แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปุถุชน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปุถุชน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-02 สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


PDF 2543-12-02-ฉงเต๋อ #22.pdf

#ไตรรัตน์


วันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

น้ำตาคงรินไหลไปไม่เคยสิ้น หนึ่งชีวินมีปัญหาอยู่มากมาย
อยู่ที่ใครจะรู้ตื่นก่อนจะสาย จิตวุ่นวายพอสงบพบนิพพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟังคำ     ฮวา  ฮวา
ในวันนี้พบหน้ากันใช่บังเอิญ พุทธะเชิญจิตศรัทธาให้ปรากฏ
อันใดฟังพยายามเข้าใจหมด ขอให้ลดทิฐิลงบำเพ็ญธรรม
แต่กาลก่อนรองเท้าเหล็กสึกยากพบได้ วิสุทธิอาจารย์บัดนี้ไขประตูแท้
เกณฑ์ยุคสามธรรมะลงโปรดแผ่ สู่ปุถุชนคนแท้ด้วยความดี
ประชุมธรรมอบรมจิตขัดเกลาใจ ฟื้นฟูให้คืนใสดุจทารกน้อย
ทุกวันนี้โลกเสื่อมลงคนรอคอย ให้คนอื่นทำดีก่อนค่อยตาเราทำตาม
ขอให้ช่วยคนละไม้คนละมือ อย่ายึดถือความคิดตนเป็นหลักใหญ่
ทุกคนต่างอาจทำผิดอย่ามั่นใจ มากเกินไปใช้สติลดให้พอดี
ในใจน้องอย่าเคลือบแคลงสงสัยมาก อาจกลายเป็นอุปสรรคที่ยากฝ่า
อันโลกนี้ก็คือภาพมายา แสวงหาเมื่อไหร่จึงครบถ้วนนา 
พิจารณาด้วยปัญญามีเหตุผล เกิดเป็นคนเพื่ออะไรน้องทั้งหลาย
หากเกิดมาไร้คุณค่าจนสิ้นกาย น่าเสียดายเวลาแห่งตนเอง
สองวันนี้ตั้งใจฟังให้ถ่องแท้ ผิดต้องแก้แปรตนนั้นเป็นคนใหม่
อย่าได้มีชีวิตอยู่อย่างได้ใจ คนทุกคนแพ้ได้ในสักวัน
ขอให้ใช้เมตตาความอดทน การช่วยคนอย่ากลัวเรื่องเปลี่ยนแปลง
อมฤตธรรมชำระฝุ่นธุลีแดง คนเสแสร้งย่อมไม่อาจแสร้งยืนนาน
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนหวังว่าน้องตั้งใจยิ่ง
รักษาซึ่งพุทธะระเบียบอันแท้จริง ซึ่งแท้จริงระเบียบมีมาจากใจ
ด้วยเวลาชีพมนุษย์มีจำกัด เดินทางลัดต้องมั่นคงปัญญาใหญ่
ยังไม่เคยสุขุมเร่งสุขุมไว รับก่อนบำเพ็ญหลังให้รู้จริงจัง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจจิตกุศลมองคิดเดิน
แดนโลกีย์มากสีสันอย่าเพลิดเพลิน เร่งเจริญรอยอริยาอย่าคลาดกัน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านเหอเซียนกู

ทิวาสาดทอแสงทั่วปฐพี มวลมาลีเบ่งบานขับขานโลกสดใส
ผลิแล้วร่วงร้อนแล้วหนาวย้ำเตือนใจ โอ้ชีวิตมนุษย์ใยมิตื่นจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกู รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
สละความสุขของตนเองไม่กังวล มีเมตตาเป็นเบื้องต้นคอยประสาน
ฝึกโพธิสัตว์บำเพ็ญช่วยเวไนยนั่น พลีออกหมั่นเมตตาไม่จำกัดใจ
เพลิงมอดแม้เหมือนม้วยไม่อำลา อวิชชาลมมาช่วยสุขคลายไหว
จิตกล้าแข็งปณิธานดั่งทะเลใหญ่ แม้ตกต่ำไม่ทิ้งบันไดทอง
อภัยกันแม้ใครผิดเป็นมั่นคง ตัณหาวายดำรงด้วยความดีผอง
พูนปัญญากิริยางามยิ่งชวนมอง เพราะสอดคล้องด้วยสำนึกเป็นกุญแจ
บำเพ็ญธรรมกลับฟ้าไม่ขาดทบทวน จงมีใคร่ครวญโดยผ่านสติแท้
ดั่งออกจากบ้านไม่ลืมกุญแจ จงดูแลก้าวสู่มรรคโดยสมบูรณ์
หนึ่งประตูก้าวเดินเข้าออกกรัชกาย แสวงหมายจุดหนึ่งคืนกลับสูญ
ทรงคุณธรรมไม่ใช่แต่เทิดทูน กุศลคูณด้วยทั้งหลายรู้อดทน
อันชีวิตสังขารระวังคือความหลง ฝ่ายึดติดการปลงอย่างถนน
วิวัฒนาการมานำคนให้อับจน เจตนากระทำการจะพ้นกรรมลำเค็ญ
โลกสันติต้องตนก่อนเป็นประเดิม ใครอื่นเริ่มผู้กลัวจากอุปสรรค
ผิดจากตนเองให้ใครตระหนัก การประจักษ์ทั้งนั้นต้องประจักษ์เอง
ฮา  ฮา  หยุด

 กรัชกาย ร่างกาย

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านเหอเซียนกู

ชีวิตนี้มีแต่ความไม่แน่นอน แต่ความไม่แน่นอนก็แฝงความเที่ยงแท้แน่นอนอยู่ นั่นก็คือ ทุกชีวิตต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ในการเกิด แก่ เจ็บ ตายเรียกว่า ไม่แน่นอน  แต่ทุกชีวิตต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเรียกว่าแน่นอน  จึงกล่าวเป็นสัจธรรมว่า ในความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากจะเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  แต่เราก็เดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์เป็นแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรียกความสุขให้กับชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องยาก เรียกความทุกข์ให้กับชีวิตเป็นเรื่องยากกว่า จริงหรือไม่ (จริง)  เรียกความสุขให้กับชีวิตเป็นเรื่องง่ายกว่าเรียกความทุกข์ให้กับชีวิต  อะไรเรียกง่ายกว่ากัน (ความสุข)  จริงๆ แล้วชีวิตนั้นจะทุกข์หรือจะสุข  จะนิ่งเฉยหรือสงบเงียบ จะวุ่นวายหรือสงบนิ่งไม่มีใครกำหนดหรือยัดเยียดให้ท่านได้  มีแต่ตัวท่านเองกำหนดตัวท่านเอง แม้สภาวะแวดล้อมจะย่ำแย่เพียงใด  แต่ถ้าจิตใจเรามีความสุข  อาบอิ่มในความสุขอย่างไม่รู้หาย  ใครก็ทำให้ท่านทุกข์ไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าในใจท่านกลัดกลุ้มวุ่นวายยากวางใจหรือเชื่อใจใครได้ มีแต่ความระแวงสงสัย  แม้ในใจจะบอกว่าไม่อยากทุกข์ แต่ความทุกข์ต้องมาสู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันหรืออยู่ตัวคนเดียว จะสุขจะทุกข์ไม่ใช่ใครเป็นผู้สร้าง  แต่ตัวตนเองเป็นผู้กำหนด เป็นผู้สร้างให้ตัวตนว่าทุกข์หรือสุข คิดให้ดีๆ วันนี้นั่งอยู่ตรงนี้  อุตส่าห์มาได้นั่งฟังแล้ว หาความสุขให้กับตนเอง ฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ยินดีรับฟัง ใช้ปัญญาขบคิด  ท่านอาจจะได้พบความสุขในการขบคิด อาจจะได้พบความสุขในการนั่งฟังอยู่ตรงนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้านั่งอยู่ตรงนี้แล้วทำอย่างไรก็ไม่สุข มีแต่ความกลุ้มกังวล ระแวง สงสัย  คนที่กลุ้มก่อนใครคือคนที่กังวล สงสัย นั่นเอง มนุษย์เราหลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ หลับแล้วต้องตื่นขึ้น แต่ตื่นแล้วจะไม่หลับอีกต่อไป  หลับกับตื่นต่างกันเช่นใด หลับกับตื่นก็คือ การรู้ว่าชีวิตนี้คือความฝัน ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแท้แน่นอน  แต่ในความไม่เที่ยง ท่านต้องหาแก่นสารที่แท้จริงให้พบ หาคุณค่าชีวิตที่แท้จริงให้ปรากฏ แล้วยึดคุณค่านั้นมุ่งสู่หนทางสว่างไสวมุ่งสู่บ้านเดิม กายมนุษย์นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องทิ้งไป เหลือแต่
จิตญาณ จะขุ่นหรือจะใส จะหนักหรือจะเบาขึ้นอยู่กับการกระทำบนโลกนี้ ทำเช่นใดย่อมได้เช่นนั้น สร้างแต่สิ่งที่ดีคุณความดีย่อมปรากฏ ใจย่อมโปร่งเบาแจ่มใส สร้างความชั่วร้ายจิตใจย่อมขุ่นมัว นำมาซึ่งความหม่นหมองหดหู่ จิตใจย่อมลงสู่เบื้องต่ำ นี่คือความเป็นจริงที่ทุกๆ ท่านในที่นี้รู้อยู่แก่ใจ  สำนึกมีไหม ล้วนต่างมี คุณธรรมเหือดหายไปหรือเปล่า ไม่เคยได้เหือดหาย แต่เพราะอะไรไม่สามารถทำดีให้ถึงซึ่งความดีอันแท้จริง ทำดีแล้วสามารถหลุดพ้นโลกมายาใบนี้ กลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ  นี่คือปัญหาที่มนุษย์ไม่เคยที่จะคิดถึง คิดแต่ว่าวันนี้ต้องได้อะไร วันนี้ต้องมีอะไรเลี้ยงชีพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดแบบนี้ย่อมได้แบบนี้ แสวงหาแบบไหนย่อมได้แบบนั้น สิ่งที่แสวงหาล้วนบำรุงเลี้ยงชีวิตอย่างเดียว หาได้บำรุงเลี้ยงจิตญาณให้กลับคืนความใสไม่
ปัจจุบันจะหาใครสละซึ่งความสุขของตัวเองแล้วมาสร้างความเมตตา เผื่อแผ่อุทิศช่วยเหลือเวไนยเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ทุกคนต่างมุ่งแสวงหาเพื่อช่วยเหลือตนเอง ชีวิตนี้มีแค่ตนเองและมากสุดก็คือครอบครัวเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะคิดเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น  ก็ต้องรอให้เขาเดือดร้อน แล้วเราถึงจะไปช่วยใช่หรือไม่(ใช่)  แต่ทุกๆ คนหรือในใจของท่านที่นั่งที่นี้ต้องทราบอยู่อย่างหนึ่งว่า  ผู้อื่นไม่สามารถช่วยเราได้อย่างแท้จริง มีแต่ตัวตนเองเท่านั้นที่ช่วยตนเองได้ ดังสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “อย่าได้ยืมจมูกคนอื่นหายใจ”  อย่าได้รอให้คนอื่นมาช่วยอยู่เสมอ  ไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ตลอดเวลา มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตแห่งโพธิสัตว์หรือจิตแห่งพุทธะ จะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นรู้จักสร้างความเมตตา เห็นความทุกข์ของผู้อื่นมากกว่าความทุกข์ของตนเอง เป็นห่วงเป็นใยสนใจว่าผู้อื่นจะมีความสุขมากน้อยเพียงใด มากกว่าที่จะเป็นห่วงเป็นใยสนใจความสุขของตนเอง นี่แหละจึงเป็นจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งโพธิสัตว์  ถามว่าให้ขณะนี้เดินออกมาแล้ววางความสุขของตนเองลง รีบไปช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขก็คงหาได้น้อยยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าถามว่าทำอย่างไรให้ตัวเองสุขได้มากที่สุด ทุกคนคงรู้วิถีทางมากกว่าที่จะถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ผู้อื่นเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  ก็เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาจนมีชีวิตถึงปัจจุบัน เรารู้แต่ว่าทำอย่างไรให้ตนเองสุข แต่เราไม่เคยคิดดูว่าทำอย่างไร  จะให้ผู้อื่นเป็นสุข เมื่ออยู่ร่วมกับเราใช่ไหม (ใช่)  และเราจะทำอย่างไรให้เราเป็นสุขเมื่อเราต้องไปอยู่กับคนอื่น คำพูดที่เอื้อนเอ่ยความคิดที่ผุดออกมาจากใจล้วนคิดถึงแต่ตนเอง เมื่อทุกขณะคิดถึงแต่ตนเอง ใจเรานั้นก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะจิตใจใครได้ แม้จะใช้พละกำลังรุนแรงมากแค่ไหน ชนะใจผู้อื่นได้แต่ไม่อาจชนะใจเขาได้ ด้วยความรู้จักละซึ่งความเห็นแก่ตัว  เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ในโลกแล้วสามารถลดความเห็นแก่ตัวของตัวเองให้เหลือน้อยที่สุดหรือแทบไม่มี เมื่อนั้นท่านจะสามารถชนะใจคนทั้งโลกได้โดยไม่ต้องใช้กำลังใช้อาวุธ หรือใช้เงินทองซื้อแต่อย่างใด นี่คือคุณธรรมข้อแรก หากมนุษย์รู้จักดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันมีความเห็นแก่ตัวน้อย ทุกขณะจะทำสิ่งใดต้องย้ำเตือนถามตัวเองอยู่เสมอว่าเห็นแก่ตัวหรือเปล่า นึกถึงแต่ตนเองหรือไม่  หากทุกขณะทำได้เช่นนี้ท่านจะสามารถผูกใจประชาได้ และน้อมนำจิตใจของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้เงินทอง ใช้อำนาจ และไม่ต้องใช้กำลังวังชาใดๆ ความสุขในการอยู่ร่วมกัน เขารักเรา  เรารักเขา เขาเชื่อใจเรา เราเชื่อใจเขา นั่นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะเชื่อใจได้อย่างไรล่ะ ถ้าละความเห็นแก่ตนแล้วยังไม่มีความจริงใจ แสดงออกบางครั้งก็เปิดเผย บางครั้งก็ซ่อนเร้น ความเชื่อถือย่อมยากจะบังเกิดได้ ถ้าคนเช่นนี้ยังหลบๆ ซ่อนๆ ในการกระทำอยู่ การกระทำยังแอบแฝงไม่จริงใจ ก็ยากที่จะให้ใครเชื่อถือใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาเราหวังเพียงเพื่อให้ท่านรู้ตื่นจากชีวิต โดยใช้คุณธรรมเป็นกุญแจไข ไขให้ชีวิตนั้นรู้ตื่น โดยการใช้คุณธรรมที่อยู่ในจิตใจ มากำราบความชั่วร้ายในตัวตน  อยากชนะใจใครก็ต้องละความเห็นแก่ตน อยากเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อถือ มีคนไว้วางใจต้องมีความจริงใจ อยากทำอะไรสำเร็จสมปรารถนาดังที่มุ่งหวัง ต้องมีสิ่งใด  ชีวิตนี้มีใครเคยประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง เรียนหนังสือจนจบเคยไหม (เคย)  ทำงานจนได้ตำแหน่งมีขั้นเคยไหม( เคย)  สามารถตั้งตัวยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้เคยหรือเปล่า (เคย)  แล้วสำเร็จได้ด้วยอะไร(ความพยายาม)  ความพยายามอย่างเดียวสำเร็จไหม (ความมุมานะ)  ทุกคนมีความพยายาม มีความขยัน มีความมุมานะ แต่ถ้าขาดซึ่งความอดทนก็ไปไม่ถึงซึ่งความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในความพยายามนั้นย่อมมีความลำบาก หากมีความลำบากนั้น  แต่ไม่อดทน ไม่ขยัน ไม่มานะบากบั่น ท่านก็ยากที่จะพบความสำเร็จได้ และอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องสามารถชนะใจตัวเองได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขั้นตอนที่จะเดินไปถึงความสำเร็จ  หากเราไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ แม้จะขยันมากเท่าใดก็แพ้ใจตัวเอง เมื่อมีความเกียจคร้าน แม้จะอดทนเท่าใดก็แพ้ใจตัวเองได้ถ้ามีความท้อและเหนื่อยล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตใจทั้งหลายทั้งมวลนั้น จะไม่สามารถสู้ได้ถ้าไม่มีความมุมานะและใจชนะใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากเรารู้จักยึดกุมสิ่งนี้ไว้ ไม่ว่าทำสิ่งใดย่อมเป็นอันสำเร็จได้แน่นอน แต่หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แม้จะขยันแต่ชนะใจได้แค่ครั้งเดียวก็ไม่สามารถชนะได้ตลอดลอดฝั่ง  ย่อมพ่ายแพ้ และย่อมยากสำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความสงบนั้นก็มีความสุขหรือความมืดที่มีคุณค่าแฝงอยู่ อย่ามองความสงบเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย  หลายต่อหลายคนเห็นความสงบกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเกียจคร้าน ในความสงบนั้นก็ต้องค้นพบความว่างเปล่าและความสุขอันแท้จริงให้ได้  หลายต่อหลายคนมักพบความสุขในความวุ่นวาย ความสุขในการแสวงหา กับความสุขที่ท่านได้มาหาเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ ความสุขที่แท้จริงคือ ความสุขที่ไร้รูปไร้นามสงบว่าง จริงไหม (จริง)  ก่อนที่จะฝึกฝนการเป็นพุทธะ ต้องรู้จักฝึกฝนการเป็นคนให้ประเสริฐก่อน อย่างแรกสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ สามารถเอาชนะจิตใจทุกผู้ทุกคนได้ แต่หากว่า มีความเย่อหยิ่งจองหอง อวดในความรู้ อวดในความสามารถ แม้จะชนะใจหรือสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ ก็ไม่อาจยั่งยืนนาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรในการอยู่ร่วมกันให้ชนะใจได้ สร้างความเชื่อใจได้ต้องใช้ท่าทีที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้องในการที่จะสามารถอยู่กับเขาได้ นั่นคือต้องมีความสุภาพอ่อนโยน อย่าแข็งกร้าว อย่าเห็นว่าตนเองสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีความสำคัญใดๆ ให้คนอื่นเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเห็นว่าตนเองยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นแล้วในความยิ่งใหญ่จะไม่มีเลย จะกลายเป็นผู้ที่เล็กกะจ่อยร่อย ถ้าไม่อยากตกต่ำ ต้องวางตนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะไม่มีใครดูถูก ไม่มีใครเหยียดหยาม  แต่ถ้าวางตัวเองเหนือผู้อื่น อวดผวา ย่อมมีแต่คนอยากเหยียบย่ำให้ตกต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความดีนั้น บางครั้งเมื่อทำไปก็มีตกทุกข์ได้ยากเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรามีความจริงใจ ไม่เห็นแก่ตน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เมื่อทำไปแล้วทำไมจึงตกต่ำ เมื่อทำดีแล้วทำไมจึงต้องยากจนข้นแค้น ทำไมไม่ร่ำรวย ทำไมไม่มีอำนาจ  ทำดีนั้นหากสร้างความดี ไม่ยอมมั่งมี รู้จักแบ่งปันความดี รู้จักแบ่งปันสิ่งที่มีให้คนอื่น ไม่ยอมตกต่ำ จะไม่รู้สึกว่าตนเองลำบากยากจน  แต่หากว่าในยามที่ตนเองมีทั้งความดี ไม่เห็นแก่ตน มีความจริงใจ มีความอ่อนน้อม แต่ไม่เคยส่งมอบให้กับผู้อื่น และไม่เคยยื่นไปช่วยเหลือใคร บางครั้งเราก็ยากลำบากได้ แล้วพอยากลำบากเราก็รู้สึกท้อแท้ในการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ภักดีนั้นไม่ใช่ดีอย่างเดียว แต่ดีแค่ตัวเองรอด ไม่สามารถช่วยใครได้ การจะดีที่แท้จริงได้นั้น ความซื่อสัตย์ จริงใจ อ่อนน้อม ต้องสามารถส่งมอบและเผื่อแผ่ช่วยเหลือคนได้ สามารถนำไปใช้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วจะพบว่าท่านไม่ได้สุขในความทุกข์ นั่นคือความดีที่สามารถนำพาจิตใจคนได้ นำพาจิตใจตนเองได้ ไม่ต้องกลัวลำบาก แม้ตอนลำบากก็ไม่รู้สึกลำบากอะไร กลับมีความสุขในยามลำบาก มีความอิ่มเอมเมื่อตัวเองมีความสุข แต่ไม่ได้แบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น นี่แหละเรียกว่า มีแล้วรู้จักให้ ยามไร้จึงมั่งมี เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ธรรมะเปรียบเหมือนกุญแจไขสู่ประตูของพุทธะ เมื่อไม่สามารถค้นพบการเป็นพุทธะในตัวตนได้ เพราะว่าอะไร ๑.ตัวเองไม่ดีพอ  ๒.สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้ตนเองทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าตนเองดีพอจะฝึกฝนพุทธะกันไหม (คิด)  เมื่อเราสามารถเห็นคุณค่าสิ่งที่ใกล้ตัว ก็สามารถจะฝึกฝนความเป็นพุทธะได้ คุณค่าที่ใกล้ตัวก็คือตัวตนเอง จิตญาณอันเดิมแท้ มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ว่า "พุทธะสำเร็จได้ในกายคน"  ทุกคนมีร่างกายไหม (มี)  สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ได้)  คนไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไรก็คือ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วขึ้นชื่อว่าเป็นคน คนนั้นมีกายหรือเปล่า (มี)  มีจิตญาณหรือไม่ (มี)  เมื่อมีกายมีจิตญาณ ย่อมมีความเป็นพุทธะได้เหมือนกัน ความดีความชั่วหาได้แตกต่างกันไม่ จะแตกต่างก็ตรงที่ว่า คนดีรู้จักละแล้วซึ่งความผิดบาปทั้งมวล ละแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัวเบียดเบียนผู้อื่น ท่านทำได้ไหม ลดละกันได้หรือเปล่า (ได้)  ท่านสามารถลดละได้ นั่นคือก้าวแรกของการเป็นฝึกฝนตนเองเป็นพุทธะ ใจท่านยังมีมโนธรรมสำนึก ละอายเกรงกลัวต่อบาป มีไหม (มี)  ทำชั่วร้ายกลัวไหม (กลัว)  กังวลหรือเปล่า (กังวล)  ว่าคน นินทาคนแล้วรู้สึกผิดบ้างไหม (รู้สึก)  ขโมย ฉ้อฉล เจ้าเล่ห์เพทุบาย รู้สึกละอายบ้างหรือเปล่า (ละอาย)  หากผู้ใดทำผิดก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายเบื้องฟ้า นี่แหละคือจุดของการเป็นพุทธะยังมีอยู่  แต่หากทำผิดก้มหน้าไม่กลัว เงยหน้าก็ไม่กลัว ก็หาใช่จะไม่มีความเป็นพุทธะไม่ ก็ยังมีอยู่ แต่มีแล้วจะลดไหม จะละไหม หากมีแล้วไม่ลดไม่ละก็ยังเป็นมนุษย์  แต่หากมีแล้วรู้จักลดละแก้ไข นี่แหละคือการก้าวที่ฝึกฝนเป็นพุทธะ เริ่มต้นง่ายๆ คือรู้จักขัดเกลาตนเอง อะไรดีอะไรชั่ว แยกแยะให้ออก เมื่อแยกแยะออกแล้วจงรักษาสิ่งที่ดี จงเอาชนะความชั่วร้ายในตัวตนให้หมดสิ้น เมื่อทำได้คือการก้าวสู่การเป็นพุทธะ แต่จะไขประตูเปิดแล้วก้าวเดินไปอย่างมั่นคงได้  ต้องรู้จักใช้ดวงปัญญาและความสว่างไสวแห่งคุณธรรมในจิตใจอันมั่นคง  หลายต่อหลายคนที่ในจิตใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความเคืองแค้น ไม่พอใจ รัก ชอบ โลภ หลง สุมไว้ในใจจนเต็มอก ทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่า ตัวเรานั้นมีความทุกข์ที่ยังแก้ไม่ได้ เราจะต้องสุมทุกข์ให้เต็มอกเต็มใจ  ใช้สิ่งใดที่เราเจอความกลัดกลุ้ม จงใช้ปัญญาเป็นกุญแจไขให้ค้นพบทางออก เมื่อไรที่เราเจอปัญหามืดแปดด้าน จงใช้ปัญญานี้ใคร่ครวญพินิจพิจารณาหาทางออก ในมืดแปดด้านนั้นแหละจะมีอีกด้านหนึ่งที่มืดอย่างไรก็กลายเป็นความสว่างได้ เมื่อไรที่เราสับสน ยากค้นพบความสงบ ความสุข เราใช้คำว่า "รู้พอ สมถะ"  ไขให้ค้นพบ แล้วเราก็จะสงบรู้พอได้ ในความเคืองแค้น อิจฉา ริษยา ไม่เข้าใจทะเลาะเบาะแว้งกัน จะใช้อะไรที่ช่วยไขประตูแห่งใจนี้ ให้ค้นพบความสว่างแห่งแท้จริง ก็ใช้จิตใจที่ให้อภัย เมตตา เอาความเป็นตัวเขาตัวเราวางทิ้ง ก็จะพบปัญหาที่ทำให้เราทะเลาะเบาะแว้ง  เคืองแค้นและชิงชัง ปล่อยลงได้และระงับลงด้วยความเมตตา ในความรัก หลง โลภ และอารมณ์นานาที่พันผูกใจ ไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้ จะใช้ความรู้แจ้งแห่งชีวิต ความรู้แจ้งแห่งสัจธรรมและรู้อย่างปลงตกเท่านี้เอง ชีวิตก็จะก้าวพ้นความทุกข์ยาก เดินเข้าไปสู่ประตูแห่งพุทธะ โดยตัวท่านนั้นมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มทางใจ มีธรรมเป็นอาวุธป้องกันความผิดร้ายที่จะเกิดขึ้น ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากจะพูดอะไรก็ได้ ที่ทำให้ท่านเข้าใจชีวิตและรู้ว่าในชีวิตที่มีทุกข์สุขมากมายนี้ ยังมีความจริงแท้ที่สว่างไสวที่รอท่านไปค้นพบอยู่ แต่หลายต่อหลายคนยังอดติดและวางในโลกนี้ไม่ได้ ยังเห็นโลกเหมือนบุปผางาม ที่ไม่มีวันจะร่วงหล่น แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์เรายึดติด ยึดมั่น อารมณ์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้อยู่กับตนอย่างไม่ปล่อยวางแล้วไม่ยึดติดสิ่งใด ไม่ยึดติดว่าตัวตนนี้จะมีสิ่งใด เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องได้อย่างนี้ หากทำได้เช่นนี้ไม่ยึดติด มองเห็นสรรพชีวิตอย่างเข้าใจถ่องแท้ นั่นแหละคือการดำเนินชีวิตอย่างถูกทาง  ความสว่างจะบังเกิดในใจตน ทำได้ไหม (ทำได้)
ในคัมภีร์ที่ปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์นี้ มีคำกล่าวไว้ว่า "เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม และก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งมวลกลับคืนไปสู่ความเป็นหนึ่ง"  หากวันนี้เราเอาบทนี้มาพูด เต๋าที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คือจิตญาณของตัวเรานั่นเอง เมื่อเรามีตัวตนอยู่หนึ่งก็เริ่มแสวงหาสอง ในคำว่าสองนั้นเคยรู้พอไหม (ไม่)  เมื่อเรามีตัวตนเราก็มีของของตน เมื่อมีของของตน ในของของตนนั้นก็มีของของเขา และของของเรา ของของญาติเขาและของของญาติเรา และของญาติคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตัวเรานี้เองก็สามารถก่อเกิดสองสามและนานาสรรพสิ่งได้อย่างไม่รู้จบ และเราจะหยุดนานาสรรพสิ่งได้ด้วยการทำสิ่งใด ก็แค่กลับคืนมาสู่ที่หนึ่งเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราเกิด หนึ่งตัวเรา สองตัวเราที่โกรธ ชอบ เกลียด ชัง โลภและหลง แต่ในเกลียด ชัง รัก โลภ โกรธ หลง ก็มาจากหนึ่งคือตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะกลับบ้านได้ไม่ใช่แบกสรรพสิ่งมาที่ตัวเองแสวงหา แต่จะกลับบ้านได้ จะกลับคืนสู่ความเป็นตัวตนที่เริ่มต้นมา แล้วเริ่มต้นจะกลับได้ก็คือ ต้องกลับจากหมื่นมาสู่หนึ่ง แต่จากหมื่นมาสู่หนึ่งยากไหม (ยาก) แต่จากแสนเหลือเป็นหมื่น จากหมื่นเหลือเป็นพัน จากพันเหลือเป็นร้อย จากร้อยเหลือเป็นสิบ จากสิบเหลือเป็นหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำได้ไหม ถ้าท่านไม่ทิ้งวันนี้ สักวันหนึ่งท่านก็ต้องทิ้งจริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้เรามาเพียงตัวคนเดียว กลับไปตัวคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่ามกลางตัวคนเดียวที่ท่านมา ท่านแสวงหาจนเป็นหมื่นแสน อยู่ๆ จะให้ทิ้งในวันเดียว ท่านบอกเราว่าไม่ได้ ต้องจากแสนเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นพัน จากพันเป็นร้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องอาศัยเวลาทีละขั้นทีละตอน แต่หากว่าวันหนึ่งชีวิตท่านต้องดับสิ้นไป ท่านจะทำใจทันหรือ จากหมื่นให้เหลือหนึ่งทำใจได้ไหม แล้วไปด้วยความเป็นห่วง ไปด้วยความวิตกกังวล จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ก็ต้องลงนรกด้วยความห่วง ด้วยความกลุ้มกังวลใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากเบาใสได้
วันนี้การบำเพ็ญธรรมก็คือ การรู้จักทุกขณะจิตทุกวัน แม้จะเคยมีหมื่นแสน ในวันนี้ต้องดับให้เหลือหนึ่งได้ พรุ่งนี้จะเป็นหมื่นแสนต่อไปได้แต่ก็ต้องคิดว่าสักวันหนึ่งต้องเหลือหนึ่งได้ ท่ามกลางที่มีหนึ่งอยู่นั้น ต้องคิดว่าไม่มีได้ นี่คือมีชีวิตอยู่ทุกขณะและเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะจิต หากเดินออกไปฝนตกลำบากไหม (ลำบาก)  แต่ถ้าหากเดินออกไปถือร่มตลอดเวลาจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน หากทุกขณะจิตมีชีวิตคิดถึงความดับ จะกลัวอะไรกับการสิ้นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทุกชีวิตกระทำแต่สิ่งที่ดีจะกลัวอะไรกับบทลงโทษ เพราะได้ทำดีมาแต่เนิ่นๆ แล้ว ทำดีมาก่อนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราจึงกลัวบทลงโทษ เพราะอะไรเราจึงกลัวตกนรก ก็เพราะว่าเราไม่เคยคิดที่จะทำดีกันอย่างจริงจังและมั่นคงใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการทำดีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ทำบุญทำทานเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมตตาจริงใจเป็นสิ่งที่ควรมี ไม่เห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ควรกระทำ คิดถึงผู้อื่นให้มากหน่อย แม้ชีวิตจบสิ้นไป เพลิงจะไหม้มอดแล้วก็ไม่เคยมอดไปจากใจของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ายังจุดไฟอันดีงามให้คงอยู่สะเทือนใจผู้อื่นเป็นนิจ นี่แหละชีวิตที่แม้ตายไปแล้วก็ไม่ตายอย่างแท้จริง ชื่อยังคงปรากฏก้องในใจผู้อื่นอยู่ร่ำไป
"ทรงคุณธรรมมิใช่แต่เทิดทูน"  เมื่อคิดจะมีคุณธรรมอย่าได้เอาแต่เทิดทูนและกราบไหว้ เมื่อคิดจะมีหลักธรรมหรือบำเพ็ญธรรมอย่าได้เอาแต่เคารพศรัทธา แต่ขาดซึ่งการปฏิบัติ เช่นนี้ก็เสียเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องลงมือลงแรงกระทำด้วย
"กุศลคูณด้วยทั้งหลายรู้อดทน"  จะทำสิ่งใดก็ตาม หนึ่งต้องมีความกล้า หากไม่กล้าไม่มั่นใจในตัวเองก็ยากจะมุ่งมั่นให้สำเร็จได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้เราบอกท่านว่า ตัวของมนุษย์ทุกคนนั้นมีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวตน ท่านกล้ายอมรับไหมว่าตัวท่านนั้นคือพุทธะ หากกล้ายอมรับ จงรักษาให้ดีแล้วดำเนินให้ถูกทาง ความเป็นพุทธะนั้นจะค่อยฉายปรากฏให้ท่านเห็น แต่หากท่านไม่เชื่อ ไม่มั่นใจว่าตัวเองคือพุทธะ อย่างน้อยให้เชื่อ ให้มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดีได้ ตัวเองสามารถเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐได้ ด้วยการปฏิบัติลงมือกระทำอย่างจริงจัง เชื่อมั่นในตัวเองดังที่พุทธองค์กล่าวไว้ว่า "วางดาบเพชรฆาตลงเมื่อใด ก็สามารถสำเร็จอรหันต์ได้ทันที"  เมื่อใดที่มนุษย์เราลด ละ เลิกความผิดบาปทั้งมวลได้ ความเป็นพุทธะก็จะปรากฏได้ในจิตใจตน  เมื่อใดที่เราไม่คิดเดินสู่ความมืดมนแห่งอวิชชาความลุ่มหลง กิเลสธุลีนานา ความสว่างย่อมฉายปรากฏได้ในใจตน แต่เมื่อคิดจะมีแล้ว จงมุ่งมั่นด้วยปณิธานอันกล้าแกร่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วมุ่งมั่นเดินไปให้ถึง
แต่ก่อนนั้นเราก็ไม่ต่างจากท่าน คือมนุษย์คนหนึ่งธรรมดาที่เดินดินอยู่ แต่เพราะอะไรเราถึงสามารถกลับสู่แดนนิพพาน กลับสู่อนุตตรภูมิได้อย่างเป็นสุข ก็เพราะว่าเราคิดว่าเกิดเป็นมนุษย์แท้ที่จริงแล้วมีทุกข์มากมาย การที่จะเอาชนะทุกข์ได้ แท้จริงแล้วก็คือ วางทุกข์ของตนเองแล้วรีบไปช่วยผู้อื่นที่ตกทุกข์ เอาชนะความชั่วร้ายในตัวตนเองก่อนที่จะไปว่าผู้อื่นชั่วร้าย  ชนะที่ใจตัวเองก่อนที่จะคิดไปชนะใคร เมื่อทุกครั้งเราจะทำสิ่งใด เราเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน เมื่อเราเริ่มต้นและช่วงขณะที่เรากำลังทำอยู่นั้น กลับมีผู้อื่นเห็นพ้องและดีงามอยากเดินตามด้วย ช่วงที่เราคิดจะช่วยเหลือผู้อื่น กลับเป็นช่วงที่เราไม่ต้องมีทุกข์ แต่เป็นสุขที่เป็นสุขเหนือคำบรรยายใดๆ เพราะได้ช่วยเขา เขายิ้มเหมือนกับรอยยิ้มนั้นได้มาฉายอยู่ในใจของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าสุขใดไม่เท่ากับทำให้ผู้อื่นสุข สุขที่ตัวเองคิดว่าสุขก็ไม่เท่ากับที่สร้างให้คนอื่นสุข ยิ้มและยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างกล้าแข็ง เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ เพียงเท่านี้เอง ด้วยจิตใจที่ไม่คิดหวังอะไร ทุกขณะที่ทำไปกลัวแต่เพียงว่าทำไปยังไม่เต็มที่ ทำไปยังไม่ลงแรงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เคยกลัวเลยว่าทำแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ กลัวแต่ว่าทำแล้วเขาจะรู้ไหม เขาจะหายจากความทุกข์หรือเปล่า  คิดอยู่เสมอว่าทุกขณะที่ทำเต็มที่แล้ว ดีที่สุด ไม่เคยคิดถึงตัวเอง เท่านี้ทุกท่านก็สามารถทำได้ บำเพ็ญได้ มิใช่เรื่องไกลเกินตัวเลย  จงเห็นค่าของจิตใจตนเอง อย่าเห็นค่าเงินทองเกียรติยศมากกว่าค่าในใจตน
"อันชีวิตสังขารระวังคือความหลง"  หากเราคิดว่าตัวเราดีพอแล้ว เมื่อมีคนว่า ในใจท่านนั้นรู้สึกยินดีปรีดาหรือว่ารู้สึกโกรธา (ยินดีที่เขาได้สั่งสอนเรา แต่ก็โกรธาเพราะขัดต่อใจเรา)  แปลว่าในใจของท่านนั้นยังมีดีบ้างและไม่ดีบ้างหรือยังมีคุณธรรมไม่ค่อยมากพอ ต้องไปสร้างเสริมเพิ่มอีก ผู้ที่มีคุณธรรม แม้จะถูกคนตำหนิต่อว่า เขาจะไม่มีความเคืองแค้นโกรธในใจ กลับยิ่งรู้สึกพึงพอใจ เพราะทำให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริง ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องหมดไหม หากมีคนตำหนิต่อว่า แสดงว่าเขายังทำได้ไม่เต็มที่ ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าคนเราทำดีแล้วมีคนต่อว่าเรารู้สึกโมโหโกรธา นั่นไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริงได้ คนดีที่แท้จริงแม้โดนตำหนิต่อว่าร้ายแรงขนาดไหน ก็ยังรู้สึกขอบคุณเขาลึกๆ อยู่ในใจ แม้ใบหน้าจะยิ้มได้ไม่ออกก็ตาม  แต่อย่างนี้ก็เรียกได้ว่ามีคุณธรรม เป็นคนที่ดีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำดีแล้วใครว่าอย่างไรก็ไม่โกรธ พร้อมที่จะเอามาสำรวจตรวจตราตนเองว่าผิดจริงไหม นั่นแหละคือสามารถมีความดี และนำความดีนั้นมากล่อมเกลาน้อมนำจิตใจตนได้อย่างถูกทาง หลายต่อหลายคนนั้นมักจะพูดว่าตัวเองเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโดนคนว่าก็อดโกรธเคืองเขาไม่ได้ อดโต้แย้งเขาไม่ได้ แต่คนดีที่แท้จริงย่อมไม่โต้แย้งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนดีที่แท้จริงย่อมไม่โต้แย้งธรรมะ คนโต้แย้งไม่อาจเรียกว่าคนดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่คือความจริงต้องกล้าที่จะยอมรับ ซื่อสัตย์ตรวจสอบตนเอง เมื่อไรกล้ายอมรับ ซื่อสัตย์ต่อตนเองอย่างเที่ยงธรรม เราจะรู้ได้ว่าเราดีหรือไม่ดี เรามีธรรมหรือไร้คุณธรรม
ความเป็นปุถุชน สามัญชน กับความเป็นพุทธะ ท่านคิดว่าสิ่งใดใกล้กับตัวท่านมากที่สุด (ปุถุชน เพราะเราไม่สามารถรู้จิตโพธิสัตว์)  จริงๆ แล้วความเป็นโพธิสัตว์ก็มีอยู่ในตัวท่าน ความเป็นพุทธะหรืออรหันต์ก็มีอยู่ที่ตัวท่าน  แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นส่งผลอะไร  มนุษย์เราเมื่อเริ่มต้นกระทำกรรม กรรมดีก็ส่งผลนำมาซึ่งกุศลผลบุญ กรรมชั่วก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากโศกเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรารู้ไหมว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี (รู้)  สิ่งใดเป็นการกระทำและเรียกว่าดี (ทำแล้วทำให้เราสบายใจ ไม่เป็นทุกข์กับผู้อื่น)  การทำแล้วสบายใจบางครั้งต้องระวัง เพราะบางทีอาจจะเป็นทุกข์กับผู้อื่นก็เป็นได้ เพราะทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตอยู่ มีตัวเราที่สบายใจ  แต่อดได้ไหมที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็เผลอที่จะทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  คงยากที่จะทำสิ่งใดโดยที่ไม่นึกถึงตัวเองเลย  แต่เมื่อมีใจคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว สิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีและสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี หากเริ่มก้าวแรกแล้วแยกไม่ออก จะไปทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  แต่หากเมื่อเริ่มต้นจะก้าวยังคิดไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี จะไปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้เช่นกัน แม้จะรู้ว่าตนเองเป็นพุทธะ แต่ก็ยังย้ำว่าตัวเองเป็นปุถุชนอยู่แล้วเช่นนี้จึงมีคำว่า "พุทธะ"  ใช่หรือไม่ (ใช่)   มีคำว่า   "พุทธะ"  มีคำว่า "ผู้ประเสริฐ"  ก็เพราะว่ามีคนเคยปูทางให้ท่านเดินแล้ว มีแนวทางให้ท่านเจริญรอยตาม แต่อยู่ที่ท่านว่าจะก้าวเดินหรือไม่ ท่านจะไปหรือเปล่า ท่านจะลองหรือไม่ ชนะตัวเองไม่ยากเลย   เราคิดว่าการเอาชนะใจคนอื่นยากยิ่งกว่า เพราะชนะคนอื่นเดี๋ยวเขาก็กลับมาเปลี่ยนไม่รักเราแล้ว วันนี้เรามั่นใจว่าเราชนะเขาได้ เขารักเรา แต่พรุ่งนี้อยู่ๆ เขาอาจเปลี่ยนใจ เรายากจะควบคุมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจเราเองนั้นอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่กับใคร ยังไม่มีใครควบคุมได้นอกจากตัวท่านเอง ท่านสร้างความแน่นอนในตัวเอง ท่านสร้างความมั่นคงและความเป็นพุทธะในตัวตนเองนี้ และไปให้ถึงความเป็นพุทธะยากกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าให้สละความสุขของตนเองมาฟังธรรมะ ๒ วัน วันนี้มา ๑ วัน คิดแล้วคิดอีกว่าพรุ่งนี้มาหรือไม่มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ฟังวันนี้ก็คิดแล้วคิดอีก ตัวท่านเองอยากได้คนที่ดีอยู่รอบข้าง ไม่อยากได้เพื่อนฉ้อฉล ไม่อยากได้ภรรยาโป้ปด ไม่อยากได้สามีใจไม่ซื่อ อยากได้ลูกกตัญญู ภรรยาที่ดีไม่ขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้สามีซื่อสัตย์ ไม่ติดอบายมุข ไม่ติดการพนันสุราเมรัย แต่ถ้าตัวท่านไม่เริ่มทำดีก่อน เรียกร้องใครก็ไม่ได้ ตัวท่านไม่ดีก่อนใครจะดี ตัวท่านไม่เริ่มก่อนแล้วใครจะเริ่ม ตัวท่านไม่เรียกร้องตัวเองก่อน แล้วใครจะช่วยเรียกร้อง ให้พุทธะมาปรากฏเสกกายท่านเป็นเงินเป็นทอง แต่หากท่านไม่เป็นเงินเป็นทองด้วย วันนี้เป็นพรุ่งนี้กลับเป็นเช่นเดิม พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนใจอยากเป็นอย่างอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีแต่ตัวท่านเองเท่านั้นที่จะเสกตัวเองเป็นมนุษย์หรือเป็นพุทธะ เป็นปุถุชนหรือเป็นโพธิสัตว์ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เอาชนะใจตนเองไม่ได้หรือ ชนะผู้อื่นเรียกว่า คนฉลาด แต่หากเอาชนะใจตนเองได้เมื่อใด นั่นคือผู้รู้แจ้งเห็นจริง และถ้าหากเสกให้กิเลสหรืออบายมุขในโลกนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว เมื่อไรที่ท่านทำ ก็จะกลายเป็นเพื่อนสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวแบบนั้นได้ คงไม่มีใครอยากทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในโลกนี้คนที่ทำผิดกลายเป็นเทวดา คนที่ทำถูกกลายเป็นกิ้งกือ ไส้เดือน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าท่านเห็นดีด้วย ต้องไม่ใช่ ใช่หรือไม่ ปัจจุบันนี้คนทำดีกลับมีแต่คนหนีไม่อยากเข้าใกล้ คนทำชั่วมีแต่คนอยากชิดใกล้และปฏิบัติตาม เพราะน้ำไหลสู่ที่ต่ำง่าย  จิตใจมนุษย์
ยอมตกต่ำง่ายกว่าป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าลืมว่าเมื่อไรที่เราก้าวขึ้นไป ผลสำเร็จย่อมงดงามและน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน แต่ถ้าเมื่อไรพลาดตกลงต่ำ ผลที่ได้รับนั้นทุกข์ยิ่งนัก เจ็บปวดยิ่งนัก  แต่วันนี้ยังไม่ทุกข์ยังไม่เจ็บปวด เลยไม่คิดอยากเป็นพุทธะ วันนี้ยังไม่สิ้นกายยังไม่ถูกตัดสินลงโทษด้วยความดีความชั่ว ด้วยบาปบุญ จึงไม่คิดที่จะกระทำ  ทำไมต้องรอให้เหตุเกิดก่อน ผลตามมาแล้วจึงค่อยดับ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  วันนี้เรามาเตือนเพราะอยากให้ท่านเป็นพุทธะจริงๆ เป็นพุทธะที่มีคนกราบไหว้ เป็นคนที่ตายไปแล้วมีแต่คำชื่นชมยินดีสรรเสริญ เป็นคนที่อยู่บนโลกนี้แล้วมีแต่ความน่าชื่นชมยินดี มีแต่ความสุขใจ สุขที่ใดละ สุขในการบำเพ็ญตนเป็นพุทธะ เป็นคนที่ดี
"ใครอื่นเริ่มผู้กลัวจากอุปสรรค"  แม้จะรู้ว่ามีเส้นทางๆ หนึ่งอัน
สว่างไสว การได้ก้าวเดินกลับไปสู่ความเป็นพุทธะ กลัวแต่ใจท่านพอเจอความยากลำบาก ก็ท้อแท้เสียแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่ทันมีปณิธานความมุ่งมั่น พอเจอความยากลำบากก็ยอมแพ้กันเสียแล้ว เช่นนี้ยากจะทำอะไรได้สำเร็จ จริงไหม (จริง)  เกิดเป็นคนหากมุ่งมั่นจะทำสิ่งใด อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ายอมแพ้หากไม่ได้มา หากมีใจเช่นนี้ความลำบากหรืออุปสรรคไม่ใช่ปัญหาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราก็คงมาแค่นี้ละนะ อยู่กับท่านนานก็กลัวท่านจะเบื่อเสียก่อน เราอาจจะไม่ได้นำความสุขอะไรมาให้ท่านมากมาย แต่เราต้องการให้ท่านเห็นซึ่งชีวิตอันแท้จริง และก้าวเดินไปสู่ชีวิตอันจริงแท้ด้วยแสงสว่างแห่งตัวเอง  แสงสว่างแห่งตัวเองจะบังเกิดได้ด้วยใจของผู้มีธรรม ความเป็นพุทธะจะฉายปรากฏได้ด้วยคนที่รู้จักปฏิบัติยึดมั่นในคุณธรรมโดยไม่หวังผล และไม่ยอมแพ้ใจตน  วันนี้คงเท่านี้ละนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก หากมีใครในที่นี้สักคนหนึ่งตั้งใจมุ่งมั่นแล้วไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวแม้จะไม่สำเร็จ แต่กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่เต็มที่ ไม่กลัวแม้ใครจะยกย่องหรือไม่ยกย่อง แต่กลัวว่าตัวเองนั้นไม่ได้ทำ หากทำได้เท่านี้ก็เรียกได้ว่าเริ่มมีใจที่จะบำเพ็ญตนเองแล้ว เราพูดวันนี้ไม่สามารถที่จะทำให้ท่านรู้แจ้งเห็นจริงได้ทั้งหมดทั้งสิ้น ขอเพียงตื่นแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งได้ ก็ดีไม่น้อย ตื่นจากชีวิต ชีวิตที่ไม่เที่ยง ชีวิตที่ไม่ใช่อยู่ในมือของตัวเอง  แต่เป็นชีวิตที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าตัวเองจะควบคุมตัวเองได้ไหม แต่ถ้าเมื่อไรรู้จักบำเพ็ญตน ชีวิตจะอยู่ในมือท่าน ไม่ต้องกลัวเลย  แต่ถ้าเมื่อไรไม่คิดจะบำเพ็ญตน ไม่เลิกละสิ่งที่เลวร้าย แม้วันนี้บัญชีหรือชื่อของท่านจะถอนจากยมโลกแล้ว แต่ท่านก็ยากกำหนดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยมากมายสุดท้ายก็ต้องจากอำลา  ขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดีให้กับชีวิตเห็นคุณค่าชีวิตที่แท้จริง ด้วยการรู้ตื่น ตื่นจากความเป็นผู้หลง ตื่นจากความเป็นผู้โลภ ตื่นจากตัวตน และตื่นจากโลกใบนี้


วันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจต้องแลกสิ่งหนึ่งด้วยสิ่งหนึ่ง ให้คำนึงว่าสิ่งใดสำคัญกว่า
มองการณ์ไกลไปข้างหน้าด้วยปัญญา และมาสร้างคุณค่าให้แก่ตน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   กราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
บำเพ็ญธรรมต้องไม่กลัวลำบากใจ ลำบากกายดั่งฝันร้ายชั่วข้ามคืน
แต่ไม่นานศิษย์รักก็ต้องตื่น แม้ดึกดื่นจิตปัญญายังร่วมเคียง
แสวงความก้าวหน้าดั่งม้าฝีเท้าจัด ปรมัตถ์ ไม่จำต้องถกเถียง
ธรรมะแท้ไม่อาจสื่อได้ด้วยเสียง "เพียงสำเนียงเปล่งให้มีความหมาย"
นำความหมายไปปฏิบัติจึงแจ้งทั่ว "ไม่หวาดกลัวอุปสรรค" จะท้าทาย
หมั่นไตร่ตรองตามเหตุผลอย่างมงาย บำเพ็ญใช้สัจธรรมนำทางตน
หลังจากวันนี้ให้กลับมาศึกษา เพิ่มเวลาก็เปรียบดังเพิ่มมรรคผล
เพิ่มกิเลสก็เหมือนเพิ่มความอับจน ศิษย์ทุกคนต้องจำคำอาจารย์ให้ดี
เหลือเวลาอีกไม่มากข้าอยู่ร่วม ศิษย์จงรวมใจกับข้าอย่าหลีกหนี
อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นคนดี และจงมีปณิธานเดียวกับอาจารย์
ฮา  ฮา  หยุด

 ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ความจริงอันเป็นที่สุด, ลึกซึ้งยากปุถุชนจะเข้าใจได้

(หมายเหตุ  กลอนที่อยู่ในเครื่องหมาย " "  พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง)

กำแพงอัตตาคอยกีดขวางตนเอง  เก่งกาจเพียงใดทุกข์เป็น  หวาดลำเค็ญจึงยิ่งทำลาย  ขอเปิดใจยอมรับ  น้อยไปมากด้วยใจระวังเช่นนี้  สง่าเพราะชีวียืนอยู่บนความดี  สุขด้วยจิตปลงอยู่ตัว
อันความเข้าใจพาศิษย์ถึงปัญญา  นานมิท้อเหนื่อยมิลา  ผิดกันแต่บุญกรรมสิ่งยึดถือ  แม้ความรู้มีเต็มเปี่ยม  เผลอก็ท้อเพราะอันใดฤๅ  เพราะรู้แต่มิคิดลงมือ  ชีวิตคนนั้นสุดยื้อ  เร่งขยันบำเพ็ญจริง  (ซ้ำอีกรอบ)

เพลง  อย่าทำลายกัน
ทำนองเพลง  เรือนแพ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กลัวอะไรชีวิตนี้ กลัวที่ตัวเองนั้นยังตัดกิเลสไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นบุหรี่ก็เลิกสูบไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะตัวเราน่ากลัว ใครคิดว่าตัวเองน่ากลัว ใครคิดว่าคนอื่นน่ากลัว ตัวเองกับคนอื่นใครน่ากลัวกว่ากัน (ตัวเอง)  ตัวเราน่ากลัวกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เวลาเรากลัวคนอื่นจำเป็นหรือไม่จำเป็น (ไม่จำเป็น)  ไม่จำเป็นต้องกลัวคนอื่น แต่ว่ากลัวตัวเอง ต้องถามตัวเองด้วย ว่ากลัวอะไรที่อยู่ในตัวเอง ไม่ใช่สักแต่กลัวๆ  สิ่งที่มนุษย์ตัดยากที่สุดก็คือกิเลส เป็นพันธนาการของจิตใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าถ้าเราไม่ตัดกิเลส เราจะหายจากความกลัวแห่งตัวเรานี้ไหม (ไม่)  ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะให้เกิดความเข้าใจ เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญธรรม  การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อตัดกิเลสโดยเฉพาะ จะใช้อะไรตัด ถ้าหากเราคิดว่าตัวเราทำไม่ได้ ทำไม่ได้และทำไม่ได้ คิดว่าทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากเราคิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็ให้โอกาสตัวเองเรื่องใด เรื่องนั้นจะเกิดความง่ายขึ้นหรือเปล่า (ง่ายขึ้น)  การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  เทียบกับการทำงานหาเงิน เรื่องไหนยากกว่ากัน (ทำงานหาเงิน)  เพราะอะไร ทำไมศิษย์จึงคิดว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นยากกว่าการทำมาหากิน (เพราะการบำเพ็ญต้องทำด้วยใจ แต่ทำงานหาเงินทำด้วยแรงไม่ต้องคิดมาก)   ในโลกนี้มีสัตว์หลายๆ ประเภทที่เกิดมาพร้อมกับศิษย์ วัว ควายใช้แรงเป็นประจำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใช้หัวสมองคิดเป็นประจำหรือพูดอีกทีในด้านปรัชญา คือใช้ใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  การที่บอกว่าเราใช้แรงถนัดกว่า เราไม่ใช้หัวสมองหรือไม่ใช้หัวใจของเรา แสดงว่าเราไม่ได้ใช้ความประเสริฐของตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าเป็นมนุษย์มีความประเสริฐที่สุดคือมีปัญญา มีปัญญาอันแตกต่าง คือ พูดภาษาคนได้ สามารถอยากทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ เพียงแต่เราขี้เกียจ ขี้เกียจที่จะเอาชนะใจตนเอง แต่อยากจะเอาชนะผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะบำเพ็ญยากตรงที่เราไม่กล้าที่จะเริ่มต้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ยลองดูสักครั้ง  การที่เราเริ่มต้น มันง่ายยิ่งกว่าการทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่แล้วๆ มา  การเอาชนะกิเลสในจิตใจของเรา ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้แรง ไม่ต้องเสียเวลา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยากที่จะเอาชนะไม่ต้องทุ่มเทอะไรเลย เพียงแต่เรานั้นต้องจับใจเราให้ได้  ถึงตอนนี้ยังมีความคิดผิดๆ ว่าบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการยากอีกหรือไม่ (ไม่)  คนจะเริ่มบำเพ็ญธรรม อย่างแรกต้องทำอะไร (ทำใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะปฏิบัติธรรม)  แล้วตอนนี้จิตใจเราบริสุทธิ์หรือยัง (ยังไม่ถึง ๑๐๐%)  อาจารย์จะบอกให้ มนุษย์นั้นจะมีความเรียกร้องตัวเองสูงมาก บางคนต้องเรียกตัวเองถึง ๑๐๐% เป็นคนเรียกร้องตัวเองสูงที่สุด บางคนเรียกร้องตัวเอง ๗๐% บางคนเรียกร้องตัวเอง ๕๐% บางคนเรียกร้อง ๓๐% บางคนเรียกร้องตัวเอง ๕% เท่านั้น  คนที่สติไม่เต็มไม่เรียกร้องตัวเองเลย เป็นธรรมดาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้น เวลาจะทำอะไรก็คิดว่าจะต้องทำให้ดีๆ  แต่พอทำไม่ได้ดี เลิกทำไม่เลิกทำ (ไม่เลิกทำ)  ตอนนี้บอกว่าไม่เลิก แต่พอเกิดเหตุการณ์เข้าจริงๆ เลิกทำไม่เลิกทำ (ไม่เลิก)  อย่างนี้ต้องไปดูกันเอาเองว่า เลิกทำหรือไม่เลิกทำสิ่งที่เราไม่สมหวัง
เส้นทางการบำเพ็ญธรรม สิ่งที่เป็นคู่มือการบำเพ็ญธรรมนั้นอยู่ในใจของเรา เรียกว่าจิตสำนึก เป็นคู่มือที่อยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว เพียงแต่ตลอดมาเราไม่เคยเปิดอ่านและเราก็ไม่เคยสนใจคู่มือเล่มนี้ ไปดูแต่หนังสือธรรมะข้างนอก หนังสือธรรมะที่มีตัวหนังสือสีขาวตัดตัวสีดำอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เคยสนใจสิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นคุณต่อโลก สนใจแต่ตนเอง จึงเป็นการยากที่เรานั้นจะบำเพ็ญธรรมได้  การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนเส้นทางเส้นหนึ่ง ศิษย์จะเอาขาซ้ายหรือขาขวาก้าวไปก่อนก็ได้ ศิษย์จะเริ่มทำตรงไหนก็ได้ ที่เป็นจุดบกพร่องที่ตัวเองสามารถแก้ไขได้ เพื่อเป็นกำลังใจของตนเอง  อย่างคนที่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่ เราก็อาจจะเลิกจากการที่เคยสูบห้ามวน เป็นวันละหนึ่งมวน มีนิสัยขี้โมโห เราก็เริ่มจากโมโหมากเป็นโมโหน้อย แต่ไม่ใช่น้อยอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ต้องน้อยลงเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละที่อาจารย์จะบอก  หนทางการบำเพ็ญธรรม ศิษย์จะเริ่มต้นด้วยความเมตตา กรุณา อุเบกขา การเสียสละ  การเข้าใจตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น  การลดอารมณ์หรือทำอะไรก็ได้ ขอให้ศิษย์ได้เริ่มต้น  เริ่มต้นจากตรงนี้ ความดีเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน โยงกันไปโยงกันมา เหมือนกับเงิน ๑ บาทโยงกับเงิน ๑,๐๐๐ บาทที่อยู่ในกระเป๋าศิษย์  เงิน ๕๐๐ บาทก็โยงกับเงินของศิษย์เหมือนกัน ทุกคนมีเงินที่เชื่อมโยงกัน ควักแบงค์ในกระเป๋าของเราออกมาดู เงินเราเพิ่งออกมาจากคลังใหม่ๆ ยิ่งควักเหรียญบาทออกมายิ่งจะชัดเจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหรียญบาท เหรียญสิบไม่ใช่เงินที่ศิษย์ได้มาชนิดที่ว่าใหม่เอี่ยม แต่กลับเป็นเงินที่มีรอยขูดขีด ถูกข่วนหรือภาพนั้นก็เลือนไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เลือนไปพร้อมกับการใช้ผ่านมือคนนั้น ผ่านมือคนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ดูเงินในกระเป๋าของศิษย์ ก็จะรู้แล้วว่า ความดีที่จะทำนั้นไม่ได้เริ่มต้นที่อย่างนี้แล้วก็อย่างนี้ตายตัว  หากศิษย์เริ่มจากตรงไหนก็ได้ ให้เริ่มช่วยเหลือคนหนึ่งคนก่อน วันถัดไปศิษย์อาจเริ่มลดอารมณ์ตัวเอง หรือว่าเริ่มตรงไหนก็ได้ ที่ศิษย์คิดจะเริ่ม  แก้ไขตัวเองจากสิ่งที่แก้ยาก แต่ถ้าหากทำไม่ได้ แก้ไขตนเองจากสิ่งที่แก้ง่าย เมื่อศิษย์แก้ไขได้สักเรื่องหนึ่ง ศิษย์ทำความดีได้สักเรื่องหนึ่ง เรามีกำลังใจไหม (มี)  เหมือนคนที่ทำงาน เมื่อหาเงินก้อนแรกได้ก้อนหนึ่ง ดีใจหรือไม่ดีใจ (ดีใจ)  แล้วมีกำลังที่จะหาเงินก้อนต่อๆ ไหม (มี)  แต่พอหาไปได้นานๆ หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป เงินก้อนแรกที่เคยได้มาน้อยไหม (น้อย)  เงินตอนนี้ที่เรามุ่งหวังหาอยู่มากไม่มาก (มาก)  นั่นคือเป็นจุดหักเหในใจของเราที่ว่า คนเมื่อเดินนานๆ ไปก็มักจะลืมไปว่า ตนเองนั้นบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร  พอเริ่มทำมาหากินไปนานๆ ก็ไม่รู้เงินน้อยเป็นอย่างไร รู้จักแต่เงินมาก จิตใจของเราที่เคยบริสุทธิ์ก็เปื้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  จนในที่สุดถ้าเปรียบจิตใจเราเป็นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง จิตใจของเราก็ไม่รู้ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีอะไรบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะหาสีขาวสักที่นั้นยากไม่ยาก (ยาก)  ตอนนี้อาจารย์มองจิตใจของศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี้ เหมือนกับทุกคนมีกระดาษสีขาวอยู่ในมือหนึ่งใบ  กระดาษที่ศิษย์ถืออยู่ในมือ เดิมทีเคยมีสีขาวที่สะอาดมาก แต่ตอนนี้อาจารย์จะหาสีขาวสักที่หนึ่งที่อยู่ในจิตใจของศิษย์ บางคนอาจารย์มองแล้วยังเจออยู่บ้าง บางคนอาจารย์ไม่เจอแล้ว และใครกันแน่ที่ทำให้กระดาษของเราเปอะเปื้อน คงไม่มีคนอื่นนอกจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมง่ายที่สุด ที่อาจารย์บอกคือเริ่มต้นที่ไหน (ตัวเอง)  เริ่มต้นที่ตัวเอง นี่เป็นคำนิยามที่กว้างๆ ให้ศิษย์รู้ว่า ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นที่ผู้อื่นได้ ไม่สามารถที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำสิ่งใดได้  แต่เรียกร้องให้ตัวเองทำเท่านั้น ทำให้ดีขึ้นถ้าหากว่าไม่สำเร็จ อย่าเป็นคนที่ขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาแรง แต่จงเป็นคนที่ขึ้นที่สูงด้วยความระมัดระวัง แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้ไม่เป็นคนที่ร่วงหล่นลงมา ดีหรือไม่ (ดี)
ชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา แต่ละคนมีเรื่องราวที่ต้องตัดสินใจอยู่มากมาย มีเรื่องเล็ก เล็กมาก มีเรื่องใหญ่ ใหญ่มาก  ชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา ผ่านการตัดสินใจมาไม่รู้กี่รอบ แต่ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ คงเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่ชีวิตของศิษย์เคยมีมา เพราะเราจะตัดสินใจเลือกระหว่างการบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นพุทธะ กับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้  ศิษย์ของอาจารย์ต้องตัดสินใจดีๆ ว่าเราจะเลือกอะไร  หากว่าศิษย์คิดว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ธรรมะแท้ ธรรมะนี้ฟังแล้วก็ดูดีเท่านั้น หรือคิดว่าเรานั้นอาจจะทำไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แต่หากศิษย์ไม่เคยลงมือ ศิษย์จะรู้อนาคตของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อไม่สามารถจะรู้ว่าตัวเองจะตายวันไหน เมื่อไม่สามารถรู้ว่าเรานั้นจะบำเพ็ญเป็นพุทธะสำเร็จหรือไม่ มีเพียงการลงแรงทำเท่านั้น การเวียนว่ายตายเกิดมีความทุกข์ทรมานเท่าไร อาจารย์ยังไม่พูดถึง นรกที่ศิษย์รู้จักว่าทุกข์ทรมาน และคงรู้ว่าทุกวันนี้ตัวเองมีความทุกข์มากมายเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือนรก แต่เป็นนรกที่ศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นเท่านั้นเอง  อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นความทุกข์  ส่วนการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็คือการหมดทุกข์ หมดไปจากความทุกข์ที่ศิษย์นั้นมีอยู่ แม้ความทุกข์ที่ศิษย์รู้อยู่จะเป็นความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ แต่ลองคิดดู วันนี้เราอายุเท่านี้ เรามีความทุกข์เท่านี้ วันหน้าแก่ชราไป ความทุกข์ของเราจะเพิ่มทวีหรือจะลดลง แล้วคิดต่อไปว่าชาตินี้กับชาติต่อๆ ไปทบกับชาติที่ผ่านมาศิษย์มีทุกข์เท่าไร  อาจารย์ผู้เป็นพุทธะจึงอยากบอกให้ศิษย์นั้นตัดสินใจให้ถูก เพื่อตัดสินใจบำเพ็ญธรรม หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด วันนี้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม การหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด การหลุดพ้นศิษย์ยังไม่ต้องคิดไปไกล คิดถึงแค่ข้างหน้าว่าเราจะบำเพ็ญธรรม เราต้องเริ่มทำอะไรก่อน  อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ทีแรก ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร อาจารย์ขอเรียกร้องให้ศิษย์แค่ทำเท่าที่มีกำลัง  ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เท่านั้น ศิษย์ก็ได้ผลเท่านั้น  ศิษย์ทำเท่านี้ ก็ได้ผลเท่านี้  ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้คิดถึงแค่การบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญธรรมได้แค่ไหน ถ้าหากคนที่บำเพ็ญจริงๆ ก็ได้แค่หลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด คนไม่บำเพ็ญจริงก็ได้แค่หลุดพ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น
บางคนบำเพ็ญธรรมจิตใจเป็นสุขขึ้นได้บ้าง ไม่ต้องทุกข์อย่างในอดีต แต่ว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นลงแรงจริงจังกว่านี้  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์แค่หมดทุกข์เฉพาะในชาตินี้ แล้วต่อๆ ไปเราก็ทุกข์ใหม่  แต่อยากจะให้เราบำเพ็ญให้จริงจัง เป้าหมายเราอยู่ไกล แต่อย่ามองเป้าหมายบ่อย เพราะจะพลาดพลั้ง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  บางคนเดินไปตามทางก็ชอบมองไปข้างทาง ชอบมองคนนั้นที คนนี้ที ในที่สุดแล้วมองไม่เห็นตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  มองเห็นว่าคนอื่นนั้นแต่งตัวสวยอย่างไร มองเห็นว่าทางนั้นดีไม่ดี แต่มองไม่เห็นว่าทางในใจของเรานั้นมันดีหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ไปจึงต้องหัดย้อนมองส่องตน ยิ่งคนบำเพ็ญยิ่งนาน ยิ่งต้องมองตัวเอง ยิ่งต้องไม่เผลอใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือมองใจตนเองน้อยมาก ต้องกลับไปมองใจตัวเองให้มากๆ ให้ลึกซึ้งเหมือนลมหายใจที่สูดเข้ายาวๆ ผ่อนออกยาวๆ อย่างนั้นเข้าใจไหม
อาจารย์เห็นบางคนถอดรองเท้า บางคนใส่รองเท้า ถ้าหากว่าธรรมเนียมจีนก็ชอบใส่รองเท้าเข้ามาในบ้าน ถ้าหากว่าธรรมเนียมไทยก็ชอบถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน เคยได้ยินไหม (เคย)  ฉะนั้นศิษย์จะเลือกเป็นคนจีนหรือคนไทยอาจารย์ไม่ว่า ถ้าใส่รองเท้าเข้ามาก็ต้องใส่ให้ตลอด  แต่หากจะถอดก็ต้องถอดไว้ข้างนอกใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะมีพิธีระเบียบแบบจีน แต่ว่าเราเป็นคนไทยก็เอามาประยุกต์ไว้หน่อยดีไหม (ดี)  เป็นคนจีนก็ชอบทานอาหารจืดๆ เป็นคนไทยก็ชอบทานอาหารรสจัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อันนี้ศิษย์คงเลือกเป็นชาติไหนสักชาติหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าอาจารย์อยากจะสอนศิษย์ว่าคนที่ทานอาหารรสจัดเกินไป อวัยวะภายในนั้นก็จะไม่ปกติ ทานน้ำเย็นบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะดี มีแต่ว่าจะชื่นใจ ชื่นคอ แต่ว่าไม่ชื่นสุขภาพ  ฉะนั้นหากว่าศิษย์ทำได้ หากว่าเป็นคนทานเผ็ดมากเกินไปก็ลดเผ็ดลงหน่อย  ทานเค็มมากเกินไป ก็ลดเค็มลงหน่อย  ทานเปรี้ยวมากเกินไป ก็ต้องลดเปรี้ยวลงหน่อย  ทานหวานมากเกินไป ก็ต้องลดหวานลงหน่อย เดินทางสายกลางดีไม่ดี (ดี)  นอกจากว่าจะทานอาหารให้อิ่มแล้ว สุขภาพเราก็จะต้องดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าร่างกายของเรานั้นมีความสำคัญ เป็นคนบำเพ็ญธรรมร่างกายสำคัญอย่างไร ถ้าไม่มีร่างกายอันนี้บำเพ็ญธรรมได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้)  เป็นคนบำเพ็ญธรรมหน้าตาซีดเซียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม เราก็ต้องรู้จักรักษาสุขภาพของเราให้ดี เพื่อให้เรามีเวลาบำเพ็ญไปนานๆ เคยเห็นไหมพอแก่ตัวก็เริ่มจะไม่ไหว ทำนั่นทำนี่ไม่ไหว สุขภาพอ่อนแอ  แล้วศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมไปถึงกี่ปี เราก็ต้องบำเพ็ญไปจนแก่ จนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าตอนอายุมาก เราบำเพ็ญธรรมไม่ไหว น่ามองไม่น่ามอง (ไม่น่ามอง)  อาจารย์จะบอกว่าน่ามองไม่น่ามองไม่รู้ แต่อาจารย์เห็นศิษย์ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  หากตอนสาวๆ หนุ่มๆ ไม่รักษาสุขภาพ  ตอนที่อายุมาก แล้วจะให้คนอื่นมาแบกไปบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  คนอื่นเขาก็ไม่มาแบกเราไปสถานธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากเราจะมีลูกหลานมาช่วย แต่ต่อให้ลูกหลานเขาห่วงเราเท่าไรเขาก็มีการงานหน้าที่ ถึงเวลาแล้วใครช่วยเราดีที่สุด (ตัวเรา)  เพราะฉะนั้นความสุขทางด้านการกินต้องลดลงหน่อยไหม (ลด)  ต่อให้คิดว่าไม่บำเพ็ญ หรือไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญหรือไม่ รักษาสุขภาพไว้ก็ไม่เสียหายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ผมขาวนั้นยังน่ามอง แต่หากว่าร่างกายไม่ดีนั้น ไม่รู้นะ
ศิษย์แต่ละคนมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน อาจารย์ถึงแม้จะนั่งตามที่ศิษย์เชิญในวันนี้ แต่หมดจากวันนี้หรือชั่วโมงนี้ไป อาจารย์ก็เดินไม่ได้หยุด เพราะฉะนั้นนั่งตอนนี้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งตอนที่อาจารย์ไม่อยู่กับศิษย์แล้วอาจารย์ได้แต่เฝ้ามอง ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์เหมือนกัน
  กรรมเวรที่เราสร้างไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านพ้นมาได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราไม่อยากจะโดนเจ้าหนี้เวรกรรมรุม ก็ต้องรู้จักที่จะสร้างกุศลให้เขาเห็นใจใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วจะบอกว่าคนที่มีกุศลมีอยู่มากมาย แต่เจ้ากรรมนายเวรของเราจะยอมให้เราใช้คืนหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง  เพราะอะไรรู้ไหม สมมติง่ายๆ หากศิษย์เคยไปฆ่าคนๆ นี้ไว้ เสร็จแล้วศิษย์ก็นำเงินมาจ่ายให้กับครอบครัวเขา หรือจ่ายให้เจ้าตัวที่เราฆ่าเขาไป เขายอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ทำไมล่ะ เงินตั้งมากมายล้นฟ้า ทำไมเขาจึงไม่เอา แล้วเขาอยากได้อะไร (ชีวิต)  ฉะนั้นจึงบอกว่าต่อให้เรามีกุศลมากมายก็ไม่แน่ว่าจะใช้คืนเขาได้ ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมพร้อมใจของเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้เขายินยอมพร้อมใจเอาเงินก้อนนี้ของเราล่ะ (สร้างกุศล)  หากว่าใช้คืนด้วยเงินแล้วเขาไม่เอาทำอย่างไร หากว่าในทางกลับกันศิษย์เป็นคนที่โดนฆ่า ศิษย์อยากได้ชีวิตของเขา แต่ทำอย่างไรเขาถึงจะทำให้ศิษย์ยินยอมให้ศิษย์อนุโมทนาเขา ในการที่เราจะให้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเรายอม เมื่อเราเป็นลูกหนี้เขาก็มีแต่ต้องยอมก้มหัวให้ และสำนึกผิดจริงๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เขาถึงจะยอมยกเว้นเราหนึ่งครั้ง  ฉะนั้นคนที่พูดเก่งไม่ได้หมายความว่าจะชนะคนอื่นเสมอไป คนที่มีเงินมากก็ไม่ใช่จะชนะคนอื่นเสมอไป แต่สิ่งที่ชนะใจกันได้จริงๆ ก็คือคนที่มีความสำนึก ถูกหรือไม่ (ถูก)  โดยเฉพาะเรื่องกรรมเวรนั้นอาจารย์บอกให้อย่างหมดพุง ที่เขายอมให้ศิษย์เพราะเห็นศิษย์เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงตนเองได้สำเร็จ  ศิษย์ทำให้เขาเห็นใจ ศิษย์ช่วยคนอื่น นั่นแหละเขาจึงเห็นใจเรา เพราะคนที่ช่วยคนอื่นก็คงจะไม่ทำร้ายคนอื่นอีกต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาก็คิดว่าที่ศิษย์ยอมช่วยคนอื่น ก็แสดงว่าวันหลังศิษย์คงไม่ทำร้ายใคร เขาจึงยอมอนุโมทนาให้ เขาจึงยอมยกเว้นกรรมครั้งนี้ให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราทำตัวน่าสงสารไหม ศิษย์แต่ละคนดูแล้วเป็นคนที่น่าสงสารไหม (น่าสงสาร)  ที่ผ่านมายังไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร บางคนเคยเตะสุนัข ตอนนี้ยังเตะหรือเปล่า เคยโดนคนอื่นเตะแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บ)  แล้วเราเตะสุนัขๆ เจ็บไหม (เจ็บ)  มีเจ้ากรรมนายเวรเป็นสุนัขน่าชมหรือไม่น่าชม เดี๋ยวเขากัดน่องเราก็มาปวดขา ดีไม่ดี (ไม่ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง)  นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า ความไวของคนไม่เท่ากันใช่หรือไม่ เราไวเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องใช้ความไวให้ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไวในการโกงคน เอาเปรียบคนจะเป็นการดีมาก แต่ไวในการช่วยคน ไวในการที่เราจะเข้าไปทำความดี เป็นความไวที่ดีไหม (ดี)  อาจารย์เห็นพอถึงเวลาต้องทำความดี เห็นคนเดือนร้อนอยู่ตรงหน้า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม  พอถึงเวลาต้องไปเอาเปรียบเขา ทำการค้าก็เร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาอันสมควรก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อตัวเราเอง
เวลาที่นี่เช้าๆ มีหมอก อากาศเย็น ศิษย์เห็นหมอกแล้วสวยงามไหม (สวยงาม)  เราเอามือไปจับหมอกจับควันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทุกวันนี้มนุษย์ลุ่มหลงที่สุดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง  ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองนั้นมีวิธีการเข้ามาหาศิษย์ต่างกัน มีลาภ มียศ ก็คือมีคนอาจจะเอาดาวมาติดให้บนบ่า เอาเกียรติและศักดิ์ศรีอันเป็นวัตถุมามอบให้เรา สรรเสริญเป็นอย่างไร สรรเสริญลอยลมมาใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้ามาแบบไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีวัตถุ พอถึงเราได้ยินแล้วเป็นอย่างไร (ตัวลอย)  มีแรงยิ่งกว่าช้างม้าอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินทองเป็นอย่างไร เงินทองให้ความสะดวกสบาย เงินทองปิดหูปิดตา ทำให้เราตาบอดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มีค่าจริงๆ หรือเปล่า เหมือนกับหมอกในยามเช้า ที่ศิษย์จับต้องแล้วไม่อยู่ในมือ สิ่งเหล่านี้ให้ความสวยงามบันเทิงใจ แต่ไม่สามารถที่จะจับต้องได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ต่อให้ศิษย์ยืนอยู่ท่ามกลางสายหมอก ต่อให้ศิษย์ยืนอยู่ในท่ามกลางความสวยงามเหล่านั้น แต่ไม่มีสิ่งไหนที่ศิษย์จับยึดได้จริงๆ เพราะว่าแดดมาหมอกก็จางใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้ศิษย์มีเงินทองจนล้นฟ้า กอดเงินเข้าโลงศพไปด้วยแต่ถามว่าเอาไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ติดดาวลงโลงไปด้วย เอาไปด้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต่อให้คนสรรเสริญศิษย์จนศิษย์เผาไป เอาไปได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าเงินทองจะมาปิดตา เราก็เปิดตาให้สว่าง หูของเราก็ทำให้หนักๆ อย่าไปหลงมากมาย เงินทองก็ให้รู้จักที่จะพอ จึงเป็นคนที่ร่ำรวย เป็นคนที่มีความสุขที่สุด  หากเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราก็ต้องทำให้ได้อย่างนี้ ความรวยความจนนั้นขึ้นอยู่กับดวงชะตาไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ คนที่รวยมาก็คือคนที่รวยมา คนที่จนมาก็คือคนที่จนมา มีแต่คนที่บำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนได้  แล้วเราจะเปลี่ยนอย่างไร จะบำเพ็ญเหมือนกันแต่วงเล็บว่าไม่ดี คือบำเพ็ญได้ไม่ค่อยดีเท่าไร  แล้วก็เรียกร้องให้ชีวิตของเรานั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์บำเพ็ญ วงเล็บบำเพ็ญดี ศิษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองได้หรือไม่ (ได้)  นั้นแหละเป็นสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ คำว่าพระอาทิตย์เข้ามา แสงแดดกระทบหมอกแล้วหมอกจางไป ก็เปรียบเสมือนปัญญา พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือปัญญา ถ้าหากว่าเรามีปัญญา เราสามารถมองทะลุปรุโปร่ง แล้วอยู่ในโลกของความจริงไม่ใช่ความฝันดีหรือไม่ (ดี)  ความสวยงาม ยามมีหมอกก็อย่างหนึ่ง สวยงามยามมีแดดก็อย่างหนึ่ง สิ่งใดเป็นสิ่งที่จริงมากกว่ากัน ศิษย์ลองมองไปข้างหลังต้นไม้ยามมีหมอกมาบังก็ดูมัวๆ แต่ต้นไม้ยามที่แดดส่องมาให้ต้นไม้ก็มีความสวยงาม เป็นความสวยงามที่คมชัดและจริงแท้  ศิษย์เลือกอยู่ในโลกแบบไหน ในโลกแห่งความฝันหรือในโลกแห่งความจริง (ความจริง)  ตอนนี้พูดได้แต่กลับไปต้องระมัดระวัง เพราะว่านั้นมักจะเผลออยู่บ่อยๆ ทีเดียว
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
อาจารย์เห็นคนในโลกไม่ค่อยกลัวความผิดกันเลย กลัวแต่บาปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วผิดกับบาปใช่ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน (ใช่เรื่องเดียวกัน)  ทำไมถึงเป็นบาปรู้ไหม อะไรที่ทำขึ้นมาแล้วถึงเป็นบาป แล้วอะไรที่เรียกว่าบาป คำว่า 
"บาป"  ก็คือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)
ปกติเวลาที่อาจารย์ให้ผลไม้ อาจารย์จะให้แค่ลูกเดียว เพราะถ้าให้สองลูกก็เหมือนกับจับปลาสองมือ เรามีมือสองมือแล้วเราใช้หมด หากว่าเราจำเป็นจะต้องทำอีกเรื่องหนึ่งแล้วเราจะทำอย่างไร จะทิ้งส้มลูกซ้ายหรือจะทิ้งส้มลูกขวาก็ส้มเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงบอกว่าการทำอะไร ทำมือหนึ่งและเหลือไว้อีกมือหนึ่งไว้ทำอย่างอื่น ตอนนี้บำเพ็ญธรรม มือหนึ่งบำเพ็ญธรรมแสวงหามรรคผล อีกมือหนึ่งก็ทำตนเป็นคนอยู่ในโลก ทำมาหากินได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงให้ผลไม้ทีละลูก
ตอนนี้ศิษย์อาจารย์ทุกคนที่นี่ก็เป็นคนที่มือหนึ่งมีผลไม้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็เป็นมือที่ว่าง เป็นมือที่ใช้บำเพ็ญธรรม สมมติเราถือส้มไว้ในมือคนละลูก ถ้าหากว่าเราออกแรงบีบข้างนี้มากเกินไปได้ไหม (ไม่ได้)  หมายความว่าเราต้องระวังเรื่องของคำพูดก็ดี ความคิดก็ดี การกระทำก็ดี ไม่ให้ออกแรงในการที่จะลุ้นคนอื่นให้ถึงความดีมากเกินไป ไม่อย่างนั้นส้มในมือนี้ก็จะเละคามือ ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ บีบเท่าไรก็หายหมด และที่เราอยู่ในโลกนี้ อาจารย์ให้ศิษย์ทำตนเป็นคนดีในสังคมก็เพื่อ ทำตามหน้าที่อันถูกต้อง อย่างเช่น ถ้าหากว่าเราเป็นลูก เราก็ต้องเป็นลูกที่กตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราติดหนี้บุญคุณใคร เราก็ต้องใช้ให้หมดใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราเป็นลูกศิษย์ ก็ควรที่จะเคารพในครูบาอาจารย์ เราควรจะซื่อสัตย์ในหน้าที่ หากเรามีอาชีพเป็นหมอ พยาบาล เป็นชาวไร่ ชาวสวน ชาวนาก็เหมือนกัน จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่นั้นให้จบให้สิ้น มีไม่กี่คนที่สามารถจะหลุดพ้นจากวงเวียนกรรมของสัตว์โลก คือ ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีพันธะ มีคนที่ยอมให้เราบำเพ็ญธรรม อันว่าเราเกิดมาในบ้านที่มีบุญ แล้วเรามีหน้าที่บำเพ็ญธรรม มีไม่กี่คนที่เป็นอย่างนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถอุทิศตนออกมาเพื่อทำงานธรรมะได้ หากว่าใครที่อุทิศออกมาแล้วก็อย่าได้ไขว้เขว วันหนึ่งเปลี่ยนใจสามรอบสี่รอบ ยิ่งนานยิ่งเปลี่ยนใจ อย่างนี้จะทำให้เราบำเพ็ญธรรมยิ่งยากลำบาก เพราะในการที่เราเดินทางก็เหมือนกับนักเดินเท้า เดินทางไปสู่จุดหมาย  ตอนเริ่มเดินใหม่ๆ  แรงเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินทีเดียวไปครึ่งทางเลย แต่ถามที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เหมือนกับเติมไปอีกสองสามเท่าเลย ครึ่งทางเท่าเดิมกับที่เราเคยเดินมาแล้วยาวไกลยิ่งกว่าครึ่งทางที่ผ่านมา พอเดินยิ่งใกล้ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งหยุดบ่อย ยิ่งหยุดบ่อยถึงไม่ถึง (ไม่ถึง)  ถึงมีเคล็ดลับของคนเดินเท้าบอกว่า "หากว่าเดินต่อให้เหนื่อยก็อย่าพัก ต่อให้พักก็อย่าหยุด"  เพราะถ้าหยุดหนหนึ่ง จะมีหนที่สองไหม (มี)  ถ้าหยุดก็จะหยุดเรื่อยๆ  แล้วยิ่งหยุดก็ยิ่งไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราได้รู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว ก็มีประโยชน์สำหรับการบำเพ็ญธรรม ที่อาจารย์สอนศิษย์อยู่นี้ ไม่ใช้หลักธรรมะ  แต่เป็นหลักปรัชญาให้ศิษย์คิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์นั้นมักไม่สนใจว่าจะหลักอะไรที่ทำให้ศิษย์อาจารย์รู้คิด รู้ตื่น แต่ขอให้ศิษย์ได้เอะใจ ได้รู้สึกตื่นขึ้นมา  อาจารย์ก็ใช้วิธีนั้น ขอให้เราเรียกร้องตัวเองในการที่เราจะเดินหน้า หากว่าเราเคยหยุดแล้ว ไม่เป็นไร  ขอให้ครึ่งที่เหลืออยู่นี้ ทำอย่างที่อาจารย์ว่า เดินต่อไปต่อให้เหนื่อยก็อย่าหยุด ต่อให้ต้องหยุดก็อย่าหยุดนานเกิน  อาจารย์นั้นอภัยในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมาแล้วเป็นความผิดเสมอ
อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นเดินหน้าต่อไปให้ถึงนิพพาน เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดของศิษย์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จะเป็นเสมือนความฝันครั้งสุดท้าย แล้วศิษย์ไม่คิดจะไปสู่ความจริงอันนั้นหรือ จะแบกความทุกข์ไว้เต็มอก แบกความกลุ้มใจไว้เต็มเหนี่ยว วางไม่เป็นปล่อยไม่ได้ วันนี้ปล่อยไม่ได้คิดหรือว่าพรุ่งนี้ปล่อยได้ ฉะนั้นในยามที่เรามีสติ ให้เรานั้นปล่อยวาง ไม่ใช่มีสติรู้ว่า ฉันรู้ว่ามันผิด แต่ฉันจะทำ หลายคนเป็นอย่างนี้ รู้ว่าผิดแต่ทำ สุดท้ายต่อให้เป็นพุทธะอย่างอาจารย์ก็ช่วยศิษย์ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่รู้ว่าผิดแล้วยังทำเป็นคนที่ตรงข้ามกับคนที่มีความสำนึก แล้วเจ้ากรรมนายเวรจะยอมให้อาจารย์ช่วยศิษย์ คนที่ไม่มีจิตสำนึกคนนี้ไหม (ไม่ให้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
ไม่เสียหลายนะ นั่งติดๆ กันก็กล้าพอกัน เรียกว่าความกล้าของคนข้างๆ ส่งผลให้คนข้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางทีเวลาเราบำเพ็ญธรรม เราจะบอกเขาว่าเธอไปสิๆ เขาไปไม่ไป (ไม่ไป)  แต่ถ้าเราไปมาแล้วเขาก็กล้าไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราต้องเรียกเขาด้วยเสียงไหม (ไม่ต้อง)  ไม่ต้องใช้คำพูดในการที่จะเรียกให้เขาทำอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ขอให้เรานั้นมีความกล้า เขาก็มีความกล้าเหมือนกัน
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)
"โพธิ"  แปลว่าอะไร (การตรัสรู้, การรู้แจ้ง)  "โพธิสัตว์"  แปลว่าอะไร (สัตว์ที่รู้แจ้ง)  อาจารย์ก็เป็นอาจารย์  ศิษย์ก็เป็นศิษย์ ทำไมไม่รู้วิธีการเอาของจากอาจารย์หรือ เด็ดผลไม้ต้องทำอย่างไร  จะเอาได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ในตัวของเขา  การแย่งผู้อื่นจะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร  อาจารย์อุตส่าห์ใส่กระเป๋าให้แล้ว ยังไม่เอาอีกหรือ  บำเพ็ญธรรมต้องมีความมั่นใจ อยากจะเริ่มต้นต้องเริ่มต้น เหมือนการจะคว้าก็ต้องคว้า ไม่ใช่มัวแต่ฟังคนอื่น ไม่มั่นใจในตนเองไม่ได้รู้ไหม (รู้)  คำว่า "โพธิ"  แปลว่าปัญญาที่ให้เกิดความรู้แจ้ง  "โพธิสัตว์"  หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญในลักษณะของคนที่คลุกคลีอยู่กับมนุษย์เวไนยนี้ แต่สามารถที่จะช่วยเหลือเขา  คนๆ นี้เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นเต็มที่จึงได้ชื่อว่า “โพธิสัตว์”  ไม่ใช่หลีกหรือปลีกตัวเองไปบำเพ็ญเดี่ยวๆ  บำเพ็ญร่วมกับโลก ร่วมกับผู้อื่น ช่วยผู้อื่นได้ เริ่มจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่ เราก็คือ โพธิสัตว์องค์น้อยๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  การที่อาจารย์บอกว่าอาจารย์ใส่ไว้ตรงนั้น ศิษย์จะเอาไหม  แม้เป็นของๆ ศิษย์แต่ไปอยู่ที่คนนั้น แล้วตกลงเป็นของใคร เราต้องตัดสินใจให้เขาไป เพราะว่ามีเรื่องยากๆ มากมายปัญหาเยอะแยะ เราต้องตัดสินใจอย่างคนมีปัญญา มีเรื่องมากมายที่เป็นความลำบากใจเช่นนี้ ศิษย์ทำถูกแล้ว  แต่พออาจารย์พูดเข้าหน่อย ตอนนั้นอาจารย์ก็เปรียบเสมือนมารที่คอยเป่าหูศิษย์ คอยบอกว่านี่ของๆ เรา ศิษย์จะเอาอย่างไร ทำอย่างนี้คือแย่งเขา ถึงแม้เป็นของๆ เราแต่อยู่ที่คนอื่น ของนี้ต้องได้รับการอนุญาตก่อน ถึงจะกลับมาเป็นของเรา
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)
"บำเพ็ญธรรม"  แปลว่าอะไร  (เพิ่มพูนความรู้)  หลังจากวันนี้มีโอกาสต้องบำเพ็ญธรรมมากๆ มาบำเพ็ญธรรมด้วยการศึกษา และจะเข้าใจการบำเพ็ญธรรมที่สุดก็ตอนลงมือทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
"ออก"  แปลว่า (เคลื่อนที่ให้พ้นจากสิ่งกีดกั้น)  เคลื่อนที่จากอะไร เคลื่อนที่ในจิตใจของเรา ต้องออกจากอะไร สิ่งที่ปิดกั้นจากใจของเราคืออะไร (กิเลส)  เราต้องเคลื่อนที่ไป
"ม้วย"  แปลว่าอะไร (ตาย)  ตายจากความเป็นปุถุชนแล้วไปเกิดเป็นพุทธะดีไหม ตายเกิดนี้อยู่ที่ใจ เกิดดับก็อยู่ที่ใจ
"ไม่มีใครออกจากบ้านโดยไม่ผ่านประตู"  ทุกคนออกจากบ้านก็ต้องผ่านประตูทั้งสิ้น  บ้านหลังหนึ่งก็เหมือนกายสังขารตัวนี้ ผ่านเข้าผ่านออกประตู  มีประตูตา จมูก ปาก สะดือ กระหม่อม มีหลายประตู แต่มีประตูที่ถูกอยู่ประตูหนึ่ง ซึ่งอาจารย์นั้นได้ชี้ไว้ให้ อาจารย์ต้องการให้ศิษย์นั้นเลิกเข้าออกประตูเหล่านี้ และก็ออกทางประตูตรงเพื่อกลับคืนขึ้นเบื้องบนได้
อันว่าการที่เราชวนคนมารับธรรมะเป็นเรื่องง่าย แต่การจะส่งเสริมคนสักคนหนึ่งมาประชุมธรรมเป็นเรื่องที่ยากกว่า  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ หลักสำคัญก็คือพูดให้เขาเข้าใจตั้งแต่เขามารับธรรมะ ถึงเวลาศิษย์ไปชวนเขามาประชุมธรรมก็จะไม่มีปัญหา  คนใดที่ปฏิเสธด้วยวาจาอันแข็งกร้าว แสดงว่าใจของเขาไม่พร้อมจะเปิดรับ  ศิษย์อาจารย์ก็อาจจะต้องหยุดพูดไปก่อน ถ้าหากว่าไฟกำลังร้อน แล้วเราก็เป็นไฟเหมือนกัน ไฟสองกองรวมกันก็จะยิ่งมากขึ้นไปใหญ่  การประชุมธรรม คนที่มาช่วยงานก็ต้องพยายามช่วยงานให้เต็มที่  ส่วนคนที่มานั่งฟังเป็นนักเรียนก็พยายามที่จะตักตวงในสิ่งที่เป็นความหมาย เป็นสิ่งที่ดีกลับบ้านนำไปปฏิบัติ มีเวลาก็ต้องมาสถานธรรม มาศึกษาเพิ่มเติม  ศิษย์อย่ามั่นใจในตัวเองมากว่าเรารู้ไปหมดดีไปหมด เพราะว่าทุกคนก็มั่นใจอย่างนี้ แต่สุดท้ายคนที่กลับคืนขึ้นนิพพานกลับมีอยู่น้อยนิด แสดงว่าความฉลาดหรือความรอบรู้ของเราไม่ได้ช่วยให้เราไปถึงไหนได้ กับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนสามารถที่จะมองเห็นตนเองได้มากกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะฉะนั้นต้องเลือกดูว่าเราพร้อมที่จะเป็นคนแบบไหน หากว่าเมื่อถูกเอาเปรียบแล้วได้รู้อะไรมากขึ้น ก็เหมือนกับศิษย์จ่ายค่าเรียนหนังสือให้กับคนนั้นไป ไม่ได้เป็นการเสียหน้าหรือเสียเกียรติอะไรมากมาย
การบำเพ็ญนั้นต่อด้วยคำหลายคำ บางทีก็ต่อด้วยคำว่า "บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจริง บำเพ็ญดี"  แต่ว่าเราเคยคิดไหมว่าการบำเพ็ญของเราจะต่อด้วยคำว่าอะไร เราอาจจะต่อด้วยคำว่า "บำเพ็ญเล่นๆ"  หรืออาจจะต่อด้วยคำว่า 
"บำเพ็ญแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้"  หรืออาจจะต่อด้วยคำว่า  "บำเพ็ญจริง"  อาจารย์ไม่สนใจว่าศิษย์จะต่อด้วยคำว่าบำเพ็ญในวิถีทางของตนเองว่าอย่างไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ต่อว่า ”บำเพ็ญอย่างไรให้ถึงฝั่ง”  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เบื่อไหมมีแต่เด็กๆ ถึงจะมีนิสัยเบื่อง่าย บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องธรรมดาพื้นๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเรื่องที่เป็นอย่างนี้เสมอไป ไม่มีรูปแบบเยอะแยะ ไม่มีเรื่องใหม่ แปลกประหลาด ให้ศิษย์นั้นตื่นเต้น  แต่หากว่าใครอยู่กับสิ่งที่น่าเบื่ออย่างนี้ได้ ผลลัพธ์ของศิษย์ก็คือ เราได้ชำนาญในสิ่งที่เราได้เรียนรู้อยู่ซ้ำๆ
อันว่าเรื่องความรัก โลภ โกรธ หลง สิ่งที่บันเทิงใจ การละกิเลสทั้งหลายมันก็เป็นเรื่องซ้ำๆ เดิมนั่นเอง รู้ก็รู้หมดแล้ว แต่ว่าทำไม่ได้  อาจารย์จึงบอกว่า แม้ว่าจะต้องเหมือนกับยืน เดิน ย่ำอยู่กับที่ตลอดเวลา แต่ว่าถ้าย่ำบ่อยๆ พื้นนั้นก็มีความหนาแน่นมากขึ้น  เหมือนกันเราบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าเราย้ำในสิ่งที่เราควรจะแก้ไขบ่อยๆ ผลลัพธ์ก็คือศิษย์แก้ไขได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้เรื่องน่าเบื่ออย่างนี้ไม่น่าจะนำมาปฏิบัติหรือ เรื่องน่าเบื่ออันนี้ไม่น่าติดตามหรือ เพราะว่าเป็นการพัฒนาในจิตใจของตัวเราเอง สนุกยิ่งกว่าดูละครอีก
(พระอาจารย์เมตตาให้เรียกแม่ครัว)  คนเรานั้นมักจะทะเลาะกัน ถ้าหากว่าเราเห็นความคิดเราสำคัญกว่าความคิดของคนอื่น เราก็จะทะเลาะกันทันที การฟังเสียงคนอื่นบ้าง เป็นสิ่งที่ควรจะทำ เหมือนกับเวลาที่เรามองดูนาฬิกา เราก็ต้องดูอะไรให้ชัดๆ (เข็มนาฬิกา)  แต่จำเป็นจะต้องมองเข็มนาทีให้ชัดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถึงจะรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง และกี่นาที  หากว่าอย่างตอนนี้อีก ๑๐ นาที ๓ โมง เราจะบอกว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง เราก็ต้องบอกว่าจะ ๓ โมงใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากเรามองไม่ดี อาจไม่คิดว่ามันจะ ๓ โมง แล้วก็ได้  อาจคิดว่าเป็น ๒ โมงกว่าๆ เท่านั้น  เหมือนกันเวลาเรามองนาฬิกา ก็ต้องมองให้ชัด มองรายละเอียดให้ชัด เวลาฟังก็ต้องฟังให้ชัด เวลาดูก็ต้องดูให้ชัด เวลาเราทำอะไรร่วมกัน เราจึงไม่ทะเลาะกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราฟังความคิดเห็นของอื่นเป็นส่วนใหญ่ แล้วเอาความคิดเราสอดแทรกเข้าไปบ้าง มีใครกันที่ไม่ชอบให้คนอื่นฟังความคิดของตนเอง  ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมนั้น ก็ขอให้เราบำเพ็ญจากภายนอกอย่างนี้  บำเพ็ญจากภายนอก ทำด้วยอาการที่ยอมคนอื่น ทำไปเรื่อยๆ จิตใจก็ยอมมากขึ้น  ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราจะให้คนอื่นยอม เราก็ต้องยอมคนอื่นก่อน  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าหากว่าเรามีอัตตามากเกินไป ก็จะเป็นเหมือนยอมคนอื่นแต่จิตใจไม่ยอม นานวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ศิษย์เลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง
อาจารย์พูดในเพลงนี้บอกว่า "กำแพงอัตตาคอยกีดขวางตนเอง"  เรามาบำเพ็ญธรรมศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมาที่นี่ ทุกคนต่างมีอัตตาของตัวเองทั้งนั้น จะเรียกร้องให้คนใดคนหนึ่งหมดอัตตา แล้วให้อีกคนหนึ่งไม่หมดเป็นไปไม่ได้ เราต้องอยู่กันอย่างยุติธรรมคือ ทุกคนต้องไม่มีอัตตาเป็นของตนเองมากเกินไป สิ่งที่กีดขวางศิษย์ไม่ให้บำเพ็ญธรรมคงไม่ใช่สิ่งอื่นใด คงไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่ยอมให้มาหรือว่าไม่มีเวลา  แต่สิ่งที่กีดขวางเราจริงๆ ก็คือ เป็นคนที่อัตตาสูงมากเกินไป เชื่อมั่นในความคิดของตนเองมากเกินไป แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่มีเวลา ยิ่งบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา ก็ยิ่งไม่มีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
"เก่งกาจเพียงใดทุกข์เป็น หวาดลำเค็ญจึงยิ่งทำลาย"  ทุกคนก็มีความทุกข์ คนที่มีความทุกข์ มีปมด้อย ยิ่งจะปิดบังตัวเองด้วยการใช้เสียงอันดังไม่ยอมคนอื่น ใช้ความเด่นมาปิดบังปมด้อยของตัวเองนั้นไม่เป็นผล สู้ศิษย์ยอมรับตนเอง เผชิญหน้ากับสิ่งนั้นๆ ไม่ได้บอกว่ากลัวว่าตัวเองจะลำบาก จึงยิ่งทำลายผู้อื่น ยิ่งเป็นบาปหนักเข้าไปใหญ่
ถ้าหากว่าเรายิ่งมีคำพูดที่ดีๆ คนก็ยิ่งรักใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราจะน่าดู ไม่ได้ดูที่หน้าตา แต่ดูที่จิตใจและก็ความดีงามใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้เราเป็นสาวๆ อยู่ ต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง วันหน้าจะได้แข็งแรงมากกว่านี้  ศิษย์รู้ไหมว่าสภาวะพุทธะนั้นไม่ได้แบ่งความยากดีมีจน ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งว่าศิษย์นั้นจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ผิวสีขาวหรือว่าผิวสีดำ ความรู้จะมีหรือว่าไม่มี  สภาวะพุทธะที่อยู่ในตัวทุกคนนั้นเหมือนๆ กัน  ฉะนั้นการมาในสถานธรรม การศึกษาและการบำเพ็ญเมื่อไม่มีอุปสรรคเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้น ที่จะบงการให้ขาเราก้าวไป มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้เราขึ้นสวรรค์หรือทำให้เราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  ทุกๆ วันที่ศิษย์อยู่ในโลกแห่งสีสันนี้ มีความทุกข์ สุข เศร้าหรือร้องไห้ก็ดี อาจารย์ก็มีความสุขไปกับศิษย์ด้วยในยามที่ศิษย์สุข และก็มีความทุกข์ไปกับศิษย์ในยามที่ศิษย์ทุกข์ แต่ศิษย์รู้ไหมมีคนจำนวนมากที่มีความทุกข์มากกว่าศิษย์ ขอให้ศิษย์หันไปมองรอบๆ ตัวเองให้มากๆ อย่ามัวพูดว่ากันไม่เป็นอันบำเพ็ญ อย่ามัวฟังเสียงนกเสียงกา อย่ามัวบ่นท้อแท้ใจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตคนที่ว่ายาวจริงๆ ก็สั้นนัก สิบปีที่แล้วก็เหมือนผ่านไปดังสายลม  หากไม่รู้จักเก็บเกี่ยวเวลา สร้างคุณค่าให้กับตนเอง อีกไม่กี่วันก็อาจจะตายไม่รู้ตัว แล้วก่อนวันที่ศิษย์จะสิ้นลม ศิษย์ทำอะไรให้มีประโยชน์กับตัวเองบ้าง คนที่ว่าอายุยืนยาวที่สุดก็เพียง ๑๐๐ ปี  ๑๐๐ ปีนี้ก็เพื่อทำความดี เพื่อหลุดพ้นยังน้อยนัก แม้จะสำเร็จเป็นพุทธะ พุทธะก็มีหลายแบบ หลายอย่าง จะว่าไปแล้วในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าระดับ  หากคิดว่าศิษย์ทำดีแล้ว ทำดีให้มากกว่านี้ ศิษย์จะไต่ระดับขึ้นไปสูงขึ้น ขึ้นไปให้สูงกว่าอาจารย์ อาจารย์ยิ่งดีใจ  ตอนนี้ศิษย์มีอาจารย์เป็นพุทธะ แต่ในวันหน้าอาจารย์ก็หวังว่าอาจารย์จะมีศิษย์ที่เป็นพุทธะ เชื่อมั่นในธรรมะ บำเพ็ญให้จริง ทำได้ไหม (ได้)  รักษาตัวให้ดีๆ บำเพ็ญให้จริงๆ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “เห็นแก่ส่วนรวม”

โพธิสัตว์บำเพ็ญเมตตาหมั่นออกช่วย แม้มอดม้วยไม่คลายปณิธานแข็งกล้า
แม้ตกต่ำไม่วายดำรงด้วยปัญญา กิริยางามสอดคล้องด้วยฟ้ากับธรรม
ไม่มีใครออกจากบ้านโดยไม่ผ่านประตู ก้าวเดินสู่หนึ่งจุดหมายด้วยคุณธรรม
ไม่ยึดติดสังขารระวังการกระทำ การจะนำผู้อื่นต้องเริ่มจากตนเอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2543

2543-04-08 พุทธสถานฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์


PDF  2543-04-08-ฮุ่ยจื้อ #5.pdf


วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อากาศร้อนใจของคนอย่าร้อนด้วย ใจเย็นช่วยให้กายนั้นสบายขึ้น
ประชุมธรรมฟื้นฟูจิตพ้นเมามึน ให้บำเพ็ญดีขึ้นกว่าวันวาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีประชุมธรรม ขอน้องนำจิตศรัทธาออกมาเถิด
เป็นมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าประเสริฐ ของามเลิศคุณธรรมแผ่กำจาย
คุณธรรมนำประชาให้มีสุข ปลดความทุกข์ให้โลกสันติส่อง
ขอให้ใช้ชีวิตถูกครรลอง ให้ปรองดองซึ่งกันสู่เจริญ
ไม่วอนขอผู้อื่นวอนขอตน ยามบำเพ็ญอย่าสับสนใจฟุ้งซ่าน
บัดนี้ธรรมลงฉุดคนพ้นทรมาน กลับคืนบ้านอย่างน้อยต้องไร้กรรม
อนุเคราะห์โลกช่วยคนจิตเมตตา มีปัญญาต่อสู้รู้จักตนนั่น
มีสิ่งใดขัดใจย้อนตนพลัน ว่าตนนั้นคนบำเพ็ญทำอย่างไร
ตัดกิเลสเบาสบายกว่านั่งพรม ไม่สะสมความอิจฉาในใจนี้
นาวาธรรมล่องลอยช่วยคนดี ยิ่งนานปีมีหลักธรรมอย่าแปรใจ
โลกวุ่นวายใจคนต้องหนักแน่นขึ้น ไม่เมามึนสิ่งที่มารหยิบยื่นให้
บำเพ็ญธรรมนำสว่างสามโลกไกล ระฆังไร้คนช่วยสั่นก็ยากดัง
สองวันนี้มีบุญได้มาถึง ให้ท่านพึงตั้งใจฟังอย่างครบถ้วน
อย่าให้อากาศร้อนอบอ้าวทำเรรวน ความง่วงชวนก็ไม่หลงเผลอหลับไป
จงตั้งใจสองวันมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้ดียิ่ง
เรื่องทางโลกปล่อยชั่วคราวอย่าประวิง ทำใจนิ่งศึกษาธรรมให้เข้าใจ
กลับออกไปเน้นหนักปฏิบัติ เดินทางลัดเป็นธรรมดามีขวากหนาม
แต่จิตใจจงมากมายพยายาม แลติดตามปลายน้ำจนถึงต้นน้ำ
คนตั้งใจฟังธรรมะมีกุศล ขอน้องจงไม่อับจนฟังให้รู้
ใดหลักการใดปฏิบัติพินิจดู จงเกิดมาเพื่อรู้แจ้งพ้นเกิดตาย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่นั้นจดบันทึกคอยคุมชั้น
ยืนเคียงข้างอยู่กับท่านทั้งสองวัน ขอให้ท่านเปิดใจใช้ปัญญา
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
พระโอวาทท่านหลวี่ฉุนหยังต้าเซียน
ส่งความดีออกไปให้กว้างไกล ให้เงาร้ายไม่มีที่หลบซ่อน
บำเพ็ญธรรมก้าวเดินเป็นขั้นตอน ผู้รู้ก่อนรู้หลังคนช่วยปูทาง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลวี่ฉุนหยัง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายประณต
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสุขเกษมอยู่ดีหรือไม่
มีกายคนสำหรับทำความดี วู่วามมีรักษาด้วยใช้ครวญใคร่
อันโอกาสต้องการรังสรรค์สืบไป จรรโลงให้สมกับมียากเย็น
ขณะนี้โชคดีที่ธรรมแผ่กว้าง ประสงค์สร้างวิเศษคุณเบาความเห็น
เป็นกลางแต่จะต้องคงเส้น ดำรงความไม่มีเช่นแก้วประจำ
อย่ายโสโอกาสมีอยู่ตรงหน้า ไร้เวลาคืออุปสรรคเรือขาดน้ำ
พินิจสิ่งใดทำได้จึงทำ สะเพร่าทำรีบคลำทางให้เจอ
อย่าปล่อยโอกาสไร้ผ่านเลยไป ประสงค์ไร้น้ำตาบ้างก็ยังเผลอ
เมื่อมาเกิดโอกาสใหม่อย่าละเมอ รักษาไว้เสมอด้วยรู้ทำจริง
ทุกเมื่อในปัญญามีเมตตาข้าง คุณธรรมใครไม่สร้างเราไม่ทิ้ง
เพราะได้มากระจ่างเองชีวิตจริง กล้าเลือกในสิ่งถูกต้องพิจารณา
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทท่านหลวี่ฉุนหยังต้าเซียน

แปลกใจไหม อยู่ดีๆ เขาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สำเร็จไปจากมนุษย์อย่างท่าน เพราะฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่แปลก แต่คนที่ยังอยู่ในโลกนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไรนั้นจึงเป็นคนแปลกใช่หรือไม่ (ใช่)
“ส่งความดี”  มีความดีให้ส่งกันหรือไม่ (มี)  บางคนมีความดีแต่ความดีนั้นไม่เพียงพอที่จะให้แก่ใครเลยคือดีอยู่เฉพาะตัว ดีอยู่คนเดียว ท่านเคยเห็นคนประเภทนี้ไหม (เคย)  ฉะนั้นเมื่อเรารู้ เราจึงต้องทำให้เรานั้นมีความดีมากมายและพอที่จะส่งไปให้ผู้อื่นได้ ดังเช่นเวลาที่เรามีข้าวกิน ท่านคิดว่าผู้อื่นมีข้าวกินเหมือนเราไหม (มี)  และท่านคิดว่าถ้าหากเขาไม่สะดวกที่จะหุงหา ท่านจะทำอย่างไร ความดีที่ท่านสร้างในตอนนี้ท่านควรจะพิจารณาเป็นรายบุคคล พิจารณาด้วยตนเอง ท่านก็จะเห็นว่าตัวท่านนั้นมีความดีมากมายที่จะส่งออกไปให้ผู้อื่นไหม ดังเช่นที่เรายกตัวอย่างว่า ในเวลาที่ท่านกินข้าวบางทีกินข้าวก็ไม่เคยคิดว่าคนอื่นนั้นมีข้าวกินหรือเปล่า จึงบอกว่าความดีนั้นๆ ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ส่งออกไป เวลาที่เรามีเงินเคยคิดว่าคนอื่นนั้นมีเงินไหม เวลามีความดีเคยคิดไหมว่าจะทำให้ผู้อื่นมีความดีเหมือนกับที่เรามี และสิ่งที่ควรจะคิดอย่างยิ่งก็คือความดีของท่านนั้นเรียกว่าความดีจริงๆ หรือไม่ เพราะว่าในสมัยนี้คนมากมายจิตใจไม่บริสุทธิ์พอ เวลาทำสิ่งใดก็มักจะเคลือบแฝงไว้ต่างๆ นานา ทำให้โลกมนุษย์นั้นเปลือกนอกดูดี แต่ภายในนั้นย่ำแย่ลงทุกวัน
เห็นเรามาเป็นคนที่เคร่งครัดก็จริง แต่ว่าพวกท่านนั้นก็ไม่ต้องกลัว คนเราจะกลัวก็ต่อเมื่อเรานั้นได้ทำผิดบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ได้ทำผิดบาปก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรใช่หรือเปล่า คนทุกคนนั้นมีด้านที่เป็นด้านอ่อนและด้านแข็ง เรานั้นก็คือการแสดงธาตุแข็งความแข็งของมนุษย์ออกมานั่นเอง  แต่ถ้าหากท่านสามารถพัฒนาบำเพ็ญในด้านนี้ของท่านมีความบริสุทธิ์แล้ว ท่านก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายของความเคร่งครัดได้เช่นเดียวกัน หากท่านเป็นด้านอ่อนก็เหมือนเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ที่เป็นผู้หญิง อย่างเช่นพระโพธิสัตว์กวนอินลงมาโปรด ท่านนั้นก็มีด้านอ่อน นำธาตุอ่อนความอ่อนออกมาให้ท่านเห็น แท้ที่จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เหมือนเช่นมนุษย์ เพียงแต่บำเพ็ญจิตใจจนได้บรรลุเหนือสภาวะของความถูกผิด สภาวะของความดีชั่วเลยล้ำขึ้นไป  ทุกๆ ท่านที่มาอยู่ที่นี่ล้วนมีด้านอ่อนและด้านแข็ง เมื่อได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์จึงต้องเอาทั้งด้านอ่อนและด้านแข็งนั้นรับมือกับการใช้ชีวิตของตัวเอง ถ้าหากว่าท่านแข็งประดุจหินเวลาที่ท่านรวมอยู่กับสายน้ำ ก้อนหินนี้ก็จะชัดเจนขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านรวมอยู่กับหินแต่ท่านอ่อนประดุจสายน้ำท่านก็ไม่สามารถรวมตัวกับหินเหล่านั้นได้  ฉะนั้นมนุษย์จึงมีทั้งสองด้าน เลือกใช้ให้ถูกต้อง เลือกดูให้ถูกต้อง เป็นมนุษย์นั้นขี้ลืมบ่อยมากไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรามาในวันนี้ อีกสามวันถัดไปท่านไม่เจอเราแล้วท่านก็ลืมเราใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามาสถานธรรมนั้นย่อมไม่ใช่เพราะว่าท่านนั้นคิดอยากที่จะมาหรือว่าคนเขาบังคับให้ท่านมาแล้วก็สุดวิสัยต้องมา ความคิดที่ไม่จริงใจเช่นนี้ไม่สามารถทำให้เรานั้นศึกษาจนเข้าใจได้ ฉะนั้นใครที่มาในวันนี้แล้วมีความคิดที่โดนบีบบังคับ หรือมีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์พอ เราต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่
รับธรรมะมาช่วงหนึ่ง เวลาเขาเรียกมาให้ประชุมธรรม ท่านคิดว่าธรรมะคืออะไร (หนทางไปสู่เบื้องบน)  ธรรมะไม่ใช่ของเด็กเล่นที่ท่านนั้นจะจับยกได้ ธรรมะไม่ใช่อาหารที่ท่านนั้นจะกินเข้าไปได้ แต่ธรรมะคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ วนอยู่แล้วในตัวเราเพียงแต่เรานั้นหยิบยกออกมาที่จะบำเพ็ญเท่านั้น การที่เราพูดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรมนั้น ท่านคิดว่าไกลไปหรือไม่ (ไม่ไกล)  การบำเพ็ญธรรมนั้นทำได้ง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องยาก แต่คนที่บำเพ็ญแล้วสามารถบรรลุขึ้นไปได้นี่สิถึงจะเป็นความยาก ร้อยคนบำเพ็ญอาจจะมีแค่สิบคนบรรลุ  ร้อยคนบำเพ็ญอาจจะมีแค่หนึ่งคนที่สามารถบรรลุได้  แต่ถ้าหากเราไม่ลองพยายามดูคงจะไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่แน่ว่าถ้าหากทุกคนพยายามพร้อมกัน ร้อยคนบำเพ็ญร้อยคนบรรลุ ดังนี้เป็นเรื่องมงคลหรือไม่ (มงคล)  เป็นมงคลที่สุด  ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่เกิดมานานแล้ว มีความทุกข์มากมายที่เกิดขึ้น ท่านคิดว่าท่านอยากจะพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ถ้าหากว่าท่านไม่อยากคิดจะพ้นทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ต้องบำเพ็ญ  แต่ถ้าท่านอยากจะพ้นทุกข์แล้วมัวนั่งสงสัยเราว่าเราเป็นใครอยู่นี่ อยากจะบำเพ็ญก็คงไม่รู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร เพราะว่าฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเปิดใจให้กว้างดีหรือไม่ (ดี)
ใจของเรานั้นเป็นประตูไปสู่ความเป็นพุทธะ ใจของเรานั้นเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเหล็กอันหนึ่งที่มีสนิมเกาะ นานๆ ขัดทีคงจะไม่ไหว จะต้องหมั่นขัดทุกวันๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนขัดสะอาดขัดจนไม่มีรอยสนิมก็เคยมีให้พบเห็น คนที่ขัดยังไม่สะอาดแล้วคิดว่าใช้ได้แล้ว เพราะว่ามัวแต่ไปเทียบกับคนอื่นก็มีอยู่มากมาย ฉะนั้นเวลาเราดีกว่าคนอื่น เราทำความดีแล้วไม่มีคนเห็นความดีของเรานั้น เราจะรู้สึกท้อแท้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  การที่เราทำความดีแล้วผู้อื่นไม่เห็นความดีของเรานั้น เราจะรู้สึกทุกข์ร้อนได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ในตอนนี้ถามสิ่งใดก็ตอบได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อเวลาไปเจอเรื่องราวจริงๆ แล้วกลับลืมหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  คำตอบนี้ได้จากใจของตัวเอง คิดค้นออกมาจากใจของตัวท่านเอง แสดงว่าถ้าหากท่านมีสติในยามที่ปัญหาเกิดขึ้น ท่านจะสามารถฝ่าได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนอาจจะคิดว่าชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ไม่มีค่าเลย ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เราไม่อยากจะมีชีวิตอย่างนี้  แต่ทุกๆ คนต่างมีคำว่า “ชีวิต” ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นความที่เรานั้นมีชีวิตจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญจนท่านนั้นคาดไม่ถึง ตราบเมื่อวันใดท่านไม่มีชีวิตแล้วท่านจึงจะรู้ว่าการมีชีวิตนั้นสำคัญเช่นไร  ชีวิตแห่งท่านเป็นชีวิตแห่งมนุษย์ คำว่า “ปุถุชน” นั้นแปลว่า คนธรรมดาสามัญ เพราะฉะนั้นทุกๆ คนก็ได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน  ทุกๆ คนนั้นมีเป็นความธรรมดาสามัญ แล้วคำว่า “ธรรมดา”  นี้ข้างหน้าเป็นคำว่า “ธรรม”  อันหมายความว่าท่านนั้นเป็นคนที่มีธรรมนั่นเอง ความเป็นธรรมดาสามัญแห่งมนุษย์นั้น ถ้าหากว่าท่านอยากจะได้ความฟุ้งเฟ้อ ความใหญ่โต ความยิ่งใหญ่ ท่านจะไม่มีเวลาเหลือที่จะบำเพ็ญธรรม ทำความดี ไม่เหลือเวลาที่จะเหลียวไปมองผู้อื่น ไม่เหลือเวลาที่จะใช้เวลาของท่านให้เป็นประโยชน์  ฉะนั้นทุกวันนี้ความที่เรานั้นเป็นคนที่ไร้ค่า เมื่อเรารู้ว่าไร้ค่าจงอย่าปล่อยให้ไร้ค่า เมื่อรู้ว่าไร้ค่าจงสร้างคุณค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่าชีวิตของเรานั้นลุ่มๆ ดอนๆ ก็ขอให้เรานั้นอยู่กับความลุ่มๆ ดอนๆ นี้อย่างมีความสุข ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะฉะนั้นในกลอนวรรคแรกที่เราให้มีคำบอกว่า “มีกายคนสำหรับทำความดี”  กายของมนุษย์อันนี้เป็นกายที่มีค่า แม้ว่าตอนนี้จะอายุมากแล้ว เนื้อหนังมังสาจะเหี่ยวย่น แม้ว่าจะเกิดมาไม่งดงาม แม้ว่าผมของเรานั้นจะกลายเป็นสีขาว แม้ว่าขาของเรานั้นจะเดินไม่ไหว แม้ว่าแขนของเรานั้นจะไม่ถนัดในการใช้งาน แต่ว่าถ้าหากไม่มีร่างกายอันนี้ ท่านจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้หรือไม่ (ทุกข์)  ถ้าหากไม่มีขาที่เจ็บข้างนี้ ถ้าหากไม่มีมือที่เจ็บข้างนี้ ท่านจะทรมานยิ่งกว่านี้หรือไม่ (ทรมาน)  ปากที่เราเคยบอกว่ากินข้าวไม่อร่อยเลย ถ้าหากว่าไม่มีปากจะทรมานกว่านี้หรือไม่ (ทรมาน)  เพราะฉะนั้นเราอยู่กับความทุกข์ทรมานนี้อย่างมีความสุข ถามว่าท่านจะสุขไหม (สุข)  เราก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เพราะว่ามนุษย์นั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้จักพอใจในตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่รู้จักพอใจในตนเอง เราจึงไม่รู้จักที่จะช่วยผู้อื่น จึงเป็นสาเหตุของคำว่า ทำไมท่านถึงเป็นคนที่ไม่มีบุญกุศลเอาเสียเลย  ในยามนี้จึงมาเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นหันหน้ามามองตนเอง แล้วอย่าลืมหันไปมองผู้อื่น เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมด้วยความรู้สึกเต็มใจที่จะบำเพ็ญหรือไม่ (ดี)
ผู้มีสติคิดว่าแอปเปิ้ลลูกนี้เอาไปทำอะไร  (ทาน, ถ้าเจอคนที่ด้อยกว่าเราก็ให้เขา)  ปรบมือให้หน่อย ถือว่ามีความก้าวหน้าในด้านความคิดอ่านขึ้น เพราะว่าคนทั่วไปเห็นของกินแล้วนึกถึงอะไร  โดยทั่วไปเวลาเห็นของกินเราก็บอกว่ากินใช่หรือไม่ ตอบให้เพราะหน่อยก็คือทาน แต่ถ้าหากเราคิดว่าของที่เราทานได้ผู้อื่นก็ทานได้ แล้วเราส่งให้ผู้อื่นนับว่าเป็นอะไร นับว่าเป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง น่าพอใจมาก
เมื่อสักครู่ถามไว้ว่า เมื่อท่านได้รับธรรมะแล้ว ท่านมองธรรมะเป็นอะไร  ถ้าหากว่าผู้ใดที่ตอบคำถามนี้ได้ รับรองได้ว่าอนาคตการบำเพ็ญไม่ต้องเป็นห่วง (คนเรามีสติแล้วทำตนให้อยู่ในศีลในธรรม ศีลสมาธิปัญญาจะเกิด  การดำรงชีวิตก็จะอยู่ในภาวะที่สงบ  แนวทางที่จะทำให้จิตพุทธะไปสู่อนุตตรธรรม) ถูกหรือไม่  ทุกๆ สิ่งที่เราเคยพูดไป  ทุกๆ สิ่งที่เรานั้นลั่นวาจาออกไปแล้ว ทุกๆ สิ่งที่เราคิดต้องทำให้ได้  มีผู้บำเพ็ญหลายๆ คนที่บำเพ็ญเพียงแต่ให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้ปฏิบัติ  สิ่งที่เป็นคำตอบของสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าก็คือ การพูดได้และต้องทำได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำๆ นี้ได้ยินมานานหรือยัง  นานแล้วแต่ไม่มีใครเน้นหนัก ไม่มีใครให้ความสำคัญ จึงต้องมาให้ความสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ เพื่อให้ท่านได้รู้ว่าการที่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งง่ายดาย  การที่ท่านมีปากไว้พูดก็ไม่ใช่พูดได้ทุกอย่าง  การที่ท่านมีหูไว้ฟังก็ไม่ใช่ฟังได้ทุกอย่าง  การที่มีตาไว้ดูก็ไม่ใช่ว่าดูได้ทุกอย่าง  ฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ไม่น่าห่วงในสายตาของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต้องเป็นคนที่พูดได้แล้วก็ทำได้  คนที่ทำได้ย่อมเป็นผู้ที่ลงแรงจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่พูดว่าทำอย่างเดียว แต่ต้องบอกว่าทำได้  เมื่อทำได้ถามว่าเป็นคนที่น่าห่วงไหม (ไม่น่าห่วง)  ฉะนั้นขอให้ท่านลงแรงให้ได้ตามนี้ ทำได้หรือไม่  สิ่งใดที่เราพูดออกไปต้องทำได้  สิ่งใดที่เรารู้นั้นต้องรู้ให้จริง
กลอนนำบอกว่า “ส่งความดีออกไปให้กว้างไกล”  แสดงว่าเรามีความดีมากมายที่จะส่งออกไป  ถ้าหากว่าท่านส่งออกไปแล้วตัวท่านไม่เหลือความดีเลยจะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ไม่ได้หรือ อาจจะฟังแล้วเหมือนกับการบอกว่าการทำบุญนั้นทำบุญออกไปถ้าหากว่าไม่เหลือเลย จะกลายเป็นการทำบาปใช่หรือเปล่า  เวลาทำบุญไปถ้าทำจนตัวเราไม่เหลือเลยสักบาทเดียว  ทำจนตัวเราแทบต้องไปกู้ยืมเขามา ถือเป็นบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นแนวคิดอย่างเดียวกันแต่ผลตอบออกมาไม่เหมือนกัน  ถ้าหากว่าท่านมีความดีเพียงเล็กน้อย แต่ความดีเพียงนิดน้อยก็ให้ผู้อื่นถือเป็นบาปหรือไม่ (ไม่)  ถือว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ (ถูกต้อง)  ถ้าหากท่านมีความดีแม้น้อยนิดก็ขอให้ส่งไปให้ผู้อื่นได้  เมื่อเราส่งไปให้ผู้อื่นความดีนั้นจะยิ่งใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบประดุจแสงเทียนและกองไฟนั้นเป็นแสงไฟเหมือนกัน  ถ้าหากว่าท่านมัวแต่ยึดติดกับความดีของท่านเอง มัวให้เป็นแสงเทียนไม่ให้เป็นกองไฟ ความดีนั้นก็จะเล็กน้อย  แต่ถ้าหากท่านนำเทียนนี้ไปจุดกองไฟในยามที่ผู้อื่นเหน็บหนาว  ความดีของท่านก็ยิ่งใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความดีแม้มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ขอให้เราส่งออกไปก่อน อย่ามัวหวงความดี อย่ากลัวว่าความดีไม่ใช่เป็นของเราแล้วเราจะไม่เป็นคนดีในสายตาผู้อื่น เพราะคนอื่นจะมองเราดีหรือไม่ดีอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ แต่การที่เราจะมองตัวเราดีหรือไม่ดีนั้นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่หรือลองพิจารณาดู
รู้หรือไม่ว่าที่เราถือนี้เรียกว่าอะไร (แส้)  แส้มีไว้ทำอะไร แส้นั้นมีไว้ปัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัดอะไร (ปัดสิ่งที่ไม่ดี)  ท่านมีสิ่งที่ไม่ดีให้เราปัดหรือเปล่า (ไม่มี)  แต่เมื่อสักครู่เราปัดไปแล้ว ปัดการนั่งโดยไม่สง่างามใช่หรือไม่  การนั่งเป็นนักเรียนสองวันนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ถือเป็นความทรงภูมิอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าท่านนั่งแบบคนไม่มีกระดูกสันหลัง นั่งไปเรื่อยๆ หลับง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นการนั่งที่ถูกต้องควรนั่งอย่างไร (นั่งตัวตรง)  รู้ไหมว่าเวลาเรานั่งเราต้องนั่งตัวตรง (รู้)  รู้แต่ว่าเราปล่อยตัวตามสบายปล่อยใจไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าเราปล่อยตัวตามสบายหรือปล่อยใจไปเรื่อยๆ อย่างนี้นับเป็นผู้บำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่)  แล้วการที่เรานั่งตัวตรงนั้นเรานั่งเฉพาะในสถานธรรมใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เรานั่งทุกๆ ที่ที่เป็นเก้าอี้เราจะต้องนั่งตัวตรง แม้ว่าเก้าอี้นั้นจะมีพนักพิงหรือไม่ก็ตาม  แต่ถ้าหากว่าคนใดรู้แล้วว่าควรที่จะนั่งตัวตรงแต่ยังนั่งไปเรื่อยๆ แสดงว่ารู้แล้วก็ยังอยากเป็นอย่างนั้น คนอย่างนี้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลำบากที่สุด เพราะว่าอะไร (รู้แล้วไม่ปฏิบัติ)  ใช่หรือไม่ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายพูดมนุษย์เป็นฝ่ายปฏิบัติ หากว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดกับท่านตลอดเวลา แต่ท่านไม่ปฏิบัติเลย พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะห้ามได้ไหม จะฝืนได้ไหม (ไม่ได้)  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถที่จะฝืนมนุษย์ได้ เพราะว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ในผู้บำเพ็ญธรรมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ อันเหมือนท่านนั้นเคยไปดูชะตาชีวิตของท่านเองว่าชะตาชีวิตของท่านเป็นอย่างไร  แต่ถ้าถึงเวลาก็จะไม่เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความดีของท่านนั้นหนุนนำให้โชคร้ายกลายเป็นดี  หากว่าเรารู้สึกว่าเรานั้นเป็นคนที่มีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ มาก เป็นคนไร้ค่ามาก เป็นคนที่ชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก เรานั้นจะต้องทำความดีให้ยิ่งมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านไม่ทำความดีมาก ถึงเวลาแล้วจะให้ใครช่วย หลายๆ คนนั้นอยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถูกหรือไม่ บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้เรานั้นรวยก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ หรือขอให้เรามีอยู่มีกินมีใช้ก่อนที่จะคิดบำเพ็ญ ถ้าหากพุทธะนั้นมาช่วยให้ท่านมีอยู่มีกินมีใช้ก็ไม่มีเวลาไปช่วยผู้คนใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาห่วงท่านผู้เป็นห่วงปากท้องตัวเอง ดั่งนี้สมควรเป็นพุทธะไหม ขอให้ท่านนั้นมีชีวิตที่สุขสบายแล้วจึงค่อยบำเพ็ญ คนเช่นนี้ช่วยไปบำเพ็ญก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าโลกนี้นั้นมีความสบายและความลำบากเป็นของคู่กัน เมื่อท่านเจอความลำบากจนถึงที่สุดท่านก็จะเจอความสบาย เมื่อท่านเจอความสบายจนถึงที่สุดท่านก็จะเจอความลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับบันไดเมื่อก้าวขึ้นไปแล้วอย่างไรก็ต้องถึงขั้นสุดท้าย อย่างไรแล้วก็ต้องเปลี่ยนจากดำเป็นขาว  อย่างไรแล้วก็ต้องเปลี่ยนจากขาวเป็นดำถูกหรือเปล่า เปรียบไปแล้วเหมือนกับเวลาที่ท่านนั้นเห็นสีดำมากๆ สีดำแห่งโคลนเวลาที่ใส่น้ำลงไปสีก็เจือจาง เวลาที่เห็นสีขาวบริสุทธิ์ ผ้าผืนนี้เป็นสีขาวเวลาใช้ไปนานๆ ก็กลายจากสีขาวเป็นสีดำถูกหรือเปล่า (ถูก)  ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ระหว่างสีขาวกับสีดำ เลี่ยงไม่ได้ระหว่างความผิดกับความถูกในโลกมนุษย์นี้ จึงบอกตั้งแต่ต้นว่าท่านต้องใช้ปัญญาในการแยกแยะ ใช้ธรรมะในการดำรงชีวิตของท่านเอง ไม่พาตัวท่านหลงทาง และท่านนั้นจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่ง หากว่าท่านไม่มีความตั้งใจดี การบำเพ็ญธรรมไม่ตั้งใจจริง ต่อให้พุทธะต่อให้ผู้แนะนำมาฉุดลากดึงไปก็ได้เพียงช่วงเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเองว่าจะตั้งใจจริงหรือเปล่า พุทธะนั้นมีอยู่ในตัวทุกคนขอเพียงท่านนั้นรู้จักฟื้นฟูขึ้นมา ความเป็นพุทธะนั้นก็จะเต็มเอ่อขึ้นมา และท่านนั้นก็จะมีความเป็นพุทธะอย่างเต็มเปี่ยม ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้อยากจะเป็นพุทธะหรือไม่ (อยาก)  อยากเป็นต้องทำอย่างไร (ปฏิบัติ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง ทำนองเพลง : ศักดิ์ศรีในใจ)
ในชาตินี้นั้น ทุกท่านนั้นถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีที่เกิดร่างกายมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง อันว่ามนุษย์นั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือกว่าสัตว์ใดๆ ทั้งปวง  ฉะนั้นคนนั้นประเสริฐ ประเสริฐอยู่ที่ไหน  ประเสริฐอยู่ที่ใจ แล้วใจของท่านที่ท่านมีอยู่ตอนนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นใจที่ประเสริฐหรือไม่ (ใช่)  บางคนคิดว่าตัวเองนั้นมีใจที่ประเสริฐแล้ว บางคนนั้นคิดว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ นี่คือความแตกต่างกันระหว่างการรู้ตื่น แจ้งในจิตของตัวเอง  ถึงแม้ไม่รู้ตื่นถึงขั้นพุทธะ แต่ว่าความรู้ตื่นเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ ความรู้ตื่นเบื้องต้นอันนี้นำพาท่านไปสู่ที่สูงกว่านี้ได้ ทำไมสวรรค์ถึงแบ่งเป็นหลายชั้น เพราะว่าคนนั้นมีความรู้ตื่นในระดับที่แตกต่างกัน  คนนั้นมีการบำเพ็ญที่ต่างกัน ทำไมคนจึงมีคนฉลาดและคนโง่ คนฉลาดกว่าและคนโง่กว่า เพราะว่าความรู้ตื่นในจิตนั้นแตกต่างกัน หากว่าคนที่รู้ว่าตัวเองนั้นยังประเสริฐ ใจยังประเสริฐไม่พอ จึงต้องพัฒนาให้สูงขึ้นเพื่อให้เรานั้นก้าวสูงขึ้นไปกว่านี้ แต่หากว่าคนที่คิดว่าตัวเองนั้นยังไม่ ยังไกล จะต้องทำอย่างไร  ถ้าหากว่าท่านจะรอให้เวลาผ่านไปวันๆ หนึ่ง แล้วท่านก็มัวแต่เทียบกับคนที่ต้อยต่ำกว่าท่าน มีการบำเพ็ญที่ช้ากว่าท่าน ก็ถือว่าท่านนั้นถอยหลังลงคลอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงต้องรู้จักที่จะพัฒนาตัวเอง เมื่อท่านคิดว่าท่านไม่ใช่และท่านยังทำไม่ดีนั้น จึงต้องก้าวให้มากกว่านี้ เหมือนบางคนที่ส่ายหัว คนที่ส่ายหัวนี้ก็จำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น  ส่วนคนที่พยักหน้าบอกว่าเรานั้นใช่แล้ว เรานั้นดีแล้ว  คนๆ นี้สักวันหนึ่งเขาก็จะรู้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานั้นไม่สามารถบังคับผู้อื่นได้ มีแต่บังคับใครได้ (ตัวเราเอง)  มีแต่บังคับตัวเราเองได้ ความสมหวัง ความผิดหวังในชีวิตนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านนั้นอยู่ในภาวะของคนที่ผิดหวังควรจะทำอย่างไร (ทำใจให้สงบแล้วอยู่ในศีลธรรม, ควรทำใจยอมรับแล้วหาวิธีแก้ไข)  หรือว่าท่านไม่เคยผิดหวังเลย  ถ้าหากว่าท่านไม่ตอบเรา ก็จะรู้สึกว่าเรานั้นดุยิ่งขึ้น เพราะเรายิ่งตั้งคำถาม ท่านก็ยิ่งกลัวว่าเราจะชี้ให้ท่านตอบ  เพราะฉะนั้นก็ไม่สู้ว่าท่านจะลุกขึ้นมาตอบเองดีกว่าจริงหรือเปล่า (จริง)  (รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ตนเองนั้นควรปล่อยได้ และแก้ไขในสิ่งที่ตนเองสามารถแก้ไขได้บางอย่าง)  ขอเชิญท่านที่ตอบทั้งสามท่านออกมาข้างนอก ท่านทั้งสามนั้นเป็นผู้มีปัญญา หากว่าใช้ปัญญาในการบำเพ็ญธรรมก็จะดีมาก  ชีวิตคนหลบไม่พ้นเรื่องผิดหวัง เวลาท่านผิดหวังขอให้ใช้คำตอบที่ตนเองตอบมาดีหรือไม่ (ดี)  และเวลาที่ท่านสมหวังล่ะ ความสมหวังรับมือง่าย แต่ทำให้ท่านนั้นวนไม่รู้จักจบใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดกับความผิดหวัง หากท่านสามารถตื่นขึ้นมาจากความผิดหวัง ท่านก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้ตลอดไป แต่ความสมหวังกลับทำให้ท่านวนแล้ววนเล่าไม่รู้จักจบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์มีอยู่คำเดียวคือ คำว่า “หลง”  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเรานั้นยังมัวหลงอยู่ จะให้ผู้ใดเรียกเราตื่นได้ไหม  แม้กระทั่งคนเวลาที่เขาเตือนสติเราว่าเราผิด เรายังไม่ยอมฟังเลย  เพราะฉะนั้นหากเขาเตือนในเวลาที่เราไม่มีสติ ยิ่งไม่มีทางที่จะรู้ตื่นขึ้นมาในเวลานั้นถูกหรือไม่ (ถูก)  มีอย่างเดียวคือ มีการรับมือก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น
ก่อนฝนจะตกท่านต้องเตรียมร่มแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่ฟ้าจะผ่าท่านต้องยืนอยู่ในที่ร่มแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าเห็นฟ้าตั้งเค้ามาดำๆ ท่านก็ยังยืนอยู่กลางแจ้งเช่นนั้น เป็นเรื่องอันตรายหรือไม่ (อันตราย)  ถ้าหากเวลานี้ถ้าเปรียบได้เช่นเดียวกัน  ขออีกสักคนหนึ่งตอบว่า เวลาสมหวังทำอย่างไร เพราะว่าทำอย่างไรนั้น เราไม่ได้พูดข้อจำกัดความผิดหวังและสมหวังว่าอย่างไร (สิ่งที่สมหวังคือความเป็นคนดี รู้สึกว่าภูมิใจและดีใจ)  ความสมหวังนั้นอยู่กับท่านตลอดไปได้หรือไม่ และกว่าที่จะเสียสิ่งนี้ไปท่านทำอย่างไร (เสียใจ)  เมื่อมีความสมหวังมาไม่ควรดีใจ เพราะเมื่อความสมหวังผ่านไปก็ยังมีความสุขเหมือนเดิม
โดยสรุปของคำว่า “ชีวิต”  ก็คือการมีชีวิต หมายถึงการมีโอกาส  หากว่าท่านไม่มีชีวิตตอนนี้ จะพูดเรื่องบำเพ็ญให้ท่านฟังอย่างไร ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญ แล้วการบำเพ็ญนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป เพราะว่าการบำเพ็ญนี้ก็คือการที่ท่านใช้ชีวิตด้วยธรรมะนั่นเอง  หากว่าเราใช้ชีวิตโดยไม่มีธรรมะ ต่อให้เรานั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราก็ไม่มีธรรม  ฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสแล้วจึงต้องรักษาโอกาสไว้ คนบางคนนั้นไม่มีโอกาสแต่ก็รู้จักสร้างโอกาส ดังเช่นในเรื่องเดียวกันนี้เทพผีเทวดาเวลาที่เขานั้นไม่มีร่างกายนี้ เขาก็พยายามที่จะหาโอกาสมาสร้างกุศล เช่นเข้าฝันคน รักษาโรค เป็นต้น  นั่นถือเป็นการสร้างโอกาสของตัวเอง แล้วท่านผู้เป็นมนุษย์ ผู้มีโอกาสอย่างเต็มเปี่ยม ท่านจะทิ้งโอกาสของท่านไปหรือ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อโอกาสยังมาไม่ถึงเราก็ควรที่จะรอโอกาส หลายๆ เรื่องราวที่เราทำขึ้นมา วางแผนทำขึ้นมา ในที่สุดแล้วถ้ายังไม่ถึงโอกาสก็เหมือนกับคนที่รับธรรมะโดยที่เขานั้นวาระบุญยังไม่ถึง เขาก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้เช่นเดียวกัน  ส่วนคนที่รับธรรมะไปแล้วถึงแม้ว่าจะบุญไม่ถึงอย่างไร ก็ให้รู้จักสร้างโอกาสให้ตัวเองดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อคนอื่นรู้สึกว่าธรรมะลำ้ค่า ทำไมท่านคนเดียวถึงคิดว่าธรรมะไม่ลำ้ค่า นั่นเป็นเพราะเราไม่มีบุญ หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักคิดกันแน่ คนบางคนเป็นคนคิดมาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ในเรื่องที่ควรคิดกลับคิดไม่ออก อย่างนี้เรียกว่าคิดมากแต่ไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตอนนี้ธรรมะลงมาโปรดพร้อมกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น  คนที่บำเพ็ญธรรมได้ดีจริงๆ นั้นคือ คนที่บำเพ็ญธรรมได้ท่ามกลางความวุ่นวาย เวลาท่านท้อจึงรู้ว่าท่านบำเพ็ญได้ดีแค่ไหน คนที่ไม่เคยท้อก็ยังไม่รู้หรอกว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ดีแค่ไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่เคยท้อก็ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ไปถึงไหนแล้ว เพราะไม่มีอะไรมาทดสอบและไม่มีอะไรมาเป็นตัวบอก ตัวบอกนี้อาจจะเป็นตัวบอกที่ค่อนข้างจะรุนแรงและเจ็บปวดสำหรับท่าน อันได้แก่อารมณ์ท้อ อารมณ์ล้า อารมณ์ความไม่อยากบำเพ็ญ อารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ความดื้อดึง ดังนี้เป็นสิ่งที่ทำให้การบำเพ็ญนั้นสะดุดชะงักลงได้  แต่วันนี้เมื่อเราได้พูด ได้กล่าว ได้บอก ได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้ท่านนั้นหยุดบำเพ็ญ อย่างน้อยก็ควรจะให้สิ่งที่เรานั้นได้พูดถึงนี้ แม้ไม่สามารถหายไปแต่สามารถเบาบางได้
ชีวิตของคนนั้นเหมือนกับฝัน เหมือนกับแมลง เหมือนกับละคร สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็ชอบที่จะเอามาเทียบให้ท่านฟัง เพราะว่าเห็นภาพได้เด่นชัดที่สุด แต่ว่าท่านนั้นไม่มีจินตนาการที่จะไปคิดถึงมันเลย  ทุกๆ วันก็ยังจะคิดว่าชีวิตของเรานั้นยาวนาน บางคนไม่รู้ใช้ชีวิตอย่างไร เบื่อเหลือเกินวันหนึ่ง กว่าเวลาจะผ่านไปได้วันหนึ่ง ท่านสามารถที่จะหาเรื่องราวแห่งความดีนั้นกระทำได้ตลอดเวลาเพียงแต่ท่านรู้จักย้อนคิด แต่อย่าทำความดีประเภทมือซ้ายเขียน ก ไก่ มือขวาเขียน ข ไข่ เป็นอย่างไรรู้ไหม  มือซ้ายเขียนวงกลม มือขวาจะเขียนสี่เหลี่ยม ทำได้หรือไม่  เมื่อทำเรื่องใดจึงต้องรู้จักทำให้สำเร็จตามโอกาสอันอำนวย และดังที่บอกโอกาสการมีร่างกายเป็นมนุษย์นั้นเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โอกาสการบำเพ็ญธรรมอาจจะมาหาท่านครั้งเดียว หนึ่งคนนั้นสามารถที่จะเกิดร่างกายเป็นมนุษย์ได้กี่ครั้ง และหนึ่งคนนั้นสามารถที่จะเป็นมนุษย์นี้และเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญได้กี่ครั้ง ขอให้ท่านนั้นอย่าได้ทิ้งโอกาสของตัวเองไปดีหรือไม่ (ดี)
จิตใจที่สับสนนั้นขอให้เรารู้จักวางให้เบาบางลง เพราะไม่มีใครนอกจากเราที่จะจัดการสิ่งนี้ได้ ชีวิตคนนั้นไม่ยืนยาว หลังจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไร แต่ละคนแบกกรรมมาเต็มร่างกาย ร่างกายของเราที่มีกรรมนี้มักจะลากให้เราเดินไม่ไหว ขอให้เรานั้นหันหน้าเข้าหาความจริง ยอมรับในสิ่งที่เป็นและท่านก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น 
วันหน้ามีโอกาสขอให้เราได้เจอท่านใหม่ดีหรือไม่ (ดี)  ขอให้ท่านนั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่บำเพ็ญแล้วยังบำเพ็ญได้ดีอีกด้วย ดีหรือไม่ (ดี)  ดังที่บอกทุกๆ คนนั้นมีด้านอ่อนและด้านแข็ง ขอให้รู้จักใช้ผสมผสาน แล้วท่านนั้นจะเจอความสุขจากนิสัยของท่านเอง  โอวาทที่ให้ในวันนี้ไม่มีเวลาอธิบาย ขอให้ทุกท่านนั้นกลับไปทำความเข้าใจด้วย  วันหลังมีโอกาสขอให้เจอกันใหม่

วันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
แอบเดินเข้าบ้านศิษย์เจ้าไป  เหลียวแลคนใกล้บ้างศิษย์น้อย  สว่างธรรมในบ้านของเรา อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย  ทบทวนตน เบาเรื่องผิดใจ  ขอให้มอบน้ำใจก่อน  หากไร้คนเห็นใจ  ก็ยังคิดทำดีต่อ
เพลง : บำเพ็ญทั้งครอบครัว
ทำนองเพลง : เชียนเอยี๋ยนอวั้นอวี่ 
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ยิ้มบ่อยบ่อยใบหน้าจะมีราศี ทำความดีจิตใจนั้นจะอิ่มเอิบ
หมั่นควบคุมความเคยชินไม่กำเริบ หวังศิษย์รักเติบโตไปไร้กิเลส
ใช้ปัญญาในการบำเพ็ญจริง คนจิตนิ่งแจ่มใสในดวงเนตร
แม้อยู่กลางทุกข์ทนไม่เทวษ ศิษย์ประเภทนี้ยังมีน้อยเหลือเกิน
ชีวิตคนแสนสั้นไม่ยาวนาน อย่ามัวหลงเสียงผ่านหูคำสรรเสริญ
อย่ามัวหลงมายาพาเพลิดเพลิน อย่ามัวเดินเล่นริมทางจนสายไป
คนมาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา บำเพ็ญล้าดีกว่าเลิกบำเพ็ญใช่ไหม
อย่าบุญมีแต่กรรมบังอนาถใจ ทางแสนไกลกำหนดทิศใกล้เข้ามา
ยกระดับจิตใจของตนเองขึ้น ยังเมามึนโลกีย์ข้าถวิลหา
เบารักโลภโกรธหลงจนสุญตา ให้ได้ในเวลาชีวิตเดียว
แม้สายลมเย็นฉ่ำไม่ผ่านเข้ามา แต่ขอให้ตั้งใจหนาอย่างแน่นเหนียว
อยู่ร่วมกันสามัคคีอย่าปีนเกลียว รับกรำเคี่ยวผ่านเมื่อไรเป็นพุทธา
ฮา  ฮา  หยุด

  เทวษ การคร่ำครวญ, ความลำบาก
  สุญตา ความว่างเปล่า


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงจับไม้พาย)  การพายเรือธรรมะนั้นต้องพายให้ไกลและต้องมีใจที่สนุกสนานแอบแฝงอยู่ด้วย และในความสนุกสนานนั้นก็อยู่ท่ามกลางมรสุม ท่ามกลางความยากลำบาก
เมื่อสักครู่ร้องเพลงจับไม้พายแล้วสนุกหรือเปล่า (สนุก)  หรือว่าเกรงใจอาจารย์ (เกรงใจ)  เกรงใจนี้เป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง  มนุษย์มีคำว่าเหตุผลหรือข้ออ้างเป็นคำที่ใกล้เคียงกันมาก บางทีเราก็พูดว่าเราเป็นคนมีเหตุผลแต่จริงๆ แล้วเป็นข้ออ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เพราะฉะนั้นคำว่าเหตุผลกับข้ออ้างต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้อง ถูกไหม (ถูก)  เวลาที่เราพูดสิ่งใด หรือเวลาที่เราพูดว่าเรามีเหตุผลให้ลองถามตนเองว่าเป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง อย่างข้ออ้างที่ศิษย์พูดประจำก็คือไม่มีเวลามา
สถานธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเอาเวลาไปทำอะไรบ้าง (ทำงานบ้าน, วิ่งเล่น, เลี้ยงลูกหลาน,ดื่มเหล้า)  ทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมงใช้เวลาไปกับการทำเรื่องแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เหตุผลของศิษย์เวลาที่ไม่อยากมาสถานธรรมนั้นมีมากมาย เวลาที่เราบอกว่าไม่มีเวลาก็ไม่มีใครกล้ามาเซ้าซี้เราถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถามว่าถ้าเราไม่อยากมาสถานธรรม แล้วเราไม่อยากบำเพ็ญธรรม เราไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้ ถามว่าข้อเสียตกอยู่ที่ใคร (ที่เรา)  เพราะฉะนั้นเหตุผลของเราเป็นเหตุผลที่ดีพอไหม เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปต้องปรับปรุงใหม่ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาที่คนชวนเรามาสถานธรรมเราก็ต้องรู้สึกอยากจะมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหตุผลที่บอกว่าไม่มีเวลาว่างต้องไม่มีเวลาว่างจริงๆ อย่างเช่นทำมาหากิน แต่คนที่เขาเรียกเรามาสถานธรรมเขาก็ไม่ได้เรียกให้เรามาตอนกลางวัน เขาให้เรามาตอนเย็นๆ  บางทีก็เรียกให้มาในวันหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในวันเหล่านี้เราทำงานหรือเปล่า (ไม่ได้ทำ)  เวลาเราทำกับข้าวเราทำทั้งวันเลยหรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นเวลามาสถานธรรมยังมีไหม ยี่สิบสี่ชั่วโมงนอนไปกี่ชั่วโมง (๘ชั่วโมง)  ยังเหลืออีกกี่ชั่วโมง (๑๖ชั่วโมง)  หากมาสถานธรรมวันละชั่วโมงได้ไหม ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  เรามีใจมากหน่อยก็มาสถานธรรมวันละ ๒ ชั่วโมงได้ไหม (ได้)  แต่ถ้าหากว่าเรามาแล้วเกิดมีธุระไม่ว่างขึ้นมามีคนมาตาม ถามว่าถ้าหากว่าเราจะกลับบ้านคนในสถานธรรมดึงเราหรือเปล่า (ไม่ดึง)  เขาเอาอะไรมาผูกเราไว้หรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมมีอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมอยากมาหรือไม่อยากมาก็เป็นอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่ก็เป็นอิสระ  เพราะฉะนั้นขอให้เราตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรมะเองดีหรือไม่ (ดี)  หากว่าเราไม่อยากบำเพ็ญแล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ผลก็ตกอยู่ที่ตัวเราเอง แบบคำตอบที่ศิษย์ชอบว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นเราจะไม่รู้ว่าอะไรตกมาที่ตัวเราเลย  เรารู้ว่ามีอะไรตกมาที่ตัวเรา แต่เราไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ใช่หรือไม่  สิ่งที่ตกมาที่ตัวเราคือการที่เรานั้นต้องเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้เกิดมาต้องตายหรือไม่ (ต้องตาย)  เมื่อตายแล้วต้องเกิดไหม (เกิด)  เกิดเป็นอะไร (ทำอย่างไรก็ไปเกิดเป็นอย่างนั้น)  ถ้าหากว่าเราอยากจะรู้ว่าเราเกิดเป็นอะไร ตอนนี้ก็ต้องรีบมองตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีมากๆ ก็เกิดเป็นเทวดา เทวดาเกิดบนสวรรค์ ๕๐๐ ปีลงมาใหม่ เทวดายังต้องลงมาเกิด  ทำชั่วมากๆ ไปไหน (ลงนรก)  ไปนรกรับความทรมาน ชดใช้กรรมเสร็จต้องกลับมาเกิดอีก  แล้วเราเกิดอยู่ในโลกมนุษย์นี้ถามว่าเราก็เกิดๆ ตายๆ อยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดๆ ตายๆ นี้คืออะไร  คือจิตใจของเราเอง บางทีใจของเราก็เกิดความอยากได้ เคยเกิดไหม พอได้มาแล้วความอยากได้นี้ก็ดับใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าจิตใจของเราก็เกิดแล้วตายหรือเปล่า เวลาเกิดมา เวลาความโลภความอยากทั้งหลายเกิดมามีความทุกข์ไหม (มี)  ทุกข์เพราะว่าเราไม่ได้ ถูกหรือเปล่า  เวลาที่ความอยากหายไปรู้สึกเป็นอย่างไร  (หมดทุกข์แล้วก็โล่งใจ)  รู้สึกหมดทุกข์ แล้วสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือกายกับใจของเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) ที่ๆ เรามองเห็นได้คือร่างกายของเราถูกหรือไม่ (ถูก)  สิ่งที่มองไม่เห็นก็คือจิตใจของเราถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นจึงบอกว่าเรานั้นเกิดมามีร่างกายและจิตใจของเราเอง เวลาเรานั้นเกิดความอยากได้ในใจ  ใจนี้เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ เราก็รู้สึกทรมานมากพอ แต่หากว่าคราวนี้ไม่รู้จักบำเพ็ญธรรม ผลร้ายของการไม่บำเพ็ญธรรมคือต้องเกิดๆ ตายๆ ด้วยการมีร่างกายที่ไร้สติ ด้วยการคุมสติไม่ได้ ด้วยการควบคุมทิศทางและแนวทางของเราไม่ได้  ผลเสียอันนี้เป็นผลเสียที่มหาศาลไหม (มหาศาล)  เป็นการเสียผลประโยชน์ของตัวเองที่มหาศาลที่สุด  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นมีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรมนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่เราน่าจะรักษาโอกาสอันนี้ไว้ให้มากที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าหากว่าเราไม่รักษาโอกาส ก็อาจจะเหมือนนักเรียนผู้ชายคนหนึ่งที่ตอบว่าเรานั้นโง่ เพราะว่าเรานั้นจะต้องเกิดๆ ตายๆ ด้วยการมีร่างกาย  ชาตินี้เกิดเป็นคน ชาติหน้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่แน่  ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่แน่ ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็ไม่แน่ ชาตินี้เกิดมาเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นยุงให้คนเขาตบเล่นก็ไม่แน่ เคยตบยุงไหม (เคย)  ชีวิตของยุงไร้ค่าหรือเปล่า (ไร้ค่า)  ชีวิตของเขาไม่ไร้ค่า แต่เรามองไร้ค่าถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าหากว่าเราทำตัวให้ไร้ค่าก็เหมือนกับยุงตัวหนึ่งถูกไหม (ถูก)  ถ้าทำตัวของเราให้มีค่าก็เหมือนกับอะไร ถ้าหากว่าทำชีวิตของเราให้มีค่าก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งถูกหรือไม่ (ถูก)  แม้ว่าเราจะมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ไม่แน่ว่าคุณธรรมความสามารถของเรานั้นถึงมนุษย์หรือยัง อาจจะมีไม่ถึงก็ได้ เพราะว่าตลอดมาเราไม่เคยรักษาคุณธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีความสามารถไม่ถึงมนุษย์  การมีความสามารถไม่ถึงมนุษย์เป็นเช่นไร บางคนเกิดมาไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ คนๆ นี้เป็นมนุษย์ไหม (ไม่เป็น)  ทำไมถึงเรียกเขาว่าไม่ใช่มนุษย์ล่ะ ทั้งๆ ที่ร่างกายเขาก็เป็นมนุษย์ (จิตใจไม่ใช่มนุษย์)  อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นเป็นมนุษย์ทั้งกายและใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่ง)  นั่งแล้วสบายไหม สบายจริงๆ ยืนเดี๋ยวเดียวก็เมื่อยแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ยังสาวๆ อยู่ก็บอกว่าไม่เมื่อย ลองไปถามคนแก่ๆ สิเมื่อยไม่เมื่อย  เพราะฉะนั้นดูๆ ไว้เราคนข้างหน้าที่ยังผมสีดำอยู่ วันหลังก็มีผมสีขาวเหมือนเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีพ้นไม่พ้น (ไม่พ้น)  ไม่พ้น เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะแก่เราต้องทำอะไรด้วย คนบางคนเป็นคนแก่เฒ่า แม้แต่คนที่ไม่ใช่ลูกหลานก็ยังเคารพนับถือใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเหล่านี้ทำอะไร เขารู้จักช่วยเหลือผู้อื่นในตอนที่เขามีกำลังใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้เรามีกำลังแล้วเราช่วยคนอื่นไหม ช่วยครึ่งหนึ่งหรือช่วยเต็มๆ ช่วยหนึ่งส่วนสี่ได้หรือยัง  ถ้าหากว่าเราช่วยคนอื่นไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เราก็ไม่ควรจะได้รับผลอย่างที่คนอื่นเขาได้รับ  ถ้าหากว่าเราช่วยคนอื่นเต็มๆ วันหลังเราก็รับผลเต็มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เก้าอี้นั่งมาสองวันไม่รู้เลยว่าเก้าอี้นั้นนั่งสบายแค่ไหน มีแต่นั่งแล้วร้อน นั่งแล้วเหนื่อย นั่งแล้วอยากจะลุกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าพอยืนสักครู่เดียว พอได้นั่งแล้วรู้สึกสบายขึ้นเป็นกองถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิตของเราเช่นเสื้อผ้าตัวนี้ที่เราใส่อยู่ เราอาจจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าของเราตัวนี้เก่าจริงๆ แต่หากวันไหนไม่มีเสื้อผ้าตัวเก่าๆ นี้มาให้ใส่ แล้วเผอิญตัวใหม่ก็ไม่อยู่จะเป็นอย่างไร (ไม่มีเสื้อผ้าใส่)  ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ออกจากบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกับว่าร่างกายของเรานี้เป็นร่างกายเก่าๆ ใช้มาตั้งนานแล้วเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ แต่หากว่าถ้าไม่มีเสื้อเก่าตัวนี้ ไม่มีร่างกายเก่าๆ อันนี้ เราจะทำอย่างไร  ออกจากบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  ออกจากบ้านนี้คิดให้ดีแล้วกันนะ  ร่างกายอันนี้แม้จะเป็นร่างกายที่ใช้มาแล้วนับสิบปี เจ็บป่วย แต่ว่าย่อมเป็นร่างกายที่เรานั้นใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ย่อมเป็นร่างกายที่มีประโยชน์ต่อเรา แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นประโยชน์นั้น หากวันไหนไม่มีร่างกายอันนี้ แม้คิดจะหยิบแก้วน้ำทำได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นแม้วันนี้ร่างกายของเราจะดีหรือไม่ดีก็จำเป็นที่จะต้องพอใจและใช้อย่างมีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แอบเดินเข้าบ้านศิษย์เจ้าไป  เหลียวแลคนใกล้บ้างศิษย์น้อย  สว่างธรรมในบ้านของเรา อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย  ทบทวนตนเบาเรื่องผิดใจ  ขอให้มอบน้ำใจก่อน  หากไร้คนเห็นใจ  ก็ยังคิดทำดีต่อ”  อาจจะมีคนคิดว่าตอนนี้อาจารย์กำลังว่าใคร  อาจารย์ไม่ว่าใครทั้งนั้น แต่อาจารย์บอกคนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนมีชีวิต คนทุกคนเกิดมาจากท้องแม่ คนทุกคนมีบ้านและคนทุกคนนั้นต้องรู้จักรักบ้านตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนในบ้านของเรามีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีญาติใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนต้องทำอย่างไรกับคนในบ้านของตัวเอง กับพ่อแม่ก็ต้องรู้จักที่จะกตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  กับพี่น้องต้องรู้จักที่จะปรองดองใช่หรือเปล่า (ใช่)  กับญาติพี่น้องของพ่อแม่นั้นก็ต้องเคารพอย่างที่พ่อแม่ของเรานั้นเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีนั้นเราเห็นคนนอกบ้านดีกว่าคนในบ้านเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้ที่จริงนั้นคนทุกคนมีข้อดีและข้อเสีย  คนที่เราเห็นว่าดีก็อาจจะไม่ดีก็ได้  แต่คนในบ้านเราถึงแม้ว่าไม่ดี เราก็เห็นว่าเขาไม่ดีไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเห็นคนในบ้านเราไม่ดีเรารู้สึกอย่างไรบ้าง (เสียใจ)  เวลาเราได้ยินคนอื่นนินทาคนๆ หนึ่งให้ฟัง ว่าคนๆ นี้ไม่ดีอย่างไร  ทุกๆ ครั้งที่เรามองหน้าเขาเราก็จะจำความไม่ดีของเขาได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และแทบไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้แต่มองก็ยังไม่รู้สึกว่าอยากจะมอง แต่ว่าคนในบ้านของเรา เราต้องมองทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเราเห็นว่าคนในบ้านเราไม่ดี แล้วเราจะอยู่ในบ้านได้อย่างไร แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร  ชีวิตของคนนั้นจะมีความสุขหรือไม่มีความสุขนั้นมาจากในบ้านของตนเอง ถ้าหากว่าเรานั้นรู้จักทำตนเองให้มีความสุข และเรารู้จักมอบความสุขให้กับคนอื่น และมอบความสุขให้กับคนในบ้านของเรา  ต่อพ่อแม่เราก็ต้องกตัญญู ต่อพี่น้องต้องปรองดอง ต่อญาติพี่น้องต้องเคารพ อย่างนี้แล้วจะมีความสุขน้อยได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราออกไปนอกบ้านจะไม่มีความสุข แต่กลับเข้ามาในบ้านก็คงจะมีความสุข อย่างน้อยในชีวิตคนในวัฏสงสารนี้ ก็ยังมีที่ให้ศิษย์แอบที่จะมีความสุขคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นทำตัวอย่างไร หากว่าพี่ให้เรานั้นไปหยิบน้ำแก้วหนึ่ง หากเราไม่อยากจะหยิบ จะมีความสุขกับพี่ได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่กับพี่ก็คงจะไม่มีความสุข หากว่าพ่อแม่ร้อนแล้วเราไม่รู้จักเปิดพัดลมให้ ถือว่าเรานั้นเป็นคนที่กตัญญูไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าไม่สนใจ หากว่าญาติเราไม่มีข้าวกิน และเราก็ไม่สนใจ ญาติของเรานั้นจะชอบเราไหม (ไม่ชอบ)  หากทางบ้านนั้นไม่มีเงินใช้ยังจะบอกว่าเรามีความสุขได้ แต่หากว่าคนทั้งบ้านไม่มีน้ำใจ มีความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่า “น้ำใจ”  นั้น ไม่ใช่มอบให้เฉพาะคนนอกบ้าน แต่ต้องให้คนทุกคน อยากมีบ้านที่มีความสุขไหม (อยาก)  อยากมีบ้านที่มีความสุข ก็จงทำตัวเราให้มีความสุข และเป็นคนที่มีน้ำใจให้มากๆ
อาจารย์เชื่อแน่ว่า หากว่าเรานั้นเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ร้ายเป็นสิ่งที่ดีได้ คนในบ้านของเราก็คงจะยินดีด้วย และเขาก็คงจะตามเรามาบำเพ็ญ นี่เป็นวิธีการพูดธรรมะอย่างหนึ่งที่ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ปาก บางทีเราพูดตั้งมากมายแต่เขาฟังไม่เข้าหู ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราทำตั้งมากมายเขาไม่ดูก็ไม่ได้ นี่เป็นวิธีการพูดธรรมะโดยไม่ต้องพูดใดๆ ทั้งสิ้น
เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (ใจ)  ใจของเราเป็นอย่างไร (ศรัทธา)  เอาศรัทธาต้อนรับอาจารย์ ศรัทธาแค่พักเดียวหรือว่าศรัทธาตลอดไป  มีคนที่เอาใจต้อนรับอาจารย์ อาจารย์ก็อยากจะรู้ว่าใจของเรานั้นเป็นอย่างไร ใจของคนที่มีความบริสุทธิ์ ความศรัทธา เอามาต้อนรับอาจารย์ อาจารย์ก็ชื่นใจ  แต่หากจะให้ชื่นใจยิ่งกว่า ไม่ใช่มีศรัทธาแค่สองวัน ศรัทธานี้ต้องสามารถฝ่าอุปสรรคได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศรัทธาที่ไม่สามารถฝ่าอุปสรรคได้ เมื่อเวลาที่มีคนกล่าวว่าให้ร้ายก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนยงได้
การบำเพ็ญธรรมะนั้นใช้วิจารณญาณของตัวเอง มองคนข้างหน้าเป็นแบบอย่าง  แต่วิจารณญาณต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง เพราะบางทีคนข้างหน้าก็อาจจะทำถูกต้อง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะทำไม่ถูกต้อง เราก็ว่าเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่  ต่างคนต่างมีวิธีการบำเพ็ญของตัวเอง ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญดีเราก็ไปได้สูง แต่ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญแล้วว่าคนข้างหน้าด้วย แทนที่จะข้ามไปฟากดีก็จะตกต่ำไปเลย  เพราะอย่างน้อยก็ผิด ผิดต่อการที่อาวุโสนั้นมีพระคุณต่อเรา เพราะฉะนั้นต่อให้ใครดีไม่ดีอย่างไร เก็บปากเก็บใจของเราไว้แล้วเราก็จะได้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น ดีหรือไม่
การบำเพ็ญธรรมต้องปรับตามสภาพ มีหลักการยึดติดหลักการมากเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็คือ ทางสายกลาง
“อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย”  เด็กๆ ตอนที่ออกไปจากบ้าน พ่อแม่คอยอยู่ที่บ้าน คนที่เป็นพ่อแม่ก็หลงคอยลูกเหมือนกัน ใช่หรือไม่  แล้วทุกคนก็เคยเป็นเด็กมาและก็เคยหนีเที่ยวด้วย ใช่หรือไม่  ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกที เพราะว่าครั้งนี้เขาหลงคอยอะไรของเรา หลงคอยเราจะถามเขาว่า กินข้าวหรือยัง, เมื่อวานหลับดีหรือเปล่า, กินอิ่มไหม, ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง, สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีไหม  พ่อแม่อยากได้ยินคำเหล่านี้จากลูกทั้งนั้น ใช่หรือไม่  ส่วนคนเป็นลูกชอบถามไหม (ไม่ชอบ)  ไม่ชอบถามเลย เพราะฉะนั้นการแสดงความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ คืออะไร คือการเปิดปากออกถาม ใช่หรือไม่  บางทีพวกเขาก็สบายดี แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรใช่หรือไม่ คนนั้นดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นคนในบ้านเราก็เช่นเดียวกัน เขามองหน้าเราเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไรก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นตัวอย่างคนในบ้านเดียวกันเข้าใจผิดคนในบ้านเดียวกันก็ถมเถ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดเรา ขอให้เรานั้นพยายามใช้การสื่อสารให้เป็น มีภาษาไว้ให้พูดก็ต้องรู้จักใช้ มีตัวหนังสือไว้ให้เขียนก็ต้องรู้จักเขียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขียนหนังสือไม่เป็นก็ต้องรู้จักพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะบอกว่าพูดมากไม่ไหวแล้ว ไม่อยากพูดได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากให้ครอบครัวมีความสุข เราเองก็อยากมีความสุขก็จงรู้จักที่จะไต่ถาม จงใช้จิตใจของเรานั้นออกมาถาม ไม่ใช่ถามแต่ปาก ใจไม่ถามไม่ได้ กลับไปคราวนี้ที่บ้านคงมีความสุขขึ้นเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ถ้าหากว่าใครร้องไม่เป็นก็ขอให้ซึมซับเนื้อหาเข้าไป เพื่อหลังจากวันนี้เรากลับบ้าน เราจะได้ใช้การกระทำทั้งหมดแทนการอธิบายคำพูด เพราะว่าคำพูดที่เราพูดไปมากมาย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับธรรมะข้อไหน คนทางบ้านอาจจะฟังไม่เข้าใจ เราก็ใช้การกระทำของเรา คือการกระทำตัวเป็นคนดีขึ้นให้คนที่บ้านเห็น การที่เราใช้ตัวเรานั้นเป็นการอธิบายธรรมะแทนคำพูด เราจะต้องมีความอดทนมากๆ ไม่ใช่ว่ากลับไปบ้านยกน้ำให้ครั้งเดียว ยกข้าวให้ครั้งเดียวแล้วเราก็ไม่ทำอีกเลย หรือเวลาเราทำให้แล้วมีคนอื่นว่ามา เพราะคนที่เรายกให้นั้นกำลังอารมณ์เสียอยู่ เราก็หมดความอดทนแล้วเราก็เลิกทำ เราจึงต้องรู้จักที่จะทำความดีของเราให้ยาวนาน ให้ใช้ความอดทน ให้มีศรัทธาต่อความดี ไม่ใช่บอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
“มีโอกาสต้องรักษาด้วยการใช้”  คนเราเมื่อมีโอกาสไม่ใช่เอามารักษาไว้เฉยๆ ไม่เหมือนกับการเก็บแก้วนิลจินดาที่เอามาเช็ดมาถู แต่ต้องรู้จักรักษาและใช้ออกไปจึงเรียกว่าเป็นการรักษาโอกาสอย่างแท้จริง
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่มาวงพระโอวาท)
โชคดี  คนนี้หน้าตาเหมือนคนโชคดีไหม คนจะโชคดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าโดยปกติเราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากโชคดีอย่างคำที่ได้วงก็ต้องทำสิ่งที่ดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคำว่า “โชค” ก็จะวิ่งมาหาเราเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะโชคดี
คนเรานั้นเมื่อบำเพ็ญธรรมะไปสักช่วงหนึ่งใบหน้าราศีจะเปลี่ยนไป คนที่ชอบทำหน้าบึ้งบ่อยๆ ใบหน้านี้ก็กลายเป็นใบหน้าที่บึ้งตึง  คนๆ นี้เหมือนคนที่โชคดีไหม (ไม่เหมือน)  คนที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มคนๆ นี้เหมือนคนที่โชคดีไหม (เหมือน)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็ตัดสินใจได้ ถึงแม้ว่าเราจะอยากบำเพ็ญหรือไม่อยากบำเพ็ญธรรมอย่างน้อยก็ให้ไปฝึกรอยยิ้มไว้เสมอๆ
ได้ ได้เป็นศิษย์อาจารย์ แต่ว่าจะได้เป็นศิษย์อาจารย์ตลอดไปหรือเปล่าขึ้นอยู่กับตัวเราใช่ไหม  อาจารย์ไม่บังคับไม่ฝืนใจ และก็ทำอะไรไปได้ด้วยอยู่ที่เราทำ หากเราทำก็เป็นผลดีกับเรารู้ไหม (ต้องพิจารณาก่อน)  การพิจารณานั้นก็ต้องประกอบด้วยการศึกษาให้เวลา หวังว่าไม่ปิดโอกาสตนเองนะ
ท่านขงจื้อพูดไว้ว่ามีเรื่องน่าเศร้าอยู่สามอย่าง หนึ่งคือคนที่ไม่มีความรู้ สองไม่มีความรู้แล้วยังไม่เรียน สามเมื่อเรียนแล้วยังไม่ตั้งใจที่จะไปลงมือ ในวันนี้อาจารย์ไม่พูดถึงความรู้ในทางโลก ความรู้ในการอ่านออกเขียนได้ แต่เราจะมาพูดถึงความรู้ในการบำเพ็ญธรรม  กล่าวไปแล้วนั่งชั้นสองวันนี้ก็เหมือนการหาความรู้ในทางธรรม ไม่ว่าหาออกมาแล้วความรู้นั้นจะถูกหรือจะผิดก็ต้องพิจารณาดู เมื่อเราได้ความรู้ทางธรรมอันนี้ เราก็ต้องรู้ เมื่อเราไม่รู้ให้เราได้ไปเรียน ตอนนี้ศิษย์ก็ได้เรียนแล้ว เมื่อเรียนและรู้แล้วต้องทำอะไรเป็นอย่างสุดท้ายถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเศร้า จะต้องได้ลงมือทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นฟังเรื่องความกตัญญูก็ต้องกลับไปดำเนิน ฟังเรื่องความเมตตาก็ต้องกลับไปเมตตาผู้อื่น ฟังเรื่องคุณธรรมก็ต้องกลับไปสร้างคุณธรรม ฟังเรื่องความดีก็ต้องกลับไปสร้างความดี นั่นแหละถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการนั่งอยู่ในห้องแคบๆ นี้อีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าในโลกของความรู้นั้นไม่มีที่ใดกว้าง ในโลกของความรู้นั้นไม่มีที่ใดที่ศิษย์นั้นจะหาได้สิ้น มีแต่การปฏิบัติการลงแรงเท่านั้นที่จะทำให้เรานั้นมีความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรานั้นเป็นผู้มีปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราผิดพลาดครั้งหนึ่งเราก็จะรู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหนแล้วเราก็ไม่ไปทำซ้ำอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นจึงเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่และนั่นจึงเป็นการบอกได้ว่าเรานั้นมีความรู้ระดับไหน
ในวันนี้อาจารย์มา ก็เป็นโอกาสที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้ทำความรู้จักกัน  การที่เรานั้นได้มีโอกาสเจอกันถือว่าเป็นคนที่มีบุญร่วมกัน แล้วศิษย์จะบอกว่าตัวเรานั้นเป็นคนมีบุญน้อยคงไม่ใช่ การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการบำเพ็ญใจ ลงแรงที่ใจของเราเอง ใจของศิษย์นั้นแบ่งไปหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญมากคือความคิดของเรานั่นเอง ความคิดของเรานั้นจะต้องเป็นคนที่คิดดีตลอดเวลา  ถ้าหากเมื่อไรที่เรามีความคิดที่ไม่ดี หรือคิดกับคนอื่นไม่ดี  ศิษย์จะต้องรู้จักกำราบจิตใจของตัวเอง ใจของเรานั้นเป็นใจที่ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะควบคุมแล้วถึงจะสามารถควบคุมได้สำเร็จ และเมื่อเราควบคุมใจของเราได้แล้ว จึงเอาใจของเรานี้มาควบคุมกายของเรา เมื่อนั้นเราจะได้ถึงการเป็นพุทธะอย่างง่ายดาย  ทุกๆ วันนี้เป็นเพราะว่าเราควบคุมใจของเราไม่ได้ ใจของเรามีแต่กิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  มีกิเลสอันได้แก่อะไรบ้าง ความรัก โลภ โกรธ หลง  สี่อย่างนี้เป็นสิ่งที่ได้ยินมาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่าตอนนี้สี่อย่างนี้ในใจของศิษย์อย่างใดที่ลดลงแล้ว มีไหม รู้จักมาตั้งนานแล้วแต่ไม่รู้ว่าใครรู้จักใคร ไม่รู้ว่าเขารู้จักเราหรือเรารู้จักเขา  ฉะนั้นสี่อย่างนี้จึงต้องรู้จักกำราบให้เบาบางลง นี่จึงเป็นการที่เรานั้นเข้าสู่การบำเพ็ญธรรมที่แท้จริง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาคนมาเตะเราครั้งหนึ่ง เวลามีคนมาตบเราสักทีหนึ่ง เราโมโหได้ไหม โกรธได้ไหม  เป็นเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เรานั้นไม่โกรธทำได้หรือเปล่า (ได้)  เวลาเห็นเงินกองโตแล้วไม่โลภได้ไหม เวลาเห็นคนอื่นมีเสื้อใส่ดีๆ เราไม่อยากได้ ได้หรือเปล่า เราไม่อยากจะเลียนแบบเขาได้หรือไม่ (ได้)  เวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วเรารู้สึกว่าไม่อยากที่จะหลงเขาได้ไหม  คนถ้าหากว่าลองสังเกตก็จะยิ่งผิด หากไม่สังเกตก็ไม่ผิดสักที
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
พวกเขาเหนื่อยอยู่หน้าเตาเรากินสบาย เราก็ต้องรู้จักขอบคุณ ใช่หรือไม่
“เบารักโลภโกรธหลงจนสุญตา”
ต้องเบาความรัก โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจให้ได้ ในวันนี้อาจารย์มาไม่ค่อยพูดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร  แต่เมื่อพูดน้อยอาจารย์ก็จะสรุปว่าคนบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีรัก โลภ โกรธ หลง เหลืออยู่ได้  ไม่ว่าศิษย์จะตัดด้วยวิธีการไหน เมื่อไร ไม่ว่าจะตัดอย่างไรก็ตาม จะต้องตัดให้หมดให้ได้ภายในชีวิตนี้  ถ้าหากว่าอยากจะเป็นเซียนและขึ้นไปยังมีความรักอยู่ หากไปรักคนโน้นคนนี้อย่างนี้ก็ไม่ได้ หรืออยากจะโลภในมรรคผลของคนอื่นก็ไม่ได้ หรือจะโกรธผู้บำเพ็ญคนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ หรืออยากจะหลงใครๆ ก็ไม่ได้  ฉะนั้นหากว่าคนที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ ตอนนี้บอกว่าตัดยาก รออีกหน่อยไม่มีกายเนื้อนี้ยิ่งตัดยาก  เพราะว่าตลอดมาไม่เคยฝึกฝน เมื่อไม่มีกายเนื้อนี้จะเอาอะไรมาฝึกฝน ฉะนั้นไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเท่าไรก็ต้องตัดให้มาก เหมือนกับที่อาจารย์เคยบอกว่าคนที่ซื่อๆ ใสๆ บำเพ็ญง่าย แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นซื่อๆ ใสๆ หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "รักษาโอกาส")
เมื่อวานนี้ท่านหนึ่งในแปดเซียนมาก็บอกศิษย์ว่าให้ศิษย์นั้นรักษาโอกาส โอกาสที่ดีที่สุดก็คือโอกาสที่มีร่างกายเป็นมนุษย์นี้ ดูซิว่าคนที่มีโอกาสอย่างศิษย์มีร่างกายเป็นกายเนื้ออย่างศิษย์นั้นจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ มีกายเป็นคนจึงถือว่าเป็นโอกาส และรักษาด้วยการใช้โอกาสของตนเองนี้ให้มากๆ ใช้โอกาสที่เรานั้นไปทำความดี ใช้โอกาสที่เรานั้นจะไม่นั่งอยู่บ้านเฉยๆ  วันๆ ไม่ใช่เอาแต่นอนดูทีวี ไม่ใช่เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วไม่อยากจะช่วย หรือเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา  อย่างนั้นไม่ใช่วิสัยอย่างพุทธะที่ทำกัน
อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น หลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะกลับมาสถานธรรมบ่อยๆ แม้ว่าจะมาลำบาก มายากก็ขอให้เรานั้นพยายามที่จะมา  และศิษย์จะรู้ว่าการศึกษาธรรมะนั้นทำให้เราเข้าใจ การบำเพ็ญของเราจะราบรื่นได้อย่างไรถ้าเราขี้เกียจศึกษาไม่ชอบฟังหรือเอาตัวมาฟังแต่ใจไม่ยอมฟัง อย่างนี้เวลาไม่เข้าใจก็ย่อมจะทำสิ่งใดไม่ได้
เมื่อเราพูดถึงการบำเพ็ญธรรมทั้งครอบครัวแล้ว เมื่อเราทำดีกับครอบครัวเราได้สำเร็จ ไม่ว่าเราจะอยู่กับใครที่ไหนทุกคนก็คงจะรักเรา ถึงตอนนั้นอย่าได้มีความเห็นแก่ตัวหรือดีเฉพาะกับคนที่เรารู้จัก ดีเฉพาะกับคนที่เป็นญาติของเรา หรือดีเฉพาะกับคนที่เราชอบพอ  ถ้าทำอย่างนั้นเราก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัว กลับกลายเป็นปล่อยการยึดทางนี้แต่ไปจับการยึดทางโน้น ไม่พ้นคำว่า “ยึด” ก็ไม่พ้นแดนโลกีย์นี้ ไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดนี้
ในวันนี้อาจารย์มาได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกแล้วว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนมีบุญแค่ไหน บุญไม่ได้ดูจากหน้าตา บุญไม่ได้ตัดสินถึงอดีตชาติที่เคยสร้าง  แต่บุญที่มีในเวลานี้คือบุญที่เจ้าสร้างในเวลานี้ บุญที่แสดงออกมาในการตั้งใจฟังนี้ถึงจะเป็นบุญในอนาคต ถึงจะเป็นบุญที่จะบอกว่าเราจะสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่  เพียงแต่เราตั้งใจฟังอย่างนี้จนจบกลับออกไปวันหลังก็ยังจะกลับเข้ามาฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะ บำเพ็ญธรรมอย่าได้ท้อถอย อย่าได้กลัวความยากลำบาก เหมือนกับตอนแรกที่อาจารย์มาเห็น  อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสนุกสนาน แต่ไม่รู้เลยว่าในความสนุกสนานนั้น ข้อความที่อยู่ในเพลงนั้นก็คือความทุกข์ทั้งนั้น เพียงแต่เราอย่าเอาจิตใจไปยึดกับความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์เราไม่รู้สึกถึงความทุกข์ ก็เหมือนกับการที่เรานั้นมีสภาพร่างกายที่เจ็บป่วย แต่จิตใจของเรานั้นไม่เจ็บป่วยเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นจิตใจไม่เจ็บป่วย ยังอยากให้จิตใจของศิษย์นั้นเป็นจิตใจที่สะอาดสะอ้าน เป็นจิตใจที่กว้างและเป็นจิตใจที่เตรียมพร้อมจะสู่ความเป็นพุทธะในวันข้างหน้า  ใจของเจ้านั้นสอนเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรอาจารย์นั้นก็แอบบอกเจ้าตลอดเวลา นิพพานนั้นไม่ใช่ไปยาก อย่าบอกว่าทำไม่ได้ อย่าบอกว่าเราไปไม่ถึง  ให้เรานั้นได้ลองได้รู้ ถ้าหากว่าเรามีความพยายามสักวันต้องสำเร็จ
อาจารย์กลับไปแล้วศิษย์จะคิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  อาจารย์อยากมองหน้าคนที่บอกว่าคิดถึงอาจารย์ให้ชัดๆ คิดถึงอาจารย์ก็ทำในสิ่งที่อาจารย์สอน ทำในสิ่งที่อาจารย์บอก อย่าทำในสิ่งที่ขัดกับที่อาจารย์บอก ชื่ออาจารย์ ชื่อ “จี้กง”  แปลว่าอนุเคราะห์โลก อนุเคราะห์ผู้อื่น  ศิษย์ก็ต้องรู้จักช่วยคนอื่น ช่วยคนอื่นด้วยจิตใจโหดเหี้ยมไม่ได้ เวลาช่วยคนอื่นเราต้องมีความเมตตา
(อาจารย์เมตตาประทานทอฟฟี่ให้คนที่เดินทางมาไกล และประทานสับปะรด ๒ ผลให้กับนักเรียน)
อาจารย์มา ศิษย์ไม่ค่อยอยากจะตอบเลย คนที่ไม่ได้ผลไม้ก็คือคนที่ไม่ได้ผลไม้ อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวอาจารย์ให้เขาปอกไว้ให้ แล้วไปกินด้วย
รักษาจิตใจของเราให้คงเดิมให้คงที่ ให้คงที่ ณ ความดี ให้คงที่ ณ ความเมตตา มีโอกาสมาทั้งทีศึกษาธรรมให้เยอะๆ
อาจารย์นั้นในยามนี้คิดถึงศิษย์บางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คิดถึงศิษย์บางคนที่มีใจท้อแท้ไป ทนอุปสรรคไม่ไหว แล้วก็ขอถามว่าศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่จะเป็นเช่นนั้นไหม (ไม่เป็น)  คำยืนยันที่อาจารย์ได้ และอาจารย์จะเก็บจำไว้เสมอ คือคำตอบจากคนที่เป็นคนเก่าแล้ว  บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะยึดติดรูปลักษณ์ บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะความอยากได้ บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะความลุ่มหลง บางคนมาบำเพ็ญธรรมะไม่เคยคิดอยากตัดกิเลสเลยสักข้อเดียว บางคนมาบำเพ็ญธรรมะ ไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร นี่คือสภาพของคนบำเพ็ญที่น่าสงสารที่สุด  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นทำไมถึงทำไม่ได้ อาจารย์ก็ยังคิดอยู่  กรรมดึงไว้หรือว่าใจตัวเองดึงไว้กันแน่  รับผิดชอบตัวเราให้ดี ดูแลสุขภาพตัวเราให้ดี  ทุกๆ วันขอให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ลาก่อนนะ วันหลังเจอกันอีก ขอให้มีแต่ความดีมาโอบล้อมศิษย์ของข้า ลาก่อน



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “รักษาโอกาส”

มีโอกาสต้องรักษาด้วยการใช้ รังสรรค์ให้สมกับที่โชคดีนี้
คุณวิเศษสร้างกลางความไม่มี แต่โอกาสมีอุปสรรคคือเวลา
สิ่งใดทำได้จงให้รีบทำ ปล่อยโอกาสไร้คำไร้น้ำตา
บางโอกาสเกิดมาด้วยปัญญา ในเมื่อใครไม่ได้มาจงสร้างเอง 

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา