แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สำนึก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สำนึก แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-29 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก


元二〇一七年嵗次丁酉四月初四日                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ 
  มีจิตสำนึกดีงามอันถูกต้อง                เป็นหลักคล้องธรรมนำใจให้ประสาน
หัวใจแห่งผู้บำเพ็ญผู้รู้กาล                   ย่อมรังสรรค์ทุกสิ่งอย่างตามเหมาะควร
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา            ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  มีสติอยู่ในโลกนี้ให้เป็น                     ยามนี้โลกอยู่ยากเย็นเกณฑ์สะสาง
ได้เกิดเป็นคนแล้วเดินถูกทาง               บำเพ็ญได้ไม่รู้หลายอย่างไม่เป็นไร
อะไรหมดทุกอย่างมีผุดในจิต               เสียดายจิตจากมาไกลไร้เหนือใต้
เชิญจิตสำนึกเป็นเข็มทิศแห่งใจ            คนเหลวไหลสำนึกได้กลายเป็นคนดี
ธรรมดั่งกาวผนึกที่ดีที่สุด                    เปรียบได้ดุจระหว่างโมโหกลับมีสติ
เชื่อมสำนึกรู้ความคิดอย่างมีสติ            ละรักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
ความเห็นแก่ตัวลดทอนบุญวาสนา        ชอบทำดีหวังผลพาให้ถลำ
อย่าเป็นคนไร้เมตตาคนใจดำ                ปฏิบัติธรรมกลายเมตตากลายเป็นหนึ่งเดียว
ร้ายกว่าดีอวดเป็นโทษอัตตาตน            ธรรมมีคนคนมีธรรมโปรดเฉลียว
แรงทิฐิอย่ายามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว         พ่วงห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
ดวงจิตมีหลากหลายไม่จบสิ้น               ในชาตินี้ยลยินจนน่าสงสาร
ไม่ตรงตรงแม้เป็นเรื่องแสนสามัญ         คำไหนมองไม่ทางการระวังระไว

ฮา ฮา หยุด
 
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ 

หากชีวิตคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้หรือการเรียนรู้คือส่วนหนึ่งของชีวิต  วันนี้เราก็มาเรียนรู้ชีวิตและธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากชีวิตคือการเรียนรู้  วันนี้ก็คือบทเรียนบทเรียนหนึ่งที่ได้ฝึกให้เรารู้จักว่าชีวิตและความอดทนของเรามีมากแค่ไหน  ฟังธรรมะใช้ความเข้าใจหรือใช้ความอดทน (ความเข้าใจ, ความอดทน)
ใช้ความเข้าใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจก็แปลว่าฟังเรื่อยๆ แต่ถ้าใช้ความอดทนก็จะไปได้ไม่เรื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ แปลว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนมีคุณค่าให้เราได้เรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้ง ดวงตา ความคิด ก็หลอกเราได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดวงตาเราเองยังหลอกเราเลย เช่นบางครั้งเราว่าเราเห็น แต่พอไปถึงกลับไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเหมือนว่ามีแต่ถึงที่สุดก็เหมือนไม่มี ฉะนั้นอะไรจริง อะไรเท็จ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นลวงหลอก ตัวเราเองจึงต้องรู้จักมีสติพินิจพิจารณาก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเกิดมามีคุณค่าให้เราเรียนรู้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนเลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราควรดูถูกใครไหม (ไม่ควร)  เราควรรังเกียจใครไหม (ไม่ควร)  แต่ที่แล้วมาเราเคยดูถูกใครไหม ที่แล้วมาเราเคยรังเกียจใครไหม (เคย)  ถ้าทุกสิ่งมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ชีวิต และรู้ไหมว่าการเรียนรู้ชีวิตนั้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้เราเรียนรู้นั้น ยังทำให้เราเข้าใจตัวเราเองอีกด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่เขาว่าเรา เราก็เรียนรู้ได้ว่าเราอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน  เหมือนที่เขาชมเรา เราก็ได้เรียนรู้ตัวเราเองว่า เราเป็นคนบ้ายอหรือเปล่า ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าล้วนมีคุณค่า และสามารถตรวจสอบ และทำให้เรามองเห็นใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่มนุษย์มักพูดกันว่า คนเราบางคนเกิดมาเหมือนต้นหญ้าเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไร  แม้เราจะเป็นต้นหญ้าที่ถูกคนเหยียบย่ำ ถึงอย่างไรเราก็ยังต้องเติบโตและก้าวต่อไป แล้วนับประสาอะไร ถ้าชีวิตเรายิ่งใหญ่ เติบโตเหมือนต้นไม้ใหญ่ ถ้าวันหนึ่งถูกคนลิด ถูกคนตัดทอน เราก็ยังต้องเข้มแข็งและก้าวต่อไปเช่นกัน  ฉะนั้นไม่ว่าชีวิตเราจะมีคุณค่าเหมือนต้นหญ้าเล็ก หรือเหมือนต้นไม้ใหญ่นั้นไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าเรากำลังทำสิ่งใด และเมื่อเราทำสิ่งนั้น จำเป็นไหมว่าจะต้องมีทุกคนชื่นชม (ไม่จำเป็น)  ไม่จำเป็นใช่หรือไม่ มีคนชมก็ต้องมีคนว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วไยหนอเกิดเป็นคนถูกว่าจึงรับไม่ได้ ถูกตำหนิถูกถากถางจึงทุกข์เจ็บปวด ในเมื่อสักครู่นี้ท่านบอกเราว่าเมื่อเราทำอะไรก็ตามเป็นไปได้ไหมว่าจะต้องมีทุกคนชื่นชม  เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเมื่อเวลามาพบกับตัวเราถึงรับไม่ได้ เวลาถูกคนนินทาเจ็บใจไหม (ไม่เจ็บ)  ไม่เจ็บเพราะเราไม่ได้เอาคำนั้นมาเป็นมีดกรีดใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีดจะคมมากแค่ไหนก็อยู่ที่ว่าเราถือสาหาความกับคำพูดที่เขาว่าเรามากเพียงใด มีดนั้นอาจจะไม่คมจนแทงเราได้  ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นในเวลาเราทำการสิ่งใดเป็นไปได้ไหมที่จะหวังให้ทุกคนเข้าใจเรา แล้วทำไมเวลาถูกคนเข้าใจผิดจึงตีอกชกหัวตัวเอง และหวังให้ทุกคนเขาเข้าใจเราไปทั้งหมดได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราทำสิ่งใด  ถ้าสิ่งนั้นเราทำอย่างสุดจิตสุดใจ  ทำอย่างถูกต้องชอบธรรม ทำแล้วไม่อายฟ้าไม่อายดิน มีศีลธรรมของความเป็นคน ไยต้องกังวลกับคำนินทา ไยต้องกังวลกับความเข้าใจผิดของผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามีชีวิตแม้จะมีแผลที่ถูกคนว่าจนเต็มตัว แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจและยิ้มสู้กับชีวิตไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) เข้าใจที่เราพูดบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)
ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่ต้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะมีความสุข แม้ระหว่างทางชีวิตจะมีคนชมหรือมีคนว่า จะมีคนเข้าใจหรือมีคนไม่เข้าใจ เพราะอะไร เราลองถามตัวเองก่อนสิ ว่ามีศีลธรรมหรือไม่ ทำเต็มที่สุดกำลังหรือไม่ ทำเต็มที่แล้วและไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน  ทำแล้วถูกคนว่า ทำแล้วคนไม่เข้าใจ แม้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว จะถูกคนว่า คนเยาะเย้ย แม้จะต้องถูกคนว่าถากถางนินทา ใช่ว่าจะยิ้มไม่ออก จริงหรือไม่ (จริง)       ถ้าเข้าใจตรงนี้ชีวิตก็ไม่ยาก และถ้าเข้าใจตรงนี้เราจะเกลียดใครหรือไม่ (ไม่เกลียด)  คำนินทาว่าร้าย การถูกเข้าใจผิด กลับจะทำให้เรายิ่งแข็งแกร่ง   ท่านว่ามีใครบ้างที่ไม่ถูกนินทา (ไม่มี)  อย่างนั้นแปลว่าการนินทาเป็นเรื่องปกติและธรรมดา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้สึกผิดปกติ และไม่ธรรมดานั่นแปลว่าเรายึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากจะหาเรื่องหาราว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถามท่านนะว่า อยากมีมิตรหรืออยากมีศัตรู (มีมิตร) อยากสงบหรืออยากวุ่นวาย (อยากสงบ)  อย่างนั้นควรคิดอย่างคนที่เข้าใจ หรือควรคิดอย่างคนที่โกรธที่เขาว่า ที่เขาด่าเรา (คิดอย่างคนที่เข้าใจ)  นั่นอย่างไร ก็รู้อยู่เต็มอก อยากได้มิตรมากกว่าศัตรูไยจึงโกรธเคืองเคียดแค้นชิงชัง  อยากได้สันติมากกว่าความวุ่นวายไยจึงถือสาหาความเอาเรื่องเอาราว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้บางครั้งต้องรักษาสมดุล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ควรดีเกินไปและไม่ควรร้ายเกินไป อย่างนั้นแปลว่าเราต้องมีแต่ดีไม่มีร้าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่เรารู้สึกว่ามนุษย์ในโลกนี้พยายามรักษาสมดุลนะ “ฉันดีเกินไปแล้ว ฉันต้องร้ายให้เขาดูบ้าง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นมนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “เวลาฉันดีเกินเธอก็ได้ใจ ฉันก็ต้องร้ายให้เธอเห็นหน่อยจะได้รู้ฤทธิ์เดชของฉันบ้าง”  ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  คนเราต้องมีทั้งดีและร้ายอยู่ในตัวเดียวกัน
ในสมัยก่อนตอนเด็กๆ เรามักจะถูกผู้ใหญ่สอนให้จำ จำได้มากๆ คือความฉลาด คนที่ไม่จำคือคนที่ไม่ฉลาด แต่ทำไมยิ่งโตขึ้นจำมากๆ ความฉลาดกลายเป็นความทุกข์  จำมากก็ยิ่ง (ทุกข์) อย่างนั้นความจำดี ความจำได้เป็นความฉลาดใช่หรือไม่
ตอนเป็นเด็กเราถูกสอนให้รู้จักคิด คิดให้เป็น คิดให้ได้ ถึงจะเป็นเด็กฉลาด แต่ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นคิดมากแล้วกลายเป็นยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนเด็กๆ เรารู้ว่าการได้คือความสุข การมีคนให้อะไรเรา  การได้ครอบครองอะไรสักอย่างเป็นของตนเองเป็นความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนโตยิ่งอยากได้ ยิ่งอยากครอบครอง คนกลับมองเราว่าเห็นแก่ตัว  เอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนเด็กๆ เราถูกสอนว่าทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ทำอะไรต้องทำให้ยิ่งใหญ่ ทำอะไรต้องทำให้ดีให้งาม แต่ทำไมยิ่งเราทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งพยายามทำอะไรให้สำเร็จ เรากลับยิ่งโดดเดี่ยวไร้คนเข้าใจ
ชีวิตต้องมีความสมดุลระหว่างดีกับร้าย จริงไหม แต่ความสมดุลนั้นเราขอเป็นผู้ที่เรียกว่าเป็นคนดีไม่เป็นคนร้าย ใช่ไหม (ใช่)  แต่บางครั้งในชีวิตจริง เราก็ต้องร้าย ใช่หรือไม่  นั่นคือบางครั้งเรายอมเป็นคนดีเพื่อให้คนอื่นเป็นคนร้าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  หรือเรายอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นเราถามจากใจท่านจริงๆ มีไหมที่ท่านกล้าพูดว่าทุกคนในโลกล้วนต่างก็มีดี (กล้า)  ในเมื่อถ้าท่านไม่ยอมรับว่าชีวิตคือความสมดุล วันหนึ่งเราร้ายได้ แต่วันหนึ่งเราก็ดีได้ แต่ขอแค่เราไม่สูญเสียความเป็นคนที่ถูกต้อง เหมือนที่เมื่อสักครู่เราบอกท่านตั้งแต่ต้น เราถูกเขาว่าร้ายได้ เราถูกเขาเข้าใจผิดได้ เราถูกเขาว่าเป็นคนไม่ดีได้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราดีหรือเราร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งการยอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นคนดี ผิดหรือไม่ผิด (ไม่ผิด)  ได้หรือไม่ได้ (ได้)  แล้วเมื่อสักครู่ทำไมตอบว่าไม่ได้ เพราะมนุษย์คิดแค่เพียงว่าฉันต้องดีห้ามร้าย ใช่หรือไม่ แต่บางครั้งการยอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นได้ดีมันก็เรียกว่าสุดยอดของความดี ใช่ไหม (ใช่)
การถูกคนเขาเข้าใจผิดบ้าง ถูกคนเขาว่าบ้างแล้วทำให้คนอื่นเขาดีขึ้น ทำให้คนอื่นสบายใจ ผิดหรือไม่ (ไม่ผิด)  ฉะนั้นมนุษย์รู้จักรักษาสมดุลระหว่างดีร้าย จะกลัวอะไรกับการถูกเหยียดหยาม จะกลัวอะไรกับการถูกเข้าใจผิดและจะกลัวอะไรกับคำว่า “ไอ้ชั่วร้าย” ถ้าเรารู้แก่ใจตัวเองว่าเราทำอะไร แต่มนุษย์กลับไม่เข้าใจ มนุษย์เวลาทำอะไรชอบสุดโต่ง เมื่อถูกสอนให้จำก็เอาแต่จำ ตอนเด็กถูกสอนว่า “ใครจำเก่ง ใครจำได้ฉลาด” แต่ตอนนี้เป็นอย่างไรจำเก่งจำได้ฉลาดหรือว่าเป็นอย่างไร ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้มนุษย์อย่าลืมคำว่าสมดุล ทำสิ่งหนึ่งต้องไม่ลืมมองอีกสิ่งหนึ่งหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรมะ เมื่อเราจำมากๆ ธรรมะจึงสอนให้เรารู้ว่าอภัยคืออะไร เหมือนชีวิตถูกสอนมาว่าคิดได้คิดเป็นคือคนฉลาด แต่ตอนนี้คิดจนวางไม่ได้วางไม่เป็นเป็นคนทุกข์ หรือคิดมากจนทุกข์หรือทุกข์จนคิดมาก เราทุกข์เพราะความคิดหรือเราทุกข์เพราะเขาว่า (ความคิด)  แล้วเป็นอย่างไรคิดได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ก็ยังต้องคิดอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์และยิ่งคิดมากก็กลายเป็นคนที่ไม่มองความจริง อยู่กับความคิดจนลืมมองความจริง แล้วยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ คิดแล้วนึกว่าจะหายทุกข์ก็กลายเป็นทุกข์ใหญ่แถมวางความคิดไม่ได้อีก ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักรู้ทันมีสติยั้งคิด ธรรมะจึงทำให้มนุษย์รู้จักคำว่าสมดุล แต่มนุษย์มักจะรังเกียจการมีธรรมแล้วบอกว่า “ผมก็ได้แค่นี้” “หนูก็เป็นแค่นี้จะเอาอะไร” ผลสุดท้ายก็ต้องทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมช่วยให้เราถ่วงดุลการดำเนินชีวิต ให้รู้จักคำว่าสมดุลคืออะไร ธรรมจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด  ฉะนั้นหากศึกษาธรรมมากแต่ถึงเวลายังวางความคิดไม่ได้แปลว่าไม่เคยมีสติยั้ง (คิด) เอาแต่ (คิด)
ตอนเด็กเราถูกสอนให้รู้ว่าการได้รับของของใครมาเป็นความสุข การได้ครอบครองอะไรเป็นความสุข ฉะนั้นเราจึงมีจิตที่ผูกพันกับการอยากมีอยากได้มาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กเราไม่เคยมีอะไรที่เป็นของตนเอง พอได้มีอะไรเป็นของตนเองเราเรียกว่าความสุข แต่ยิ่งมีมาก ความสุขนั้นเป็นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ และน่ากลัวที่สุดคือกลายเป็นคนโลภโมโทสัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรที่ช่วยถ่วงดุลความคิด ความหลงของการมีชีวิต ให้เราไม่กลายเป็นความเห็นแก่ตัว และโลภโมโทสัน อยากได้จนเกินงาม ตอบได้หรือไม่
(การให้)  การให้หรือที่พระพุทธะสอน ที่เรียกว่าทำบุญ ใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่ถ่วงดุล ทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภ ไม่กลายเป็นคนที่อยากจนเกินงาม ไม่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เมื่ออยู่ในโลกนี้ ธรรมะสอนให้เรารู้จักการให้ ใช่หรือไม่
แต่ทำไมมนุษย์จึงลืมเรื่องนี้ไป เพราะโดยส่วนใหญ่เราไม่เคยทำบุญเพื่อให้ แต่ทุกครั้งที่เราทำบุญ เรากลับขอ ใช่ไหม (ใช่) 
แต่บุญคือการสละให้ ไม่ยึดถือ บุญคือการสละให้เพื่อไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
บุญคือการสละให้เพื่อไม่ให้เราโลภ ไม่ให้เราหลงยึดติดกับวัตถุ รูปนามจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  บุญคือการสละให้เพื่อให้เรายอมรับว่า สักวันหนึ่งแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ทำไมปัจจุบันคนเรากลับทำบุญแบบขอ ใช่หรือเปล่า เช่นนี้แล้วจะเรียกว่าได้บุญไหม (ไม่ได้)  แต่ได้อะไรกลับไป  ได้กิเลสความหลงความโลภ ทั้งที่จริงๆ แล้ว จุดมุ่งหมายของการทำบุญคือเพื่อสละ ละ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไปทำบุญแล้วยังอยาก โลภ หลง ก็แปลว่าเรายังทำไม่ได้ถึงบุญ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่กลายเป็นยิ่งทำยิ่งติดในบุญ หลงในบุญ ก็กลายเป็นหนีไม่พ้นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งที่เราพูดทิ้งไว้ จำได้ไหม ตอนเด็กๆ เราถูกสอนให้ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  สำเร็จจนถึงที่สุดอย่างไรก็ต้องกลับมาเป็นคนธรรมดา ฉะนั้นอย่ายึดติดกับยศถา ตำแหน่งจนลืมความเป็นคนธรรมดา เพราะถึงที่สุดไม่ว่าจะรวย มั่งมี ยิ่งใหญ่ขนาดไหน สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาในการอยู่ร่วมกันคือความเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ใช่ติดว่า “เธอเป็นใคร ฉันเป็นใคร ให้รู้บ้างว่าใครจบสูงกว่าใคร” ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นความสำเร็จไม่ได้ต้องการมาเพื่อเอาไว้อวดใครหรือยึดติดสิ่งใด แต่สิ่งสำคัญที่เราเรียนรู้ก็คือว่า เมื่อสำเร็จ เมื่อสูงที่สุด สิ่งที่ต้องกลับมาก็คือความเป็นคนเหมือนกัน เราอยากคุยกับคนธรรมดาหรือเราอยากคุยกับดอกเตอร์ (คนธรรมดา)  เราอยากมีแฟนเป็น ผอ. หรือคนธรรมดา ตอนแรกอยากได้ ผอ. แต่เวลาคุยกันอยากได้ (คนธรรมดา) ใช่ไหม   เราอยากมีลูกจบดอกเตอร์ จบปริญญาโท ใช่ไหม แต่ถ้าลูกเอาปริญญาโทมาคุยกับพ่อแม่ พ่อแม่อยากได้ปริญญาโทจากลูกไหม (ไม่อยาก)  ทำไมล่ะ ฉะนั้นความสำเร็จคือส่วนหนึ่งของชีวิต แต่อย่าเอาความสำเร็จมาปิดกั้นทำให้เราหลงลืมความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่า คนทุกคนสูงขนาดไหน คนทุกคนร่ำรวยมั่งมีขนาดไหน แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือถึงที่สุด คุณก็คือคนธรรมดา
ทุกคนก็ต้องการคนที่เป็นดอกเตอร์ แล้วถึงที่สุดเลือกดอกเตอร์หรือเลือกคนธรรมดา เราต้องการให้ทุกท่านรู้ว่าถ้าเลือกสิ่งหนึ่ง ก็ต้องยอมรับอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าเลือกจะมีลูกที่เป็นดอกเตอร์เมื่อลูกคุยกับเราที่เรียนจบ ป.๑ ป.๒ ไม่รู้เรื่อง เราก็จะต้องยอมรับให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันหนึ่งก็ต้องบอกลูกให้เข้าใจว่า ลูกเอ๋ย จบสูงแต่ถึงที่สุดคนทุกคนในโลกก็ต้องการคนธรรมดา ที่คุยกันอย่างธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ให้เราเข้าใจความสมดุลแห่งชีวิต อย่ายึดติดสิ่งใดจนลืมมองอีกสิ่งหนึ่งว่ามีคุณค่า อย่างนั้นถ้าเราถามท่านนะว่า ตอนเด็กๆ เราถูกสอนให้เป็นคนดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าวันหนึ่งเราถูกว่า “เราเป็นคนไม่ดี” ได้ไหม (ได้)  ตอนนี้ตอบเราได้เต็มปากเต็มคำแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตอบได้เต็มปากเต็มคำ ถึงเวลาถูกว่าจะโกรธเขาไหม สิ่งที่สำคัญคือรักษาความสมดุลในใจ ถ้ายอมถอยแล้วทำให้เขามีความสุข ถ้ายอมผิดบ้างแล้วทำให้เขาเป็นคนถูก ถ้ายอมไม่ดีบ้างแล้วทำให้เขาได้ดีขึ้น ทำไมไม่ลองทำ ดีกว่ายืนยันถือมั่นในเหตุผลว่าฉันถูกแกผิด ฉันดีแกร้าย แล้วถึงที่สุดใครเล่าที่เสียใจ  อย่างนั้นตอนนี้ยอมร้ายดีไหม (ดี)  ยอมผิดได้ไหม (ได้)  แล้วร้ายจริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  ค่อยชื่นใจหน่อยนะ เพราะถามจริงๆ แล้วโดยลึกๆ ใครหรือดีที่สุด ใครหรือดีจริงๆ ทุกคนก็ล้วนมีสิ่งที่ร้ายอยู่ในใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าถูกเขาว่าร้ายก็ควรหันกลับมามองตัวเองว่าร้ายจริงหรือเปล่า และควรจะขอบคุณเขาที่ทำให้เราเห็นตัวเอง
เราถามท่านต่อนะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราอยู่ในโลกนี้แล้วหวังจะมีแต่สิ่งดีไม่มีสิ่งร้าย มีแต่สุขไม่มีทุกข์  มีแต่แข็งแรง ไม่มีเจ็บป่วย  (ไม่ได้) แต่ทำไมเราเห็นคนบนโลกเวลาพบพระจะไหว้เพื่อขอทุกครั้งเลย  คนที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ได้แต่ยังขอนี้เรียกว่าอะไรหนอ
ภาษาบนโลกนี้เรียกว่า “ความสบายใจ”  แต่ภาษาเราเรียกว่า “หลอกตัวเอง” เป็นไปได้ไหมที่เราจะหวังอยู่ในโลกไม่มีวันสูญเสีย เป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกมีแต่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย มีแต่โชคดีไม่โชคร้าย มีแต่สุขไม่มีทุกข์ อย่างนั้นถ้าเรารู้ว่าขอแบบนี้แล้วไม่ได้ เรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้เราควรขอหรือไม่ เป็นไปได้ไหมที่อยู่ในโลกนี้มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ อย่างนั้นถ้าเป็นไปไม่ได้แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร ชีวิตคนมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ หรือเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นปกติธรรมดา ฉะนั้นมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีแข็งแรงก็มีเจ็บป่วย มีสมหวังก็มีผิดหวัง มีคนชมก็มีคนด่า หรือเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นสัจธรรมแห่งความเป็นจริงแห่งชีวิตคน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นปกติธรรมดาของทุกชีวิต
ฉะนั้นเมื่อไรเราเจ็บปวดกับการสูญเสีย เมื่อไรเราเจ็บปวดกับการถูกว่า เมื่อเราเจ็บปวดกับความทุกข์แปลว่าหัวใจเรากำลังผิดปกติ และชีวิตเรากำลังไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา เราอยากทำตัวเองให้ไม่ธรรมดา ใช่หรือไม่ ในเมื่อรู้ว่าเป็นปกติธรรมดาของทุกชีวิตที่ต้องพบ เราควรทุกข์กับความปกตินั้นไหม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราผิดปกติธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีศีล มีศีลเพื่อรักษาความปกติของใจ  มีสมาธิเพื่อให้จิตสงบ มีปัญญาเพื่อให้เราเห็นแจ้งความเป็นจริงอันปกติ ฉะนั้นจริงๆ ต้องใช้ปัญญาหรือไม่ ไม่ต้องใช้ถ้าเรายอมรับความจริง แต่เราต้องใช้ปัญญา ศีล และสมาธิเพราะเราไม่ยอมรับความจริง เพราะเรามัวเอาแต่คิด เอาแต่ยึดมั่นอยู่กับความหวัง จนไม่ยอมรับความจริง ธรรมแค่สอนให้เรากลับมาอยู่กับความจริง ฉะนั้นใครที่ไม่สนใจธรรมแสดงว่าไม่สนใจความจริง สนใจแต่ความผิดปกติแล้วทำให้ตนเองทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมสอนให้มนุษย์ปกติหรือสอนให้มนุษย์ผิดปกติ (ปกติ) แต่การปล่อยตามใจตัวเอง ปล่อยตามกิเลสทำให้มนุษย์วุ่นวายและไม่สามารถกลับมาสู่ความสงบที่แท้จริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเรายังจะขอหรือไม่ (ขอ, ไม่ขอ)  ไม่ขอพระ ไม่ขอเขา ไม่ขอใคร แต่ขอที่ใจตนเอง เมื่อไรจะกลับมายอมรับความปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ความจริงอันปกติ ขอพรวัดใด ขอพรเก้าวัด ไม่สู้ขอใจตัวเอง เพราะธรรมสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีเหตุก็ไม่มีผล ไม่มีเหตุปัจจัยเราจะต้องมารับผลของเหตุปัจจัยนั้นหรือไม่ (ไม่) แล้วถ้าเราไม่ยึดเหตุปัจจัยเรายังจะต้องทุกข์กังวลกับผลที่ตามมาหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นไปขอเก้าวัดหรือขอหนึ่งวัดที่ใจตัวเอง  ขอพระศักดิ์สิทธ์ภายนอกหรือขอพระในใจให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเคยได้ยินหรือไม่ ตอนเราพูดอะไรไม่คิด ตัวเราต้องเป็นทาสของคำพูดตัวเอง เคยได้ยินประโยคนี้ไหม เมื่อเรายังไม่รับปากอะไรใคร เราเป็นนายเหนือคำพูด แต่เมื่อเรารับปากอะไรใครไปแล้วเรากลายเป็นทาสของคำพูดที่เรากล่าว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อเราไม่สร้างเหตุ เราไม่ต้องตกเป็นทาสของผลที่ต้องรับชะตากรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดเหตุได้  เราต้องมานั่งแก้ผลหรือไม่ (ไม่) อย่างนั้นท่านเคยได้ยินคำพูดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ อย่าลืมนะ เพราะสิ่งนั้นคือความปกติที่ต้องคอยย้ำเตือนในจิตใจเราว่า เป็นปกติและต้องทำใจเราให้ปกติรับให้ได้
สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความเปลี่ยนแปลงและกลับไปสู่ความดับ ใดๆ ในโลกเราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เมื่อวันหนึ่งมันเปลี่ยนแปลงและกลับไปสู่ความดับ ทุกข์จะอยู่ที่ใด ใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่แหละคือแก่นของหลักธรรม หากท่านเข้าใจท่านจะสามารถพลิกจากสิ่งที่ทุกข์ที่สุดให้กลายเป็นไม่ทุกข์  และไม่ต้องทำอะไร มันก็จะจางหายไปเอง  เหมือนกับที่มนุษย์มักพูดว่าเวลาช่วยเยียวยาใจ เพราะทุกสิ่งมีการเกิดแล้วก็มีการ (ดับ) แต่ที่เรายังมีความทุกข์อยู่เพราะเราไปยึดไว้
พระพุทธะบอกว่าเรื่องราวต่างๆ จบไปแล้ว แต่ใจเราต่างหากที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวต่างๆ ผ่านไปแล้วแต่ใจเราไม่เคยปล่อยวาง ยังยึดมั่นถือมั่น เราจึงทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงว่าสิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะจิต   ที่เรายังไม่ทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะเรายึด ไม่ปล่อยวาง ห่วงจนถึงที่สุด อย่างนั้นเราถามว่าสิ่งที่เรายึดในโลกนี้มีอะไรเป็นของท่าน มีหรือไม่ (ไม่มี) แล้วตอนนี้โกรธเกลียดอะไร หลงอะไร โลภอะไร และยังอยากได้อะไรในเมื่อถึงที่สุดก็เอาไปไม่ได้ แล้วยังจะผิดบาปอีกทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ การมาหรือไปก็ไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อน เมื่อยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็หนีไม่พ้นความทุกข์ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่
อย่างนั้นวันนี้เราคงผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก  น่าเสียดายที่บางคนไม่เข้าใจ และน่าเสียดายที่สุดคือฟังแล้วกลับแอบหลับ อุตส่าห์เสียสละมาได้ในวันนี้แต่กลับนั่งหลับ
ไม่เป็นไร เราถือว่าท่านมาพักผ่อน มาฟังธรรมะเพื่อพักผ่อน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ลองไปไตร่ตรองให้ดี ลองไปพิจารณาให้ดี ไม่ได้ให้ท่านมานั่งเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ ไม่ได้ให้ท่านมานั่งแล้วทนทุกข์ แต่ให้ท่านนั่งฟังธรรมแล้วบังเกิดปัญญานำพาให้ตนพ้นทุกข์  เพราะถ้าอยู่ตรงนี้ยังทุกข์อยู่ที่ไหนท่านก็ทุกข์  แต่ท่านอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้วไม่ทุกข์จะอยู่ที่ไหนท่านก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยู่ที่นี่นั่งฟังธรรมยังทุกข์ อยู่ที่ไหนก็คงทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ถ้านั่งอยู่ที่นี่แล้วเกิดความเบิกบานใจไม่ทุกข์ใจ อยู่ที่ไหนความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านจะจัดการแก้ไข ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองถามตัวเองดูให้ดีนะ วันนี้มานั่งเพื่อทุกข์หรือว่ามานั่งเพื่อพ้นทุกข์


วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐          สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
 
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
  เมื่อทำได้ทำดีจึงมีสุข                       เมื่อทำผิดรีบลุกแล้วแก้ไขใหม่
มีสติรู้ตัวทำอะไร                              ฝึกให้ไวรู้ให้ทันสติอารมณ์
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
  คนอยู่เป็นกันเองยิ่งต้องบำเพ็ญ          ฝ่าไปความลำบากเป็นครูผู้ให้
การบำเพ็ญจะช่วยให้สุขสบายใจ          ปฏิบัติมากมากได้เมื่อไรเข้าใจธรรม
เค้นอุเบกขาในหัวจิตหัวใจคน               มาสยบคลื่นใจคนใช่คลื่นน้ำ
มีสำนึกง่ายง่ายย่อมไม่ก่อกรรม            เรื่องแก้ง่ายอย่าทำให้พันพัว
คาดโดยต่างคนคิดต่างมุมมอง              เจ้าไม่ต้องสนใจใครดีชั่ว
ถ้าคนต่างคิดแบบเห็นแก่ตัว                มักต่างอยู่เข้าตัวไม่เหลือใคร

ฮา  ฮา  หยุด
       คิดแล้วก็ลำบาก ชีวิตยุ่งยากจังเลย  เรื่องไหนไม่ต้องเอ่ย บางทีมันก็เยอะเกินไป  บำเพ็ญธรรมะอย่าขาดธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะให้ชั่งใจ  ล้มไปแต่โทษโทษแต่ธรรมะตลอด
       * สติสตังเป็นอะไรไม่เคยจะมีไว้  มักชอบทำตัวตามสบาย  กลับกลายเป็นคนละเลย  อะไรเป็นอะไรดูดายกับความวางเฉย  หลายคนที่เคยดีมากมายก็ยังดีหายไป
       เป็นคนที่มาก่อนบำเพ็ญก็ต้องมากกว่า  หลายครั้งเรื่องตรงหน้า ที่จริงเราก็เยอะไป  มีวันพรุ่งนี้เริ่มที่วันนี้ ตั้งแต่บัดนี้แล้วยิ่งใหญ่  ชีวิตใครลืมหลักธรรมแล้วลำบาก (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง : ดีดีกันไว้

ชื่อเพลง : ชีวิตยุ่งเหมือนยุงตีกัน


 พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
 
ชีวิตบางทีมีทางเลือกอยู่ที่เราจะเลือกเดินหรือเปล่า หรือเรายังจมอยู่กับความคิดและมองหาทางออกไม่พบ
“เมื่อทำได้ทำดีจึงมีสุข        เมื่อทำผิดรีบลุกแล้วแก้ไขใหม่
มีสติรู้ตัวทำอะไร             ฝึกให้ไวรู้ให้ทันสติอารมณ์”
ศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ดีที่ชอบเอาแต่ใจ ใช่หรือเปล่า ดีที่เอาแต่รักตัวกลัวตายอย่างนั้นดีไหม ดีที่เอาแต่รักสบายอย่างนั้นเรียกว่าดีไหม อย่างนั้นเราเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ ใครๆ ชอบเรื่องดี แล้วเราอยู่กับใครเราก็ต้องการคนดี อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า “คำว่าคนดีในใจของศิษย์เป็นอย่างไร”   คนดีไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเราจะพูดดี แต่สิ่งที่พูดดีนั้น ถ้าไปกระทบกระเทือนใจใคร นั่นถือว่าเราพูดดีไหม
(ไม่ดี)  ถึงเราจะพูดจริง แต่คำพูดจริงแล้วไปทำให้ใครเขาเจ็บปวด นั่นดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นคำว่า  “ความดี”  คืออะไรหนอ บางทีเราพยายามทำตัวให้เป็นคนดีที่สุด แต่ถึงที่สุดแล้วบางทีก็ยัง (ไม่ดี)  ศิษย์อาจจะบอกอาจารย์ว่า
“คนดีคือคนที่มีเมตตาธรรม คือคนที่ชอบทำบุญ คือคนที่สวดมนต์เก่ง ใช่ไหม

อาจารย์ถามหน่อย คนทำบุญเก่ง คนสวดมนต์เก่ง แต่ยังชอบนินทาเก่ง เรียกว่าเป็นคนดีได้ไหม (ไม่ได้) ตกลงว่าคนดีคืออะไร เคยไหม เราพยายามทำดีมากๆ จนถึงที่สุด บางทีเราก็ไม่รู้ว่า อะไรเรียกว่าคนดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับ คนดีคือคนที่ทำให้ถูกใจทุกๆ คนถึงจะเรียกว่าดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้น “คนดีคืออะไร” 
(คิดดี พูดดี ทำดี)  คนดีคือคนที่คิดดี พูดดี ทำดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย คนที่คิดดี พูดดี ทำดี แต่ยังละชั่วไม่ได้ จะถือว่าดีไหม
คนที่คิดดี พูดดี ทำดี แต่ละชั่วไม่ได้จะดีหรือไม่ศิษย์ (ไม่ดี)  ฉะนั้นคนดีที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้และอยากให้ศิษย์เป็นคือไม่ใช่คนดีที่ พยายามดีแต่ไม่ละชั่ว คนที่ดีจริงคือคนที่พยายามดีและพยายามละชั่ว ถึงศิษย์จะพยายามดีขนาดไหน แต่ศิษย์ไม่ยอมละชั่วจะเรียกว่าดีได้หรือไม่ (ไม่ได้) ศิษย์บอกศิษย์เป็นคนมีเมตตา เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็ยังขี้โมโห อดด่าไม่ได้ อย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่าศิษย์ที่อาจารย์คุยอยู่ด้วยนี้เป็นคนดีแต่ยังไม่ละชั่วจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นอย่ามาบอกอาจารย์ว่าตนเองเป็นคนดี  เพราะถ้าอยู่ตรงนี้ทำดีแต่อยู่ตรงนั้นทำชั่ว ไม่เรียกว่าดี ดีจริงอยู่ตรงไหนก็ต้องดี จะเอาความดีตรงนี้มาปิดความชั่วที่ทำที่โน่นได้หรือไม่ แทนกันได้หรือไม่ แล้วอย่ามาอ้างว่า
ทำดีแล้วไม่ได้ดี อย่ามาบอกว่าหนูเป็นคนดี ผมเป็นคนดี ทั้งๆที่เรายัง (ไม่ดี) ใช่หรือไม่ (ใช่)

ธรรมะสอนให้ละชั่ว (ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์)  แต่ตอนนี้เราแค่ทำดี แต่ไม่ละชั่ว แล้วเราจะไปถึงความบริสุทธิ์ ได้หรือไม่  อย่างเช่น  เวลาทำบุญไปแล้วก็แอบคิดในใจว่า “พระจะไปถึงวัดหรือไม่ จะแอบเที่ยวหรือเปล่า” หรือ “จะเป็นพระปลอมหรือเปล่า” อย่างนี้เรียกว่าทำดีแต่เจตนาไม่บริสุทธิ์  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นหากศิษย์อยากจะเป็นคนดี ศิษย์ต้องกล้าละชั่วในใจตัวเองให้ได้ หากละชั่วในใจตัวเองไม่ได้ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลงไม่ได้ ศิษย์อย่าบอกว่าเป็นคนดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้คนดีแล้วดียิ่งขึ้น
นอกจากละชั่วแล้ว ทำดีแล้ว มีความคิดที่ถูกต้องแล้วจะทำให้เราดีขึ้น สมมติว่า อาจารย์พยายามละชั่ว อาจารย์เป็นคนดี อะไรที่ไม่ดีอาจารย์พยายามไม่ทำ แต่เวลาพบอะไร “ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ชอบ ก็เบื่อ รำคาญ” แบ่งรักแบ่งชัง อย่างนี้จะดีได้ไหม เพราะใจยังมีแบ่งแยก ใจยังมียึดติด ฉะนั้นคนดีจะดียิ่งขึ้นถ้ามีความคิดที่ถูกต้องอย่างหนึ่งคืออะไรๆ ก็ดี ใครด่ามาก็บอกว่า ดีใครด่ามาก็บอกว่า ดีพบคนโกงก็บอกว่า ดีแฟนไปมีคนใหม่ก็บอกว่า ดีจริงหรือไม่ แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ชอบคนด่า ชอบคนชม คนดีจะมีวันดีขึ้นไหม
ถึงแม้ลูกหลานจะไม่มีดี แต่เราก็พยายามมองให้เห็น ศิษย์เอย มนุษย์ทุกคนเมื่อเขาผิดพลาดไปแล้ว เขาต้องการคนเห็นใจและเข้าใจ  ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะด่าเรา ไม่ว่าเขาจะทำผิดกับเรา  แต่เราคิดเพียงว่า เขาก็มีดีเหมือนกันนะ เราทำให้คนผิด ได้รู้สึกว่าเขาไม่ได้เลวร้าย เขาไม่ได้ถูกขับไล่ไสส่ง เขายังมีคนที่พร้อมจะเข้าใจและให้โอกาสแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีดีแล้วอย่าลืมเพิ่มความดีต่อไป ด้วยการคิดว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างคนขาดทุน หรือศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างคนมีกำไร (กำไร)  ฉะนั้นถ้าเรามองอะไรๆ ก็ดี มันก็คือชีวิตที่มีกำไร  แต่ถ้าเราบอกว่าอะไรๆ ก็แย่ เราก็คือคนที่หาเรื่องวุ่นวายให้กับชีวิต ถูกหรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน  ฉะนั้นคนดีควรใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  คนดีควรคิดว่าอะไรๆ ก็ดี หรือเอาแต่โทษคนอื่นไม่ดี (อะไรๆ ก็ดี)   
ตอนนี้ศิษย์มีสุขหรือมีทุกข์ (สุข)  ถ้ามีทุกข์ก็แปลว่าเป็นคนใจ (แคบ)  บอกเองนะ อาจารย์ไม่ได้ว่าศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทำใจว่างๆ ท่าจะยากนะ ทำใจให้วุ่นๆ ง่ายกว่าทำใจว่างๆ วางความคิดลงได้ชีวิตก็หยุดวุ่นวายได้ทันที แต่ถ้าวางความคิดไม่ลง หยุดความคิดไม่ได้ ชีวิตก็วุ่นวายสับสนไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าสมมติว่าอาจารย์มีความทุกข์อยู่ในใจมันลบไม่ได้ มันวางไม่เคยลง ไปไหนความทุกข์นี้ก็ตามติดอาจารย์ไปตลอด ศิษย์จะตอบอาจารย์ได้ไหมว่าทำอย่างไรให้ความทุกข์นี้มันหายไปจากใจ (แผ่บุญกุศลให้เขา) 
มนุษย์มีความทุกข์เป็นธรรมดา ความทุกข์เป็นเหมือนอะไรที่วนเวียนในความคิดเราตลอด สมมติว่าคนนี้มีความทุกข์ เวลาเรามีความทุกข์จะขจัดความทุกข์ได้อย่างไร บางท่านบอกให้ปล่อยวาง บางท่านบอกให้แผ่กุศล  พอแผ่เมตตาผ่านไปแล้วบอกว่าปล่อยวางแล้ว  แต่สักพักความคิดก็วนกลับมาอีก  ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดนั้นหายไปหรือไม่ (ไม่) แล้วจะต้องทำอย่างไร (ทุกข์ที่ใดก็ดับที่นั่น) ตอบได้ดีนะ แต่หากทุกข์เกิดที่ความคิด แล้วหยุดที่ความคิดไม่ได้ จะทำอย่างไร (เหมือนที่พระอาจารย์บอกว่าให้ทำดี หากมีคนด่าว่ามาเราก็ต้องพิจารณาว่าที่เขาว่านั้นจริงหรือไม่แล้วแก้ไขตนเอง )  อย่างนั้นแปลว่าศิษย์กำลังจะทำทุกข์ให้กลายเป็นสุข วิธีของศิษย์ท่านนี้พยายามมองทุกข์ให้เป็นสุข และพยายามมองร้ายให้กลายเป็นดี  แก้ได้หรือไม่ (ได้) อย่างนั้นหากสามีมีภรรยาใหม่ก็ (ดี)  ภรรยาไปมีสามีใหม่ก็ (ดี)
อีกวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะบอกศิษย์ มนุษย์นี้แปลกถ้าไม่ทุกข์จนเจ็บจนสะใจไม่ยอมปล่อย ชอบเอากลับมาคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์ทุกข์จนถึงที่สุด แล้วมนุษย์จะปล่อยทุกข์เอง”  แต่ส่วนใหญ่เราทุกข์จนถึงที่สุดหรือยัง เข็ดไหม เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ถ้าเข็ดแล้วจะไม่เอาอีก” ถ้าเข็ดกับทุกข์นี้แล้วศิษย์จะยังอยากกลับไปทุกข์กับมันอีกไหม ที่ยังกลับมาวนคิดเพราะว่ายังไม่เข็ด ทุกข์ไม่จำ เจ็บไม่ยอมปล่อย ถ้าเราเจ็บเต็มที่แล้ว เราเข็ดแล้วเราจะเอาทุกข์นั้นไปอีกไหม (ไม่เอา)  มันจะปล่อยเองตามธรรมชาติ แต่ที่เรายังทุกข์แล้วทุกข์อีกเพราะเรายังไม่เข็ด เจ็บไม่จำใช่ไหม ทุกข์แล้วอยากทุกข์อีกใช่ไหม ที่ทุกข์มันไม่ปล่อยนั้นเพราะทุกข์ไม่ปล่อยเราหรือเราไม่ยอมปล่อยทุกข์ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่มนุษย์ทุกข์เพราะมนุษย์นั้นชอบตีกรอบหัวใจตัวเอง ต้องแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น ต้องอย่างนั้นไม่ใช่อย่างนี้ ต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ ต้องมีแต่คำชมไม่มีคำด่า ต้องสามีรักเราคนเดียวห้ามไปรักคนอื่น ยิ่งตีกรอบหัวใจให้สุขแคบมากเท่าไหร่ทุกข์ก็ง่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเราไม่ตีกรอบหัวใจเราว่าอะไรต้องเป็นอย่างไร เราคิดแต่ว่า “อะไรๆ ก็ดี อะไรๆ ก็ได้” เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
วันนี้สิ่งที่อาจารย์มาคุยกับศิษย์คือเรื่องหลักธรรมในการบำเพ็ญตัวเองเพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์   ส่วนใหญ่มนุษย์กลัวความทุกข์ใช่หรือไม่  มีใครไม่กลัวความทุกข์บ้าง (กลัว)  แต่อาจารย์ไม่กลัวทุกข์ เพราะความทุกข์สอนให้เรารู้จักมากกว่าความสุข สอนให้เรารู้จักมากกว่าความดี  รู้หรือไม่ (ไม่รู้)  
มนุษย์บอกว่าชีวิตก็มีความทุกข์มากแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีทุกข์ขึ้นมาแล้ว เราแก้ปัญหาความทุกข์ได้ยากหรือไม่ (ยาก)  เพราะความทุกข์มีหลายประเภท แต่มีความทุกข์บางประเภทที่อาจารย์อยากจะช่วยศิษย์แก้  ศิษย์เคยตีกรอบชีวิตตัวเองหรือไม่ว่า ฉันต้องมีแต่เรื่องดีๆ ต้องมีแต่เรื่องสมหวัง ต้องมีแต่ความสำเร็จ ต้องไม่เจ็บป่วย เคยคิดแบบนี้หรือไม่ (เคย,ไม่เคย)  ส่วนใหญ่ที่มนุษย์ทุกข์เพราะชอบกำหนดว่าฉันต้องได้รับคำชม ไม่ถูกว่า ฉันต้องสำเร็จ ไม่มีล้มเหลว ฉันต้องมีดีไม่มี (ชั่ว)
หากเราถูกว่า เราทำสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จ เราทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แล้วเราจะปลดความทุกข์นี้ได้อย่างไร  ศิษย์บอกให้ทุกคนในโลกนี้ว่าช่วยทำให้ศิษย์สำเร็จ ต้องยิ้มให้ศิษย์ ห้ามทำหน้าบึ้งกับศิษย์ ต้องซื่อตรง ห้ามคดโกง เอาเปรียบศิษย์ ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเปลี่ยนเขาไม่ได้ เปลี่ยนใครดี (ตัวเรา)  เปลี่ยนตัวเราอย่างไร
(วางเฉย) วางเฉยใช่ไหม  ฉะนั้นใครว่าอะไรเรา ว่าเราทำอะไรไม่ดี เราก็วางเฉย ไม่โกรธใช่ไหม แต่ถ้าเราผิดจริง เราจะวางเฉยไหม  ศิษย์เคยได้ยินไหม แก้ไขที่หัวใจตัวเอง วางเฉยเมื่อโดนคนว่า แต่ถ้าเขาว่าเราแล้วเราผิดจริง เราต้องยอมรับว่าตัวเองก็ผิดได้ เราต้องแก้ไขอย่าวางเฉย จริงไหม  บางอย่างถ้าดีก็รับไว้ แต่ถ้าบางอย่างไม่ดีเอามาตรวจสอบใจ ผิดก็แก้ไข ถูกก็พยายามรักษาให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในเมื่อศิษย์รู้ว่าเป็นแบบนี้ เราควรจะตีกรอบชีวิตเราไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นทำดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ฉะนั้นถ้าเราไม่ไปตีกรอบตั้งแต่ต้น เราจะทุกข์ง่ายไหม (ไม่ง่าย) 
อีกอย่างที่มนุษย์ชอบทุกข์คือ ทุกข์ที่ชอบเอาใจเราไปยกให้คนอื่นดูแล เอาความสุขเราไปผูกไว้กับคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะเรายกใจไปฝากไว้กับคนอื่น “ความสุขและความทุกข์ของหนูจะอยู่ได้เมื่อเขายิ้มเท่านั้นค่ะอาจารย์” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์อย่างนี้เรียกว่าทุกข์ที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วโทษเขาหรือโทษเรา (โทษเรา) แล้วเรามักยกใจให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอยากแก้ความทุกข์อันนี้ จงอย่ายกใจของเราไปผูกไว้กับคนอื่น แล้วก็อย่ายกใจของเราไปผูกไว้กับเงินทอง แล้วก็อย่ายกใจของเราไปผูกไว้กับตำแหน่งหน้าที่  เพราะถ้าถึงเวลา ตำแหน่งหน้าที่มันไม่ได้ขึ้นมา เป็นอย่างไร (ทุกข์)  ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ ก็จงอย่ายกใจให้ใครดูแลรักษาใจตัวเอง ดีไหม (ดี)  แต่รู้อย่างนี้แล้วเราสามารถกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้นไหม (ไม่หมด) 
อาจารย์เริ่มตั้งแต่ง่ายไปยากนะ อาจารย์ถามหน่อยว่า เมื่อเรารู้ว่าชีวิตเป็นทุกข์เพราะเรามักชอบเอาใจไปฝากไว้กับคนอื่น ชอบกำหนดไว้กับตัวเอง ถึงที่สุดแล้วต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากไหน (จากใจ)  มาจากใจที่เรา (ไม่เข้าใจ)  เราไม่เข้าใจตัวเอง ใช่หรือไม่
เรามักชอบเอาใจตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์เราก็ต้องดูแลใจตัวเองและก็ต้องพยายามเข้าใจตัวเองให้ได้ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าถ้าเราเข้าใจและเราเข้าถึงอย่างถ่องแท้ เราจะสิ้นทุกข์และ สามารถวางทุกข์ลงได้ทันทีเลย แล้วถ้าเราเข้าใจตัวเราเอง เราก็จะสามารถเข้าใจใจแห่งมวลชนได้ แล้วเราจะเข้าใจเราได้อย่างไร ว่าเราทำดีหรือทำถูก (อยู่ที่ใจของเรา) 
ฉะนั้นความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับใจตัวเอง อาจารย์ต้องการให้ศิษย์รู้ว่าความทุกข์ที่มากระทบไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ กำลังจะรับมือกับความทุกข์ ถ้าเราใช้ใจกว้างให้อภัยเราก็จะได้สันติ แต่ถ้าความทุกข์มากระทบถ้าเราชิงชังเคียดแค้นผูกใจเจ็บเราก็คือคนที่ก่อเวร ก่อกรรม จริงหรือไม่ (จริง) 
(พระอาจารย์เมตตาใช้กุศโลบายอธิบายหลักธรรมโดยใช้พัดตีไปที่ตัวนักเรียนที่ออกมายืนอยู่หน้าชั้น)
ศิษย์เอยความทุกข์ในโลกนี้ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือหัวใจที่จะไปรับมือความทุกข์  จะให้ทุกข์มันจบ หรือจะให้ทุกข์มันยืดเยื้อ หรือจะให้ทุกข์มันใช้กรรม (อยู่ที่ใจ) อย่างนั้นแม้อาจารย์จะตีก็ไม่ (ถือว่าใช้กรรม) ศิษย์เอยก็อาจารย์บอกแล้วทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับหัวใจที่เผชิญความทุกข์ รับมือเป็นรับมือได้ ทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้ารับมือไม่เป็นรับมือไม่ได้ ใจก็เป็นทุกข์ ก็กลายเป็นเวรกรรมที่ยืดเยื้อ ฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือ (ใจเราเอง) ฉะนั้นถ้าเรารู้ทันตัวเอง เข้าใจตัวเอง หยุดใจตัวเอง ทุกข์จะตีกี่ครั้งก็ไม่ (ทุกข์)
ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือธรรมะสอนไว้ว่า ทุกเรื่องราวในโลกนี้จงอยู่กับปัจจุบันขณะ  การที่อาจารย์ตี การตีจบไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว  ถูกตีมีวันจบ แต่ถ้าได้สมอยากมันไม่มีวันจบ เพราะถ้าได้แล้วติดใจ อยากอีก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าได้แล้วกินสมอยากแล้วไม่อร่อย ทุกข์ไหม (ทุกข์) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายหนึ่งท่านออกมาหน้าชั้น เป็นตัวอย่างให้พระอาจารย์เมตตา)
ศิษย์ถูกตีต้องได้แอปเปิลใช่ไหม (ใช่)  ถูกตีแล้วได้แอปเปิลดีไหม (ไม่ดี,ดี)  แปลว่าเมื่อเรายอมที่จะประสบกับอะไรขึ้นมา เราก็ต้องหวังผลตลอด ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมีหนึ่งต้องมีสองสามสี่ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ถูกกระทำ ศิษย์หวังผลตลอด ก็คือทำเวรให้ยืดเยื้อ เรื่องราวไม่จบ ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์ควรให้แอปเปิลเขาไหม เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม 
เราอยู่ในโลกนี้เราทุกข์เพราะความอยาก พอเราได้ในสิ่งที่อยากแล้ว สิ่งที่เราอยากได้นั้นจะทำให้เราอยากได้อีก ถ้าเรากินแล้วมันอร่อยก็อยากกินอีกและถ้ากินแล้วมันเกิดไม่อร่อยเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  มันทุกข์เหมือนกันนะ ทุกข์หนึ่งคือทำให้เราอยากมีอีกเรื่อยๆ แต่อีกทุกข์หนึ่งคือเกลียดแล้วไม่กินมันอีกเลย ฉะนั้นเราควรอยากได้แอปเปิลเพื่อกินแล้วทุกข์ทั้งสองแบบนี้ไหม
เราอยู่ในโลกความทุกข์มันหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ หากเราไม่สามารถควบคุมใจของตัวเองได้ ถ้าเราไม่สามารถรู้ทันใจตัวเอง ทุกข์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเข้าใจ เราจะหยุดทุกข์ได้ทันที เรารู้ว่าจะจัดการกับใจเราอย่างไรเมื่อเราพบทุกข์  บางคน พบทุกข์ก็เอะอะโวยวาย  ด่าคนโน้นว่าคนนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยด่าไม่เคยว่าคือ (ตัวเอง)  ฉะนั้นหากเกิดเรื่องแบบนี้เราจะจัดการความทุกข์อย่างไร 
(นักเรียนชายท่านหนึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่พบสาเหตุ)  อาจารย์จะบอกให้ ศิษย์จะเชื่ออาจารย์ไหม ถ้าอาจารย์ให้ทำอะไรศิษย์ก็จะทำตามทุกอย่าง ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างนั้นศิษย์เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับชะตากรรม 
สิ่งที่อาจารย์อยากจะให้ศิษย์แก้ไขคือ มนุษย์ทุกคนเกิดมามีกรรม และเราเกิดมาเพราะต้องชดใช้กรรม แปลว่าเราเกิดมามีกรรมในอดีตที่ติดตัวมาและพร้อมจะทำกรรมใหม่ ทำดีเรียกว่าบุญ ทำชั่วเรียกว่าบาป แล้วกรรมชั่วนั้นเมื่อถึงเวลาบุญหมด ก็ต้องสนองปัจจัยแห่งความชั่วนั้น แล้วยิ่งเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้มันคือกรรมล้วนๆ ที่ศิษย์ต้องชดใช้ แล้ววิธีชดใช้ที่ดีที่สุดคือ  
) สำนึกขมากรรม คิดให้ได้ คิดให้ออกว่าศิษย์เคยไปทำอะไรกับสัตว์กับคน ไม่ว่าจะพูดให้เขาเจ็บปวดใจ ไม่ว่าจะเบียดเบียนชีวิตใครเพื่อชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะฆ่าเขาด้วยวิธีใดเพื่อให้ตนเองได้กินได้เสวยสุข ถ้าอยากสำนึกจะเชื่ออาจารย์หรือไม่  อย่างแรกรู้จักสำนึก   
) เลิกเบียดเบียนเนื้อสัตว์    
) ประพฤติตัวให้มีศีลธรรมอันบริสุทธิ์  หากศิษย์ทำได้ศิษย์สามารถเอาไปต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรได้ สามารถลดหย่อนจากหนักให้เป็นเบาได้
(พระอาจารย์เมตตาให้จุดไม้ขีดไฟ)
ชีวิตทุกคนเหมือนไม้ขีดไฟ จริงหรือไม่ เมื่อจุดขึ้นแล้วรอวันดับ ศิษย์จะรอให้มันไหม้จนถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อยหรือศิษย์จะรู้จักปล่อยก่อนที่ มันจะดับแล้วไหม้มือตัวเอง ศิษย์เกิดมาแล้วเราหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และถึงที่สุดเราก็ต้องทุกข์ในความดับสิ้น แล้วเราจะหยุดทุกข์ได้อย่างไร ส่วนใหญ่เราก็แค่ปล่อยให้ผ่านไป แล้วหาสุขไปวันๆ หนึ่ง ศิษย์มักพูดว่า “ไม่เห็นจะต้องไปหาเลย ชีวิตก็ปล่อยให้มันเผาไป แล้วก็หาความสุขไปแค่นั้น ก็จบแล้ว”
ถ้าตายแล้วจบจริงๆ เราก็ไม่ต้องไปทำความดี ไม่ต้องไปหาความสุข ใช่หรือไม่ แต่ถ้าร่างกายเราตายไปแล้วเรายังมีความอยากอยู่เรายังมีความยึดติดอยู่ เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (มา)  แต่ถ้าตายแล้วเราไม่อยากแล้ว เราไม่ผูกใจเจ็บแล้ว เราจบแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว ไม่มีเราแล้ว เราจะเวียนว่ายตายเกิดไหม (ไม่)  แล้วถ้าเราต้องมาเวียนว่ายอีกแล้ว สิ่งที่เรายึดมันสามารถทำให้ศิษย์กลับมา เกิดเป็นคนได้ไหม ศีลมีครบไหม บุญรักษาได้ดีไหม บุญทำได้ถึงพร้อมไหม ตายแล้วจะจบไหม
ถ้าอาจารย์เกิดมา ใครทำอะไรอาจารย์ อาจารย์ให้อภัย อาจารย์ขอบคุณที่ได้ชดใช้กรรม ไม่ว่าอาจารย์จะได้อะไร อาจารย์ก็พอแค่นั้น รู้จักพอ รู้จักหยุด อาจารย์ถามศิษย์นะว่า คนอย่างอาจารย์ถ้าตายไป อาจารย์จะกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (ไม่)  และจะมีใครมาผูกกรรมกับอาจารย์อีกไหม (ไม่)  เพราะอะไร เพราะอาจารย์หยุดแล้ว พอแล้วและไม่ผูกใจเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์บอกว่าในโลกนี้ไม่มีทุกข์ใดน่ากลัวเท่ากับใจ ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ยังยึดติดอยู่ ใจศิษย์ยังผูกพันกับบุญ บาปแม้ศิษย์จะสิ้นสังขาร ใจที่ยึดติดบุญบาป นั้นจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่าย  อย่างนั้นเราจะหยุดและเอาชนะใจตัวนี้ได้อย่างไร และเราจะสามารถพ้นทุกข์ได้อย่างไร โดยที่ไม่มีใจเราหลงเหลืออยู่ ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม สิ่งที่มนุษย์ทุกข์และจมอยู่กับทุกข์แล้วเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้น ไม่สิ้น เป็นวัฏสงสาร พระพุทธะกลับบอกว่า พระพุทธะเอาสิ่งที่ทุกข์มาทำให้พ้นทุกข์ และทำความทุกข์กลายเป็นความธรรมดา
ใจอะไรถ้าเราเข้าใจในใจนั้น จะทำให้ความทุกข์กลายเป็นเรื่องธรรมดา
เวลาศิษย์ตั้งใจสิ่งใดที่เป็นเรื่องดี แต่เวลามีเรื่องก็โทษว่าธรรมะไม่คุ้มครอง ใช่ไหม (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้มองว่าจริงๆ แล้วธรรมะสอนอะไรกันแน่ ธรรมะไม่ได้สอนว่าปฏิบัติแล้วต้องมีดีตลอด แต่ธรรมะสอนให้เราปฏิบัติไม่ว่าพบร้ายหรือดี เราก็ต้องเข้มแข็ง จริงหรือไม่
โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะบอกว่าทุกข์เกิดจากใจ  ถ้าเรารู้ทันใจเราเข้าใจเราก็แก้ทุกข์ได้ แต่มีใจอันหนึ่งถ้าศิษย์สามารถรู้ได้ศิษย์จะสามารถเข้าใจทุกคนได้ จะสามารถทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ศิษย์พอจะรู้ไหมว่าใจนั้นคือใจอะไรและเป็นใจของทุกๆ สิ่งด้วยในโลกใบนี้ เป็นหลักเดียวที่สามารถเข้าถึงทุกสภาวะและทุกชีวิตได้ถ้าเราเข้าถึงใจอันนี้ 
ถ้าเราเข้าถึงใจอันนี้ ศิษย์จะรู้ว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สามารถให้เราพบสิ่งที่พ้นทุกข์ได้ และใจอันนี้มีอยู่ในทุกสิ่ง นั่นเรียกว่าอะไร
ทุกคนมีใจเหมือนกันไหมศิษย์ ทุกคนมีใจที่ชอบเหมือนกันใช่ไหมศิษย์  ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนพูดดีหรือพูดไม่ดี (พูดดี)  ชอบคนซื่อตรงหรือคดโกง (ซื่อตรง)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจใจตน เราจะไม่เข้าใจใจผู้คนหรือ ถ้าเรารู้ใจตน เราจะไม่รู้ใจผู้คนหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกคนชอบคนพูดดี ไม่ชอบคนเห็นแก่ตัว   ถ้าเราไม่ชอบคนเบียดเบียน ก็แปลว่าใจทุกคนก็ไม่ชอบคนเบียดเบียน เราชอบคนพูดดีแปลว่าทุกคนก็ชอบคนพูดดี  
ฉะนั้นถ้าเรายึดกุมใจของตัวเองได้ และไม่เอาสิ่งที่เราไม่ชอบนี้ไปปฏิบัติกับผู้อื่น เราจะปฏิบัติกับผู้อื่นได้ถูกทางไหม แล้วเราจะทำให้เขาทุกข์ไหม (ไม่)  ใจเราชอบคนหาเรื่องไหม (ไม่) 
ถ้าเราเข้าใจใจของเรา เราจะไม่เข้าใจใจผู้คนหรือ เพราะใจของคนทุกคนเหมือนกัน รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนชม ไม่ชอบคนด่า ชอบคนพูดดีไม่ชอบคนพูดเอะอะมะเทิ่ง ชอบคนใจเย็น สุภาพ ไม่ชอบคนขี้โมโห เอะอะโวยวาย ใช่ไหม (ใช่)  ชอบให้อาจารย์พูดดีๆ ไม่ชอบให้อาจารย์พูดเสียงดัง ใช่ไหม
ฉะนั้น ถ้าเรายึดกุมใจของความเป็นคนได้ เราจะไม่ยึดกุมใจของผู้คนได้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราเข้าใจ เราจะทำให้ใครทุกข์ใจไหม (ไม่)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  เราจะด่าใครไหม (ไม่ด่า)  เราจะโทษใครไหม (ไม่)  แล้วที่ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจตัวเอง เราถึงไปด่าคนอื่น เราถึงไปโทษคนอื่น ใช่ไหม (ใช่ เราต้องโทษตัวเราเองก่อน)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นคน จะไม่เข้าใจใจของผู้คนหรือ ถ้ายึดกุมใจของคนได้ถูกว่าอะไรเป็นอะไร เราจะทำคนอื่นทุกข์ใจไหม  ศิษย์ชอบคนโกงไหม ศิษย์ชอบคนที่อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม (ไม่ชอบ)  แล้วทำไมทุกวันชอบอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง อยากได้เงินของคนอื่นมาอยู่ในกระเป๋าเรา ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเรายึดกุมใจของความเป็นคนที่ถูกต้องได้ เราจะปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ถูกต้อง และถูกใจเขาไม่ได้หรือศิษย์ จริงไหม (จริง)  แต่บางทีเป็นเพราะเราไม่รู้ใจตัวเองที่แท้จริง เอาแต่วิ่งไปตามความอยากและตกเป็นทาสของกิเลส เราเลยทำผิดคิดร้าย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ ถ้าเหนื่อย ลำบาก และต้องยอมคนอื่นอยู่ร่ำไป กับสบายดี เอาอันไหนดีกว่า  ศิษย์เอ๋ย ถ้าใจของเราเลือกลำบาก เลือกอดทน เลือกยอมได้ แล้วไม่ผิดต่อผู้คน ไม่เบียดเบียนผู้คนนั่นแหละเข้าถึงใจ แต่ถ้าเราเลือกใจสบายแล้วเบียดเบียนผู้คน นั่นแปลว่าเราเอาใจที่มีกิเลส มีตัณหาไปใช้กับผู้คน แล้วหนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจะใช้ใจที่ยอมหรือใจที่สบาย (ใช้ใจที่ยอม)  มนุษย์ทุกข์เพราะว่าหลงลืมใจอีกอันหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมส่งของ คนที่แพ้ต้องออกมาเต้นเป็ด)
นั่งฟังเฉยๆ ก็เบื่อ อย่างนั้นมาเต้นเป็ดดีไหม ทำให้คนอื่นมีความสุขมันก็ได้บุญนะ ถ้าคนอื่นเป็นเป็ด เราไม่อยากเหมือนใคร ให้เป็นลิงแทน ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ (ไม่อยากเป็นลิง)
ฉะนั้นเราเรียนรู้ศึกษาธรรม สิ่งที่สำคัญคือการประพฤติปฏิบัติตน อย่าให้คนเขามองดูเราแต่ภายนอก อย่าให้คนอื่นเขาวัดค่าเราเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่สิ่งที่สำคัญคือการแสดงออก คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น  ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้คนอื่นเขาดูถูกเรา ไม่เหยียดหยามเรา ทำไมเราไม่เลือกประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามล่ะ ถูกไหม (ถูก)   ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ใครดูถูก เราก็อย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง ถ้าไม่อยากให้ใครเหยียดหยาม เราก็อย่าเหยียดหยามคุณค่าของตัวเอง และกดตัวเองให้ลงต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จะเป็นลิงไหม  ถ้าเป็นลิงยากเกินไป อย่างนั้นอาจารย์ให้เป็นพุทธะ เอาไหม (เอา)  อาจารย์ให้สร้างบุญ เอาไหม (เอา)  เปลี่ยนจากเต้นลิง เป็นให้เดินลงไปห้องครัว แล้วขอบคุณแม่ครัว แล้วบอกเขาว่า อาหารอร่อยมาก ดีไหม (ดี)  เชิญลงไปได้ อาจารย์ให้เขาได้สร้างบุญ ดีไหม (ดี) 
จิตที่รู้จักสำนึกคุณ จิตที่รู้จักตอบแทนคุณเป็นจิตที่ประเสริฐ  และจิตที่สำนึกคุณ ตอบแทนคุณ ไม่ใช่แค่ผู้มีพระคุณที่เรียกว่าพ่อแม่เท่านั้น  แต่เราต้องรู้จักสำนึกคุณ ตอบแทนคุณบุคคลทุกๆ คน ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ไม่มีคนที่ลำบาก จะมีคนที่นั่งสบายตรงนี้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จิตที่รู้จักขอบคุณทุกคนมันเป็นสิ่งที่ดีนะ ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นการสร้างบุญอีกอย่างหนึ่ง บุญมีสิบประการ บุญที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน บุญที่รู้จักเอื้อเฟื้อมีน้ำใจต่อผู้อื่นนั่นก็เป็นบุญ
อาจารย์ขอเข้าเรื่องธรรมะอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนจะจากกัน หลักธรรมหลักหนึ่งที่เราเข้าใจแล้วสามารถทำให้ทุกข์กลายเป็นเรื่องธรรมดาได้นั่น คืออะไรรู้ไหม เป็นหลักของทุกชีวิตและเป็นหลักของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง หนีไม่พ้นทุกข์ หนีไม่พ้นความว่างเปล่า ฉะนั้นหลักธรรมอันนี้มีอยู่ในทุกสิ่งไหม มีอยู่ในทุกรูปและนาม มีอยู่ในทุกตัวคน ใช่หรือไม่ ถ้าเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้เราจะสามารถวางทุกข์ได้
เรื่องสุดท้ายที่อาจารย์พูดคือหลักของธรรมะที่เป็นใจของทุกสิ่ง ที่เป็นธรรมะที่ศิษย์ไม่ต้องแสวงหาตรงไหน ถ้าศิษย์เข้าใจ ความทุกข์จะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนอาจารย์ถามว่า ในโลกนี้มีได้ก็มี (เสีย) มีชมก็มี (ด่า) มีสมหวังก็มี (ผิดหวัง) มีคนดีก็มี (คนชั่ว)  มีได้ลาภก็มีเสื่อมลาภ มีทุกข์ก็มีสุข โลกมีหลักอันหนึ่งที่เป็นใจที่เรียกว่าธรรม ถ้าเราเข้าถึงธรรมอันนี้ ศิษย์จะไม่ทุกข์เลย และไม่มีอะไรที่ศิษย์จะยึดติดให้ศิษย์ทุกข์ แต่ศิษย์มักจะหลง และลืมว่าอันนี้เป็นตัวฉัน ไม่ใช่ธรรม แต่จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าตัวเรา สรรพสิ่ง สิ่งของล้วนหนีไม่พ้นใจอันนี้ ใช่ไหม หรือทุกสิ่งล้วนหนีไม่พ้นความเกิดขึ้น (ตั้งอยู่ ดับไป) 
ศิษย์เอยถ้าศิษย์เข้าใจอันนี้ ศิษย์จะสามารถหยุดยั้งกิเลสและสามารถเข้าถึงธรรมและพ้นทุกข์ได้ ขอเพียงพิจารณาอยู่เนื่องๆ อาจารย์ถามจริงๆ ในโลกมีใครไม่เปลี่ยนแปลง ตัวเราเปลี่ยนไหม ร่างกาย ใจ เพื่อน เปลี่ยนไหม เมื่อเปลี่ยนแล้วมีทุกข์ไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ โลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังแปลว่าความไม่เที่ยง ทุกขังแปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก อนัตตาแปลว่าว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์กำลังทุกข์กับตัวนี้ อาจารย์อยากจะบอกว่ามันใช่ตัวศิษย์ไหม ก่อนหน้านี้มันเปลี่ยนมากี่ครั้งแล้ว แล้วถึงที่สุดมันจะเปลี่ยนไหม แล้วเราควรยึดว่าเป็นของเราไหม แต่เราควรมองเห็นธรรม เรียกว่าผู้ใดพบทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม และธรรมอันนี้เป็นใจของทุกชีวิต เป็นใจของทุกสรรพสิ่ง ถ้าเรามองอยู่เสมอว่าใจอันนี้ ไม่เที่ยง เปลี่ยนอยู่เสมอ เป็นทุกข์ ไม่มีใครครอบครองได้อย่างแท้จริง แล้วสุดท้ายว่างเปล่าจากตัวตน หาเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้ ที่ดินใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เงินตราใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง คนที่เรารักเราเป็นเจ้าของเขาที่แท้จริงไหม ตัวสังขารเราเราเป็นเจ้าของที่แท้จริงไหม (ไม่)  ถึงเวลาเปลี่ยนไหม แล้วเรายึดไหม เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดในความมีตัวตน แปลว่าศิษย์ยังต้องการเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิดและเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อใดศิษย์พยายามที่จะพิจารณาอันนี้อยู่เนื่องๆ  คือเราจะยึดอะไรในโลก มันยึดไม่ได้ ถามว่าแล้วอะไรเป็นของศิษย์ ศิษย์ก็จะบอกว่า ไม่มีอะไรเป็นของศิษย์ เงินเปลี่ยนมากี่มือ หน้าตาเปลี่ยนมากี่รูปแบบ สามีเปลี่ยนมากี่ครั้ง ภรรยาเปลี่ยนมากี่ครั้ง ฉะนั้นถ้าเราพึงพิจารณาอยู่เนื่องๆ เราจะไม่โกรธ เพราะทุกสิ่งมันไม่เที่ยง เราจะไม่เกลียดเพราะเกลียดไปมันก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะไม่โลภหลงเพราะทุกสิ่งมันว่างเปล่า มันเป็นธรรมที่ศิษย์ไม่ต้องแสวงหาที่ไหน มันอยู่ที่นี่ในตัวเรา  ถ้าเราเข้าถึงธรรมอันนี้ศิษย์จะว่างเปล่าจากทุกข์ได้ทันที แต่มนุษย์ไม่เคยพิจารณาถึงอันนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  ปล่อยให้ชีวิตมันเป็นอย่างนี้แล้วก็วิ่งวนอยู่กับความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าพิจารณาถึงธรรมอันนี้ ศิษย์จะสามารถมีศีล สมาธิ ปัญญาทันที 
ศีล คือ ความปกติ
สมาธิ คือ ความสงบ ไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ
ปัญญา คือ เห็นแจ้ง ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จะโกรธ จะเกลียด จะอยากอะไร
เมื่อนั้นโลภ โกรธ หลงก็ไม่มี ทุกข์ก็วางสิ้นได้  เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ยึดแล้วเพราะตัวตนก็ไม่มี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแท้จริงแล้วสัจธรรมนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน อันนี้มันทำให้คนทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วคนทุกคนต้องกลับคืนสู่หนึ่งอันนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เมื่อเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่นว่า “ตัวกู ของกู ตัวเรา ของเรา”  ใช่ไหม
เมื่อไม่ยึดแล้วอะไรจะทุกข์ พุทธะจึงสอนไว้ว่า พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”  ฉะนั้นเราไม่ได้เกิดมาเป็นพุทธะเพื่อยึด ถ้าศิษย์เป็นคนที่นับถือพุทธ พุทธคือรู้ รู้ความจริงแห่งใจอันเป็นสัจธรรม ใจอันเป็นทุกสิ่งของหลักธรรมในโลกนี้ รู้แล้วตื่นแล้วเบิกบาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดาน)
ไม่เที่ยง เปลี่ยนอยู่เสมอ
เป็นทุกข์ ไม่มีใครครอบครองได้อย่างแท้
ว่างเปล่าจากตัวตน หาเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้
ฉะนั้นหัวใจหลักของธรรมะก็คือ เมื่อใดว่างจากความยึดถือเมื่อนั้นความทุกข์ก็จางหายสิ้น เมื่อใดว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนกิเลสก็ทำอะไรกับตัวเราไม่ได้อีกต่อไป  สิ่งที่อาจารย์พูดคือหลักธรรมที่นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์  เพราะเมื่อไรที่ศิษย์สุข คนรอบข้างก็สุข  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังทุกข์ ศิษย์ก็ทำให้คนรอบข้างทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ที่ศิษย์ชอบสร้างมากที่สุดก็คือเราหวังดีกับเขา แต่หวังดีด้วยการเอาสุ่มไปครอบและบังคับให้เขาต้องเป็นอย่างที่เราคิดเราหวัง มันใช่ทุกข์มันใช่สุขไหม  ตอนนี้อาจารย์กำลังจะเอาอันนี้ไปครอบศิษย์ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่อาจารย์แค่กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นใจอันนี้ใจที่เป็นหลักแห่งธรรม เมื่อใดพบธรรมเมื่อนั้นก็พ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทคำว่า เป็นคนต้องมีมโนธรรมสำนึก)
จิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงามจะทำให้มนุษย์ไม่สามารถทำผิดทำชั่วได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม มนุษย์ก็พร้อมที่จะเบียดเบียนและทำร้ายผู้คนได้
มีโอกาสลองเอาไปศึกษาดูนะ วันนี้เรามาเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อปฏิบัติ นำพาชีวิตให้ถูกทางและพ้นทุกข์  อาจารย์บอกศิษย์ไว้อย่างหนึ่งนะ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วไม่แก่ บำเพ็ญธรรมแล้วไม่เจ็บ บำเพ็ญธรรมแล้วมีแต่เรื่องโชคดี ไม่มีโชคร้าย  แต่บำเพ็ญคือคนที่กล้ายอมรับความเป็นจริงในชีวิต ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา  แต่จิตที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดานั้นที่จะทำให้เราทุกข์ ใช่หรือไม่  ถ้าเมื่อไรเจอทุกข์ ถ้าจะกราบไหว้พระ ขออาจารย์ อาจารย์ก็อยากขอให้ศิษย์เข้มแข็ง มนุษย์ทุกข์เพราะมักจะอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ ชอบหาห่วงมาผูกคอ ใช่หรือไม่ ชอบคิดทำร้ายตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเรียนรู้ศึกษาบำเพ็ญธรรมแล้ว ต้องสามารถนำหลักธรรมมาปฏิบัติ เพื่อนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และมีปัญญากระจ่างแจ้งจนเข้าถึงธรรม ไร้ตัวตนให้ยึดถืออีกต่อไป มีแต่ธรรมที่เดินไป มีแต่ธรรมที่เคลื่อนหมุนไป หามีตัวตนที่แท้จริงไม่ ใช่ไหม  ถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะรู้ว่า คำว่าตัวตนมันไม่มี มันมีแต่ธรรมที่เคลื่อนไป ธรรมที่หมุนไปตามหลักสัจจะ ตามหลักกฎแห่งธรรม ใช่หรือไม่ ไม่ใช่มีธรรมเพราะอยากดี แต่มีธรรมเพราะต้องปฏิบัติให้ดีให้ถึงที่สุดต่างหาก นี่คือหลักของการปฏิบัติธรรม
รักษาตนด้วยคุณธรรมความถูกต้องดีงาม และอยู่กับผู้คนด้วยจิตใจเมตตา และให้อภัย ไม่ยาก ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์หวังให้ศิษย์ไปให้ถึงธรรม เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่พระไตรปิฏก ไม่ได้อยู่ที่พระ ไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ในนี้ หยั่งเข้าให้ถึงใจที่เรียกว่าธรรมอันถ่องแท้หรือยัง ธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า  อยู่ในนี้ มีให้เห็นทุกวัน และสอนให้เราอย่ายึด อย่าอยาก ถ้าอยากก็ทำตามหน้าที่ ได้หรือไม่ได้ก็จบกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ได้เสีย สุขทุกข์ เป็นเรื่องปกติธรรมดา จริงไหม (จริง)  สมหวัง ล้มเหลว ก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถูกด่าก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ถูกชมก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  เงินหายก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  จริงนะ ศิษย์  และสิ่งที่ธรรมดาที่สุด จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง เรามาพร้อมกับความว่างเปล่า ฉะนั้นเราต้องกลับไปพร้อมกับความว่างเปล่า และเราจะยึดติดตัวตนเพื่อสร้างเวรกรรมและวัฏสงสารไม่จบสิ้นไปทำไม ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองก็ยังทุกข์ไม่รอดแล้ว ยังจะห่วงคนอื่นไปทำไม ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนจากความห่วง เป็นการทำตัวเองให้ดี แล้วสอนเขาด้วยการกระทำ ดีกว่าการพยายามว่าเขาอีก ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นสอนคนด้วยเงิน ไม่สู้สอนเขาด้วยคุณธรรมความดีงาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะคุมใจคนก็ต้องคุมใจเขาด้วยความถูกต้องและดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองเอาไปพิจารณาดูนะ ว่าสิ่งที่วันนี้อาจารย์พูด ล้วนเป็นไปเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์  แต่ถ้าอาจารย์ตอบได้ อาจารย์จะบอกว่ามนุษย์ทุกคนจริงๆ แล้ว ล้วนไม่เคยมีทุกข์ แต่ที่ยึดทุกข์เพราะว่าไปยึดตัวตน จริงไหม แล้วตัวตนนี้เป็นของเราไหม (ไม่เป็น)  มันเป็นไปตามกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเจอใครด่า ใครว่า ก็บอกว่าดีแล้ว จะได้หมดกรรม ดีแล้ว จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ดีแล้วจะไม่จองเวรจองกรรมอีกต่อไป ดีหรือไม่ (ดีทำชาตินี้ให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ยึดบุญ ไม่ยึดติดบาป ไม่จองเวรจองกรรมกับใคร ไม่สร้างเมล็ดพันธุ์เพื่อกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ดีไหม (ดี) 
จำไว้นะศิษย์ สังขารมีเพื่อชดใช้กรรม แต่จิตเดิมแท้หามีวิบากกรรมใดๆ ไม่  จิตเดิมแท้ล้วนคือสภาวธรรม วิบากกรรมเป็นเรื่องของสังขาร จิตเดิมแท้ไม่มีกรรม มีแต่ธรรมแล้วก็ธรรม ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นก็สิ้นทุกข์แล  ลองไปคิดพิจารณาดูนะ ก่อนจะอยาก ก่อนจะโกรธ ก่อนจะโทษ ก่อนจะด่าใคร มองสิว่ามันไม่เคยเที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า จะด่าไปทำไม จะเกลียดไปทำไม จะทุกข์กับอะไร ในเมื่อสักวันก็ต้องแปรเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้พิจารณาจนเข้าถึงธรรมนะศิษย์ อยู่ในนี้ ถ้ามันแก่ มันเจ็บ มันตาย ดีแล้ว เป็นเรื่องของสังขาร จิตเดิมแท้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนะศิษย์ จริงไหม

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เป็นคนต้องมีมโนธรรมสำนึก”

      เกิดเป็นคนรู้ไม่ได้หมดทุกอย่าง                  มีหลายอย่างผุดมาจากจิตสำนึก
จิตสำนึกเป็นดุจดั่งกาวผนึก                           ระหว่างความรู้สำนึกผิดชอบชั่วดี
เห็นแก่ตัวกลายเป็นคนไร้เมตตา                       อวดดีกว่ากลายเป็นคนมีทิฐิ
อย่ายามเป็นคนหากอย่ามีจิตทุคติ                              แม้ตรงนี้ตรงไหนมองไม่เป็นทาง
      รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ                                  เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง                                   แต่ต่างคนต่างอยู่ไป     
      ความเป็นอยู่เข้ากันลำบาก                      บำเพ็ญมากมากจะช่วยได้
อุเบกขาสยบคลื่นในหัวใจ                             อย่าแก้ง่ายง่ายโดยต่างคนต่างอยู่ไป
      มัวแต่เข้าข้างตัวเอง                              ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย                                 ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-01 สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์

西元二○一七年歲次丁酉三月初五日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
  คนรู้ธรรมไม่ใช้ธรรมเป็นประโยชน์         ธรรมให้โทษถ้าไว้ใช้หลบเลี่ยงเก่ง
ชมตัวเองพูดก็เข้าข้างตัวเอง              แม้แสนเก่งก็กลับสร้างกรงขังตัว
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านสงบเย็นและสบายใจไหม
  เห็นผิดหลงความคิดของตัวเอง         คนห่างไกลคนความเก่งพาฉ้อฉล
ตามอารมณ์จึงพาดีอยู่ไม่ทน              ขาดสติชั่ววูบดลภัยคุกคาม
ทิฐิเกิดอารมณ์ชั่วแล่นน้อยคุมได้         กี่ทีสำนึกหายจากเล็กมองข้าม
บานปลายจนธรรมเลือนสิ้นดีงาม        คนขาดศีลผิดกามรูปมาทำลาย
ต่อไปขออย่าได้ลืมมีสติ                   อย่าให้เป็นเช่นนี้จนเหนื่อยหน่าย
ป้อมปราบอีกป้องกันนี้ทั้งใจและกาย    แม้ทำไม่ผิดบาปไซร้ต้องระวัง
วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่จะยอมจบ                บาปกรรมก่อไม่กลบไม่หักล้าง
เป็นแนวย้ำสร้างแต่ดีมีพลัง               ศุกล[1]ทางดีด้วยสำนึกสูงด้วยธรรม
เผยอันถูกต้องดีงามเป็นสากล            อัตตาตนไม่ยึดมั่นไม่เจ็บช้ำ
ยินดีสละปฏิบัติเคยแต่ไม่ประจำ         ฝึกเลยให้ชินจนล้ำมีฝีมือ
                                            ฮา ฮา หยุด


[1] ศุกล [สุกกะละ] ว. สุกใส, สว่าง; ขาว, บริสุทธิ์. (ส. ศุกฺล, ศุกฺร;ป. สุกฺก).

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

มนุษย์มักกล่าวว่าทุกปัญหามีโอกาส เเต่ในทางกลับกัน ทุกโอกาสก็อาจกลายเป็น (ปัญหา)  อยู่ที่อะไรหรือ (ตัวเรา)  มนุษย์มักจะพูดว่าคนฉลาดทำทุกปัญหาให้เป็นโอกาส เเต่คนโง่เขลาทำทุกโอกาสให้กลายเป็น (ปัญหา)  ฉะนั้นย้อนถามกลับที่ทุกท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นปัญหาหรือเป็นโอกาส (โอกาส)  คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ เขาสามารถแปรทุกๆ ความทุกข์เป็นความสุข แต่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกคือ ทุกๆ ความสุขเขาคิดแต่เรื่องของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ท่านเป็นคนฉลาดที่สุดและเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่ถ้านั่งอย่างหวานอมขมกลืนแล้วเป็นทุกข์ ถ้านั่งมองอย่างเป็นปัญหา เราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขจริงหรือไม่ (จริง) 
มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ ความเย็นใจ ความสบายใจ ความผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ใจได้สงบ ขอให้ใจได้เย็น ขอให้ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทุกขณะที่เราเผชิญชีวิตในโลกทำไมเรากลับไม่สงบ เรากลับไม่เย็นใจ เรากลับไม่เคยผ่อนคลาย และบางทีเหมือนไม่เคยสบายใจ ทั้งที่ลึกๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเราอยากหาที่สบายใจ ที่ๆ ทำให้เราสงบใจ หรือสิ่งที่ทำให้เราเย็นใจ ใช่หรือไม่ เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราจะผ่อนคลายใจก็ต่อเมื่อต้องนั่งมองทะเล เอาทุกข์ไปทิ้งที่ทะเล ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราต้องหลับตา ปิดหูปิดตา ไม่ต้องฟังเรื่องอะไรใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็เห็นโดยส่วนใหญ่อยากหาความสงบใจ ความเย็นใจ ปิดตาปิดหู ไม่ต้องรับรู้อะไร พอเข้มแข็งแล้วค่อยมาลืมตาสู้ใหม่ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราจะบอกท่านว่า ในความวุ่นวายเรากลับหาความสงบได้
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง สมมติว่าเราพยายามปลูกผลไม้ ในช่วงก่อนที่ผลไม้จะออกผลเราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายไหม เราวางใจสบายได้ไหม ไม่เคยได้เลยใช่ไหม พอผลไม้ออกผลแล้ว เราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายเราสบายใจไหม ก็ไม่เคย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ความอยาก ความยึด ทำให้ใจเราไม่สงบไม่เย็น ความมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเอาให้ได้ต้องทำให้ได้ต้องดีให้ได้ ทำให้เราไม่ผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอทำเสร็จ ต้องดีต้องสำเร็จ เลยทำให้เราไม่เคยสบายใจ แม้ว่าเรากำลังจะทำหรือทำเสร็จแล้วถ้าเราบอกว่า ไม่ว่าทำอะไรสักอย่างหนึ่งออกมาหรือยังไม่ทำออกมาเเต่ถ้าทุกขณะเราทำอย่างเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ สงบไหม (สงบ)  เย็นไหม (เย็น)  สบายใจไหม (สบายใจ) 
ฉะนั้นธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อเเสวงหาเเล้วยึดมั่นเกาะกุมอย่างไม่ปล่อยวาง หรือธรรมสอนให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเเสวงหาอย่างเข้าใจเเละยอมรับความจริง เราเทียบง่ายๆ ความอยากทำให้มนุษย์ไม่สงบ การไม่ยอมรับความจริงทำให้มนุษย์ไม่สามารถเย็นหรือสบายใจได้ การหมกมุ่นกับสิ่งใด ว่าต้องให้ได้ มันทำให้จิตเราไม่ผ่อนคลาย เเต่การทำอะไรจนถึงที่สุดเเล้วยอมรับความจริง เเละกล้าเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันด้วยหัวใจที่
เข้มเเข็ง ทำดีที่สุดเเล้วนั่นกลับทำให้เราสบายใจกว่า ถ้าทุกขณะเราทำไปแล้วจบ วางได้คือดีที่สุด ทุกขณะที่ทำจะเย็น สงบ สบาย ผ่อนคลาย เเต่ถ้าเราทำเเล้ว ต้องแบบนั้นแบบนี้ ต้องให้ได้ ทุกขณะที่ทำเลยไม่เคยเย็น ไม่เคยสงบ ไม่เคยผ่อนคลาย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เราทำดีที่สุดเเล้วปล่อยวางเเละละวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนทุกข์ใจ จริงไหม (จริง)  ธรรมสอนให้ไม่ถึงกับปล่อยวางเเต่ละวางอย่างเข้าใจ แค่ตรวจสอบว่าถ้าเราทำออกมาแล้วมีคนว่า ถ้าเรายอมรับได้เราก็เย็น

มีคนชมมีคนว่าถ้าเรายอมรับเราก็เฉยๆ ถ้าเรายอมรับ เราก็สงบใจ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ต้องดี ต้องยึดมั่น ทุกขณะเราเลยไม่เคยสงบ ไม่เคยเย็น ไม่เคยผ่อนคลาย ไม่เคยเป็นสุข ธรรมสอนให้เรามาปฏิบัติเพื่อใช้กับชีวิต ไม่ใช่ไปทุกข์มาถึงที่สุดแล้วปล่อยไม่ลง แต่ธรรมสอนให้ใช้ตอนนี้ ตอนที่จะอยาก อยากแล้ววางได้ไหม อยากแล้วยอมรับได้ไหมถ้าไม่ได้อย่างที่อยาก มันจะทำให้อึดอัดแล้ว แย่เลยไหม เหมือนถ้าปลูกผลไม้มาลูกหนึ่งแล้วห้ามติ ต้องขายได้ราคาดี ต้องหวานอย่างเดียว ต้องไม่มีแมลงได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามนุษย์ใส่ใจในทุกขณะที่เกิดขึ้น และเรียนรู้อย่างมีสติ เราจะไม่เป็นคนที่ทำร้ายตัวเราเอง เพราะเรารู้จักธรรม ธรรมอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น แต่ไม่ทำให้เราทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วเชื่อไหมว่าทุกขณะไม่จำเป็นจะต้องไปมองทะเล ไม่ต้องไปหาที่สงบ อยู่ที่ไหนเราก็สงบได้ แต่ถามตัวเองก่อนว่าทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นั่นแหละ เย็น สงบ สบาย ได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่ไกลๆ ไม่ต้องรอเข้าวัดฟังธรรม ธรรมมันอยู่ในตัวเราเมื่อไหร่จะทำสักที ทำให้มันเป็นธรรม ไม่ใช่ทำให้ตนเองเป็นที่ผลิตกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)
เหมือนอยู่กับเราตอนนี้ ถ้าไม่มีความอยากใจก็สงบ ถ้ากล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นใจก็เย็น ถ้าไม่มุ่งมั่นอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หัวใจก็ผ่อนคลาย เเละถ้าไม่ยึดติดว่าต้องแบบนั้นแบบนี้ใจเราก็สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนไปอยู่ที่ทำงานถ้าไม่เกิดความอยาก ทำงานก็มีความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ากล้ายอมรับว่าจะได้ไม่ได้เราก็ใจเย็น ถ้าไม่บีบคั้นตัวเองว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำงานเราก็ผ่อนคลาย เเล้วถ้าทำให้ดีที่สุดเเล้วอะไรก็กล้าเผชิญ จิตใจเราก็เบิกบานเเละสบาย ใช่หรือ (ใช่)
ฉะนั้นคำว่าสงบ เย็น สบายใจ ไม่ได้อยู่ภายนอก เเต่ถามใจเราเองก่อน เรียนรู้ที่จะเข้าใจเเละยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติ เเละเราจะเข้าใจว่าทุกๆ อย่างก็คือธรรมเเห่งความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมากไป ไม่มีอะไรน้อยไป เเต่ใจเราต่างหากที่ตีกรอบยึดมั่นคาดหวัง เเละทำให้สิ่งธรรมดาเป็นสิ่งที่ทุกข์หรือสุขก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดไม่ยากนะ เหมือนเราพยายามจัดดอกไม้ให้สวยที่สุด ถ้าเรายึดว่าต้องได้รับคำชมอย่างเดียว เราสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าเรายึดว่าต้องดีอย่างเดียวอย่าร้าย เราจะเย็นไหม (ไม่เย็น)  พอใครมาพูดว่าไม่ดี เป็นอย่างไร อารมณ์ขึ้นเลย เพราะฉันมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำดีความดีก็อยู่ในผลงานนั้นแล้ว ส่วนจะดีหรือไม่ดีในใจเขา เราบังคับให้ทุกคนเป็นอย่างที่ใจเราคิดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ใช่บอกให้ท่านยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ จนไม่ยอมมองความจริง แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรามองความจริงด้วยสติ ทุกขณะที่เกิดล้วนคือธรรม การปฏิบัติธรรมสอนให้เราพูดดีทำดี แต่การปฏิบัติธรรมไม่ได้สอนให้ทุกคนต้องดีกับเรา ถูกไหม (ถูก)  มีธรรมบทไหนบ้างที่สอนว่าเราจะดีได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต้องดีกับเรา การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติดี แต่การปฏิบัติดี ไม่ใช่ให้เรามีหน้าที่ไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะมาตรฐานความดีของทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน)  ฉะนั้นที่เขาปฏิบัติกับเราอาจจะเรียกว่า สำหรับเขาอาจจะทำดีที่สุดแล้ว แต่เรามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราร้าย
ก่อนที่จะว่าเขาร้าย เรายึดติดดีในแบบของเรา แล้วรับดีในแบบของเขาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เรื่องที่เราพูด เราว่าไม่ยากนะ แต่ยากที่ใครจะทำได้จริง ถ้าทำได้จริง ความสงบ เย็น สบาย และอิสระมีได้ในทุกขณะ และเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แต่เราไม่เคยคิดที่จะทำกันจริงๆ เท่านั้นเอง งั้นเราเทียบง่ายๆ นะ ท่านว่าดอกไม้นี่สวยไหม (สวย)  ถ้ายังคิดอย่างนั้นแปลว่ายังมองไม่ถึงที่สุดนะ ถ้าคนที่มองถึงที่สุดและมองอย่างเข้าใจธรรมจะบอกว่า ทั้งสวยและไม่สวย จริงไหม (จริง)  นี่แหละเรียกว่าคนไม่ประมาทในการมีชีวิต งั้นถามอีกกระเช้าดอกไม้ดีไหม (ทั้งดีและไม่ดี)  ดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่กระเช้า แต่ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจท่าน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นต้องมีสตินะ แล้วท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจ แล้วไม่มีอะไรมาทำให้ท่านหลงและทำให้ท่านทุกข์ได้ กระเช้าดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่มันทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่ากำลังเอากระเช้าไปทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ท่านมาเรียนรู้ศึกษาการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมีรากฐานคือการกระทำดี การกระทำดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราศึกษาจึงขอพูดเกี่ยวกับเรื่องหลักธรรมในการเอาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิต เมื่อเราบอกว่าการทำดีเป็นฐานของการปฏิบัติธรรม คนส่วนใหญ่จึงเลือกทำสิ่งที่ดี ถ้ามือหนึ่งทำดี เเต่อีกมือหนึ่งทำไม่ดี ถ้าบอกว่าคนหนึ่งขยันทำดีเเต่อีกด้านหนึ่งชอบแอบคิดคดโกหกนินทาว่าร้าย อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  เเละจะบอกว่าคนดีแบบนี้ทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าเขาทำดีก็จริงเเต่สิ่งที่ผิดที่ร้ายเขายังไม่รู้จักละ อย่างนั้นจะบอกว่าตนเองทำดีเเล้วไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถึงเวลาเรื่องร้ายๆ เราก็ยังทำอยู่
คนดีที่เเท้จริงคือเเม้ไม่ได้ทำดีอะไรมาก เเต่ไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายเลยนั่นถึงจะเรียกว่า (คนดี)  ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคนดี มือหนึ่งทำดีเเต่อีกมือหนึ่งยังแอบคดโกง ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่ปฏิบัติดีได้อย่างถูกต้อง เเล้วจะบอกว่าทำดีเยอะๆ เผื่อความดีนั้นจะมาล้างความไม่ดี ท่านว่าล้างได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนวันนี้ท่านไปทำบุญกับคนกลุ่มนี้ เเต่ท่านไปด่ากับคนกลุ่มนั้นเเละให้คนกลุ่มนี้มาชมว่าเราดีให้กับคนกลุ่มนั้น ฟังขึ้นไหม (ไม่ขึ้น)  แล้วเรียกว่าดีเเท้ไหม (ไม่แท้)  อย่างนั้นอย่าบอกเราว่าท่านกำลังปฏิบัติดี ถ้าท่านยังไม่ละบาป ละชั่ว ละกรรม พระพุทธะสอนไว้ว่าละบาปเมื่อไหร่ก็คือการบำเพ็ญบุญเมื่อนั้น เเต่ถึงจะทำบุญเเค่ไหนแต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ ท่านก็ไม่อาจเรียกว่าคนบุญ
หลายท่านมักบอกว่า ทำดีเเทบเเย่ไม่เห็นได้ดี ทำไมทำดีมากๆ ไม่เห็นโชคดี ทำไมเป็นคนดีมีศีลมีธรรมกินเจเเล้ว ทำไมยังมีโรคภัยไข้เจ็บไม่เห็นดีเลย เห็นบ่นตัดพ้อว่าฟ้าว่าดินประจำ อย่างนั้นเราจะตอบให้ฟังว่าเพราะอะไร ท่านเคยได้ยินไหมว่าโรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังปากร้ายว่าคน เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังกินตามใจปากจะแข็งแรงไหม (ไม่เเข็งเเรง)  แล้วเกี่ยวอะไรกับทานเจปฏิบัติธรรมเเล้วป่วย ทำไมทำดีถึงโชคร้าย ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ไม่มีภัยพิบัติใดเเละไม่มีหายนะใดๆ ในโลกน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้จักพอ ภัยพิบัติเเละหายนะมาจากความอยากที่ไม่รู้จักพอ เกี่ยวอะไรกับการทำดีไหม (ไม่เกี่ยว)  จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติดี เเต่ไม่ละชั่ว ใฝ่ดีเเต่ยังไม่ละความเลวร้ายในตัวตน จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีนั้นจึงไม่ใช่ ฟ้ายุติธรรมเสมอ ดีก็มีผลดี ร้ายก็มีผลร้าย ไม่อยากทุกข์ก็อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่เเจ้ง ถ้าท่านเข้าใจแบบนี้การปฏิบัติดียากหรือไม่ (ไม่ยาก)
การปฏิบัติธรรมนั้นแท้จริงคือการมุ่งมั่นละชั่ว ทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง แต่คำว่าละชั่วทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ใช่หมายความว่า เกลียดคนไม่ดี ผูกใจเจ็บแช่งชักคนไม่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าเราปฏิบัติดีและเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะว่าเขาไหม เราจะผูกใจเจ็บไหม เราจะด่าไหม (ไม่)  ถ้าท่านคือคนที่ประพฤติปฏิบัติดีและอยากให้สิ่งดีมาบังเกิด เราถามหน่อยว่า คนที่ประพฤติปฏิบัติดี พอเจอคนไม่ดีจะแช่งชักหักกระดูกไหม จะผูกใจเจ็บไหม จะโกรธเกรี้ยวไหม (ไม่)  หลายๆ ท่านพูดว่าที่แล้วมา แล้วๆ กันไปนะ แต่เราจะบอกให้ท่านอย่างหนึ่งนะ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน เราจำสิ่งที่ดีมากกว่าหรือจำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่า (สิ่งที่ร้าย)  เมื่อจำก็แปลว่าผูกใจเจ็บ เมื่อเห็นแล้วยังรู้สึกขัดตาขัดใจก็แปลว่ายังรู้สึกอยากจองเวรจองกรรม แล้วนั่นคือหนทางของผู้ประพฤติดีหรือ อย่างนั้นปฏิบัติธรรมก็คือละชั่ว ไม่ทำผิดเลย นั่นดีที่สุด แต่มนุษย์ปัจจุบันปฏิบัติดีผิดทางหมดเลย ชั่วไม่ละแต่ดีก็ทำ เหมือนเราถามท่านว่า เราตบท่านแล้วบอกขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  แม้เอาของมาให้สิบอย่าง แต่ที่ท่านว่าเรา ที่ตีเรา ที่ด่าเรา ลืมลงไหม (ไม่ลง)  
ฉะนั้นการปฏิบัติดีที่แท้จริงคือ ผิดก็ไม่ทำ บาปก็ไม่ก่อ กรรมก็ไม่คิดสร้าง ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจปฏิบัติธรรม จงอย่าหลงกับการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติไม่ใช่สอนให้เรารักดี เกลียดชั่ว และไม่มองความจริง แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรากล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนเราถามท่าน นิ้วทั้งห้านิ้ว นิ้วไหนดีที่สุด (นิ้วทั้งห้าก็เกื้อกูลกัน)  ถ้าท่านคิดแบบนี้กับทุกคนก็ดี เพราะคนที่เขาไม่ดีเปรียบเหมือนคนที่โชว์นิ้วกลาง แต่เขาก็คือคนที่ทำให้เราเห็นความเป็นคน แม้แต่ตัวเราบางทีเราก็ยังทำตัวให้เหมือนโชว์นิ้วกลางได้ก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรายอมรับว่าไม่มีอะไรไม่ดี เพราะทุกสิ่งล้วนเกื้อหนุนกันจริงไหม (จริง)  ไม่มีเขาหรือจะมีเรา ไม่มีโง่หรือจะมีคนฉลาด ไม่มีคนร้ายหรือจะมีคนดี ไม่มีคนต่ำเตี้ยหรือจะมีคนสูง ไม่มีคนสูงหรือจะมีคนที่สูงกว่า ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างมืดกับสว่าง ท่านว่าอะไรดีกว่ากัน ถ้าไม่มีมืดท่านจะมีวันพักผ่อนหรือ เพราะถ้ามีแต่วันสว่าง ท่านคงทำงานไม่จบไม่สิ้น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่มีมุมมืดของคนเราจะเข้าใจความเป็นคนไหม เราจะมองเห็นคนชัดเจนไหม ถ้าว่ากันให้ถึงที่สุดถ้าเราเรียนรู้อย่างคนที่ยึดหลักธรรม มีธรรมเป็นหลัก อะไรคือสิ่งที่ร้าย อะไรคือสิ่งที่ดี เพราะในร้ายก็มี (ดี)  ในดีก็มี (ร้าย)  ท่านก็รู้อยู่เต็มอก
ถ้าท่านเข้าใจหลักของธรรมในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านจะรู้ว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือหัวใจเเห่งความดับทุกข์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ถามตัวเองก่อนทำดีที่สุดเเล้วหรือยัง ทำดีที่สุดเเล้วไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ต้องวางลงเเละยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เเต่บางทีก็อดไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  ธรรมะสอนให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง แต่ทำไมเวลาเราประพฤติปฏิบัติดีเรากลับหลงยึดติดบุญ โลภในการสร้างบุญกุศล ถ้าทำเเล้วยังหวังผล ทำเเล้วยังโลภหวังผลบันดาลดล นั่นก็เเปลว่าท่านละไม่จริง ในเมื่อธรรมสอนว่าโลภโกรธหลงเป็นทางมาเเห่งบาป ถึงที่สุดคือให้ความทุกข์เเละวิบากกรรมที่ไม่สิ้นสุด ถ้าทำบุญแล้วเรายังขอไหม (ขอ)  ถ้าขอก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด อย่างนั้นปฏิบัติถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  หลักของการปฏิบัติธรรม หัวใจหลักก็คือ ทำจนถึงที่สุดคลายจากความยึดถือ เพราะหัวใจของการดับทุกข์ คือการไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นใดๆ ในโลก สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดแปลว่าเราก็ยังหลงอยู่นะ
ธรรมะสอนให้เราหลงหรือสอนให้เราละ (ให้ละ)  แล้วที่เราปฏิบัติธรรมเราหลงหรือเราละ (เราหลง)  อะไรที่ทำให้เราละวางได้ นั่นเรียกว่า ปฏิบัติธรรม แต่ถ้าอะไรทำให้เรายึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวาง เรียกว่า หลงกับการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ทำแล้วละหรือทำให้หลง ผู้ที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แม้ท่านจะทำดีก็ไม่ได้เป็นการประกันว่าจะโชคดี ถึงจะทำดี โชคร้ายก็ไม่เป็นไร ถึงจะละร้ายละชั่ว แล้วต้องเจอเคราะห์เจอภัยก็ไม่เจ็บปวด เพราะผู้ที่เข้าใจธรรมยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ร้ายดีไม่เท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความจริง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าร้ายหรือดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าท่านเข้มแข็ง ถ้าท่านกล้าหาญ ถ้าท่านรู้จักปัญญาของตน ร้ายท่านก็แปรเป็นยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ธรรมะสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตอนนี้ท่านบำเพ็ญแบบยึดคนหรือว่ายึดธรรม ปฏิบัติตามคนหรือปฏิบัติตามธรรม ท่านมักปฏิบัติตามคน คนดีเราก็ทำ คนไม่ดี (ก็ไม่ทำ)  เราแค่มาบอกให้ท่านปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง อย่าหลงกับการปฏิบัติธรรม เพราะคิดแค่เพียงว่า หวังดี ชอบดี ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดดีแล้วเกลียดร้าย แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้ท่านเป็นคนปฏิบัติดีที่ไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่)  ก็ธรรมสอนให้เราเป็นกลาง เมื่อเป็นกลาง อะไรจะเกิดก็คือสิ่งนั้นดี ตั้งแต่ต้นเลย ยอมรับได้ก็เย็นได้ หยุดอยากได้ก็สงบได้ ไม่หมกหมุ่นจนเกินไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็ผ่อนคลายได้ เมื่อทำถึงที่สุดยอมรับความเป็นจริงเราก็สุขและเบิกบานใจได้
จิตญาณที่บริสุทธิ์เป็นต้นรากแห่งความรู้ ถ้าญาณบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัด ความรู้เป็นหลักของหัวใจ ถ้าความรู้แจ่มชัดถูกต้อง ไม่อคติไม่ลำเอียง มีความเป็นกลาง อะไรจะเกิดเราก็สงบ แต่เป็นเพราะว่าความอยากที่มันมากเกินไปต่างหาก ที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่สามารถบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปมากกว่า ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ปัญญาและความกล้าหาญได้อย่างแท้จริง และถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่า เราจะสูงส่งโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเกียรติยศ เราจะสามารถร่ำรวยได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีทรัพย์มากมาย เราสามารถเข้มแข็งได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีอำนาจยศศักดิ์ และเราก็สามารถเย็นและเป็นสุขในโลกนี้ได้ แม้จะไม่มีใครมาเติมเต็มหัวใจเรา เพราะเราเข้าใจธรรม ธรรมทำให้เราสูงโดยที่ไม่ต้องมีใครยก จริงไหม (จริง)  ธรรมทำให้เราเข้มแข็งโดยที่ไม่ต้องมีใครมาเยียวยาใจ มาเติมใจ และธรรมทำให้เราเบิกบาน เพราะเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งผู้คน เราจึงอยากให้ท่านได้เข้าใจธรรมอันนี้ ซึ่งธรรมอันนี้ไม่ได้อยู่ภายนอก ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่อยู่ในหัวใจของทุกคน มองอย่างเป็นธรรมหรือมองอย่างคนที่มีอัตตา นิสัย ความคาดหวัง ความยึดมั่น แห่งตัวตน มองเป็นธรรมเราได้ธรรม มองตามนิสัย ตามอารมณ์ เราได้อัตตาตัวตนที่เวียนวนไม่จบสิ้น ปฏิบัติธรรมหาใช่อยู่ที่ผู้อื่น ถ้าท่านเข้าใจธรรมแล้ว ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วเมื่อเราทำได้ดีแล้วมีหรือคนรอบข้างจะไม่ดีตาม แต่กลัวอย่างเดียว ตัวเองยังไม่ดี แต่ต้องการจะไปเรียกร้องคนอื่นให้ดีก่อน จริงไหม (จริง)  
ศึกษาธรรมยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนปล่อยไม่ได้ ถือหลักธรรมเป็นแนวทาง ฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วภาษาไม่สามารถอธิบายธรรมได้ทั้งหมด เพราะธรรมไม่ใช่เรื่องไกลนะ อยู่ในนี้ในตัวเราเอง ถ้าบริสุทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าอยากไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีร้ายมีดีตามที่ใจเรายึดติด จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าได้ดูเบาธรรมในหัวใจของตัวเอง อย่าได้ลืมเลือนธรรมอันดีงามที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมในตนนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐                  สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มองผ่านใจเจ้าจะเห็นภาพลวงตา      ใจที่มาด้วยความคิดและนิสัย
คอยปรุงแต่งกิเลสและอุบาย             เป็นเคยชินดีร้ายไปตามอารมณ์
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

  กิเลสฝังแน่นความลำบากเดชเรืองฤทธิ์     ปัญหาติดตรึงตรายากแก้ยากรื้อ
หมั่นล้างใจมาบูรณาด้วยสองมือ         สั่งให้ใจยกมือลงมือทำ
ใจคนยิ่งสูงจริงยิ่งอ่อนน้อม               บำเพ็ญจริงมุ่งทำพร้อมอยู่อย่างต่ำ
พูดคิดดีอะไรดีจงรีบทำ                   ที่ฟันฝ่ามีกรรมไม่เสมอไป
นพธรรมครองเมตตาธรรมคล้ายเชื่องช้า        ภายในกรุณาโชคคณานับตาน้ำไหล
ทำดีไว้วาสนามานะจะมาไว              ฝึกฝืนสู้จะละหวั่น[1]หรือดีให้รีบฝึกบำเพ็ญ
                                                                        ฮา ฮา หยุด



[1] จะละหวั่น ว. ชุลมุน, วุ่นวาย

ผนึกใจสายสัมพันธ์ ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ จงผ่านหลุดพ้นไปก่อน ศิษย์จงบำเพ็ญ หัวใจไม่แสนงอน ใช้ธรรมะอย่ามีขาดตอน   ยิ่งตอนจิตใจขึ้นลง 
เจ้าเป็นคนไม่เหมือนใคร ปรับความคิดในใจเต็มหนึ่งเพราะปัญญา หากแค่คนดีไม่พอบรรลุกลับมา หลายเรื่องทำให้มีปรัชญา ไม่ทำขายหน้าตัวเอง
* ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดจากชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น  ทัดทานไม่เบาเสียงลง 
อยู่กับดินไม่สูงไป  ตราบจิตสุดท้ายวันใด น้อยใจไม่ได้มาส่ง  ท้อแท้วันใดถ้าใจคอยไหลลง  แก้ไขให้จงเจาะจง ก็คงสมบูรณ์สักวัน  (ซ้ำ * )

ทำนองเพลง :คำสัญญา
ชื่อเพลง :ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กินอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม, ยังไม่อิ่ม)  อย่างนี้ทุกทีนะ พูดแล้วค่อยคิด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายใครต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองพูด (ตัวเอง)  ฉะนั้นก่อนพูดอะไรคิดให้ดีๆ ถึงพูดดีแต่ทำให้ไม่สมานสามัคคีบางทีก็ไม่ต้องพูด ถึงจะดีแต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนแตกแยกกันก็เป็นบาปเหมือนกัน แล้วเราควรพูดไหม (ไม่ควร)  อยู่ในโลกเราพูดน้อยหรือพูดเยอะ (พูดเยอะ)  แล้วพูดเยอะส่วนใหญ่ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  พูดเยอะแล้วไม่ดีควรหยุดพูด ศิษย์เอยอย่าเพิ่งเห็นแค่ภาพลวงแล้วทำให้ตัดสินอะไรโดยที่ไม่มองแก่นแท้ภายใน อย่าเพิ่งยึดติดรูปลักษณ์จนลืมมองแก่นแท้หรือหลักสำคัญๆ ที่วันนี้เราจะได้มาผูกบุญกัน
อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนมักจะวัดคนที่รูปลักษณ์ภายนอก วัดกันจากความคิดที่ตัวเองเข้าใจ แต่บางทีสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจ บางทีเขาเรียกว่าไม่อัพเดต ใช่ไหม (ใช่)  รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจไม่เป็นความรู้เก่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ แท้จริงนั้นอาจจะไม่จริงก็เป็นได้ เราบอกว่าเรามองเห็น แต่สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจของเรา เอาความคิดความเข้าใจของเราไปตัดสินคน จนบางครั้งเราอาจจะไม่มองเห็นความจริงแท้ก็เป็นได้
(พระอาจารย์เมตตาทำท่าชูนิ้วโป้งขึ้น  <)
แบบนี้แปลว่า (เยี่ยม)  ไม่ใช่ แปลว่านิ้วโป้ง อาจารย์ผิดไหม (ไม่ผิด)  แล้วศิษย์พูดผิดไหม (ผิด, ไม่ผิด)  ศิษย์พูดไม่ผิด แต่บางทีที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่าเข้าใจไปคนละอย่าง ใช่หรือไหม (ใช่)ศิษย์เอ๋ย บางครั้งที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทุกคนต่างมีความจำได้หมายรู้ มีความคิดความเข้าใจ มีมุมมองต่างกัน การมองสิ่งหนึ่งหรือการคุยกับใครสักคน โอกาสที่เราจะผิดพลาดหรือโอกาสที่เราจะเข้าใจไม่ถูกมีมาก ฉะนั้นการที่เราสื่อสารกันไปคนละเรื่องเราควรโกรธกันไหม (ไม่ควร) ควรด่าเขาไหม (ไม่ควร)  อย่าเอาแต่สายตาตัวเองไปวัดเรื่องราวต่างๆ จนมองไม่เห็นความจริง จนลืมมองคนตรงข้าม ว่าเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร
พุทธสถานที่นี่ชื่ออะไร (หมิงเอิน)  คนสร้างก็สว่าง คนอยู่ก็ต้องมีใจสว่าง มนุษย์อยู่ในโลกที่มีความมืดสว่าง เราอยากหาความสว่างที่แท้ในจิตใจของเรา แต่บางทีเราหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พุทธะบอกว่า ความสว่าง ความกระจ่างภายนอก ไม่สู้ความสว่างและความกระจ่างที่เกิดจากปัญญาเข้าใจชีวิตที่แท้จริงภายใน เพราะจะทำให้เราไปอยู่ที่ใดก็สว่าง ไปอยู่ที่ใดก็เห็นได้แจ่มชัด แม้ว่าชีวิตมืดมน แต่ความกระจ่างชัดในปัญญา ความกระจ่างชัดในชีวิต จะทำให้เราแปรความมืดเป็นความสว่างได้ด้วยสติและปัญญาตน วันนี้เรามาเพื่อศึกษาธรรมเพื่อจะเอาไปใช้ปฏิบัติธรรม ถ้าวันนี้มาศึกษาเเล้วไม่ปฏิบัติ ฟังไปแล้วไม่นำไปใช้ จะฟังไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ  ถ้าวันนี้มาฟังเเล้วต้องนำไปปฏิบัติ เเต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่เราต้องปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติดีไหม เราพยายามจะนำไปปฏิบัติเเต่ถึงเวลาเรามักปฏิบัติไม่ค่อยดี ตัวปัญหาที่ทำให้เราปฏิบัติได้ไม่ดีก็คือตัวเรา
ทำไมเวลาศิษย์เจอทุกข์ เจอความยากลำบากที่ทำให้คิดเเล้วจะทุกข์เเล้วกลุ้มใจ ทำไมศิษย์ไม่บอกว่าขี้เกียจทุกข์บ้าง ตอนปฏิบัติธรรมปฏิบัติดี ขี้เกียจไหม (ขี้เกียจ)  ถ้าเวลาทุกข์นำบทนี้ไปใช้บ้าง พอจะโมโหก็ให้บอก   ขี้เกียจโมโห  พออยากเป็นคนผิดศีลผิดธรรม ก็ให้ขี้เกียจผิดศีล ดีไหม (ดี)  เเล้วทำไมไม่ทำ พอจะด่าเขาทนไม่ได้ ก็ให้บอกขี้เกียจด่า ความโลภความหลงเป็นทางเเห่งทุกข์ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์เเละเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องเผชิญกรรมที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นรู้ว่าไม่ดี ทำไมไม่รู้จักทิ้งไป เเต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่ายาก จริงไหม (จริง)  มันยากจริงหรือ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่าความโลภความโกรธความหลงไม่น่ากลัว ลองมองดูนะ ความโลภความโกรธความหลงมีตัวตนไหม (ไม่มี)  กิเลสเกิดจากความคิดคำนึงถึงความมีตัวตน กิเลสจะไม่มีถ้าจิตญาณไร้ซึ่งตัวตนที่กำลังคิดว่าตัวตนเรานั้นไม่ยอม ตัวตนเราอยาก ตัวตนเราชอบ เลยทำให้เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้าเอาตัวตนออกจากจิตที่ไม่คิดอยากไม่คิดชอบไม่คิดหลง กิเลสมาไม่ได้ กิเลสเกาะไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยรักใครมากๆ แล้ววันหนึ่งหมดใจไหม ไม่เหลือใจให้รักแล้ว ไม่อยู่ในสายตาแล้ว อารมณ์จะครอบงำใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ความเป็นเขาจะทำร้ายใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราอยาก ใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราทุกข์ และใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราเกลียด ถ้าเราหมดใจไม่ใส่ใจ หรือเรียกตามภาษาธรรมว่า “วางเฉย” เขาจะด่า จะว่า จะไปมีใหม่ ก็เฉย กลับมาทำใจของเราให้เข้มแข็งแล้วยอมรับความจริงที่เป็นแบบนี้ให้ได้ ไม่ดีกว่าหรือ ทุกข์ใจ เกลียดไป ด่าไป ไม่มีอะไรดีขึ้น จุดไฟเผาตัวเอง เพราะหาเขามาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม (ใช่) เปลี่ยนเขาสิ แต่เขาไม่เปลี่ยน ว่าเขาสิ แต่เขาก็เหมือนเดิม ทำอย่างไรได้ เขาเฉยเราก็ต้องเฉย ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ถามศิษย์นะ อารมณ์น่ากลัวหรือใจเราที่ไปยึดติดอารมณ์แล้วเฉยไม่ได้น่ากลัวกว่ากัน ธรรมะบอกว่าใดๆ ในโลกจะสามารถพ้นกรรมและสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่หรือตัดกระแสกรรมได้ ขอเพียงแค่ “รู้ใจตัวเอง รู้เท่าทันใจ” อารมณ์ก็หยุดได้ ใครจะร้ายใครจะดีก็เฉย แต่ตอนนี้เราเป็นอย่างไร กระทบทีก็ด่าที กระทบก็แช่งทีมนุษย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก พ้นจากความคิด เย็นเข้าสู่พระนิพพาน ฉะนั้นถ้าโดนตบแล้วด่าเขา ก็เกี่ยวกรรม ตกนรก แต่ถ้าโดนตบแล้วแผ่เมตตา โดนตบแล้วคิดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ไม่ต้องไปทำอะไร การพยายามเอาตัวไปหยั่งรากและลงเมล็ดพันธุ์แห่งกรรมก็ก่อเกี่ยวเป็นวัฏฏะไม่จบสิ้น ใจนี้เหมือนเนื้อนาบุญ กิเลสเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากและวัฏฏะการเวียนว่าย แต่ถ้าเราไม่หย่อนเมล็ดกิเลส ไม่หย่อนเมล็ดอัตตา ไม่หย่อนเมล็ดตัวตนลงในกายนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายก็จบสิ้นแค่ชาตินี้ แต่มนุษย์นั้นจำไว้เพื่อผูกใจเจ็บ คิดไว้เพื่อล้างแค้นในสักวัน เหมือนเริ่มหย่อนเมล็ดพันธุ์แล้วรอเหตุปัจจัยที่จะเติบโตแล้วสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายอีกไม่จบสิ้น เหมือนทำบุญหย่อนเมล็ดไว้เพื่อจะได้ไปรับบุญ ก็คือการสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ในเมื่อกายนี้มีเนื้อนาบุญอยู่แล้วเราจะสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นทำไม แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าการกลับมาเกิดอีกจะพร้อมสมบูรณ์เหมือนชาตินี้ จริงไหม (จริง)  โลกนี้มีสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดถือไม่เคยได้ จริงไหม (จริง)  เงินหนึ่งร้อยกี่พันมือคนจับ ที่ดินหนึ่งผืนกี่พันเจ้าของ ทรัพย์สินหนึ่งอย่างผ่านมากี่มือ สรรพสิ่งในโลกเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่หามีใครยึดถือและครอบครองได้อย่างแท้จริง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราก็คงเข้าใจธรรมที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นยังหนีไม่พ้นโลก แต่ถ้าผู้ใดคลายความยึดมั่น ผู้นั้นจะพบธรรม” 
(ปล่อยวางง่ายแต่ทำยาก ชีวิตจริงกิเลสมันฉลาด)  ศิษย์เอ๋ย กิเลสมันฉลาดหรือตัวเราไม่ทันกิเลส หรือเราไม่ยอมแพ้ผู้คน ยอมแพ้ไม่ได้ก็โกรธ ยอมไม่ได้ก็เกลียด แต่อาจารย์ถามหน่อย ชนะแล้วได้อะไร ชนะแล้วได้มิตรหรือได้ศัตรู แล้วถ้ายอมแพ้จะได้มิตรหรือได้ศัตรู อยู่ในโลกถ้าอยากเข้าใจธรรม ก็ต้องคลาย ก็ต้องจาง ไม่ต้องยึดถืออะไรเลย ซึ่งมันทำได้ยาก
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกศิษย์คือ ศิษย์มักดูเบาคุณค่าตัวเอง ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ยอมเเพ้ตั้งเเต่ยังไม่ทันลั่นกลอง เเพ้กิเลสตลอด ทำไมไม่ลองสู้กับกิเลสดูสักตั้ง ชนะเเล้วได้อะไร อยากมีมากกว่าเขา รวยมากกว่าเขา เเต่ไปผิดศีลผิดธรรมถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  การศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ไม่ให้อยาก ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง เเต่การปฏิบัติธรรมต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่าถ้าจะอยาก จะโลภ จะหลง ต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน เเล้วศิษย์จะอยากก็อยากไปเลย อยากโลภก็โลภไปเลย อยากโกรธก็โกรธไปเลย เเต่โกรธเเล้วต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน แต่ถ้าเราทำผิดเเล้วบอกว่าเดี๋ยวก็จบกันไป ตายๆ กันไป ช่างมัน เอาไว้ก่อน  ขอสุขก่อน ขอได้ก่อน ขอดีก่อน ช่างคนอื่น ศิษย์มักพูดว่าขอให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นเดี๋ยวไปทำบุญชดเชยทีหลัง เหมือนไปตบหัวเขาเเล้วบอกขอโทษ เขาหายเจ็บไหม (ไม่หาย)  ไปเอาเงินทรัพย์สินเขามา เเล้วบอกจะไปทำบุญชดเชยให้ เขาทำใจไหวไหม (ไม่ไหว)  พระพุทธะบอกว่า อย่าประมาทกับบาปที่เรียกว่าความหลง เเละอย่าประมาทกับกรรมที่ศิษย์สร้างเพราะความรังเกียจเเละไม่ยอมคน เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมย้อนกลับมา ตอนนั้นจะให้พระมาสวด ให้เอาบุญมาล้างก็ล้างไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเขาโดนดูถูกโดนเหยียดหยามเเล้วจะมาปลอบประโลม เเต่ด่าเขาไปเต็มที่เเล้ว หายโกรธไหม (ไม่หาย)
ฉะนั้นศิษย์อย่าสร้างกรรม อย่าสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยมาแก้ผลทีหลัง ศิษย์ควรจะหยุดตั้งแต่ก่อนสร้างเหตุหรือไปแก้ที่ผล (หยุดก่อนสร้างเหตุ)  อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ อาจารย์ก็ต้องสอนวิธีหยุดเหตุ ไม่ใช่ให้ไปแก้ที่ผล วิธีที่จะหยุดเหตุก็คือทำอย่างไรให้เราไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ถ้าทำดีเรียกว่ากรรมดี ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์จะบอกอีกว่า ยังมีกรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า อกรรม ทำแล้วไม่ก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย นั่นคือทำแล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ถึงเวลาต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยากใช่ไหม แต่ยากตรงที่จะยอมรับหรือไม่ จริงๆ แล้วเรื่องราวบนโลกใบนี้ขอแค่เพียงมนุษย์รู้พอ แต่ถ้ายังพอไม่ได้ ก็ลำบากอยู่ร่ำไป ถ้าศิษย์พอได้ จะมีอะไรเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อศิษย์ยังไม่พอ เรื่องยากก็มีอยู่ร่ำไป มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า เมื่อไรที่เรื่องราวเกิดขึ้น แค่เรารู้สึกหรือไม่รู้สึก ปรากฏการณ์ของเรื่องราวนั้นต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เหมือนรู้สึกก็ก่อเกิดเป็นดีร้าย แต่เมื่อไม่รู้สึกมันก็เป็นแค่เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้น อันเป็นธรรมดาโลก เหมือนตอนนี้มองก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่ศิษย์รู้สึกว่ารัก ถูกใจ ถูกชะตา เชื่อหรือไม่ในบรรดาที่คนอื่นมอง เขาจะดูโดดเด่นกว่าใครเลย แค่รู้สึก สิ่งที่ธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา ถ้าทุกอย่างเราไม่รู้สึกมันก็กลับเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาตามความเป็นจริงของโลกใบนี้แต่เมื่อใจไม่รู้สึกแล้ว เห็นเขาก็รู้สึกเฉย ก็เหมือนเห็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลก จะดี จะร้าย จะได้ จะเสียก็รู้สึกเฉยๆ เงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศ
คนที่เราเกลียดหรือคนที่เรารักก็เหมือนกัน แต่อยู่ที่ใจศิษย์ เมื่อใจเอียงไปชอบก็เริ่มมีปัญหาทันที เมื่อใจเอียงไปเกลียดก็เริ่มมีเรื่องราวขึ้นมาทันที แต่ธรรมะสอนให้ใจเป็นกลาง เมื่อใจเป็นกลางทุกสิ่งก็กลับมาปกติทันที เมื่อไรที่ใจเอนไปชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นมีความชอบ มีสมหวัง มียินดี มีปรีดา มีปลื้ม เมื่อมีชอบแล้วก็เกิดความไม่ชอบ ผิดหวัง เสียใจ รำคาญใจ กังวลใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ แล้วใครหาทุกข์ใส่ตัว (ตัวเราเอง)  เพียงเพราะใจเอียงไปชอบแค่นั้นเอง ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ใส่ใจบ้าง เฉยบ้าง ความโลภ ความเกลียดก็ไม่สามารถทำอะไรใจศิษย์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดังคำกล่าวว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ไม่ใช่รู้ใคร รู้ใจตัวเอง มองทุกสิ่งตรงหรือไม่ตรง มองทุกสิ่งเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อเราตรงใจก็ปกติ ศีลไม่ขาด ใจไม่หวั่นไหวก็เกิดเป็นสมาธิ เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งก็แค่นั้น เขาก็หล่อแค่นั้น เธอก็สวยแค่นั้น
ฉะนั้นแค่ตื่นรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เกิดได้ในตอนนั้น ทำได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าศิษย์ไปโลภมาเต็มที่แล้วค่อยให้ทาน ไปเกลียดมาเต็มที่แล้วค่อยรักษาศีล ไปหลงมาเต็มที่แล้วค่อยนั่งสมาธิภาวนาพิจารณาสังขารอันไม่เที่ยง ศิษย์กำลังแก้ที่ปลายเหตุหรือแก้ที่ต้นเหตุ (ปลายเหตุ)  ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะคิดได้อย่างที่อาจารย์บอก และรักษาใจให้เป็นกลางได้เสมอ ต้องใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ศีล สมาธิ ไม่สู้ปัญญา แปลว่าการเรียนรู้ธรรมทำให้เราเป็นคนฉลาด ดังนั้นใครที่รังเกียจธรรมแสดงว่าคนนั้นยอมโง่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใช้ปัญญาอะไรที่จะทำให้เรามองแจ้ง มองทะลุแล้วสามารถวางเฉยได้ ถูกคนอื่นด่า ถ้าเราเอามาใส่ใจก็เป็นทุกข์ ศิษย์เอย ให้เอาสิ่งที่เขาว่ามาคิดให้เกิดประโยชน์ มาพิจารณาที่เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็กลับมาตรวจสอบตัวเอง ล้างใจตัวเอง ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเราไม่รับเดี๋ยวก็คืนเจ้าของไป ใครด่าเราอย่างไรเราไม่รับเดี๋ยวก็กลับไป
หลักธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพิจารณาจนบังเกิดธรรม เกิดปัญญานิ่งเฉยไม่โกรธไม่เกลียดได้ (สรรพสิ่งบนโลกนี้มีดับมีเกิดมาไม่มีอะไรเที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกครั้งเราใช้สติปัญญามองเห็นถึงความเป็นจริง เเม้เเต่ความโกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราที่เรามองเห็นความโกรธ เราตั้งสติความโกรธก็หายไป)  พิจารณาความเป็นจริงเเห่งธรรมอันเป็นหัวใจเเห่งทุกสรรพสิ่ง เมื่อพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลง เพราะมองเห็นชัดเจนว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ดับ ว่างเปล่า หามีตัวตนที่เเท้จริงไม่ แม้จะรู้สึกว่าเที่ยง ว่าทุกข์ แต่ถึงเวลาก็ว่างเปล่า โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ เหมือนจะมีแต่ถึงเวลามันก็ไม่มี บางครั้งมีสามีก็เหมือนจะไม่มี เงินมีก็เหมือนไม่มี เสื้อผ้ามีเต็มตู้ มีเหมือนไม่มี ไม่มีตัวไหนถูกใจเลยนอกจากตัวข้างนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้ว ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของโลก และรู้จักใช้ให้ถูกเราก็คงไม่หลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์พิจารณาเนืองๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะไม่มี พิจารณาอะไรเล่า มีสิ่งใดในโลกสมบูรณ์แบบบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันดีที่สุดบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันแย่จนหาดีไม่เจอบ้าง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เวลาเขาเปลี่ยนไป เราก็เข้าใจ เขาแปลกไป เราก็เตรียมใจ เขาแย่ไป เราก็เข้าใจ ฉะนั้นข้อหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาเสมอๆ คือ “ไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์แบบ” จริงไหม (จริง) ศิษย์ลองพยายามหาสิ ศิษย์ว่าหาคนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงเวลาพออยู่กันนานๆ ทำไมเขาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง)  บางทีศิษย์ว่าเขาแย่ แต่พออยู่ไปอยู่มา เขากลับใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอ เมื่อมีใครไม่ได้ดั่งใจเรา เมื่อมีใครไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเข้าใจ เราจะเกลียด เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะหลงไหม (ไม่)  การพิจารณาเนืองๆ ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุ มันจะมีปัจจัยเกิดขึ้นไหม ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์หยุดเหตุปัจจัยได้ นั่นก็คือ พิจารณาเนืองๆ จนเห็นเหตุชัด เหมือนอาจารย์มักถามศิษย์ ดูหนังจบรอบหนึ่งแล้ว สนุกแล้ว รอบสองสนุกกว่าเดิมไหม (ไม่)  เพราะอะไร เพราะรู้เรื่องหมดแล้ว เหมือนกันถ้าศิษย์มองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ชัด เห็นจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ที่ดีๆ สวยๆ เดี๋ยวก็ไม่สวย ที่หล่อๆ เดี๋ยวก็เหี่ยว ใช่ไหม (ใช่)  ที่ปากหวานไม่แน่ เดี๋ยวก็ปากร้าย วันนี้ที่ดูว่าถูกล็อตเตอรี่สามตัว ไม่แน่ที่เหลือถูกกินไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้ มองอย่างนี้เสมอ พิจารณาจนบังเกิดธรรมเสมอ จะอยากอะไร จะโลภอะไร จะเกลียดอะไร ถ้าเราเห็นแก่นแท้ในความเป็นจริงของคน เราก็เห็นความเป็นจริงในแก่นแท้ของผู้คน ใครๆ ในโลกก็ไม่ชอบถูกด่า เราชอบถูกด่าไหม แล้วเราด่าเขาทำไม ใครๆ ในโลกชอบถูกกดขี่ข่มเหงไหม แล้วเรากดขี่ข่มเหงคนอื่นทำไม ใครๆ ในโลกก็ชอบคนที่รัก แล้วศิษย์เกลียดเขาทำไม แล้วศิษย์เองชอบศัตรูหรือชอบมิตร (ชอบมิตร)  แล้วศิษย์สร้างศัตรูทำไม ถามใจตัวเองศิษย์ ถ้าเข้าใจแก่นแท้ความเป็นคน มีหรือจะไม่เข้าใจแก่นแท้ความเป็นผู้คน แล้วเราจะปฏิบัติผิดต่อคนอื่นไหม มีแต่ว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติผิดต่อเรา ศิษย์จะตอบโต้เขาอย่างไร จองเวรจองกรรม สิ้นเวรสิ้นกรรม หรือจบกันตั้งแต่วันนี้ว่าอย่างไร
(เริ่มปล่อยวาง)  อาจารย์พูดอะไรก็ปล่อยไปหมดเลย ใช่ไหม อาจารย์ถามนะ ถ้ามีคนมาทำร้ายศิษย์ ว่าศิษย์ ด่าศิษย์ ศิษย์จะทำเช่นใด(ให้อภัยเขา)  เมื่อพยายามให้อภัยเเปลว่าในใจยังรู้สึกไม่ชอบ  (ให้อภัยหมายถึง โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เราก็ปล่อยวางเขาไป)  มีสามทาง ทางหนึ่งคือทางดีคือให้อภัย ทางหนึ่งคือผูกใจเจ็บโกรธเคือง ทางหนึ่งคือเฉย  (ถ้าเขาด่าเรื่องจริงจะรู้สึกขอบคุณเขาเเล้วก็ปรับปรุงเเก้ไขตัวเอง ถ้าเขาด่าไม่จริงก็ปล่อยกลับไปหาเขาเอง)  การคิดว่าปล่อยก็เเปลว่าให้เอาคืนไป เเค่เรานิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าไปพูดว่าไม่รับเดี๋ยวเเกก็ได้รับเอง คิดแบบนี้เท่ากับเป็นการผูกใจเจ็บ ศิษย์เอย คิดผิดคิดพลาดเล็กน้อยก็กลายเป็นกรรมเเล้ว เหมือนที่บอกว่าอะไรมากระทบเเล้วเอียงไปว่าชอบเอียงไปว่าชัง คำว่าเอียงไปชอบชังยังหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่เรียกว่าทุกข์สุขดีร้าย เมื่อไหร่ที่ศิษย์ไม่เอียงเเต่นิ่งเเล้วจบ พิจารณาจนคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย พิจารณาจนเข้าใจธรรมจนถึงคำว่า เเค่นั้น เช่นนั้น ธรรมดาโลก คือเรียกว่าวางใจจนเฉยได้ เเล้วจะคิดได้อย่างไรต่อ ศิษย์จำไว้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนล้วนมากับความว่างเปล่า เเละถึงที่สุดมนุษย์ทุกคนต้องเดินกลับสู่ความว่างเปล่า ถ้าเรายังยึดความมี ก็ก่อเกิดเมล็ดพันธุ์เเห่งเหตุปัจจัยในการเวียนว่าย ใช่หรือไม่แล้วพิจารณาอะไรต่อ ก็คือพิจารณาว่าโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงแล้วเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ความไม่มี กลับคืนสู่ความว่าง แต่มนุษย์ติดกับความมี คือต้องมี ต้องได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตต่างหันหน้าไปสู่ความไม่มีแล้วก็ต้องว่างเปล่าให้ถึงที่สุด ฉะนั้นถ้าเราหมั่นคิดเสมอๆ เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)
ฟังอาจารย์แล้วเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างแรกคือพิจารณาเสมอว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ถึงเวลาสิ่งที่มีอาจจะไม่มีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอีกอย่างคือมองอยู่เสมอว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ สิ่งที่เห็นว่าเป็นสุขคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าน่ารักคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนั่นคือคนประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ทุกข์หามีจริงไม่” เข้าใจไหม ใครจะตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้างถ้าเข้าใจเเจ่มเเจ้งศิษย์จะก้าวพ้นวัฏฏะเวียนว่ายจบสิ้นได้ทันที  (ถ้าไม่ยึดติดทุกข์ก็ไม่มี)  โลกนี้มีทุกข์เป็นธรรมดา ทำไมเวลาเราป่วยเราถึงทุกข์ (ทุกข์ไปตามกายาแต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ)  เเก่เเค่กายเเต่ใจไม่เเก่ใช่ไหม  
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ทุกข์เป็นของจริง แต่ผู้ทุกข์ที่แท้จริงหามีไม่ อาจารย์ถามว่า ศิษย์ว่าตัวเองเป็นของศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ตั้งแต่เด็กจนโตมานี่เปลี่ยนไปกี่รูป (เปลี่ยนไปหลายรูป)  เปลี่ยนแล้วเราควบคุมได้ไหม (ไม่ได้)  บังคับได้ไหม (ไม่ได้)  ให้เป็นดังคิดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วที่บอกว่าใจนั้นเป็นของตัวศิษย์ ใจนั้นมันเป็นอย่างไร มันก็เปลี่ยน มันก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เดี๋ยววันนี้คิดอย่างนี้ อีกวันคิดอย่างนั้น ตอนเด็กบอกว่าอันนี้คือความสุข แต่ตอนโตมาอันนี้ไม่ใช่ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ความหลง ที่ไปยึดว่า อันนี้คือหน้าของเรา อันนี้คือตัวของเรา อันนี้คือใจของเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  มันทุกข์ไปตามสังขารอันเป็นธรรมดาของโลก เราจึงมีหน้าที่แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา นี่คือธรรมะ ทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของใจ เป็นกรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ เขาด่าตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ได้ด่าอะไรเรา เพราะตัวเราไม่รู้อยู่ตรงไหนเหมือนกัน ไหนตัวตนที่แท้จริงของศิษย์ เอามาให้อาจารย์ดูสิ ถ้ามันจริงมันต้องไม่เปลี่ยน แต่มันทำไมเปลี่ยนจังเลย จริงไหม
ทุกข์เป็นธรรมดาของโลก เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ธรรม” ทุกข์ เจ็บ ตาย ถ้ายึดเมื่อไหร่ อย่าเจ็บ อย่าตาย อย่าทุกข์ นั่นแหละทุกข์มันเริ่มสร้างกรรม ดิ้นรน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจคำว่าทุกข์มันเป็นแค่ทุกข์ แต่มันไม่มีคนที่จะทุกข์ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมีสติระลึกอยู่เสมอ เมื่อกายโดนกระทบใจอย่ากระเทือน เมื่อกายเจ็บใจอย่าเจ็บ เมื่อกายทุกข์ใจอย่าทุกข์ นี่เรียกว่า การฝึกแยกจิตออกจากกาย ยากไหม (ยาก)  ศิษย์เอยอะไรก็ยากหมดเลย ศิษย์ลองมองดู เหมือนที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงหาความเที่ยงแท้ไม่ได้ ควรไหมที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เมื่อตัวเราไม่มีและอะไรคือรูปเรา อะไรคือของๆ เรา เราเป็นแค่ปัจจัยและการเกี่ยวกรรมที่หนุนเนื่องกันมา แล้วถึงเวลาปัจจัยการเกี่ยวกรรมมันหมด เราก็จากกันไป จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะพูดเพื่อก่อกรรมทำไม เราจะอยากเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม เราจะเกลียดเพื่อเกี่ยวกรรมทำไม และเราจะโลภเพื่อเอาไว้มาสร้างบุญทีหลังทำไม ทำไมไม่ทำบุญตั้งแต่ก่อนจะโลภ ยอมให้เขาแล้วทำให้เขาสบายใจมันได้บุญไหม (ได้)  ให้เขาแล้วเขามีสุขมันได้บุญไหม (ได้)  เเล้วทำไมเราจะทำบุญกับคนอื่นบ้างไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง คำสัญญา  ชื่อเพลง ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน แต่นักเรียนไม่รับ)
ถ้าถือไว้แล้วมันหนัก ทำไมศิษย์ ไม่รู้จักสร้างบุญต่อ ไม่รู้จักให้คนอื่นต่อเพื่อสร้างบุญละ ทำไมเราไม่รู้จักแปรความหนักให้มันกลายเป็นบุญกุศล หรือกลายเป็นสร้างคุณธรรมด้วยการเมตตา จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนต่างมีความคิดที่ถูกต้อง ทุกคนต่างมีความคิดที่ดี เหมือนที่อาจารย์บอกในเพลง
“ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดการชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง”
ถ้าศิษย์ไม่มาผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์วันนี้ อาจารย์ก็คงไม่มีโอกาสได้มาผูกบุญและพูดธรรมะให้ศิษย์ได้ฟัง สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ย้ำเตือนอยู่เสมอก็คือ เราบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดว่าเราต้องเป็นคนดี แต่การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมคือ ความดีเป็นรากฐาน คุณธรรมเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน และความเข้าใจธรรมทำให้เรามองโลกนี้อย่างแจ่มชัดและไม่ทุกข์ทน ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์และไม่ก่อกรรมให้เกิดการเวียนว่ายเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือไม่
อาจารย์ไม่เคยบอกให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ เเต่อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ประจักษ์เเจ้งในธรรม ซึ่งธรรมไม่ใช่อยู่ในอาจารย์ เเต่ธรรมอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน เเต่เราเคยหันกลับมามองธรรมในใจไหม เราเคยหันกลับมาดูใจเราว่ามีธรรมไหม มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเพราะประกอบไปด้วยธรรม ธรรมที่ปฏิบัติต่อกัน ธรรมที่เกื้อหนุนกัน ธรรมที่ให้ต่อกัน มนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ สิ้นทุกข์ได้ สิ้นกรรมได้ ไม่ใช่การเกาะพึ่งเเต่พระพุทธะ เกาะพึ่งเเต่บุญกุศล เเต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เเก้ไขอะไรเลย เเต่ต้องอยู่ที่ตัวเรารู้เเล้วเเก้ไขเปลี่ยนเเปลงใจตัวเอง การบำเพ็ญธรรมคือให้เเก้ไขเปลี่ยนเเปลงเเละรู้เท่าทันใจ ไม่ก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมไม่จบสิ้น สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำตัวเองเสมอก็คือ ทำอะไรมีสตินิ่งก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนวิ่งไปตามความอยาก วิ่งไปตามความหลง นิ่งพิจารณาก่อน ดูว่าทำเเล้วมีเมตตาไหม ทำเเล้วมีศีลธรรมของความเป็นคนไหม ทำเเล้วถามตัวเองว่าเกิดมาเป็นคนทั้งทีทำได้เเค่นี้ คุ้มหรือไม่ มาเพื่อเกิดเเก่เจ็บตายดีร้ายได้เสียทุกข์สุข วนอยู่เเค่นี้ ศิษย์ไม่เคยพ้นได้สักที ศิษย์ต้องวิ่งวนกับความรู้สึกที่ไม่เที่ยงเเท้ไปอีกเท่าไหร่ เมื่อไรศิษย์จะตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง ถ้าศิษย์ตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง นอกจากศิษย์จะช่วยตัวเองได้ ศิษย์ยังช่วยโอบอุ้มผู้คนให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อไหร่ที่เราพ้นทุกข์ คำพูดเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ การกระทำของเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ใจ ศิษย์จะเเค่ฟังเเล้วรู้สึกดี หรือฟังเเล้วลงมือปฏิบัติสักที แต่ให้ถามตัวศิษย์เอง ว่าเราสมควรแล้วกับการเกิดเป็นคน ใช่ไหม เกิดมาชาตินี้ทำได้แค่นี้ เพราะอาจารย์มา อาจารย์รู้อาจารย์จะกลับที่ไหน ศิษย์ล่ะรู้ทางกลับตัวเองหรือยัง แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดี จริงหรือไม่ (จริง)  อย่ามัวแต่มองแค่เพียงว่า ยืมร่างเชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อไม่เป็นไร เชื่อธรรมะที่อาจารย์บอกก็พอ และเชื่อธรรมะในใจของศิษย์ก็พอ เชื่อว่าศิษย์ดีได้ และดีได้กว่านี้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราเกิดมาเพื่อวิ่งตามอารมณ์หรือเพื่อมองจนแจ่มแจ้งชัดในธรรม ลองถามตัวเอง ลองพิจารณาดูนะ
มีอะไรที่ศิษย์จะพยายามจะขัดเกลาออกไปจากใจ และพยายามทำแต่สิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง เอาอะไรออกไปจากใจ ที่มันไม่ดีและทำให้เราหลงผิด
(ตามหลักของพุทธศาสนา เรายึดอริยสัจ๔ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อมีทุกข์เราก็มาพิจารณาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วเมื่อทราบว่ามันเกิดจากอะไร ก็หาวิธีแก้ แล้วก็ดับทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะหมดไป) การพิจารณาทุกข์ พิจารณากายให้เห็นกายพิจารณาจิตให้เห็นจิต เเปลว่า มองเห็นกายว่ากายทุกข์ มองเห็นว่าจิตควรทุกข์ไหม พิจารณาจนเกิดความเห็นเเจ้งว่าเป็นเเค่ทุกข์ที่หมุนเปลี่ยน ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเม้เเต่ตัวทุกข์เองก็ยังทนได้ยากไม่คงอยู่ เเต่จิตเราไปยึดเเล้วไม่ยอมจบ เหมือนร่างกายต้องเปลี่ยน การเปลี่ยนเรียกว่าทุกข์ การเปลี่ยนที่ทนได้ยากเรียกว่าความทุกข์ ทุกข์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เเต่ที่มนุษย์เอามาเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราพิจารณาให้เห็นจะรู้ว่าทุกข์มีอยู่จริงเเต่ไม่เคยทำเราเจ็บ เป็นเเค่นั้น เปลี่ยนไปเเค่นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ จงมองเห็นทุกข์ให้ธรรมดาเเล้วจะไม่ทุกข์ เหมือนเรามีความเเก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มีการโดนด่าเป็นธรรมดา เราต้องทุกข์ทุรนทุรายด้วยไหม ก็เเค่เห็นเเค่รู้เท่านั้น นั่นคือธรรม
(ตัดความโลภโกรธหลง แล้วก็ทำใจให้ว่าง)  ตัดมันออกจากใจเลย ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะ มีโลภโกรธหลงได้ แต่มีแล้วไม่เอามัน มีแล้วไม่ตกเป็นทาสของมัน ทำได้ไหม (ทำได้ จะพยายาม)  ถ้าให้ตัดไปเลยมันทำยากนะ เพราะเลี้ยงมันมาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ (ใช่ มีตั้งแต่เราเกิด)
(ตัดความหลงออก เพราะรู้สึกเอาออกยากเหลือเกิน หลงอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นความอยาก อยากจะเอาออกไปมาก)  พระพุทธะสอนให้มีปัญญา อะไรที่เราหลงแล้วทำให้เราโง่ทำให้มองไม่เห็นแจ่มแจ้งก็อย่าหลงแล้วความหลงก็จะกลายเป็นปัญญา อาจารย์ถามศิษย์นะ มีอะไรในโลกที่เรามีแล้วมันไม่ขบ ไม่กัด ไม่ทำให้เราเจ็บปวดบ้าง มีไหม (ไม่มี)  มีได้ ถ้าเรามีแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เรียกว่า มีอย่างคนมีปัญญา 
(อยากจะเอาความทุกข์ออก สมมติว่าเราซื้อหวยแล้วเสีย ถ้ามองว่าซื้อหวยแล้วทุกข์ เราก็ไม่ต้องซื้อหวย)  ศิษย์อยากเอาหวยหรือเอาทุกข์ออกจากใจ (เอาทุกข์ออก)  อาจารย์ว่าเอาหวยออกจากใจมากกว่านะ เอาทุกข์ออกจากใจ เอาทุกข์ออกไม่ได้ ทุกข์คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทุกข์นั้นทำให้เราเติบโต ทุกข์ทำให้เราเปลี่ยนแปลง ทุกข์นั้นทำให้เรารู้จักปล่อยวางและทุกข์ทำให้เรารู้จักเข้มแข็งทุกข์ไม่น่ากลัว เพราะมีทุกข์จึงมีชีวิต เพราะมีทุกข์จึงพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่บอกว่าซื้อหวยถูกแล้วจะเอาเงินมาทำบุญ บุญแบบนั้นอาจารย์ไม่เอานะ มันเป็นบุญร้อน (นักเรียนขอแอปเปิลอีกลูกไปฝากอาจารย์รับรอง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้นะ ลูกเดียวถ้ารู้จักใช้ปัญญา มันก็แบ่งคนเป็นร้อยเป็นพันได้ แต่ถ้าลูกเดียวอับจนปัญญามันก็ไม่พอแม้ตัวเราหนึ่งคน จริงไหม
(นักเรียนคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า จะเอาความโลภออกจากตัวเราได้อย่างไร)  ศิษย์เอ๋ย ไม่ยากเลย พอบ้างหรือยัง หยุดอยากบ้างหรือยัง อาจารย์ถามหน่อยนะ โลภมา แค่เราก็หนึ่งทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายก็อีกทุกข์หนึ่ง ผิดหวังก็อีกทุกข์หนึ่ง แล้วศิษย์ไปโลภเอาอันนี้มา ศิษย์ก็เพิ่มทุกข์อีกทุกข์หนึ่ง แล้วทุกข์นี้แน่ใจหรือว่าโลภแล้วมันจะทุกข์เดียวจบ โลภอยากได้คนนี้ ศิษย์ว่าจะได้ทุกข์กับเขาแค่หนึ่งครั้งไหม (ไม่) ศิษย์จะทุกข์กี่ครั้ง (ร้อยครั้ง)  นับไม่ถ้วนมากกว่าร้อยด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เราจะไม่อยากได้อะไรในโลกเลย เพราะยึดเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ห่วงเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์พิจารณาจนเกิดธรรมเนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย เพราะเราเห็นมันชัด(โลกนี้ความทุกข์กับความสุขเป็นของนอกกาย เราอย่าให้ความสำคัญกับความทุกข์หรือความสุขจนเกินไป แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ จะไม่สุขจนเกินไป เวลามีทุกข์เราอย่าเสียใจมาก เวลามีความสุขเราอย่าดีใจมาก)  รักษาใจให้เป็นกลางอยู่เสมอ ศึกษาธรรมสำคัญอย่างเดียวนะศิษย์ ขอแค่รู้เท่าทันใจตน แต่ส่วนใหญ่คนมักจะหลงตัวเอง จนกระทั่งต้องเจอปัญหาก่อนจึงอยากจะบำเพ็ญธรรม ถึงเวลานั้นก็สายไป จริงไหม
(อยากเอาความคาดหวังออกจากใจ)  เวลาทำอะไรใจก็อดมีความคาดหวังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ เวลาศิษย์ทำอะไรแล้วทำเต็มที่หรือยัง ทำสุดกำลังหรือยัง แล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรมหรือยัง ถ้าทำสุดตัว ทำเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดมันก็เกิด นี่จึงเรียกว่าทำอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่คาดหวังอีกต่อไป ขนาดของที่สวยที่สุดในโลก คนก็ยังนินทา แล้วมีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะไม่ถูกคนว่าให้เราผิดหวัง ทำดีคนก็บ่น ทำชั่วคนก็ด่าหรือไม่ทำอะไรเลยคนก็ต่อว่า
ฉะนั้นสำคัญคือ รักษาใจตัวเองดีกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้เป็นดั่งใจเราได้ เเต่เรารักษาใจเราให้เข้มเเข็งเเละรับมือกับความจริงที่เกิดขึ้น ธรรมจึงทำให้เรารู้จักมองความเป็นจริงได้อย่างเข้มเเข็ง (กิเลส โลภโกรธหลงออกไป เเล้วต้องมีสติว่าต้องปล่อยวาง)  เวลาเจออะไรต้องนิ่งให้ได้ก่อนเเล้วสติจะตามมา ถ้ายังนิ่งไม่ได้สติก็ไม่มา สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดกิเลสตามมา
มีวิธีใดที่ระงับความโกรธ หรือไม่อยากให้โกรธง่าย มีวิธีใดที่จะกำจัดความโกรธออกไป ไม่ยากเลย ถ้ามองเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เเล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เเล้ว เราอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  คนเรามักจะโกรธคนที่ต่ำกว่า เเย่กว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่าทำดีเเล้วทำไมคนดีต้องถูกกดขี่ข่มเหง เพราะเรามักคิดว่าเราสามารถต่อว่าคนที่เเย่กว่าเราได้ คนที่ต่ำกว่าเราได้ เรามีสิทธิ์พูดได้ ศิษย์เคยโกรธคนที่อยู่ข้างบน คนที่สูงกว่าเราหรือไม่ มีแต่แอบด่าเขาแต่ไม่กล้าโกรธเขาต่อหน้าแต่คนที่ศิษย์โกรธมากที่สุดคือคนที่ต่ำกว่า โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ด่าไปให้เต็มที่ อย่างนั้นอาจารย์ถามใจลึกๆ ถ้ามีคนที่สูงกว่าเราแล้วเอาแต่ด่าศิษย์ ศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)  ใจเขาใจเรา เขาไม่รู้ เขาต่ำกว่าก็แย่แล้ว เรารู้มากกว่าทำไมจึงไปกดขี่ข่มเหงเขา ใจเขาใจเรา อย่าสร้างวิบากกรรม ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับชะตากรรมที่ศิษย์ก่อ แม้ศิษย์จะทำดีแค่ไหนศิษย์ก็จะโดนกดขี่ ข่มเหง เพราะศิษย์เคยกดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่า เหมือนถามคนในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสระหว่างคนที่ดีกว่ากับคนที่แย่กว่าศิษย์จะแกล้งคนไหน (คนที่แย่กว่า)  ศิษย์เอาเปรียบคนที่เก่งกว่าหรือคนที่แย่กว่า (คนที่แย่กว่า)  นั่นแหละคือนิสัยศิษย์ แล้วทำไมบอกว่าเราเกิดมาลำบากแล้วทำไมยังต้องมารังแกเราอีก แล้วทำไมเราไปรังแกคนที่ต่ำกว่าล่ะ เขาผิดหรือที่เขารู้ช้า เขาผิดหรือที่เขาไม่เข้าใจเรา (ไม่ผิด)  ใจเขาใจเรานะ อย่าสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องรับกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์รู้ไหมว่าฆ่าคนให้ตายยังไม่เจ็บแค้นเท่ากับด่าให้เราเจ็บปวด ฆ่าให้ตายดีกว่าแต่อย่ามาด่ากันอย่างนี้ จริงหรือไหม (จริง)  ฉะนั้นศิษย์อยากให้เขาผูกใจเจ็บหรือ (ไม่อยาก)  ก่อนจะโกรธ ใจเขาใจเรา ไม่มีใครอยากโดนด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
(คำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ คำนี้มีความหมายอย่างไร)  อาจารย์จะให้ศิษย์ทำเลย แล้วศิษย์จะได้รู้เลยว่าสวรรค์กับนรกต่างกันอย่างไร เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นศิษย์เดินออกไปเจอหน้าใครก็ด่าให้หมดเลย ด่าให้ไม่มีชิ้นดีเลย แล้วศิษย์จะรู้เลยว่านรกเป็นอย่างไร กับอีกอย่างหนึ่งเดินไปเจอใคร ขอบคุณๆ นั่นแหละคือสวรรค์ (ขั้วบวกขั้วลบเลย)  ชัดเจนไหม (ชัดเจนมากเลย)  ลองทำไหม (ไม่ลอง)  อย่างนั้นอย่าไปลองที่บ้านนะ ไม่อย่างนั้นจะมีนรกในบ้าน
(ทำอย่างไรจะให้ใจตัวเองหยุดอยากได้)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ที่แล้วมาเจ็บยังไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ยังไม่พออีกหรือ อย่าถามอาจารย์เลย ถามศิษย์ดีกว่า เจ็บไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ไม่พอ สู้ไหวไหม ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ อย่าอยากอีกเลย เพราะมันเจ็บมาพอแล้ว เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”)
ผิดบาปทั้งมวลยากอยู่แค่คำว่ามีสำนึก ถ้าเรามีสำนึกดีเราจะทำบาปเราจะทำชั่วไหม (ไม่)  เราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ไม่ผิดศีลเลย ไม่ขาดธรรมเลย ใช่หรือไม่ ลองเอาไปศึกษาพิจารณาต่อนะ
ดูแล มุ่งมั่น บำเพ็ญ อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คนด้วยหัวใจที่ประเสริฐ อยู่ในโลกอดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว แต่การศึกษาธรรมสอนให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ มีแต่จะทำอย่างไรเพื่อจะช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรจะเสียสละจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำให้ได้มากที่สุด ถ้าทำได้เช่นนี้ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นคนหรอกศิษย์
อาจารย์หวังว่าในชั้นนี้ คงจะมีสักหนึ่งคนหรือมากกว่าหนึ่งคนที่เดินตามรอยพุทธะอย่างแท้จริง ปฏิบัติจริง บำเพ็ญจริง มุ่งมั่นจริง ที่ยังต้องอดทนแสดงว่าเรายังมีตัวตนให้ต้องขัดเกลา แต่ถ้าไม่มีคำว่า “อดทน” แปลว่าไร้แล้ว ตัวตนไม่น่ายึดถือหรอก มีแต่นิสัยความเคยชิน คำว่า “ธรรม” มีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา อิสระและมีแต่ความเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งปิติสุข แต่ถ้าศิษย์บำเพ็ญแล้วไม่มีความสุข ถามตัวเองนะกำลังยึดมั่นถือมั่นอะไรที่หลงผิด รีบแก้ไขนะ หัวใจแห่งพุทธะคือหัวใจแห่งผู้เข้าถึงธรรม ธรรมที่มีแต่ให้ มีโอกาสคงมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ ขอบคุณความเสียสละ ขอบคุณความมุ่งมั่นที่ตั้งใจฟังจนจบในสองวันนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวศิษย์เองทั้งนั้น

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”
     ความหลงผิดพาคนไกลห่างความดี          เกิดอารมณ์ชั่ววูบทีสำนึกหาย
จากเล็กน้อยจนขาดศีลผิดธรรมไป                ขออย่าให้เป็นเช่นนี้กันอีกเลย
ผิดไม่ทำบาปไม่ก่อกรรมไม่สร้าง                  ย้ำแนวทางอันถูกต้องเป็นศุกลเผย
สำนึกดีปฏิบัติดีไม่ละเลย                           ให้ชินเคยจนฝังแน่นติดตรึงตรา
ความยากลำบากมายกใจให้สูงยิ่ง                 คนดีจริงมุ่งทำจริงพร้อมฟันฝ่า
มีเมตตาครองธรรมไว้ในกรุณา                    โชควาสนาหรือจะสู้คนมานะดี

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา