แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เฉากว๋อจิ้ว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เฉากว๋อจิ้ว แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2540

2540-03-29 สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา



PDF 2540-03-29-จือเจวี๋ย #2.pdf

#บาป  #กายกรรม  #บาปทางกาย #บาปทางใจ  #โลภโกรธหลง  #ใจพระ  #ใจมาร  #ความหมายจือเจวี๋ย

กรรมทางกาย  
กรรมทางใจ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2539

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2538

2538-05-05 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2538-05-05-ผู่ถี #3.pdf

#เมตตาปัญญากล้าหาญ  #ฟังธรรม  #สายทอง  #การฟังธรรม


วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อากาศเย็นลอยต่ำสู่พิภพ ฟ้าบรรจบดินสงบยิ่งใหญ่เสมอ
ประชุมธรรมเพื่อปลุกผู้ละเมอ สงสัยเธอฉันหรือเขาเฝ้าพิจารณา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนล้วนเกษมฤๅ ฮวา ฮวา
วาระใหญ่ปรกโปรดทั่วสามภพ มนุษย์ฟ้าบรรจบงานสำคัญยิ่ง
เรียกพุทธบุตรที่ยังหลงประวิง พบญาณจริงจงเร่งไปเจริญกุศล
ทั้งบาปบุญเคยสร้างโอกาสช่วย ยุคสามนี้มิงงงวยไปเวียนว่าย
จงรู้ตื่นฉับพลันแจ้งทางเดินไป ด้วยจิตใจมิสงสัยหรือลังเล
ประชุมธรรมเพื่อจิตญาณใสผุดผ่อง อภิลาสแน่มิครองให้โศกศัลย์
ระทมในโลกนี้ทุกคืนวัน ทั้งโลภหลงผูกพันปิดปัญญา
อยู่ในโลกแปดทุกข์เข็ญมาพัวพัน อุปสรรคนานานั้นพาจิตหลง
เมื่อรู้แล้วจงเร่งไปปลดปลง มิยืนงงตัดโอกาสเหล่าเมธี
ผู้บำเพ็ญควรเห็นชัดสัจธรรมชีวิต ชะตาลิขิตของตนควรแยกชัดหนา
อย่าล่องลอยปล่อยตามน้ำเสียเวลา เกิดกายมามิใช่ง่ายอย่างเข้าใจ
เมื่อนาวาลอยผงาดกลางทะเลทุกข์ สายทองฉุดเวไนยจงตื่นหนา
เหล่าพุทธาลงช่วยงานมิชักช้า จงศึกษาแจ้งปัญญาได้เดินจริง
จงเริ่มต้นคุณธรรมแห่งมนุษย์ เป็นคนจริงสมบูรณ์ให้ได้หนา
จิตอับแสงจงแข็งแรงกู้ใจฟ้า แล้วตัวข้าจะคุ้มครองให้บำเพ็ญ
มาวันนี้หน้าที่พี่จดบันทึก น้องตรองตรึกอย่าหวาดหวั่นไปเลยหนา
ผ่านทดสอบเลื่อนชั้นใกล้มารดา รู้ไหมหนาจงศึกษาให้เข้าใจ
ประชุมธรรมสามวันจงอย่าขาด บรรพชนรอโอกาสน้องฉุดช่วย
ลบหนี้กรรมที่ทับถมมานานนัก ด้วยกุศลผลประจักษ์ในชาตินี้
จงรักษาระเบียบให้เคร่งครัดจริง จิตจงนิ่งฟังธรรมาอนุตตรา
รู้บ่อเกิดชีวิตอันมีค่า จึงเปลี่ยนตนเป็นคนใหม่เข้าใจธรรม
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ภาระใหญ่พุทธบุตรอย่าลืมเสีย
เข้าประตูแห่งพระธรรมนำจิตออก แล้วพี่บอกดูแลน้องมิไปไกล
วนพู่กันจรดวาง
ฮวา ฮวา หยุด


วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เชิญมาร่วมสนุกสนานพร้อมกับเรา ด้วยสิ้นแล้วมัวเมามิหลงใหล
ท่านรู้ไหมว่าเรานั้นเป็นใคร แล้วทำไมเราต้องรีบวิ่งลงมา
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกชกร
พระมารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านง่วงหรือเปล่า
สร้างรากฐานของธรรมเอาไว้ในจิต ไม่ขุ่นทึบดั่งน้ำนิ่ง หากมั่นใจ กู้ใจฟ้า แข็งแรงนำแสงยิ่งใหญ่ จะต้องตั้งจุดหมายใจตื่นด้วยกัน
เมื่อเดินกับผู้คนยิ่งขัดเกลาต้องเข้าใจ ไม่พ้นการขัดใจต้องหวนคุมแล้วรวมจิตตน ทุกข์ทนถ้าตนแพ้ใจ
* พุทธาคือชนผู้งามพร้อมเพรียง ได้รับการขัดเกลา ละจนอารมณ์ที่แรงได้เบา ไม่ตามใจเราไป
เมื่อท่านรู้เมตตาที่แท้ซึ้งจิต ชีพซึมซับเนืองนิจไม่เดินหลงทาง ปลดกรรมนั้นที่เคยสร้างสิ้นไกลห่าง จิตกลับใสอีกครั้ง เมื่อกรรมสิ้นไป
หากจิตพินิจดลให้ได้ย้อนมองเมตตา ส่งเสริมเขาให้มา จากถ้อยคำที่หนุนนำสู่ใจ หนุนนำสู่ใจพุทธา (ซ้ำ *)
เพลง : กลับใจ
ทำนองเพลง : ร้อยคน


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เวลามาฟังธรรมะแล้ว ถ้าคิดว่าดีก็ควรจะเก็บเอาไปปฏิบัติ แล้วเข้าใจไหมว่าทำไมเราจึงต้องมานั่ง ๓ วัน (เพราะการที่จะเข้าถึงอนุตตรธรรมนั้นควรจะต้องมีข้อปฏิบัติในหลายๆเรื่อง) ตอนนี้เรากำลังสร้างกุศลโดยการพูดธรรมะให้คนฟัง ปฏิบัติอย่างไร (ก็คงจะต้องเริ่มที่ใจก่อน ใจนั้นจะต้องเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และเมื่อใจคิดดีแล้ว กายก็ปฏิบัติดีตามไปด้วย) ถ้าฟังแล้วว่าดีและนำไปปฏิบัติ แสดงว่าเปิดใจฟังใช่ไหม (ใช่) แล้วทุกคนได้เปิดใจฟังกันครบถ้วนหรือยัง (ครบ)
การสร้างรากฐานของธรรมไว้ในจิตนี้สร้างได้อย่างไร คนเรามีพุทธจิตเป็นพื้นฐาน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ต่างก็มีพุทธจิตเหมือนกัน เพียงแต่ก่อนที่จะลงมาเกิดทำอะไรไว้อย่างไร ผลกรรมที่ออกมาก็เป็นแบบนั้น พวกท่านที่อยู่ที่นี่เป็นผู้มีภูมิธรรม เป็นผู้ที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมา จึงเกิดมาทันยุคสามนี้ ถ้าหากรู้จักว่าเราควรจะบำเพ็ญอย่างไร ต่อไปก็จะมีรากฐานอันมั่นคง การสร้างฐานที่สำคัญก็คือการเจริญจิตใจเมตตา เพราะคนเราส่วนมากจะขาดจิตเมตตากัน จริงหรือเปล่า (จริง) การศึกษาธรรมะไม่จำเป็นต้องมีความรู้ก็ได้
การบำเพ็ญธรรมต้องมีผู้อาวุโสและผู้น้อย ทุกท่านเข้าใจหรือยังว่า ทำไมผู้ปฏิบัติงานธรรมถึงดีกับเรา ใส่เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเรา สงสัยไหม (สงสัย) เป็นเพราะว่าเขามาก่อนเรา เมื่อก่อนเขาก็ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จากนั้นมาเขาบำเพ็ญดีขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่ดีมากมาย แต่ก็มีจิตใจเมตตา การที่จะมองว่าเขามีจิตใจเมตตา ต้องมองให้ลึกซึ้ง แล้วจะรู้ว่าเขามีจิตเมตตาอย่างไร คนมาที่นี่เพื่อบำเพ็ญธรรมให้บรรลุนิพพาน ถ้าหากบอกว่าบำเพ็ญธรรมแล้วบรรลุนิพพาน จะรู้สึกว่าไกล จริงๆแล้วไม่ไกลหรอก เมื่อก่อนนี้กว่าที่ท่านจะได้รับธรรมะนี้ก็ต้องนาน แต่บัดนี้พอมีคนไปชวน บอกว่ามาไหว้พระ ไหว้พระเสร็จแล้วได้มารับธรรมะ รู้ประตูเกิดตาย รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คนสมัยก่อน พอเขารู้ว่าจุดญาณทวารคือประตูเกิดตายอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถบรรลุได้แล้ว แต่คนสมัยนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังงงกันอยู่เลยใช่ไหม ดังนั้นเมื่อได้รับธรรมะแล้วก็ต้องมาศึกษาทีหลัง
เวลาเจอคนไปชวนมารับธรรมะพูดเก่งๆ รู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าเบื่อหรือเปล่า เป็นมนุษย์ต้องรู้จักการพูดให้พอดี บางคนตอนนี้เงียบๆ เหมือนฝนที่แห้งแล้ง แต่พอพูดมากเกินไปกลายเป็นฝนตกท่วมเลย เพราะฉะนั้นก็ควรรู้ว่าเวลาฝนตก ตกให้พอดีก็มีประโยชน์ ต้นกล้างอกงาม ถ้าหากฝนตกไม่ทั่วฟ้า ตกบ้างไม่ตกบ้าง เหมือนคนที่มีจิตใจเมตตาบ้าง ไม่เมตตาบ้าง อย่างนั้นก็ไม่ดีใช่ไหม
เราให้เพลงไป เข้าใจหรือเปล่า จิตที่ไม่ขุ่นทึบแล้วก็เป็นเหมือนน้ำนิ่ง เป็นอย่างไร (จิตที่ไม่ขุ่นทึบก็คือจิตบริสุทธิ์สดใส ปราศจากกิเลสครอบงำ เหมือนน้ำนิ่งก็คือไม่ว่าจะได้รับกิเลสจากภายนอกเข้ามา ก็จะวางตัวเป็นกลาง จะไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคต่างๆ และกิเลสทั้งปวง) ถ้าหากทุกๆคนทำตัวเป็นน้ำนิ่งได้ทุกวัน ก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเรามีความผิดหวัง มีความท้อแท้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า “กู้ใจฟ้าแข็งแรงนำแสงยิ่งใหญ่” คำว่าใจฟ้าต้องกลับไปศึกษาดีๆ ถ้าหากว่าคนเราเหมือนเป็นแสงอาทิตย์ที่อยู่บนฟ้า แล้วเราเป็นเสมือนพระอาทิตย์ที่จะส่องนำคนอื่นได้ดีหรือเปล่า (ดี) แล้วเมื่อไรจะทำได้แบบนั้น
“เมื่อเดินกับผู้คนยิ่งขัดเกลา” ใครเคยทะเลาะกับคนอื่นบ้าง (มีนักเรียนยกมือ) เวลาทะเลาะกับเขา เราโกรธเขาหรือเปล่า (โกรธ) โกรธแล้วควรทำอย่างไร (อดทน) เวลาเราทะเลาะกับเขาก็เหมือนกับว่าเรากำลังไปกับเขา เรากำลังขัดเกลากับเขา ถ้าเวลานั้นเราไม่นำสติออกมา เราก็จะไม่รู้ว่าเราควรที่จะอภัยให้เขา คนมักจะมีอารมณ์โกรธ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่หยาบที่สุด ซึ่งเป็นไปตามเพลงที่เราบอก เวลาโกรธใครก็ร้องเพลงนี้ดังๆ ทำได้หรือเปล่า ถ้าหากเราอยากเป็นพุทธะ พุทธจิตก็คือจิตของพุทธะ ถ้าหากเราได้รับการขัดเกลาเอาอารมณ์ทิ้งไปบ้าง เราก็จะเป็นพุทธะผู้งามเพียบพร้อมใช่ไหม (ใช่) ต่อไปใครจะอธิบาย (เมื่อเรามีจิตใจที่เมตตาอยู่ในใจแล้ว การดำเนินชีวิตต่างๆ ย่อมมีหลักการที่มั่นคง จะไม่หลงทางไปในทางที่ผิด เป็นการมุ่งตรงไปยังอนุตตรธรรม และช่วยปลดหนี้กรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตชาติหรือว่าในปัจจุบันนี้ เป็นการละกรรมเวรที่ปฏิบัติมา ทำให้จิตเราบริสุทธิ์ขึ้นอีกครั้ง)
คนที่จบจากชั้นนี้ไปแล้วจะต้องมีการพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง เวลาเราพูดให้เขาฟังเราก็ต้องรู้จักพูดในสิ่งที่เป็นจริง และพูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น เวลาเราพูดกับคนอื่นๆ สิ่งที่ไม่ดีของเขาเราจะพูดไหม (ไม่พูด) ถ้าเราไม่พูดถึงสิ่งไม่ดีของเขา แสดงว่าเรามีความเมตตา ถ้าหากว่าคนนี้เขามีความดีและไม่ดี เราจะเลือกพูดสิ่งใดของเขา (สิ่งดี) การพูดในสิ่งที่ดีจะทำให้คนนับถือเรา ผู้บำเพ็ญธรรมต้องทำตัวให้คนนับถือ แต่การทำต้องทำออกมาจากใจจริงๆ
ในชีวิตต้องรู้จักปฏิบัติดีทำดี อย่าดูถูกตัวเอง หากคิดว่าเราต้องหาเงิน หาเช้ากินค่ำ แล้วยังต้องเลี้ยงลูกด้วย อย่างนี้แล้วเราจะสำเร็จได้อย่างไร ถ้าหากว่าคิดอย่างนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จได้ เราต้องรู้ว่าธรรมะที่เราศึกษาอยู่นี้ เป็นเพราะวาระแห่งฟ้าดินในยุคสามต้องการให้เรามีหนทางที่จะบรรลุไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากาลนี้คับขันคงยากที่พวกท่านจะรับรู้วิถีธรรมโดยง่าย เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าที่เราได้รับธรรมะได้ง่ายๆเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่มีบุญ ไม่มีภูมิธรรม แล้วคิดว่าธรรมะเป็นของปลอม ถ้าคิดอย่างนี้แล้วพวกท่านคงไม่แน่ใจและก็ลังเลใจ เพราะฉะนั้นต่อแต่นี้ไปต้องตั้งใจฟังธรรม สิ่งที่เก็บไปปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติ แล้วก็ค่อยๆศึกษาธรรมให้มากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราจะไปแล้ว วันหน้าค่อยพบกันใหม่


วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว
โคลนตมยากยึดมั่นกำอยู่ ลาภยศยากเคียงคู่คงไว้
จะมากมายเพียงไรย่อมเสื่อมไป ดุจอายุขัยย่อมล่วงไปมิอาจิณ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามปราชญ์ทุกท่านเกษมฤๅ
พุทธะถูกมายาภาพปลูกฝังสลับ ครองสุขกับชีวิตปล่อยตามปรารถนา
คำนึงตนหวาดผวาจิตพลาดอัตตา ตามลักษมี ปล่อยหาใดแท้จริง
ชีพลอยล่องปล่อยตามคลื่นกระแส นานเรื่อยแปรใจพัดกระพือไหว
กร่อนไปเช่นทรายถูกชเล ไซร้ รอลมหวนน้ำลอยใหม่พิจารณา
รู้ขมขื่นปล่อยตามใจใฝ่หา เร่งรุดหน้าเริ่มต้นบัดนี้เถิด
รู้ชีวิตเข้าใจชีวิตพุทธจิตบังเกิด พิสุทธิ์เลิศกว่าใดแล้วในโลกีย์
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง
พระโอวาทท่านแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว
วันนี้ที่ทุกท่านมีใจมา เพื่อมาศึกษาธรรม การศึกษาธรรมนั้น เราต้องรู้ถึงต้นรากเดิมแท้ หลักธรรมอันเดิมแท้นั้นอยู่จิตใจ ถ้าจิตใจเราเป็นได้ดังเช่นนภากว้าง จิตใจเราตอนนั้นก็มีหลักสัจธรรมอยู่ แล้วตอนนี้จิตใจของทุกคนสามารถเป็นได้ดั่งนภาที่กว้างได้ไหม ใครกล้าตอบก็แสดงว่าพร้อมที่จะรับฟังธรรมะ จริงๆแล้วทุกคนมีจิตใจที่เป็นดังเช่นท้องฟ้า แต่เป็นได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพราะบางครั้งความต้องการ ความชอบ ความรัก ความโกรธมาบดบัง ทำให้จิตใจของทุกๆคนต้องเอนเอียงไปบ้าง ต้องถูกห่วงทำให้ไม่สามารถมีจิตใจแจ่มใสได้อย่างท้องฟ้าใช่ไหม
ใครเคยลองจับโคลนบ้าง เมื่อเราพยายามที่จะจับโคลน โคลนนั้นก็เหลว ลื่นไหลลงไป จับเท่าไรก็จับไม่อยู่ แล้วถ้าเกิดเราเปรียบเป็นลาภยศ เงินทองที่ทุกคนใฝ่หา ทุกคนอาจจะแย้งในใจว่าเราสามารถจับมันได้อยู่ แต่ไม่สามารถจับเกียรติยศให้อยู่ได้ใช่ไหม (ใช่) ถ้าทุกคนพูดว่าจับเงินให้อยู่ได้ เราอยากทราบว่าตัวไหนล่ะที่เป็นตัวต้องการเงิน ใช่กายนี้หรือเปล่า หรือว่าจิตใจ (จิตใจ) แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเราสามารถกำเงินให้อยู่ได้หรือเปล่า (ไม่อยู่) เมื่อรู้ว่ากำได้ไม่อยู่ ไม่สามารถยึดครองได้ตลอดเวลา แล้วสิ่งที่เราวุ่นวายกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เราหาไว้เพื่ออะไร บางคนก็พูดว่าเพื่อเลี้ยงชีวิตและร่างกายนี้ แต่เมื่อมีมากเกินไปเราก็รู้สึกหวาดกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เมื่อไม่มีเลยก็รู้สึกกลัวที่ใจเราต้องทุกข์ใช่ไหม (ใช่) เพราะทุกคนเห็นอำนาจของเงินว่าสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อจิตใจของเราได้ จริงๆแล้วทุกคนก็รู้อยู่ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่แท้จริง สิ่งใดเป็นสิ่งที่ปลอม แต่ทุกคนก็ยังมีกิเลส ยังมีตัณหา ยังมีความทะยานอยากอยู่ ก็เลยปล่อยใจไป ทั้งที่ความสำนึกที่อยู่ภายในจิตใจลึกๆนั้นคอยเตือนคอยพร่ำบอกเราอยู่เสมอว่า เราเหนื่อยแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้หยุดสักทีใช่ไหม (ใช่) บางคนอาจจะยังไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะชีวิตยังไม่ถึงค่อนชีวิตเลย ยังรู้สึกสนุกสนานอยู่ ยังรู้สึกว่าชีวิตนั้นยังมีต่อๆไปใช่ไหม (ใช่) ทุกคนรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่ทุกคนจะสามารถรู้ได้ไหมว่าต่อไปเราจะได้อาศัยร่างกายนี้อีกหรือเปล่า ไม่ทราบเลยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคืออะไร เราให้ตอบแล้วคิดอยู่ภายในใจนะ เพราะทุกคนความคิดก็ต่างกันไป แต่อย่าเอาความลังเลสงสัย ความกังขามาบดบังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นการศึกษาธรรมะก็ไม่สามารถก้าวเดินไปลึกถึงภายในจิตใจของตนได้ อย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ที่เราเห็น แต่ให้มองเข้าไปลึกๆถึงภายในจิตใจดีกว่าไหม (ดี)
“พุทธะถูกมายาภาพปลูกฝังสลับ ครองสุขกับชีวิตปล่อยตามปรารถนา
คำนึงตนหวาดผวาจิตพลาดอัตตา ตามลักษมีปล่อยหาใดแท้จริง
ชีพลอยล่องปล่อยตามคลื่นกระแส นานเรื่อยแปรใจพัดกระพือไหว
กร่อนไปเช่นทรายถูกชเลไซร้ รอลมหวนน้ำลอยใหม่พิจารณา”
พอเข้าใจกลอน ๒ บทนี้ไหม (เข้าใจ) ลองให้คนพอเข้าใจอธิบายดีไหม (จิตดั้งเดิมของเราเป็นจิตที่เป็นพุทธะ เมื่อมาเกิดในโลกนี้แล้วก็โดนสิ่งต่างๆ เช่นกิเลสตัณหาครอบงำ ปล่อยไปและหลงไปชั่วขณะหนึ่ง) ทำไมเราถึงบอกว่าพุทธะเมื่อลงมาอยู่ในโลกมนุษย์แล้วถึงได้เกิดการปลูกฝัง แล้วสลับเปลี่ยนอะไรไป เพราะว่าจิตใจเราแบ่งไปตามตา หู ลิ้น จมูก ปาก ใช่หรือไม่ (ใช่) และสิ่งแวดล้อมที่แวดล้อมทุกคนอยู่ เมื่อใจเราถูกแบ่งแยก แล้วไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ก็เกิดความฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่านแล้วกิเลสก็ครอบงำ เมื่อกิเลสครอบงำแล้วความกระหายใคร่อยาก ความหลงผิดไปชั่วครู่ก็สามารถเข้าแทรกแซงได้ แต่ถ้าเมื่อจิตใจรวมเป็นหนึ่ง ใส กว้าง บริสุทธิ์ ไม่มีความลำเอียงแล้ว ตอนนั้นจิตเราก็เป็นหนึ่ง ความรู้สึกต่างๆก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ แต่ว่าทุกคนเมื่อลงมาก็ไม่เคยที่จะย้อนมองดูว่าพุทธจิตหรือจิตใจของเรานั้นอยู่ตรงไหน กลับไปมองในส่วนที่ใจต้องการ ใจปรารถนา ไม่ได้มองว่าใจที่เราต้องการ ใจที่เราปรารถนาอยู่ตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเมื่อเราปรารถนา เราต้องการ เรากลับกลัวใจของเราเอง กลัวว่าใจจะพลาดพลั้งเผลอ ใจจะหยิบสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาไว้ในจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทุกท่านเข้ามาในที่นี้ ทุกๆท่านจะได้ยินว่าโลกนี้เปรียบเหมือนทะเล ทะเลที่มีแต่ความทุกข์ แต่จริงๆแล้วบางคนอาจจะแย้งอยู่ภายในใจว่า เวลาฉันเหนื่อยล้าฉันก็ไปเที่ยวทะเล มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะทุกๆท่านไม่เคยรู้ว่าธรรมชาตินั้นได้แฝงหลักสัจธรรมไว้อย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง เมื่อคลื่นซัดสาดขึ้นมาก็พร้อมที่จะกวาดบางสิ่งบางอย่างลงไปได้ เหมือนต้นไม้ที่เกิดมาจากดินฉันใด ก็ย่อมต้องสูญสลายลงสู่ดินฉันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อรู้ถึงจุดๆนี้ ทะเลทุกข์ที่เป็นมายาเราก็สามารถที่จะแปรหรือผันเปลี่ยนให้ทะเลนี้สงบเงียบได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้ทะเลที่วุ่นวายโหมกระหน่ำนี้สงบเงียบลงได้ (เราต้องควบคุมจิตของเราให้ได้ก่อน จึงจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้) ถูกไหม (ถูก ต้องอดทนอดกลั้น บังคับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก พวกเรากำลังทำอยู่) บางครั้งเราอยากให้ทุกท่านขอบคุณพ่อแม่ดีกว่าใช่ไหม ไม่ใช่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ร่างกายเรานี้ ถ้าพระมารดาไม่ให้จิตวิญญาณเรานี้ เราจะรู้ไหมว่าพุทธจิตที่อยู่กับเรานั้นอยู่ตรงไหน โลกใบนี้วุ่นวายเพียงใด ฉะนั้นถ้าเรานึกขอบคุณ นึกเสียใจก็ขอให้นึกย้อนไปถึงผู้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆแก่เราจะดีไหม สิ่งบางอย่างที่แอบแฝงอยู่นั้น เราไม่สามารถมองเห็นได้ ฉะนั้นถ้าหากเราฟุ้งซ่านไป สิ่งที่แอบแฝงนั้นก็จะสามารถเข้าครอบครองใจเราได้ ใช่ไหม (ใช่) ทุกชีวิตเมื่อมีสูงก็ต้องมีตกต่ำใช่ไหม (ใช่) ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ เก็บจิตเก็บใจ
เราไม่สามารถล่วงรู้ว่าอดีตเราเคยสร้างสิ่งใดไว้บ้าง ปัจจุบันต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าตอนนี้พุทธจิตของทุกคนเริ่มเปิดแล้ว และพร้อมที่จะศึกษา ก็ขอให้ตั้งใจให้ดีๆ อย่าปล่อยให้พลั้งเผลอไปได้ เพราะเมื่อยิ่งพลั้งเผลอแม้เพียงชั่วครู่ สิ่งที่เราคาดไม่ถึงนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ กลัวไหม (กลัว) ถ้าใจเราตั้งมั่นเที่ยงตรงบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งต่างๆก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อสักครู่เราได้พูดว่า เราสามารถที่จะสงบคลื่นที่ซัดสาดได้ เพราะว่าใจนั้นถ้าเปรียบดั่งทะเลก็เป็นใจที่มีคลื่นมากมาย แต่ถ้าเราดับแล้ว ปิดแล้วซึ่งอายตนะต่างๆ คลื่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะเกิดได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้ปิดใจก็ต้องไม่ใฝ่อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)
“รู้ขมขื่นปล่อยตามใจใฝ่หา เร่งรุดหน้าเริ่มต้นบัดนี้เถิด
รู้ชีวิตเข้าใจชีวิตพุทธจิตบังเกิด พิสุทธิ์เลิศกว่าใดแล้วในโลกีย์”
ถ้าตอนนี้ทุกคนมองเห็นแล้วว่าตัวเรามีพุทธจิตตั้งอยู่ที่ใด ขอให้มองดูว่ามีสิ่งสกปรกหรือมีสิ่งใดมาครอบคลุมหรือเปล่า เมื่อรู้ว่ามีก็เร่งรีบทำให้สะอาด ถ้าเราให้ทุกคนทำจิตใจเป็นดังเช่นกระจกใส ที่เมื่อมีสิ่งใดผ่านเข้ามาแล้วก็ให้ผ่านไป ไม่เหลือคั่งค้างไว้ดีไหม (ดี) ไม่ว่าจะผจญทุกข์หรือสุข เมื่อเข้ามาในจิตใจ จิตใจก็ไม่ต้องเหลือไว้ ให้เอาออกไปให้หมดพร้อมกับสิ่งที่ผ่านไปจะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนสามารถทำพุทธจิตได้อย่างนี้แล้ว ทุกคนก็จะมองเห็นว่าตอนนี้เราเผลอไปแล้ว ยังมีส่วนที่คั่งค้างอยู่อีก ต้องรีบเอาออก ถ้าทุกคนหมั่นทำเป็นประจำ หมั่นฝึกตามจิตของตัวเองเป็นประจำแล้ว ก็จะสามารถรักษาจิตให้สงบนิ่งใสบริสุทธิ์ได้ใช่ไหม (ใช่) อย่าปล่อยให้ความลำเอียงเข้ามาครอบครอง อย่าให้เกิดอคติเพราะว่าเราชอบ เราชัง เราโลภหลงไป หรือเพราะว่าเรามีใจใฝ่หา ถ้าเมื่อใดที่จิตใจเราเที่ยงตรงไม่หวั่นไหวเอนเอียง เราก็สามารถที่จะควบคุมจิตใจของเราได้ทุกขณะ เมื่อสงบแล้วก็จะบริสุทธิ์ใส เมื่อบริสุทธิ์ใสแล้วพุทธจิตก็พร้อมที่จะกลับคืน การบำเพ็ญนั้นไม่ยากเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ให้เราตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เรายังมีสิ่งที่เป็นพันธะอยู่ก็ให้ดำเนินไป แต่ให้รู้จักความพอดี รู้จักหยุดใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้พอรู้หยุด ไม่มีความทะยานอยาก เราก็ไม่ต้องสูญเสีย ใครยังสงสัยเรื่องการบำเพ็ญอยู่บ้าง อย่าแฝงบางสิ่งบางอย่างกลับไป เพราะถ้าทุกคนแฝงกลับไปแล้ว ทุกคนก็ไม่สามารถหาใครช่วยขจัดข้อสงสัยได้ เพราะบางทีใจยังติดอยู่ว่าต้องให้คนที่นี่ตอบถึงจะหายสงสัยได้ใช่หรือเปล่า
การร้องเพลงนั้นถ้าจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ทุกๆท่านก็จะสามารถเข้าใจหลักธรรมที่กำลังร้องหรืออ่านอยู่ได้ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะดับความกังขาสงสัย และสามารถไปอธิบายให้คนที่บ้านฟังได้ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนกลับไปด้วยความไม่เข้าใจแล้ว การศึกษาหลักธรรมก็จะสูญเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) การเข้าใจต้องเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง ถ้าเข้าใจแบบผิวเผิน ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงภายในใจได้ อย่าใช้คำตอบแค่เพียงคำพูด แต่ให้เป็นคำตอบที่อยู่ภายในจิตใจ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงกำลังใจ) พอจะเข้าใจความหมายของเพลงไหม (พอเข้าใจ) เพลงนี้ก็เปรียบเหมือนเมื่อเรามีความเชื่อมั่นในพุทธจิตเดิมแท้ เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ก็อยู่ที่ว่าทุกๆท่านพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติหรือเปล่า (พร้อม) เราไม่ต้องการคำพูดตอนนี้ เราเพียงต้องการให้ทุกท่านมีความตั้งมั่นในจิตใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งนั้นย่อมได้กับทุกท่านเอง ไม่ได้ให้กับคนที่อยู่ข้างหน้า หรือคนที่กำลังอธิบายอยู่เลย ถ้าเราทำทุกสิ่งแล้วผลก็ต้องตกเป็นของเรา ไม่มีใครสามารถที่จะทำแล้วตกไปเป็นของคนอื่นได้ จิตสัมมาย่อมเป็นพุทธะ จิตมิจฉาย่อมเป็นมาร เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่คอยเรา อยู่ที่ว่าเราจะตามเวลาหรือจะให้เวลาตามเราเท่านั้น
วันนี้เรามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกๆท่าน ขอให้ประคองรักษาความตั้งใจไว้ให้ดีๆ มีปัญหาหรือสงสัยอะไรก็ให้ถามคนที่อยู่ข้างหน้า อย่าเก็บสิ่งที่ไม่ดีกลับไป บางสิ่งบางอย่างนั้นถ้าเรามองด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งที่ดูเลวร้ายนั้นอาจจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นจะทำให้จิตใจเราเลวร้ายเสมอไป แต่ให้คิดเสียว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นย่อมมีสิ่งสร้างสรรค์แอบแฝงหน่อแห่งสิ่งที่ดีงามเอาไว้ในจิตใจ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่


วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ประเทืองปัญญาพินิจรู้ได้ประคอง เมตตาปองสาดส่องมิสับสน
นำปฏิบัติกล้าหาญยิ่งมิอับจน เกิดเป็นคนสมบูรณ์แล้วสู่อริยา
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนสุขสำราญฤๅ
ศิษย์รักเอยรู้จักตนเสียบัดนี้ ทั้งชีวีใดแท้จริงเป็นแก่นสาร
ต่างมีชีพที่เวียนว่ายทรมาน พุทธญาณอยู่ดั่งละครวกเกิดตาย
ทุกเวลาทุกวินาทีพลีเพื่อชน เสมือนตนเมามัวสร่างเมตตาไสว
ทุเลาร้อนทุกข์จะผ่อนช่วยเวไนย ฤทัยในภายหลังเปรียบปานอมฤต
จิตกลับสร่างเมื่อกระจ่างในธรรมา ทางดำเนินกลับคืนหน้าพุทธาใส
อย่าจีรังใดศิษย์คิดลังเลใจ กังวลใจข้าหวังเจ้าฝ่าอุปสรรค
จิตตื่นจริงคงบรรลุปณิธานได้ หากได้ใจเข้าตำราอับจนหนา
จงรีบเร่งหมั่นบำเพ็ญอย่าได้ช้า เดี๋ยวเวลาจะสายไปน่าเสียดาย
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง


หากจิตปล่อยวางแล้วปลง ใจมั่นคงจะพิทักษ์ ปฏิบัติธรรมไม่คลอน ความร้าวรอนจะเลือนหาย
* ทุกข์เมื่อหลงโลกีย์ขุ่นมัว เคว้งคว้างเพราะตัวเองพลาดไป ตนแพ้ใจใฝ่ปองผูกพัน รู้ทันกลับใกล้ใจ
ประคองตนมิล้า รู้มายาย่อมลวงใจ ก้มกายน้อมใจลงเท่าใด สร้างปราการอันแข็งแรง
เหนื่อยเพียงไรมิช้า สายทองมาช่วยเวไนย ทุกข์ภาระยิ่งใหญ่
ขอให้จงช่วยกัน (ซ้ำ *)
เพลง : ใจมั่นคง
ทำนองเพลง : โบกมือลา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะมา ๓ วันแล้ว เข้าใจมากน้อยเท่าไร บำเพ็ญธรรมะแล้วจิตส่วนดีออกมาบ้างหรือยัง (ออกมาบ้างแล้ว) ออกมาครบกันทุกคนแล้วหรือยัง (ครบ) จิตส่วนดีเหมือนกับดอกบัวกลางไฟ เหมือนกับไข่มุกในทะเล แม้จะหายากแต่ว่าจิตส่วนนี้ถ้านำออกมาได้ก็เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่อุ้มชูให้เราปฏิบัติงานธรรมได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม (ใช่)
เวลาฟังธรรมะ ฟังแล้วได้ฟื้นฟูพุทธจิตใช่ไหม คนที่บำเพ็ญธรรมะเห็นว่าคนที่นี่ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น ล้วนแต่มีภูมิธรรมสูงส่ง คนที่บำเพ็ญธรรมะจะต้องมีหลักมีขั้นตอน รู้ไหมว่าที่เขาชวนเรามารับธรรมะแล้วเขาบอกว่าเราเป็นคนประเภทไหน (คนดี เป็นคนที่ควรสั่งสอนได้) การเป็นคนดีประกอบด้วยจิตใจที่ดีงามเป็นพื้นฐาน เมื่อมีจิตใจที่ดีงามแล้ว ตอนนี้ก็ฝ่ามาถึงขั้นการประชุมธรรม หลังจากประชุมธรรมแล้วเราควรจะทำอะไรต่อไป (เอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน) คนที่มาศึกษาธรรมะและผ่านประชุมธรรมแล้ว ในคราวต่อไปเมื่อมีการจัดชั้นเรียน ควรจะต้องมาศึกษาให้กระจ่างยิ่งขึ้น เพราะแม้ว่าตอนนี้จะนั่งฟังธรรมะกันไปแล้ว ๓ วัน แต่ไม่ใช่ว่าจะกระจ่างชัดทั้งหมดใช่ไหม (ใช่) การมาศึกษาชั้นเรียนต่างๆ ต่อไปนั้นเป็นเรื่องหรือภาระหน้าที่ที่พวกเราจะต้องปฏิบัติ เมื่อเรารู้แล้ว เราควรมาศึกษาธรรมะให้กระจ่างยิ่งขึ้น ขั้นต่อไปก็ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเอง บางคนมีนิสัยที่ไม่ดี รู้ตัวเองแล้วก็ควรจะแก้ไข ใช่ไหม (ใช่) ต่อจากนี้ไปเราจึงจะสามารถชวนคนรับธรรมะได้อย่างมั่นใจ เพราะการที่เราจะมานั่งประชุมธรรมนั้น เมื่อเราออกไปเราก็ยังรู้สึกว่าเราเองก็ยังไม่รู้อะไร แล้วเราจะไปชวนคนเขามารับธรรมะได้อย่างไร เวลาชวนคนมารับธรรมะ เราก็จะต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อทำได้อย่างนี้แล้วจึงสมกับคำที่คนอื่นเขาเรียกเราว่าเป็นพุทธะ ถ้าทำได้อย่างนี้ ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะไม่สับสนว่าทำไมพอจบชั้นประชุมธรรม ก็บอกให้เราชวนคนมารับธรรมะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระโอวาทนำนั้นอาจารย์ได้กล่าวอยู่ ๓ เรื่อง นั่นก็คือปัญญา เมตตาและกล้าหาญ ถ้าหากว่าปัญญาในตัวเราที่มีอยู่เดิมได้เกิดขึ้น เราก็จะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราค้นหาอยู่ เพราะแม้ว่าศิษย์เองจะศึกษามาพันหมื่นคัมภีร์ศาสน์ แต่ทุกๆอย่างก็เป็นปริศนาธรรมที่บอกให้รู้ประตูเกิดตาย มีใครที่จะรู้เองโดยไม่มีการชี้แนะไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นตอนนี้ประตูเกิดตายของศิษย์ได้ถูกเปิดออกแล้ว เมื่อเปิดออกแล้วเราก็รู้ว่าเราเองควรที่จะมีเมตตา เมตตาในที่นี้ สิ่งง่ายๆที่เราจะกระทำได้อยู่ในกายเนื้อเราคืออะไรรู้ไหม เมื่อวานนี้หัวข้อสุดท้ายฟังเรื่องอะไร (ความหมายของการทานเจ) แล้วรู้สึกว่าเราเหมาะสมกับการกินเจหรือยัง (เหมาะ) ถ้าหากว่าใครเริ่มปฏิบัติได้ ก็ค่อยๆ เริ่ม เรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวก็คือความกล้าหาญ ความกล้าหาญที่จะไปกระทำนี้เป็นอย่างไร (กล้าฉุดช่วยผู้อื่น) ซึ่งถ้าเราไม่สับสนแล้วก็ฉุดช่วยเขาได้อย่างแท้จริง เราก็จะรู้ว่าเราเองมีความกล้าหาญที่จะไปช่วยเขาอย่างไร เพราะถ้าเราไม่รู้จริง เราก็คงไม่กล้าที่จะไปหาเขา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี
คนบำเพ็ญต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหรือว่าเราเป็นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโส ต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่จะระวังตนเสมอ เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถาม เราจะต้องรู้จักตอบ เพราะจะทำให้มีบรรยากาศธรรมที่เป็นพี่น้อง เป็นพ่อลูกกัน ถ้าเกิดว่าอยู่บ้านแล้วก็เงียบๆงันๆแบบนี้จะรู้สึกอึดอัดบ้างไหม (อึดอัด) ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วคงไม่มีใครที่เขาอยากจะมาห้องพระใช่ไหม แล้วเราก็มาเริ่มฝึกกันตั้งแต่บัดนี้ ก็คือการที่มีคนมาทักทาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาต้อนรับดีไหม (ดี) ร้องเพลงกันหน่อยดีกว่านะ (มาร้องเพลงต้อนรับพระอาจารย์กัน) ต้องเสียงดังกว่านี้อีกซักหน่อย ได้ออกเสียงดังๆแล้ว รู้สึกว่าความลังเลสงสัยที่อยู่ข้างในมันหลุดออกมาด้วยหรือเปล่า (หลุด) หลุดไม่จริงนะ อาจารย์ก็ยินดีต้อนรับศิษย์ทุกคนที่มาถึงสถานธรรมแห่งนี้
คนที่มีอารมณ์โกรธจะทำได้อย่างเดียวคือหน้าบึ้งใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลามีอารมณ์โกรธเราควรจะทำอย่างไร บางคนพอถึงเวลาโกรธ สติก็ตามไม่ทัน แล้วก็ยิ้มไม่ออก อาจารย์จะแนะนำวิธีให้ศิษย์วิธีหนึ่งเมื่อศิษย์มีอารมณ์โกรธ คือให้เราโค้งตัวลง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็หันหน้าขึ้นมายิ้ม แต่ว่าอย่าไปทำต่อหน้าคนที่เราโกรธ เขาจะหาว่าเรากวนเขา
เวลาอยู่ที่นี่มีคนส่งผ้า ส่งน้ำไหม (มี) แล้วรู้สึกว่าดีไหม (ดี) อยู่บ้านมีหรือเปล่า (ไม่มี) จะให้ภรรยามาส่งให้ก็ไม่ได้ จะให้สามีมาส่งให้ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน แล้วรู้ไหมว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นจะต้องทำแบบนั้นด้วย (เป็นหน้าที่) นอกจากว่าเป็นหน้าที่แล้วยังมีอะไรอีก (อ่อนน้อม) ฝึกตนให้อ่อนน้อมลงเป็นเรื่องที่ถูก แต่ว่าเขาต้องการให้พวกเรานั่งฟังธรรมะอย่างสบายๆ มีอาหารเจที่ดีทาน มีโอกาสเข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้งขึ้น พวกเขาจึงทำใช่ไหม (ใช่) แล้วรู้สึกขอบคุณเขาหรือเปล่า (ขอบคุณ) การขอบคุณคนนี้ถือว่าเราเองมีจิตบริสุทธิ์ขึ้น เพราะว่าเราฟังธรรมะ ๓ วันนี้ คนส่งผ้า ส่งน้ำที่นี่เป็นเด็กหรือเปล่า (ใช่) แล้วการขอบคุณเด็กนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้) เพราะเราได้ฟื้นฟูพุทธจิตส่วนหนึ่งขึ้นมาแล้ว ถ้าหากว่าฟื้นฟูขึ้นมาจริงๆแล้ว การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือเปล่า (ถูกต้อง) มีบุญคุณอะไรบ้าง (บุญคุณฟ้า, ดิน, พระมหากษัตริย์, บิดามารดา และครูบาอาจารย์)
การบำเพ็ญธรรมะอย่าได้ดูเบาตัวเองเป็นอันขาด เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมะ ถ้าเอาแต่กล่าวโทษตัวเองก็จะทำให้ตัวเราไม่มีกำลังใจ หมดกำลังใจ แล้วก็ท้อแท้ถดถอยในที่สุด หลายๆคนอาจจะคิดว่าอาจารย์เอาจิตวิทยามาพูด แต่จิตวิทยาก็ศึกษามาจากความจริงในจิตมนุษย์ใช่ไหม (ใช่) แล้วคนเราก็มีส่วนนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ถ้าหากมีหลายคนบอกว่าอาจารย์เอาจิตวิทยามาพูด แล้วจิตวิทยาเป็นความจริงที่สามารถจะอุ้มชูเอาใจของศิษย์ขึ้นมาได้ อาจารย์ก็จะเอาส่วนนี้มาพูด ไม่อย่างนั้นคงต้องเหมือนท่านตั๊กม้อที่นั่งเงียบๆ แล้วก็ลุกออกไปจากอาสน์บรรยายเฉยๆ ใช่ไหม ทำอย่างนั้นแล้วศิษย์จะรู้แจ้งหรือเปล่า (ไม่รู้) ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไรก็คงไม่ต้องมีการบรรยายธรรมะ เพราะว่าชี้ธรรมเสร็จแล้วก็กระจ่าง ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าเราเองต้องการผู้ชี้แนะ ต้องการผู้แนะนำและส่งเสริม
คนเรามี ๓ ระดับ คนอย่างแรกพอฟังธรรมะแล้วก็รู้สึกเทิดทูนบูชา อยากจะนำไปปฏิบัติ เพราะว่าได้ลดทิฐิของตนเองจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนคนประเภทที่ ๒ พอฟังธรรมะเสร็จก็อยากที่จะอุ้มชูรักษา อยากที่จะเก็บไว้ ส่วนคนประเภทที่ ๓ พอฟังธรรมะแล้วก็หัวเราะ ข้าไม่รู้เรื่อง แล้วศิษย์คิดว่าเมื่อจบชั้นไปแล้วอยากจะเป็นคนประเภทไหน (ประเภทที่ ๑) ถ้าอยากเป็นคนประเภทที่ ๑ ก็ต้องมีความพยายามและความอดทน ไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นคนประเภทที่ ๑ แต่อีก ๓ วันให้หลังก็หัวเราะ ข้าไม่รู้เรื่อง อย่างนี้แล้วก็ไม่ต่างไปจากการเลือกประเภทที่ ๓ ในวันแรกใช่ไหม (ใช่) แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกคนคงจะไม่เป็นคนประเภทที่ ๓ กัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ประตูแห่งปัญญานั้นเปิดแล้ว ถ้าหากว่านำไปใช้ให้ดีก็มีประโยชน์ ถ้าหากว่าไม่รู้จักนำมาใช้ แล้วปิดลงไปอีกครั้ง ทีนี้จะไปเปิดอย่างไรก็คงเปิดไม่ออก เพราะว่าคนที่เข้าใจธรรมะดีที่สุดมักจะเป็นคนที่มีทิฐิสูงที่สุดเช่นกัน เมื่อบำเพ็ญไปสักช่วงหนึ่งอาจจะลืมตัวลืมตนไปได้ การบำเพ็ญธรรมะนั้นต้องอาศัยความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่บำเพ็ญหยุดๆพักๆ หยุดๆหย่อนๆ ถ้าบำเพ็ญแบบนั้นแล้วทางที่เราเดินก็คงเป็นทางที่ไม่ราบเรียบใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้ผู้นำของศิษย์ทุกคนสิ้นไปแล้ว การทดสอบที่มีขึ้นตอนนี้ก็คือการทดสอบแบบกลับตาลปัตร ออกจากสถานธรรมไปอาจจะประสบกับเรื่องที่ไม่ดี หรือว่าไม่มีกำลังใจ ครอบครัวทะเลาะกันหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ศิษย์เตรียมตัวรับมือและก็อดทนด้วย เข้าใจไหม การที่ทุกคนมานั่งประชุมธรรมนี้ไม่ใช่หมายความว่าตนเองไม่มีเวรกรรม แล้วก็จะสามารถบรรลุได้ แต่ว่าทุกคนยังต้องฝึกฝนอยู่ ถ้าหากว่าไม่รู้จักทำตัวเองให้มีความพยายามศึกษา ให้มีใจอดทนก็คงศึกษาได้ไม่ถึงครึ่ง ธรรมะเป็นเรื่องที่ศึกษาไม่รู้จบ ต้องรู้จักใช้ใจพินิจพิจารณา เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ฟังธรรมะแล้วรู้สึกว่าจิตใจค่อยหายขุ่นมัว หายลังเลหรือเปล่า บางคนก็คิดว่าไหนลองมานั่งดูอีกสักวันหนึ่ง ให้รู้ไปเลยว่าจริงหรือไม่จริง หรือว่านั่งฟังไปอย่างนั้นเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วไม่มีประโยชน์ นั่งฟังให้ครบ ๓ วันหรือจะนั่งอีกสิบวันก็เหมือนกัน คนที่เขามาบรรยายธรรมทุกคนมีใจที่จะทำให้ศิษย์รักทุกคนเข้าใจธรรมะ แต่หากว่าศิษย์ไม่สนใจ นั่งฟังไปแล้วไม่เกิดความตั้งใจอย่างแท้จริง ไม่สามารถทำให้จิตเปิดออกอย่างแท้จริง ต่อไปนี้คงไม่ต้องฟังอะไรอีก เพราะว่าฟังแล้วจิตไม่ได้เปิดออก พอจะเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เข้าใจว่าต่อไปนี้ฟังธรรมะขอให้จิตเปิดออก สงสัยอะไรก็ให้ถามอาจารย์ที่บรรยายหัวข้อนั้น
ตอนนี้เหลือกลอนอีกสองบาท มีศิษย์ผู้กล้าคนใดจะอาสาออกมาต่อกลอนบ้าง เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าคนที่ไม่มีปณิธานไม่สามารถบรรลุได้ ปณิธานหมายถึงความตั้งใจจริง พระโพธิสัตว์พระพุทธะทุกพระองค์จะบรรลุไปได้ก็ต้องมีปณิธานด้วยกันทั้งนั้น เย็นนี้จะได้ฟังเรื่องการตั้งปณิธาน ก็ควรที่จะพิจารณาด้วยจิตตัวเอง ไม่ใช่ตามเขาไป เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) (นักเรียนได้แต่งกลอน “จงรีบเร่งหมั่นบำเพ็ญอย่าได้ช้า เดี๋ยวเวลาจะเสียไปน่าเสียดาย”) กลัวไหมเวลาที่สายไป กลัวแล้วควรจะทำอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์ก็ได้พูดถึงแนวทางปฏิบัติไปแล้วใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงในทำนองโบกมือลาและสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง และให้ช่วยกันตั้งชื่อเพลง) (เพลงใจมั่นคง) แอปเปิ้ลที่ถืออยู่ในมือ จริงๆแล้วเราควรจะรู้ว่าเราหาอะไร หามรรคผลใช่ไหม มรรคผลในมือเป็นของจริงหรือเปล่า แล้วจะหาของจริงกันอย่างไร ไม่ต้องตอบก็ได้เพราะว่าแต่ละคนก็มีวิธีของตัวเอง อย่าลืมว่าคนเรานั้นไม่ใช่เกิดมาง่ายๆ ตายไปง่ายๆ มีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆอย่างนี้ คนทุกคนนั้นมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเองก็จริง แต่ชะตาอยู่ที่ชาติก่อนลิขิต อยู่ในมือเราเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จักไตร่ตรอง ไม่รู้จักพิจารณา ไม่ปฏิบัติให้ดีแล้ว ก็จะเดินไม่ถึงแดนนิพพาน คนที่ปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย ทำหน้าที่ในโลกนี้ให้สมบูรณ์ เมื่อเป็นญาติธรรมก็ขอให้อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส เมื่อเป็นลูกก็ขอให้กตัญญูรักพ่อแม่ เมื่อเป็นนักเรียนก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำได้หรือเปล่า (ได้) นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญที่ทุกคนจะต้องรู้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะทำได้หรือไม่ก็เท่านั้น
ยุคนี้มีเวลาจำกัด ถ้าหากว่าต่อไปไม่มีการยืมร่าง การบำเพ็ญก็ได้แต่ฟังธรรมะ อาจารย์ก็ไม่สามารถมาพบกับศิษย์ได้อีก ศิษย์คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะยังมั่นคงอยู่หรือเปล่า (มั่นคง) การยืมร่างเป็นการทำให้ศิษย์สงสัยมากที่สุด แต่ถ้าวันใดไม่มีการยืมร่างอีก ศิษย์จะตื่นกันได้เองหรือเปล่า อาจารย์ไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำแบบนี้ บางคนคิดว่าในเมื่ออนุตตรธรรมเป็นสิ่งที่สูงสุดแล้ว ทำไมจึงมีการทำแบบนี้ ความจริงก็คือว่าคนที่ตื่นนั้นตื่นได้หลังจากประชุมธรรม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะเราคิดว่าตัวเราไม่มีประจักษ์หลักฐาน ปฏิบัติธรรมะลังเลสงสัยได้ อาจารย์ไม่ห้าม แต่สงสัยแล้วขอให้รู้จักหยุดและวาง ไม่ใช่สงสัยเรื่องนี้แล้วไปต่อเรื่องนั้น ทำอย่างนี้แล้วศิษย์คงมีความสงสัยไม่หยุด และเมื่อสงสัยไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ไม่ได้เริ่มบำเพ็ญธรรมเพราะว่ามัวแต่สงสัย กุศลไม่ได้สร้าง อย่างนี้เท่ากับว่าการเกิดมาชาตินี้ก็สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน
เวลาอาจารย์ก็จะหมดแล้ว เวลาในชีวิตไม่ว่าจะเหลือมากเหลือน้อย ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่ว ศิษย์ก็ยังเป็นศิษย์ของอาจารย์ ในเส้นทางการบำเพ็ญของศิษย์ควรรู้จักพินิจพิจารณา รู้จักช่วยเหลือคนที่อยู่รอบข้างตัวเรา ขอให้ส่งเสริมกัน เป็นกำลังใจให้กัน อย่าให้คนใดคนหนึ่งล้มลงไป แล้วตัวเราก็ล้มตาม อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์คงมีใจที่มั่นคงอย่างชื่อเพลงที่เลือกกันไว้นะ
เวลาของอาจารย์ก็หมดลงเท่านี้แล้ว อาจารย์หวังแต่ว่าศิษย์ทุกคนจะเข้าใจและตื่นได้จริง เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ขอให้ศิษย์ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญธรรม อาจารย์ไม่อยากจากไป แต่ว่าร่างนี้ไม่ใช่ร่างของอาจารย์ ลาก่อนนะ

อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา