แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หยรูซื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หยรูซื่อ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

2558-10-04 สถานธรรมหยรูซื่อ ประเทศสหรัฐอเมริกา


วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558             สถานธรรมหยรูซื่อ ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ตั้งเสาตรงไม่ต้องกลัวเงาจะเอียง    ศิษย์เป็นเพียงเสาค้ำบ้านหรือค้ำโลก
เรือจะแล่นขาดน้ำพาขาดลมโยก     ศิษย์รู้โลกมาช่วยอาจารย์จะดีไหม
             เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่สถานธรรมหยรูซื่อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามศิษย์รักทุกคน ห้าโมงครึ่งแล้วไม่กลับบ้านหรือ

  ดุจดังเห็นแสงแล้วไม่อาจคว้า       คัดปราชญ์เมธีคืนฟ้าคลาดเจ้าฝัน
ทำไมคนมีธรรมไม่คลายยึดมั่น        ฟ้าเป็นฟ้าใต้คานรู้ด้วยบอก
จงแสวงมุ่งกลับสู่การหลุดพ้น         ตาน้ำหลากธรรมตื่นล้นปลายกระบอก
ศาสตร์หลากหลายไม่ได้เป็นเส้นนอก ธรรมไม่บอกใจความอื่นนานานา
แค่พลิกกลับหวนทางเก่าปัญญาตื่น   สูงสุดคืนหนึ่งเดียวกันสามัญหนา
ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องมือย่อมชนะ     ในผู้นำคอยมือขวาปัญญาตน
บำเพ็ญธรรมอย่าก้าวย่างเหมือนเดินย่อง ปัญญาพร่องทางทุกก้าวมีลมฝน
เกรงคนดีรู้ความไม่ถามตน            จนสากลเปลี่ยนเวียนหมุนเจ้าลอยคอ
ทุกชีวิตทุกเรื่องราวไม่มีง่าย           ระวังใจผกผันมียึดจดจ่อ
ทุกมุมมองต่อรอยมีรอยต่อ            ฝึกย่นย่อทุกทุกธรรมสู่กระทำ
ทุกชีวิตต่างกันหวั่นคือเราเอง         อยู่ในธรรมไร้ธรรมเองอยู่ประจำ
เป็นอยู่คือก็เราเองผู้กระทำ           ชะตากรรมอยู่ที่เรากำหนดเอง
                                                                   ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ     กลอนพระโอวาทตั้งแต่บรรทัดที่ 7 จนกระทั่งจบ
พระอาจารย์เมตตาประทานให้ในวันที่ 5 ตุลาคม 2558
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ห้าโมงแล้ว จะกลับบ้านหรือยัง อยู่ที่นี่เลยดีไหม ปูเสื่อนอนตรงนี้เลย ทิ้งเตียงสูงๆ ที่บ้าน นอนที่นี่เลยดีหรือเปล่า ทิ้งความสบายมาหาความลำบากดีไหม (ไม่ลำบาก)  ชีวิตนี้ลำบากหรือสบาย ลำบากมามากแล้ว ก็มาสบายตอนนี้แหละ ใช่ไหม ลืมหรือเปล่าว่าเราเคยลำบาก ชีวิตนี้ใครเกิดมา
ไม่เคยลำบากเลยยกมือขึ้น มีไหม (ไม่มี)
เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องได้มายากอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เลย ยากกว่าการที่เราเคยลำบากมาทั้งหมดทั้งสิ้น สู้ไหวไหม เพราะปกติเราลำบากก็เพื่อหาเงินหาทอง หาสิ่งที่เราอยากจะได้ทุกอย่าง แต่การบำเพ็ญธรรมก็ลำบากเหมือนกัน ลำบากเพราะเราเอาแต่ใจตัวเองมามาก ตอนนี้ต้องหันกลับมาทำความรู้จักกับตัวเอง ต้องหันกลับมาทำใจตัวเอง ถ้าหากว่าเราทำใจได้ ต่อไปเราก็จะ
ไม่ลำบากแล้ว แต่หากว่าเราทำใจไม่ได้ อะไรๆ ก็ลำบากไปหมด คนที่ทำให้เราลำบากที่สุดคือตัวเราเอง เพราะเรามีตัวของเรา จะทำอย่างไรถึงจะเอา
ตัวของเราออกไปได้ ตัวเราทั้งหนืดทั้งเหนียว เกาะติดชนิดที่แกะไม่ออกเลย แต่ถามว่าตอนนี้ไม่มีตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)
เพราะฉะนั้นคำว่า ตัวเรานี่แหละ มีอัตตาตัวตน ต่อให้ตายก็ไม่หมด หลุดจากชาตินี้ก็ไปชาติหน้า ที่ตายไปก็แค่ตัว แค่สังขารกายเนื้อที่เราสัมผัสได้ตอนนี้ เมื่อก่อนนี้ผิวหนังเราก็ยืดหยุ่นดี ตอนนี้จับแล้วเป็นอย่างไร (เหี่ยว)  เมื่อก่อนหน้าก็ตึงดูดี ตอนนี้มองกระจกแล้วเป็นอย่างไร (เหี่ยว)  คนสวยก็ไม่สวยแล้ว คนหล่อก็ไม่หล่อแล้ว หัวก็ล้าน เมื่อก่อนเส้นผมเคยดำ ตอนนี้ก็ต้องมาย้อม จริงหรือไม่ (จริง)  ลำบากไหม (ลำบาก)  ถ้าเรายังอยากยึดความสวยไว้กับตัวเรา มันก็ลำบาก ถ้าเราอยากจะยึดสิ่งที่เรานั้นอยากให้อยู่กับเราตลอดเวลามันก็ลำบาก ทำอย่างไรในเมื่อเขาจะไป ในเมื่อความชราจะมา ความสาวความสวยความหล่อความหนุ่มทั้งหมดจะไป ต้องทำอย่างไร
ปล่อยวาง ผมขาวไม่ต้องย้อม ดีหรือไม่ ผมร่วงก็ไม่ต้องหาอะไรมาใส่ ดีหรือเปล่า (ดี)  ง่ายไหม (ง่าย)  เวลามาสถานธรรมก็ไม่ต้องแต่งหน้า ไม่ต้องแต่งตัว เสียเวลา ใช่หรือเปล่า สิ่งที่ต้องทำคือ เสื้อผ้าต้องสะอาดเรียบร้อย อย่ามอมแมมเลอะเทอะ ซักผ้าไม่สะอาด ตอนนี้ใช้มือหรือใช้เครื่องซักผ้า
(ใช้เครื่อง)  วันนี้กลับไปซักเสื้อด้วยมือได้หรือเปล่า ลำบากหรือไม่ลำบาก
(ไม่ลำบาก)
การที่เรามีชีวิต เราบอกว่าตอนนี้เราสบาย จริงๆ แล้วสบายหรือเปล่า การหาเงินมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้สบาย แต่เราเรียกว่าสบาย เพราะมีความสะดวก เราเลยคิดว่าเป็นความสบาย ชีวิตนี้ไม่ได้สบายเท่าไร แต่ชีวิตที่ไม่สบายนี้ ยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา ชีวิตที่เราว่าลำบากหรือสบายแล้วก็ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเรามองอะไรก็อย่ามองแต่ตัวของเราเอง เราต้องมองว่าคนอื่นเป็นอย่างไร เขาต้องการ
ความช่วยเหลือจากเราไหม ก่อนที่เราจะทำอะไร เราต้องดูคนอื่นก่อนว่าคนอื่นต้องการให้เราช่วยไหม ถ้าหากว่าเราปลูกฝังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะมีนิสัยที่เมตตา เป็นคนที่มีเมตตาจิตที่อยากจะช่วยผู้อื่นเสมอ
ศิษย์ที่อยู่ในชั้นนี้ เกือบทุกคนเป็นผู้ที่จริตคือ เป็นคนที่มีความรู้
มีความเข้าใจในชีวิตอยู่แล้ว ถามว่าชีวิตนี้เข้าใจ และชีวิตเป็นอย่างไร ชีวิตนี้ต้องปลง ต้องปล่อยวาง รู้ไหม มีเหตุมีผลอะไร รู้หรือเปล่า ถ้าจะทำอะไร ต้องทำอะไรก่อน คิดออกทันที ไม่ต้องมีใครมาสอน ไม่ต้องมีใครมาบอก
แต่ชีวิตนี้อยู่เพื่อใคร (ตัวเอง)  อยู่เพื่อตัวเองเลยไม่มีคุณค่าเท่าที่ควร
ทำอย่างไรให้ชีวิตมีคุณค่ามากกว่านี้ ศิษย์ลองนึกดูถ้าหากว่าศิษย์ตายไปในชาตินี้ ใครจะนึกถึงศิษย์บ้าง ลูกหลานญาติพี่น้องใช่ไหม พอสิบปีผ่านไป เขายังนึกถึงเราไหม มันก็จะไม่ชัดเจนเท่าไรแล้ว ใช่หรือไม่ เราเป็นคนดีมากเลยถูกไหม ไม่มีใครที่นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี เป็นคนดีหมดเลย แต่พอสิบปีผ่านไป เขาลืมเราเพราะว่าอะไร
“ตั้งเสาตรงไม่ต้องกลัวเงาจะเอียง  ศิษย์เป็นเพียงเสาค้ำบ้านหรือค้ำโลก
เรือจะแล่นขาดน้ำพาขาดลมโยก   ศิษย์รู้โลกมาช่วยอาจารย์จะดีไหม”
ศิษย์รู้โลกมาช่วยอาจารย์จะดีไหม (ดี)  รู้ไปหมดทั้งโลกนี้เลยจริงหรือไม่ รู้ตื่นทุกอย่างในโลกนี้ วิชาความรู้ในโลกนี้ รู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ้น ให้พูดอะไรก็พูดได้ ให้ทำอะไรก็ทำได้ เก่งไปหมด ไม่มีอะไรที่ศิษย์ของอาจารย์ทำไม่ได้เลย แต่ว่าตอนนี้อาจารย์ไม่ได้มาเพื่อให้ศิษย์เป็นเถ้าแก่ใหญ่ แล้วก็ไม่ได้ให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่ร่ำรวย ไม่ได้ให้ศิษย์เป็นคนที่มีความสบาย แล้วก็ไม่ใช่ให้ศิษย์เป็นแค่คนดี แต่ต้องการมาทำให้ศิษย์เป็นพุทธะ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้นการที่เราอยู่บ้านเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน ทำตัวเป็นคนดี และเป็นคนที่คนอื่นเคารพ แค่นั้นพอไหม ก็ยังไม่พอ เพราะว่าเวลาที่เราเกิดมาแล้ว ชีวิตเรามีค่ามากมายกว่านี้ มากมายจนศิษย์นั้นคาดไม่ถึงเลยว่าชีวิตของตัวเองนั้นมีค่ามากๆ ที่ชีวิตศิษย์มีค่ามากๆ ก็เพราะวันนี้เราเกิดมามีสังขาร สำคัญไหม (สำคัญ)  มีวิญญาณอีกตั้งมากมายไม่มีสังขาร มีคนที่ไปเกิดเป็นสัตว์อีกมากมาย มีคนที่ไปเกิดอยู่ในภพภูมิเทวดาอีกมากมาย รวมทั้ง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชั้นนิพพานด้วย ก็ไม่มีสังขาร คนในโลกนี้เยอะ แต่ศิษย์เป็นคนที่มีสังขารที่ได้มารับธรรมะ วันนี้ได้รู้ประตูเกิดตายแล้ว ถ้าหากว่าตายแล้วสามารถที่จะบำเพ็ญให้หลุดพ้นได้ จะกลับคืนขึ้นสู่เบื้องบน แต่หากว่า
ไม่บำเพ็ญ หลุดพ้นไหม (ไม่หลุดพ้น)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ชาตินี้รับธรรมะแล้ว ศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องบำเพ็ญเลย แล้วหลุดพ้น ถามว่าอาจารย์ยุติธรรมหรือเปล่า (ไม่ยุติธรรม)
เพราะฉะนั้นในวันนี้ ไม่ใช่มาแค่รับธรรมะ แล้วพอเรียกให้ฟังธรรมะ
ก็ฟัง ฟังแล้วก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เข้าหูขวาทะลุหูซ้ายไป เสร็จแล้วบางทีก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อย่างนี้เป็นพุทธะบ้าง ไม่เป็นพุทธะบ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากที่จะพ้นการเกิดการตายไหม (อยาก)
ถ้าอยากพ้นการเกิดการตายไปชั่วกาลนาน จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เลย ถ้าหากว่าไม่เริ่ม เป็นอย่างไร จะถึงไหม (ไม่ถึง)  หนทางไกลแค่ไหนเริ่มต้นที่ก้าวแรก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ก้าวแรกเราก้าวไหม ถ้าไม่ก้าวเองจะถึงไหม (ไม่ถึง)  จะบอกว่าเดี๋ยวส่งลูกเราไปก้าวก็แล้วกัน เราจะถึงหรือไม่ถึง (ไม่ถึง)  เดี๋ยวส่งสามี ภรรยาไปก้าวแทนหน่อย เราจะถึงไหม (ไม่ถึง)  ต้องตัวเราเท่านั้นถึงจะทำให้ตัวเองนั้นถึงได้ ถึงนี้ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่เส้นชัย ไม่ต้องแข่งกันไป ขอให้ก้าวไปให้ถึงก็พอ ไม่ต้องแข่ง ไม่ต้องวิ่ง แล้วไม่มีใครแข่งกับใคร มีแข่งอย่างเดียวคือแข่งกับตัวเอง เดินไปเรื่อยๆ ก้าวแรกก้าวหรือยัง ก้าวไปเรื่อยๆ ก็ถึงเอง แต่ปัญหาคือก้าวที่ยากที่สุดคือก้าวอะไร (ก้าวแรก)  ก้าวที่ยากที่สุดคือก้าวแรกเสมอ เพราะว่าอะไร ก้าวแรกเราไม่มั่นใจ ห่วงนั่นห่วงนี่ พะวงนั่นพะวงนี่ คิดมาก คิดไม่ตก เดี๋ยวนะ จะไปตรงนั้น อันนี้หละ เยอะแยะไปหมดเลย สุดท้ายอยู่กับปัจจุบัน ทำตรงนี้ก่อน ตรงนั้นค่อยว่ากัน แต่สังขารไม่รอท่า ตอนคิดว่าจะทำ ทำไหวไหม (ไม่ไหว)  หลายๆ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ เมื่อสิบปีที่แล้วก็นั่งอยู่ที่นี่ ใช่ไหม (ใช่)  นั่งอย่างนี้มาสิบปีแล้ว ก็ยังนั่งอยู่อย่างนี้เหมือนเดิมเลย แล้วเมื่อไรถึงจะเริ่มก้าวแรก จริงไหม (จริง)
วันนี้ถ้าอาจารย์ไม่มา สงสัยจะร้องเพลงไม่เลิกนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เขาเรียกว่าติดสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีองค์ไหนอยากมาเลย รวมทั้งอาจารย์ด้วยก็ไม่อยากมา เพราะอะไร เพราะว่าศิษย์ทุกคนที่นี่เป็นผู้มีปัญญาดีอยู่แล้ว จะมาพูดก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้ฟัง คนมีปัญญาอยู่แล้ว คนที่มีพุทธจริต ถามว่าเป็นอย่างไรคนประเภทนี้ จริงๆ ก็มาอย่างถูกต้อง ถูกแนวทางอยู่แล้ว ฟังธรรมะเยอะๆ บำเพ็ญธรรมมากๆ แล้วต่อไป ทำให้ดี บำเพ็ญให้ดี ยึดสัจธรรม ก็สามารถที่จะสำเร็จธรรมได้เอง
เพราะฉะนั้นการที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา จริงๆ แล้วก็เป็นความสุขใจของ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ไม่ได้หมายความว่ามาวันนี้แล้วสุขใจ หมายความว่าทุกครั้งที่มาในโลกมนุษย์ก็เป็นความสุขใจ ที่มาก็เป็นเพราะห่วง ห่วงว่าถ้าหากไม่มาเจอหน้าตากันเลย ไม่ให้กำลังใจกันเลย ก็กลัวจะหมดแรงเดิน โดยเฉพาะอาจารย์กลัวที่สุดคือ กลัวศิษย์หมดแรงเดิน กลัวมาก เพราะว่าอุตส่าห์ช่วยมาด้วยความยากลำบาก ถ้าหากยังไม่เดินต่อ ก็กลัวจะไม่ถึงฝั่ง
มีบ้านไม่ยอมกลับ เพราะติดโลกนี้ โลกมนุษย์นี้สบายทุกอย่าง แต่โลกมนุษย์นี้ต่อไปถ้าหากเราดูแลสุขภาพไม่ดี จะป่วยไหม (ป่วย)  ต่อไปเราอาจจะเจ็บ
ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรืออาจจะตายก็ได้ สรุปว่าโลกนี้แน่นอนไหม
(ไม่แน่นอน)  โลกนี้ไม่แน่นอน เพราะว่ามีกายสังขารเป็นตัวกลางกั้น
ฉะนั้นโลกนี้ไม่แน่นอน เมื่อคิดได้อย่างนี้ จะทำอย่างไร อาจารย์จะบอกให้ จริงๆ แล้วการที่จะบรรลุธรรมมีอยู่สามก้าว ก้าวแรกคือศึกษา ก้าวสองคือปฏิบัติบำเพ็ญ ก้าวสามคือบำเพ็ญและสำเร็จ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่ง)
นั่งฟังธรรมะนานๆ ก็บ่น ยืนนานก็บ่น มนุษย์ขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ให้ทำโน่นมากไปได้ไหม (ไม่ได้)  ให้ทำนี่มากไปได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมเป็นอย่างนี้ คนบำเพ็ญธรรมต้องอดทนสักนิดหนึ่ง ถึงเวลาอดทนต้องอดทน
ถึงเวลาทำใจก็ต้องทำใจ ถึงเวลาจากลาก็ต้องปล่อยวาง ถึงเวลาต้องเข้าใจก็ต้องเข้าใจ อย่าไปเข้าใจอะไรยากมาก เหตุผลของเขาเป็นเหตุผลของเราไหม (ไม่ใช่)  เหตุผลของเขาก็ไม่ใช่เหตุผลของเรา เหตุผลของเราก็ไม่ใช่เหตุผลของเขา
เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามองอะไร บางทีเราก็ไม่ชิน เราไม่เข้าใจ เรา
ไม่เอา เรารับไม่ได้ แต่ถ้าหากไม่ได้เป็นความทุกข์ ไม่ได้เป็นความเดือดร้อน หรือไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ก็ทำใจ พอทำใจแล้ว ก็ไม่มีปัญหา ทำใจเข้าใจ ท้ายที่สุดแล้วเราอาจถึงขั้นเห็นใจและอภัย ถ้าหากทำได้แค่นี้ ชีวิตมีความสุขขึ้นมากไหม (มี)  ทำได้แค่นี้ หลักธรรมง่ายๆ ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมากแล้ว เพียงแต่เราจะทำไหม (ทำ)
อย่าไปเข้าใจอะไรยาก เข้าใจอะไรง่ายๆ ทำใจอะไรง่ายๆ รู้จักคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าหากว่าเรารู้จักคนอื่นมากเกินไป แล้วเรารู้จักตัวเองน้อยไปหรือเปล่า เวลาที่เราเลี้ยงลูกของเรา เรามองลูกของเราเป็นอย่างไร เรามองเขาด้วยความห่วงใยมากๆ เขาจะผิดจะพลาดอะไร เราดูแลให้เสร็จสรรพ แต่คนที่เรากำลังห่วงเขารู้ไหม เขาไม่รู้ว่าเราห่วง บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ บางทีเขาก็หงุดหงิดเล็กน้อย หรือบางทีเขาก็ทำให้เราเสียใจ เป็นแบบนี้เสมอๆ แต่ว่าเราทำเหมือนเรากำลังเลี้ยงลูกของเราตลอดเวลา เวลาที่เรา
ใช้ชีวิตก็เหมือนกัน บางทีเราก็ไม่ได้อยู่กับลูก แต่เรามองคนอื่นเหมือนกับเราเลี้ยงลูก ทำงานบริษัทฯ ก็ทำเหมือนไปเลี้ยงลูก เลี้ยงอย่างไร เราก็เลี้ยงบริษัทฯ มองบริษัทฯ ตลอดเวลา มองทุกอย่างรอบตัวไปหมด เพราะตาของเรามีไว้มองออก ไม่ยอมมองเข้า เราเข้าใจทุกสิ่งรอบข้าง เข้าใจทุกอย่างรอบตัว ชีวิตนี้เป็นอย่างไร ของใคร รู้หมด แต่รู้ตัวเองไหม (ไม่รู้)
เรารู้จักตัวเองน้อยไปนิดหนึ่ง เข้าใจตัวเองน้อยไปหน่อยหนึ่ง เราต้องหันมามองกลับเข้าไป ลูกตานี้มองออกใช่ไหม ใช้งานกัน 24 ชั่วโมงเลย
จริงหรือเปล่า (จริง)  แม้กระทั่งเวลาหลับ ลูกตาหยุดไหม ลองเปิดเปลือกตาดู ลูกตาหลับไหม ที่เราหลับคือเราหลับเปลือกตา เราไม่ได้หลับลูกตา หูของเราหยุดไหม (ไม่หยุด)  มีใครทำเสียงดังแก๊กๆ เราหลับอยู่ตื่นไหม (ตื่น)
ใช้งานกันตลอด 24 ชั่วโมงเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกอย่างเอาออกหมดเลย มองออก ฟังออก พูดออก ทำออก ออกไปหมดเลย ทีนี้ต้องหันกลับมามองตัวเอง ใช้ดวงตาที่สามที่อาจารย์ชี้ให้ มองกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะว่า
ยิ่งเราใช้ตาของเราดวงนี้ในการมีสติมากเท่าใด ใช้ตาของเราดวงนี้ในการสงบลงมากเท่าใด เราจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เมื่อเรารู้จักตัวเองมากขึ้น ก็พูดน้อยลงจริงหรือเปล่า (จริง)  วันไหนที่เราคิดว่าตัวเราเองผิด วันนี้เราไม่ยอมพูดเลย จริงไหม (จริง)  ทุกวันเราพูดตลอดเลยว่าใครผิดๆๆ แต่วันไหนที่เรารู้สึกว่าวันนี้เราผิด เราจะไม่พูด วันนั้นเราจะพูดน้อยลง นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะว่าเรามีสติมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันที่เราสติมากขึ้น เราก็พูดน้อยลง เราก็ก้าวช้าลง ใจของเราก็ร้อนน้อยลง นั่นเป็นวันที่เรามีสติ เรามีความเข้าใจในชีวิต อาจารย์อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ไม่ต้องรู้สึกแน่นๆ อยู่ข้างใน
แค่รู้สึกว่าดีแล้วที่เราได้รู้จักตัวเอง คิดได้ และทำให้ความแน่นๆ อันนั้นกลายเป็นความสุข มีความสุขที่ได้รู้จักตัวเอง
ทุกวันนี้เรารู้จักแต่ว่าเราชื่ออะไร เสื้อผ้าตัวไหนที่เราชอบ ดีไซน์ไหน
ที่เราพอใจ เราชอบอะไร เราชอบทะเล ภูเขา แม่น้ำ อ่าว ท้องฟ้า ต้นไม้ ชอบสีต่างๆ เรารู้แต่แค่นี้ อันนี้ไม่ใช่การรู้จักตัวเองเลย อันนี้เป็นแค่นิสัยของเราที่ได้ถูกปลูกฝังมาทีหลัง มีไหมไม่ชอบสีอะไรเลย สีขาวก็ไม่ชอบ ไม่ชอบสีอะไรเลย มองสีอะไรก็ราบเรียบเหมือนกันหมด มีไหม สมมติว่าตอนนี้อาจารย์เอาสี่สีหรือเจ็ดสีมาเรียงกัน ให้ศิษย์มองทุกอันเป็นระนาบเดียวกัน ไม่รู้สึกสะดุดตาพอใจอะไรเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นไปได้ยาก เพราะว่าเราถูกปลูกฝังว่า เราชอบสีอะไร ตั้งแต่เด็กจะถูกถามว่าชอบสีอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สุดท้ายพอเราโตขึ้นมา เราชอบสีอะไร เราก็ชอบสีใดสีหนึ่ง เราต้องหันกลับมารู้ว่า เรานั้นจะอยู่อย่างไร ให้เรานั้นเดินทางไปอย่างที่มีสติสัมปชัญญะเพื่อกลับคืน อย่างน้อยๆ ถ้าหากในโลกนี้สอนบอกว่า ชอบสีอะไร อาจารย์จี้กงสอนบอกว่า อย่าไปชอบสีอะไรเลย อย่างนี้ตรงข้ามไหม (ตรงข้าม)
เพราะฉะนั้นหลายๆ อย่าง เวลาที่มาสถานธรรมหรือมาฟังธรรมะ
ก็เป็นเรื่องตรงข้ามกันกับที่ศิษย์นั้นเคยเข้าใจ เคยรับรู้ หลักธรรมมีความตรงข้ามกับชีวิตของศิษย์อย่างสิ้นเชิงในบางมุม เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน เราก็ต้องทำใจที่จะฟังด้วย ไม่ใช่อะไรที่ไม่เหมือนกับที่เราคิดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าหลักธรรม
ฟังแล้วไม่เหมือนกับที่เราเคยฟัง เราก็ลองฟังดู ถ้าหากว่าหลักธรรมฟังแล้วเหมือนกับที่เราเคยฟัง เราก็มาคิดว่า เอ๊ะ
! แล้วเราปฏิบัติได้หรือยัง ถ้าหากว่าหลักธรรมฟังแล้วเราเกิดความเข้าใจ ให้ศิษย์นั้นก็ไปลงมือทำเลย เพราะหลายๆ เรื่องก็เป็นเรื่องที่รู้แต่ทำ (ไม่ได้)  ที่ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้แล้วทำไม่ได้ กับ รู้แล้วไม่ได้ทำ ไม่เหมือนกันใช่หรือเปล่า เราลงมือทำเราถึงรู้ว่าเราทำไม่ได้ แต่หากเราไม่ได้ทำ แล้วเราจะพูดได้อย่างไรว่าเราทำไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
สมมติว่าวันนี้อยู่ในบ้านของเรา คนในบ้านของเราที่เราทะเลาะด้วยประจำ เพราะว่าเราก็มีนิสัยประจำ จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วเขาก็มีนิสัยอะไรก็ไม่รู้ประจำ อย่างนี้เราจะเปลี่ยนเขาหรือเปลี่ยนตัวเราเอง (เปลี่ยนตัวเรา)  ทุกวันนี้ที่เรายังทะเลาะกัน ก็เพราะเราคิดว่าเขาทำแบบนี้เขาผิด
ลองปรับใหม่ ถ้าหากว่าเขาผิดหรือไม่เราอย่าเพิ่งไปสน เราต้องดูว่าเราผิดหรือเปล่า พอเราเริ่มรู้สึกว่าเราผิดหรือเปล่า เราก็จะพูดน้อยลง เราจะล่วงเกินเขาน้อยลง เมื่อทำอย่างนี้แล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดจากการที่เรารอให้เขาเปลี่ยน แต่เป็นการเปลี่ยนที่เกิดจากตัวของเราเปลี่ยนก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเปลี่ยนก่อนง่ายกว่าเขาเปลี่ยนไหม (ง่ายกว่า)  เพราะทุกวันเรารอเขาเปลี่ยน มันก็เลยยาก จริงหรือเปล่า (จริง)  ก็เขาคิดไม่ได้ ทำไมคนคิดได้อย่างเราไม่เปลี่ยน จริงไหม (จริง)  เขาคิดไม่ได้นี่ เขาไม่รู้ คนไม่รู้คือคน (ไม่ผิด)  ใช่ไหม คนไทยชอบพูดแบบนี้ใช่ไหม คนไม่รู้ก็คือคนไม่ผิด แต่จริงๆแล้วไม่รู้ผิดไหม (ผิด)  เพราะฉะนั้นให้เราคิดไว้ก่อนว่าเขาไม่รู้ แล้วเขาไม่ผิด เมื่อเขาไม่ผิด
ก็แสดงว่าใครผิด (เราผิด)  อ้อ
! ใกล้แล้วๆ ใกล้จะเปลี่ยนได้แล้วนะ ความสุขอยู่แค่ (เอื้อม)  ถ้าหากว่าเราไม่เอื้อมเราก็ไม่สุข ถ้าเราเอื้อมเราก็สุข แต่ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่ง่ายดาย
เพราะฉะนั้นการที่เราอยากจะสุข นั่นก็หมายความว่าเราต้องการที่จะเปลี่ยนตัวเอง เราต้องหัดพยายามทำความเข้าใจ รู้จักนิสัยของตัวเราเอง
ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักนิสัยของตัวเราเอง เราไม่เคยเห็นตัวเราเองผิดเลย แน่นอนอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ที่อาจารย์พูดตอนต้นว่าเราตายไป ใครจะนึกถึงเรา ก็ลูกเราหลานเรา คนรู้จักของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ห้าปีก็ชักเลือนๆ แล้ว พอสิบปีก็ตัวใครตัวมัน อย่างมากก็ทำบุญให้
ปีละครั้ง อย่างนี้ถือว่าเรามีคุณต่อใคร เรามีคุณเฉพาะกับคนในบ้านของเรา เพราะฉะนั้นคนที่จะรำลึกถึงเรา ก็มีแต่คนที่เราเคยทำคุณให้เท่านั้น อย่างนี้น่าเสียดายไหม
ถามว่าพระพุทธองค์ ปัจจุบันศิษย์ยังไหว้อยู่หรือเปล่า (ไหว้)  แล้วเวลาเห็นพระที่วัดไหว้ไหม (ไหว้)  ทำไมถึงยังไหว้อยู่ ถ้าพระพุทธองค์ดูแลแต่บัลลังก์ หรือดูแลแต่ครอบครัว ประชาชนในตอนนั้น ก็คงจะมีคนยังรำลึกอยู่เป็นแค่กษัตริย์องค์หนึ่ง
ถ้าพระโพธิสัตว์กวนอิน ไม่เสียสละออกมาจากวัง ปัจจุบันก็อาจจะไม่มีใครรู้จัก ส่วนศิษย์ของอาจารย์ทุกคน จะออกจากวังหรือยัง ที่วังศิษย์มีอะไรบ้าง วังของเราใหญ่โต ข้าทาสบริวารมากมายเต็มไปหมด ใช่หรือเปล่า สมบัติพัสถานใช้สามชาติยังไม่หมด ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อยากได้เงินเงินก็มา อยากได้ทองทองก็มา เรียกใครก็มาเลย ไม่มีใครเคยขัดใจเราเลยใช่ไหม วังเราเป็นอย่างนี้ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นวังนี้ไม่ค่อยสบายเท่าไร แล้ววังเราเป็นอย่างไร ถ้าไม่ทำงานแล้วได้เงินไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่ช่วยเขาล้างชาม เขาจะทำกับข้าวให้ทานไหม (ไม่ทำ)  แล้วถ้าไม่หาน้ำมันมาเติมรถ รถจะวิ่งไหม (ไม่วิ่ง)  อย่างนั้นวังนี้แย่แล้ว
ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีชีวิตเพื่อตัวของเราเอง หรือเพื่อคนในครอบครัวเท่านั้น เราก็จะได้รับผลก็คือ เราก็มีความสุขในชีวิตหนึ่งในชาตินี้ เมื่อเราตายไปแล้ว เราอาจจะกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก หรือเราอาจจะไปเข้าสู่สถานที่ฝึกฝนสำหรับดวงวิญญาณ เพื่อการกลับคืนเบื้องบนก็เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำแบบนี้ อาจารย์บอกศิษย์ว่า วันนี้ศิษย์ของอาจารย์
มีต้นทุนที่ดีที่สุดก็คือ กายสังขาร เป็นศิษย์ของอาจารย์ได้รับธรรมะแล้ว
ศิษย์ทำเท่าไร ศิษย์จะได้เท่านั้น หรือมากกว่านั้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
หมายความว่าอะไร ไม่ใช่ให้ศิษย์ดูแลแต่คนในบ้านของศิษย์ แต่ให้ศิษย์ออกมาดูแลรับใช้เวไนยสัตว์ด้วย ใครคือเวไนยบ้าง เวไนยนับตั้งแต่ตัวเราไปจนถึงคนที่เรามองเห็นทุกๆ คนด้วยตา คนเหล่านี้เราเองเราก็มีหน้าที่
ที่จะช่วยเขา ช่วยอะไรเขาได้บ้าง บางทีเราพูดธรรมะไม่เป็น เราก็พูดให้เขาสบายใจได้ไหม (ได้)  อย่าพูดให้เขาลำบากใจ อย่าพูดให้เขาร้องไห้ หรือพูดปลอบใจ ได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าหากว่าเราพูดธรรมะได้มากกว่านั้น เราก็สามารถพูดให้เขาเข้าใจสัจธรรมชีวิตได้ไหม ให้เขาปลงตกในชีวิต เข้าใจชีวิตและไม่ทำร้ายชีวิตตัวเอง
ถ้าศิษย์ฟังธรรมะ เข้าใจในอนุตตรธรรมแล้ว ศิษย์สามารถที่จะชวนเขามารับธรรมะได้ไหม (ได้)  ก็ย่อมทำได้ เมื่อเขามารับธรรมะแล้ว สมมติว่าศิษย์มีความเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง ก็อาจจะเหมือนอาจารย์บรรยายธรรม ที่วันนี้พร่ำพูดให้ศิษย์เข้าใจอนุตตรธรรม หรือการบำเพ็ญธรรม นี่ก็เป็น
ก้าวย่างของการที่สามารถจะช่วยคนได้ หากว่าเราทำได้แบบนี้ ทำได้จนเป็นนิจศีล ทำอยู่ประจำๆ ก็จะทำให้คนนึกถึงเรา ตอนที่เราตายจากไปมากขึ้นๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ หากว่าศิษย์ทำน้อย คนรำลึกถึงศิษย์ก็น้อย หากว่าศิษย์ทำมาก คนรำลึกถึงศิษย์ก็มาก แต่เราไม่ได้ทำเพื่อให้คนนึกถึงเราตอนตาย เราต้องการทำเพื่อให้โลกนี้เป็นสันติสุขให้ได้ ตอนนี้สุขแต่บ้านศิษย์ สุขแต่อยู่ในบ้าน แล้วปิดประตูบ้านด้วยถึงจะมีความสุข ถ้าหากว่าเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ ก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเปิดประตูบ้าน
ทุบประตูบ้านได้ ให้ความสุขนั้นไหลเวียนถ่ายเทหากันได้ ไม่ใช่ดีเฉพาะตัวเรา ไม่ใช่ดีเฉพาะคนในบ้านเรา ไม่ใช่ดีเฉพาะคนที่เรารู้จัก แต่ดีไปหมดทั่วโลก
สิ่งนี้ก็เป็นสาเหตุที่นักธรรมอาวุโสทั้งหลาย หรือคนที่ศิษย์มองเห็นอยู่ข้างหน้า คนที่เขาเสียค่าเครื่องบิน และยังมาพูดธรรมะให้ศิษย์ฟังอีก ต้องเสียสละงานทางโลกออกมา เพื่อที่จะมาพูดธรรมะให้เราฟัง เป็นเพราะว่าพวกเขารักศิษย์ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าศิษย์คือใคร และรักศิษย์ได้ ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าศิษย์นั้นอยู่ตรงไหนของโลกด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วจิตใจแบบนี้เรียกว่า
จิตใจของพระพุทธะ เราต้องทำแบบนี้ คิดแบบนี้ เราถึงจะเป็นพุทธะได้ แต่ไม่ใช่อยู่กันไป อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มจะงอน เกลียดขี้หน้า ชังขี้หน้ากัน กลายเป็นปิดประตูสันติภาพ เพราะว่าเห็นหน้ากันบ่อยเกินไป ตอนยังไม่เห็นรักกันมากเลย พอเห็นหน้ากันไปกันมา เริ่มเอานิสัยปุถุชนออกมาอีกแล้ว
วันนี้มาเจอศิษย์ก็มีความห่วง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าศิษย์ทุกคนนั้นเป็นคนที่มีปัญญามาก การที่เรานั้นมีปัญญาก็เป็นข้อดี การที่ศิษย์ในชั้นนี้มีปัญญามาก ก็เป็นเพราะว่าชาติก่อนเคยสั่งสมมาแล้ว การสั่งสมปัญญา
เป็นการสั่งสมที่ยากที่สุด เพราะต้องเกิดจากปัจจัยรอบข้างหลายอย่าง สั่งสมมาแล้วจึงจะผนวกกันเป็นปัญญาได้ หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น ปัจจุบันชาติพิจารณาตัวเองดีๆ ก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทนั้น คือถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ มาบอกให้เราทำ เราก็ไม่ทำ ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะทำให้เราเข้าใจ ให้เราทำไปแล้ว บอกไปเรื่อยๆ ให้เราทำ เราจะทำไหม (ไม่ทำ)  ก็ไม่ยอมทำ อันนี้ก็เป็นลักษณะของผู้มีปัญญา จริงๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์มีปัญญา
การบำเพ็ญธรรมนั้น ถ้าหากว่าเริ่มต้นได้เมื่อไร จะเป็นเรื่องง่ายมากทันที ปัญหาอยู่ที่ก้าวแรก ก้าวแรกเป็นก้าวที่ยากที่สุดของทุกๆ คนในการเดิน ถ้าหากว่าศิษย์เข้าใจก้าวแรกเมื่อไร ศิษย์ก็จะยอมเดินทันที บอกให้หยุดหยุดไหม (ไม่หยุด)  อาจารย์นั้นทั้งเป็นห่วงและเข้าใจ บางทีเป็นเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นปุถุชน การมองสิ่งรอบข้างมากเกินไป ทำให้เราคิดนั่น คิดนี่ไม่หยุด แล้วก็อย่างที่บอก ตาก็ปิดไม่ได้ หูก็ปิดไม่ได้ รับเรื่องต่างๆ นานาเข้ามามากมาย ทำให้เรามีข้อมูลมากมายไปหมด เวลาเราจะทำอะไรที เราก็ดึงข้อมูลออกมาทีละอัน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ข้อมูลด้านบุคคล ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านหลักธรรม ด้านความเข้าใจ ด้านอะไรก็ไม่รู้มากมาย ทำให้กลายเป็นคนที่เริ่มต้นยาก แต่อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะไม่มีลูกตุ้มอันหนักๆ นี้ถ่วงจนนานเกินไป เพราะว่าชีวิตนี้ไม่ยาว ยี่สิบปีที่แล้วเร็วไหม (เร็ว)  ยิ่งแก่จะยิ่งพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า
ตกลงเมื่อศิษย์กลับไป ศิษย์จะทำอะไรกันบ้าง ไหนลองยกตัวอย่างคำตอบง่ายๆ ของตัวเองหน่อย
(กลับไปก็จะไปเริ่มปฏิบัติก้าวแรกอย่างที่พระอาจารย์สอน, กลับไปศึกษาธรรม)  ต้องมาศึกษาที่ห้องพระ
(กลับไปศึกษาธรรมะเพิ่มเติมอย่างที่พระอาจารย์สอน)  เก็บธรรมะไว้ใกล้ๆ ตัว อย่าเอาธรรมะห่างตัวของเราไป
(กลับไปอ่านหนังสือธรรมะ)  ธรรมะต้องมาศึกษาที่สถานธรรมด้วย การได้อ่านศึกษาหนังสือธรรมะก็เป็นสิ่งดี แต่เมื่อศึกษาในหนังสือธรรมะแล้ว ก็ยังต้องกลับมาสถานธรรมด้วย เพราะว่าหนังสือธรรมะนี้ ไม่มีรัศมีของ
พระพุทธะสาดส่อง การที่ศิษย์มาสถานธรรม ก็เป็นการมากราบ
พระอนุตตรธรรมมารดา (เหลาหมู่)  แล้วรัศมีของพุทธะ ก็จะสาดส่อง
สู่จิตของศิษย์ จิตของศิษย์ก็จะมีปัญญาหลั่งไหลออกมาได้ง่ายกว่าเดิม

ที่สำคัญการศึกษาธรรมะ นอกจากศึกษาในชั้นเรียนแล้ว ศึกษาในหนังสือธรรมะแล้ว ก็อย่าศึกษากันตามการคุยกันแบบมีเรื่องนินทาไปด้วย แล้วก็พูดธรรมะไปด้วย อย่างนี้ไม่ค่อยได้อะไร เพราะว่าถูกอวิชชาครอบงำ ถึงตอนนั้นให้ฟังธรรมะมากมายสักเท่าไร ก็ไม่ค่อยจะได้ธรรมอะไร ที่สำคัญศึกษาธรรมะ ก็ไม่ได้ไปศึกษาในอินเตอร์เน็ต มีอินเตอร์เน็ตรู้ทุกอย่าง อ่านดีบ้าง อ่านไม่ดีบ้าง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ไม่มีคนอธิบายบ้าง สุดท้ายแทนที่จะกลับขึ้นสวรรค์เลยกลายเป็นอะไร (ลงนรก)  เลยกลายเป็นงงๆ แล้วก็เดินลงไปเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การที่มาศึกษาธรรมะนี้ เมื่อมีนักธรรมอาวุโสมา ยิ่งเป็นโอกาสให้ศิษย์นั้นได้เกาะกลุ่มทำความเข้าใจ เพราะว่าพวกเขาเหล่านี้มาด้วยกำลังศรัทธา มาด้วยการที่เบื้องบนหนุนนำมาด้วย เพราะฉะนั้นการที่อยู่ใกล้พวกเขาก็เหมือนการอยู่ใกล้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  เพราะฉะนั้นต้องรู้ตัวเองว่าตัวเองมีความสำคัญมาก ทุกๆ คนที่มาทำงานธรรมะ เบื้องบนแทบจะอุ้มมาแล้ว เจออุปสรรคบ้างนิดๆ หน่อยๆ จะต้องเอาจิตใจที่มีความตั้งใจออกมาแบกรับงานยุคสามนี้
สิ่งน่ากลัวคืออะไร น่ากลัวคือหนีไม่พ้นตัวเอง อยู่แต่ในโลกของตัวเอง ไม่สามารถที่จะก้าวย่างออกมาจากโลกตัวเองได้ เพราะว่าบางคนเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก ไม่สามารถที่จะหลีกพ้นออกมาจากตัวเองได้ ก็เหมือนอะไร จิตใจก็เหมือนกับกรงขัง ขังตัวเราไว้ข้างใน สุดท้ายเราเป็นอย่างไร
เราก็อยู่กับตัวของเราคนเดียว แล้วเราก็พอใจด้วย แล้วก็มีความสุขอยู่ในนั้นด้วย เราไม่ยอมที่จะออกมา แต่ว่าเป็นอย่างไร กุญแจยังอยู่ในมือศิษย์นะ
ไขแล้วเปิด ออกไหม (ออก)  อย่าปล่อยจนกระทั่งล็อกเสร็จ โยนกุญแจทิ้ง พอตอนไฟไหม้บ้าน หากุญแจไม่เจอ ไฟไหม้บ้านแล้วออกจากบ้านไม่ได้ อย่างนี้เป็นอย่างไร (ตาย)
วันนี้ 18.15 น. แล้ว ถ้าวันนี้อาจารย์ให้โอวาทเสร็จทั้งหมด พรุ่งนี้ก็จะไม่มากัน ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้อาจารย์มาใหม่ ศิษย์ก็จะได้กลับบ้านเร็วด้วย หวังว่าจะได้พบเจอศิษย์ครบทุกคนในวันพรุ่งนี้ ดีหรือไม่ (ดี)  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เหนื่อยจนเกินไป และอาจารย์ก็อยากจะให้ศิษย์ได้ฟังธรรมะในวันพรุ่งนี้ ด้วยอาการที่ไม่เหนื่อยล้าเกินไป เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เจอกันใหม่ ดีไหม (ดี)


วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558              สถานธรรมหยรูซื่อ ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทต่อ)
ชีวิตการบำเพ็ญธรรมเป็นชีวิตที่ต้องทำทุกๆ วัน ตลอดวัน และตลอดไป ดีกว่าหนังม้วนไหนๆ ในโลกนี้ เราเป็นนักแสดง และการแสดงนี้ต้องกำกับเองด้วย จะแสดงเป็นตัวโกงหรือตัวเอก (เป็นตัวเอก)  สังเกตไหมตัวเอกในละครทุกเรื่องเหนื่อยมาก ถูกนินทาและต่อว่าสารพัดเลย น่าสงสาร แบกก็แบกหนักกว่าทุกคนทุกสิ่งในเรื่องเลย เราก็คิดว่าเราเป็นตัวเอกคนนั้นไหม (เป็นตัวเอก)  แล้วทุกวันนี้แบกหนักหรือเปล่า แบกเองหรือมีคนเอามาให้แบก (แบกขึ้นมาเอง)  ถามว่าตอนนี้ในมือและในบ่ามีของไหม (ไม่มี)  แล้วเรียกแบกได้อย่างไร ตอนนี้มือเราว่างๆ ไหม ไหนลองปรบมือสักครั้งหนึ่ง ว่างไหม (ว่าง)  ปรบมือถึงจะมีเสียง ใช่หรือเปล่า ถ้าไม่ว่างก็จะไม่มีเสียง
มือของเราว่าง เมื่อปรบมือแล้วจึงทำให้เกิดเสียง ดังนั้นที่ไม่ว่างก็เพราะใคร (ตัวเรา)  ยอมรับไหม
เรามักจะยอมจำนนให้กับชะตาชีวิต และชะตากรรมที่เรานั้นเป็น
ผู้กำหนดเอง เราเป็นผู้กำกับแล้ว เราก็เป็นพระเอกและนางเอกเอง ทุกๆ เรื่องมีเราอยู่ตรงกลางของทุกๆ เรื่อง เรื่องบางเรื่องเราไม่รู้ เราก็ยังพาตัวเราไปอยู่ตรงกลาง ไม่รู้ดีกว่าไหม (ดี)  แต่เราอยากรู้ไหม (อยากรู้)  ไม่รู้ดีกว่า แต่ส่วนใหญ่ก็อยากรู้ อยากรู้และอยากทุกข์ เรื่องนี้จริงหรือไม่ รู้มากๆ แล้วทำให้เรามีความสุขมาก จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย เคยได้ยินแต่ว่ารู้มาก ก็ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ให้น้อย จะได้มีทุกข์น้อย ถ้าเขาไม่บอกเรา เราก็อย่าไปอยากรู้จะดีไหม (ดี)  ถ้าเขาไม่บอกเรา
ก็แสดงว่าเราไม่ควรรู้ เรารู้น้อยเราก็ทุกข์น้อย
ถ้าหากว่ามีคนมาเดินวนรอบตัวเรา เดินวนๆ เราจะสงบไหม (ไม่สงบ)  หนึ่งคนวน สองคนวน จนยี่สิบคนวน เราจะยืนขึ้นวนตามเขาไปเลยไหม จริงๆ แล้วคนที่มาวน ก็เปรียบเหมือนเรื่องราว แท้จริงแล้วเขาไม่ได้มาเดินวนรอบตัวเรา แต่เป็นเรื่องราวต่างๆ ของคนหลายคน มาวนอยู่รอบตัวเรา
รู้แล้วก็ยิ่งวุ่นวาย บางทีถ้าเรารู้น้อย ก็อาจวุ่นวายน้อยกว่านี้ เพราะฉะนั้นอะไรที่เขาไม่ให้เรารู้ เราก็ไม่ต้องไปรู้ ดีหรือไม่ (ดี)  เราบอกว่า ไม่รู้เดี๋ยวมีปัญหา ถามว่าถ้าเรารู้ จะมีปัญหาไหม (มี)  มีตั้งแต่ตัวเราออกไปเลย ดีไม่ดีตัวเราก็มีปัญหาไปด้วย บางทีบางเรื่องถ้ารู้น้อยๆ ก็ทำให้ทุกข์น้อย บางเรื่องเราไม่รู้ เราเองก็ไม่กลายเป็นปัญหา พอเรารู้มากๆ ตัวเราเองนั่นแหละ
กลับกลายเป็นปัญหา เสร็จแล้วความทุกข์ที่อยู่ในจิตใจแกะออกไหม ก็แกะไม่ออก ยิ่งแกะเลือดก็หลุดตามมา เจ็บมาก
อาจารย์ให้ดับสองที่ ดับที่ต้นเหตุกับดับที่ปลายเหตุ ก่อนจะมีเพลิงกองใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดเดียว อาจจะเป็นไม้ขีดก้านเดียว อาจจะเป็นไฟกองเล็กๆ กองเดียว ฉะนั้นเราดับกองใหญ่หรือกองเล็ก กองไหนง่ายกว่ากัน
(กองเล็ก)  ดับกองเล็กเราเอานิ้วไปกดนิดเดียวก็จบแล้ว แต่พอเป็นไฟกองใหญ่ต้องทำอย่างไร (เอาน้ำไปดับ)  น้ำหมายถึง ปัญญา น้ำเราก็ไม่ค่อยมี
จะไปตักน้ำตรงไหน เพราะไม่เคยไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับปัญญาเลย สนใจไปหาแต่คนฉลาดตลอด ปัญญาไม่เคยไปตามหาเลย ถึงเวลาจะดับไฟกองใหญ่
เราจะดับได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเราไม่เคยไปตามหาปัญญาเลย ทุกวันนี้เราไปตามหาแต่ทุกข์ๆ อยากจะหมดทุกข์ แต่ไปตามหาทุกข์ทุกวันเลย จริงไหม (จริง)  เราไม่ได้ตามหาความทุกข์ แต่เราไปตามหาความสุข ก่อนความสุข
จะมา ความทุกข์ก็มาก่อน เสร็จแล้วความสุขยังไม่ทันไปเลย ความทุกข์ก็ตามมาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นการมานั่งฟังธรรมะ สิ่งที่ได้เป็นอะไร ไม่ใช่ความสุขที่เกิดๆ ดับๆ เพราะความสุขมีคู่ก็คือความทุกข์ แล้วคู่ของ
ความทุกข์ก็คือความสุข
เรามานั่งฟังธรรมะ เราไม่ได้รับความสุขและความทุกข์ แต่เราได้รับความสงบ คือความเงียบของจิตใจ ใจของเราเคยเงียบบ้างไหม ปากของเราไม่พูด แต่ใจของเราเคยหยุดพูดบ้างไหม ใจไม่เคยหยุดพูดเลย ใจพูดอยู่ตลอดเวลา ใจเหนื่อยมาก พูดไม่หยุดเลย ถามว่าพูดไม่หยุดเราเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ถามอาจารย์บรรยายธรรม บรรยายไปหนึ่งชั่วโมง หรือห้าสิบนาที เขาเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เขาพูดไม่หยุดเลย พอเขาพูดเสร็จ อย่าไปพูดกับเขานะ เพราะว่ารู้สึกเหนื่อย และเสียพลังงานมากเลย ใจของเราไม่เคยพูดออกมาเป็นเสียง แต่พูดอยู่ตลอดเวลาเลย ทุกวันนี้เหนื่อยใจไหม (เหนื่อยใจ)  เหนื่อยใจยิ่งกว่าเหนื่อยกาย เพราะการเหนื่อยกายพักผ่อนก็หาย แต่เหนื่อยใจตอนหลับยังไม่ยอมหยุดเลย บางคนก็คิดไปเรื่อยๆ จนเป็นโรคนอนไม่หลับ พอให้นอนก็ไม่นอน อย่างนี้เราเป็นผู้กำกับหนังที่ไม่ได้เรื่องเลย กำกับหนังชีวิตตัวเองเสียเละเทะไปหมดเลย แต่ในความเละเทะของเรา เราก็ได้เงินทองมา ได้ความสุขสบายมาตามอัตภาพ เรื่องนั้นคิดดีแล้ว เรื่องนี้ทำออกมาแล้ว ก็ดูว่าไม่ดีเลยทีเดียว อันนั้นเป็นเพราะว่าเรานั้นมีบุญมาตั้งแต่ก่อนเก่า ต่อให้เราทำบุญแล้วไม่ดีเท่าไร แต่บุญก็ยังคงตอบแทนเราอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางเรื่องเราไม่คิดว่าจะลงเอยแบบนี้ได้ แต่สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้ ทำไมล่ะ ก็เพราะเราเป็นคนมีบุญ แต่ถ้าบอกอย่างนี้ นอนรอบุญเลยดีไหม (ไม่ดี)  ถึงแม้ว่าเราจะพูดกันถึงเรื่องบุญและกรรม แต่อาจารย์ก็ไม่ได้สอนให้ศิษย์นั่งอยู่เฉยๆ รอบุญมาตอบแทน ไม่ได้พูดแบบนี้ แต่หมายความว่า
ให้ศิษย์นั้นตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาจิตใจของตัวเองให้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ยกระดับจิตใจของตัวเองไปสู่การหลุดพ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ทำไมถึงบอกว่าอนาคตอันใกล้ ถามว่าตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว ถ้าเลขยิ่งหลายหลักนี่ ก็ใกล้แล้วนะ เลขหลักสี่ไปหลักห้าเร็วไหม หลักห้าไปหลักหกเร็วไหม หลักหกไปหลักเจ็ดเร็วไหม หลักเจ็ดไปหลักแปดเร็วหรือเปล่า (เร็ว)  แต่เราก็ยังรู้สึกว่า กว่าจะถึงหลักแปดอีกตั้งนาน จำได้ไหมว่าตอนไหนที่เราเริ่มนับอายุตัวเอง ตอนอายุหนึ่งถึงสิบปีไม่รู้จักนับ ไม่สนใจ พอเลยสิบปีไปแล้วก็เริ่มนับ พอสิบกว่าปียิ่งนับใหญ่เลย เป็นเด็กอยากโต พอเลขยี่สิบแล้วก็ชอบใจ เพราะเป็นช่วงที่ดีที่สุด แฟนก็มี ผิวพรรณก็เต่งตึง สายตาก็ไม่ยาว
ไม่สั้น ทำอะไรก็มีความสุขไปหมด อยากกินอะไรก็กินได้ กินเข้าไปเยอะๆ แต่ถ้าตอนนี้กินเข้าไปเยอะแล้วเป็นอย่างไร กระเพาะเริ่มทำงานไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวท้องผูก เดี๋ยวท้องเสีย เดี๋ยวก็ปวดหัว ร่างกายรวนไปหมดเลย จริงไหม (จริง)  พออายุเลยเลขสองมาแล้ว ก็เริ่มเห็นความเสื่อม มองไปทางไหนก็เสื่อมไปหมด เพราะฉะนั้นตอนนี้ใกล้หลุดพ้นหรือยัง ดูเหมือนไกลแต่จริงๆ แล้วใกล้ บางคนมีเวลาสิบปี บางคนมีเวลาอีกยี่สิบปี จะมีเวลาอีกกี่ปี ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รักษาสุขภาพดีไหม รักษาสุขภาพจิตดีไหม ตัวของเราเป็นอย่างไรบ้าง เราใช้ร่างกายของเราสมบุกสมบันมากแค่ไหน กรรมของเราเยอะหรือเปล่า เราเป็นโรคไหม มีหลายคำตอบหลายคำถามมาก แต่จะมัวเฝ้าถามเฝ้าตอบทำไม ในเมื่อทุกคนก็ต้องตาย ไม่มีคนใดที่จะพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้อายุเราเข้าหลักสี่ หลักห้า หลักหกแล้ว อีกไม่นานก็จะกลับไปหาอาจารย์แล้วใช่หรือเปล่า เวลาสั้นๆ ของชีวิตนี้จะทำอะไรดี
(พยายามตั้งสติ, พยายามเข้ามาศึกษาธรรม, พยายามชวนคนมา
รับธรรม)  แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรมจะทำให้ตอบเขาไม่ได้ แล้วคนอื่นก็จะต้อนเราจนมุมไปเรื่อยๆ เพราะเวลาเราไปชวนเขา เราต้องอธิบายให้เขาฟัง ถ้าเรา
รู้น้อยกว่าคนที่เราไปชวน เราจะลำบาก บำเพ็ญธรรมอย่าให้ใครบังคับ เราต้องบังคับตัวเอง บางเรื่องเราไม่อยากออกไปทำ ถ้าเราไม่บังคับตัวเอง
คนอื่นมาบังคับเราได้ไหม พอเวลาคนอื่นมาบังคับเรามากๆ เราก็รู้สึกว่าทำไมต้องมาบังคับ ยิ่งบังคับยิ่งไม่อยากทำ เป็นเพราะว่าศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในที่นี่ เป็นคนที่มีปัญญามาก ยิ่งคนที่มีปัญญามาก ยิ่งฉลาดมาก ก็ยิ่งไม่อยากให้ใครบังคับใหญ่เลย เพราะฉะนั้นอาจารย์แนะนำให้บังคับ (ตัวเอง)  ให้บังคับตัวเองดีที่สุดใช่หรือไม่ อะไรที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจก็บังคับตัวเองให้ศึกษา เมื่อเรา   รู้ว่าเราศึกษาแล้ว เรายังรู้น้อยไป ก็บังคับให้ตัวเองนั้นศึกษาให้มากกว่านี้    ดีหรือเปล่า (ดี)  เราเท่านั้นเป็นผู้ตอบได้ว่า เราศึกษาอย่างไรถึงจะตรงกับจริตของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
(อยากจะศึกษาธรรมแต่โอกาสไม่อำนวย)  ถ้าโอกาสไม่อำนวยก็ต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองนะ ว่าอย่างไรสองหนุ่มหล่อที่สุดในห้อง (พยายามที่จะทำตามคำที่พระอาจารย์สอน)
แม้ว่าหลายคนอายุล่วงเลยมาเป็นเลขหก เลขเจ็ด หรือใกล้จะเลขแปด หรือเลขแปดแล้วก็ตาม แต่ถามว่าช้าไปไหม (ไม่ช้า)  วันที่ช้าไป ก็คือวันที่
ไม่มีกายสังขารนี้แล้ว จึงจะเรียกว่าช้าไป
แม้วันนี้ศิษย์ของอาจารย์อาจจะป่วย ไม่มีแรง บางทีแขนก็หายไป
บางทีขาก็หายไป บางทีตัวก็เหลือครึ่งเดียว หรือวันนี้ไม่มีความสะดวก รถก็ไม่มี หรือมีรถก็ไม่มีเงินเติมน้ำมัน ถามว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรค ที่ทำให้เรานั้นไม่สามารถบำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เป็นอุปสรรค เพราะการบำเพ็ญธรรมอยู่ที่ใจเท่านั้น ใจเท่านั้นที่เราต้องบำเพ็ญ
ถ้าหากว่าเรานั้นมุ่งมั่นที่จะทำ มีอะไรขัดขวางเราได้ไหม (ไม่ได้)  ย่อมไม่มีอะไรขัดขวางเราได้ แต่หากว่าเราไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำ เราไม่มีปณิธานแรงกล้าในการดำเนินต่อไป แน่นอนต่อให้เราสบายทุกอย่าง เราก็
ไม่ทำจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นใจของศิษย์จึงเป็นใจที่สำคัญมากๆ ถ้าหากว่าศิษย์มีใจ ศิษย์ย่อมดำเนินการไปจนถึงเป้าหมายได้
ขอให้ศิษย์นึกถึงลูกธนูนะ ลูกธนูเมื่อเราง้างคันศรแล้ว พอเราปล่อยไปธนูก็วิ่งไปอย่างสุดขีดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ตอนนี้เริ่มต้นง้างธนู แล้วปล่อยตัวเองให้เหมือนธนู วิ่งไปจนสุดเป้าหมาย ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ถึง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่หากว่าตอนง้างคันธนูก็ไม่ค่อยมีแรง จะดึงดีไม่ดึงดี ไม่มีความเด็ดขาดเลย ดึงนิดหนึ่ง “เดี๋ยวก่อนๆ ขอไปล้างชามก่อน ดึงนิดหนึ่ง กับข้าวยังไม่ทำเลย ดึงอีกนิดหนึ่ง เดี๋ยวขอไปซักผ้า ผ้ายังไม่แห้งเลย” อย่างนี้เรียกว่าอะไร เรื่องจุกจิกเล็กน้อย ขัดขวางให้ตัวเราไม่สามารถบรรลุพุทธภูมิได้ น่าเสียดายไหม (น่าเสียดาย)  ขอให้ศิษย์ลงหลักปักฐาน ทำให้จิตใจนั้นแน่นหนาไปด้วยหลักธรรม แล้วไม่ว่าเหยียบไปตรงไหนก็แน่น ถึงตอนนั้นพอล้างชามไปก็มีธรรมะ ซักผ้าไปตากผ้าไป
จะทำงานใดๆ ขับรถก็มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าจิตใจมีหลักธรรมแล้วทำสิ่งใดก็ดีไปหมด แต่หากว่าใจยังไม่หนักแน่น ยังไม่รู้จัก
ผิดชอบชั่วดี ยังแยกแยะไม่ออก ยังไม่เข้าใจอะไรจริงๆ เลย ศิษย์เสียเวลา
ทำโน่นนี่นั่น นั่นนี่โน่นรอบตัวให้เสร็จก่อน แล้วบอกว่าเดี๋ยวค่อยมาบำเพ็ญธรรมะ อย่างนี้สายไปไหม (สายไป)
เพราะฉะนั้นในการศึกษาธรรมะ จึงต้องให้เวลาตัวเองช่วงหนึ่ง เหมือนกับการที่เรามารับธรรมะ คนพามาก็บอกว่าต้องมีเวลา 2 ชั่วโมงนะ อันนี้เวลาช่วงหนึ่งไหม (ช่วงหนึ่ง)  เวลาเรามาศึกษาธรรม บอกว่าต้องมาประชุมธรรมนะ ประชุมธรรมมี 2 วัน หรือ 3 วัน ก็อาศัยเวลาช่วงหนึ่ง
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาศิษย์มาศึกษาธรรมหลังจากประชุมธรรมแล้ว ก็ใช้เวลาอีกช่วงหนึ่ง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เป็นไปตามจิตใจของศิษย์ ว่าจิตใจของศิษย์นั้นมีที่ที่จะต้องเติมเต็มมากมายแค่ไหน
สมมติว่าจิตใจของเรานั้น ก่อนหน้านี้ขุดดินจากใจไปถมที่อื่นไว้มาก เอาไปสร้างบ้านบ้าง เอาไปทำงานบ้าง เอาไปทำอะไรมากมายไปหมด เหนื่อยยากลำบากมากมาย เหมือนเราขุดสมบัติในจิตใจของเราออกไปใช้มาก ก็ต้องถมมาก เพราะฉะนั้นการจะใช้เวลาในการศึกษาธรรม เพื่อทำความเข้าใจให้พื้นฐานในจิตใจนั้นแน่น แน่นเท่าไร แน่นขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่ว่าใจของศิษย์นั้น มันมีช่องโหว่มากมายแค่ไหน ถ้าช่องโหว่มากก็ถมมาก
ถ้าช่องโหว่น้อยก็ถมน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นช่วงเวลานี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ตอบไม่ได้ว่าทำเท่าใดถึงจะมีความเข้าใจในธรรมะ บางคนบำเพ็ญธรรมมา
สิบปีแล้ว ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เคยเห็นไหม ก็เป็นเพราะว่าหัวใจเขามีช่องโหว่มากเลย เขาก็กำลังถม พยายามถมจิตใจของเขา แล้วศิษย์จะไปมองคนอื่นทำไม เราต้องมองใจของตัวเราเอง ว่าใจของเราถมเต็มแล้วหรือยัง ใจของเราถมจากเหวมาเป็นพื้นหรือยัง ส่วนคนอื่นเขาจะบำเพ็ญแบบไหน ก็เรื่องของเขา เราบำเพ็ญก็เป็นเรื่องของเรา ระหว่างการบำเพ็ญ เรื่องของเรากับเรื่องของคนอื่น เราต้องสนใจเรื่องของตัวเราเอง ไม่ใช่สนใจเรื่องของคนอื่น เพราะดีไม่ดีจะกลายเป็นว่า เราไปมองเขาถมพื้น แต่ตัวเองไม่ถมของตัวเอง แล้วเมื่อถึงเวลาแล้วกลายเป็นว่า คนโง่ๆ ที่เราเห็น กลับบรรลุธรรม ส่วนตัวเอง     ผู้ฉลาด กลับมาเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ ถึงเวลาใครจะช่วยศิษย์ได้ อาจารย์สอนตั้งแต่เป็นมนุษย์ จนกระทั่งตายไปแล้วก็ยังต้องไปสอนต่อ การที่เราเป็นอาจารย์แนะนำรับรอง อาจารย์บรรยายธรรม นั้นเหนื่อยหรือไม่ ก็เหนื่อยเพราะว่า เราเป็นอาจารย์แล้ว ถ้าเราเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม ถามว่าเราเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย ทำแล้วเหนื่อยหรือไม่ (เหนื่อย)  ฉะนั้นเป็นอาจารย์จี้กงเหนื่อยหรือไม่ (เหนื่อย)  เหนื่อยก็เพราะเป็นอาจารย์ เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนก็เป็นอาจารย์เหมือนกันใช่หรือไม่ อย่ามองคนอื่น หันมามองตัวเอง
มองตัวเองแล้วก็คิด เวลาเราส่องกระจก เรามองเห็นในกระจก เรารู้ทันทีว่านั่นคือเรา เอาสัตว์ต่างๆ มาส่องกระจก เขารู้ไหมว่าเป็นตัวเขา (ไม่รู้)  เพราะว่าอะไร เพราะเขาเกิดมาในจิตวิญญาณที่ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ศิษย์ของอาจารย์ แค่เห็นกระจกอยู่ไกลๆ เราเดินไปมองเห็นเงาในกระจก เรารู้เลยไหมว่าคือตัวเอง (รู้)  แสดงว่าเรามีทั้งความฉลาด มีทั้งปัญญา และมีวิญญาณที่สมบูรณ์ เราเท่านั้นจึงเหมาะเป็นผู้บรรลุธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ที่เรารู้อย่างนี้ เพื่อให้เรารู้ว่าเราเองต้องช่วยตัวเอง เราช่วยตัวเองได้ เราถึงจะช่วยผู้อื่นได้ ถ้าเราช่วยตัวเองไม่ได้ ถามว่าเราจะช่วยคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  คนว่ายน้ำไม่เป็นไปสอนคนว่ายน้ำได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  คนสูบบุหรี่ไปสอนให้คนเลิกสูบบุหรี่ได้ไหม (ไม่ได้)  คนพูดธรรมะไม่เป็นไปสอนคนอื่นให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)
เมื่ออาจารย์มาที่นี่ อาจารย์มองเห็นว่าศิษย์ทุกคนที่นี่มีปัญญา ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกคนรู้ว่า เมื่อเรามีปัญญา เราต้องมีปัญญาไปช่วยผู้อื่น แต่ก่อนที่เราจะช่วยผู้อื่น เราต้องช่วยตัวเอง การช่วยตัวเองช่วยอย่างไร เหมือนทุกวันนี้ เรากินอาหารสามมื้อ เวลาหิวเราช่วยให้ตัวเองอิ่มทุกมื้อ
เราตักข้าวเข้าปากเองโดยที่ไม่มีใครป้อน แสดงว่าเราช่วยให้ตัวเองอิ่ม เหมือนกันเราต้องช่วยตัวเราเองให้สามารถที่จะหลุดพ้นได้ ไม่มีใครช่วยได้ แม้กระทั่งอาจารย์ที่มาพูดอยู่ตรงนี้ พูดอีกสองชั่วโมงผ่านไป ถามว่าถึงเวลาแล้วให้ใครช่วย ต้องให้ตัวเองช่วยตัวเองเท่านั้น หากว่าเราไม่บำเพ็ญเอง
ไม่ยอมก้าวก้าวแรกเอง ให้คนอื่นก้าวได้ไหม หรือว่าเราไปมองคนอื่นเห็นว่าคนอื่นเขาบรรลุธรรมได้ แล้วเราบรรลุธรรมได้ไหม เรามีอะไรต่างจากคนอื่นไหม เหมือนกับฮว๋าเอวี๋ยนต้าเซียน มีอะไรต่างกับท่านไหม (มี)  ต่างเยอะไหม เลือดที่อยู่ในร่างกายเหมือนกันไหม มีผิวหนังเหมือนกันไหม หน้าตาก็คล้ายๆ กัน แล้วต่างตรงไหน (ความตั้งใจ)  อย่างนั้นเราก็ทำความตั้งใจของเรา
ให้สูงขึ้นดีไหม
โดยปกติเวลาที่เราคิดอะไร ส่วนใหญ่ก็จะคิดอย่างมีเหตุมีผล คิดหลายชั้น เหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ ต้องแสดงวิธีทำ จนกระทั่งได้เป็นคำตอบ แต่เคยมีคณิตคิดในใจไหม (เคย)  อาจารย์จะยกตัวอย่างให้ฟังว่า จริงๆ แล้วศิษย์หลายๆ คนเป็นคนที่มีสติมีปัญญามาก เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไร ก็จึงค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ถามว่าดีไหม ก็ดี แต่เพราะเป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ศิษย์จะใช้เวลาคิดมากกว่าเวลาทำ เวลาคิดเยอะเวลาทำน้อย ถามว่าเราจะเป็น
ผู้บำเพ็ญธรรม ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการคิดหรือการทำ การที่เราบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่เรื่องของการคิด แต่เป็นเรื่องของการทำ เพราะธรรมไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์ ธรรมะเป็นการลงแรงปฏิบัติ เมื่อยิ่งปฏิบัติ ก็จะยิ่งได้คำตอบ บางทีเราใช้เวลาคิดมาก พอคิดเสร็จไปหลายๆ อย่าง พอออกมาจากความคิด แล้วไปเจอปัจจัยรอบข้าง มันไม่เป็นอย่างที่เราคิด ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนกับให้เราจัดห้องนี้ใหม่ ถามว่าทุกคนจะจัดเหมือนกันไหม
(ไม่เหมือนกัน)  สิ่งที่ศิษย์จัดได้อย่างเดียวคือ จัดใจของตัวเอง ใจของเราเท่านั้นที่เรามีสิทธิ์ที่จะจัดได้ แต่เพราะเราเสียเวลาคิดเยอะ คิดเสร็จพอมีคนเดินเข้ามาจับเราหมุนหน่อย ได้ไหม (ไม่ได้)  เราก็โกรธ ไม่พอใจ สมมติกระจก เราจะจัดไว้ทางหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งจะไว้อีกทางหนึ่ง ก็ย่อมเป็นไปได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นธรรมะไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์ จึงต้องให้ศิษย์เป็น
ผู้ลงแรงปฏิบัติเอง ไม่ใช่การนั่งคิดเอา ยิ่งเราออกมาปฏิบัติ เรายิ่งเจอคนมากเท่าไร เราจะยิ่งพัฒนา ต้องขอบคุณคนที่เข้ามาอยู่ในชีวิตของเราทุกคนด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก หรือคนที่ไม่รู้จักกัน
ศิษย์ต้องขอบคุณเขา เพราะเขาคือกระจก เห็นเขาแต่ไกล นั่นคือกระจก
ทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา คือกระจก ผ่านกันมาแต่ไกลแล้ว เดินมาแล้ว กระจกเดินกันมาอีกแล้ว เห็นไหมตัวเอง (เห็น)  เราเห็นไหมว่ามีกระจกเดินมาหาตัวเอง (เห็น)  เราไม่เห็นไง เราไม่เห็นว่าเขาเป็นกระจก
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นกระจก ฉะนั้นเราจึงไม่เห็นตัวเราเอง ดังนั้นเราต้องมองเห็นคนอื่นเป็นกระจก เพราะเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญ เราต้องมองทุกๆ คนนั้นเป็นดั่งกระจก เช่น เห็นเขาปากระปุกใส่ เรารู้สึกอย่างไร เราก็ต้องคิดแล้วว่า เราทำอะไรผิดหรือเปล่า แล้วเมื่อเห็นเขาเม้มปาก เราก็ต้องคิดแล้วว่า เราพูดอะไรผิดหรือเปล่า เห็นเราพูดแล้วเขาหันหน้าหนี เราก็ต้องคิดว่า เราพูดน่าเบื่อหรือเปล่า หรือกำลังคุยกันอยู่ แล้วเขายกนาฬิกาขึ้นมอง เราก็ต้องคิดว่าสงสัยเราจะพูดมากเกินไปหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่า เห็นคนอื่นเป็นดั่งกระจกส่องเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีพูดมากจนเกินไป คนก็มักจะรำคาญ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าพูดน้อยเกินไปก็ไม่ได้ใจความ ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นพูดกับไม่พูด ก็แทบจะไม่ต่างกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเขาด่าเราก็แสดงว่า กระจกบานนี้ไม่หลอกตาเราเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเขาชมเรา ก็ต้องคิดแล้วว่ากระจกบานนี้หลอกตาเราหรือเปล่า หรือวันนี้รู้สึกว่าส่องแล้วสวยเกินไปหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นให้มองผู้อื่นนั้นเป็นดั่งกระจกส่องตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีนั้นเรารู้สึกว่าได้รับคำชมมากเกินไป ก็ให้มามองที่จิตใจของตัวเองว่า เราได้หลงไปตามคำชมของเขาไหม แล้วถ้าบางคนเขาว่าเรา เราก็มองอีกครั้งว่าเราแย่อย่างนั้นจริงหรือเปล่า ถ้าเรารู้สึกว่าเราผิด เราก็ควรยิ่งพูดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราถูกไปหมดเลย เราก็จะบ่นไม่ยอมหยุดเลย พูดมากเกินไปด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วพูดมากกับพูดน้อย แบบไหนพูดผิดมากกว่ากัน (พูดมาก)  พูดมากจะทำให้เราพูดผิดได้ง่าย ถ้าเราพูดน้อยเราก็อาจจะพูดผิดน้อยหน่อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องพยายามทำความเข้าใจกับตัวเอง เพราะสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ทุกอย่างเป็นการบำเพ็ญตัวเอง มองดูทุกครั้งเมื่อคนอื่นมาพูดกับเรา หรือมากระทำอะไรด้วย เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดีจริงๆ อย่างที่เขาชมหรือเปล่า เราจะได้ไม่เป็นคนบ้ายอ ไม่เป็นคนที่ถูกยกหางบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เนื่องจากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น เป็นผู้ที่มีปัญญามาก มีพุทธจริตสูง ส่วนใหญ่คิดอะไรก็จะคิดเป็นรูปภาพ เรื่องราวผ่านเข้ามาในตาและหู คือตามองเห็น หูได้ฟัง คิดออกมาเป็นรูปภาพ คนประเภทนี้ในโลกเรียกว่า คนฉลาด เพราะฉะนั้นคนประเภทนี้ ก็จะสื่อสารกับปัญญาของตัวเองได้ดี จึงเป็นผู้ที่มีพลังสร้างสรรค์สูง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็ต้องระวังตัวเอง เพราะการสร้างสรรค์ของเรานั้น อาจจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอย่าคิดว่าเราทำดีทุกอย่างแล้วใครๆ จะต้องชอบเราเสมอ คนที่มีปัญญา จะเห็นอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตเหมือนดั่งคลื่นทะเล เมฆฝนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็จะผ่านไป และยิ่งมีปัญหามากแค่ไหน สำหรับคนที่มีปัญญาก็จะมองเห็นว่า ลมยิ่งมากขึ้นเท่าไร ก็จะผลักทำให้ว่าวทะยานขึ้นสูงมากขึ้นเท่านั้น ในหมู่ของศิษย์นั้น อาจารย์ก็หวังว่า สามารถที่จะคิดว่าตัวเองนั้น
ทำได้แบบนี้ แต่อย่างที่บอก เมื่อมีพุทธจริตแล้ว ก็แปลว่ายังมีจริตอยู่ อย่างที่อาจารย์พูดไปตั้งแต่เมื่อวานว่า ถ้าใครพูดอะไรที่ไม่มีเหตุผลกับเรา เราก็อาจจะไม่ทำก็ได้ แบบนี้อาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับเรา เพราะหลายๆ คน
พูดธรรมะให้เราฟัง ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะพูดได้ดี
ฉะนั้นการมาสถานธรรม จึงต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องคนกับธรรมะ ไม่ใช่มาสถานธรรมแล้ว เห็นคนแล้ว เราคิดตำหนิข้อเสียของเขา ทำให้เรานั้นบำเพ็ญธรรมไปไม่รอด เพราะเราปลงไม่ลง แล้วก็มีคำถามในใจว่า ทำไมคนบำเพ็ญธรรมเป็นเช่นนี้ ถ้าหากเรามีความคิดเช่นนี้เมื่อไร แสดงว่าปัญญาเรานั้นได้ไหลลงสู่ที่ต่ำแล้ว เราต้องแยกได้ เพราะปัญญาคือการแบ่งแยก     หากคิดได้ดังนี้ จิตใจของเราก็จะบำเพ็ญธรรมด้วยความนิ่ง และก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ เพราะตาไม่มัวแต่มองคนอื่น ไม่มัวแต่คิดอะไรมากมาย จนกระทั่งเป็นอุปสรรคให้กับการบำเพ็ญของตัวเอง
สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการบำเพ็ญธรรมของศิษย์ทั้งหลาย คือเรื่องของคนกับคน เพราะมีคน เหมือนมีการคนแล้วก็มีปัญหา คนกันไปก็คนกันมา ก็เกิดความวุ่นวาย ดังนั้นเราจึงต้องหันมาทบทวนตัวเราเอง บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นใด การปฏิบัติธรรมสามารถปฏิบัติได้หลายรูปแบบ หลายระดับ เช่น การมาสถานธรรม แล้วได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย คือการปฏิบัติธรรม และในการปฏิบัติธรรมนี้ ก็สามารถยกระดับความคิดให้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในการบำเพ็ญธรรมนั้น เป็นเรื่องของตัวเราคนเดียว เพราะเป็นการย้อนมองส่องตน ในขณะที่กระทำสิ่งใดอยู่ เราเห็นตัวเองหรือไม่
ถ้าเราเห็นตัวเอง เข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง และเราเอาชนะตัวเองได้ นั่นจึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า
เราได้บำเพ็ญธรรมในขณะนั้น
(พระอาจารย์ให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
“ฟ้าใต้คาน” เข้าใจหรือเปล่า เวลาจะมองฟ้าต้องออกไปมองข้างนอก แต่คนสมัยนี้ มองฟ้าอยู่ใต้คาน มองฟ้าอยู่ในบ้าน มองอยู่นั่นแหละ นั่งจิบกาแฟไป มองฟ้าไป นี่คือ ฟ้าใต้คาน เป็นการรู้ด้วยการบอกเท่านั้น หรือว่า
รู้แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ อย่างนี้ก็เรียกเป็น ฟ้าใต้คาน
เอาผลไม้ที่อร่อยที่สุดบนโต๊ะมาให้สักสองลูก อันนี้ฟ้าให้ แม้นว่าศิษย์สองคนนี้ไม่ได้เป็นเจี่ยงซือ ด้วยเหตุใดก็ตาม อาจารย์ก็วางศิษย์ไว้ในฐานะนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นปณิธานไม่ได้ลดลงไป แต่ขอให้ช่วยงานเปรียบดัง
เจี่ยงซือนะ เข้าใจไหมทั้งสองคน ประเทศนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน จะมาประชุมธรรมที แค่ชั้นนี้ก็มากันสิบทิศ แต่เราเป็นผู้ชนะสิบทิศ ทุกคนมีทิศของตัวเอง ในทิศของตัวเองทุกคนก็ชนะ งานธรรมะก็ต้องให้ทุกๆ คนไปปฏิบัติ ปฏิบัติจากตัวเราเอง จากภายในสู่ภายนอก ให้คนเขามองเราเป็นธรรมะเคลื่อนที่ ให้เหมือนเห็นตู้ยาเคลื่อนที่ เห็นเราปุ๊บหยิบยาแล้วก็หาย แล้วก็พยายามที่จะพัฒนาตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ลมยิ่งแรงปะทะว่าวยิ่งสูง เรายิ่งสูงก็ทำให้เรามีชีวิตที่ดีมาก แล้วก็มีชีวิตทางธรรมที่สูง แบบที่ใครๆ ก็บินให้สูงได้ แต่ถ้ามัวติดปัญหาเล็กๆ เราก็เหมือนกับเอาลูกตุ้มไม่ใหญ่เท่าไร
แต่เหมือนหลายลูกเล็กๆ มาถ่วง พอมันเยอะมันก็หนักนะ ทำงานธรรมะ
ทุกครั้งที่อยากจะทำนะศิษย์
สองคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถมาก และศิษย์อีกหลายๆ คนในที่นี่ก็เป็นคนที่มีความสามารถมาก ไม่มีใครมากกว่าใคร แต่อายุของพวกเขา
หลักสาม หลักสี่ ของพวกเราหลักห้า หลักหก แต่อย่ายอมแพ้ เพราะถ้ายอมแพ้ก็มีแต่หยุดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ยอมแพ้ก็เดินต่อไป แพ้ก็จบ ยอมแพ้ตอนหมดลมหายใจ หมดลมหายใจเมื่อไรก็จบภารกิจ อยากจะสู้ต่อก็สู้ไม่ได้แล้ว แม้แต่คนนอนป่วยอยู่บนเตียง ใจก็ยังสมบูรณ์อยู่ ใจสมบูรณ์แบบคนที่เป็นเด็กน้อยเลย ฉะนั้นไม่มีใครที่จิตใจไม่สมบูรณ์ และไม่มีใครที่ไม่เหมาะ
แก่การบำเพ็ญธรรม ทุกคนย่อมเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม มรรคผลฐานบัวของทุกคนก็มีอยู่ข้างบนอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้มันแห้งเหี่ยวหรือตายไปแล้ว ฉะนั้นเราต้องหมั่นสร้างกุศลเพื่อไปรดน้ำพรวนดิน แต่มนุษย์ประหลาด อะไรที่มองไม่เห็นก็ไม่เชื่อ อะไรที่สัมผัสไม่ได้มองไม่เห็นก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นความที่เป็นคนฉลาด เป็นคนเจ้าระเบียบ เจ้ากฎเกณฑ์ของศิษย์นี่แหละ ที่จะทำร้ายตัวเอง วันนี้ที่อยู่กับอาจารย์ตอนนี้ เชื่อเป็นส่วนใหญ่ มีความสงสัยเป็นส่วนน้อย หลังจากวันนี้ต่อไป ความสงสัยจะนำหน้า และความเชื่อจะเป็นส่วนน้อย ถึงตอนนั้นอาจารย์จะบอกให้ อาจารย์มาวันนี้ ไม่ได้มาบอกว่าศิษย์ต้องเชื่ออาจารย์ อาจารย์ไม่นำพาในสิ่งที่อยู่ในใจของศิษย์ อาจารย์นำพาแต่ธรรมะที่อยู่ในจิตใจของศิษย์ ว่าจะเข้มแข็ง แข็งแรง และสามารถ
ที่จะเป็นเสาให้ลูกศิษย์ใช้ค้ำถ่อไปจนถึงพุทธภูมิหรือไม่ อันนี้สำคัญที่สุด
เพราะฉะนั้นวันไหนที่ความสงสัย ความเบื่อหน่าย ความขี้เกียจ ความท้อแท้ ความไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจโลก เข้ามาแทนที่ศิษย์ ขอให้ศิษย์รีบกลั่นน้ำดีจากจิตใจมาดันน้ำเสียนี้ออกไป ให้น้ำดีในจิตใจทะลักล้น ไล่น้ำเสียออกไป เพราะโดยสภาพของน้ำแล้ว น้ำไม่เคยรังเกียจ วันนี้น้ำเสียในจิตใจของเรามากหน่อย เราก็เอาน้ำดีไปเติม น้ำเสียก็กลายเป็นน้ำดี พอวันนี้
น้ำเสียทะลักเข้ามาอีก เราก็กลั่นน้ำดีของเราเติมเข้าไป ทุกคนมีเครื่องกรองอยู่ในตัว มีน้ำดีอยู่ในตัว เราก็เติมน้ำดีเข้าไปหน่อย ไล่น้ำเสียออกไป เพราะมนุษย์ห้ามความคิดไม่ได้ ความคิดเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะตาหูของเราทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่คิด คิดอยู่ตลอด ทั้งเรื่องดีและไม่ดี คิดทั้งๆ ที่รู้ว่าคิดแล้วเครียดก็ยังคิด อย่างนี้ทำร้ายตัวเองไหม (ทำร้าย)
เพราะฉะนั้นให้เราพยายามคิดแต่ในสิ่งที่ดี หากทำไม่ได้ ให้บอกตัวเองว่า น้ำเสียที่อยู่ในใจตัวเองกำลังจะเน่าแล้ว ต้องกลั่นน้ำดีเทลงไป การที่ใช้วิธีไปเที่ยว นั่งเรือ ยิงนก ตกปลา เที่ยวธรรมชาติ เพื่อกลับมาเติมภายในจิตใจของเรา อันนี้เป็นวิธีการของคนทั่วไป แต่เที่ยวตลอดไม่ได้ เพราะยิ่งเที่ยวมากยิ่งเสียเงินมาก ใช่หรือเปล่า อันนี้ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง วิธีการที่ถูกต้องคือ ท้องฟ้าก็มีอยู่ในใจ ทะเล สายลม ลำธาร ก็มีอยู่ในใจ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์  มีสวรรค์อยู่ในใจของศิษย์ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าศิษย์ปิดทุกอย่างให้มืดดำ แม้กระทั่งกระจกที่จะส่องตัวเองยังปิด การทำอย่างนี้เราก็ไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นกลับไปก็ไปเปิดประตูหน้าต่างในบ้านของเราให้โล่ง ให้จิตใจของเราสบาย อย่าจับขัง เรารู้ว่าอคติเป็นสิ่งไม่ดี อกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วเอาไว้ในใจทำไม เรากลัวว่าถ้าเราทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว จะกลายเป็นคนโง่หรือเปล่า (ไม่)  ศิษย์เป็นคนฉลาดที่สุด เพราะศิษย์สามารถทิ้งได้ ถ้าหากว่าทิ้งไม่ได้
นี่ถึงจะโง่จริงๆ
แสงสว่างแม้เป็นเพียงเล่มเทียนที่ไม่ได้สว่างเลย เมื่อเข้าไปอยู่ในที่มืด สามารถจะขับไล่ความมืดที่อยู่ในห้องมืดให้สว่าง แม้กระทั่งมืดมานานมากแล้ว แค่แสงจากเล่มเทียนดวงเล็กๆ ก็ทำให้สว่างแล้ว เมื่อศิษย์ของอาจารย์คิดได้แบบนี้ อย่ามัวเสียเวลาเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้ แล้วทิ้งสิ่งที่ดีไป การทิ้งสิ่งที่ไม่ดีไป แล้วเก็บสิ่งที่ดีไว้ อันนี้ศิษย์ถึงจะมีความฉลาด เพราะฉะนั้นปัญญาแม้เพียงเล็กน้อย เมื่อจุดประกายขึ้น ก็สามารถไล่ความมืดดำในจิตใจของเรา แม้จะมีมาแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แต่หากว่าศิษย์จุดปัญญาขึ้น ปัญญานี้ก็จะ
ส่องสว่างในจิตใจ ไล่ความมืดมนและกิเลสทั้งหลายได้ วันนี้เราเอาปัญญาเล็กๆ เข้าไปจุดในจิตใจ แล้วดูว่าเรามีช่องมีหลืบ มีหน้าต่างที่ปิดอยู่ตรงไหน ก็ไปเปิดให้หมดดีไหม ให้จิตใจของเราโล่งโปร่งสบาย ไม่ได้เอาแค่ความสุข แต่รวมถึงความสะอาดและความสงบเข้ามาแทนที่ เมื่อเราคิดได้อย่างนี้
เมื่อเราตั้งใจอย่างนี้ เราจะบำเพ็ญธรรมได้ แต่หากว่าเราไม่ตั้งจุดเริ่มต้น
ไม่ตั้งเป้าหมาย ไม่ตั้งใจ ต่อให้ศิษย์เป็นพระพุทธะมาเกิด ศิษย์ก็ไม่ได้กลับคืน ปัจจุบันมีพุทธะที่ลงมาเกิดหลายคน แต่หากว่าลงมาในโลกแล้ว กิเลสตัณหาครอบงำจิตใจอยู่ ต่อให้เป็นพุทธะมาเกิดก็กลับไม่ได้ เพราะฉะนั้นพยายามอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดี คำนินทาว่าร้าย สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายก็อย่าไปใกล้ พยายามพาตัวเองฝืนตัวเองให้มาหาทางสว่าง สุดท้ายเมื่อเราฝืนไปมากๆ แล้วเราก็จะไม่ฝืน เพราะจะกลายเป็นธรรมชาติของเรา เมื่อธรรมชาติภายนอกและภายในต่อกันติดแล้ว ศิษย์จะไม่รู้สึกอึดอัดเลย แต่ถ้ามาสถานธรรมแล้วศิษย์ยังรู้สึกอึดอัดมาก แสดงว่าธรรมชาติภายในใจ และธรรมชาติภายนอกยังต่อกันไม่ติด เข้าใจไหม
คนในอเมริกาถึงแม้จะชวนยากลำบากแค่ไหน แต่เมื่อถึงเวลาจริงแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาดี ฉะนั้นหากเราจะไปชวนพระที่เขามีบุญมาแต่เดิม หรือจะชวนคนที่ฉลาดมากๆ เราก็ต้องเหนื่อยหน่อย เพราะว่าพวกเขามีปัญญาดี และบางคนก็มีบุญดีกว่าเราด้วยซ้ำ ฉะนั้นการจะชวนคนที่มีปัญญาดีกว่าเรานั้น เราก็เหนื่อยสักหน่อย แต่ถ้าชวนคนที่ปัญญาก็ไม่ได้ดีกว่าเรา
แต่พวกเขาก็มีปัญญามาเก่าก่อนอยู่ดี จึงได้มาเกิดในที่แบบนี้ สบายแบบนี้ เข้าใจไหม เหนื่อยเป็นธรรมดา ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทที่สถานธรรมชั่วคราว สกุลประสาสุข “ปัญญาดี” มาต่อกับ “มีชัยไปกว่าครึ่ง”)
ให้ศิษย์ทุกคน “ปัญญาดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้เป็นกำลังใจแด่อาจารย์บรรยายธรรมใหม่)
ลูกท้อนี้หนักนะ ไหวหรือเปล่า ยังไม่รู้ว่าจะต้องพบกับอะไรในวันข้างหน้า ก็บอกไหวไว้ก่อน อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนศึกษาธรรมะให้มาก ธรรมะมีความลุ่มลึก ผู้มีปัญญาดีกว่าเรามากมาย ที่จริงแล้วศิษย์นั้นถนัดการใช้แรงงานมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสมาแล้วเราไม่คว้าไว้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อมีโอกาสแล้ว เราก็ต้องรับไว้ เราก็ต้องพัฒนาตนเอง มั่นใจในตัวเองว่าเราทำได้ แต่ก่อนจะพูดอะไรนั้น เราก็ต้องรู้ให้จริงก่อนที่จะพูด รู้จริงแล้วพูดคือสิ่งที่ถูกต้อง หากรู้ไม่จริงแล้วพูดออกไป ก็จะกลายเป็นบาปกรรมติดตัว ฉะนั้นขอให้ตั้งใจทำให้ดี ศึกษาธรรมะให้มาก ทำได้ให้รีบทำ ธรรมะไม่ได้พูดเฉพาะตอนอยู่บนแท่นบรรยาย แต่ธรรมะพูดได้ตลอดเวลา
ศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลายที่มาในวันนี้ มีความเข้าใจธรรมะมากขึ้นไหม (มากขึ้น)  ในความเป็นจริงแล้ว ธรรมะติดอยู่กับจิตวิญญาณในตัวเราอยู่แล้ว ลองนึกถึงเวลาที่เราจะทำอะไรผิด ถามว่าใครเป็นคนบอกเราว่า
ห้ามทำ (ตัวเราเอง)  สิ่งที่บอกเรานั่นคือ จิตของเราเอง แล้วอะไรที่อยู่กับจิตของเรา นั่นก็คือธรรมะที่ติดอยู่กับจิตของเราอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนก็มีความ
ไร้เดียงสาอยู่แล้ว ความไร้เดียวสาซึ่งเป็นธรรมชาตินี้ ก็คือธรรมะที่อยู่ภายใน เพียงแต่เราไม่เคยฟังเสียงหัวใจของตัวเราเองว่าอยากจะได้อะไร และสิ่ง
ที่ได้มาทั้งหมดในชีวิตนี้ นับตั้งแต่เกิดมา สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เราอยากจะได้จริงๆ หรือเปล่า ทุกสิ่งที่เรามีนั้น สักวันหนึ่ง ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ไม่มีสิ่งใดที่อยู่กับศิษย์ได้ตลอดไป แม้กระทั่งตัวศิษย์เองก็อยู่ไม่นาน
ฉะนั้นขอให้รู้ว่า ต้องตั้งใจบำเพ็ญธรรม เพื่อกลับคืนเบื้องบน
หากไม่ได้กลับคืนไปเบื้องบนแล้ว ชาตินี้เกิดมา มีสังขารที่ดี มีบุญวาสนา
ที่พร้อมสมบูรณ์ มีความสะดวกสบายต่างๆ ก็ถือว่าเกิดมาเสียเปล่า เพราะเราไม่ใช้ต้นทุนเหล่านี้ ต่อยอดให้ถึงความสมบูรณ์สู่เบื้องบน ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม จึงเป็นเรื่องที่ศิษย์ต้องหลับตา แล้วฟังเสียงหัวใจของตัวเองว่า การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องทำอย่างไร ทำเท่าไร ควรทำตอนไหน จิตของศิษย์บอกอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราเป็นประเภทพวกหลับๆ ตื่นๆ
อาจารย์ยกตัวอย่าง มีของอยู่หลายอย่าง สมมติว่า สิ่งนี้เป็นบ้าน รถ สามี ภรรยา ลูก ทรัพย์สมบัติ เงินทองมากมายอยู่บนโต๊ะนี้ แล้วสมมติอาจารย์จับสมบัติสักหนึ่งอย่างขึ้นมา แล้วถ้าอาจารย์อยากจะจับสมบัติอีกหนึ่งชิ้นขึ้นมา ต้องทำอย่างไร (วางชิ้นแรกก่อน)  ไม่วาง เอามืออีกข้างหนึ่งจับ จับชิ้นใหญ่ด้วย แล้วอยากจะจับอีกทำอย่างไรล่ะ อุ้มไว้ อยากจะจับอีกล่ะ (ให้คนอื่นช่วยจับ)  ไม่ต้องเราจะจับเอง เดี๋ยวคนอื่นมาจับแล้วเอาไป เงินเราเราให้คนอื่นจับไหม (ไม่ให้จับ)  ลูกช่วยได้ไหม ลูกช่วยยิ่งหายไปใหญ่เลย ทำอย่างไรถ้าอยากจับอีก บ้านได้มาแล้ว รถ สามีภรรยาที่รัก พอหรือยัง  สมมติว่าเราจะหอบทั้งหมดเดินเลยดีไหม หนักไหม (หนัก)  หอบได้นานไหม (ไม่นาน)  ถ้ายิ่งเดินทางไกลก็ยิ่งหนัก ดีไม่ดีก็จะเน่าใส่ตัว แล้วทำอย่างไรดี (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางให้ใคร ถ้าพอแล้วก็ถือไว้อย่างนี้แหละ ไหวไหม
(ไม่ไหว)  ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์มีท่าทีแบบนี้อยู่ทุกคนเลยนะ ดีไม่ดีเอา
นิ้วเกี่ยว เดินไม่ไหวแล้วต้องทำอย่างไร (ปล่อยวาง)  เห็นไหมว่าทุกคนก็พูดธรรมะได้ คำว่า
ปล่อยวางธรรมะออกมาเองเลยว่าต้องปล่อยวาง แต่ถามว่าอยากวางกันไหม อันนี้รถ บ้าน สามีภรรยา ร้านค้า หรือเงิน จะปล่อยอะไรก่อน (ปล่อยใจให้ว่าง)  มือปล่อยวางไหม ตอนนี้ใจอาจารย์ว่าง ไม่หนักด้วย (ปล่อยครอบครัว)  ปล่อยได้หรือเปล่า ถ้าปล่อยแล้วจนละ (จนก็ต้องยอม)  บางทีคนที่ดูเด็ดขาดที่สุด กลับเป็นคนที่ปล่อยวางไม่ได้เลย ส่วนคนที่ดูแล้วไม่มีอะไร เขาน่าจะปล่อยอะไรไม่เป็นเลย เขากลับทำได้ เพราะขึ้นอยู่กับปณิธานความมุ่งมั่นของแต่ละคน สรุปแล้วอาจารย์ปล่อยได้หรือยัง (ปล่อยได้แล้ว)  นี่เขาเข้ามาแย่งหรือเข้ามาช่วย (เข้ามาช่วย)  เวลาคนอื่นเข้ามาช่วย เรามองว่าเขามาแย่งเราหรือเปล่า ยังเหลืออีกสองอันต้องทำอย่างไร จะปล่อยวางดีไหม เวลาเรากำของ เราก็กำได้ดีแล้ว ขนาดของวัตถุที่เราถือ ทุกๆ อย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ที่ดิน สามีภรรยา หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม มีขนาดเท่ากับฝ่ามือเรา มือเรามีสองข้าง เราก็กำไว้
ถ้าเราจะเอาอีกอันหนึ่ง เราต้องวางข้างหนึ่งก่อน แล้วถึงจะไปเอาอีกอันหนึ่ง  อย่าคิดว่าบ้านเราใหญ่กว่า เรื่องเยอะกว่า อย่าคิดว่าร้านเรายุ่งกว่า ชีวิตของเราไม่มีใครเข้าใจหรอก ในความเป็นจริงแล้ว ความทุกข์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กก็คือความทุกข์ เราก็สามารถกำได้แค่ฝ่ามือเรา เราวางทุกอย่างก็จบ ถ้าเราวางไปอีกทีมันก็ว่าง ถ้าเรามีปัญญาและจิตดั่งเดิมของเราอีกที เข้าไปมันก็ว่าง แต่ว่าเราจะวาง เพื่อไปหาความว่างได้หรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับตัวเรา เพราะเรามักจะคิดว่า ธรรมะกับชีวิตต้องแยกออกจากกันตลอด เราไม่ได้คิดว่า ธรรมะเข้ามาอยู่ในชีวิต พอเราปล่อยวางได้ เข้าใจธรรมะ ก็ทำให้ว่างแล้วศิษย์เอ๋ย ชีวิตก็มีแค่นี้ ให้ศิษย์นั้นปล่อยวาง กลับคืนสู่ความว่าง ก่อนที่ชีวิตนี้จะว่าง ดีไหม (ดี)  ให้รู้ว่าตัวเราเกิดมาเพื่ออะไร เราต้องการอะไร เราจะกลับคืนไปสู่ที่ใด จะได้ไม่ต้องมีปัญหา ทุกคนบนโลกชอบถามว่าตายแล้วไปไหน อยู่ก็ยังไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ถ้าตายแล้วจะรู้หรือว่าไปไหน เพราะฉะนั้นตอบตัวเองตอนนี้แล้วเดิน เมื่อวานบอกไปว่ารับธรรมะแล้วก็มีแค่สามก้าวคือ ศึกษา ปฏิบัติ บำเพ็ญและบรรลุ มีแค่สามก้าวให้ศิษย์เดิน
ตอนนี้ก็มาไขข้อข้องใจสักนิด บางคนบอกว่า อาจารย์จี้กงพูดให้ปล่อยวางๆ อย่างนั้นเดี๋ยวกลับไปปล่อยให้หมดเลย ในความเป็นจริงแล้วอย่างที่อาจารย์บอก ศิษย์ถือทั้งวัน ถือตลอดวัน ยิ่งถือยิ่งเยอะ แต่ถามว่าถ้าศิษย์จะปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกจากชีวิตเลย พอกลับไปบ้านก็แยกกันไปอยู่บนภูเขา ภูเขาใครภูเขามัน อย่างนี้หรือเปล่า ปัจจุบันเป็นการบำเพ็ญธรรมที่ไม่ได้เป็นแบบยุคก่อน สมัยก่อนถ้าศิษย์ไม่ทิ้งหมด ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้ ปัจจุบันเบื้องบนนั้นให้ศิษย์บำเพ็ญครึ่งธรรมครึ่งโลก กึ่งธรรมกึ่งโลก
มีสามี มีภรรยา มีลูก บ้านรถก็ยังให้มี แต่ไม่ให้มีกิเลส มีทุกอย่างแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีธรรม ใช้รถขับมาสถานธรรม ใช้รถขับมาชวนผู้อื่นรับธรรมะ ใช้รถช่วยผู้อื่น ใช้บ้านของเราในการพักผ่อนไม่ใช่ติดบ้าน หรือมีสามี มีภรรยา มีลูก ก็ให้ชวนทุกคนมาบำเพ็ญธรรมพร้อมหน้ากัน ให้ทั้งบ้านเป็นพุทธะ ให้เป็นพุทธะทุกบ้าน เดินไปทางไหนมีแต่พุทธะ อย่างนี้คือการบำเพ็ญในปัจจุบัน ไม่ได้เรียกร้องให้ศิษย์นั้นปล่อยวางทุกสิ่ง เหมือนกับที่เมื่อสักครู่ที่ศิษย์บอก ให้มีทุกสิ่งแต่ไม่ให้มีกิเลส ให้มีชีวิตเพื่อการบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรมจนหลุดพ้นในวันข้างหน้า สิ่งใดที่เราไม่เป็น สิ่งใดที่เราไม่รู้ ขอให้มุ่งมั่นที่จะขวนขวายใฝ่รู้ ปฏิบัติสุดใจ ขัดกิเลสขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง
สมมติศิษย์ของอาจารย์คือหินก้อนหนึ่ง หินก้อนนี้เป็นหยกอยู่ข้างใน แต่วันนี้มองไปเป็นหินธรรมดา แล้วก็มีหมามาขี้ใส่ แต่ข้างในเป็นหยกนะ
หินธรรมดาที่ทุกคนเหยียบย่ำ แต่ข้างในเป็นหยก ใครรู้ไหม (ไม่รู้)  ก็เพราะว่าศิษย์ไม่ได้ทำตัวให้เป็นหยก ต้องขัดเกลาเจียระไนหินก้อนนี้ ให้กลับมาเป็นหยกให้ได้ เมื่อคนเห็นว่าเป็นหยก หยกมีไว้ทำอะไร หยกมีมูลค่าแล้ว คนก็เอามาทำเครื่องประดับ มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ทำอะไรก็ได้ที่มีค่าสมกับหยก ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นอะไร เป็นหินหรือเป็นหยก แน่นอนว่าอาจารย์เห็นหยกที่อยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ไม่มีคนไหนที่นั่งอยู่ในที่นี้ไม่ใช่หยก แต่วันนี้ศิษย์ทำตัวให้มีค่าเท่ากับหิน หินที่คนเหยียบย่ำ หินที่คนมองข้าม ฉะนั้นจะเจียระไนตัวเองได้หรือยัง ถ้าอาจารย์เอาหินอีกก้อนมาเจียระไนด้วยเจ็บไหม คนรอบข้างมาถูเจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บแล้วต้องทำไหม การที่คนอื่นมาร่อนเรา มาถูเราทำให้นิสัยของเราดีขึ้นเอาไหม ทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้น ทำให้เรากลายเป็นหยกมากขึ้นเอาไหม แทนที่จะไปว่าเขา ต้องขอบคุณเขาด้วย ขอบคุณคนที่ด่าเรา เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามคิดทุกอย่างว่า เราอยู่ในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดรอบตัวเรา ก็เพื่อขัดเกลาเรา คำพูด ความคิด และการกระทำของเราก็ต้องขัดเกลาใหม่ นิสัยความเคยชินของเราก็ต้องขัดเกลาใหม่ เมื่อเราขัดเกลาแล้ว เราจะกลายเป็นหยกขึ้นมาในทันที เพื่อการหลุดพ้นในวันข้างหน้านะศิษย์
อาจารย์พูดมาตั้งมากมาย เป็นเพราะว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์บรรลุกลับคืน เพราะว่าชีวิตนี้ไม่ยั่งยืนและไม่เที่ยง อะไรที่เกิดขึ้นที่เราว่าแน่นอนมันก็ไม่แน่นอน ทำใจไว้ก่อน ทุกคนที่นี่ ต่อไปจะกลับไปอยู่กับอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  แน่ใจไหม (แน่ใจ)  อาจารย์หวังว่าศิษย์มีชัยไปตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว
ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาดีของศิษย์เอง ส่วนอีกครึ่งทางนั้น ขอให้ตั้งหน้า
ตั้งตาบำเพ็ญให้ดีนะ หากว่าสิ่งที่อาจารย์บอกไปนั้นยังยาก หากว่าทำไม่ได้
ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลองทำ อย่าไปยอมแพ้ เพราะชีวิตไม่นานจริงๆ
ธรรมะนี้ บำเพ็ญง่ายมาก และงานธรรมะก็ช่วยได้เท่าที่เราทำได้ ศิษย์เป็นผู้ที่มีปัญญามาก ถ้าอาศัยโอกาสนี้ ในการสร้างบุญกุศลจะดีมาก อย่าดื้อมาก คำพูดมากมาย แต่สำคัญเพียงคำเดียว บำเพ็ญธรรมนะ บอกแม่ว่าอาจารย์คิดถึง บอกหนิงว่าอาจารย์คิดถึง ขอบใจศิษย์ทุกคนที่ตั้งใจทำงานธรรมะอย่างแข็งขัน หากไม่มีศิษย์ ถึงแม้อาจารย์จะมีใจ ก็คงไม่สามารถ
ฉุดช่วยเวไนยได้
วันนี้เป็นวันสุดท้าย หรือจะเป็นวันแรกในการเริ่มต้น จะได้พบกันบ่อยๆ นะศิษย์ ถ้าวันนี้เป็นวันแรก วันหลังเราก็จะได้พบกันใหม่ เราก็ไม่ต้องร้องไห้มาก แต่ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ
แม่ของศิษย์ก็ฝากมาเหมือนกันนะ เขาบอกว่าเขาภูมิใจในตัวศิษย์มาก ถึงแม้ความตั้งใจที่จะช่วยญาติพี่น้องจะไม่สำเร็จ แต่เขาก็ปลาบปลื้มและ
อิ่มใจ บอกว่าไม่ต้องกังวล ทุกอย่างเป็นไปตามบุญสัมพันธ์นะ

ขอบใจมาก ขอบใจศิษย์ทุกคน รักษาตัวเองดีๆ วันหลังพบกันใหม่ อาจารย์ขอพบศิษย์คนที่บำเพ็ญธรรมได้ดีขึ้น เข้าใจธรรมะได้มากขึ้น เสียสละตนเองเพื่อเวไนยได้มากขึ้น นะศิษย์นะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "มีชัยไปกว่าครึ่ง"

  ฟ้ามีแสงคนมีธรรมไม่คลาดคลา คนใต้ฟ้ามุ่งกลับสู่การรู้ตื่น
ธรรมหลากหลายไม่ได้บอกใจความอื่น นานาเส้นทางหวนกลับคืนหนึ่งเดียวกัน
ปัญญาเป็นเครื่องมือคอยนำทาง ทุกก้าวย่างมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
ทุกเรืองราวมีรอยต่อมองตากัน ทุกทุกวันธรรมคือเราเราคือธรรม  

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

2558-10-03 สถานธรรมหยรูซื่อ ประเทศสหรัฐอเมริกา (ศึกษาธรรมวิริยะ)



พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นศึกษาธรรมวิริยะ 3 ตุลาคม 2558

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558                สถานธรรมหยรูซื่อ ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน

  ธรรมพันคำไม่สู้หนึ่งปฏิบัติ          ปฏิบัติเคร่งครัดไม่สู้หนึ่งกระจ่างแจ้ง
กระจ่างแจ้งสรรพสิ่งไม่สู้หนึ่งบรรลุ
             เราคือ
หลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน                   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่โลกมนุษย์ แฝงกายกราบน้อม
องค์มารดาแล้ว    ถามทุกทุกท่าน บำเพ็ญก้าวหน้าหรือไม่
                                                                   ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน
รบกวนเวลาสักครู่ได้หรือเปล่า (ได้)  วันนี้มานั่งฟังธรรมะ ชั้นนี้เรียกว่าชั้นอะไร (ชั้นศึกษาธรรมวิริยะ)  แล้ววิริยะไหม (วิริยะ)  ถ้าหากว่าวิริยะทางธรรมแล้ว จิตใจก็จะสบายขึ้น ดีไหม (ดี)  ไม่มีความลำบากใจ เพราะว่าใจรู้จักตัวเองว่าเป็นอย่างไร แต่หากว่าไม่รู้จักตัวเอง ก็จะมีความทุกข์เกิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ร่ำไป จริงหรือเปล่า (จริง)  หน้าตาที่ดำ
คร่ำเครียด ก็จะเปลี่ยนเป็นหน้าตาที่สว่างใส สบายใจ แต่สิ่งนี้เกิดจากการบำเพ็ญเยอะๆ ปฏิบัติเยอะๆ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกคนบำเพ็ญปฏิบัติเยอะๆ
หรือยัง (ยัง)  ทำเต็มที่เท่าที่ตัวเองทำได้หรือยัง (ยัง)
ในอเมริกานี้ ชั้นศึกษาวิริยะ ถือว่าเป็นชั้นที่แสดงความก้าวหน้าที่สุด ในขณะที่คนมาทำงานธรรมะที่นี่กำลังจะหมดแรง แต่ว่าชั้นเรียนที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าก็บังเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ต้องเรียกว่า “คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต” จริงหรือไม่ ในขณะที่เราหมดแรง เรารู้สึกว่าเราเหนื่อย แต่เห็นไหมว่าอะไรเกิดขึ้น ความก้าวหน้าในตัวของทุกคนก็มีมากขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  หลายๆ คนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ในวันนี้ ก็มาในวันนี้ อันนี้เรียกว่าแรงบุญ ทุกคนมีแรงบุญอยู่มาก ผลักดันให้มาที่นี่
การบำเพ็ญนั้น จึงไม่ใช่บำเพ็ญแค่วาสนาอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ทำตัวเป็นคนดีอย่างเดียว แต่จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญปัญญาด้วย เกิดจากการศึกษาไม่เสื่อมคลาย ไม่ท้อถอย และอย่าเหนื่อยหน่าย อย่าหมดกำลังใจ เพราะว่าสิ่งเดียวที่ต้องเอาชนะนั้น คือเอาชนะจิตใจของตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  เอาชนะคนอื่น พอชนะแล้วก็ชนะ แต่ก็แพ้ใจตัวเอง อย่างนี้ก็เหนื่อยอยู่ร่ำไป จริงหรือไม่ (จริง)  เลิกเอาชนะคนอื่น แล้วมาเอาชนะตัวเองดีไหม (ดี)  เอาให้ใจนิ่งๆ เอาให้ใจสบาย แล้วให้บำเพ็ญธรรมให้ดี ทำได้ไหม (ทำได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
คิดถึงไหม (คิดถึง)  ไม่ได้ลงมาโลกมนุษย์เสียตั้งนาน วันนี้สบโอกาสดี ได้ลงมาในโลกมนุษย์นี้ และก็ลงมาในดินแดนที่ลำบากที่สุด ลำบากในการบุกเบิกแพร่งานธรรมใช่ไหม เพราะว่าคนที่นี่ เป็นคนชอบหลับๆ ตื่นๆ
เดี๋ยวตื่นเดี๋ยวหลับๆ ใช่หรือเปล่า อย่าเพิ่งร้องไห้ ปกติเฉียนเหยรินก็พูดธรรมะไม่ค่อยเก่ง ถ้าชวนกันร้องไห้ ก็จะทำให้พูดธรรมะไม่ได้
(อาวุโสและนักเรียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับนั่ง)
อุตส่าห์ยอมนั่งเพื่อให้ท่านไม่ต้องลำบากในการประคองเราไปมา
เป็นโอกาสยากมากที่จะกลับมาในโลกมนุษย์นี้ แต่วันนี้ต้องถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราได้เจอกัน เป็นเพราะว่าไม่เคยลงมาที่อเมริกา เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ได้รับอนุญาตจากพระอนุตตรธรรมมารดา (เหลาหมู่) ให้ลงมาเป็นพิเศษ เพื่อให้กำลังใจศิษย์น้องทุกๆ คน ดีใจที่วันนี้ได้เจอกัน
หลายๆ คนที่มาบำเพ็ญธรรม ต้องมีความตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ การบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ ต้องทำให้ได้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น อาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรม ทำไม่ได้แล้ว หรือรับไม่ได้แล้ว แยกแยะไม่ออกระหว่างคนกับธรรมะ ถ้าแยกไม่ออกแล้ว บำเพ็ญธรรมก็จะไม่ค่อยราบรื่น
ฉะนั้นถ้าหากว่าแยกแยะคนและธรรมะออกจากกันได้ ก็เรียกว่าเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่ง ทำให้ตัวเองนั้นเดินทางง่าย เข้าใจธรรมะง่าย รับสิ่งต่างๆ ได้ เนื่องจากทุกสิ่งรอบข้างนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราคิดอย่างหนึ่งคนอื่นคิดอย่างหนึ่ง เราทำอย่างหนึ่งคนอื่นทำอีกอย่างหนึ่ง เราเชื่ออย่างหนึ่งคนอื่นก็เชื่ออีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเรานั้นไม่เข้าใจ ไม่รู้จักตัวเองแล้ว การทำสิ่งใดก็ดูจะยากเข็ญลำเค็ญไปหมดเลย จริงหรือไม่ (จริง)
ในถิ่นที่มีความเชื่อที่แตกต่างกัน ในประเทศที่ให้คนนั้นทำอะไรก็ได้อย่างที่ใจคิด แต่ธรรมะก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ เนื่องจากว่าเราต้องขัดเกลาตัวเอง ต้องเอาชนะใจตัวเอง ฉะนั้นการตามใจให้สุดๆ ไปเลย ก็อาจจะยังไม่ใช่วิธีการบำเพ็ญที่ดี แต่ให้ขัดใจตัวเอง ไม่ให้ขัดใจคนอื่น เหมือนกันกันไหม (ไม่เหมือน)  “ให้ขัดใจตัวเอง ไม่ให้ขัดใจคนอื่น” เราต้องหันมาขัดใจตัวเอง อันนี้เราคิดว่าไม่ค่อยดี เราก็ทำให้น้อยหน่อย หรือไม่ทำได้ก็ยิ่งดี แต่หากว่าสิ่งใดที่เรารู้สึกว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว เราก็ทำให้เยอะๆ แม้ว่าทำแล้วมันขัดใจตัวเอง ก็ยังทำต่อไปให้เยอะหน่อย ดีไหม (ดี)  แต่ธรรมะเป็นสภาวะธรรมชาติ หากฝืนมากเกินไป ก็กลายเป็นเชือกที่ตึงมากเกินไป ดึงตึงมากเกินไปก็ขาด
修道修心,辦道盡心  (ซิวเต้าซิวซิน ปั้นเต้าจิ้นซิน)”
คำนี้แปลว่าอะไร บำเพ็ญธรรมก็บำเพ็ญที่ใจ การปฏิบัติธรรมก็ทำให้เต็มที่ การบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจ ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะว่าใจอยู่กับเราตลอดเวลา ส่วนปฏิบัติธรรม
นั้น จำเป็นที่จะต้องทำท่ามกลางหมู่ชน มีคนถึงจะมีงานธรรมะให้ทำ ถึงจะได้มีโอกาสเจริญปณิธาน เจริญกุศล
ตอนนี้ฟ้าเบื้องบนกำลังฉุดโปรด ศิษย์น้องทุกคนเร่งรีบพยายาม พยามยามแล้วพยายามอีก คนก็ชวนยากเหลือเกิน จะให้ใครเข้าใจสักคนหนึ่ง เขาก็เป็นกราฟขึ้นกราฟลง เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดี เดี๋ยวตื่นๆ หลับๆ ยิ่งทำก็ยิ่งเหนื่อย จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ในขณะที่ทุกๆ คนกำลังเหนื่อย ทุกๆ อย่างก็เหมือนจะดีขึ้น เป็นเพราะว่าเบื้องบนเอง ก็ไม่ได้หยุดเช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนทำ เบื้องบนก็ทำ ยิ่งเห็นมนุษย์ลำบาก เบื้องบนก็ยิ่งหนุนช่วยอย่างมากมาย
ฉะนั้นทุกๆ คนที่อยู่ในโลก ทำงานธรรมะ จงอย่าเสียเวลามาทะเลาะกัน อย่าเสียเวลามาคิดมาก อย่าเสียเวลามาฟุ้งซ่าน กังวลนั่น ผิดใจนี่ ให้ลำบากไปเลย ให้รู้ว่าต้องเข้าใจธรรมะ ธรรมะเข้าใจได้อย่างไร ธรรมะจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อ ศึกษาและลงแรง การศึกษาทำให้เรานั้นมีความรู้ รู้ทางธรรมดีกว่ารู้ทางโลก เพราะว่ารู้ทางธรรมแล้วสว่างอยู่ภายใน รู้ทางโลก ยิ่งรู้ยิ่งขุ่นมัว โลกกว้างมากมาย แต่ปัจจุบันแคบเหมือนอยู่ห้องเดียวกัน จริงไหม (จริง)  ยิ่งรู้เยอะ จิตใจก็ยิ่งหนักอึ้งขุ่นมัว เพราะฉะนั้นบางทีรู้ก็ทำเป็นไม่รู้ บางทีเข้าใจก็ทำเป็นไม่เข้าใจ แกล้งโง่ไปบ้าง จะได้สบายใจ ดีหรือไม่ (ดี)
สุดท้ายการบำเพ็ญธรรม ขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งสิ้น ลองถามใจเราว่าเรานั้นสว่างไสวขึ้นไหม สว่างไสวขึ้นหรือเปล่า (สว่าง)  ต้องสว่างให้ได้ตลอด
ใจเราก็เหมือนยามกลางวัน ยามกลางวันเมื่อแสงสว่างพระอาทิตย์ส่องมา
มืดไหม (ไม่มืด)  แม้ตรงที่เป็นหลืบเป็นซอก มืดไหม (ไม่มืด)  ใจต้องเป็นดุจยามกลางวัน
วันนี้หลายๆ คนที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นคนรู้จักคุ้นเคยใกล้ชิดกัน บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่สาวๆ หนุ่มๆ ปัจจุบันก็เป็นทัพหน้าแถวหน้าของวงการธรรม รู้สึกปลื้มใจชื่นใจที่ทุกคนบำเพ็ญธรรมได้ดี และมีจิตใจเมตตามานำรุ่นน้อง ในวันนี้ก็เหมือนกัน ที่นี่ในตอนนี้ก็เหมือนกัน บำเพ็ญธรรม คนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็จะเป็นแถวหน้าของน้องๆ ในอนาคตเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อเราจะเป็นทัพหน้าแถวหน้า เราก็จะต้องยอมขัดเกลาหน่อย ขัดเกลาจนผิวถลอก เดินจนเท้าพองปูดหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้ทำ เพราะเวลาผ่านไปเร็วมาก วันนี้บางคนอยู่มาตั้งแต่หนุ่มๆ สาวๆ จนตอนนี้ก็ไม่หนุ่มไม่สาวแล้ว
เฉียนเหยรินก็คิดถึงทุกคนมากเหมือนกัน โดยเฉพาะอยากจะให้กำลังใจคนที่ท้อแท้ถดถอย คนที่ยังมองอะไรไม่ชัด คนที่ยังเข้าใจอะไรไม่ชัด ชีวิตสั้น ไม่นาน แป๊บเดียวจากเด็กก็จะกลายเป็นคนหนุ่มสาว จากคนหนุ่มสาวก็จะกลายเป็นคนสูงวัย หมดแรงแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ตายจากโลกนี้ไป หากไม่มีกุศล หรือกุศลไม่เพียงพอทำอย่างไร จะช่วยอย่างไร จะให้คะแนนเสริม คะแนนพิเศษอย่างไร ก็ยังไปไม่ได้ อย่างนี้น่าเสียดาย เพราะกิเลสที่อยู่ในใจนั้นมากมาย ไม่สามารถขัดออก ได้เพียงแต่คิดได้ แค่คิดได้ก็ยังขัดออกไม่ได้ จะต้องลงมือขัด จึงจะสามารถทำให้ออกไปได้
การเป็นโฮว่เสวีย (ผู้น้อย) ของเราต้องเรียบร้อย อริยะฐานะท่านเฉียนเหยริน
德化仙母 เต๋อฮว่าเซียนหมู่”  มีความอ่อนน้อมถ่อมใจ
มีจริยวัตรที่งดงาม
德化真君 เต๋อฮว่าเจินจวิน” ได้มาเพราะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง
ส่วนของเรา 禮圓仙君 หลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน” ได้มาเพราะว่าเป็นคนที่เรียบร้อย ฉะนั้นคนที่มาเป็นโฮว่เสวีย (ผู้น้อย) อย่างน้อยๆ ก็ไม่ควรจะลืม ปฏิบัติธรรมได้อย่างดี ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม ถ้าหากเป็นคนที่เรียบร้อย สุภาพ มีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะได้เป็นผู้มีจริยธรรม
ฉะนั้นต้องไม่ลืมว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ต้องขัดหมด ทั้งภายนอกและภายใน อันว่าคนที่บำเพ็ญธรรม ดูแล้วจะสุภาพเรียบร้อย ดูแล้วเป็นผู้ดีมีตระกูล แน่นอนแต่ละคนไม่ใช่ว่าเกิดมาในฐานะที่เป็นผู้ดีมีตระกูลหมด แต่เมื่อทุกคนได้รับธรรมะแล้ว ได้อยู่ในวงศ์ของธรรม ก็คือ อยู่ในวงศ์ตระกูลของธรรมแล้ว จะต้องเป็นผู้ที่มีจริยธรรมทั้งสิ้น แม้ว่าเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมใจ มีจริยธรรมสูงส่ง ใครเห็นก็ชื่นชม ไม่ด่าว่าเราหยาบคาย อย่างนี้จึงจะเหมาะสมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เป็นหญิงดูเหมือนว่าจะยากกว่าเป็นชาย เพราะหากว่าเป็นผู้หญิงไม่เรียบร้อย ก็จะถูกครหานินทาได้ เป็นผู้ชายหากไม่มีน้ำใจ ก็ยิ่งถูกครหานินทาได้ แข็งแกร่งต้องแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก นุ่มนวลต้องนุ่มนวลเหมือนน้ำ ทำได้ไหม (ได้)  ทุกคนดื่มน้ำ ฉะนั้นให้รู้ว่าน้ำเป็นตัวแทนของปัญญา เห็นน้ำเหมือนเห็นปัญญา
ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนสามารถบำเพ็ญบรรลุได้ทั้งสิ้น ง่ายดายกว่าสมัยก่อน แต่ถ้าไม่ยอมที่จะลงแรงจริงๆ ง่ายดายนี้ ถึงจะให้ข้อสอบที่ง่ายแค่ไหน ถึงจะให้ตัวช่วยที่มากมายเช่นไร แต่หากว่าไม่ยอมศึกษาธรรมะ ไม่ยอมปฏิบัติธรรม ถึงเวลาจะสอบ ต่อให้ข้อสอบง่ายแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะผ่านยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญธรรมไม่ต้องใช้ความฉลาด แต่ใช้ปัญญาเป็นที่ตั้ง บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญให้ดี เอาใจของเราสุดจิตสุดใจนี้ออกมาบำเพ็ญให้หมด ทุกซอกทุกหลืบที่ใครมองไม่เห็น เราย่อมรู้ชัดที่สุด เป็นการยากสักนิดหน่อย ยอมเหนื่อยตอนนี้ สบายตอนหน้าดีไหม (ดี)  ถ้าหากว่าอยากสบายวันนี้ ก็จะลำบากในวันหน้า
หลายๆ คนที่อยู่ที่นี่ เป็นบุคคลากรที่สำคัญ วันไหนๆ ก็ไม่มาสถานธรรม แต่วันที่ได้ฟังธรรมะ ก็มีความสามารถในการหาเวลามาได้ อย่างนี้ก็เป็นที่น่าพอใจ ขอให้รักษาความเสมอต้นเสมอปลาย คงเส้นคงวา ทำอะไรได้ให้รีบทำ ทำอะไรไม่ได้ให้พยายามทำ แต่หากว่าทำไม่ได้จริงๆ ขอให้ใจได้ทำและใจมีธรรม เพราะทุกๆ คนมีเวลาว่างไม่เท่ากัน มีปัจจัยและเหตุต้น
ผลกรรมไม่เหมือนกัน หากว่าเรานั้นมีโชคดีกว่าคนอื่น ก็ขอให้ใช้เวลาให้
เป็นประโยชน์
หากว่าเราไม่สามารถทำได้ ก็ต้องพยายามดูหน่อย เหมือนกับคนที่หัดขี่จักรยาน ตอนที่เราหัดขี่จักรยานครั้งแรก เราล้มไหม (ล้ม)  ก็ย่อมต้องล้มเป็นธรรมดา ตอนที่จะขึ้นไปขี่จักรยาน ขึ้นได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อตอนที่
ขี่จักรยานได้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่หัดขี่จักรยานครั้งแรก พอขึ้นไปก็จะลงมาให้ได้ พอขึ้นไปได้นิดเดียวก็ล้มลงมาอีกที กว่าจะทรงตัวอยู่ ก็เป็นเรื่องยากลำบากที่สุด แต่หลายๆ คนก็ผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ตอนนี้ก็ขออย่าให้ขาลืมปั่นอย่างเดียว ก็ย่อมที่จะไปได้ไกลและไปได้ถึง อย่าหวนกลับไปล้มๆ ลุกๆ เหมือนกับตอนแรกอีก เพราะว่าตอนนี้เราตั้งตัวได้แล้ว ถึงจะบอกว่าเข้าใจธรรมะไม่มาก แต่ก็เลยช่วงเวลาที่หัดขี่จักรยานล้มๆ ลุกๆ ตอนนั้นมาแล้ว
ไม่ต้องมีคนช่วยประคอง ไม่ต้องมีคนช่วยพยุง ก็จะสามารถที่จะขี่ต่อไปได้ กลัวใจอย่างเดียวว่าจะเลิกขี่จักรยาน เพราะรู้และมีประสบการณ์มากแล้ว เห็นโน่นเห็นนั่น จนกระทั่งตนเองขี่จักรยานช้าลงๆ เรื่อย อย่างนี้น่ากลัว ขอให้ขาของเรามีความเสมอต้นเสมอปลาย ขี่จักรยานไปเรื่อยๆ อย่าเป็นคนขี้กังวล อย่าเป็นคนขี้สงสัย
ชีวิตนี้ไม่ยืนยาว ตั้งแต่เฉียนเหยรินเสียชีวิตไป จนกระทั่งปัจจุบัน จะว่านานก็ไม่นาน คนที่อยู่ในสมัยที่เฉียนเหยรินอยู่ ตอนนี้ก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ ก็ยังทำงานธรรมะอยู่ เพราะฉะนั้นว่าไปแล้วพวกเราก็เหมือนอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน เฉียนเหยรินเข้าใจทุกคนว่ามีความลำบากใจ ในการที่จะบำเพ็ญตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทำได้แน่นอน เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถทำได้ดีเท่าไร
วันนี้มาที่นี่ เฉียนเหยรินพูดไม่เก่ง พูดธรรมะที่ดีมากก็พูดไม่เป็น แต่อยากให้กำลังใจคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน อยากจะเป็นกำลังใจ และอยากมาให้กำลังใจด้วยตัวของตัวเอง จึงอดใจไม่ได้ วันนี้เลยกราบขอให้ได้ลงมา อยากจะยืนยันว่าทุกคนนั้นมีบุญและบำเพ็ญได้ ไม่สายเกิน อย่ามัวแต่บำเพ็ญบุญวาสนา ไม่บำเพ็ญปัญญาตนเอง อย่ามัวแต่บำเพ็ญปัญญา จนกระทั่งหลบอยู่ในความคิด ไม่ออกมาทำอะไร เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ถนอมสุขภาพให้ดีทุกคน บำเพ็ญธรรมไม่มีอะไร บำเพ็ญธรรมก็ไม่ได้ยากเกินไป ชีวิตสั้น แต่พวกเราทุกคนนั้นโชคดีที่พระอาจารย์ได้ฉุดช่วยพวกเราให้พ้นจากทะเลทุกข์แล้ว อย่าทำให้ตัวเองไปจมทะเลทุกข์ใหม่ ดีหรือไม่ (ดี)  ขอให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจ เสมอต้นเสมอปลาย เจริญปณิธานของตนเอง ปณิธานมีว่าอะไร เราก็ไปทำสิ่งนั้นให้บรรลุ เมื่อบรรลุปณิธานแล้ว ไม่มีคำว่าไม่บรรลุธรรม บรรลุปณิธานแล้วจะบรรลุธรรมไปพร้อมๆ กัน หากว่าไม่บรรลุปณิธาน ชำระกรรมไม่สิ้น การเวียนว่ายตายเกิดก็คงดำเนินต่อไป เพียงแต่เบื้องบนเอาใจช่วย มีวิธีการหลากหลายในการช่วยเราขัดเกลา ให้เรานั้นได้เปลี่ยนแปลง แต่อย่ากลัวคนนินทาว่าร้าย อย่ากลัวการถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะปัจจุบันเบื้องบนนั้นจะสอบปัญญาของทุกๆ คนตลอดเวลา โดยใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเรานั้นมาช่วยเราขัดเกลา ขอให้เราทุกคนนั้นอดใจ อดทน เข้มแข็งรับมือกับสิ่งต่างๆ ให้ได้ หากว่าเราบำเพ็ญดี เรานั้นก็จะมีความแข็งแรงมากขึ้น ดอกบัวของเราที่อยู่ใต้น้ำ ก็ยิ่งชูขึ้นมา
ยิ่งสูงแน่นอน ในขณะที่ดอกบัวของเราชูสูงขึ้น น้ำนี้เป็นน้ำพิเศษ ก็จะมีไฟมาคอยแผดเผาเราเรื่อยๆ ฉะนั้นจะต้องเข้มแข็ง อย่าได้อ่อนข้อในความโชคไม่ดีของตนเอง อันที่จริงคนที่บำเพ็ญดีแล้ว เมื่อตอนที่จากไป ไม่ต้องเป็นห่วงเขา ขอให้หันมาห่วงตัวเราเองดีกว่า เพราะปัจจุบันเรายังมีน้ำขึ้นน้ำลง บำเพ็ญธรรมต้องอดทนมากๆ นะ

วันนี้มาเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ว่าดีใจมากที่ได้เจอกับทุกคน ขอให้ทุกคนไม่ต้องร้องไห้ เรานั้นมีบุญต่อกัน จึงเกิดมาบำเพ็ญตามๆ กันมา อยู่ในเส้นทางสายทองเส้นเดียวกัน ขอให้ยึดสายทองนี้ให้มั่น แล้วกลับคืนเบื้องบนไปพร้อมกันดีไหม (ดี)

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา