แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิษย์พี่นาจา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิษย์พี่นาจา แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

2562-07-06 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一九年嵗次己亥六月初四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
เกิดเพื่อดับแน่แท้เชียว บาทเดียวเอาไปไม่ได้
ห่วงไว้ก็ต้องปล่อยเป็นไป เหลือไว้แค่ดีชั่วนา
แบบอย่างให้คนกล่าวถึง ไยจึงเหลือน้อยหนักหนา
มีธรรมก็ทรงคุณค่า ใช้ธรรมความทุกข์ห่างไกล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจมาฟังธรรมะให้ครบสามวันจริงไหม
คนรู้ความคือธรรมเป็นสำแดง คนแก่งแย่งสิ่งเดิมไม่เบื่อหรือ
ใจเที่ยงแท้ความเป็นชีวิตคือ ไม่ยึดถือก่อนมาล้วนบริสุทธิ์
ปฏิบัติธรรมคืนธรรมจากที่เที่ยง ร้อยจำเรียง[1]สู่ธรรมดาคือที่สุด
จันทร์ไร้เว้าไร้แหว่งเพ็ญวิสุทธิ์ ทว่ามนุษย์ตัวต้นเหตุจองใจ
คนมีความทุกข์ที่ชอบประมาท คนฉลาดมีทุกข์ที่ไม่สลาย
ความคิดสิ้นและเกิดใหม่ง่ายดาย สุขทุกข์อย่างไรสุดท้ายทุกข์ไม่มีจริง
เหมือนถนนทุกสิ่งไปมาได้ มาไม่ไปไม่มีแค่สรรพสิ่ง
รู้ชีวิตแค่คืนกลับความจริง กำหนดชีวิตรู้แล้วยิ่งหมั่นทบทวน
ขอจงตื่นจากความฝันสรรพางค์[2] ธรรมยวดยิ่งอนันต์หลังวิบากป่วน
โลกกว้างใหญ่กิเลสสุดผันผวน ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแปรสัจธรรม
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนอย่างงดงาม แจ้งใจความปัจจัยตามไม่ระส่ำ
ทำใจว่างจึงมีมณฑล[3]ธรรม ประกายงำแก้วเปล่าน้ำจึงริน
ผู้ฝึกตนแท้จริงยิ่งประจักษ์ คนมีปากไร้คำรักษาศีล
ฝึกหลุบตาไม่จับผิดอาจิณ[4] เป็นเทวดาเดินดินฝึกทุกวัน
ฮิ ฮิ หยุด

[1] จำเรียง (ก.) แปลว่า ขับลํา, ขับกล่อม, ร้องเพลง. (แผลงมาจาก เจรียง).
[2]สรรพางค์ (น.) แปลว่า ทั้งตัว, ทั่วตัว, มักใช้เข้าคู่กับคำ กาย เป็นสรรพางค์กาย เช่น เจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย
[3]มณฑล (น.) แปลว่า แสง, รัศมี; วงรอบ, วงกลม; เขต, บริเวณ, เขตการปกครองหลายๆ จังหวัดรวมกัน เรียก มณฑล.
[4]อาจิณ (ว.) แปลว่า เคยประพฤติ, ทำมาแล้ว, เป็นนิสัย, สม่ำเสมอ.



พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา



มาฝึกเอาธรรมะหรือมาฝึกตามใจตัวเอง (เอาธรรมะ)  มาฝึกเพื่อความอดทนหรือมาฝึกเพื่อไม่ต้องอดทน (อดทน)  นั่งฟังอย่างเดียวก็เริ่มเบื่อ เริ่มเมื่อย เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม วันนี้ท่านเก่งที่สุดเลย นั่งฟังโดยไม่พูดได้เกือบวันเลย อดทนเก่งไหม (เก่ง)  เมื่อก่อนมักจะพูดไม่หยุด แต่มาที่นี่ต้องหยุดพูดใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการฝึกฝนธรรมอย่างแรกก็คือ หนึ่งมาฝึกเพื่อลดละความเป็นอัตตาตัวตน อย่างน้อยฝึกให้เรารู้จักอดทนอดกลั้น ฝึกให้เรารู้จักฟังมากกว่าพูด ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้จะเข้าใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราฟังมากกว่าพูดได้ แล้วเราก็ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้เหมือนกัน ไหนใครว่าวันเดียวพอแล้ว (3 วัน)  ทั้งชั้นมีคนเดียวเอง
โดยปกติเราอยู่ในโลก เราไม่เคยใช้คุณธรรมหรือใช้ธรรมในการดำเนินชีวิตเท่าไหร่จริงไหม (จริง)  โอกาสที่เราจะเอาธรรมมาใช้ยากมาก อย่างมากสุดก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ แต่จะปฏิบัติให้เข้าใจธรรมบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเรายังห่างไกล แล้ววันนี้ เราจะทำอย่างไรจึงสามารถเอาธรรมมาใช้ในชีวิตได้ อย่างน้อยวันนี้ไม่มีใครสอนไม่มีใครบอกกล่าว แต่สิ่งที่เราสามารถเอาธรรมะมาใช้ได้ทันทีก็คือจะอดทนได้มากแค่ไหน จะพากเพียรวิริยะจนถึงวันที่ตัวเองสัญญาว่าจะครบ 3 วัน ได้หรือเปล่า จะรักษาสัจจะวาจาได้หรือไม่ อย่างน้อยถ้าเราทำได้ครบ 3 วัน ท่านก็ได้ฝึกธรรมะเรื่องความอดทน ได้ฝึกธรรมะเรื่องสัจจะวาจา เช่นนี้ก็ไม่ยากที่จะนำธรรมะมาใช้ในชีวิต แต่การจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตมีแค่นั้นหรือ ถ้าอย่างนี้เรามาคุยกัน ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนสนทนาคุยกันได้หรือไม่ (ได้)
อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วน่าเชื่อถือ คนที่พูดอะไรใครก็รับฟัง ถ้าอย่างนั้นรับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้ จริงไหม แต่ถ้าครั้งหนึ่งพูดแล้วรักษาคำพูดไว้ไม่ได้ก็ไม่มีใครเคารพ พูดแล้วทำไม่ได้ก็ไม่มีใครเชื่อถือ จริงไหม ถ้าอย่างนั้นทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่มีใครลดคุณค่าเราได้นอกจากตัวเราทำตัวเอง จริงไหม
ระหว่างทำดีกับดวงดี ให้เลือกเอาอันไหน (ทำดี)  จริงหรือ ไม่จริง ส่วนใหญ่มักจะเลือกดวงดีก่อนแล้วค่อยทำดีใช่ไหม ถ้าศิษย์น้องเข้าใจ ศิษย์น้องจะเลือกทำดีมากกว่าดวงดี เพราะว่าทำดีแล้วจะมีดวงที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เลือกทำดีและเอาแต่ดวงดี ศิษย์น้องก็จะมีวันหมดดวง และคนส่วนใหญ่เป็นแบบเลือกแต่ดวงดีแต่ไม่ยอมทำดี ก็เลยไม่มีดวง ถูกไหม ฉะนั้นชะตาชีวิตของเรา คุณค่าชีวิตของเรา ความหมายชีวิตของเรา สุขหรือทุกข์อยู่ที่ดวงดีหรือทำดี (ทำดี)  แล้วถึงเวลาเราเลือกดวงดีหรือทำดี ฉะนั้นที่ดวงไม่ดีก็ต้องถามตัวเองว่าทำดีไหม ไม่ใช่ทำนิดหน่อยแล้วขอ แล้วจะได้ดีไหม (ไม่ได้)  เพราะไปขอหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วความหมายของชีวิตนั้นคืออะไร ความสุขของชีวิตคืออะไร บางครั้งเราพยายามค้นหาชีวิต อยากมีความสุขให้กับชีวิต อยากมีชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย เราก็เลยพยายามทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก็เลือกทำดี บางคนก็เลือกทำดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนหวังอยากดวงดีก็คงพยายามรักษาทุกสิ่งที่ดีและทำดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อความดีนั้นจะได้ป้องกัน ไม่ทำให้เราต้องเจอสิ่งร้ายจริงไหม ความหมายของชีวิตคนคืออะไร เคยไหมเราเจอผลไม้ชนิดหนึ่งท่าทางจะอร่อย หวาน ลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  (ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาหยิบแอบเปิลบนโต๊ะพระมายกตัวอย่าง)  เอาสักสามลูกเลย สามลูกมากแล้ว พอก่อนๆ แล้วเราก็บอก อร่อย นี่คือความหมายของชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  เจออะไรที่ดี เราก็เก็บไว้คนเดียว กับอีกอันหนึ่ง อร่อยนะเอาไหม อร่อยนะแบ่งกัน ไม่เอาหรืออร่อยจริงๆ เอาไหม ไม่มีใครเอาเลยหรือ อยากแบ่งนะอร่อยๆ เอาไหม เอาหรือ อยากเอาหรือ เราให้ เอามีดมา เดี๋ยวเราแบ่งให้ ความหมายของชีวิตของคนบางคนได้อะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว ทำไมต้องแบ่ง ไม่ต้องแบ่งไม่ต้องให้ กับอีกแบบความหมายของชีวิต ได้อะไรมาแล้วแบ่งปัน แบ่งปัน ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นแบบไหนหรือ (แบ่งบัน)
ฉะนั้นดวงดีไม่สู้ทำดี ทำดีที่ไหนเราไปอยู่กับใครก็มีดวงดี แต่ชีวิตของคนไม่ใช่ เวลาได้อะไรมาแล้ว เก็บไว้ก่อนแบ่งไหม ยังไม่แบ่ง ให้ไหม ยังไม่ให้ ทำอย่างไรต่อ ไปหาอีกใช่ไหม (ใช่)  พอได้มากแล้วเป็นอย่างไร ฉันรวย พวกแกมันจน  แล้วก็คิดว่าตัวเองมีมากกว่า แล้วก็มองคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขที่แท้จริง ความหมายชีวิตที่แท้จริง คือการมีแล้วเก็บจนอิ่มเลยไม่สนใจใคร หรือทุกขณะที่มีก็แบ่งปัน ทุกขณะที่ได้ก็แบ่งปันจำไว้นะ ดวงดีไม่สู้ทำดี
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของชีวิตคือ ความสุขที่ไม่ใช่แค่เรามี แต่มีแล้วยังรู้จักให้ ถึงแม้ว่าไม่มี แต่ก็ยังรู้จักถาม เป็นอย่างไรเหนื่อยไหม  เมื่อยไหม สวัสดีลุง สวัสดีป้า  เป็นอย่างไรบ้างฟังธรรมะ สบายไหม ไม่สบายหรือบอกได้ ช่วยนวด เมื่อยไหม ความหมายของชีวิตคนจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรสำเร็จ เราเก่งอะไร เราเป็นอะไร แต่คือ เราอยู่กับใคร เราก็ทำให้เขามีความสุข เราอยู่กับใครเราก็จริงใจ มีน้ำใจ รักใคร่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงเรียกว่าชีวิตที่มีค่ามีความหมาย ถ้าอย่างนั้นชีวิตของเรา คุณค่าและความหมาย อยู่ที่ไหน เงินทอง เกียรติยศหรือ แม้ไม่มีเงินทองแต่เรามีน้ำใจ แม้ไม่มีเงินมากมายแต่เรามีความจริงใจ ความซื่อตรง หรือแม้เราจะมีน้อย แต่เราก็ยังรู้จักแบ่งบัน
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่ความสุขแค่เห็นแก่ตัว มีความสุขที่สามารถส่งให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ มีความสุขได้ด้วย และทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมายด้วย  แต่คนบางคนในโลกนี้ความสุขคืออะไร เอามากกว่าให้ รอมากกว่าที่จะแบ่งปัน ใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์พี่เป็นคนที่อยู่ในโลก แต่อยากมีใครสักคนหนึ่ง  เหงาไหม  บางทีเหงานะ ใช่ไหม คุณค่าและความหมายที่แท้จริงคืออะไร มันทุกข์จังเลย ถ้าอย่างนั้นหาใครสักคนมาเติมเต็มความสุขแล้วปกปิดความทุกข์ของเราในใจดีไหม (ไม่ดี)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมดีไหม (ไม่ดี)  จริงหรือ (จริง)  แต่คนบางคนแปลกนะ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม อยู่คนเดียวก็เหงาแล้ว แต่อยู่กับอีกคนหนึ่งแล้วเขาไม่ใยดีสนใจเรา เหงายิ่งกว่า ถูกไหม (ถูก)  การที่เราคิดว่ามีใครสักคนหนึ่ง จะทำให้เราหายเหงา คิดว่าเอาความสุขของคนอื่นมาปิดความทุกข์ของตัวเอง แล้วจะทำให้ตัวเองมีความสุข  แต่เป็นความสุขที่จอมปลอม  ดั่งที่บอกว่า อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว แต่มีเขาข้างกายแต่ไม่เคยอบอุ่นใจสักวันเลย มันเหงายิ่งกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม  ฉะนั้นตั้งแต่แรกความสุขของเรา เราเข้าใจความหมาย ทุกขณะชีวิตเราปฏิบัติกับทุกคนด้วยความสุข ความเข้าใจ ความรักที่เต็มเปี่ยมแล้ว เราจะขาดแคลนความรัก ขาดแคลนความสุขไหม เพราะทุกวันเราทำได้เต็มที่แล้ว เหมือนการเอาแต่รอให้ใครมารัก กับการที่รู้จักมอบความรักให้กับทุกคน ถามว่าใครทุกข์กว่ากัน (รอให้คนมารัก)
มีใครสักคนจะมารักเราไหม รอไปทุกวันก็ไม่มีความสุขสักที แต่ในทางกลับกัน เราจะรักทุกคนให้เต็มที่ เราจะทำดีกับทุกคนให้เต็มที่ ไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่คน (รัก)  แล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นใครจะรักเราหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราให้คนอื่นได้เรามีให้ทุกคน แล้วชีวิตของศิษย์น้องเป็นแบบไหน ความหมายและคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่การเอาแต่รอให้ดวงดี แต่ทำทุกวันให้เป็นวันที่ดี ด้วยการกระทำของตัวเอง ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรารู้คุณค่าตัวเองแล้ว เรามีความสุขอยู่ที่ไหนเราก็ให้ความสุขกับทุกคน ถ้าวันหนึ่งศิษย์น้องโดนคนด่า โดนคนว่า ศิษย์น้องจะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  เพราะอะไร เพราะเรารู้คุณค่าตัวเอง คำด่าของคนอื่นไม่มีผลต่อใจ แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่รู้จักคุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง คำชมคนอื่นก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะถึงเวลาแล้วเราดีตรงไหน มาชมว่าเราดีแต่จริงๆ เราดีไหม จริงไหม (จริง)  คำว่าคุณค่าและความหมาย เมื่อใดที่มนุษย์เข้าใจตัวเองและปฏิบัติตัวเองได้ถูกมนุษย์จะไม่สูญเสีย แม้โดนว่าหรือโดนชมก็จะไม่เสียความเป็นคนของตัวเอง ดีกว่าคนที่ไม่รู้จักตัวเองและไม่รักษาความดีในตัวเอง ไม่ว่าจะโดนชมโดนว่าก็หวั่นไหว ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนคนไม่สวย ศิษย์น้องเคยยอมรับไหมว่าตัวเองไม่สวย (เคย)  ฉะนั้นใครชมว่าสวยมันก็ไม่มีประโยชน์ ใครว่าเราไม่สวยเราก็ไม่โกรธ เพราะรู้ตัวเองและก็ยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ในชีวิตของเราถ้ารู้ว่าความสุขที่แท้จริง มันไม่ใช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง ตัวเราก็จะสามารถทำให้มีความสุขได้ทุกที่ อยู่ที่ไหนแม้ไม่มีคนใดคนหนึ่งเราก็ยังมีสุขได้ แต่มนุษย์ในโลกมักจะชอบมีสุขอยู่แค่คนๆ เดียว พอคนๆ เดียวตายไป เราก็เลยเป็นอย่างไร (อยู่คนเดียว)  อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว มีเขาแต่ไม่อบอุ่น เหงากว่า ใช่หรือไม่ เอาไว้เตือนใจเลย ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไร ถ้าต้องทนอยู่กับคนที่ไม่รัก และถ้าต้องทนอยู่กับสิ่งไม่ถูกใจเรา เคยไหม ศิษย์น้องเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม เอาเปรียบคนอื่นเป็นภัย แต่ถูกเขาเอาเปรียบเป็นวาสนา และถูกเขาเอาเปรียบแล้วไม่ทำร้ายเขาให้เจ็บใจเป็นวาสนาแล้วยังสร้างเมตตาธรรม เหมือนอยู่ในโลกมีคนรังแกเราบ้างทำร้ายเราบ้าง รังแกคนอื่นเป็นภัย แต่อภัยผู้อื่นเป็นวาสนาและสามารถช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้เป็นกรุณา จริงไหม แล้วถึงเวลาเราอดทนให้เขาเอาเปรียบและรังแกไหวไหม ไม่ไหวหรอก ใช่ไหม แม้จะรู้ว่าที่พูดมันดีแต่ถึงเวลามันทำยาก ศิษย์น้องเคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งไหม ถ้าเวลามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันด่าฉัน ถ้าเราไม่นิ่งชีวิตเราจะถูกเขาบงการ แต่ถ้าเกิดว่าเขาด่าเรา แต่เรานิ่งเราจะสามารถควบคุมตัวเอง บงการตัวเอง และสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมาะสม และเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการได้
น้ำดับไฟได้ฉันใด แต่ถ้าหากเรายืนผิดที่ผิดทาง ไฟก็เผาน้ำให้มอดไหม้ได้ฉันนั้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่รู้จักเข้าใจคุณค่า รู้จักชีวิตตัวเอง รู้จักความหมายในการดำเนินชีวิตตัวเอง เขาย่อมสามารถแปรร้ายเป็นดี แปรบาปเป็นบุญ แปรเคราะห์กรรมเป็นโชค ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเราต้องเจอเคราะห์ร้าย คนที่เอาเปรียบเราคือคนที่จะมีภัย แต่เราจะไม่เอาเปรียบใคร เพราะถ้าโดนเขาเอาเปรียบเราจะได้วาสนาและบุญ โดนเขารังแกเราจะได้วาสนา ฉะนั้นถ้าเราโดนเขาเอาเปรียบ โดนเขารังแก เราจะแปรร้ายเป็นดีหรือแปรร้ายเป็นยิ่งร้าย ศิษย์น้องจำไว้นะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตมากระทบใจแล้วเรานิ่งไม่ได้ เมื่อนั้นเราจะตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ทำเราโกรธ เราก็เป็นทาสอารมณ์โกรธและเดินตามไปโกรธ จริงไหม แต่ถ้าเมื่อใดเรานิ่งได้ เราจะไม่เป็นทาสอารมณ์ของใคร แต่เราจะสามารถควบคุมจัดการ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ถูกหรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจงนิ่งให้ได้ก่อน ทำอย่างไรให้นิ่งได้ วิธีแรกที่จะทำให้นิ่งคือ
  1. ใจต้องไม่แปรปรวน ใจต้องเหมือนเดิม ใจตรง เวลาถูกด่ามา ใจตรงไม่ปรวนแปร
  2. จิตใจต้องมั่นคง
  3. จะต้องไม่พยายามหลุดด่าออกมาเป็นวาจาชั่วร้าย
  4. พยายามอนุเคราะห์เขาด้วยวาจาสุภาพ เป็นประโยชน์ และพยายามเมตตาให้มากที่สุด
ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรมา การบำเพ็ญจึงไม่ใช่ไปแก้เขา การบำเพ็ญคือการหันกลับมา เพราะตัวปัญหาคือใจของเรา และใจของเราที่สร้างปัญหาคือกิเลสที่เกิดในใจ ถ้าเราสามารถมีสติเท่าทัน กิเลสจะมากี่ร้อยกี่พัน เราก็สามารถจัดการได้ เมื่อจัดการภายในได้ ภายนอกถึงจะมีปัญหาก็จะง่าย แต่ถ้าจัดการใจตัวเองไม่ได้ ภายนอกก็ตายแน่เลย จริงไหม (จริง)  ทำยากไหม (ไม่ยาก)
กิเลสสามารถขจัดได้ด้วยคุณธรรมและความถูกต้องอันดีงาม เราอยากจะให้โกรธหายไปได้อย่างไร ถ้าไม่เอาคุณธรรมเมตตาออกมาจากใจ เราอยากจะให้ความเกลียดหายไปได้อย่างไร ถ้าเราไม่รักษาใจของเราให้เมตตาเข้าไว้ เมตตาคือไม่เบียดเบียนใครให้ทุกข์  กรุณาคือนำพาเขาให้พ้นทุกข์  ทำยากไหม ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นนักเรียนในชั้นนี้จะเป็นคนอดทนเก่ง ไม่โกรธเก่ง ทำได้ไม่ได้ (ได้)  กลับบ้านไปโดนสามีถาม กลับบ้านทำไมดึกดื่น  โดนภรรยาถามไปเที่ยวอีหนูที่ไหนมา จะนิ่งได้ไหม (นิ่งได้)  ได้แน่หรือ ยังไม่ทันนิ่งเดินหนีก่อนเลย
ฉะนั้นสิ่งสำคัญเราต้องรู้คุณค่า เข้าใจความหมายตัวเองก่อน  ถ้าทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไยต้องกลัวอุปสรรค ความยากลำบาก แต่ถ้าทำไม่ดี ทำสิ่งไม่ถูกต้อง ต้องระมัดระวังกาย ใจ ตัวเอง
เราอยากมีดวงดี หรือดวงไม่ดี (ดวงดี)  อยากอยู่กันแบบมีกรรม หรือมีมิตร (มีมิตร)  ทุกครั้งทำให้เป็นมิตรหรือทำให้เป็นกรรม ทำให้เป็นมิตรหรือให้เป็นศัตรู (เป็นมิตร)
ฟังแบบนี้ก็ไม่ยากนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าจะเริ่มศึกษาหลักธรรม เริ่มศึกษาการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญก็คืออย่าหนีความเป็นจริงของโลก ถ้าท่านยังไม่สามารถอยู่บนโลก และอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วคิดว่าไปปฏิบัติธรรมจะพ้นทุกข์ ไม่มีทางต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสมบูรณ์พร้อมก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราจะไปปฏิบัติธรรมก็สบาย แต่คนบนโลกมักหนีความจริงแล้วไปปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะและเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ถ้ายังปฏิบัติคุณธรรมแห่งความเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ เหมือนคำพูดที่มนุษย์พูดว่า มนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขจะมาได้ก็ต้องสงบและถึงสุข จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังสงบไม่ได้เราก็ (สุขไม่ได้)  แล้วเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสุขไหม การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการค้นหาความหมายแห่งชีวิต และเอาความหมายแห่งชีวิตมาปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยมีทำนองคลองธรรมเป็นพื้นฐาน และทำนองคลองธรรมพื้นฐานก็คืออยู่ในศีลอยู่ในธรรม เมื่อเราอยู่ในศีลในธรรมถูกต้องแล้ว การจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็ไม่ยาก  แต่สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือไม่เคยอยู่ในศีลในธรรมได้แท้จริงสักครั้ง สามวันดีสี่วัน (ไข้)
ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วขาดสติ จุดยืนของการเป็นคนเราก็จะหวั่นไหวไปกับโลกภายนอกได้ง่าย ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์น้องเคยลำบาก เหนื่อย ขยัน มีความสุข กับสบายแต่ขี้เกียจ เอาเปรียบผู้อื่น และผิดศีลขาดธรรม แบบไหนดีกว่ากัน (อย่างแรก)  ถึงแม้เราจะลำบากหน่อย ได้เงินช้าหน่อย แต่เราไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ไม่ขาดความเป็นคน แล้วเรารู้จักพึ่งตัวเอง ก็จะหาความสุขได้ไม่ยาก แต่ดีกว่าเอาสบายเอาเปรียบ แล้วผิดศีลขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกให้ว่า เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนที่สามารถอดทนและนิ่งได้อย่างแท้จริง บางทีก็ยากนะ ยากไหม (ยาก)  ถ้าอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ภัยก็ไม่เกิด แต่ถ้าเล็กๆ น้อยๆ อดทนไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้อง อย่าดูถูกพลังจิตใจของตัวเอง ถ้ารักจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้าคิดจะดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำอะไรแล้วถึงที่สุดเราก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่เรามา แต่ถ้าวันนี้เราทำดีบ้างไม่ดีบ้าง ชีวิตก็จะเป็นอย่างนี้ กระท่อนกระแท่นๆ อยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่ราบรื่นเวลาทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ เต็มเหนี่ยว ให้สุดแรง ไม่ใช่ว่า เดี๋ยวเอาเดี๋ยวไม่เอา ชีวิตเลยเป็นแบบนี้ ลมเพลมพัด ลมพัดลมเพ ฟ้าไม่ได้กำหนดชีวิตเราแต่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง ความสุขอยู่ที่ (เรา)  ความทุกข์ก็อยู่ที่ (เรา)  ฉะนั้นอยากนั่งแบบมีความสุขหรืออยากนั่งแบบคนมีความทุกข์ อยากนั่งแบบคนมีความสุขแล้วไปให้ถึงบุญไปให้ถึงนิพพาน ไปให้ถึงสวรรค์ นั่งแบบไหนดี นั่งแบบเบื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะบอกให้นะ เราอยากนั่งแล้วทำให้เรามีสุขแล้วได้บุญพ้นทุกข์ ไม่ยากเลย  มันอยู่ที่เราวางความคิดแบบไหน ถ้านั่งแล้วดี ได้ฝึกใจตัวเอง ได้ลดความยึดมั่นถือมั่น ดีได้ปล่อยวางได้โล่งเบาบ้าง ดีได้ลืมตัวเองบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่ายิ่งนั่งฟังยิ่งมีสุข ยิ่งได้บุญ เพราะบุญคือขจัดกิเลส แล้วสามารถลดอัตตาตัวตนได้ เพราะบุญนำไปสู่กุศล และพอขจัดตัวตนแล้ว ดีได้ลืมตัวเองบ้าง ชีวิตมันวุ่นวาย กุศลนำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ที่ไม่ยึดติดตัวตน จริงไหม แล้วเรานั่งเพื่อให้ได้แบบนั้นไหม นั่งแล้วทุกข์ สิ่งที่ได้จึงเป็นนรก ใช่ไหม เราว่าใช่นะศิษย์น้อง จริงไหม ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะฝึกความนิ่งความอดทนให้ได้ และสามารถบำเพ็ญเข้าถึงความถูกต้องและความดีงามได้ถึงที่สุด ศิษย์น้องเคยถูกคนถากถางไหม เคยถูกคนต่อว่าไหม เคยถูกคนดูถูกไหม แล้วเวลาโดนดูถูกถากถางเราเจ็บไหม โกรธไหม ด่าไหม นินทาไหม ศิษย์น้องลองแปรเปลี่ยนเคราะห์กรรมให้เป็นบุญวาสนา ลองแปรเปลี่ยนกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ลองแปรเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นพ้นทุกข์ โดยการเข้าใจความทุกข์ให้ถึงแก่นแท้ ถ้าเรารู้ตัวเราดี เรารู้ว่าเราทำอะไร และเรารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน คำดูถูก คำต่อว่า คำด่าทอ มันจะมีผลอะไรกับใจเราไหม และถ้าเราทำมาตลอดชีวิต เราทำดีที่สุดแล้ว เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว คนดูถูกถากถาง มันจะมีผลกับใจเราไหม แต่เราจะรู้สึกดี แปลว่ามันอิจฉาเรา
ทำไมมีแต่คนอิจฉา มีแต่คนต่อว่า แต่คิดอีกที อย่างน้อยก็มีคนสนใจเรา  ถ้าไม่สนใจไม่บ่นไม่ด่าให้เมื่อยปากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเมตตาว่า ถ้าเวลาเราถูกคนต่อว่า เวลาเราถูกคนดูถูกถางถากให้นึกถึงดิน ขุดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด  พอเป็นหลุมเป็นบ่อก็จะมีคนถมให้เต็ม ฉะนั้น ถ้าเวลาเราโดนคนว่า โดนคนถากถาง รักษาใจให้หนักแน่นเหมือนดิน ได้ไหม (ได้)  แล้วเคยไหมที่ถูกคนเข้าใจผิด เคยไหมที่ถูกคนใส่ไคล้  ถูกยุแยงตะแคงรั่ว ถูกคนเลื่อยขาเก้าอี้ ถูกคนนินทา แล้วเราเคยยุแยงและนินทาเขาไหม (เคย)  ดังนั้นก็อย่าไปว่าคนอื่นเพราะเราก็เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว กงกรรมกงเกวียน ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ศิษย์พี่จะบอกนะ เราไม่อยากเจอสิ่งใด อย่าสร้างเหตุปัจจัยให้เราต้องไปรับผลของสิ่งนั้น ถ้าเราไม่สร้างแล้วสิ่งที่เหลือก็คือกรรมเก่าที่เราเคยทำมาแค่นั้นเอง  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่โดนคนยุแยง ใส่ร้ายป้ายสี โดนคนกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ดี ให้ศิษย์น้องทำใจให้เหมือนฟ้า  เขาใจแคบมา เขาดูถูกมา เขาคับแคบมา ฉันจะ (กว้าง)  ได้ไหม  ไม่ใช่เขาคับแคบมาเราก็ (คับแคบไป)  อย่างนี้จะจบไหม  ชีวิตจะหมดทุกข์ไหม อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย  (สงบ)  อยากอยู่อย่างมีทุกข์หรือสิ้นทุกข์ (สิ้นทุกข์)  แล้วทุกวันนี้ทำแบบสิ้นทุกข์หรือหาทุกข์ (หาทุกข์)
ฉะนั้นเขาแคบมา ร้ายมา ฉันจะดีตอบ กว้างตอบ ฉันจะแปรบาปให้เป็นบุญ จะแปรร้ายให้เป็นดี จะแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  เพราะเกิดมากรรมก็เยอะแล้วจริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากมีกรรมอีกไหม กรรมไม่แบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครคับแคบมา เราจะใจกว้างยิ่งกว่ากว้าง  ดีไหม (ดี)  จำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำจิตใจให้เหมือนดิน เหมือนฟ้า แล้วบางทีเรื่องบางเรื่องมันเจ็บปวดใจ ลืมไม่ลง ถ้าอย่างนั้นจงทำใจให้เหมือนน้ำไหลแล้วไม่ย้อนกลับ เพราะชีวิตอยากสงบ ไปแล้วก็ไปลับ แต่เราไปแล้วก็กลับ เขาด่าจบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เขายืมเงินเราไป จบแล้วยัง (จบแล้ว)  แต่เราไม่จบ เพราะอะไรให้เขายืมไปเยอะ ช่วยไม่ได้ก็ให้เขายืมเยอะทำไม
ชีวิตก็แบบนี้นะศิษย์น้อง บางอย่างถ้ามันไปแล้วมันไม่เคยกลับมา ของถ้ามันจะเป็นของเรามันก็เป็นของเรา ถ้าทำบุญกันมาแค่นี้ก็ต้องยอมรับแค่นี้ ฉะนั้นธรรมชาติสอนธรรมะเสมอ บางอย่างผ่านไปแล้วเอาเก็บกลับมาให้มันเน่าในใจทำไม น้ำถ้าไม่ไหลเวียนมีแต่เน่าใน แล้วเราปล่อยให้ผ่านแล้วผ่านไปหรือว่าเราเก็บกักไว้ ไหลผ่านหรือเน่าใน (ไหลผ่าน)
อย่าให้มองเลยคนนั้นเห็นแล้วเบื่อ อย่าให้พูดถึงเลยเจ็บใจ  แล้วอยู่อย่างนี้มีความสุขไหม ฉะนั้นถ้าเรานิ่งได้ ยอมรับความจริงได้ มีจุดยืนในการเป็นคนได้ คนทุกคนไม่ใช่ปัญหา คนทุกคนไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่คนทุกคนกลับมาทำให้เราเข้าใจตัวเองและเรียนรู้ที่จะดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ทำให้เกิดทุกข์ใจ และสร้างปัญหากับคนรอบข้าง บำเพ็ญแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เป็นเหมือน ( ดิน ฟ้าและน้ำ)  ฉะนั้นลองฝึกความอดทน ฝึกความใจนิ่งให้ได้อย่าง ดิน ฟ้า และน้ำ ศิษย์น้องก็จะเป็นถุงหนังที่ฟอกแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ ใครตีอย่างไรก็ไม่ดำ ถ้าฟอกดี บำเพ็ญดี ใครตีอย่างไรก็ไม่ทุกข์
ถ้าเราทำได้ดีก็ไม่ต้องกังวลว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน และเราก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปแขวนอยู่กับดวงราหู เพราะเรารู้จักควบคุมชีวิตตัวเอง คนที่รู้จักควบคุมตัวเองรู้จักคุณค่าความหมายของชีวิตตัวเอง แม้หมอดูก็ดูชะตาชีวิตเขาไม่ได้ เพราะสามารถพลิกผันไปได้ด้วยสติปัญญาของเขา ที่จะดำเนินชีวิตไปเช่นไร แต่สงสัยคงหาได้ยาก  เพราะชีวิตยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เลย จริงไหม (จริง)
ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ขอคุยกับศิษย์น้องเบื้องต้นง่ายๆ  แบบนี้ก่อน ไม่ยาก  ฉะนั้นลองไปฝึกฝนปฏิบัติดู ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรายังทำไม่ถูกต้อง และนิ่งไม่ได้  ก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะต้องหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำถูกต้องและนิ่งได้ อะไรมากระทบ เราก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเรารู้คุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง แล้วเราก็สามารถมีสุขได้
ถ้ามีโอกาสลองมาศึกษาเพิ่มเติม ดีหรือไม่ (ดี)  ให้เวลากับชีวิตตัวเองเพียงวันเดียวเองหรือน่าเสียดาย ชีวิตก็คือธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจเรียนรู้ธรรมจะเข้าใจชีวิตหรือ  แล้วเรียนรู้ธรรม เรียนรู้ชีวิตเพียงวันเดียวจะเข้าใจไหม ไม่มีทาง เพราะทุกวันเรามัวแต่ปล่อยชีวิตไป แต่เราไม่เข้าใจชีวิต การมาฟังธรรมคือการย้อนมองตน เรียนรู้ การเข้าใจความเป็นคนที่แท้จริง คนเช่นไร ที่เรียกว่ามีธรรม และมีธรรมเช่นไร ที่จะนำพาให้เรามีสุขและพ้นทุกข์  ถ้าไม่ใช่การเรียนรู้และเข้าใจความหมายการเกิดเป็นคนที่แท้จริง
ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่คนอื่น คุณค่าความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่อยู่ที่ตัวเราทำเช่นไร เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ หรือแบ่งปันมีน้ำใจ ห่วงแต่ตนไม่ห่วงใคร รู้จักห่วงผู้อื่นหรือห่วงตัวเอง ฉะนั้นคนที่จะเข้าใจชีวิตคนอื่นได้คือคนที่เข้าใจชีวิตตัวเอง เหมือนศิษย์น้องถ้ามีความสุข ก็สามารถแบ่งปันความสุขได้อย่างไม่เหนื่อยหน่าย ไม่มีมีวันหมด
แต่ถ้าเรารู้และเชื่อมั่นในความสุขในใจของตัวเอง แล้วไม่กลัวว่าจะหมดยิ่งให้ก็ยิ่งมี จริงไหม (จริง)  เอาแค่ง่ายๆ ยิ้ม พอเรายิ้มคนอื่นเขาก็ยิ้มตอบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขและความดีก็เช่นกัน ขอเพียงเราให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเต็มใจ มันจะไม่มีกลับมาเลยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคุณค่าและความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันอยู่ที่ตัวศิษย์น้องทำตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพน่ารักน่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ถ้าไม่ทิ้งโอกาสตัวเองนะ


วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เคี่ยวเข็ญตนงำนำแสงประกาย ฝึกบำเพ็ญเป็นหัวใจคนได้ดีเพราะธรรม อวดเบ่งเกินเป็นคางคก ชอบพูดยกตัวหน้าตาคว่ำ ทบทวนการกระทำ      รู้เรารู้เขารู้ตัว
                   ทำนองเพลง : ลูกทุ่งเสียงทอง
ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม

                   เราคือ
 จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว         ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับกันบ้างไหม   
                     
คงเพราะใจวุ่นวุ่นมานาน    ได้คืนบ้านแห่งใจบ้างไหม ไม่ว่าการกระทำและคำพูดใด ที่แล้วล้วนเจอปัญหา
ต่างก็ผ่านชีวิตมานาน เจ้ามีด้านแห่งธรรมบ้างไหม ใช้สติเท่าทันและความชั่งใจเปลี่ยนชีวิตไปด้วยศรัทธา
*ต่างคนต่างช่วยไปมา ต่างกันแต่ไม่เป็นไร
**ต่างบำเพ็ญด้วยหลักธรรม ต่างกันแค่คิดบางอย่าง แต่ช่วยกันดี     ต่างกับเหมือนอยู่ที่ใจ ไม่มีเรื่องไหนเรื่องใหม่ ศิษย์พากเพียรมานักต่อนัก
(ซ้ำทั้งเพลง, **, ** )

ทำนองเพลง : หมื่นคำลา
ชื่อเพลง ต่างคิดแต่ไม่ต่างธรรม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ให้เลือกระหว่าง เรามาแล้วท่านต้องช้าไปอีกสี่หรือห้าชั่วโมง กับอีกอย่างคือให้เรากลับไปเลยท่านจะได้เร็วขึ้น เอาอย่างไหน ให้โอกาสท่านเลือกนะ เพราะอย่างไรก็มีพรุ่งนี้อีกวัน ชีวิตมีโอกาสเลือกได้ไม่กี่ครั้ง จริงๆ  ในโลกนี้เรามีโอกาสเลือกที่จะทำได้ เลือกที่จะเป็นได้ แต่อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เราเข้าถึงธรรมะที่ฟังบ้างไหม (เข้าถึง)  เข้าหูซ้ายออกหูขวา อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจอะไร น่าเสียดาย ถ้ามาฟังวันครึ่ง เกือบสองวันแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร จริงไหม
อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าธรรมะคือความธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ธรรมะคือความเป็นกลาง แต่ถ้าหากว่าเราเอียงซ้ายเอียงขวา ก็แปลว่าเราไม่ค่อยมีธรรมะ เราไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดาได้ ก็แปลว่าเราไม่เข้าใจธรรมะ ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราเห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทำให้เราเจอธรรมะ แต่เราเคยเห็นความเป็นธรรมดาไหม แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เห็นธรรมไหม เห็นทุกข์มากกว่าเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าความหมายของธรรมะคืออะไร ถ้าธรรมคือความธรรมดา ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง และธรรมคือความสามัญ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ซิกซ์เซนส์[1] ใช่หรือไม่ คนมักจะบอกว่าฉันมีเซนส์ ฉันรู้ แต่ว่าตราบใดสิ่งที่ศิษย์รู้ยังมีความหลง ยังมีกิเลสเคลือบแคลง ยังมีความยึดมั่นถือมั่น นั่นก็ไม่ไช่เรียกว่าธรรม นั่นก็ไม่สามารถเป็นธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ได้ เหมือนศิษย์บอกว่า เราก็ดีแล้วจะบำเพ็ญธรรมทำไม แล้วจะรู้ธรรมมากมายทำไม ฉันไม่ได้อยากเป็นอรหันต์ ไม่ได้อยากพ้นทุกข์ จริงไหม
อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  แล้วเป็นคนดีหรือยัง อย่าบอกว่าดีข้างหนึ่งไม่ดีข้างหนึ่งนะ แบบนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  สมมติอาจารย์ก็เป็นคนดีทำบุญตักบาตร แต่พอเจอใครก็บ่น อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าศิษย์ตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญ ศิษย์ต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า การเรียนรู้ธรรมคือสอนให้เราเป็นกลาง ไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวา ยอมรับในความเป็นจริงอันธรรมดาสามัญโดยไม่เกิดทุกข์ เมื่อใดศิษย์เข้าใจธรรมอันธรรมดาสามัญและเป็นกลางได้ ศิษย์ก็ค้นพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เรายอมรับความเป็นจริงไหม เมื่อเราไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาศิษย์ก็เลยต้องทุกข์ เมื่อเราไม่สามารถยืนอยู่ในความเป็นกลางได้ ศิษย์ก็เลยเอียง คนนั้นไม่ดี คนนี้เขาเลว ศิษย์รักษาความเป็นกลางไม่ได้ ศิษย์ก็เลยทุกข์ เพราะธรรมคือความเป็นกลาง เมื่อใดเรายอมรับความสามัญได้ รักษาใจเป็นกลางได้ ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นธรรมง่ายไหม (ง่าย)  แล้วเราเห็นธรรมแบบนี้ไหม เรามักจะรักลำเอียง ถูกไหม เมื่อใจแบ่งแยกแล้วก็ชอบยึดติดในการแบ่งแยกจนไม่สามารถมองเห็นความเป็นธรรมได้
ถ้าวันนี้อาจารย์จะมาคุยกับศิษย์ในเรื่องความทุกข์และทางดับทุกข์ ศิษย์จะอนุญาตให้อาจารย์อยู่ด้วยไหม (อนุญาต)  เต็มใจไหม (เต็มใจ)  เพราะถ้าไม่เต็มใจไม่อนุญาตก็จะไม่ฝืนทำให้ใครทุกข์ ก็ศิษย์ไม่อยากทุกข์ อกเขาอกเราอาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ แล้วก็ไม่อยากเห็นใครทำหน้าทุกข์เวลาอยู่กับอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเกิดเป็นคนทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวของตัวเองยังไม่พอ ยังไปทุกข์กับหัวจรดเท้าของคนอื่นอีก จริงไหม ฉะนั้นเรามารู้วิธีแก้ทุกข์กันง่ายๆ ดีไหม
เขาแต่งตัวประหลาดก็เรื่องของเขา ถูกไหม แต่ปากเรา ใจเรา ทำไมแต่งแบบนี้ ทุเรศจริงๆ ไม่ดูตัวเองเลย ว่าเขาไหม แล้วทุกข์ไหม พูดและบ่นไหม แล้วลืมดูตัวเองว่าแต่งตัวอะไร ใช่หรือไม่ การแต่งตัวก็บ่งบอกความเป็นตัวเองเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้กำลังทุกข์เรื่องการแต่งตัวของอาจารย์ บอกแล้วมนุษย์ทุกข์หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหนถ้าอยากให้คนเคารพให้เกียรติ เราก็ต้องรู้จัก (เคารพให้เกียรติผู้อื่น)  เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคน และนอกจากเคารพให้เกียรติแล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเป็นคนน่ารักยิ่งกว่าคนอื่นก็คือ  การอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่าย และอาจารย์ก็คิดว่านักเรียนชั้นนี้ อ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่ายใช่ไหม (ใช่)
อยากอยู่ที่ไหนให้คนมีสัมมาคารวะ อยากอยู่ที่ไหนให้คนอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องเริ่มที่ตัวเรา อยากอยู่ที่ไหนมีคนให้เกียรติ ก็ต้องอยู่ที่เราให้เกียรติเขาไหม ก็อยู่ที่เราทำดีกับเขาไหม อย่าไปชี้หน้าว่าเขา แต่ตัวเราใจดำ อย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นไม่มีมารยาท แต่ตัวเองไม่เคยมีเมตตากับใคร
มนุษย์เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถ้าเราเป็นคนดี เราจะทุกข์ไหม คนดีทุกข์ไหม (ทุกข์)  ก็ยังมีทุกข์ตามประสาคนดีอยู่ ทุกข์มีหลากหลายแบบ และมีทุกข์อีกแบบที่เราหนีไม่พ้น แม้จะเป็นคนดีอย่างไรก็หนีทุกข์นี้ไม่พ้น ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความแก่ เจ็บ ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  เป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจและทำให้เราพ้นทุกข์ได้
เรามีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เรามักเจอกันคือ ทุกข์แห่งความสุข ทุกข์กับสิ่งที่เรียกว่าดีร้าย สิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ภัย สิ่งที่เราเรียกว่าได้เสีย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเรา คนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเราก็ทุกข์ แค่เพราะว่าเขาชมศิษย์ว่าสวย ปกติออกจากบ้านไม่เคยดูกระจก พรุ่งนี้เวลาออกจากบ้านต้องดูกระจกก่อนว่าสวยหรือยัง วันนี้เขาชมศิษย์ว่าแต่งตัวดูดี พรุ่งนี้ออกจากบ้านเริ่มลำบากแล้วว่า จะใส่ชุดอะไรดี ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์มีทุกข์อีกประเภทหนึ่งที่เกิดจากการกระทำ ทุกข์ที่เกิดจากผลของการกระทำ เป็นทุกข์ที่เราสร้างเหตุมา แล้วเราต้องรับผลของปัจจัยที่เราสร้างเหตุนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทุกข์แรกเราหนีไม่พ้น แล้วทุกข์นี้เราสามารถที่จะควบคุมและทำให้เบาบางได้ไหม ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราเคยมองเห็นไหม (มองเห็น)  แล้วเคยคิดที่จะขจัดทุกข์ไหม (เคย)  ด้วยการไปหาความสุขจนใจทุกข์ นั้นคือการแก้ที่ถูกไหม (ไม่ถูก)  ด้วยการหนีทุกข์ไปเลย แล้วไปเจอทุกข์ใหม่  ด้วยการไปบวชชีสามวันเจ็ดวัน แล้วกลับมาจะได้ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราทุกข์เพราะอะไร อาจารย์จะมาพูดทุกข์อันนี้กัน แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีวิธีแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้มันมีไฟก็ต้องมีน้ำดับ ถูกไหม (ถูก)  ถ้ามันมีทุกข์แล้วจะไม่มีวิธีดับทุกข์หรือ ถ้ามีทุกข์จะไม่มีวิธีพ้นทุกข์หรือ มีแต่เราเคยหาไหม (ไม่เคย)  เอาไว้ก่อนขอสุขก่อน เวลาสุขจนถึงที่สุดมันกลับมาเป็น (ทุกข์)  แล้วตอนนี้จะหันหน้ามาสู้กับมันไหม (สู้)  เหมือนตอนนี้นั่งแล้วเมื่อย สู้ไม้สู้ (สู้)  นั่งต่อไหม (ต่อ)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องหันกลับมาดูก็คือ ความทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้างเอง กำหนดเอง แล้วก็ตายเอง ความทุกข์ที่เราหามาเองแล้วก็หนีไม่พ้นเอง แล้วเราจะแก้อย่างไร เราก็ต้องดูก่อนว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์
อาจารย์ถามหน่อยแล้วเราทุกข์เพราะอะไร เรามาแก้กัน ทุกข์เพราะความคิด จริงไหม ถ้าอย่างนั้นเวลาเราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่เป็นอย่างใจ คิดให้มันไปซ้ายแต่มันไปขวา คิดให้มันดีแต่มันไม่ดี คิดว่ามันจะสำเร็จมันกลับ (ไม่สำเร็จ)  คิดอย่างได้อีกอย่างทุกทีเลย ใช่หรือไม่ แล้วทำอย่างไรที่เราจะแก้ความคิดได้ ถ้าอย่างนั้นศิษย์ไปไหว้พระเก้าวัดเจ็ดวัดศิษย์จะได้หายจากความทุกข์ที่เกิดจากความคิด ศิษย์ไปทำบุญจะได้ถวายส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันต้องแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ความคิดที่เรายึดติดที่ทำให้เราทุกข์ ความคิดที่ขาดสติ เพราะเอาแต่คิดแต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นความทุกข์จะกลายเป็นความพ้นทุกข์ได้ถ้าเรารู้จักพลิกความคิดเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน จริงไหม สมมติว่าตั้งความหวังไว้สูงแต่มันได้แค่นี้ หวังว่ามันจะดีมากแต่มันได้แค่นี้ ทำใจได้ไหม ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยทำใจได้มันก็พ้นทุกข์ ทำใจไม่ได้มันก็ทุกข์ต่อไป เพราะไม่มีใครเปลี่ยนความคิดในใจศิษย์ได้นอกจากศิษย์ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมไม่คิดว่า แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม เพราะไม่แน่ทำใหม่จากที่ตอนแรกมันได้แค่นี้ แต่ตั้งไว้แค่นี้ พอทำใหม่มันอาจได้ (นิดเดียว)  และถ้ามันต่ำกว่านี้ศิษย์จะทุกข์ไหม ถ้าศิษย์ทำเต็มที่ทำดีที่สุดและทำทุกวันให้ถูกต้องงดงาม ผลมันไม่ได้อยู่ที่ตอนท้าย แต่ผลมันอยู่ที่ทุกๆ วันเราทำ เหมือนวันนี้ความสุขของศิษย์อย่าไปกำหนดที่บั้นปลาย แต่ความสุขของศิษย์ควรจะกำหนดอยู่ที่ทุกๆ วันได้ทำอะไร ใช่ไหม
ศิษย์บอกว่า พอถึงเวลาถึงที่สุดแล้ว มีก็ดีกว่าไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยพอไม่มีก็ดีกว่าที่จะไม่เคยได้รู้จักเลยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนความคิดเราให้ได้ คนที่ทุกข์และคนที่เจ็บคือตัวเรานะศิษย์จริงไหม (จริง)  คนที่เราคาดหวัง คนที่เราหวังดีเขาสนใจไหม (ไม่สนใจ)  ก็ไม่สนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาทุกข์กับเราไหม (ไม่)  แล้วเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกของความเป็นจริงนี้ บังคับใครบังคับอะไรให้เป็นดังใจไม่ได้ และควบคุมให้มันเป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ แล้วอยากจะควบคุมไหม ยังอยากจะยึดติดไหม (ไม่)  จริงหรือ (จริง)
ถ้าอาจารย์ถามว่าได้แอปเปิลลูกนี้แล้วมีความสุขเอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยถึงจะรู้ความจริง แต่ถึงที่สุดศิษย์ก็เอา อาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่ควบคุมได้ วันนี้ปากก็บอกว่ามันสุขที่สุด แต่สุขที่สุดที่ศิษย์เคยเจอ มันก็ให้ทุกข์ได้จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์ให้มังคุดลูกนี้ แล้วทำอะไรมันจะคุด มันจะอับเฉา มันจะไม่งอกเงยเลยเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย ทุกสิ่งถึงแม้จะเป็นจริงขนาดไหน แต่มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ถึงเราจะควบคุมมันไม่ได้ และมันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาด แม้ร้ายมันก็มีดี แม้ดีมันก็ไม่ใช่จะดีไปทั้งหมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวมันไม่ได้อยู่ที่ความคิด แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใจเราต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และเราจะควบคุมมันได้หรือไม่ อาจารย์ถามว่า ถ้าสองอย่างนี้เอาไม่เอาสุขด้วยทุกข์ด้วยเอาไหม   มนุษย์จึงหนีไม่พ้นทั้งที่รู้อยู่ว่า มีอะไรสุขแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ต้นเหตุที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมความอยากได้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งนั้นอาจจะทำให้เกิดทุกข์ไม่ต่างกับสุข สุขไม่ต่างกับทุกข์
โดยส่วนใหญ่เราอยากทุกข์หรืออยากสุข (สุข)  รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหน ก็มาจากความสุข มาจากอะไรอีก (ความอยาก)  มาจากความอยาก ความโลภ ความเกลียด ความหลง แล้วศิษย์รู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เมื่อเกิดขึ้นในใจเราแล้ว เราจะหนีไม่พ้นบาป และหนีไม่พ้นทุกข์ เวรกรรม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็ต้องพยายามควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง  ถ้าควบคุมไม่ได้มันก็จะทำโทษเรา เหมือนที่เมื่อไรมนุษย์ไม่รู้จักใจตัวเอง มนุษย์ก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสร่ำไป  ถ้าเรารู้ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งบาป แห่งอกุศล และความทุกข์ และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถ้าเราอยากเป็นทุกข์น้อยๆ  เราก็จะไม่เป็นทาสของโลภ โกรธ  หลง  แล้วเราเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง มีไหม (มี)  ถ้าศิษย์รู้ว่าศิษย์มี แสดงว่าศิษย์มีใจยอมรับ และเมื่อยอมรับให้มีครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที (สอง)   ครั้งที่  (สาม)  ครั้งที่  (สี่)  แล้วหยุดไหม ไม่หยุด ฉะนั้นเรามารู้จัก โลภ โกรธ หลง ในตัวเราหน่อยดีไหม
ศิษย์จำไว้ ถ้าศิษย์อยากจะเอาชนะและควบคุมได้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักมันให้ชัด ถ้ารู้จักมันชัด ควบคุมมันได้ มันก็ไม่มีอิทธิพลต่อเรา อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม มีรูปร่างไหม แล้วนิสัยมันเป็นอย่างไรศิษย์อยากรู้ไหม มันชอบคนเข้าข้าง มันชอบคนใส่ใจ และมันชอบคนให้ค่าและเอาใจ แต่มันมีนิสัยอย่างหนึ่ง คือมันไม่ชอบคนไม่เห็นค่า ถ้าเมื่อไรไม่เห็นค่ามัน มันจะขี้อายและมันจะบอกว่า ไปก็ได้ และมันก็เกลียดคนรู้ทัน เวลาเราจะโกรธ เขาด่ามา โกรธไหม แต่ว่าโกรธมาอย่าไปเห็นโกรธเขา ให้เห็นโกรธในตัวเรา พอโกรธมา บอกเห็นแล้วไม่เอา แล้วโกรธจะอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แต่เวลาเห็นโกรธแล้วให้ค่ามันไหม เอาไหม (เอา)  เป็นไหม (เป็น)  แล้วก็เลยหนีไม่พ้นวิบากกรรม บาป และทุกข์ที่ศิษย์ก่อก็กลายเป็นเวรกรรมที่ต้องมาชดใช้เกี่ยวกรรมกัน ฉะนั้นทางศาสนาพุทธสอนไว้ว่า จงมีศีล สมาธิ ปัญญา แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้ทำที่วัด แต่ทำตอนที่เขาโกรธเรา และเราจะโกรธตอบ อยากมีศีลไหม ศีลคือไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่กระทำผิด ฉะนั้นพอโกรธมา ฉันจะมีศีล ฉันจะมีสมาธิที่มั่นคงในศีล และฉันจะมีปัญญาเห็นแจ้ง เอาสิ่งนั้นมาขจัดให้ฉันพ้นทุกข์และล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ทานคือการสละออกโดยไม่ยึดติด และถ้าหากทานนั้นเป็นธรรมะทานก็เป็นทานอันประเสริฐ ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราเห็นความโกรธ เราไม่โกรธ และเรายังเอาความไม่โกรธนั้นมาทำให้เราไม่ผิดศีล มีสมาธิ มีปัญญาเห็นแจ้ง และชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ คนที่ด่าเรา เรากำลังได้ทำบุญทำทาน จริงไหม
แล้วถ้าหากคนที่ด่าเรา สามารถทำให้เราละความยึดมั่นในตัวตนได้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นอกจากทำบุญทำทานแล้วยังได้กุศลด้วย ฉะนั้นการทำบุญที่แท้จริง จึงไม่ใช่การอยู่แค่ในวัด แต่เราสามารถทำได้ทุกที่ แล้วถ้าบุญนั้นไม่เจาะจงด้วยก็เป็นเหมือนสังฆทานที่ใหญ่ กับใครเราก็ทำบุญ ใครด่ามาเราก็ได้ทำบุญ ใครนินทามาเราก็ได้ทำบุญ ดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราก็สามารถปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ไม่สร้างทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่เขาด่ามา อย่าเห็นแต่เขาให้กลับมาเห็นเรา อย่าเห็นแต่กิเลสในตัวเขาแต่ให้กลับมาเห็นกิเลสในตัวเรา ถ้าหากเห็นอะไรสวยๆ งามๆ อยากไหม (อยาก)  อาจารย์บอกว่ากินอันนี้จะถูกลอตเตอรี่ เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกแล้วนะความโลภมันเกิดแค่นิดหนึ่ง มันก็หนีไม่พ้นบาป กรรม ทุกข์ เลขสามตัวเอาไหม เอา ไปโลภก่อนแล้วทำบุญทีหลังมันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ให้จริงนะ  พออาจารย์จี้กงไปก็หากันอีก เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์เอ๋ยอย่ามองเห็นเป็นความโลภเล็กๆ เหมือนทำบุญทำดี ถ้าอยากให้บริสุทธิ์ อยากให้พ้นทุกข์ บุญนั้นต้องไม่อิงแอบซึ่งความหลง ความโลภ เหมือนทำดีแล้วขอพร ขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้สบาย แบบนี้การทำบุญถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าทำแล้วใจยังอิงแอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็หนีไม่พ้นบาป ถึงบอกว่าทำดีแค่ไหน แต่ถ้ายังละโลภ โกรธ หลง ไปจากใจไม่ได้ ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์แท้จริง
อย่างนั้นเรามาเข้าใจหน่อยนะว่าแล้วทำดีเพื่ออะไร เราทำดีเพื่อป้องกันการเกิดกิเลส บางทีมันอดไม่ได้อาจารย์ เห็นแล้วสวย เห็นแล้วหล่อ เห็นแล้วต้องขูดหน่อยสามตัว ทำไมมันไม่ออก มันต้องออกสิ ขอขูด บ้างดีกว่า ใช่ไหม มันก็อยากอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรที่จะอยู่ในโลก อยากแล้วศิษย์ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ให้ศิษย์เอาศีลมาเป็นตัวกรอง เอาคุณธรรมมาเป็นตัวปกป้อง ศีลทำให้เราไม่ผิด ไม่บาป ใช่หรือไม่ อาจารย์มีธรรมะ มีเมตตา แล้วศิษย์มีเมตตาไหม เมตตาในใจ ศิษย์จะอยากโลภไหม รู้ว่ามันเป็นของคนอื่น ศิษย์จะอยากเอามาเป็นของเราไหม ถ้ามีเมตตาในใจ ถ้ารู้จักซื่อตรงในใจเอาไหม แต่ถ้าหากไม่มีเมตตา ไม่มีความซื่อตรงเอาไหม  อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง คุ้มครองและป้องกันได้ด้วยศีลและธรรม ศีลทำให้เราไม่ผิดพลาด ไม่ทำให้เราหลงใหลไปในทางต่ำ ส่วนธรรมทำให้เวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ปฏิบัติกับเขาได้อย่างสงบสุข เหมือนเราเคารพให้เกียรติกัน เคารพให้เกียรติความซื่อตรงจริงใจกัน เหมือนเราจะทำร้ายเขา ศิษย์ก็บอกอาจารย์ นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร บางทีเราโกรธเขา บางทีเกลียดเขา เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์ถามลึกๆ ไม่โกรธ แต่อย่าเป็นอีก ใช่ไหม
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อย่าบอกว่านิดเดียว โกรธนิดหน่อยเอง   ไปเอามานิดหน่อยเอง เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปแก้ใหม่ได้ หายกันไหม (ไม่หาย)  แล้วบางคนเวลาเอาคืน เขาเอาคืนเบาๆ ไหม (ไม่เบา)  เราตีเขาแปะเดียว เขาทุบเราเอาถึงตาย
ศิษย์อย่าดูเบาเรื่องความโลภ โกรธ หลงในใจ อย่าดูเบาเรื่องความผิดพลาดในชีวิต เพราะถ้าผิดพลาดไปแล้ว ต่อให้เอาน้ำทั้งโลกมาล้าง ก็ล้างไม่ได้ ต่อให้ศิษย์ทำดีตลอดชีวิต ก็แก้ความรู้สึกผิดในใจของศิษย์ไม่หมด จริงไหม ฉะนั้นเราควรที่จะอยู่อย่างคนที่มีสติ  ไม่ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง แล้วศิษย์จะเบาบางทุกข์ไปได้ครึ่งหนึ่งของชีวิตได้เลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ทำนอง : ลูกทุ่งเสียงทอง และทำนองเพลง : หมื่นคำลา)
อาจารย์ให้เพลงสองเพลง เพลงหนึ่งทำนองเพลง ลูกทุ่งเสียงทอง อีกเพลงหนึ่งเป็นแบบวัยรุ่นช้าๆ เนิบๆ ให้เพลงแล้ว อาจารย์จะเอากลอนพระโอวาทมาแยกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายโดยนัย กลับไปให้ศิษย์เอาไว้คิดดีไหม (ดี)  แต่อาจารย์ก็ยังมีธรรมะอีกหลายเรื่องที่อยากจะถกกับศิษย์  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดเรื่องความทุกข์ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ บางทีถ้าเรารู้ว่าเป็นทุกข์ ความแก่เจ็บตาย เราจะพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แก่เจ็บตายเป็นทุกข์ของสังขารหรือเป็นทุกข์ของจิตญาณ (สังขาร)  ในเมื่อเป็นทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของจิตญาณเดิมแท้ แปลว่าญาณเดิมแท้ของเราไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายได้ หรือเป็นเพราะว่าที่เราสามารถพ้นทุกข์ได้ เพราะเรายึดมั่นถือมั่นกับ (กายสังขาร)
เคยนั่งรถไปบนถนน แล้วเห็นถนนพยับแดด รู้จักพยับแดดไหม คือมองไกลเห็นเป็นน้ำ แต่พอเข้าไปใกล้ไม่มี อาจารย์ถามหน่อย ชีวิต สังขาร เหมือนพยับแดดไหม มองไกลๆ เห็นไหม (เห็น)  มองใกล้ๆ เห็นไหม (เห็น)  แต่ในความเห็น ให้มองไปถึงที่สุดมันเห็นไหม มีไหม อย่างนี้เรียกว่า กายสังขาร และอันนี้เรียกว่าตัวเรา ควบคุม บังคับไม่ได้ ไม่เป็นดั่งใจเรา และเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ ตีตรงนี้ก็ (เจ็บ)  หยิกตรงนี้ก็ (เจ็บ)  ดึงตรงนี้ก็ (เจ็บ)  เป็นลางแห่งความทุกข์ ถ้าเรายึดทุกที่ก็ทุกข์ ถ้าไม่ยึดสักที่ก็ไม่เจ็บ อาจารย์ถามว่า ถ้าเราสามารถรู้จนสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เรียกว่าปัญญาตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมะ เหมือนที่พระพุทธะบอกว่า ให้เรามีจิตที่สงบและมองเห็นความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้ง แล้วความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้งนั้น เราสามารถมองเห็นได้ไหม (ได้)  รู้ได้ไหม รู้ได้ เราก็จะพ้นทุกข์ได้ ถามจริงๆ ตัวเรานี้เรียกว่า สังขาร ถูกไหม (ถูก)  มองเข้าไปในผิวหนังเป็นเลือดเนื้อ มองเข้าไปในเลือดเนื้อเป็นกระดูก มองเข้าไปในกระดูกเป็นตับไต ไส้พุง มองเข้าไปในตับไตไส้พุงเป็นธาตุ ใช่หรือไม่ มองผ่านธาตุเป็น (ความว่างเปล่า)  ร่างกายมันเหมือนพยับแดดเราเห็นว่ามันมี แต่ว่าไปถึงที่สุดมันมีไหม (พระอาจารย์เมตตาชี้ส่วนของร่างกาย)  อันไหนตัว ต้องเป็นทั้งหมดถึงจะเรียกว่าตัว แล้วทั้งหมดนี้เรียกว่าตัว แล้วเมื่อก่อนไม่ตัวหรือ เมื่อก่อนที่เล็กกว่านี้ตัวไหม แล้วต่อไปเหี่ยวกว่านี้ตัวไหม แล้วอันไหนตัว
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เห็น สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมันจริงๆ เพราะถ้าศิษย์เห็นเข้าใจมันจริงๆ ที่กำลังด่าเรา ที่กำลังว่าเรามันเหมือนพยับแดด มองใกล้ๆ เข้าไปอีก เขายืนด่าเราไหม ผ่านไปอีกชั่วโมงเขายังด่าไหม ผ่านไปอีกสองชั่วโมงยังด่าไหม ถ้าทั้งวันยังด่าก็เกินไปแล้ว จริงไหม มันก็เหมือนกับพยับแดด เหมือนว่าเห็นเขาด่าเราก็จริง แต่พอเราเข้าไปใกล้จนถึงที่สุด ใกล้จนถึงที่สุด มีก็เหมือนไม่มี และอยู่ตลอดไหม แล้วเราที่โดนด่า มีไหม (ไม่มี)  ยึดติดมันก็มีแต่ถ้าไม่ยึดติดมันก็ไม่มีกลายไปความว่างกับความว่างกำลังด่ากันอยู่ แล้วเราอยากเอาตัวเราไปรับทุกข์ไหม ทั้งที่เขาก็ว่าง เราก็ว่าง เขาก็ไม่มี เราก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นที่เราทุกข์เพราะเขาด่าเราโง่ไม่โง่ โง่ที่เราไม่เคยเห็นความจริง บางคนบอกว่า อาจารย์ก็มันอดไม่ได้ โลกนี้มีดีและไม่ดี ถ้าอย่างนั้นคนดูถูกเรา ดีไม่ดี คนด่าเรา ดีไม่ดี (ไม่ดี)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เห็นจริง เคยเห็นไหม คนบางเอาคำดูถูกมาทำให้ตัวเองสำเร็จ มีไหม (มี)  ถ้าอย่างนั้นบอกว่าคำดูถูกไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้ชัด
      คนชมเรา ดีไม่ดี (ดี, ไม่ดี)  เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักตัวเอง ดีไม่ดีไม่รู้ ฉันรู้แค่เพียงฉันดีหรือไม่ดีแค่นั้น ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องเห็นให้มากกว่าเห็น เห็นชนิดที่ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ความเห็นนั้นจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ใช่ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  แก่ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่อยากแก่ ตายไปเลยตั้งแต่เด็ก เอาไหม แต่ตอนนี้ยังไม่ตาย ยังได้อยู่ แก่ดีไหม (ดี)  แล้วแก่มันไม่ดีตรงไหน เห็นไหมเพราะศิษย์เห็นไม่ชัด ถ้าเห็นชัดมันจะทุกข์เพราะความแก่ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มันจะหัวเราะได้ว่าหกสิบแล้วฉันยังไม่ไปฉันยังอยู่ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเจ็บไข้ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาเจ็บไข้ทีมันก็ทำให้เรารู้ว่าเรากินหวานมากเกิน เรากินรสจัดมากเกิน เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันสมดุล ใช่ไหม (ใช่)  เราหาเงินมากเกิน ร่างกายเลยอ่อนเพลียกินไม่ครบ แล้วก็ทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริงเวลาเราเจ็บป่วย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์มักจะพูดว่าไม่มีหมามาเหลียวแลเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ความตายดีไหม (ดี)  ดีทันทีเลย ศิษย์เอ๋ยถ้าอยู่แล้วทำถูกต้องทำดี เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนมีคุณธรรม ตายดีกว่าอยู่อีก แล้วตายก่อนตายมันดียิ่งกว่ามีชีวิตอยู่ แล้วไม่รู้จักตายให้เป็นอีก แล้วอะไรล่ะน่ากลัว ใจที่ไม่รู้จักยอมรับสักที จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเราขาดสติรู้ความเป็นจริงในโลกใบนี้ หรือเราทุกข์เพราะเราขาดการรู้จักตัวเอง จึงตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าใครตอบได้อาจารย์ให้แอบเปิลแห่งความทุกข์ดีไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ถ้าเห็นชัดในทุกข์มีสุข เอาต้องเอาให้สุดๆ  มีพระนิพพาน มีความสิ้นทุกข์ในโลกแล้ว เอาทำไมเพียงสุข เอาแล้วต้องเอาให้สูง ต้องเอาให้พ้นทุกข์ ถึงเรียกว่าฉลาด เพราะธรรมสอนให้เราฉลาด
ศิษย์เอ๋ยการกระทำอันใดก็ตาม บางครั้งเราคิดว่าเราเอาตัวรอดก็พอ แต่ถ้าตัวเองรอดแล้วเผลอทุกข์หรือเผลอทำผิด เราก็ทำคนอื่นเดือดร้อนได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน กลัวแต่ตัวเองยังเอาไม่ดี กลัวแต่มัวดูเขาจะยืนไหม แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้ยืนใช่หรือเปล่า ศิษย์เอ๋ย มีชีวิตอยู่สำคัญคือ  รู้ตัวเอง มีสติรู้ตัวเอง พอเรารู้ตัวเอง เราจะไม่ทำใครเดือดร้อน แต่ถ้าไม่รู้ตัวเองเราจะทำคนอื่นเดือดร้อน
เราอยู่ในโลกนี้เป็นธรรมดา คนมีหลากหลายแบบ จะให้เป็นดั่งใจเป็นดั่งคิดไม่ได้ เหมือนเอาคนมาสัก สาม สี่ คน เหมือนกันไหม นิสัยเหมือนกันไหม เป็นได้ดั่งใจไหม เป็นได้ดั่งคิดไหม แต่เราเรียนรู้ธรรมแล้ว เข้าใจธรรมแล้ว ต้องจำไว้ว่าความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น อะไรที่ทำให้เรารู้และทำให้เราพ้นทุกข์ คือรู้ยิ่งกว่ารู้ แล้วรู้อะไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์คือ รู้ว่าในความเป็นจริงของโลก ที่มีหลากหลายแบบ บางครั้งเราเห็นแต่ก็เหมือนไม่เห็น ความจริงที่รู้แล้วไม่ทำให้ทุกข์ คือ เห็นเขาก็เหมือนไม่เห็น เมื่อเรารู้ในใจ ว่าจริงๆ  แล้วเห็นแค่ไหน ก็เหมือนไม่เห็น เราจะโกรธไหมที่เขาจะอยู่หรือเขาจะไป จะโกรธไหมเมื่อเขาเปลี่ยนไป เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ จนถึงที่สุดแล้วเห็นก็เหมือนไม่เห็น แล้วเคยไหม รู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เห็นก็แล้ว รู้จักก็แล้ว แต่ถึงที่สุดความจริงเหมือนไม่เห็น และสิ่งที่อาจารย์บอกอีกอย่างบางครั้งทะเบียนก็เป็นทะเบียนของเรา นี่ก็คนของเรา ชื่อก็ชื่อเรา แฟนก็แฟนเรา ของก็ของเรา แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วอาจารย์ถามหน่อยในโลกนี้อะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แฟนใช่ไหม (ไม่)  ลูกและ ร่างกายฟังศิษย์ไหม (ไม่)  บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ อย่าตายก็ไม่ฟัง คงไว้ได้ไหม แล้วยึดทำไมให้เป็นทุกข์  ความรู้จริงอีกอย่างที่รู้แล้วให้เราพ้นทุกข์ได้คือ เห็นเหมือนไม่เห็น  รู้เหมือนไม่รู้  ครอบครองได้ แต่จริงๆ ไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมนี้เราจะไม่ทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ แต่จงจำหลักธรรมนี้ไว้นะศิษย์
รู้อะไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์ (รู้สุขจะได้ไม่ทุกข์)  ศิษย์เอ๋ยรู้ทุกข์ดีกว่านะจะได้เข้าใจทั้งทุกข์และเห็นสุข ดีกว่ารู้สุขแต่ไม่เคยเข้าใจทุกข์ ฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ (รู้เท่าทันอารมณ์, ไม่ยึด รู้ปล่อยวาง)  ศิษย์เอ๋ยคำว่าปล่อยวางก็คือเห็นแล้วไม่คิด ถ้าข้างในไม่มีข้างนอกก็ไม่มีผล แต่ถ้าข้างในมีแม้ข้างนอกไม่มีมันก็มีเรื่อง ฉะนั้นรู้ข้างนอกไม่สู้รู้ข้างใน ปราบผีข้างนอกไม่สู้ปราบผีข้างใน ปราบตัวร้ายข้างนอกไม่สู้ปราบตัวร้ายข้างใน เพราะคนที่ร้ายคือเรา (รู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่สังขารของเราเอง)  ขอให้คิดให้ได้แบบนี้เสมอนะ อย่าเผลอไปโลภมากแล้วผลสุดท้ายทำใจไม่ได้ (รู้เท่าทันตัวเอง)  ตอบได้ดีรู้จักคนอื่นไม่เรียกว่าฉลาด แต่ถ้ารู้จักตัวเองเรียกว่าฉลาดนักแล
เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ แต่บางครั้งมันก็ชอบมาให้เราเห็นมาให้เรารู้ แล้วก็ทำให้เราเจ็บ ฉะนั้นเหมือนที่อาจารย์บอกข้างนอกมีอะไรก็แล้วแต่ข้างในไม่มี ข้างนอกเราก็จัดการได้ (รู้เท่าทันอารมณ์)  ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปรู้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ฉะนั้นใครว่าเราไม่สวยไม่งามก็ไม่เป็นไร (รู้จักเขารู้จักเรา)  แต่อาจารย์จะบอกนะศิษย์เอ๋ย รู้จักเราให้ชัดก็จะรู้จักเขาชัด แต่คนภายนอกชอบรู้เขาชัด แล้วก็มองตัวเองไม่ชัด ฉะนั้นอย่าพูดว่ารู้เขาแล้วจะรู้เราไม่เคยมี มีแต่รู้เราชัดก็จะเห็นเขาชัด เพราะปัญหาทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ตัวเรา (รู้ตัวเอง)  เวลาเรารู้เราชอบ อดตัดสินไม่ได้จริงไหม ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรารู้แล้วเห็นชัดเจนที่สุดก็คืออย่ารู้โดยใช้ความคิด อย่ารู้โดยใช้เหตุผล เพราะความคิดและเหตุผลเป็นรากเหง้าของกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่จงรู้ตามสัจจะความเป็นจริง เมื่อใดที่ไร้ความคิดและเหตุผลเมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างตามเป็นจริง แต่มันยากเพราะเห็นอะไรแล้วอดคิดไม่ได้ เหมือนอาจารย์บอกหนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  เห็นไหมทันทีเลย เพราะสมองเรามันชอบติดกับความคิดกับเหตุผล อาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่งเราอดไม่ได้เราเห็นอะไรแล้วชอบตัดสิน จริงไหม (จริง)
เห็นอะไร (ขาวกับดำ)  นี่แหล่ะเราอดไม่ได้พอเราเห็นเราชอบตัดสิน เราชอบวิพากษ์วิจารณ์เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราเห็นความต่างอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่  ถ้ามนุษย์ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับคำว่าเหตุผลจะทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงที่สุดของความจริงเพราะเหตุผลกับความคิดมันมาจากความรู้ความจำที่เป็นอัตตาตัวตน เหมือนศิษย์บอกว่าอาจารย์คนนี้ไม่มีเหตุผลเลย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยเหตุผลของศิษย์ เป็นเหตุผลที่ยุติธรรมหรือเข้าข้างตัวเอง ความคิดของศิษย์เป็นความคิดที่บริสุทธิ์หรือเอียงเข้าข้างตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ออกจากความคิดความรู้และเหตุผลของศิษย์ เป็นความจริงแท้หรือความหลงผิด  ฉะนั้นเวลาศิษย์เห็นอะไร อย่าเพิ่งรีบตัดสิน ไม่อย่างนั้นศิษย์จะอดเห็นความจริง อย่าเพิ่งผูกขาดไม่เช่นนั้นศิษย์จะไม่เห็นความจริงแท้ เหมือนเวลาเราไม่ชอบคนดำ อาจารย์จะบอกว่าไม่ว่าแบบไหน ล้วนมีทั้งทุกข์และสุข ดีและร้ายในความเป็นจริง ถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกโดยไม่ทุกข์จงอย่าติดแค่สิ่งที่ตัวเองคิด จงอย่าติดในเหตุผลที่ตัวเองมี แต่จงมองให้ลึก มองให้เข้าใจ และสัจจะความเป็นจริงมันจะไม่ไปไหน เราจะตื่นรู้ในธรรมด้วยตัวเราเอง อย่างที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นเมื่อถูกกระทบ จบเลยไม่ต้องเริ่ม
พอถึงที่สุดอันนี้ก็ไม่เอา เพราะเราเอาอะไรไม่ได้เลย เพราะเราเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ และใช้ให้ถูกที่สุด โดยไม่ยึดอะไร เรียกว่าสิ้นทุกข์สิ้นกิเลส เราจะได้สิ้นการเวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์อยากเจออีก ก็เคียดแค้นชิงชังเอากันให้ถึงที่สุด เอาไหม (ไม่เอา)
ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ พึ่งตัวเองให้มากที่สุดและสู้ไม่ถอย ศิษย์จะไม่มีวันลำบาก พึ่งตัวเองให้มากที่สุด ลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย สิ้นก็จะไม่พบความลำบาก ถ้าศิษย์เชื่ออาจารย์  ถ้าศิษย์เอาแต่พึ่งคนอื่น เอาแต่ขี้เกียจ ไม่ยอมสู้ ศิษย์ลำบากแน่ๆ แต่ถ้าตั้งใจบำเพ็ญ พึ่งตัวเอง สู้ไม่ถอย ลำบากอย่างไรก็จะฟันฝ่า ลำบากอย่างไรก็จะไหว เจ็บอย่างไรก็จะสู้ ก็ไม่มีวันลำบาก วันที่ลำบากคือวันที่จบแล้วได้กลับคืน ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ สู้ให้ถึงที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์ขอปรบมือดังๆ ให้ศิษย์หน่อย ทำไมอาจารย์อยากปรบมือดังๆ ให้ศิษย์รู้ไหม เพราะศิษย์ยอมมาลำบาก ยอมฝืนความลำบากเพื่อฟังธรรมะ ให้ไปอยู่บ้านสบายๆ ก็ได้ไม่เอา แต่ยอมมานั่งลำบากเพื่อฟังธรรมะ นี้ถึงเรียกว่ามาสร้างบุญ บุญที่ทำให้เราชำระล้างใจให้เราบริสุทธิ์ บุญที่ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่รู้จักละความยึดมั่นถือมั่น และรู้จักให้เรามีปัญญาในการกระจ่างแจ้งในหลักธรรม ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวไหม (ไหว)  สู้ไหม (สู้)
เมื่อสักครู่ฟังธรรมะที่อาจารย์พูด รู้เรื่องและเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งรู้แล้วแต่ละไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้แล้วยังวางไม่ลงมันน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นชีวิตเราไม่รู้ว่าจะมีอีกชีวิตหนึ่งหรือเปล่า ถ้าชีวิตนี้เป็นชีวิตเดียวทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุด ดีก็ให้ดีสุดๆ เหมือนตอนนี้เราพึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกหลานพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  คนที่ช่วยศิษย์ได้คือตัวเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตัวเองแม้จะแก่ขนาดไหนก็สู้ไม่ถอย เจ็บอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าเป็นคนอายุมากที่ไม่น่ารัก แต่จงเป็นคนอายุมากที่ขยัน สู้ไม่ถอย ยิ้มเก่ง ไม่มีวันลำบาก เชื่ออาจารย์ เจออะไรลูกไม่รัก ไม่เข้าใจก็ยิ้ม อย่างไรแม่ก็รัก พึ่งคนอื่นมันพึ่งไม่ได้พึ่งเราเอง รอลูกให้มันมาดูแลแล้วเราก็นอนรอลูก ฉะนั้นไม่ต้องรอ ธรรมสอนไว้อย่างหนึ่งตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องรู้จักพึ่งตัวเอง มีความสุขได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ฉันสุขมากที่สุดก็คือ อายุปูนนี้แล้วฉันยังอยู่ และอายุปูนนี้แล้วฉันยังไหว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอายุปูนนี้อะไรฉันก็ยังดี มันยังไม่สุขหรือ (สุข)  ฉะนั้นชีวิตถึงจะเหลืออีกแค่ครึ่งหนึ่งก็จงสู้ต่อไป ไม่พึ่งใครพึ่งตัวเอง ถึงที่สุดเวลาอาจารย์ไปก็สบาย เพราะอาจารย์ไม่ยึดอะไรแล้ว และอาจารย์ทำเต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เหมือนที่อาจารย์พูดเสมอ เงยหน้าไม่ผิดต่อฟ้า ก้มหน้าไม่ผิดต่อดิน ต่อผู้คนมีคุณธรรมจริยธรรมครบ ฉะนั้นวันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว เราเกิดมาถึงที่สุดก็ต้องกลับ ศิษย์เอ๋ย ชีวิตยังรู้จักกลับบ้าน แล้วจิตญาณเดิมแท้ ไม่รู้จักกลับบ้านบ้างหรือ แล้วบ้านของจิตญาณเดิมแท้อยู่ที่ไหน เรามาจากธรรม เราก็ต้องกลับสู่ธรรม ฉะนั้นรู้จักกลับบ้านของสังขาร จะต้องรู้จักกลับบ้านของจิตญาณ คือสภาวะธรรมอันไร้ตัวตน จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก เวียนว่ายตายเกิดอีก จะได้หมดห่วงต่อไป สู้นะ ทำให้ได้นะ ทำได้แล้วจะได้กลับสู่ธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ว่างเปล่า ดีไหม (ดี)  แข็งแรง เข้มแข็ง อย่ากลัวลำบาก  มีความคิดที่ดี หมั่นศึกษาให้มากๆ  เพิ่มพูนปัญญานำพาชีวิตผู้อื่นให้ได้ ด้วยหัวใจที่หนักแน่น ไม่มีใครเราก็ต้องเข้มแข็งได้ ไม่มีใครเราก็รักตัวเองได้ รักษาตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พาใจกลับบ้าน”)
อันนี้เป็นแค่รูป แต่ความหมายโดยนัยน์ คือ ทุกข์มีใจอันเดิมแท้เดียวกัน และใจอันนั้นเรียกว่า สัจภาวะ ความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นใช่ไหม (ใช่)  คำว่า “ใจ” อย่ามองเป็นตัว เป็นรูปลักษณ์ ใจอันนี้คือสภาวะธรรมอันหนึ่ง ที่จริงๆ แล้ว มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ที่เรียกว่า สัจธรรม สัจธรรมคือสิ่งที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้วก็ว่างเปล่า อยู่ในทุกชีวิตและอยู่มีในทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าเป็นรูปหรือนามใช่ไหม (ใช่)  สังขารต้องกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้าถูกไหม (ถูก)  แล้วจิตญาณเดิมแท้ต้องกลับคืนสู่ที่ที่มา ฉะนั้นใจกลับคืนสู่บ้าน บ้านไหน บ้านที่ไม่ได้เรียกว่า สวรรค์ เพราะสวรรค์เสวยสุขเสร็จ ยังต้องกลับมาเวียนว่าย แต่บ้านเดิมแท้ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเรียกว่า (นิพพาน)
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา   จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด
ที่ที่ไร้ตัวตนเหตุแห่งความทุกข์       ที่ที่เกิดและสิ้นสุดทุกสิ่งไป
ไม่มีไปไม่มีมาแค่กลับคืน              แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่
ล้วนไม่เที่ยงผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย   ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา” จิตญาณเดิมแท้ของเราคือธรรม “จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด” กลับคืนสู่ธรรม เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับ เดินตามรอยธรรมชาติ เกิดเพื่อดับถูกไหม เป็นแนวทางของธรรมะที่เราหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตญาณเดิมแท้ของเราจึงไม่เรียกว่าตัวเรียกว่าตน แต่จิตญาณเดิมแท้ของเราจริงๆ คือ ธรรม และเรากำลังจากธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมเป็นอย่างไร ธรรมก็คือความธรรมดา ที่ธรรมดาแต่กลับสูงที่สุด และมีอยู่ในทุกชีวิต และในธรรมที่สูงที่สุดและธรรมดานั้น มันไร้ตัวตน มันไร้เหตุแห่งความทุกข์ และมันเป็นที่ที่สามารถเกิดตัวตนได้ และมันก็สามารถสิ้นสุดตัวตนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่า มันไม่มีไปหรือมีมา เพราะมันคือการกลับคืน  แต่มนุษย์มักจะพูดว่า ตายไปเกิดมา นั่นคือการเวียนว่ายและการยึดติด แต่ผู้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงคือ ไม่มีไปไม่มีมา แต่ได้กลับคืน คืนที่ที่ศิษย์จากมานะ มันยากนะ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึง ถ้าเข้าถึงศิษย์จะพ้นทุกข์ที่แท้จริง แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันมี มันไม่มี สิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันคือตัวตนของศิษย์ จริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน แต่ความหลงต่างหากที่ไปยึดเอาตัวตน จึงมองไม่เห็นความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ตัวยังรู้จักกลับบ้าน อย่าลืมพาใจกลับบ้าน หลงมานานแล้ว กลับบ้านกันเถอะ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายในโลกใบนี้ บ้านที่ทำให้ศิษย์สงบเย็นจริงๆ กลับมา ไม่ต้องกลับมาเจออาจารย์ กลับไปบ้านเดิมแท้เลย กลับให้ถึงที่สุด
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็คงต้องกลับบ้านก่อนนะ คิดให้ดีนะ ตรองให้ดี พิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้หลอกศิษย์ไหม หรือว่าเพื่อช่วยศิษย์เอง ขอเพียงศิษย์ศรัทธาในความถูกต้อง มุ่งมั่นในความดีและเชื่อในธรรมของตัวเอง อย่าได้ทุกข์อีกเลยนะ เพราะอาจารย์เห็นศิษย์ทุกข์มานักต่อนักแล้ว แต่ช่วยศิษย์ไม่ได้มันก็น่าเสียชื่อที่เป็นอาจารย์ จริงไหม อยากช่วยศิษย์พ้นทุกข์แต่ศิษย์ก็ไม่ยอมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความทุกข์ อยากให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายแต่ศิษย์ก็เพียรตกไปเวียนว่ายตายเกิด อยากให้ศิษย์พ้นเจ้ากรรมนายเวรแต่ศิษย์ก็หาเรื่องสร้างกรรมเวรไม่จบสิ้น มันเลยจุกพูดไม่ออก เพราะพูดไปถึงที่สุดศิษย์ก็พ่ายแพ้ความเคยชิน พ่ายแพ้นิสัย พ่ายแพ้กิเลสจริงไหม ลองไตร่ตรองให้ดี อาจารย์ห่วงจริงๆ นะ ห่วงจากใจ ดูแลตัวเองให้ถูกต้องมีศีล มีธรรม อย่าหลงผิด อย่าติดอบายมุข อย่าตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ทำอะไรคิดให้ดีเพราะถึงที่สุดแล้วคนที่ทุกข์ไม่ใช่ศิษย์คนเดียว แต่คนที่รักศิษย์ก็ทุกข์ด้วยจริงไหม นอกจากศิษย์ไม่มีค่าจริงๆ ถึงไม่มีใครเขาสนใจ แต่อาจารย์เชื่อว่าฟ้าให้กำเนิดศิษย์ แปลว่าฟ้าเห็นศิษย์มีค่า เห็นศิษย์ดี จึงอยากให้ศิษย์เกิดมาและเข้าใจในความจริง ฟ้าไม่ให้คนเกิดมาไร้ค่า แต่ศิษย์จะรู้จักประโยชน์และคุณค่าตัวเองไหม เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุดนะ อย่าเป็นแค่คนดีแต่เป็นคนที่เข้าใจหลักธรรมและนำพาตัวเองพ้นทุกข์นะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ บุญรักษานะ เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์  รู้จักมีศีลมีธรรม ศีลธรรมจะทำให้ศิษย์เดินทางไปในทางที่ถูกต้อง พ้นจากอันตรายนะศิษย์  ตั้งใจบำเพ็ญนะ ระมัดระวังอารมณ์ตัวเองให้ดี ไหวไหม เหนื่อยไหม ใช้ความเมตตาเป็นหลักนะ  คนที่จับมืออาจารย์แปลว่าจะไม่มีวันทิ้งกัน ตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่มีวันทิ้งกัน  ถ้าให้อาจารย์จับหัว ก็แปลว่ายังด้อยปัญญา ต้องเพิ่มปัญญาเยอะๆ ตั้งใจทำดีเลิกให้ได้ในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง รักษาความดีไว้ด้วยหัวใจที่มั่นคง ตั้งใจบำเพ็ญนะ  ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจนะ ทำได้ดีแล้ว สู้ต่อพยายามต่อนะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องได้ไหม อาจารย์ขอ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหล้าบุหรี่ดีหรือ  ทำให้ได้นะ ศิษย์เป็นคนดีอยู่แล้ว อาจารย์เชื่ออย่างนั้น ขอให้บุญและความดีนำพาศิษย์ให้พบทางที่ถูก นำพาไปสู่ความสว่าง อย่ากลัวความเจ็บไข้ ความยากลำบาก ถ้ามีหัวใจที่มั่นคง ความเจ็บไข้และความลำบากจะมีทางออกเอง ดูแลตัวเอง ความพยายามความตั้งใจดี อาจารย์เห็น รักษาไว้ดูแลให้ดีนะศิษย์ ไปแล้ว อย่าลืมพาใจกลับบ้าน ที่เรียกว่าสภาวะธรรมอันว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน สิ้นแล้วซึ่งกิเลสและเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลไปให้ถึงนะศิษย์
[1]ซิกซ์เซนส์ คือ สัมผัสที่หก หมายถึงบุคคลที่มีประสาทสัมผัสพิเศษที่นอกเหนือไปจากประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิญญาณ


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-01 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一九年歲次己亥四月廿八日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป        คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน       สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา
                              เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

  การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด     กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง              หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
สังเกตุใจแอบกระถด[๑]ออกทีละหน่อย    สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ           เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน
คบไฟหยัดยืนส่องทางสามแพร่ง          มองลอดแสงหัดพุทธบุตรกลับสวรรค์
จิตชนะพุทธะเป็นผู้ข้องใดกัน              ฟื้นใจตะวันให้ได้ขัดเกลาใจ
พอหรือไม่วินิจฉัยตนอยู่เนืองเนือง       แจ้งว่าเรื่องใดเป็นทุกข์ต้องขยาย
คุมความคิดตัวเองความโลภทั้งหลาย    การอ่อนให้ทำให้ตกเป็นทาส
    หมายแก้ทางนั้นไม่มีวันสำเร็จ             เข็ดกิเลสปลดแอกใช่ด้วยความสามารถ
ไม่ต้องเก่งบางทีพิจารณาข้อจำกัด        คนจักรู้ที่เคร่งครัดโดยปริยาย
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์     ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม           แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ
                                                                             ฮิ ฮิ หยุด

 พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
รอความศักดิ์สิทธิ์ข้างนอก ไม่สู้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในตัวเรา รอแต่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่ลืมทำตัวเองให้น่าเคารพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ใครก็ปรารถนา รักและอยากใกล้ชิด เพราะนำความร่มเย็น ทำไมเรามัวแต่รอความร่มเย็นจากภายนอก ทำไมเราไม่รู้จักทำความร่มเย็นจากภายใน ฉะนั้นมัวแต่หาภายนอกก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับพยายามทำภายในให้ศักดิ์สิทธิ์ ร่มเย็นและน่าเคารพ ไม่เช่นนั้นกราบไหว้พระพุทธะไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไหว้ไปแล้ว แต่ตัวเองยังทำตัวไม่น่าเคารพ ไหว้ไปแล้ว ขอไปแล้ว ยังทำตัวเองไม่ร่มเย็น อย่างนี้อยากเอาพระกลับมาบ้านด้วยไหม แม้เอากลับมาบ้านแล้วก็ยังไม่ร่มเย็น เอามาแขวนกับตัวก็ยังไม่ร่มเย็น เพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือตัวเราเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองต้องเจอเคราะห์ร้ายไม่ใช่พระแต่เป็นตัวเราเอง พูดไม่ถูกต้อง พูดไม่เหมาะสม ถ้าทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม ไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่เหมาะ ทำไม่ถูก ทำผิดศีลธรรม ขาดธรรม แม้มีพระคุ้มครอง พระก็ไม่คุ้มครอง จริงหรือไม่ (จริง)  พระก็ไม่อยากอยู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกราบไหว้พระ อย่าลืมนำความเป็นพระมาใส่ไว้ที่ใจ อยากได้ความสงบร่มเย็น อย่าลืมนำความสงบร่มเย็นมาอยู่ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนี้ คุยกันได้ไหม ยอมให้เรามาคุยด้วยได้ไหม (ได้)  ถ้าท่านยอม เราก็อยู่ แต่ถ้าท่านไม่ยอม เราก็ (อยู่)  เราเพิ่งเคยได้ยิน ยอมก็อยู่ไม่ยอมก็อยู่ โดยส่วนใหญ่ ถ้าไม่ยอมให้อยู่ก็ต้องกลับใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าจะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านแล้วนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนทำตัวน่ารัก คนทำตัวร่มเย็น คนทำตัวน่าเคารพ มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยู่ใกล้แล้วไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ อยู่ด้วยแล้วร้อนเป็นไฟ อย่างนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย แม้แต่ตัวเราเองยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย แล้วเราทำตัวเองไหม (ไม่ทำ)  จึงมีคำพูดง่ายๆ ว่า ถ้าความดี ความถูกต้อง การมีศีล มีธรรม เปรียบเหมือนน้ำ ความชั่ว ความโลภ ความผิดศีลขาดธรรม การมีโลภ โกรธ หลง เปรียบเหมือนไฟ เกิดเป็นคนตายเพราะน้ำ ดีกว่ามีชีวิตอยู่แล้วถูกไฟเผาตายทั้งเป็น จริงไหม (จริง)  เคยไหมถูกความโกรธเผาจนอยู่ไม่เป็นสุข อยู่ที่ไหนก็ร้อน (เคย)  แต่เลือกไหมที่จะนำน้ำแห่งความดีมาปฎิบัติ ก็ไม่เลือก จริงไหม (จริง)  โลภแล้วก็ทำให้อิจฉาริษยา ทำให้แก่งแย่ง ทำให้ผิดศีล ทำให้ขาดธรรม ทำให้ใจร้อนรุ่ม อย่างนี้อยากจะโลภอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แต่ก็ยังโลภอยู่
ฉะนั้นตายเพราะความดี กับตายเพราะกิเลส ชีวิตไหนจะมีค่ากว่ากัน (ความดี)  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้ว เรายอมอดทนจนถึงซึ่งความดีไหม ก็ตบะแตกก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกความทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง และการผิดศีลขาดธรรม เผารนจิตใจอยู่ และเหมือนไม่เคยมีความสุข
เพราะเราไม่เคยดีแท้ ๆ แต่เรามักเป็นดีที่มีโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่
  “คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป    คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน    สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา”
เคยไหม คนชักแม่น้ำทั้งห้า อันนี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ฟังแล้วดูดี แต่ในความดีนั้นก็ยังดูไม่จริงไปเสียทั้งหมด ใช่หรือไม่ และบางครั้งถึงเขาจะพูดจริงขนาดไหน แต่มันก็ยังเหมือนจะดี แต่ยังดีไม่ตลอด ดีเกิน ตรงเกิน ก็เหมือนขวานผ่าซาก ใช่หรือไม่ จริงเกินไปก็เจ็บปวดใช่หรือเปล่า ฉะนั้นหากพูดแล้วคิดว่ากำลังจะโกหกก็ยิ้ม ๆ แทนได้ไหม หรือบอกว่าเดี๋ยวไปทำธุระก่อน ใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงเราพูดอย่างไร เหมือนเขา ถามว่าเขาดีไหม ถ้าเราตอบชัดเจนว่าไม่ดี แล้วเขาอยากดีขึ้นไหม (ไม่อยาก)  หากเขากำลังอยากทำดี เลยไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นแบบนี้บ่อยไหม ฉะนั้นพูดจริงเกินไปก็ใช่ว่าจะ(ดี)  พูดสวยแต่หาความจริงไม่ได้ก็ใช่ว่าจะ (ดี)  ฉะนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  แต่เราอยากบอกว่าดี ลองอยู่ในโลกพูดให้น้อยทำให้เยอะ น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่ในโลกนี้พูดมากทำน้อยไม่น่ารักเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นประเภทแรกหรือประเภทหลัง เงียบเลย อย่างนั้นแปลว่าเป็นแบบหลังใช่ไหม พูดมากแต่ไม่ค่อยทำ
การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด  กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
  กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง      หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
ถ้าวันนี้ใครนั่งฟังแล้วก็หลับ แปลว่าไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเองในการฟังธรรมใช่หรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  รู้ไหมว่าการฟังทำให้เกิดปัญญาอันสว่างไสว จิตมักมืดมนไปเพราะกิเลส การมาฟังธรรมคือทำให้จิตสว่างโดยไม่ถูกกิเลสมาทำให้มืดมน เหมือนคนโบราณชอบเข้าวัดเข้าวาเพราะทำให้จิตผ่องใส กลับมาแล้วเบิกบานใจแต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา จะเข้าก็เพราะไปเอาสามตัวสองตัว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ไปเพื่อผ่องใสหรือเพื่อมืดมน สามตัวได้มานั่งลุ้นวันที่สิบหก ถูกหรือไม่ถูก แล้วก็กลับมามืดมนใหม่ เพราะถูกกิน
“สังเกตใจแอบกระถดออกทีละหน่อย สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ     เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน”
เกิดเป็นคนมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือยังไม่ทำอะไรก็ยอมแพ้ กับอีกประเภทหนึ่งคือสู้ยิบตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนักเรียนในห้องนี้เป็นประเภทไหน (สู้ยิบตา)  สู้ยิบตาจริงๆ หรือ สู้ยิบตาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง หรือสู้ยิบตาเพื่อให้ได้ตามใจของตัวเอง ความหมายไม่เหมือนกันนะ
เราขอเริ่มต้นง่ายๆ ก่อน โดยส่วนใหญ่เมื่อมานั่งฟัง ทุกคนก็มักจะคิดว่า ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะบำเพ็ญรอดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  แค่ชีวิตตอนนี้ทำมาหากินก็จะแย่อยู่แล้ว แล้วจะให้มาบำเพ็ญอีก ก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกคนก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวก่อน ดีขนาดไหน ก็บอกเดี๋ยวก่อน เพราะตัวเองยังไม่รอดเลย อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะคิดว่า ถ้าตัวเองยังไม่รอด อย่ามาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ อย่ามาพูดถึงเรื่องการเป็นคนดี ขอให้ชีวิตของตัวเองรอดไปก่อน เมื่อรอดแล้ว อยู่ตัวแล้ว แล้วค่อยมาว่าเรื่องการบำเพ็ญ การเป็นคนดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราถามนะ ถ้าคนๆ หนึ่ง มีจุดหมายว่า ตัวเองต้องรอดก่อน แล้วช่วงที่จะรอด จะต้องฆ่าคนอื่นให้ตายหมดก่อน แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าคนนี้บ้าง เหลือคนนี้บ้าง ฆ่าคนโน้นบ้าง แล้วทำดีกับคนนี้บ้าง แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นก็แปลว่า ถ้าเราจะไปรอด คนนั้นก็ต้องอยู่ด้วย คนนี้ก็ต้องอยู่ด้วย คนนั้นเราก็ต้องดี คนนี้เราก็ต้องดี ศีลเราก็ไม่ขาด ธรรมเราก็ไม่บกพร่อง แล้วเราก็รอดด้วยใช่ไหม (ใช่)  เราว่าที่เราเห็นไม่ใช่แบบนี้นะ คนไหนศีลห้า ไม่บกพร่องเลยยกมือขึ้น
ทุกคนมีเป้าหมาย คือ ต้องมีเงิน ต้องสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่สิ่งผิดที่ทุกคนมีเป้าหมายในการมีความอยากบ้าง อยากทำโน่น อยากทำนี่ แต่ความอยากนั้นต้องไม่ทำให้เราขาดไปซึ่งคุณธรรมความเป็นคน ความอยากนั้น ต้องไม่ทำให้เราเป็นคนที่ผิดศีลขาดธรรม เพราะคุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ แต่คุณค่าของคน คือ ทุกขณะที่ก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ เราสามารถกอดเพื่อน รักเพื่อน แล้วเดินไปพร้อมกับเพื่อน ไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในชีวิตจริง เราเป็นเช่นนี้ไหมหนอ ไม่เคยทิ้งเพื่อน ไม่เคยเตะเพื่อน ไม่เคยโกหกเพื่อน ไม่เคยเบียดเบียนใคร เพื่อความสำเร็จและเพื่อการได้เงินมา ไม่เคยผิดศีลขาดธรรมเลย ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าคุณค่าของความหมายของชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ได้มาแล้วต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว ความสำเร็จที่ได้มาแล้วไม่เหลือซึ่งใครที่เป็นมิตรแท้ หรือไม่เหลือซึ่งความเป็นคน การหามาเช่นนี้ก็หาใช่จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริงไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าทำเพื่อความสำเร็จ แต่ฆ่าคนทุกคน แล้วตัวเองอยู่รอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม ตัวเองรอดก่อนคนอื่นทีหลัง กับอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่ารอดแล้วยังไม่พอยังขอมีอีกนิดหนึ่ง มีอีกเยอะๆ หน่อยใช่หรือไม่ แล้วก็คิดว่าเยอะๆ แล้วจะได้มีความสุข สมมติมีคนชมว่าเราเก่ง ไม่เคยชมเลยแล้วชมว่าเราเก่ง เรารู้สึกว่าดีใช่หรือไม่ แต่ถ้าทุกวันชมเราว่าเก่ง เยอะไปมันก็ไม่ดี บางอย่างอะไรที่เราชอบกินบ่อยๆ มันก็ไม่ค่อยอร่อย เงินหาบ่อยๆ หาเยอะๆ ดีไหม สุขไหม บางอย่างเราหาเยอะๆ ก็ดี แต่ในทางกลับกันเยอะแล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไรเพิ่มเติม คุณค่ามันก็แค่นั้น เท่านั้น สิบกับหนึ่งบางทีก็ไม่ต่างกันเลย บางทีหามากเกินก็กลายเป็นไม่สมดุล มัวแต่หาเงินจนลืมดูแลครอบครัว ลืมความสัมพันธ์ที่ดีที่ควรจะมีต่อกัน มัวแต่ห่วงเรื่องเงินจึงทำลายมิตรภาพ เคยเห็นไหมเงินเพียงสิบบาททะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นเงินมันสำคัญกว่ามิตรภาพหรือ บางอย่างเราคิดว่าหาเยอะๆ แล้วเราจะได้ แต่โลกน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าของนั้นเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา แต่หาแทบตายมันกลับไม่ใช่ของเรา แล้วเรายังหาไหม
ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญคือ ธรรมะ เราขาดไม่ได้ เพราะธรรมะจะสอนให้เราพบความจริง และอยู่บนโลกแห่งความจริงโดยไม่ทุกข์ และธรรมะอะไรล่ะที่จะสอนให้เราพบความจริงและไม่ทุกข์ ศิษย์พี่ถามง่ายๆ นะ ในเมื่อหามากๆ ก็ไม่ค่อยดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นหาแต่สิ่งที่ดี ดีไหม ชีวิตเราเกิดมาแล้วก็อยากมีสิ่งดีๆ ในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่า ศิษย์พี่อยากเลี้ยงเป็ดหนึ่งตัว เพราะคิดว่าถ้ามีเป็ดหนึ่งตัวแล้วจะมีความสุข เป็ดตัวนี้ก็ดีนะ สมบูรณ์อ้วนท้วนกำลังดี แล้วศิษย์พี่ก็คิดอีกทีว่า โอ้ย ชีวิตมันต้องดี เป็ดตัวหนึ่งพอไหม (ไม่พอ)  เพิ่มอีกตัวดีไหม (ดี)  หาแล้วหาอีกก็ได้เป็ดอีกหนึ่งตัว แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา ตัวนี้อ้วนกว่า ตัวนี้ผอม ก็เลยตีตัวอ้วนแล้วก็บอกว่า แกต้องแบ่งให้ตัวผอมบ้าง แล้วก็เอาแต่รังแกเป็ดตัวอ้วน เพราะทำให้เป็ดอีกตัวผอม ใช่หรือไม่ เป็นความผิดของเป็ดตัวอ้วนใช่ไหม (ไม่ใช่)  เห็นชีวิตของศิษย์น้องก็เป็นอย่างนี้ ไม่โทษตัวเอง โทษเป็ด ไม่โทษตัวเองทำผิด แต่โทษเพื่อนร่วมงาน ไม่โทษว่าตัวเองคิดผิดแต่โทษว่าคนอื่นคิดไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพิ่มเป็ดตัวที่สามอีกดีไหม ชีวิตต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ ตัวนี้ก็ได้แล้ว ตัวนั้นก็ได้แล้ว พอใจไหม (ไม่พอ)  แล้วก็หวังว่าเป็ดอีกตัวจะทำให้อีกสองตัวดีขึ้น ใช่หรือไม่ คราวนี้เป็นอย่างไร พอไหม เอาอีกไหม
ฉะนั้นบางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดี ให้มาก ๆ และคิดว่าตัวนี้ดีแล้ว แต่ถึงเวลา ที่นึกว่าจะได้ดีกว่าเดิมแล้ว ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วหาอีกตัวดีไหม (ไม่ดี)  ชีวิตมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือศิษย์น้อง อันนี้ก็ไม่เคยพอ แล้วสุดท้ายเป็ดสามตัวทะเลาะกันไหม ทะเลาะกันตั้งแต่เป็ดสองตัวแล้วใช่ไหม แล้วคิดว่าจะหยุดเป็ดไหม หรือหยุดความคิดตัวเอง แล้วเวลาเราแก้ปัญหาเราแก้ที่เป็ดหรือแก้ที่ความคิด
แล้วในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้วอะไรที่เราต้องพบ บางทีก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีต้องพบ อย่างนั้นที่ไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดีพอ หรือว่าเป็ดไม่เคยพอดี เมื่อถึงเวลาเรามักโทษเป็ด เป็ดไม่ดีพอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราต่างหากที่ไม่พอดี หรือดีไม่พอ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีอีกไหม บางทีหวังอยากให้เป็ดเป็นหงส์ ทำไมเป็ดไม่เป็นหงส์ นี่คือความผิดของเป็ดที่ไม่ยอมเป็นหงส์ ผิดไหมที่เป็ดไม่เป็นหงส์ (ไม่ผิด)  มนุษย์ก็แปลกนะ ได้อย่างหนึ่ง แต่ก็อยากได้อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นแค่นี้ แต่อยากให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วเป็ดไม่เป็นหงส์ ผิดที่เป็ดไหม (ไม่)  เมื่อก่อนเป็ดน่ารักกว่านี้ ผอม และดูดีกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เป็ดดูอ้วนเกินไป เราเป็นไหม เมื่อก่อนภรรยาน่ารักกว่านี้ เมื่อก่อนสามี และลูก ก็น่ารักกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปนะ อย่างนี้โทษเป็ดไหม
เข้าใจที่ศิษย์พี่เปรียบเปรยไหม เมื่อเราอยู่ในโลกธรรมะสอนให้รู้ว่าจริงๆ แล้วแท้จริงแล้วความไม่เที่ยงความไม่ทนความไม่แท้นั่นแหละคือความพอดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเรานั่นเองที่มันดีไม่พอ จึงมองเห็นทุกอย่างไม่พอดี เป็ดมันเกินไปหรือใจเราต่างหากที่ยึดติด เป็ดจริงๆ มันแย่ไหม หรือใจเราต่างหากที่แบ่งแยกเปรียบเทียบ คาดหวัง
การเรียนรู้หลักธรรม ปฏิบัติธรรม จึงมีสามแบบ
แบบที่หนึ่ง คือการปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส เรียกว่า ระดับศีล
แบบที่สอง เพื่ออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสงบร่มเย็น เรียกว่าระดับคุณธรรม
แบบที่สาม ปฏิบัติแล้วทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วพ้นทุกข์ เรียกว่าสัจจะความเป็นจริง
ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมเพื่อลดละกิเลส เราก็ต้องมีศีล ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมแล้วอยู่กับคนอื่นได้อย่างสันติสงบสุขร่มเย็น เราก็อย่าขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เกิดเป็นคนต้องมีเมตตา ต้องมีสัจจะวาจา เราทำได้ไหม ถ้าทำได้อยู่กับใครก็ร่มเย็น
อีกอันหนึ่งคือระดับพ้นทุกข์ เอาแค่ศีลและคุณธรรมยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าจะศึกษาระดับธรรมที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าถึงสัจจะความจริง ที่เรียกว่า โลกอันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ในโลกนี้มีสิ่งใดเที่ยง แท้ ทน ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ แต่ความยึดติดของคนต่างหากจึงเรียกโลกว่าดีว่าร้าย เรียกว่าทุกข์สุข
ถ้าเอาศีลมาดับทุกข์จะยาก เอาคุณธรรมมาดับทุกข์จะยาก เหมือนคนที่พยายามเมตตากับคน แต่อย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ที่ไม่เข้าใจเพราะว่าเราหวังให้เป็ดเป็นหงส์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราก็ไม่เคยพอใจในเป็ดที่เป็นเป็ด มักคิดว่าเป็ดต้องดีกว่าเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือถ้าไม่ดีกว่าเดิมก็ต้องไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าเราเอาหลักธรรมความเป็นจริงมาพิจารณาว่า โลกนี้ในตัวเราทุกคนทุกสรรพสิ่งในรูปในนามไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เหมือนถามว่าเรามีชีวิตเรารักชีวิตไหม (รัก)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตเกิดแล้วต้อง (แก่)
การพิจารณาหลักธรรมจนเข้าถึงหนทางที่จะสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ อย่างเมื่อสักครู่ที่เราพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีดีไม่มีร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ สุขและทุกข์ ดีและร้าย นั้นเกิดมาจากความยึดติดในความคิด เรามักใช้ความคิดเป็นตัวตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วมีดีหรือร้ายจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  ระหว่างเราเป็นผู้ให้ กับผู้รับ เราชอบแบบไหนมากกว่ากัน (ได้)  เสียกับได้ เราชอบแบบไหน (ได้)  ศิษย์พี่ถามนะว่า ในโลกนี้มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีเสียบ้าง (ไม่มี)  ศิษย์น้องก็รู้อยู่แล้ว ถ้าหลับตาข้างเดียว ก็บอกว่าตัวเองได้ แต่จริงๆ เสียไปแล้วเท่าไรก็ไม่รู้ ถูกหวยสามตัว ดีใจมากเลย แต่ตอนเสียไป ไม่เคยนับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งเจ็บใจมากยิ่งขึ้น เวลาได้ดันซื้อน้อย แต่เวลาเสียดันซื้อมาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้ชัดๆ มองแบบจริงจังอย่างคนที่จิตใจสงบ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ถ้าจิตเราสงบ เราจะเป็นนายเหนือสถานการณ์ แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่าน สถานการณ์จะครอบงำเราให้ตกเป็นทาส ฉะนั้นถ้าเราจิตสงบในทุกเรื่องราว เราก็สามารถควบคุมสถานการณ์และฉลาดในการมีชีวิตได้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ที่แล้วมาเราทุกข์ คือเราโง่กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริง เหมือนคำว่า “ชีวิต”
“ชีวิต” มีได้แล้วเสียไหม (เสีย)  มีเกิดแล้วมีตายไหม (มี)  แล้วในเกิดตายมีเจ็บไหม มีแก่ไหม (มี)  ถ้าเราอยากมีชีวิตให้มีแต่เกิดแล้วไม่ตายได้ไหม แล้วเราบอกว่าเกิดดีตายไม่ดีได้ไหม ถ้าโลกนี้เกิดดี มีแต่คนเกิดไม่มีคนตายดีไหม (ไม่ดี)  แล้วอยากเกิดไหม คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว แต่อยากเกิดอีกไหม บางคนบอกว่าทำบุญชาตินี้เดี๋ยวชาติหน้าจะได้สบาย ชาตินี้มันไม่สบาย ชาติหน้ามันจะสบายหรือ ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต ใจเราจะไม่กระเพื่อมไหวและไม่ยึดติดว่าอะไรดีอะไรร้าย เพราะจริงๆ แล้วในร้ายมันก็มีดี ในทุกข์มันก็มีสุข แต่เราขาดปัญญาเห็นจริงเท่านั้นเอง ในความเกิดของเราแท้จริงมีความตายอยู่ทุกขณะ เรามองให้ดีๆ แล้วจะไม่ถูกโลกพลิกให้ตัวเองเจ็บปวด แต่เราจะรู้จักพลิกแล้วให้ตัวเองฉลาดมีปัญญาขึ้น เพราะธรรมสอนให้เราเข้าถึงปัญญา ธรรมไม่ได้สอนแค่ศีล สมาธิ แต่ถึงที่สุดคือระดับปัญญาที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ความหมายของชีวิตจึงไม่ใช่คำว่าเกิด แต่ความหมายของชีวิตคือเกิดแล้วตายอยู่ด้วยกันเสมอ สุขและทุกข์ไม่เคยอยู่คนละมุม แต่มันอยู่ด้วยกันเสมอ ร้ายและดีมันก็ไม่ได้อยู่คนละด้าน แต่มันอยู่เกี่ยวเนื่องหนุนนำกันเสมอ แต่ใจเราเองต่างหากที่มันมืดบอดยึดติดความคิด จึงเห็นเหมือนคนละด้านคนละมุม ทั้งที่จริงๆ แล้วอย่างเดียวกัน เพราะมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่ทนและไม่แท้ ฉะนั้นควรหรือที่เราจะถอยห่างสัจธรรม แต่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้สัจธรรมเพื่อจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและเห็นชัดผู้อื่น
ฟังแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  สิ่งที่ศิษย์น้องควรกลัวไม่ใช่ความตายไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นใจที่มองไม่เห็นความจริง และทำให้เราอับจนสู้ไม่ได้ต่างหากจริงไหม เจ็บป่วยใครๆ ก็เป็นถูกไหม ลองมีชีวิตไม่เจ็บแล้วตายทันทีเอาไหม เห็นไหม ไม่มีใครเอาสักคนเลย แต่ทำไมลึกๆ ขอให้มีชีวิตอยู่แล้วตายเลย จริงๆ แน่ใจหรือว่าอยากได้อย่างนั้นใช่ไหม เจ็บหน่อยเพื่อเตรียมตัวยังดีกว่าไม่เจ็บเลยแล้วตายทันทีใช่หรือไม่ แล้วบางทีความตายดูอาจจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วความตายก็เป็นแค่การหมุนเวียนเปลี่ยนผันจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งที่เราเป็นผู้กำหนดใช่ไหม เอาง่ายๆ เบาใสขึ้นฟ้า หนักมึดดำขุ่นมัวลงดิน ตอนนี้เบาใสหรือหนักดำ (เบาใส)  นักเรียนชั้นนี้น่ารักจริงๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  ทั้งเบาทั้งใสเลยนะ
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์ ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม       แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ”
เวลาทุกข์มากๆ นะบางทีร้องเพลงอ้าปากดังๆ เลยอยู่ในห้องน้ำ ถึงจะทุกข์แค่ไหนก็มีความสุข ก็มันเครียดทำอะไรก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยอมรับความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นบางทีการร้องเพลงก็อาจจะช่วยให้เรา (โล่งใจ)  แล้วก็บอกมีคนขว้างปามาโบ้งเบ้ง เราก็ร้องอ๊าก ฉะนั้นบางครั้งในโลกนี้ที่เราทุกข์ที่เราเจ็บปวด เพราะเราไม่รับความจริง ชอบให้เป็ดเป็นหงส์และชอบให้เป็ดต้องดีกว่าเดิม ถ้าศิษย์น้องยอมรับความจริงว่า ไม่แน่เขาอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เราไม่ยึดติดความคิด เราไม่ยึดติดความคาดหวัง เรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เป็น เราสุขเขาก็สุข เพราะใจของมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบไหลลงทุกข์มากกว่าจะดึงตัวเองให้พบความสุข เหมือนนั่งตรงนี้ให้ยิ้ม ยิ้มไหม ก็ยิ้มไม่ออก จะให้ทำยังไงและผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์คือคนที่ยิ้มไม่ออก  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเรียนรู้ยอมรับความจริงและรู้จักพิจารณาความจริงจนบังเกิดทางพ้นทุกข์ นั่นแหละเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ลองเปิดใจแล้วศึกษาธรรมดูนะ เพราะธรรมจะทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ศิษย์พี่เอาตามพระอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแต่ขอเป็นคนไม่ประพฤติชั่วก็ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าเป็นคนดีที่ยุงก็ไม่ตบ มดก็ไม่บี้ แมลงสาปก็ไม่ขยี้ แต่พอคนรู้จักทำอะไรผิดเราด่าเขาเลย อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  ก็ฉันเป็นคนดี
เราเป็นอย่างนั้นไหมหนอ มดก็ไม่ขยี้ ยุงก็ไม่ตบ แมลงสาปก็ไม่เคยฆ่า แต่ถ้าใครไม่ดีก็ด่าเลย อย่าเป็นอย่างนั้นนะ เพราะผู้บำเพ็ญที่แท้จริง คือ ชั่วไม่ทำ เรียกว่าดี ดีกว่าดีก็ทำ ชั่วก็ทำ อย่างนั้นหาดีไม่ ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เฝ้าหวงแหนดินน้ำทรัพย์สินสมมุติ ปล่อยแดนวิสุทธิ์อยู่ไกลกว่าเดิมหนอ
ยึดตายตัวไหนเลยจะรู้พอ              วิมุติก็ไม่ได้ไปหากไม่ปลง
จะลงเอยแค่บำเพ็ญใจให้ดี              จิตไม่ว่างปล่อยชีวีให้ลุ่มหลง
สิ่งใดใดในโลกล้วนไม่ยืนยง            เดินทางตรงพ้นเวียนว่ายคืนนิรันดร์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อย่าเดินหนี  ชีวิตเหนื่อยอ่อนล้า มีปัญหาความรู้ไม่เคยจะช่วยใคร เรื่องใจสับสนเกิน  คำพูดคนอยู่รอบกาย ศิษย์รักทำใจ ศิษย์รักก็รู้เอง
อยู่เยี่ยงไหนได้พบสุขจริง ศิษย์แย่งชิงสู้เขาไม่รู้ทำไปทำไม ไม่ทำแบบเดิมเดิม  ฝึกเพิ่มเติมที่หัวใจ แก้ไขทุกการกระทำจากใจนี้
บำเพ็ญค่อนชีวิต  รับภาระกันขึ้นอีกนิด  หลายครั้งทำตัวไร้ความคิด ชอบเดินหนี อดเจอตัวเองคนสำคัญ ศตวรรษเพลิดเพลิน  ก้าวเดินบรรลุผ่าน พาดไปบนฟ้าไกล  แต่นี้ทุกลมหายใจไว้บำเพ็ญ

ทำนองเพลง : มากกว่ารัก
ชื่อเพลง : ลมหายใจไว้บำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    (พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ลุกขึ้นๆ ต้องให้อาจารย์เมตตาอีกหรือ ไม่ต้องแล้วนะ ต้องเข้มแข็งรู้จักนำพาตัวเองได้แล้วนะ จิตที่เต็มไปด้วยความสุข จิตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ จะทำให้เราอยู่กับใครก็นำพาซึ่งความสุข อยู่กับใครก็จะไม่โกรธ เพราะเรามีสุขและเข้าใจ อยู่กับใครอยากมีสุขไหม ศิษย์ก็อยาก เขาก็อยาก ศิษย์เข้าใจเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจก็ไม่มีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่แท้จริงคืออยู่กับใครก็กลมกลืนสอดคล้อง เรียกว่าหัวใจแห่งธรรม แต่ถ้าอยู่แล้วขัดแย้ง อยู่แล้วเจ็บปวดแปลว่าไม่ใช่ธรรมะจริงไหม (จริง)  สุขได้แล้ว คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย พูดอะไรนึกถึงคนข้างๆ บ้าง เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ในตัวมนุษย์นั้นมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านไม่ดี แล้วเราส่วนใหญ่ใช้ด้านไหนมากกว่ากัน (ด้านดี)  ถ้าเราใช้ด้านดี ก็แปลว่า
ในด้านดี คนดีมักเป็นคน (ดี)  ถ้าใช้ด้านดีบ่อยๆ ก็แปลว่า สามารถปฏิบัติอะไรออกมาเป็นคนดีได้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าใช้ความดีได้บ่อยๆ เราจะทำดียากหรือทำดีง่าย (ง่าย)  ถ้าบอกว่าทำดียาก ก็แปลว่าไม่ค่อยได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำดี ต้องทำอย่างไร (ไม่เสียดสีคนอื่น)  ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดเท็จ แปลว่า ไม่เคยโกหกคนเลยใช่ไหม (ใช่)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ไม่เคยโกหกแน่ใจหรือ ร้อยทั้งร้อยเห็นมาพูดอย่างนี้ ก็โกหกมาแล้วทั้งนั้น จริงไหม (จริง)  ยังจะจริงอีกนะ

ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนดี ทำดีบ่อยๆ อย่างนั้นคนดีเขาจะทำผิดศีลผิดธรรมไหม (ไม่)  ผิดไหม (ไม่)  แล้วคนดี เขาทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนดี (คิดดี พูดดี ทำดี)  แปลกนะคิดได้เพียง คิดดี พูดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่ว อย่างนี้ก็ยังไม่เรียกว่าดี จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์รู้ว่า ในตัวของเรามีสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่าด้านดี และอีกด้านหนึ่งเรียกว่าด้านไม่ดี ถ้าเรารู้จักใช้ด้านดีบ่อยๆ การจะแสดงออก หรือการจะปฏิบัติซึ่งธรรม ซึ่งความดีงาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อถึงเวลาต้องทำจริงๆ แล้ว การแสดงออกซึ่งการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติดี บางคนกลับทำได้ยาก แล้วไม่รู้จักที่จะทำด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนมองเฉยๆ ปล่อยคนอื่นดีไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนที่เลือกด้านดีหรือเปล่า
คนที่เลือกทำในด้านที่ดี เขาต้องคำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรม ใช่หรือไม่ อย่างที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกในจิตใจไหม ถ้ารู้จักคิดตรงนี้ตลอด เราจะไม่มีวันทำผิดศีลขาดธรรมได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มโนธรรมสำนึก เอาแต่ทำอะไรตามใจตนเอง จะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นคนที่มีธรรม ควรปฏิบัติตามธรรมหรือปฏิบัติตามใจตนเอง (ตามธรรม)  เมื่อตามใจตนเองก็ไม่เรียกว่าธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่า เราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตัว แล้วปกติเราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  ถ้าเราเห็นแก่ธรรมเป็นหลัก ทุกอย่างต้องมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก ทุกอย่างต้องมีรู้จักละอายใจเกรงกลัวต่อบาปกรรม เราจะผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ส่วนใหญ่เรามักทำตามใจตนเอง มากกว่าตามธรรม ฉะนั้นอยากรู้ว่าตนเองมีธรรมหรือไม่มีธรรม ก็ดูว่าตามใจตนหรือไม่ตามใจตน ใช่หรือไม่ แล้วเราส่วนใหญ่เห็นแก่ธรรมหรือเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  เมื่อเห็นแก่ตนก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม กรรมดีกรรมชั่ว และความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  และเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  และยังอยากทำแบบเดิมไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเช่นนั้นเรามาศึกษาธรรมกันหน่อยดีไหม อย่างไรเรียกว่า เห็นแก่ธรรมมากกว่าเห็นแก่ตน ยากไหม (ไม่ยาก)  แปลกนะ ไม่ยากแต่ไม่มีใครอยากทำ
(ละเว้นความชั่วปฏิบัติธรรม)  ใช่ไหม อย่างเช่นเวลาขายของ สินค้านี้ดีหรือไม่ดี เราพูดเพื่อเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ธรรม เห็นแก่ตัวอยากเอากำไรเยอะหน่อย เราก็จะบิดเบือนธรรม แต่ถ้าเราเห็นแก่ธรรม เราก็จะพูดตามความจริงว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี แต่เมื่อแม่ค้าอยากขายได้กำไรก็เอาดีกับไม่ดีมาผสมกันแล้วบอกว่าดี เหมือนกันเวลาโดนเขาว่า เราจะเห็นแก่ธรรมหรือเราจะเห็นแก่ตัวเอง ถ้าเห็นแก่ธรรมเราจะทำอย่างไร คำว่าความดีนั้น หรือคนที่ทำอะไรนึกถึงธรรมมากว่านึกถึงตนก็จะคิดให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ศีลทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรมเราก็จะเป็นคนดีและสันติสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เราต้องเริ่มต้นจากการทำดีให้ได้ก่อน ถ้าบาปยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการบำเพ็ญบุญ ถ้าความชั่วยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการเป็นคนดี หลักของการเป็นคนดีส่วนใหญ่ที่เรารู้และเข้าใจก็คือ เพื่อละชั่ว
เหมือนเราทำบุญเพื่อ
(ทำดีชำระกิเลส , สะสมบุญ , ทำใจให้สงบ)  เพื่อความสงบแห่งจิตใจ ทำแล้วสงบบ้างไหม (ไม่นิ่ง, ไม่สงบ)  เพราะเรายังวอนขออยู่ ก็ไม่สงบ เขาตอบได้ถูก ตอบได้ดี จุดหลักของการมีศีลมีธรรมคือความสงบ คือความเย็นใจ คือความสบายใจไม่มีอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อนอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำบุญแล้วยังขอจะสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล สงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล เย็นไหม (ไม่เย็น)  ถ้าอย่างนั้นเรากำลังทำบุญถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วทำไหม (ทำ)  ฉะนั้นอย่างแรกที่เราต้องเข้าใจให้เหมือนๆ กัน ปรับความคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะคุยกันยาวๆ เรื่องยากๆ เราต้องเริ่มที่เรื่องง่ายๆ และเป็นพื้นฐานก่อน คือเรื่องการทำความดีงามใช่ไหม ละบาปไม่ได้ก็จะบำเพ็ญบุญไม่ได้ ละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญดีไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะละบาปได้ ถ้าไม่เข้าใจจุดหลักของการละบาปเราก็บำเพ็ญไม่ได้ บำเพ็ญไม่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  โดยพื้นฐานของการเข้าใจในการทำบุญทำทาน เราทำเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความโลภโกรธหลง ทำบุญเพื่อความสบายใจเย็นใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ถามนะ เราสามารถทำบุญได้เฉพาะที่วัดใช่ไหม (ไม่ใช่)  แสดงว่าถ้าอาจารย์อยู่กับใครแล้วละกิเลสได้และทำให้สงบเย็นได้ และสามารถปฏิบัติกับเขาจนมีธรรมได้เท่ากับอาจารย์กำลังทำบุญทำทานและให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าเราจับหลักของคำว่าบุญกับทานได้ถูกศิษย์จะอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำบุญกับเขาได้ เพราะอยู่กับเขาแล้วเราสงบ อยู่กับเขาเราได้ละกิเลส อยู่กับเขาแล้วเราได้เย็นใจ แต่อยู่กับใครกิเลสก็ไม่ละ เป็นบุญหรือเป็นบาป (บาป)  แล้วมันมีศีลมีธรรม หรือผิดศีลผิดธรรม (ผิดศีลผิดธรรม)  ตกลงเรามีบุญมีศีลมีธรรมเฉพาะวัด ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากเทียบว่า ถ้าสมมติว่าใครด่าเรามา เราอยากทำบุญกับเขา หรืออยากเกี่ยวกรรมกับเขา ถ้าเราอยากทำบุญกับเขา ถ้าเขาด่ามาแล้วเราละความโกรธได้ เราสงบได้ เราให้ธรรมะเป็นทานได้ เท่ากับว่า เขาด่ามา เราได้ทำบุญ เขาด่ามา เราได้ให้ธรรมะที่ประเสริฐที่สุดที่เรียกว่า ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามา เรายังสามารถเข้าถึงศีลได้ด้วย เพราะว่าไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกหกใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดสำนึกในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเขาด่ามา เราสามารถสร้างทาน สร้างบุญ สร้างศีล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกที่เราสามารถทำบุญ ทำทาน มีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำอย่างนี้ไหม (ไม่ทำ, ทำ)
ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามีใครก็ตาม ทำอะไรให้เราเจ็บ แต่เราสามารถกระชาก กิเลสออกจากตัวได้ แล้วเราสามารถสงบเย็นได้ เราสามารถให้ธรรมะเป็นทานได้ แปลว่าทุกที่เรากำลังทำให้เขาเป็นพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังทำทุกที่ให้เป็นวัด เรากำลังทำทุกที่ให้สงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปรากฏว่าเราอยู่ในโลก เรามักจะคิดว่านี่ก็มาร นี่ก็ปีศาจ นี่ก็ชั่วร้าย ใช่ไหม โลกนี้ก็เลยเต็มไปด้วย มารและปีศาจ ใช่ไหม ฉะนั้นปรับความคิดพื้นฐานให้ถูกได้หรือยัง
อย่างนั้นการปฏิบัติให้ได้ทำบุญ ทำทาน ให้ได้มีศีลมีธรรม เราสามารถทำได้ที่ไหน (ทุกที่) แล้วสามารถทำได้ทุกตอน แม้จะถูกคนด่า เราก็ทำได้ ถ้าเขาเอาเงินไป แล้วไม่คืน เราจะยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาเอาสามีของเราไป แล้วไม่คืน ยอมไหม (ไม่ยอม/ยอม)
เมื่อวานพระนาจาก็บอกแล้วว่า ของอะไรที่เป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา ถ้าของที่ไม่ใช่ของเรา อย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา แล้วนั่นใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ไม่มีใครเป็นของเราจริงหรอก ถ้าศิษย์เข้าใจ จริงไหม (จริง) 
หลักสำคัญของการทำทาน ทำบุญ หรือมีศีลมีธรรม ก็คือ เพื่อความสงบเย็น ใช่หรือไม่(ใช่)  หลักสำคัญของการให้ทาน ก็คือ เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละแล้วซึ่งกิเลสโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละกิเลส โลภ โกรธ หลง เราก็ได้ทำบุญ ทำทาน ถ้าหากเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละซึ่งโลภ โกรธ หลง แล้วยังสามารถนำพาซึ่งความสงบร่มเย็น นั่นก็คือ เราได้ทำบุญ ทำทาน และได้ปฏิบัติธรรมแต่หากว่าปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความโลภ เกิดความหลงขึ้น เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  เช่นนี้เรียกว่าตกเป็นทาสของ (กิเลส)  แล้วเมื่อตกเป็นทาสของกิเลส หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  มีใครบ้างมีทุกข์แค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโลภแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโกรธแค่ครั้งเดียว แล้วมีใครบ้างที่โกรธแล้ว เข็ดแล้ว ไม่โกรธอีก (ไม่มี)
มนุษย์เรามีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เรามีทุกข์โดยพื้นฐาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากเพิ่มทุกข์ให้ตนเองไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเช่นนั้นการตกเป็นทาสของกิเลส ได้ความทุกข์หรือความสุข (ความทุกข์)  และพอไหม ฉะนั้นการตกเป็นทาสของกิเลสก็คือ การเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง อยากหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง อยากสองก็ (ทุกข์สอง)  อยากสามก็ (ทุกข์สาม)  และเราเคยพอทุกข์ไหม (ไม่พอ)  และเป็นความทุกข์ที่ตามมาด้วยกรรมชั่วและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์บอกว่า มนุษย์กลัวเคราะห์กรรม มนุษย์กลัวโชคร้าย
เคราะห์กรรมแห่งการโชคร้ายมาจากคนปฏิบัติดีมีศีลธรรมหรือมาจากคนที่ปฏิบัติชั่วตกเป็นทาสของกิเลสและอบายมุข ถ้าเราไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีกรรมชั่ว ไม่อยากมีวิบากกรรม ไม่อยากมีกรรมเลวร้าย เราก็ควรไม่ปฏิบัติชั่ว แล้วเราปฏิบัติดีไหม ถ้าเรารู้ว่าการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของความทิฐิยึดติดในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นซึ่งความทุกข์ วิบากและความชั่ว เราจะเพิ่มกรรมให้ตนเองไหม เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าชั่วกับดีต่างกันอย่างไร ถึงเวลาเราอยากเลือกชั่วหรืออยากเลือกดี จำไว้ว่าชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เลือกที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังหรืออยู่กับที่ เลือกที่จะก้าวให้ดีขึ้นหรือทำตัวให้แย่ลง หรือทำตัวให้ปล่อยวางและเข้าใจในความจริง เรามีสิทธิ์เลือกใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าเราหยุดทุกข์ไม่ได้ เรารับมือกับทุกข์ไม่เป็น มันไม่ใช่ แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อเวลาทุกข์มันมาเจอกับตัว ศิษย์แก้ไขอย่างไร
วันนี้หลักใหญ่ๆ ที่อาจารย์จะมาพูดคือเรื่องความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ทุกข์ได้
มีใครบ้างที่ทุกข์แล้วไม่ทุกข์อีก ศิษย์เคยทุกข์แล้วไปพบคนอื่นที่ทุกข์ เรารู้สึกว่า เราเฉยๆ เลย ศิษย์เคยรู้สึกอย่างนี้ไหม (เคย)  เช่น ตอนนี้เราทุกข์เหลือเกิน แต่เมื่อศิษย์พบคนที่เขาทุกข์ไม่ต่างจากเรา แล้วดูน่าจะหนักกว่าเราด้วย ความทุกข์ของเราก็เหมือนจะน้อยลง เล็กลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้ว บทของความทุกข์นั้นมีสอนใจเราอยู่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะน้อมนำความทุกข์นั้นมาสอนใจเรา และนำมาลงมือปฏิบัติแก้ไขหรือไม่ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเทียบกับคนอี่นแล้ว จะรู้ว่าเรานั้นโชคดีกว่าเขามาก ใช่ไหม (ใช่)  แขนขาก็ครบ เงินก็มี บ้านก็มี รถก็มี แต่ไม่มีอย่างเดียวคือ ความพอดี ถูกไหม (ถูก)  กับอีกแบบหนึ่ง ความทุกข์ที่อาจารย์เห็นเป็นประจำแล้วอาจารย์คิดว่าน่ารักดี คือ ตัวเองก็ทุกข์ คนที่รักก็ทุกข์ แต่ยอมพูดว่า ไม่ทุกข์ เพราะว่าถ้าพูดว่าตัวเองทุกข์ จะทำให้คนที่ตัวเองรักยิ่งทุกข์ อย่างนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  เพราะถ้าเราพูดไป เขาก็ทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเขาเลยไม่ (ทุกข์)  เพราะเมื่อไรที่เราทุกข์ และมีคนที่ต้องทุกข์มากกว่า เราจะสามารถอดทนและความทุกข์นั้นจะเยียวยาใจเราได้ให้ทุกข์ที่เราพบนั้นเหมือนไม่เจ็บ เพราะถ้าเราเจ็บ จะมีคนที่เจ็บกว่าเรา แล้วคนที่เจ็บกว่าเรานั้นเป็นคนที่เรารักมากที่สุด ยกตัวอย่าง แม่ลูกคู่หนึ่ง แม่ก็จูงลูกไป ปรากฏแม่สะดุดล้มคว่ำ ลูกก็ล้มคว่ำ ทั้งแม่ทั้งลูกก็แขนถลอกหมดเลย แม่ถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกตอบว่าไม่เจ็บ ทั้งที่ลูกเลือดไหลมากแต่ลูกไม่กล้าเจ็บ เพราะเดี๋ยวแม่จะเจ็บกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีคนที่รักมากกว่าตัวเอง ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เพราะความทุกข์นั้นจะทำให้คนที่รักศิษย์หรือห่วงศิษย์เขาจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้แล้วยังทุกข์แล้วไม่รู้จักรักษาเยียวยาความทุกข์ ก็แปลว่า ศิษย์ไม่เคยรักใครมากกว่าตัวเอง
ใช่เลย จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่ศิษย์มีคนที่ศิษย์เห็นค่าและรักศิษย์มากกว่า ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เหมือนบางทีศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์คิดว่าศิษย์ทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็นทุกข์เลย เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากบอกว่าเขาเหล่านั้นก็ทุกข์ แต่บางทีเขาไม่แสดงออกซึ่งความทุกข์ เพราะแสดงออกไปแล้วทุกข์ก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเอง และคนรอบข้างดีขึ้นเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่มีทุกข์แล้วไม่เคยแสดงออก แปลว่าเป็นคนที่รู้จักเห็นใจคนอื่น แต่ถ้าเราทุกข์แล้วเราชอบแสดงออกแปลว่าเราเป็นคนที่ (เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นเหมือนกันเวลาศิษย์ทุกข์ ถ้าศิษย์เห็นอะไรมีค่ามากกว่าตัวเอง ศิษย์จะสามารถยอมอดทนในทุกข์ได้ และทิ้งทุกข์ได้เพื่อสิ่งนั้น เพราะมีค่ามากกว่า เราไม่ยอมทุกข์เพราะอะไร เพราะเราอยากกตัญญูกับพ่อแม่ เราไม่ยอมเจ็บปวดเพราะอะไร เพราะเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข จิตมันใหญ่กว่าเดิมไหม เห็นไหมว่าเราสามารถทำบุญได้ แม้ในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนนี้ยิ้มจังเลย หัวเราะจังเลย เขาไม่เคยทุกข์บ้างเลยหรือ ไม่ใช่เขาไม่เคยทุกข์ แต่เขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกทุกข์ไปเพื่ออะไร เพราะความทุกข์มันมีค่าน้อยกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราเป็นแบบนั้นไหม
ฉะนั้นอาจารย์แค่พูดง่ายๆ เริ่มต้นของความเป็นคนธรรมดา แต่มันกลับทำให้เวลายืนด้วยกันแล้วทำไมเขาดูสูงจัง ถ้าคนด้วยกันปฏิบัติเข้าถึงธรรมแล้ว อยู่กับคนนี้แล้วเย็นใจจัง อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่าง ใช่ เพราะเขาปฏิบัติถึงซึ่งคุณธรรมความเป็นคน มากกว่าเห็นแก่ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแค่คน หรืออยากเป็นมากกว่าคน (มากกว่า)
ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเจอทุกข์ สมมติว่าความทุกข์เหมือนลูกสับปะรด จับแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  จับสับปะรดแล้วน่าจะทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  จับดีๆ ก็ไม่ทุกข์นะ จับไม่ดีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่จับเลยก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าสมมติว่าสับปะรดคือความทุกข์ แล้วความทุกข์ไปอยู่กับศิษย์ วิธีที่ศิษย์เจอความทุกข์ศิษย์จะเอาชนะความทุกข์อย่างไร (ปล่อยวาง)  ถ้าสมมติว่าความทุกข์เป็นสับปะรด ส่วนใหญ่บอกว่า ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  และการปล่อยวางที่ดีที่สุดคืออะไร (ปลอกแล้วเอามากิน)  ปล่อยวางแล้วปลอกแล้วเอามากิน ถ้าเป็นความทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไร โดยส่วนใหญ่เวลาเจอทุกข์มีไม่กี่ทางเลือกอย่างแรกคือจ่อมจมกับมันเลย ให้ตายไปเลย ไม่เขาตายก็เราตายไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยๆ กลับมาทุกข์ใหม่ แล้วคิดแล้วทุกข์ไหม แล้วคิดไหม คิดต่อ พอเหนื่อยเสร็จก็กลับมาคิดต่อ คิดต่ออีกหรือไม่ (คิด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีเจอทุกข์ เมื่อเราเจอทุกข์คนบางคนเลือกที่จะจ่อมจมกับมัน กับอีกวิธีหนึ่ง หนีไปให้ไกลๆ แล้วหลอกตัวเองหาความสุขอย่างอื่นแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหายไหม (ไม่หาย)  พอหันกลับไปมอง หันกลับไปเจอเดิมๆ (ทุกข์อีก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีแก้วิธีรับมือของศิษย์มีอยู่สองอย่าง ไม่ทุกข์กับมันให้ตายไปเลยข้างหนึ่งก็เดินหนีไปสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาเจอมันใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  แม้ว่าไปเอาพลังคนอื่นมาเต็มปอด ได้กำลังใจมาแล้ว ว่าไหวแล้ว พอเจออีกทีก็ลมจับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยอมรับให้ได้ว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น เพราะมันเป็นอยู่แล้ว)  อย่างแรกคือ ต้องยอมรับให้ได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร เพราะเรายึดกับความคิดเราจนไม่ยอมมองความจริง เรายึดกับใจที่เราอยาก จนเราไม่ยอมมองความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องปล่อยวางสิ่งที่เรายึด อยาก และรับความจริงให้ได้ เมื่อรับความจริงได้ ก็คือเอาความทุกข์มาทำให้เกิดสติตื่นรู้ จนมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริง นำพาให้เราพ้นทุกข์ ท่านนั้นตอบได้น่ารักนะ ถ้ามันเป็นทุกข์เอามาทุ่มศีรษะก็โง่เกินไป ฉะนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทำไมศิษย์ไม่ลองมองมันให้ชัด ทำให้เกิดความเข้าใจ และพ้นทุกข์ล่ะ ไม่ต้องเป็นความสุขแต่เป็นความเข้าใจ เหมือนทำใจเรื่องสามี สุดท้ายก็ได้เท่านี้ หวังมากกว่านี้ เขาก็ได้เท่านี้ เหมือนสามีที่ทำอะไรกับภรรยาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะบ่นมากแค่ไหน เดี๋ยวเขาก็หยุดบ่นเองถ้าเขาเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกเราหวังขนาดไหน ทุ่มเทขนาดไหน หากเขาทำได้แค่นี้ เราก็ต้องแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปหวังมากกว่านี้ก็ทรมาน
ศิษย์รู้ไหมว่า ชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบัน แต่คนที่จมอยู่กับอดีต คือคนที่ปล่อยให้ตนเองตายแล้ว และเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับความคิดในอดีต แล้วคนที่มีชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบันหรือคนที่จมอยู่กับอดีต (คนที่อยู่กับปัจจุบัน)  ศิษย์จำไว้นะ มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้น จึงอยู่กับอดีต เพราะเขาแก้อะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่มีชีวิต เขาจะไม่ฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็นและจมอยู่กับอดีต แต่จะพยายามมองไปข้างหน้า และอยู่กับปัจจุบันให้มี (ความสุข)  เราทำบุญกับสามีดีไหม ทำบุญกับลูกดีไหม (ดี)  ไปทำบุญเก้าวัดไกลๆ ได้ ทำไมไม่ทำบุญใกล้ๆ บ้าง
ถ้าทำกับเขาแล้วมันได้ลดกิเลส ได้ลดความเป็นอัตตาตัวตน แล้วเราได้แสดงศักยภาพของคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ออกมา เราไม่ได้ทำบุญทำทานกับแฟนเราหรือ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราจ่อมจม แต่จงเอาทุกข์มาทำให้เราเกิดสติปัญญา และนำพาให้เราพ้นทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสุขก็ได้ แต่เป็นความเข้าใจและยอมรับความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะมันได้แค่นี้ ถ้าเขาได้แค่นี้เราก็ต้องแค่นี้ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงให้เป็น บางคนเราอยู่ด้วย เขาทำงานกับเราพูดกี่ครั้งเขาก็ได้แค่นี้ เมื่อเรามีทุกข์เราจะไม่กลัวแล้วใช่ไหม เมื่อเราไม่กลัวทุกข์เราก็จะรับมือกับทุกข์ได้ ถ้าเราอยากจะแก้ทุกข์เราก็ต้องมองให้ออกว่า แล้วทุกข์มันมีสาเหตุมาจากอะไร (ทุกข์เกิดจากใจ)  ใจที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงแต่ยึดติดแต่ความคิดเห็นของตนเอง แล้วก็บอกผู้อื่นว่า ฉันปรารถนาดีนะ ปรารถนาดีกับลูกแต่ลูกทำได้แค่นี้เราก็ต้องยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำงานเต็มที่ เราไม่ได้เลื่อนขั้นแต่คนอื่นได้เลื่อนขั้นเราก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าเรายังฝืนยืนยันว่าทำไมๆ เราถึงไม่ได้ เราก็มีแต่ทุกข์และก็มีบาปติดตัว เกลียดคนนั้นเพราะคนนั้นแน่เลยฉันถึงไม่ได้เลื่อนขั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานสับปะรดให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
เอาสับปะรดไปช่วยอาจารย์แบกเลย
(การกระทำ)  การกระทำอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นั่นคือการกระทำที่เรายึดติด การกระทำที่ประกอบไปด้วยความอยาก การกระทำที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยึดเหตุผล)  ทุกข์เพราะยึดในความคิดว่าเรามีเหตุผลที่ถูกต้อง เคยไหมว่า ฉันมีเหตุผล ฉันถูก คนอื่นเหตุผลไม่ดีไม่ถูก เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วเป็นบ่อยไหม คนทุกคนมีเหตุผล เหตุผลมาจากความรู้ความเข้าใจที่ตัวเองสรุปเอาเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  และโดยส่วนใหญ่เหตุผลที่เราสรุปเองว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี มักจะลำเอียงหรือเที่ยงตรง (ลำเอียง)  เข้าข้างตัวเองมากกว่าตรงกลาง แล้วเหตุผลเราถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์บอกว่าเราทุกข์เพราะเรายึดในเหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของผู้อื่น นั่นก็เป็นปัญหาได้ เพราะเรามองแต่เหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของคนอื่น เหตุผลที่ถูกต้องคือมีศีลธรรมไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เหตุผลช่วยไม่ได้ เพราะเหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง
มีเหตุผลว่าเราดี แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่าดีก็ได้
(แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์)  ความเป็นธรรมดาของสังขาร แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อันเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเป็นธรรมดาแล้วเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่)  ฉะนั้นแก่ก็ไม่ทุกข์ ตายก็ไม่ทุกข์
ดังนั้นการพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ไม่ทุกข์ การถูกว่าก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมดา จำให้ได้อย่างนี้เสมอๆ นะ
(ทุกข์เพราะตนเองเป็นผู้กระทำเอง)  ศิษย์เอ๋ย ทำดีที่สุดก็ยังถูกว่า ทำไม่ดีก็ถูกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน ถูกว่านิดถูกว่าหน่อยก็ไม่เห็นต้องเป็นอะไรเลย เพราะว่าสิ่งนั้นคือความธรรมดา ใช่หรือไม่ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูถูกกล่าวหา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม เพราะเพชรจริงไม่กลัวการเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวก็แต่ว่า เรายังดีไม่พอ แล้วก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มีใครจะตอบพระอาจารย์อีกไหม เราทุกข์เพราะอะไรหรือ
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ละไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกข์โดยไม่ทุกข์ได้ เราจะเลือกแค่เห็นทุกข์หรือเราเป็นทุกข์ เขาพูดให้เจ็บเราจะแค่เห็นหรือเก็บเอามาใส่ใจแล้วเป็นทุกข์ ถ้าแค่เห็นแล้วไม่คิดก็จบ เพราะหลักแห่งธรรมคือความสงบ แต่เราไม่เคยสงบ เพราะเราไม่ยอมจบ เราก็เลยเอามาคิดและก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเราจับแก่นหลักธรรมตั้งแต่แรกเลยเราสงบไหม เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์เราควรเอามาคิดไหม ถ้าเราเห็น แต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น ไม่เห็นแต่เราคิดมันไม่มีก็เหมือนมี ถ้าเราเห็นแต่เราทำเหมือนไม่เห็น จะมีอะไรกับใจเราไหม จะมีอะไรมากวนใจเราไหม ที่เรียกว่าไม่ใส่ใจ ถ้ามันทุกข์แล้วจะทำให้เราเจ็บปวด เราไม่เอามาใส่ใจจะทำเราทุกข์ไหม เหตุหลักของความทุกข์คือการยึดมั่น พระพุทธะจึงกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์ไม่ยึดมั่น ความตายความเจ็บก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่ที่เรายังเจ็บ ปวดและทุกข์ เพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเรายึดสิ่งใดได้ไหม สามียึดได้ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจแก่นของสัจธรรม เพราะแก่นของสัจธรรมล้วนบอกให้เรารู้ว่า เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เอาไว้เป็นคาถาเด็ดปลดทุกข์เลยศิษย์ เห็นเขาอยู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ และบางทีคิดว่าเขาทำให้เราทุกข์ บางครั้งเราทุกข์เพราะเขา แต่บางครั้งเขาก็ทุกข์เพราะเรา ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เพราะเขาคนเดียว แต่เขาก็อาจกำลังทุกข์เพราะเราก็ได้ เราอยู่ในโลกเห็นเหมือนไม่เห็น บางทีมันอาจจะทำให้เราทุกข์น้อยลง
บางทีปากเขาว่าเราแต่ใจเขาอาจจะห่วงเรา เราเคยโมโหลูกแล้วว่าเจ็บๆ แสบๆ ไหม (เคย)  แต่ลึกๆ เรารักลูกไหม (รัก)  แล้วว่าลูกไหม (ว่า)  อย่างนั้นคนที่ว่าเราเจ็บแสบ ลึกๆ เขาอาจจะรักเรา เพราะถ้าไม่รัก เขาจะว่าให้เมื่อยปากไหม แล้วจะว่าให้เปลืองน้ำลายไหม ก็ไม่นะ ที่เราว่าเขาเจ็บแสบเพราะเรารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอกเขาอกเรา เวลาถูกเขาว่าเจ็บแสบก็คิดเสียว่าเขารักเรา เพราะบางทีเราเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น สิ่งที่เรามองไม่เห็นเราลืมไป เหมือนที่บอกว่าดูในร้ายแต่ก็มีดี ดูในดีแต่ก็มีร้าย เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มีก็เหมือนไม่มี ถามว่าเงินมีร้อยบาท เคยรู้สึกว่ามีร้อยบาทไหม มีหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน เคยรู้สึกว่ามันเป็นของเราบ้างไหม (ไม่เคย)  มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  สามีมีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ นะศิษย์ พ้นจากตาเราใช่ของเราไหม อยู่กับเรา ใจเขาเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเอาแก่นของความเป็นจริงแห่งสัจธรรมมาย้ำเตือนใจจนสามารถพ้นทุกข์ ทะลุทะลวงความทุกข์ แล้วใดๆ ในโลกก็ไม่อยากและไม่ยึดอีกต่อไป ที่เรียกว่าแก่นของหลักธรรมคืออะไรในโลกก็ไม่เอากับมันแล้ว อาจารย์ถามหน่อยศิษย์ มีพัดก็ทุกข์เพราะพัด มีแอปเปิล ก็ทุกข์เพราะแอปเปิล มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีอะไรบ้างในโลกที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  แล้วเราอยากมีอีกไหม รู้แล้วยังจะอยากอีก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อสนองกิเลสความอยาก ความหมายเลยไม่เหมือนกัน เมื่อไรที่เราเข้าถึงหลักแห่งความเป็นจริง คนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม แต่ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตัวแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม
ฉะนั้นวัฏฏะสงสารเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความอยาก เมื่อไรที่มนุษย์สิ้นกิเลสความอยากแห่งการเป็นตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตัวตนเป็นมายา ถ้ายังหลงยึดติดในตัวตนแห่งมายา และทำทุกอย่างเพื่อตัวตน มนุษย์ก็จะหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์สามารถสิ้นกิเลสสิ้นตัณหาในใจ เมื่อนั้นมนุษย์ก็พ้นวิบากกรรมได้จริงไหม (จริง)
เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ฉะนั้นเราอยู่เพื่อสร้างกรรมต่อ หรือเราอยู่เพื่อจบกรรม (จบกรรม)  ตอบอาจารย์ว่าจบกรรม แต่ทุกอย่างที่ทำมานั้นเป็น การก่อกรรมทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เป็นธรรม ถ้าศิษย์อยากจบกรรมกับเขา อย่างนั้นหากเขาว่ามา ศิษย์จะต้องไม่ว่าเขากลับ เขาโกงมาศิษย์จะต้องไม่โกงตอบ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์จะไม่ได้อยู่เพื่อสนองความอยากแห่งกิเลส แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ทำตามหน้าที่ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ทำถึงที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับในสิ่งที่เป็น นั่นจึงเรียกว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อสิ้นกรรม
แต่เรากลับตรงกันข้าม เรามักปฏิบัติเพื่อสนองความอยากว่า วันนี้อยากได้อะไร วันนี้เกิดโลภอะไร ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย ก็มาจากกิเลส เมื่อไรที่เชื้อแห่งกิเลสยังไม่หมดไปจากใจ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหนีพ้นจากวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ดังที่เรียกว่า ถ้าจะดับ ก็ต้องดับจนไม่เหลือแม้สักเล็กน้อยที่เรียกว่าเชื้อแห่งความอยาก ดังที่เรียกว่า ตายก่อนตาย
อย่าบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จชาติหน้า แต่ “ต้องบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จตอนนี้ และไม่มีชาติหน้า” เพราะเราไม่รู้ว่า ชาติหน้า เราจะทำได้สมกับที่เราได้เกิดเป็นคนเหมือนในชาตินี้หรือเปล่า แล้วอย่างนี้ทำไมเราจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อเราก็มีร่างกายครบสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ช่วยอาจารย์แต่งชื่อเพลงหน่อยดีไหม ปกติอาจารย์จะให้ทำนองเพลงและชื่อเพลงเลย แต่ในชั้นนี้อาจารย์อยากให้นักเรียนในชั้นนี้ร่วมกันตั้งชื่อให้เพลงนี้ อาจารย์มีชื่ออยู่ในใจแล้วถ้าอาจารย์บอกศิษย์ต้องเอาชื่อเพลงที่อาจารย์ตั้งแน่เลย เพลงเพราะไหม (เพราะ)  เพลงเพราะหรือคนร้องเพราะ (เพลงเพราะ)
(ชื่อเพลง สุขจริง, อย่าทำอะไรแบบเดิมเดิม, มีธรรมะในหัวใจ, นี่คือชีวิต)
ตั้งชื่อว่า (บำเพ็ญบุญต่อไป)  ศิษย์รู้ไหมว่า ชื่อที่ศิษย์ตั้งเหมาะกับให้ศิษย์ไว้ใช้กับตนเอง และเตือนใจตนเองว่ารู้จักบำเพ็ญบุญต่อ อย่าทำบาป อย่าหลงอบายมุขนะ เพราะว่าชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ไม่ฟื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคำที่ศิษย์เขียน เหมาะกับตัวของศิษย์เองทั้งนั้นเลย จริงไหม (จริง)  อาจารย์ว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครอยากได้แอปเปิลของอาจารย์บ้างไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่เราคุยกันค้างไว้ว่า มีอะไรก็เป็นทุกข์ แล้วศิษย์ยังอยากได้อยู่ไหม อยากหรือ มีแอปเปิลก็ทุกข์นะ อร่อยก็ทุกข์ ไม่อร่อยก็ (ทุกข์)  แต่ก็ยังอยากได้ทุกข์
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า ความทุกข์เกิดจากความยึดและความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราต้องการเอาชนะความทุกข์ได้ หรือเข้าใจความทุกข์ได้ เราก็ต้องไม่ (อยาก)  แล้วก็ (ไม่ยึด)  เพราะว่าในโลกใบนี้มีอะไรบ้างที่เราสามารถครอบครองได้ (ไม่มี)  แสวงหาได้แต่ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ร่างกายนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้ว่าไม่ได้ แต่เราก็ยังอยาก แล้วก็ (ยึด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรที่จะเป็นการเรียกว่าการปฏิบัติและบำเพ็ญ แล้วทำให้เราทุกข์น้อยลง
ตอบได้ไหม แปลว่าที่พูดไปไม่มีใครจำได้เลยใช่ไหม (ความอยากได้เป็นทุกข์ ทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่อยากได้เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้ามาเป็นของเราเราก็รับไว้ แต่รู้ว่านั่นมันเป็นของเราแล้ว ซึ่งตรงนี้จริงๆ แล้วมันยากที่คนเราจะทำได้ เราก็ต้องฝึกใจเรา ฝึกปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ตลอดทุกเวลานาที คิดอยู่ตลอดว่าอันนั้นไม่ใช่ของเรานะ แต่ถ้ามันเป็นของเราเราก็ยอมรับมัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็ยอมรับมัน)  หมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเป็นของเราก็เป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่แค่ทำให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติง่ายๆ เลยนะศิษย์ ทำหน้าที่ของตัวเองปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ผิดต่อฟ้า ไม่ผิดต่อดิน ไม่ผิดต่อความเป็นคน แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ ถ้ามันจะได้มันก็ได้ อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ ในโลกนี้ถึงศิษย์จะบอกว่าศิษย์หามาเท่าไหร่แล้วทำไมศิษย์ต้องเสีย ทำไมศิษย์ต้องยอมให้เขา ทำไมเขาต้องเอาของศิษย์ไป อาจารย์อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ มีอะไรเป็นของเรา เราเหมือนเราได้ เราเหมือนเรามี จริงไหม แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยมีอะไรเลย ไม่เคยได้อะไรจริงๆ เลย ถามใจลึกๆ ศิษย์มีจริงๆ ไหม จริงๆ เราไม่เคยมี และจริงๆ เราก็ไม่เคยได้ แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี คิดว่าเราได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ของเรา เราแค่บังเอิญได้เจอมันชั่วขณะหนึ่ง แต่บังเอิญมันอาจไม่ใช่ของเราอีกขณะหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่าเราเสีย เราไม่ได้เสีย เราได้ก็ไม่ได้ได้ แท้จริงเราไม่ได้และไม่ได้เสีย เพราะเรามาจากความว่างเปล่า แล้วเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า แล้วเราจะยึดติดกับความอยากว่า เขาเอาของฉันไป เขาเอาของฉันไป เพื่อสร้างเหตุปัจจัยให้กลับมาเวียนเจอกันอีกใช่ไหม เพื่อสร้างภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการยึดติด เราก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายังทุกข์กับอะไรอีกหรือ
ถ้าให้ตอบแบบสุ่มตอบ แล้วไม่มีใครตอบ อาจารย์บังคับให้ตอบดีไหม ด้วยการส่งสับปะรด หากสับปะรดไปอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ก็คือ เราไม่เคยรู้เท่าทันใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยมองเห็นทันความทุกข์ที่มา เมื่อความทุกข์มาเราจึงยึดความทุกข์ทันที ฉะนั้น เราต้องฝึกสติ สติจะทำให้เรารู้จักคิด รู้จักทำ และกลับมาสู่ความเป็นกลาง อาจารย์จึงให้ศิษย์ส่งสับปะรด เพื่อฝึกสติ
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกม และส่งสับปะรด)
เมื่อร้องเพลงที่อาจารย์ให้ หากอาจารย์บอกให้หยุด แล้วสับปะรดอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ว่า ตัวเราแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุด ตัวเราที่ช่างคิด ตัวเราที่ช่างโกรธ หรือตัวเราที่ช่างน้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้สับปะรดจะกลายเป็นแอปเปิล
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยไข้เจ็บ เป็นเพราะสิ่งที่เราทาน ไม่รู้จักระมัดระวังในการทาน
จริงๆ โรคภัยไม่น่ากลัว โรคภัยเป็นทุกข์แค่สังขารแต่ไม่ใช่ทุกข์ที่จิตใจ เรามีกรรมแค่ที่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ เหมือนที่เขาเรียกว่ากายเจ็บได้อย่าให้ใจเจ็บ กายทุกข์ได้อย่าให้ใจทุกข์ เพราะจะล้มพังไม่เหลืออะไรเลย
(คนรอบข้างทำไม่ถูกใจ)  เหมือนเรื่องเมื่อวานเลย อยากให้เป็ดเป็นหงส์ใช่ไหมแล้วเป็ดก็ไม่ยอมเป็นหงส์สักที บางทีอาจเป็นไก่ไม่ยอมเป็นเป็ด จงยอมรับในธรรมชาติของทุกสิ่งแล้วเราจะไม่ทุกข์
(ใจเราไม่นิ่ง เมื่อใจเรานิ่งทุกข์มากๆ จะน้อยลง)  แค่เห็นทุกข์อย่าไปเป็นทุกข์แค่นั้นเอง เห็นแต่ไม่เป็น ถ้าเราไปเป็นทุกอย่างก็ทุกข์ตาย เราแค่เห็นทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะการดับ เราเห็นโรคแต่เราไม่เป็นโรค เห็นโรคในร่างกายแต่ใจเราไม่เป็นโรค เรามีกรรมแค่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ ใจเราพ้นกรรมมานานแล้วแต่มนุษย์ชอบเอาตัวตนมาบังคับใจของเรา จึงทำให้เราไม่เห็นจิตเดิมแท้
มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์ แล้วจริงๆ เราเคยมีหรือเคยไม่มี (ไม่มี)  แล้วสุดท้ายเราต้องมีหรือไม่มี (ยังอยาก)  ยังอยากอีกหรือศิษย์ปูนนี้แล้วควรจะปล่อยๆ บ้างนะศิษย์ ที่ควรจะมีก็มีเกือบหมดแล้ว ที่ไม่เคยรู้ก็รู้หมดแล้ว ที่ไม่เคยได้ก็ได้เกือบหมดแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากอีกหรือ เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ จะมีเวลาเพื่อสนองกิเลสอีกหรือ (ความอยากเป็นของธรรมชาติ)  ความอยากเป็นของธรรมชาติไหม ความอยากไม่ใช่ธรรมชาติแท้จริง ถามใจจริงลึก ๆ ความอยากคือธรรมชาติแท้จริงที่เราแสวงหาอย่างนั้นหรือ ความอยากเพื่ออะไร จริงแล้วเราอยากเพื่อแค่บำรุงเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอด แค่อยากเพื่อปัจจัยสี่ แล้วพออยากไปถึงที่สุดลึกๆ ในความอยากมีความว่างอยู่ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี แล้วอะไรถึงเป็นแบบนั้น เพราะธรรมะต้องการสอนว่าอยากไปเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี (บางคนมีมากก็ไม่อยากมี)  แล้วเราจะเกิดมาเพื่อวนเวียนวัฏฏะแห่งความอยากอย่างนั้นหรือ (ภายในครอบครัว, สุขภาพตัวเองไม่แข็งแรง)
จริงๆ อาจารย์อยากได้ชื่อเพลงว่า “ลมหายใจเพื่อบำเพ็ญ” เหมือนที่ศิษย์พูดว่า คนเรามีความอยากเป็นธรรมดา ใช่ไม่ผิด แต่ถ้าความอยากนั้น เป็นอยากที่ทำให้ศิษย์เดินเข้าไปในวัฏฏะของการเวียนว่ายแห่งความทุกข์ไม่จบสิ้น กับอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องอยากมาก แต่อยากเท่าที่พอทำได้ คือ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองความอยาก แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ความเป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรามา ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลส
อาจารย์ถามง่ายๆ นะ ระหว่างกิเลส กับธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นเดิมแท้ของใจศิษย์ (ธรรม)  อาจารย์ก็ว่า น่าจะเป็นธรรม ธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ในใจของเรา จริงไหม (จริง)  อารมณ์นั้นมาทีหลัง ถูกไหม (ถูก)  แล้วชีวิตของเราจะกลับคืนสู่ธรรม หรือสนองกิเลส แล้วเวียนว่ายกรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ถ้าอาจารย์ก้าว แล้วก้าวหนึ่งขึ้นฟ้า กับอีกก้าวแค่เล็กน้อยแล้วได้แค่บุญบาป อาจารย์อยากให้ศิษย์ก้าวแล้วถึงฟ้าเลยดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะผลักดันศิษย์ อาจารย์ก็ควรจะผลักดันให้ศิษย์กลับคืนสู่ที่เดิมที่ศิษย์มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เพียงแค่ผลักดันให้ศิษย์กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใครอยากตาย ก็ไม่มีใครอยากตาย จริงไหม (จริง)  เราอยากแก่อีกไหม เราก็ไม่อยากแก่ อยากเจ็บอีกไหม ศิษย์ก็ไม่อยากเจ็บ เพราะในโลกนี้แก่ครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นถ้าศิษย์ไปสนองความอยากแล้วศิษย์ต้องแก่ต้องเจ็บ แล้วต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างนี้ศิษย์ยังจะอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)
มันแค่อยู่ที่ก้าวว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ถ้าเลือกทางนี้สนองความอยาก แต่ถ้าลดความอยากนิดหนึ่งแล้วมันทำให้เราเข้าถึงธรรม ลดละความอยากความโลภ ลดละการยึดถืออัตตาตัวตนแล้วพ้นทุกข์ ทำไมเราไม่ลองก้าวทางนี้ดู ตอนนี้เราเดินมาเจอทางสามแพร่ง ทางหนึ่งอาจารย์ชี้บอกว่ามากกว่าขึ้นสวรรค์คือพ้นทุกข์นิรันดร์ และอีกทางหนึ่งคือกลับไปเหมือนเดิมคือเวียนว่ายในความทุกข์ อีกทางหนึ่งคือยึดติดในความดี ทำดีแล้วสนองความดีนั้น พอหมดกรรมดีก็กลับมาเวียนว่ายกรรมดีกรรมชั่วอีก ศิษย์ว่าอาจารย์ควรชี้ทางไหนดี แล้วทางแรกวิธีที่จะแก้ แล้วทำให้ถึงที่สุดคือ เมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถเอาหลัก
สัจธรรมมาสอนตัวเอง มาทำให้ศิษย์ตั้งตรงอยู่ในสัจจะความเป็นจริง ไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว เข้าสู่ความเป็นกลางเมื่อนั้นศิษย์จะพ้นบาปกรรมและการยึดติดในตัวตนนั้นชาตินี้ ตอนนี้เลย แต่ไม่เลย เราเห็นอะไรเราก็อยาก ชอบ ไม่ชอบ ชอบก็เรียกว่ากรรมดี ไม่ชอบก็เรียกว่ากรรมชั่ว แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องวิเคราะห์ดี ไม่ต้องยึดติดดี ไม่ต้องยึดติดร้าย เพราะถึงที่สุดมันไม่มีอะไรดีจริง ร้ายจริง เพราะทุกสิ่งมันเป็นกลาง เมื่อเห็นเป็นกลางมันก็เลยไม่มีกรรม แต่มันเป็นธรรม

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น แล้วให้พับแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนนักเลง)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ลักษณะแบบนี้เรียกว่านักเลง
ทันทีเลย การยึดติดในความคิด อารมณ์ ความรู้สึก แล้วชอบวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินคน ทำให้เราเข้าไม่ถึงธรรมและมองไม่เห็นความจริงแต่กลับเหวี่ยงไปเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ดี ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วอันนี้ที่ศิษย์ตัดสินว่าเด็กเป็นจิ๊กโก๋แค่เสื้อผ้า เพราะเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นตั้งแต่เขาเดินมา เขาก็ไม่ได้เป็นจิ๊กโก๋นี่ แค่อาจารย์บอกให้เขาทำเหมือนจิ๊กโก๋ แล้วจริงๆ เขาเป็นจิ๊กโก๋ไหม (ไม่)  
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงแก่นของหลักธรรม เราจะไม่ตัดสินอะไรดีอะไรชั่ว แล้วเราจะไม่อยากยึดเขา หรือไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขา เราจะแค่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความถูกต้องเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติและเคารพให้เกียรติต่อเขา เราก็มีจริยธรรม มีเมตตาธรรม ซื่อตรงต่อเขา แม้เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ตัวเองว่าเราดีพอ ปฏิบัติกับเขาถูกพอ และเราก็ไม่ผิดต่อการเกี่ยวกรรมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ตัดสินมันไม่เป็น “ธรรม” แต่มันกลายเป็น “กรรม” ทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเจออะไรอย่าตัดสิน เพราะเขาอาจจะดีหรือไม่ดี ไม่อาจวัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดเขาจะร้าย ทุกข์หรือสุข เราก็ไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีสติทุกขณะ เราจะมีศีลมีธรรมและบำเพ็ญธรรมสิ้นกรรมพ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าอยู่กับเขาหรืออยู่กับใคร สมมติว่าเรารับประทานอาหารแล้วเจอรสเปรี้ยวโกรธไหม (ไม่โกรธ)  กินแกงจืดแล้วรสเป็นต้มยำโกรธไหม (โกรธ)  ซื้อส้มบางมดแล้วคนขายบอกว่าหอมหวาน แต่พอกินแล้วเปรี้ยว โกรธไหม (โกรธ)  เห็นไหมกลายเป็นกรรมเลยไหม ฉะนั้นเขามีสิทธิ์จะพูดเป็นเรื่องของเขา แต่สำหรับศิษย์คือ “การควบคุมใจตัวเอง” ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ต้องรอ ปฏิบัติทุกขณะที่เราโดนกระทบ แล้วเราเลือกได้ว่าจะเป็นผู้มีศีลธรรม หรือเราจะถูกกระทบแล้วเราสร้างกรรม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ที่เราจะแปลสิ่งที่รู้ให้รู้จนถึงที่สุด เชื่อไหมศิษย์ อาจารย์อยากได้คนแบบนี้ “ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ทำ”
เพราะถ้ายึดดีก็ต้องไปเสวยกรรมดี และถ้าหากทำชั่วแล้วละชั่วไม่ได้ก็หนีไม่พ้นที่ต้องไปรับผลของกรรมชั่ว แต่หากว่าดี ทำถึงที่สุดแล้วเราไม่ยึดดี ชั่วเราก็ไม่คิดทำ แต่เราก็สามารถคงไว้ซึ่งคุณธรรมความถูกต้อง นั่นคือ ทางพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาชื่อเพลงลมหายใจไว้บำเพ็ญ)
ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เหลือของศิษย์นั้นอยู่ที่ ศิษย์จะมีลมหายใจเพื่อสนองกิเลสกรรม หรือมีลมหายใจเพื่อบำเพ็ญศีลทานคุณธรรมและนำพาให้ตนพ้นทุกข์ อยู่ที่ศิษย์เลือกเดินแล้วนะ ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทางสว่าง ถ้าศิษย์จะสว่างก็ต้องสว่างให้ถึงที่สุด อย่าเอาสว่างแค่วับ ๆ แวม ๆ ในโลกไม่มีอะไรร้าย ถ้าคุมใจตนเองได้ เราก็สามารถควบคุมคนในโลกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราคุมใจตนเองไม่ได้คนในโลกก็สามารถบีบคั้นจิตใจเราได้ ศิษย์รักตนเองไหม (รัก)  แต่ทำไมเพียงแค่ถูกคนว่า ศิษย์ก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น แปลว่าคน ๆ นั้นไม่เคารพตนเอง ไม่ให้คุณค่ากับตนเอง ปล่อยชีวิตของตนไปอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน เช่นนั้นเมื่อใดที่ถูกคนว่าเราก็หน้าเสีย เขายิ้มเราก็หน้ายิ้ม แสดงว่าเราไม่มีความสุขด้วยตนเองเลย ต้องอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน จริงไหม เรื่องที่ง่าย ๆ ที่สุด เพียงแค่เราถูกคนว่า หากเขาว่าเราแล้ว เราจะปฏิบัติให้ได้ศีล ธรรม ทาน คุณธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง” ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องทุกข์ เจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด ก็จงทำจิตใจให้เข้มแข็ง ได้ไหม (ได้)  แต่อย่าแข็งโป๊กๆ จนกลายเป็นคนดื้อรั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ศิษย์กลับไปพิจารณาอีกที ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ มีพบก็มีจาก เมื่อยามมีชีวิตอยู่ จงทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากไป เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะทำจนถึงที่สุดแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
อาจารย์ไม่ต้องปลอบใจอะไรแล้ว ทำไมยังไม่เข้มแข็งอีกนะ ต้องเข้มแข็ง มั่นคง นำพาคนให้ได้ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ดีใจจังเลย มีความทุกข์อะไรอยากให้อาจารย์ช่วยเหลือไหม มีเวลาน้อยจะได้รักษาเวลานี้ให้มากที่สุด หรืออยากให้อาจารย์พูดปลอบใจอะไร อายุน้อยนะ นักเรียนชั้นนี้อายุน้อย แข็งแรง สดใส แล้วก็ยิ้มหวานทั้งนั้นเลย ฉะนั้นในสิ่งที่ไม่มี เราจะมีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสิ่งที่ขาดแคลนเราจะสมบูรณ์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราผ่านมาทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสมบูรณ์ที่สุด เราก็จะส่งมอบต่อให้คนอื่นได้มากที่สุด จริงไหม (จริง)  มีแต่คนที่มีความสุข ถึงจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่นได้ มีแต่คนที่มีใจกว้าง ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอายุเท่านี้แล้วไม่หงอยแล้วนะ ยิ้มเข้าไว้ ภูมิใจเข้าไว้ว่าเราใช้ชีวิตมาเต็มที่แล้ว
ฉะนั้นหลังจากนี้เราจะเหลือคุณค่าและทรงคุณค่าที่ดีที่สุด ด้วยการเข้าใจชีวิตว่าเราไม่เกิดมาเพื่อรับกรรม ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจความจริง
ที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่ทำแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดถือ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ใส สว่าง สะอาด ในใจ อะไรที่ทำให้ใจของเราสกปรก ก็อย่าไปคิด อะไรที่ทำให้ใจของเราร้าย ก็อย่าไปเอามา เพราะใจของฉันจะกลับฟ้า ฉันจะนำใจเดิมกลับฟ้า ใจฉันต้องสะอาด ต้องใส ต้องดีที่สุด ดีจนไม่มีใครเคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ฉันจะดีได้ถึงขนาดนี้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การประคองใจของตัวเองให้ถูกต้อง ให้ดีงาม ให้มีธรรม ธรรมที่เรียกว่า ทำให้เราประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ ร่มเย็นยิ่งกว่าร่มเย็น ดีงามยิ่งกว่าดีงาม
อาจารย์เชื่อในศิษย์ว่า ขอแค่เพียงศิษย์มั่นใจว่าทำได้ เราก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  ศรัทธาเชื่อในความดี ศรัทธาเชื่อใจธรรมที่เรามี แล้วเราจะได้กลับไปสู่สิ่งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นดูแลจิตใจของตัวเองนะ เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ใจเดิมแท้ของเรานั้นไม่มีกรรม เรามีทุกข์เพียงแค่ร่างกาย แต่ใจเดิมแท้ของเราไม่เคยทุกข์นะ
ศิษย์รู้ไหม การช่วยคนก็คือการช่วยตัวเอง ยิ่งเราพยายามช่วยคนมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเองมากเท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญจึงไม่ดูถูกคุณค่าของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นศิษย์ที่อาจารย์รัก ที่สมแล้วกับการเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง มีหนทางเดินที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติจริงที่งดงาม มีการกระทำที่ดีและถูกต้อง โลภ โกรธ หลง ความอยากในโลกนี้ไม่เคยช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์เท่ากับธรรมะ ธรรมะแห่งความเมตตา ธรรมะที่รู้จักอุทิศเสียสละ
ให้ให้ถึงที่สุด ให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
(ใจไม่ปล่อยวาง)  ก็มัวแต่หมกมุ่นกับความคิด ถ้าเมื่อไรที่คิดฟุ้งซ่าน ลองเอาเพลงธรรมะมาร้อง จะทำให้เราวางลงได้บ้าง เพราะคิดไปก็ไม่ช่วยอะไร จริงไหม ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งก้าวต่อไป กายทิ้งไว้ที่โลกนี้ เอาจิตเดิมแท้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์ เข้มแข็งแล้วรู้จักหาทางออกให้ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้ว
ทุกข์ก็อย่าแบกมันไว้ เข้มแข็งและยอมรับความจริงนะ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยคุณธรรมความเป็นคน ดูแลตัวเองด้วย ทำให้ได้ ตั้งใจนะ มีโอกาสศึกษาบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและเลิกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของศิษย์เองศิษย์ต้องเลือกเอง แต่เมื่อเลือกแล้วจงเลือกสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เพราะชีวิตมันเดินหน้าแล้วมันย้อนกลับไม่ได้ อย่าคิดว่าอายุมากแล้ว ฟังธรรมไม่ค่อยรู้เรื่อง
ยิ่งยากเท่าไร ยิ่งต้องฟังให้ได้ ยิ่งต้องฟังให้รู้ ปัญญามีอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวศิษย์เองทุกคนจะนำปัญญานั้นมาเข้าถึงธรรมไหม อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ธรรม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ทุกข์ แต่ต้องพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำตัวให้ถูกต้องนะศิษย์เอย เป็นอะไรอาจารย์ไม่ว่า ขอแค่ทำให้ถูกต้อง ได้ไหม แล้วสักวันศิษย์จะเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พยายามให้ศิษย์รู้ แค่อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ได้อยากให้ศิษย์ทุกข์ในโลกเลยนะ คิดให้ดีๆ


วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าเรารู้อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องรีบแก้ เราต้องยอมรับอย่าฝืน ถ้าฝืนไปแล้วมันไม่ใช่ แม้บางครั้งผิดก็ต้องผิด อย่ากลัวที่จะผิด เพราะความผิดทำให้เราก้าวหน้า ความผิดทำให้เรารู้จักยอมตัวเองยิ่งขึ้น
จริงๆ อาจารย์อยากคุยกับฐันจู่ ฐันจู่จินโจวเป็นอย่างไรบ้าง
ขอบใจนะศิษย์เอ๋ย อุทิศเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น ยอมอยู่ข้างหลังบ้าง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วนะ  หมดแรงหรือยัง ผลักดันกันไปให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจกันบ้าง ก็ขอให้อะลุ่มอล่วยไปให้ถึงที่สุด อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว บางทีการสร้างห้องพระก็เหมือนการฝึกใจเราที่สุด ฝึกใจให้กว้างยิ่งกว่ากว้าง ยอมยิ่งกว่ายอม ให้ยิ่งกว่าให้
อาจารย์แจกผลไม้เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจ ให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เป็นลูกศิษย์อาจารย์ทั้งทีต้องเข้มแข็ง อย่างน้อยต้องให้สมกับที่ต้องตั้งใจบำเพ็ญ เหนื่อยหน่อยนะ มาเยอะเลย อย่างนี้ผลไม้อาจารย์ไม่พอแน่เลย แต่อย่าลืมนะ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้อย่าไปกลัวใช่หรือไม่ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อะลุ่มอล่วย นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้อภัยกัน
อย่าถือสาเอาเรื่องเอาราว เรามาบำเพ็ญเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เรามาบำเพ็ญเพื่อละความเป็นตัวตน ถ้าบำเพ็ญแล้ว นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ยอมแปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่จริงไหม ฉะนั้นอะไรที่ควรยอมได้ก็ควรยอม อะไรที่ควรให้ได้ก็ควรให้
ฉะนั้นเราได้โอกาสที่ดี เราก็ควรรู้จักแปลงโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ได้ฝึกฝนจิต ไม่ใช่โอกาสที่ตามใจตัวเราเอง อยู่ที่ใจของเราถ้านิดๆ หน่อยๆ เรายอมแพ้ โรคที่มีอยู่นิดๆ ก็จะมีเยอะ แต่ถ้านิดๆ หน่อยๆ ฉันไหวฉันสู้ ฉันได้ฉันผ่าน ที่นิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นไม่มี อาจารย์เคยบอกไว้ตั้งหลายรอบแล้ว กรรมเป็นแค่ที่สังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ถ้าจิตอ่อนแอไปตามกายตามสังขาร เราก็เจ็บทั้งกายและใจ แต่ถ้าเรามีกรรมไว้แค่ที่สังขาร กรรมนั้นก็ทำอะไรที่ใจเราไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็จะทำให้เราเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ เพราะถึงที่สุดกายของเราก็ต้องทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ มีแต่จิตเท่านั้นที่จะต้องไป
ศิษย์เอ๋ย ทำจิตใจให้เข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง ผ่านทุกเรื่องราวด้วยหัวใจที่ดีงาม อะไรที่เก็บไว้แล้วมันเหม็น มันไม่ถูกไม่ดีก็อย่าเก็บ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คนที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ  แล้วเราจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ของใครหรือเปล่า  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสก็ตั้งใจให้เต็มที่นะศิษย์เอ๋ย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง”
            ทำจิตใจให้เข้มแข็ง                          เรื่ยวแรงไม่มีถดถอย
    แม้เป็นแสงเทียนเล่มน้อย                          หิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ
    หยัดยืนหัดเป็นพุทธะ                               ชนะใจตนให้ได้
    ขัดข้องไม่ว่าเรื่องใด                                 วินิจฉัยความคิดตัวเอง
    ความทุกข์ทำให้อ่อนแอ                            ทางแก้ไม่ใช่ต้องเก่ง
    บางทีรู้จักร้องเพลง                                  คร่ำเคร่งไม่สู้ทำใจ
    ปล่อยวางไม่ท้วงหวงแหน                          ดินแดนวิสุทธิ์อยู่ไหน
    ตัวตายก็ไม่ได้ไป                                     หากใจปล่อยวางไม่ลง


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมผูถี เมื่อวันที่
๑๑-๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒   

จากเดิม เพียงผิดหวังไปบ้าง แก้เป็น เพียงผิดหวังไม่ตาย
จากเดิม สุขใจก็มีทุกข์ได้ แก้เป็น สุขใจก็มีความทุกข์ได้

ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน  ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา  สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า  ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย  ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ  ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา  อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำ พิจารณา  ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป  ซึมเศร้ากันไปไหน  คนดีต้องมีละอายเพียงผิดหวังไม่ตาย  ธรรมไมไปไม่มา
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง  จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย  สุขใจก็มีความทุกข์ได้  สุขเพราะปลงความทุกข์ไป  คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาว์
ทำนองเพลง : ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง : กำไรจากความทุกข์



[๑]กระถด : ถดถอย, กระเถิบ, ขยับ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา