西元二00四年 歲次甲申十月廿三日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อย่าห่วงแต่ในเรื่องความเป็นอยู่ แต่ให้กู้คุณธรรมให้มากขึ้น
การเห็นแก่ผลประโยชน์จิตเมามึน ยกใจขึ้นด้วยความเด็ดเดี่ยวจากภายใน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
อันบัณฑิตไม่ห่างจากการศึกษา อันปัญญาดั่งมีดยิ่งลับยิ่งคม
สิ่งที่รู้ผิดยังทำต้องระทม ว่ายน้ำจมยังต้องหาฝั่งในใจ
เกิดเป็นคนเด็ดขาดแต่อย่าดื้อดึง คนคนหนึ่งรู้สำนึกผิดถูกไว้
การกระทำอย่าได้เอาแต่ใจ เรื่องแสนง่ายล้วนแล้วมีสิ่งค้ำชู
ดั่งจับเสือมือเปล่าเสี่ยงภัยนัก จงรู้จักตนเองที่เป็นอยู่
อย่าได้ให้คนเตือนซ้ำผิดเป็นครู หลายปีอยู่ไม่แก้จริงยากก้าวไกล
การลุยน้ำจะต้องรู้น้ำตื้นลึก จะต้องฝึกตนเองเป็นหลักใหญ่
หมั่นช่วยคนแต่ตนต้องพึ่งตนได้ จงใช้ตนให้ง่ายง่ายเดินจริงจริง
อย่าได้ให้ความคิดบังปัญญา ต้องรู้ว่าบำเพ็ญจิตเป็นกุศล
ความพยายามเมื่อเพิ่มขึ้นก็ไม่พ้น สำเร็จบนความพยายามที่ตั้งใจ
ในวันนี้เป็นน้องใหม่ใจเปิดกว้าง เป็นหนทางพาหลุดพ้นยังไกลมาก
บางคนทิ้งกลางคันพลันวิบาก พี่ขอฝากบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญใจ
หัดควบคุมชีวิตนี้ให้ตรงทาง เรื่องหลายอย่างไม่สมหวังอย่าไปเศร้า
หลายเรื่องเป็นดั่งใจให้แบ่งเข้า ถอยให้เขาได้ร่วมยืนบนดินเดียว
เกิดเป็นคนการเกิดตายหนีไม่พ้น ขอจงทนเรื่องเฉพาะหน้าแย่งกันเกิด
ปณิธานอันยิ่งใหญ่ใจล้ำเลิศ อย่าละเมิดอันกิเลสพาว่ายวน
สองวันนี้จงตั้งใจฟังธรรมะ จงลดละผลประโยชน์อันหลากหลาย
อย่าทำคนโกรธแค้นเป็นอันตราย เมตตาใจสร้างมิตรเป็นลมปราณ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป น้องทั้งหลายจงตั้งใจให้แม่นมั่น
การปฏิบัติเป็นสรณะอันสำคัญ อย่าไหวหวั่นเรื่องแวดล้อมเฝ้าเปลี่ยนแปร
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านเหอเซียนกูต้าเซียน
ยอมหยุดยั้งความปรารถนาสุขในตน เพื่อค้นหาธรรมแท้บนโลกนี้
เพื่อจะปลุกจิตพุทธาอันเสรี เพื่อหวังที่ยิ่งใหญ่แลกด้วยใจ
เราคือ
เหอเซียนกูต้าเซียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก กราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ผู้ขาดความแน่วแน่ฤดียุ่ง บัณฑิตจะหมายมุ่งเดินสู่สัจจะ
บำเพ็ญเข้าเอาดีทางลดละ จงชนะด้วยอดใจต่อกิเลส
ปลุกสำนึกรู้ทนโลกวนเวียน ทำไมตอนลำบากเพียรโดยมากสำเร็จ
ฉลาดคิดใจกลั่นกรองของวิเศษ จิตแกว่งเข้าไม่เด็ดขาดพลาดบัลลังก์
ทำดีไว้ช่วยตนให้สง่า มีปัญญาอยู่ได้แม้ไกลฝั่ง
วาจาเบาแต่กำใจคนฟัง ความประพฤตินานับหยั่งชัดวิญญู
คนลังเลใจหล่อรูปขาดศรัทธา เมื่อศึกษาคนรู้จริงไม่หดหู่
ส่องใจย้อนเลี้ยงชีวิตไม่อุดอู้ เมื่อไรมองตนรู้กว่าไม่เจริญ
แจ้งว่าตนทำอะไรชีวิตดี ใฝ่แต่มีได้มาล้วนผิวเผิน
ร้อยเหตุผลไม่ร่วมยากเผชิญ ชีวิตใช่เรื่องบังเอิญวางเป็นกลาง
แก้ไขให้ดีขึ้นด้วยปัญญา วิริยะอุตสาหะมาใฝ่เรียนรู้
ทำสิ่งใดมีธรรมเป็นหลักค้ำชู โอบอุ้มรู้เตือนตนใหม่บำเพ็ญธรรม
ชีวิตต้องมีธรรมเป็นรากฐาน สำเร็จงานบำเพ็ญจิตเพิ่มขึ้นไหม
ทรชนคิดเหมือนกันแต่สามัคคีไม่ บัณฑิตคิดต่างกันได้แต่สามัคคี
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านเหอเซียนกูต้าเซียน
เราใคร่อยากรู้นักว่า อะไรหนอที่ทำให้คนๆ หนึ่งหยุดยั้งความปรารถนา ความดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ ลาภยศ ชื่อเสียง อะไรที่ทำให้เราหยุดสิ่งพวกนี้ลงได้ อะไรที่ทำให้เรายอมหยุดยั้งความสุขแล้วมาหาความทุกข์ยาก มานั่งฟังวันนี้ลำบากไหม (ไม่) อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด) ถ้าใครคนใดรู้ถึงการหยุดยั้งความโลภ ความอยากได้ รู้พอได้ คนๆ นี้ก็แสวงหาธรรมได้เหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าหากว่าวันนี้ไม่มีใครเรียก ไม่มีใครบอก ว่าเสาร์อาทิตย์มีการฟังธรรม มีการศึกษาปฏิบัติธรรม เราหยุดเองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไรล่ะ เรายังไม่รู้ ไม่มีใครช่วยชี้แนะใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วผู้ปฏิบัติธรรมล่ะ อะไรที่ทำให้เราหยุดยั้งความอยากทางโลก แล้วลองสละเวลาของตัวเองมาแนะนำธรรม บางครั้งทำบ่อยๆ มาบ่อยๆ จนลืมไปแล้วว่าเราทำงานธรรมไปเพื่ออะไร ใช่ไหม บางคนเพราะว่ามีหน้าที่มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่วันนี้เราอยากบอกท่านว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราหยุดยั้งความปรารถนา อัตตาตัวตน อะไรล่ะทำให้เราหยุด ที่เรามาก็เพื่อต้องการฉุดช่วยผู้อื่นให้พ้นความทุกข์ แต่ถ้ารองลงมาก็เพื่อหน้าที่เท่านั้นเอง ภาระหน้าที่บังคับให้เราทำเพื่อคนอื่นบ้าง แล้ววันนี้เรามาเพื่อเหตุผลอันใดกัน มาเพราะคนอื่นบังคับ หรือมาเพราะอยากฉุดช่วยตัวเองและเผื่อว่าการช่วยตนเองนี้จะช่วยคนได้ ท่านเคยได้ยินไหมว่าถ้าคิดเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าคิดได้ ให้ได้ สละได้ ก็อุทิศได้ แต่ถ้าคิดไม่ได้ ให้ก็จะไม่ออกมา สละก็จะไม่มี อุทิศก็จะไม่บังเกิด ฉะนั้นคำว่าให้ สละ และอุทิศจึงมีความหมายที่แตกต่างกันแต่คาบเกี่ยวกัน อยู่ที่ว่าเราคิดได้อย่างไร
การศึกษาหลักธรรมนั้นเราต้องยอมลดจิตใจที่อยากมีอยากได้ ถ้าลดได้ก็พร้อมก้าวมาศึกษาบำเพ็ญได้ แต่ถ้าเรายังไม่พร้อมที่จะลด การศึกษาหลักธรรมบำเพ็ญธรรมก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลยิ่งนัก
คนบำเพ็ญธรรมต่างจากคนในโลกตรงไหน ถ้าพูดง่ายๆ ก็ต่างตรงที่ว่าเขาคิดเข้าข้างตนหรือเขาคิดเพื่อช่วยคน เขาคิดเพื่อมากกว่าคนหรือคิดน้อยกว่าตน ฟังดูยากไปไหม
เอาง่ายๆ ถ้าเราทะเลาะเบาะแว้งกับใครสักคนหนึ่ง สิ่งที่เราต้องการจากเขาคืออะไร การยอมรับฟังถูกไหม (ถูก) ยิ่งถ้าเราพูดมากเท่าไหร่เขาก็ไม่รับฟัง แต่ถ้าขณะนั้นเรายอมหยุดแล้วเรายอมให้การรับฟังไปกับเขา ให้ได้เมื่อไหร่ สละออกไปจากตัวเมื่อไหร่ นั่นก็คือการทั้งให้ สละ และพลีอุทิศ เข้าใจไหม เราว่าท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ เวลาเราอยู่ในโลกทุกคนต่างอยากได้คนดี แต่ถ้าทุกคนบอกว่าให้ทุกคนดีแต่ตัวเองเดี๋ยวค่อยดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราลองสละเอาความดีของเราออกไปก่อน ไม่ใช่แค่ให้ แต่เราทั้งสละ ไม่ใช่แค่สละ แต่เราทั้งได้อุทิศความดี พอเข้าใจไหม (เข้าใจ) สิ่งที่โลกขาด เราให้ สิ่งที่เพื่อนไม่มี เรายอมสละ เขาไม่มีความเห็นใจ แต่เราสละความเห็นใจในตัวเราให้กับเขา เขาไม่มีความเมตตา แต่เราควานหาความเมตตาจากใจเรา แล้วดึงออกไปให้เขา สละออกจากตัวให้เขา เราทั้งให้ทั้งสละและอุทิศ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเพราะอะไรเราถึงต้องยอมก่อน ให้ก่อน สละก่อน เพราะเป็นผู้ที่มีธรรม หรือจำง่ายๆ เพราะเป็นผู้ที่คิดได้อย่างคนที่ควรคิดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอยู่ในโลกเรามักจะพูดว่าเขาไม่ให้เราก่อน ทำไมเราต้องให้เขาก่อนใช่ไหม (ใช่) เขาไม่ยอมเราก่อน ทำไมเราต้องยอมเขาก่อนถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วอะไรคือคำว่าสละ อะไรคือคำว่าให้ ถ้าเขาให้แล้วเราจะให้อะไรอีก ถ้าเขาสละแล้วเราไปสละอีกมีค่าไหม (ไม่มี) นี่เป็นจุดต่างระหว่างจิตของมนุษย์กับจิตของพุทธะ ถ้ามนุษย์คิดเช่นนี้ได้มนุษย์ก็ไม่ต่างจากพุทธะ ท่านก็ไม่ต่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นการคิดได้ คิดเป็น แล้วทำให้เราเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแดนโลกจึงมิใช่เรื่องยาก แต่เราจะสงบนิ่งพอ มองเห็นแล้วรู้แจ้งตรงจุดๆ นั้นหรือเปล่า
ท่านเคยได้ยินไหมว่า มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านัยน์ตา น่ากลัวยิ่งกว่าหู น่ากลัวยิ่งกว่าปาก นั่นคืออะไร ถ้าตาเราอยากมองอย่างไรก็ต้องให้ได้มองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหูเราอยากได้ยินอะไรที่ปิดบังเราก็จะต้องสืบค้นให้ได้ยินถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าปากเราอยากจะพูด แม้ใครจะเอามือมาปิดสักร้อยมือพันมือ เสียงเราที่รอดได้เราก็จะต้องรอดให้ได้ยินถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่าตาแม้จะเปิด แต่ทำไมมองไม่เห็น หูแม้จะไม่หนวก แต่ทำไมไม่ได้ยิน ปากอ้าได้เหมือนปกติแต่ทำไมมันหนักจนพูดไม่ออก (เราไม่เปิดใจ) ตอบได้ตรงดีนะ ถ้าเราอยากพูดอ้อมไปอีกเราก็ต้องการบอกท่านว่า ถ้าใจมันไม่เอา ใจกำลังเบื่อที่จะมอง แม้มองเห็นก็เหมือนไม่เห็น เบื่อที่จะฟังคนพูดคนนี้ แม้หูได้ยินอย่างไรมันก็ไม่ได้ยินใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ปากมีแรงจะพูด แต่ถ้าใจมันเบื่อที่จะพูด ปากมันก็ไม่อ้าที่จะพูดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นใจของมนุษย์น่ากลัวกว่าหู ปาก ตา เสียอีก ใจที่น่ากลัวอันนี้ยังมีอะไรที่มาคุมใจได้ล่ะ คุมให้เรามองแล้วมองไม่เห็น ฟังแล้วฟังไม่ได้ยิน (ความต้องการ) เราอยากบอกท่านว่าเป็นอารมณ์ต่างหาก อารมณ์มันขังใจเราไว้ เหมือนคนที่เรารักมากๆ เราจะเห็นเขาดีไปหมด สิ่งที่ไม่ดีเรามองเห็นไหม (ไม่เห็น) เพราะอะไร เพราะใจตามอารมณ์ แต่ตอนนี้เราจะบอกท่านว่ามนุษย์เรามีอะไรที่เหนือใจอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือสัญญา ถ้าสมมติว่าเรายกดอกไม้ดอกหนึ่ง ท่านเดาได้ไหมว่า ในดอกบัวนี้มีอะไรอยู่ข้างในกลีบดอกบัว มีเกสรถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วในเกสรยังมีอะไรอีก มีฝักบัวถูกไหม แล้วในฝักบัวมีอะไรอีก มีเม็ดบัว ท่านมองเห็นเม็ดบัวไหม (ไม่เห็น) แล้วเพราะอะไรท่านถึงรู้ ใช่อารมณ์ทำให้รู้ไหม (ไม่ใช่) แต่เป็นสัญญา เป็นความจำ แล้วในสัญญานั้นบวกอะไรเข้าไปอีก สติปัญญา ความเฉลียวฉลาดใช่หรือไม่
ฉะนั้นใจของเรานั้นทำให้เราคิดได้และเห็นในสิ่งที่ไม่น่าจะเห็นได้เพราะว่าเรามีสติปัญญา ความทรงจำ และความรับรู้ เราจึงสามารถเป็นปราชญ์ที่มองเห็นในสิ่งที่ยากเห็น เห็นในสิ่งที่ตาไม่เห็น ฉะนั้นเวลาเราทำสิ่งใดก็ตามอย่าใช้อารมณ์กับใจแค่นั้น แต่จงใช้สติปัญญาควบคู่ ความทรงจำเป็นตัวไตร่ตรอง แล้วจะทำให้เรามองสิ่งหนึ่งได้ทะลุปรุโปร่ง เห็นในสิ่งที่ยากเห็นและได้ยินในสิ่งที่ไม่เคยได้ยิน แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ใช้ใจตามอารมณ์ ใจชอบก็เห็นสิ่งที่ชอบ ใจชังก็เห็นสิ่งที่ชัง
ยกตัวอย่างนิทานง่ายๆ ชายคนหนึ่งทำขวานหาย เคยได้ยินไหม (เคย) แล้วเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ขโมยไป เช้ายันเย็นอย่างไรท่าก็ให้เหมือนขโมย มองทุกวันๆ พูดก็มีลับลมคมใน แต่พอวันหนึ่งเขาเจอขวาน ใจกลับมองเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่ขโมยนะ ใจเรามองผิดไป เราคิดผิดไป ใจเราถูกบดบังไป ฉะนั้นวันนี้หรือทุกๆ วัน เรามองเห็นคนที่เรารักชัดเจนหรือยัง เรารังเกียจคนที่เราไม่ได้รัก ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เราใช้ใจอะไรลงไปมอง ใช้ใจที่มีอารมณ์ หรือใช้ใจที่ถูกต้อง ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้จงมองอะไรอย่างปราชญ์เมธีที่ไม่มีอะไรบดบังดวงตา บดบังหูและบดบังปัญญาได้ พอเข้าใจเรื่องนี้ไหม (เข้าใจ)
เหมือนกันนะวันนี้มาฟังธรรม ธรรมในตัวเขาทำให้เห็นธรรมในตัวเราหรือเปล่า เราเห็นเขาพูดธรรมเราเห็นธรรมที่ลอยมากระทบหู แต่ธรรมนั้นได้บรรเจิดขึ้นในจิตใจเราหรือไม่ จงเอาแสงสว่างแห่งธรรมของเขามาส่องให้เกิดธรรมสถิตอยู่ในใจ แล้ววันนี้จะเป็นผู้ที่ฟังธรรมแล้วมีธรรม ฟังธรรมแล้วตื่นในธรรม
มองด้วยใจที่ประกอบไปด้วยปัญญาและสติ ท่านอาจจะได้เห็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่ถ้ามองด้วยนัยน์ตาที่มืดบอดมีม่านกังขาลังเล ท่านอาจไม่ได้อะไรไปเลย ถูกหรือไม่ (ถูก) วันนี้ได้เห็นเราที่เป็นเราหรือได้เห็นเราที่มีธรรม (ได้เห็นเราที่มีธรรม) น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะ อย่าได้เห็นเราแล้วยังเป็นเราอยู่เลย ถูกหรือไม่ (ถูก)
เป็นเศรษฐีง่ายกว่าเป็นยาจกหรือว่าเป็นยาจกง่ายกว่าเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐียากไหม (ยาก) เราว่าไม่ยากนะ แค่หาทองปลอมๆ มาใส่ แต่งตัวดูดีทำผมสวยๆ ก็เป็นแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เป็นยาจกเป็นยากกว่าอีกนะ ลองให้คนธรรมดาอย่างเราใส่เสื้อขาดๆ เดินถือขันแล้วไปนั่งหน้าบ้านตัวเอง ยากไหม (ยาก) ทำไมจึงยากกว่าล่ะ (อาย) มีหลายคนมักจะพูดว่าเป็นเศรษฐียากใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนจนง่ายใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถามท่านจนหรือยัง บางท่านบอกว่าบำเพ็ญธรรมไปมีแต่จน ทำดีไปไม่เห็นรวยเลยมีแต่จนเพราะต้องให้เขาเรื่อยๆใช่หรือเปล่า พุทธะจะเห็นท่านยากจนก็ต่อเมื่อท่านอับจนปัญญาไปขอทานเขากิน หาทางไม่ได้แล้วจึงไปขอทานเขาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สำคัญที่อย่าจนใจตัวเอง อย่าจนปัญญาตัวเอง เป็นคนตราบที่ยังมีลมหายใจ อย่างไรเราก็ได้ชื่อว่าเป็นคน ต้องมีทางออกสิใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมนุษย์ขอเพียงมีความมุ่งมั่นตั้งใจ อะไรก็สำเร็จได้ด้วยน้ำมือตน แต่กลัวอย่างเดียวว่าจะไม่มีความแน่วแน่ตั้งใจ แม้จะเป็นเศรษฐีหรือยาจกก็เป็นไม่ได้
ฉะนั้นมนุษย์เราจะทำอะไรก็ตามสำคัญอยู่ที่จิตใจ ความมุ่งมั่นและตั้งใจจะเป็นคนแบบไหนบนโลกนี้ ธรรมะทำให้มนุษย์เป็นพุทธะ แต่มนุษย์สามารถทำให้ธรรมะที่มีอยู่ในตัวตนกลายเป็นโพธิสัตว์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่าเข้าใจผิดว่า ถ้ามีธรรมะมาอยู่กับตัวเมื่อไร เราจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เคยไหมที่อยากเป็นคนดี พอดีได้หนึ่งวัน ความดีก็ครอบงำตัว รู้สึกว่าฉันใหญ่ ดี เก่ง เคยไหมพอทำดีสักครั้งหนึ่ง พอใครว่าเราร้าย ความดีก็ครอบงำใจเราไปโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเวลามีธรรม อย่าเผลอให้ธรรมมาหลอกตัวตน อาจจะฟังแล้วยาก ยกตัวอย่าง วันนี้ถ้าดอกบัวทำให้เรารวย มีชื่อเสียง คนโน้นมาเห็นก็อยากลองมีดอกบัวบ้าง มีแล้วจะรวย มีชื่อเสียง เขาเหมือนกับคนแรกไหม คนแรกคือ มีดอกบัวแล้วรู้จักบำเพ็ญให้ดีแล้วดอกบัวทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคนร่ำรวย แต่คนนี้แค่อยากมีดอกบัวเพื่อให้ตนเองมีชื่อเสียงและร่ำรวย เขาจับจุดไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) คนเราทำดีเพราะอะไร ทำดีเพราะอยากได้ดีหรือทำดีเพราะอยากให้คนชม นั่นเป็นการทำดีที่ยังไม่ถูกต้อง คนทำให้ความดียิ่งใหญ่ แต่หาใช่ความดีทำให้คนยิ่งใหญ่ เข้าใจคำนี้ไหม (เข้าใจ) เงินเมื่ออยู่ในคน คนทำให้เงินนี้พอกพูนมากมายได้ แต่หาใช่มีเงินแล้วจะพอกพูนมากมายถ้าคนไม่ทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในโลกนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวเรากระทำต่อวัตถุ ตัวเราให้คุณค่ากับวัตถุอย่างไร
ฟังธรรมะจากเราอาจจะเป็นเรื่องยากสักนิดหนึ่ง เพราะว่าใจเราไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก) ตื่นเช้ามาส่วนใหญ่ก็จะคิดแค่เพียงว่า ทำอย่างไรให้ได้เงิน ทำอย่างไรมีความสุข ไม่ต้องทุกข์ แต่เคยคิดไหมว่า ทำอย่างไรที่ไม่ต้องทำแล้วมีสุขได้ (ไม่มี)
การกระทำก็คือการประพฤติปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) การไม่กระทำก็คือการไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติ ไม่กระทำอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์เราอยู่เฉยๆ แล้วได้อะไรไหม (ไม่ได้) แต่เราอยากจะบอกท่านว่า จริงๆ แล้วการอยู่เฉยๆ แล้วได้นะ ได้คิด ได้ย้อนมอง ได้สงบ แต่ทุกวันเราเริ่มต้น เราไม่เคยสงบ เราคิดแต่ออกไป มุ่งออกไปใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามนุษย์นั้นรู้จักสงบจิตสงบใจ ก่อนที่จะคิดก่อนที่จะทำ เราจะได้สิ่งที่เหนือความคิดอีก เหมือนตอนโกรธ เราทำไมรู้สึกโกรธ รู้สึกไม่พอใจ ก่อนที่จะลงไปสู่ความโกรธ ก่อนที่จะลงไปสู่ความรัก ลองคิดซิว่า เราทำไมถึงรัก เราทำไมถึงโกรธ ถ้าโกรธแบบนี้ รักแบบนี้แล้วมีประโยชน์ไหม ถ้าไม่มีประโยชน์ก็หยุดเสีย อย่าโกรธดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) จึงมีคำกล่าวว่า ตำหนิตัวเองมากหน่อย ตำหนิผู้อื่นน้อยหน่อย ก็ไม่มีใครให้โกรธแค้น แต่คนในโลกนี้ตำหนิผู้อื่นมากหน่อย แต่ไม่เคยตำหนิตัวเอง จึงมีคนให้โกรธแค้นมากมายใช่หรือไม่ (ใช่)
เราหนีไม่พ้นความทุกข์แม้นเราจะปรารถนาความสุขสักเพียงใด แต่ท่านเคยรู้ไหมว่าในความทุกข์ใจนั้น สอนให้เราได้รู้หลายๆ อย่าง ถ้าเราไม่รู้ ก็ไม่มีความผิดพลาด ถ้าเราไม่ล้มเหลว เราก็ไม่รู้หรอกว่า ตัวเราเองต้องแก้ไข ตัวเราเองกำลังหลงตนเองอยู่ ถ้าทุกวันมีแต่ความสำเร็จ ทุกวันมีแต่ความสมหวัง เราจะไม่รู้เลยว่าตรงไหนคือส่วนผิดพลาด จนกระทั่งเราทำผิด เราก้าวพลาด เราจึงรู้ว่าเราคิดผิดไป การประพฤติแบบนี้เป็นการประพฤติที่ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกัน จิตใจถ้าไม่ถูกกด ไม่ถูกบีบ ไม่ถูกคั้น เราก็ไม่กระตือรือร้นที่จะหาทางออก หาทางสู้ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าทุกวันมีแต่ใครๆ ก็ตามใจ ใครๆ ก็ปล่อยเรา คุณอยากคิดอย่างไรคุณก็คิดไป ปัญญาของเรา สมองของเราจะไม่ค่อยเปิดกว้างสักเท่าไร แต่ถ้าเมื่อไรยิ่งโดนกด โดนข่ม โดนบีบบังคับ เรายิ่งพยายามกระตือรือร้นที่จะฟันฝ่าหาทางออกให้จงได้ เราจะไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ พอหยุดอยู่กับที่ก็มีแต่ขังตัวขังใจใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนกัน ถ้าความเศร้าไม่มาจ่ออยู่ตรงหน้า ความทุกข์ไม่สุมอยู่ในอก วันนี้เราจะรู้สำนึกและเห็นคุณค่าของชีวิตไหม (ไม่เห็น) ถ้าเราไม่เคยผิดหวังบ้าง เราจะรู้จักคุณค่าของสิ่งที่เราเคยมีไหม ฉะนั้นคนที่เกลียดความทุกข์ คนที่เกลียดคนไม่ดี นั่นคือคนที่ยอมแพ้ต่อชีวิต ยอมแพ้ต่อโลก เรารับไม่ได้กับความไม่จริง เราก็คือคนที่ถูกบีบ แล้วยอมตายคามือเขา แต่คนที่รักความทุกข์
แล้วหาความสุขในความทุกข์ได้ คือคนที่มีปัญญา คือคนที่อยู่บนโลกเป็น คนที่สามารถสู้กับการถูกบีบคั้นแล้วหาทางออกจนหลุดพ้น และมีความสุขเมื่อยามถูกบีบได้นี่คือคนที่รู้จักใช้ปัญญาอย่างแท้จริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราเจอคนที่เราไม่ชอบ คนที่เรารังเกียจ คนที่เขาไม่ดี ท่านจงภูมิใจว่าเขาสอนให้เราต้องดีให้ได้ เมื่อไรคนนั้นชี้หน้าด่าเรา แต่เรายังยิ้ม เราสละ เราให้อภัย ออกมาจากใจได้ คนนั้นคือครูเรา เขาสอนให้เราดึงกระชากธรรมะออกมาให้ได้ ธรรมะที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะมี แต่เราสามารถมี และอดทนเพื่อเขาได้ แล้วเราก็คิดว่าทุกท่านในที่นี้เป็นคนอย่างนั้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือจุดต่างระหว่างคนดีที่แท้จริง กับคนดีเพียงคำพูดนะ เหมือนเพชร ทอง ไม่กลัวการหล่อหลอม ไม่กลัวการถูกเจียระไน คนดีที่แท้จริง ไม่กลัวความลำบาก แม้จะถูกทดสอบ ถูกว่ากล่าว จริงหรือไม่ (จริง)
ท่านว่าเป็นจริงไหม (จริง) เช่นนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนใครๆ ก็อยากเพิ่มเติมให้ แต่คนที่หยิ่งยโส อวดดี อวดเก่ง ใครๆ ก็อยากลดให้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราได้ดูหลักแห่งฟ้าหรือเปล่า ได้ดูใจของเราหรือไม่ว่าเรากำลังอ่อนหรือกำลังแข็ง เรากำลังมีอะไรมากเกินไปที่คนอยากลด หรือเรามีอะไรที่น้อยไปแล้วทำให้คนอยากเพิ่ม ความเป็นตัวตนของมนุษย์นั้น ถ้าเผลอขาดธรรมสักชั่วครู่ก็อาจจะประพฤติผิด
วันนี้ไม่เห็นทนไม่ได้ โดยเฉพาะยิ่งรักมาก เห็นแล้วต้องเห็น ถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่เกลียดแล้วกลับเห็นเหมือน (ไม่เห็น) ทำไมทำได้เพราะอะไร (เพราะว่าอารมณ์และใจของเรา) ถูกต้อง ฉะนั้นถึงเวลาเราต้องทำใจตัวเราเองให้ได้ อย่าทำให้ตัวเราเองจมอยู่ในความทุกข์กับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เขาตายเราให้เขาอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เขาทิ้งเราไป เราบอกให้เขาไม่ทิ้งได้ไหม (ไม่ได้) เราสอบตกต้องให้อาจารย์ให้เราได้เอ ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นในโลกมีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ แก้ไขได้ อีกเรื่องหนึ่ง แก้ไขไม่ได้ จงมองให้ออกว่าตอนที่เราทุกข์ เรื่องนี้แก้ได้หรือไม่ได้ แก้ได้ให้รีบแก้ แก้ไม่ได้ต้องทำใจ ไม่เช่นนั้นเราจะตายเพราะตัวเอง เราจะเจ็บเพราะใจเราเอง ถูกไหม (ถูก)
แอปเปิ้ลหรือคิดว่าตอนแรกทำไมเราไม่ทิ้งแอปเปิ้ล ถือมาจนชินแล้ว พอถือต่อไปอีกแอปเปิ้ลเริ่มส่งกลิ่นเหม็น แต่เน่าเหม็นอย่างไรก็อดทน เพราะถือมาสองเดือนแล้ว ถูกไหม ผลสุดท้ายทนไม่ไหว ทำอย่างไร ก็ต้องทิ้งแอปเปิ้ลแต่ตอนทิ้งก็ได้แต่นั่งเสียดาย จริงไหม (จริง)
แล้วนานๆ ไปกลับส่งกลิ่นเหม็นแล้วทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ทุกคนมีแอปเปิ้ลเน่าอยู่ในตัว
หลอกลวงเลยนะ คิดเสียว่าวันนี้เรามาแลกเปลี่ยนปัญญาธรรมของกันและกันดีกว่าไหม (ดี)
สมดุล รักษาจิตใจที่ดีงามไว้ดีหรือไม่ (ดี) เราอยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ถ้าหากเราไปอยู่ร่วมกับผู้มีคุณธรรม ผู้มีคุณธรรมก็จะหัดแบ่งปันให้เรา ถ้าอยู่กับผู้ที่ไม่มีคุณธรรม ผู้ที่ไม่มีคุณธรรมก็ตั้งใจที่จะแย่งเรา เพราะเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ และแม้เอาไปจากเราหมดเขาก็ไปเอาจากคนอื่นอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยู่ร่วมกับใครก็ถือว่าเป็นบุญและกรรมนั้นๆ อยู่กันตั้งแต่สองคนขึ้นก็ไปเป็นการสร้างปัญหาได้แล้ว เมื่อมีปัญหาทำอย่างไร ถ้าถึงเวลาต้องยอมเสียเปรียบจริงๆ ยอมไม่ยอม (ยอม) มีคนบอกว่าไม่ยอม ไม่ยอมแล้วทำอะไรเขา (ทำอะไรไม่ได้มีแต่ทุกข์ใจ) สิ่งที่เราทำต่อเขาก็คือการทำต่อตัวเอง เรารักตัวเราไหม (รัก) รักตัวเราๆจึงต้องยอม เป็นวิธีของคนบำเพ็ญธรรม
สถานธรรม แต่จริงๆ แล้วคนที่เราเจอ ไม่ว่าจะตามถนนหนทาง ที่บ้าน คนที่เป็นอริเรา เป็นศัตรูเรา ทุกคนต่างมีธรรมะ แต่เวลาเขาโกรธเรา มีธรรมะไหม (ไม่มี) แต่เขากำลังสอนธรรมะเราอยู่นะ ว่าเราต้องอดทนด้วยนะ เพราะฉะนั้นธรรมะอยู่ในทุกๆ ที่ พบธรรมในคน พบคนในธรรม ทุกคนนั้นอยู่ในธรรมะเพราะเรามองทุกๆ คนเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมะทั้งหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นโกรธคนอื่นไม่ได้ หากโกรธคนอื่นแสดงว่าเราไม่เห็นธรรมะในเขาแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเขาโกรธเรา ว่าเรา ด่าเรา เขาให้ธรรมะเราไหม (ให้) เขาให้ธรรมะเราด้วย ละลายกรรมเราด้วย ดีหรือไม่ (ดี) เวลาเขาว่าเรามา เราเถียงกลับมีธรรมะไหม (ไม่มี) ธรรมะในตนของเราก็หายไป แต่ถ้าเรามองว่าเขามีธรรมะ เราก็ให้เขาสอนเรา ดีหรือไม่ (ดี) เขาด่าเป็นภาษาธรรมะได้ไหม (ได้) เขาด่าเราก็มีท่วงทำนองแห่งธรรมะอยู่ เขาชมเราก็มีภาษาธรรมะอยู่ในนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมเวลาเขาชมเราบอกใช่ เวลาเขาด่าเราบอกไม่ใช่ เพราะเราคิดว่าธรรมะนั้นต้องเป็นภาษาที่ละมุนละไม ไม่ขัดหูใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วธรรมะมีอยู่ในทุกภาษา แต่คนบำเพ็ญธรรมไม่ควรด่าเป็น จริงหรือเปล่า (จริง) เราต้องพูดกับตัวเองว่า คนบำเพ็ญธรรมไม่ควรจะด่าใคร แต่เวลาคนเขาด่าเรา เขาให้ธรรมะเรา เราต้องอดทน เราเป็นคนฟังเราเลือกไม่ได้ ถ้าเขาว่าเรา เราก็ต้องฟังเขาเป็นภาษาธรรมะได้ เวลาเขาชมเรา เราก็ต้องฟังเป็นภาษาธรรมะได้ แต่เราอย่าไปด่าใคร ดีหรือเปล่า (ดี) เป็นการสอนตนเองและสอนผู้อื่นด้วย
ความสุขมันอยู่ที่ยอมเดินตามความสุขของคนอื่นไปหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นใครที่คิดอย่างน่าเบื่อ หรือตั้งคำถามอยากให้อาจารย์ตอบตลอดเวลา เราจะมีความสุขไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นความสุขหาง่ายไหม (หาง่าย) ต้องเปิดใจ จริงหรือเปล่า (จริง) คนขี้เบื่อก็เป็นคนขี้เบื่อตลอดไป ส่วนคนที่มีความสุขก็มีความสุขตลอดไปจริงหรือเปล่า (จริง)
ไม่สึก มาบ่อยๆ หน้าต่างก็ไม่เก่า เพราะว่าบ้านที่มีคนเป็นบ้านที่มีชีวิตชีวา เป็นบ้านที่ไม่เก่าเร็ว แต่บ้านที่ไม่มีคนเป็นบ้านที่เก่าเร็วมาก ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่สร้างได้รับการใช้ประโยชน์ให้ครบทุกอย่างเข้าใจไหม (เข้าใจ)
แล้วหาความสุขในความทุกข์ได้ คือคนที่มีปัญญา คือคนที่อยู่บนโลกเป็น คนที่สามารถสู้กับการถูกบีบคั้นแล้วหาทางออกจนหลุดพ้น และมีความสุขเมื่อยามถูกบีบได้นี่คือคนที่รู้จักใช้ปัญญาอย่างแท้จริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราเจอคนที่เราไม่ชอบ คนที่เรารังเกียจ คนที่เขาไม่ดี ท่านจงภูมิใจว่าเขาสอนให้เราต้องดีให้ได้ เมื่อไรคนนั้นชี้หน้าด่าเรา แต่เรายังยิ้ม เราสละ เราให้อภัย ออกมาจากใจได้ คนนั้นคือครูเรา เขาสอนให้เราดึงกระชากธรรมะออกมาให้ได้ ธรรมะที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะมี แต่เราสามารถมี และอดทนเพื่อเขาได้ แล้วเราก็คิดว่าทุกท่านในที่นี้เป็นคนอย่างนั้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือจุดต่างระหว่างคนดีที่แท้จริง กับคนดีเพียงคำพูดนะ เหมือนเพชร ทอง ไม่กลัวการหล่อหลอม ไม่กลัวการถูกเจียระไน คนดีที่แท้จริง ไม่กลัวความลำบาก แม้จะถูกทดสอบ ถูกว่ากล่าว จริงหรือไม่ (จริง)
ท่านว่าเป็นจริงไหม (จริง) เช่นนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนใครๆ ก็อยากเพิ่มเติมให้ แต่คนที่หยิ่งยโส อวดดี อวดเก่ง ใครๆ ก็อยากลดให้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราได้ดูหลักแห่งฟ้าหรือเปล่า ได้ดูใจของเราหรือไม่ว่าเรากำลังอ่อนหรือกำลังแข็ง เรากำลังมีอะไรมากเกินไปที่คนอยากลด หรือเรามีอะไรที่น้อยไปแล้วทำให้คนอยากเพิ่ม ความเป็นตัวตนของมนุษย์นั้น ถ้าเผลอขาดธรรมสักชั่วครู่ก็อาจจะประพฤติผิด
วันนี้ไม่เห็นทนไม่ได้ โดยเฉพาะยิ่งรักมาก เห็นแล้วต้องเห็น ถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่เกลียดแล้วกลับเห็นเหมือน (ไม่เห็น) ทำไมทำได้เพราะอะไร (เพราะว่าอารมณ์และใจของเรา) ถูกต้อง ฉะนั้นถึงเวลาเราต้องทำใจตัวเราเองให้ได้ อย่าทำให้ตัวเราเองจมอยู่ในความทุกข์กับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เขาตายเราให้เขาอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เขาทิ้งเราไป เราบอกให้เขาไม่ทิ้งได้ไหม (ไม่ได้) เราสอบตกต้องให้อาจารย์ให้เราได้เอ ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นในโลกมีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ แก้ไขได้ อีกเรื่องหนึ่ง แก้ไขไม่ได้ จงมองให้ออกว่าตอนที่เราทุกข์ เรื่องนี้แก้ได้หรือไม่ได้ แก้ได้ให้รีบแก้ แก้ไม่ได้ต้องทำใจ ไม่เช่นนั้นเราจะตายเพราะตัวเอง เราจะเจ็บเพราะใจเราเอง ถูกไหม (ถูก)
แอปเปิ้ลหรือคิดว่าตอนแรกทำไมเราไม่ทิ้งแอปเปิ้ล ถือมาจนชินแล้ว พอถือต่อไปอีกแอปเปิ้ลเริ่มส่งกลิ่นเหม็น แต่เน่าเหม็นอย่างไรก็อดทน เพราะถือมาสองเดือนแล้ว ถูกไหม ผลสุดท้ายทนไม่ไหว ทำอย่างไร ก็ต้องทิ้งแอปเปิ้ลแต่ตอนทิ้งก็ได้แต่นั่งเสียดาย จริงไหม (จริง)
แล้วนานๆ ไปกลับส่งกลิ่นเหม็นแล้วทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ทุกคนมีแอปเปิ้ลเน่าอยู่ในตัว
หลอกลวงเลยนะ คิดเสียว่าวันนี้เรามาแลกเปลี่ยนปัญญาธรรมของกันและกันดีกว่าไหม (ดี)
สมดุล รักษาจิตใจที่ดีงามไว้ดีหรือไม่ (ดี) เราอยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ถ้าหากเราไปอยู่ร่วมกับผู้มีคุณธรรม ผู้มีคุณธรรมก็จะหัดแบ่งปันให้เรา ถ้าอยู่กับผู้ที่ไม่มีคุณธรรม ผู้ที่ไม่มีคุณธรรมก็ตั้งใจที่จะแย่งเรา เพราะเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ และแม้เอาไปจากเราหมดเขาก็ไปเอาจากคนอื่นอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยู่ร่วมกับใครก็ถือว่าเป็นบุญและกรรมนั้นๆ อยู่กันตั้งแต่สองคนขึ้นก็ไปเป็นการสร้างปัญหาได้แล้ว เมื่อมีปัญหาทำอย่างไร ถ้าถึงเวลาต้องยอมเสียเปรียบจริงๆ ยอมไม่ยอม (ยอม) มีคนบอกว่าไม่ยอม ไม่ยอมแล้วทำอะไรเขา (ทำอะไรไม่ได้มีแต่ทุกข์ใจ) สิ่งที่เราทำต่อเขาก็คือการทำต่อตัวเอง เรารักตัวเราไหม (รัก) รักตัวเราๆจึงต้องยอม เป็นวิธีของคนบำเพ็ญธรรม
สถานธรรม แต่จริงๆ แล้วคนที่เราเจอ ไม่ว่าจะตามถนนหนทาง ที่บ้าน คนที่เป็นอริเรา เป็นศัตรูเรา ทุกคนต่างมีธรรมะ แต่เวลาเขาโกรธเรา มีธรรมะไหม (ไม่มี) แต่เขากำลังสอนธรรมะเราอยู่นะ ว่าเราต้องอดทนด้วยนะ เพราะฉะนั้นธรรมะอยู่ในทุกๆ ที่ พบธรรมในคน พบคนในธรรม ทุกคนนั้นอยู่ในธรรมะเพราะเรามองทุกๆ คนเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมะทั้งหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นโกรธคนอื่นไม่ได้ หากโกรธคนอื่นแสดงว่าเราไม่เห็นธรรมะในเขาแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเขาโกรธเรา ว่าเรา ด่าเรา เขาให้ธรรมะเราไหม (ให้) เขาให้ธรรมะเราด้วย ละลายกรรมเราด้วย ดีหรือไม่ (ดี) เวลาเขาว่าเรามา เราเถียงกลับมีธรรมะไหม (ไม่มี) ธรรมะในตนของเราก็หายไป แต่ถ้าเรามองว่าเขามีธรรมะ เราก็ให้เขาสอนเรา ดีหรือไม่ (ดี) เขาด่าเป็นภาษาธรรมะได้ไหม (ได้) เขาด่าเราก็มีท่วงทำนองแห่งธรรมะอยู่ เขาชมเราก็มีภาษาธรรมะอยู่ในนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมเวลาเขาชมเราบอกใช่ เวลาเขาด่าเราบอกไม่ใช่ เพราะเราคิดว่าธรรมะนั้นต้องเป็นภาษาที่ละมุนละไม ไม่ขัดหูใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วธรรมะมีอยู่ในทุกภาษา แต่คนบำเพ็ญธรรมไม่ควรด่าเป็น จริงหรือเปล่า (จริง) เราต้องพูดกับตัวเองว่า คนบำเพ็ญธรรมไม่ควรจะด่าใคร แต่เวลาคนเขาด่าเรา เขาให้ธรรมะเรา เราต้องอดทน เราเป็นคนฟังเราเลือกไม่ได้ ถ้าเขาว่าเรา เราก็ต้องฟังเขาเป็นภาษาธรรมะได้ เวลาเขาชมเรา เราก็ต้องฟังเป็นภาษาธรรมะได้ แต่เราอย่าไปด่าใคร ดีหรือเปล่า (ดี) เป็นการสอนตนเองและสอนผู้อื่นด้วย
ความสุขมันอยู่ที่ยอมเดินตามความสุขของคนอื่นไปหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นใครที่คิดอย่างน่าเบื่อ หรือตั้งคำถามอยากให้อาจารย์ตอบตลอดเวลา เราจะมีความสุขไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นความสุขหาง่ายไหม (หาง่าย) ต้องเปิดใจ จริงหรือเปล่า (จริง) คนขี้เบื่อก็เป็นคนขี้เบื่อตลอดไป ส่วนคนที่มีความสุขก็มีความสุขตลอดไปจริงหรือเปล่า (จริง)
ไม่สึก มาบ่อยๆ หน้าต่างก็ไม่เก่า เพราะว่าบ้านที่มีคนเป็นบ้านที่มีชีวิตชีวา เป็นบ้านที่ไม่เก่าเร็ว แต่บ้านที่ไม่มีคนเป็นบ้านที่เก่าเร็วมาก ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่สร้างได้รับการใช้ประโยชน์ให้ครบทุกอย่างเข้าใจไหม (เข้าใจ)
สิ่งที่ท่านคิดว่าไม่น่าจะมีคุณค่า แต่ถ้าสามารถแสวงหาคุณค่าในสิ่งที่ไร้คุณค่า คนนั้นก็มีปัญญาเหนือผู้คน คนนั้นก็สามารถหาทรัพย์ได้มากกว่าคนจริงหรือไม่ (จริง) แต่ทำอย่างไรปัญญาของมนุษย์จึงไม่ถูกปิดกั้นด้วยอารมณ์ นี่เป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงเพราะอารมณ์ไม่ชอบ เพียงเพราะใจไม่เอา แม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็อาจจะมองไม่เห็น แม้เสียงที่ได้ยินก็อาจจะฟังไม่ชัด
ท่านเคยได้ยินไหมว่าฟ้าก็มีหลักของฟ้า ดินก็มีหลักของดิน ในฟ้าและดินมีหลักสัจธรรมแอบแฝงอยู่ แต่ถ้าเราบอกว่าหลักสัจธรรมอีกอันหนึ่งที่มนุษย์มองข้ามคือ ฟ้ามักลดทอนสิ่งที่มีมากเกิน และเพิ่มเติมให้กับสิ่งที่มีน้อยเกินในโลกนี้
เรายกตัวอย่างง่ายๆ คนที่ไม่มีธรรม ถ้าปล่อยให้เขายากจนยากไร้สักวันหนึ่งเขาต้องคิดชั่วทำชั่วถูกหรือไม่ (ถูก) คนที่ไร้ธรรมถ้าเราปล่อยให้เขามั่งมีศรีสุขสักวันหนึ่งเขาจะหลงตน และยิ่งเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนดีคนชั่วต่างกันตรงที่ใด (ต่างกันตรงที่การกระทำ) กระทำอย่างไรเรียกว่าคนดี กระทำอย่างไรเรียกว่าคนชั่วท่านรู้ไหม (ต่างกันที่การยับยั้งชั่งใจ) ตอบได้ดีนะท่านอื่นล่ะ (คนทำดีคือคิดดีพูดดีทำดี คนทำชั่วคิดชั่วพูดชั่วทำชั่ว) แต่ท่านเคยเห็นไหมปีศาจในคราบผู้ดีเขาก็พูดดีนะ แต่ทำไมเขากลายเป็นปีศาจได้ล่ะ พูดก็ดีทำก็ดีแต่ทำไมเป็นปีศาจในคราบผู้ดี (เพราะเขาคิดไม่ดี, มีธรรมกับไม่มีธรรม) ถือว่าฟังไม่เสียเปล่าเลย
มีใครตอบได้มากกว่านั้นอีก หัวหน้าลองตอบดูบ้างไหม (ปกติคนที่ทำดี ส่วนใหญ่มักจะทำโดยไม่มุ่งหวังสิ่งใด ส่วนคนที่มีความมุ่งหวังอยากได้โน่นอยากได้นี่ ปกติแล้วจะส่งผลในสิ่งที่ไม่ดี) อย่างนั้นหัวหน้าตอบมุ่งหวังอยากได้อะไรไหม (ไม่มุ่งหวัง) แต่เราอยู่ในโลกเราอดไม่ได้ใช่ไหม แสวงหาก็ต้องหวัง เมื่อหวังก็อดคิดร้ายไม่ได้ เขาน้อยกว่าเราสักนิดหนึ่ง ให้เรามากกว่าเขาสักนิดหนึ่ง เราก็เลยเผลอทำผิดถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ยากนักที่จะทำโดยไม่มุ่งหวัง ทำโดยไม่มุ่งหวังก็คือการทำที่ไร้กระทำ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ทำก็คือทำ จริงๆ แล้วเราอยากจะบอกว่า การทำที่ไร้กระทำก็คือ ทำโดยไม่หวังผล ทำแล้วสิ่งที่ทำคือความว่างเปล่า จะดีจะร้าย เราก็ยอมรับและสู้ทน แต่คนในโลกทำแล้วต้องได้ผลที่กระทำ เลยเจ็บใจและทุกข์ใจ วันนี้เราจะมาบอกท่านว่า ลองทำแล้วไม่มีทำ ทำได้ไหม เป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าท่านทำได้ ท่านจะไม่ทุกข์กับโลกนี้ เพราะมนุษย์เหมือนปลูกต้นไม้ ต้องมีผล ถ้าไม่มีผล ก็จะโค่นต้นทิ้ง จิตพุทธะกับจิตมนุษย์ต่างกันตรงที่ปลูกต้นไม้ แม้ไม่มีผล แม้ต้นหงิกๆ งอๆ แม้ต้นขวางคนอื่น แต่ปลูกแล้วอย่างน้อยได้ร่มเงา ร่มเย็น ก็พอแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ปลูกแล้วต้นไม้นั้นคือ ความว่าง ต้นไม้นี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าทำได้บุญนี้จะยิ่งกว่าบุญ เพราะเราทำโดยไม่หวังผล นั่นคือทำเหมือนไม่ทำนั่นเอง
คนดีคนชั่วต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่ถ้าเขาทำแล้วละอายเกรงกลัวต่อบาปยังถือว่าเป็นคนดี แต่ถ้าทำแล้วหลงตัวเอง ง่ายนักที่จะคิดชั่ว เขาทำแล้วเคยเผื่อให้คนอื่นไหมหรือทำแล้วแค่ตัวเองพอ ใครรอดไม่รอดช่างเขา สามอย่างนี้เองทำให้คนชั่วกลายเป็นคนดี คนดีกลายเป็นคนชั่ว อยู่ที่ว่าเขาคิดแบบนี้ไหมใช่หรือเปล่า (ใช่) ลองทำแล้วเราหลงตัวเอง เราเก่ง ดี มองใครก็ไม่ขึ้น เพราะมั่นใจว่าตัวเองดี คนอื่นยังชั่วหมด ฉะนั้นเมื่อไรที่เราทำอย่ายึดติดในผล จงทำด้วยความว่าง จงทำด้วยใจที่แจ่มกระจ่าง ทำเพราะต้องการให้ตรงนี้มีธรรม ทำเพราะต้องการให้เรารู้ว่า จิตใจเรานี้สามารถรักษาธรรมให้อยู่ได้ ไม่ใช่ยากเลยใช่หรือไม่ (ใช่) จะทำอย่างไรให้เห็นก็เหมือนไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี ถ้าวันใดไม่เห็นได้ วันนั้นเราหลุดพ้นจากรูปและนาม ดังเช่นแอปเปิ้ลสามารถเห็นและอยู่ได้ตลอดไหม (ไม่ตลอด) ฉะนั้นเราทำใจให้เห็นเหมือนไม่เห็น อยู่เหมือนไม่อยู่ ได้ไหม (ได้) ตอนนี้แอปเปิ้ลไปไหน หายไป แต่แอปเปิ้ลหายไปจากใจเราด้วยไหม (ไม่) มนุษย์เราจึงหนักไปด้วยอารมณ์ หนักไปด้วยความมี ความต้องการ วันใดเรามีแอปเปิ้ล วันนั้นแอปเปิ้ลต้องอยู่กับเราตลอดชีวิต มนุษย์จะเป็นแบบนี้ วันใดฉันมีเธอ เธอต้องอยู่กับฉันตราบชั่วฟ้าดินสลาย วันใดฉันเกลียดเธอ เธอต้องไปให้ไกลจากฉัน อย่าให้เห็นแม้หางตา ใช่ไหม (ใช่) เพราะเราเห็นเหมือนไม่เห็นไม่ได้ เพราะเรามีเหมือนไม่มีไม่เป็น เราจึงทุกข์ จริงไหม (จริง) แต่ตามนุษย์สามารถทำได้ด้วยจิตใจ เห็นเหมือนไม่เห็น ไม่เห็นใครอยู่ในนี้เลย ได้ไหม (ได้) ได้เพราะถึงเวลาวันหนึ่งท่านมา คนจะอยู่เหมือนเดิมไหม (ไม่) ถ้าวันนี้ไม่เผื่อใจ กลับไปบ้าน เห็นเหมือนไม่เห็น
เราจะเล่านิทานเด็กๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีวันหนึ่งเด็กคนหนึ่งได้แอปเปิ้ลมาใบหนึ่ง รักมาก รักจนไม่กล้ากิน ใครขอก็ไม่กล้าให้ ทุกวันก็ถือแอปเปิ้ลไป วันแรกก็มีความสุข วันที่สองก็ดีใจคนอื่นไม่มีแอปเปิ้ล แต่เรามีแอปเปิ้ล หิวอย่างไรก็ไม่กิน เอาแต่เก็บไว้ วันที่สาม สี่ จะหยิบจะจับอะไรก็ลำบาก เพราะมือหนึ่งถือแอปเปิ้ลไว้ ก็เลยใส่ไว้ในกระเป๋า ไปไหนก็ต้องมีแอปเปิ้ลตามไปด้วย หนึ่งเดือนผ่านไปแอปเปิ้ลเริ่มเหี่ยว เข้าเดือนที่สองแอปเปิ้ลเริ่มเน่า เขาคิดในใจว่า ทำไมตอนแรกไม่กิน
แล้วตอนนี้อะไรที่เป็นแอปเปิ้ลในจิตใจที่อยู่แล้วทำความรำคาญใจ ที่อยู่
แม้วันนี้ยังไม่ส่งกลิ่นเหม็นแต่วันหน้าไม่แน่ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครตอบเราได้ว่าท่านกำลังมีแอปเปิ้ลอะไรอยู่ในใจ ที่มีแล้วตอนนี้ต้องรีบทิ้งได้แล้ว ความเกลียดความโกรธแค้นเป็นแอปเปิ้ลเน่าไหม ยิ่งโกรธแค้นมากเท่าใดยิ่งส่งกลิ่นมากเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก) ความรักเป็นแอบเปิ้ลเน่าไหม (เป็น) ทำไมความรักเป็นแอปเปิ้ลเน่า (เพราะยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มาก ถ้าเราไม่รักเราก็จะไม่เกิดทุกข์) แต่บางทีทำใจไม่รักก็ยากใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องรักอย่างคนที่รักเป็นนะ ความเกลียด ความไม่ชอบ ความโกรธแค้น และความรักที่ผิดๆ เหมือนรักที่ตามใจเขาทุกอย่าง ไม่ชี้นำทางที่ถูก เราก็กำลังสอนลูกให้เดินผิดทาง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ความดื้อดึงในหัวใจ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ก็เป็นแอปเปิ้ลเน่าได้เหมือนกัน ความแข็งเป็นแอปเปิ้ลเน่าไหม (เป็น) ความอ่อนเป็นแอปเปิ้ลเน่าไหม (เป็น) แข็งก็เป็นอ่อนก็เป็นแล้วเราจะทำอย่างไร (เดินสายกลาง) แต่ชีวิตจริงๆ เราเดินสายกลางกันได้ไหม ถ้าเป็นได้ก็เป็นสิ่งที่ดีเราจะรู้ว่าความพอดีอยู่ที่ไหน
เอาง่ายๆ ทุกท่านในที่นี้ชอบเงินใช่ไหม (ใช่) เราจะทำให้การมีเงินเป็นความพอดีได้อย่างไร เคยคิดไหม เมื่อได้มีเงินเราก็บอกว่าพอแล้ว มีหนึ่งบาทเราบอกว่าพอแล้ว พอมีสองบาทเราบอกว่าพร้อมแล้ว จนกระทั่งมีสิบบาทเราบอกว่าสมบูรณ์แล้ว นั่นคือการมีอย่างเป็นกลาง หาได้อย่างถูกต้อง ไม่ปล่อยให้เงินนั้นเป็นเจ้าชีวิต แต่มนุษย์เราพอมีหนึ่งไม่พอ พอมีสองเอาอีก พอมีสิบก็เดี๋ยวอีก เพิ่มอีกใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกัน เมื่อโกรธ โกรธครั้งหนึ่งพอแล้ว เผลอโกรธไปอีกครั้งหนึ่ง โกรธพร้อมแล้วไม่อยากโกรธอีกแล้ว เคยโกรธไปแล้วด้านหนึ่ง ด้านนี้ก็โกรธแล้ว พอโกรธอีกสิบครั้งสมบูรณ์ในความโกรธแล้ว ไม่โกรธอีกเลยได้ไหม (ได้) ถ้าทำได้เราก็คงพอในความโกรธได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไม่ได้อย่างที่พูด ยังโกรธไม่สมบูรณ์ขอโกรธอีก
การศึกษาหลักธรรมก็เพื่อฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ ค้นหาธรรมะที่แท้ในตัวตน ฟื้นฟูจิตใจที่ดีงามที่ถูกบดบังไปด้วยอารมณ์และกิเลส วันนี้ที่เรามา ไม่ได้ต้องการให้ท่านยึดติดในรูปร่างและการยืมร่าง แต่เราต้องการมาบอกหลักสัจธรรมอันแท้จริงที่อยู่ภายในใจของทุกคน ว่าคนทุกคนมีธรรมอันประเสริฐ มีพุทธจิตที่ดีงาม แต่ถูกบดบังไปด้วยกิเลสตัณหา ความรู้ความเข้าใจและความหลงตน ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นพุทธจิตธรรมญาณอันดีงามเดิมแท้ได้อย่างแท้จริง วันนี้สิ่งที่เรามาพูดไม่รู้ว่าจะปลุกให้ท่านตื่นได้สักเพียงใด แต่อยากย้ำว่าเราไม่ได้มาลวงหลอก หากวันนี้คนที่ท่านนับถือ คนที่ท่านเชื่อถือ พยายามโน้มนำให้ท่านมาฟัง ให้ท่านมารู้ เขาต้องการอะไร เขาต้องการให้ท่านรู้จักช่วยตัวเองและนำพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ให้ตัวเองทำตัวเองทุกข์ และถ้าดียิ่งกว่านั้นก็คือ นอกจากช่วยตัวเองได้ยังรู้จักที่จะเป็นคนดี ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจเพราะตัวเอง หรือที่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่นั่นก็คือ สามารถช่วยตนแล้วยังช่วยคนได้ด้วย อย่าคิดว่าเรามา
คิดให้ดีๆ นะ เกิดเป็นคนทั้งทีทำอะไรที่มีค่าให้กับชีวิตบ้าง ที่ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อคนอื่น ที่มิใช่เพื่อตัวเองสุขแต่ให้คนอื่นสุข ท่านทำได้และท่านก็ปฏิบัติได้ แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ จะยอมหยุดความต้องการของตัวเองบ้างไหม แล้วเอาหูไปฟังความต้องการของผู้อื่น และยอมอุทิศตัวสละตัวเพื่อช่วยผู้อื่นทำได้ไหม (ได้) ถ้าทำได้มีจุดยืนก็จงเดินต่อไปให้แน่วแน่มั่นคง ท่านก็คือปราชญ์อริยาบนแดนโลก ฟังให้มากๆ แต่จะฟังมากแล้วได้มากอย่างที่ฟังหรือเปล่าไม่แน่ ถ้าใจท่านไม่เอา ถูกหรือไม่ (ถูก)
ถึงเวลาเราก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ศึกษาให้ดีๆ มองตัวเองให้แท้ๆ ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรทำอะไร แล้วคิดแบบนี้ทำแบบนี้กำลังฆ่าตัวเองหรือเปล่า กำลังขังตัวเองอยู่ในทุกข์แห่งความเจ็บปวดหรือไม่
วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พบหน้ากันมอบสิ่งดีให้แก่กัน ห่างไกลกันมีแต่คนระลึกถึง
อยู่ร่วมกันรู้จักถอยรู้คำนึง ถ้าทีซึ่งยอมเสียเปรียบแก้ปัญหา
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนว่าบ้าหรือเปล่า
กระไรให้เบาใจเมื่อศิษย์รั้น แม้แข่งขันทำด้วยใจใสสว่าง
มนุษย์ก้าวกังวลความไม่ปล่อยวาง การบำเพ็ญคนย่างต้องน้อมใจ
ศิษย์ยังมีกรรมเป็นอุปสรรคติด ทั้งดวงจิตจึงยังไม่แจ่มใส
แต่ทุกอย่างค่อยค่อยเป็นไป ไม่มีอะไรยากเกินการบำเพ็ญ
ขาดอ่อนโยนอย่าคิดว่าเข้มแข็ง ต้องลงแรงอย่าคิดว่ายากเข็ญ
คล่องชำนาญอย่าคิดว่าทุกอย่างเป็น ใช้กฎเกณฑ์แต่อย่าเป็นทาสระเบียบการ
คนแสนรู้อาจมีเรื่องหนึ่งไม่รู้ ปล่อยวางอยู่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยนั่น
คอยอ่อนน้อมให้คนกล้าแนะนำกัน ศึกษาอันหลักสัจธรรมส่งเสริมตน
บัณฑิตนั้นสามัคคีแต่ไม่เล่นพวก คนพาลนั้นเล่นพวกแต่ไม่สามัคคีสักหน
ผลประโยชน์ทำให้คนว่ายวน รู้สละให้ผลไม่โลภใจ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่ที่บ้านคนเยอะ ที่นี่คนเยอะกว่าใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่ที่นี่ทะเลาะกันหรือเปล่า (ไม่ทะเลาะ) อยู่ที่บ้านทะเลาะกันหรือเปล่า (ทะเลาะ) ทำไมอยู่ที่บ้านถึงได้ทะเลาะกัน ตัวเราใจร้อนไหม (ใจร้อน) คนที่บ้านใจร้อนไหม (ใจร้อน) ร้อนกับร้อนมาเจอกันเป็นอย่างไร (ร้อนหมด) ทำอย่างไรถึงจะไม่หมด (ต้องใจเย็น) ปรบมือสองข้างดังไหม (ดัง) คราวนี้ลองใหม่ คนข้างซ้ายปรบมือไปทางคนข้างขวา ไหนลองปรบเข้าหากัน ลองใหม่ดูว่า ปรบอย่างไหนดังที่สุด ปรบมือตัวเองดังที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าทะเลาะกับใครบ่อยที่สุด (ตัวเอง) ทำไมเราถึงทะเลาะกับตัวเอง ก็เพราะเรามีความสับสนหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่) ปรบมืออย่างไรถึงจะไม่ดัง ทำอย่างไรถึงจะไม่ทะเลาะกัน แสดงว่าต้องไม่มีอารมณ์กันเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนั้นไม่มีอารมณ์ดีไหม ทำได้หรือเปล่า (ทำไม่ได้) .เราต้องจัดลำดับความคิดของตัวเองให้ดีเหมือนจัดห้อง แต่ว่าก่อนที่จะไปจัดห้องคนอื่นก็ต้องจัดห้องใครก่อน (ห้องตัวเอง) เราจัดข้างนอกเรียบร้อยหมด ห้องตัวเองไม่จัดได้ไหม (ไม่ได้) เราต้องจัดอารมณ์ของเรา
อารมณ์โกรธมีบ่อยไหม (บ่อย) โกรธแบบไม่มีเหตุผลเป็นไหม (เป็น) โกรธแบบมีเหตุผลหน่อยดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากไม่มีเหตุผลก็ไม่ต้องโกรธดีหรือเปล่า (ดี) พวกโกรธข้ามวันข้ามเดือนทำอย่างไร ยิ่งอยู่ไม่ได้เลย ความโกรธเหมือนไฟ ไฟอันนี้เป็นไฟที่อยู่ข้างใน ถ้าจุดสักห้านาทีอยู่ข้างในเป็นอย่างไร ไหม้หมดไหม สงสัยศิษย์อาจารย์คงจะไม่เหลือเลยสักคน เพราะจุดกันทีไหม้กันทีนานแค่ไหน เป็นชั่วโมง ใครบอกว่าห้านาทีนาน อาจารย์ว่ายังไม่นาน บางคนอาจารย์เห็นโกรธกันจะเป็นจะตาย คนตรงข้ามบางทียังไม่รู้ว่าเราโกรธอะไรเขาเลย เหมือนกับคนที่เป็นบ้าอยู่คนเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นไม่อยากที่จะเป็นคนที่ขี้โมโหหรือเป็นคนบ้าอยู่คนเดียว ไม่อยากหงุดหงิดง่าย เราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีมาก จะเปลี่ยนอะไรต้องเปลี่ยนให้ดีขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่รู้ว่าตัวเองมีความแย่ที่สุดอยู่ในตัวเองก็คือตัวเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) สมมติเรามีไฝเม็ดหนึ่งอยู่บนคิ้ว คนที่มาเห็นครั้งแรกมองออกไหม (ไม่ออก) แต่คนที่อยู่บ้านเดียวกับเรามองออกไหม (ออก) เขารู้ว่าเรามีไฝอยู่หลังคิ้ว เก่งไหม (เก่ง) ไม่ใช่ความเก่ง แต่เป็นความสนิทเคยชิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามีไฝอยู่หลังคิ้วอยากให้คนอื่นรู้ไหมว่าเรามี (ไม่อยาก) ถ้าไม่อยากทะเลาะกับใคร เราทำตัวเฉยๆ ก็ยังไม่แนบเนียนเท่าไร ต้องทำเป็นไม่เห็น เพราะถ้าทำเฉยๆ เขาก็คิดว่าเรารู้ แต่ไม่พูดใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหมเวลาทะเลาะกันแล้วใช้ท่าทีเฉยๆ (เคย) แล้วทะเลาะกันหนักขึ้นไหม เวลาเฉยๆ กลับยิ่งซ่องสุมกำลังพล เตรียมรบครั้งใหญ่ ฉะนั้นคำว่า เฉยๆ ไม่ใช่ใช้ได้เสมอไป ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เป็นคนโง่ ดีหรือเปล่า ในห้องนี้ไม่มีใครอยากจะเป็นคนโง่ เลยกลายเป็นแม่ทัพใหญ่กันหมดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ถึงเวลาทะเลาะกันก็ออกทัพแรก
การเป็นคนโง่นี้ก็ดีแสนดีนะ เวลาเราคุยกับเขาถ้าคนนั้นตามเราไม่ทัน เราจะชอบไหม เราไม่ชอบให้ใครรู้ทันเรา ถ้าเกิดเขารู้ทันเราไปหมดเราจะชอบเขาหรือเปล่า (ไม่ชอบ) เพราะฉะนั้นบางทีเราต้องรู้ไม่ทันคนอื่นบ้าง การเสแสร้งแกล้งทำแบบนี้ดีไหม (ไม่ดี) การเสแสร้งแกล้งทำในการอยู่ร่วมกันน่ะดีนะ แต่มีการเสแสร้งแกล้งทำอีกแบบหนึ่งที่ไม่ดี คืออะไร เรามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เวลาเราอยู่ต่อหน้าคนนี้ เราก็ชมชอบเขา พูดกับเขาดีทุกอย่าง แต่พอลับหลังเราก็เอาเขาไปนินทา อันนี้ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) การเสแสร้งอย่างแรกกับอย่างที่สองอะไรดีกว่ากัน (อย่างแรก) ใช่ การแกล้งโง่ดีกว่า แล้วถ้าให้ดีคือโง่ให้แนบเนียนดีกว่า โง่ให้แนบเนียนเป็นอย่างไร คือให้เขาจับเราไม่ได้ว่าเรานั้นรู้จริงหรือเปล่า การแกล้งโง่ที่ดีคือทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสบายใจ ให้เขาเกิดความสุข มีคนคิดว่า ถ้าเขาแย่จริงๆ แล้วเราแกล้งโง่อยู่ได้ เราจะเป็นคนโง่จริงๆ หรือเปล่า อาจารย์ถามหน่อยเรื่องไม่ดีของคนอื่น จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องพูด มีความจำเป็นสักหนึ่งข้อไหม (ไม่มี) มีความจำเป็นแค่ ๐.๐๑ % คืออะไร คือความไม่ดีของเขาทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สิ่งนี้คือความจำเป็นที่เราจะต้องพูดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าการพูดเราก็ต้องรู้จักพูด พูดแบบคนที่ต้องการพูดให้ความจริงปรากฏ กับการพูดอย่างนินทาเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) คนละอารมณ์เลย คนพูดนินทาคนนี้จะอารมณ์เป็นอย่างไร สนุกสนาน จริงไหม (จริง) แต่หากเราต้องการพูดให้ความจริงปรากฏเราจะพูดอย่างไร เราจะเลือกพูดกับคนที่ถูกคน เราจะใช้คำพูดที่เหมาะสม แล้วเราจะทำกิริยาที่ดีให้เกิดขึ้น กิริยาไม่ดีเป็นอย่างไรเวลานินทา ต้องดึงกันไป แล้วแอบไปหลบมุมๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากมีคนทำแบบนี้ศิษย์รู้ไหมว่าเขานินทาคนอยู่ (รู้) แต่ถ้าหากเราไม่ได้นินทาคน เราจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือเราจะพูดในที่ที่เหมาะสม ใช้คำพูดที่เหมาะสม แล้วท่าทางของเราจะไม่ดูดุ๊กดิ๊ก จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นการที่ทำเรื่องเดียวกัน มีหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนตรงไหน ไม่เหมือนตรงอารมณ์ในใจของเราเอง หรือพูดให้ถูกต้องคือไม่เหมือนออกมาจากภายในของเรา ภายในของเราคือสิ่งสำคัญ สำคัญกว่าภายนอก
ฉะนั้น การมาฟังธรรมะสองวันนี้ สิ่งที่ฟังคือเอาไปขัดเกลาภายในของตัวเราเองถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าหากเราฟังแล้วเราไม่ขัดเกลา เวลาที่เรารู้ว่าสิ่งใดไม่ดีแล้วเราไปคลุกคลีกับสิ่งนั้น เรายังเป็นคนโง่หรือคนฉลาด (โง่) อันนี้เป็นความโง่จริงๆ ไม่ใช่แกล้งโง่อย่างที่อาจารย์สอนไป สมมติว่ายาเสพติดไม่ดี แล้วเรายังไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เราโง่ไหม (โง่) บอกว่าคนคนนี้ไม่ดี เราก็ยังจะคบกับเขา เราโง่ไหม (โง่) บอกว่ากิเลสไม่ดี ตัณหาไม่ดี อารมณ์โกรธไม่ดี เราก็ยังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขา เราโง่ไหม (โง่) ฉะนั้นพูดง่ายๆ ก็คือ ศิษย์ทุกคนจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตนเองขึ้นมาให้เป็นคนที่ดีจริงๆ ทำได้ไหม (ได้) รู้สึกเสียงมันก้องเข้าไปในใจตัวเองไหม เวลาตะโกน เสียงจะก้องเข้าไปในใจของตนเอง เสียงของคนอื่นไม่มีประโยชน์ ต้องเสียงตะโกนของตัวเราเท่านั้น ถึงจะก้องเข้าไปในตัวเรา แล้วถ้าหากว่าเราพูดว่าได้ แล้วสุดท้ายเราทำไม่ได้ ใครโกหก (เราเอง) ตอบเองนะ
“พบหน้ากันมอบสิ่งดีให้แก่กัน ห่างไกลกันมีแต่คนระลึกถึง
อยู่ร่วมกันรู้จักถอยรู้คำนึง ท่าทีซึ่งยอมเสียเปรียบแก้ปัญหา”
ยอมเสียเปรียบคนอื่นไหม ยอมให้เขาได้สิบบาท แล้วเราได้สองบาทหรือเปล่า ยอมให้เขาได้หมื่นหนึ่งแล้วเราได้แค่หนึ่งร้อย ยอมให้เขาได้แสนหนึ่งแล้วเราได้สิบบาท ยอมหรือเปล่า (ไม่ยอม) ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรเขา ถามว่าทำไมอาจารย์จี้กงถึงตั้งคำถามแบบเสียไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าชีวิตจริงของคนนี้ ถ้าเขาเอาเปรียบเรา เขาอยากเอาเปรียบหมดไหม แล้วเรายอมเสียเปรียบไหม อาจารย์เปรียบเทียบขึ้นมา ยอมเสียเปรียบคือยอมเสียเงิน เมตตาที่สุดแล้ว เพราะว่าเงินกี่ใบๆ หน้าตาเหมือนกันหมดใช่หรือไม่ มีใบไหนมีเขียนเป็นชื่อเรา มีอันไหนเป็นของเราหรือเปล่า (ไม่มี) จะคิดว่าเงินในกระเป๋าเราเป็นของเราตลอดหรือเปล่า (ไม่ตลอด) วันวันใช้ไปกี่บาท วันวันหนึ่งใช้ไปก็หลายใบ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วบอกว่าเป็นของเราได้อย่างไร ในเมื่อเราใช้ไป ก็คือเป็นของคนอื่น ฉะนั้นเงินไม่ใช่เป็นของเรา อาจารย์บอกให้นะว่าเรื่องไหน ถ้าหากมีเงินให้เสีย เสียเงินแล้วหมดปัญหาได้ รีบๆทำไปเลย แต่ไม่ใช่ติดสินบนนะ เพราะว่าเงินเป็นสิ่งที่หาเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์เมื่อเป็นของเราได้ก็เป็นของคนอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) สุดท้ายแห่งชีวิตเราก็ไม่สามารถนำเงินบาทไหนไปติดตัวเราได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เงินปากผี ใส่ไว้ในปากผี ผีเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเงินเป็นของเราหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วอะไรเป็นของเรา (จิตใจ, จิตญาณ) ถ้าเราโมโหเพราะเรื่องเงิน โมโหจนหูดับตับไหม้ โมโหจนจิตใจของเราพังไป จนจิตญาณของเราเหมือนกับถูกไฟเผาอยู่อย่างนี้ สิ่งที่อยู่กับเรานี่กำลังมอดไหม้ไป ศิษย์ว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม (ไม่คุ้ม) จิตใจประเสริฐและล้ำค่าไหม (ล้ำค่า) แล้วเราโมโหเรื่องเงินแล้วอยากได้เงินเยอะคุ้มไหม (ไม่คุ้ม) เพราะฉะนั้นให้รักษาจิตใจไว้ รักษาจิตใจที่มี
(มีนักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์ว่า จะทำอย่างไรจึงไม่ให้จุดที่โมโห มันผุดขึ้นมา)
อาจารย์จะบอกวิธีง่ายๆ ให้กับศิษย์ที่เป็นศิษย์ใหม่ อย่างแรกที่ต้องทำคือหลับตา สมมติว่าตอนนี้ขอให้ทุกคนนึกถึงคู่อริทั้งหมด คู่อริทั้งหมดตอนเรามองเห็นหน้าเขา เรารู้สึกอย่างไรบ้าง (โมโห) ถ้ามองไม่เห็นล่ะ (ไม่โมโห) ตอนเราเจอเขาเท่านั้นที่เราทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นอย่างแรกที่ต้องทำคือหลับตา ง่ายไม่ง่าย (ง่าย) มองไม่เห็นก็เบาแล้วไปตั้งครึ่งหนึ่ง ที่เหลือหลังหลับตาคือคำว่าสติ ตั้งสติทำอย่างไร สติอยู่ตรงไหน ตอนเด็กๆ เรียนนับหนึ่งถึงสิบ ต้องนับหนึ่งให้ถึงสิบจริงๆ ในสิบนี้ต้องตั้งสติให้ดีๆ คิดว่าทำอย่างไรไม่ให้มีเรื่อง ถ้าไม่ได้ นับใหม่ ถ้าหากว่าใจเอาแต่ชนะ ใจที่คิดแต่ชนะไม่มีวิธีทางชนะเลยนะ จริงหรือเปล่า (จริง) เพราะเราอยากชนะเขามากเท่าไร เขาก็อยากจะชนะเรามากเท่านั้น ยืนอยู่ตรงนี้แล้วมีคนเอาน้ำมาเทใส่ท่วมเข่าเรา ถ้าเราทำได้เราอยากเทให้ท่วมเขาเท่าไหน (เอว) เกิดถ้าเขาอยากเทเท่าอกของเรา เราอยากเทเท่าไหน มีคนบอกว่าเทเท่าคอ เขาจะได้ไม่มา แต่เปล่าเลยเมื่อท่วมแล้วเขาเอาสายยางต่อน้ำออกแล้วก็เอาน้ำมาท่วมเท่าหัวเรา แล้วเราทำอย่างไร ในเมื่อเรามีปัญญาเทน้ำข้ามไปหาเขาแล้วทำไมเราไม่เทออกไปล่ะ ทำไมเราคิดแต่จะเทให้เขา ไม่ยกไปเทออกที่อื่นที่ไม่เดือดร้อนคนอื่นใช่หรือเปล่า (ใช่) คำพูดที่บอกว่าระงับการจองเวรด้วยการไม่จองเวรเป็นคำพูดที่ดีไหม (ดี) แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้นำคำนี้มาใส่ใจ เราคิดถึงแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะเทกลับไป ไม่คิดว่าเราจะเอาน้ำไปเทรดต้นไม้ใบหญ้าให้มันเจริญเติบโตใช่หรือไม่ (ใช่) คนเขาทำเราเดือดร้อนจริง เขาเอาน้ำมาใส่เราแค่เข่า แต่เราเอาน้ำไปรดให้ผู้อื่นเจริญเติบโต ให้มีต้นไม้ใบหญ้า ถึงแม้ขาของเราจะต้องแฉะน้ำตลอดเวลา แต่มีคนที่ได้ดีเพราะความเดือดร้อนของเราดีหรือไม่ (ดี) ไม่มีใครทำได้ดีมาก่อน ทุกคนล้วนแต่ทำดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่าความทุกข์เหมือนกับน้ำที่เฉอะแฉะอยู่ที่ขาตลอดเวลาก็ไม่เป็นไร คนที่ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักทุกข์แล้วก็ไม่รู้จักสุขด้วย บางคนมีความสุขจนล้นฟ้าเกิดมาก็มีแต่ความสุข เพราะว่าที่บ้านร่ำรวยเงินทอง บุญญาวาสนาทั้งหลายส่งผลมาให้เรามีพร้อมอยู่เสมอ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรามีอยู่นี้เป็นความสุขอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นดิ้นรนไปหาสิ่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น
ถ้าอยากมีความสุขต้องทำอย่างไร หัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี นั่นแหละความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าเราดิ้นรนไปหามีความสุขไหม เราจะไม่รู้ได้เลยว่าสิ่งที่เรามีอยู่แล้วเป็นความสุข ให้เราอยู่เฉยๆ แล้วพยายามมองสิ่งที่อยู่รอบตัวเราว่าเรามีความสุขอยู่แล้วหรือเปล่า นี่แหละพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีทำให้เรามีความสุขมาก จริงหรือไม่ (จริง) แม้ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขที่บริสุทธิ์ คือไม่สามารถเป็นความสุขทั้งร้อยเปอร์เซนต์ แต่บางทีชีวิตเรายังดีกว่าใครหลายๆ คนจริงหรือไม่
คนมีความสุขลองยิ้มหน่อยสิ เราอยากมีความสุขแต่บอกให้ยิ้มไม่ยอมยิ้ม คนบ้านี่ยิ้มทั้งวันหรือเปล่า ใครว่าตัวเองไม่บ้าบ้าง อาจารย์เป็นพระสงฆ์บ้าๆ ใครฟังอาจารย์พูดต้องบ้าแน่เลย จริงหรือเปล่า (ไม่จริง) อย่างนี้อาจารย์ต้องพูดกับคนปกติ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นคนบ้ายิ้มทั้งวันนี่มีความสุขหรือเปล่า (มี) เป็นคนบ้ายิ้มทั้งวันเขาไม่มีความสุขแต่ก็ยิ้ม ใช่ไหม ส่วนเราเป็นคนปกติไม่เคยยิ้มเลย บ้าหรือเปล่า (บ้า) เราเป็นคนปกติเรายิ้มทั้งวัน มีความสุขหรือเปล่า (มี) เรามีวันที่มีความสุขอยู่กี่วัน ชีวิตนี้รวมๆ กันได้ถึงปีหรือยัง (ยัง) แล้วเราบ้าหรือเปล่า ทำไมถึงไม่มีความสุขในเมื่อชีวิตของเรานั้นเป็นคนปกติดี ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดได้และมีความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง เว้นแต่เราไม่ยอมยิ้ม ไม่ยอมหัวเราะ ไม่ยอมมีความสุข ไม่ยอมเชื่อว่าสิ่งที่มีอยู่แล้วคือสิ่งที่ดี เราแสวงหาในสิ่งที่เหนือกว่า ยอดกว่า เยี่ยมกว่าเรื่อยๆ นี่เราบ้าหรือเปล่า
ฉะนั้นคนบ้าแท้จริงแล้วไม่บ้า แต่เรานั้นเป็นคนบ้าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรามัวแต่หา แต่เราไม่รู้ว่าเราหาอะไร บางทีหานานๆ แล้วลืมตัวเองไปเลย ลืมไปว่าความฝันเราตอนเด็กๆ นั้นมีอะไรบ้าง ลืมไปว่าเราคิดดีๆ แต่ตอนนี้เราคิดร้ายอยู่ ลืมไปว่าเรานั้นเป็นคนที่มีความดีอยู่มาก แต่ว่าเรานั้นหลงในความดีของตัวเอง เราจึงกลายเป็นคนเพี้ยนเพราะลืมจุดยืนของตัวเอง ลืมชีวิตของตัวเองไป ใช่ไหม (ใช่)
อยากเป็นคนบ้าไหม ทุกวันนี้บ้าสิ่งต่างๆ เช่น งาน เงิน เที่ยว กิน ใช้ เสื้อผ้า แต่งหน้า ทรงผมใหม่ๆ บ้านหลังใหญ่ๆ รถคันโตๆ ฉะนั้นเวลาทำอะไร ต้องทำแต่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอยากมีบ้านหลังโตๆ มีเพียงกระต๊อบดีหรือเปล่า (ดี) ทุกวันนี้บ้านเราสวยกว่ากระต๊อบ พอใจหรือยัง เราอยากมีรถคันใหญ่ๆ ที่มีเครื่องแรงๆ ทุกวันนี้เรามีมอเตอร์ไซค์โทรมๆ อยู่คันหนึ่งพอหรือยัง ดีกว่าไปนั่งรถซาเล้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันนี้อยากทำผมให้สวยๆ แค่คิดว่ามีผมก็ดีแล้วใช่หรือเปล่า ดีกว่าหัวล้านๆ หรือเปล่า (ดี) คนที่มีผมขาวก็ยังมีผมอยู่ มีผมก็สวยกว่าไม่มีผมจริงไหม พอใจไหม ทุกวันนี้หากเราสายตาสั้น สายตายาว เรามีแว่นอยู่อันหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นมากขึ้น เราต้องดิ้นรนไปหาแว่นแพงๆ ไหม (ไม่ต้อง) ทุกวันนี้เรามีเงินอยู่บ้านถึงแม้ว่าจะไม่เยอะกว่าเศรษฐีแต่ว่าเยอะกว่าขอทานดีใจไหม พอใจหรือยัง (พอใจ) เพราะฉะนั้นเงินก็ไม่อยากได้ ความเลิศหรูก็ไม่อยากได้ ตำแหน่งชื่อเสียงการงาน อยากได้ไม่อยากได้ ตำแหน่งที่เราทำงานอยู่กินเงินเดือนหลายพันบาท ถึงแม้ไม่ถึงหมื่น พอใจไม่พอใจ (พอใจ) งานยิ่งทำแล้วจะยิ่งเจริญ คนจะเจริญในหน้าที่การงานไม่ใช่จำกัดอยู่ที่คนที่มีความรู้ แต่เป็นคนที่ขยัน มีความอดทน จริงหรือไม่ (จริง) ไม่หน้าอย่างหลังอย่าง พอเจ้านายมารีบๆ ทำ พอเจ้านายไม่มาไม่ทำ ถามว่าเวลาเจ้านายมารีบทำงานเสร็จไหม (ไม่เสร็จ) ถ้าหากว่าเราอยู่ร่วมกันหลายๆ ปี ไม่มีเรื่องใดที่คนอื่นเขาดูเราไม่ออกจริงหรือไม่ (จริง) หากว่าเราเป็นคนที่ขี้เกียจอยู่เสมอถามว่าเราจะได้ดีไหม (ไม่ได้ดี) เพราะฉะนั้นวันนี้ที่พูดมาทั้งหมดคืออยากจะให้ศิษย์ทุกคนรู้จักที่จะปรับปรุงตัวเอง หากบันไดมีสิบขั้น ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนยังมีขั้นต่อไปให้ก้าวอยู่ แต่เราจะก้าวไปทางไหน เราจะก้าวไปทางเงินทองเยอะ หน้าที่การงานดี ชีวิตราบรื่น คู่ชีวิตดี ทุกอย่างดีไปหมด ได้ทุกอย่างที่เป็นความฟุ้งเฟ้อทางโลก แต่จิตใจนั้นไม่มีดีขึ้น วันนี้จึงต้องหันมามองส่องตัวเองจริงหรือไม่ (จริง) ส่องตัวเองว่าเรานั้นยังมีอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง นี่คือหน้าที่ของคนที่บำเพ็ญธรรม
บางคนนั้นชอบคำว่าบำเพ็ญธรรมมากเลย เวลามีใครเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญชอบมาก แต่ไม่ชอบปฏิบัติ อยากให้คำว่าบำเพ็ญเป็นการสร้างสมบารมีให้กับตัวเองเท่านั้น อย่างนี้ไม่ถูกต้อง การที่ให้คนอื่นมาเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญครั้งหนึ่ง ควรจะเต็มไปด้วยการแก้ไขขัดเกลาตัวเอง เต็มไปด้วยการปฏิบัติและเรียกร้องตนเองให้ดีขึ้น เรียกร้องไม่ใช่เรียกร้องในสิ่งที่เพิ่มมากขึ้น แต่เรียกร้องภายในจิตใจ ดูแลจิตใจให้มีสภาพที่พร้อมมากยิ่งขึ้น
สมมติว่ามีวงกลมวงหนึ่ง ตอนนี้จิตใจของเราเป็นวงกลมที่มีความแหว่งเว้าอย่างมากมาย ว่าไปแล้วถ้าเป็นผลไม้ก็คงจะถูกแมลงชอนไชเสียจนยับพรุนไปหมดแล้ว ถ้าเป็นผลไม้เน่าถามว่าศิษย์กินไหม (ไม่กิน) ทำอย่างไรกับมัน (โยนทิ้ง) แต่ตอนนี้สิ่งที่เราพูดถึงเป็นจิตใจดวงหนึ่ง ดวงนี้โยนทิ้งได้ไหม เราบอกว่าเราเป็นคนที่มีความขี้โมโหจนตอนนี้เราเป็นโรคหัวใจแล้ว ถามว่าเราโยนจิตใจอันนี้ทิ้งแล้วเอาอันใหม่ได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ใช่ใจที่เต้นตุ๊บตุ๊บแล้วก็เปลี่ยนอันนั้น มันมีจิตใจอันอื่นที่แฝงอยู่ในนั้นเป็นจิตของตัวเอง ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ แต่อยู่กับศิษย์ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ฉะนั้นต้องรู้สำนึกและซ่อมแซมใช่หรือเปล่า (ใช่) ดีว่าจิตใจนี้เป็นจิตใจที่ฟื้นฟูได้ในตัวของมันเอง เพียงแต่เรานั้นต้องรู้สึกตัว จริงหรือเปล่า (จริง) อย่าเป็นคนหลงตัวเอง อย่าเป็นคนที่คนอื่นเตือนแล้วไม่ฟัง คนที่เจออะไรมาเยอะๆ จะเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าพูด ส่วนคนที่เจออะไรมาน้อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนกล้าพูด ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้ถามตัวเองสิว่าพูดมากเกินไปหรือเปล่า เราเคยพูดมากเกินความจำเป็นไหม (เคย) แล้วศิษย์คิดว่าคนที่มองเราเขาจะมองว่าเราพูดมากเกินความจำเป็นไหม (มอง) เพราะฉะนั้นเราต้องหัดเป็นคนพูดน้อยลง พูดให้ช้าลง พูดให้ดีขึ้น ทำได้ไหม (ทำได้) ต้องเป็นคนพูดในสิ่งที่เราทำได้เท่านั้น บางเรื่องยังไม่จำเป็นต้องพูดแต่ให้ทำไปก่อน บางเรื่องถ้าหากว่าเราพูดไปแล้วต้องพยายามทำให้ได้อย่างที่พูดด้วย นี่จึงเป็นคนที่มีสัจจะที่สุด เป็นการยากมากๆ เพราะว่าคนเวลาจะให้พูดเหมือนโดนกดปุ่ม คือถ้าหากมีอะไรมาจี้เราจะอดไม่ได้เลย นอกจากวันนั้นจะฟันเจ็บหรือว่าลิ้นเจ็บ เราก็จะพูดน้อยลงไปโดยอัตโนมัติจริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นทุกๆ อย่างควรที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าเราจะอายุมากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะอายุน้อยแค่ไหน เป็นคนดีนั้นเป็นได้ในทุกๆ วัย ถ้าหากว่าเด็กอายุไม่กี่ขวบเอาขนมมาแบ่งให้เพื่อน เราบอกว่าเด็กคนนั้นดีไหม (ดี) พอเราโตขึ้นเราเคยเอาขนมแบ่งให้เพื่อนไหม (เคย) ถ้าเรายังทำได้ก็คือดี แต่ส่วนใหญ่น้อยใช่หรือเปล่า (ใช่) เราหาขนมได้มากขึ้นแต่เราแบ่งน้อยลงถือว่าเราทำสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) แต่ในขณะที่ตอนเด็กๆ การจะหาขนมมาสักก้อนหนึ่งยากไม่ยาก (ยาก) แต่เขาแบ่งให้เพื่อนถือว่าเขาทำสำเร็จเกินร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า (เกิน) ความดีเล็กๆ อย่างนั้นเรากลับมองว่าเขาเป็นคนดี โตขึ้นต้องเป็นคนดีแน่ๆ เลย แต่พอโตขึ้นเราทำหรือเปล่า ตอนโตขึ้นไม่ได้แบ่งขนมแล้ว ต้องแบ่งอะไร สิ่งที่เรามีนอกจากสิ่งที่อยู่นอกกาย มีสิ่งที่อยู่ในกายคืออะไร (มีน้ำใจให้เพื่อน, ความปรารถนาดี, มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์, โอบอ้อมอารี, แบ่งปันความสุข) มีความสุขอะไรให้แบ่งไหนลองบอกหน่อย
(ความสุขที่ได้พบเพื่อนใหม่) ถามว่าความสุขที่ได้พบเพื่อนใหม่กับพบเพื่อนเก่าอันไหนมีความสุขมากกว่ากัน เพื่อนเก่าใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพบเพื่อนเก่าเราต้องหัดที่จะแบ่งปันสิ่งที่ดีๆ ให้เขาใช่หรือไม่ (ใช่) การแบ่งปันที่ดีที่สุดคือแบ่งในสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าเราทำได้ให้เรารีบแบ่ง แต่การแบ่งให้เขาก็ต้องมีปัญญา บางทีให้ไปแล้วเขาเคยตัว จะแบ่งหรือเปล่า (ไม่แบ่ง) ก็ต้องรู้จักที่จะอดไว้ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเรามีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี คนอื่นก็ไม่มีในสิ่งที่เรามีเหมือนกันต้องหัดดูว่าเรามีสิ่งใดให้ผู้อื่นได้ สิ่งนั้นเรารีบให้ ให้น้ำใจ ความคิด พลัง กำลังใจ ความสุข ความยินดี ทำในสิ่งที่ควรทำให้ตรงต่อเวลาที่พอดีกัน ให้ทันเวลา อย่าช้า อย่าลืม บางทีเราให้เขาไปในตอนที่เขาไม่ต้องการ เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ขาดน้ำดิ้นอยู่บนพื้น ถ้าหากว่าเอาน้ำมาให้เขาไม่ทัน เขาตายไหม (ตาย) เพราะฉะนั้นความตระหนี่หรือความคิดที่คิดถึงแต่ตัวเองต้องขจัดทิ้งด้วย คิดถึงตัวเองมากก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก คิดถึงตัวเองน้อยก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวน้อย ไม่คิดถึงตัวเองก็เป็นคนที่รู้จักเห็นคนอื่นสำคัญกว่าตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นรักตัวเองก็ต้องรู้จักฝึกตัวเองคือ ต้องหาความลำบากต่างๆ มาให้ตัวเองฝึกฝน ไม่ใช่ความลำบากเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ใช่พูดว่าความทุกข์ไม่ดี ฉันไม่อยากทุกข์แล้ว มีความทุกข์ครั้งหนึ่งคือมีความสุขยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง แต่มีความสุขยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ให้กลัวว่าความสุขนั้นเป็นสิ่งที่นำความทุกข์มาให้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
อาจารย์เป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย แต่อยากมีศิษย์เรียบร้อยๆ เป็นผู้ชายก็ต้องมีความกล้าหาญเหมือนผู้ชาย แต่กล้าหาญไม่ใช่ความแข็ง บางทีเป็นผู้ชายก็ดูแข็งมากเกินไป บางทีเราแข็งในเรื่องที่ไม่เห็นจะน่าแข็ง บางทีเราพูดแบบไม่คิด จริงหรือเปล่า (จริง) บางทีเราก็คิดแต่ไม่พูด กลับตาลปัตรใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีคิดนานๆ กลับไม่ยอมพูด แต่เวลาพูดกลับไม่ค่อยคิด
ส่วนผู้หญิงอาจารย์ก็อยากได้ศิษย์ที่เป็นคนที่เรียบร้อย เป็นผู้หญิงก็ดูเหมือนผู้หญิง เป็นผู้หญิงแล้วทำอะไรก็ต้องดูเรียบร้อย ดูน่ารัก แต่ไม่ใช่ความน่ารักที่เป็นความเสแสร้ง แต่เป็นความน่ารักที่ออกมาจากใจที่ดีงามจริงๆ จิตใจที่ดีงามใสสะอาดนี่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำ พระจันทร์เวลาที่เมฆออกไปแล้ว ใสสว่างไหม (สว่าง) ใสสว่างมาก จิตใจของศิษย์ก็เช่นกัน เหมือนกับพระจันทร์ ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะปัดเมฆออกไปได้ เราก็จะเป็นคนที่มีจิตใจสว่างและงดงาม เมฆเหล่านั้นคืออะไร คือความวิตกไม่เข้าท่า คือความคิดหยุมหยิม คือความคิดจู้จี้ คือความขี้บ่นเป็นต้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่า เราเกิดเป็นผู้หญิงแล้ว ปกติก็ดูน่าเบื่ออยู่แล้ว น่าเบื่อคือเราเบื่อชีวิตเราเองใช่ไหม (ใช่) เบื่อมากๆ เลย ผู้หญิงเป็นเหมือนกันเกือบทุกคน คือ ชอบเบื่อชีวิตตัวเองอยู่เป็นนิจ ไม่พอใจ ไม่รู้เบื่ออะไร อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะศิษย์ยังไม่รู้ อาจารย์จึงไม่รู้ใช่หรือไม่ ความคิดพวกนี้จะต้องปัดไปใช่ไหม บางทีเราทำข้างนอกดูแข็งมากเลย แต่จริงๆ ข้างในอ่อน จริงไหม
ถ้าเป็นผู้หญิงที่มีหน้าที่การงาน ยิ่งรับผิดชอบสูง จะชอบสร้างภาพที่เหมือนคนแข็งมากๆ ยิ่งถ้าในบ้านมีคนที่ไม่ถูกใจมากๆ ยิ่งทำท่าที่ขึงขังเข้าไว้ แต่จริงๆ ใจอ่อนมากๆ มีประโยชน์ไหม ปกป้องตัวเองลักษณะนี้มีประโยชน์ไหม ผู้หญิงมีอาวุธอยู่อย่างหนึ่ง ที่เป็นอาวุธที่ร้ายแรงมากๆ คืออะไร ผู้ชายจะตอบได้ดี ผู้หญิงจะตอบว่าตัวเองมีอาวุธที่ร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่งคือปาก ผู้หญิงจะชอบพูดอย่างนี้ แต่ผู้ชายบอกไม่ใช่เลย ด่ามาสามชั่วโมงติดกัน ไม่กลัว แต่กลัวอะไร กลัวน้ำตา จริงไหมผู้ชาย เห็นไหม เราทำตัวแข็งๆ ทื่อๆ แล้วเราก็ว่าเขาสามชั่วโมงติดต่อกัน เขาไม่กลัวนะ แต่ถ้าเราทำตัวเงียบมากเลย เงียบจนน้ำตาไหลพรากๆ ผู้ชายกลับกลัว เห็นไหมว่าความแข็งไม่ค่อยมีประโยชน์ ว่าไปแล้ว เวลาดูละครนี่ นางเอกกับตัวอิจฉาใครร้องไห้บ่อยกว่ากัน (นางเอก) ทำไมเขาถึงเป็นนางเอก เพราะว่าเขาร้องไห้บ่อย ใช่ไหม (ใช่) คนดูสงสารไปหมดเลย แต่พระเอกยังไม่รู้เลย จริงหรือเปล่า (จริง) เพราะฉะนั้นจะเป็นนางเอกหรือตัวอิจฉาดี (นางเอก) อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์ร้องไห้บ่อย แต่อาจารย์ให้ศิษย์ร้องไห้เป็นการระบายอารมณ์ อย่าเศร้ากับชีวิตตัวเองมาก ชีวิตไม่มีอะไรน่าเศร้า ชีวิตมีแต่ความล้ำค่า ชีวิตมีแต่ความประเสริฐ ชีวิตมีแต่การยืนหยัด เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ชีวิตมีแต่กำไร เพราะชีวิตมีไว้ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง จริงหรือไม่ (จริง) ขอเพียงแต่เรานั้นเป็นคน ต้องหัดเพิ่มพูนคุณธรรมให้มากขึ้น หัดทบทวนศึกษาแก้ไขตนเองอยู่ทุกวัน อะไรที่เป็นเรื่องของความเมตตา อะไรที่รู้ว่าต้องทำ เราต้องไปทำ ให้เราแก้ไขตัวเองอยู่เสมอๆ หากเราทำได้ อาจารย์ไม่กลัวว่าศิษย์ของอาจารย์จะไม่ก้าวหน้า แสดงว่าศิษย์ก้าวหน้าแน่นอน จริงหรือไม่ (จริง) แต่การเพิ่มพูนคุณธรรมต้องแลกมาด้วยการศึกษาให้รู้จริงๆ ให้ศิษย์ไปสร้างบ้านหลังหนึ่ง สร้างเป็นไหม (ไม่เป็น) ต้องเรียนก่อนถึงรู้ จริงหรือไม่ (จริง) มันไม่ได้ง่ายเหมือนบอกให้ศิษย์ไปก่อกองทรายสักกองหนึ่ง ชีวิตไม่มีเรื่องง่าย แต่ชีวิตเป็นความมหัศจรรย์ เป็นกำไร ชีวิตเป็นความวิเศษจริงๆ ต้องหัดเจียดเวลาตัวเอง หัดแบ่งเวลาไปทำสิ่งที่ดีมากขึ้น
ถ้าเราหงุดหงิดอารมณ์ เก็บตัวอยู่คนเดียว กับการที่เราอยู่ข้างนอกเพื่อจะพบปะผู้คน คิดว่าวิธีไหนเป็นวิธีปลอบใจตัวเราเองที่ดีที่สุด การที่เราเก็บตัวอยู่คนเดียวไม่ค่อยมีประโยชน์นะ ส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่คนเดียวจะฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ ส่วนการที่ออกไปพบปะผู้คน กลับเป็นการทำให้เราละลายโศกได้ดี จริงหรือเปล่า (จริง) เพราะฉะนั้นอย่าเก็บตัว
“คนแสนรู้อาจมีเรื่องหนึ่งไม่รู้ ปล่อยวางอยู่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยนั่น”
ปล่อยวางกับปล่อยปละละเลยเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) การปล่อยปละละเลยคือ ไม่สนใจที่จะดูแล แต่การปล่อยวางคือ ปล่อยในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถจะควบคุมได้ เมื่อเราคุมไม่ได้ ทำไม่ได้ เราควรจะปล่อยวาง แต่การปล่อยวางทั้งนั้นทั้งนี้เช่น เรื่องลูกๆ เรื่องในบ้าน ปล่อยวางยากจริงๆ แต่ลูกเหมือนเราไหม ลูกเหมือนเราถอดแบบมาจากเรา เขาก็เก่งเหมือนเรา จะไปห่วงทำไม เพราะฉะนั้นให้เรานั้นปล่อยวาง แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย คือ ไม่สนใจ ไม่ดูแล ปล่อยให้ลูกไปเหยียบกับระเบิด เราก็ไม่สน อย่างนี้เราเรียกว่าปล่อยปละละเลย แต่ปล่อยวางคือ เตือนได้เป็นพักๆ เป็นการปล่อยวาง แต่หากเขาเก่งมากจนขนาดเราไม่ต้องไปสนใจไยดีเขาได้เลย ก็ยินดีกับศิษย์ด้วย การปล่อยวางกับปล่อยปละละเลยจึงไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ศิษย์อาจารย์จะปล่อยปละละเลยมากกว่า แล้วเวลาเดือดร้อนก็มาเรียกอาจารย์ อาจารย์ทำอย่างไรดี อาจารย์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าศิษย์เดินไปทางนี้ก้าวที่สิบจะเจอขีดดำ หากว่าพ่อแม่ไม่ไปเตือนเขาจะรู้ไหม (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นเตือนไว้ เขารำคาญหน่อยก็ไม่เป็นไร ต้องอดทน ถ้าหากปล่อยเขาเดินไปเรื่อยๆ ไม่บอกให้เขาหยุด เวลาเขาไม่หยุด เวลาเขาเป็นอันตรายขึ้นมาก็อย่าเศร้าใจ
อาจารย์จะบอกให้ เวลาอาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์มา ศิษย์ไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้นะ แต่ว่าอาจารย์อยากให้เอาในสิ่งที่อาจารย์พูดไปปฏิบัติ หรืออย่างน้อยฟังให้เข้าใจแล้วเก็บไปใช้บ้าง หรือถ้าให้ดีก็คือให้มีความเป็นผู้บำเพ็ญอยู่ในจิตญาณของตัวเองเลย ไม่ว่าอยู่ที่ไหนให้คนเขารู้สึกได้ว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญ อันนี้อาจารย์จะดีใจมากเพราะอะไร อาจารย์ไม่สนใจว่าเวลาคนมองๆ อย่างไร แต่อาจารย์สนใจว่าถ้าต่อไปศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกจะทำอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าจะมีชาติหน้าให้สำหรับศิษย์หรือเปล่า ชาติหน้าเป็นสิ่งที่ยังอยู่อีกนาน ถ้าหากว่าศิษย์ตายเดี๋ยวนี้อาจจะยังมีชาติหน้าอยู่ แต่หากศิษย์ไม่ได้ตายตอนนี้ เป็นอีกสิบๆ ปี หากถึงตอนนั้นเวลาของโลกไม่พอที่จะมีชาติหน้าแล้วทำอย่างไร ศิษย์ก็กลายเป็นวิญญาณตกค้าง นี่เป็นความกังวลที่สุดของอาจารย์ น่ากลัวมากนะ
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกหนาวร้อนคืออะไร ความรู้สึกใช่หรือไม่ (ใช่) ความรู้สึกอยู่ข้างใน เป็นสิ่งเดียวกับจิตใจนะ แต่เป็นจิตใจที่หยาบ ฉะนั้นบำเพ็ญจิตนั้นบำเพ็ญตรงไหน เริ่มแรกเราต้องเริ่มบำเพ็ญที่ความรู้สึกของเราก่อน เราต้องรู้จักสกัดกั้นความรู้สึกของเราก่อน เวลาเรามีความรู้สึกโกรธ เกลียด มีอารมณ์ที่ไม่ชอบ ไม่พอใจ เราต้องหยุดใจดวงนี้ก่อน ต้องรู้อะไรเหมาะควร ต้องรู้ว่าต้องคิดให้เป็น นั่นล่ะคือความสุขใจขั้นพื้นฐานเริ่มต้น หรือแม้คนที่บำเพ็ญมานานปีก็ตาม บางทีจิตใจนั้นยังไม่ได้รับการฝึกเพราะว่าเรายังคอยให้ความรู้สึกนั้นนำเรา ทำเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง แก้ปัญหาสักเรื่องหนึ่ง แต่ยิ่งยุ่งเพราะว่าเราใช้ความรู้สึกของเรามากเกินไป ความรู้สึกนี้เหมือนกับศิษย์อยู่ในห้องๆ นี้ แล้วคนในห้องนี้ก็รู้สึกร้อน รู้สึกหนาว ลมที่พัดมาเรารู้ได้ทันทีว่าลมนี้เป็นลมหนาว ไม่มีลมเรารู้สึกได้ทันทีว่าร้อน ห้องนี้เปรียบเสมือนสังขารอันหนึ่ง แล้วคนที่อยู่ในห้องนี้ก็คือจิตใจ ถ้าหากว่าเรายังไม่ได้เข้าไปถึงจิตใจลึกๆ ไม่ได้เข้าไปถึงจิตใจละเอียด เราก็จะไม่รู้ว่าเรานั้นมีจิตใจอยู่ เราก็จะปล่อยให้จิตใจเรานั้นหนาวร้อนอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นคนที่นั่งอยู่ในนี้ก็เป็นความรู้สึกนั่นเอง ฉะนั้นความรู้สึกอันนี้ต้องย้อนมองกลับเข้าไปให้ถึงจิตที่อยู่ลึกๆ ของเรา ให้มีอยู่เหมือนไม่มีอยู่ ไม่มีอยู่เหมือนมี นั่นล่ะคือความรู้สึกที่ย้อนเข้าไปเห็นถึงจิตลึกๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทครอบคำว่า “พบธรรมในคน”) ธรรมะในตนคืออะไร คือจิต แต่ธรรมะในคนหมายถึงอะไร อาจารย์อยากให้ใช้คำว่า “พบธรรมในคน” มากกว่า เพราะคนชอบคิดว่าธรรมะนั้นจำกัดอยู่แต่ใน
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้นเรียน)
โลกนี้เทคโนโลยีสูง เวลาที่เด็กโตขึ้นมาในเทคโนโลยีสูงก็ต้องรู้จักควบคุมจิตใจตัวเอง โทรศัพท์ต้องคุยน้อยๆ เที่ยวเล่นก็ต้องน้อยๆ ไม่อย่างนั้นแม่ก็ผิดหวัง
ที่ชัยนาทนี้ถ้าหากงานธรรมะจะขึ้นได้มากกว่านี้ จำเป็นที่จะต้องอาศัยคนเก่า ทั้งคนเก่าจากทางไกลที่อยู่ในการนำของพาอาจารย์ท่านเดียวกันและคนเก่าที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งยิ่งเป็นคนที่สำคัญมากที่สุด เพราะฉะนั้นทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทิ้งให้คนสองคนอยู่ก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องร่วมมือร่วมใจมาช่วยกันบ่อยๆ อย่าเป็นคนทำบุญตามเทศกาล มีงานก็มาที อันนี้คิดว่าได้บุญตามเทศกาลหรือได้บุญตามใจอาจารย์ดี
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้นักเรียนและผู้ร่วมฟังในชั้น)
อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน พออาจารย์แจกส้มมีศิษย์หลายคนหัวเราะ แต่มีหลายคนเขานั่งหน้ามุ่ยแล้ว คนเรามีความสุขหรือไม่มี
เห็นไหมว่าเป็นคนอายุมากไม่มีแรงไปสู้รบปรบมือ ไม่กล้าจะกระโดดรับส้มด้วย น่าสงสารหรือเปล่า เวลาเรามี เราจึงต้องให้คนอื่น แล้วคนข้างหน้ามีใครจะไปให้คนข้างหลังหรือเปล่า เห็นไหมว่าทุกอย่างแบ่งปันกันได้ เรารับแล้วเราก็ส่งให้คนอื่น พอเราไม่มีก็รับใหม่ อาจารย์ให้ศิษย์อย่างนี้ให้ไปเรื่อยๆ เวลาศิษย์กลับไปก็หัดให้ผู้อื่นบ้าง เห็นไหมว่าบางทีส้มแค่ลูกเดียวที่ศิษย์ได้กันคนละลูกก็ทำให้คนอื่นมีความสุขได้
ใจของเราเป็นใจที่มีความสะอาด เป็นใจที่มีความสงบและหนักแน่น คนบำเพ็ญควรจะมีใจประเภทนี้ คือมีความสงบและหนักแน่นในตัวเอง เวลาเจอปัญหาและอุปสรรคใดๆ ขอให้คิดว่าเป็นวิบากกรรม ขอให้คิดว่าเราจะต้องเดินต่อไปให้ได้ ไม่ใช่คิดถึงแต่ความท้อถอย คิดถึงแต่ความเบื่อหน่าย เวลาที่เรามีความทุกข์คือเวลาที่ทำให้เรารู้สึกตัวมากที่สุด เวลาที่มีความสุขนั้นคือเวลาที่ทำให้เราหลงไปกับกระแสมากที่สุด ความทุกข์เหมือนกับมือที่กระชากให้เรานั้นหยุดเพื่อที่จะคิด หากเรายิ่งมีความสุขมากเท่าไร เวลาที่ความทุกข์มากระชากก็กระชากแรงขึ้นเท่านั้น หากเรามีความสุขน้อย ความทุกข์ที่มากระชากก็เบาลงหน่อย ฉะนั้นความราบรื่นมากเกินไปก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าอยากจะราบรื่นมากๆ จงสร้างความราบรื่นให้กับคนอื่น หยิบยื่นความราบรื่นให้กับคนอื่นไปเรื่อยๆ แล้วตัวเราจะมีความราบรื่นมากยิ่งขึ้นดีหรือเปล่า (ดี) ให้สิ่งใดก็ได้ในสิ่งนั้นกลับมา แต่หากว่าเราเห็นคนเขาจะทำอะไรก็ขัดไปทั่ว ก็ไม่น่าสงสัยที่เวลาเราจะทำอะไรคนอื่นก็ขัดเรา
อาจารย์ยังหวังนะ ขอให้ศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ที่เป็นคนเก่าช่วยๆ กัน อย่าเป็นคนทำบุญตามเทศกาล สถานธรรมมาบ่อยๆ ก็ไม่ขาดทุน มาบ่อยๆ พื้นก็
เกิดมาชีวิตนี้มีเวลาไม่เยอะนะ อย่าคิดว่าเราเป็นคนที่มีเวลาเยอะแยะ ยังทำอะไรได้อีกตั้งมากมาย แต่สิ่งที่ควรจะทำนั้นไม่ยอมทำ ขอให้ไปทำในสิ่งที่สมควรทำให้มากๆ ใช้ปัญญาบางเรื่อง อะไรที่ควรรีบไปทำก็ต้องไปทำนะ
เวลาอาจารย์มาพบศิษย์ จะรู้สึกถึงความทุกข์มากมายที่ศิษย์นั้นแบกไว้ คนละตั้งมากๆ อาจจะมากจนทำให้บางคนก้าวไม่ออก บางคนก็อยากจะให้อาจารย์ปลอบใจให้กับคนๆ นั้นเลย แต่ศิษย์รู้ไหม ไม่มีศิษย์คนไหนในห้องนี้ที่มีทุกข์มากกว่าใคร ทุกๆ คนมีความทุกข์มากเหมือนกันหมด บางทีอาจารย์ยังอยากจะขอศิษย์ที่เป็นพี่แล้ว เป็นอาวุโสแล้ว ดูแลตัวเองให้มากๆ บางคนเจอเคราะห์กรรม เจอวิบาก เจอโรคภัย เจออุบัติเหตุ ดูแลตัวเองให้มากๆ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เกินกำลังแล้วอาจารย์ก็จะช่วย แต่ศิษย์ของอาจารย์ดูเหมือนเป็นศิษย์ที่ยังไม่โต ไม่ค่อยอยากจะช่วยตัวเองเท่าไร ไม่ค่อยอยากจะได้รับผลแต่ชอบสร้างเหตุ อาจารย์อยากวอนขอศิษย์ให้มีความเข้มแข็ง ให้มีความอดทน ให้ดูแลตัวเองให้ดีๆ ให้มีกำลังวังชาเหลือไปดูแลผู้อื่น อย่าใช้ท่าทีที่แข็งกร้าว เพราะมันไม่มีประโยชน์ อาจารย์ไม่เคยเห็นคนที่มีท่าทีแข็งกร้าว แล้วยังทำได้บรรลุผล ขนาดท่านกวนอูที่ว่าดุ เวลาเจอมนุษย์ที่ว่าดื้อ ท่านยังยอมอ่อนเลย แล้วศิษย์ทำไมจะแข็งต่อกัน
ดูแลตัวเองให้ดีๆ ให้อาจารย์ได้เอาเวลาที่ห่วงเจ้าไปห่วงคนอื่นบ้าง ให้ช่วยเหลือตัวเองบ้าง อย่าไปสร้างเหตุให้มันเกิดผล มีคำกล่าวว่า พระอริยะกลัวเหตุ แต่ปุถุชนกลัวผล ศิษย์ของอาจารย์ก็กลัวผลจริงๆ ไม่กลัวเหตุเลย ตอนนี้มีการสอบสองอย่าง คือสอบทางด้านปัญญา และสอบโดยใช้โรคภัย อุบัติเหตุให้มารับมือกัน แล้วยังสอบที่อารมณ์การบำเพ็ญขั้นตอนว่าไปถึงไหนแล้ว ยิ่งนานวัน ศิษย์ดูตัวเองในกระจก ว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญมากขึ้นไหม ไม่ใช่อยากให้คนอื่นยกย่องว่าเป็นผู้บำเพ็ญเท่านั้น ไม่ใช่เราเป็นพี่แล้ว อาวุโสแล้ว เราจะบำเพ็ญได้ดีกว่าคนอื่น ยังต้องขอคำชี้แนะ ยังต้องขอให้ตัวเองก้าวหน้ามากขึ้น ทำดีแล้วทำดีต่อไปอีก ทำดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป คำพูดนี้อาจารย์พูดจนไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านครั้งแล้ว แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นก็ยังทำได้น้อยมาก
ขอให้บำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจให้มากๆ อุปสรรคไม่ได้มีไว้ให้คนแพ้ อุปสรรคมีไว้ให้เราชนะ ถ้าเรามีกำลังใจ มีกำลังสติปัญญามากพอ รักษาตัวให้ดีๆ นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พบธรรมในคน”
มุ่งหมายจะเอาชนะด้วยอดทน รู้สึกตนลำบากเพียรคิดแง่ดีไว้
เข้าใจกันไม่ช่วยเบาแต่อยู่ได้ กำลังใจนานับหล่อเลี้ยงใจคน
ย้อนมองตนรู้ว่าตนทำอะไร ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องเหตุผล
ไม่ทำให้เบาใจด้วยความกังวล ก้าวย่างคนบำเพ็ญจิตยังมีกรรม