว่า กลัวว่า ถ้าอาจารย์อธิบาย แล้วมันจะกลายเป็นการตีกรอบ แล้วศิษย์ก็จะมองได้แค่กรอบ ที่ศิษย์คิดว่าอาจารย์ตีให้ ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ลองไปคิด พิจารณาจนให้เข้าใจ มองตามเรื่องราวที่เวลาเราเป็นแบบนี้  เวลาเราตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ  เราควรจะรับฟังเรื่องราวมากกว่าที่จะเอาแต่พูด เสนอความคิดเห็น ใช่ไหม
        อย่างที่อาจารย์บอกนะ  ฝากไปด้วย แล้วก็ฝากไปให้กับทุกๆ คนที่ป่วย แม้แต่ตัวเราเองนะ เวลาเจ็บป่วย เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่ได้ให้เรายึดเพื่อทุกข์ แต่เพื่อให้เราปลดปลงเข้าถึงความจริง ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่เราเกิดแก่เจ็บตายเหมือนที่อาจารย์บอก ก้าวมันต้องก้าวให้ถึง ไปแล้วไปให้ถึงที่สุด เราจะแค่ทุกข์ หรือว่าเราจะก้าวจนมองเห็นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม มองเห็นสภาวธรรมที่มันเกิดดับเกิดดับ แล้วมีแค่เราที่เป็นแค่ตัวรู้ แต่ไม่ใช่เราที่เป็นตัวตนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงย้ำแล้วย้ำอีกในการศึกษาธรรมว่า  เราจะต้องลงแรงรู้ ยั้งคิด  เหมือนเวลามีอะไรเกิดขึ้น เราควรหรือที่จะเกิดมาเพื่อเจ็บแล้วตายแค่นั้น  หรือเราควรที่จะเกิดมาเพื่อเรียนรู้ความเจ็บตาย จนเข้าถึงสัจธรรม ศิษย์จะเอาอันไหน แล้วจริงๆ แล้ว ชีวิตเราเพื่อให้เข้าไปสู่อันไหน เพื่อแค่ทุกข์แล้วเวียนในทุกข์ หรือว่าเพื่อเราเห็นแจ้งในความจริง  ใช่ไหม แล้วอาจารย์ควรให้ศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงความทุกข์ที่แท้ที่เรียกว่า ธรรม  ที่มันไม่เคยมีอะไรจริงแท้  
        (ตอนนี้มันยังทำไม่ได้)   นี่แหละที่คิดว่า "ตอนนี้ " ก็คือยึดติด   ถ้ายังบอกว่าไม่ได้ นั่นก็คือยึดติด ยึดติดความเป็นตนทั้งนั้นเลย มันยากอาจารย์ พอพูดว่า "มันยาก " แปลว่า เรามีตัวตนแล้ว  พอบอกว่า "ไม่ได้ อาจารย์ ไม่ได้"  แปลว่า เรายึดติดตัวตนแล้ว แต่ธรรมไม่มีคำว่า "ได้ "  หรือ "ไม่ได้ " แต่มันแค่รู้ แค่เห็น แล้วก็แค่นั้น  คือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวเราเข้าไป “ได้”  ไม่มีตัวเราเข้าไป “ใช่ หรือ ไม่ใช่”     อาจารย์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เข้าใจไหม





** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก วันที่ ๒๙ เมษายน – ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐   
แก้ไขกลอนพระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๕
เดิม     ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ  แก้เป็น  รักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๙
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว                         พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้เป็น แรงทิฐิยามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว        ห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๖  บรรทัดที่ ๒
เดิม     ล้มไปแต่โทษธรรมะ        แก้เป็น   ล้มไปโทษแต่ธรรมะ
หน้า ๑๖  บรรทัดที่ ๕
เดิม  อะไรเป็นอะไรดูดายกับความเฉย
แก้เป็น  อะไรเป็นอะไรดูดายกับวางเฉย
แก้ไขกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  บรรทัดที่ ๔
เดิม     อย่าเป็นคนหากมีจิตทุคติ           แก้เป็น ยามเป็นคนอย่ามีจิตทุคติ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ  แก้ไข  “ละ” เป็น “รัก”
เดิม     แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว  แก้ไข  “อย่า” เป็น  “ยาม”
เดิม     พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล  แก้ไข  “พ่วง” เป็น “ห้วง”
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๑-๒ เมษายน ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๖ 
เดิม     วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ  แก้เป็น วัฏฏะไม่มีเลยที่จะยอมจบ
แก้ไขกลอนพระอาจารย์จี้กง  หน้า ๑๓  กลอนวรรคสุดท้าย
เดิม     ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้เป็น          ฝืนสู้จะละหวั่นหรือดีให้ฝึกบำเพ็ญ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้ไข  “ฝึก” แก้เป็น “ฝืน” และ “รีบ” แก้เป็น “ฝึก”
เดิม     วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้ไข  “ไม่” แก้เป็น “จะ” 

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา