แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2559 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2559 แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

2559-12-24 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

#อุปาทาน  #อริยทรัพย์  #ปฏิจจสมุปบาท


西元二○一六年歲次丙申十一月廿七日                     仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙           สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ผู้บำเพ็ญมีธรรมอยู่ทุกขณะ             รู้ลดละกิเลสอยู่ทุกเมื่อ
ไขหลักจิตที่เป็นมากกว่าความเชื่อ       ทุกหยาดเหงื่อเลือดชีวิตล้วนเพื่อธรรม         เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                            ถามศิษย์รักทุกคนรอนานไหม

  สรรพสิ่งเกิดเพื่อดับอยู่ทุกเมื่อ          ชีวิตเพื่อจบหรือเริ่มรู้บ้างไหม
ยามไม่มีก็อยากมีอยากได้                มีอะไรใครบ้างรู้ถึงความจริง
ชีวิตที่แท้จริงแปรไปทุกเมื่อ              เลิกเบื่อชีวิตย่อมผันทุกข์เพื่อทิ้ง
การติดดีนำใจจะช่วงชิง                  กว่ารู้เหตุหนุนตามสิ่งมากระทบ
ที่คิดอยู่เพื่อยึดหรือเพื่อปลง              ที่คิดปลงปลงหรือว่าถูกสยบ
ตรวจสอบใจจนรู้จะเริ่มสงบ             อย่าหมุนวัฏจักรวุ่นวายหลบในหัวใจ
สับสนต่อหรือหยุดลงตรงนี้ดี             หยุดใจตนที่ตรงนี้ไม่สลาย
รู้หรือไม่ใดกิเลสเหตุเภทภัย              อย่าให้ครอบงำสักขณะก่อนเลย
มีก็รู้เกิดก็ละก็ดับ                         ประดุจจับทุกข์ได้ละครองวางเฉย
ทุกสมัยทุกหนแห่งธรรมไม่เชย           บำเพ็ญเผยสติคุมปัญญานำตนเอง
อยากรอดพ้นพินิจในจิตตนนี้             มหานทีรูปนามแจ้งชัดคือเร่ง
เมื่อแจ้งสัจธรรมสุขทันทีมีเอง            ทุกข์ข่มเหงอย่างไหนไม่ทุกข์จนตาย
เพื่อรู้จีรังทุกข์ยังแค่ทางผ่าน             เพื่อหลุดพ้นตนทันการณ์กระชากไหม
จะรอทุกข์วางวายหามีไม่                ต้องบำเพ็ญกายใจจนตราบสิ้นกรรม                                  

ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้สึกเวลาผ่านไปนานไหม มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (เร็ว) ไม่มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (ช้า) อย่างนั้นเวลาที่ช้าหรือเร็ว เพราะอะไรหรือ (เพราะเรา)  เพราะเวลาหรือเพราะใจเรา มีความสุขเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว โทษเวลาหรือโทษใจดี โทษใจใช่หรือไม่ อ่านตัวเองออก บอกตัวเองได้ ก็จะสามารถรู้ว่าชีวิตดีหรือร้าย ได้หรือเสีย สุขหรือทุกข์ แท้จริงแล้วบางทีไม่ได้อยู่ที่เหตุปัจจัย แต่อยู่ที่ใจของตัวเราเองรู้สึกเช่นไรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้ารู้สึกดีเวลาก็ไวเหลือเกิน แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีเวลาก็ช้า แล้วเราโทษเวลาหรือโทษใจ โทษคนพูด โทษคนที่เรียกให้มาฟังธรรมได้ไหม นั่งตรงนี้แล้วลำบากไหม สบายไหม จะนั่งต่ออีกหนึ่งวันไหวไหม ถามหน่อยนะ บางครั้งที่เรารู้สึกดี บางครั้งที่เรารู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ใช่ที่คนเขาทำให้เราเป็นอย่างนั้น หรือเป็นเพราะใจเราเอง (ตัวเราเอง) แต่ถึงเวลาเราโทษใคร (คนอื่น)  เหมือนกัน เหมือนเวลาถ้าเรารู้สึกดี เวลาก็ผ่านไปไว ใช่เวลาเดินไวไหม เวลาก็ยังคงเดินตามปกติ แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่ปกติจึงทำให้เวลามีไวมีช้า คนมีดีมีร้าย แต่จริงๆ ถ้าเรามองอย่างไม่รู้สึกว่า มีใครดี ใครร้าย แต่พอเรารู้สึกปุ๊บ รู้จักคิดว่า เขาน่ารังเกียจหรือเราไม่ชอบ เขาน่ารำคาญหรือใจเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น
ฉะนั้นก่อนที่จะโทษเหตุปัจจัย ถ้าใจเราสงบนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร เหตุปัจจัยจะดึงเราให้ดีร้ายได้เสียไหม ถ้าเรารู้สึกดีใครพูดอะไรก็ดี แต่ถ้าเรารู้สึกแย่แม้เขาชมเราก็รู้สึกแย่ เพราะอะไร (เพราะใจเรา) แถมว่าเขากลับว่าไม่จริงใจ ฉะนั้นนั่งฟังธรรมะจะดีหรือไม่ดี ยากหรือง่ายมันไม่ได้อยู่ที่คนพูด ไม่ได้อยู่ที่คนชวนมา แต่อยู่ที่ใจของเรา ชอบหรือไม่ชอบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ใช่หรือไม่
มีอะไรที่แย่ที่สุดไหม และมีอะไรที่ดีที่สุดไหม มีดีก็ยังมีดีกว่า มีแย่ก็ยังมีแย่กว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด สิ่งที่เราบอกว่าเลวร้ายแท้จริงแล้วอาจจะไม่เลวร้ายก็ได้ สิ่งที่เราบอกว่าดีที่สุดนั้นดีที่สุดแล้วหรือ ก็ยังไม่ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าเราเอาใจแห่งความเป็นคนไปวัด เอาสายตาแห่งความคิดความรู้สึกของตนเป็นพื้นฐานในการมองสรรพสิ่ง เราจะไม่มีวันพบความจริงสักชั่วขณะหนึ่งได้เลย จริงไหม (จริง) เพราะมนุษย์ชอบเอาความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ ไปมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเอาธรรมไปมอง อะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด มีไหม เมื่อไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด อะไรที่เราจะเกลียด อะไรที่เราจะโกรธ อะไรที่เราจะหลงรัก กิเลสก็หายไปทันที ความทุกข์ก็ไม่มี แล้วเราจะดับตรงไหน มันก็จบทันทีเลยจริงไหม (จริง) ฉะนั้นตอนนี้ที่ชีวิตยุ่งยากเพราะอะไร เพราะใจเอาแต่ติดยึดความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิดโดยไม่มองความจริง ฉะนั้นผู้เข้าถึงธรรม จึงถือธรรมเป็นชีวิตและจิตใจ และดำเนินชีวิตตามธรรม ฉะนั้นธรรมคืออมตะ ธรรมคือชีวิต ชีวิตจึงอยู่เพื่อธรรม นี่คือหนทางการบำเพ็ญ ยากไหม (ไม่ยาก) ให้ท่านทำอะไรวุ่นวายไหม (ไม่) แค่ให้รู้จักมองตามความจริง กลับได้แล้วนะ ได้ไหม ก็จบแล้ว ต้องอะไรมากมายใช่ไหม เมื่องิ้วหมดลง งิ้วก็ต้องลงโรง ใช่หรือเปล่า ศิษย์มักจะคิดว่าอาจารย์มาแสดงละครให้ดูใช่ไหม
ธรรมชาติของมนุษย์ก็มีใจเหมือนๆ กัน ฉะนั้นถ้าเราอ่านใจตัวเองออกทำไมเราจะอ่านใจคนอื่นไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเรารู้ใจตัวเองเรื่องใด ทำไมเราจะมองผู้อื่นได้ไม่ชัด แต่คนในโลกนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ชอบรู้ใจคนอื่นแต่ไม่ชอบรู้ใจตัวเอง ชอบเอาแต่ไปมองคนอื่นจนลืมมองตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกให้ยืนขึ้นก็ (ยืน) ถ้าอาจารย์บอกให้นั่งก็ (นั่ง)  ศิษย์อาจารย์เป็นคนว่านอนสอนง่ายจริงๆ นะ ชีวิตจริงเป็นอย่างนี้หรือ ว่าซ้ายไป (ขวา) ว่าขวาไป (ซ้าย) ให้เดินหน้ากลับ (ถอยหลัง) ให้หยุดกลับ (เดิน) จริงไหม (จริง) อาจารย์ถามหน่อยนะว่า การตามใจคนอื่นบ้าง บางทีมันง่ายกว่าการขัดใจคนอื่น จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำตามคำบอก คือ ยืนขึ้นและนั่งลง มีนักเรียนท่านหนึ่งยืนโดยไม่ยอมนั่งลง)
มีความทุกข์อะไรหรือ (ทุกข์ใจ) แล้วอยากให้อาจารย์ช่วยใช่ไหม ใจเย็นๆ คนทุกคนในโลกก็ทุกข์กันทั้งนั้น ถามสิ มีใครบ้างไม่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ มันก็มีทั้งเรื่องยากและเรื่องง่าย (ใช่) แต่บางครั้ง อยู่ในโลกนี้ อดทนได้ ชีวิตก็สงบไปตั้งเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) วางได้ ชีวิตก็เป็นสุขไปตั้งเยอะ แต่บางทีความไม่อดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การไม่ยอมวางในสิ่งที่ควรวาง ก็ทำให้ชีวิตง่ายๆ กลายเป็นชีวิตที่ยากในทันที จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนศิษย์ถามในใจว่า ทำไมหนูต้องยอม ทำไมหนูต้องอดทน ก็เขาเป็นแบบนั้น แล้วทำไมหนูต้องยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องทนเขา มันเหนื่อยนะอาจารย์ จริงไหม (จริง) ใช่ อาจารย์เข้าใจ แต่ศิษย์เอ๋ย มีสิ่งหนึ่งที่มากกว่า ถ้าศิษย์เข้าใจแล้วศิษย์จะรู้เลยว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทนอดกลั้น การยอมดีกว่าการสู้และรบชนะ การแพ้แล้วถอยเป็นและการชนะใจตัวเอง จะดีกว่าการจองเวรจองกรรม
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์อยากพบคนที่ศิษย์เกลียดหน้าไหม (ไม่อยาก) แล้วจำสำนวนไทยได้ไหมว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ อย่างนั้นเปลี่ยนจากเกลียดเป็นรัก ดีไหม แล้วศิษย์ได้ยินอีกสำนวนหนึ่งไหม ผีเห็นผี ฉะนั้นเกลียดคนแบบไหน เราก็เป็นแบบนั้น อาจารย์พูดตามหลักธรรมหลักความจริง ถูกไหม (ถูก) ทำไมเดินไปรอบโลกแล้ว คิดว่าจะหนีเขาพ้น กลับพบคนแบบนี้อีกแล้ว เกลียดจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรจึงพบแบบนี้ ก็เพราะว่าใจของศิษย์นั้นจดจ่อ ศิษย์เอ๋ย มีอะไรตั้งหลายอย่าง มีอะไรให้มองกลับไม่มอง แต่ไปมองสิ่งที่ตัวเองเกลียด แล้วสิ่งที่ดีๆ มีให้เห็น แต่กลับมักเห็นแต่สิ่งที่เกลียด ฉะนั้นผีก็เห็นผี เกลียดแบบไหนก็เจอแบบนั้น แปลว่าในใจเรามีแบบนั้นอยู่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) เหมือนดั่งว่า กระจกสะท้อนเงา แล้วเราไปด่าว่ากระจกบ้า อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) แล้วคนอื่นเขาสะท้อนความเป็นตัวเรา แล้วเราก็ไปด่าเขาว่า บ้า อย่างนี้จริงๆ แล้วใครบ้า (เราบ้า) ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำเช่นไร ผลก็สะท้อนมาเป็นเช่นนั้น
อาจารย์อยากบอกวิชาให้ศิษย์ ซึ่งวิชานี้ถ้าเอาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติ ก็จะตามศิษย์ไปทุกภพทุกชาติ และวิชานี้จะทำให้ศิษย์ไม่มีวันตกต่ำ ไม่มีอับจน วิชานี้ศิษย์ไม่คิดจะเรียนกันบ้างหรือ เรียนเป็นแม่ค้าตายไปก็ต้องกลับมาเรียนการเป็นแม่ค้าใหม่จริงไหม เรียนเป็นครู เรียนเป็นอาจารย์ เรียนเป็นหมอ เป็นนักธุรกิจ ตายไปแล้วเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) เงินนี้หาจากธุรกิจ หาจากการเป็นหมอ หาจากการเป็นอาจารย์ เป็นครู นำไปได้ไหม ติดไปทุกภพทุกชาติไหม แต่มีวิชาหนึ่งตายไปแล้ว หรือแม้แต่ก่อนตายจะทำให้ตัดภพตัดชาติ สิ้นเวรสิ้นกรรม สิ้นทุกข์ แม้เกิดกี่ชาติก็ไม่มีวันอับจน ทำให้เราได้ดี คิดดี มีสุข วิชาแบบนี้ไม่มีใครคิดเลยนะ
ศึกษาและปฏิบัติบำเพ็ญวิชาอะไร ที่จะทำให้สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์และตายไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่มีวันอับจน ความเข้าใจเป็นปัญญา ที่เรียกว่าปัญญาแห่งความกระจ่างแจ้งและการตื่นรู้ นั่นเรียกว่าวิชาธรรม
การศึกษาบำเพ็ญธรรมนั้นดีอย่างไร การฟังธรรมบ่อยๆ จะทำให้เราเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในชีวิต และการฟังธรรมเป็นการทำให้เราได้เพิ่มพูนปัญญา ถ้าศิษย์เป็นคนที่นับถือพุทธ ทำทานแม้ร้อยหม้อพันหม้อทั้งในโลกนี้ยันโลกหน้ายังไม่ประเสริฐเท่ากับการมีศีล 5 ข้อ การมีศีล 5 ข้อร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับจิตสงบนิ่งหนึ่งวัน จิตสงบนิ่งเท่าช้างกระดิกหู แค่เขาทำอะไรแล้วจิตศิษย์สงบ ไม่สร้างบาปสร้างกรรม หยุดกรรมจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าการให้ทานเป็นร้อยหม้อ เข้าใจไหม แต่การมีจิตสงบร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งในชีวิตหนึ่งวัน เห็นไหมว่าการเข้าถึงปัญญามันประเสริฐที่สุดกว่าการให้ทาน แต่พอถึงเวลาลากดึงก็แล้ว โทรก็แล้ว มาฟังธรรมะเถอะ ก็ไม่เอา ใช่ไหม ศิษย์รู้จักแต่บุญวาสนาจากการให้ทาน แต่ศิษย์ลืมปัญญาจากการเข้าถึงธรรม และถ้ามาฟังตรงนี้ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ได้กุศลอันประมาณค่าไม่ได้ถ้าเราเข้าใจ แต่เอาไหม (ไม่เอา) ก็เลยไม่เข้าใจใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์มาบอกให้เข้าใจ ว่าจะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ศิษย์ และขณะที่ฟังให้เกิดปัญญานั้นยังรู้จักอดทนอดกลั้น มีความเข้าใจ มีความเพียร มีความวิริยะก็ยังเกิดบารมี เรากลับไม่เอา
เข้าใจธรรมอะไร ที่จะทำให้เราสิ้นทุกข์ ตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายอีก จะเกิดกี่ชาติก็ไม่ต้องอับจน ไม่ตกต่ำ (ไม่สร้างเวรสร้างกรรมต่อ) ใช่ไหม มีอะไรอีก (คุณธรรรม, ตัดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง, ความกตัญญู, ไม่ทานเนื้อสัตว์, ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะเขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน) อย่างนั้นยุงกัดเราจะไม่ (ตบ) มดมา แมลงสาบมาเราก็จะไม่ (ไม่ทำร้าย) เนื้อสัตว์มาเราก็จะไม่ (ไม่ทาน) ใช่แค่นี้แล้วทำให้ศิษย์เข้าถึงธรรมดับทุกข์ได้จริงไหม (ไม่)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์สามประโยค
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
ทุกข์ไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด
สิ่งใดที่บุคคลยึดถือ ไม่มีโทษนั้นไม่มี
อาจารย์ถามว่า ถ้าศิษย์เข้าใจสามประโยคนี้ ศิษย์จะสร้างบาปกรรมไหม (ไม่สร้าง)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์อยากยึดถืออะไร เกิดอยากอะไร หนีโทษ หนีทุกข์ หนีบาป หนีกรรมได้ไหม (ไม่ได้)  แปลว่า เมื่อไรที่เราเกิดอยากมีอยากได้อะไร เรายึดไหม (ยึด)  ยึดแล้วมันจะมีโทษไหม (มี)  ยึดแล้วมีโทษ อยากแล้วมีทุกข์ไหม (มี)  แล้วอดสร้างบาปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องสร้างใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดอย่างนี้ เข้าใจธรรมอย่างนี้ เราจะอยาก เราจะยึด เราจะหวังมีอะไรไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  มีไหม (ไม่มี)  เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ไม่ได้หลอก แต่อาจารย์พูดตามความจริง ถูกไหม แต่ถึงเวลาอยากไหม (อยาก)  มีไหม (มี)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยึดไหม (ยึด)  บาปไหม (บาป)  กรรมไหม (กรรม)  แล้วศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม” ทำดีเรียกว่า (กรรมดี)  ทำชั่วเรียกว่า (กรรมชั่ว)  อย่างนั้นแปลว่ากรรมดีทำแล้ว (ขึ้นสวรรค์)  กรรมชั่วทำแล้ว (ตกนรก)  แต่หมดสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมา (เกิดใหม่)  แล้วมันต้องเวียนไปถึงเมื่อไรล่ะ อาจารย์จะบอกว่ามีอีกอันหนึ่งที่พ้นจากกรรมดีกรรมชั่วนั่นคือ ทางสายกลาง ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่เอา ทางนี้แหละที่จะทำให้พ้นสวรรค์ พ้นนรก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิพพาน แล้วทำแบบไหน ก็ทำแบบที่ทำแล้วไม่มีโทษ ไม่มีทุกข์ ไม่มีบาป นั่นก็คือ (ไม่ยึด ไม่เกิด ไม่ทำ)  ถ้าเป็นอย่างนั้นวันๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  พุทธะสอนไว้แล้ว ทำอะไรตามความจริง แต่ไม่ใช่ทำอะไรตามความอยาก มีหน้าที่ก็ทำไปตามความจริงของหน้าที่ จะได้หรือไม่ได้เงิน เงินสูงหรือเงินต่ำ ก็ไม่เป็นไร นั่นแหละเรียกว่า ทำอย่างคนสายกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น วันตกนรกคือวันที่ 1-29 วันขึ้นสวรรค์คือวันที่ 30 ได้รับเงินเดือนออก ใช่ไหม (ใช่)  วันตกนรกคือวันทำนา ก่อนให้ข้าวมันตั้งท้อง วันที่ขึ้นสวรรค์คือวันที่ขายข้าวได้ราคาสูง ใช่ไหม ฉะนั้น ถ้าเราอยากทำแบบคนพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม จงทำสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่า หน้าที่ ให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ยึดติด ดีหรือไม่ (ดี)
ศิษย์เอย ถ้าเข้าใจแค่นี้ ก็จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม ศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างไม่อยากอะไรเลยก็คันหัวใจ ให้อยู่แบบไม่ยึดอะไรเลยก็เหงาเปล่าเปลี่ยวใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าให้ทำแบบอาจารย์บางทีก็ยาก ถูกไหม (ถูก)  แต่จริงๆ อาจารย์บอกว่าไม่ยากหรอก อยู่แบบคนยืมใช้ ถึงเวลาก็คืนเขาไป ทำเต็มที่ ถึงเวลาผลมันจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับความจริง เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่มนุษย์ชอบทำอะไรแล้วยึด แล้วหวัง แล้วก็อดเพ้อฝันไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในความเป็นจริง โลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ผิดหวัง มีใครบ้างไม่อกหัก มีใครไม่เคยสูญหายบ้าง มีใครไม่เคยล้มเหลวบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นความจริงจะกลัวอะไร ใครๆ ก็เจอ เราก็เจอบ้าง ก็แค่นั้น จริงไหม (จริง)  
มนุษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คือ มนุษย์ไม่ชอบอยู่กับความว่างเปล่า กลัวเหงากลัวไม่มี จึงต้องพยายามหาที่พึ่ง พึ่งลูกไม่ได้ก็พึ่ง (สามี)  แล้วถ้าสามีพึ่งไม่ได้ อย่างนี้ศิษย์จะพึ่งใคร (พึ่งตัวเอง)  แล้วเช็ดน้ำตาไปเท่าไรจึงจะมาพึ่งตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยนะ บางคนบอกว่า กลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว ต้องมีอันนั้นอันนี้ แล้วชีวิตจึงจะสมบูรณ์แบบ ชีวิตจึงจะใช่เลย แล้วเรื่องธรรมะค่อยว่ากัน อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่าต้องพยายามหาให้ครบ หาให้สมบูรณ์แบบ เมื่อถึงเวลาแล้วสิ่งเหล่านั้นทำให้เราพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ลูก สามี ภรรยา เพื่อนที่รักที่สุด ยศตำแหน่ง บ้าน ทั้งหมดนี้พึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ก็รู้หมดทุกอย่าง แล้วยึดไหม (ยึด)  ก็จบแล้ว ไม่ต้องต่อแล้ว ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ถ้าศิษย์รักตัวเอง เกลียดทุกข์ จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวและเสมอเท่ากับแรงกรรมที่ศิษย์ก่อ เพราะแม้ศิษย์มีน้ำตานองหน้า แล้วทำดีแค่ไหน กรรมที่ศิษย์เคยก่อ เมื่อถึงเวลาตกผล ศิษย์ก็เรียกร้องขอพระพุทธะไม่ได้ เพราะถึงเวลากรรมตกผลก็ต้องชดใช้
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดก็จงอย่ามีตัณหา เพราะตัณหาเป็นต้นทางแห่งความทุกข์ ถ้าไม่อยากรับบาป ไม่อยากรับกรรม ไม่อยากรับความชั่วก็จงอย่าทำผิด อย่าทำบาป อย่าสร้างกิเลส อย่าสร้างกรรม เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น อยากหยุดผลจงหยุดที่เหตุ มองเห็นเหตุชัด หยุดเหตุได้ ทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้าศิษย์ยังหาเหตุไม่เจอ หยุดเหตุไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่มีวันวางวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่พุทธะอยากให้คนทำความดี เพราะการทำดีเป็นการหลีกเลี่ยงให้ตัวเองไม่ไปทำความผิด ไม่ไปทำกรรม ไม่ไปทำชั่วเพราะ ผลสุดท้ายจะกลายเป็นทุกข์เพิ่ม ฉะนั้น ถ้าศิษย์เข้าใจอย่างนี้ศิษย์จะสร้างเหตุเพิ่มไหม (ไม่สร้าง)  ดั่งคำกล่าวไว้ว่า “อนาคตเป็นอย่างไรไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเองว่าสร้างเหตุอะไรปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้เราต้องรับอนาคตเช่นนั้น” ถ้าเราหยุดเหตุได้ อนาคตก็คือการชดใช้กรรมเก่าจริงไหม
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งกรรม ต้นเหตุแห่งทุกข์มันเกิดจากอะไร ถ้าทำดีแล้วยึดติดก็เรียกว่ากรรม ถ้าทำชั่วแล้วไม่ปล่อยวางแล้วยังจดจำ จองกรรมไว้ในใจก็เรียกว่า กรรมชั่ว จองเวรจองกรรม ไม่ต้องให้ฟ้าตัดสินหรอก ใจศิษย์ทุกคนนั้นเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุด ถามตัวเองสิว่า ความไม่ดีที่ศิษย์ทำมาตั้งแต่เด็ก นานๆ มันก็วนกลับมาว่าเมื่อไรเราจะชำระมันทิ้ง เดี๋ยวนานๆ มันก็วนกลับมาแล้ว เราเคยขโมยเงินแม่ เคยโกหกเพื่อน เคยโกหกภรรยา เคยเบียดเบียนผู้อื่น เคยโกหกมดเท็จแล้วก็วนมาตลอด แล้วเราจะทำอย่างไร เราเคยที่จะใส่ใจชำระล้างไหม หรือปล่อยให้วนอยู่อย่างนั้น แล้วกลายเป็นรากที่ฝังลึก แล้วก่อเกิดเป็นตัวตนที่กลับมาต้องใช้กรรม ถ้าความชั่วที่ศิษย์เคยทำมันกลับมา แล้วตอนนี้ศิษย์ไม่ได้ทำแล้ว เมื่อไรที่มันกลับมาตอนนั้นจงรู้จักชำระล้างด้วยจิตสำนึก ขออภัย ต่อไปจะไม่ทำแล้ว ขอบคุณที่กลับมาให้เราย้ำเตือนว่า ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า กรรมชั่วนั้นจะเอากรรมดีมาล้างไม่ได้ เพราะกรรมชั่วมันเหมือนกับหมึกที่เขียนลงไปในใจศิษย์ แม้ศิษย์จะหยุดเขียนแล้ว แต่รอยหมึกนั้นมันยังตรึงตราใจอยู่ จริงไหม (จริง)  และหมึกนั้นจะลบไปได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งความจริง ความจริงอะไร ถ้าวันหนึ่งที่เราต้องชดใช้ ดีใจที่ได้ใช้กรรม ถ้าวันหนึ่งเราถูกเขาโกง ขอบคุณเพราะฉันเคยโกงเขามา เมื่อวันหนึ่งเราเคยโกหกแล้ววันหนึ่งโดนเขาโกหกตลบตะแลงยิ่งกว่าที่เคยทำ จงขอบคุณ เพราะนั่นแหละกรรมมันได้สนองผล ขอบคุณ อย่าคิดเก็บไว้ในใจเด็ดขาด เพราะถ้ายิ่งเก็บมันก็คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ จริงไหม (จริง)  เหมือนถามในใจศิษย์ทุกคน ความดีคนอื่นจำได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ใครด่าเรามาจำได้ไหม ใครโกงเราเท่าไหร่ ยืมเงินมาไม่คืนจำได้ไหม (จำได้)  ลืมไหม (ไม่ลืม)  ฉะนั้นศิษย์จะบอกอาจารย์ว่า ตายแล้วก็จบกัน นั่นไม่จริง ถ้ายังมีพรุ่งนี้ ยังจำได้ มันไม่จบหรอก จริงไหม (จริง)  เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
แต่มันยาก ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ศิษย์อดไม่ได้ ยังอยากอีกนิดๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครดีศิษย์ก็อดมองและชอบไม่ได้ ส่วนใครไม่ดีศิษย์ก็อดหมั่นไส้และเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าลึกๆ ทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดีไหม รู้จักเมตตาธรรมในใจไหม (รู้จัก)  ฉะนั้น แม้ศิษย์จะบอกว่าถึงศิษย์ยังมีความหลงอยู่บ้าง แต่ว่าศิษย์ก็ยังมีความดีในใจนะ ขอศิษย์โลภเยอะๆ ไปก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยไปทำบุญกับอีกคนหนึ่ง จะสามารถชดใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  เดี๋ยวสวดแผ่บุญกุศลไปให้ ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ไปกดขี่ขมเหงคนนี้ แต่ไปเมตตาหรือทำบุญกับอีกคน สามารถชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้นะ ใช่ไหม อย่างนั้นเราควรที่จะหยุดสร้างความเลวร้าย แม้ไม่สร้างความดี เขาก็ยังเรียกเราว่าคนดี จริงไหม (จริง)  ดีกว่าอีกคนหนึ่งที่มือถือสากปากถือศีล แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นไม่สร้างกิเลส ยังไม่ต้องทำดีเลยนะศิษย์ ศิษย์ก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องทำความดี จริงไหม (จริง)  
แต่คนปัจจุบันนี้ดีก็ทำ ชั่วก็สร้าง กิเลสก็งก เหมือนกับที่ศิษย์ชอบบอกว่า อาจารย์คนเราก็ต้องมีเกลียดบ้าง มีด่าบ้าง มีชิงชังบ้าง ใช่ไหม แล้วอาจารย์ถามหน่อย เวลาจิตมันฝักใฝ่ตรงนี้มากๆ ศิษย์มีเมตตาจิตไหม ศิษย์ก็บอกว่า “มีนะอาจารย์ แต่คนนี้ขอเว้นไว้หน่อย” ศิษย์ไปทำเขาเต็มที่แล้วบอกว่า “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...” อาจารย์บอกว่าศิษย์ไม่ต้องสัพเพสัตตา แต่ศิษย์จงรู้จักทำทานกับทุกคน ทำบุญกับทุกคน ดีกว่าศิษย์ไปทำบุญไว้ที่วัด แต่ทำบาปไว้ที่โลก เมื่อกรรมมาทวงถามกรรมก็เลยมาเต็มที่ สู้ศิษย์ไม่สร้างบาปเลยไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม บาปให้ผลเป็นทุกข์ ศิษย์อยากหนีทุกข์ จงอย่าสร้างบาป แล้วบาปเกิดจากอะไร เกิดจาก โลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา เอาแต่ได้ไม่คำนึงถึงใคร ผู้ที่เข้าถึงความจริงแห่งธรรม ท่านจะมีจิตหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว และสามารถทำดีที่ยิ่งใหญ่ โดยมีแต่ให้ไม่หวังเอา เพราะเข้าใจคุณค่าของการให้มากกว่าการมี เพราะยิ่งมีก็ยิ่งยึด มันก็หนีไม่พ้นโทษ ศิษย์อย่าถามอาจารย์นะว่าทำไมต้องทำดี เพราะความดีมันทำให้ใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความชั่วทำให้ใจเราหม่นหมองเศร้าซึม ถูกต้องไหม ดีมันทำยาก ชั่วมันทำง่าย ใช่ไหม (ไม่ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า ใครคิดว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย ยกมือขึ้น และให้นักเรียนที่ยกมือสองคนออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์บอกว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย อาจารย์จะดูว่าจริงไหม เดี๋ยวให้ศิษย์เดินไปนะ เจอหน้าใครในชั้นเรียนนี้สบหน้าแล้วด่าเขาเลย ด่าไปจนสุดหลังห้อง เดินกลับมาเจอใครสบตาด่าเขาอีกจนกว่าจะกลับมาหาอาจารย์ (นักเรียนที่ออกมาหน้าชั้นไม่กล้าทำ)  ก็ศิษย์บอกว่าชั่วทำง่าย ทำไมตอนนี้ศิษย์ทำไม่ได้ล่ะ อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ ถ้าอาจารย์บอกให้เดินไปสวัสดีคนที่ศิษย์สบตา เดินไปจนสุดห้องแล้วกลับมาใหม่ อะไรทำง่ายกว่ากัน (สวัสดีง่ายกว่า)  ศิษย์เอยเพราะใจเราจมอยู่กับความโลภโกรธหลง เหมือนถามศิษย์ว่าจิตของศิษย์มีความเมตตาไหม รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม แต่ใจมันเคยฝักใฝ่ไปทางนี้ไหม ถึงเวลาหนูเลือกใช้อารมณ์ก่อน หนูเลือกตัวเองก่อน หนูเคยเมตตาก่อนไหม (ไม่)  เอาอารมณ์ก่อนใช่ไหม (ใช่)  พอจมอยู่กับอารมณ์มากๆ คราวหลังถึงเวลาจะยิ้มจะชมคน ปากก็จะหนัก เพราะด่าเขามาทั้งซอยแล้ว จะให้มาชมเขาก็เหมือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง
(นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นพูดออกมาว่า “ขอโทษจ้า แค่พูดผิดจ้า”)  ศิษย์เอ๋ย ขอบคุณนะที่พูดคำนี้ เพราะโลกขาดคนยอมรับความจริง และโลกขาดการยอมรับว่าตัวเองผิด ถามจริงในโลกนี้ใครผิด มีแต่บอกว่าเราไม่ผิด แต่ใจลึกของเราก็ยอมรับ อาจารย์จึงบอกว่าจริงๆ แล้ว เรามีธรรมอยู่ในใจ ธรรมนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรมในใจของศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยนำสิ่งนี้ออกมาใช้ มีแต่ใช้กิเลส อารมณ์ ไหนบอกไม่อยากมีกรรม ไหนบอกไม่อยากมีทุกข์ แล้วรู้ไหมว่า กิเลส อารมณ์ ให้ผลคือทุกข์ เจ็บ ช้ำ เสียใจ แต่ความดีนะศิษย์ ทำไปเถอะ พระพุทธะยังเคยเมตตาไว้ว่า แม้มีน้ำตานองหน้าก็จงทำดี และความดีนั้นจะแปรเปลี่ยนคนให้สะท้อนสะเทือนใจ หันกลับมาเข้าใจเรา โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามบังคับว่า แกต้องดี แกต้องดี ต้องทำตัวของเราให้เห็นเลยว่า นี่คือคนที่ไม่ยอมแพ้ความดี คนที่ไม่ว่าจะด่าอย่างไรเราก็จะดี ทำตัวเองให้เขาเห็น จริงไหม (จริง)
สมมติว่าคนนี้เป็นแม่ของเรา ขาก็ไม่ค่อยดี เราจะเดินแล้วคอยประคองให้เขาไปนั่ง หรือเราจะเดินไปแล้วบอกว่า แม่เดินให้ไวๆ หน่อยสิ เราเลือกแบบไหน (เดินประคอง) อย่างนั้นก็ลองทำเลย
เพราะโดยความเป็นจริงของชีวิต ทุกคนอยากให้เขาดี ย่อมไม่ใช่การชี้เรียกร้องเอาจากผู้อื่น แต่ต้องชี้แล้วถามใจตัวเองว่า ดีหรือยัง ซื่อตรงกับเขาหรือยัง อยากให้ลูกกตัญญู ตัวเรากตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองหรือยัง อยากให้เพื่อนซื่อตรง ตัวเองซื่อตรงจริงใจหรือไม่ อยากให้พี่น้องปรองดอง ตัวเราเคยเสียสละ มีเมตตา รักพี่น้องตัวเองไหม เอาตัวเองทำความดีให้คนอื่นเห็น ธรรมะสอนไว้ว่า ไม่ต้องไปรอเปลี่ยนใคร เปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง ไม่ต้องรอไปแก้ใคร แก้ที่ตัวเอง และไม่ต้องรอให้ใครเริ่ม เราเริ่มที่ตัวเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คนที่มีโอกาสจะสบายแต่เขาเลือกที่จะไม่สบาย เขายอมลำบากแล้วทำดีเพื่อคนอื่น การทำดีของเขานั้นสะท้อนใจเราไหม (สะท้อน) พอเรารู้แล้วเราอยากดีกับเขาไหม (อยาก) อยากทำเหมือนเขาไหม (อยาก) ถ้านึกถึงหรือเขาตายไปแล้ว เราก็ยังคิดที่จะทำดีหรือจดจำเขาในใจไม่ลืม ถูกไหม (ถูก) แล้วทำไมศิษย์ไม่เป็นแบบนั้น มีโอกาสสบายแต่เลือกที่จะไม่สบาย เลือกทำสิ่งที่ดีและถูกต้องยิ่งกว่าชีวิต มีโอกาสได้แต่ไม่เอา มีแต่จะให้ มีโอกาสจะเห็นแก่ตัว แต่ไม่เลือกเห็นแก่ตัว แต่อยากจะเสียสละ แล้วเชื่ออาจารย์ไหม ว่าความดีนั้นถ้าทำจนสุดจิตสุดใจ ไม่ต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะ คนมันเห็นทุกวัน ศิษย์จะใจแข็งขนาดไม่ดีกลับไปที่เขาหรือ ศิษย์จะใจดำกลับไปที่เขาไหม กับคนที่ดีกับศิษย์อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่หวังผลตอบแทน ศิษย์จะตอบแทนเขาไหม (ตอบแทน) ศิษย์จะทำดีไหม (ทำดี) และแม้เขาจะตายไป ศิษย์ก็ยังอยากที่จะทำต่อไหม (อยาก) เพราะอะไร เพราะการทำดีของเขานั้นได้ใจเราไปเต็มๆ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นศิษย์อย่าถามอาจารย์ว่าทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี เพราะความดีนั้นซื้อใจคนได้ ผูกใจคนได้นานกว่ารูปลักษณ์ กว่าเงินทอง ใช่ไหม แค่เขาร้องไห้เรายังร้องไห้ตามเลย ถ้าอย่างนั้นการทำดีก็เป็นสิ่งที่ (ดี) แต่เราทำหรือไม่
อาจารย์ถามว่าคนในโลกนี้  มีแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ ความสุขกับความทุกข์อะไรมีมากกว่ากัน (ความทุกข์)  ถ้าวันนี้อาจารย์จะคุยต่อเรื่องทุกข์กับสุขให้เลือกเอา เลือกอะไร (ความสุข)  ถ้าศิษย์เลือกสุข ศิษย์ผิดถนัดเลย ถ้าศิษย์แก้ทุกข์ได้มันก็สุขไปตลอดชีวิตแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แค่เริ่มคิดศิษย์ก็ผิดแล้วถูกหรือเปล่า อะไรก็ต้องสุข ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์เอย โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์ สุขก็บังเกิด แต่ถ้าศิษย์ทุกข์ไม่เอา ก็จะทุกข์อยู่ร่ำไป
อาจารย์อยากบอกว่า ทุกข์ที่ศิษย์เกลียดหนักหนานั้น จริงๆ ไม่ต้องไปเกลียดทุกข์หรอก เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์จะแย่เลยนะ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทุกข์มีไว้เพื่อให้เรียนรู้ ถ้าเราไม่ทุกข์กับการต้องยืนจนขาแข็ง แล้วเราจะรู้ไหมว่า เราจะต้องหาเก้าอี้นั่ง และถ้าเราไม่นั่งจนเมื่อยปวดหลัง แล้วเราจะรู้ไหมว่าเราต้องยืน จริงไหม (จริง)  ดังนั้นเราควรเกลียดทุกข์ไหม (ไม่ควร)  ควรขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์ เหมือนอาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากเจ็บไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นถ้าให้ศิษย์เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์เลย จะได้ไม่ต้องเจ็บเลยไปตลอดชีวิต เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ยังเจ็บ เพราะถ้าไม่เจ็บก็ไม่เรียกว่าชีวิต ต้องขอบคุณที่ยังทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์ก็คือตาย ใช่ไหม (ใช่)  ยืนจนทุกข์ แล้วอยากนั่งไหม (อยาก)  นั่งจนทุกข์ แล้วอยากยืนไหม (อยาก)  พูดมากแล้วหิวไหม (หิว)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์จากหิวก็ต้อง (กิน)  ต้องขอบคุณทุกข์ไหม (ขอบคุณ)  เกลียดทุกข์ไหม (ไม่เกลียด)  ฉะนั้นทุกข์ดีไหม (ดี)  ควรขอบคุณทุกข์ไหม (ควร)  แล้วควรจะต้องทุกข์มากมายไหม (ไม่)

พระพุทธะจึงสอนว่า เพราะไม่รู้ จึงอยากจึงยึด แต่ถ้ารู้ ก็ไม่อยากไม่ยึด เพราะมีอวิชชาจึงเกิดเป็นตัณหา อุปาทาน ถ้ามีวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็หายไป แล้ววิชาอะไร ก็วิชาธรรม รู้ธรรมในตนใช่ไหม (ใช่)  รู้อะไร รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนรู้ทุกข์อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นศิษย์โกรธไหมที่รู้สึกเจ็บ ไม่โกรธ ขอบคุณที่ได้รู้สึกเจ็บ แก่ดีไหม (ดี)  อาจารย์ถามว่า ถ้าได้ผู้หญิงสาวๆ ไปก็ต้องพาคนแก่ไปด้วย เอาไหม  อาจารย์ถามผู้หญิง ชอบหนุ่มหล่อๆ ไหม (ชอบ)  ถ้าได้เขาไป ต้องพาคนแก่ๆ ไปด้วยเอาไหม (เอา/ไม่เอา)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าจะรักกันไปจนแก่ จะอยู่กันไปจนแก่ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็บอกว่า มันแก่ไม่เอาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่ดีไหม (ดี)  เกลียดไหมความแก่ (ไม่เกลียด)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  อย่างนั้นอย่าไปฉีด
โบท็อกซ์ อย่าไปทำหน้าขาว เวลาจะออกจากบ้านก็ไม่ต้องส่องกระจก ไม่ต้องบ้วนปากนะ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์  เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงก่อเกิดเป็นตัณหา คือความอยาก พอมีความอยากก็กลายเป็นอุปาทาน คือความยึดมั่น ฉะนั้นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายแห่งวัฏจักรชีวิต ก็เลยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นอย่างนี้ มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เพราะความไม่รู้ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้ความจริง เราเห็นความจริง ความจริงในอะไรที่ทำให้เราก่อเกิดเป็นความอยาก ก่อเกิดเป็นกิเลส ก่อเกิดเป็นกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเข้าถึงตรงนี้ ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อเรามีความไม่รู้ เราก็จะเกิดความอยาก จากนั้นเราจะเกิดความยึดมั่น เพราะเราไม่รู้อะไร เราจึงเกิดความอยากแล้วเกิดความยึดมั่น จึงก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งกรรม นั่นคือความจริงในตัวตน
เราไม่รู้อะไร แล้วเราควรรู้อะไร แล้วความรู้นั้นจะทำให้เราไม่อยาก ไม่ยึดอีกต่อไป ความจริงในอะไร (ในใจ)  ที่เราอยากที่เรายึดเพราะเราไม่รู้อะไร ฉะนั้น ศิษย์อย่าแก้ตอนที่เราไปอยากไปยึดมันแล้ว แต่ศิษย์ต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่ศิษย์ไปอยากไปยึดนั้นศิษย์ยึดอะไร สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้แล้วศิษย์ไปอยากไปยึด ศิษย์ยึดอะไร ศิษย์ไม่รู้อะไร (ไม่รู้ตัวตน)  ไม่รู้ตัวตนใช่ไหม (ไม่รู้ทันกิเลส)  ศิษย์เอยกิเลสมันมาทีหลัง ตัวตนมันมาก่อน ถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีกิเลส ฉะนั้น สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้คือ ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลเพราะมีตัวตนที่เรียกว่ากรรม แล้วเกิดมาเพราะเรามีกรรมใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจกรรมตัวนี้ เราก็จะไม่สร้างเหตุอีกต่อไปถูกไหม ทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อตัวนี้ ฉะนั้น มันเริ่มตรงนี้ มันก็ต้องละตรงนี้ และจบตรงนี้ ซึ่งตรงนี้มันเรียกว่า “วัฏจักรแห่งชีวิต” ที่เราเรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงออกมา มีคนสวย คนวัยกลางคนและคนสูงอายุ)
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรารู้ว่าคนเราเดี๋ยวเกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เหมือนเอาคนนี้มา สวย แล้วอาจารย์ถามว่า ถ้ามีคนนี้แล้วกลายเป็นหญิงกลางคนคนนี้ แล้วหญิงกลางคนสวยไหม (สวย)  แล้วกลายเป็นคนอายุมากคนนี้ อาจารย์ถามว่า เป็นไปได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นหน้าตาสวยๆ คือหน้าตาที่แท้จริงและสุดท้ายของเขาไหม (ไม่ใช่)  เขาจะเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาจะแก่ไหม (แก่)  เขาจะเจ็บไหม (เจ็บ)  เขาจะตายไหม (ตาย)  อย่างนั้นเราควรจะยึดเขาไหม (ไม่ควร)  เราควรจะหลงรักเขาไหม (ไม่ควร)  เหมือนที่อาจารย์บอกว่า ถ้าได้คนสวยๆ ไป  แล้วมีคนแก่ตามไปด้วย เอาไหม จำได้ไหม ศิษย์บอกอาจารย์ว่าเอาไหม (ไม่เอา)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ ว่ามีใครได้คนสวยบ้างใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรามองเห็นความจริงแห่งชีวิตอย่างแจ่มชัด แล้วอะไรจะสวยที่สุด อะไรแก่ที่สุด แล้วอะไรที่เราควรรัก มันคงอยู่ไหม มันเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  แล้วถ้ามันเป็นแบบชายคนนี้เอาไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสูงอายุท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
เขาเหลือฟันเพียงแค่นี้  แต่ก่อนเขาก็อาจจะหล่อและหนุ่มแบบผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้   ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ศิษย์เอย ที่อาจารย์ไม่แต่งงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีใครเอาอาจารย์  แต่อาจารย์ไม่เลือกใคร  ถ้าเลือกแล้วมันไม่ได้ดี อาจารย์ไม่เอาดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเลือกแล้วตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังอยากจะเกี่ยวกรรมไหม ศิษย์จำได้ไหม ตอนแรกชายหญิงอยู่ด้วยกันเป็นคู่บุญคู่วาสนา คู่ตุนาหงัน แต่อยู่ไปอยู่มาก็กลับคิดว่าเป็นคู่บุญคู่กรรม  กลับทอดถอนใจว่าเมื่อไหร่จะจบกันสักที ใช่ไหม(ใช่)  แล้วใครเป็นคนคิด (เรา)  แล้วใครเป็นคนยึด (เรา)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นความจริง สิ่งใดในโลกที่จะทำให้ศิษย์อยาก อะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ทุกข์
จำไว้นะศิษย์ เราเกิดมาเพื่อรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่เอาทุกข์ ทุกข์มีได้ เกิดได้ แก่ได้ มีตายได้ แต่ใจแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมไปเป็น เหมือนกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์มีหลงได้แต่ไม่เอา เกลียดมีได้แต่ไม่ยึด ฉะนั้นหน้าที่ของการฝึกฝนบำเพ็ญมีสติ แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอาได้ไหม เราแค่ยืมสังขารใช้ ฉะนั้นกรรมเวรมันเป็นแค่สังขาร มันไม่ได้เป็นของใจเรา 
เราใช้กรรมแค่สังขารเราไม่ได้ใช้กรรมทางใจ จงมีแค่เจ็บที่สังขารแต่อย่าลากลงไปให้เป็นเหตุแห่งกรรมในใจ  เมื่อเราเห็นชัดรู้ชัดในทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันไม่เที่ยง  มันทุกข์  แล้วถึงเวลามันก็ว่างเปล่า  ใครไปกับเรา แล้วทำไมไม่ใฝ่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรม เพราะมันคืออริยทรัพย์ที่จะนำพาศิษย์ไปทุกภพทุกชาติและไม่มีวันอับจน เพราะมันไม่เหมือนความรัก  เงินทอง เกียรติยศ  พอหมดตำแหน่ง  หมดเงินทอง หมดหน้าที่  เราก็เป็นคนเดินดิน  แล้วเราต้องเศร้าไหมเราก็แค่กลับมายืนที่เดิม  ที่ๆ เราไม่มีใครและเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ที่ๆ เราไม่มีอะไรและเราก็ต้องอยู่กับความไม่มีให้เป็น  ฉะนั้นถ้าทุกข์เป็น สุขคือคำว่าพอ พอปุ๊บมันดีทันที เพราะไม่พอมันเลยไม่ดี
อาจารย์ถามศิษย์ทุกข์น่ากลัวไหม ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม แต่การที่ยังไม่รู้แจ้งในตัวเอง แล้วก่อวิบากกรรมก่อเหตุแห่งการเวียนว่ายน่ากลัวกว่าจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นจงมีสติระลึกรู้อยู่ในธรรม เห็นธรรมในตัวตนแล้วศิษย์จะเห็นธรรมในผู้คน นี่ก็ธรรมนั่นก็ธรรม เขาด่าเรามามันก็เป็นธรรม เขาชมเรามามันก็เป็นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เขาโกงเรามามันก็ยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นโลภโกรธหลงก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ เพราะศิษย์เข้าใจในธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะว่ามันยังอยากรักอยู่ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เมื่อรู้จักรักก็รู้จักเกลียด เมื่อรู้จักเกลียดก็รู้จักโกรธ เมื่อรู้จักโกรธก็รู้จักแค้น เมื่อรู้จักแค้นก็รู้จักอาฆาต เมื่อรู้จักอาฆาตก็ลุ่มหลงในความผิด ฉะนั้นรากเหง้าของความทุกข์บาปทั้งมวลล้วนเกิดจากรัก  ศิษย์รู้จักโกรธ ศิษย์รู้จักแค้น ศิษย์รู้จักหลง ใช่ไม่ใช่เพราะรัก รักความไม่เที่ยงด้วยนะ แล้วความไม่เที่ยงมันมีทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็หาตัวตนที่เราพึ่งพิงไม่เคยได้เลย ถามจริงๆ สิ่งที่เรียกว่าสกล อันเรียกว่าร่างกายนี้ มันคือหนึ่งในธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติ แล้วเราไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเรา ถูกไหม (ไม่ถูก)  ธรรมชาติน่ะจริง แต่ตัวเราที่พยายามครอบครองธรรมชาติไม่เคยมีจริงสักขณะเดียว
นิสัยของศิษย์อาจารย์รู้ พอเยอะๆ ก็เบลอ ได้หน้าลืมหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นมีโอกาสอาจารย์จะกลับมาใหม่ดีไหม (ดี)  เอาแค่ให้เห็นชิมลางๆ ชื่นใจก่อน  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ถ้าพรุ่งนี้ศิษย์มา เราก็ยังได้เจอกันอีก ส่วนใครไม่มาก็ 再見(ไจ้เจี้ยน แปลว่า พบกันใหม่) ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาฟังธรรมกันต่อนะศิษย์ รักษาบุญรักษาโอกาสนะ สิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ล้วนคือธรรม และธรรมนั้นก็คือชีวิต ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์ก็เข้าใจชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจชีวิต ศิษย์ก็เข้าใจความเป็นคนและจะอยู่บนโลกได้ไม่ต้องทุกข์ ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสกลับมาเจอกันใหม่นะ


วันจันทร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                                                            
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ใช้หลักธรรมเป็นหลักในการบำเพ็ญ    คุณธรรมเด่นกว่าผลงานสร้างชื่อเสียง
โดนบีบสร้างบาปอกุศลเฝ้าหลีกเลี่ยง    อย่ายอมเสียคุณธรรมเพียงเพื่อหากิน
     เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาอีกครั้ง                        ถามศิษย์รักของอาจารย์สบายดีไหม

  หลักธรรมเป็นประทีปแห่งโลกหล้า    ชาวประชาเป็นสุขทุกแห่งหน
จิตบำเพ็ญเป็นสวัสดีมงคล                นำผองชนไปสู่ธรรมอำพัน
ในยามทุกข์รู้ว่าสุขอยู่อีกฝั่ง              ในความหวังอย่าแบกความเพ้อฝัน
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดในสักวัน           ถึงสำคัญแค่ไหนก็ต้องวาง
ก่อนปีใหม่ตั้งใจยิ่งกว่าเดิม                ปีใหม่เริ่มจิตดีงามรังสรรค์สร้าง
ชีวิตดั่งศาลาน้อยริมทาง                  ปัญหาอย่างเดียวคือเริ่มกันวันใด
ในยามสุขบอกกับใจอย่าประมาท        คนฉลาดมักพลาดเรื่องง่ายง่าย
คนดีแล้วก็ยังรู้แก้ไข                      จิตเป็นนายสติเป็นผู้บัญชาการ
                                                                        ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าอาจารย์มาแล้วทำให้กินข้าวช้าจะยอมให้มาไหม (ยอม) ยอมจริงๆ หรือ (ยอม)  กินข้าวบ่ายโมงไหวไหม (ไหว) บ่ายสอง (ไหว) บ่ายสาม (ไหว) อย่างนั้นอาจารย์ให้กินเย็นเลยแล้วกันนะ อาจารย์หยอกศิษย์เล่น
เป็นอย่างไร ผ่านการเคี่ยวกรำมาสองวัน วันนี้เป็นวันที่สาม ทำไมวันแรกกับวันที่สามมันต่างกันฟ้ากับดินเลยนะ เป็นอย่างนั้นไหม
อาจารย์ถามจริงๆ นะศิษย์เอย เกิดเป็นคนก็ยังมีบ้านที่ต้องกลับ ร่างกายนี้มีบ้านให้กลับ แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านให้กลับหรือ กายนี้ยังมีบ้านให้อยู่อาศัย ยังมีญาติพี่น้องเดิมที่ต้องตามหา แล้วจิตเดิมแท้ของเราไม่มีบ้านที่แท้ ไม่มีพี่น้องที่แท้ที่เราต้องกลับไปหาหรือ (มี) แล้วเคยตามหาบ้านตัวเองบ้างไหม (ไม่เคย)  เหมือนเวลาที่ศิษย์ออกไปเที่ยวไกลขนาดไหน แต่วันหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาก็ต้องทิ้งร่างกายนี้คืนสู่ดินสู่ฟ้า เพราะว่าจิตเดิมแท้ของเรามาจากดินมาจากฟ้า แล้วจิตที่อยู่ในกายที่คอยสั่งให้เรากิน สั่งให้เราทำ สั่งให้เราต้องกลับบ้าน สั่งให้เราต้องเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ไม่เคยคิดอยากกลับบ้านที่แท้จริงบ้างหรือ แล้วบ้านที่แท้จริงอยู่ที่ไหนล่ะ แต่บางคนก็ไม่กล้าคิด เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อาจคิดว่า “ศิษย์คงไม่ได้มาจากฟ้า ศิษย์น่าจะมาจากรูใดรูหนึ่งจากใต้ดินมากกว่า ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับศิษย์มากกว่า” ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอยเวลาเกิดเป็นคน ก้าวก็ต้องก้าวให้ยิ่งใหญ่ เวลาไปก็ต้องไปให้ถึงที่สุด จึงจะเรียกว่าคุ้มค่าในชีวิต ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรามีจิต ในหนึ่งจิตที่ชีวิตหนึ่งจะหาได้ ทำไมเราไม่ไปให้สูงที่สุด ทำไมเราหวังแค่สวรรค์ มันคิดต่ำคิดเตี้ยไป ใช่ไหม (ไม่ใช่) เวลาตกนรกจะเอาเพื่อนไหม ตัวเองยังไม่รอดเลย ใช่หรือเปล่าศิษย์ (ใช่) ตอนนี้ใกล้ปีใหม่ศิษย์อยากกลับบ้าน แล้วตอนนี้จิตเราไม่อยากกลับบ้างหรือ
ถ้าอยากกลับบ้านคิดแบบสรตะง่ายๆ ใจฟ้าใจคนที่จะขึ้นฟ้าได้ควรหนักหรือควรเบา (เบา)  คนใจฟ้าควรจะเป็นคนใจแคบๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ หรือว่าเป็นคนที่ใจกว้าง เอาแค่สองสรตะนี้ถึงไหม เบาไหม ใสไหม กว้างไหม จิตที่ทำให้เราหนัก คือกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบความชิงชัง จิตที่ทำให้เราไม่กว้างคือการไม่ยอม การไม่ให้ การไม่อภัย การไม่เปิดใจกว้าง การไม่มองความจริง ถูกหรือไม่ ฉะนั้นกายเรายังรู้จักกลับบ้าน ใจเราไม่กลับบ้านบ้างหรือ ถ้ามองง่ายๆ คนที่จะกลับบ้านได้ ต้องจิตเบา ว่าง กว้างแบบหาที่สุดไม่ได้ หรือจิตที่ไม่มีตัวตนสักขณะเดียว ถ้าถามว่าพุทธะอยากเป็นอะไร ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นอะไรในโลก ท่านอยากเป็นธรรมที่ทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดิน เพราะเมื่อไรที่ท่านนำธรรมมาครองกาย จะไม่มีตัวตนให้ยึดถือ และไม่มีทุกข์ให้ต้องวิตกกังวล มีแต่จะให้ โดนว่าอย่างไรก็ไม่เจ็บเพราะไม่มีตัวตนให้เจ็บ แต่มนุษย์ชอบยึด ว่าตัวเราเป็นแบบนี้ ทำดีได้แค่นี้ ถ้าอาจารย์บอกว่าลองอีกนิดหนึ่ง วางอีกนิดหนึ่ง สละอีกนิดหนึ่ง ยากไหม
ยากไหม ถ้าศิษย์เป็นคนที่เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ศิษย์ต้องกลัวอะไร อาจารย์รู้ว่านี่เป็นชั้นสุดท้ายที่อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์มีโอกาสครั้งเดียวให้ศิษย์ขอพรจากอาจารย์ได้เพียงอย่างเดียว ศิษย์อยากขอพรอะไร
อาจารย์อยู่ไหน อาจารย์ก็มีได้ในใจของศิษย์ทุกคน เหมือนคำว่าความเป็นพุทธะมีได้ในใจของมนุษย์ทุกคน แต่เราหาความเป็นพุทธะในใจตัวเองเจอหรือยัง
บางครั้งการแต่งตัวก็มีผลกับจิตใจเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งศิษย์แต่งตัวธรรมดาเดินออกไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งศิษย์เอาชุดทหารมาใส่จะเป็นอย่างไร คนที่เป็นทหาร บางทีใจเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่พอเขาสวมชุดทหาร การที่เขาต้องใส่ชุดทหารทำให้เขาต้องเข้มแข็ง ฮึกเหิม ถ้าศิษย์แต่งตัวธรรมดา ศิษย์ก็รู้สึกธรรมดา แต่ถ้าศิษย์ใส่ชุดแม่ชีศิษย์จะเดินไม่สุภาพได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นชุดก็มีผลต่อจิตใจภายในเหมือนกัน จึงอย่าบอกว่าแต่งตัวอะไรก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายใน บางครั้งการแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน ดูดี ย่อมมีผลต่อคนรอบข้างเหมือนกัน เมื่อไหร่ที่เขาแต่งตัวดูดี การที่จะหาใครมาพูดคุยกับเขาหรือเตือนเขาจะง่ายหรือยาก (ยาก) ดูดีไปใช่ไหม จะคุยด้วยก็รู้สึกว่าเขาอยู่สูงไปหน่อยไหม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าการแต่งตัวภายนอกไม่มีผลต่อภายในจิตใจของเรา แต่งตัวดีเกินไปคนก็ไม่กล้าตักเตือนสอนสั่ง วางตัวสูงล้ำเกินไปคนก็ไม่กล้าชิดใกล้เข้าหา ฉะนั้นการแต่งตัวภายนอกใช่จะไม่มีผลกระทบต่อภายในใจ ถ้าวันไหนศิษย์แต่งตัวแล้วมั่นใจ เวลาเดินแล้วรู้สึกว่า ฉันดูดี แต่พอเดินไปมีคนทักว่า “แต่งได้อย่างไร ใครเขาแต่งกันแบบนี้” เราก็โกรธ เธอมีอะไรมาว่าฉัน เธอแต่งดีนักหนา นี่เสื้อฉันกี่บาทรู้ไหม กางเกงกี่บาทรู้ไหม ใช่ไหม เป็นแบบนั้นไหม (เคยเป็น) ดีแล้วศิษย์ที่ยอมรับ อาจารย์เชื่อทุกคนก็เป็นแบบนั้น วันไหนที่ใส่เสื้อราคาแพงจะรู้สึกว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสูงกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนที่มีเงินเดือนมากกว่าคนอื่น ทั้งที่คนอื่นไม่รู้เลย แต่รู้สึกเหมือนตัวเองล้ำกว่าคนอื่น จริงๆ แล้วตัวเองล้ำกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนถูกลอตเตอรีก็รู้สึกว่าวันนั้นหน้าบานกว่าคนอื่นใช่ไหม
ถ้าอาจารย์ให้โอกาสศิษย์ขอพรได้หนึ่งข้อ ศิษย์จะขออะไร คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าออกจากปากศิษย์แล้วจะขอได้ครั้งเดียว ขออีกไม่ได้แล้ว คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าอาจารย์ให้แล้ว ศิษย์จะถอนคำพูดไม่ได้แล้ว ใช่ไหม (ใช่) ต้องคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่ขอนั้นต้องครอบคลุมจะต้องเอาไปใช้ตลอดชีวิต
(ขอให้มีแสงสว่างในชีวิตตลอดไป ดวงตาเห็นธรรม ขอให้พ้นทุกข์ ขอสติปัญญา ขออย่าให้เจ็บอย่าให้ป่วย ขอให้ครอบครัวมีแต่ความสุข ขอมีธรรมคุ้มกาย ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีใหม่ ขอตรัสรู้ในพระสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาล เพราะอยากจะช่วยเวไนยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา) ขอหมดทั้งชั้นแล้วใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ที่ขอให้ครอบครัวร่มเย็น แต่ถ้าปากเราขี้บ่น ใจอดกลั้นไม่ได้ ใจเราชอบติดเหล้า ใจเราชอบคดโกง ใจเราชอบเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตัวเอง ใจเราไม่มีเมตตา ครอบครัวจะร่มเย็นไหม (ไม่) ฉะนั้นก่อนจะขออาจารย์ ควรขอตัวเองก่อน ใช่ไหม (ใช่)
ส่วนคนที่ขอว่า อยากขอให้สุขภาพแข็งแรง ศิษย์เคยได้ยินสำนวนที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ไหมว่า “โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก” จริงไหม (จริง) ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์แข็งแรง แต่ถ้าศิษย์ไปกินในสิ่งที่ไม่ควรกิน ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไปพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด แข็งแรงไปแต่ปากเสียก็ตายไว จริงไหม (จริง) อาจารย์ขอให้ศิษย์แข็งแรง ถ้าหากศิษย์แข็งแรงแต่ลูกหลานตายหมดเอาไหม (ไม่เอา) อย่างนั้นขอตัวเองแข็งแรงคนเดียวดีไหม (ไม่ดี) แล้วถ้าเกิดตัวเองแข็งแรงแล้วไม่ตายสักทีดีไหม แล้วศิษย์ควรจะขออะไรดี ที่จะนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์พ้นภัยแคล้วคลาด เจอเรื่องอะไรก็เข้าใจมองออกปลดปลง เห็นทุกข์เป็นสุขได้ (ดวงตาเห็นธรรม) ขอดวงตาเห็นธรรม ปัญญา สติใช่ไหม (ใช่) แล้วปัญญาจะเกิดได้จากไหน จากอาจารย์ยัดเยียดให้ใช่ไหม (ไม่ใช่) ปัญญาเกิดได้จากการพิจารณาความจริงจนเห็นชัด เมื่อเรามองเห็นอะไรชัด ก็เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังจนจบเรื่อง เมื่อหนังฉายอีกรอบหนึ่ง ศิษย์ยังรู้สึกเศร้าไหม (ไม่เศร้า) เห็นตัวโกงโกรธแล้วด่าไหม (ไม่ด่า)  เพราะศิษย์รู้แล้วว่าเดี๋ยวตัวโกงก็ตาย พอเห็นชัดจะโกรธไหม จะหลงรักอะไรไหม พอเห็นชัดแล้วจะรู้หมด เราจะทุกข์เราจะสุขอะไรไหม แต่มนุษย์มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยเห็นชัด สมมติว่าถ้าอาจารย์วาดอะไรอย่างหนึ่ง อะไรที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงแล้วไม่ค่อยชัด ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี จะเข้าใจผิดพลาดได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้แจ่มชัด จงอย่ามองแค่ผ่านๆ

(พระอาจารย์เมตตาวาดภาพดอกไม้แห่งสติ)






ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี ศิษย์จะบอกว่า อาจารย์ให้ “ดอก” นี่นา ใช่ไหม (ใช่)  เพราะคำว่า “ดอก” มันตัวใหญ่มาก ฉะนั้นหากศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้ชัด จงอย่ามองผ่าน “ใจ” เพราะใจของมนุษย์มีความยึดติด ใจของมนุษย์มีความคาดหวัง ใจของมนุษย์มีความมั่นหมาย ติดยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองอะไรให้แจ่มชัด จงมองด้วยแก่นอย่ามองเพียงเปลือกนอก เพราะรูปลักษณ์ที่แท้จริงล้วนมีแก่นแท้อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  รูปนามทั้งมวลที่แตกต่างกันเพียงเปลือกนอก แต่ทุกเปลือกนอกมีแก่นเหมือนกัน แล้วแก่นของรูปลักษณ์ทั้งหมดมันมีเปลือกที่แตกต่าง แต่มีแก่นที่เหมือนกันคืออะไร ถ้าเห็นบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ มันจะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เกลียดเลย ตอบได้อาจารย์มีของขวัญปีใหม่ให้ดีไหม
(ใช้สติปัญญา)  ใช่ไหม สติปัญญาคือสิ่งที่เอามาใช้ในการมอง เหมือนที่อาจารย์บอกว่าการที่จะเราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้ เราต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน อย่าเอาแต่มองเปลือกนอก เพราะมองเปลือกนอกมันทำให้เราหลงง่าย แต่ถ้าเราเข้าใจถึงแก่นว่ามันมีแก่นเหมือนกัน มันมีหลักเหมือนกัน เพราะเข้าใจหลักแล้วจับจุดได้ เราจะไม่หลง เราจะไม่อยาก และอะไรที่เป็นแก่นหลักในการเข้าใจธรรม และมองชีวิตและทำให้เราไม่หลง
(ตัวตน)  ตัวตนอะไรล่ะที่เป็นแก่น ที่เราจะต้องหมั่นพิจารณา ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาเนืองๆ ศิษย์จะเกิดปัญญาเห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูกออกมาหน้าชั้น) (ผมขอบคุณพระอาจารย์เมตตา ผมรู้จักพระอาจารย์จี้กงจากหนังที่เคยชอบดูตั้งแต่เด็กครับ ผมตื่นเต้นมากที่ได้พบพระอาจารย์ ผมมองลึกเข้าไปว่าพระอาจารย์มีความสุขมาก)  ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างแม้เปลือกนอกต่างกัน แต่มีแก่นเดียวกันคือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย (เมื่อวานพระอาจารย์เปรียบเทียบหญิงสาว หญิงวัยกลางคน หญิงชรา ผมเข้าใจครับ) ฉะนั้นเมื่อศิษย์มองทุกสิ่งอย่าติดแต่เปลือก แต่มองให้ถึงแก่นว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ทั้งเขาและเราก็ทุกข์ เราจะหาทุกข์ไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดเขาก็ไม่มีเราก็ไม่มี จะโกรธไปเพื่ออะไร จะว่าไปเพื่ออะไร จะรักไปเพื่ออะไร เพราะถึงที่สุดก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะรักจะเกลียดไปทำไม เขาก็ทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราต้องพิจารณาทุกสิ่งจนบังเกิดธรรม พิจารณาอยู่เนืองๆ ไม่ว่าเจอสิ่งใดจะบังเกิดธรรม อาจารย์กำลังจะบอกว่า เราไม่มีหน้าที่ไปยุ่งกับใคร เราไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนใจใคร เราอย่าไปร่วมกรรมกับเขา เขาด่ามาศิษย์มักด่ากลับ แถมเดินกลับไปบ้านเอาเรื่องที่ไม่ดีที่ฟังเขามา  แล้วไปเล่าให้แม่ฟังว่า “บ้านนั้นเขาทะเลาะกับบ้านนี้ดูไม่ได้เลย” เรียกว่าเอากรรมเขามาเกี่ยวด้วย เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้วยังเอามาเก็บไว้ในใจเราอีก เรื่องของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราจะเอากรรมมาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ไปอ่านข่าวมาแล้วรู้สึกไม่ดี ก็เอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง พอคนอื่นฟังก็ร่วมสังฆกรรมกับเรา อย่างนี้เรียกว่าเราลากกรรมไม่ดีของเขามาร่วมเกี่ยว แล้วแถมให้ทุกคนมาเกี่ยวกรรมด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ไม่ได้ทำบาปแต่ชอบเกี่ยวบาป ไม่ได้ทำกรรมแต่ชอบร่วมกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ดูอะไรบนอินเทอร์เน็ตนิดเดียว แล้วเผลอพิมพ์ด่าเขา พอมีคนมาเห็นด้วยกับเรา เขาก็ด่าซ้ำอีก แล้วเป็นอย่างไรร่วมกรรมกันไหม (ร่วม)  เมื่อเป็นเรื่องไม่ดีต้องเอาไปเผยแพร่ไปกระจาย อาจารย์ถามหน่อยว่า ใครในโลกไม่ทำผิด ถ้าหากวันหนึ่งศิษย์ทำผิด ความดีที่ศิษย์เคยทำมามีมากมาย แต่ความไม่ดีเพียงนิดเดียวถูกคนนำไปประจานจนศิษย์ไม่มีที่ยืน ศิษย์ว่าคนไหนบาป คนที่พยายามประจาน ใช่ไหม (ใช่)  นอกจากศิษย์กำลังทำให้เขาไม่มีที่ยืนแล้ว ศิษย์ยังทำให้คนๆ หนึ่งตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมองอะไรอาจารย์จึงบอกว่ามองให้ถึงแก่นแท้
ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์เลือกรางวัล เอาอะไรดี อาจารย์ให้เลือกหนึ่งชิ้นที่จะทำให้แจกคนอื่นๆ ได้หลายๆ คนด้วย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูก เลือกของรางวัลจากบนโต๊ะพระ)
อาจารย์ว่าศิษย์รู้แก่นแต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ไม่ดีนะ อาจารย์ขอให้ศิษย์มีสติด้วย  เมื่อสักครู่ที่ศิษย์ตอบว่า “สติ” ให้ออกมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เขาจะเลือกอะไร ที่เป็นชิ้นเดียวแล้วสามารถแบ่งแจกคนในห้องนี้ได้ทั้งห้อง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามว่า “สติ” และผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีนามสกุลว่า “มีปัญญา” ออกมาช่วยกันลือกรางวัล) เวลาเราเข้าใจธรรมอย่าลืม “สติปัญญา” ถามเขาด้วยว่า สิ่งที่ศิษย์จะเลือกจากบนโต๊ะพระนั้นดีไหมบางทีการรู้อะไรซื่อๆ ตรงๆ ก็ดีนะ แต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ดูจะซื่อจนเกินไป
(นักเรียนเลือกลูกอม)
เพราะจะได้แจกได้ทุกคนใช่ไหม ดีใจไหม (นักเรียนในชั้นตอบว่าดีใจ)  ฉะนั้น แค่หนึ่งความตั้งใจอันดีงาม ความตั้งใจหรือหนึ่งความเข้าใจแห่งธรรมย่อมสามารถสะท้อนสะเทือนผู้คนหลากหลายที่อยู่ร่วมกันได้ แค่ศิษย์หนึ่งคนในห้องนี้เข้าใจธรรม มีสันติในการอยู่ดำรงชีวิต และมีสันติสุขในการเข้าถึงธรรม ย่อมสะท้อนสะเทือนให้คนที่อยู่รอบข้างเป็นสุขด้วย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอาจารย์ให้ลูกอม แล้วจะให้สติกับปัญญาได้ด้วยไหม (ได้ทุกคน ผมไม่ต้องเอาไม่เป็นไรครับ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านนั้นและตัวแทนของสติปัญญานำลูกอมไปแจกท่านอื่นๆ ในชั้น)
ศิษย์เอยอยากได้บุญต่อไหม (อยาก)  เวลาเขาแจกมาทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ไม่ใช่แค่ขอบคุณแต่บอกว่า (อนุโมทนา)  
ถ้าสมมติว่าเราเจออะไรผ่านเข้ามาในชีวิต เราเห็นความจริงตลอดว่าเดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็มีทุกข์ เดี๋ยวก็ว่างเปล่า ถ้าพิจารณาแบบนี้ตลอด เราจะโลภจะโกรธหรือไม่ เราต้องพิจารณาให้ถึงนะศิษย์ อย่ามองเห็นแค่เปลือก เพราะมนุษย์ชอบมองคนผ่านใจ ไม่ได้มองตามความจริง พอมองผ่านใจ ใจเราจะมีสัญญาความจำ นิสัย ความชอบชังที่ไม่เหมือนกัน ศิษย์มักจะอ้างกับอาจารย์ว่าศิษย์หวังดี อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกให้เขาเปลี่ยนเขาจะเปลี่ยนไหม ทุกคนก็มีแบบอย่างของตนเอง
ถ้าอาจารย์มีแอปเปิลอยู่หนึ่งลูก บอกว่าถ้ากินแล้วต้องตายศิษย์จะกินไหม (ไม่กิน)  กินแล้วจะทำให้เจ็บปวดเจียนตายจะกินไหม (ไม่กิน) (นักเรียนสัญญากับพระอาจารย์ว่า จะเลิกกินเหล้า) ถ้าเลิกกินเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้ ถ้าทานแล้วจะทำให้อายุยืนขึ้น ถ้าเลิกไม่ได้จะทำให้อายุสั้นลง (นักเรียนสัญญาว่าจะเลิก)  ค่อยๆ ทำให้ได้นะเพื่อตัวเอง ตอนแรกศิษย์กินเหล้าแต่ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ไปค่อนตัวแล้วนะ รักตัวเองหน่อยนะ ตั้งใจแล้ว ไม่ใช่ต่อหน้าอาจารย์แค่องค์เดียว แต่ต้องต่อหน้าทุกๆ คน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ด้วยนะ
ถ้าศิษย์อยากได้เรื่องสวัสดีมงคล ทำไมศิษย์ไม่ทำเรื่องดี ถ้าอยากได้ชีวิตที่มีแต่ความสุข ทำไมศิษย์ไม่มอบความสุขให้กับผู้อื่น แต่มนุษย์มีชีวิตอยู่กันแบบเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นเพื่อตัวเองจะได้โดดเด่น อยู่เพื่อการฆ่าเพื่อนำมากินเป็นอาหาร อยากมีชีวิตที่สุขภาพดี อยากอายุยืนต้องไม่ฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นทำให้เราสุขภาพไม่ดี อายุสั้น ถ้าศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รักใครก็เชื่อฟัง ก็ดูว่ามีน้ำใจกับเขาไหม รู้จักเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เคารพให้เกียรติไม่มีน้ำใจ ใครจะรักใครจะเชื่อฟัง ฉะนั้นเรียกร้องสิ่งที่เป็นมงคล ทำไมไม่รู้จักเรียกร้องตนเอง ทำตัวเองให้มีมงคล ฉะนั้นถึงแม้อาจารย์จะเอามงคลมาตรงหน้า แต่ถ้าศิษย์มีจิตคิดร้าย ปากศิษย์พูดไม่ดี ทำตัวไม่ดี มงคลจะมาสู่ตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์เอย วันนี้อาจารย์จะมาบอกวิธีหาความสุขง่ายๆ เอาไหม เอาความสุขแบบอาจารย์ไหม (เอา)  ถ้าสุขแบบนี้นะ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหน เจออะไรก็คือกำไรชีวิตทั้งนั้นเลย เมื่อวานอาจารย์บอกวิธีเผชิญกับทุกข์ให้กับศิษย์ทุกคนแล้วใช่ไหม แล้วทำอย่างไรให้มีสุข
ถ้าศิษย์อยากมีสุขและเป็นคนที่มีสุขง่ายๆ เราควรจะกำหนดความสุขของเราให้สูงหรือว่าต่ำเตี้ยติดดิน มีบางคนยังไม่เข้าใจเพราะว่าตอนแรกอาจารย์บอกว่า เวลาทำอะไรเราต้องก้าวไปให้ไกลและไปให้ถึงที่สุด อันนี้คือความมุ่งมั่นในการเกิดเป็นคน แต่ความสุขในการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ง่ายที่สุด มันควรจะสูง หรือควรจะต่ำ (ต่ำ)  น่าจะต่ำนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าความสุขมันต่ำและเป็นพื้นฐานง่ายๆ เลย ฉะนั้นเวลาเราเจออะไรเพิ่มเติม ก็เป็น กำไรชีวิต ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดอาจารย์บอกว่าความสุขของอาจารย์คือการได้หายใจ ง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอะไรที่ทำให้อาจารย์ยังมีลมหายใจ อาจารย์ก็ยังมี (ความสุข)  อย่างนั้นถ้าวันหนึ่งอาจารย์หมดลมหายใจอาจารย์มีสุขไหม (ไม่มี, มี)  หมดสุขเลยไหม (ไม่) เพราะเราพอใจในสิ่งที่ง่ายที่สุด ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร ยังไม่มีอะไรเลย แล้วที่ศิษย์มีอยู่นี้ยังเรียกว่าไม่มีอีกหรือ ถูกไหม
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ถ้าศิษย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คือต้องมีรถ มีบ้าน มีสามี มีภรรยา มีตำแหน่ง มีเงินเดือนสูง ศิษย์เหนื่อยไหมกว่าจะไปถึงความสุข (เหนื่อย)  แล้วกว่าศิษย์จะได้สุข ศิษย์ทุกข์ไปเท่าไหร่ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คืออย่างนี้ มีแค่นี้ มีเท่านี้ มีแบบนี้ สุขแล้ว ฉะนั้นจะน้อยไปกว่านี้ หรือจะหายไปกว่านี้ ก็สุขแล้ว ยอมรับความจริง จะมีอะไรทุกข์ จริงไหม (จริง)  มีใครบ้างที่ได้แล้วไม่เสีย มีแล้วไม่ไร้ รักแล้วไม่อกหัก สมหวังแล้วไม่ผิดหวัง ฉะนั้นความสุขคือการยอมรับความจริงในสิ่งที่แค่นี้เท่านี้จะน้อยไปกว่านี้ก็สุข ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าการตั้งความสุขไว้สูงๆ มันยากกว่าจริงไหม (จริง) 
สิ่งที่อาจารย์อยากประทานพรให้ศิษย์มากที่สุดคือ หัวใจที่เข้มแข็งยอมรับความจริง ดีกว่าใดๆ ในโลก หัวใจที่เข้มแข็ง ยืนด้วยตัวเองได้ ยอมรับความจริงได้ อะไรจะเกิดก็จะเข้มแข็ง ก็จะสู้ ก็จะมองให้เห็นธรรม เอาทุกข์เป็นบันไดให้เราหลุดพ้นสิ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราเจ็บ อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายชีวิต อย่าเอาทุกข์มาผลาญชีวิตอย่างเจ็บปวด มันไม่คุ้ม เกิดเป็นคนทั้งทีต้องเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มนุษย์ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงมีสติ มีปัญญา และมีคุณอันมหาศาลที่สามารถสร้างคุณที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่เราไม่ทำ ศิษย์เอยแม้เทวดายังอดอิจฉามนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีโอกาสสร้างสิ่งที่ดีงามที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเทวดาอีก แต่มนุษย์ไม่ทำ อ้างแต่เพียงกลัวไม่มีกิน อาจารย์ถามหน่อยนะ มีเงินแต่ไร้ปัญญา วันหนึ่งมันก็หมด ถ้าไร้เงินแต่มีปัญญา วันหนึ่งมันต้องมี และยิ่งเป็นปัญญาที่ไม่ยอมแพ้ ศิษย์รู้ไหมว่าชะตาไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่ตัวเรากำหนด เหมือนที่อาจารย์บอกว่า อนาคตข้างหน้าใครเป็นคนปรุงแต่งให้มันเป็นไป ตัวนี้นี่แหละที่คิดที่ทำ ถ้าตั้งอยู่ในครรลองคลองธรรม ข้างหน้าก็คือความดีงามบริสุทธิ์ แต่ถ้าตั้งอยู่บนกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบธรรมข้างหน้าก็คือผลกรรมที่ศิษย์ต้องยอมชดใช้ และยอมรับอย่างหนีไม่ได้ ฉะนั้นฟ้ากลัวคนไม่ยอมแพ้ คนที่สู้ไม่ถอย ฟ้าเปลี่ยนชะตาของเขาไม่ได้ ลองดูสิแม้ฟ้าจะทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขาจะดีให้จงได้ แม้ฟ้าจะทำให้เขาทุกข์ทนแต่เขาก็จะมีสุขจนได้ อาจารย์ถามหน่อย คนแบบนี้ฟ้าทำอะไรเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่คนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ฉะนั้นมนุษย์มีจิตประเสริฐ มีจิตที่ดี มีจิตแห่งความเป็นพุทธะ แต่มนุษย์ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง แล้วก็ชอบเดินทางผิด อาจารย์ถามหน่อยนะว่าตอนนี้กรรมยังดีอยู่ บุญยังหนุนส่งให้ศิษย์รอดพ้น แต่ถ้ากรรมชั่วที่ตามติดไปแล้วทำให้เกิดมาภพหน้าภพใหม่ แล้วศิษย์ต้องลำบากอัปยศอดสู เกิดเพราะใครนั่นเป็นเพราะศิษย์ไม่ดีเหรอ ไม่ใช่ แต่มันคือสิ่งที่ศิษย์ทำเองทั้งนั้น ฟ้าไม่ใช่ไม่ยุติธรรม อาจารย์ไม่ใช่ไม่อยากช่วย อาจารย์อยากช่วยแต่อาจารย์อยากบอกว่า กรรมมีให้ชดใช้ และมันเป็นกรรมแค่เพียงสังขาร ไม่ใช่กรรมในจิตใจ ถ้าใช้แล้วมันจบ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ศิษย์ใส่ความเป็นตัวตน ฝังความเป็นตัวตน จะแค้นจะโกรธไปทำไม จะเกลียดจะผูกเวรผูกกรรมจะเบียดเบียนคนอื่นไปทำไม
อาจารย์เป็นอาจารย์ศิษย์ มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์ไม่ได้ดี มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์พึ่งแต่อาจารย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง อาจารย์ต้องมีศิษย์ที่ประเสริฐกว่าอาจารย์ ไม่ใช่ศิษย์ที่แย่กว่าอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ดีแต่ศิษย์ไม่เดินศิษย์ไม่ทำ ผิดที่อาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันสะท้อนว่าอาจารย์ยังดีไม่พอ เพราะถ้าอาจารย์ดีพอ ศิษย์คงพยายามมุ่งมั่นทำความดีให้ถึงที่สุด ลองดูนะชีวิตหนึ่งก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถึงก็ต้องถึงแล้วดี ไม่ต้องทุกข์อีก ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก บางทีก็พูดไม่ออกนะศิษย์ พูดมากก็กลัวศิษย์รำคาญ ฉะนั้นเมื่อไรที่ท้อ เมื่อไรที่ทุกข์กลับมานะ อาจารย์จะปลอบใจ แต่จงจำไว้ว่า ทุกอย่างมีความถูกต้อง แม้ชะตากรรมจะพลิกผันอย่างไร แย่ขนาดไหน ก็ถือว่าดีแล้วได้ชดใช้ อย่ายึดมั่นถือมั่นในสังขารอันนี้เลย มันไม่เที่ยง ถึงเวลาก็พึ่งอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราต้องเอากลับไปคือจิตอันบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ก็เชื่อเช่นนั้น และอาจารย์ก็มั่นใจตลอดมาว่าหัวใจที่ดีงามยังอยู่ในใจศิษย์ แต่บางครั้งแค่หลงไป กลับมาเถอะนะ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจใหม่ ยังไม่สายถ้ายังมีลมหายใจ แต่ถ้าเมื่อไรหมดลมหายใจแล้ว ตอนนั้นมันสายแล้วศิษย์ มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว
ทำให้ได้นะศิษย์ ดีใจที่ศิษย์กลับมาจนจบนะ  กลับไปแล้วต้องกลับมาอีกนะ  จับมืออาจารย์ไหม  อย่าใกล้เกลือกินด่างนะศิษย์เอย  วันนี้อาจารย์ปลอบขวัญให้กำลังใจให้ปัญญาศิษย์  ต่อไปไม่ว่าเจออะไรรู้จักอดทนอดกลั้น  หยัดยืนในความถูกต้องและดีงาม  ลุกแล้วทำให้ได้นะ 
มาแค่วันเดียวเสียดายนะ เข้าใจบ้างหรือยัง ดูที่ความมุ่งมั่นตั้งใจ รักษาสุขภาพให้ดีมีโอกาสจะได้เอาแรงเอากำลังนั้นไปโปรดช่วยคนให้เต็มที่ มุ่งมั่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจด้วยหัวใจที่ไม่ท้อ ศิษย์ทำได้อาจารย์เชื่อมั่น  ศิษย์เข้มแข็งอาจารย์ดีใจ ถ้าศิษย์อ่อนแออาจารย์ต้องตีให้หนักๆ มุ่งมั่นบำเพ็ญมีจิตปณิธานให้สูงส่งและหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจแล้วไปให้ถึงที่สุด  อาจารย์ขอให้ศิษย์สุขภาพแข็งแรง จับมืออาจารย์แล้วแปลว่ามุ่งมั่นไม่ท้อ  ตั้งใจไม่ถอยนะ ลองตั้งใจศึกษาปฏิบัติดูนะ หัวใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง  จิตใจที่มุ่งมั่นจงมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ตั้งใจนะ
คงไม่ใช่เป็นการลาแล้วลาเลยนะศิษย์นะ กลับมาเข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งมั่นมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่าท้อนะ เข้าใจไหม ทำให้ได้นะศิษย์เอย จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีก จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าศิษย์จะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ท้อไม่ถอย ได้ไหม ตั้งใจทำให้ได้นะศิษย์เอย ดูแลตัวเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ฟุ้ง มาทำให้ตัวเองต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ยอมทุกข์เพื่อสุข”)
คำสุดท้ายที่อาจารย์อยากทิ้งไว้ให้ศิษย์ย้ำเตือนใจ “ยอมทุกข์เพื่อสุข” อย่างที่อาจารย์บอก ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์คือความเป็นจริงที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและมองเห็นชีวิตอย่างถ่องแท้ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นอะไรล่ะที่เราควรยึดมั่นและเป็นหลักชัย นั่นคือความถูกต้องอันดีงามและเห็นด้วยปัญญา สติปัญญาในการเข้าถึงธรรมอันแท้จริง ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงในโลกนี้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง เราจะยึดเพื่ออะไร โกรธเพื่ออะไร มีเพื่ออะไร มีเพื่อให้ทุกข์และเจ็บปวดหรือ หรือมีเพื่อเข้าใจและปลดปลงปล่อยวาง คิดให้ดีๆ นะศิษย์
อาจารย์อยากให้กำลังใจนะ กำลังใจอันดีงามและหัวใจที่เข้มแข็งเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์นะ คิดให้ดี ไตร่ตรองให้ดีเวลาทำอะไร ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์รู้ว่าอะไรดีไม่ดี ใช่ไหม แต่อยู่ที่ว่าจะเสียสละหรือเปล่า แค่นั้นเอง ตั้งใจบำเพ็ญนะ เจออะไรยากลำบากอย่าท้อ สำคัญคือเรายอมลดวางอัตตาตัวตนได้หรือไม่
อายุมากแล้วสิ่งที่สำคัญคือ ความใจเย็นสุขุม “ปัญญา” ถ้าเข้าถึงได้คำนี้เป็นคำที่ทำให้เราพ้นทุกข์และเห็นธรรม ฉะนั้นเข้าให้ถึงนะศิษย์  หนทางแห่งชีวิตมีสองทางเสมอ เราเลือกได้ใช่ว่าเราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ต้องตั้งสติให้ดีว่าเราจะเลือกตามความจริงหรือเลือกตามใจ ตั้งใจบำเพ็ญ  รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำอะไร ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด สตินั้นคือการรู้จักมองตามความเป็นจริง  ยอมรับความจริง ชีวิตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้กล้ายอมรับและเลือกทางที่ถูกต้อง  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง  คนทุกคนอาจารย์ล้วนเป็นห่วง แต่ขอให้ศิษย์คิดไตร่ตรองให้ดี อุปสรรคปัญหาและสิ่งที่เจอคือการได้ชดใช้ ขอเพียงมีจิตที่ถูกต้องดีงาม อะไรจะเกิดมันก็ดี แต่จิตคิดไม่ดี  สิ่งที่เกิดจากดีมันก็จะกลายเป็นร้าย รู้จักควบคุมจิตตนเองให้ได้ อย่ามัวแต่สนใจภายนอกจนลืมดูแลใจตนเอง
อาจารย์กลับแล้วนะศิษย์ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูแลตนเองให้ดี ของขวัญที่ประเสริฐที่สุดที่อาจารย์อยากให้คือ หัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาที่มองออกนะ เข้าใจใช่ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ยอมทุกข์เพื่อสุข"

  เริ่มหรือจบมีใครบ้างรู้จริงแท้ ชีวิตย่อมผันแปรตามเหตุนำหนุน
อยู่เพื่อยึดหรือปลงปลงจนวายวุ่น วัฏจักรหมุนหรือหยุดลงตรงที่ตน
กิเลสใดไม่ครอบงำสักขณะ ก่อนก็รู้เกิดก็ละได้ทุกหน
สติคุมปัญญาครองธรรมนำตน พินิจพ้นรูปนามแจ้งในสัจธรรม

สุขไหนจีรัง ทุกข์ยังไม่ทน
แค่รู้ทันตน พ้นทุกข์วางวาย 




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย อ.สิงหนคร จ.สงขลา วันที่ ๓-๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
หน้า ๔๒ กลอน
เดิม ไม่ให้ข้ามไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ
แก้ไขเป็น ไม่ให้ค่าไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ

 หน้า ๔๗ ย่อหน้าแรก
เดิม ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม
แก้ไขเป็น ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

2559-12-10 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี



西元二○一六年 歲次丙申十一月十二日          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙           สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
  คนต่างแบบต่างนิสัยต่างอารมณ์       คนรู้ยอมข่มทำใจได้ไม่อดสู
คนใจเย็นสุภาพได้ใช่แค่รู้                 ลองทำดูเรื่องวุ่นวายลดลงพลัน
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  คนดีไม่ได้ทำตอนมีโอกาส              คนฉลาดฉลาดจะขยันหาได้ยาก
มูลเหตุแห่งโชคร้ายไม่พ้นปาก            กลัวความยากฝึกหัดไม่พบสบาย
เข้าใจโลกต่อเมื่อรอบฝั่งฝัน               แปรเหตุการณ์ติดขัดหมุนเปลี่ยนใหม่
เปลี่ยนความคิดนิสัยจิตจะเปลี่ยนไป     อยากเข้าใจโลกจักต้องค้นตน
เรือฝืดฝืดฝึกกำลังออกจากท่า            ทุกคนพาทุกธรรมในคำบ่น
ให้ทุกทุกอย่างต่อใจในอุบล              เรื่องเวียนวนอย่าผิดยึดเป็นอารมณ์
พูดหลักธรรมหลักหลักให้เหมือนกัน     บุญเบ่งบานธรรมเป็นชีวิตเป็นอาศรม
ไปด้วยกันมีมิตรเป็นคำชม                คมตัดคมสติเป็นสหายนานมา
มีเหตุผลอย่าเป็นคนโง่งมงาย             แสงธรรมให้ปัญญาแสงมณีล้ำค่า
ความไม่รู้แห่งจิตใจคืออวิชชา            เพชรในตาธรรมคุณมีในตน
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

คนต่างแบบต่างนิสัยต่างอารมณ์      คนรู้ยอมข่มทำใจได้ไม่อดสู
คนใจเย็นสุภาพได้ใช่แค่รู้        ลองทำดูเรื่องวุ่นวายลดลงพลัน”
“คนรู้ยอมข่มทำใจได้ไม่อดสู” แต่คนในโลกนี้ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยยอมกัน ใช่ไหม (ใช่)  เราอยากมีเวรกรรมและโชคร้ายไหม (ไม่อยาก)  เรากลัวบาปกรรมไหม (กลัว)  โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย สร้างเหตุใดไว้
ก็ต้องรับผลเช่นนั้น สร้างบาปก็ได้บาป สร้างบุญก็ได้บุญ สร้างดีก็ได้ดี สร้างร้ายก็ได้ร้าย สร้างเหตุแห่งความชั่วก็จะต้องได้รับผลคือความชั่ว ฉะนั้นถ้า
ไม่อยากรับผล ก็ต้องหยุดที่เหตุ ถูกหรือไม่ (ถูก)
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ที่สามารถก่อบาป ก่อกรรม ก่อสิ่งชั่วร้าย
ได้มากที่สุดและง่ายที่สุดคือ ปาก โรคภัยเข้าทางปาก ฉะนั้นเราจะมีโรคมีภัยหรือไม่ อยู่ที่ว่าเราเอาอะไรเข้ามาในปากเรา และพิษภัยก็ออกจาก (ปาก)  ฉะนั้นสิ่งที่จะดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่เราพูดดีหรือไม่ดี
การกระทำล้วนต้องสะสมมาจากนิสัย ความคิด ความรู้ ความเข้าใจในอารมณ์และความเป็นตัวตน ปากร้ายไม่เท่ากับใจที่คิดร้าย แต่ใจที่คิดร้าย ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตที่ขาดมโนธรรมสำนึก จิตที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ความคิดร้ายจะเกิดไหม (ไม่)  ปากจะพูดไม่ดีไหม (ไม่)
ถ้าจิตของมนุษย์ขาดมโนธรรมสำนึกที่ถูกต้องดีงาม ขาดความละอายเกรงกลัวต่อบาป ขาดจิตเมตตา ขาดคุณธรรมความเป็นคน อะไรที่เลวร้าย เขาก็คิด ก็พูด ก็ทำได้หมด มนุษย์กลัวผลแต่ไม่หยุดสร้างเหตุ กลัวปัญหาแต่ไม่หยุดสร้างปัญหา กลัวบาปเวรกรรม แต่ไม่หยุดสร้างบาปเวรกรรม แต่หนีบาปเวรกรรมด้วยการพยายามทำดี เพื่อที่จะหนีบาปเวรกรรม ใช่เป็นการแก้ที่ถูกต้องหรือไม่ (ไม่)  แล้วบาปเวรกรรม ภัยพิบัติ เคราะห์ร้ายมาจากไหน ทำไมทำดีตั้งมากมาย แต่หนีเคราะห์กรรมไม่ได้ สวดมนต์ไหว้พระ ช่วยคน ทำบุญทำทานก็มากมาย แต่ทำไมเคราะห์กรรมยังไม่หมดสิ้น แต่กลับตัดพ้อต่อว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรม”
บางครั้งเราพยายามทำดีที่สุด แต่บางครั้งทำไมสิ่งที่เราทำจึงได้ผลที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร มนุษย์ทำดีไว้มากมาย แต่ทำไมเรายังต้องหนีเคราะห์กรรม หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่เลวร้ายไม่ได้ ท่านเคยได้ยินคำพูด
คำหนึ่งไหมว่า “อดทนได้ก็เย็นได้ วางได้ก็สงบได้ อดทนไม่ได้ก็วุ่นวาย วางไม่ได้ก็เป็นทุกข์” ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยู่ในโลกส่วนใหญ่เรายอมอดทน เรายอมเย็นกันบ้างไหม ส่วนใหญ่ร้ายมาก็ร้ายตอบ โกรธมาก็โกรธตอบ ด่ามาก็ด่าตอบ ไม่กลัวเหตุแต่กลัวผล ไม่กลัวบาปแต่กลัวกรรม ท่านเคยได้ยินไหมว่า “โทสะคือผีนรก ผู้ล้างผลาญความดีคือพญามาร”  ฉะนั้นถามหน่อยว่าในชีวิตเรา เราเป็นผีนรก และเราเป็นพญามารกันบ้างไหม นี่เราไม่ได้เป็นคนกำหนด แต่นี่เป็นสิ่งที่เล่ากล่าวขานกันมาแต่โบราณ ฉะนั้นถ้ามีโทสะไม่บันดาล ย่อมสลายมารและเภทภัย
ความอึดอัดคับข้องใจ ถูกปรักปรำใส่ร้าย ไม่ระบายเคืองโกรธ ย่อมได้พบคุณธรรม มนุษย์เกิดมาไม่ได้ใจเย็นมาตั้งแต่เกิด แต่ผู้ที่เย็นใจได้คือผู้ที่เก็บใจได้ มนุษย์ไม่ได้เข้มแข็งมาตั้งแต่เกิด ถ้ามีโทสะ ไม่บันดาล ย่อมสลายมารเภทภัยเวรกรรม มีความขัดเคืองอึดอัดข้องใจ ถูกใส่ร้ายป้ายสี
ถูกกระทำให้อดสู แล้วเราไม่บันดาลเคืองโกรธโต้ตอบ เราได้สามารถแสดงคุณธรรมออกมา เรารู้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้ใจเย็นและไม่ได้แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด แต่ใจของมนุษย์สามารถฝึกได้ อดทนได้ ยอมได้ พระพุทธะ
จึงสอนไว้ว่า “ผู้ที่รู้ยอม รู้จักวางใจนิ่งเฉย อดทนอดกลั้น ถือการยอมใจนิ่งเฉย ใจรู้จักอดทนอดกลั้น เป็นคุณวิเศษแห่งความเป็นคน นั่นแหละเรียกว่า “พุทธะ”  ผู้ที่ไม่ยอม ไม่อดทน จองเวรจองกรรม ถือสาหาความ นั่นก็คือ พญามารและผีห่านรกบนดิน”
ถ้าเรากล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะ
ขัดหู ขัดตา ขัดใจ ล้วนเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตต่อไปของเรา และเราถือสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตข้างหน้าว่าเรายอม เราขันติ อดทน ให้อภัย มีเมตตา ถือสิ่งนั้นเป็นคุณวิเศษ คนนั้นก็คือ พุทธะ แต่ถ้าเรื่องที่เกิดอยู่ตรงหน้า เป็นปัญหาความคับข้องใจ เป็นความบาดหมางใจ เป็นอดทนอดกลั้น อดสูใจ ถ้าเราไม่ยอม สิ่งที่เกิดขึ้นสิ่งที่เราสร้างก็กลายเป็น (พญามาร)  จริงไหม (จริง)  มีเวรกรรมอยากจองเวรจองกรรม หรือมีเวรกรรมอยากจะจบเวรกรรม
(จบเวรกรรม)  จริงหรือ นั่นแปลว่าร้ายมา (ดีตอบ)  ด่ามา (ไม่ด่าตอบ)  โกรธมา (ไม่โกรธตอบ)  เอาเปรียบมา (ไม่เอาเปรียบ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทวนใหม่นะ โทสะคือ (ผีห่านรก)  ผู้ล้างผลาญความดีคือ (พญามาร)  ตกลงว่าเราเป็นผีห่านรกหรือพญามาร หรือเป็นพุทธะ (เป็นพุทธะ)  ฉะนั้นถ้าเป็นพุทธะ ท่านต้องถือคุณธรรมเป็นคุณวิเศษแห่งตน ไม่ถือกิเลสอารมณ์เป็นใหญ่ ฉะนั้นจิตมนุษย์แต่เดิมผ่องใส แต่หม่นหมองไปเพราะกิเลสเข้ามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำร้ายความดีหรือที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความชั่ว และความชั่วก็มีบ่อเกิดคือ กิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าเราอยากสิ้นกิเลส
สิ้นอารมณ์ เราก็สิ้นความชั่ว ความดีก็จะปรากฏโดนพลัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น ความดีทำไหม (ทำ)  กิเลสอารมณ์มีไหม (มี)  แล้วความดีจะล้างความชั่วได้ไหม (ได้)  เราถามท่านว่า ถ้าเราไปด่าคนอื่น แต่ทำบุญกับพระวัดนี้ ชดเชยกันได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นทำดีล้างบาปได้ไหม (ไม่ได้)  ทำดีล้างกรรมได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นหากจะหยุดบาปหยุดกรรมก็ต้องหยุดทำชั่ว และบ่อเกิดแห่งความชั่ว บ่อเกิดแห่งเวรกรรมและเภทภัยทั้งมวลล้วนมีต้นเหตุมาจากกิเลสอารมณ์ และขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงแม้มนุษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าเกิดว่า ยังมีโลภโกรธหลง ขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นบาปเวรกรรมและทุกข์ทน
ฉะนั้นถ้าทำดีแล้วแต่ยังมักโกรธ ทำดีแล้วยังมักโลภ ทำดีแล้วยัง
มักหลง ทำดีแล้วยังมีทิฐิเข้าข้างตัวตน ก็หนีไม่พ้นบาปเวรกรรมที่ตัวเองสร้าง ถ้าเราจะหยุดบาปเวรกรรมที่ตัวเองสร้าง ด้วยการรู้จักควบคุมกิเลสอารมณ์ตัวเองทำได้ยากไหม (ยาก)  อย่างนั้นถ้ายากแล้วท่านก็เลยบอกเราว่ามือหนึ่งท่านก็ยังสวดมนต์ มือหนึ่งท่านก็ยังไหว้พระ มือหนึ่งท่านยัง
ใส่บาตร แต่อีกมือหนึ่งก็ขอโกรธ ขอโลภ ขอด่าหน่อยใช่ไหม ไม่เป็นไรหรอก ทำดีเยอะๆ แต่ขอด่าหน่อย เดี๋ยวก็ไปหักล้างกันเองใช่ไหม (ไม่ใช่)  ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ แต่ทำไมชอบอ้างเหตุผลว่า ที่ยังหยุดโลภ โกรธ หลง ไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นต้นตอแห่งบาปกรรม ความชั่ว เภทภัย โชคร้าย เราถามท่านหน่อย
มีใครบ้างที่อยากกินเนื้อสัตว์แล้วไม่ฆ่าสัตว์ ชีวิตเขาที่เราเอามากินบาปไหม ศีลข้อแรกคือ ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วฆ่าสัตว์เพื่อทำบุญ ได้บุญหรือบาป (บาป) แล้วทำไหม บาปอยู่ที่คนทำกรรมอยู่ที่คนกิน แล้วท่านทั้งทำทั้งกินเลยใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นท่านก็ได้ทั้งบาปทั้งกรรมเลย ถ้าเราอยากจะหนีเคราะห์
หนีกรรมหนีโชคร้าย แล้วทำไมจึงไม่หยุดที่เหตุ ทำดีไปก็เท่านั้น ถ้าหากท่านไม่หยุดเหตุ
เราถามท่านนะ ถ้าคนหนึ่งไม่เคยทำดีเลย แต่บาปทั้งมวลไม่เคยสร้าง เขาดีหรือไม่ดี อีกคนหนึ่งทำดีมากมายแต่บาปก็ยังสร้าง เขาดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วจะมาบอกเราว่า ท่านคือคนดีที่ไม่ได้รับผลดีจริงไหม ท่านคือคนดีจริงไหม คนดีจริงคือคนที่บาปไม่ทำ ทำแต่ความดี เราบอกท่านให้ว่าบุญไม่ต้องทำ แค่ไม่ต้องทำบาปสักข้อเดียว ท่านก็คือคนดีแล้ว แต่ตอนนี้ท่านเป็นอย่างนี้ไหม ท่านก็บอกว่าอยากนิดอยากหน่อยไม่เป็นไร แต่เราถามจริงๆ มีใครอยากแล้วไม่ทำผิดบ้าง มีใครบ้างอยากแล้วไม่โลภ มีใครบ้างอยากแล้ว
ไม่หลงตน มีใครบ้างอยากแล้วซื่อตรงไม่คดโกง ถ้าเราบอกท่านว่าไม่ต้องพยายามทำดี แค่ไม่ทำชั่ว ท่านก็ดียิ่งกว่าใครในโลกแล้วจริงไหม (จริง) 
บางคนก็บอกว่ายังอดไม่ได้ เราถามว่าคนไปวัดบ่อยๆ แต่เวลาขายของ
ยังโลภอยู่ ยังโกงคนอื่นอยู่ เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  คนสวดมนต์เก่ง แต่ยังชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ดีไหม (ไม่ดี)  คนชอบทำดีประพฤติดี แต่ยังชอบจับผิดและมองคนแง่ร้าย ดีไหม (ไม่ดี)
ฉะนั้นถ้าพุทธะพูดได้ พุทธะคงบอกว่า ไม่ต้องเป็นคนดีหรอก แค่ไม่ทำชั่วก็ดีนักหนาแล้ว สิ่งที่ล้างผลาญความดีคือความชั่ว ความชั่วมีบ่อเกิดมาจากกิเลส นิสัย อารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นถ้าดับสิ้นซึ่งกิเลส นิสัย อารมณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความชั่วและกิเลสก็จะไม่มี ความดีก็จะฉายปรากฏ แต่มนุษย์ปัจจุบันนี้ทำตรงกันข้ามคือ พยายามทำดี แต่ไม่ละความชั่ว พยายามเป็นคนดี แต่ไม่ละซึ่งกิเลสอารมณ์ นิสัยความเคยชิน แล้วมาโทษฟ้า โทษดิน โทษผู้คน ถ้าเราถามกลับควรโทษฟ้า โทษดิน โทษผู้คน หรือโทษตัวเรา (โทษตัวเรา)  ฉะนั้นรู้หรือยังต้นเหตุแห่งความทุกข์ ต้นเหตุแห่งบาปกรรม ต้นเหตุแห่งความโชคร้าย ล้วนมาจากกิเลส ซึ่งเกิดจากจิตเราที่ขาดมโนธรรมสำนึก จิตเราที่ไม่รู้จักเกรงกลัว
ต่อบาปและกรรม จิตเราซึ่งขาดคุณธรรมในการเป็นคน
แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร

ที่เรากล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าล้วนเป็นชะตากรรม เราจะเอาชะตากรรมนั้นสร้างคุณวิเศษ หรือเราจะเอาชะตากรรม
ที่อยู่ตรงหน้าสร้างเวรสร้างกรรม พระพุทธะถือชะตากรรมตรงหน้าเป็น
คุณวิเศษ ด้วยการรู้ยอม รู้อดทน รู้เสียเปรียบ รู้วางใจเป็นกลาง เป็น
คุณวิเศษแห่งตัวตนในการประพฤติปฏิบัติ แต่มนุษย์เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ว่าจะเป็นปัญหา การด่าทอ การทำร้าย การเอาเปรียบ ถ้าเราเอาเปรียบกลับ นั่นคือการสร้างชะตากรรมที่เรียกว่า เวรกรรมไม่สิ้นสุด
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เราจะเอาเป็นคุณวิเศษหรือเอาเป็นเวรเป็นกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นที่สร้างมาเป็นเวรกรรมหรือคุณวิเศษ ที่บอกว่าไม่ยอม ที่บอกว่าเสียเปรียบ ที่บอกว่าทำใจไม่ได้ ท่านรู้ไหมว่า
ถ้าแปลเป็นยอม เป็นเสียเปรียบ เป็นทำใจได้ พระพุทธะบอกว่าสิ่งนั้นคือ คุณวิเศษที่ทำให้ท่านกลายเป็นพุทธะ แต่มนุษย์กลับไม่เอาสิ่งนั้นมาทำ แต่กลับกลายเป็นร้ายมาร้ายตอบ ด่ามาด่าตอบ เอาเปรียบมาเอาเปรียบตอบ เป็นเวรกรรมที่ยืดเยื้อ ฉะนั้นกรรมเราจึงไม่จบสิ้น ชะตากรรมของเราเหมือนสร้างแล้วสร้างอีก ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าล้วนกำหนดชะตากรรม ชะตากรรมจะเป็นคุณหรือเป็นโทษก็อยู่ที่ท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราถามท่านว่า ชะตากรรมนั้นจะเป็นคุณหรือเป็นโทษก็อยู่ที่ว่าเราอยู่อย่างโลภ อย่างคนให้ หรืออย่างคนเอา (คนให้)  ส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกอย่างเป็นคนที่รู้จักให้ หรือคิดแต่จะเอา (ส่วนใหญ่เอามากกว่า)  เอามากกว่าให้ ใช่ไหม (ใช่)
ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่ง ก่อนเขาจะมาเกิด เทวดาบนฟ้าบอกว่า อยากเป็นคนที่มีแต่ให้ หรืออยากเป็นคนที่มีแต่ได้รับเอา เคยได้ยินไหม
(ไม่เคย)  อย่างนั้นเราถามท่านว่า คนที่มีแต่ให้กับคนที่ขอตลอด คุณค่าต่างกันไหม (ต่างกัน)  กับคนที่มีแต่จะให้ มีแล้วก็ให้ แต่คนที่ขออย่างเดียว เอาอย่างเดียว ท่านว่าใครเรียกว่าขอทาน ใครเรียกว่าเศรษฐี คนขอเรียกว่า “ขอทาน” คนให้เรียกว่า “เศรษฐี” อย่างนั้นตอนนี้เรามีชีวิตอยู่อย่างเศรษฐีหรือเราเป็นขอทาน (เศรษฐี)  ฉะนั้นอยู่บนโลกถ้าคิดแต่จะเอา ท่านก็คือขอทาน
ท่านรู้ไหมพระพุทธะยังบอกว่า คนที่อยู่บนโลกแล้วคิดแต่จะให้ นั่นก็คือการสร้างบุญ คิดแต่จะเอานั่นก็คือการสร้างบาป คุณค่าต่างกันหรือไม่ (ต่างกัน)  เพราะจิตที่บริสุทธิ์จึงคิดแต่จะให้ จิตที่คิดแต่จะเอาคือจิตที่
คิดโลภ คิดหลง คิดอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในเมื่อเป็นแบบนี้ เราถามท่านนะ เราจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ตัวเราอยู่บนโลกแล้วไม่สร้างบาปเวรกรรม อยู่บนโลกอย่างคนที่จะเอา หรืออยู่บนโลกอย่างคนที่จะให้ (อยู่อย่างคนที่จะให้)  ท่านรู้ไหมทำไมเราจึงบอกว่ามนุษย์ชอบบุญ มนุษย์ขยันสร้างบุญ แต่มีบุญอีกอันหนึ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าทำในวัดทีเดียว นั่นก็คือบุญที่ให้
ให้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ให้ด้วยความไม่โลภ ให้ด้วยความไม่หลง ให้ด้วยความ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ให้แล้วสละซึ่งกิเลสความโลภหลง และเข้าถึงความบริสุทธิ์ และบุญนั้นเราสามารถให้ได้ทุกคน ให้ความเคารพเขาก็เป็นบุญ
ให้น้ำใจช่วยเหลือเขาก็เป็นบุญ ให้เกียรติเขาก็เป็นบุญ ให้อภัยเขาก็เป็นบุญ ให้น้ำใจไมตรีเขาก็เป็นบุญ ให้ศีลธรรมความถูกต้องแก่เขาก็เป็นบุญ แล้วบุญที่ทำแล้วยังประกอบไปด้วยศีล คุณธรรม บุญนั้นเรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  แต่ศีลยังไม่ค่อยครบกันเลยนะ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ถ้าพูดอะไรอยากให้คนเคารพนับถือ พูดอะไรอยากให้คนเขาว่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพูดก็ต้องรักษาคำพูด ถ้าทำอะไรอยากเป็น
ที่รัก ทำอะไรอยากเป็นที่เคารพ นอกจากพูดและทำแล้ว ก็ยังจะต้องรู้จัก
ให้เกียรติผู้คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากทำอะไรแล้วยังรู้จักมีเมตตาจิต
ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครเกลียดไหม ใครๆ ก็ต้องรัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเราอยู่กับคน เราอยู่อย่างคนมีเมตตาหรืออยู่อย่างคนที่เอาเปรียบ (มีเมตตา) อยากสร้างบุญที่ประเสริฐ ก็จงเป็นบุญที่รู้จักให้และมีศีลธรรม เพราะถ้าหากมีศีลธรรม ท่านไม่ต้องไหว้พระพุทธะ แต่พระพุทธะจะไหว้ท่าน เชื่อไหม เพราะภพภูมิมนุษย์เป็นภพภูมิที่สามารถสร้างคุณประเสริฐได้มากยิ่งกว่าเทพเทวาที่ท่านกราบไหว้อีกนะ แล้วทำไมถึงชอบดูถูกดูเบาในคุณค่าของตนเอง
มนุษย์มีคุณธรรมที่ประเสริฐ ทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะด้วยการประพฤติปฏิบัติ และแสดงต่อกันด้วยความเคารพ เรารู้จักเคารพให้เกียรติ เขาไม่เคารพให้เกียรติไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่ขัดฝืนย่อมบังเกิดคุณธรรม สิ่งที่ราบรื่นย่อมนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะตกต่ำและพลั้งเผลอ ธรรมะเกิดในภาวะขัดฝืน ความราบรื่นทำให้มนุษย์ง่ายที่จะตกต่ำและพลั้งเผลอ ผิดพลาด
วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านด้วยคุณธรรมง่ายๆ แต่ถ้าเริ่มต้นทำได้
ก็กลายเป็นคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ เริ่มต้นตั้งแต่ต้น อยากหยุดบาป อยากหยุดเวร อยากหยุดกรรม อยากหยุดโชคร้าย ก็จงรู้จักควบคุมกิเลสอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ด้วยการประพฤติปฏิบัติให้มีศีลธรรม และหมั่นสร้างบุญด้วยการรู้จักให้มากกว่าที่คิดจะรับเอา มีน้อยหน่อยก็ไม่ลำบาก
จะลำบากก็ต่อเมื่อมีมากแต่ไร้ซึ่งปัญญา มีน้อยแต่ถ้ามีปัญญาจากน้อยก็กลายเป็นยิ่งใหญ่ได้
มนุษย์แม้จะมีทรัพย์มากมาย ยศถาสูงศักดิ์ มีบริวารห้อมล้อมมากมาย แต่ก็ยังไม่ประเสริฐเท่าคนมีศีล แต่ถ้ามีทรัพย์มาก มีบริวารมาก
มีเกียรติยศแต่ไร้ซึ่งศีล สักวันท่านก็ต้องกลายเป็นคนไร้ทรัพย์ ไร้บริวาร
ไร้เกียรติยศก็เป็นได้ แม้เราไม่มีทรัพย์ ไม่มีบริวาร ไม่มียศถา แต่เรามีศีล ศีลกลับเป็นทรัพย์ที่เรียกว่า “อริยะทรัพย์” คุ้มครองเราทั้งภพนี้และภพต่อๆ ไป อย่างนั้นเกิดเป็นคนควรมีทรัพย์ธรรมดาหรืออริยะทรัพย์ (อริยะทรัพย์)  ควรมีศีลที่ทำให้เราประเสริฐหรือควรไร้ศีลธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ทำไม่ได้หรือ
ไม่โกหกทำยากหรือ ไม่ผิดลูกผิดเมียยังทำไม่ได้หรือ ไม่ดื่มสุรา ไม่ติดเหล้า ไม่ติดบุหรี่ ทำยากหรือ (ไม่ยาก)  แล้วทำไมศีลห้าที่ทำให้มนุษย์เป็นคนประเสริฐ การรู้จักให้ที่ทำให้เราไม่ต้องสร้างบาปเวรกรรม เราจึงไม่ทำ แปลกจริงหนอ ธรรมที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มนุษย์กลับไม่เลือกที่จะเดินตาม แต่กิเลสที่จะทำให้มนุษย์ต้องพบกับเวรกรรม พบกับชะตาที่โชคร้าย เรากลับเลือกที่จะเดินตาม



วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙        สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ห่วงเรื่องไกลหลงลืมเรื่องใกล้ตัว        ห่วงเรื่องตัวหลงลืมคนชิดใกล้
ห่วงแต่สุขอาจได้ทุกข์เสียใจ              ทำอะไรพึงไตร่ตรองผลที่มี
สายน้ำไหลมิอาจเรียกคืนหวน           ทำสิ่งใดพึงใคร่ครวญให้ถ้วนถี่
ฝึกใจเย็นไม่เคืองโกรธไม่ราวี             สร้างไมตรีย่อมดีกว่าสร้างศัตรู
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีบ่
  ทุกคนต้องการจุดหมายฉุดให้เดิน      ทำเพื่อเงินจนเหมือนเป็นคนสับสน
จะต้องใช้บำเพ็ญกำราบการสร้างตน    ฝึกจิตตนเฝ้ารักษากว่าของใด
การจะทำความดียากบางครั้ง            หลงว่าง่ายเฝ้าดูไม่ห่างหาย
แพ้ความโลภจะกลายเป็นเภทภัย        เรื่องง่ายง่ายเห็นไม่มองความเป็นจริง
ยอมเอ๋ยยอมโง่ย่อมกระจ่างต่างเดิม      ยอมเชยเฉิ่มเพื่อรักษาการบำเพ็ญยิ่ง
รู้โลกธรรมตามไปเป็นคนจริง             อย่าอ้างอิงกรรมทำมาต่างกัน
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


มนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมมีความทุกข์ ถ้าอยากปลดปลงความทุกข์ อยากทำให้ตัวเองหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รับรู้ก็คือ ศิษย์ต้องมีจิตสำนึก จิตสำนึกที่ศิษย์ไปทำอะไรมา ศิษย์บางคนมีชีวิตอยู่บนชีวิตของผู้อื่น ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชะตากรรม อยากรักษาสิ่งที่ตัวเองเรียกว่า เจ็บป่วย สิ่งแรกที่ศิษย์ต้องทำให้ได้คือ ต้องมีจิตสำนึกขอขมากรรมในสิ่งที่ศิษย์ได้เคยทำมาก่อน ศิษย์ไปทำอะไรมาบ้าง มีศีลมีธรรมไหม เบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไหม เคยไปทำอะไรเขาไว้ไหม เดี๋ยวเรามาคุยกัน เพราะอาจารย์ยังต้องช่วยอีกหลายๆ คน ศิษย์ค่อยๆ ฟังไปก็แล้วกัน อาจารย์จะให้วิธีแก้ง่ายๆ หลังจากนี้ถ้าศิษย์อยากเปลี่ยนแปลง รักษาโรค ถ้าป่วยก็ต้องไปหาหมอ ถ้าหมอไม่มีวิธีแก้ต้องไปหาอาจารย์ ถ้ามาหาอาจารย์แล้วอาจารย์ให้ทำจะทำตามไหม (ทำ)
กรรมเวรส่วนใหญ่เกิดจากการเบียดเบียนฆ่าสัตว์น่ากลัวที่สุด และได้รับผลไวที่สุด เลี้ยงวัวแล้วเอาวัวไปเชือดขายบาปไหม เลี้ยงสุนัขแล้วเอาสุนัขไปแลกกับกะละมัง ทำให้สุนัขถูกฆ่าตายบาปไหม ว่างๆ ก็ไปแทงกบ หาแมงดา ดักหนูบาปไหม (บาป)  แล้วเวลากินกินอย่างไร กินกันดิบๆ เวลาบีบลูกอ๊อดบีบกันอย่างไร กินกันไปกี่ตัว การที่รู้สึกแน่นหน้าอกเพราะเราไปบีบลูกอ๊อดหรือเปล่า
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ถ้าสมมติว่าอาจารย์เลี้ยงพ่อวัวหนึ่งตัวเลี้ยงจนอ้วนพลี แล้วอาจารย์ก็คิดว่าถึงเวลาที่อาจารย์จะต้องขายแล้ว ศิษย์คิดว่าอาจารย์ใจดีหรือใจร้าย เราเลี้ยงวัวถึงเวลาเราก็ส่งมันไปฆ่า แล้วมาบอกอาจารย์ว่าศิษย์ต้องทำมาหากิน อาจารย์ถามจริงๆ วันๆ ศิษย์แค่เอาวัวไปปล่อยแล้วนั่ง อย่างนี้ศิษย์ทำมาหากินไหม คือศิษย์รักสบาย เพราะความรักสบาย ศิษย์ก็เลยมีชีวิตด้วยการที่ไปแทงกบ จับหนู จับผึ้ง รังนกที่กำลังสวยๆ ก็เอามันมาขาย ชีวิตศิษย์ดำรงอยู่บนชีวิตของคนอื่นทั้งนั้นเลย เวลากรรมมาทวงถาม ผมก็เป็นคนดี หนูก็เป็นคนดีนะอาจารย์ สมมติอาจารย์มีแม่วัวอีกตัวหนึ่ง ตอนนี้อยากขายไหม เราก็จะยังไม่อยากขาย เพราะจะเก็บไว้เพาะพันธ์ก่อน เอาไว้วัวมีลูกก่อนค่อยว่ากัน พอวัวมีลูกออกมาอีกตัวหนึ่งจะขายไหม (ขาย)  ถ้าตอนนี้ขาดแคลนเนื้อวัวมีคนมาขอซื้อหมื่นหนึ่ง เราจะเป็นอย่างไร ไม่ขายสงสารวัวเพราะวัวกำลังมีลูกอ่อนๆ อย่างนั้นถ้าเขาซื้อในราคาหมื่นห้า เราก็ยังสงสารวัว วัวยังไม่หย่าขาดจากแม่วัวเลย แต่ถ้าเขาให้ราคาสองหมื่น เราก็จะรีบขายทันที เอาไปเลย ที่พูดมาเรากลืนน้ำลายหมดเลยใช่ไหม ที่บอกว่าสงสารจริงๆ แล้วนั้น เราสงสารไหม (ไม่)  ก็สงสาร แต่พอเห็นเงินก็เลยลืมความสงสารเสียหมดสิ้น ตอนนี้เอาแม่วัวหรือลูกวัว (เอาเงิน)  ใช่ไหม ตอนนี้ไม่ว่าลูกหรือแม่ก็ขายได้หมด
อาจารย์ถามหน่อยนะ หัวอกศิษย์ ถ้าวันหนึ่งมีคนมากระชากแม่เราไป ยังไม่ทันหย่านม เราจะรู้สึกอย่างไร ฉะนั้นชีวิตของศิษย์ถ้ากรรมตามทัน อย่าบอกว่าฟ้าไม่ยุติธรรม แต่ต้องถามจากจิตสำนึกลึกๆ ของศิษย์ ศิษย์ไปทำอะไรเขาไว้ เพื่อปากเพื่อท้อง คุณธรรมไม่ต้องมีหรอก ตอนนี้มันหิว อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าไม่กลัวลำบาก ถ้าขยันเราจะมีชีวิตอยู่บนชีวิตคนอื่นไหม คนที่ขยันจริงๆ เขาจะไม่เอาเปรียบแม้กระทั่งชีวิตเล็กๆ คนที่ขยันและไม่ยอมอดตายไม่ยอมแพ้ เขาจะกินแรงคนอื่นไหม และที่เราไม่ยอมทำอะไรแล้วไปแทงกบ เขียด ปลา ยังไม่ทันฆ่ามันตายก็ถลกหนังมันเลยใช่ไหม อาจารย์ว่าในโลกนี้ไม่มีใครโหดเท่ากับศิษย์แล้ว
ศิษย์ถามอาจารย์ว่า แล้วเราจะเอาอะไรกิน ถ้าเราขยันปลูกผักข้างบ้านริมรั้วแค่นี้เราก็มีกินแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ปลูกไหม (ไม่)  เอาแต่ปลูกข้าว แล้วจะเอาข้าวกินกับอะไร รอแต่จะขายข้าวก่อนแล้วเราจึงจะมีกิน ทำไมต้องรอขายข้าวก่อน แล้วในช่วงที่กำลังปลูกข้าว ระหว่างที่รอข้าวตั้งท้อง รอข้าวโต ทำไมเราไม่ปลูกผักกิน ได้รายได้ด้วย กินได้ด้วย ใช่ไหม (ใช่)  คนในประเทศไทย มักจะพูดว่าคนอีสาน (จน)  อาจารย์อยากจะบอกว่า คนอีสานเป็นคนที่โชคดีที่สุด เพราะปลูกข้าวกินเอง ส่วนที่อื่นเขาปลูกข้าวกินเองไม่ได้ ฉะนั้นเรามีข้าวกินเอง ข้าวจะกินกับข้าวอะไร มันก็อร่อย (ใช่ไหม)  แต่ถ้ามีกับข้าวแต่ไม่มีข้าว จะอร่อยไหม (ไม่อร่อย)  แล้วทำไมไม่พึ่งตัวเอง ทำไมต้องรอให้ขายข้าวได้ก่อน แล้วค่อยมาหากับข้าวกิน ที่ดินมีไหม (มี)  แรงมีไหม (มี)  แต่ไม่มีอย่างเดียว คือ ความขยัน จริงไหม (จริง)  ถ้าเราขยัน ก็สามารถปลูกอะไรได้หมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์ของอาจารย์ขยันหรือ
ขี้เกียจ (ขี้เกียจ)  ยอมรับอีก  ถ้าขยัน ซื่อตรง ไม่คดโกง แล้วจะมีใครที่จะไม่มาซื้อ ไม่มาอุดหนุนเรา ใช่ไหม (ใช่)  แต่อย่ามักง่าย หรือเอาง่ายไว้ก่อน ปลูกข้าวง่ายๆ พันธุ์ธรรมดา ปลูกข้าวอายุสั้นๆ แล้วก็ขายข้าวไม่ได้ ไหนตอนนี้ใครยังปลูกข้าวอยู่ ยกมือขึ้น ปรบมือให้กับคนปลูกข้าวหน่อย ถ้าไม่มีคนปลูกข้าว เราจะได้กินไหม ฉะนั้นปลูกข้าวก็ต้องฉลาดด้วย ข้าวที่ปลูกยากเรายังสามารถปลูกให้โตได้เลย ฉะนั้นพืชผักอะไรที่พอจะปลูกได้ ก็ลงมือปลูกเลย อย่าบอกว่าน้ำแล้ง ถึงเวลาน้ำหลากก็ไม่รู้จักเก็บ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาน้ำท่วมก็ลำบาก คราวหน้าก็ขุดบ่อเลย ถึงเวลาน้ำท่วมก็ให้น้ำลงบ่อ ที่บ้านเมืองน้ำท่วมบ่อย ให้ทุกบ้านขุดบ่อไว้ แล้วดินก็เอาไปถมที่ให้สูงขึ้น ต้องพึ่งใครไหม เวลาน้ำมา น้ำจะท่วมไหม (ไม่) แล้วยังจะกลัวน้ำท่วมไหม (ไม่)  ทำไมต้องรอให้อาจารย์บอก คิดเองก็เป็นใช่ไหม อาจารย์ถามว่าถ้าทุกวันขุดบ่อ วันนี้ขุดได้หน่อยหนึ่ง พรุ่งนี้ขุดได้หน่อยหนึ่ง วันต่อไปขุดได้อีกหน่อยหนึ่ง พอหน้าฝนมาก็ขุดบ่อได้เสร็จพอดี
อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าศิษย์ไม่คิดจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เอาแต่หวังพึ่งลำแข้งของคนอื่น คนแบบนี้ทำอะไรก็ยาก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เรายังจะต้องกลัวหรือ เรายังต้องไปพึ่งพาใครอีกไหม (ไม่ต้อง)  เวลากินข้าวเรายังต้องตักกินเองเลย มีใครมาป้อนให้เรากินไหม (ไม่มี)  ถ้าเรามัวแต่หวังเอาแต่น้ำบ่อหน้า แล้วเมื่อใดเราจะอิ่มท้อง สมมติถ้าอาจารย์มีนักเรียนแล้วต้องสอนย้ำๆ เหมือนเดิมทุกวัน ต้องคอยพึ่งอาจารย์ตลอด อย่างนี้เรียกว่าอาจารย์สอนถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ที่ถูกต้องคือต้องสอนให้เขาพึ่งตัวเองได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคยไหมที่สอนแล้วให้ต้องมาพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอดชีวิต ถ้าทุกครั้งอาจารย์บอกให้ศิษย์มาพึ่งอาจารย์ อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (สถานธรรมเจิ้งซิน)  บางทีศิษย์ก็ต้องเขียนคำแปลไว้นะว่าชื่อของสถานธรรมแปลว่าอะไร เวลาคนที่มาไหว้พระจะได้เข้าใจว่าชื่อของห้องพระนี้แปลว่าอะไร (ใจเที่ยงตรง) เจิ้งซิน แปลว่า ใจที่เที่ยงตรง จะได้รู้ว่าห้องพระนี้ต้อนรับคนที่ใจเที่ยงตรง และคนที่บำเพ็ญอยู่ที่นี้ก็จะต้องเป็นคนมีใจเที่ยงตรง และคนที่เป็นนักเรียนในชั้นนี้ก็จะต้องเป็นคนที่มีหัวใจเที่ยงตรง
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม และถามศิษย์ว่า สบายดีบ่)
สบายดีบ่ (สบายดี)  มีโอกาสมากราบพระบ่อยๆ และเลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว ดีไหม ทำให้ได้นะ คิดถึงจริงหรือ (จริง)  อยากนั่งหรือยัง อยากนั่งไหม นั่งในห้องหรือนั่งข้างนอก นึกว่าอยากไปนั่งข้างนอก ชีวิตมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ นะศิษย์ บางอย่างเข้ามา บางอย่างก็ต้องออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเข้ามากๆ แล้วไม่ออกก็เป็นอย่างไร อึดอัด ลมตีปาก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนกันบางอย่างถ้าเรียนรู้เข้ามามากๆ พอรู้มากเข้าแล้วมันเจ็บปวด รู้มากเข้าแล้วมันอึดอัด บางทีก็ต้องเอามันออกบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ถามว่า เราอยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหมศิษย์ (ทุกข์)  บางคนยังไม่เจอทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครทุกข์ยกมือขึ้น ส่วนใหญ่ว่าทุกข์ทั้งนั้น บางคนที่ยังไม่เจอทุกข์ถือว่าโชคดี เวลาทุกข์แล้วเจ็บปวดไหม (เจ็บปวด)  ลำบากไหม (ลำบาก)  เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  จะทุกข์ต่อไหม ควรคิดควรแก้ไหม (ควร)  นึกว่าไม่ควรแก้ ถ้ารู้อย่างนี้ ชีวิตนี้มีทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า ทุกข์นี้ บางคนบอกความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ มีหลายคนบอกว่าบางทีก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บางสถานการณ์ทำให้เราทุกข์เราก็ต้องทุกข์ บางทีก็บีบบังคับให้เราเจ็บเราก็ต้องเจ็บ และตอนนี้สถานการณ์ทำให้ศิษย์ยืนศิษย์ก็ต้องยืนใช่ไหม ศิษย์เอ๋ยทุกข์บางเรื่องเราเปลี่ยนมันไม่ได้ แต่เราควบคุมใจเราได้ ว่าจะทุกข์มากทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์เลย ชีวิตเลือกได้นะศิษย์ เลือกที่จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ เลือกที่จะทุกข์น้อยหรือทุกข์มาก ถ้าสถานการณ์นั้นมา สถานการณ์ที่ทำให้เราทุกข์ แต่ใจของเราอยู่ที่สถานการณ์หรืออยู่ที่เราควบคุม เราเคยควบคุมใจเราไหม เราเอาอะไรไปควบคุมใจ เราต้องรู้ให้ทันเพราะเราทุกข์มาหลายปีแล้ว เราจะจัดการทุกข์เราก็ต้องมีปัญญามีสติ
อาจารย์ถามหน่อย ความทุกข์เป็นสถานการณ์ที่ควบคุมหรือห้ามไม่ได้ เราบังคับไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควบคุมได้คือ ควบคุมใจของเราเองได้ ว่าเราจะทุกข์กับมัน เราจะเอามันมาใส่ใจ หรือเราจะแค่วางมันไว้อยู่ตรงนั้น แล้วสิ่งใดที่จะทำให้เราควบคุมใจ ที่ทำให้เรารับมือกับความทุกข์ได้ (สติ)  สติเป็นเจ้านายของชีวิต เป็นตัวที่คอยรักษาจิตอยู่ทุกขณะ สติทำให้เรารู้ทันความคิด สัมปชัญญะทำให้เรามองเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้ง ถ้าเวลาทุกข์มาแล้ว เรามีสติเราจะทุกข์กับมันไหม (ไม่)  ถึงเวลาเราทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องพยายามทำให้ได้
อาจารย์ขอถามว่า ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก ถ้าทนได้ยากก็แปลว่า “ทุกข์”  อาจารย์อยากจะเอาพัดเขกหัวนะ ตอบได้ดีจริงๆ ทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก แปลว่าเป็นสภาพที่ทนไม่ได้นาน เหมือนตอนนี้ศิษย์ยืนนานๆ ศิษย์มีทุกข์ไหม เพราะว่ายืนนานๆ ไม่ได้ เพราะมีความรู้สึกที่ทนไม่ได้นาน ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ก็แปลว่า เรายังมีความรู้สึก แต่ถ้าเรายืนนานๆ แล้วเรารู้สึกทนได้ไม่ยาก และไม่เป็นทุกข์ เราควรขอบคุณทุกข์ด้วยซ้ำ เพราะทุกข์มีความทนได้ยาก เราจึงรู้ว่า พอยืนแล้วเมื่อย ทนได้ยาก เป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยืนนานๆ ก็ทุกข์
เพราะฉะนั้นการมีชีวิตที่มีทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  มีทุกข์แล้วน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว) เพราะฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัว เราควรเกลียดความทุกข์ไหม เหมือนการโดนตีมากๆ เราเจ็บไหม (เจ็บ)  เวลาเราทุกข์เพราะเจ็บ เราโกรธไหม เราไม่สบายใจ ใช่ไหม ทำไมต้องเจ็บ เพราะรู้สึกทนไม่ได้ ถ้าตีแล้วไม่เจ็บ ยืนแล้วไม่เมื่อย นั่นเขาไม่เรียกว่าชีวิตแล้ว ฉะนั้นควรขอบคุณความเจ็บ ความทุกข์ เพราะทำให้เรารู้ว่า เรายังมีชีวิต ทำให้เรายังมีความรู้สึก ถ้าอาจารย์จะทำให้ศิษย์รู้สึกเจ็บ ศิษย์จะเอาไหม อัมพฤกษ์อัมพาต เอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าอย่างนั้นความทุกข์ไม่ดีตรงไหน จริงไหมศิษย์ เราต้องขอบคุณที่ยังรู้สึกเจ็บ รู้สึกทุกข์ ขอบคุณที่ทำให้เข้าใจว่าความทุกข์คืออะไร เพราะถ้าไม่มีความทุกข์ และไม่รู้สึกเจ็บ ก็คือไม่มีชีวิต หมดทุกข์คืออะไร ตายใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่ทุกข์มันมาเราต้องเป็นอย่างไร ศิษย์จำได้ไหมตอนเด็ก กว่าศิษย์จะเดินได้ ศิษย์ต้องล้มกี่รอบ ศิษย์จะรู้จักไฟว่ามันน่ากลัว เพราะศิษย์เป็นอย่างไร แม่ห้ามว่าอย่านะลูก ศิษย์ฟังไหม ศิษย์ต้องเอามือไปโดนไฟก่อน ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันต้องเรียนรู้ถึงจะเข้าใจ และต่อไปทุกข์จะมากี่ครั้งจะเจ็บและทุกข์ไหม มันก็เป็นทุกข์แค่กาย แต่ใจจะไม่ทุกข์ใช่ไหม เหมือนเด็กร้องไห้งอแงทำไมเรายังรักเอ็นดู เพราะเข้าใจว่าเด็กยังพูดไม่ได้ อาศัยแต่ร้องใช่ไหม (ใช่)  รำคาญยังไงก็เอ็นดู เหมือนกัน ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์ ไม่ว่าทุกข์จะมาแบบไหน เช่นทุกข์มาจากการพลัดพราก สูญเสีย เจ็บปวด ถ้าเราเรียนรู้ และเข้าใจ เราก็จะเอ็นดู มีสติ มีสัมปชัญญะที่จะเรียนรู้จนอยู่กับมัน แล้วจะไม่ทุกข์กับมันอีกต่อไป ดังที่พระพุทธะสอนไว้ว่า เกิดเป็นคนต้องเดินทางสายกลาง กลางแปลว่าร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่เอา อาจารย์ถามว่าใครมีโลกร้ายจริง ใครมีโลกดีจริง ใครมีโลกสวยจริง ใครมีโลกหล่อจริง ใครมีโลกเก่งจริง ใครมีโลกแย่จริง เพราะธรรมบอกแต่ว่าอยู่ที่ตัวศิษย์จะรู้จักทำไหม เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เอาอะไรเลย อะไรจะมาทำให้เราทุกข์ได้ ร้ายก็เกลียดด่าแช่ง ดีก็ชื่นชมหลงใหล ปลาบปลื้มสุดท้ายแล้วก็ต้องเจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทั้งที่พระพุทธะสอนไว้ว่า เดินสายกลาง อะไรก็ไม่เอา ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะสอนไว้ใช่ไหม อาจารย์ไม่ได้อ้างเลยจริงไหม (จริง)  ท่านบอกให้เดินสายกลาง  กลาง แปลว่า รักดีเกลียดชั่ว ใช่ไหม รักคนหล่อ เกลียดคนอัปลักษณ์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อไม่รัก ไม่เกลียด ไม่โลภ ไม่หลง อะไรจะเป็นเหตุแห่งการสร้างวิบากเวรกรรม เจ็บไหม จบไหม จริงๆ นะศิษย์ถ้าศิษย์เข้าใจธรรมในโลก ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่เอากับมันอีกแล้ว ถึงจะสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน ถึงจะหล่อสมบูรณ์แบบขนาดไหน ก็ไม่เอา เพราะมีอะไรบ้างที่จะหล่อลากดิน สวยลากดิน ใช่ไหม แล้วมีอะไรบ้างที่ดีแล้วไม่ร้าย ถามใจศิษย์ดูต่อให้ดีขนาดไหน เวลาร้ายยังน่ากลัวเลย เวลาชมก็อย่างว่า แต่เวลาด่านะ มีเป็นชุดๆ ใช่ไหม (ใช่)  อยากนั่งไหม (นั่ง)  อาจารย์ว่าแล้ว ถ้าอยากอยู่กับอาจารย์แล้วไม่ทุกข์นะ นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  จะได้ไม่ทุกข์จริงไหม (จริง)  นั่งไม่นั่ง (นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี)  ให้ได้อย่างนี้ตลอดนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกมลุกนั่ง เพื่อเป็นการฝึกสติ)
อย่างนั้นเรามาเล่นเกมกันหน่อยนะ ฝึกสติ ถ้าเลขคู่แปลว่า นั่ง เลขคี่แปลว่า ยืน ถ้าเลขสองแปลว่า นั่ง ถ้าเลขหนึ่งแปลว่า ยืน เลขสี่แปลว่า นั่ง เลขห้าแปลว่า ยืน พร้อมนะ
อาจารย์หย่อนเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ดลงในดิน เมื่อฝนตกลงมา เมล็ดพันธุ์นั้นก็ค่อยเติบโตขึ้นมา จนเวลาผ่านไปก็กลายเป็นต้นไม้ที่โตขึ้น แล้วเมื่อมีลมพายุพัดแรงๆ มา มีฟ้าฝ่ามา ต้นไม้ก็หักแตกออกไป กิ่งก้านก็หลุดแตกออกไปบ้าง ถ้ามีคนมาทำร้าย มีหนอนมาชอนไช มีคนมาทำร้าย กิ่งไม้นั้นก็อาจจะถูกตัดถูกทำร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดมีวันหนึ่งมีคนอยากได้ต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นก็จะถูกตัดทิ้งไม่เหลืออะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นิทานของอาจารย์จบแล้วนะ อาจารย์แค่เปรียบเทียบให้ฟังนะ
ถ้าสมมติว่ามีต้นไม้ต้นหนึ่งที่เติบโตขึ้นมา มีกิ่งก้านงอกเงย มีลมฝนพัดพามา เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันหรือแม้จะมีคนมาตัดจนเตียนเหลือแต่ตอ เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับต้นไม้ต้นนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรที่อาจารย์ใส่คำว่า ตัวตน พอโดนตัดนิดหน่อยแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บ)  โดนโค่นนิดหน่อยเป็นอย่างไร (ตาย)  ตายทันที เจ็บทันที ทุกข์ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าอาจารย์ลบ ตัวตนออกล่ะ โดนตัดแล้วจะเป็นอย่างไร (ไม่เจ็บ)  โดนทำร้ายแล้วจะเป็นอย่างไร (ไม่เป็นไร)
ฉันใดก็ฉันนั้นนะศิษย์ ต้นไม้ก็ไม่ต่างอะไรจากสังขาร สังขารของทุกคนย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง สังขารของทุกคนย่อมมีวันเจ็บป่วย สังขารทุกคนต้องมีความทุกข์ สังขารต้องมีความตาย แต่เมื่อไร้ตัวตน ความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ก็จะไม่ครอบงำ แต่เมื่อไหร่ที่มีตัวตน ความทุกข์ ความตาย ความเจ็บ ความสูญเสียก็จะครอบงำไปทั่วทุกขณะที่เรายึดถือ
ดังนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่าสิ่งที่ศิษย์ยึดว่าตัวตน ว่าสังขารนั้น ต่างอะไรกับต้นไม้ มีเกิด มีอยู่ มีตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์มาจากที่ใด ทุกข์มาจากความหลงยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวงที่เราเรียกว่า ตัวตน ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ วางตัวตนและมองให้เห็นความจริงแห่งสังขารและชีวิต ถ้าเมื่อไรศิษย์สามารถวางตัวตน และหันกลับไปมองชีวิต มองอย่างเข้าใจ ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงไม่ใช่การเพ่งมองคนอื่น การจัดการคนอื่น แต่การศึกษาธรรมคือการหันกลับมาเรียนรู้และเข้าใจตนอย่างแข็งแรง ทุกข์เกิดที่ตัวเองเริ่มที่ตัวเอง แล้วทำไมไม่ให้มันจบที่ตัวเราเอง กรรมมาจากตรงนี้แล้วทำไมไม่หยุดกรรมเสียตั้งแต่ตรงนี้ ฉะนั้นคำว่า “วาง” คือ การวางตัวตนและปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามจริงแห่งธรรมชาติ ไปฝืนได้ไหม จะตายก็ตาย จะเจ็บก็เจ็บ รักษาเท่าที่ได้ ไม่ได้ก็ต้องตาย เพราะทุกชีวิตล้วนเดินไปสู่ความตายและความเจ็บ ทุกชีวิตล้วนกลับไปสู่ความตาย ความว่าง และความไม่มี ฉะนั้นศิษย์จะพยายามหาตัวตน ยึดตัวตน เพื่อเวียนวนรับกรรมทำไม ทั้งที่จริงๆ แล้วสังขารก็เปรียบเหมือนต้นไม้ เมื่อตายแล้วจบแล้ว แล้วต้องมาผูกกรรม เกี่ยวกรรม จองเวรจองกรรม อาฆาตพยาบาท หลงยึดถือ หลงห่วงหาอาทรทำไม ในเมื่อทุกชีวิตล้วนต้องตาย ถึงที่สุดจึงรู้ว่าหุบปากดีกว่า บ่นไปก็เท่านั้น ห่วงไปก็เท่านั้น ถึงที่สุดจึงรู้ว่าแล้วห่วงมากๆ เขาก็รำคาญ บ่นมากๆ เขาก็รังเกียจ กังวลมากๆ เขาก็ขับไล่เราอีก
ดังนั้นมนุษย์หากว่าไม่ยึดติดกับตัวตน ก็จะไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวตาย แต่หากเรายังยึดติดกับการมีตัวตน เราก็ยังจะต้องทุกข์ต่อไปอีก นอกจากนี้ คนเป็นพ่อแม่เป็นห่วงลูก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ต้องทำมาหาเลี้ยงลูก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  สอนลูกแล้วลูกไม่เชื่อฟัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)
ฉะนั้นทุกข์จากอะไร ทุกข์จากการที่ชอบเอาทุกคนทุกเรื่อง มาแบกไว้กับตัวเอง แล้วก็บอกว่าไม่แน่ พ่อไม่รู้สึกหรอก ไม่แน่ ลูกไม่รู้หรอก บางทีลูกก็อยากจะพูดว่า ก็อยากลองไม่มีบ้างเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ก็ทุกอย่างเราแบกไว้กับตัวเอง รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้เอง อาจารย์ถามหน่อย เปลี่ยนจากความห่วงเป็นกล้ายอมรับความจริงไม่ดีกว่าหรือ เปลี่ยนจากความคิดฟุ้งซ่านนานา เป็นการทำใจให้เข้มแข็งและยอมรับความจริง ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราก็รับได้ อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนอาจารย์พูดจบสองสามชั่วโมง แล้วอาจารย์ก็คิดว่า อาจารย์ไม่น่าพูดเลย เพราะถึงที่สุดศิษย์ก็เลือกทางเดิม จริงไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังไม่เข้าใจตรงนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ปัญหาก็ตามมา เมื่อไรที่เราวางตัวตนแล้วหันกลับมามองชีวิตอย่างไม่ท้อแท้ไม่ได้ ปัญหาที่จะตามมาก็คือ เกิดความทุกข์ ทุกข์ที่มองความเป็นจริงไม่กระจ่าง ทุกข์ที่เกิดจากความยึดมั่น ถือมั่น ทุกข์ที่เกิดจากกิเลสและจากการสร้างเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เรียงเป็นลำดับ ถ้าลำดับนี้ศิษย์ทำไม่ได้ ก็ต้องมาแก้ไขในลำดับต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์บอกอาจารย์ว่า อาจารย์หนูยึดไปแล้ว หนูติดกับการมีตัวมีตนแล้ว แล้วหนูจะทำอย่างไรที่ให้หนูอยู่กับมันแล้วไม่ต้องทุกข์กับมัน
อาจารย์นึกถึงเหมือนกับเวลาแม่นกหาอาหารมาให้ลูกนก ศิษย์ก็กินๆ อย่างเดียว เมื่อไหร่ศิษย์จะขยับปีกแล้วตอบอาจารย์บ้างนะ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่ใช่แม่นกนะ ฉะนั้นจะบอกว่า อาจารย์ ศิษย์เรียนรู้เคยชินมากับการติดมีตัวตน นี่คือตัวศิษย์ ศิษย์นิสัยแบบนี้ ศิษย์เป็นอย่างนี้ ศิษย์ได้แค่นี้ แล้วจะแก้อย่างไรดีอาจารย์ มีอยู่สองวิธี วิธีหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้เราเข้าใจความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้ง และวิธีที่สองคือ ทำอย่างไรที่จะทำให้เราไม่สร้างไม่ก่อบาปกรรมที่เป็นเหตุแห่งวัฏจักร แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วอาจารย์ทำอย่างไร อาจารย์ไม่ย่อท้อ อาจารย์สู้ตาย วันนี้ไม่ศิษย์ตายก็อาจารย์ตายกันไปข้างหนึ่ง พร้อมหรือยัง (พร้อม)  อย่างนั้นวิธีแก้ ทำอย่างไรดี
(กล้ายอมรับความจริง)  ใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้และกล้ายอมรับความจริง ตอบได้ดีไหม (ดี)  อาจารย์จึงอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้ ความเจ็บไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ความอกหักไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ความพลัดพรากไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะเราไม่ยอมรับความจริง จริงไหม (จริง)  การที่โดนคนด่าไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะเราไม่ยอมรับความจริงว่าเขาด่าเรา จริงไหม (จริง)  เขาโกงเราทำเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์หรอกแต่ที่ทุกข์เพราะว่าเขาเอาเงินเราไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องมองทุกข์ให้ออก แล้วศิษย์จะแก้ทุกข์ได้ เราทุกข์เพราะความเกลียด เราทุกข์เพราะรับไม่ได้ เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาเอาของเรา แต่ถามจริงๆ ใครเอาของใคร ก่อนเราได้มาเราก็ไปเอาของเขามา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้เราเสียไป ตกลงว่าเราเสียอะไรไปไหม (ไม่เสีย)  ถ้าตอนนี้เขาเอาสามีเราไป เราถือว่าเราเสียไหม (ไม่เสีย เอาไปได้เลย)  สามีอยู่กับศิษย์ไหม คนไหนสามี รับได้ไหม แน่ใจนะ (เพราะอาจารย์สอนว่าอย่ายึดมั่น เมื่ออะไรจะเกิดต้องทำใจให้ได้)  เมื่ออยู่ด้วยกันต้องดูแลกันและถนอมน้ำใจกันให้เต็มที่ ถึงเวลาไปเราก็ไม่รู้สึกผิด ถูกไหม ความหมายของอาจารย์คำว่าไป คือเมื่อถึงเวลาเขาจากไป ถ้าหากวันหนึ่งเราต้องสูญเสียเขาไป ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพราะเราก็เกิดมาอย่างคนที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วเพิ่งมามีเพราะมีเวรกรรมกัน ใช่ไหม
สิ่งที่จะทำให้เราอยู่บนโลกนะศิษย์ และเรียนรู้การมีตัวตนแล้วไม่ทุกข์นั่นก็คือ การยอมรับความจริงในสัจธรรม มีได้ก็มีเสีย มีชมก็มีด่า แต่อยู่ด้วยกันต้องถนอมน้ำใจกัน ถึงเวลาเขาจะไปเราจะได้ไม่รู้สึกผิด เพราะเราดูแลเขาเต็มที่แล้ว ถ้าถึงเวลาที่ศิษย์ยังดูแลเขาไม่เต็มที่ ไม่ซื่อสัตย์ ไปมีกิ๊กมีน้อยก็บาปกรรม นรกกินหัว สิ่งที่ทำได้ก็คือ เมื่อสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง เพราะความจริงไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะเราไม่กล้าสู้ความจริง เหมือนความแก่ทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ไม่ทุกข์ถ้าเรารู้จักพึ่งตัวเอง ไม่เอาแต่พึ่งลูกหลาน เราคิดว่าจะฝากผีฝากไข้ ปรากฏว่าผีไข้ก็ไม่มาให้เราได้ฝากเลย สู้ดูแลและพึ่งพาตัวเองดีกว่า ความแก่ก็จะไม่ทำให้เราทุกข์ ถ้าเรากล้ายอมรับความจริง และเข้มแข็งที่จะอยู่กับความแก่ให้มีความสุข คนบางคนมีความทุกข์เพราะว่าอะไร อยากเป็นที่รักของคนอื่นใช่ไหม (ใช่)  อยากอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก แต่ถ้าเกิดเพื่อให้เขารักถึงขนาดต้องหลอกตัวเอง และปิดบังความดีด้วยการทำความชั่ว แบบนั้นเราควรทำไหม (ไม่ควร)  เหมือนผู้ชายเห็นผู้หญิงสวย แต่ตนเองมีภรรยาแล้วไปปิดบัง และก็ไปแอบมีแฟนใหม่ แบบนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ก็อาจารย์สอนไว้ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ต้องให้ใครรัก ผมก็ให้เขารักผมผิดตรงไหน ผิดไหม (ผิด) คงไม่แอบไปกดไลค์ใครในโทรศัพท์นะ แล้วเรามีทุกข์อะไรอีก ทุกข์เรามีมากมาย ฉะนั้นวิธีแก้ทุกข์เมื่อเราเผลอไปหลงยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคือ การยอมรับความจริง ระมัดระวังอย่าปล่อยให้กิเลสสร้างเวรกรรมไม่จบสิ้น ความโกรธ ความหลง ความเกลียดดีไหม (ไม่ดี)
ถ้าศิษย์เข้าใจธรรมตั้งแต่ต้น เราก็ไม่ต้องมานั่งแก้ที่ปลายเหตุ เหมือนที่อาจารย์ถามศิษย์ เราเกลียดเพราะว่าอะไร เรารับความเป็นจริงของคนบางคนไม่ได้ เรารักเพราะอะไร เพราะเรารู้สึกว่าเรามองเห็นสิ่งนั้นแล้วเขาดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ คิดอะไรได้อย่างนั้น อาจารย์สมมติว่าตอนนี้ของอาจารย์หาย อาจารย์คิดว่าคนนั้นเหมือนจะเป็นคนขโมยไปเลย มองอย่างไรก็เหมือนขโมย แล้วอาจารย์จะเปลี่ยนความคิดได้ไหม จนกว่าอาจารย์จะเจอของ ถามว่าอาจารย์ได้ทำร้ายเขาไปมากเท่าไรแล้ว ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่าถ้าความคิดเราไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น แล้วการจะแก้ให้เราไม่สร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราทุกข์ จะเป็นไปได้ทันไหม (ไม่ทัน)  สิ่งที่จะให้เราประคับคองกลับมาสู่ความถูกต้องได้คืออะไร
(ไม่ยึดติด)  ไม่ยึดติดใช่ไหม ฉะนั้นได้ผลไม้หรือไม่ได้ผลไม้ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)
(การวางตัวเป็นกลาง)  ทำให้ได้นะ วางใจให้เป็นกลางด้วยนะ (มองอย่างใจเป็นกลาง มีสติและมีศีลห้า รู้จักใช้ปัญญา)  ปัญญาแปลว่าความกระจ่างแจ้งในธรรม จะเกิดปัญญาได้ก็ต่อเมื่อศึกษาเรียนรู้ให้เพิ่มมากขึ้นนะ
(การยอมรับความเป็นจริง)  โดนด่าก็ (ยอมรับ และขอบคุณ)  ทำให้ได้อย่างนี้นะ (มีสติ)  ทำอะไรก็ขอให้มีสติไม่ถืออารมณ์เป็นใหญ่ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เล่น หวยไม่เอา ต้องทำให้ได้นะ (ต้องมีสติและรู้จักปล่อยวาง) แปลว่า ไปยึดมาก่อนแล้วค่อยมาปล่อยวาง ใช่ไหม
(ความอดทนในกิเลส)  เมื่อไรที่มีความอดทน แปลว่า ยังแอบหวั่นไหวและยังมีใจให้สิ่งนั้นอยู่ ฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ต้องยอมรับ ถ้าคนเรารู้จักความพอมี พอใจ ได้ไม่ได้ กิเลสก็ไม่มีปัญหา แต่คนเราก็มักจะไม่ค่อยพอมีพอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (มองตามความเป็นจริง ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่คิดไปเอง)  เห็นเขาแค่มองก็ไม่คิดไปเองว่า เขาแอบหลงเรา หรือฉันแต่งตัวสวย ศิษย์อย่าลืมว่ารูปลักษณ์เป็นเพียงมายา พร้อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เมื่อไรที่เปลี่ยนไปแย่กว่าเดิม ก็จงอยู่กับมันและพอใจกับมัน เพราะร่างกายและสังขารนี้หาได้เที่ยงแท้ไม่ มีเกิดมีเปลี่ยนและมีดับ อย่าทำให้เกิดทุกข์ เพราะการหลงรูป หลงนามเลยนะศิษย์
(ความซื่อตรง)  ถ้าพูดตรงๆ แล้วทำให้คนเจ็บ บางทีก็หุบปากไว้ดีไหม (คิดดีพูดดี ทำดี)  ถึงเวลาคิดดีไหม (บางครั้ง) พูดดีและทำดีหรือไม่ ห้ามบอกอาจารย์ว่าบางครั้งนะ พูดได้ต้องทำได้ จิตมักไหลลงที่ต่ำง่ายกว่าขึ้นที่สูง มักคิดร้ายมากกว่าคิดดี การคิดดีเป็นบุญ การคิดร้ายเป็นบาป ใครได้ดีแล้วเรายินดีก็เป็นบุญ แต่ใครได้ดีแล้วเราแอบอิจฉาก็จะเป็นบาป ซึ่งบาปสร้างเหตุให้เราต้องมีเวรกรรม อยากตกนรกหรือเปล่า ดังนั้นต้องพยายามดึงให้ ตัวเองคิดดีนะ (ยอมความรับความจริง)  แก่ก็มีความสุข ศิษย์รู้ไหมธรรมะของคนแก่สอนง่ายๆ อย่างหนึ่ง ตอนเรายังเป็นหนุ่มสาว รู้มากเห็นมาก ก็เจ็บมาก แต่ธรรมะสอนให้เรารู้อย่างหนึ่งว่า พอแก่แล้วรู้น้อยๆ ฟังน้อยๆ พูดน้อยๆ ยิ้มเยอะๆ ได้บุญกว่า
ฉะนั้นธรรมะสอนอยู่เสมอนะว่า ให้เราปล่อยวางการดู ปล่อยวางการฟัง ปล่อยวางการพูด ปล่อยวางการกิน แก่แล้วกินอะไรสบายไหม อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ค่อยมีแรงแล้วจริงไหม นี่แหละธรรมะสอนให้เรารู้จักปลดปลง แต่มนุษย์บางคนยังไม่ปลง แก่แล้วไม่ค่อยปล่อยวาง ไหนศิษย์ลองยิ้มให้อาจารย์เอาแบบที่สวยที่สุดได้ไหม เริ่มจากยิ้มน้อยๆ ยิ้มใหญ่ๆ ยิ้มเยอะๆ อาจารย์ว่ามันเหมือนกันหมดเลยนะศิษย์ ถ้าศิษย์เลิกกินหมากได้ก็ดีนะ หมากก็เป็นยาเสพติดอย่างหนึ่งนะศิษย์
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยคอยยับยั้งให้เราไม่หลงผิดและเดินทางผิด นั่นคือ การมีศีลมีธรรม นอกเหนือจากการมองความจริงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์รักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งในการประพฤติปฏิบัติก็จะทำให้เราไม่หลงผิดพลาดไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  และในศีลนั้นศิษย์สามารถเอามาตอบอาจารย์ได้ แต่ไม่เห็นมีศิษย์คนไหนตอบอาจารย์เลย
(คิดดีทำดี)  ฉะนั้น อย่าเผลอคิดร้าย อย่าเผลอทำผิด ผิดศีลผิดธรรม มันบาปกรรมนะศิษย์ (ห้ามลักทรัพย์ ห้ามดื่มสุรา ห้ามฆ่าสัตว์)  แปลว่า เราต้องมีจิตใจที่เมตตา มดฆ่าไหม ยุงฆ่าไหม แมลงสาปฆ่าไหม เนื้อวัวกินไหม (กิน)  พยายามลดนะ (ห้ามพูดเท็จ)  แปลว่า จะรู้จักมีคำสัตย์ พูดอะไรก็ต้องซื่อตรง ถ้าสิ่งที่พูดมันผิดก็ไม่ควรพูด ควรมีความซื่อตรงในจิตใจ อย่าซื่อตรงแค่คำพูด แต่ต้องซื่อตรงทั้งปฏิบัติ และสิ่งที่ทำให้เราซื่อตรงคือ รับผิดชอบต่อหน้า รับทั้งผิด รับทั้งชอบ
(ต้องมีสัจจะ มีศีลข้อห้า)  เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เล่น หวยไม่แอบแทง ไม่แอบมีชู้ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ก ศิษย์เอ๋ยแต่ตอนนี้คงยังไม่มีใครใช่ไหม เป็นคนต้องรักเดียวใจเดียว อย่าหลายใจนะศิษย์ (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  อาจารย์ไม่เข้าใจนะว่าบางทีตัวนิดตัวน้อย ตอบว่าไม่ประพฤติผิดในกาม แปลว่าในใจแอบฝักใฝ่ใช่ไหม ถึงตอบอันนี้ออกมา ถ้าไม่คิดก็ไม่พูด หน้าตาดีแล้วตอบแบบนี้ อาจารย์ชักหวั่นๆ ใจแล้วนะ ผู้ชายตอบอาจารย์รู้สึกธรรมดา แต่ผู้หญิงตอบอาจารย์ก็รู้สึกกังวลนิดๆ เป็นคนต้องรักเดียวใจเดียว ซื่อตรง อยากมีครอบครัวร่มเย็น เราต้องซื่อตรง ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ภรรยา หรือหน้าที่อะไรก็แล้วแต่ในสังคม อย่าหวั่นไหวและไขว้เขว ไม่ต้องมีใครเลย ปลอดภัยที่สุด
(ไม่นินทาผู้อื่น)  แสดงว่าต่อไปนี้จะไม่นินทาใครแล้ว อาจารย์บอกไว้เสมอ คนที่นินทาคือคนที่กำลังเอาเรื่องที่เขาพูดจบแล้วมาเล่น หรือเรียกอีกอย่างว่าคนนินทาคือคนเล่นขี้ เอาขี้ปากเขามาเล่น แล้วเมื่อไรที่เราเอาคำนินทานั้นไปเล่าให้คนอื่นฟัง คือเรากำลังเอาขี้ไปใส่ให้คนอื่น เพราะฉะนั้นอย่าทำนะศิษย์
(ใช้ชีวิตอย่าประมาทและนำข้อผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนและแก้ไขไม่ให้ผิดอีก)  จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและทำให้ดีที่สุด ใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท เรื่องดีๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องกล้าทำ เรื่องชั่วๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จงอย่าคิดที่จะทำ นี่แหละเรียกว่าไม่ประมาท แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เรื่องดีๆ เล็กๆ ไม่ทำ เรื่องชั่วๆ เล็กๆ ไม่มีใครเห็น กลับแอบทำ
(ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)  แสดงว่าต่อไปนี้จะมีศิษย์อีกคนหนึ่งที่กินเจ ทำได้ไหม (จะพยายามค่ะ)  เป็นการฝึกจิตเมตตานะศิษย์ คนที่มีจิตเมตตาจะไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ทั้งกาย วาจา และใจ การมีชีวิตอยู่ก็จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เบียดเบียนสัตว์ ทำให้ได้นะศิษย์ หลังจากนี้ศิษย์จะเลิกกิน (เนื้อสัตว์)  เริ่มจากไม่กินสัตว์สามอย่างได้ไหม (ได้ค่ะ)  สัตว์บนฟ้า สัตว์บนดิน สัตว์ในน้ำไม่กินเลยได้ไหม (ได้ค่ะ)  เริ่มจากสัตว์ใหญ่ก่อนนะศิษย์ ไม่กินเนื้อวัว ไม่กินหมู ไม่กินไก่ ค่อยๆ ฝึกไปนะศิษย์ เชื่ออาจารย์นะศิษย์การที่กรรมจะลดทอนได้ไวที่สุด นั่นก็คือเลิกเบียดเบียนเนื้อสัตว์ เพราะการฆ่าชีวิตเขา เขาก็จะกลับมาเอาชีวิตเรา การเบียดเบียนชีวิตเขา เขาก็จะกลับมาเบียดเบียนชีวิตเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าศิษย์เบียดเบียนชีวิตสัตว์ได้น้อยที่สุด ศิษย์ก็จะถูกกรรมเบียดเบียนได้น้อยที่สุดเช่นกัน
(ไม่ลักขโมย)  ศิษย์เคยลักขโมยด้วยทางตาไหม เวลาเห็นแล้วคิดอยากได้ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ ศิษย์เคยได้ยินไหม มีจนล้นก็ไม่สู้มีหนึ่งเดียวแต่เข้าใจและใช้มันให้มีค่า
(ไม่คิดร้าย) ฉะนั้นก็ต้องระมัดระวังจิต ใครได้ดีก็ยินดี ใครได้ไม่ดีก็ไม่แช่งชักหักกระดูก ต้องไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมคนนะ
(ไม่ลักทรัพย์)  ไม่ลักทรัพย์ แล้วการอยากได้ผลไม้จากอาจารย์ เพื่อมาเป็นผลไม้ของตัวเองนี้เรียกว่า แอบลักทรัพย์ไหม (ไม่)  ถ้าเขายินดีให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การลักทรัพย์ก็คือ การเบียดเบียนโดยที่เขาไม่ยินยอม ทำให้เขาเดือดร้อน เรียกว่า ลักทรัพย์ เหมือนแฟนเขา แต่เขามารักเรา อย่างนี้เรียกว่า ลักทรัพย์ไหม ใช่ไหม เวลาทำแล้วเขาไม่เดือดร้อน เขาไม่ลำบาก เขาไม่ทุกข์ เขายินดีให้เรา นั่นเรียกว่า ไม่ลักทรัพย์ แต่ถ้าเอาของเขามาแล้วทำให้เขาทุกข์ เขาลำบาก เขาเดือดร้อน แปลว่า เรากำลังลักทรัพย์
(รู้จักแบ่งปันให้คนอื่น)  รู้จักแบ่งปันให้คนอื่น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการเป็นคน มีอะไรก็รู้จักให้ ฉะนั้นอาจารย์ให้ต่อ แล้วจะให้ใครต่อไหม (ให้ต่อ)  อยากเอาผลไม้ให้ใคร (ลูกชาย)  ให้ลูกชาย แล้วลูกชายทำอย่างไรต่อ (ขอบคุณพ่อ กราบพ่อ)  ใช่ไหม อย่างนี้ถึงจะน่ารักที่สุด ต้องให้อาจารย์สอน ดีใจไหม (ดีใจ)  บางทีคนเราไม่ต้องการลูกที่เรียนสูง แต่ต้องการลูกที่เป็นคนดี รักเรา ใช่ไหม (ใช่)  บางทีเราคุยโวโอ้อวด ลูกมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นนั่นเป็นนี่ แต่บางทีนะศิษย์เอ๋ย มีลูกอยู่ข้างๆ ดีกว่ามีลูกเป็นนั่นเป็นนี่ แต่ไม่เคยมาดูดำดูดีเราเลย ใช่ไหม (ใช่)  น่ารักไหม (น่ารัก)  น่ารักที่สุดไหม (ที่สุด)  กอดกันหน่อยเร็ว
2สิ่งที่ประคับประคองให้มนุษย์เราไม่ทุกข์หรือแม้จะทุกข์ขนาดไหน ก็มีกำลังใจขึ้นมาได้เพราะมีคนที่เข้าใจเรา มีคนที่คอยโอบอุ้มประคองเรายามที่เราผิดพลาด ล้มเหลว สิ่งที่ศิษย์อยากได้ที่สุดในโลกแล้วเรียกว่าความสุขแท้จริงคืออะไร คือความเข้าใจ เห็นใจกัน รับกันได้ ไม่ว่าเราจะร้ายหรือจะดีขนาดไหน เพราะบางทีเงินทองก็ไม่มีประโยชน์นะศิษย์ เท่ากับความเข้าใจที่รับเราได้ ไม่ว่าเราจะร้ายหรือเราจะแย่ ถามตัวศิษย์เองบางครั้งเรียกร้องอยากให้ลูกสูงส่ง แต่แท้ที่จริงแล้วเราต้องการเขาสูงส่งหรือเราต้องการเขาแค่เพียงเป็นคนดีที่รักเรา และยอมรับเรา ถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างเป็นสุขอย่าพูดเยอะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หลักธรรมหลักชัย”)

ขอให้ถือหลักธรรมะนี้เป็นหลักให้กับชีวิต อย่างน้อยจุดหมายของการมีชีวิต ไม่ใช่อยู่เพื่อทุกข์ไปวันๆ หาไปวันๆ แต่จุดหมายของการมีชีวิตที่แท้จริงที่เรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ คือการอยู่บนโลกอย่างเข้าใจธรรมอันถ่องแท้ จนค้นพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริงในจิตใจ อย่าแค่ฟังธรรมแล้วก็ปล่อยผ่านๆ ไป การเรียนรู้หลักธรรมทำให้เราเข้าใจชีวิต และเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกับชีวิตโดยไม่ทุกข์ และนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ศิษย์เอยอยู่ในโลกนี้ ศิษย์ยังอยากอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามว่ายิ่งอยากเยอะๆ แต่สิ่งที่มีก็เหมือนกับไม่มี เปรียบกับอยากน้อยหน่อยแต่สิ่งที่มีอยู่เดิมกลับกลายเป็นมีคุณค่า อย่างไหนจะดีกว่ากัน
ศิษย์เอ๋ย การที่เราเรียนรู้เข้าใจธรรม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นความเป็นจริงและไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ ไม่ทุกข์กับคน เหมือนศิษย์บอกว่า ศิษย์ยังอยากอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  อยากมีเงินใช่ไหม หนึ่งร้อยก็ใบเดิมใช่ไหม แต่ก็ยังอยากได้อีกหลายใบใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า เคยไหม ค่าของเงินก็เท่าเดิม แต่มันกลับกลายเป็นมากขึ้นโดยที่เราไม่ได้ไปทำให้เงินเพิ่มขึ้นเลย ด้วยการที่ทำอย่างไรรู้ไหม เหมือนกับอาจารย์ถามว่า แอปเปิลลูกนี้ เพียงพอสำหรับการกินทั้งห้องไหม (ไม่พอ)  นี่ไง ความคิดของมนุษย์จำกัดจำเขี่ย ถ้ารู้จักใช้ปัญญา แอปเปิลนี้น้อยหรือมาก (น้อย)  น้อยเพราะความอยากของศิษย์นั้นมาก แต่ถ้าศิษย์บอกว่า มากเพียงพอนะอาจารย์ ลดความอยากให้มาก แล้วความอยากมีจะเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่มีความอยากมาก แอปเปิลลูกเดียวก็ไม่เพียงพอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากมีแล้วมีความสุข แล้วกลายเป็นการมีที่เหลือเฟือ นั่นก็คือลดความอยากให้มาก แล้วจะกลายเป็นเหลือแบบมหาศาล แต่มนุษย์ไม่เคยเป็นอย่างนั้น มีเท่าไรก็บอกไม่พอ ที่ไม่พอเพราะมีน้อยไปหรือ ก็ไม่ใช่ แต่ที่ไม่พอเพราะใจของศิษย์มีความอยากไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นรู้จักแบ่งสรร รู้จักจัดสรร รู้จักแบ่งปัน แล้วเราจะทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ไหม (ไม่)  เหมือนมีชีวิตเอาแต่สบายไม่ทำงานก็ไม่ดี เอาแต่ทำงานแล้วไม่สบายก็ไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องรู้จักแบ่งให้พอเหมาะพอเจาะ อย่าให้ชีวิตเป็นนายเรา แต่เราต้องเป็นนายของชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)
ถ้าศิษย์เข้าใจธรรมสักนิดหนึ่งนะ แล้วศิษย์จะรู้ว่าโลกใบนี้แท้จริงแล้วเหมือนอย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมจะเปลี่ยน แล้วก็จากไป จริงไหม ฉะนั้นอะไรที่เป็นของเรา ขอให้คิดไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไร เพราะเมื่อยึดมั่นถือมั่น ศิษย์จะหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ ความเจ็บปวด
ใกล้ปีใหม่แล้ว อาจารย์ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคน มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ไม่อ่อนแอ ไม่หวังพึ่งพิงใคร อยู่ด้วยตัวเองก็มีความสุขได้ อะไรจะร้ายไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ร้าย อะไรจะดีก็ไม่ประเสริฐเท่ากับใจที่มองเห็นแล้วเข้าใจความจริง เข้มแข็งนะศิษย์ เป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวการสูญเสีย ไม่กลัวการพลัดพราก แต่มองเห็นอย่างคนที่เข้าใจธรรม ปกโปรดและไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่า “ตัวตน”  ทุกข์เป็นเพียงสังขาร หาใช่จิตเดิมแท้
จำคำพูดอาจารย์ให้ดีนะ กรรมเป็นเพียงชะตากรรมของกาย หาใช่ชะตากรรมของจิตญาณไม่ คิดถึงเป็นห่วงและก็รักศิษย์ทุกคน ดูแลตัวเองให้ดี ให้เข็มแข็ง อย่าทุกข์กับเรื่องบางเรื่องในโลก ถ้ามันทุกข์มากก็ก้มหน้ายอมรับและดีใจที่ได้ชดใช้ แล้วจะได้จบเวรจบกรรมนะศิษย์เอ๋ย แล้วเมื่อมีโอกาสให้กลับมาหาอาจารย์อีกนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หลักธรรมหลักชัย”
    ตอนทำได้ไม่ขยันจะฝึกหัด             เมื่อติดขัดหมุนรอบไม่พบฝั่ง
เปลี่ยนนิสัยจิตจะต้องออกกำลัง           ฝึกทุกอย่างอย่าผิดต่อธรรมในใจ
ยึดหลักธรรมเป็นหลักให้ชีวิต               มีสติเป็นมิตรเป็นสหาย
มีปัญญาเป็นแสงแห่งจิตใจ                 มีคุณธรรมเป็นจุดหมายการบำเพ็ญ
การรักษาความดียากกว่าการสร้าง        ของบางอย่างดูไม่เป็นมองไม่เห็น
จงยอมโง่เพื่อรักษาการบำเพ็ญ             ต่างคนเป็นไปตามกรรมทำมา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา