西元二〇一六年嵗次丙申十一月初五日 仙佛智覺訓
วันเสาร์ที่๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่มีใครรอดพ้นความจริงนี้
ก่อนทุกข์สุขสติยั้งตรองให้ดี ว่าไม่มีสิ่งใดจริงเลยสักครา
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านมีความสุขไหม
เมตตาธรรมค้ำจุนโลกให้สันติ เรียกสติความละอายจากส่วนลึก
เพียงสำนึกถูกใช้ใช้ใจตรึก ก่อนสำนึกต้องใช้สติคอยประคอง
จิตอันดีงามระลึกอยู่เสมอ ตื่นรู้ตามไม่เผอเรอในสมอง
ทิ้งความจริงแท้ผิดท่วงทำนอง เที่ยงไม่ขาดธรรมก็ต้องพิจารณา
เพราะใจอ่อนต่อกิเลสต่อตัณหา ใจปัญญายิ่งรู้กิเลสยิ่งระวัง
เมื่อรู้แก้ฝึกอารมณ์ไม่กำแหง อย่าสำแดงอวดมาปรุงความว่าง
จิตสงบไม่ตกแต่งจิตสรรพางค์๑ ให้ไม่คั่งค้างให้ไม่ยึดอัตตา
รู้มากไปตามสัจธรรมไม่พบ นิ่งเฉยมีก็ครบถ้วนคุณค่า
ไร้อาตมัน๒ก็แจ่มชัดในสัมมา เป็นมรรคาวิถีแห่งธรรมมีชีวี
ฮิ ฮิ หยุด
๑ สรรพางค์ น. ทั้งตัว ทั่วตัว
๒ อาตมัน น. อัตตาหรือดวงวิญญาณ ซึ่งศาสนาและปรัชญาฮินดูถือว่าเที่ยงแท้ถาวร
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
ฝนตกมากไปดีไหม (ไม่ดี) ฝนตกน้อยๆดีไหม (ไม่ดี) ฝนตกมากก็ ไม่ดีน้อยก็ไม่ดีถ้าไม่ตกเลยละ (ไม่ดี) เช่นนั้นแปลว่าฝนก็ไม่ดีใช่ไหมเรื่องราวบางเรื่องในโลกนี้ บางครั้งหาความพอดียากคิดมากไปหรือ
คิดน้อยไปดีไหม (ไม่ดี) ไม่คิดเลยดีไหม (ไม่ดี) ใช่ไหม (ใช่)
คิดน้อยไปดีไหม (ไม่ดี) ไม่คิดเลยดีไหม (ไม่ดี) ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการอยู่ในโลกต้องหาความพอดี บางครั้งถามว่าความพอดี
อยู่ที่ตรงจุดไหน บางครั้งก็หาได้ยาก เพราะแต่ละคนมีความพอดีเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน) ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยน้ำท่วมบ้านดีไหม (ไม่ดี) ระหว่างน้ำท่วมบ้านกับน้ำท่วมใจอะไรดีกว่ากัน (ไม่ดีทั้งสองอย่าง) ถ้าหากน้ำท่วมบ้านห้ามไม่ได้ แล้วยังให้น้ำท่วมใจด้วย ทั้งสองอย่างดีไหม (ไม่ดี) ฉะนั้นอะไร
ที่เปลี่ยนแปลงได้ ระหว่างน้ำท่วมบ้านกับน้ำท่วมใจ (น้ำท่วมใจ) แต่ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วมัวแต่นั่งคิดว่าน้ำท่วมบ้านไหม น้ำท่วมบ้านไหม คิดมากไปดีไหม (ไม่ดี) และห้ามให้มันไม่ท่วมได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นน้ำกำลังท่วมบ้านหรือท่วมใจ (ท่วมใจ) ใช่เราว่าน้ำกำลังท่วมใจท่านนะ ไม่ว่าฝนจะตกลงมามากหรือน้อยมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแล้วเราห้ามน้ำได้ไหม (ไม่ได้) เราห้ามอะไรได้ (ใจ) หากน้ำท่วมบ้านแล้วเรายังมีแรงมีกำลังใจ เรายังกลับไปฟื้นบ้านให้กลับมาเหมือนเดิมได้ถูกไหม (ถูก)
อยู่ที่ตรงจุดไหน บางครั้งก็หาได้ยาก เพราะแต่ละคนมีความพอดีเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน) ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยน้ำท่วมบ้านดีไหม (ไม่ดี) ระหว่างน้ำท่วมบ้านกับน้ำท่วมใจอะไรดีกว่ากัน (ไม่ดีทั้งสองอย่าง) ถ้าหากน้ำท่วมบ้านห้ามไม่ได้ แล้วยังให้น้ำท่วมใจด้วย ทั้งสองอย่างดีไหม (ไม่ดี) ฉะนั้นอะไร
ที่เปลี่ยนแปลงได้ ระหว่างน้ำท่วมบ้านกับน้ำท่วมใจ (น้ำท่วมใจ) แต่ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วมัวแต่นั่งคิดว่าน้ำท่วมบ้านไหม น้ำท่วมบ้านไหม คิดมากไปดีไหม (ไม่ดี) และห้ามให้มันไม่ท่วมได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นน้ำกำลังท่วมบ้านหรือท่วมใจ (ท่วมใจ) ใช่เราว่าน้ำกำลังท่วมใจท่านนะ ไม่ว่าฝนจะตกลงมามากหรือน้อยมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแล้วเราห้ามน้ำได้ไหม (ไม่ได้) เราห้ามอะไรได้ (ใจ) หากน้ำท่วมบ้านแล้วเรายังมีแรงมีกำลังใจ เรายังกลับไปฟื้นบ้านให้กลับมาเหมือนเดิมได้ถูกไหม (ถูก)
ถ้าน้ำท่วมทั้งสวน ท่วมทั้งต้นยาง และยังท่วมทั้งใจด้วยเราจะมีแรงไปฟื้นอะไรไหม (ไม่มี) ฉะนั้นการเอาแต่คิดกลุ้มกังวลช่วยอะไรได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้อย่างนั้นทำอย่างไรดี ก็นั่งคิดต่อไปใช่ไหม (ใช่) พุทธะต่างกับมนุษย์ตรงไหน พุทธะพอรู้ว่ามันเป็นทุกข์ ท่านทำให้ทุกข์นั้นมันกลายเป็นสุข กลายเป็นแสงสว่างนำพาชีวิตให้ถูกต้อง แต่มนุษย์เห็นว่ามันเป็นทุกข์ ก็คิดแต่จะจมลงไปในทุกข์ถูกหรือไม่ (ถูก) พุทธะเมื่อเห็นทุกข์ ท่านพยายามนำทุกข์ให้แปรเป็นความสุข หรือความสว่างนำพาชีวิต แต่มนุษย์พอรู้ว่ามันเป็นทุกข์ ทั้งที่พยายามค้นหาทางออก แต่เราพยายามกระโจนลงไปในทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งตรงนี้มีทางให้สบายใจ มีการคิดให้สบายใจ เรากลับไม่คิด ก็เพียรพยายามคิดให้ตัวเองทุกข์ใจ ฉะนั้นรู้มากไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ารู้แล้วไม่เอามาใช้จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นมาฟังธรรมไม่ใช่เพื่อให้กระโดดลงไปในทุกข์ แต่มาฟังธรรมเพื่อเข้าใจทุกข์ และหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ใครจะฉุดมือท่านขึ้นมาใช่ไหม (ใช่) พระองค์ไหนฉุดท่านขึ้นได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าท่านไม่ดึงตัวเองขึ้นมา ตอนนี้จมอยู่กับทุกข์หรือพ้นมาจากทุกข์ (พ้นมาจากทุกข์) ทุกข์มาตั้งนานใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราถามท่านนะ เวลาเราเจอปัญหาเรื่องราว มนุษย์บางคนนอกจากจะกระโดดลงไปในทุกข์แล้ว วิธีแก้ที่ดีที่สุดก็คือ อดทนๆ ใช่ไหม (ใช่) การอดทนเป็นสิ่งที่ดี เป็นการปูรากฐานแห่งคุณธรรม คนที่อยู่ในสังคมแล้วรู้จักมีความอดทนอดกลั้นได้ แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นการปูรากฐานคุณธรรมให้กับตนได้ และเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐจริงไหม (จริง) ถ้าใครอยู่ในโลกแล้วอดทนไม่ได้ ท่านเชื่อไหมว่า เขาก็คือเภทภัยร้ายที่นำความทุกข์มาให้กับที่นั้นได้ จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเกิดคนไหนที่รู้จักอดทนได้เขาคือเนื้อนาบุญอันประเสริฐ และต้นกล้าแห่งการเพาะคุณธรรมให้ยิ่งใหญ่ได้จริงไหม (จริง) แต่ท่านรู้ไหมมีอีกอย่างหนึ่ง เวลาเราเจอเรื่องราวอะไร นอกจากอดทนอย่างเดียว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์รู้ก็คือ การใช้ความดีใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราเจอเรื่องราวไม่สมประสงค์ เวลาเจอเรื่องราวไม่ดี เราใช้ความอดทน แต่อีกอย่างหนึ่งที่คนบางคนรู้จักใช้คือ ใช้ความดีใช่ไหม (ใช่)ถ้าเรารู้จักใช้ ดังคำกล่าวที่ว่า “การรู้จักให้ธรรมะเป็นทานเป็นทานอันประเสริฐ” ฉะนั้นการรู้จักอยู่กับคนที่เรารู้สึกว่าไม่ดี หรือเราเจอเรื่องราวที่ไม่ดี แล้วเรารู้จักปฏิบัติธรรม และเรารู้จักให้ธรรม เป็นธรรมที่ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ส่วนใหญ่เราเลือกที่จะให้ธรรมกันไหม (ไม่) ให้อารมณ์มากกว่าให้ธรรม ให้นิสัยความเคยชินมากกว่าให้คุณธรรมต่อกัน ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วรู้ไหมว่าการปฏิบัติต่อคนหรือเรื่องราวที่ไม่ดี แต่เรารู้จักใช้คุณธรรมต่อกันเป็นการ (ให้อภัย) เหมือนเวลาเราเจอคนไม่ดีเจอเรื่องราวที่ไม่ดี แต่เรารู้จักปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม เขาโกรธแต่เราเมตตา เขาด่าแต่เรา (ให้อภัย) นั่นคือการปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา ย่อมนำพาซึ่งความสุขและสันติใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกที่วุ่นวายนี้เราไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายใคร เราไม่ชอบให้ใครมาว่าเรา แต่ถ้าเกิดเราอยากหลีกเลี่ยงเภทภัยนี้ เราก็ต้องรู้จักหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้แก่กัน แม้เขาจะยื่นไม่ดีให้เราก็ตามจริงไหม (จริง) ฉะนั้นจิตที่ดีงามคือสิ่งที่ดีต่อจากการอดทน นอกจากอดทนแล้วเรายังปฏิบัติต่อกันด้วยดี คือการบ่มเพาะคุณธรรมให้เติบโต ด้วยการปฏิบัติ เมตตากัน เข้าใจกันใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามว่าระหว่างดอกไม้หนึ่งช่อกับความเข้าใจกัน เราว่าความเข้าใจมีค่ากว่าดอกไม้หนึ่งช่ออีก จริงไหม (จริง) ความเข้าใจเมื่อยามที่เขาผิดรอยยิ้มที่เรามีให้แก่กัน มันก็ย่อมทำให้คนรอบข้างมีความสุขมากกว่าหน้าตาที่บึ้งตึงถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าอดทนแล้วยังก้าวเข้าสู่การปฏิบัติแห่งความดีประพฤติปฏิบัติแห่งคุณธรรมความดีด้วยความอดทนแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติดี แล้วไม่หวังผล ไม่รุ่มร้อนไม่ทุกข์ทน จึงเรียกว่าทำดีได้อย่างแท้จริงและมีธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราฟังธรรมเราอดทนแล้วหน้าเรายิ้มแย้มไหม (ยิ้ม) เราอดทนแล้วเรากล่าววาจาด้วยรอยยิ้มไหม (ยิ้ม) เราอดทนแล้วหน้าเรายิ้มแย้มพูดจาปราศรัยสุภาพอ่อนน้อมไหม เมื่อมาฟังธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัติดี แต่ท่านฟังธรรมกลับหน้าก็บึ้งปากก็ไม่อยากพูดเวลาทำอะไรกระแทกกระทั้น ฉะนั้นถ้านั่งฟังแล้วไม่สบายใจ มีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะจบมีไหม (มี) พูดนานจังเลยมีไหม (มี) แล้วรู้ไหมว่าถ้าเกิดปฏิบัติธรรมต่อกันแล้ว ภายในใจยังรู้จักสร้างบุญกุศลว่าเขาพูดได้ดีจริงๆเลยอนุโมทนาสาธุนี่แหละเรียกว่าปฏิบัติดีแล้วใจยังประเสริฐด้วย ใจยังงดงามบริสุทธิ์ด้วย เราฟังธรรมแล้วเป็นอย่างนี้บ้างไหม ใครพูดจบ สาธุ พูดดีจังเลยมีไหม (ไม่มี) นี่แหละช่วงขณะที่ฟังธรรมเราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เราก็ได้ฝึกฝนใจเราด้วยใช่ไหม (ใช่) แล้วเราทำได้อย่างนี้ไหม อดทนใบหน้ายิ้มแย้มแสดงออกพูดจาอย่างคนมีคุณธรรมเข้าใจ จบแล้วรู้สึกขอบคุณด้วยใจเป็นไหม
ฉะนั้นถ้าเวลาเราอยู่ในโลกใบนี้ ใครปฏิบัติดีหรือไม่ดี ใจเราก็รู้สึกขอบคุณ ใจเราก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยดีมีเมตตา มีคุณธรรม แม้อะไรที่รู้สึกผิดหูผิดตาบ้าง แต่เราก็ยังอดทนและยืนหยัดที่จะกระทำต่อเขาด้วยคุณธรรมความดี ปฏิบัติให้สะอาดทั้งนอกทั้งใน เราอยู่กับใคร เราเจอเรื่องอะไร เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกๆ ที่จริงไหม (จริง) แล้วเป็นเรื่องยากไหมที่ทำแบบนี้ (ไม่ยาก)
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม การทำความดีจึงไม่ใช่แค่การอยู่ในวัด ไม่ใช่แค่การปฏิบัติต่อพระภิกษุ แต่กับใครๆ เราก็ปฏิบัติดี ทำดีต่อกันได้ สร้างคุณธรรมความดีได้ สร้างจิตอันประเสริฐได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มันยากอยู่อย่างหนึ่งนะ เพราะมนุษย์มักจะมองไม่ค่อยเห็นว่าทำไมฉันต้องทำดีกับเขาก็ในเมื่อเขาไม่ดีกับฉันแล้วฉันจะดีกับเขาทำไม จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่มีใครทำดีต่อกัน คนที่ดีอย่างแท้จริง กลัวการถูกต่อว่าไหม (ไม่กลัว) ความดีที่แท้จริงทำแล้วต้องไม่ทุกข์ร้อน ความดีที่แท้จริงทำแล้วต้องไม่หวังผล ความดีที่แท้จริงทำแล้วต้องเกิดความร่มเย็นและอิ่มเอิบใจเหมือนกับการมานั่งฟังธรรมก็คือการปฏิบัติดีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมการปฏิบัติดีต้องร้อนรนและทุกข์ทนเหลือเกิน
ฉะนั้นการศึกษาธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ว่าเมื่อเป็นทุกข์ เราต้องรู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข ในเมื่อพระพุทธองค์บอกว่าที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีทางพ้นทุกข์ แล้วเราจะโง่จมความทุกข์ หรือเราจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขล่ะ และถ้าเราสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขแล้วยังสามารถมีความสว่างให้กับชีวิต แล้วยังสามารถเอาความสว่างนั้นไปสะท้อนสะเทือนใจให้คนพบความสว่างด้วยไม่ดีหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการทำเช่นนั้นต้องมีพลังใจที่ (เข้มแข็ง) แต่คนดีทุกวันนี้อ่อนแอ ทำอะไรนิดอะไรหน่อยโดนว่าก็เซ โดนด่าก็เอียง เลิกทำเลยจริงไหม
เริ่มต้นเรื่องง่ายๆ ที่มนุษย์ชอบเป็นกัน คือเรื่องความคิดและอารมณ์ มนุษย์ส่วนใหญ่ แม้ขณะนั่งฟังธรรมแต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้หรือจัดการกับมันได้คือ ความคิดที่มันชอบไหลเข้ามา แล้วสิ่งที่มันไหลเข้ามานั้น ถ้ามันมีมากเกินไปดีไหม (ไม่ดี) แล้วตอนแรกเวลาความคิดมันไหลมา มันมาไม่เยอะ บางทีมันมาแค่เรื่องเดียว แต่พอใจเราเผลอคิดตามไปแล้วก็เพิ่มเรื่องราว เรื่องมันก็เลยยิ่งเยอะถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าเกิดความคิดมาแล้วเราบอกไม่สนใจมองข้างหน้าดีกว่า ตั้งใจฟังดีกว่า ความคิดมันก็จะหายไปเองจริงไหม (จริง) แต่มีใครรู้ทันถึงความคิดตัวเองขนาดนั้นบ้างไหม (ไม่มี)
ในโลกนี้ความห่วงดีไหม (ดี, ไม่ดี) ไหนใครว่าดียกมือขึ้น ใครว่าไม่ดียกมือขึ้น ผู้ปฏิบัติงานธรรมความห่วงดีหรือไม่ดี เรื่องราวบางอย่างมีเล็กน้อยมันดีนะ แต่ถ้ามันมีมากไปก็ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่) อยู่ด้วยกันไม่ห่วงกันเลย ใครจะเอาเรา เห็นแก่ตัวไม่เคยห่วงใคร ไม่มีใครเขาเอาเราหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นห่วงดีหรือไม่ดี (ดี) แต่มากเกินไป (ไม่ดี) แล้วเราควบคุมมันได้ไหม (ได้) เราเป็นผู้สร้างเองเราก็ต้องหยุดเองได้ จริงไหม (จริง) แต่บางทีความห่วงต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เอาใจเขามาใส่ (ใจเรา) แต่บางครั้งก็ต้องเอาใจเรา (ไปใส่ใจเขา) เพราะส่วนใหญ่เวลาห่วงมากๆก็ชอบเอาใจเราไปใส่ใจเขา แล้วทำไมเขาไม่เห็นได้ดั่งใจเรา ก็เพราะว่าเราไม่เคยเอาใจเรา (ไปใส่ใจเขา) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นห่วงนิดๆ ดี แต่ห่วงมากไปไม่ดี ต้องจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่าถ้าห่วงแล้วมันทำให้เรา เฮ้อ เหนื่อยใจ เราควรห่วงไหม (ไม่ควร) มันจะกลายเป็นทุกข์ นี่คือนิสัยมนุษย์ พอทำแบบนี้ไม่ได้ก็ทิ้งทุกอย่างไม่ต้องไปห่วงเลย ได้ไหม (ไม่ได้) รักแล้วผิดหวัง ต่อว่าและเกลียดเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นห่วงให้น้อยลงแต่ห่วงอย่างเข้าใจ
ท่านเคยได้ยินคำกล่าวไหมว่า“ถ้ามนุษย์เราอยากอยู่ในโลกแล้วมีความสุข มีความสบายใจ ก็ต้องรู้จักเท่าทันความคิดตัวเอง เท่าทันนิสัยอารมณ์ที่ตัวเองปรุงแต่ง แล้วก็ต้องรู้จักคิด และปล่อยวางความคิดได้ด้วย” คนเช่นนั้นถึงจะมีความสุข และสงบในโลกนี้ แต่ถ้ารู้จักคิด แต่วางความคิดไม่เป็น คนเช่นนั้นทุกข์แน่ๆ รู้จักคิดแต่ปล่อยไม่ได้ คนเช่นนั้นแย่แน่ๆเหมือนกับฝนถ้าตกไม่หยุดเราก็ (แย่) เหมือนกันนะ ถ้าเราห่วงไม่หยุด เราก็ (แย่) ไม่แย่หรอกแต่ตายทั้งเป็น เพราะเคยไหมเมื่อห่วงมากๆ ก็กลายเป็นกลัว กลัวมากๆ ก็กลายเป็นวิตกกังวล ซึ่งคำว่า วิตกกังวล พระพุทธะบอกว่าคือความยึดมั่นอันจอมปลอม ที่ทำให้มนุษย์นั้นหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
แล้วความกลัวดีไหม (ไม่ดี, ดี) มีทั้งดีและไม่ดีนะ คนเราต้องรู้จักกลัวบาป ดีไหม (ดี) กลัวบาปทำให้เราไม่ทำชั่ว กลัวบาปทำให้เรามีจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง กลัวบาปทำให้เรารู้จักมีเมตตาไม่ทำร้ายกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกลัวตายดีไหม (ดี, ไม่ดี) ใครว่ากลัวตายไม่ดียกมือขึ้นกลัวตายมีทั้งดีและไม่ดี กลัวตายทำให้เราไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตและทำให้เรารู้จักรักษาคุณค่าของชีวิตและทำดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นกลัวก็ต้องกลัวให้ถูก แต่ไม่ใช่กลัวแล้วตายไม่ได้ เพราะอย่างไรเราก็ต้องตายใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการกลัวตายทำให้เราไม่ประมาท แต่ไม่ใช่กลัวเพื่อตายไม่ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ฉะนั้นความกลัวก็มีดีและไม่ดี อย่างที่เราบอก ถ้าห่วงแล้วกลัว กลัวแล้ววิตกทุกข์ร้อน เมื่อรวมตัวกันมันก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นนั่งฟังธรรมก็ห่วงบ้าน ห่วงลูกหลาน ห่วงต้นยางพารา ห่วงต้นปาล์มใช่ไหม (ใช่) ห่วงแล้วเราก็กลัว เราก็กลายเป็นวิตกทุกข์ร้อน ผลสุดท้ายก็กลายเป็นยึดมั่นถือมั่นอันจอมปลอมที่ทำให้เราคิดว่าเมื่อไหร่จะจบๆ จะได้กลับไปดูต้นยางสักหน่อย กลับไปดูบ้านสักนิดหนึ่ง เราถามหน่อยว่ารู้แล้วมันดีหรือไม่ดี (ไม่ดี,ดี) บางทีไม่เห็นก็ดีกว่าเห็นใช่ไหม (ใช่) บางทีรู้แล้วไม่รู้ดีกว่าใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่ควรรู้และควรเห็นมากที่สุดคือ ก่อนจะไปรู้ไปเห็นอะไร เตรียมใจไว้ก่อนดีไหม (ดี) เอาแต่กลัว เอาแต่ห่วง เอาแต่วิตกทุกข์ร้อน มันไม่ช่วยอะไรเลยถามใจตัวเองก่อนนะ ถ้าต้นยางต้องตายไป ถ้าบ้านต้องถูกน้ำท่วม ถ้าเกิดไม่เหลือต้นปาล์มเลย ใจรับไหวไหม (ไม่ไหว) ใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับไหวก็ไปดู ถ้ายังรับไม่ไหว ถามใจตัวเองว่าเข้มแข็งหรือยัง เพราะว่าการเอาแต่นั่งคิดว่าท่วมหรือไม่ท่วม อย่าท่วมเลย ความกลัว ความกังวลช่วยให้เราดีขึ้นไหม (ไม่ช่วย) ฉะนั้นทางที่ดีคือคิดว่า ต้นไม้ตายก็ปลูกใหม่ได้ สกปรกก็ล้างได้ใช่ไหม (ใช่) ถามหน่อยน้ำท่วมบ้าน แต่ไม่ท่วมใจดีไหม (ดี) ฉะนั้นก่อนจะไปรู้ก่อนจะไปห่วง ก่อนจะไปวิตกกลุ้มกังวล ก่อนจะไปกลัวตาย ถามใจตัวเองก่อน เข้มแข็งรับความจริงได้ไหม เข้มแข็งเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงได้หรือเปล่า เพราะโลกนี้ไม่ใช่โลกแห่งความกลุ้ม ไม่ใช่โลกแห่งความทุกข์ ไม่ใช่โลกแห่งความกลัว แต่เป็นโลกแห่งความจริง คนจริงเท่านั้นที่จะอยู่รอด แต่คนที่ไม่จริงล้มทั้งยืนถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วรู้ไหมว่าคนจริงที่กล้าเรียนรู้ความจริงนั่นแหละ ที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมและหมดทุกข์คนจริงที่กล้ายอมรับความจริงจะทำให้เราเข้าใจธรรมพ้นทุกข์และอยู่บนโลกด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ความกลุ้มกังวลช่วยอะไรท่านได้ไหม (ไม่ได้)
อย่างนั้นถามต่อนะความเจ็บดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ไหนใครว่าความเจ็บไม่ดียกมือขึ้น คนที่ยกมือขึ้นไม่ชอบความเจ็บเลยใช่ใหม (ใช่) อย่างนั้นเราถามท่านนะ ความเจ็บมันไม่ดีจริงๆหรือ อย่างนั้นแปลว่าคนที่ไม่อยากเจ็บเลยก็ต้องเป็นคนที่ไม่รู้สึก ใช่หรือไม่ (ใช่) ความเจ็บคือทำให้เรารู้สึก ฉะนั้นถ้ามันเจ็บต้องบอกว่าดีที่ยังรู้สึก แต่ถ้าไม่อยากเจ็บเลยคือคนที่ตาย ที่ยกมือมาคือไม่อยากเจ็บแล้วใช่ไหม ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนใจ เมื่อสักครู่บอกไม่อยากเจ็บ อย่างนั้นเราถามท่านอยู่ในโลกนี้กลัวจังเลยโรคภัยไข้เจ็บ อย่างนั้นให้ท่านครึ่งหนึ่งเจ็บ ครึ่งหนึ่งไม่เจ็บเอาไหม ก็คือคนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เอาไหม (ไม่เอา) พอถึงเวลาให้เจ็บไม่เอา ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาปกติ ถ้ามีแล้วมันไม่เจ็บเลยนี่ เป็นเรื่องผิดปกติแล้วนะใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดเป็นคนควรกลัวเจ็บไหม (ไม่ควร) ความเจ็บมีดีหรือไม่ดี (ดี) ฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บเป็นตัวสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่า ตอนนี้ร่างกายเรากำลังมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ฉะนั้นควรกลัวเจ็บไหม (ไม่ควร) แต่ควรจะขอบคุณว่าดีแล้วที่ฉันยังรู้สึกเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกว่าไม่มีให้รู้สึก
ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านต่อนะ ความแก่ดีหรือไม่ดี (ดี) ถ้าใครบอกว่าไม่ดี อย่างนั้นก็ต้องเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก จริงหรือไม่ (จริง)
แล้วความพลัดพรากความสูญเสีย ดีหรือไม่ดี (ไม่ดีและดี) มีทั้งดีและไม่ดี แต่บางทีมันก็มีดีเยอะเหมือนกันนะ ทำให้เรารู้จักคุณค่าของการดำรงอยู่ร่วมกัน ทำให้เรารู้จักรักษาสิ่งที่มีให้ดียิ่งขึ้น ก่อนที่เราจะต้องสูญเสียไปใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้องพบความเจ็บปวดในการพลัดพรากก็จงรู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และจงยอมรับสิ่งที่เขาเป็นให้ได้ และเมื่อเวลาที่เขาจากไปเราก็จะได้ไม่เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเวลาท่านมองดู ท่านคิดอะไร จึงจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งไม่เช่นนั้นแล้วอารมณ์จะนำพาทำให้เราทุกข์ ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นแล้วว่าความแก่ ความเจ็บ ความตายก็ไม่น่ากลัว เป็นความจริงที่ทำให้เรามองเห็นชีวิต และเป็นความจริงที่ทำให้เราเข้าใจคุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมในการปฏิบัติต่อกัน เราสามารถรู้ได้อย่างนี้ตลอดเวลาไหม ไม่ค่อยได้นะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตายืมเงินหัวหน้าชั้น และให้หัวหน้าชั้นออกมาถือธนบัตรใบหนึ่งร้อยบาท นักเรียนหญิงคนที่หนึ่งถือดอกไม้ นักเรียนหญิงคนที่สองถือผลไม้ออกมายืนหน้าชั้น)
สมมติว่าเรามีผลไม้ มีเงิน มีดอกไม้หนึ่งดอก
เราถามท่านหน่อยในโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเรียนรู้เข้าใจความคิดเรื่องราวแห่งความเป็นจริง แต่บางครั้งในความรู้ความเข้าใจ ความคิดเรื่องราวแห่งความเป็นจริงนั้น บางทีมันก็ทำให้สับสน ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินมีค่าไหม (มี) ดอกไม้มีค่าไหม (มี) ผลไม้มีค่าไหม (มี) สามอย่างนี้ดีหรือไม่ดี (ดี) ทีละอย่างนะ เงินดีหรือไม่ดี (ดี, ไม่ดี) ตอบได้ทันทีเลยนะว่ามีทั้งดีและไม่ดี ดอกไม้ดีหรือไม่ดี (ดี,ไม่ดี) ผลไม้ดีหรือไม่ดี (ดี,ไม่ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้รองหัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)
รองหัวหน้าชั้นดีหรือไม่ดี (ดีและไม่ดี) แต่จริงๆเราบอกว่าเรื่องราวของทุกอย่างในโลกนี้จริงๆ แล้วทุกอย่างนั้นมีดีและไม่ดี ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่เงิน ไม่ได้อยู่ที่ดอกไม้ ไม่ได้อยู่ที่ผลไม้ และไม่ได้อยู่แค่ความเป็นคนของคนนี้ แต่มันอยู่ที่ใจของเราปฏิบัติต่อความเป็นคนของตัวเอง และปฏิบัติต่อความเป็นคนกับผู้อื่นอย่างไร ถูกไหม (ถูก) ท่านจะตัดสินได้ไหมว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร (ไม่ได้) ฉะนั้นจะพูดว่าเราดีไม่ดี จะบอกว่าเราดี มันมีทั้งดีและไม่ดี ที่บอกว่าดีไม่ดีเพราะว่าท่านเอาตัวเองเข้าไปวัดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถามจริงๆ แล้วทุกอย่างมันดีหรือไม่ดีจริงไหม (จริง) ดีจริงและไม่จริงนั่นคือใจของตัวท่านเอง เขาจะดีหรือไม่ดี ท่านก็พูดไม่ได้ แต่นิสัยของมนุษย์ชอบเห็นอะไรแล้วก็วัดว่าดีไม่ดี แล้วผลสุดท้ายก็ยึดติดความดีและไม่ดี แล้วก็ทุกข์ เพราะดีและไม่ดีที่ตัวเองยึดติด ฉะนั้นจะบอกว่าเขาดีหรือไม่ดี ไม่รู้ผลไม้ดีหรือไม่ดี ไม่รู้ ดอกไม้ดีหรือไม่ดี ไม่รู้ เงินดีหรือไม่ดี (ไม่รู้) แต่ต้อง รู้ใจตัวเองที่เวลาอยากจะได้เงินแล้วทำดีหรือไม่ดี ฉะนั้นเงินจะดีหรือไม่ดีต้องถามใจที่กำลังจะไปเอาเงินว่าคิดดีหรือไม่ดี คิดอย่างคนมีธรรมหรือไร้ธรรม ใช่ไหม (ใช่) เหมือนเช่นดอกไม้มีดี และไม่ดี เพราะเดี๋ยวดอกไม้ก็เหี่ยวเฉา เดี๋ยวดอกไม้ก็ตาย เป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นไม่ดีหรือ ก็ไม่ใช่ แต่อยู่ที่คนกำลังหยิบยื่นดอกไม้และนำดอกไม้ไปตีศีรษะคน หรือไปยื่นมอบให้คนรัก ฉะนั้นดอกไม้ดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่ดอกไม้ แต่อยู่ที่คนกำลังจะให้ กำลังจะใช้ดอกไม้ใช่ไหม (ใช่) ผลไม้ดีหรือไม่ดี (ไม่รู้) เพราะขนาดท่านปลูกผลไม้มาเองกับมือ บางทีท่านบอกว่าคือพันธุ์ที่หวานที่สุด หล่อเลี้ยงดีที่สุดให้ปุ๋ยดีที่สุด แต่พอผ่าออกมากินกลับไม่หวาน จริงไหม (จริง) ฉะนั้นมัน ไม่ดีใช่ไหม โค่นต้นเลย ต่อว่าแม่ค้าเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นดีหรือไม่ดี อย่าเอาตัวเราไปวัด ถูกไหม ฉะนั้นเขาดีหรือไม่ดี (ไม่รู้) ให้จริงแบบนี้ตลอดเถอะ
ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลก แล้วมองเห็นเข้าใจทุกสิ่ง แล้วไม่ทำให้สิ่งนั้นมาทำให้ทุกข์ ไม่ใช่การเข้าใจ แต่ต้องหันมารู้ใจตัวเอง ก่อนที่จะปฏิบัติกับสิ่งนั้น อย่าไปบอกว่าตัวเองรู้ไปหมดจริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดก็คือ การที่เราพูดว่าเรารู้ทุกอย่าง เพราะบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ เราอาจจะรู้ไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นดีหรือไม่ดี เราตอบได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราหวังให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจเราได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นแม้ผลไม้จะไม่หวาน แต่ก็ (กินได้) แต่ถ้ากินแล้วไม่หวานดีหรือไม่ดี (ดีไม่เป็นเบาหวาน) บางทีก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือทำให้เราไม่อยากกินอีกต่อไปเลย ฉะนั้นผลไม้ไม่หวานก็ (ดี) แต่บางทีผลไม้หวานก็ (ไม่ดี) เพราะถ้าดี เราจะต้องทุกข์ในการไปหาซื้อมากินอีก ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ เราจะหาความถูกต้อง หาความแท้จริง หาอะไรดีที่สุด หาอะไรแย่ที่สุดได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็จะรู้ว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรสูงค่าที่สุด ไม่มีอะไรต่ำเตี้ยที่สุด ฟ้ามีมืดมีสว่าง น้ำมีสูงมีต่ำ มีขึ้นมีลง พื้นดินมีภูเขา มีหุบเหวใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าชีวิตเจอเรื่องสูง เจอเรื่องต่ำ เจอเรื่องดีเจอ เรื่องร้าย แท้จริงแล้วร้ายจริงๆ ไหม (ไม่) แท้จริงแล้วดีจริงๆ ไหม (ไม่) ถ้าเราเจอเงินดีหรือไม่ดี ดีไม่ดีอยู่ที่ใจท่าน จะเอาเงินไปคืนเขาหรือจะเอาเงินเก็บใช่หรือไม่ (ใช่) คืนหรือไม่คืน (คืน) เราจะบอกให้นะว่าอย่าพยายามมีเงินจนทำให้เราลืมความดีในใจของตัวเอง อย่าพยายามมีแล้วทำลายคุณค่าของตัวเองนะ เพราะถึงที่สุดในโลกนี้ใครเป็นเจ้าของเงินที่แท้จริง (ไม่มี) ฉะนั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของเงินที่แท้จริงถูกหรือไม่ (ถูก) และอย่าพยายามเพื่อได้เงินแล้วทำผิดคิดร้าย เพราะเงินไม่ต้องการเจ้าของที่แท้จริง ลองถามสิเงินซื่อสัตย์อยู่กับเราไม่ไปไหนไหม (ไม่) ยิ่งมีแล้วมันทำให้เรายิ่งทุกข์ แล้วทำไมเราถึงอยากได้เงินถูกไหม (ถูก) แล้วถึงที่สุดแล้วชีวิตเราเกิดมาเพื่อมีหรือไม่มี (ไม่มี)
ฉะนั้นใครจะว่าเรา ใครจะโกรธเรา ใครจะทำเราให้ไม่มีคุณค่า ไม่ได้สำคัญที่ตัวเขา แต่สำคัญที่ตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเขากดเราให้เราต้องไร้ค่า เราต้องไร้ค่าจริงไหม เขาว่าเราไม่ดีเราต้องไม่ดีจริงไหม (ไม่จริง) เพราะว่าสิ่งที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ที่คำพูดเขา แต่มันอยู่ที่ตัวเรา ฉะนั้นเราถามจริงๆ นะถ้าคำพูดเขาออกมาเป็นขี้ปาก เราจะเอาขี้นั้นมาทำให้เราเน่าเหม็น หรือเราจะเอาขี้นั้นมาทำให้เราเกิดการเติบโตและเรียนรู้ (เติบโตเรียนรู้) ด้วยความเข้าใจและไม่โกรธเคืองกัน ด้วยความไม่มีต่ำและไม่มีสูง ด้วยความไม่มีสูงและไม่มีต่ำ ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่มีสวย ฉะนั้นเราอย่าไปเคืองโกรธ เมื่อคนว่าคนดูถูก คนกดขี่ข่มเหง เพราะท่านรู้ไหมว่า สิ่งที่ดำขลับมากเท่าไหร่ก็สามารถทำให้สิ่งที่ธรรมดากลายเป็นสิ่งที่ขาวผุดผ่องได้มากเท่านั้น สิ่งที่แย่มากเท่าไหร่ก็กลายเป็นสิ่งที่ธรรมดา กลายเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข ไม่ได้อยู่ที่สรรพสิ่ง แต่มันอยู่ที่เรารู้และเข้าใจสิ่งนั้นมากเพียงใด จริงไหม (จริง)
ดังคำกล่าวคำหนึ่งว่าเมื่อใดที่จิตพ้นจากความเพ้อฝัน เราจะมีอิสระจากการมองสรรพสิ่ง เมื่อใดที่จิตพ้นจากการแบ่งแยก เมื่อนั้นเราจะมีอิสระในการมองเรื่องราวได้ชัดเจน เมื่อใดที่จิตเราพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเรื่องราวแต่ละเรื่องราวแท้จริงเพียงใด และเมื่อใดจิตของเราพ้นจากอารมณ์ความคิด ตัณหาครอบงำ เมื่อนั้นเราจะเข้าใจจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าธรรมมากเท่านั้น เพราะเราก็คือธรรมท่านก็คือธรรม ฉะนั้นถ้าปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม เราก็จะพบความเป็นพุทธะในตัวคนและตัวเรา แต่มนุษย์ไม่ใช่ ปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความชอบความชัง ความคิด จึงมองไม่เห็นธรรมอันแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้จิตยึดติดอารมณ์ ยึดติดความคิด ยึดติดนิสัยนั้น เรียกว่าใจที่ขาดสติ แต่สิ่งที่ทำให้จิตเปลื้องจากอารมณ์ เปลื้องจากนิสัยไม่ยึดติดในความคิด ไม่ยึดติดในนิสัย นั่นคือสติที่เข้าใจธรรม
ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่ามีความคิดอะไร จงใช้สติพระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า“หลักธรรมตระหนักรู้ได้ด้วยจิต การที่จะเข้าถึงการพ้นทุกข์ต้องอาศัยจิตรู้เท่าทันจิต เพราะจิตนั่นแหละก็คือธรรม และทุกคนก็คือธรรม ถ้ามองเห็นธรรมเราก็พบพุทธะ ถ้ามองเห็นอารมณ์เราก็เจอวิบากกรรม” ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันอย่างมีธรรมหรือว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างมีอารมณ์ต่อกัน เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการมีเมตตาทำอะไรก็ตาม ขอให้มีเมตตา ถ้าเมตตาแล้วจะโกหกไหม (ไม่) เมตตาแล้วจะด่าใครไหม (ไม่ด่า) เมตตาแล้วจะตบยุงไหม (ไม่ตบ) มันกัดนิดเดียวตบมันตายเลย แล้วที่ไปทำกับเขาไว้เยอะเขาจะทำเราจนตายหรือ ถูกไหม (ถูก) เขากัดขอเลือดเรานิดเดียว ทำได้ไหมอนุโมทนาสาธุ ดีแล้วกินไปเถอะ ลองฝึกดูสิ ถ้าหากสิ่งเล็กๆ ยังอดทนได้แล้วสิ่งใหญ่ๆ ที่มันทำร้ายเรามีหรือจะอดทนไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) มีแต่เล็กๆ ทนไม่ได้แล้วใหญ่ๆ จะอดไหวไหม ยุงกัดสาธุขอบคุณนะทำให้ฉันได้เสียสละได้อดทน ขอให้ประพฤติปฏิบัติด้วยคุณธรรมต่อกัน แล้วเราจะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ แต่ที่เราทุกข์ เพราะว่าเรายึดมั่นและไม่ยอมรับความจริง ว่าแท้จริงแล้วตัวเราคาดหวังมากไป ตัวเรายึดติดมากไป ตัวเรายอมรับคนที่ไม่ดีมากไปใช่ไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วคนเราก็มีสูงมีต่ำเป็นธรรมดา เหมือนตัวเรามีดีบ้างไม่ดีบ้าง ให้อภัยได้สำเร็จ เมตตาได้คุณธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่) ไปแล้วนะ ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไรหัวเราะเข้าไว้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ให้โดยไม่หวังผล
ข้องเกี่ยวโดยไม่คาดหวังแทรกแซง
อยู่ร่วมโดยไม่ยึดมั่นครอบครอง
ประกอบกิจโดยทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจื้อเจวี๋ย แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม
ตามดูตามรู้มีแค่นั้น คือใจอันเกิดดับเช่นนี้
แม้มีเกิดขึ้นไปนั้นทันที ดับก่อนที่รู้สึกนึกเชื้อเชิญ
จงนิ่งนิ่งและอย่าพูดมากมาย ยอมไปเย็นไว้สติคลับคล้ายเขิน
ชนะใจวู่วามก่อนรู้ตัวเดิน อยากแก้เกินยากทันปัญหาคน
ตัวแปรย่อมแต่งเติมเพิ่มวิบาก ความที่รู้ไม่อยากโง่สักหน
สำคัญตนใจแพ้พ่ายใจตน คนยอมคนเพื่อพ้นโลกโลกีย์
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่มาฟังธรรมเพื่อความสบายใจชั่วครั้งชั่วคราว พูดจบแล้วก็จบกัน แต่มาฟังธรรมเพื่อความเข้าใจและหาทางพ้นทุกข์ให้กับตัวเองให้ได้ มาฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมให้มากยิ่งขึ้นหรือมาครั้งนี้หวังจะมาพึ่งอาจารย์ใช่ไหม (ใช่) นึกแล้ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ หัวอกคนเป็นพ่อแม่ หรือครูอาจารย์ ถ้ามีลูกศิษย์เกาะเราตลอดไม่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ศิษย์ว่าล้มเหลวในการสอนไหม (ล้มเหลว) สอนได้ถูกทางไหม (ไม่ถูก)
อาจารย์ถามว่า วันนี้ศิษย์มาฟังเพื่อความสบายใจชั่วครั้งชั่วคราว กลับบ้านไปลืมแล้วจบแล้วจบกัน อย่างนั้นหรือไม่ (ไม่) มาฟังธรรมเพื่อความเข้าใจ แล้วเอาไปใช้ไปปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์ของตัวเองถูกไหม (ถูก) เมื่อเป็นแบบนี้ควรจะพึ่งตนเองหรือพึ่งอาจารย์ (ตัวเอง) ถ้าสมมติตัวศิษย์เองมีลูกเลี้ยงจนโตแล้ว ยังไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งของตัว ศิษย์ว่าศิษย์เลี้ยงผิดพลาดไหม (ผิด) ฉะนั้นเวลาศิษย์เลี้ยงใครสักคนขึ้นมาเพื่อให้เขาได้ยืนด้วยตัวของตัวเอง เติบโตด้วยตัวเอง มีหนทางของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเป็นแค่ผู้ชี้ทางนำทางสว่าง ฉะนั้นถ้าวันนี้ศิษย์มาเพื่อหวังพึ่งอาจารย์อย่างเดียว ไม่พึ่งตัวเอง แปลว่าอาจารย์นั้นนำผิดทางใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเริ่มตันยังยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ขอเกาะใครก่อน อย่างนี้ถูกต้องไหม ถ้าอย่างนั้นแปลว่าศิษย์อ่อนแอ ตั้งแต่ยังไม่ได้นับหนึ่งใช่ไหม (ใช่) เริ่มต้นก็ผิดแล้วใช่ไหม (ใช่) ถ้ามาแล้วหวังจะพึ่งอาจารย์อย่างนี้ก็เรียกว่าผิดทางแล้ว แต่จริงๆ ก็แอบหวังพึ่งอาจารย์เล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งที่มนุษย์มักจะพูดบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่พุทธะยังสอนต่ออีกว่า ในคำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คนที่ฝึกใจได้ดีแล้ว คนนั้นคือที่พึ่งที่หาได้ยากบนโลกนี้ คนที่รู้จักฝึกใจตัวเอง แล้วพึ่งตัวเองได้นั้น เป็นคนที่หาได้ยากในโลกนี้ ศิษย์ทุกคนรู้ว่า เกิดมาตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่การจะฝึกให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ต้องฝึกใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าฝึกใจตนเองได้ เราก็พบที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด นั่นก็คือ ตัวเราเอง ใจเราเอง แต่มนุษย์ปัจจุบันนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่ทันที่จะยืนด้วยตัวเอง ก็หวังจะพึ่งคนอื่นอยู่ร่ำไป เช่นนี้เรียกว่า ยังไม่ทันจะเข้มแข็ง ก็อ่อนแอเสียแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเวลาที่เรามีทุกข์ขึ้นมา แล้วเอาแต่พึ่งคนอื่น ให้คนอื่นช่วยเราให้พ้นทุกข์ ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนแปลง เขากลับกลาย ที่พึ่งเราไม่ล่มสลายหรือ เพราะใจคนยังมีวันเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นเราควรพึ่งตัวเองหรือพึ่งผู้อื่น (ตัวเอง) เราควรจะพึ่งตัวเองหรือพึ่งอาจารย์ (พึ่งตัวเอง) ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ต้องเปลี่ยนความคิดของศิษย์ให้ถูกต้องก่อน ถ้าเริ่มต้นผิด ยังไม่ทันทำอะไรก็พึ่งแต่อาจารย์ แล้วอย่างนี้ศิษย์จะยืนรอดไหม (ไม่รอด) ฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์มาพึ่งอาจารย์ แต่อาจารย์เป็นแค่คนที่ชี้ทางสว่าง แล้วศิษย์จะเดินและปฏิบัติหรือไม่อยู่ที่ตัวศิษย์เอง พึ่งอาจารย์ไปไม่ได้ตลอดหรอกนะใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้ที่ฝึกฝนตนดีแล้วย่อมเป็นที่พึ่งที่หายากในโลกนี้ นี่คือคำตอบว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใช่หรือไม่
ให้โดยไม่หวังผล
ข้องเกี่ยวโดยไม่คาดหวังแทรกแซง
อยู่ร่วมโดยไม่ยึดมั่นครอบครอง
ประกอบกิจโดยทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
ถึงเวลาวางและยอมรับความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าศิษย์อยู่ในโลกแล้วทำได้อย่างนี้ ศิษย์จะไม่มีทุกข์ใดมากล้ำกรายเชื่อไหมล่ะ ให้โดยไม่หวังผล ปกติเราอยู่ในโลกเราทำอะไรให้ใครเราหวังผลใช่ไหม (ใช่) ทำบุญยังขอเลยใช่ไหม (ใช่) ทำไมอาจารย์บอกว่าให้โดยไม่หวังผล ถ้าศิษย์ให้แล้วหวังผลแปลว่าการให้ของศิษย์นั้น ก็เพื่อหวังจะกลับไปรับผลโดยที่ตัวเองสร้าง แปลว่าชาตินี้สร้างมาทำมายังทุกข์ไม่พอ อยากมีชาติหน้าชาติโน้นเพื่อรับผลอีกใช่ไหม (ไม่) ก็ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำก็ต้องหวังผลนะอาจารย์ อย่างนั้นถ้าศิษย์ยังหวังผลก็แปลว่าศิษย์ยังอยากมีตัวตน เพื่อกลับมาเวียนว่าย รับผลที่ตัวเองสร้างใช่ไหม (ไม่ใช่)
เหมือนถวายดอกไม้ก็เพื่อจะได้สวยๆ ถวายน้ำมันตะเกียงเพื่อได้ปัญญาดีสว่างไสวใช่ไหม (ใช่) สร้างเงินเยอะๆ เพื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาร่ำรวย แต่ปัญญาจะดีหรือเปล่าไม่รู้ จะสมประกอบหรือเปล่าไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) จริงไหมล่ะ อาจารย์แค่ย้อนให้ศิษย์คิดว่าเวลาเราทำ ถ้าศิษย์หวังผลก็แปลว่าศิษย์ยังอยากมีตัวตน เพื่อมารับผลกรรมที่ศิษย์สร้าง แม้กรรมนั้นจะเป็นกรรมดี แต่กรรมดีนั้นก็ไม่สามารถทำศิษย์พ้นทุกข์ได้ เพราะถ้าศิษย์ทำแล้วยังยึดมั่น แล้วหวังวอนผลรับถูกไหม (ถูก) แล้วตอนนี้รู้หรือยัง (รู้แล้ว) แล้วยังขออีกไหม (ไม่ขอ) ระวังนะถ้าทำบุญไม่ครบไม่รู้ว่าจะได้มาเป็นคนหรือไม่ เพราะคนที่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้ต้องศีลห้าครบ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ การมีตัวตนหนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญแล้วยังหวังผลก็แปลว่า ศิษย์ยังอยากกลับมามีตัวตน เพื่อรับผลของบุญผลของกรรมที่ศิษย์สร้าง อยากไหม (ไม่อยาก) แบบนี้ต่อไปทำแล้วขอไหม (ไม่ขอ) ให้มันจริงนะ คนที่ขอให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข อาจารย์อยากบอกว่า ถ้าพูดรู้จักคิด ทำรู้จักระมัดระวัง คิดดีมากกว่าคิดร้ายร่มเย็นไหม (ร่มเย็น) มีเมตตามากกว่าเบียดเบียนผู้อื่นร่มเย็นไหม (ร่มเย็น) แล้วร่มเย็นอยู่ที่พระหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา) แล้วร่มเย็นอยู่ที่ทำแล้วขอหรือร่มเย็นอยู่ที่เราทำเองปฏิบัติเองแล้วรับผลเอง แล้วทำไมต้องไปรอชาติหน้าทำตอนนี้เลย ถูกไหม (ถูก) แล้วเราเกิดมาเพื่อเวียนว่ายหรือเกิดมาเพื่อที่จะได้จบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม) แต่ที่ขอมานี้คือไม่จบกรรมเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)
“ข้องเกี่ยวโดยไม่คาดหวังแทรกแซง”
มีไหมไปเกี่ยวอะไรแล้วอดทนไม่พูดไหม (ไม่อดทน) เป็นผู้รู้เป็นผู้ยุ่งไปหมดทุกอย่าง เกี่ยวข้องอะไรก็บอก นี่เธอทำแบบนี้สิ นี่เธอเป็นแบบนั้นสิ ยุ่งกับเขาไปหมด ทั้งที่ตัวเองรอดไหม (ไม่รอด) ไปรู้เรื่องคนอื่นดีหมดแต่เรื่องตัวเอง (ไม่รู้)
“อยู่ร่วมกับเขาแบบไม่ยึดมั่นครอบครอง”
ได้ไหม (ได้) แน่นะ (แน่) ไม่แน่นะ เพราะอาจารย์เห็นศิษย์หลายคน เมื่ออยู่ร่วมกับใครแล้วอดไม่ได้ อันนี้ของฉัน คนนี้ตัวฉัน ฉันเป็นแบบนี้แกเกี่ยวอะไรด้วย คนนี้สามีฉัน คนนี้ภรรยาฉัน แล้วเป็นอย่างไร ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วเรายึดเขา ครอบครองเขาหรือตีตราเขาได้ไหม (ไม่ได้) จองจำเขาได้ไหม (ไม่ได้) ที่ได้ที่ดีที่สุดคือทำตัวเอง อย่างที่อาจารย์บอกทำตัวเองสุดท้ายคือทำตัวเองให้ดีที่สุด แล้วถึงเวลาปล่อยวางยอมรับความเป็นจริง อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด วันนี้เขาอยู่กับเรา แต่วันหน้าเขาไม่อยู่กับเรา เป็นไปได้ไหม (เป็นไปได้) วันนี้เขาเป็นคนดี วันหน้าเขาเป็นคนไม่ดี เป็นไปได้ไหม (ได้) วันนี้เขาชมเรา วันหน้าเขาด่าเรา เป็นไปได้ไหม (ได้) ถ้าเราไม่ยึดมั่น เราไม่แทรกแซง เราไม่คาดหวัง เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่ถึงที่สุดแล้วเราคาดหวังไหม (คาดหวัง) ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุข แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาสำเร็จหรือล้มเหลวก็กล้ายอมรับความจริง แบบนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้วเอามาฝึกฝนใจตัวเอง เพื่อเข้าถึงความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม
ยังไม่ต้องหวังถึงขั้นบรรลุธรรมหรอกนะ เอาแค่ขั้นพ้นทุกข์ได้ก็พอแล้ว พ้นทุกข์ พบทางสว่างให้แก่ชีวิตและสามารถนำความสว่างแห่งชีวิตนั้นไปยังผู้อื่นได้ ก็ประเสริฐแห่งการเป็นคนแล้ว ฉะนั้นถ้าทำแล้วสามารถสละความเป็นตัวตน ทำแล้วสามารถสละกิเลส ขุดความเป็นตัวตนออก ทิ้งและวางได้ก็ทำไป แต่ถ้าทำแล้วยังยึดมั่นถือมั่นตัวตน ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหมศิษย์ (จริง)
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง ล้วนมีมูลเหตุทั้งนั้น และมูลเหตุที่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ คืออะไรรู้ไหมศิษย์
ถ้าตอบอาจารย์ได้ อาจารย์ให้นั่ง ถ้าตอบไม่ได้ ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อาจารย์ต้องสอนให้ศิษย์ฉลาดไม่ใช่โง่กว่าอาจารย์ ถึงจะเป็นอาจารย์ที่ถูกต้อง มีที่ไหนสอนให้ศิษย์โง่อยู่ทุกวัน มีอะไรอาจารย์ก็ต้องป้อนให้หมด ต้องสอนให้ศิษย์คิดเอง รู้เอง ตื่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบได้นอกจากช่วยตัวเองได้แล้ว ยังช่วยเพื่อนในห้องได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยว่า “มูลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนมีสาเหตุมาจากอะไร” (ตัวเอง, ยึดมั่นถือมั่น) มีคนตอบว่าตัวเอง และความยึดมั่นถือมั่น ถูกไหม (ถูก) ที่ไม่ตอบก็ได้ผลพลอยได้ไม่ต้องตอบก็ได้นั่ง ปล่อยเขาตอบไป ใช่ไหม ศิษย์ก็จะโง่อยู่วันยังค่ำ เพราะคนคิดได้เขาก็คิดได้ คนที่คิดไม่ได้ก็โง่ไปทุกวัน คิดอย่างนี้ได้ไหม อย่าไปว่าเขา ในโลกนี้มีทั้งคนคิดได้และคิดไม่ได้ คิดเร็วและคิดช้า แตกต่างกันออกไป
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า การที่เรายึดมั่นถือมั่นในตัวตน เป็นมูลเหตุแห่งความทุกข์จริงไหม (จริง) ก็แปลว่าถ้าเมื่อไหร่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง เราคงมีปัญญาสว่าง หูตาเราคงกระจ่างจริงหรือไม่ (จริง) ใช่แล้วศิษย์เอ๋ย มีคำพูดที่กล่าว “มนุษย์ หูตาฝ้าฟางก็เพราะหัวใจยึดมั่นหมายในความเป็นตัวตน ปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถกระจ่างสว่างแจ่มชัด ก็เพราะยึดติดในความคิด ความรู้ของตน” ถ้ารู้อย่างนี้แล้วจะแก้ไขอย่างไร อาจารย์จะบอกศิษย์อย่างหนึ่ง ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์รู้จักรักษาใจตัวเอง รู้จักควบคุมใจตัวเองได้ รู้จักดูแลใจตัวเองได้ ต่อไปใจดวงนี้แหละ จะรู้จักรักษากาย รักษาชีวิต รักษาตัวเราได้ แต่ศิษย์ต้องเริ่มจากการรักษาใจตัวเองให้เป็นก่อน ถ้าเรารักษาใจเป็น ต่อไปใจดวงนี้จะคุ้มครองกาย คุ้มครองชีวิตเราได้ เหมือนกันถ้าศิษย์รู้ว่า ธรรมะมีประโยชน์ต่อชีวิต มีคุณค่าต่อการนำไปใช้ในชีวิต ต่อไปศิษย์จะรู้จักว่า ตอนนี้เราต้องใช้ธรรมใช้ธรรม แต่พอศิษย์ใช้ธรรมไปบ่อยๆ เข้า ธรรมนั้นจะคุ้มครองชีวิต โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย แล้วธรรมะมีดีอะไรกับชีวิต ศิษย์จึงต้องสนใจ เคยสงสัยไหม (เคย) ฟังมาตั้งเยอะแล้วมันดีกับชีวิตอย่างไร แล้วจะช่วยเยียวยาใจเราได้อย่างไร ศิษย์รู้ไหมว่า ถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์จะได้เข้าใจชีวิต ถ้าศิษย์มองเห็นธรรม ศิษย์ก็จะเห็นชีวิต
จริงไหม (จริง) เพราะชีวิตคือ ธรรมะ ทุกชีวิตคือ ธรรมะ เราคือส่วนหนึ่งของธรรม แล้วเราก็มีรากฐานของธรรมอยู่ในตัวเราทุกคน ฉะนั้นถึงเราจะหนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว เราก็หนีธรรมในใจเราไม่ได้จริงไหม (จริง) ธรรมในใจคืออะไร ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะเข้าใจชีวิต ถ้าเราเข้าใจธรรม เราจะเข้าใจชีวิต ถ้าเราเห็นธรรม เราจะเห็นชีวิตอย่างแจ่มแจ้ง
ความทุกข์มาจากตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากจะพ้นทุกข์ เราต้องรู้จักที่จะ (ปล่อยวาง) ถ้าเกิดเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนได้ เราก็จะสามารถเรียนรู้เข้าใจธรรมได้ ถ้าเราเรียนรู้เข้าใจธรรมได้ เราก็จะสามารถเรียนรู้และรู้ชัดตัวเองได้จริงหรือไม่ (จริง) เพราะธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิตและตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์มักจะพูดว่า อาจารย์ก็หนูเป็นแบบนี้ จะให้หนูแก้อะไรได้ มันแก้ยาก ศิษย์รู้ไหมว่าความยึดมั่นถือมั่นในความมี ความเป็นตัวตนคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรามี เราเป็นอะไรไหม เราเคยมีแล้วเป็นอะไรที่แท้จริงไหม (ไม่) แต่ก่อนที่เราจะมาเป็นผู้ใหญ่ เราเคยเป็น (เด็ก) ก่อนที่เราจะเป็นเด็ก เราเคยเป็น (ทารก) ฉะนั้นตอนที่เราเป็นทารก แล้วเติบโตมาเป็นเด็ก เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่แล้วก็มาเป็นคนแก่ แล้วต่อไปเราจะเป็นอะไรอีก (ตาย) ฉะนั้นเราเป็นอะไรที่แท้จริง (ไม่มี)
แล้วตอนที่เราเป็นเด็ก เราต้องเคยเป็นเด็กที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไร เมื่อเติบโตมาถึงจะเรียนรู้ แล้วก่อนที่เราจะเรียนรู้อะไร เราต้องเป็นลูกศิษย์มาก่อน เมื่อเราเป็นลูกศิษย์ เราเริ่มเรียนรู้แล้วเราก็เป็นพี่ใหญ่ ใช่ไหม เมื่อเป็นพี่ใหญ่แล้ว เราก็เริ่มเป็น (อาจารย์) ชอบเป็นอาจารย์สอนคน ใช่ไหม แปลว่าตอนที่เราเป็นเด็ก เราก็มีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์ได้ แล้วก็เป็นอาจารย์ได้ แล้วเราเป็นลูกศิษย์ตลอดไหม เราเป็นอาจารย์ตลอดไหม (ไม่) แล้วเราจะเป็นอะไรต่อ ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ถามคือ เรามีและเราเป็นอะไรต่อ แต่ก่อนเรามีเงินไหม (ไม่มี) แล้วตอนนี้เรามีเงินไหม (มี) แล้วต่อไปจะมีไหม (ไม่รู้) ฉะนั้นจะบอกว่าเรามีอะไรแท้จริงไหม แล้วเราเป็นอะไรที่แท้จริงไหม ไม่สามารถตอบได้ว่าเรามีหรือเป็นอะไรที่แท้จริง
ฉะนั้นที่มนุษย์เราทุกข์อยู่เพราะความยึดมั่น คาดหวังหรือยึดมั่นตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) อาจารย์ยกตัวอย่าง เช่น เราเดินๆ อยู่ เผลอชนคนแล้วก็พูดว่ามาชนทำไม ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร เราเป็นแบบนี้ไหม (ไม่เป็น) ไม่เป็นอันธพาลเลย ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าใครมาเอาของเราแล้วทำเราเจ็บ ก็พูดต่อว่าไปว่า ให้รู้บ้างมาเอาของใคร สามีใครก็รักนะ ภรรยาใครก็รักนะ ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ สามีเรา ภรรยาเรา จะเป็นของเราตลอดไหม (ไม่) วันหนึ่งเขาเอาของเราไปเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ตอนรักกันใหม่ๆ คู่บุญ คู่วาสนานะ พออยู่กันไป คู่เวรคู่กรรม พออยู่นานไป ตัวใครตัวมัน แต่เวลามันจะไป ก็ไม่อยากให้ไป
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกใบนี้ มีใครหรือมีอะไรที่แท้จริง มีใครหรืออะไรที่ยั่งยืนนาน มีอะไรหรือที่เป็นของเราแล้วไม่เปลี่ยนแปรผัน เราจะโกรธไหม ถ้าถูกแย่งไป เราจะเสียใจไหมที่ถูกเปลี่ยนมือไป แล้วเราจะหาเรื่องไหมถ้าเกิดการกระแทกกระทั้นแล้วชนกัน ว่าอย่างไรผู้ชาย แกเป็นใครมาชนฉัน แกก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร แล้วฉันจะรู้แกไหม คราวหน้ามาถามอีกก็ตอบไปเลย ก็ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะเปลี่ยนไปอีกแค่ไหน ฉะนั้นแกอย่าโกรธฉันเลยเพราะฉันก็ยังไม่รู้ตัวเอง ขอโทษนะ จบไหม ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ เราจะแก้ทุกข์อย่างไร ในเมื่อเราก็เข้าใจแล้วว่าไม่มีใครเป็นอะไรที่แท้จริง ไม่มีใครเป็นของใคร และครอบครองใครได้แท้จริง แล้วถ้าวันหนึ่งเราเกิดการกระทบกระทั่ง เราเกิดการทำร้ายกันขึ้นมา ศิษย์จะทำอย่างไร ถ้าเขามาทำร้ายเรา ศิษย์จะยึดมั่นถือมั่นว่าฉันเจ็บ หรือคิดว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้ายอมแล้วเขาได้ใจเอาอีก เวรจะระงับด้วยการไม่จองเวรได้ไหม (ได้) นิสัยมนุษย์ศิษย์จำไว้ ถ้าเข้าใจนิสัยของคน ศิษย์จะเข้าใจธรรม เพราะนิสัยของคนคือได้ศอกเอาวา ได้วาเอาโยชน์ ฉะนั้นคนบางคนเลยไม่ยอม แต่บางคนยอม แต่ถ้าเรายอมแล้ว เข้าใจว่ามนุษย์เวลายอมก็เอาอีก ถ้ายอมแล้วถูกทำอีก ศิษย์จะยังยืนหยัดความถูกต้องและดีงาม แม้จะถูกทำร้ายก็ตาม
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ โดยนิสัยของมนุษย์ เวลาเจอใครที่เราเอาเปรียบได้ เจอใครที่กินแรง เรามักชอบเอาเปรียบและกินแรงเขาอยู่เรื่อยไป จริงไหม (จริง) แล้วจำไว้นะอย่าไปทำร้ายเขาจนสุดหนทาง เพราะไม่อย่างนั้นคนดีถ้าเขาทนไม่ไหวเขาจะแว้งกัด ใช่ไหม (ใช่) พอเขายอมก็ยิ่งทำร้ายเขาอยู่เรื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนที่ศิษย์เคยพูด อาจารย์ทำไมคนดีโดนรังแก อาจารย์ถามหน่อย ถ้าศิษย์มีโอกาสจะรังแกคนที่เก่งกว่าหรือคนที่อ่อนกว่า (คนที่อ่อนกว่า) เวลามีโอกาสเอาเปรียบจะเอาเปรียบคนที่โง่กว่าหรือฉลาดกว่า (โง่กว่า) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นคน ถ้าเราอยู่กับคนที่ฉลาดกว่าแล้วเขารังแกเรา ก็จงยอมรับความจริง แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ แต่ยอมรับไม่ใช่แบบหน้าชื่นอกตรม แต่ยอมรับอย่างคนที่มีจุดยืนและหยัดยืนในความเป็นคน เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นคนมากเท่าไหร่ ด้วยสติและยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นศิษย์ก็จะไม่ทุกข์กับมัน เชื่ออาจารย์นะ
จำไว้นะศิษย์ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นจงเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริงด้วยสติและกล้ายอมรับ แม้สิ่งที่เรายอมรับจะหยัดยืนอยู่บนความถูกต้อง แล้วเจ็บปวดจนมีน้ำตาไหล แต่ขอให้ศิษย์หยัดยืนอดทนจนถึงที่สุด แล้วศิษย์เชื่อไหมว่ากรรมนั้นจะสิ้นสุดลงในชาตินี้ ไม่ต้องไปชดใช้ชาติไหน
อาจารย์ถามจริงๆ คนอื่นมันไม่มารังแก คนอื่นมันไม่มาทำร้าย แต่ทำไมมันทำร้ายเรา คนอื่นมันไม่โกง คนอื่นมันไม่ด่า แต่ทำไมมาด่าเรา ถ้าศิษย์ไม่อยากให้เวรมันยืดเยื้อ และศิษย์อยากจบเวรจบกรรมไม่อยากเกี่ยวกรรมกันอีก จงดีใจที่เขาได้ช่วยชำระล้างและปล่อยความยึดมั่นถือมั่นตัวตนให้มันหมดสิ้น ไม่ดีหรือ (ดี) ในเมื่อศิษย์บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่ามนุษย์เกิดมาทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นตัวตน ฉะนั้นถ้าใครมาทำให้เรายึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้วได้ปล่อยวาง น่าจะขอบคุณเขา ถูกไหม (ถูก) แม้เขาจะตีเรา ตบเรา ด่าเราก็ตาม เพราะทำให้เราได้ปล่อยความเป็นตัวตน ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนอาจารย์ถาม อยากอยู่ให้เขารัก หรืออยากอยู่ให้เขาเกลียด (อยากอยู่ให้เขารัก) อยากอยู่อย่างมีมิตร หรืออยากอยู่อย่างมีศัตรู (อย่างมีมิตร) ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามิตรทำเราเจ็บยิ่งกว่าอะไร เราจะยังมีมิตรหรือเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู (มีมิตร) จำคำอาจารย์ไว้นะ ถ้าเมื่อไรที่เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นคน ด้วยสติและกล้ายอมรับหยัดยืนอยู่ในความดีงาม และหวังดีไม่สร้างเวรสร้างกรรมจบเวรจบกรรม ดีแล้วที่เขาได้ทำให้เราชดใช้ ดีแล้วที่เขาได้ทำให้เราได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น จริงไหม (จริง) โดนด่า โดนเขาตีก็ไม่ (โกรธ) ได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์ขอกระดาษหนึ่งแผ่น)
แต่บางครั้งการอยู่ในโลกนี้ก็มีเรื่องราวหลายเรื่อง บางครั้งศิษย์ก็พยายามจะไม่โกรธ จะให้อภัย จะให้อดทน ไม่เกลียดเขาใช่ไหม (ใช่) ศิษย์หลายคนอาจคิดว่า โกรธแล้วผิดไหม เกลียดคนแล้วบาปตรงไหน ในโลกนี้การมีอารมณ์บ้างไม่ใช่เรื่องผิดไม่ใช่หรือ อาจารย์ถามว่าเวลาคนด่าเรา เราโกรธไหม ศิษย์ก็พยายามไม่โกรธ แล้วก็พยายามไม่เกลียดใช่ไหม (ใช่) ในโลกนี้คนตายเพราะความทุกข์ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ในโลกนี้คนตายเพราะความสูญเสียใช่ไหม (ไม่ใช่) แต่คนทุกข์เพราะต้องรู้สึกสูญเสียใช่ไหม (ใช่) ในโลกนี้จริงๆ แล้วคนไม่ได้ตายเพราะความทุกข์ คนไม่ได้เจ็บ คนไม่ได้ทุกข์เพราะความสูญเสีย แต่ที่เราทุกข์เพราะอะไรรู้ไหม (ไม่รู้)
ศิษย์เอ๋ย มนุษย์ไม่ได้ตายเพราะความทุกข์ แต่มนุษย์ตายเพราะไม่ยอมรับความทุกข์ ความทุกข์ไม่ได้ทำให้มนุษย์ตาย แต่ใจที่ไม่ยอมรับว่าต้องทุกข์ ทำให้คนนั้นตายทั้งเป็น เขาด่าศิษย์ทำให้ศิษย์เจ็บไหม (ไม่เจ็บ) ไม่เจ็บเท่ากับเกลียดที่ด่าเราถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นศิษย์ต้องหาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอ เพราะถ้าศิษย์หาเหตุแห่งทุกข์ไม่เจอ ศิษย์จะแก้ที่ต้นเหตุไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ภรรยารักสามีไหม (รัก) สามีรักภรรยาไหม (รัก) แต่เมื่อไหร่ที่สามีไปมีชู้ เกลียดไหม (เกลียด) เกลียดสามีหรือเกลียดความเจ้าชู้ (เกลียดความเจ้าชู้) ฉะนั้นเวลาด่าด่าให้ถูก
สามีไปมีใหม่เพราะศิษย์เกลียดเขาแล้ว แม่ไม่รักพ่อแล้ว พ่อไปหาใหม่ ศิษย์รักลูกไหม รัก แต่ประพฤติไม่ดี ศิษย์เกลียดอะไร เกลียดลูกหรือเกลียดที่เขาประพฤติไม่ดี จะสอนก็ต้องสอนให้ถูกว่าเกลียดอะไร ไม่อย่างนั้นลูกจะเข้าใจว่าแม่ไม่รักผมแล้ว ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า อารมณ์ โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดคำนึงของการมีตัวตน เมื่อไหร่ความมีตัวตนไปรวมอยู่กับความทุกข์ ไปรวมอยู่กับสิ่งที่เราเรียกว่า คน หรืออารมณ์อะไรก็ตามมันจะทำให้เราเจ็บปวดยิ่งกว่า เหมือนการที่คนเราโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา การสูญเสียและพลัดพรากก็เป็นธรรมดา สามีไปมีใหม่ก็ธรรมดา ลูกไม่ดีก็เป็นธรรมดาของทุกชีวิต ใครๆ ก็เจอ แต่ที่มันไม่ธรรมดา เพราะเราเอาความเกลียดไปใส่ เอาความรับไม่ได้ไปใส่ มันก็เลยจากเป็นจริงที่ธรรมดา เป็นไม่ธรรมดา
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงสองคน ออกมายืนหน้าชั้น)
สมมติคนสองคน ถ้าอาจารย์เห็นคนนี้ก็ธรรมดา คนนี้ก็ธรรมดา แต่คนธรรมดาจะเริ่มไม่ธรรมดา มีผลต่อจิตใจ และมีผลต่อความคิค ต่อการอยู่ร่วมของเราก็ต่อเมื่อเรามีอารมณ์ ถ้ารักเขาก็เริ่มไม่ธรรมดา เกลียดเขาก็เริ่มไม่ธรรมดา ฉะนั้นเมื่อความเป็นธรรมดาแห่งชีวิต ศิษย์เอาอารมณ์แห่งตัวตนไปแบ่งไปชอบ ไปชัง สิ่งที่มันเป็นธรรมดาที่เรายอมรับ มันกลับเป็นเรื่องไม่ธรรมดา รักมากๆ ก็เลยกลายเป็นเจ็บ เกลียดมากๆ ก็เลยกลายเป็นทุกข์ หลงมากๆ ก็เลยกลายเป็นความผิดพลาด
แต่ถ้าเมื่อเราอยู่กับใคร คนนี้ก็ธรรมดา คนนี้ก็ธรรมดา เราจะทุกข์ ผิดพลาด เจ็บปวด กับใครไหม เห็นใครก็อดไม่ได้ รักหน่อยดีไหม ถ้าไม่รักเป็นอย่างไร ฉะนั้นมนุษย์ทุกข์เพราะอารมณ์ อารมณ์ไปยึดถือ เลยทำให้เรื่องธรรมดาที่เราควรจะเข้าใจ เลยไม่เข้าใจ เมื่อมีรักก็มีทุกข์ เริ่มเจ็บเริ่มทุกข์ รู้สึกว่าอยู่ยาก แล้วศิษย์รู้ไหม ต้นเหตุแห่งรัก ก็คือรากเหง้าแห่งความทุกข์ทั้งมวล มีทุกข์ เจ็บปวด หลง และผิดพลาด มีกรรม มีวิบากกรรม แต่ถ้าอะไรในโลก เราก็ธรรมดา อะไรเราก็เฉยๆ เราจะเจ็บอะไรไหม จะทุกข์อะไรไหม (ไม่ทุกข์)
เพราะรักจึงรู้จักว่าผิดไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อข้องเกี่ยว ไม่ยึดมั่นได้ไหม (ได้) แค่อยู่ร่วมกันและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ยากไหม (ไม่ยาก) และอย่าไปยึดมั่น อย่าไปคาดหวังเพราะทุกคนเป็นดังหวังได้ไหม (ไม่ได้) จำไว้นะศิษย์เอ๋ย เราเปลี่ยนใครไม่ได้ เราแก้ใครไม่ได้ เราโทษฟ้าโทษดินไม่ได้ เราด่าผู้คนก็ไม่ได้ แต่หน้าที่ที่เราทำได้ เรียกว่า ปฏิบัติธรรม คือ หันกลับมารักษาใจตัวเอง ถ้าสิ่งที่ศิษย์เคยคิดว่ามันธรรมดาแล้วมันเปลี่ยนเป็นไม่ธรรมดา และมันทำให้เราเริ่มเจ็บปวด หน้าที่เราไม่ใช่ไปด่าเขา ไปแช่งชักหักกระดูกเขา ไปขับไล่เขา ไปสร้างกรรมกับเขา แต่หน้าที่เรา คือ ยอมรับความจริงและอยู่ร่วมกับเขาอย่างคนที่กล้า ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ยอมรับ แม้ภรรยาจะขี้บ่น แม้สามีจะชอบเที่ยว แม้แต่ลูกที่ชอบหนีเที่ยวใช่ไหม (ใช่) ฟังอาจารย์เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ศิษย์เคยเจอแบบนี้ไหม อาจารย์อยากทำอะไรให้ศิษย์ดู สมมติว่าศิษย์นั่งอยู่อย่างนี้แล้วอาจารย์สั่งน้ำมูกแล้วอาจารย์ก็ทิ้งบนพื้น ศิษย์รู้สึกอย่างไร บอกว่าอาจารย์มารยาทไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์กำลังก่อวิบากกรรมทางวจีกรรมนะ จริงไหม (จริง) มนุษย์เราเป็นอย่างนี้พอเห็นใครผิด พอเห็นใครพลาด เราจ้องจับผิดใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เคยได้ยินไหมเกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น เคยไหม (เคย) ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นแบบนั้นใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเกลียดคนมักง่าย เราก็จะเจอคนมักง่ายใช่หรือไม่ (ใช่) วิธีแก้ทำอย่างไรศิษย์ (เปลี่ยนวิธีคิด) ไม่ใช่เฉยๆ ไม่ใช่ไปบอกคนอื่นๆ ว่าคนทิ้งนิสัยไม่ดีเลย นี่เรียกว่าไม่ยอมจบกรรมต่อเขา เขาทำผิดแล้วเรายังไปร่วมผิดกรรมกับเขาด้วย เราเป็นแบบนี้ไหม (ไม่เป็น) เวลาดูอะไรในโทรศัพท์ ดูอะไรในยูทูป แล้วก็ด่าเขาเลยว่านิสัยไม่ดี ใช้ไม่ได้ แล้วก็พิมพ์ด่าเขาเลย ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์กำลังสร้างบาป วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือ ถ้าเราแก้อะไรไม่ได้ ให้เฉย อย่าร่วมบาปร่วมกรรม หรือถ้าเราแก้ได้คือ เปลี่ยนจากการวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นเก็บ แล้วคนที่เขามองเห็นเขาจะชื่นชมศิษย์ แต่มนุษย์เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ พอใครไม่ดีก็ต่อว่า พอใครผิดก็ต่อว่า ฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติธรรมไม่ใช่มีหน้าที่ไปเก็บขี้ของใคร แต่เราปฏิบัติธรรมเพื่อเช็ดขี้แล้วเอาไปทิ้ง ได้ไหม (ได้)
ศิษย์อาจจะถามอาจารย์ว่าทำไมหนูต้องมีหน้าที่เช็ดขี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก) ออกจากการกระทำก็คือนิสัยที่เป็นขี้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเขาทำไม่ดี เราก็ช่วยเช็ด เราก็ช่วยล้าง เราก็คือผู้ที่กล้าปฏิบัติธรรมและกล้าที่จะแสดงออกให้โลกรู้ว่าคนดีๆ ก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่คนที่คอยจะเหยียบซ้ำเติมคนที่ทำผิด ใช่ไหม (ใช่) แต่ทำอะไรอย่าทิ้งขี้ให้คนอื่นเขาต้องตามเก็บนะศิษย์
แล้วใครที่มาวันนี้ กินอาหารแล้วรู้จักล้างจานบ้าง มีไหม (เขาบอกว่าไม่ต้องล้าง) แล้วขอบคุณเขาบ้าง มีไหม (ขอบคุณแม่ครัวแล้ว) แล้วขอบคุณคนข้างๆ บ้างไหม ฉะนั้นถ้าอยากให้สังคมมีสุข นอกจากเราไม่สร้างขี้ให้เป็นภาระใครแล้ว เรายังต้องรู้จักมีน้ำใจ กล้าที่จะเก็บขี้ของผู้อื่น ไม่ใช่เอาขี้ของผู้อื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) จำไว้นะศิษย์ เมื่อไรที่ศิษย์หยิบสิ่งที่เขาเคยทำแล้วมาวิพากษ์วิจารณ์ นั่นคือศิษย์กำลังเก็บขี้ไว้ในใจและกำลังแบ่งขี้ให้คนอื่นรับรู้ ซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติธรรมที่ดี การปฏิบัติธรรมที่ดีคือเก็บขี้แล้วเอาขี้ทิ้งไป ไม่เช่นนั้นแล้วร่างกายเราจะเป็น (ขี้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนยืนและนั่ง และแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆ แล้วทำตามที่พระอาจารย์บอก)
การเรียนรู้คือการเข้าใจในความเป็นจริง การเข้าใจอย่างมีสติ และยอมรับความจริงด้วยหัวใจที่กล้าหาญและเข้มแข็ง
มีสติหน่อย อยู่ในโลกนี้ต้องใจเย็น เวลาใครผิดอย่าไปซ้ำ เวลาเราผิดจะโดนเหมือนกัน คนเราในโลกทุกคนล้วนรักความดี ไม่อยากทำผิด เมื่อมันผิดไปแล้ว อาจารย์ขอบอกบุญนะศิษย์ อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมใครได้ไหม จงเรียนรู้ที่จะเข้าใจด้วยสติและยอมรับความจริง และเมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีใครในโลกที่เรียกว่าเกลียด และศิษย์จะอยู่ในโลกนี้ไม่มีใครที่ศิษย์จะรักมากมาย เพราะไม่มีใครดีแท้ และไม่มีใครเลวจริง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ มีโลภ โกรธ หลง การยึดมั่นถือมั่นตัวตนและมีอารมณ์ร่วม เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ และวิบากกรรมแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น อาจารย์ถามหน่อยมีใครบ้างอยากได้แล้วรู้พอ อยากได้แล้วไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น อยากได้แล้วไม่ผิดศีลผิดธรรม ตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อย (ไม่มี) อย่างนั้นแล้วอยากได้อีกไหม (ไม่อยาก)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าไม่อยากให้โลภ เพราะเวลาเราโลภแล้วจะหลง พอหลงแล้วก็จะทำอะไรได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นถูกหรือผิดและยังเป็นต้นเหตุแห่งวิบากกรรมและการเวียนว่ายที่ไม่จบสิ้น แล้วศิษย์ควรหรือที่จะมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ฉะนั้นก่อนจะมีความโลภ โกรธ หลงหรืออยากได้อะไร คิดให้ดีๆ เหมือนที่อาจารย์ถามว่าคนเรามีทุกข์หนึ่งสิ่งพอไหม (พอ) อยากได้ทุกข์เพิ่มอีกไหม (ไม่อยาก) อย่างนั้นมีอะไรในโลกที่เกิด แก่ และเจ็บแล้วไม่ทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักแล้วไม่ทุกข์ อยู่กับสิ่งที่รักแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) ฉะนั้นยอดของทุกข์ทั้งมวลล้วนเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในสังขารตน ยึดไหม ทุกข์ไหม เอาอีกไหม (ไม่เอา) อย่างนั้นแสดงว่าศิษย์ไม่อยากแต่งงานแน่นอน ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่) เมื่อสักครู่ตอบว่าทุกข์สิ่งเดียวก็พอ แต่ถามว่าแต่งงานไหม ตอบว่าแต่ง
พุทธะสอนไว้ว่า “ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ เป็นยอดของทุกข์ทั้งมวลซึ่งเกิดจากการมีตัวตนและยึดมั่นในสังขารตน” แล้วเรายังอยากทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก) แล้วคนที่อยู่ข้างๆ คือใครหนอ แล้วคนที่รักหนักหนาเขาคือใครหนอ แล้วการอยากได้พัดนี้เป็นทุกข์ไหม การอยากได้เงินเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์) อยากได้อีกไหม (อยาก) อาจารย์ถามนะถ้าอยากได้เงินคนอื่น แล้วไม่มีทำนองคลองธรรม แล้วไม่มีคุณธรรมความเป็นคน
(พระอาจารย์เมตตาแสดงเหตุการณ์สมมติกับผู้ดำเนินการฝ่ายชายในชั้น)
“เอาเงินมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องลีลา นาฬิกาด้วย มีอะไรเอามาให้หมด เสื้อด้วย โทรศัพท์มือถือไม่เอาเพราะเป็นตัวต้นเหตุแห่งทุกข์เลย”
เชื่อไหมอยู่ดีไม่ว่าดี เมื่อดูเหตุการณ์ พอดูเสร็จแล้วก็เป็นทุกข์ แล้วก็ต่อว่าเขานิสัยไม่ดี เขาชั่ว เขาเลว ด่าเขาเลย เรียกว่าเป็นการสร้างบาปที่ไม่มีวันจำกัด ถ้าศิษย์เข้าไปดูด้วยศิษย์ก็ไปร่วมบาปกับเขาด้วย ร่วมแช่งชักหักกระดูกกับเขาด้วย ฉะนั้นถ้าสิ่งไม่ดีอยู่ถึงร้อยปี ศิษย์ก็บาปร้อยปี ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถามจริงๆ เวลาศิษย์มีความอยาก ศิษย์นึกถึงความถูกต้องชอบธรรมไหม (นึก) ถ้ารู้ว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และสิ่งที่พยายามอยากยึดและอยากมีมันนำมาซึ่งความทุกข์ควรหรือที่เราจะมีมัน พอใจในสิ่งที่เรามีไม่ดีหรือ ยินดีที่มีสุขแค่นี้ไม่พอหรือ (พอ) ถ้าเรามีสุขเอง ไม่ต้องมีใคร แค่นี้ก็เป็นสุข ฉะนั้นที่เรามีเพิ่มหรือขาดหาย เราก็ไม่ทุกข์ ถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์เข้าใจความจริงแห่งทุกข์อย่างถ่องแท้ว่ามันไม่มีอยู่ที่ไหน แต่มันอยู่ที่เรา และอยู่กับเรา ถ้าเรากล้ายอมรับและเข้าใจ เราก็ไม่มีทุกข์เพิ่ม แต่มนุษย์ยังไม่เข้าใจและหามาเพิ่ม แล้วก็สร้างกรรมไม่จบสิ้น แล้วยังจะหาอีกไหม ฉะนั้นแปลว่าอาจารย์บอกให้กลับไปอะไรก็ไม่ต้องทำใช่ไหม ไม่ใช่นะ แต่เพียงให้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จะได้มาก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อสนองความอยาก กินก็ต้องอยาก กินเพื่ออยู่ไม่ได้หรือ (ได้) แล้วอยู่เพื่อกินได้ไหม (ไม่ได้) มีสตินะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นมาช่วยวงพระโอวาทซ้อน ผู้ชาย ๒๔ คน ผู้หญิง ๖๔ คน)
ส่วนคนที่ไม่ได้ออกมาวง อาจารย์ให้โอกาส ตอบคำถามถ้าตอบได้อาจารย์ให้ผลไม้เป็นรางวัล เราเกิดเป็นคนเราควรมีคุณธรรมอะไรต่อกันในการประพฤติปฏิบัติอยู่ร่วมกัน ตอบได้อาจารย์มีรางวัลให้
(มีความเมตตา) เมตตาแปลว่าถ้าเกิดอาจารย์ให้แล้วขอคืนได้ไหม (ได้) ใช้คุณธรรมอะไรในการประพฤติปฏิบัติร่วมกันมนุษย์มักอยู่ร่วมกัน ด้วยอารมณ์ ด้วยกิเลส ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเราอยากฝึกฝนปฏิบัติธรรมแล้วอยู่ด้วยกัน อย่างไม่มีกรรม ไม่มีการเบียดเบียนกัน ฉะนั้นต้องปฏิบัติคุณธรรมต่อกันใช่ไหม (ใช่) คุณธรรมอะไรที่เราประพฤติปฏิบัติต่อกันมีอะไรอีก (การให้อภัยกัน) ศิษย์เอยถ้ายังรู้สึกว่ายังต้องพยายามให้อภัยแปลว่าลึกๆ ยังแอบโกรธเล็กๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดว่าเราเข้าใจจะไม่มีคำว่าต้องอภัย แต่ถ้าเมื่อไหร่เรายังรู้สึกว่าต้องอภัยแปลว่าลึกๆ เรายังไม่พอใจจริงไหม อาจารย์ให้แง่คิดนะ
(ยอมรับความเป็นจริง) เรียนรู้และการยอมรับยังไม่เป็นคุณธรรม แต่เป็นการฝึกใจเรา มีอะไรอีก (เมตตา) ก็ยังมีความซื่อตรง จิตที่ซื่อตรงเป็นจิตที่ประเสริฐ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่มนุษย์มักปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความไม่ซื่อตรง (สัจจะ) คนที่พูดคำไหนคำนั้น เป็นคนมีวาจาศักดิ์สิทธิ์คำพูดน่าเชื่อถือ ทำให้ได้นะ ดังนั้นก่อนพูดต้องรู้จักคิด ก่อนทำก็ต้องนึกถึงคำพูด (ความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เพื่อน ครอบครัว) ซื่อสัตย์ในการค้าขายด้วยนะ ไม่โกหกนะ ทำให้ได้นะ (ความเพียร) ทำอะไรต้องมีความเพียร ปรบมือให้ผู้อายุน้อยคนนี้ด้วยมีความเพียรอยู่จนจบนะ
(ความสามัคคี) แล้วเราเป็นคนคิดที่แบบสามัคคีหรือแตกแยก ฉะนั้นเวลาทำอะไรอยู่กับใครจงรู้จักยอมและพร้อมร่วมมือกับเขา ไม่ใช่เอาเปรียบ คิดคดโกง คิดกินแรงใช่ไหม เป็นหมดเลยหรือ อาจารย์ว่าเปลี่ยนจากความสามัคคีเป็นความจริงใจทำอะไรกับใครก็ต้องมีความจริงใจ เพราะถ้าเราทำอะไรจากความจริงใจกับคนในโลก ตัวเราต้องจริงใจก่อน (จริงใจที่บริสุทธิ์จากใจ) จำไว้นะศิษย์ คนที่ใจบริสุทธิ์เห็นใครได้ดีก็อนุโมทนาบุญ เห็นใครตกทุกข์ได้ยากก็มีจิตใจช่วยเหลือ ถ้าช่วยไม่ได้ก็แผ่เมตตาจิต นี่แหละเรียกว่าใจบริสุทธิ์ทำให้ได้นะ ฉะนั้นถ้าคนที่ใจบริสุทธิ์จะเบียดเบียนชีวิตใครไหม (ไม่) อย่างนั้นแปลว่ายังกินเนื้อสัตว์ไหม (มีบ้างครับ) พูดได้ก็ต้องทำให้ได้นะ ฝึกได้แล้วนะ
(ไม่คิดคาดหวังผลตอบแทนอะไรสักอย่าง) ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม เราเกิดมามีกรรมนะใช่ไหม (ใช่) ถ้าอาจารย์จะบอกบุญศิษย์ สักอย่างหนึ่ง ศิษย์จะทำได้ไหม (ได้) หลังจากนี้ไปอย่าเบียดเบียน อย่ากินสัตว์ใหญ่ พยายามรักษาถือศีล ทานมังสวิรัติหรือทานเจให้ได้ เพื่อจะได้ชดใช้บาปกรรมที่ศิษย์เคยทำไว้ดีไหม (ดี) เพราะเป็นการตัดกรรมที่เร็วที่สุด คือไม่เบียดเบียนชีวิตเวรกรรมใครอีก ฝึกเริ่มจากไม่กินสัตว์ใหญ่ก่อน
(การให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น) การให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือเรียกว่าพวกที่ปิดทองหลังพระ ทำโดยไม่หวังผล ทำแม้โดนคนบ่นก็ไม่ท้อแท้ ขอให้มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม รู้จักอุทิศเสียสละเพื่อผู้คนเป็นหัวใจที่ประเสริฐนะ พูดได้ทำให้ได้
(จะปฏิบัติบำเพ็ญเพียรให้เป็นคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น) ไม่ยึดมั่นถือมั่นแค่นั้นหรือ วิธีที่ดีที่สุดคือ รู้จักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรมความดีงามกับพ่อแม่กตัญญู เพื่อนซื่อตรงจริงใจ หน้าที่รับผิดชอบไม่โกง ไม่เอาเปรียบใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นพี่รู้จักรักน้อง ให้น้อง เป็นน้องรู้จักให้เกียรติพี่ เป็นอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ต้องรู้จักมีเมตตาต่อผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติได้ดีแล้ว แต่ทางที่ดีเบียดเบียนสัตว์ให้น้อยหน่อยนะศิษย์
(ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่) มีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แปลว่ามีอะไรก็จะรู้จัก (การให้) มีอะไรก็จะรู้จักแบ่งปันไม่ใช่เฉพาะคนในบ้าน แต่ต้องรู้จักแบ่งปันที่จะให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) อยากให้คนอื่นเคารพเรา อยากให้คนอื่นรักเรา เราเคยให้ความเคารพรักคนอื่นอย่างที่สุดหรือยัง (ให้แล้ว) แน่ใจหรือ (ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรคิดครอบครอง ไม่คิดหวังในสิ่งๆ ใด ทำตัวให้ช่วยเหลือผู้คนอื่นให้มากที่สุด ให้ช่วยเหลือคนที่ยากลำบาก หรือคนตกทุกข์ได้ยาก) ง่ายๆ มีน้ำใจ ไม่นิ่งดูดายคนที่เดือดร้อนใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เป็นผู้ชายอกผายไหล่ผึ่ง ฉะนั้นต้องรู้จักกล้าหาญ นี่คือคุณธรรมของการเป็นบุรุษ กล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง (กล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าทำ) ผิดก็กล้า (รับ) ถูกต้องกล้า (ทำ) ถ้าคนกล้าหาญได้ผลไม้ไป กล้าไหมที่จะไม่เก็บผลไม้นี้ไว้ให้ตัวเอง แต่เอาไปให้ใครก็ได้กล้าหาญให้สมเป็นชายชาติหน่อย เกิดมาเป็นบุรุษ ได้ไหม (ได้) ใครอยากได้ เอาไปให้เขาเลย อยากร่วมบุญกับเขาไหม (อยาก) ฉะนั้นใครทำดีเราชื่นชมยินดี เราก็ได้ร่วมบุญกับเขานะ ถูกไหม (ถูก) เอาอีกไหม (เอา) ต้องกล้าในสิ่งที่ถูก เอาไปแล้วไม่ได้ผิดอะไรทำไมไม่เอาล่ะ คราวนี้อาจารย์เปลี่ยนขอองุ่นเอามาทั้งพวงเลย คราวนี้แบ่งได้เยอะเลย ฉะนั้นใครอยากได้มาขอเขานะ เพราะเขากล้าที่จะให้ ปรบมือให้เขาหน่อย
(เป็นคนดีและทำความดี) แต่ทำดีต้องไม่หวังผล ทำดีต้องไม่ท้อแท้ ทำดีต้อง (อดทน ทำดีต้องมีสติ) ทำดีต้องมีสติ ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะมีสติแล้วต้องกล้ายอมรับความจริง แล้วศิษย์จะไม่โกรธ ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมอาจารย์ว่าเขาก็ไม่โกรธ พอไม่โกรธแล้วคนที่น่าอายที่สุดคืออาจารย์ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาโกรธคนที่น่าอายและเป็นคนที่ผิดจะกลายเป็นเขา จริงนะศิษย์ สมมติอาจารย์ว่าเขาไอ้หัวล้าน ถ้าเขานิ่งๆ แล้วเขายิ้ม อาจารย์คือคนที่ไม่ดีทันที ถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าเกิดเขาไม่นิ่งแล้วเขาด่ากลับเขาว่าอาจารย์กลับ คนที่ผิดตอนนี้จะกลายเป็นคนที่ถูกและน่าสงสาร แล้วคนที่ถูกจะกลายเป็นคนผิดที่ต้องโดนรับไปโดยปริยาย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเวลาเจอใครว่าเจอใครทำร้าย จงรู้จักยื่นคุณธรรมความถูกต้อง รักษาคุณธรรมความถูกต้อง แล้วคนถูกจะเป็นคนถูก แล้วคนถูกจะเป็นคนดีที่แท้จริง แต่ถ้าคนถูกไม่สามารถรักษาอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ไม่สามารถมีสติยั้งคิดได้ คนถูกจะกลายเป็นคนผิด คนผิดจะกลายเป็นคนที่น่าสงสารทันที ใช่ไหม (ใช่)
(ช่วยเหลือไม่เบียดเบียนผู้อื่น) ไม่เบียดเบียนด้วยกาย วาจาใจ เคยเห็นคนด่าคนด้วยสีหน้าและท่าทางไหม แล้วศิษย์เคยทำไหม (สายตา) ด้วยสายตาก็ไม่ได้นะ ถ้าเราอยากอยู่แบบไม่มีเวรมีกรรม ยิ้มเข้าไว้นะ อย่าด่าคนด้วยตานะ (เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่) แปลว่าถ้ามีคนมาขอจะแบ่งให้ไหม อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่รู้จักรับและรู้จักให้ จึงเรียกว่าฝึกบำเพ็ญ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าบำเพ็ญ รับจากอาจารย์แล้วก็ให้ได้ ศิษย์กินเข้าไปแล้วอิ่ม และก็ต้องถ่ายออกไป แต่การที่ได้แล้วแบ่งปันเพื่อผู้อื่นมันอิ่มอกอิ่มใจ แล้วมันอิ่มนาน ฉะนั้นถ้าได้ไปแล้วได้ให้ต่อ จะอิ่มท้องและอิ่มนาน เอาไหม มีใครอยากตอบอาจารย์ไหม (เห็นอกเห็นใจกัน) ทำให้ได้นะ ถึงว่าเห็นใจตัวเองก่อนก็ไม่ถูกต้องนะ
(มีความอดทน สามัคคี มีน้ำใจ เห็นใจกัน) ตอบได้ดี เพราะความอดทนเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวลนะ ฉะนั้นจงประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีศีลมีธรรม ทำบุญไม่หวังผล สร้างกุศลเพื่อสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะศิษย์
(ทำบุญทำทาน) คือคุณธรรมที่ศิษย์อยากจะที่จะทำ เป็นคนที่มีใจบุญสุนทาน รู้จักให้ ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์อยากให้ศิษย์รักอาจารย์ด้วยการนำธรรมะไปประพฤติปฏิบัติ ยิ่งอายุมากแล้วพูดให้น้อย ยิ้มให้เยอะ คิดให้ดี ทำให้ดีก็ประเสริฐที่สุดแล้ว
เมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่าเราจะใช้คุณธรรมอะไรในการอยู่ร่วมกับผู้คนแล้วเกิดความสุข ไม่เกิดเป็นความทุกข์ เพราะมนุษย์มักจะอยู่ร่วมกันด้วยอารมณ์ กิเลส นิสัย จึงหนีไม่พ้นวิบากกรรม ความทุกข์ ความเจ็บปวด แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยคุณธรรม ด้วยความถูกต้องหรือความดีงาม
(อยู่ด้วยความดี รู้รักสามัคคีก็เป็นประโยชน์ต่อเราและต่อเพื่อนด้วย) คุณธรรมรู้รักสามัคคีเป็นคุณธรรมหนึ่งของความเป็นคนในการอยู่ร่วมกัน ในประเทศชาติ มีความสามัคคี กลมเกลียวกัน ใครทำอะไรก็ว่าตามนั้น แต่คุณธรรมที่ดีที่สุดของความเป็นคนคือรู้จักยอม
(อยากให้มากกว่าอยากจะได้) อาจารย์บอกให้นะ คนในโลกทำกันแบบค้าขายจริงไหม รักฉันแค่นี้ ฉันก็รักได้แค่นี้ พูดได้ก็ทำได้ ถ้าอยากบำเพ็ญธรรมด้วยกัน อย่าปฏิบัติกับคนเหมือนกับการค้าขาย ให้หวังผลเรียกว่าค้าขาย ถ้าให้มากกว่า เขาให้น้อยกว่ารู้สึกว่าไม่ยอม เรียกว่าค้าขาย ไม่ได้เรียกว่าการอยู่ร่วมกัน แต่มนุษย์ชอบเป็นแบบนี้ ฉันทำมากกว่า เธอทำน้อยกว่า ฉันไม่ยอม อย่าเผลอมีความคิดนี้ในใจนะ เพราะนิสัยความเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดที่ต้องเรียนรู้คือ ไม่เป็นคนที่ยอม ไม่เป็นคนที่แพ้ และไม่เป็นคนที่ให้ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจธรรมของความเป็นคน ศิษย์ต้องกล้ายอม กล้าให้ กล้าแพ้ แล้วศิษย์จะได้ใจของมวลชน แต่ถ้ายังไม่กล้ายอม ไม่กล้าแพ้ และไม่กล้าให้ ศิษย์ก็จะเป็นผู้ที่จองเวรและมีวิบากกรรมไม่จบสิ้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อน “มีสติ รู้ทัน ยั้งคิด”)
ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์จะอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าอย่างไร มีสติ รู้ทันไหม ยั้งคิดก่อนไหม ถ้ามีสติ รู้ทันยั้งคิด อารมณ์ก็จะไม่มาครอบงำจิตใจให้เราทำผิดพลาดได้
ฉะนั้นมีโอกาสลองเอาไปอ่านดูนะ ข้างในยังมีความหมายอีก แต่อาจารย์ต้องขอบคุณศิษย์ ที่ยอมเสียสละเวลามาฟังธรรม เพื่อน้อมนำแก้ไขเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วทำให้คนอื่นต้องทุกข์ ฉะนั้นถ้าเรารู้จักทางพ้นทุกข์ เราก็สามารถนำทางสว่างให้คนอื่นได้พ้นทุกข์ แต่ถ้าเรายังเป็นทุกข์อยู่ เราก็ทำให้คนข้างๆ เป็นทุกข์ด้วย จริงไหม (จริง) เหมือนนั่งตรงนี้ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ (เป็นสุข) ศิษย์เอ๋ยถ้ารู้จักวางใจเป็นเปลี่ยนใจได้ อยู่ที่ไหนเราก็สามารถแปรเปลี่ยนให้เป็นสุขได้ แต่ถ้าวางใจไม่เป็น เปลี่ยนใจตัวเองไม่ได้แล้วหวังจะเปลี่ยนคนอื่นศิษย์ก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ฉะนั้นอาจารย์สอนศิษย์อีกอย่างหนึ่งนะ เกิดเป็นคนจำไว้เลยนะศิษย์ อย่าคิดโทษฟ้า อย่าคิดโทษดิน อย่าว่าผู้คน เกิดเป็นคนรู้จักกล้าที่จะเรียนรู้เข้าใจยอมรับความจริงด้วยสติ และยึดมั่นความถูกต้องดีงาม แม้การกระทำความดีงามนั้นจะทำให้เราต้องมีน้ำตานองหน้า แต่จงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วศิษย์จะแปรเปลี่ยนจากกรรมให้กลายเป็นสิ้นกรรมได้ เชื่ออาจารย์นะ ดีไหม (ดี) เมื่อใดที่ศิษย์รู้จักรักษาใจ ต่อไปใจก็จะรู้รักษาชีวิตศิษย์ เมื่อใดที่ศิษย์รู้จักเข้าใจธรรม เมื่อนั้นล่ะธรรมก็จะคุ้มครองศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกอีกอย่างหนึ่งว่า
“นิ่งนิ่งก่อนวู่วามไป เย็นไว้ก่อนยากเกินแก้
มีสติรู้ทันรู้แปร ยอมแต่ไม่แพ้ใจตน”
ยากไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากนะ แต่เสียดายที่คนรู้ไม่ค่อยยอมตอบอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยนะว่าในประโยคที่อาจารย์ให้นี้ มีวรรคไหนที่ศิษย์ไม่เข้าใจบ้างไหม
อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์วงมั่วๆ นะ มันมีความหมายนะ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม สิ่งที่สำคัญคือไม่ได้คิดไปเปลี่ยนผู้อื่น แต่รู้เท่าทันและรักษาใจนี้ให้ปกติ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าใจเราไม่ปกติเราหลงไปมีกิเลส ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม หนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ถ้าใจเราปกติรักษาใจเราอย่างซื่อตรง ไม่มีอารมณ์ สิ่งที่เกิดมันก็จบ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ประโยคนี้อาจารย์อยากถามว่ามีคนเข้าใจไหม
“ไม่ให้ข้ามค่าไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ”
เข้าใจสองวรรคนี้ไหม แต่สิ่งที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและจิตใจ ถ้าเรามองเห็นเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต
อาจารย์อยากจะพูดให้ฟังว่าคนเราอยู่ในโลกนี้ อยากจะมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก) ศิษย์ก็ไม่อยากใช่หรือไม่ ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่าการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล และทำอย่างไรล่ะที่ศิษย์จะไม่ต้องยึดมั่นในตัวตนและอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างผู้ไม่มีทุกข์ นั่นก็คือ (ความว่าง) ใช่หรือ ศิษย์เคยได้ยินคำว่า ถ้าเข้าใจไม่โกรธ ถ้าเข้าใจไม่เกลียด ถ้าเข้าใจไม่อยาก ถ้าเข้าใจไม่หลง แล้วศิษย์เคยเข้าใจ ตัวเองไหม ศิษย์เคยเห็นตัวเองชัดเจนไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเข้าใจกันไม่เกลียดกัน ถ้าเข้าใจกันไม่ด่ากัน ถ้าเข้าใจกันเราคงไม่ทำให้ใครทุกข์กับเราและไม่ทำให้ใครทุกข์กับใครใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่าศิษย์เคยเข้าใจอะไรไหม ถ้าศิษย์เข้าใจตัวเองแล้วยังสะท้อนเข้าใจผู้อื่นไหมเคยไหม (เคย) เข้าใจตัวเองแล้วสามารถสะท้อนเข้าใจผู้อื่นได้ เห็นใครก็ด่าไม่ลงเพราะมันเข้าใจตัวเอง ศิษย์เคยทำผิดไหม (เคย) เวลาผิดมากๆ ศิษย์อยากได้คนด่าหรืออยากได้คนเข้าใจ (คนเข้าใจ) เวลาเขาผิดศิษย์ด่าหรือศิษย์เข้าใจ (เข้าใจ)
ฉะนั้นคำว่า “เข้าใจ” คือ เมื่อเวลาเขาผิดไม่ต้องให้ค่าเขาสูง บางทีเขาแค่นี้ ไม่ต้องปรุงแต่งเขาดีเลิศ เพราะเขาได้แค่นี้ ยอมรับที่เขาเป็นแค่นี้ มาก็เฉย มีก็รู้ แต่บางทีมนุษย์ไม่ใช่ เธอต้องดีกว่านี้ ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราทุกข์ไหม ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกนี้ ให้รู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ แล้วกล้ายอมรับความจริง เขาได้แค่นี้ ก็ดีแล้ว แล้วศิษย์จะด่าเขาเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม จะเกลียดเขาเพื่อจองเวรจองกรรมทำไม จะเบียดเบียนเขาเพื่อเอาเปรียบทำไม
ฉะนั้นการศึกษาธรรม จึงสอนว่า ไม่ใช่ให้เราไปโทษฟ้า โทษดินกล่าวว่าผู้คน แต่สอนให้เราซื่อตรงต่อความคิด ความจริงว่าเขาได้แค่นี้ เป็นได้แค่นี้ไม่โกรธไม่ว่าได้ไหม เราจะได้ไม่สร้างกรรม เพราะคนในโลกมันเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ศิษย์ด่าเขาโง่ พอถึงวันหนึ่ง เขาฉลาดขึ้นมา ตอนนั้นศิษย์โง่ ที่ไปด่าเขา ดูถูกเขา ศิษย์เกลียดเขาที่ไม่ดี แต่พอถึงเวลามาเขาเปลี่ยนเป็นคนดี ตอนนั้นศิษย์จะเสียใจที่ไปเกลียดเขา ฉะนั้นสัจธรรมหนึ่งที่ต้องเข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่าความเป็นคน มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงเสมอ ผู้ที่เข้าใจความเป็นคนจึงไม่เคยเกลียดและรักใครได้ เพราะรักแล้วเดี๋ยวเขาก็เปลี่ยน เดี๋ยวโกรธแล้วเขาก็เปลี่ยน เมื่อไม่รักก็ไม่หลง เมื่อไม่เกลียดก็ไม่จองเวรจองกรรม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรม เข้าใจความเป็นคน เราหรือจะมีทุกข์จริงไหม
ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดนี้ อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ตื่นรู้และเข้าใจธรรมในตัวตน ถ้าหากเราเข้าใจธรรมในตัวตน เราก็จะเข้าใจผู้คน และไม่สร้างวิบากกรรมที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง อันเป็นต้นเหตุแห่งบาปและทุกข์นานาๆ เลย เชื่ออาจารย์นะ อาจารย์ถามหน่อยนะ เราอยากอยู่ในโลกแบบมีเวรมีกรรมไหม (ไม่อยาก) อยากอยู่แบบมีเวรมีกรรมหรืออยากอยู่แบบมีบุญกุศล เราควรใช้ชีวิตด้วยการเอาแต่อารมณ์ เอาแต่ใจ หรือปฏิบัติอย่างมีธรรม (มีธรรม) การปฏิบัติธรรมนั้นทำง่าย ต่อพ่อแม่มีความกตัญญู ต่อพี่น้องมีความสมานสามัคคีปรองดอง รู้จักให้รู้จักเสียสละ ต่อเพื่อนมีความซื่อตรง ต่อหน้าที่มีความรับผิดชอบ ต่อการค้าขายมีความซื่อตรง ไม่คดโกง ไม่เอาเปรียบ ต่อการเป็นลูกศิษย์มีความเคารพให้เกียรติครูอาจารย์ ไม่ใช่นินทาครูอาจารย์ นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม ถูกไหม (ถูก) ไม่ถูกนะ ไม่ควรนินทา ควรเคารพให้เกียรติ ทำแบบนี้เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ถ้าเราปฏิบัติธรรมได้ดีทุกขณะ เราต้องกลัวอะไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่กันด้วยฉันรักแก ฉันเกลียดแก ฉันชอบแก ฉันจะเอาเปรียบแก ฉันกินแรงแกใช่ไหม (ใช่) เคยปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมไหม (ไม่) เคยให้เกียรติเคารพคนอื่นไหม เคยมีมโนธรรมสำนึกไหม เคยมีความซื่อตรงไหม ศีลห้าที่ศิษย์ผิดมากที่สุดคือ โป้ปดมดเท็จ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นข้อที่รักษาง่ายที่สุด ถ้าพูดแล้วโกหก ไม่พูดได้ไหม (ได้) ฉะนั้นถ้าเรารู้จักประพฤติปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ต่อผู้อื่นด้วยเมตตา ต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง จะกลัวอะไรกับการดำเนินชีวิตในโลกนี้จริงไหม (จริง)
อาจารย์กลับแล้วนะได้ไหม (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อาจารย์คิดว่าอยู่นานๆ แล้วจะดี ไม่ดีนะ เพราะเขาฟังไม่ไหวแล้วใช่ไหม (ไหว) อาจารย์ไม่เหนื่อยหรอก เพราะอาจารย์ไม่มีตัวตนให้ยึดถือแล้ว ผู้ใดที่ยังยึดถือในความมีตัวตนก็หนีไม่พ้นทุกข์จริงไหม (จริง) ศิษย์เอ๋ย สังขารเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า สังขารนี้ไม่เคยต้องการเจ้าของ และไม่เคยฟังเราเลยจริงไหม (จริง) และใจที่ศิษย์บอกว่าเป็นตัวศิษย์นั้นก็ไม่เคยต้องการใครครอบครอง เพราะถึงที่สุดก็พยายามหนีไปสู่ความว่างเปล่า แต่มนุษย์พยายามยึดถือความมีตัวมีตน แล้วก็หนีไม่พ้นการสร้างเวรสร้างกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์เรียนรู้เข้าใจธรรม วันนี้อาจารย์มาแค่ถึงตรงกลางยังไม่ถึงที่สุด อยากไปให้ถึงที่สุด แต่ศิษย์ไปไม่ไหวจริงไหม (ไหว)
มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย การประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ใช่เริ่มต้นที่ผู้อื่น แต่เริ่มต้นที่ตัวเราเอง ไม่ใช่การเรียกร้องให้ผู้อื่นแก้ไข แต่แก้ไขที่ตัวเราเอง ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนใคร แต่รักษาใจตัวเองให้ปกติ เพราะจริงๆ ใจมนุษย์ปกติและประเสริฐที่สุดแล้ว แต่ที่ไม่ปกติเพราะกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ารู้ว่ากิเลสมา ถ้าความโกรธมา ความอยากมา ความโลภมา จำไว้อย่าให้ค่ามัน อย่าไปปรุงแต่งมัน เดี๋ยวมันอายแล้วก็หายไปเอง แต่มนุษย์ไม่ใช่ พอมันมาร่วมมือกับมันแล้วจัดการมันเลย เวรกรรมก็เลยไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ไปแล้วนะ
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณพระอาจารย์เมตตา พระอาจารย์เมตตาจับมืออำลากับนักเรียนในชั้น)
มีโอกาสกลับมาศึกษาธรรมอีกนะ ตั้งใจเป็นคนดี รู้จักคิดรู้จักทำ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ เป็นเด็กดีนะ สังขารนี้ถึงเวลาก็เน่าเปื่อย แต่จิตดีงามประเสริฐกว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกอีก อย่ามัวหลงรูปลักษณ์ภายนอก จิตใจสำคัญที่สุด จิตใจที่ดีงามประเสริฐกว่าหน้าตาและคงทนยั่งยืนกว่า ความถูกต้องดีงามทำให้มนุษย์มีความสุข แต่การประพฤติตามอารมณ์ กิเลส ทำให้มนุษย์หนีไม่พ้นความทุกข์ บุญรักษา ความดีงามคุ้มครองศิษย์นะ สิ่งที่ดีงามคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด จงเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงามนะ ขอให้รู้จักควบคุมอารมณ์ให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายศิษย์นะ เข้มแข็งนะ ศิษย์เอ๋ยทำดีทำถูกต้องไม่ต้องห้อยสร้อยไม่ต้องห้อยพระ ฟ้าก็คุ้มครอง แต่ถ้าทำไม่ดีทำไม่ถูกต้อง แม้ห้อยสร้อยห้อยพระ พระก็ไม่คุ้มครอง จริงไหม (จริง) เข้มแข็งนะ ทุกชีวิตล้วนมีหนทาง ทุกชีวิตล้วนมีชะตากรรม ศิษย์ห้ามกรรมของเขาไม่ได้
ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงามเพื่อปกป้องชำระหนี้เวรกรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ) รักษาความถูกต้องดีงามเพื่อปกป้องชำระหนี้เวรกรรม และความดีงามนั้นจะเป็นตัวคุ้มครองนำพาชีวิตศิษย์ให้พบทางสว่าง และช่วยพี่น้องให้พบความสว่าง คนทุกคนล้วนมีกรรม ฉะนั้นจะไม่เสวยกรรมตัวเองเป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ) ใจเย็นๆ เขาหมดทุกข์แล้ว ไม่ต้องเสียใจ อาจารย์พาเขาไปแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ หนทางแห่งความถูกต้องดีงามจะนำมาซึ่งชีวิตที่สว่างไสว (พาลูกชายมาเขามีทุกข์) อาจารย์รู้แล้ว เขายังไม่เปิดใจ อาจารย์ช่วยเขาเต็มที่ อาจารย์ส่งให้เขาเต็มที่ แต่เขายังไม่เปิดใจต้องใจเย็นๆ นะ ถ้าเขาเปิดใจความทุกข์ก็แก้ได้ แต่ถ้าเขาไม่เปิดใจ ถึงแม้ว่าอาจารย์จะช่วยแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ อาจารย์ช่วยเขาเต็มที่ เชื่ออาจารย์นะ
ศิษย์เอ๋ยบางทีอาจารย์ไม่อยากได้ความเคารพจากศิษย์ แต่อยากเห็นศิษย์ตั้งใจประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าศีล ที่เรียกว่าธรรม เพราะศีลธรรมคุ้มครองศิษย์ได้ยิ่งกว่าการไหว้อาจารย์ เพราะการประพฤติปฏิบัติที่ดีงามถูกต้อง นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์และพ้นเวรกรรมที่ศิษย์ทำมา เชื่ออาจารย์เถอะนะ เวรกรรมจะมลายหายสิ้นได้อย่างไร ถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ความทุกข์จะหมดสิ้นได้อย่างไร ถ้ามนุษย์ยังไม่เข้าใจชีวิตและธรรมอันถ่องแท้ ฉะนั้นอาจารย์คือผู้ที่นำพาศิษย์ให้พบความสว่าง แต่ศิษย์ก็ต้องรู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่ทำผิดศีล ไม่ก่อบาปกรรม ไม่ติดอบายมุข แต่ถ้าศิษย์ยังผิดศีลก่อบาปกรรม หลงในอบายมุข แม้ศิษย์จะฟังธรรมมาสามวันบุญก็ไม่รักษา แต่ถ้าศิษย์รู้จักครองตัวอยู่ในศีลธรรม ประพฤติปฏิบัติอย่างคนที่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แม้อยู่ในสิ่งที่ร้าย ร้ายก็ยังแปรเป็นดี อยู่ในความทุกข์ ความทุกข์ก็นำมาซึ่งความสว่าง เพราะมีจิตที่เข้าใจความทุกข์อย่างถ่องแท้ ถึงจะนำพาชีวิตที่ส่องสว่างได้ แต่ถ้าจิตที่ยังรังเกียจทุกข์ ไม่ชอบทุกข์กลัวทุกข์ เราก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ ลองเปิดใจยอมรับมันสิ แล้วศิษย์จะรู้ว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ทุกข์ทำให้เราพบทางสว่าง และหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นแห่งความมีตัวตน เชื่ออาจารย์นะศิษย์ อย่าได้กลัวทุกข์ อย่าได้กลัวความพลัดพราก การสูญเสียมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจธรรม เมื่อเจอสูญเสียเราปล่อยไหม ยอมรับความจริงไหม ไม่โทษฟ้าดิน และโทษใคร มุ่งมั่นยอมรับความจริงในความถูกต้อง แม้จะเจ็บปวดก็ตาม แล้วศิษย์จะพบทางสว่าง เราจะได้ใช้กรรม และไม่สร้างกรรมต่อ ฉะนั้นใครทำร้ายเราดีแล้ว ขอบคุณ เราจะได้สิ้นกรรมแล้ว ได้เข้าใจชีวิตแล้ว
ฉะนั้นพุทธะจึงสอนว่า ความทุกข์คือประตูแห่งพุทธะ ความมืดที่สุดคือความสว่างที่สุด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุขได้ พลิกใจไม่ได้ ศิษย์ก็กลายเป็นคนที่ทุกข์อยู่ร่ำไป แล้วเราจะมีทุกข์เพื่อทุกข์ หรือเราจะมีทุกข์เพื่อเข้าใจพบทางสว่างละ ชีวิตนี้ไม่ได้มีเพื่อทุกข์ เกิดมาเพื่อเรียนรู้เข้าใจและมองเห็นความจริง โลกมันหมุนเปลี่ยนไปเรื่อย สัจธรรมเราจะสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรจริง แม้ตัวเราก็ไม่จริง แม้ใครๆ ก็ไม่จริง เพราะท้ายที่สุดเราก็ต้องไปสู่ความว่างเปล่า และเราจะยึดติดตัวตนเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม เราจะผูกใจเจ็บ เราจะเคืองแค้น เราจะชิงชังเพื่อจองเวรจองกรรมทำไม ถ้าเขาไปแล้วพ้นทุกข์ ถ้าเขาไปแล้วทำให้สิ้นพันธนาการ เราไม่ควรจะร้องไห้ แต่เราควรจะดีใจ ใช่หรือไม่
ถ้าศิษย์เข้าใจในโลกนี้ ความสูญเสียเสียไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า ความตายไม่ใช่เรื่องเจ็บปวด ความป่วยไข้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันสอนให้เราเข้าใจว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ตัวเรา เราก็คล้องไม่ได้ แม้แต่ใจเราที่เราคิดว่ามันเป็นแบบนี้แบบนั้น มันยังเปลี่ยนเลย แล้วศิษย์จะไปยึดมั่น ให้มันมีตัวตนเพื่อทุกข์ทำไม ในเมื่อธรรมมันบอกอยู่แล้วว่า มันไม่ใช่ของเธอ เธอไม่มีอะไร เธอหามาเท่าไหร่มันก็ไม่มี ถึงที่สุดมีแค่ไหน ก็ต้องวางมัน แล้วจะให้มันทำอย่างไรที่จะวางมันได้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักวางมันก่อน เข้าใจมันก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้สถานะการณ์บีบบังคับแล้วต้องมาวาง อยู่ๆ มีเงิน แล้วอยู่ๆ เสียเงิน อยู่ๆ มีคนรัก แล้วเสียคนรัก มันเป็นความจริงไหม แล้วมีใครในโลกบ้างไม่ตาย มีใครไม่สูญเสีย แต่เราเจ็บปวด เพราะเรามีอารมณ์ มีตัวตนที่ยึดถือ แต่จริงๆ มันมีอะไรให้ยึดถือ เจ็บปวด มันไม่มีเลย มันเป็นแค่สังขาร ถึงเวลาก็คืนดินคืนฟ้า แล้วเราจะสร้างตัวตนให้ทุกข์ทำไม อาจารย์พูดผิดไหม อาจารย์หลอกศิษย์ไหม ฉะนั้นอย่ากลัวทุกข์และกลัวคำด่า แต่ที่น่ากลัวเพราะใจเราผูกมัดยึดติด ทั้งที่เรามาจากความว่างเปล่า และเราต้องกลับสู่ความว่างเปล่า เราจะยึดติดนิสัยตัวตน เพื่อไปรับกรรมอีกหรือศิษย์อาจารย์รู้มาก รู้ชัด แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรแล้ว อาจารย์อยากช่วยศิษย์ให้มากที่สุด แต่ทำได้แค่นี้ ศิษย์ต้องช่วยตัวเองด้วยการนำธรรมะที่อาจารย์บอกไปช่วยตัวเอง เชื่ออาจารย์เถอะนะ
วันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ผ่านมาเพื่อผ่านมาพบ ผ่านมาเพื่อจบแค่นั้น
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตาอีกครั้งหนึ่ง ลงสู่พุทธสถานจื้อเจวี๋ย แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักของอาจารย์คิดถึงอาจารย์บ้างไหม
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ร่วมฟัง)
อย่าเอาแต่นั่งหน้ามืด ถอนหายใจ แต่เอาการถอนหายใจไปเป็นพลังแล้วลุกไปช่วยคนอื่น มันได้พลังกลับมาได้ไหม (ได้) ได้สิ่งที่ดีกลับมา ดีกว่าการนั่งทอดถอนใจไหม (ดีกว่า) ช่วยเขาก็คือการให้กำลังใจตัวเรา ให้ตัวเรามีคุณค่า ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ได้แปรเปลี่ยนโอกาส ยิ่งที่ไหนที่เราไม่ได้ไปนี่แหละเป็นโอกาสที่เราจะได้ไปช่วยเขา ไปสร้างขวัญและกำลังใจให้เขา สร้างความดีงามให้เขารู้สึก ฉะนั้นถ้ามีโอกาสอย่านิ่งดูดาย ยิ่งเขาทุกข์เรายิ่งต้องยื่นมือเขาช่วยเหลือ ยิ่งเขาลำบากเราต้องยิ่งมีใจเสียสละอุทิศให้ได้หรือไม่ (ได้) อย่ามัวแต่ห่วงทุกข์ของตัวเอง จงเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ส่งเสริมให้คนได้พ้นทุกข์ดีหรือไม่ (ดี) ทำได้ไหม (ทำได้) อาจารย์หวังพลังเล็กๆ ของศิษย์ รวมๆ กัน ช่วยกัน เพราะตอนนี้บ้านเรากำลังเดือดร้อน แต่ใจเราต้องไม่เดือดร้อน ใจเราต้องเข้มแข็งและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและคุณค่าที่จะช่วยเหลือผู้คน อย่าล้า อย่าท้อ อย่าเหนื่อย ยิ่งให้ยิ่งเปี่ยมสุข ยิ่งให้ยิ่งมีค่ามีความหมาย แต่การห่วงตัวเอง คิดถึงคำนึงแต่ตนเองมันทำให้เราเหงา โดดเดี่ยวและอ้างว้าง แต่ในช่วงที่คนอื่นเดือดร้อน เปลี่ยนความเหงา ความอ้างว้างเป็นพลัง และเอาพลังนี้ไปช่วยเหลือผู้คน ตอนนี้ทุกคนกำลังเดือดร้อน ทุกคนกำลังลำบาก อาจารย์เข้าใจ แต่อาจารย์อยากให้เปลี่ยนจากความเสียใจ จากความทอดถอนใจไปเป็นกำลังใจที่เข้มแข็ง และเอากำลังใจนั้นไปช่วยผู้อื่น อย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง เพราะการช่วยคนอื่นได้มากเท่าไหร่ ก็เข้าใจคุณค่าของชีวิตได้มากเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)
ศิษย์เคยเห็นไหม ของเมื่อเรายกขึ้นที่สูง ช้าเร็วก็ต้องตกลงต่ำ ฉะนั้นมีอะไรบ้างในโลกที่ไม่เปลี่ยนแปรผัน มีอะไรในโลกที่ไม่เปลี่ยนแปรผัน มีอะไรในโลกที่ร้ายแล้วไม่มีดี มีอะไรในโลกที่สูงแล้วไม่มีวันตกลงต่ำมีแต่จิตใจของเราเท่านั้นที่สามารถควบคุมสูงต่ำ ดีร้าย ได้ด้วยตัวเอง เราต้องรู้จักแปรวิกฤตเป็นโอกาส แปรทุกข์เป็นโอกาสที่ดีในการนำพาและฉุดช่วยผู้คน อย่าเอาแต่สงสาร อย่าเอาแต่นั่งมองแล้วทำตาปริบๆ แล้วช่วยไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราจะก้าวขาและยื่นมือ รู้จักให้ไหม ถ้าเรารู้จักมีแสงสว่างที่ดีงามให้กับตัวเองได้ เราก็ยังเป็นแสงสว่างที่นำพาฉุดช่วยคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ยทำไมเป็นคนถึงต้องทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ทำไมเป็นคนถึงต้องมีศีลมีธรรม เพราะความถูกต้องดีงามและศีลธรรมนั้น ที่จะนำพาให้ชีวิตร่มเย็น ที่จะนำพาให้ชีวิตมีแต่สันติสุข แล้วก็นำพาชีวิตให้เปี่ยมคุณค่าและมีความหมาย ไม่ใช่มีชีวิตผ่านไปแค่วันๆ หนึ่ง แล้วก็เป็นไปแค่เงินทองเกียรติยศชื่อเสียง แต่ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นคุณค่า ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนชีวิตให้มีความหมายมากกว่าการสร้างบาป แต่เปลี่ยนเป็นการสร้างบุญ การทำอะไรเพื่อตัวเองจะเปลี่ยนเป็นการอุทิศเสียสละเพื่อผู้อื่น ถ้าอาจารย์ไม่ตีแปลว่าอาจารย์ไม่เมตตาหรือ ตีแล้วก็ให้มีปัญญาที่ดี ปัญญาที่มองโลกเห็นชัด ปัญญาที่ไม่ทุกข์เพราะความคิด หรือชะตากรรมของตัวเอง แต่กล้ายอมรับแล้วมีความสุข อยากให้คนอื่นมีความสุขตัวเราก็ต้องยิ้มเยอะๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องกล้าเรียนรู้และเข้มแข็ง ไม่ใช่เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ วุ่นวายอะไรกันทั้งวัน แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไรช่างน่าเสียดายยิ่งนักนะ
อาจารย์ก็หวั่นเกรงเล็กๆ ว่าคนข้างล่างจะน้อยใจ ที่อาจารย์ไม่ลงมาเลย อายุขนาดนี้แล้วยังขี้น้อยใจขี้ใจน้อยอีก จงฝึกจิตใจให้กว้างใหญ่ จงฝึกจิตใจที่รู้จักเสียสละ อาจารย์ยอมเป็นคนที่อัปลักษณ์เพื่อศิษย์จะได้น่ารักที่สุด ฉะนั้นมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ด้วยหัวใจที่รู้จักอุทิศเสียสละเพื่อประชา คือหนทางแห่งโพธิสัตว์ ไม่กลัวบาปเวรกรรมแล้วนะ มีเวลาลงแรงแล้วต้องมีเวลาพากเพียรศึกษาธรรม ทำความเข้าใจหลักธรรมให้กระจ่าง เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจหลักธรรม เราก็เข้าใจชีวิต มองเห็นชีวิตได้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าเราเข้าใจว่าวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด มันมาจากไหนแล้วเราจะหยุดได้อย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ถ้าศิษย์รู้จักพากเพียรจริงๆ แต่ศิษย์ของอาจารย์ชอบมีนิสัยอัตตาตัวตนสูงเหลือเกิน ความยึดมั่นถือมั่นก็มีมากไม่ค่อยรู้จักปล่อยวาง ยึดติดในสิ่งที่ไม่ควรยึดติดใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้นและให้อ่านทบทวนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ รู้ทัน ยั้งคิด”)
ถ้าจำได้แล้วอาจารย์กลับเลยนะ อยู่นานๆ แล้วกลับบ้านดึกได้หรือ (ได้) อาจารย์ขำจริงๆ มาวันแรกก็อยากกลับบ้าน ตอนนี้ชักไม่อยากกลับแล้วหรือ อย่างนั้นหรือเปล่า อาจารย์ไม่ให้โอวาทอะไรเพิ่มเติมแล้วนะ ถามศิษย์รักของอาจารย์คิดถึงอาจารย์บ้างไหม รู้จักกันแล้วไม่คิดถึงมากก็คิดถึงน้อยใช่หรือไม่ (คิดถึง) ยินดีต้อนรับอาจารย์หรือเปล่า (ยินดีต้อนรับ) กลับบ้านดึกไม่เป็นไรใช่ไหม (ไม่เป็นไร) แน่ใจนะ วันนี้พึ่งได้เห็นรอยยิ้มจากศิษย์จริงๆ จากศิษย์บางคนนะ ที่สองวันนี้แทบจะไม่ค่อยยิ้มพึ่งเห็นวันนี้แหละยิ้มๆ ที่จะได้กลับบ้านแล้วถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)
ช่วงนี้มีหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน แล้วศิษย์จะรู้สึกแค่สงสารหรือแปรความสงสารเป็นการยื่นมือเข้าช่วย (ยื่นมือเข้าช่วย) ฉะนั้นถ้าเรามีแรงก็ช่วยแรง มีกำลังก็ช่วยกำลัง ดีหรือไม่ (ดี) ฉะนั้นถ้าทางสถานธรรมเตรียมจะทำอะไรไปช่วยเหลือเขา มีแรงก็ช่วยแรง มีกำลังก็ช่วยกำลัง มีทรัพย์ก็ช่วย (ทรัพย์) ฉะนั้นถ้าตอนนี้เปลี่ยนความเสียใจเป็นกำลังใจที่จะหยิบยื่น เปลี่ยนความเศร้า เปลี่ยนน้ำตาเป็นรอยยิ้มเพิ่มกำลังใจให้กับผู้คนที่กำลังเดือดร้อน ดีหรือไม่ (ดี) ในเมื่อตอนนี้เราฝึกฝนเพื่อปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมก็คือช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นในเมื่อช่วงที่เราทุกข์สุดๆ เรายังรู้จักช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี) เราได้กำลังใจจากเขาแล้ว กำลังใจจากเขาก็ให้กลับมาสู่เราด้วย ฉะนั้นอย่างที่เซียนน้อยกล่าว “น้ำท่วมบ้านได้ ท่วมสวนได้ แต่อย่าท่วมใจ” ฉะนั้นเราต้องมีกำลังใจที่เต็มเปี่ยม ยอมรับความจริง
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างการโยนแอปเปิล)
ในโลกนี้เมื่อเราหวังอะไรสูง แล้วสิ่งที่อยู่สูงตกลงมาก็จะต้อง (เจ็บ) ฉะนั้นถ้าอาจารย์อยากให้แอปเปิลอยู่สูงที่สุด อาจารย์มีแรงเท่าไหร่ก็จะต้องเหวี่ยงแอปเปิลให้มากที่สุด แต่ช่วงที่ศิษย์กำลังอยากจะเหวี่ยงแอปเปิลให้สูงที่สุด ศิษย์เคยคิดไหมว่าเมื่อแอปเปิลอยู่สูงที่สุด เวลาตกลงมาก็ตกลงมาแรงที่สุดเช่นกัน เหมือนกับความคาดหวัง ความยึดมั่นที่เรายึดไว้มาก เมื่อไม่เป็นดั่งหวังก็เหมือนกับผลไม้ที่ลอยสูงแล้วมีวันตกได้ไหม (ได้) และเมื่อตกลงมาจะรู้สึกผิดหวังมากไหม (มาก) มากพอกับที่เราพยายามหวังให้สูงมาก แต่ถ้าอาจารย์เปลี่ยนเป็นโยนแอปเปิลเท่าที่จะโยนได้ สูงเท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่แอปเปิลตกก็ยอมรับ เพราะคือความเป็นจริงของชีวิต จริงไหม (จริง) แต่มนุษย์มักจะเผลอ ยกให้สูงแล้วลืมว่าเมื่อตกลงมาต่ำแล้วจะเจ็บ เตี้ยแล้วรู้สึกช้ำใจ แล้วเราเผลอยกอะไรให้สูงไหม
ฉะนั้นถ้าอยากกลับบ้านแล้วกลัวทำใจไม่ได้ จำคำของอาจารย์ไว้เลย ยังไงน้ำก็ท่วม แก้ไม่ได้แล้ว ฉะนั้นผิดหวังไว้เยอะๆ น้ำท่วมแน่ๆ เมื่อกลับถึงบ้านแล้วน้ำไม่ท่วม เป็นอย่างไร (ดีใจ) แล้วศิษย์เลือกแบบนั้นหรือ แต่สู้ยอมรับความเป็นจริง ไม่ยกอะไรให้สูงแล้วเราจะได้ไม่รู้สึกเหมือนใจตกลงไปสู่ที่ต่ำ แล้วก็โชคดีที่บ้านน้ำไม่ท่วม ส่วนคนอื่นโชคร้ายหรือ แล้วเมื่อเรา ดีใจเราก็บอกว่า เธอๆ บ้านฉันน้ำไม่ท่วม แต่รู้ไหมว่าความดีใจของเรา แต่ทำให้คนข้างๆ รู้สึกเสียใจเพราะบ้านฉันน้ำท่วม
ถ้าเราอยู่ในโลกนี้แล้วไม่อยากให้เจ็บปวดมาก อย่ายกอะไรให้สูงค่าจนเกินไป เพราะเมื่อถึงเวลาสิ่งที่สูงค่ามีวันแปรเปลี่ยนได้เสมอ เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต ในโลก ไม่มีวันแน่นอน และไม่มีวันไม่เปลี่ยนแปลง
เหมือนกับตอนนี้ยืนนานๆ อาจารย์ไม่ให้นั่งได้ไหม ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งก็จะไม่โกรธ ไม่ให้นั่งก็ไม่ทุกข์ ให้คิดได้อย่างนี้ตลอดนะ ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่ง เมื่อขึ้นชื่อว่าโลกเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ความคาดหวังก็ทำให้เราผิดหวังเสมอ เราคิดว่าเราเกิดมาต้องได้ยืน แล้วได้นั่ง แต่ถ้าวันหนึ่ง ได้ยืนแล้วไม่ได้นั่งต่อไป ศิษย์จะทุกข์หรือสุข (ทุกข์) อาจารย์จะบอกให้ดีกว่า ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งในความจริง เพราะชีวิตไม่แน่นอน ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าชีวิต หนีไม่พ้นวัฏจักรการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้น วัฏจักรการเปลี่ยนแปลงหรือสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความจริงแห่งธรรมนั้นมีอยู่ทุกชีวิต ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยดี เราก็ได้บุญหนุนนำดี เหตุปัจจัยไม่ดีเราก็เรียกว่ากรรมไม่ดี หรือที่มนุษย์เรียกว่าโชคร้าย ฉะนั้นถ้าวันนี้ได้ยืนแล้วไม่ได้นั่ง เหตุปัจจัยไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมไม่ดี ฉันเข้าใจแล้วว่า แค่นั้น ไม่ทุกข์ ไม่สุข อย่าให้อะไรมาบีบใจ ฉะนั้นถ้าเราไม่คาดหวังเราทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิด ก็กล้ายอมรับด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง อะไรจะมาบีบใจให้เราทุกข์ได้ อะไรจะทำให้เราเจ็บปวดได้ แต่มนุษย์เราถูกอะไรบีบได้ง่ายเหลือเกิน ฉะนั้น ศิษย์เอยโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยนำหนุน ก็ก่อเกิด การเกิด การเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เราหยุดเหตุปัจจัยนำหนุน การเกิดไม่มี เราก็หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้จบสิ้น แล้วเราเคยคิดที่จะหยุดเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องกลับมาเกิดและรับผลกรรมบ้างไหม ถ้าคิดแค่ว่าอยาก ศิษย์ก็กำลังสร้างเหตุปัจจัย ศิษย์กำลังสร้างวัฏจักรแห่งการหมุนเวียนทุกข์ สุข ดี ร้าย ได้ เสีย แต่ถ้าเราคิดแค่เพียงว่าได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วัฏจักรจะหยุดลงทันที ไม่ต้องเวียนว่ายทุกข์สุขอีกต่อไป เข้าใจไหม (เข้าใจ) อย่ายึดติด ถ้ายึดติดแล้วมันทุกข์ อย่าคาดหวัง อย่ามั่นหมายอะไรในโลกนี้ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นกลับบ้านไป น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ (ช่างมัน) ทำใจให้ได้นะ วันนี้อาจารย์อยากให้ความเข้มแข็งแก่ศิษย์ อยากให้ความเข้าใจแก่ศิษย์ให้มากๆ เพราะถ้าศิษย์เข้มแข็ง ศิษย์เข้าใจ เวลาศิษย์ไปเจอโลกแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
นั่งลงเร็ว โลกนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปรผัน เดี๋ยวพระอาจารย์เปลี่ยนใจให้ยืนนะ เรามาเข้าใจกันต่อ วันนี้เรามาฟังธรรมตั้งมากมาย บางทีเรายังไม่เข้าใจเลยว่าธรรมที่แท้จริงคืออะไร ถ้าอาจารย์บอกว่าธรรมคือชีวิต ธรรมคือสัจธรรม ธรรมคือความจริง ธรรมคือสิ่งที่เป็นอะไรก็ได้อเนกอนันต์
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดาน)
ธรรมอยู่ในสรรพสิ่งเรียกว่า “ความจริง”
ความจริงเรียกอีกอย่างว่า “สัจธรรม”
(หรือเรียกอีกอย่างว่า “ไตรลักษณ์”)
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ธรรมคือความจริง ธรรมคือสัจธรรม ธรรมคือเอนกอนันต์
ซึ่งธรรมนั้นถ้าอยู่ในตัวสรรพสิ่งเรียกว่าความจริง แล้วความจริงนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม แล้วสัจธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจารย์ถามว่า ในผ้ามีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไหม (มี) มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปไหม (มี) ผมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปไหม (มี) เสื้อผ้ามีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปไหม (มี) น้ำเต้าอาจารย์มีไหม (มี) ความเป็นคนในตัวศิษย์มีไหม (มี) ตัวศิษย์มีไหม (มี) ฉะนั้นทุกความจริง ทุกสัจธรรม หนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์ ถ้าเรารู้จักวัฏจักรแห่งชีวิต ก็แปลว่าเรารู้จักวัฏจักรแห่งสัจธรรม เพราะชีวิตก็มีวัฏจักรคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถูกไหม (ถูก) แล้วเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม แล้วสัจธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรม ฉะนั้นมนุษย์หนีเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ไหม (ไม่ได้) หนีความไม่เที่ยง หนีความทุกข์ หนีความว่างเปล่าจากตัวตน ได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราควรจะยึด ควรจะครอบครองไหม (ไม่ควร) ฉะนั้นเมื่อใดที่เราเกิดความอยากขึ้นมา เราก็หนีไม่พ้นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แก่ เจ็บ ตาย (ใช่) ฉะนั้นเกิดทุกทีก็ทุกข์ทุกทีไหม (จริง)
อาจารย์ถามหน่อยว่าวัฏจักรแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราสามารถหยุดได้ไหม เราไม่แก่ได้ไหม ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้) เราหยุดวัฎจักรของชีวิตที่เรียกว่าสังขารได้ไหม (ไม่ได้) แต่เราหยุดเหตุปัจจัยให้เราต้องมีสังขารต่อเนื่องไปอีกได้ไหม (ได้) เราไม่สามารถหยุดวัฎจักรของสังขารได้ ไม่สามารถหยุดการเกิดตายของสังขารได้ แต่เราหยุดภพชาติต่อไปได้จริงไหม (จริง) แล้วเราเคยคิดอยากที่จะหยุดไหม อาจารย์ศิษย์อยากเกิดอีก อาจารย์จะบอกให้นะ ทุกครั้งหนึ่งความเกิด ศิษย์ก็ต้องรู้จักหนึ่งวัฎจักรการเกิดตาย แต่ว่าในความเกิดตาย ศิษย์ก็จะต้องเรียนรู้หนึ่งทุกข์ ฉะนั้นศิษย์เกิดหนึ่งอย่างก็หนึ่งทุกข์ แล้วถ้าเกิดอีกหนึ่งอยาก ก็จะต้องทุกข์อีก แล้วหนึ่งอยากแค่นี้ไหม ก็ยังอยากอีก แล้วถ้าอยากเอาคนนี้มาด้วย ทุกข์นี้ควบคุมยากไหม (ยาก) แล้วมีไหม แล้วอยากมีไหม เราจะหยุดความทุกข์ได้อย่างไรในเมื่อตัวเองเรายังไม่สามารถหยุดได้ แล้วเรายังอยากเกี่ยวทุกข์อีกไหม
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า ถ้าเรามีปัญญาแจ่มแจ้ง เข้าใจความจริงแห่งสัจธรรมในชีวิต เราจะไม่มีความอยาก เราจะไม่สร้างปัจจัยนำหนุนแห่งความโกรธ เกลียด ที่ก่อเกิดเป็นกรรมเวร และจองเวรจองกรรม จริงไหม ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมชีวิต แห่งวัฎจักรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เราไม่มีวันหนีพ้น เราจะไม่มีวันเกี่ยวกรรมเพิ่ม ศิษย์ยังอยากไหม (ไม่อยาก) แค่ทุกข์ตัวเอง ทุกข์ของสังขาร ทุกข์ของการกินอยู่ ทุกข์ของการเอาตัวรอด ทุกข์ของการเลี้ยงดูตัวเองให้มีชีวิตเรายังต้องมีทุกข์อีกเท่าไหร่ นับไม่ถ้วน แล้วเมื่อเวลาเราไปทำงานแล้วมีทุกข์ มีดี มีร้าย มีได้ มีเสีย มีขึ้น มีลง เรารับได้ไหม ถ้าเรายอมรับว่าเป็นความจริง ไม่เป็นไร ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ในเมื่อเราเป็นทุกข์อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือการเปลื้องมันให้หมด แล้วจะไม่ต้องทุกข์อีก หรือหยิบมาเรียนรู้ให้เข้าใจ และช่วงใช้อย่างเข้าใจ อะไรง่ายกว่ากับการเปลื้องทิ้ง (การเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจ) ใช่ ถ้าศิษย์เข้าใจหนึ่งสิ่ง สิ่งหนึ่งนั้นแหละจะทำให้ศิษย์เข้าใจตัวเราเอง ถ้าเราเห็นชัดว่า กว่าจะได้พัดมาเหนื่อยเพียงไหน ฉันต้องไปทำงาน ฉันจะต้องไปแลกเหงื่อต่างน้ำ กว่าจะได้ซื้อพัดมาหนึ่งอัน แต่พอได้แล้วคุณค่ามันดีขึ้นไหม ศิษย์เชื่อไหมว่า เมื่อของไม่ได้อยู่กับตัว คุณค่ามันสูงๆ แต่พอมาอยู่กับเรา ทำไมวันแรกๆ ก็ดี แต่พอวันที่สองที่สาม ค่าก็ลดลงๆ จริงไหม (จริง) ถึงที่สุดแล้วก็ต้องทุกข์กับมัน ที่ว่าพอถึงเวลาร้อนแล้วจะหาพัด แล้วหาพัดไม่เจอใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสู้เราเรียนรู้และช่วงใช้เข้าใจ ถึงเวลามันไปก็ยังมีแรงยังไม่ตายก็หาใหม่ได้ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ว่าทุกสิ่งทุกอย่างหนีไม่พ้น การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ทุกสิ่งหนี ไม่พ้นความไม่เที่ยงเปลี่ยงแปลงไป เราจะรักอะไรมากมายไหม (ไม่) เราจะเกลียดอะไรมากมายไหม (ไม่) เพราะเขาก็ทุกข์เราก็ทุกข์จริงไหม (จริง) โลกแห่งความเป็นจริงยังสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีเขา ก็ไม่มีเรา ไม่มีฟ้าที่มืดก็ไม่มีวันที่ฟ้าสว่างสดใส ไม่มีหุบเหวที่ต่ำก็ไม่มียอดดอยที่สูงส่ง ฉะนั้นใครต่ำกว่าใคร ใครแย่กว่าใคร อะไรร้าย อะไรเลว เราไม่ยกอะไรสูง มันก็ไม่มีอะไรต่ำเตี้ย ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เรียนรู้เข้าใจชีวิตและวางใจเป็นกลาง แต่ไม่ใช่หัวใจตายด้าน วางใจเป็นกลาง คือ ยอมรับไม่ว่าอะไรจะเกิด ไม่รักมากไป ไม่เจ็บมากไป ไม่ทุกข์มากไป เพราะมนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นถ้ามีโอกาสทำไมเราไม่สร้างกรรมดีกับอีกกรรมที่เรียกว่าอกรรม กรรมดียังมีผลที่ต้องรองรับ แต่ อกรรม ที่ไม่ต้องรับผลรองรับ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด นั่นก็คือการทำโดยไม่หวังผล ทำโดยการชะล้างความมีตัวตนซึ่งเรียกว่ากุศล ฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เป็นความประพฤติอันดีงาม เป็นศีลธรรมอันดีงาม ทำให้เราชะล้างความยึดมั่นถือมั่นตัวตน ชะล้างความยึดมั่นความดี นั่นแหละเรียกว่า อกรรม ทำแบบไม่หวังผลทำแบบจบกันดีไหม หรือที่เรียกว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดพรุ่งนี้มีไม่มีไม่เป็นไร วันนี้ฉันดีที่สุดแล้ว อย่างนั้นตอนนี้จะห่วงอะไร ห่วงไปก็สร้างเหตุปัจจัยให้เกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ทุกชีวิตล้วนมีชะตากรรมของตัวเอง ศิษย์เปลี่ยนธรรมชาติเขาไม่ได้ ฉะนั้นปัจจัยแห่งการเวียนว่ายที่ทำให้เราต้องกลับมาเกิดอีกศิษย์อยากสร้างอีกหรือ อยากมีอีกหรือ ถ้าไม่อยากมีศิษย์จะสร้างเหตุปัจจัยห่วงทำไม ทำให้ดีที่สุดถึงเวลาทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง การปล่อยวางที่ดีที่สุด คือปล่อยให้เขาเรียนรู้ธรรมชาติของเขา เราเอาธรรมชาติเราไปให้เขาได้ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ดี คือทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง นั่นก็คือเรียกว่าประเสริฐแล้ว
ศิษย์เคยได้ยินประวัติพระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายขวาของพระพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะบรรลุกลับคืนสู่ฟ้าท่านต้องถูกทุบตีจนตาย แม้ท่านจะมีอิทธิฤทธิ์ พระพุทธเจ้าก็ยังบอกว่าอย่าหนียอมรับแล้วกลับคืนไปด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ด้วยหัวใจเมตตา ฉะนั้นแม้เราจะถูกทำร้ายถึงที่สุด แม้เราจะถูกเอาเปรียบมากที่สุด มันอาจจะเป็นกรรมเก่าที่เราได้เคยสร้างมาและเรายินดีได้ชดใช้เพื่อจะได้จบกัน ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องห่วงหาอะไรแล้ว ถ้าวันนี้ดีที่สุดจากไปก็ไม่น่าเสียดายจริงไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ วันนี้ดีที่สุดหรือยัง (ดี) ถ้ายัง อย่าเพิ่งตาย ตายแล้วจะหนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์ก่อ ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงใคร เพราะถ้าเราดี คนอื่นเขาก็จะเห็นความดีของเราเอง อาจารย์อยากให้คำว่าธรรมคือความจริง ธรรมคือสัจธรรม เพราะจริงๆ แล้วธรรมคือเอนกอนันต์
มีโอกาสกลับมาผูกบุญด้วยกัน ฟังธรรมเพื่อเกิดความกระจ่างแจ้งในปัญญาธรรม ไม่มีบุญใดประเสริฐเท่ากับบุญแห่งปัญญาในการตื่นรู้ความจริงแห่งชีวิตและนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ เชื่อมั่น ศรัทธาในความดีงามของตัวเองและมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุดนะศิษย์รัก อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ ศิษย์รู้ไหม แม้เทพเทวายังเคารพกราบไหว้มนุษย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์สร้างบุญ คุณงามความดีได้ยิ่งใหญ่กว่าเทพเทวาอีก ฉะนั้นเราเกิดเป็นมนุษย์นี้ยิ่งใหญ่กว่าเทพเทวา แล้วทำไมเราจึงเอาแต่งอมือขอเทพเทวา ไม่งอมือเรียกร้องตัวเอง แม้เทพเทวายังอิจฉาที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วทำไมเราจึงไม่สร้างสิ่งที่ถูกต้องดีงามให้ถึงที่สุดเท่าที่หนึ่งชีวิตจะทำได้ ที่เรียกว่ามีชีวิตที่ประเสริฐ
อาจารย์ทั้งตี ทั้งตบ ทั้งทุบ หวังที่จะหล่อหลอมให้ทองคำอันนี้เป็นทองคำที่กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ความเป็นพุทธะ ศิษย์มีภาวะแห่งการตื่นรู้ ภาวะแห่งการเข้าใจจริงและภาวะอันประเสริฐ แต่ศิษย์มักจะถูกบดบังไปเพราะกิเลส นิสัย อารมณ์ชั่ววูบ แต่ทำให้พุทธะของอาจารย์หายไปทันที น่าเสียดายนะ ที่จี้กงน้อยๆ กลายเป็นคนบาป กลายเป็นคนทุศีลเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เพียงเพราะความโมโห น่าเสียดายนะ นรกไม่น่าไปจริงๆ อย่าไปเลย ทำดีไว้โดยไม่หวังผล ไปก็ไปนิพพานเลย วันนี้ไม่ได้อย่างน้อยก็กลับไปฝึกต่อที่เบื้องบนได้ ฉะนั้นเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์ มุ่งมั่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง อย่ายอมแพ้
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ รู้ทัน ยั้งคิด”
ใช้สำนึกความถูกต้องอันดีงาม ใช้สติระลึกรู้ตามความจริงแท้
ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรมอย่างแน่วแน่ ใจก็เย็นผิดรู้แก้ยิ่งรู้ฝึกใจ
เมื่อกิเลสอารมณ์มาอวดสำแดง ไม่ให้ค่าไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป
มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ มีเกิดขึ้นมีดับไปเช่นนั้นแล
นิ่งนิ่งก่อนวู่วามไป เย็นไว้ก่อนยากเกินแก้
สติรู้ทันรู้แปร ยอมแต่ไม่แพ้ใจตน