แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บุญ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บุญ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一六年歲次丁酉五月二十三日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐       สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอเมตตา
  อย่าอยู่อย่างอยากจนยึดติด            อย่าอยู่อย่างผิดศีลขาดธรรม
จงอยู่อย่างทำให้ดีไม่สร้างกรรม          เมื่อรู้ธรรมทำแล้ววางรับความจริง                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานจินจง  เเฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                            ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
  ชีวิตคนไม่ใช่รูปก็คือนาม              มีแต่ความจริงให้แด่ตนหนา
จิตใจยึดติดทำให้ขาดปัญญา           สามเวลามาฝึกจิตยังน้อยไป
มีสุขทุกข์เป็นใจไม่เป็นปกติ             ขาดขาดเกินเกินสติอยู่ที่ไหน
ใจหนักหนักบรรทุกจิตมีกิเลสไว้        ธรรมค้ำจุนรับน้ำใจไว้บำเพ็ญ
เวลาท้อไม่ไหวดั่งโลกพังพาบ           ทำใจแล้วไม่หาบความคิดเห็น
น้ำเต็มแก้วล้นที่ใดใจลำเค็ญ            ไม่จำเป็นยังเทใส่ใจจึงทุกข์
คนทำได้ละลดเดินมองทาง             ตาสว่างเห็นทางอย่าหลงพันผูก
ไม่ติดความมั่นยึดวันเวลาสุข            ไม่ผูกถูกผิดติดอัตตาจะโล่ง
สมัยใหม่ซึ่งมานำใจใครโยชน์           ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง
กินเต็มชามความดีกลับลดลง           คนไม่หลงปลงสายใจสายสัมพันธ์
เพิ่มลดได้เป็นทางกลางมืดสว่าง        ปล่อยวางลงวางกระด้างเป็นนักปราชญ์
วางลงก็เป็นสุขไม่อึดอัด    จงสัมผัสธรรมด้วยใจใฝ่ลงแรง
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
วันนี้มาฟังธรรมเพื่อธรรมหรือมาฟังธรรมเพื่อเอาบุญ เอาวาสนา
เอาโชค เอาลาภ  บุญวาสนาโชคลาภอยู่ที่การให้ทาน โชคดีโชคร้ายอยู่ที่กรรมใช่หรือไม่ ฉะนั้นฟังธรรมแล้วจะเอาบุญเอาวาสนาพ้นกรรมมีโชคมีลาภเป็นไปได้ไหม บอกมาตามตรงเราก็ไม่ว่า

มีทั้งเต็มใจแล้วก็มีทั้งโดนขัดใจและจำใจมาฟังใช่หรือไม่ ตั้งใจไหม (ตั้งใจ)  ตั้งใจนะ เพราะว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว ถ้าคนตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน  แต่ถ้าคนไม่ตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปช้า  แล้วใจตอบว่าช้าหรือเร็ว  ถ้าวันนี้ท่านมาฟังธรรมเพื่อธรรมจริงๆ ไม่ได้มาฟังเพื่อเอาโชคเอาลาภ เอาบุญวาสนา เราก็คงคุยกันต่อได้ ถ้าทำแล้วยังหวังยึดถือ หวังวอนบันดาลดลนั่นก็เรียกว่า คนปฏิบัติธรรมแบบลุ่มหลง เพราะหลักการปฏิบัติธรรมคือทำเพื่อละวางการยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  หากถือมั่นอยู่ก็ยังเรียกว่า ทำบุญแต่ก็ยังหลง มีกิเลส หลงบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะถามว่า เรามาฟังธรรมเกือบวันหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยเห็นธรรม ยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมเท่าไหร่ เห็นแต่ความเป็นจีน แบบจีน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านนะ โดยส่วนใหญ่เวลาเรามองธรรม หรือเราอยากเห็นธรรม ธรรมที่ในใจเราคิด คือ  ธรรมที่เรามองแล้วสงบ ธรรมที่ปฏิบัติแล้วเราเย็น  ธรรมที่เราปฏิบัติแล้วเราโปร่ง โล่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามาศึกษาธรรมแล้วยังไปยึด ต้องมีโชค มีลาภ อย่างนี้เรียกว่ามองเห็นธรรมถูกไหม (ไม่ถูก) ไปถึงธรรมไหม (ไม่ถึง)   ฉะนั้นไม่ใช่เรียกว่าธรรม เพราะในใจของทุกคนคิดว่าธรรมคือความ สงบ เย็น โล่ง โปร่ง สบาย ใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วเรายังหวังขอพร หวังโชค หวังลาภ นั่นเป็นไปเพื่อความสงบเย็น หรือความยึดมั่นถือมั่น (ยึดมั่น)
เป็นความปล่อยวางหรือความยึดติด (ยึดติด)  และการคิดแบบนั้นเรียกว่าการปฏิบัติธรรมถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เวลาทุกข์ เวลาท้อ เวลาวุ่น เวลาสับสน จิตใจล้า เสียใจมากๆ อยากเข้าหาธรรม ธรรมในความคิดของทุกคนคือความสงบ ความเย็น ความสบาย ถ้าใจคนทำให้เราวุ่น ไม่สงบ ไม่เย็น ไม่โปร่ง ไม่โล่ง อย่างนั้นทำไมไม่ลองฝึกใจธรรม มีใจเป็นธรรมบ้าง เรามัวแต่หาธรรมข้างนอกแต่ลืมใจเราที่เป็นธรรม เพราะถ้าใจเราเป็นธรรม เราอยู่ที่ไหนก็สงบ เย็น โปร่ง โล่ง เบา แต่ถ้าเราเป็นใจคน อยู่ที่ไหนเราก็วุ่น ก็ยึดติด ก็เรียกร้อง ฉะนั้นตอนนี้อยากหาใจคนหรืออยากหาใจธรรม (ใจธรรม)  อย่างนั้นตอนนี้ท่านเป็นใจคนหรือใจธรรม (ใจธรรม)
มนุษย์ปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรม  หรือปรารถนาที่จะมีธรรมเพื่อนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นให้กับชีวิต  เพราะรู้สึกว่าชีวิตความเป็นคน  หรือใจความเป็นคนนั้นวุ่นวาย  เต็มไปด้วยความทุกข์  เต็มไปด้วยความท้อ  และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  บางทีการหันหน้าเข้าสู่ธรรมอาจจะทำให้เราพบทางสงบ  พบทางร่มเย็นใช่หรือไม่  แต่ว่าถ้าเราหันหน้าเข้าสู่ธรรมแต่ใจเรายังมีความเป็นคนอยู่  เราก็จะไม่มีวันเห็น
ถ้าเราอยากเข้าสู่ธรรม เราต้องฝึกใจเราให้เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะมองว่าการฝึกใจธรรม คือ ฝึกให้ใจมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วคำว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมบางครั้งอาจจะดูเหมือนเราลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากฝึกใจธรรม เราจะฝึกแบบไหนที่จะทำให้เรามองเห็นและฝึกได้ง่าย พระพุทธะกล่าวไว้ว่า อยากฝึกใจธรรมก็ให้เลียนแบบดิน เลียนแบบฟ้า ใจที่สงบ ใจที่สว่าง ใจที่สะอาด ใจที่กว้างใหญ่ เปรียบเทียบได้กับใจธรรมเรียกว่าใจฟ้า จริงไหม (จริง)  กว้างไหม ยิ่งใหญ่ไหม และเปรียบเทียบได้กับใจดิน ใจดินหนักแน่น และรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง ดินรังเกียจเดียดฉันท์ไหม (ไม่)  ดังนั้นการที่เราจะฝึกใจฟ้าใจดินได้เราต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ใจฟ้าใจดินหรือเรียกว่าใจธรรมนั้น แตกต่างจากใจคนตรงที่ใจฟ้าใจดินไม่มีตัวตน แต่ใจคนมีตัวตน ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงใจธรรมต้องวางซึ่งตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เป็นใจธรรมเป็นอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ ถ้ามนุษย์ใจกว้างสุดประมาณจะไม่มีใครที่ทำให้เราต้องอดทน อดกลั้น ถ้ามนุษย์ใจหนักแน่นในความดีงามอย่างถึงที่สุดจะไม่มีใครที่ร้ายจนย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้ เราเทียบง่ายๆ ใจธรรมเหมือนใจฟ้ากับใจดิน ฉะนั้นคนที่มีใจฟ้าแปลว่ากว้างสุดประมาณ เมื่อกว้างสุดประมาณจะมีใครไหมที่ทำให้เราต้องพยายามอดทนอดกลั้น ฉะนั้นใจฟ้าจะไม่มีคำว่าตัวตน
อะไรๆ ก็ว่าง ก็โล่ง ก็โปร่ง ก็สงบ ก็เย็นใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรเราฝึกใจธรรมแต่เรายังบอกคนนี้ยังใช้ไม่ได้ คนนี้ยังไม่ดี แปลว่าใจเรายังไม่กว้างเท่าฟ้า ฉะนั้นถ้าเราฝึกใจธรรมแบบดิน คือ หนักแน่นในความถูกต้องอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และรู้จักผันแปรสิ่งที่เรียกว่าเลวร้าย ให้ก่อเกิดเป็นคุณประโยชน์ นำมาซึ่งความสร้างสรรค์และดีงาม ถ้าเรามีใจดินที่เรียกว่าเป็นใจธรรม จะมีใครย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วหรือไม่ จะมีใครที่ย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่อยากดีอีกต่อไปหรือไม่ ฉะนั้นคนที่ฝึกใจธรรมและเลียนแบบใจฟ้าใจดินจะเป็นคนที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความอดทน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า คนทำดีแล้วต้องพยายามทำให้ดี ถ้าฝึกใจดินจะไม่ท้อจะไม่เหนื่อย จะไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าฝึกใจธรรมเลียนแบบใจฟ้าดิน ก็ไม่มีใครทำให้เราต้องรู้สึกอดทนอดกลั้นหรือทำให้เราไม่อยากดีอีกต่อไป คนใจฟ้าแปลว่ากว้างจนถึงที่สุด แต่ความเป็นใจคนมีอัตตา มีรูปแบบ มีการติดยึด ฉะนั้น พอเจอเรื่องอะไรมากระทบยอมได้ไหม เมื่อยอมไม่ได้ก็เลยต้องอดทนอดกลั้น เมื่อยังต้องอดทนอดกลั้นแปลว่าไม่ว่าง ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นคนฝึกใจฟ้าเมื่อว่างแล้วก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าเย็นแล้ว ถ้าสงบแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เกินเลยจนทำให้เราต้องโมโหและรับไม่ได้ ฉะนั้นตอนนี้เราเคยมีใจฟ้าบ้างไหม  หรือที่ฝึกมายังคงเป็นใจคนอยู่จริงไหม ยังไปไม่ถึงใจธรรมเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่เข้าถึงใจธรรม ถามท่านง่ายๆ ใจธรรมคือใจที่สงบ เย็น โล่ง บริสุทธิ์ แต่ถ้าฝึกใจธรรมแล้วยังต้องอดทนอดกลั้น แปลว่ายังไม่เย็นนะ แปลว่ายังไม่มีธรรม จริงหรือไม่ (จริง) 
พูดถึงตรงนี้แล้ว  แล้วใจแห่งธรรมเป็นอย่างไร ใจแห่งคนเป็นอย่างไร แตกต่างกันตรงไหน เคยมองบ้างไหม ไม่เคยเลยใช่หรือเปล่า ถ้ามีใจธรรมเราจะสงบเย็น โล่งโปร่งเบา  แต่ถ้ามีใจแห่งความเป็นคน เราจะมีแต่ความยึดติด สุขทุกข์และรำคาญใจ แล้วใจธรรมต่างจากใจคนอย่างไร  เคยสังเกตไหม ทุกวันนี้มัวแต่หาเงินใช่ไหม พอหาเงินจนทุกข์แล้วค่อยมาหาธรรมใช่ไหม แล้วตอนนั้นมีแรงจะหาธรรมไหวไหม หาเงินจนเงินทำให้เจ็บช้ำ ความรักทำให้เจ็บช้ำ มีทุกข์จนเจ็บช้ำแล้วตอนนั้นมาหาธรรมจะหาทันไหม เยียวยาใจทันไหม ใจธรรมต่างจากใจคนตรงไหน
ถ้าเอาใจฟ้าและใจดินเป็นใจธรรม ฟ้าและดินหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง และประกอบกิจอย่างไม่ทวงบุญคุณ ฟ้าดินให้สรรพสิ่งมีชีวิต ให้เราเกิด ให้เรามีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ แต่ไม่เคยทวงสิทธิ์เราคืนถูกไหม  เจือจุนเกื้อหนุนแต่ไม่บังคับบีบคั้นใจเรา สร้างสรรค์ให้สรรพสิ่งเกิดและดำรงอยู่โดยไม่ถือครอบครอง และเมื่อทำถึงที่สุด ทำแล้วก็แล้วไป ไม่ยึดติดหวังผล นี่แหละเรียกว่าหัวใจแห่งธรรม  หัวใจแห่งธรรมคือ ให้สรรพสิ่งกำเนิดขึ้นมาโดยไม่ถือสิทธิ์ ประกอบกิจก็ไม่ทวงบุญคุณ เมื่อเจือจุลเกื้อหนุนสรรพสิ่งแล้วก็ไม่บีบคั้น และสร้างสรรค์สรรพสิ่งให้โดยที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นครอบครอง พอทำถึงที่สุดแล้วก็ไม่จดจำ นี่คือใจธรรม แต่ใจแห่งความเป็นคน ต่างกันไหม (ต่าง)  เวลาทำอะไรหวังผล ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทำสิ่งหนึ่งหวังผล แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นทำให้เราไม่ว่าง เมื่อไม่ว่าง ก็ไม่สงบ ก็ไม่อาจยิ่งใหญ่ และกว้างใหญ่ได้ จริงไหม (จริง)  เวลาเราทำดีแล้วหวังผลตอบแทน การหวังผลตอบแทนทำให้สิ่งที่เราทำนั้นกลายเป็นไม่ว่าง แต่กลายเป็นความมีและยึดติดและไม่ยิ่งใหญ่ ใจคนมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชอบทำอะไรแล้วต้องให้เป็นดั่งใจ เมื่อต้องหวังให้เป็นดั่งใจแปลว่า ในใจเรามันไม่สงบ ในใจเรามีความมั่นหมาย ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่สามารถเข้าถึงใจธรรมได้ เพราะว่าทุกครั้งที่ทำ ยังยึดมั่น ยังหวังผล ใจจึงไม่สงบ ฉะนั้นถ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังวอนผลบันดาลดล ใจจึงไม่ว่าง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังให้เป็นดั่งใจตนเอง ใจนั้นจึงไม่สงบ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจ้าคิดเจ้าแค้น จดจำไม่ลืมเลือน ใจจึงไม่มีวันเย็นได้เลย ฉะนั้นใจคน ต่างจากใจฟ้าก็ตรงนี้ เพราะใจฟ้าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้สรรพสิ่ง ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยอ้างสิทธิ์ ไม่เคยจดจำ ไม่เคยยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ใจฟ้าหรือใจธรรม จึงสงบเย็น ยิ่งใหญ่และว่าง แต่ใจคนไม่ใช่แบบนั้น ยึดมั่น ตามใจ จดจำ เคียดแค้น รักไม่ลืม ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่มีวันสงบ เย็นและว่างได้เลย
เวลาที่เราใช้ชีวิต ชีวิตวุ่นมากๆ หาเงินมากๆ พอเวลาว่างเราจึงอยากไปนั่งดูธรรมชาติ เหนื่อยมากๆ ทำไมอยากนั่งนิ่งๆ เฉยๆ และปล่อยใจมองฟ้ามองดิน ฟังเสียงนก ฟังเสียงลม
เพราะเมื่อมีความอยากมากถึงที่สุด เราก็อยากกลับมาคืนสู่ใจที่เย็นบ้าง สงบบ้าง วางบ้าง จริงหรือไม่ (จริง)  หามาแทบแย่แต่ถึงเวลากลับไม่สงบเลยคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  หามาแทบตายแต่ไม่มีความเย็นใจเลย ฉะนั้นทำไมใจเราจึงบอกว่าอยากสงบบ้าง อยากเย็นบ้าง อยากโล่งๆ บ้าง เพราะจริงๆ แล้วเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรม แต่ความเป็นใจคนมาบดบังใจธรรม แต่ธรรมจะคอยย้ำเตือนท่านเสมอว่า เมื่อไรจะว่างสักที เมื่อไรจะเย็นได้บ้าง เมื่อไรฉันจะอิสระจริงๆ สักที ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตอยากอิสระ แต่ทำไมหาคู่ ชีวิตอยากสงบเย็น แต่ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้น ชีวิตอยากเป็นสุข แต่ทำไมชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะใจคนบังใจธรรมอยู่ ถ้าวางใจคนได้ท่านจะกลับพบใจธรรมที่อยู่ในตัวเราว่าจริงๆ มันสงบ มันเย็น มันว่างอยู่ แต่เพราะความยึดติดในความเป็นใจคน เราเลยไม่เคยว่างสักทีใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เข้าออกมาทางจิตใจแล้วทำให้จิตใจติดนิ่งอยู่กับอารมณ์ นั่นเรียกว่า กิเลส นั่นเรียกว่าใจคน แต่สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เรารู้เท่าทันความคิดแล้วไม่ติดนิ่งในอารมณ์ ในความคิด ในกิเลส ทำให้เราโปร่ง โล่ง เบา นั่นคือใจธรรม หรือเรียกว่าโพธิจิต ทำให้เราวางจากความคิด วางจากกิเลส ว่างจากอารมณ์ ปลดเปลื้องเราจากความยึดมั่นถือมั่น ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติด้วยเมตตา ด้วยมโนธรรมสำนึก ด้วยจริยะอันดีงามจึงเรียกว่าคุณธรรมแห่งความเป็นโพธิ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออกระหว่างธรรมกับคุณธรรม พอเข้าใจไหม
ถึงท่านจะพยายามปฏิบัติคุณธรรม แต่ลืมเลือนใจธรรมก็ยังถือว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ดังที่มนุษย์คิดว่า แม้ฉันยังมีใจคนอยู่ ฉันยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันก็ไปปฏิบัติดีก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเมตตา ไปทำบุญ ไปให้ทาน ฉันมีจิตสำนึกดีงามนะ ถ้าทำแล้วยังมีจิตแห่งความเป็นคน ยึดมั่นถือมั่นติดแน่นในอารมณ์และตัวตน ผลพวงก็ยังเป็นกิเลสไม่ใช่ธรรมใช่ไหม ฉะนั้นถึงทำดีก็ยังต้องเหนื่อยและยังต้องอดทน แต่ถ้าในขณะใจธรรมเราก็ถึง ประกอบกิจก็มีคุณธรรม อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้ว ดังที่คำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ขอเพียงมนุษย์มีศีล มีธรรม ปฏิบัติทุกขณะด้วยสติปัญญา มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน และมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงแห่งโลกอันเกิดดับที่เรียกว่าอมตะธรรม คนนั้นแม้มีชีวิตอยู่แค่วันเดียวก็ประเสริฐกว่าคนที่ผิดศีล ขาดธรรม และมองไม่เห็นธรรมสักหนึ่งขณะเลย
แล้วทำไมเกิดเป็นคนต้องมีธรรม คนที่มีมโนธรรมสำนึกดี รู้ผิดชอบชั่วดี กับคนๆ หนึ่งไม่มีมโนธรรมสำนึก ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ท่านเลือกคบคนไหน คนที่รู้จักยับยั้งควบคุมอารมณ์ตน กับคนที่แม้จะเป็นคนดีแต่ไม่เคยควบคุมอารมณ์ตน ท่านเลือกคนไหน (คนที่ควบคุมอารมณ์ตน) ฉันใดก็ฉันนั้นทำไมคนเราต้องมีธรรม เพราะคนที่มีธรรมล้วนเป็นที่ปรารถนาของทุกคน และเป็นที่ปรารถนาของใจเรา แต่ถึงเวลาเราทำไหม เราเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตนเองลืมควบคุมใจตนเอง เอาแต่ว่าคนอื่นไม่ดี แต่ตนเองควบคุมความไม่ดีของตนเองได้หรือยัง ฉะนั้นถึงดีแค่ไหนแต่ยังควบคุมใจแห่งความชั่วร้ายไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีได้
มือถือสากปากถือศีลจงอย่าได้เป็น เป็นคนดีแต่ยังยับยั้งชั่วไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริง เป็นคนดีแต่ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดีจริงหรือ ผู้ที่สามารถควบคุมความไม่ดีให้ได้ ถึงจะเรียกว่าคนดีจริง
ใจธรรมเป็นอย่างไร การจะฝึกใจธรรมแล้วทำให้เราเป็นใจธรรมได้ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเราอยากฝึกใจธรรมก็ให้มองใจธรรมมากๆ อย่ามองคนแบบคน เพราะถ้ามองคนแบบคน จะมีแต่ความเป็นคนแล้วคน ใช่ไหม (ใช่)  จงมองคนแบบธรรมแล้วเราจะพบธรรม
คนบางคนเหมือนผลไม้หรือ คนบางคนเหมือนดอกไม้ไหม
(ไม่เหมือน)  ท่านกำลังคิดว่า “คนไม่เหมือนดอกไม้ ดอกไม้ก็ดอกไม้ คนก็คนสิ” ถ้าเช่นนี้ก็คือมองเห็นคนแต่มองไม่เห็นธรรมนะ คนก็เหมือนกับผลไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ ทำไมจึงบอกอย่างนั้น ถ้าบอกว่ามีคนๆ หนึ่ง เหมือนต้นกล้วย แปลว่าคนคนนั้นมีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายนอกจรดภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนบางคนเหมือนต้นหญ้า ดูเหมือนไร้ราคา แต่ก็มีคุณค่าที่ปกพื้นดินไม่ให้ดินถูกกัดเซาะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากฝึกใจธรรม จงมองให้เห็นความเป็นธรรมในผู้คน เหมือนกับดอกไม้มีหลากแบบ บางแบบสวยแต่กลิ่นไม่หอม บางแบบทั้งหอมทั้งสวย แต่บางแบบแค่หอมแต่ไม่สวย แต่บางแบบไม่หอมแล้วก็ไม่สวย แต่ก็ยังเป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้เป็นฉันใดคนก็ฉันนั้น ดูสวยแต่ไม่หอม  ดูหอมแต่ไม่สวย ดูไม่หอมแล้วก็ไม่สวย  แต่ก็เป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกสวย ข้างในอร่อย แต่ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกขรุขระแต่ข้างในกลับยิ่งอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนมนุษย์ฝ่ายชาย นิสัยไม่ค่อยดี เวลาดีก็ดีใจหายเลย เวลาเอาเรื่องก็ไม่ยอมใครเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเทียบผู้ชายกับผลไม้ก็คงเหมือนทุเรียนก็แล้วกัน จับไม่ดีก็เจ็บมือ ถ้าจับให้ดีก็มีค่าและหอมหวาน  แต่กว่าจะถึงความหอมหวาน ต้องจับให้เป็นไม่อย่างนั้นเจ็บมือใช่หรือไม่  แล้วท่านเป็นทุเรียนไหม หรือเป็นคล้ายกับเงาะ ดูข้างนอกไม่สวยเลยแต่ใจดีที่หนึ่ง หรือเป็นเหมือนมะม่วงข้างนอกก็สวยข้างในก็อร่อย  เรามองทุกสิ่งทุกอย่าง มองคนอย่ามองอย่างคนแต่มองอย่างธรรม แล้วเราจะได้เห็นธรรมในผู้คน จำไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดมาแล้วไร้ค่าไร้ราคา ขอเพียงไม่ดูเบาตนเอง คนทุกคนล้วนมีค่ามีความหมาย และสรรพสิ่งไม่ว่าจะร้ายอย่างไร แท้ที่จริงแล้วก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเข้าใจสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร (ธรรม)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราก็จะรู้ว่าในความเป็นจริงแห่งธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าไฟและน้ำ

ฉะนั้นถ้ารู้จักช่วงใช้ให้เป็น ไฟก็มีประโยชน์ น้ำก็มีประโยชน์ ในโลกนี้บางครั้งคนอยู่ได้สูง แต่บางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ต่ำ  และบางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ที่ธรรมดาสามัญ แปลว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้ สูงขนาดไหน จะต่ำขนาดไหน หรือจะธรรมดาขนาดไหน ล้วนก็คือธรรม เป็นไปได้ไหมมีสูงไม่มีต่ำ เป็นไปได้ไหมมีร้อนไม่มีเย็น ฉะนั้นถ้าควบคุมให้ดี เราก็เรียกว่าส่วนหนึ่งแห่งธรรมหรือเรียกว่าความสมดุล แต่หากผู้ชายมีความแข็งแกร่งจนถึงที่สุดและไม่มีความอ่อนยืดหยุ่น ก็จะกลายเป็นกระด้างเกินไป หรือผู้หญิงถ้าอ่อนนุ่มจนหาความแข็งไม่มี ก็จะกลายเป็นไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ทำอะไรก็ยอมแพ้พังพาบได้ง่ายๆ ฉะนั้นธรรมชาติจึงสอนไว้ว่า สิ่งที่ร้อน สิ่งที่เย็น สิ่งที่ร้าย สิ่งที่ดี ถ้ารู้จักใช้ให้สมดุลก็เรียกว่าธรรม  ถ้าใช้ไม่เป็นก็กลายเป็นกิเลสและก่อเกิดเป็นความทุกข์ ฉะนั้นการจะเข้าให้ถึงธรรมจึงต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติ อย่าเอาแต่ฟัง ปฏิบัติเช่นไรล่ะ ก็ปฏิบัติง่ายๆ ด้วยการฝึกจิตให้คุ้นชินกับความเป็นจริง
ฝึกจิตให้เข้าใจหลักแห่งธรรม หรือฝึกจิตให้เข้าใจความเป็นธรรมดาอันเรียกว่าปกติแห่งธรรม คนมีร้อนมีเย็น เรื่องราวมีสูงมีต่ำ มีดีมีร้าย ล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรม ถ้าเมื่อไรเราฝึกจิตจนคุ้นชินความเป็นจริงแห่งธรรม และเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมด้วยใจที่เปิดกว้างยอมรับและรักษาใจแห่งความเป็นกลางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรทุกข์จนเราย่ำแย่หรือสุขจนหลงเลิศลอย เราบอกท่านจนจบแล้วนะ วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมคือรักษาใจเป็นกลาง ถ้าเรายังยึดติดนั้นไม่ใช่ใจธรรมแต่เป็นใจคน ใจธรรมก็คืออะไรๆ ก็คือธรรม
สิ่งที่เรามาพูดในวันนี้ล้วนเป็นหลักแห่งธรรมในการดำเนินชีวิตเพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนต้องการคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็อาจไปไม่ถึงธรรม แต่ไปถึงคำว่ากรรม อยากรู้ไหมว่าทำไมไปไม่ถึงธรรมแต่กลายเป็นไปแล้วเป็นเวรเป็นกรรม ก็เพราะยึดติดในตัวตน ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยใจว่าง เป็นกลาง ไม่ยึดติด ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล ทุกสิ่งทุกอย่างคือความสงบเย็นและปล่อยวาง นั่นก็คือกลับสู่ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ดีก็ยึด ร้ายก็ยึด สิ่งที่ยึดจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ธรรมคือความเป็นกลาง กลางที่เรียกว่า อกรรม คือ พ้นแล้วซึ่งเวรกรรม แล้วทำไมจึงอยากยึดติดความเป็นคนเพื่อหมุนเวียนวัฏฏะแห่งกรรม ทำไมไม่เข้าหาธรรมเพื่อกลับคืนสู่ความสงบเย็น
ฉะนั้นหัวใจแห่งธรรมคือบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง เจือจุนสรรพสิ่งโดยไม่ทวงบุญคุณ สร้างสรรค์สรรพสิ่งโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตน ให้แล้วให้เลยไม่จดจำ ถ้าทำได้ถึงหลักแห่งใจธรรมท่านก็กลับคืนสู่ความสงบเย็น ไม่ต้องพรุ่งนี้แต่เดี๋ยวนี้และตอนนี้ทันที

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เรื่องธรรมะคิดได้ไม่ค่อยคิด             เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ไปกันใหญ่
เรื่องธรรมดาทำมาน้อยอกน้อยใจ        เรื่องของใครเอามาเป็นสาระสำคัญ
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า
        สะสมบุญมากกว่ากรรมแล้วหรือไม่ มีจิตใจที่ดีมากพอหรือยัง คนที่บำเพ็ญแล้วยังมิแคล้วต้องฟัง ที่กำลังก้าวต่อไปคืออะไร
        คุณธรรมทำให้คนทรงคุณค่า คำปรึกษาต้องเจือหลักธรรมปลอบใจ
คนที่ธรรมดาเพราะไม่รู้ว่าทำได้ บำเพ็ญละไมคืนสุขให้ชีวิตตน

        * สมาธิขอให้พร้อมยิ่งกว่าพร้อม บางเรื่องยอมถึงยอมคือทุกข์ไม่
หมองหม่น รับเรื่องราวด้วยใจว่าง ปล่อยวางอย่าไปกังวล จะมีจะจนยังต้องบำเพ็ญเข้าไว้

             พึ่งพาศีลเป็นเครื่องช่วยถอนกิเลส หว่านเมล็ดตื่นรู้ให้ถึงข้างใน ผลบุญยังไม่มา เพียรคือความหวังใหม่ น้ำหลายสายหลั่งไปหลอมรวมร่วมกัน  (ซ้ำ *)
                                             ชื่อเพลง : รักษาศีลบำเพ็ญบุญ
                                              ทำนองเพลง : ขอเดินด้วยคน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อยากฟังเขาต่อไหม ถ้าบอกอยากฟังเดี๋ยวอาจารย์กลับก็ได้นะ เขาพูดดีนะ ทุกคนที่มาพูดในชั้นล้วนพูดดีใช่หรือไม่ แต่เราเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเราฟังไม่ค่อยดี เขาให้มานั่งฟังธรรมหรือนั่งหลับ (ฟังธรรม)  ธรรมะสอนให้เรารู้จักลดละอัตตาตัวตน ปล่อยวางความโลภโกรธหลงใช่หรือไม่ ลดความยึดมั่นถือมั่น ถ้าฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ แปลว่าไม่ได้มาฟังธรรมแต่มาทำอะไรตามใจเฉยๆ แปลว่าที่ฟังมาไม่เข้าหูเลย
 ถ้าสมมติว่าศิษย์มีลูก  แล้วลูกของศิษย์เกาะศิษย์แจ ไม่คิดที่จะพึ่งตัวเอง คิดจะพึ่งแต่พ่อแม่ อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเลี้ยงลูก ถูกหรือผิด (ผิด)  ถ้าอาจารย์มีลูกศิษย์  แล้วลูกศิษย์ติดอาจารย์แจไม่คิดจะพึ่งตนเอง อะไรก็รอแต่อาจารย์เตือน รอแต่อาจารย์บอก คิดเองไม่ได้ อย่างนี้ถูกหรือผิด (ผิด)  พอรู้ว่าผิดไม่กล้าเจอหน้าอาจารย์ หลบไปอยู่ข้างล่างไม่กล้าขึ้นมาข้างบนใช่หรือไม่คนที่อยู่ข้างล่าง 
 เรื่องธรรมะคิดได้กลับไม่ค่อยคิด เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ยิ่งแต่คิดไปกันใหญ่ เราเป็นอย่างนี้ไหม คิดว่าทำไมเขาไม่เป็นแบบนั้น ทำไมเขาไม่เป็นแบบนี้  ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่  ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน  ยิ่งคิดยิ่งยอมรับความจริงไม่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนิดๆ หน่อยๆ แต่เราก็เอามาเป็นเรื่องเอามาเป็นสาระสำคัญ แล้วก็น้อยใจคนนั้นน้อยใจคนนี้ 
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เพื่อเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ ศิษย์เคยสังเกตไหม ฟังธรรมมาก็เยอะ รู้ธรรมมาก็มาก แต่น่าแปลกใจ ทำไมกิเลสอารมณ์ยังมีเหมือนเดิม จริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเป็นแบบนี้นะ ฟังมาก็เยอะ รู้มาก็มาก แต่ถึงเวลากิเลสอารมณ์น่าจะน้อยลงแต่กลับเหมือนเดิม หรือบางครั้งยังมากกว่าเดิมอีกใช่ไหม อาจารย์แค่ลองคุยให้ฟัง ว่ามันตรงกับใจใคร แต่อาจารย์ว่าคงตรงกับใจทุกคน จริงไหม แปลว่าเราไม่เคยเอาสิ่งที่รู้มาหักห้ามกิเลส ถากถางกิเลสออกจากใจตัวเองได้เลย ใช่หรือไม่ แปลว่าเราแค่รู้ใช่หรือไม่ แต่ยังไม่ลงมือทำใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนบางคนดีหน่อย ตรงที่พอเวลามีเรื่องอะไรที่เป็นธรรมะ ชอบฟัง ใช่หรือไม่ ชอบฟังไหม (ชอบ)  เพราะการฟังธรรมก็เป็นบุญชนิดหนึ่ง แต่ถ้าฟังแล้วไม่นำเอามาปฏิบัติ ธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถทำให้จิตใจนั้นสงบเย็น และธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถที่จะป้องกันกิเลสเข้ามาครอบงำใจได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นอย่าเอาแต่ฟัง แต่รู้จักเอาธรรมไปปฏิบัติ เพื่อทำให้จิตนั้นสงบเย็นและป้องกันกิเลสไม่ให้มาคุกคามใจ ใช่หรือเปล่า 
 ศิษย์เอยถ้าเราอยากอยู่ในโลกให้มีความสุข เราอย่ามัวแต่ห่วงตนเอง เพราะถ้าศิษย์คิดว่า “เรื่องของคนอื่น” ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าเมื่อไรคนอื่นทุกข์ เขาก็จะพลอยทำให้คนรอบข้างทุกข์ด้วย จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ดีก็พอแล้ว คนอื่นช่างหัวมัน แต่ศิษย์อย่าลืมนะ คนอื่นที่ทุกข์และเราไม่สนใจเขานั้นเขาอาจจะกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะดี ทำไมไม่ทำให้ตัวเองดี และทำให้คนอื่นดีด้วยล่ะ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยากจะสุข ทำไมไม่ทำให้ตัวเองสุขแล้วคนอื่นก็สุขด้วย ทำไมห่วงแต่สุขตัวเองแล้วทอดทิ้งทุกข์ของคนอื่น ปัญหาที่เกิดคือทุกข์ของคนอื่นที่เราทอดทิ้งนี่แหละ จะวกกลับมาทำร้ายเรา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกแล้วตัวใครตัวมัน 
ขึ้นชื่อว่าคนยังเกี่ยวสัมพันธ์กัน ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “คนคดหนึ่งคนสามารถทำร้อยคนที่ตรง ให้คดได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่ดีหนึ่งคนทำร้ายคนดีให้หมดเรี่ยวแรงหมดกำลังใจได้ ฉะนั้นเราดีอย่างเดียวแล้วไม่ต้องสนใจคนไม่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น ให้คนอื่นสุขแล้วตัวเองทุกข์ ให้คนอื่นสบายแล้วตัวเองลำบาก เชื่อไหมว่าคนเช่นนี้ที่จะแปรเปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นความสว่าง และความสว่างเป็นความสว่างยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า อย่าเกิดเป็นคนรักแต่สบาย อย่าเกิดเป็นคนเอาแต่สุขฝ่ายเดียว ทำไมไม่ลองทุกข์เพื่อผู้อื่นบ้าง ทำไมไม่ลองลำบากเพื่อผู้อื่นบ้าง เผื่อว่าความมืดในใจเขาจะกลายเป็นความสว่าง และเผื่อว่าความมืดที่เขามองเห็นจะไม่ใช่ความมืด แต่กลับจะรู้สึกว่าความลำบากของเขาช่างเป็นแสงสว่างที่นำใจเรา ให้รู้สึกว่าฉันจะต้องเป็นอย่างเขาให้ได้ ศิษย์เคยเจอคนประเภทนี้ไหม แล้วศิษย์ไม่คิดจะเป็นแบบนี้บ้างหรือ ทำไมเอาแต่ตัวเองรอด ตัวเองดี ตัวเองสบาย ตัวเองสุข แล้วคนอื่นไม่สนใจ ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงน่าจะเป็นคนที่ลำบากได้ ทุกข์ได้ แต่ทำให้คนอื่นยิ้มได้สุขได้ อย่างนั้นไม่ประเสริฐกว่าหรือวันนี้ที่มาฟังธรรมเราคิดว่าเพื่อจะนำธรรมะนี้ไปใช้ในชีวิต แต่เราต้องมีความคิดที่ตรงกันก่อน หนึ่งอาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังพูดหลักธรรมที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ธรรมที่เป็นกลาง ถ้าเราจะนำธรรมไปใช้ในชีวิต ตอนนี้ศิษย์ทำเพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อใจ,เพื่อกาย)  กายมากกว่าหรือใจมากกว่า (กายมากกว่า)  ที่แต่งตัวทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ ที่ทำอะไรทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อกาย)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ทำเพื่อกายและเพื่อใจ ฉะนั้นถ้ามีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ใจต้องรับได้ ใจต้องรู้ทัน ถ้าเราหาเงินมาแล้วเงินนั้นหายไป ถ้ามีแฟนแล้วแฟนไม่รัก หาเงินแล้วคิดว่าจะรวยขึ้นแต่กลับเป็นหนี้ กายก็ต้องรับได้ ใจก็ต้องรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ศิษย์ทำทุกอย่างล้วนเพื่อกายแต่ลืมบำรุงเลี้ยงดูแลใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อให้กายรอด กายต้องมีกิน กายต้องสวย กายต้องดูดีก่อน แต่เราลืมดูแลใจ ถามคนที่อายุมากนะว่า ภรรยามีไหม เงินมีไหม เงินก็ยังพอมี ลูกก็มี รถก็มี ใช่ไหม (ใช่)  สมัยเด็กๆ ศิษย์บอกว่า ถ้าศิษย์มีสิ่งเหล่านี้แล้วจะทำให้เรามีความสุขกายและสุขใจ ถูกไหม ตอนนี้มีครบทุกอย่าง ทำไมกายยังรู้สึกโหวงๆ ใจยังรู้สึกเหวงๆ รถก็มี บ้านก็มี เงินก็มี ลูกก็มี แต่ทำไมใจรู้สึกเหมือนไม่มี (รถอยู่กับเราทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์)  ไม่ใช่แค่ทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์ บางทีโฉนดที่ดินก็อยู่กับธนาคาร ใช่หรือเปล่า ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อหวังให้กายมีสุข เพื่อต่อไปในภายภาคหน้าใจจะมีสุข แต่ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นสิ่งที่ศิษย์หวังว่าจะมีสุข กลับกลายไม่มีสุขแต่กลายเป็นเหมือนพันธะผูกพันที่ทำให้เราต้องวิ่งวนไม่จบสิ้น จริงไหม นั่นแปลว่า เรามัวบำรุงกายจนลืมยั้งใจตัวเองไหม (ใช่)  ที่เป็นหนี้ทุกวันนี้เพราะว่าเงินมีน้อยเพียงแค่นี้ แต่ใจอยากได้มากกว่านี้ ฉะนั้นศิษย์มัวบำรุงกายจนลืมดูแลใจ ที่โลภอยากได้มากกว่าที่เราหาหรือไม่ จริงไหม ฉะนั้นทุกวันนี้เรากำลังบำรุงบำเรอกาย แต่ลืมกลับมาดูแลบำรุงใจตัวเอง ใช่ไหม ฉะนั้นคนที่บำรุงใจตัวเองเป็น การดูแลใจตัวเองเป็น คือคนที่รู้จักมีแล้วห้ามใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าศิษย์มีเงินไหม (มี)  แต่ใจที่บอกว่ามีเงินนั้นกลับไม่เคยมี ฉะนั้นหามาได้สิบล้าน ร้อยล้าน ใจก็ยังบอกว่า (ไม่มี)  จริงไหมเล่า ฉะนั้นเรามัวแต่ดูแลกายจนลืมดูแลใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงสอนให้เรารู้จักฝึกจิตใจเพื่อคุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิต ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมคือการฝึกจิตใจให้คุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิตและเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรมหรือความเป็นจริงแห่งธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ว่าถ้าเราปล่อยตัวเองไปตามความอยาก ยิ่งถมยิ่งไม่เต็ม แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้จักหยุดอยากได้ เงินที่มีเพียงแค่นี้ จะกลายเป็นเยอะขึ้นมาทันที จริงหรือไม่ สมมติมีเงินสิบบาท ศิษย์ว่าน้อยไหม (น้อย)  แต่ตอนเด็กเจอสิบบาทเหมือนเจออะไร แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พัน ใช่ไหม ก็ตอนเด็กเราไม่มีความ (อยาก)  ใช่หรือไม่ แต่เมื่อโตขึ้นทำไมสิบบาทที่เคยมีความสุขตอนเด็กตอนนี้กลับไม่สุขแล้วล่ะ อะไรเปลี่ยนไป (ใจ)  ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นอย่ามัวแต่บำรุงกายจนลืมดูแลรักษาใจ ไม่เช่นนั้นมีเงิน มีบ้าน มีลูก มีสามี มีภรรยา แต่ใจเหงา ใจวุ่น มีทุกอย่างที่ควรมี แต่พอมีแล้วทำไมถึงไม่มีความสุข เพราะเราลืมดูใจตนเองหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเอาอะไรมาช่วยบำรุงดูแลใจเรา ตอบอาจารย์ได้ไหม
ศิษย์เอ๋ยถ้าทางโลกยังทำได้ไม่ดี ศิษย์จะหวังได้ดีทางธรรมเป็นไปได้ยาก คนเราต้องปฏิบัติทางโลกให้ถูก ดี พร้อมสมบูรณ์ การจะไปปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทางโลกศิษย์ยังเอาแต่หนีแล้วคิดจะไปปฏิบัติธรรมนั่นไม่ใช่การแก้ที่ถูกวิธี
( มีแต่ใจไม่มีกายก็ไม่มีความสุข มีกายแต่ไม่มีหัวใจก็อยู่ไม่ได้)
อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์สนใจแต่ใจแล้วไม่สนใจกาย ไม่ใช่ใช้ความดีมาบำรุงเลี้ยงจิตใจ พยายามทำดีแต่ก็ยังลดละโลภไม่ได้ ยังหยุดอยากไม่ได้ ฉะนั้นความดีช่วยได้หรือไม่ (ใช้ธรรมะบำรุงเลี้ยงใจ) ธรรมะข้อไหนที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจ ที่จะสอนให้เรารู้จักหักห้ามใจไม่ปล่อยให้เราโลภโกรธหลงจนกลายเป็นทุกข์ (การปล่อยวางไม่ยึดติดกับกิเลสของเรา) แต่ศิษย์ก็ยังทำไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะบำรุงเลี้ยงหัวใจของเราคือ (รู้จักพอเพียง) รู้จักพอเพียงใช่ไหม ศิษย์ก็ตอบได้ดีนะ เกิดเป็นคนต้องหาเลี้ยง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ห้ามศิษย์หาเลี้ยงแต่หาเลี้ยงอย่างไรที่จะไม่ทำร้ายใจตนเอง เพราะมนุษย์เวลาหาเลี้ยงแล้วเหมือนคนที่ก้าวแล้ว เดินแล้ว หยุดไม่เป็น แล้วถอยไม่ได้ ถ้าศิษย์อยากใช้ธรรมบำรุงเลี้ยงใจ ธรรมก็จะสอนเรา ก่อนจะไปทำอะไร รู้จักพอก่อน รู้จักมีสุขให้เป็นก่อน แต่มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น เวลาจะไปทำอะไรแค่ตรงนี้ก็ไม่พอ แค่ตรงนี้ก็ไม่สุข เมื่อต้องก้าวออกไปทำอะไรแล้วพอกลับมายืนที่เดิมมันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจนั่นคือ เรารู้จักมีสุขในความเป็นธรรมดาสามัญที่เราพึงมีพึงได้หรือยัง ถ้าเรารู้จักพึงมีพึงได้ในสิ่งที่ธรรมดาสามัญเราจะทุกข์หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร ทุกข์คืออะไร อาจารย์สรุปง่ายๆ ธรรมะคือความจริง แต่ทุกข์คือการไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นความจริงนั่นคือธรรมะ แต่สิ่งใดที่ศิษย์บอกไม่เอาจะเอาแบบนี้แบบนั้น นั่นแหละคือทุกข์ ถ้าศิษย์อยากบำรุงเลี้ยงใจเริ่มต้นก่อนว่าแค่นี้เท่านี้สุขไหม ดีไหม พอไหม ถ้าอาจารย์บอกว่าพอแต่ศิษย์ไม่พอ ถ้าอยู่ในบ้านก็ไม่มีสุข อยู่กับตัวเองก็ไม่เคยพอใจในหน้าตา จมูกตนเอง รูปร่างตนเอง ศิษย์อยู่ไปแล้วศิษย์ทุกข์ไหม ฉะนั้นศิษย์จะมีสุขได้ต้องเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนบ้านใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าอยากสุขเริ่มต้นรู้จักพอให้เป็นก่อนดีไหม พอได้จึงดีเพราะไม่พอจึงไม่มีวันดีสักทีจริงหรือไม่ หน้าแบบนี้ก็ดีแล้ว เตี้ยแบบนี้ก็ดีแล้ว มีแค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดไปหาเงินมาแล้วไม่เหลือก็ดี เหลือเท่าเดิมก็ดี ถ้าศิษย์ไม่พอใจหน้าตา เงิน สามี ลูก  ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีแต่ความไม่พอใจและทุกข์ใจใช่หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่จะฝึกใจได้ ศิษย์จะต้องเปลี่ยนสามีกี่คน เปลี่ยนลูกกี่คนถึงจะพอใจ
ฉะนั้นการฝึกจิตแรกเริ่มที่สุดก็คือ “อะไรๆ ก็พอ” แต่เราทำได้หรือไม่ เรามาดูกันว่าต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเราไม่ยอมรับความจริงแห่งธรรม ธรรมคือความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เจอธรรม แต่ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราหนีไม่พ้นความทุกข์
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ ทุกข์ทุกอย่าง แม้นั่งก็ทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวไหม แก่ เจ็บ และตายเป็นทุกข์ไหม 
แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  ทุกข์ ถ้าศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ ศิษย์ก็ยังเป็นคนที่ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปรับชะตากรรมที่ตัวเองก่อ อย่าคิดว่าจบแล้วจบกันนะศิษย์ จริงหรือไม่ (จริง)  คิดให้ดีๆ นะ โดยส่วนใหญ่บอกว่า แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเกิดทุกข์หรือไม่ (ทุกข์, ไม่ทุกข์)  เกิดไม่ทุกข์หรือ เพราะมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เพราะมีเกิดแห่งตัวตนจึงแก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า มนุษย์เราหนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วการหนีไม่พ้นสัจธรรมนี้ทำให้ศิษย์ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราพยายามไปยึดมันไว้ ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แต่ถ้าเราไม่ยึด เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นคือเรื่องหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์เกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ใครๆ ตายกันหมดแล้ว เหลือแต่ศิษย์ยังไม่ตาย ศิษย์จะทุกข์หรือไม่ คนอื่นเขาเจ็บแล้วแต่เราแข็งแรง เราไม่มีวันเจ็บเลย เราไม่เจ็บสักที และก็ไม่ตายสักที เราควรจะทุกข์กับความเป็นจริงที่เรียกว่า หมุนเวียนเปลี่ยนผันหรือไม่ศิษย์ จริงๆ แล้วเราไม่ควรทุกข์ใช่หรือไม่ แต่ที่เราทุกข์เพราะเรายึดไม่ให้มันหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าชีวิตเราอย่าได้ แก่, เจ็บ, ตาย คนที่คิดแบบนี้คือคนบ้า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่ชีวิตจะเจอแต่คน คนเดียวตลอด แล้วทำไมชีวิตมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับคนเพียงคนใดคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เปรียบเทียบ เมื่อคนนี้เขาว่าเรา แต่อีกคนเขาไม่ว่า ทำไมศิษย์มีชีวิตจมอยู่กับคนที่ว่า ทั้งที่ชีวิตมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ศิษย์ไปทำงานปรากฏว่า ศิษย์กลับกลายเป็นติดหนี้ โดนเจ้านายด่า ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) แล้วชีวิตศิษย์ยังต้องเดินต่อไปหรือไม่ (เดิน) มันก็ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร มนุษย์ทุกข์เพราะอยากยึด แต่ไม่ยอมมองความเป็นจริงจนถึงที่สุด คนทุกข์คือคนที่ไม่มองความจริง จมอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดและรับไม่ได้ทั้งที่สิ่งนั้นคือความจริงของชีวิต เหมือนกับที่อาจารย์เดินย้ายที่ไปย้ายที่มา แล้วอะไรคือสิ่งที่อาจารย์ต้องทุกข์ เพราะชีวิตยังต้อง (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  ฉะนั้นถ้าเรายังจมอยู่กับความทุกข์แปลว่าเราจมกับสิ่งที่ตายไปแล้ว เรื่องมันจบไปแล้วแต่เรายังไม่ยอมจบ  ใครที่จมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปลว่าอยากจะนอนตายแล้วก็จมอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าเรายังรักชีวิตทำไมเราจะต้องจมอยู่กับสิ่งที่ตายไปแล้ว ทำไมไม่อยู่กับสิ่งที่เป็นความจริง ฉะนั้นถ้าทุกวันศิษย์มัวจมอยู่กับความตายก็แปลว่าศิษย์อยากจะตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่ตัวศิษย์เองไม่ยอมรับความจริง ถ้ายังมีชีวิต มีกำลัง มีปัญญา ทำไมไม่ก้าวต่อไปและหาทางออกให้ดีที่สุด ถ้าโดนว่า “ไอ้โง่ ไอ้แก่” จะยอมตายตรงนี้หรือจะยอมมองให้เห็นชัดในความเป็นจริงแห่งธรรม ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ทุกข์มีให้รู้ ไม่ใช่มีไว้ให้เป็น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีหน้าที่รู้ทุกข์ เท่าทันทุกข์ แต่ไม่ยอมตกเป็นทาสของทุกข์
อาจารย์ถามว่า ความเจ็บนั้นเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นทุกข์แค่เพียงของสังขาร แต่ไม่ใช่ทุกข์ของใจ
ความเจ็บนั้นดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ความเจ็บสอนให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นผิดปกติ เราต้องแก้ให้ดีขึ้น แก้ให้เข้มแข็งขึ้น แก้ให้มั่นคงขึ้นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นความเจ็บไม่ใช่ความทุกข์ และความตายก็ไม่ใช่ความทุกข์ ถ้าคนนั้นรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ถ้าเจ็บแล้วได้สติ เจ็บแล้วได้ยั้งคิด เจ็บแล้วได้รู้เท่าทันว่า ใจเราที่บอกว่าเข้มแข็งนั้นไม่เข้มแข็งเลย ร่างกายที่เราบอกว่าดี จริงๆ ไม่ดีเลย ฉะนั้นต้องขอบคุณความจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตนั้นหนีไม่พ้นความ (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  จะเป็นไปได้หรือที่เราจะแข็งแรงแล้วไม่อ่อนแอ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะอ่อนแอแล้วกลับมาแข็งแรงไม่ได้ ศิษย์ต้องทำให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ ความเจ็บนั้น จะทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็น ถูกไหม
ฉะนั้นชีวิตสอนให้เรายิ่งเข้าใจชีวิต คุ้นชินกับชีวิต และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา และความเป็นธรรมดานี้ ยิ่งเข้าใจยิ่งคุ้นชินมากเท่าไหร่ยิ่งกลับทำให้เราพบธรรม ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้านั่งแล้วไม่เมื่อยไม่ทุกข์ ศิษย์จะรู้จักว่าต้องยืนขึ้นไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักยืนไหม (ไม่รู้)  อย่างนั้นศิษย์ก็คงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ถ้ารู้เท่าทันความเป็นจริง ความทุกข์คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม (จริง) ยากไหม (ไม่ยาก)  
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เพราะลูก) 
แล้วทุกข์เพราะอะไร อาจารย์พูดไปเรื่องหนึ่งแล้ว (ทุกข์เพราะเราไม่รู้จักพอ) แล้วตอนนี้เราพอบ้างหรือยัง (พอแล้วค่ะ)  สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์กันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มักจะทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่ค่อยได้ดีเท่าไร (ทุกข์เพราะเกิดแก่เจ็บตาย) จริงๆ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทุกชีวิตล้วนต้องเป็นไป แต่ถ้าไม่เป็นไปน่ากลัวกว่า ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความเกิดทำให้มนุษย์ต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามนุษย์หยุดยั้งการเกิดได้ การเวียนว่ายตายเกิดก็จะเป็นแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายของชีวิต
ฉะนั้นเราจะหยุดสิ่งที่น่ากลัว คือทำอย่างไรเราถึงจะหยุดเกิดให้ได้มากกว่ากลัวการแก่เจ็บตายเสียอีก แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่แค่คิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะทำให้เราหยุดเกิดได้นั่นคือการหักห้ามใจตนเองใช่หรือไม่ ถ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่ศิษย์บอกว่า มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับกรรม และกรรมมีกรรมดีกับกรรมชั่ว ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากต้องกลับมาเกิดอีก อยากให้การเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต เราจะต้องหยุดกรรมชั่ว คนเราที่ได้เกิดมาเป็นคนได้เพราะ กรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว อย่างนั้นแปลว่าถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์อยากหยุดกรรมชั่วเพื่อจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิด แปลว่ามีกรรมดีไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่) ถ้าศิษย์พยายามทำกรรมดีแล้วยังยึดติดในตัวตน ศิษย์ก็ยังต้องกลับมาเกิดเป็นคนเพื่อสนองรับผลบุญกรรมที่สร้าง
ฉะนั้นอย่าคิดว่าทำกรรมดีแล้วไม่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด กรรมดีก็ยังทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  กรรมชั่วก็ยังทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่แล้วสิ้นกรรม การมีชีวิตคือเราเกิดมาพร้อมกับกรรม ทำดีเรียกว่ากรรมดี ทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว แปลว่าเมื่อไหร่ที่ยังมีตัวตนไปสนองการกระทำที่ดีก็เรียกว่ากรรมดี ถ้ายังยึดตัวตนไปสนองการกระทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วถ้าว่างจากตัวตนแล้วไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว พ้นจากความดี พ้นจากความชั่วเรียกว่าอะไร ศิษย์ลืมไปหรือเปล่า พระพุทธะสอนไว้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา การเดินทางสายกลางคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาทำอะไร เจอแบบนี้ชอบ แบบนี้เกลียด แบบนี้ดี แบบนี้ร้าย ก็เลยหนีไม่พ้น กรรมดีกรรมชั่ว ทำดีทำชั่ว  แต่ถ้า ไม่ว่าศิษย์จะเจออะไร ศิษย์ก็วางใจเป็นกลาง ไม่รู้สึกดี ไม่รู้สึกร้าย ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกชัง เมื่อนั้นใจศิษย์ก็ว่างเท่ากับอากาศชั้นฟ้า เมื่อนั้นใจของศิษย์ก็จะบริสุทธิ์แท้จริง 
คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดเรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์ก็แปลว่าไม่มีเวรมีกรรม ตอนนี้คิดดี คิดชั่ว หรือไม่คิด (คิดดี)  ถ้าพยายามคิดก็ยังติดตัวตน พยายามคิดบวกเข้าไว้ พยายามคิดดีเข้าไว้ก็คือยังมีตัวตนต้องไปรับผล แค่วางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่โกรธ ไม่เกลียด เรียกว่า ความคิดผิดทำให้ติดกิเลสฉันใด ความคิดถูกทำให้พ้นกิเลสฉันนั้น แต่เมื่อไรพ้นจากความคิดทั้งสองนั่นเรียกว่าบริสุทธิ์โดยแท้จริง เมื่อบริสุทธิ์แล้วจึงพ้นจากสามอย่างที่เรียกว่า กิเลส กรรม และการเวียนว่ายตายเกิด 
ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบเราจะจบหรือไม่จบ ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้ายังยึดก็แปลว่าทุกข์และก่อเกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเราไม่ยึด ปล่อยให้หมุนเวียนเปลี่ยนผัน และรักษาใจอันเป็นปกติเป็นเช่นนั้นเองจึงเรียกว่าธรรม ที่ทำให้เราสิ้นเวรกรรม แต่มนุษย์โดนกระทบแล้วสิ้นกรรมไหม หรือจองเวรจองกรรม ฉะนั้นตื่นรู้ไม่ใช่ตื่นรู้ที่ข้างนอก แต่ตื่นรู้ที่ใจตัวเอง ถ้าเราโดนกระทบแล้วเราก็เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกข์ไม่มีหรอก ที่มีเพราะเรายึด
ฉะนั้นถ้าเราโดนกระทบ เราจะคิดดี คิดชั่ว หรือพ้นความคิด จำไว้นะศิษย์ ถ้าคิดดียังเรียกว่ากรรมดี เมื่อมีกรรมดีก็ยังต้องไปรับผลของกรรมดีนั้น แต่ถ้าพ้นจากความคิดทั้งสองและมองเป็นเช่นนั้นเอง ว่างจากตัวตน ว่างจากกระแสกรรม ก็สามารถตัดกิเลสตัดการเวียนว่ายทันที
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาททำนองเพลง “ขอเดินด้วยคน”  ชื่อเพลง “รักษาศีลบำเพ็ญบุญ”)
 อยากได้แอบเปิลอาจารย์ไหม แอบเปิลของอาจารย์ยิ่งกิน ยิ่งเจ็บ ยิ่งตายเอาไหม (เอา) เพราะยังไงก็ต้องเจ็บต้องตายอยู่แล้ว กินแอปเปิลไปหน่อยก็ยังเจ็บยังตายอยู่เหมือนเดิมเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ กินแอบเปิลอาจารย์แล้วทุกข์เอาไหม (เอา) 
โดนแอปเปิลปาหัวล่ะเอาหรือไม่ (ไม่เอา) ถึงจะโดนปาหัว แต่เรารู้จักรับ รู้จักรุกให้เป็น ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ ในโลกนี้ยังมีทุกข์อีกมากมายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์พูดค้างไว้คือ ทำดีแล้วทำไมยังทุกข์ แล้วศิษย์ตอบอาจารย์หน่อยสิว่า ศิษย์ไปทำดีอะไรมาแล้วมันทุกข์ ทำความดีอะไรถึงทุกข์ใจ (ไปช่วยงานในหมู่บ้านแล้วมีคนพูดไม่ดีกลับมาก็ทุกข์ใจ) อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ไปทำดี ไปช่วยที่วัด แล้วไปเก็บความไม่ดีของคนที่ไปวัดมาไว้ที่ใจ ฉะนั้นเราไปทำดีความประสงค์ของเราคือไปทำดี ไปช่วยงานวัด ไปประกอบกิจอันเป็นบุญ แล้วเราไปเอาคำติ ความไม่ดีของคนอื่นมาเป็นบาปแก่ใจทำไม จุดประสงค์เราดี แต่ผลกลับไม่ดี เพราะเราไปยึดคำไม่ดีมาเก็บไว้ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากทำดีให้ถึงที่สุดก็มองแต่สิ่งที่ดี อย่าไปมองสิ่งที่ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ไปช่วยเหลือคนแล้วโดนต่อว่า) เวลาเราไปช่วยคนเคยโดนต่อว่าหรือไม่ (เคย) แล้วท้อหรือไม่ (ไม่ท้อ) แล้วยังทำต่อหรือไม่ (ต้องทำต่อ) ต้องทำต่อ แต่จำใจทำไป ยังคิดว่าเขาด่าฉัน ทำอย่างนี้มีสุขหรือไม่ (ไม่มี) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าบางอย่างเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ สู้เราเอาความทุกข์นั้นเป็นบันไดก้าวให้เรายกจิตให้สูงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์จงจำไว้ว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว เพื่อใจจะได้ไม่ไหลลงต่ำ เพื่อตัวเราเองจะได้ไม่ประพฤติผิดคิดชั่ว เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้ใครชมหรือใครด่า ฉะนั้นถ้าเรายืนหยัดในสิ่งที่ดีที่เราทำ ใครจะพูดอะไรก็ไม่มีผลต่อใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาเงินให้เขายืม)  แล้วเป็นอย่างไร เขาไม่คืน ก็รู้สึกว่าท้อใจใช่ไหม เป็นกันเยอะ ลูกศิษย์เป็นคนเมตตา ใครยืมเงินก็ให้ยืม แต่เวลาเราไปทวงเหมือนเราเป็นหนี้เขาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น จำไว้นะศิษย์ การมีจิตใจที่ดีอยากช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าช่วยเขาแล้วทำให้เราต้องเดือดร้อนภายหลัง ดังนั้นเวลาจะช่วย ให้ช่วยแบบที่คิดเผื่อไว้ว่า ให้เขายืมเงินไปแล้วเขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วการทำดีนั้นจะไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าให้ยืมแล้วเขาไม่คืน อย่าให้เขาอีก เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์กำลังจะเพาะเลี้ยงคนให้เดินทางผิด 
(สิ่งที่เราทำไป บางทีเขาก็มองไม่เห็นในสิ่งที่เราทำ แต่ว่าเวลาเราทำไปแล้ว ความจริงก็เป็นความจริง เราก็ไม่ท้อกับสิ่งที่เขาต่อว่ามา สักวันหนึ่งความจริงถูกเปิดเผย เขาก็หันมาชื่นชมเราเอง)  เหมือนจะถูกนะ แต่จบตอนท้ายหวังให้เขาชื่นชมเรา ศิษย์เอย อาจารย์ถามหน่อย เวลาเราทำอะไร เป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับเรา (ไม่ใช่ค่ะ)  ความหมายของการทำดีคือ ทำเพื่อละ ไม่ใช่ทำเพื่อยึด เข้าใจไหม (เข้าใจค่ะ)  ถ้าศิษย์เหมือนเป็นคนที่เข้าใจ แต่ถึงที่สุดยังคิดว่า “สักวันเดี๋ยวเขาก็ชื่นชมเอง” แปลว่าศิษย์ยังทำดีไม่ถึงที่สุดนะ สักวันแม้เขาไม่ชื่นชม หรือเขาจะต่อว่า เราก็รู้แก่ใจว่าเราทำถูก ก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร ฉะนั้น เขาไม่ชื่นชมก็ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้นะ 
 (การที่เราทำเพื่อลูก แต่ทำไมลูกดื้อ) ทำดีทุกอย่างเลยแต่ลูกกลับดื้อ ศิษย์เคยสอนเขาด้วยการปฏิบัติไหม อย่างเช่นแม่เป็นคนสะอาด แม่เป็นคนมีน้ำใจ แม่เป็นคนรู้จักไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่าใคร แม่เป็นคนมีน้ำใจกับผู้อื่น สอนแค่พูดหรือสอนโดยการทำให้ลูกดู ศิษย์เคยได้ยินไหมลูกปูเดินตามแม่ปู ลูกปูเป็นอย่างไรแม่ปูเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าลูกไม่ดีไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด ส่วนหนึ่งคือตัวเรา เราสอนเขาด้วยเงิน หรือสอนเขาด้วยคุณงามความดี เรานำเขาด้วยความถูกต้อง หรือตามใจตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีหรือลูกปูจะไม่เดินตามแม่ปู ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า สิ่งที่จะทำให้เขาดีได้คืออะไรรู้ไหม ไม่ว่าเขาจะร้ายหรือดี ให้พูดอยู่อย่างเดียว “ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็รักลูก ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูก” ให้กำลังใจเขาสักวันหนึ่งเขาจะแปรเปลี่ยนได้ แต่เราต้องใจเย็นห้ามด่าทอ เอาแต่ความดีงามแปรเปลี่ยนใจเขาดีไหม (ดี)  มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม
(เวลาเราทำดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่เห็นความดีของเรา)  อาจารย์จะบอกให้ พ่อแม่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ ลูกใกล้ตัวรำคาญ ลูกอยู่ไกลตัวกลับคิดถึงมาก นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเราอยู่แล้วเราขัดใจเขา แต่ลูกที่นานๆ มาทีตามใจเขา เขาเลยรัก แต่ถ้าเราอยากทำความดีเอาชนะ เราก็ต้องใจเย็นไม่โกรธได้ไหม เราทำดีเพื่อตัวเราเองและเราทำดีเพื่อพ่อแม่ ฉะนั้นยิ่งทำดีกับพ่อแม่ยิ่งไม่ควรท้อใจนะ เข้มแข็งนะ มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม หมดแรงแล้วใช่ไหม
(ผมเคยอ่านในหนังสือเขาบอกว่า แก่นแท้ของความดี คือความเห็นแก่ตัว)  แปลว่าหนังสือเขียนอะไรศิษย์ต้องเชื่อตามหนังสือหมดเลยหรือ แก่นแท้ของความดีคือความเห็นแก่ตัว ก็ต่อเมื่อถ้าทำดีแล้วหวังผลนี่แหละ เรียกว่าความเห็นแก่ตัว แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ศิษย์ไม่ต้องถามอาจารย์ถามใจตนเอง ถ้าเราทำเพราะหวังผล ทำเพราะยึดติดดีนั่นก็คือความเห็นแก่ตัว อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมะไม่ว่าบุญ ความดีงาม ความถูกต้อง ล้วนสอนเพื่อละวางตัวตน แต่มนุษย์มักจะปฏิบัติผิด โดยจะทำดี ทำบุญก็ยังหวังผล ถ้าทำดีแล้วยังหวังผล ทำดีแล้วเห็นแก่ตัว นั่นไม่ใช่เรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์แท้จริง อาจารย์ถึงบอกว่าทำดีอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นทุกข์และไม่ทุกข์นั่นก็คือ เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว ทำไมเราจึงทำดี เพราะว่าการทำดีทำให้เราไม่คิดชั่ว ไม่ไหลลงต่ำแล้วไปทำชั่ว เหมือนมีโอกาสระหว่างให้กับได้ เราอยากให้หรืออยากได้ ใจโดยส่วนใหญ่อยากได้มากกว่าให้ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราทำดี การทำดีคือการสอนให้เรายั้งความชั่ว ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนชมว่าดี จุดประสงค์หลักคือเราทำดีเพื่อละชั่ว เพื่อยั้งใจไม่ให้ไหลลงต่ำแล้วไปประพฤติชั่ว แต่เดี๋ยวนี้คนทำดีเพราะอยากให้คนชมว่าฉันดี ทำดีเพราะฉันจะได้มีบุญบารมี ทำบุญเพราะฉันจะได้ไปขอบุญต่อ เช่นนั้นเป็นการสนองกิเลส สนองความเห็นแก่ตัว ถ้าศิษย์เพียงเชื่อว่าเขาพูดถูกศิษย์ก็เป็นตามเขา แต่ถ้าศิษย์อ่านแล้วรู้จักคิดให้เป็น คิดต่อยอดให้ได้ เราก็จะไม่เป็นตามนั้น อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะเป็นคือ เวลาทำดีแล้วเรียกร้องว่าทำไมคนอื่นไม่ทำ นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวของคนที่พยายามทำดี คนดีที่แท้จริงคือคนที่ไม่ว่าเขาจะดีหรือไม่ดี เราก็ยังต้องทำดี ไม่ใช่ว่าเราจะทำดีก็ต่อเมื่อเขาต้องทำดีด้วย
ธรรมะสอนให้ละวางตัวตน ละวางการยึดติด เพราะถ้ายังยึดติดศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นมนุษย์จึงวนเวียนหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมที่ตัวเองสร้าง เรียกว่ากิเลสตัวตนและการรับสนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไรเจออะไรวางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่เกลียด ธรรมดาคงใจเช่นนั้น เรียกว่าพ้นกรรม
(พระอาจารย์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
การฝึกฝนบำเพ็ญ ศิษย์เรียนรู้เท่าทันใจตัวเอง ยับยั้งกิเลสในใจตัวเองให้ได้ เพราะถ้ายังยับยั้งกิเลสในใจตัวเองไม่ได้ เราก็หนีไม่พ้นวัฏฏะที่เรียกว่า ความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนล้วนมีทุกข์ แต่อย่าเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองด้วยการสร้างกิเลส ปล่อยใจตัวเองตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ 
อาจารย์ถามว่าศิษย์อยู่ในโลกศิษย์อยากมีเวรไหม (ไม่อยาก)  อยากมีความโศกเศร้า วิตกกังวล (ไม่อยาก)  พระพุทธองค์สอนไว้ว่าอะไรรู้ไหม
โศกมาจากตัณหา ภัยมาจากตัณหา ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากวิตกกังวล ก็จงละตัณหา เคยได้ยินไหม โศกมาจากการยินดี โศกมาจากความรัก โศกมาจาก สิ่งที่เรารักและยินดี ฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีความวิตกกังวล จงอย่ายินดี รักและหลงในสิ่งใดในโลกนี้ ทำได้หรือไม่ พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อไรมนุษย์ยังเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีว่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ มองเป็นว่าสุข คนนั้นคือคนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความประมาท หรือเรียกว่ากำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า อยู่ในโลกนี้ รักมากก็ทุกข์มาก เกลียดมากก็เจ็บมาก แล้วเราควรหรือที่จะรักและเกลียด ที่จะอยากและหลง หรือเราควรจะมีสติ ลูก สามี ภรรยา แม้จะรักมากแค่ไหน ยินดีมากแค่ไหน ถึงเวลาเขาไปกับเราหรือไม่ ถึงเวลาเขาช่วยอะไรเราได้หรือไม่ (ช่วยไม่ได้)  ฉะนั้นเราควรวางใจอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นจากความทุกข์และไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนมีโศก มีความทุกข์ มีภัย มีความวิตกกังวล นั่นก็คือ ละวางจากความยินดี ยินร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข วางใจเป็นกลาง อะไรมาก็ วางใจเป็นกลาง ดีหรือไม่ ศิษย์ไปร้อนกับเขา ก็ไม่ช่วยทำให้เขาดีขึ้น ศิษย์ไปด่าเขา กลายเป็นเวรกรรมผูกกันไม่จบสิ้น ศิษย์ไปหลงยึดเขา ก็กลายเป็นทุกข์ทำให้เจ็บปวด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ วางใจเป็นกลาง แต่ที่ยังไม่กลางเพราะยังทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ “แม่ไม่โกรธ พ่อจะไปทำแบบนี้แม่ก็ไม่โกรธ” ดีหรือไม่ เพราะวางใจได้จบ ที่เหลือก็แค่ใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเรายังยึดติดชอบ ยึดติดชัง เราก็หนีเวร กรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น อย่างนั้นศิษย์อยากเกิดมาเพื่อมีกรรมไม่จบ หรือจบเวรจบกรรมเล่า
ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ “อืม” ดีไหม ศิษย์รู้ไหมทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า ถ้ายัง “อืม” ไม่ได้ ท่านให้ใช้คุณธรรม คุณธรรมอะไรที่จะช่วยให้เรายั้งใจ ไม่เกี่ยวกรรมด่าเขา ไม่โกรธลูกเขา นั่นก็คือความเมตตา เมตตาทำให้เราไม่พยาบาท กรุณาทำให้เราไม่เบียดเบียน อุเบกขาคือยินดีเมื่อเขามีสุขและไม่เกลียดชังเมื่อเขามีทุกข์หรือทำผิดพลาด และวางใจเป็นกลางเพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวตนและปล่อยวางสรรพสิ่งว่าเป็นอย่างนั้น แค่นั้น แต่เมื่อเราเอาตัวเราไปเกี่ยว เราจะบอกว่า ไม่ได้ๆ มันทุกข์ใช่ไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ “อืม” เมตตาเข้าไว้ “อืม” กรุณาเข้าไว้ “อืม” ยินดีเข้าไว้ แล้วก็เป็นกลางเข้าไว้ดีไหม ฉะนั้นถ้าอะไรมันเกินเลยไปบ้างไม่ใช่ความผิดเขาแต่เป็นความผิดของใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง ศึกษาธรรมแล้วต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วมีแต่เวรกรรมจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นรีบชะล้างกรรมเก่าให้หมด อย่าสร้างกรรมใหม่ ทำอะไรรู้จักคิดรู้จักทำดีไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) เขาถามว่าอย่างนี้ดีไหมเราก็ (อืม) เชื่อไหมศิษย์พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าสิ่งที่ศิษย์พูดจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่เชื่อเราก็ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม) พูดน้อยๆ คิดน้อยๆ หวังน้อยๆ ทุกข์หรือกรรมก็จะน้อยตามไปด้วยจริงไหม ฉะนั้นทำให้ได้นะไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) การอืมก็คือ อาจารย์อยากให้ศิษย์นิ่ง เพราะความนิ่งจะช่วยสยบความวุ่นวาย อย่าไปคิดเปลี่ยนแปลงใครเลย อย่าไปคิดจัดการใครเลย เปลี่ยนแปลงและจัดการใจเราให้ดีที่สุดก็พอ ใจเราสุขเราก็ทำให้คนรอบข้างสุข ใจเราสันติเราก็ทำให้คนรอบข้างสันติ ใจเราเย็นเราก็ทำให้คนรอบข้างเย็นใช่ไหม ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม)
แต่การวางเฉยกับการดูดายก็ไม่ดีนะ ไม่ใช่คนอื่นเขาทำกันงกๆ เราก็ “อืม” ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเราไม่พูดอะไร เรารีบไปช่วยทันทีไม่ใช่เอาแต่ “อืม” อาจารย์เพิ่งสอนมา เธอก็ทำไปฉันจะ “อืม” ไม่ได้นะน้ำใจยังไงก็ต้องมี เห็นใจคนยังไงก็ยังต้องมี
ไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องลงมือทำเลย อะไรจะเกิดก็ดี เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าโลกนี้ห้าม ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้พลัดพราก ไม่ให้สูญเสียไม่ได้ นั่นคือความผันแปรที่ต้องเป็นไปที่เรียกว่าชีวิต ถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นหรือไม่ แต่ถ้าเราพยายามยึดไม่ให้เปลี่ยนนั่นแหละเรากำลังสร้างทุกข์ ขอเพียงศิษย์รู้จักมองอย่างคนที่มีธรรม ธรรมที่สอนให้เราเป็นกลาง ไม่ดี ไม่ร้าย ที่จะก่อให้เกิดกรรมไม่จบสิ้น ไม่ว่าเจออะไร เจ็บแค่กาย อย่าเจ็บใจ เรามีกรรมเพียงสังขารแต่เราไม่มีกรรมที่จิตใจ กรรมของสังขารคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การสูญเสีย ใจเราพ้นทุกข์ได้ ใจเราอิสระอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะวางตัวตนลงได้หรือยัง วางได้เราก็พบธรรม ถ้าวางไม่ได้เราก็พบทุกข์แค่นั้นเอง
( พระอาจารย์กลับมาเมตตาที่ห้องนักเรียน ซึ่งกำลังฝึกร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ร้องเพราะหรือไม่ สิ่งที่ดูธรรมดาถ้าเรารู้จักมีจังหวะให้กับชีวิตก็กลายเป็นบทเพลงที่น่ารื่นรมย์ได้ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ถ้ารู้จักท่วงทำนองเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ความสุขก็ไม่ได้อยู่ไกล อยู่แค่ตรงนี้เอง ทำใจได้ก็เป็นสุข ทำใจไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือศิษย์ต้องไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ด้วยการตกเป็นทาสของอบายมุข ผิดศีลขาดธรรม
ควรเริ่มต้นพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคนศีลยังไม่ครบ คุณธรรมยังไม่มี ถึงจะทำดีแค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย อาจารย์ถามหน่อย มีใครในโลกบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แปลว่าทุกคนพร้อมตกเป็นทาสของความทุกข์ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ถึงแม้ศิษย์จะไหว้พระ แต่ศิษย์ยังโลภ โกรธ หลงอยู่ ศิษย์ก็หนีทุกข์ไม่พ้น ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเรายับยั้งโลภโกรธหลงได้คือ (มาไหว้พระบ่อยๆ)  ถ้ามาไหว้พระแล้วเก็บแต่เรื่องไม่ดีกลับบ้าน ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการไหว้พระคือการที่ศิษย์ได้สำนึกขอขมากรรมในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมา ได้ชะล้างกรรม ชะล้างใจบ่อยๆ ฉะนั้นคนที่รู้จักมาไหว้พระบ่อยๆ คือคนที่หมั่นพยายามชะล้างกรรมตัวเองบ่อยๆ แต่ขออย่างหนึ่งล้างแล้วอย่ากลับไปทำใหม่ จะเปล่าประโยชน์ ฉะนั้นล้างแล้ว สำนึกแล้ว “สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยผิดพลาดมา ไม่ว่าจะตั้งใจ ไม่ตั้งใจ ขอกราบขอขมาหนึ่งร้อยกราบ” นั่นคือการชำระใจตัวเองให้สะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสะอาดแล้วก็ต้องสะอาดจริง ไม่กลับไปเหมือนเดิมแล้วกลับมากราบใหม่ไม่มีประโยชน์นะ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะละโลภ โกรธ หลงได้ (ต้องบำเพ็ญธรรม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญอย่างไร เราไม่โลภ โกรธ หลง เราก็ต้องปล่อยวาง ทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือไม่ศิษย์ (คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติ และเชื่อว่าทุกคนคิดอย่างนั้นอยู่)  ว่าเราอยากจะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (เป็นคำตอบจริงๆในใจ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสเราอาจจะค่อยสร้างบารมีก็คือฝึกบำเพ็ญ)
แล้วอย่างไรเรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญ  การฝึกฝนบำเพ็ญเริ่มแรกคือ เข้มงวดตนเองผ่อนปรนผู้อื่น เรียกร้องตนเองไม่เรียกร้องผู้อื่น การฝึกฝนบำเพ็ญทำอย่างไร (ทำใจให้ว่างเหมือนกระดาษ)  ถ้าเป็นกระดาษก็ยังไม่ว่างนะศิษย์ ถ้าว่างจริงๆ คือไม่มีอะไรที่เรียกว่าตัวตนเลย มันถึงจะพ้นกรรมถูกไหม ถ้ายังเป็นกระดาษก็ยังรอคนมาแต่งแต้มอีกใช่หรือไม่ ฉะนั้นว่างที่แท้จริงคือ หมดสิ้นยึดติดในอารมณ์ชอบชัง
(ปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ เพื่อเกิดปัญญา) รักษาศีล ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งแล้ววางไม่เกิดความโกรธไม่เกิดความหลงความชอบ รู้แจ้งเห็นจริงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร ทำอย่างไรที่จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง อาจารย์สมมติว่าแอบเปิลลูกนี้มีความทุกข์ มีความเจ็บช้ำ มีความเปลี่ยนแปลศีง มีความไม่มั่นคงเลย มีความสูญเสีย มีความพลัดพราก ศิษย์ยังอยากได้แอบเปิลนี้หรือไม่
เมื่อมีความอยากแล้วจะกลายเป็นความโลภ มีอะไรบ้างที่เราอยากแล้วไม่สูญเสีย อยากแล้วไม่เจ็บปวด อยากแล้วไม่ทุกข์ อยากแล้วไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่มี)  ไม่เคยทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แล้วทำไมศิษย์เอาแต่หา เอาแต่โลภ เงิน ความรัก เกียรติยศ ชื่อเสียง อัตตา ตัวตน ฉะนั้น ศิษย์โลภไปทำไม เกลียดไปทำไม หลงไปทำไม ในเมื่อถึงที่สุด ยิ่งยึดแล้วเจ็บหรือไม่ (เจ็บ)  มีแล้วสูญเสียหรือไม่ (สูญเสีย)  แล้วทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ยิ่งกว่าทุกข์อีก แล้วยังอยากอีกหรือไม่ (ไม่อยาก)  ตอนนี้พูดกับอาจารย์ว่าไม่อยาก แล้วถึงเวลามีเงินอยู่ตรงหน้าเอาหรือไม่ เอาไว้ก่อนใช่ไหม ถ้าศิษย์ไปเบียดเบียนเขามาเต็มที่ ไปโลภมาเต็มที่ ไปผิดศีลมาเต็มที่ ไปขาดความเป็นคนมาเต็มที่ แล้วบอกไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นไม่โลภก่อนจะโลภ ใจเย็นก่อนจะเกลียด  เปิดตาให้สว่างก่อนจะหลงดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าสิ่งที่หลงนักหนาก็ทำให้เราเจ็บไม่แพ้กับสิ่งที่เราเกลียดเลย เราเห็นชัดแล้ว  แล้วเรายังจะรักไหม
ฉะนั้นเมื่อเราไม่อยากจะทุกข์จงมองให้ชัด มองให้รอบ มองให้สุด แล้วจะรู้ว่า อารมณ์แค่ชั่วขณะที่ศิษย์อยากได้ มันไม่เคยช่วยทำให้เราสุข แต่อีกเดี๋ยวก็ทำให้เรากลับมาทุกข์ได้ใหม่ อาจารย์เทียบง่ายๆ นะ สมมติศิษย์อยากได้แอปเปิลลูกหนึ่ง แล้วทำให้ศิษย์ต้องผิดศีล ขาดความเป็นคนเพราะอยากได้แอปเปิลลูกนี้ แต่ไม่อยากเสียเงินและไม่อยากขอ เพราะมีศักดิ์ศรี มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ก็หยิบไปเลย ถ้าอยากแล้วทำแบบนี้ คิดแบบนี้ ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายังหยุดความคิดไม่ได้ ถ้ายังห้ามใจไม่ได้ อาจารย์แนะวิธีให้ ให้ใช้วิธีเดินไปดูสักสามวัน ถ้าสามวันยังคิดไม่ได้ ศิษย์ก็สุดที่จะสอนแล้ว จริงหรือไม่ เหมือนผู้หญิงเวลาอยากได้เสื้อตัวหนึ่ง ถ้าฉันใส่แล้วฉันจะสวย ไปมองให้ครบสามวันแล้วดูว่ายังอยากจะสวยอยู่ไหม
เชื่อไหมว่ามันจะค่อยๆ จางไป ไม่เอาก็ได้ เอาไปทำไม ใส่ไปก็เหมือนเดิม จะไปทำหน้าอย่างไรก็เหมือนเดิมเพราะนิสัยไม่เปลี่ยน เช่นกันถ้าศิษย์รวยขึ้นมาแล้วจะทำให้ศิษย์ดีขึ้นไหม ถ้าผิดศีลขาดธรรม มันอายเขานะ ก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายฟ้า มองคนก็ละอายใจ ความคิดก็วนเวียน เราเคยทำผิด ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกของความถูกต้องอย่าลืมอย่ามองข้าม มองให้ชัดๆ ว่า ถ้าอยากแล้วกลายเป็นโลภ ผิดศีล เมื่อได้สิ่งที่อยากแล้วทำให้เจ็บ แล้วควรจะอยากไหม ควรจะเกี่ยวกรรมอีกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นอยากหยุดทุกข์เราพอหรือยัง ถ้าทำให้ถึงที่สุดก็น่าจะพอแล้วนะ ฉะนั้นอะไรๆ ก็ดีแล้วใช่ไหม ฉะนั้นพอบ้างหรือยังศิษย์ ชีวิตนี้โลภมากี่ครั้งแล้ว เกลียดมากี่ครั้งแล้ว โกรธมากี่ครั้งแล้ว หยุดบ้างไม่ได้หรือ กินข้าวยังรู้จักอิ่ม โลภมันไม่อิ่มเลยหรือ หลงมันไม่อิ่มเลยหรือ เกลียดคนไม่เบื่อเลยหรือ แล้วอยากตกเป็นทาสของกิเลสต่อไปไม่จบสิ้นใช่ไหม เพื่ออะไร
ดังนั้นความทุกข์คือการที่ไม่ยอมรับความจริง การปฏิบัติคือสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าอะไร เห็นความจริงแบบที่พระองค์หนึ่งสอนว่า “เห็นจนแบบ ฉันไม่เอาอะไรแล้วโลกนี้” อาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์อย่างนี้เหมือนกัน ถ้าศิษย์เห็นความจริงชัด ศิษย์จะบอกว่า “อะไรฉันก็ไม่เอาแล้ว” เพราะไม่มีอะไรที่มีแล้วจะไม่ทุกข์  คุ้มหรือไม่ที่เกิดมาทุกข์ หรือเกิดมาเพื่อหยุดกรรมแล้วพ้นทุกข์ คิดให้ดีๆ ถ้าคิดไม่ดีก็ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่านะ
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราพ้นจากความคิดทั้งสองคือว่าง ว่างเฉกเช่นอากาศ แต่ถ้าเรายังยึดติดดี ยึดติดไม่ดี ยึดติดฉันเป็นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ก่อเองและต้องรับเอง อาจารย์ช่วยไม่ได้นะ แม้ศิษย์ไหว้พระก็ล้างบาปในใจศิษย์ไม่ได้ แม้ศิษย์เอาน้ำมนต์เก้าวัดก็ล้างให้ศิษย์บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักตั้งตนให้ถูกต้องจริงหรือไม่ ฉะนั้นคิดให้ดี ปฏิบัติตนเองให้ดีได้หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางลงก็เป็นสุข”)
ถ้ายังวางไม่ได้ยังยึดอยู่ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบสุขที่แท้จริงหรอก ถูกหรือไม่ เรื่องราวบางเรื่องในโลกใบนี้เมื่อห่วงไปถึงที่สุดก็ต้องวาง กลุ้มไปถึงที่สุดก็ต้องวาง คิดไปจนถึงที่สุดก็ต้องวาง ความเป็นจริงของชีวิตสอนให้วาง ฉะนั้นจง “วางก่อนวาง” หรือเรียกว่าจง “ตายก่อนตาย” ให้เป็น มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าแค่ฟัง แต่จงนำกลับไปปฏิบัติจนลดละกิเลสในใจได้ จนมองเห็นความเป็นจริงและไม่ก่อการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอีกต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นรักษาจิตใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาครอบงำและทำให้เราก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ต่อไปนี้เราจะบำเพ็ญธรรมเพื่อความเป็นกลาง ให้ใจเราว่างเหมือนอากาศ กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริงที่ศิษย์เคยจากมา ได้หรือไม่ (ได้)  มนุษย์มีจิตใจที่ประเสริฐแต่ถูกบดบังไปเพราะความหลงผิดที่เรียกว่าอัตตาตัวตน เมื่อไรที่ทลายอัตตาตัวตนได้ศิษย์จะพบพุทธะจิตเดิมแท้ที่สว่างว่าง ไม่ต้องการตัวตนที่ยึดถือ ไม่ต้องการเจ้าข้าวเจ้าของ แต่คือการกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่มีแต่ธรรม หวังว่าศิษย์จะเข้าถึงธรรมบ้างไม่มากก็น้อย คนไหนที่ต้องทุกข์เจ็บปวดเพราะโรคภัยไข้เจ็บอาจารย์ฝากไปให้กำลังใจเขา กายเจ็บใจอย่าเจ็บ กายป่วยได้แต่ใจต้องเข้มแข็ง ส่วนคนไหนที่หายไป ก็ฝากศิษย์ช่วยตามกลับมา บอกอาจารย์ไม่ลืมเขา เขาลืมอาจารย์แล้วหรือ ส่วนศิษย์ที่อยู่ที่นี่ก็ขอรักษาใจให้มั่นคงบำเพ็ญธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดติดตัวตนนะศิษย์
ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ หนทางที่ดีและประเสริฐอยู่ที่จิตเลือกเดินทางนะ คิดให้ดีๆ ทำให้ได้นะ  รู้จักมีศีลมีธรรม ปฏิบัติด้วยการรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ไม่จบสิ้น ต้องรู้จักรักษาศีลให้ได้ เป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญนะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดใช่ไหม ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญรู้จักลดละกิเลสอารมณ์ตัวเองให้ได้ ควบคุมใจตัวเองให้ได้ อย่าเอาแต่ใจตัวเองนะ มีโอกาสศิษย์จะกลับมาเจออาจารย์อีกหรือไม่ ไม่ต้องเศร้านะ รู้จักศึกษาบำเพ็ญให้ดี ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง
(ถามว่าจะสำเร็จไหม) ศิษย์เอยถามอาจารย์ทุกวัน ถามตัวเองดีกว่าว่าตั้งใจบำเพ็ญรักษาจิตมั่นคงหรือยัง ตั้งใจให้ดีรักษาความดีไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้ไหม สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือ อารมณ์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมีตัวตน เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ ฉะนั้นรู้จักมีศีลมีธรรม ดูแลเขาให้ดีนะ แค่นี้ก็ประเสริฐแล้ว ไม่ทอดทิ้ง ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าปล่อยให้ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้ทุกข์นะ
จับมือไว้นะมีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุด แม้จะเหนื่อย แม้จะล้า แม้จะท้อ แม้จะเจ็บ ก็ขออย่าได้หยุดยั้งก้าวเดินในการบำเพ็ญนะ ไปให้ถึงธรรมไปให้ถึงความสิ้นทุกข์ให้ได้นะศิษย์ 
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางลงก็เป็นสุข”
     ความยึดติดทำให้จิตใจเป็นทุกข์              จิตบรรทุกหนักเกินจนรับไม่ไหว
ดั่งน้ำที่ล้นแก้วแล้วยังเทใส่                         ลดละได้ใจจึงมองเห็นทาง
อย่ายึดมั่นความถูกผิดติดอัตตา                    วันเวลาจะนำมาซึ่งความว่าง
โลภโกรธหลงปลงได้เป็นทางสายกลาง           ลดกระด้างวางลงก็เป็นสุข
แก้พระโอวาท พระอาจารย์จี้กงเมตตา ชั้นประชุมธรรม
สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา วันที่ ๑๐ – ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ 
หน้าที่ ๑๔ บทเพลงพระโอวาท
          เดิม      “แพ้เป็นพระใครบ้างเอ่ย
          แก้เป็น  “แพ้เป็นพระใครบ้างเคย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

2558-07-18 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二年嵗次乙未六初三日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘        สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
  ไม่ว่าเขาหากเรายังไม่ดี                    ไม่หลงดีหากผิดยังไม่แก้ไข
บำเพ็ญฝึกแก้ไขตนไม่เข้มงวดใคร         แม้ตนดีแค่ไหนไม่หลงอวดตน
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  คนชอบเทียบเปรียบได้คนมีเคราะห์        ไม่พ้นเพราะมีอยากหลงซ่อนไว้
คิดอิจฉาใจในอยู่สุขไม่ได้                         อย่าไปหวังจนไม่มองผันแปร
อยากเป็นดาวประกายความเด่นเป็นเลิศ     สิ่งที่เกิดที่จริงอาจไม่แน่
ปีนสูงขึ้นต้องดีไม่มีแย่                            แม้ดีกว่าเหนือกว่าแต่ล้วนอนิจจัง
พุ่งหาอย่างเมามึนมีแต่กิเลส                     ไม่มีเหตุยึดติดอยากพบฝั่ง
มีอคติแบ่งแยกขึ้นฟังไม่ฟัง                      คนส่วนใหญ่ส่วนใครชั่งพังสะพาน
เกิดเป็นคนต่างไม่มีอะไรเรียบ                   ถูกเอาเปรียบถูกชอบชังทุกสถาน
ถูกเปรียบเปรยอย่าชินชาว่ารำคาญ           คนประมาณเคยพูดเรื่อยช่วยน้อยลง
คนพูดไปกันเรื่อยเปื่อยกล้ายอมเปลี่ยน      กุมบังเหียนยิ่งใหญ่ต้องยอมเป็นผง
เท็จหรือจริงตามมองรับตรงตรง               พูดมากไปเป็นความหลงชนิดหนึ่ง
ถึงแล้วไม่มีอะไรมากกว่ามาก                   เส้นชัยหากไม่เกินก็ไม่ถึง
จงเปิดใจกว้างพอคืนสู่หนึ่ง                       เพียรเข้าถึงธรรมไม่ออกสู่ธรรม
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี


ในนี้ใครๆ ก็อยากมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งที่นี่มีความสุขไหม (มี)  ปล่อยความอยาก ปล่อยนิสัย ปล่อยความเคยชิน ความสุขก็อยู่ตรงหน้าจริงไหม (จริง)  แต่ท่านนั่งอย่างคนเมื่อไหร่จะจบ อยากกลับบ้าน เบื่อจังเลย นั่งแบบนี้ อยู่ยังไงก็ไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขสำคัญที่ว่าปล่อยวางความคิดบ้างไหม ปล่อยวางนิสัยอารมณ์ความเคยชินที่ชอบเอาแต่ใจลงบ้างได้ไหม ถ้าปล่อยได้ นั่งตรงนี้นานแค่ไหนก็มีสุข แต่ถ้าปล่อยวางความอยากในใจตัวเองไม่ได้ ขัดใจตัวเองไม่เคยได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้ ปล่อยวางความอยากได้ ปล่อยวางนิสัยตัวเองได้ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นที่อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากทำแบบนั้น อยากทำแบบนี้ได้ นั่งที่ไหนก็มีสุขได้ อยู่กับใครก็มีสุขเป็น ถูกไหม (ถูก)  แม้แต่กินข้าวอาหารจืดที่สุดก็ยังอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือแม้แต่วันนี้ไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเปล่าก็ (อร่อย)  เพราะอะไร (มีความสุข)  เพราะวางได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ท่านมาฟังธรรมด้วยความยึดมั่นถือมั่น หรือมาฟังธรรมเพื่อเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง (ปล่อยวาง)  เราเห็นมาด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มาฟังธรรมต้องนิ่งๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่ร้องรำทำเพลง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเองว่า นั่งแล้วยิ่งสบายนั่งแล้วยิ่งคลายแปลว่านั่งฟังธรรมถูกทาง แต่ถ้านั่งแล้วยิ่งอึดอัด ยิ่งหายใจไม่ออกยิ่งเบื่อหน่ายแปลว่าฟังไม่ถูกทาง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ฟังแล้วสบายหรือฟังแล้วอึดอัด (สบาย)  หลังจากเราพูดแล้วท่านถึงรู้จักสบายค่อยปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)
ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนา แต่บางครั้งความสุขก็ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดถูกหรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราศึกษาหลักธรรมเราจะรู้ว่าแท้จริงบนโลกใบนี้ความสุขหามีไม่ มีแต่ทุกข์มากทุกข์น้อย แต่มนุษย์ทุกคนกลับไม่ค้นหาหนทางดับทุกข์ แต่มนุษย์ทุกคนกลับดำเนินชีวิตเพื่อหาความสุขใส่ตน  ฉะนั้นเราคือคนที่ดำเนินชีวิตแล้วสวนกระแสแห่งความเป็นจริงหรือไม่  มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป สิ่งที่เรียกว่าความสุขแท้จริงมันคือความทุกข์ที่หลอกลวงเราหรือเปล่า ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ทำอย่างไรดี  ปล่อยวางไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสักครู่ท่านบอกว่าไม่อยากมีทุกข์อยากมีสุข อย่างนั้นท่านก็เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่ง  อยากมากก็ทุกข์มาก อยากน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่อยากเลยก็ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราอยู่อย่างคนไม่อยากได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้จะมีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านกราบไหว้หรือ แต่ไม่อยากอย่างไรเล่าที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ อยากนั่งไหม (อยาก)  ฟังแล้วถ้าคิดทันก็ใช้ทัน ฟังแล้วถ้าคิดไม่ทัน อยากสิ ถูกไหม อยากมากทุกข์มาก อยากน้อยทุกข์น้อย ไม่อยากอะไรเลยนั่งไม่นั่งก็ไม่ทุกข์ ยืนก็เป็นสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขไม่ใช่อยู่ที่ไกล ความสุขไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น แต่ความสุขมันอยู่ที่ตรงนี้ แค่นี้ เท่านี้ วางอยากได้ก็สุขได้ ยอมรับความจริงได้ก็สุขเป็น เหมือนกัน แม้จะนั่งฟังสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว เขาจะพูดอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราวางความอยากได้ ยิ่งฟังยิ่งมีสุข แต่ถ้าวางความอยากไม่ได้ ยิ่งฟังก็ยิ่งรำคาญและเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะถ้าอยากอยู่บนโลกนี้มีความสุข อะไรเกิดอันนั้นก็ดีแล้ว สุขแล้ว ขอบคุณแล้ว แค่นี้เองความสุขอยู่ไม่ไกล ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว สุขแล้ว แม้แต่เขาด่าเรา เราก็รู้สึก (ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว สุขแล้ว)  จริงไหม ถ้าเขากำลังด่าแล้วท่านบอกว่า อย่าด่าๆ ยิ่งคิดอย่างนั้นยิ่งทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำไมไม่ยอมรับความจริงเล่า ใช่ไหม (ใช่)  เชิญด่าๆ ขอบคุณ สุขแล้วดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแสงทำให้เกิดเงา แต่จิตของมนุษย์ประเสริฐกว่านั้น ทำให้เกิดเงาแล้วก็ทำให้เกิดแสงได้ ทำให้เกิดมืดเป็นสว่างได้ ทำให้สว่างแปรเป็นมืดได้ ดั่งคำที่มนุษย์กล่าวว่า พลิกใจเป็น นรกก็เป็นสวรรค์พลิกใจไม่เป็นสวรรค์ก็เป็น (นรก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหยุดอยากได้ อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ดี ถ้าหยุดอยากได้ อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ขอขอบคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มีนักเรียนในชั้นนำเก้าอี้ออกมาและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านนั่ง แล้วผู้ปฏิบัติงานธรรมก็นำเก้าอี้อีกตัวมาและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่งตัวใหม่)  ไม่เป็นไรนะทำให้ท่านลำบาก เชิญนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ตัวนี้ไม่ได้หรือ (ตัวนี้ก็ได้แต่ตัวนั้นสวยกว่า)  อะไรก็ดีนะ ไม่มีอะไรไม่ดี ดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดี ถ้าเราไม่เปรียบเทียบเราก็ไม่กลายเป็นคนแย่ ถ้าเราไม่ยึดติด เราก็ไม่ได้สูงส่งกว่าใครถูกไหม มองความจริงมองขณะนี้ ถ้าเราไม่ยึดติดเราก็ไม่ได้สูงกว่าใคร ถ้าเราไม่แบ่งแยก เราก็ไม่ได้แย่กว่าใคร แต่เราไม่เคยอยู่กับตรงนี้ ตอนนี้ แต่ชีวิตเราชอบเปรียบเทียบกับอนาคต เปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ เราเลยมีดีมีแย่ มีร้ายมีเสีย มีสุขมีทุกข์ แต่ถ้าเราอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ อะไรแย่ ไม่มี อะไรดี ไม่มี อะไรร้าย ก็ไม่มี แต่เพราะว่าเราชอบเปรียบ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาเรียนรู้หลักธรรม จึงไม่ใช่อยู่ที่ละชั่ว เป็นคนดีเท่านั้น ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาธรรมไม่ใช่แค่สอนให้เราแค่เป็นคนดี อย่าประพฤติชั่วเท่านั้น แต่แก่นแท้ของธรรมะ สอนอะไรให้เรารู้ไหม (ช่วยเหลือคนอื่น)  ช่วยเหลือคนอื่นด้วยก็ประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แก่นแท้ของการเรียนรู้ศึกษาธรรมคืออะไรรู้ไหม (ไม่ทราบ)  คือแค่รู้หรือไม่รู้ รู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  เรากำลังจะบอกท่านว่า มนุษย์โดยส่วนใหญ่ศึกษาธรรมมักจะยึดติดแค่เพียงละชั่ว ปฏิบัติดีแค่นั้นถูกไหม (ถูก)  แต่ทำไมเราพยายามละชั่ว ปฏิบัติดีแต่ยังไม่พ้นทุกข์ พยายามดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพ้นทุกข์สักทีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่ละชั่ว บำเพ็ญไม่ใช่ละชั่วแล้วปฏิบัติดีแค่นั้น แต่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมคือ รู้หรือไม่รู้ รู้และไม่รู้อะไรที่เป็นแก่น หลักของการปฏิบัติธรรมคือ รู้เท่าทันตนก็หยุดทุกข์ได้ ไม่รู้เท่าทันตนก็หยุดทุกข์ไม่ได้ รู้เท่าตนว่ามันเป็นบาปเป็นกิเลส ก็หยุดบาปหยุดกิเลสได้ แต่ถ้ารู้ไม่เท่าทันตนว่านั่นเป็นบาป  เป็นกิเลส เราก็คือคนสร้างเหตุปัจจัยให้ตัวเองทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดีก็พอแล้วนะ แต่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมคือ มีสติ รู้จักตนหรือยัง มีสติหยุดความคิดตนได้ไหม มีสติยับยั้งอารมณ์ตนได้หรือเปล่า ฉะนั้นถ้ารู้ธรรมมามากแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือ ไม่รู้ทันตน ธรรมะนั้นก็ดับทุกข์ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือรู้ธรรมมากแค่ไหน แต่รู้มากแค่ไหนก็ไม่สู้รู้เท่าทันใจตน คิดแล้วดีไหม (ดี)  ยังไม่ทันมีสติตอบดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า แค่เราดี แค่เขาดี แต่แก่นแท้ของการศึกษาธรรมคือ รู้แล้วว่าตัวเองดีแล้วไม่อวดตนไหม รู้แล้วว่าตัวเองดีแล้วยังหลงตัวเองไหม  รู้แล้วว่าตัวเองดีขนาดไหน ยังมีดี ยังไม่ดีที่ยังแก้ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่ล่ะถึงจะเรียกว่ารู้แล้วพ้นทุกข์ แต่ถ้ารู้แค่ทำบุญเป็นทำทานเป็นยังไม่พ้นทุกข์ เพราะบุญกับทานเป็นแค่ตัวหนุนนำส่งให้เราพบสิ่งที่ดี สร้างเหตุปัจจัยอันดีงามแค่นั้น แต่จะพ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์เห็นตัวเองชัดหรือยัง รู้ตัวเองชัดหรือยัง รู้แม้กระทั่งคิดอะไร มันดีไหมถ้าไม่ดีตามไหม โมโหไหม เกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ทำได้อย่างนั้นหรือ ฉะนั้นศึกษาธรรมแก่นของหลักธรรมไม่ใช่รู้แค่ธรรมะ ไม่ใช่รู้พระไตรปิฎก ไม่ใช่ฟังมาเยอะแยะ รู้คนอื่นมากมายไม่มีประโยชน์เท่ากับรู้เท่าทันใจตน ถูกไหม (ถูก)  แล้วตอนนี้เรารู้จักตัวเองไหม (รู้จัก)  จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อทุกวันเอาแต่มองออก ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยมองเข้า เอาแต่อยากได้ไม่เคยหยุดอยาก เอาแต่เพ่งเล็งผู้อื่นไม่เคยเพ่งเล็งตัวเอง เอาแต่เพียรพยายามให้คนอื่นเป็นคนดี แต่ตัวเองยังไม่หนักแน่นในความดีงาม แล้วพอไม่ไหวก็ทำอย่างไร ค่อยไปทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ไปตักบาตรแก้เคราะห์กรรมทั้งที่กรรมมันมาจากไหน ปากเราเอง ความไม่รู้เท่าทันตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ท่านเคยได้ยินไหมคนใจเย็นพอมีความอยากก็กลายเป็นคนใจร้อน คนใจกว้างพอมีความอยากก็กลายเป็นคนใจแคบ ใช่ไหม (ใช่)  คนมีเมตตาพอมีความอยากก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตน ฉะนั้นถ้าตัวท่านเองไม่รู้เท่าทันตัวเองปล่อยให้กิเลสความอยากครอบงำ คนดีๆ ก็พร้อมจะเป็นคนไม่ดีได้ทันที ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนขาดสติและระลึกรู้ตนไป อย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนกลายเป็นคนขาดความบริสุทธิ์ยุติธรรมไป ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าปล่อยให้ความอยากมันครอบงำจนทำให้เราขาดปัญญาและขาดความกล้าหาญในการหยัดยืนความถูกต้อง ถูกไหม
ท่านบอกว่าอยู่ในโลกใบนี้จะไม่ให้อยากอะไรเลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากอยากมากๆ มันเป็นทุกข์ ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรดีล่ะ (อยากน้อยๆ)  เราไม่เคยเห็นใครอยากน้อยๆ เลยนะ อยากต้องอยากให้สูง ฉะนั้นถ้าเราบอกว่าอยากได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากแล้วสิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับ นั่นแหละหน้าที่แห่งความอยากจบสิ้นลง แต่มนุษย์ไม่ใช่แค่อยากแล้วต้องดีเท่านั้น แต่อยากแล้วแย่ไม่ได้ อยากแล้วล้มเหลวไม่ได้ อยากแล้วแพ้ไม่ได้ อยากแล้วผิดไม่ได้ ถ้าอยากแบบนี้ทุกข์แน่ๆ ถ้าไม่อยากทุกข์ พระพุทธะสอนไว้ว่า จงรู้เสมอว่าเราเกิดมาเพียงแค่ยืมเขาใช้ถึงเวลาก็คืนเขาไป และจงอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยดีผลจะเป็นอย่างไรทำไมไม่กล้ายอมรับ กลับกันถ้าเราทำไม่ดีผลจะเป็นอย่างไรเราถึงต้องหวาดหวั่น ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะไม่ได้สอนว่าให้หยุดอยากให้หมดเลย แต่อยากให้เป็นแล้วอยากอย่างไม่ทุกข์ อยากอย่างคนที่กล้ายอมรับความจริง ดั่งที่พุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากมีสุขอยากพบความสุข จงยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง แล้วธรรมชาติของตัวเองนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ก็ขอให้ยอมรับว่านั่นคือความจริงที่เราหนีไม่พ้น และถ้าเรายอมรับความจริงนั้นได้ว่ามันเป็นธรรมชาติ ความสุขก็จะอยู่ตรงนี้เลย แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีใครสักคนหนึ่งก็ต้องดีเท่านั้น รักใครสักคนหนึ่งก็ต้องสำเร็จเท่านั้นอกหักไม่ได้ ทำงานสักเรื่องหนึ่งก็ต้องได้เท่านั้นไม่สำเร็จก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้มนุษย์เรียนรู้เพื่อเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริง นอกจากเราต้องรู้เท่าทันตัวเราเองแล้วในทุกสิ่ง รู้ไหมว่ามีแก่นอันหนึ่งที่เราหนีไม่พ้น ในทุกสิ่งมีความจริงอย่างหนึ่งที่เราลืมไม่ได้ นั้นคืออะไร
เมื่อเรารู้เท่าทันตัวเองแล้ว สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างหนึ่งคือ ความเป็นจริงอันเป็นรากฐานของทุกชีวิต และความเป็นจริงอันเป็นรากฐานของทุกสรรพสิ่ง ถ้าเรารู้อันนี้เราจะไม่ทุกข์นั่นคืออะไร (มีเกิดมีดับ)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ว่าตัวเรา ไม่ว่าตัวเขา ไม่ว่าเก้าอี้ ไม่ว่าเสื้อผ้า ไม่ว่าตำแหน่ง ไม่ว่าชื่อเสียง ไม่ว่าลาภยศเงินทอง ล้วนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ และมีดับไป หรือพูดง่ายๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความไม่แน่นอน  ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งไม่แน่นอน วันนี้เขารัก พรุ่งนี้เขาเลิกรักโกรธไหม (ไม่โกรธ)  วันนี้เขาด่า พรุ่งนี้เขาชมดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  วันนี้เขาด่าจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะอะไร (มันไม่แน่นอน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากเราต้องรู้เท่าทันตัวเองแล้ว สิ่งที่เราลืมไม่ได้คือ ต้องรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิต ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันผันแปรตลอด มันคงอยู่เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวมันก็ดับไป ฉะนั้นเรากำลังโกรธกับคนที่ด่าอยู่ใช่ไหม เรากำลังมีเรื่องกับคนที่เคยด่าเราใช่ไหม ทั้งที่มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เรายังไม่เปลี่ยนใช่หรือเปล่า มันเปลี่ยนไปแล้วแต่เราไม่เปลี่ยน แปลว่าเราไม่มองความจริง เรากำลังหลอกตัวเองใช่หรือไม่ เขาด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  เราจบไหม (ไม่จบ)  ฉะนั้นเราถึงบอกว่าแก่นของหลักธรรมอยู่ที่รู้เท่าทันตน หากรู้เท่าทันตน รู้ความเป็นจริงแห่งธรรม เราก็หยุดทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ และยิ่งกว่านั้นคือ สิ้นวิบากกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้ ถ้าเราแค่รู้ทัน คิดทัน พลิกเป็น เราจะจองเวรจองกรรมเขาไหม (ไม่)  จบเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมในใจเรายังจำความไม่ดีของคนอื่น ใครดีกับท่านท่านจำไม่ได้ แต่ใครที่ทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจหรือทำให้ท่านไม่ถูกใจ ท่านจำได้แม่นใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรารู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งตน และรู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม เราจะพ้นทุกข์ได้ และเราจะสิ้นกิเลสสิ้นวิบากกรรมได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีเหตุจึงมีผล มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากรับผลทุกข์จงอย่าสร้างเหตุ เหมือนวันนี้ท่านเคยสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่มาก่อน จึงได้พานพบธรรม เรากำลังพูดถึงธรรมไม่ได้พูดถึงศาสนาใด แต่เรากำลังพูดถึงธรรมอันเป็นสภาวะกลาง ธรรมอันเป็นสภาวะเดิมแท้ของทุกสิ่ง ไม่ได้ให้ท่านเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้ให้ท่านนับถือเรา แต่เราแค่กำลังพูดถึงความเป็นจริงอันเป็นสภาวธรรม ฉะนั้นเรามาไม่ได้ทำให้ท่านเพิ่มความอยากขึ้น แต่เรามาเพื่อทำให้ท่านเข้าใจความจริง จนใดๆ ในโลกก็ไม่อยาก เพราะอยากเมื่อใด ก็ต้องรับผลเมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ท่านอาจคิดว่า ทำไมล่ะ อยากมันไม่ดีตรงไหน”  สมมติเราอยากอะไรสักอย่างหนึ่ง แค่อยากให้ลูกได้ดี เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  รู้อยู่เต็มอกแต่เจอหน้าก็ยังอยากให้เขาได้ดี ใช่ไหม (ใช่)  อยากให้สามีเป็นดั่งใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วสามีอยากให้ภรรยาไม่บ่น เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ฉะนั้นถ้าอยากสงบสุข ไม่ยากเลยแค่ยอมรับธรรมชาติของทุกๆ สิ่ง สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว สิ่งใดเกิดขอบคุณแล้ว สิ่งใดเกิดสุขแล้ว ทุกขณะที่ทำก็มีสุข ทุกขณะที่ทำก็ยินดี ฉะนั้นไม่ต้องรอสุขวันข้างหน้า แต่สุขได้ตอนนี้ เขาได้แค่นี้ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  อยู่ให้เห็นดีกว่าตายแล้วไม่มีอะไรให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ให้รำคาญดีกว่าตายแล้วเหลือเราโดดเดี่ยวไม่มีใครให้รำคาญ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอย่างเพิ่งทุกข์ถ้าเรายังไม่เข้าใจชีวิต อย่าเพิ่งท้อถ้าเรายังไม่เข้าใจหลักสัจธรรม เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เรียนรู้ธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว ขอแค่รู้เท่าทันตนและมองเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ดั่งคำกล่าวว่าถ้ามนุษย์กระจ่างในธรรมแห่งตน ก็กระจ่างในธรรมของผู้คน ถ้ามนุษย์สว่างในคุณธรรมความเป็นคน มนุษย์ก็สว่างในการปฏิบัติคุณธรรมต่อผู้คน แต่เรายังไม่กระจ่าง ปฏิบัติต่อคนจึงยังไม่สว่าง ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราบอกท่านว่าในตัวตนมีหลักธรรมที่เรียกง่ายๆ ว่ากฎของไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก เห็นอะไรแล้วทนไม่ไหว ทุกข์จริงๆ เคยเป็นไหม เพราะอะไร เพราะคนอื่นไม่เป็นดั่งใจเราต้องการ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรายังอยากใช่ไหม ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงยอมรับความเป็นจริง และถ้าเข้าใจไม่มีใครที่เราจะต้องอดทน อดกลั้น ถ้าเข้าใจมีใครที่เราจะต้องทุกข์ทน มนุษย์ชอบสอนว่าจงเอาใจเขามาใส่ใจเราจะได้ไม่ทุกข์ แต่นอกจากเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วจะไม่ทุกข์ อีกวิธีหนึ่งที่ไม่ทุกข์คือจงเอาใจเราไปเป็นเขาบ้าง แล้วเราจะได้เข้าใจว่า เขาเป็นแบบนี้ เขาชอบอย่างนี้ เขานิสัยได้แค่นี้ เราจะได้ไม่ทุกข์แต่เป็นเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็ประจักษ์แจ้ง เมื่อประจักษ์แจ้งก็แข็งแกร่งอยู่บนโลกไม่ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นจิตนิ่งสงบมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เกิดความเข้าใจกระจ่างและสว่างหนักแน่นมั่นคง แต่บางครั้งที่เจอใครทำให้เราทุกข์ ลองเอาใจเราไปใส่ในตัวเขาบ้างจะได้เข้าใจว่า เขาคิดแบบนี้ เขาเป็นได้แค่นี้ เขานิสัยอย่างนี้ แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นบ้างมากกว่ามองแต่ตัวเอง
ใครล่ะที่เราควรโกรธ เมื่อเข้าใจความจริง (ตัวเราเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเข้าใจความจริงใครล่ะที่ควรจัดการ (ตัวเราเอง) อย่างนั้นหรอกหรือ แต่ก่อนเอาแต่จัดการคนอื่น ชี้หน้าว่าคนอื่นท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ถ้าใจเราพอ อะไรก็ดี แต่ถ้าใจเราไม่พอ อะไรก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของความทุกข์หรือความสุข จึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่แก่นแท้ของการดับทุกข์นั้นคือรู้ใจตัวเองไหมว่าคิดอะไร อยากอะไรอยากให้คนอื่นเป็น แต่ไม่เคยมองว่าเขาอยากเป็นอะไร เข้มงวดคนอื่น แต่ลืมเข้มงวดตัวเองใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์มันเริ่มที่ใจ ทำไมไม่ละที่ใจ และจบที่ใจ ใครทำให้เราทุกข์ (ตัวเราเอง)  อย่างนั้นหรือ ที่แล้วมาว่าเขาตลอดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้พอเข้าใจบ้างหรือยัง ถ้าเข้าใจแล้วความสุขก็หาไม่ยากจริงไหม (จริง)  แต่น่าเสียดายที่มนุษย์มักพูดว่า ก็ฉันหวังดีนี่ ถึงได้บ่น ถึงได้ด่า ถึงได้ว่าใช่ไหม (ใช่)  แต่เราถามท่านนะ ใครในโลกไม่หวังดีกับเราบ้าง ทุกคนก็หวังดี แต่เมื่อมีคนมาบีบบังคับเรามากๆ เรากลับบอกว่าเราทำได้แค่นี้ อย่ามาบีบบังคับเลย ยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นสิใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราชอบเอาสิ่งที่รู้ไปคาดหวังคนอื่น ฉะนั้นก่อนจะคาดหวังคนอื่น ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง สอนโดยไม่ต้องพูด ย่อมประเสริฐกว่านะ ดีกว่าพูดปากเปียกปากแฉะ แต่ตัวเองก็ยังทำไม่ได้
บางครั้งความนิ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีค่า ไม่ว่าเราจะพบเจอสิ่งใดอย่าเพิ่งไปตามความอยาก แต่จะใช้ความนิ่ง ใช้สติและใช้จิตที่สงบมองสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นให้แจ่มชัดก่อนจะวิ่งไปตามอยาก มองด้วยความเข้าใจ เข้าใจจนกระจ่าง เมื่อเข้าใจและกระจ่างอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่นจะเย็นลง ทำอะไรจะมีสติมากขึ้น เห็นก็จะแจ่มชัดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เราไม่ใช่ เวลาอะไรมากระทบทีหนึ่งก็เป็นอย่างไร (ระเบิดลง)  ถ้ากระทบแล้วระเบิด ระวังไว้นะ สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือเดี๋ยวจะจบกันไม่ลง อย่าคิดว่าด่าเขาแล้ว สบายใจ แต่คนบางคนเขาจำไม่ลืมแค้นฝังใจ ฉะนั้นถ้าเรารู้ไม่เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะกลายเป็นทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก และเรากำลังทำเรื่องที่ไม่มีเหตุให้กลายเป็นมีเหตุมีมูลอันไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นศึกษาธรรมสำคัญคือรู้เท่าทันตน ไม่ใช่แค่เป็นคนดี ศึกษาธรรมคือรู้เท่าทันตน รู้เท่าทันอารมณ์ความคิดตนก่อนที่จะพุ่งออกไป นิ่งก่อนได้ไหม สติมีหรือเปล่า ใจเย็นลงสักนิดช้าหน่อยก็ไม่เสียอะไร โดนกระแทกไปแล้ว หยุดก่อนกระแทกดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรม พ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  จะสิ้นทุกข์ไม่สิ้นทุกข์ ก็อยู่ตรงนี้ หยุดตัวเองได้รู้ตัวเองทัน บาปเวรกรรมก็จบสิ้น ที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า แต่ถ้าหยุดตัวเองไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ทัน ท่านก็กำลังสร้างกรรมใหม่เพื่อทบกรรมเก่าไม่จบสิ้น และเราเกิดมาเพื่ออยากเวียนว่ายวนอีกหรือ
จริงๆ ยังมีหลักธรรมอีกนิดหนึ่งที่เราอยากกล่าวกับท่าน แต่เราคิดว่าบางท่านไม่ไหวแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไหวไหม (ไหว)  เรามาศึกษาธรรมแต่วันนี้ยังไม่เจอธรรมเลยใช่ไหม เจอธรรมหรือยัง (เจอแล้ว)  ธรรมอันแรกที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าตัวเรา ตัวเขา เก้าอี้ เสื้อผ้า ทุกอย่างมีธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งนี้จะผลักดันให้เกิดช้าเกิดเร็วอยู่ที่เราสร้างเหตุปัจจัย สร้างเหตุปัจจัยดี สิ่งนี้ก็อาจจะมาดี สร้างเหตุปัจจัยไม่ดี สิ่งนี้ก็อาจจะมาไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราจะหาธรรมแห่งความเป็นคนได้อย่างไร โดยส่วนใหญ่มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เราถึงจะรู้จักธรรมที่ใช้กับผู้คน แต่ถ้าเกิดว่าเราลืมธรรมในตัวเองแล้วเราคิดว่าเราคือคนไม่ดี ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเรามีธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดไปเถอะผมคือคนไม่ดี ผมอยากลงนรกอยู่นรกมีเพื่อนเยอะ เห็นชอบคิดกันอย่างนี้ แต่หัวอกของคนที่บอกว่าชอบตกนรก หัวอกของคนที่บอกว่าตัวเองไม่ดี ถามว่าเจอหน้าใครก็ผลักไปให้ไกลๆ ถ้าเขาล้มแล้วเหยียบซ้ำเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไรเล่า นั่นเพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีหัวอกอันหนึ่งที่แม้จะเลวร้ายขนาดไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันหายไป นั่นคือจิตที่รู้จักเมตตาสงสาร ทำไมเวลาเราเห็นคนที่แย่เราจึงเกิดจิตสงสาร มันเพิ่งเกิดก็ไม่ใช่ แต่มันคือคุณธรรมอันเดิมแท้ที่มีอยู่ในใจของทุกท่าน แต่ท่านไม่เคยค้นหาแล้วขยายให้มันกว้าง ถามว่ามนุษย์ทุกคนมีหัวอกขี้สงสารไหม (มี)  แล้วถ้าเราเอาความขี้สงสารกลายเป็นเมตตา เมตตากลายเป็นกรุณา กรุณากลายเป็นมุทิตาอุเบกขา ท่านก็คือพระพรหมบนโลกใบนี้ แต่เราไม่เคยแผ่ความเมตตาให้มันมากกว่าเมตตา มนุษย์จึงเป็นแค่มนุษย์ มนุษย์เป็นพรหมบนโลกได้ถ้าเมตตาแล้วกรุณา ถ้ากรุณาแล้วมุทิตา ถ้ามุทิตาแล้วอุเบกขา นั่นคือสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ และเมื่อทำจนถึงที่สุดก็ยอมรับสิ่งที่เป็นไปด้วยใจอันเป็นกลาง ช่วยเขาแล้วโดนเขาว่าโดนเขาด่าก็ไม่เคืองโกรธ เพราะเขากำลังทำให้เราไปมุทิตาและอุเบกขา เป็นพระพรหมที่ครบสี่หน้า แต่มนุษย์มักมีแต่เมตตาแล้วก็จมอยู่กับเมตตาแค่นั้น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มนุษย์มีคุณธรรมมากกว่านั้น คือคุณธรรมความเป็นคน รู้จักเมตตาสงสารและผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นถ้ากระจ่างในธรรมแห่งความเป็นคนแห่งตน และกระจ่างในธรรมแห่งความเป็นคนของผู้อื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอยู่บนโลกให้มีสันติสุข
ฉะนั้นคำว่า ธรรม จึงไม่ใช่มีแค่ ธรรมแห่งความเป็นจริง แต่คำว่าธรรมยังมีอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน ธรรมอันเรียกว่าเมตตา ธรรมอันเรียกว่ามโนธรรมสำนึก ธรรมอันเรียกว่า จริยธรรม ธรรมอันเรียกว่า สัตยธรรม และธรรมอันเรียกว่า ปัญญาธรรม เรามีนะแต่ไม่เคยค้นหาใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติมีคนเจอหน้าเราแล้วเขาดูถูกเราชอบไหม (ไม่ชอบ)  แปลว่าท่านไม่ชอบให้ใครมาดูถูกดูหมิ่น นั่นคืออยากได้ความเคารพนับถือ เรียกว่า จริยะใช่ไหม (ใช่)  โดนว่า ว่าโง่ ยอมไหม (ไม่ยอม)  คนใต้เกลียดที่สุดใครมาว่าโง่ใช่ไหม (ใช่)  เราก็มีปัญญาธรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักคุณธรรมแห่งความเป็นคน และกระจ่างในการดำเนินชีวิตกับผู้คนโดยใช้คุณธรรม ชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์
คิดไตร่ตรองให้ดีสิ่งที่วันนี้เราพูดกับท่าน ไม่ได้เป็นประโยชน์เพื่อเรา แต่เป็นประโยชน์เพื่อตัวท่านเอง ยังอยากทุกข์หรืออยากพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์)  อยากพ้นทุกข์ไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่ต้องรู้เท่าทันใจตน รู้ให้ทันก่อนที่มันจะสร้างวิบากกรรม สร้างกิเลสและการเวียนว่าย ถ้าเรารู้ทันหยุดได้ สิ่งที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเราหยุดตัวเองไม่ได้ ยังอยากอยู่จงอยากให้เป็น ทำให้ดีที่สุดผลเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับ ได้หรือไม่ (ได้)  ถึงแม้ว่าตัวเราทำให้ถึงที่สุดแล้วจะกลายเป็นผู้แพ้ก็ไม่เคืองโกรธ จะกลายเป็นผู้ล้มเหลวก็ไม่ด่าทอฟ้าดิน ยอมรับในชะตากรรมที่เป็นไป นี่แหละเรียกว่า เกิดมาเพื่อจบกรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก เพราะมีเหตุปัจจัยนำหนุน แม้อยู่ไกลกันแค่ไหนก็ได้พบเจอ แต่ถ้าไร้เหตุปัจจัยนำหนุนแม้อยู่ตรงหน้ากันก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน ฉะนั้นสร้างเหตุปัจจัยกับพุทธะเพื่อเป็นพุทธะ ไม่เอาหรือ


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘     สถานธรรมฉือเหริน นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ไม่เปรียบเทียบก็ไม่แบ่งแยกแตกต่าง  ไม่ชอบก็ไม่ชังสร้างเรื่องไหนไหน
ไม่ยึดก็ไม่หลงสิ่งใดใด                        ไม่ทุกข์ก็ไม่เข้าใจชีวิตตน
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา       ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้เหนื่อยไหม

  ความคิดเป็นตัวนำทางของคน              จะสับสนหรือกระจ่างหนทางนี้
ความคิดเป็นตัวกำหนดร้ายหรือดี           ศิษย์คนดีหันกลับมาพิจารณา
ลอยคออยู่ในกระแสแห่งโลกีย์               วันเดือนปีผ่านไปมากปัญหา
ปมปัญหาใจคลายออกทันเวลา               ทุกปัญหากลายเป็นครูผู้กรุยทาง
ใช้สัจธรรมมานำชีวิตตน                       คลายสับสนวังเวงและอ้างว้าง
ศิษย์ทุกคนล้วนมีทางสายกลาง              ฝึกความว่างท่ามกลางความวุ่นวาย
คนมีสติรู้นำชีวิตตน                             ไม่สับสนปล่อยอารมณ์เป็นใหญ่
ไม่เคยชินทำอะไรเอาแต่ใจ                    ใช้คุณธรรมนำใจสตินำตน
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


อาจารย์ไม่บังคับใจดีไหม จริงๆ นะศิษย์ถ้าเขาเห็นหน้าเราแล้วเขาเบือนหน้าหนี เราจะเอาหน้าไปให้เขาเห็นทำไมให้ทุกข์ใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเขาเห็นหน้าเราแล้วเขาชังน้ำหน้า เขารำคาญ ทำไมเราหลบหน้าไม่ได้หรือ ทำไมเรายอมถอยไม่ได้หรือ ทำไมต้องดันทุรังเสนอหน้าให้เขาเกลียด จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมจะทุกข์ จะสุข ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า ไปให้ไกลๆ ทำไมต้องรอให้เขาชี้หน้าไล่ มันเจ็บนะ เรารู้ตัวเราก่อน เรารู้ตัวเองก่อน เราหยุดตัวเองได้ มันดีกว่าไหม (ดี)  ดีกว่าทำใจไม่ได้แล้วโดนเขาไล่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ตัวเองทัน ถ้าเรารู้ว่าเดินไปแล้วไม่ทุกข์ ถ้าเรารู้ว่าทำแล้วมันเจ็บ ถ้าเรารู้ว่าพูดมากแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น อยู่นิ่งๆ เงียบๆ เฉยๆ ไม่เป็นหรือ แต่บางทีมันไม่ไหวอาจารย์ มันอยู่นิ่งไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นดีร้ายได้เสียทุกข์สุข เป็นเรื่องของคนที่ใจยังหวั่นไหวไปกับโลกอยู่ แต่ถ้าคนบำเพ็ญแล้วนะศิษย์ ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ทุกข์หรือสุข มันจะทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเขาจะหยุดตัวเองก่อน เห็นตัวเองก่อน ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์รู้ธรรมมากมาย แต่ถ้ารู้ธรรมมามากแล้วยังหยุดตัวเองไม่ได้ ยังหวั่นไหวไปกับสิ่งที่กระทบ แปลว่ายังบำเพ็ญไม่ไปไหนนะ ใช่ไหม (ใช่)  โดนเขาว่านิดหนึ่งก็เป็นอย่างไร ร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่) โดนเขาด่านิดหนึ่งเป็นอย่างไร ข่มไว้ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญแล้ว ผู้ที่เข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริงแล้ว หรือผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ชัดแล้ว อะไรมากระทบมันก็ไม่กระเทือน กระแทก และหวั่นไหวไปกับสภาวะอารมณ์ของคนทั้งโลกถูกไหม (ถูก)  แต่เวลาเราโดนกระทบเป็นอย่างไร อยาก เกลียด โกรธ ด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เรียกว่าโลกแท้ๆ เลย แต่ถ้าเมื่อไรเราโดนกระทบ เรานิ่งได้ เราใจเย็นได้ เราสงบได้ เราก็สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ และควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ สิ่งแวดล้อมก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ว่าเงินชั่วร้ายไหม (ชั่วร้าย)  ผู้ชาย ผู้หญิงชั่วร้ายไหม (ชั่วร้าย)  ผู้หญิงผู้ชายร้ายไหม (ร้าย)
อาจารย์ถามต่อ ผู้ชายก็ร้าย ผู้หญิงก็ร้าย เงินก็ร้าย จริงไหม (จริง, ไม่จริง)  คิดให้ดีๆ นะ เงินไม่ได้ร้ายแต่คนที่ขาดคุณธรรมแล้วพยายามจะครอบครองเงินโดยที่ไม่รู้จัก ผิดชอบชั่วดี ร้ายใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงไม่ได้ร้ายแต่ผู้หญิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผู้ชายคนนั้นร้าย เหมือนกัน ผู้ชายร้ายหรือไม่ร้ายอยู่ที่ว่าเขาอยากจะโกหกเราแล้วทำวิธีไหนไม่ให้เรารู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ากลัวแต่ที่น่ากลัวคือความอยากที่ครอบงำใจจนไม่รู้จักผิดชอบ ชั่วดีไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครสิ่งนั้นแหละร้ายกว่า ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่อยู่ที่ (ตัวเรา)  ใช่หรือไม่  แล้วเราร้ายไหม (ไม่ร้าย)  สุราและบุหรี่ร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ก็แน่ล่ะศิษย์ไม่ติดนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่ติดจะบอกว่าเหล้าร้ายบุหรี่ร้าย แต่จริงๆ เหล้าไม่ร้ายบุหรี่ไม่ร้ายถ้าใจศิษย์ไม่อยาก ถูกไหม (ถูก)  เหล้าจะร้ายได้อย่างไรในเมื่อใจเราไม่อยาก ถ้าไม่เคยมาอยู่ในพุงในไส้ของศิษย์มันก็ไม่อยากหรอก ถามคนที่ไม่เคยกินเหล้าสิว่าเปรี้ยวปากเป็นอย่างไร เขาก็ไม่รู้ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเหล้าจะไม่มีอำนาจครอบครองใจได้ถ้าใจของศิษย์ไม่ตกเป็นทาสของเหล้า บุหรี่ จริงไหม (จริง)  ผู้หญิงไม่มีอำนาจครอบครองบุรุษได้หรอกถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ยอมอิสตรี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นผู้ชายก็เหมือนกันไม่สามารถมีอำนาจเหนือใจเราได้ถ้าเราไม่ยอมตกเป็นทาสสามี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอยสิ่งสำคัญในการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ใครร้ายแต่มันอยู่ ที่ตัวเราต่างหาก จริงไหม (จริง)  เขาร้ายหรือเราร้าย (เราร้าย)  เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)  แต่ถึงเวลาว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเขา)  ไม่ต้องต่อแล้วจบ จริงไหม (จริง)  รู้จนเต็มอกรู้จนถึงที่สุดแล้วก็ยังอดว่าเขาไม่ได้อยู่ดี
  “ไม่เปรียบเทียบก็ไม่แบ่งแยกแตกต่าง       ไม่ชอบก็ไม่ชังสร้างเรื่องไหนไหน
ไม่ยึดก็ไม่หลงสิ่งใดใด                                  ไม่ทุกข์ก็ไม่เข้าใจชีวิตตน
ถ้าเราไม่ชอบจะมีใครที่เราต้องชัง  ใช่หรือเปล่าใช่ไหม  ถ้าเราอยากเข้าถึงสภาวธรรมก็แค่เห็นตรงๆ  จริงๆ  เช่นนั้น  ไม่ปรุงแต่งไม่มีอารมณ์ ธรรมก็อยู่แค่ตรงนี้เอง แต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่เห็นแล้วก็อดคิดโน่น  คิดนี่ ปรุงแต่งโน่นนี่  อยากได้นั่น  อยากได้นี่ ถูกไหม  แต่รู้ไหมว่า โลภ  โกรธ  หลง  หรือหยุดโลภ  หยุดโกรธ หยุดหลง   มันง่ายนิดเดียวเองศิษย์  เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง เห็นแล้วไม่เปรียบเทียบ เห็นแล้วไม่ชอบชัง เห็นแล้วแค่เห็น เห็นตามจริงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละเรียกว่าสภาวธรรม  เราเรียนรู้เราอยากเข้าถึงสภาวธรรม แต่สภาวธรรมเป็นอย่างไรทำไมมันไปไม่เห็นถึงสักที ไม่ยาก ธรรม คือ ความจริงอันเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
สมมติว่าโดนกระทบแล้วโดนกระทบอีก จิตของศิษย์คงความจริงอันเป็นเช่นนั้นโดยไม่เปลี่ยนแปลง นั่นเหละศิษย์ค้นพบธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ พอโดนกระทบ ปุ๊บ เป็นอย่างไร (สวนกลับ)  สวนกลับเลยหรือ ไหนศิษย์บอกอาจารย์ว่าคนเราทุกคนมีจิตเมตตา  การตีทำร้ายคนเป็นบาป ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นอาจารย์ตีแล้วศิษย์ต้องตีกลับ แปลว่าศิษย์ก็จะบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็แปลว่าเราไม่ได้เมตตาจริงๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
อาจารย์กำลังจะบอกว่าถ้าสมมติว่าเราอยากเข้าถึงสภาวธรรมไม่ยากเลยศิษย์ โดนตบแล้วยังคงความเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โกรธเมื่อไหร่เตรียมตกนรก จริงไหม เกลียดเมื่อไหร่ สาปแช่งเมื่อไหร่ เตรียมสร้างวิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย แต่ถ้าเราแค่ เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้นไม่เปลี่ยนแปลง คงที่ นั่นถึงเรียกว่าธรรม แต่ถ้าเราบอกว่าโกรธมัน ตีมัน ด่ามัน นั่นเหละเรียกว่าตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น กิเลสเกิดเมื่อไหร่ก็เกิดวิบากกรรมเมื่อนั้น จริงไหม (จริง)  แต่ใครล่ะที่กระทบแล้วจะคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จริงไหมล่ะศิษย์
ศิษย์เอ๋ยทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อาจารย์จะตบศิษย์แค่ไหน ตีศิษย์แค่ไหน มันจบแล้วนะ ถูกไหมล่ะ จบแล้วยัง (จบ)  ทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ดับ ทุกขณะที่มีคือทุกขณะที่กำลังสูญสลาย ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จบได้ทันที แต่มนุษย์เราไม่ใช่ เรื่องอะไรจะยอม เรื่องอะไรจะจบ ฉะนั้นวิบากกรรมและการเวียนว่ายจึงเกิดขึ้น จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มีตัวตนจึงก่อเกิดกิเลส กรรมและการเวียนว่าย แต่เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงสภาวธรรมไร้ตัวตน กิเลส กรรมและการเวียนว่ายก็จบสิ้นทันที
เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่น ถือมั่นในตัวตน กิเลส กรรม และการเวียนว่ายก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ตัวตนไม่มีให้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เหลือคงไว้แต่สภาวธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ แต่ก็มันยังเห็นอยู่ มันยังเจ็บอยู่ มันยังมีอยู่ใช่ไหม (ใช่)
รู้ว่ามาก็ต้องมีคนไม่เชื่อ แต่ก็ยังอยากมา รู้ว่ามาจะต้องโดนดูถูก แต่อาจารย์ก็อยากมา เพราะเชื่อว่าบางครั้งถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรมเพียงเล็กน้อยที่อาจารย์พูด เผื่อจะเป็นหน่อเนื้อนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อยก็ยังดี อาจารย์มาขอเงินไหม (ไม่)  ไม่ได้ขอแล้วทำไมคิดว่าอาจารย์หลอกล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มาที่นี่เสียเงินบ้างไหม
ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ลำบากไหม (ลำบาก)  จะไม่เหนื่อยได้อย่างไรล่ะก็แบกทุกอย่างไว้ในใจหมดเลย ใช่ไหม  ถ้าทุกข์จริงๆ ก็คงไม่ทำให้ตัวเองเป็นเช่นนี้หรอก น่าจะหาวิธีทางที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนอนยังรู้จักถีบตัวเองเป็นผีเสื้อ มนุษย์ถ้าทุกข์แล้วทำไมไม่รู้จักถีบตัวเองให้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์รักเอ๋ย อย่าไปเห็นแค่รูป เอาให้ได้ที่ใจเลย อย่าไปมองติดแค่รูป เพราะทุกสิ่งที่เรียกว่ารูปมันคือความไม่มีใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยบางครั้งศิษย์มองว่าความทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวสิ่งที่เราไม่อยากเจอ แต่อาจารย์ถามจริงๆ นะ ทำไมเราไม่ลองสู้กันดูสักตั้งหนึ่ง ก่อนที่เราจะเกลียดทุกข์ แล้วไม่อยากเจอทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์บอกว่าความทุกข์ในโลกเป็นสิ่งน่ากลัว เป็นสิ่งที่ไม่อยากเจอเลยอาจารย์ แต่อาจารย์ถามหน่อยใครหนีพ้น ไม่มีใครหนีพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหนีไม่พ้นทำไมไม่ลองสู้กับความทุกข์ดูสักตั้งล่ะ ถ้าสู้ได้ เราเอาชนะได้ หรือเราเข้าใจความทุกข์ได้ ความทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ทำไมพอถึงเวลาเรากลับกลัวทุกข์ ในโลกนี้ทุกข์อะไรที่น่ากลัวที่สุด (ทุกข์ใจ)  ทุกข์ มีเยอะแยะในโลก แต่สิ่งที่ศิษย์บางคนไม่อยากเจอก็เพราะว่าบางทีเราไม่คาดคิด บางทีเราเตรียมตัวไม่ทัน บางทีเรารับไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อยนะว่าทุกข์ในโลกนี้มันมีดีอะไร ลองหามันให้เจอ ดีไหม ถ้าหาดีจนเจอแล้วเราจะเกลียดมันไหม (ไม่)  เราจะกลัวมันไหม (ไม่)  แล้วเราจะสู้กับมันไหวไหม (ไหว)  ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (ทุกข์คือประสบการณ์ชีวิต)  ใช่ไหม (ใช่)  ตอบได้แล้วถึงเวลาเจอเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด รับไหวหรือเปล่า เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่า ใครบ้างในโลกไม่กลัวการพลัดพราก ใครบ้างในโลกไม่เจอการสูญเสีย แล้วเวลาเจอทำใจได้ไหม (ตอนแรกยังไม่ได้)  แต่ตอนนี้ (ทำใจได้แล้ว)  แต่กว่าจะทำใจได้ล้มไปนานเลยถูกไหม ก่อนเราจะเกิด ก็มีปู่ย่า ตายาย ทวด ตอนนี้ยังอยู่ไหม อยู่ครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าไม่มีบรรพชนจากไปจะมีเรานั่งอยู่ตรงนี้ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นบางครั้งการเสียสิ่งหนึ่งอาจจะได้อีกสิ่งหนึ่งมา ทำไมเราจะต้องไปยึดติดกับความสูญเสีย แล้วบางครั้งการสูญเสียกลับทำให้เรารู้จักอะไรคือคุณค่า อะไรคือสิ่งที่เราลืมคุณค่าไป ถูกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า การสูญเสียมีดีไหม (มี)  ถ้าเราเข้าใจความสูญเสียมีดีอะไร เวลาเราเจอความสูญเสีย เราจึงมีสติรับได้ ถูกไหม แต่ชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องผ่านการสูญเสียจึงมีเราวันนี้ ถ้าไม่มีการสูญเสียเราจึงไม่รู้จักคุณค่า ถูกไหม ฉะนั้นเราจะกลัวไหม (ไม่กลัว)  เราก็จะกล้าเสียสละตัวเอง เพื่อให้รุ่นต่อไปได้กำเนิดเกิดขึ้นมา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราจะกลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถ้าศิษย์เข้าใจความทุกข์คืออะไร เข้าใจความสูญเสียคืออะไร เวลาเราเจอ เราจะมีสติรับได้ และเราจะรู้ว่า อ๋อ ไม่เป็นไร”  ถ้าเสียแล้วได้อีกสิ่งหนึ่ง ถูกไหม ถ้าไม่มีบรรพชนที่จากไปจะมีเราตรงนี้ไหม (ไม่มี)  แล้วตอนนี้ที่ยังมีท่านอยู่ ทำไมไม่ดูแลท่านให้ดีๆ มาเสียใจกับอดีตทำไม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์อยากให้ศิษย์ได้เข้าใจธรรม สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ควรรู้ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความเกิดก็มีความดับ ทุกขณะที่ศิษย์เกิดคือทุกขณะที่ศิษย์กำลังดับใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก็เลยฉลองความตาย “เย้ๆ เกิดแล้วแล้วสิบห้าปี” ใช่ไหม แต่พุทธะไม่ใช่ ตายแล้วสิบห้าปี ตายแล้วสามสิบปี ตายแล้วหกสิบปี เราควรฉลองความเกิดหรือเราควรมีสติอยู่กับความตาย (มีสติอยู่กับความตาย)  แล้วต่อไปจะเป่าเค้กวันเกิดอีกไหม (ไม่)  คิดให้ดีๆ นะ อาจารย์ไม่ได้ห้าม เป่าได้จงเป่าอย่างมีสติ ตายไปแล้วสิบห้าปีนะ แล้วสิบห้าปีที่ตายไปมีอะไรดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกเสมอว่าทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ตาย ทุกขณะที่มีชีวิตคือทุกขณะที่กำลังดับสิ้น แล้วจะเอาเรื่องกับใครในเมื่อที่ผ่านมามันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงอันนี้ ทุกขณะเราจะมีชีวิตอยู่แค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ อดีตก็คือ (อดีต)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงทำให้เราเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าชีวิตคือความตาย ความเป็นกับความตายเรียกว่าชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิตเราจะไม่ห่วงอดีต แต่เราจะทำวันนี้ให้ดี ถ้าวันนี้ไม่ดี วันนี้มันก็จะกลายเป็น (อดีต)  พระพุทธะจึงสอนว่าไม่มีหรอกอดีต ไม่มีหรอกอนาคต มีอยู่เวลาเดียวคือเวลา (ปัจจุบัน)  ไม่ใช่  คือขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แม้ปัจจุบันมันก็เปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจความจริงเข้าใจชีวิต เราจะไม่ทุกข์แต่ความเข้าใจจะทำให้เราแจ่มแจ้ง และปลดปลงได้เยอะเลย จะห่วงอะไรกับอดีต ถ้าตอนนี้ยังทำไม่ดี ถ้าไม่ดีตอนนี้ก็จะกลายเป็น (อดีต) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์มันยากนะ บางทีหนูยังอยากเก่งกว่าคนอื่น อยากเหนือกว่าคนอื่น อยากสำเร็จ อยากนั่นอยากนี่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครบอกว่าอยากรวย อาจารย์มีวิธีง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรก็รวย ใครอยากสวยไม่ต้องไปโบทอกซ์ ไม่ต้องไปฉีดหน้าเลย อาจารย์มีวิธีเอาไหม (เอา)  เอาทันทีเลยนะ แล้วมีวิธีรวยโดยไม่ต้องทำอะไรเลยเอาไหม (เอา) 
อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า เรื่องบางเรื่องในโลกนี้ไม่ยากเลย อยากรวยอยากเป็นคนรวยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็อยากสวยบางครั้งก็อยากดูดี ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์โลภแต่อาจารย์จะบอกว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เหมือนคำว่าเพราะมีสามีจึงมีภรรยา ใช่ไหม
เพราะมีเพื่อน เพราะมีเราจึงมีเขา เพราะมีดีจึงมีร้ายใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าคนเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตก็จะรู้เลยว่าเพราะมีจน จึงมีรวย  เพราะมีดูไม่ดี  จึงมีดูสวยงาม  ฉะนั้นอยากสวยไม่ยากเลยทำอย่างไรรู้ไหม ไม่ยากเลยอยู่ใกล้กับคนไม่สวยเราก็สวยถูกไหม ไม่ต้องทำอะไรเลยไม่ต้องโบทอกซ์ ไม่ต้องฉีดหน้า อยู่กับคนไม่สวยเราก็สวยทุกวันเลยจริงไหม อยากเป็นคนรวยไหม อยู่กับคนจนไว้แล้วมีแต่ให้ๆ  เรารวยที่หนึ่งเลยถูกไหม ฉะนั้นอยากเป็นคนดูดีไหม อยู่กับคนที่ดูไม่ดีแล้วเราจะได้ดูดีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าถึงสภาวธรรมหรือเข้าถึงความเป็นธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เพราะมีสามีจึงมีภรรยา เพราะมีสามีภรรยาจึงมีลูกใช่ไหม (ใช่)  เพราะมีอัปลักษณ์ จึงมีสวยงาม เพราะมีหน้าเกลียดจึงมีคนดูดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเป็นคนฉลาดจงคบคนโง่ ดีไหม (ดี)  มีนักเรียนชั้นนี้แหละที่บอกว่าดี ดีตรงไหน  คนฉลาดมักจะจมอยู่แค่นี้  จริงไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิต ศิษย์จะอยู่บนโลกนี้ไม่ทุกข์ ใครด่าว่าเราโง่ ไม่เป็นไรฉันไม่ได้โง่ที่สุดยังมีคนโง่กว่าถูกไหม ใครด่าว่าเราไม่สวย ใครด่าว่าเราเหี่ยว  ไม่เป็นไรคุณยายเหี่ยวกว่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะและความเป็นกลางมันไม่ได้อยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรารักษาความเป็นธรรมอันเป็นเช่นนั้น เราก็คือความเป็นกลางที่เป็นธรรม ถ้าเราเอาแต่ไปเปรียบเทียบ ไปวัดโน่น วัดนี่ อยากได้นั่น  อยากได้นี่ เราก็คือคนที่ขาดเสมอจริงไหม ศิษย์เอยมนุษย์เราทุกคนมีความเป็นกลางอยู่ ฉะนั้นอย่าพยามดิ้นรนให้ต้องเก่งกว่าเหนือกว่าเลย  เพราะถึงที่สุดเก่งกว่าก็มีคน (เก่งกว่า)  สวยกว่าก็มีคน (สวยกว่า) 
(ก็หนูอยากสวย)  อยากสวยไปทำไมศิษย์เอ๋ย สู้ยอมรับความเป็นจริงของตัวตนเองไม่ดีกว่าหรือ ถูกไหม (ถูก)  แล้วก็ยอมรับว่าคนในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม มีใครดีพร้อมไหม มีใครไม่มีข้อผิดพลาดไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริง ถึงเราจะได้ภรรยาขี้บ่น แต่ขี้บ่นอย่างไรก็อาจจะบ่นน้อยกว่าอีกบ้านหนึ่งก็ได้ ถูกไหม (ถูก)  เราได้สามีขี้เหล้า แต่ไม่เป็นไร ขี้เหล้าก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่เล่นอบายมุข ไม่ติดหญิง หรือแม้แต่มีสามีติดหญิง ก็คิดว่าดีแล้วติดหญิงยังกลับมาบ้าน อย่างไรก็ยังกลับมาบ้านใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในความเป็นจริงแห่งการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า ถ้าเรายิ่งเข้าใจหลักธรรม เรายิ่งสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเข้มแข็ง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นคนในโลกนี้ให้สมบูรณ์ ไม่ผิดไม่เพี้ยน ไม่ด่างพร้อย ไม่ก่อเกิดเวรกรรมยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่เพียงศิษย์รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดมีดับ อดีตอาจจะไม่มี มีแต่ขณะนี้ ใครจะสวย ใครจะดี ใครจะเลว ใครจะร้ายอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราเป็นเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ถ้าศิษย์อยากดีมากๆ ศิษย์ก็ไปอยู่กับคนเลวสิ จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์อยากเลวมากๆ ก็ไปอยู่กับคนดีใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ
แต่โดยส่วนใหญ่ของมนุษย์เรานั้นมักจะไม่ค่อยรู้จักพอ ได้อีกสิ่งหนึ่งก็อยากได้อีกสิ่งหนึ่ง มีดีก็ต้องดีกว่า เราเลยเหนื่อยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ ฉะนั้นทำอย่างไรที่จะทำให้เรารู้จักพอบ้าง ถ้าพอได้ชีวิตก็มีสุข แต่ถ้าพอไม่ได้ ที่หาก็คือความทุกข์ทน ที่มีก็คือความร่อยหรอ แต่ถ้าเราพอได้ ที่มีมันก็คือมั่งคั่ง ที่หาก็ไม่ทุกข์ทน เพราะได้ไม่ได้เราก็ยังมีอยู่ ถูกหรือไม่ แต่ถ้าเราบอกว่าไม่พอ ที่มีก็เหมือนไม่มี ที่หาก็ต้องทุกข์ทนว่ามันต้องได้ ถ้าไม่ได้ตายแน่ จริงไหมล่ะศิษย์ (จริง)  อาจารย์พูดถูกไหมล่ะ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์เอ๋ย แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุให้คนในโลกนี้ หรือตัวเราทุกข์กันเล่า (อยากได้)  เราทุกข์เพราะอะไร
(ตัวเราเอง)  เพราะตัวเราเองทำให้ตัวเองทุกข์ถูกไหม (ถูก)  คิดไม่เป็นวางไม่ได้ก็เลยเป็นทุกข์ เพราะตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกว่าทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะขาดสติ ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด ที่เราขาดสติเพราะเราใช้อารมณ์เป็นหลัก ไม่ใช้สติ ไม่ใช้คุณธรรมนำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่นะ
(เพราะเรายึดติดไม่ปล่อยวาง)  เพราะยึดติดไม่ปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)  แล้าเรายึดติดอะไรมากที่สุดที่ทำให้เราทุกข์ อารมณ์ กิเลส หรือทิฐิความเป็นตัวเป็นตน (ทุกข์ด้วยกิเลส)  คนเรายึด แต่ไม่เหมือนกัน บางเรื่องยึดเพราะทิฐิ บางเรื่องยึดเพราะกิเลส บางเรื่องยึดเพราะอารมณ์ บางเรื่องยึดเพราะหน้าตา บางเรื่องยึดเพราะหน้าที่ บางเรื่องยึดเพราะเกียรติยศ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะตอบเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ มันแล้วแต่ว่าตอนนั้นเรากำลังโดนอะไรกระทบใจ ใช่ไหม (ใช่) 
(ทุกข์เพราะรัก โลภ โกรธ หลง)  ตบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ทุกข์เพราะยึดกิเลส ยึดอารมณ์เป็นใหญ่ ยึดทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ ยึดตรงที่แพ้ไม่ได้ วางไม่เป็น ยอมไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่ามนุษย์ถึงที่สุดทุกข์เพราะอะไร จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะกิเลสหรอก มนุษย์ทุกข์เพราะตัวเรานี้ ตัวเรานี่แหละเป็นโรงงานผลิตทุกข์ตัวดีเลย ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ควรคิดไม่คิด  สิ่งที่ไม่ควรคิดก็คิดเอาๆ ถูกไหม (ถูก)  รู้ว่าทำสิ่งนี้ไม่ดีทำไหม ทำ ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าถ้าศิษย์อยากหยุดทุกข์ทั้งมวลไม่ใช่แค่หยุดโลภ โกรธ หลง แต่นี่มันต้องรู้ตั้งแต่ตัวนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ที่เมื่อสักครู่อาจารย์บอก มนุษย์เมื่อมีตัวตนจึงมีกิเลสมีกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เข้าใจว่าตัวตนเองแท้จริงแล้วก็ยึดไม่ได้ไม่เคยมีมาด้วยซ้ำ เมื่อนั้นกิเลสกรรมและเวียนว่ายมันจะจบสิ้นไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ถึงที่สุดมันก็แค่เป็นการใช้กรรมในอดีตเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)

 ขึ้นชื่อว่าสังขาร อันนี้เรียกว่าตัวตนใช่ไหม ที่อาจารย์บอกว่าเป็นโรงงานผลิตทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่มีตัวตนที่ยึดถือเลย ไอ้โรงงานนี้มันคือก็ความไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เราเป็นทุกข์หนีไม่พ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เราครอบครองยึดถือ เราก็ต้องเจ็บปวดกับความทุกข์ ความแก่ ความตาย ใช่ไหม แต่ถ้าเราไม่ยึดความแก่ ความเจ็บ ความตายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพหนึ่งแห่งสภาวธรรม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอาจารย์บอกว่าไอ้ตัวตนนี้



อันนี้เรียกว่าสังขาร ตามปกติธรรมดาของสังขารคือต้องกิน ต้องนอน ต้องขับถ่าย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วในสังขารนี้เราก็หนีไม่พ้นทุกข์อันหนึ่งที่เรียกว่าไตรลักษณ์ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า อันความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ธรรมยังสอนอีกว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่ยึด มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่ยึด อะไรจะเป็นนายครอบครองใจเรา ก็ไม่มี มันก็จะหายเป็นไปตามสภาวธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ หลงยึดว่าร่างกายเป็นของ (เรา)  หลงยึดว่าเป็นของตัวเรา พอหลงยึดว่าเป็นของเราอีก เสร็จแล้วเรายังหลงที่จะสร้างนิสัย และสร้างความเคยชิน ครอบงำตัวตนนี้ แล้วนิสัยความเคยชินนี้ก็หนีไม่พ้นความไม่เที่ยงคือ มันเปลี่ยน เดี๋ยววันนี้นิสัยอยากกินอันนี้ เดี๋ยววันนี้อยากชอบอันนี้ อยากทำอย่างนั้น จึงเรียกว่าตัวตน เมื่อถูกกระทบจึงก่อเกิดเป็นสองสิ่ง ที่เรียกว่า บุญกับบาป อารมณ์ดีทำบุญ อารมณ์ไม่ดีทำบาป ใช่ไหม (ใช่)  บุญ พอทำบุญเสร็จ สาธุ ขอให้ชาติหน้าสบาย ขอให้เกิดมาไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ เพี้ยงๆ ทำบุญแล้วบุญน่าจะจบ ไม่ ยังทำบุญเพื่อหวังมีตัวอีก ทุกข์จบไหม (ไม่จบ)  ทุกข์ยังอยากสร้างตัวตนว่า สาธุขอให้สบายมีกินมีใช้โดยไม่ทำอะไรก็มีคนช่วยทำให้กินทำให้ใช้ ดีไหม (ไม่) 
รู้ไหมเป็นอะไร คุณธรรมไม่มีชอบทำแต่บุญ คุณธรรมความเป็นคนไม่สร้าง ชอบทำแต่บุญ ตายไปเป็นสุนัข เป็นแมวมีคนเลี้ยงมีคนอาบน้ำให้ ฉะนั้นอย่าทำแค่บุญ ถ้าคุณธรรมความเป็นคนยังบกพร่อง บุญจะทำให้เราก่อเกิดเป็นตัวตนที่ไม่ได้เป็นคน แต่เป็นอะไรไม่รู้ แล้วแต่ศิษย์สร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น บาป เกิดเป็นคนต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  ไหนมีใครไม่ทำบาปบ้างยกมือขึ้น ทุกคนเลยหรือ น่ากลัวจริงๆ เลยนักเรียนชั้นนี้ อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ของอาจารย์โดยส่วนใหญ่ไม่กลัวบาป แต่กลัวเคราะห์กรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นบาปมาจากกิเลส กิเลสถึงที่สุดให้ผลเป็นทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย บุญก็เหมือนกัน ถึงแม้จะให้สุข แต่สุขนี้เมื่อเสวยเต็มที่ ก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วหนีพ้นการเวียนว่าย จงทำบุญนั้นด้วยการไม่มีตัวตนรองรับ บุญที่ประเสริฐที่สุดคือ บุญที่สละความเป็นตัวตนได้ บุญที่ทำแล้วให้ได้แม้กระทั่งตัวตน
เหมือนพระพุทธองค์ บุญที่ยิ่งใหญ่คือ สละแม้กระทั่งตัวเองและชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเวไนย ฉะนั้นทำบุญอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับบุญที่สละความยึดมั่นถือมั่นได้นั่นแหละคือบุญที่ยิ่งใหญ่ บุญที่สามารถทำแล้วแผ้วถางกิเลสได้ บุญนั้นจะกลายเป็นกุศล ที่นำพาให้พ้นเวียนว่ายวน แต่ถ้าบาป เวลาโดนกระทบก็เกลียดมัน ด่ามัน บาปนั้นก็ก่อเกิดเป็นเวรกรรมใช่ไหม (ใช่)  เวรกรรมคือจำแล้วไม่ลืม  ฉะนั้นเกลียดใครแล้วจำไม่ลืม บาปมันจะกลายเป็นเวรกรรม และสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นศิษย์อยากจะตัดการเวียนว่าย พระพุทธะจึงกล่าวว่า บุญบาปทุกข์สุข ยังเป็นเรื่องของโลก ยังเป็นเรื่องไม่พ้นทุกข์ ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ ต้องเปลี่ยนจากการทำบุญเป็นกุศล ไม่ใช่อาจารย์ห้ามศิษย์ใส่บาตร ใส่บาตรได้ แต่ใส่บาตรแบบไม่ขอ อย่าใส่บาตรแบบสาธุขอให้หนูเกิดมามีกินมีใช้ มีนั่นมีนี่ ศิษย์เอ๋ยศิษย์ทำบุญไม่ครบนะ ศิษย์ทำบุญมีกินมีใช้ แต่ศิษย์ลืมทำเรื่องปัญญา ศิษย์ทำเรื่องการดำเนินชีวิตคู่ ศิษย์ทำไม่ครบ ความเป็นคนจะไม่สมบูรณ์ เคยไหมทำอย่างหนึ่งแล้วขาดอีกอย่างหนึ่ง อยากเป็นคนสมบูรณ์ต้องงามพร้อมทั้งมโนธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม สัตยธรรม แล้วตอนนั้นจะเกิดมา ครอบครัวก็สมบูรณ์ ปัญญาก็ดี ไม่มีใครโกง ไม่มีใครแก่งแย่ง ทำได้ขนาดนั้นไหม ฉะนั้นถ้าอยากมาเกิดใหม่ แล้วบุญยังไม่พร้อมซึ่งคุณธรรม บุญนั้นจะไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้อีกนะ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า เมื่อเราเข้าศึกษาการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม เราจะตัดทางมาแห่งบุญบาปอย่างไร ไม่ให้ก่อเกิดวิบากกรรมและการเวียนว่าย ไม่ยากเลย ขอเพียงศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวตน อาจารย์ถามจริงๆ ก่อนมามาตัวเปล่า กลับไปไปตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ยังตัดตัวตนตัวนี้ไม่ได้ อาจารย์ก็หนูยังเป็นอย่างนี้ ทำไงได้ นิสัยหนูก็ได้แค่นี้ อาจารย์ก็ทนๆ ไปแล้วกันนะ หนูก็ดีได้แค่นี้ทั้งที่มันจะตายแล้วจบ มันไม่จบ เพราะศิษย์ยังยึดความเป็นตัวตนนี้อยู่ ฉะนั้นตัวตนนี้มีอยู่ที่ใด แม้ตายไปตัวตนนี้ก็ยังต้องไปรับผลของเคราะห์กรรมที่ศิษย์ยึดอยู่เท่านั้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากตัดตัวตนนี้ได้ วิถีทางแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญก็คือ กระจ่างในสภาวธรรม สว่างในคุณธรรมความเป็นคน กระจ่างในสภาวธรรมก็คือ มนุษย์เรามีไม่เที่ยง ทุกข์ แล้วก็อนัตตา คือว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไร ศิษย์อย่าทำเพราะนิสัย ทำเพราะความอยาก เพราะถ้าเกิดศิษย์ทำเพราะนิสัย ทำเพราะความอยาก ศิษย์ก็ตอกย้ำความเป็นตัวตนทับซ้อนเข้าไปในสังขาร เรียกว่าตัวตนซ้อนตัวตน เกิดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะจึงสอนไว้ถ้ามีอะไรให้ทำ ให้นึกว่า
ทำแล้วเมตตาไหม ใช้คุณธรรมก็ได้
ทำแล้ว มีมโนธรรมหรือเปล่า
ทำแล้ว รู้จักเคารพให้เกียรติคนอื่นไหม คือจริยธรรม
ทำแล้ว นี่หรือคือคนที่มีปัญญาที่ดี ที่เขาควรทำ
ทำแล้ว มีสัตยธรรมความเป็นคนไหม
ฉะนั้นก่อนจะอยาก ลองไตร่ตรองดูอันนี้ เพื่อจะได้ลดความเป็นตัวตนให้มันหาย เหลือแต่ความไม่เที่ยงแห่งสังขารเท่านั้นเอง ยากไหม   (ไม่ยาก)  วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงนี้ได้ก็คือ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมล่ะ ตัวตนเองเหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว แต่ทุกวันเราปลูกอะไร ปลูกนิสัยความเคยชินการเป็นตัวตน มันก็เลยได้แต่ตัวตน แต่ถ้าเราปลูกคุณธรรม เราก็ได้ธรรมจริงไหม แล้วตอนนี้ทุกวันเราตอกย้ำอะไร หนูอยากกิน หนูชอบอย่างนั้น หนูเป็นอย่างนี้ หนูได้แค่นั้น หนูได้แค่นี้ เป็นตัวเป็นตนที่ยึดติดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะอยาก ให้เราคิดว่าอยากแล้วมีเมตตาไหม พูดแล้วมีสัตยธรรมไหม ทำแล้วมีความสุจริตใจไหม ทำแล้วให้เกียรติคนอื่นไหม มองไปอย่างนี้ด่าเขาไหม ดูถูกคนอื่นหรือเปล่า
ถ้าเราปลูกธรรมเราก็ได้ ธรรม แต่ถ้าเราปลูกความเป็นตัวตนเราก็ได้ตัวตนที่ต้องเกิดแล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แต่ศิษย์หลายคนก็บอกอาจารย์ยาก ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าไม่ยากนะแต่อยู่ที่ศิษย์ยอมทำไม่ยอมทำเท่านั้นเอง ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้สำหรับผู้ที่ตอบคำถาม) 
เอาไปทำอะไร (เอาไปกิน)  บุญที่รู้จักส่งต่อย่อมดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาไปทำอะไร (ส่งต่อ)  คือเอาไปแบ่งให้คนอื่นศิษย์เอ๋ย แล้วท่านล่ะที่ตอบเอาไปทำอะไร (เอาไปให้สาวๆ )  เอาไปให้พ่อแม่ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  อย่ารู้จักแต่ทำบุญกับเพื่อนบ้าน แต่ไม่รู้จักให้ทานนะ
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ในตัวเรามีสิ่งใดที่เราอยากจะแก้ไขแล้วไม่ทำผิดซ้ำผิดซากอีก
(ความไม่พอดี)  ถ้ารู้พอก็มีสุขแต่ถ้าไม่พออย่างไรก็ไม่มีความสุข ชีวิตโชคดีแล้วนะหันไปดูสิโชคดีไหม ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญของตัวเองอย่าทำลายบุญของตัวเองเพียงเพราะอ้างว้างและเงียบเหงา
(ความใจร้อน)  จะใจเย็นสิ่งสำคัญคือสติจะทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิดไตร่ตรองให้ดี
(ความคิด)  ศิษย์รู้ไหมพระพุทธะกล่าวไว้ว่าความคิดยังง่ายที่จะยึดติดในนิสัยความเคยชิน ไม่เหมือนสติกับสัมปชัญญะ สติคือตัวเท่าทันความคิด สัมปชัญญะคือความกระจ่างแจ้งในธรรมตน ฉะนั้นถ้าใช้ความคิดบางครั้งยังคิดวกวน ไม่ใช่สิ่งที่หลุดพ้นใช่ไหม ต้องใช้สติเป็นตัวนำ เพราะจิตที่ว่างจะเป็นจิตที่ไม่ปล่อยให้ความคิดครอบงำ มนุษย์หนีไม่พ้นความคิด ฉะนั้นต้องใช้สตินำมากกว่าความคิด เพราะความคิดยังเป็นสังขารไม่เที่ยง
(ความอยาก)  จะควบคุมความอยากไม่ทำให้ความอยากมาทำร้ายใจใช่ไหม สิ่งสำคัญคืออะไร (มีสติที่อยากได้นั่นได้นี่)  บางครั้งเราต้องคิดแค่ว่าดีแล้วพอแล้วแค่นี้ก็ดีแล้วใช่ไหม ความอยากมันจะได้ไม่ทำให้เราประมาทและเหนื่อยจนเกินไปถูกไหม
(อารมณ์)  จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ (ใจเย็น)  แล้วใจเย็นบ้างไหม (จะพยายาม)  ลุยอย่างเดียวเลยใช่ไหม ใครว่าอะไรลุย ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ เดี๋ยวมันจะจบไม่ลง ใช่ไหม
(เลิกเจ้าชู้)  เจ้าชู้ทางไหน เจ้าชู้ทางไลน์หรือเจ้าชู้ทางโทรศัพท์ใช่ไหม เจอหนุ่มๆ หล่อ คลิ๊กไลค์ อย่านะศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากให้ต้องรับผลกรรมก็จงอย่าสร้างเหตุ เราชอบหรือคนที่โกหกเรา คนที่หลายใจ ก็ไม่ชอบ แล้วทำไมเราจึงทำ ไม่อยากรับผลก็จงอย่าสร้างเหตุนะ
ศิษย์เอยถ้ายิ่งพยายามยึดจึงต้องพยายามปล่อย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทางเป็นของตัวเอง เราไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไรหรอก แค่ยอมรับธรรมชาติของสิ่งๆ นั้น อย่าไปบังคับให้ต้องเป็นดั่งใจเรา ใช่ไหม
ศิษย์ทำได้ดีระดับหนึ่งแล้วนะ แต่ว่าแค่ศิษย์ยังยึดติดว่า แม่ยังอารมณ์ร้อน ศิษย์ยอมรับทุกสิ่งมันมีธรรมชาติ เหมือนนิ้ว เท่ากันไหม (ไม่เท่า)  แล้วความไม่เท่ามันมีดีไหม ทุกสิ่งล้วนมีดีในตน แต่บางครั้งตาเรา ใจเรา มันชอบจดจ่อแต่เรื่องที่เราไม่ชอบ เราเลยบอกไม่เห็นสิ่งที่ชอบ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราเข้าถึงความเป็นจริงว่าในชอบ ในชัง มันก็มีดีอยู่ ถูกไหม ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องพยายามที่จะต้องใช้คำว่าจะต้องอดทน แต่เปลี่ยนจากความอดทนเป็นความเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจเราต้องอดทนไหม ไม่ต้องอดทน ศิษย์รู้ดีหมดทุกอย่าง แต่ศิษย์มักจะจดจำอยู่กับว่า แม่ใจร้อน อย่าไปตอกย้ำอย่างนั้นสิ ข้ามภูเขานั้นให้พ้นแล้วศิษย์จะพบฝั่งแห่งการพ้นทุกข์ ใช่ไหม
ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดก่อนพูด เพราะพูดไปแล้วต่อให้เป็นม้าดีม้าเร็วเรียกกลับมาก็แก้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อยากจะแก้ไขความผิดตัวเอง)  มนุษย์จะก้าวหน้าก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าตัวเรามีอะไรไม่ดี ถ้าเราคิดว่าตัวเองดี เราก็จะไม่ก้าวหน้าเลย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ปุถุชนไม่เคยมองเห็นตัวเองผิด แต่พุทธะมองเห็นตัวเองผิดแล้วแก้ไขตัวเองอยู่ทุกวัน
(ชอบจับผิดคนอื่น)  แก้ไขโดยที่คิดว่าคนทุกคนมีดีมีร้าย แต่จำไว้อย่างหนึ่ง เพราะมีคนไม่ดีเราจึงเห็นคุณค่าของคนดีถูกไหม (ถูก)  เพราะมีคนขี้เกียจ เราจึงเข้าใจคนขยัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีคนดำ เราจึงรู้ว่าเราขาวแค่ไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเพราะมีคนผิด จึงมีคนถูก แต่เราต้องให้โอกาสเขา บอกเขาว่าเธอผิดได้ไม่เกินสามครั้ง ถ้าเธอผิดสามครั้ง ฉันถือว่าฉันพูดเตือนเธอแล้วฉันต้องเชิญเธอออก เป็นอย่างนี้ถูกไหม (ถูก)  เราต้องให้โอกาสไม่ใช่ผิดแล้วเอาไปประจาน ผิดแล้วเอาไปว่า อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ให้คนดีได้แก้ไข ได้กลับตัวใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ใจร้อน)  นักเรียนในชั้นนี้ใจร้อนไหม (ใจร้อน)  ร้อนแล้ว ด่าแล้ว โมโหแล้ว ทุกข์ไหม (ทุกข์บางครั้งก็นำมาคิด)  ฉะนั้นวิธีแก้คือกล้ายอมรับความจริง เขาได้แค่นี้ก็ได้แค่นี้ อยากได้มากกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ โมโหไปก็จุดไฟเผาตัว รู้ไหมว่าคนโกรธมากๆ หนีไม่พ้นนรกโลกันต์นะ อยากลงนรกไหม แปลร้อนให้เป็นเย็น (อยากเลิกน้อยใจ)  ทำไมน้อยใจเพราะชอบเปรียบเทียบใช่ไหม (ใช่)  การน้อยใจคือการที่เรามองตัวเองไม่มีคุณค่า ลองดูดีๆ เราไม่มีคุณค่าอย่างที่เขาว่าไหม เห็นคุณค่าของตัวเองเราจะไม่มีวันน้อยใจ ใช่หรือเปล่า
ตอนนี้รู้หรือยัง เพราะเราเอาชีวิตทั้งชีวิตไปอยู่กับลูกถูกไหม อาจารย์ถามหน่อยนะถ้าวันหนึ่งต้องตาย ศิษย์ห่วงแค่ไหนศิษย์ก็ยังต้องวาง ใช่หรือไม่ บุญ กรรม ของศิษย์ถ้ายังไม่พอต้องกลับมาเป็นสุนัขรับใช้ ลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นแค่ตอนนี้เราแค่วางตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ส่วนลูกจะทำอย่างไรกล้ายอมรับความจริง ก็ทำได้แค่นี้นะศิษย์เอ๋ย เชื่ออาจารย์เถอะห่วงแค่ไหน  ดื้อมากมันเป็นกรรมของเรานะ ทำตัวให้ดีและถูกต้อง เดี๋ยววันนี้ไม่ได้  เดี๋ยววันหน้าก็ได้  หรือถ้าเราพูดไม่ได้ก็ให้คนอื่นช่วยพูด  ความน้อยใจอย่าให้ตัวเองทำอะไรผิดบาปนะ หน้าสงสารหัวอกพ่อแม่ เจอลูกดื้อทำอย่างไรทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริงใช่ไหม  เหมือนกันเวลาอาจารย์เจอศิษย์ดื้อให้ทำดีทำไหม (ไม่ทำ)  หัวอกอาจารย์ก็หัวอกเดียวกับศิษย์นั่นแหละ ให้ศิษย์ทำดี ศิษย์ทำไหม (ทำ)  ทำหรือ สามวันดีสี่วันไข้ต่างหาก ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ก็รู้ ลูกใคร  ใครก็รัก  อาจารย์ถามจริงๆ เราทำได้ดีหรือยัง  เราเอาแต่บ่น เราเคยสอน เคยมีคุณธรรมให้ลูกเห็นบ้างไหม แทบจะไม่ค่อยมี  วันๆ เอาแต่ให้เงินไม่เคยสอนไม่เคยอะไร เคยกอดลูกไหม เคยบอกรักลูกไหม  หลังจากนี้กลับไปบอกรักลูก แล้วสอนลูกให้ดี  สอนด้วยการทำตัวเองให้ลูกเห็น แม่รักลูกนะ  ลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก จะดีจะชั่วแม่ก็รัก จะเลวอย่างไรแม่ก็รัก ดูสิเขาจะเลวได้กี่น้ำ
อาจารย์พูดอย่างนี้จริง เพราะอาจารย์ก็ใช้อย่างนี้กับศิษย์ จะดีจะชั่วอย่างไรอาจารย์ก็รัก อาจารย์ก็ให้อภัย จะดีจะชั่วอย่างไรกลับมาหาแม่ แม่ให้โอกาสเสมอ แต่อย่าสอนลูกแค่ให้เงิน สอนเขาด้วยคำพูดดีๆ สอนด้วยท่าทีที่เรารัก มนุษย์ทุกคนใจเย็นอยู่แล้วจนกว่ามีอะไรมากระทบกระทั่ง พออะไรมากระทบขัดใจหน่อยก็ตวาดออกมา ฉะนั้นก่อนที่จะตวาดออกไป สติต้องนิ่ง มีสติอยู่กับลมหายใจ เมื่อไหร่ที่อารมณ์ร้อนแปลว่าหัวใจเราจะเต้นเร็ว และหายใจเข้า จะสั้นไม่ยาว
เราอยากให้อภัยคนอื่น แต่คนอื่นไม่ให้อภัยเรา อาจารย์อยากบอกศิษย์นะว่า เรื่องราวบางเรื่องบางทีต้องใช้ความอดทน เพราะว่าเราไม่รู้ว่ากรรมเก่าเราทำอะไรมา และไม่รู้ว่าเราทำมากแค่ไหน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะแก้ไขเปลี่ยนชะตากรรม ก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นและอดทนตั้งมั่นกับความดีอย่างไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงก็จงสู้จนสุดลมหายใจ ศิษย์เคยได้ยินคำว่า คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ไหม (เคย)  หมายถึงว่าแม้ตกน้ำแล้วชีวิตจะดับหายไปกับสายธารแต่ความมุ่งมั่น แต่ความดี ไม่เปลี่ยนแปลง แม้โดนไฟไหม้โดนใครว่าโดนใครทิ่มแทงโดนใครแผดเผา แม้ตัวจะเจ็บขนาดไหนแต่ความมุ่งมั่นในการทำความดีไม่สูญสลาย นี่เหละที่เรียกว่าคนดีจริง ตกน้ำใจก็ไม่หายไปกับน้ำ ถูกไฟเผาใจก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมุ่งมั่นในการเป็นคนดี
(ทำดีไม่ได้ดี)  แล้วเราทำดีหวังผลไหม ความโกรธทำไมรักษายากมาก ที่มันรักษายากก็เพราะว่าเวลาศิษย์มีชีวิตอยู่ตลอดตั้งแต่เกิดจนโตศิษย์ไม่เคยควบคุมใจ ทุกสิ่งทุกอย่างทำตามใจตลอด ใจอยากอะไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น ฉะนั้นวันหนึ่งจะให้ไม่โกรธ มันข่มยากมันเหนื่อย แต่อาจารย์อยากบอกว่า ไม่ใช่ว่ามันข่มไม่ได้ ขอเพียงเข้าใจว่าคนที่ศิษย์เกลียดก็มีดี เรากำลังเปรียบเทียบอะไร คนที่ศิษย์ไม่ชอบเขาก็ไม่ใช่ว่าจะร้าย มันก็มีสิ่งที่น่ารักอยู่แต่เรายึดติดกับอะไร ถูกไหม อย่าเห็นอยู่กับสิ่งที่เราเห็นแต่จงเปิดใจให้กว้างนะ
(ความอาฆาตเมื่อเขามาทำร้ายเราแล้วเราจองเวร)  ฉะนั้นคนที่จะดึงตัวเองให้พ้นทุกข์ได้คือใคร (คือตัวเราเอง)  ฉะนั้นเปลี่ยนบาปให้เป็นบุญเปลี่ยนบุญให้เป็นกุศลจะได้นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์นะ คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก ปล่อยวางความรู้สึกจึงพ้นทุกข์
(การให้อภัยกับคนที่มาทำร้ายบิดาของเรา แล้วถ้าเราไม่ให้อภัยเขาเราจะได้นิพพานไหม) ในโลกนี้สิ่งที่หนีไม่พ้น พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์และเป็นผู้รับกรรมอย่างหนีไม่พ้น เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร  แล้วศิษย์อยากให้กรรมมันจบหรือกรรมไม่จบ แค่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่ต้องอภัยก็ได้แต่แค่เข้าใจ ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อก่อนศิษย์ทำอะไรเขามา ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อก่อนพ่อเราทำอะไรมา แล้วถ้าหากพ่อเราไปทำพ่อเขามาก่อน แบบนี้คือการได้ใช้คืน ทำไมไม่ดีล่ะที่กรรมจะได้จบ แล้วเราจะเกี่ยวกรรมเพิ่มทำไมศิษย์ จริงไหม คิดให้ดีๆ ลองมีสติไตร่ตรองให้ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า อย่าเปรียบเทียบ”)
มนุษย์เราบางครั้งที่ทุกข์ก็เพราะว่ามัวจมอยู่กับสิ่งที่เป็นอดีตจนลืม มองปัจจุบัน หรืออยู่กับปัจจุบันจนลืมมองความเป็นจริงว่าเราทำได้แค่ไหน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์จงอย่าเปรียบเทียบจนเกินไป จงอยู่กับความเป็นจริงและยอมรับว่าในโลกใบนี้มีใครได้ดั่งใจบ้าง (ไม่มี)
ตัวศิษย์เองยังทำไม่ได้ดั่งใจ บอกอย่าโมโหก็ (โมโห)  อย่าด่าเขาก็ (ด่า)  แล้วศิษย์อย่าเอาความคาดหวังนี้ไปใส่กับลูก ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งที่สำคัญคือ ตัวเราเองทำให้ได้ดีก่อน อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใคร หรืออย่าเอาตัวลูกเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ยอมรับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น มองอย่างเป็นธรรม มองอย่างบังเกิดธรรม อย่ามองอย่างคนที่ติดยึดในความรู้สึกแห่งตัวตน ไม่อย่างนั้นจะหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
 “เปรียบเทียบเพราะมีอยากได้อยู่ในใจ        หวังจนไม่มองความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องดีกว่าเหนือกว่าอย่างเมามึน                 มีแบ่งแยกยึดติดขึ้นยากฟังใคร
ส่วนใหญ่คนต่างไม่ชอบถูกเปรียบเปรย      อย่าชินเคยพูดเรื่อยเปื่อยกันไปใหญ่
มองตามจริงกล้ายอมรับความเป็นไป         ไม่มีอะไรเกินไม่หากใจกว้างพอ
มีใครแย่เกินไปไหม มีใครเลวเกินไปไหม (ไม่มี)  ถ้าใจศิษย์กว้างพอ ไม่มีใครแย่เกินไป ถ้าศิษย์ใจยิ่งใหญ่พอ ไม่มีใครเลวร้ายเกินไปหรอก แต่เพราะใจของมนุษย์ยึดติดคับแคบ จึงมีคนชอบ มีคนชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ยึดติด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นสภาวธรรมให้เราเรียนรู้แค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
การศึกษาปฏิบัติธรรมสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่แค่การเป็นคนดีแล้วว่าคนอื่นไม่ดี แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่ารู้ตัวเองไหมว่า คิด พูด ทำอะไร เพราะถ้ารู้ตัวเองก็หยุดตัวเองได้ แต่ถ้าไม่รู้ตัวเอง ตัวเองนั่นแหละจะเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์กับสิ่งที่ไม่น่าทุกข์ เพราะใจเราแค่ไม่ชอบ ถูกไหม หรือแค่คำว่าไม่พอใจ แค่นั้นนะศิษย์ อะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แต่ถ้าใจเรารู้สึกว่า นั่นก็ดี แค่นี้ก็ดี เท่านั้นก็พอแม้เขาไม่ดีอย่างไร เราก็สุขใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นแต่มันอยู่ที่ใจเรายอมรับความเป็นจริงแห่งคนหรือไม่ เห็นคนเป็นธรรมเราก็ได้ธรรม แต่ถ้าเห็นคนเป็นกิเลส อารมณ์ เราก็ได้กิเลส อารมณ์ ซึ่งเท่ากับว่าเราไม่ได้บำเพ็ญอะไร จริงไหม (จริง)
อย่าฟังมามาก แต่พอถึงเวลาทำไม่ได้เพราะไม่รู้เท่าทันใจตน อย่ารู้มากแต่ถึงเวลาปฏิบัติไม่เป็นเพราะขาดสติยั้งคิด เมื่อโดนกระทบ นิ่งเป็นบ้างไหม ทำอย่างไรให้นิ่งได้ ก็หยุดพูดแล้วหันกลับมามองตัวเองว่าถูกไหม เพราะเราถนัดแต่มองออก จับผิดเขา ว่าเขา ถ้าตัวเองดีอะไรมันก็ดี ถ้าตัวเองไม่ดี คนดีๆ ยังมองเป็นคนร้ายจริงไหม (จริง)  อาจารย์ไม่ได้ว่าแต่อาจารย์พูดตามความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์ถามง่ายๆ อย่างพระพุทธองค์ ก่อนท่านจะพ้นทุกข์ตรัสรู้ มีมาร 3 ตัวมาขัดขวางไม่ให้ท่านพ้นทุกข์และเข้าถึงพระนิพพาน มาร 3 ตัวนั้น ไม่ได้เป็นตัวชั่วร้ายอะไรเลย หนึ่งคือตัวตัณหา สองคือตัวราคะ สามคือตัวอรติ ตัณหาคือความอยาก ราคะคือความพอใจ อรติคือความไม่พอใจ มองให้ดีๆ สามตัวนี้เป็นตัวตัดทางพ้นทุกข์ ตัดทางเข้าถึงพระนิพพาน แล้วมีอยู่ในใจของเราทุกคน ถ้ามีเมื่อไหร่ไม่มีวันพ้นทุกข์ ไม่มีวันเข้าถึงพระนิพพาน นิพพานไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก นิพพานอยู่ที่ตัวเรา โดนกระทบ นิ่งแล้วเย็นไหม ถ้าโดนกระทบแล้วยังนิ่งเย็นไม่ได้ ยังแตกออกเป็นชอบ ชัง ใช่ ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่สภาวธรรม เมื่อมีชัง จึงมีเกลียด มีโลภ มีโกรธ มีหลง จึงต้องทำบุญ รักษาศีล ทั้งที่คำตอบที่แท้จริงพระพุทธะไม่ได้ไปถามใคร พระพุทธองค์ที่ศิษย์นับถือ ที่ศิษย์เคารพกราบไหว้ ท่านหาอาจารย์ พอหาที่สุดแล้วท่านก็ต้องมาตอบด้วยตัวเองใช่หรือไม่ เพราะคนที่จะตอบคำถามของศิษย์ได้ดีและนำพาให้ตัวศิษย์พ้นทุกข์คือตัวของศิษย์เอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่สงสัยอาจารย์ แต่ลืมสงสัยตัวเอง เพราะอาจารย์รู้ทางพ้นทุกข์ แต่ศิษย์ยังไม่พ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ยังยึดติดว่า ฉันแน่ ฉันเก่ง เธอเก่งขนาดไหน เธอดีขนาดไหนถึงมาสอนฉัน อาจารย์รู้ว่ามาแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะกลับแล้ว แล้วกลับของอาจารย์เป็นกลับที่พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่กลับที่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน จนลืมมองความจริง ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าวันนี้มาศึกษาธรรม ได้ธรรมบ้างไหม หรือมาศึกษาธรรมเพื่อมานั่งหลับ น่าเสียดายถ้ามาแล้วมานั่งสงสัย มาแล้วมานั่งรำคาญมันไม่ได้บุญมีแต่บาป จริงไหม (จริง)  จริงๆ อาจารย์ก็ทั้งอยากมาและไม่อยากมา เพราะอาจารย์รู้ว่าเป็นธรรมดาที่สองวันจะปลูกต้นธรรมให้โตมันเป็นไปไม่ได้  แต่หวังว่าสองวันจะก่อเกิดหน่อเมล็ดพันธุ์ที่ดี   เพื่อสักวันหนึ่งจะเติบโตและเป็นคนดีที่นำพาตัวเองพ้นทุกข์ได้ก็พอ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ ว่าวันนี้มาฟังธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมหรือมาฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน อย่ามองอาจารย์เลยมองตัวเองดีกว่า เมื่อไรที่มนุษย์ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็หนีไม่พ้นกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไรเข้าถึงสภาวะความเป็นจริงแห่งธรรมว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไร เพราะทุกสิ่งมันเกิดและดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เรามักจะหลงยึดหลงถือโดยขาดสติเท่านั้นเอง จริงไหม (จริง)  อย่าลืมนะอนิจจังมันทำให้ทุกข์เกิด เดี๋ยวอนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ดับ หน้าที่ของเราไม่ใช่แค่พยายามไปดับทุกข์ แต่หน้าที่ของเราแค่มีสติรู้ตนและมองเห็นทุกข์ให้เข้าใจ แล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก เพราะทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วทำไมต้องไปทนมันทนได้ยากอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวทุกข์ก็หายไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแค่เรากล้ายอมรับความจริงทุกข์ก็ทุกข์สิ ไม่เห็นเป็นไรเลย รู้จักทุกข์แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ มีกิเลสแต่ไม่จำเป็นต้องตกเป็นทาสของกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะ มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกันอีกนะ ขออย่าได้ไปแล้วไปลับเลยนะ มีคำมากมายอยากเอื้อนเอ่ย มีคำมากมายอยากหนุนนำให้ศิษย์ได้เข้าใจและได้รู้ตื่น ถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักเชื่อมั่นในความดีงามของตัวเอง แล้วมัวแต่คลางแคลงสงสัยอาจารย์จี้กงใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าคิดว่ามาหลอกเลยนะ รักษาบุญรักษาโอกาสตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม กลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย 
มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกันอีกนะศิษยเอ๋ย ขอให้บุญรักษา ขอให้รู้จักมีศีลมีธรรม ขอให้รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ ขอให้รู้จักมีสติยั้งคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี ใช่ไหมศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี จับมือแปลว่าจะกลับมาอีกนะ ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญเพื่อนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่หลงทาง ศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่หลงรูป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อยากให้อาจารย์ตบหัวจะได้หายโรคหายภัยหรือ อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่านเข้าใจไหม ศิษย์เอ๋ยให้ศรัทธาในความดีงามไม่ใช่ให้งมงาย
อาจารย์ขอพูดอะไรหน่อยนะ ศิษย์เอ๋ย ใครๆ ก็ต้องตาย ใครๆ ก็ต้องเจ็บ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ตบหัวแล้วศิษย์จะไม่เจ็บไม่ตายนะศิษย์เอ๋ย มันหนีไม่พ้นนะศิษย์ ความเจ็บความตายกลับสอนให้เรารู้จักปลดปลงชีวิต สอนให้เรารู้ว่าชีวิตนี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้วหลงจนเกินไป สอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ฉะนั้นอย่าคิดว่าตบหัวแล้วจะไม่เจ็บไม่ป่วย อาจารย์กลับแล้วจะหายโรคหายภัย อย่าหลอกตัวเองนะศิษย์เอ๋ย เพราะพุทธะทุกพระองค์ก็ล้วนต้องตายล้วนต้องเจ็บ แต่สิ่งที่ท่านทำมากกว่าเจ็บและตายนั่นคือท่านสามารถตายก่อนตาย ดับการเกิดที่ไม่ต้องทำให้ตัวท่านเวียนว่าย และนำพาหนทางนั้นมาปรกโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าเข้าถึงหนทางธรรมแล้วจะไม่เกิดไม่ตายไม่เจ็บไม่ป่วย ยังต้องเจ็บยังต้องป่วยยังต้องตาย แต่เจ็บป่วยตายอย่างคนที่มีสติเข้าใจ ไม่ยึดติดไม่ทุรนทุราย แล้วแต่ศิษย์
กลับมาอีกนะ ขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ ไม่ใช่ตบหัวแล้วจะหายโรคหายภัย อาจารย์ไม่ได้ทำให้ศิษย์งมงายอย่างนั้นนะ โรคเกิดจากปากถ้ากินอะไรตามใจปาก ไม่รักสุขภาพเอาแต่ตามใจตัวเอง พอถึงเวลาจะฝืนตัวเองก็ทำไม่ได้ โรคเลยรุมเร้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมตัวเองนะ ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท อย่าเปรียบเทียบ
     เปรียบเทียบเพราะมีอยากได้อยู่ในใจ
หวังจนไม่มองความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องดีกว่าเหนือกว่าอย่างเมามึน                
มีแบ่งแยกยึดติดขึ้นยากฟังใคร
ส่วนใหญ่คนต่างไม่ชอบถูกเปรียบเปรย      
อย่าชินเคยพูดเรื่อยเปื่อยกันไปใหญ่
มองตามจริงกล้ายอมรับความเป็นไป         
ไม่มีอะไรเกินไม่หากใจกว้างพอ


                พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทที่สถานธรรมจินจง จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 27-29 มิถุนายน 2558
แก้ไขเพลงหน้า 12  ย่อหน้าแรก
จาก            ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาหนึ่งเดียวกัน
แก้เป็น        ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาผืนเดียว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา