แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เต๋อฮว่า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เต๋อฮว่า แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-08 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

   西元二〇一九年嵗次己亥五月初六日                仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
 พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
  อย่าได้ขาดจิตสำนึกความดีงาม        อย่าได้ขาดความซื่อตรงในหน้าที่
อย่าได้ขาดความกล้าหาญในความดี     เมื่อทำดีก็จงทำให้สุดใจ              
     เราคือ
  เสียวเสี่ยวฝอถง                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว   ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                      
  เมื่อพบจิตฉับพลันลุล่วงพุทธะ        ทรัพย์อริยะแห่งจิตอยู่ตรงนั้น
ธรรมจักรสมบัติในมนุษย์สุดสามัญ     ครอบจักรวาลที่แฝงเร้นในตัว
ระวังใจตามองเพียงหนึ่งหน            วิสัยคนกระสับกระส่ายเห็นจักรเป็นบัว
เห็นใครมีไม่ได้อิจฉาทั่ว                 เลิกสนตากลับตัวจิตแยบยล
หาสมบัติที่ซ่อนอยู่ข้างใน               เป็นโชคในข้างแรมแซมฝน
ไม่ใช่ลาภลอยมาบันดาลดล             โลกมีคนกับปัญหาระหว่างเรา
บำเพ็ญบุญดุลพินิจรับไปแยกแยะ      ต้องการแค่สงบสว่างมากกว่าเก่า
ใดสัจจะที่เรื่องทุกเรื่องราว             ประพฤติเล่าไขความจริงเป็นอะไร
ธรรมเป็นแนวปรัชญาด้วยกฎเกณฑ์    บำเพ็ญเป็นปัญญาด้วยพลิกแพลงได้
เหนือความงามว่าด้วยปรัชญาใจ       รู้ตื่นในตัวเองเที่ยงนิรันดร์
แม้ชาติหน้าไม่พอขวนขวายไป         เดินใช่ไกลมาทำตัวเกียจคร้าน
ยังไม่เป็นมาทำเป็นชำนาญ             คนเก่งฟ้าข้อสำคัญพินิจตัว
                                                                          ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ตามนุษย์นี่แปลกนะ อยากเห็นอะไรก็ได้เห็น ไม่อยากเห็นอะไรก็ไม่ (ต้องเห็น)  ถ้าอย่างนั้นตาเราสัมพันธ์กับอะไร (ใจ)  ตาสัมพันธ์กับใจ ถ้าใจมันเห็น ใจอยากมองสิ่งที่ดี มันก็จะเห็น (สิ่งดี) แต่ถ้าใจมันกำลังเบื่อ สิ่งที่เห็นก็คือ (สิ่งที่ไม่ดี) ฉะนั้นจะไปโทษเขาว่าทำดีหรือไม่ดีไม่ได้ แต่ต้องถามใจเราก่อนว่าใจเราดีหรือไม่ดีจริงไหม (จริง) เขาพูดไม่ดีหรือใจเรามันเบื่อเลยมองเห็นเขาไม่ดี ถ้าเรารู้สึกว่าดี ตาเราก็จะเห็นดี จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจเรารู้สึกเบื่อ ตาเราก็จะทำให้เรามองเห็นแล้วรู้สึก (เบื่อ)  ใจเป็นอย่างไร ตาก็มองเห็น (อย่างนั้น)
ใจของเรามีพลังนะ ถ้าใจเรามีความสุข ตามันก็ประกายแวววาวจริงไหม แต่ถ้าใจเรามันทุกข์ ตาเรามันก็จะหม่นหมองหดหู่ไม่เคยได้ยินหรือ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มนุษย์พูดไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ตาท่านไม่มีประกายแวววาวเลย มีแต่ความหม่นหมองและความหดหู่ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข ก็ต้องเริ่มต้นที่ใจของเรา จริงไหม ถ้าใจเราสุขอยู่ที่ไหนมันก็ (สุข)  ถ้าใจมันทุกข์อยู่ที่ไหนมันก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นตอนนี้ใจขมหรือใจสุข วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่าน อย่าคิดว่ามาสอนได้ไหม เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่ใช่เรียกว่านินทาว่าร้าย แต่เป็นเรื่องที่เราต้องเจอกันทุกวัน แล้วทำอย่างไรถึงเจอแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าใจเรามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ อยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์จริงไหม ถ้าใจมันเต็มไปด้วยความร่มเย็นสบายใจ อยู่ที่ไหนก็ (ร่มเย็นสบายใจ)  จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามหน่อย คนภาคใต้เป็นคนที่อ่อนแอไม่สู้คนใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)เป็นคนรับอะไรไม่ได้ง่ายๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคนใต้เป็นคนเด็ดเดี่ยว ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อู้ง่ายๆ ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้เกียจ ถ้าอย่างนั้นแปลว่า นั่งฟังแล้วยิ่ง กระปรี้กระเปร่า ยิ่งมีพลัง ยิ่งสดชื่น จริงไหม (จริง) ตอนนี้เป็นอย่างนั้นจริง แต่ตั้งแต่เช้ามาไม่เป็นอย่างนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งความสุขหาไม่ยากหรอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับมันและยิ้มกับมันได้ด้วยหัวใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวหรือไม่ จริงไหม (จริง)  ท่านไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ แต่ท่านเชื่อใจตัวเองได้ ถ้าท่านเชื่อใจตัวเองว่าสู้ไหว เอาไหว เอาอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครพูดอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์เพราะใจฉันจะสู้ จะเอาให้ได้ เอาให้อยู่ ใช่หรือไม่ ถ้าตอนนี้เขาจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าใจท่านบอก ไม่สู้ ไม่เอา ไม่ไหว ใครพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าดูถูกพลังใจของตัวเอง ถ้าคิดจะสู้ก็สู้ ถ้าคิดจะเอาก็เอาอยู่
แต่บางครั้งเราล้มพลาดไป เราทุกข์ท้อไป เพราะเราลืมใจตัวเอง เอาแต่เชื่อใจคนอื่น จนลืมเชื่อศรัทธาในความเข้มแข็งดีงามและรับไหวกับใจตัวเองไหม ที่แพ้พังราบไปเพราะอะไร เพราะเอาแต่เชื่อใจคนอื่นหรือเชื่อใจตัวเอง (คนอื่น)  เพราะเอาชีวิตไปผูกไว้กับคนอื่นจึงลืมสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตเรา เราต้องดูแลตัวเราเองเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ใจเราสามารถหยั่งได้เท่าที่เราอยากให้เป็น และบางครั้งใจเราก็เล็ก จนเราไม่คิดจะสู้อะไร จริงไหม (จริง)  แล้วใจจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่ที่น้ำคำคน ขึ้นอยู่กับคนรัก ขึ้นอยู่กับคนด่าคนชัง หรือต้องขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง (ขึ้นกับใจเราเอง)  แล้วที่ผ่านมาอยู่ที่เราเอง หรืออยู่ที่ปากคนอื่น (คนอื่น)
เกิดเป็นคนอย่าขาดซึ่งจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ถ้าคนใดคนหนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ก็ยากที่จะอยู่บนโลกได้อย่างสันติสุข และง่ายที่จะเป็นคนที่นำพาให้ผู้อื่นมีทุกข์ และตัวเองก็ต้องพบทุกข์  เหมือนเขาให้เราทำให้ดี แต่เราทำแบบลวกๆ  ผลที่ออกมาเราก็เสีย คนอื่นที่ได้รับก็ไม่ดี  แต่ถ้าเราทำด้วยความซื่อตรงทำด้วยความรับผิดชอบ ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ผลที่ได้ออกมา เราก็ภูมิใจ คนที่ได้รับรู้สึกสุขใจที่ได้มา  ถ้ามนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ในสังคมก็คงไม่มีการทำร้ายกันหรอก
อยู่ในโลกนี้โลกสอนให้เราเข้มแข็ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราเก่ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราต้องขวนขวายหาความรู้จนประสบผลสำเร็จ ใช่ไหม โลกสอนเราทุกอย่าง ใช่ไหม สอนให้เรารู้จักรักเป็นอย่างไร ใช่ไหม
โลกสอนให้เราเข้มแข็ง  สอนให้เราอยู่บนโลกนี้ให้ได้ สอนให้เราต้องมีความอดทน สอนให้เราสู้ให้เป็น สอนให้เราขวนขวาย ขยันทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง โลกสอนเราทุกอย่าง แต่ในเวลาที่อ่อนแอ โลกสอนเราไหม ว่าเราต้องทำอย่างไร เวลาที่เราทุกข์ใจ โลกสอนเราไหม (สอน)  โลกสอนให้เรารู้จักสุข แล้วก็สอนให้เรารู้จักทุกข์ โลกสอนให้เราเข้มแข็งได้ แต่โลกก็สอนให้เรา (อ่อนแอได้)  โลกสอนให้เราสำเร็จได้  และสอนให้เรา (ล้มเหลวได้)  โลกสอนให้เราโชคดี  และสอนให้เรา (โชคร้ายได้) โลกสอนให้เรารู้ว่าคนดีเป็นอย่างไร และสอนให้รู้ว่าคนร้ายเป็นอย่างไร
วันที่เราต้องอ่อนแอ ต้องทุกข์  รู้สึกแย่ วันที่เราล้มเหลว  โลกสอนให้เรากลับมาเข้มแข็งอย่างไร  (ต่อสู้กับความยากลำบาก)  เมื่อวันหนึ่งโลกสอนด้านหนึ่ง อีกวันก็สอนอีกด้านหนึ่ง  เรารู้ได้ว่าทำอย่างไรให้กายเข้มแข็ง เรารู้ว่าทำอย่างไรให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ  แต่ถ้าวันหนึ่งโลกสอนให้เราล้มเหลว สอนให้เราอ่อนแอ อะไรให้เราเยียวยาใจ  ในเมื่อโลกสอนแต่กาย แต่ลืมสอนใจ  แล้วเราดูแลแต่กายเป็น แต่ลืมดูแลใจตัวเองให้เป็นจริงไหม (จริง)  โลกสอนให้เราเข้มแข็งกล้าหาญต้องประสบผลสำเร็จ ต้องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อวันหนึ่งโลกสอนให้เราอ่อนแอ ล้มเหลว ต้องเป็นทุกข์  กายเราพอรักษาได้ แต่วันหนึ่งวันที่ใจเราอ่อนแอ เจ็บปวด ท้อแท้  เราเอาอะไรมาเยียวยาใจ  หรือเราสอนกายเป็น แต่เราสอนใจไม่เป็น
กายรอดได้ แต่เราดูแลใจตัวเองไม่รอด จริงไหม เวลาเราเจอทุกข์แค่ครั้งหนึ่งบางคนอยากตายเลยใช่ไหม เวลาเราล้มเหลวครั้งหนึ่งเราไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย อย่างนั้นแปลว่าเราบำรุงเลี้ยงกายเราได้แต่เราลืมบำรุงเลี้ยงใจ เราดูแลกายเราได้ แต่เราลืมดูแลใจเรา โลกสอนเราด้านหนึ่งแล้วอีกด้านหนึ่งโลกไม่ได้สอน
ให้เรารู้จักทำกายตัวเองให้เข้มแข็งประสบผลสำเร็จได้ แต่ใจเราไม่เคยสอนใจเราเลย ถูกไหม เรามีวิชาทำให้ร่างกายเราอยู่รอด ทำให้ร่างกายเราเข้มแข็ง ทำให้ร่างกายเราสำเร็จ แต่วิชาอะไรล่ะที่ช่วยสอนใจเราเมื่อยามอ่อนแอให้กลับมาเข้มแข็ง วิชาอะไรล่ะที่เมื่อยามทุกข์แล้วสอนให้เราพ้นทุกข์และพบความสุข จากจิตใจของเราเอง นั่นคือวิชาใจเราเอง ดูแลใจเราเอง ใช่ไหม ในวันที่ใจเราท้อ ในวันที่ใจเราผิดหวัง ในวันที่ใจเราเจ็บปวด กายแม้จะตั้งตรงแต่ใจไม่อยากตรงแล้วใช่ไหม แล้วสิ่งที่จะช่วยเยียวยาใจของเราคืออะไรหนอ ธรรมะใช่ไหม ธรรมะช่วยเยียวยาใจใช่ไหม อย่างนั้นเวลาที่ใจเราอ่อนแอ ใจเราทุกข์ เราต้องเอาธรรมะมาสอนใจ ถูกไหม ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่ความคิด แต่ชีวิตคือความจริง ฉะนั้นสิ่งที่จะเยียวยาชีวิตเราได้ เยียวยาใจเราได้คือความจริงและความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเรียกว่าธรรมะใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่รู้จักเอาธรรมะมาเยียวยาใจ เอาธรรมะมาสอนใจก็จะยอมรับความจริงที่วันหนึ่งเข้มแข็ง อีกวันหนึ่งอาจจะอ่อนแอ วันหนึ่งมีสุข อีกวันหนึ่งอาจจะ (มีทุกข์)
บำรุงเลี้ยงดูแลใจเราด้วยธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์นิยามชีวิตของตัวเองว่าความฝัน และความคิด จึงมักจะปล่อยตัวเองให้คิดฝันว่าชีวิตต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ มองตามความฝัน มองตามความคิด จนลืมมองความจริง ทั้งที่ความจริงเป็นธรรมะที่ช่วยเยียวยาใจได้ดีที่สุด แล้วเราสนธรรมะไหม เราไม่สนธรรมะ เราสนแต่เราคิดอะไรอยากได้อะไร เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดที่อยากได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราเอาธรรมะมาเตือนใจเสมอ เอาธรรมะมาสอนใจเราเสมอว่าฝันขนาดไหนคิดขนาดไหน ก็อย่าลืมความจริง อยากได้ขนาดไหน อยากมีขนาดไหน ก็ไม่ควรลืมความจริง เพราะในโลกของความจริงมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีสำเร็จก็มีไม่สำเร็จ ฉะนั้นถ้าทุกขณะชีวิตเราไม่ลืมว่าชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปอย่างที่คิด แต่ชีวิตคือความจริง เราก็คงไม่หนีห่างจากธรรมะ เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
แล้วธรรมะแห่งความเป็นจริงข้อไหน ที่จะช่วยทำให้เราสามารถเยียวยาใจได้ เมื่อเวลาที่เราต้องเจอความจริงในอีกด้านหนึ่งที่เราไม่คาดคิด
และยอมรับที่จะอยู่กับสิ่งๆ นั้นให้ได้   อย่างแรกที่จะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงและช่วยเยียวยาใจ คือ เราต้องไม่มีอคติ  ภัยพิบัติที่เกิดจากการไม่สุภาพสำรวมยังแก้ไขได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นในความคิด แก้ยาก (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ยกตัวอย่าง โดยให้พิธีกรหน้าชั้น เป็นตัวละครสมมติ ว่า  ด้านขวาคือความดี ความสุข ความสำเร็จ  ด้านซ้ายคือความเลว ความแย่ ความล้มเหลว)  ท่านชอบได้ด้านไหนมากกว่ากัน  (ด้านขวาที่ดี)  ถ้าอยากเรียนรู้ความจริงเราต้องไม่อคติกับด้านซ้าย และไม่ยึดติดกับด้านขวา  แต่ถ้าเราเอาแต่ชอบด้านที่ดี  สำเร็จ สมบูรณ์ ไม่ล้มเหลว ไม่พ่ายแพ้ ชีวิตจะต้อง ไม่มีคนเกลียด  มีแต่คนรัก ไม่มีคนเลิกรักฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ชีวิตของเราคือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความคิด  ถ้าฉะนั้นด้านดีก็ดี  ด้านไม่ดีก็ดี ถ้าอยากเรียนรู้เยียวยาใจให้เป็น และใจไม่ต้องอ่อนแอไปกับเรื่องที่ไม่อยากเจอ ไม่ว่าด้านดี หรือไม่ดี เราก็ต้องรับให้ได้ ดูให้เป็น เมื่อสักครู่ ท่านก็บอกเอง ใจเป็นของเราเอง จะเล็กก็อยู่ที่เรา จะใหญ่ก็อยู่ที่เรา จะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่เรา ถ้าเจอเรื่องร้ายเราก็รับได้  เจอคนด่าก็ (ทนได้)  เจอคนหักอกเราก็ (ทนได้)  คนยืมเงินไม่คืน เราก็ (รับได้)  เจอสามี หรือ ภรรยา ไปไม่กลับ เราก็ (รับได้)  จำไว้ เราบอกท่านตั้งแต่แรกว่า ตาเป็นอย่างที่ใจคิด  ถ้าใจไม่รับ อย่างไร ก็ไม่รับ แล้วก็ไม่เห็น ถ้าใจไม่เอา ที่เห็นก็ไม่เห็น  แต่ถ้าใจเอาและรัก ที่ไม่เห็นเราก็จะเห็นยิ่งกว่าเห็น  จริงไหม (จริง)
แต่ถ้าเราบอกว่า ในเมื่อเราบอกว่าใจมันเป็นของเราเอง ท่านศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง ถ้าอย่างนั้นดีร้ายมันอยู่ที่ตัวเขาหรือตัวเรา (ตัวเรา)  ดีร้ายมันอยู่ที่ชะตากรรมหรือเปล่า (เปล่า) ถ้าใครว่าเราร้ายแต่เรารู้ใจเราเองว่าเราร้ายหรือเราดี ใครทำเราทุกข์เรารู้ใจเราเองว่าทุกข์หรือสุข ใช่ไหม  (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถ้าใจเรารับไหว อะไรมันก็ไหว จริงไหม เหมือนตอนนี้ถ้าใจท่านไม่อยากฟัง  ถูกไหม เราพูดอะไรท่านก็ไม่เข้าหู ก็ใจมันไม่ชอบ ถ้าใจมันชอบจะเห็นมากกว่าเห็น และจะทำให้เรารู้ยิ่งกว่ารู้ ฉะนั้นอย่าดูถูกใจตัวเองและลดคุณค่าของใจตัวเองเพียงเพราะว่า ไม่เอา ไม่ชอบ เพราะในโลกของความเป็นจริง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องรับมือให้ได้ ถ้าเราศรัทธาเชื่อมั่นในใจของตัวเอง แม้สิ่งที่ร้ายที่สุดเราก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีความสุขและมีคุณค่าได้ด้วยใจของตัวเอง เพราะโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราไม่รังเกียจ เราไม่อคติอะไร อะไรเราก็รับไหวและอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราสู้ได้เมื่อวันที่เราท้อแท้ก็คือในดีมันมีดี และในแย่กว่ามันมีแย่ลงไปอีกจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นในโลกของความเป็นจริงบางครั้งเรารู้สึกว่าเราต้องเจอเรื่องผิดหวัง เราต้องเจอเรื่องแย่ เราต้องเจอเรื่องทุกข์ แต่บางทีถ้ายังไม่หมดลมหายใจ จำไว้นะวันนี้สิ่งที่ท่านทุกข์อาจจะไม่ใช่ทุกข์ที่สุด อาจจะมีทุกข์กว่า และก็ทุกข์กว่า จริงไหม ฉะนั้นอย่าเสียน้ำตากับทุกข์แรกเลยเพราะชีวิตยังมี (ทุกข์กว่า)  และยังมี (ทุกข์กว่า)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องดีใจ ก็จงอย่าดีใจ เพราะบางทียังมีสิ่งที่ (ดีใจกว่า)  และก็ (ดีใจกว่าอีก)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรยึดติดกับคนนี้ดีไหม คนนี้ทำฉันผิดหวัง อกหัก หลอกลวงฉัน ฉันอยากตายแล้ว คนที่คิดแบบนี้คือคนที่ลืมไปว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ (ทุกข์กว่าอีก)  และก็ (ทุกข์กว่าอีก)  ฉะนั้นเราอยากจะจมกับคนนี้ไหม เราอยากโง่กับคนนี้ไหม เราอยากแย่กับคนนี้ไหม อย่างนั้นเราอย่าลืมว่าในโลกนี้มีดีก็มีดีกว่า มีดีกว่าก็ยังมีดีกว่า ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องแย่ๆ ก็จงจำไว้ว่าอาจจะมีสิ่งที่ (ดีกว่า)  ในสิ่งที่ดีอาจจะมีสิ่งที่แย่กว่า และในสิ่งที่แย่ ถ้าเราเปิดใจให้กว้างไม่อคติ ไม่ยึดติด และไม่เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เปิดใจให้กว้างๆ ไว้ เราจะเห็นว่าในร้ายอาจจะมีดี ในดีอาจจะมีร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่เยียวยาใจและทำให้เราเตือนใจอยู่และไม่ทุกข์กับโลกใบนี้คือ ความจริงที่เป็นธรรมดาของโลก และความจริงที่เป็นธรรมดาของโลกก็สอนว่า มีดีก็มีดีกว่า มีแย่ก็มีแย่กว่า มีทุกข์แล้วก็อาจจะมี (ทุกข์กว่า)  ฉะนั้นเราควรจมอยู่กับสิ่งที่เราคิดเเละเห็น หรือเราควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วมองความจริง แล้วถึงเวลาเราเปิดใจกว้างหรือเห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น (เปิดใจให้กว้าง)
เวลามีความรักโลกนี้มีเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  โลกนี้เราจะตายเพราะเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ชีวิตเรามีเวลานี้เวลาเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงเวลาเรายังมีลมหายใจอยู่เรายังมีคนอื่นไหม (มี)  ธรรมะสอนให้รักเดียวใจเดียว แต่ถ้าเราอยากจะเยียวยาใจเราก็ต้องรู้จักเอาธรรมะมาสอนใจว่ามีดีก็มีไม่ดี มีแย่ก็มีแย่กว่า ฉะนั้นอย่าทุกข์ใจ อย่าร้องไห้ไปเลย ดีไหม เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่าความสงบ สุขหรือทุกข์ยังแกว่งไปด้านดีด้านร้าย แต่ธรรมะสอนให้เราพบความสงบอันแท้จริง ผู้ที่รู้จักพึงมีธรรมจึงสามารถรักษาความสงบท่ามกลางความวุ่นวายในโลกได้ และรู้จักประคองจิตเยียวยาใจของตัวเองให้เป็น สำคัญที่สุดในชีวิตสุขได้ก็ต้องทุกข์ได้ สุขและทุกข์มามากพอแล้วก็ต้องรู้จักวางให้ลงบ้าง ฉะนั้นนั่งแล้วก็ต้องยืนเป็นบ้าง นั่งมานานแล้วก็หัดยืนให้เป็น ดีไหม (ดี)  ยืนเป็นยืนเข้มแข็งจะนั่งก็ไม่กลัว ดีกว่าเอาแต่นั่งแล้วไม่คิดจะยืน ฉะนั้นนั่งได้ก็ยืนได้ สุขได้ก็ทุกข์ได้ เมื่อสุขได้ทุกข์ได้ก็ต้องปล่อยวางได้ ลองมาแล้วทั้งชีวิต สุขมาก็หลายครั้งแล้ว ทุกข์มาก็หลายครั้งแล้ว ตอนนี้จะเจออะไรก็ลองดูสักตั้งหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขอแค่เพียงใจ (สู้)  และยอมรับความจริง
ท่านเคยไหม สุขมาก็มาก ทุกข์มาก็มาก พอถึงเวลาไม่ว่าเขาจะร้ายมาอีกขนาดไหน ใจมันกลับชิน และก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ติดอะไรแล้ว เพราะเจ็บมาเยอะแล้ว ยิ้มมาเยอะแล้ว วันนี้ยิ้มกับเขาที่เขามีความสุขให้เรา แต่พรุ่งนี้จะทำให้ฉันทุกข์อีกไหมหนอ วันนี้เขาทำให้ฉันทุกข์ ในใจเราก็คิด พรุ่งนี้จะหายทุกข์ไหมหนอ ถ้าเรามองความจริง เราจะไม่ยิ้ม หรือไม่สุข ไม่ทุกข์  จะอยู่กับความสงบความเข้าใจ อะไรจะเกิด เราก็รับได้ เพราะเราเข้มแข็งพอใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ความจริง ก็อย่าลืมว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นแหละดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว อย่าไปเปรียบเทียบและยึดอนาคต เพราะชีวิตของเราวันนี้ ก็เป็นเพราะเมื่อวานโน้น เมื่อก่อนโน้นเราทำมา ใช่หรือไม่  อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำตัวเช่นไร  อะไรเกิดจงเรียนรู้ไว้ว่าดีแล้ว เพราะไม่แน่สิ่งที่เราบอกว่าไม่ดี อีกสิบวัน ยี่สิบวัน อาจจะดี จริงไหม (จริง)  เราอยากหาคนที่ดีที่สุด รักเราที่สุด เข้าใจเราที่สุด แต่ถึงเวลาใครดีที่สุด (เรา)  เข้าข้างตัวเอง  ตัวเราก็ยังไม่ดี ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด ชีวิตที่งดงามที่สุด แต่เราถามท่านลึกๆ  นั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตใครสมบูรณ์แบบที่สุด
มีใครดีที่สุด (ไม่มี)  มีใครแย่ที่สุด (ไม่มี)  มีใครน่าเกลียดที่สุด (ไม่มี)  มีใครจนที่สุด (ไม่มี)  คนจนกว่าเราก็มี ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแม้วันนี้เราจะไม่ถูกลอตเตอรี่ ถูกหวยกิน เราจะเศร้าไหม เราคิดว่าเราถูกหวยถูกลอตเตอรี่เราเป็นคนได้ นึกว่าจะได้ แต่จริงๆเราได้หรือว่าเราเสีย เสียมากกว่าได้ใช่ไหม  ถูกสามตัว เสียไปไม่รู้กี่ตัว ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น ในชีวิตที่เราพูดว่าเราเสียเปรียบคนอื่น คนอื่นทำร้ายเราคนอื่นเอาเปรียบเรา แท้จริงแล้วใครเอาเปรียบ ใครคือคนที่ดีที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ความเป็นจริงจะสอนให้เรารู้ว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมจะพร่องที่สุด จริงไหม เหมือนสามีที่เราได้มาเราว่าหาดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ภรรยาคิดว่าดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ถ้าเราอยู่ในโลกความเป็นจริง สมบูรณ์มากเท่าไหร่ก็บกพร่องมากเท่านั้น ดูบกพร่องมากเท่าไหร่แต่จริงๆ แล้วก็สมบูรณ์ที่สุดในใจเราแล้ว และในโลกของความเป็นจริงแล้ว
1. อย่าอคติ
2. จงกล้าที่จะรับความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
3. เพราะโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วทุกข์น้อยลง
อย่างนั้นเราถามคำถามข้อหนึ่งว่า เราอยู่ในโลกเราแสวงหาทรัพย์ เราแสวงหาเกียรติยศ เราแสวงหาเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งทรัพย์ เกียรติยศ เงินทอง หามาแล้วมักจะได้อะไรกลับมาเสมอ หามาแล้วก็มักจะโดนคนเอาไป หามาแล้วมักจะทำให้เราอยู่ไม่ค่อยเป็นสุข จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราถามหน่อยว่ามีทรัพย์อะไรในโลกที่หาแล้วไม่หายไปจากใจ แม้หาได้เพียงนิดหน่อยก็ยังอยู่กับเรา ไม่หนีหายไปไหนใครก็แย่งชิงทรัพย์นั้นไปไม่ได้ แล้วยิ่งมีก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวใจด้วย คิดนะ เพราะเวลาที่เราอยู่ในโลกหาความสุข แต่ลึกๆ เราก็กลัวความสุขนั้นกลายเป็นความทุกข์ ใช่หรือไม่ หาความสำเร็จลึกๆ เราก็กลัวจะกลายเป็นความล้มเหลว หาความเข้มแข็งแต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าใจเราอ่อนแอ สิ่งที่หามาทุกอย่างล้วนทำให้เราไม่เคยมั่นคงได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเราจะหา หาอะไรดีหนอที่ทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหวไม่โดดเดี่ยว ยิ่งหายิ่งมีความสุข
สิ่งนั้นคืออะไร ความดีใช่ไหม กุศลผลบุญใช่ไหม ธรรมะอย่างเดียวใช่ไหม ถ้าใจเรามีธรรมะแล้วก็จะดีใช่ไหม เคยไหมหาความรักแต่ลึกๆ ก็ยังโดดเดี่ยว หาความสำเร็จแต่ลึกๆ ก็ยังกลัวล้มเหลว หาความสุขลึกๆ ก็ยังพบกับทุกข์ เราพยายามหาทุกอย่างเพื่อเติมเต็มให้ใจเราดี ใจเรามีความสุข ให้ชีวิตเรามั่นคง แต่ทำไมทุกสิ่งที่เราหามันไม่เคยมีอะไรมั่นคง ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกสุขอย่างแท้จริง มันมักจะกลับกลายเป็นทุกข์ และมันมักจะกลับกลายเป็นความอ่อนแอจริงไหม อยู่กับลูกนึกว่าจะสบายใจ แต่ลูกก็ทำให้เราทุกข์ใจ อยู่กับเพื่อนดูเฮฮาปาร์ตี้ดี แต่ไม่รู้ถ้าเวลาเมาแล้วพูดไม่ดีไหม ไม่รู้วันไหนเขาจะตีหัวเราไหม ในโลกเราแสวงหาทุกอย่างเพื่อความสมบูรณ์ในชีวิต เพื่อความสุขในชีวิต แต่ทำไมยิ่งหาเรากลับยิ่งอ่อนแอ ยิ่งหาเรายิ่งกลัว ยิ่งหาเรากลับเหมือนยิ่งทุกข์ ยิ่งกังวล จริงไหม แต่มันมีสิ่งหนึ่งนะ ยิ่งหายิ่งร่มเย็น ยิ่งหายิ่งอิ่มใจอุ่นใจแม้อยู่คนเดียวก็สุขได้ และยิ่งหาใครก็เอาไปไม่ได้ ไม่ต้องกลัวใครจะมาแย่งชิง ไม่ต้องกลัวใครจะมาวิ่งราวไป ทรัพย์ทางโลกยิ่ง หายิ่งมีภัย แต่สิ่งนี้ยิ่งหายิ่งปลอดภัยทรัพย์นั้นคืออะไรล่ะ (ธรรมทานแห่งบุญ, การปล่อยวาง)  ตอบว่าการปล่อยวางใช่ไหม เกือบจะใช่นะแต่ยังไม่ใช่ เขาบอกว่าเราหาทรัพย์ในโลกเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหม มีทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่สามารถบำรุงเลี้ยงทั้งชาตินี้และชาติไหน และสามารถนำพาให้เราไปปรโลกก็ไม่กลัวตาย
คำตอบคือ “อริยทรัพย์[1]” เป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่เอาไว้ครองใจเยียวยาใจและดูแลใจไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน และเป็นเสบียงที่ดีที่สุดแม้เราตายไป เราก็ไม่กลัวปรโลก ไม่กลัวตกนรกเพราะเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม นอกจากธรรมทำให้เราเข้าถึงความเป็นจริง ท่านรู้ไหมว่าธรรมยังสามารถทำให้เราพ้นการเวียนว่ายในโลกได้และธรรมทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่เราไม่เคยทำเพราะเราดูถูกตัวเองว่าเราทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ และอริยทรัพย์ที่เราสามารถพกไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งทำแล้วยิ่งมีความสุข เริ่มต้นด้วยการมีเจ็ดอย่าง อันแรกคือศรัทธา(๑) ถ้าไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ศรัทธาในการประพฤติตนให้ดีงาม ไม่ศรัทธาในบุญกรรม ไม่เชื่อในกรรม ไม่เชื่อในบุญ ท่านก็ทำดีไม่ได้ จริงไหม ฉะนั้นอย่างแรกคือศรัทธา อย่างที่สองคือศีล(๒) อย่างที่สามคือ คนที่ไปอยู่ปรโลกก็ไม่กลัว คนที่ตายก็ไม่กลัว นั่นก็คือคนที่มีหิริ(๓)โอตัปปะ(๔) ความละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักสะดุ้งกลัวในบาป เพราะบาปให้ผลเป็นกรรมชั่ว และการทำบาปก็เป็นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ หนีไม่พ้นบาป หนีไม่พ้นทุกข์ และเมื่อบาปมาให้ผลแล้ว หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน เราก็ไม่มีวันหนีบาปที่เราสร้างได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะแล้วยังมีอีกคือการฟังรู้ไหมการมานั่งฟัง(๕) แบบนี้ ก็ให้อริยทรัพย์ที่ประเสริฐ เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริงแห่งธรรม ถ้ามีติดตัวไปแล้ว จะมีติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  ถ้าเมื่อเราเจอทุกข์ เราก็แก้ปัญหาทุกข์ได้ นั่นคือจิตที่ใฝ่รู้  เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริง  ฉะนั้นวันนี้มาฟังก็ได้อริยทรัพย์อย่างหนึ่ง เพิ่มความรู้ กับเพิ่มปัญญา(๗) ถ้าได้แล้วเรารู้จักให้(๖) ก็เป็นอริยทรัพย์ อีกอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป็นทรัพย์ที่ปฏิบัติแล้วไม่โดดเดี่ยว ปฏิบัติแล้วไม่เคยรู้สึกว่าไม่ว่างเปล่าในชีวิต เป็นทรัพย์เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถนำพาซึ่งความสุข แม้ทำดีเพียงนิดเดียว ใครก็เอาไปไม่ได้จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำดีหรือทำชั่ว ดีมากกว่า หรือชั่วมากกว่า (ดีมากกว่า) แค่ให้ทำดีละชั่ว ให้ละชั่วก็เรียกว่าทำดี แล้วมีหลายคนที่ทำดี แต่ไม่เคยละชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชั่วแค่ไหนก็พยายามทำดีกลับแค่นั้นใช่ไหม
อย่ามองธรรมะเป็นเรื่องไกลตัว สิ่งที่เราพูดกับท่านในวันนี้เป็นเรื่องธรรมะเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต  เพราะถ้าเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต เรื่องบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ให้มีความสุข อะไรก็ดี ถ้าบอกว่าอันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ นั่นแหละชีวิตวุ่นวาย ฉะนั้นอะไรเกิดก็ดี สิ่งที่เยียวยาจิตก็คือ อย่าอคติ อะไรเกิดมันก็ดีที่สุดแล้ว และเปิดใจให้กว้าง เพราะสิ่งในโลกนี้สมบูรณ์ที่สุด มันพร้อมจะพร่องที่สุด  ถ้าจำในสิ่งที่เราพูดได้ ท่านก็จะอยู่ในโลกนี้ไม่มีทุกข์หรอก จะสงบใจเป็นและเรียนรู้ที่จะรับมือกับเรื่องราวในโลกนี้อย่างเข้าใจ จริงไหม (จริง)  เราถามท่าน จริงๆ  แล้วเราอยู่ในโลก เราต้องการคนที่ดีที่สุด หรือเราต้องการคนที่เข้าใจเรามากที่สุด (เข้าใจ)  ต้องการคนที่อยู่กับเราได้แม้ในวันที่เราไม่มีอะไร เราต้องการคนที่รับเราได้แม้เราจะผิดขนาดไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะเข้าใจเรา เราต้องการคนที่เห็นใจและเข้าใจเรา แม้เราจะผิดพลาดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ชีวิต จริงๆ  แล้วไม่ใช่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดหรอก แต่ต้องการคนที่เข้าใจ และอยู่กับเราได้ในวันที่เราไม่มีอะไร หรือไม่เหลืออะไร ก็อยู่กับเราได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราอยากได้คนที่ดีที่สุดคือคนที่เข้าใจที่สุดล่ะ  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ต่อไปใครจะน่าเกลียดที่สุด ไม่มี เพราะคนที่น่าเกลียด เดี๋ยวมีคนที่น่าเกลียดกว่า อย่าเพิ่งไปเกลียดเขาเลยดีไหม ฉะนั้นคนที่น่ารัก บางทีก็อย่าเพิ่งไปหลงรักเลย บางทีเขาอาจจะมีสิ่งที่น่าเกลียดอยู่ก็ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมจึงคอยเยียวยา และคอยกระตุ้นเตือนใจให้เราไม่ก้าวผิดพลาด และมองเห็นความเป็นจริง ในสิ่งที่เราควรเห็นให้มากกว่าที่เห็น หรือเห็นจนกลายเป็นธรรมดาของโลก เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเรา ใจมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นสิ่งที่ละเอียด และใจก็มักที่จะชอบฝักใฝ่ที่จะไปอยู่กับอารมณ์ที่เราใคร่ปรารถนา ใช่หรือไม่ ฉะนั้นผู้มีปัญญา จึงพยายามฝึกจิตใจ เพราะจิตใจที่ฝึกดีแล้วย่อมนำมาซึ่งความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์เข้าใจธรรม ก็จะฝึกใจ ฝึกใจด้วยการทำอย่างไรล่ะ ใจเรามันชอบฝักใฝ่แต่อารมณ์โน้น อารมณ์นี้ เดี๋ยววิ่งไปเอาอันโน้น อารมณ์นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต่อไปนี้เราไม่รับอารมณ์อะไรแล้ว เมื่อไหร่ที่เราสามารถฝึกใจให้รู้เห็นใจได้ทุกขณะจิต และไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเป็นตัวจิตของเรา เมื่อนั้นแหละเราก็พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทันใจตัวเอง เห็นแล้วไม่เกลียด เห็นแล้วไม่รัก เห็นแล้วเข้าใจ นั่นคือธรรม เกลียดเป็นอารมณ์ใช่ไหม รักเป็นอารมณ์ใช่ไหม และอารมณ์ให้ผลเป็นบาปและทุกข์ใช่ไหม แต่ต่อไปเห็นอะไรแล้วไม่เกลียด เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ เมื่อนั้นใจเราก็เป็นธรรมไม่มีกิเลส เมื่อนั้นเราเป็นธรรมเราก็พ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าทุกขณะที่ท่านเห็นแต่ไม่ยึดติดเป็นอารมณ์ เห็นแต่เข้าใจและมองจนสุดถึงความเป็นจริง ท่านจะพ้นทุกข์และไม่ถูกกรรมใดๆ ผูกมัดต่อไป ลองดูนะ เห็นแล้วไม่ชอบ เห็นแล้วไม่รัก เห็นแค่เห็น เมื่อนั้นเราก็พ้นกิเลส พ้นกรรม จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราศรัทธาในใจตัวเอง ใจที่ถูกต้อง และใจที่มีธรรม ศรัทธานั้นจะทำให้เราค้นพบอริยทรัพย์ที่อยู่ในตน เพราะถึงที่สุดของการเป็นคนคือความเป็นพุทธะ ถึงที่สุดของการแสวงหาคือธรรมที่ทำให้เราพ้นทุกข์ และถึงที่สุดของการมีชีวิตคือสามารถควบคุมชีวิตจนเป็นอิสระไม่มีกิเลสอีกต่อไป จริงไหม ลองพิจารณาสิ่งที่เราพูดนะ และลองตั้งสติตั้งใจให้ดี เพราะว่าวันนี้ท่านไม่ได้มาเอาสนุก แต่ท่านมาเอาความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกที่ถ้าเข้าใจ จะพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ คนทุกคนอย่ามีชีวิตแบบประมาท เพราะเมื่อไรประมาทเราก็ทุกข์จนตาย จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและอย่ายึดติดกับอดีต เพราะคนที่เอาแต่อดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่มีชีวิตคือคนที่อยู่กับปัจจุบัน และชีวิตคือความจริง ชีวิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่ชีวิต แต่ชีวิตคือความจริง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะ ลองศึกษาให้ดีๆ วันนี้อย่ามาล้อเล่นกับตัวเอง อย่ามาดูถูกคุณค่าธรรมในตัวเอง ถ้าท่านศรัทธาและเชื่อในใจตัวเอง เราก็พร้อมจะบอกว่าใจของท่านคือคนที่สามารถเป็นพุทธะเดินดินได้ ใจของท่านคือคนที่สามารถมีทรัพย์ที่ประเสริฐได้ และใจของท่านสามารถที่จะทำสิ่งใดๆ ก็ตามในโลกได้ขอแค่เพียงเชื่อมั่นในตัวเอง โลกใบใหญ่เรายังรู้ได้ด้วยใจเรา แล้วชีวิตแค่หนึ่งชีวิตเรานำพาให้พ้นทุกข์ไม่ได้หรือมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าดูถูกคุณค่าและความสามารถพุทธะในตนเอง



[1] อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ
                                (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ และ (๗)ปัญญา




วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒  สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


  ต่างสามัคคีเพราะต่างคนละอคติ      สามัคคีไม่ลืมตัวไม่แบ่งขั้ว
เวลาพิสูจน์เจ้าเองการทำตัว            หอบกระโตงกระเตงชีวิตชั่วดีตามกรรม
ผู้รู้ต้องธรรมกถาด้วยจริยา             ธรรมอยู่เหนือเวลาไม่สูงต่ำ
ทำผิดเองรับผลเองประจำ              การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า   น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

     สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง
    เจ้าเห็นธรรมเห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง
    ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง
    ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง
    อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง
                                                            ฮา ฮา  หยุด

สมบัติแห่งอริยะ  จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน  โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่ง ไปมา เรื่องที่จะไข เป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญา เป็นความตื่นในตัวเอง  ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิต กระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เอง อยู่เหนือเวลา
*สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าเห็นธรรม เห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง เออ ดูเอา เถอะ นะ เจ้ามาปลูกฟัก ทำไม ได้แฟง       (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง:  อริยทรัพย์ในตน
ทำนองเพลง: ตังเก


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


สองวันนี้ใครตั้งใจทำดีเต็มที่ เจก็ไม่แตก บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ไม่กิน และไม่แอบเล่นหวยสองตัว ผู้ชายไม่ยกแปลว่าแตกเจหมดเลยใช่หรือเปล่า ที่ยกมือแปลว่าแตกเจหมดเลยหรือไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นง่ายๆ นะ อาจารย์ดูหน้าผมก่อนเถอะ ดียังไม่รอด อย่าพูดว่าจะบำเพ็ญไหวหรือเปล่า อย่างนี้หรือจะบำเพ็ญยังอีกไกล ใช่หรือเปล่า อาจารย์เคยแต่ได้ยินว่าเกิดเป็นคนต้องยกตัวเองให้สูง อย่ากดตัวเองให้ต่ำ ดึงตัวเองให้ดีอย่าลากตัวเองให้ชั่วร้าย นี่แหละเรียกว่าคนประเสริฐ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีเป็นมนุษย์ที่ใครๆ ก็เรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ เราควรจะดึงตัวเองให้โง่ดักดานหรือว่าดึงตัวเองให้สูงยิ่งขึ้น
ฝ่ายหญิงอาจารย์ไม่ค่อยห่วง เสียอย่างเดียวคือปาก ฝ่ายชายเสียหลายอย่าง และหลายอย่างที่เสียก็มักจะพลาดเพราะอบายมุข และเสียก็เพราะผู้หญิง ฉะนั้น ถ้าถามว่าถ้ามีโอกาส ที่เราได้เกิดเป็นคนทำไมไม่ดึงตัวเองให้สูง ทำไมต้องดึงตัวเองให้ต่ำ  หน้าตาอย่างเราดีไม่ขึ้นหรือ ดีขึ้นไหม (ขึ้น)  อาจารย์ขอดูหน้าหน่อยนะ หน้าที่บอกว่าไม่รอด อย่าก้มหน้า  กล้าทำก็ต้องกล้ารับ แต่อาจารย์มองหน้าแต่ละคน ก็ดีๆ  ทั้งนั้นนะ ถึงเวลาเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องไหม
วันนี้ให้มาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แตกแถวไหม สวรรค์ในอกนรกในใจ  ผู้หญิงชอบเสียเรื่องปาก  ผู้หญิงจะดีจะร้าย ไม่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าปากพูดไม่หยุดก็ดูไม่ได้นะ  คนโบราณพูดว่า คนที่พูดเรื่องชั่วๆ  พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่น คนนี้เกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก ชอบถากถาง ชอบฟันคนให้เจ็บปวด หรือบางทีคนพวกนี้เกิดมามีมีดในปาก ชอบทิ่มแทง บุคคลใดที่ควรสรรเสริญแต่เราตำหนิ แต่บุคคลใดที่ควรตำหนิ เรากลับสรรเสริญ คนเหล่านี้เรียกว่า มีปากเอาไว้อมความชั่ว ฉะนั้นเราเป็นประเภทนี้ไหมศิษย์ ไม่เคยนินทาใครเลย ไม่เคยด่าใครเลย  อาจารย์ชักหนาวๆ  ร้อนๆ  แล้ว ที่เงียบแสดงว่ามีขวาน ทุกคนเลย ที่ไม่พูดแสดงว่ามีมีดทุกคนเลยใช่ไหม  ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่ตอบให้ชื่นใจหน่อย  เคยนินทาไหม (เคย)  แสดงว่าในปากมีขวานทุกคนเลยใช่ไหม อย่าให้ปากเราเสีย อย่าให้ปากพาจน เพราะโรคภัยไข้เจ็บไม่น่ากลัวเท่าปากเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะภัยร้ายขนาดไหนไม่เท่ากับปากเราพาจน ผู้ชายก็เหมือนกันอย่าไปว่าเขาเลย เห็นอย่างนี้ไม่พูด ถ้าพูดแล้ว โอย ออกมาได้อย่างไรเจ็บนะ วันนี้อาจารย์ขอมาพูดเรื่องง่ายๆ ดีไหม ในตัวมนุษย์เรามีสิ่งที่ดีงาม แต่ก็มีอีกสิ่งที่เรียกว่าผลาญความงามในตัวเรา เคยได้ยินไหม นักเรียนชั้นนี้ คิดว่าเราดีไหม (ดี)  แต่เวลาจะชั่วก็ชั่ว
อาจารย์ถามหน่อย ดีก็มี ชั่วก็มี แล้วแบบนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์ แต่ถ้าดีก็มี ชั่วก็เก็บไว้ อาจารย์เรียกว่าชั่ว ไม่เรียกว่าดีนะ หรือที่เรียกว่าก้ำกึ่งๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันเรื่องนี้ มนุษย์เราทุกคนก็อยากเป็นคนดี แต่สาเหตุหนึ่งที่เราดีไม่ขึ้นเพราะว่าเรามีตัวผลาญความดี มีตัวทำลายความดีอยู่ในตัวเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหรือสาเหตุมาจากไหน แล้ววันนี้เรามารู้จักตัวที่ผลาญความดีในใจของเรา เรามารู้จักตัวที่ทำร้ายความดีในตัวเราดีไหม ถ้ากำจัดตัวร้ายได้เราก็คือคนดี ไม่ต้องทำอะไรก็ดีแล้วจริงไหม เหมือนเกิดเป็นคน เราอยู่ในโลก ถ้าเราไม่ทำอะไรใครก็มองเราดี แต่ถ้าเมื่อไรที่เราอ้าปากพูดอะไรผิด ความดีก็ค่อยๆ ลดไปเลยใช่ไหม ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงขอแค่เพียงละชั่วได้นั่นก็ดีแล้ว แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ ดีแค่ไหนก็ชั่วแค่นั้น ก็เลยไม่เรียกว่า (ดี)  ใช่ไหม ดีขนาดไหนแต่ถ้าชั่วไม่ละนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า (ดี)  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนั้นไหม
การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน อยู่ในโลกนี้พูดน้อยๆ หน่อยก็ผิดน้อยหน่อย บาปก็น้อย ปัญหาก็น้อย เพราะโดยส่วนใหญ่ปัญหาของมนุษย์เราก็มาจากการที่เรามอง การที่เราฟัง การที่เราพูด โดยที่ไม่ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดี ใช่หรือเปล่า
ต้อนรับอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาอะไรต้อนรับดี (เอาใจ)  เอาใจหรือ อาจารย์ว่าแค่เอาสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดจะดีกว่านะ ใช่ไหม  ขอเพียงมีสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดนั้นก็เป็นการที่ต้อนรับอาจารย์มากแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นตอนนี้อาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงตามนี้ใช่ไหม (ใช่)  พูดอะไรไม่คิดเดี๋ยวต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดนะ ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ให้โอกาสแล้ว ฉะนั้นถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (นั่ง)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงเอาอย่างไร (นั่ง)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกนี้ถ้ามีคนเอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่สนใจคนอื่นจะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เห็นแก่ตัวเองเป็นหลักไม่สนใจคนอื่นจะรอดไหม (ไม่รอด)  แปลว่าถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ศิษย์เอยไปไหนอยากให้เขารัก อยากให้เขาเป็นห่วง อยากให้เขาดูแล ถ้าเขายืนศิษย์ก็ยืน ถ้าเขานั่งศิษย์ก็ยืน ถามจริงๆ จะไม่มีคนเป็นห่วงและรักศิษย์หรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปไหนก็เป็นคนที่รักของคนอื่น ใครๆ ก็อยากให้อยู่ด้วย เพราะว่าเป็นคนที่รู้จักลำบากก่อนคนอื่นสบายไม่เป็นไร แต่ศิษย์สบายก่อนคนอื่น ลำบากก็ไม่สนใจใคร แบบนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รอด จริงไหม (จริง)  ถ้าเริ่มต้นไม่ถูกก็ผิดไปตลอดจริงไหม (จริง)  ทำอะไรอย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง เพราะถ้ามัวแต่ห่วงตัวเองศิษย์จะไม่มีใครรัก โลกนี้คนเห็นแก่ตัวเยอะแล้ว เราอยากได้คนที่รู้จักเผื่อแผ่ รู้จักคิดถึงหัวอกคนอื่น รู้จักเสียสละให้คนอื่น ศิษย์ไม่อยากได้คนแบบนี้หรือ อยากได้ไหม (อยาก)  ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจศิษย์นั้นก็คือการการคิดเอาแต่ได้เอาแต่ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเช่นนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันทำดีขึ้น จริงไหม (จริง)  คิดถึงแต่ตัวเอง คนอื่นช่างหัวมัน ตัวเองสบาย คนอื่นช่างหัวมันใช่ไหม (ใช่)  คนแบบนี้ถ้ามีอยู่ในใจนะ เป็นเรื่องที่ทำดีไม่ขึ้น ล้างผลาญความดีในใจหมด เหมือนถามว่าอยู่ในโลกนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยให้เขา ศิษย์เป็นประเภทเอาก่อนหรือให้ก่อน (ให้ก่อน)  จริงหรือ (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่จะล้างผลาญความดีคือคนที่คิดเอาแต่ได้แล้วไม่รู้จักให้ แต่คนในโลกเอาก่อนแล้วค่อยให้จริงไหม (จริง)  ศิษย์ไปตบหัวเขา ไปทำเขามาแล้ว แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญอย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นเมื่อไหร่คิดเอาก่อนให้ คนนั้นไม่มีวันดีขึ้นได้จริงไหม (จริง)  เราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่เป็นใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนมาเป็นใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามง่ายๆ อาจารย์ตบหัวคนกลุ่มนี้ แล้วอาจารย์ค่อยไปทำดีกับกลุ่มนี้ล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์บอกว่า อาจารย์ไม่ได้หรอก โลกใบนี้ต้องหาให้เต็มที่ก่อน ไปเอามาให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยทำบุญใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือ มนุษย์มีความดีแต่ก็มีสิ่งที่น่ากลัว คือสิ่งที่คอยล้างผลาญความดีของเรา อย่างแรกก็คือเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม เอาตัวเองเป็นหลัก ผู้อื่นเป็นรอง คนที่คิดแบบนี้อยู่ที่ไหนก็จะทำความดีไม่ขึ้น อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าสมมติมีโอกาสได้ขนมหนึ่งถุง แต่มีคนสองคน เอาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา (เอาก่อน, ให้ก่อน) ให้ก่อนแล้วก็บอกว่าแกแบ่งฉันบ้างสิอย่างนั้นเหรอ แปลว่าให้แล้วหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะให้ต้องไม่หวังผล จะได้ไม่ล้างผลาญความดีถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ แต่เราเอาน้อยหน่อย ดีกว่าไหม (ดี)
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีอีกอันหนึ่งที่มีอยู่ในใจมนุษย์ก็คือไม่ชอบเสีย ชอบได้ ไม่ชอบยอม  ฝ่ายชาย ยอมไหม (ยอม)  แล้วถ้าโดนเขาเตะมา ยอมไหม บางครั้งอยากอยู่ในโลกให้เป็นที่รักและใครๆ ก็คิดถึงนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดไปเป็นตัวผลาญความดีในตัวเราจริงไหม ไม่ค่อยยอมให้ก่อนชอบได้ก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ใจที่ไม่รู้จักยอม เป็นใจที่ทำให้เราดีขึ้นยาก ใจที่คิดถึงตัวเองมากๆ มากกว่าการคิดถึงคนอื่นก็ทำให้ตัวเองดีขึ้นยาก และอีกอย่างคือใจที่คิดร้ายมากว่าคิดดี  เวลาเจอใครเรามักคิดดีมากกว่าหรือคิดร้ายมากกว่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสองท่านออกมาหน้าชั้นเรียน) เวลาเจอคนแบบนี้ศิษย์คิดดีหรือศิษย์คิดร้าย ขนาดศิษย์เองยังหัวเราะเลย อาจารย์ถามจริงๆ เวลามีคนมาทำดีกับศิษย์แล้วหน้าตาเขาแบบนี้ ยืนแบบจิ๊กโก๋ๆ หน่อยศิษย์ เราคิดดีขึ้นไหม คิดดีหรือคิดร้าย ในความเป็นจริงศิษย์เอยยอมรับที่เราทำดีไม่ขึ้นเพราะเวลาเรามองใครส่วนใหญ่เรามองลบมากกว่ามองบวก เรามองร้ายมากกว่ามองดี แล้วจริงๆ เราลบหรือเราบวก พยายามบวกอยู่ ใช่หรือไม่ ทั้งที่จริงๆ ลบมาตลอด ใช่ไหมศิษย์ ถ้าอย่างนั้นลองทำหน้าให้ดูบวกหน่อย
อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นคนนี้ พระอาจารย์ถามศิษย์ พอเป็นคนนี้คิดดีหรือคิดร้าย (ดี)  หน้าตาดูน่าจะดีใช่ไหม พระอาจารย์เปรียบเทียบให้ดูว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของมนุษย์ก็คือ เวลามันเห็นชัดเจน บางทีเราก็อยากทำดีกับคนอื่น แต่บางทีหน้าตาดูไม่น่าจะดี ศิษย์เอ๋ยหน้าตาศิษย์จะน่ารักทันทีถ้าศิษย์ยิ้มเยอะๆ แต่คนนี้ไม่ยิ้มก็รู้สึกว่ารอดปลอดภัย ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินในชีวิตของเราก็คือ บางครั้งเราอยากเป็นคนดี เราอยากทำสิ่งที่ดี แต่ใจของเราคอยที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เพราะคนในโลกนี้ไม่หวังสิ่งนี้ก็หวังสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ ถึงเราอยากจะทำดีแค่ไหนแต่หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาเรามองอะไรเรามักจะชอบมองลบมากกว่ามองบวก มองในแง่ร้ายมากกว่าในแง่ดี
ตัวที่ล้างผลาญความดีทำให้คนเราไม่สามารถดีขึ้นได้ นั่นก็คือ เวลามีโอกาสจะทำดีเราไม่ค่อยทำ เราชอบผิดศีลขาดธรรม ฉะนั้นคนที่ดีไม่ขึ้นก็คือคนที่ไม่เคยมีศีลมีธรรม ทำอะไรไม่เคยคำนึงถึงศีลธรรม ฉะนั้นถ้ามีชีวิตอยู่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงศีลธรรม โอกาสที่จะดีขึ้นดียากไหม (ยาก)  ยกตัวอย่าง วันนี้เขาชวนมาฟังธรรมะ แต่เราว่าไปดื่มเหล้าสักเป๊กสองเป๊กดีไหม แล้วค่อยไปฟังธรรมะ พอเหล้าเข้าปาก เป๊กเดียวไม่พอจริงไหม สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้คือ หนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งศีลธรรม  สอง ทำอะไรชอบเอาแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ค่อยมีสติ เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอย กลุ่มโน้นแอบนินทาศิษย์ ว่าไม่ได้เรื่อง แก่ก็แก่ เหี่ยวก็เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไม่โกรธหรือ โกรธไม่ไหวเพราะหน้าตาดุ  อีกสิ่งหนึ่งคือ เราชอบทำอะไรขาดสติ เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เขาด่ามา ด่าตอบ อย่างนี้แหละดีไม่ขึ้น เขาเตะมา เตะไป นั่นแหละดีไม่ขึ้น และอีกอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัด สรุปสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้เป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ไม่สามารถครองในศีลในธรรมได้
ข้อสอง ไม่สามารถมีสติในการดำรงชีวิตได้ ถืออารมณ์เป็นใหญ่
ข้อสาม มองไม่เห็นความเป็นจริงของโลก จึงถูกภาวะของโลกลวงหลอกและทำความดีไม่ขึ้น
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดี ภายนอกและภายในอยู่ที่ตัวศิษย์เอง ธรรมะจึงสอนไว้ว่า จงฉลาดในการใช้จิตของตัวเองให้เป็น จงฉลาดในการดำเนินชีวิต แล้วรู้จักควบคุมจิตของตัวเองให้ได้ เพราะโลกนี้ แม้จะจริงสักแค่ไหน ถ้าเราเห็นได้ชัด เข้าใจได้ถูกต้อง มันก็ลวงหลอกเราไม่ได้  ส่วนใหญ่คนทำอะไรจะใช้อารมณ์และขาดสติ ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ สติเตลิดปัญญาก็ไม่มี
ฉะนั้นสติจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง และไม่เอาอะไรเข้าข้างตัวเอง เมื่อพูดถึงสิ่งที่ล้างผลาญความดีแล้ว อาจารย์ถามหน่อยว่า เกิดเป็นคนเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วเราดีจนสุดลมหายใจได้ไหม (ได้)  เราดีจนถึงที่สุดได้ไหม   แต่ศิษย์หลายคนบอก อาจารย์แต่ดีแล้วมันเหนื่อยบางครั้งดีแล้วมันท้อนะ ถ้าทำดีแล้วเหนื่อยแปลว่ายังยึดติด ถ้าทำดีแล้วท้อแปลว่ายังคาดหวัง แต่ถ้าทำดีที่แท้จริงจะไม่เหนื่อยจะไม่ท้อ เพราะว่าการทำดีทำเพื่ออะไรรู้ไหม เราทำดีเพื่อขอสองตัวใช่ไหม เราทำดีเพื่อขอพรให้ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราทำดีเพื่ออะไรหรือ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี หลายคนบอกว่าดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้อาจารย์ วันนี้ดีพรุ่งนี้ไม่ดีก็ได้ใช่ไหม ศิษย์คิดออกไหมว่าทำไมต้องทำดี ตอบไม่ได้เลยหรือ (ทำให้มีความสุข)  เพราะทำดีทำให้มีความสุข ทำชั่วทำให้เราทุกข์ใจ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์แปลว่าเราทำชั่วมาใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตสุขมากกว่าทุกข์ไหม หรือทุกข์มากกว่าสุข (ทุกข์มากกว่า)  อย่างนั้นแปลว่าศิษย์แอบทำชั่วมากกว่าทำดี ถูกไหม
อาจารย์จะบอกให้ว่าเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดี เพราะเราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตเราคิดชั่ว เราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตไหลลงต่ำ เราทำดีเพื่อควบคุมจิตเราไม่ให้เลวร้าย ฉะนั้นที่เราทำดีไม่ใช่ต้องการผล แต่ที่เราทำดีเพราะป้องกันตัว ใครทำดีแล้วหวังผลความดีนั้นไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  เพราะเหตุผลของการทำดีคือป้องกันจิตให้ไม่ไหลลงต่ำ ไม่ให้ผลาญความดี เหมือนทำไมเราเลือกที่จะทำดีไม่ทำชั่ว เพราะว่าถ้าทำชั่วแล้วผลก็คือความทุกข์ แต่ทำดีผลคือความสุขความร่มเย็น แล้วเราเลือกทำดีหรือทำชั่ว (ทำดี)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์จะบอกว่า  ก็อยากทำความดี แต่ดีบ้างชั่วบ้างไม่เป็นไร อาจารย์จะบอกศิษย์นะ ศิษย์เอยถ้าผิดไปแล้วจึงค่อยมาทำดีลบล้างมันสายไป ถ้าทุกข์แล้วจึงค่อยมาฝึกจิตมันช้าไป ฉะนั้นฝึกทำตัวเองดีๆ ไว้ดีไหม (ดี)  แล้วจะทำดีอย่างไรง่ายๆ กับพ่อแม่เราต้องรู้จัก (กตัญญู)  กับหน้าที่เราต้องรู้จัก (รับผิดชอบ)  รับผิดชอบแล้วก็ซื่อตรงด้วย
เอาเปรียบคนอื่นแล้วเอาตำแหน่งใหญ่ๆ เอาเงินเยอะๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ กับเพื่อนฝูงเราต้อง (จริงใจ)  จริงใจ มีน้ำใจ เคารพให้เกียรติ อย่างนี้แปลว่ารู้จักมีธรรม มีศีลแล้วยังมีธรรม สมมติค้าขายอย่างไรไม่ให้ผิดศีล มีชีวิตอย่างไรไม่ให้ผิดศีล คนเราโดยส่วนใหญ่ ตัวศิษย์เองโดยส่วนใหญ่สุขภาพแข็งแรงดีไหม (ไม่ดี)  เจ็บออดๆ แอดๆ ไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าการมีศีลป้องกันความชั่วอย่างเดียวไม่พอ การมีศีลยังป้องกันให้เราไม่ต้องเจอเคราะห์ร้ายด้วย เพราะคนที่ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนทางตา กาย วาจา ใจ จะเป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แต่คนที่ชอบเบียดเบียนคนอื่น ด่าเขาทางตา ปากก็ว่า ใจก็ตำหนิคิดร้าย คนอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการมีศีลก็คือการฝึกให้เรามีเมตตาจิต ไม่เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง แล้วเราเบียดเบียนไหม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใช่ไหม        ยืมมือคนอื่นฆ่าใช่ไหม ถูกหรือไม่ ฉะนั้นการที่เราประพฤติดีก็เพื่อป้องกันให้เราไม่ประพฤติชั่ว การบำเพ็ญธรรมมีสามระดับ ระดับแรกเรียกว่าระดับศีลคือละชั่ว ระดับที่สองคือระดับคุณธรรมเพื่อบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศีลสิบได้ครบ ศิษย์จะปัญญาดีไหมฝ่ายชาย เรียนหนังสือดีไหม สมองฉับไหวไหม ถ้าสูบบุหรี่เก่ง กินเหล้าเก่ง สมองจะไม่ดี จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดโกหกเก่ง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อถือ ใช่ไหม ถ้าชอบมีกิ๊ก ใครก็ไม่มีวันซื่อตรงกับเราเพราะตัวเราไม่เคยซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักเคารพให้เกียรติ ไปอยู่ที่ไหนครอบครัวก็ร่มเย็นจริงไหม (จริง)  ถ้าปฏิบัติศีลได้ดี มีหรือชีวิตจะไม่มีความสุข มีใครกล้ายกมือแล้วบอกอาจารย์ดังๆ ว่าศีลห้าเราถือครบ
การบำเพ็ญธรรม อาจารย์ขอแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ มีศีลป้องกันความชั่ว มีธรรมได้บำเพ็ญบุญ ธรรมระดับคุณธรรมจะช่วยให้เราได้สร้างบุญ อาจารย์ถามจริงๆ มีครอบครัวร่มเย็นไหม ไปอยู่ที่ไหนอยากสงบสุขไหม แต่ถ้าศิษย์มีแต่ศีล ศิษย์ไม่มีคุณธรรมความเป็นคนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ร่มเย็นจริงไหม ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์อยาก อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น อยู่กับใครก็มีสุข ไม่มีทุกข์ทางใจ ศิษย์ก็ต้องมีทั้งศีลและธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีศีลธรรมครองใจ มีศีลธรรมครองชีวิต อยู่ในโลกก็ไม่ค่อยน่ากลัวแล้วใช่ไหม บาปเราก็ไม่สร้างแล้ว อันแรกคือธรรมระดับศีล อันที่สองคือธรรมระดับคุณธรรม ธรรมระดับคุณธรรมช่วยสร้างบุญ นี่ล่ะละชั่วบำเพ็ญบุญ ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์เสมอว่าเป็นคนดีแล้วชั่วก็ไม่ทำแล้วแต่ทำไมเรายังหนีไม่พ้น (ทุกข์)
เพราะอันนี้ไม่ทำให้ศิษย์ไหลลงต่ำ ไม่ถูกความชั่วผลาญให้กลายเป็นคนดีไม่ขึ้น  คุณธรรมอะไรที่ช่วยสร้างบุญ ใครนึกออกบ้าง ปฏิบัติร่วมกันแล้วทำให้เกิดบุญ ใครตอบได้บ้าง (ซื่อสัตย์, สุจริต)  ตอบได้ดีปรบมือหน่อย  เอาขนมไปหนึ่งอัน  มีอะไรอีก (ซื่อสัตย์) ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีคุณธรรมอะไรนะ (จิตอาสา, ช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า, รู้จักแบ่งเวลาช่วยเหลือคน)  อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งที่พูดคำหนึ่ง แล้วสามารถรวมได้ทุกอย่างคุณธรรมอะไร รู้ไหม  กล้าพูด ก็ต้องกล้าทำ ลุกขึ้นมาตอบ (พ่อแม่ยังอยู่ดูแลพ่อแม่, เคารพให้เกียรติ)
(เมตตา)  ถามในใจลึกๆ จิตเมตตาที่รู้จักสงสารคนอื่นมีในใจเราไหม (มี)  หากเราแผ่ความเมตตานี้ให้กว้างๆ เราจะมีน้ำใจไหม เราจะด่าคนอื่นไหม เราจะเบียดเบียนคนอื่นไหม เราจะคดโกงคนอื่นไหม เราจะชิงชังคนอื่นไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ามีเมตตาหยั่งลึกลงในจิตใจ ความชั่วจะไม่เกิดเลยจริงไหม (จริง)  แล้วเรามีเมตตาไหม เมตตาแต่ตัวเองกับคนอื่นไม่เมตตาใช่ไหม (รู้จักปล่อยวาง)  รู้จักปล่อยวางหรือ ยังไม่ทันได้ทำก็ปล่อยแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ถ้ายังไม่ทำแล้วปล่อยเขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำให้ถูกต้องทำให้ดีที่สุดก่อน เมื่อทำจนถึงที่สุดดีที่สุดเราควรปล่อยวาง ผลจะเป็นอย่างไรต้องกล้ายอมรับ นี้ล่ะถึงจะเรียกว่าถูกต้อง
ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ นะ ศิษย์เอยการบำเพ็ญธรรมระดับคุณธรรมก็คือ
1. ต้องเมตตา
2. ต้องซื่อตรง
3. ต้องมีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม
เกิดเป็นคนถ้าขาดซึ่งมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม เราก็พร้อมที่จะทำชั่วได้ จริงไหม (จริง)  อาจารย์จะบอกอีกนะ ศิษย์บำเพ็ญถึงสองระดับนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้
ฉะนั้นระดับที่สามคือ บำเพ็ญระดับสัจธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมะ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อาจารย์ถามว่าในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ทุกคนล้วนมีทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่เกิดจน (ตาย)  สมมติอาจารย์มีแอปเปิ้ลผลหนึ่ง กินแล้วมีสุข กินแล้วมีบุญ กินแล้วโชคดี เอาไหม (เอา)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะแอปเปิ้ลของอาจารย์โชคดีแค่ไหนก็โชคร้ายแค่นั้น เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  มีบุญแค่ไหนก็อาจจะมีบาปแค่นั้น เอาไหม (เอา)
 แอปเปิ้ลอาจารย์กินแล้วมีบุญ เอาไหม แต่บุญมากเท่าไหร่ก็บาปมากเท่านั้น โชคดีขนาดไหนก็โชคร้ายขนาดนั้น กินแอปเปิ้ลอาจารย์แล้วถูกลอตเตอรี่ 3 ตัว แต่ที่เหลือถูกกินหมดทุกงวด แอปเปิ้ลของอาจารย์ได้แล้วสมหวัง แต่สมหวังขนาดไหนก็ต้องผิดหวังมาก เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามศิษย์หน่อย เราอยู่ในโลกมีอะไรเราก็ทุกข์ มีแฟนก็ทุกข์เพราะ (แฟน)  มีลูกก็ทุกข์เพราะ (ลูก)  มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน (เงิน)  มีเสื้อผ้าก็ทุกข์เพราะ (เสื้อผ้า)  มีเพื่อนก็ทุกข์เพราะ (เพื่อน)  แฟน เงิน เสื้อผ้า ลูก สามี ภรรยา เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แฟนของศิษย์ให้ศิษย์มีสุขขนาดไหนก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น เงินให้ศิษย์สุขขนาดไหน มันก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น ใช่ไม่ใช่ แอปเปิ้ลยังไม่เอาแล้วแฟนเอาไหม (เอา)  แล้วเงินเอาไหม (เอา)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้ว่ามีแล้วไม่รอด รู้ว่ามีแล้วมันเจ็บ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  แต่ถึงเวลาเราเห็นชัดขนาดนั้นไหม (ไม่เห็น)
(พระอาจารย์เมตตาเชิญนักเรียนรองหัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนตอนแรกได้แฟนมาใหม่ๆ อาจารย์ชอบได้ฟังบ่อยๆ บุญอะไรมาหนุนนำกันหนอ ฟ้าสร้างบุญให้เรามาเกิดคู่กัน ใช่ไหม แต่พอนานไป กรรมอะไรของฉัน ถูกไหม แล้วมันต่างอะไรกับแอปเปิ้ลอาจารย์ ตอนแรกกินแล้วบุญแต่ตอนนี้กรรม ถูกไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นความจริงในโลกจนแจ่มชัด ถ้าเราเห็นจนแจ่มชัดจะไม่ลวงให้เราหลง ไม่ลวงให้เราทุกข์ได้  ถ้าเรารู้ว่า มีความรัก สุขขนาดไหน ก็ทุกข์ขนาดนั้นจริงไหม  มีคนที่น่ารักดีกับเราขนาดไหน เขาก็ร้ายขนาดนั้น เอาไหม (เอา)  ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าอยากรู้ทุกข์และหนทางพ้นทุกข์ ต้องมองให้ชัดอย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกจิตตัวเอง มีอะไรบ้าง ที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างได้แล้วมีแต่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ฉะนั้นสิ่งที่เราครอบครอง ควรครอบครองให้น้อยที่สุดหรือครอบครองให้มากที่สุด  อยากให้มากที่สุดแล้วทุกข์มากที่สุด หรืออยากให้น้อยแล้วทุกข์น้อยลง  ในเมื่อเราเห็นชัดว่า มีอะไรก็ทุกข์ จะเอาอีกไหม  ถ้าอย่างนี้ ศิษย์จะทำอย่างไร เมื่ออยู่แล้วมันทุกข์  ตอนแรกมันก็สุขนะ และตอนนี้ถ้าทุกข์ละ  ศิษย์บอกอาจารย์มันทุกข์ไม่ไหวแล้ว ทำไมทำกับผมอย่างนี้ ทำไมหน้าซื่อใจคด ทำไมหน้าหวานแต่ใจขมเหลือเกิน รับไม่ได้แล้ว อาจารย์จะบอกให้ว่า ปัญหาบางอย่างที่ทำให้ศิษย์ทุกข์แล้วใจรับไม่ไหว ศิษย์เคยได้ยินไหม ขยายใจให้กว้าง กว้างจนปัญหามันเหลือนิดเดียว ที่รับไม่ไหวเพราะใจเราแคบ ใจเรายึดติด ใจเรามีกรอบ ทุกข์มาก็เจ็บง่าย แต่ถ้าต่อไปนี้ทุกข์มาเปิดใจให้กว้าง วางใจให้ใหญ่
เรื่องที่แย่ขนาดไหน ถึงแม้ว่ามันจะหนักขนาดไหน มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เล็ก (นิดเดียว)  เหมือนอย่างฉันทุกข์กับเธอเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน ในเมื่อมองหน้าแล้วทุกข์ หันไปมองคนอื่นเผื่อจะหาย หันไปหาคนใหม่ดีไหม เผื่อจะหาย ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนที่คิดอย่างนี้ เรียกว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก แล้วเราก็ชอบเป็นแบบนี้ อันนี้ไม่ดีไปหาควายใหม่เลย ธรรมะคนโบราณก็สอนแล้ว ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีก ศิษย์เอยเมื่อเราอยู่กับเขาแล้วทุกข์  เคยได้ยินไหม ว่าต้องมองให้กว้าง ใครบ้างไม่ผิดหวัง  ไม่อกหัก ไม่ล้มแล้ว ไม่เคยเจ็บป่วย พอคิดอย่างนี้ ฉันก็ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ไม่ต่างกัน เราเลยมองว่าเราทุกข์น้อยลง แล้วเรากับเขาก็ทุกข์ไม่ต่างกันจริงไหม พอคิดอย่างนี้ เราก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ จะวางความทุกข์ได้ เพราะยังมีคนอีกมาก ที่ทุกข์มากกว่าเรา และเคยได้ยินไหม เวลาเราทุกข์ เราจะจมอยู่กับความทุกข์ เราจะหนีทุกข์ หรือเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ (เอาทุกข์มาให้พ้นทุกข์)
ถ้าอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนกรรมให้สิ้นกรรม แล้วเปลี่ยนกรรมเป็นการสร้างบุญสร้างทาน ดีไหม (ดี)  ศิษย์ชอบทำบุญ ทำทานไหม (ชอบ) อะไรที่ทำให้เราทุกข์แล้วเราแปรเป็นบุญ แปรเป็นทาน แปรเป็นหนทางพ้นทุกข์ เราทำได้ไหม (ใช่)  บุญคือเครื่องชำระล้างกิเลส ให้หมดสิ้นไปจากใจ แล้วใจบริสุทธิ์ บุญคือทำให้เราสงบใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเกิดเขาทำเราทุกข์ แต่เราจะแปรทุกข์ให้เป็นบุญ เขาทำเราทุกข์ เขาทำให้เรามีกรรม เราจะทำให้เราสิ้นกรรม ฉะนั้นเขาทำเราทุกข์มากขนาดไหน เราก็จะบอก ดีแล้วได้ละกรรมออกไปจากใจ ฉันได้ละความเกลียดออกจากใจ ฉันจะได้รักเธอมากๆ  ฉันจะต้องซื่อตรงกับเธอ เธอจะคดโกงฉันอย่างไร ฉันก็จะซื่อตรง  ฉันก็จะเอาธรรมะให้เธอ  ฉันก็จะเมตตาเธอ เธอจะใจร้ายขนาดไหน ฉันจะแปรเปลี่ยนเธอ แปรความร้ายให้เป็นความดี  แปรบาปให้เป็นบุญ แปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม เอาไหมละ (เอา)
ถ้าศิษย์สามารถทำทานกับคนได้ ศิษย์ก็แปรคนร้ายให้กลายเป็นพระ แปรบ้านให้กลายเป็นวัด ฉะนั้นถ้าเขาด่าศิษย์แล้วศิษย์ไม่ด่ากลับ แต่ศิษย์บอกว่าศิษย์จะเปลี่ยนแปรกรรมให้เป็นบุญ ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรามา เราจะสละความโกรธ เราจะเมตตา เราจะเอาธรรมให้เขา เราจะซื่อตรงกับเขา อย่างนี้แปลว่าใครด่าเรามา เราก็ได้สร้างบุญ ถูกไหม ใครด่าเรามา เราให้ธรรมะเป็นทานและธรรมะของเราให้แบบไม่เจาะจงด้วย เราได้ทำสังฆทานด้วย จริงไหม (จริง)  ประเสริฐกว่าไหม (ประเสริฐกว่า)  เราไม่จำเป็นต้องทำบุญที่วัดใช่ไหม ถ้าทำแล้วสละกิเลส สละความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ก่อเกิดเป็นคุณธรรม ทำให้กิเลสหายไปจากตัว แล้วก่อเกิดเป็นความอบอุ่นร่มเย็น สงบสุข นั่นก็แปลว่าเราจะอยู่กับใคร เราก็สามารถสร้างบุญสร้างทานได้ ใช่ไหม ฉะนั้นเราแปรทุกข์ให้เป็นความพ้นทุกข์ได้ไหมล่ะ (ได้)  เขาอยากจะมีกิ๊ก ก็ช่างเขา เราไม่กิ๊กกับใคร เราซื่อตรงกับเขา เพราะเราไม่รู้ว่าชาติก่อนเราทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่ชาตินี้เราจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ขอเพียงแค่ศิษย์ปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อตรง ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา ถึงเขาจะไม่ซื่อตรง ไม่เมตตาก็ช่างเขา เราปฏิบัติของเราไป อยากทำทานทุกที่ไหม (อยาก)  อยากทำบุญทุกที่ไหม (อยาก)  ทำไมเราไม่ทำกับคนในบ้านเราล่ะ ถ้าทำแล้วละความโลภได้ ทำแล้วละความโกรธได้ ทำแล้วทำให้ใจเราสงบสุข ใจร่มเย็นได้ ทำดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาท ชื่อเพลง : อริยทรัพย์ในตน ทำนองเพลง : ตังเก)
ดูเอาเถอะนะเจ้ามาปลูกฟักทำไมได้แฟง ฟักลูกใหญ่กว่าแฟงแต่คล้ายๆ กัน แฟงลูกเล็กกว่าใช่ไหม เราอยู่ไม่ใช่มาเพื่อทุกข์แต่เราอยู่เพื่อพ้นทุกข์และเข้าใจในทุกข์และนำพาให้ตนพบธรรม แต่ปรากฏว่าเราอยู่เราก็ทุกข์ แล้วก็ทุกข์ แล้วก็ตายในความทุกข์ ช่างน่าเสียดาย
พระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรม เต๋อเหยริน มีทั้งคุณธรรม มีทั้งความดีงามนำพาผู้คน
ห้องพระมีหลายที่นะศิษย์เอย เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อนำพาให้ตัวเองเข้าใจในธรรม อยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นสุข และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศิษย์เอยทุกข์ไหม หน่ายไหม ท้อไหม (ท้อ)  ไม่ท้อนะยังมีลมหายใจก็สู้กันต่อไป แต่จะสู้อย่างคนที่จมปลักอยู่กับความทุกข์ หรือจะสู้อย่างคนที่รู้จักเอาทุกข์มาแปลบุญเป็นกุศล เป็นทางพ้นทุกข์เป็นการสิ้นกรรม จริงไหม (จริง)  คนเราอยู่ร่วมกันเพราะบุญกรรมกันมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยเวลามีเรื่องอะไรกันมาเราอยากอยู่เพื่อจบกรรม หรืออยู่เพื่อเกี่ยวกรรม (จบกรรม)  อยากอยู่เพื่อมีบุญร่วมกรรมหรือมีบาปร่วมกัน (บุญร่วมกัน)  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ร่วมกันอย่างคนมีบุญร่วมกันไม่มีบาปไม่มีกรรม แล้วคนที่มีบุญร่วมกันก็ควรปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรมไม่ใช่อารมณ์   
ควรปฏิบัติด้วยความถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ควรปฏิบัติต่อกันด้วยความดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกวันนี้ศิษย์ปฏิบัติต่อคนด้วยอารมณ์ล้วนๆ เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอารมณ์นำมาซึ่งความทุกข์ อารมณ์นำมาซึ่งกิเลส และอารมณ์นำมาซึ่งวิบากกรรม และวัฏฏะการเวียนว่าย
ศิษย์อยู่ในโลกมีทุกข์มามากพอแล้ว ทุกข์แห่งความเกิด ทุกข์แห่งความแก่ ทุกข์แห่งความเจ็บ และทุกข์แห่งความตาย หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ศิษย์ของอาจารย์ไม่กลัวตายแล้วใช่ไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวเจ็บแล้วใช่ไหม แปลว่าถ้าเกิดเจ็บแล้วจะเจ็บแค่กายไม่เจ็บที่ใจ ตายแค่สังขารแต่ใจไม่ตายใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมว่าการเข้าใจธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมอยู่ในโลกหาเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี เรามีเงินเป็นร้อย เรามีเงินเป็นสิบ แต่ทำไมมีก็เหมือนไม่มี เรื่องราวในโลกเรารู้มากมายแต่ทำไมถึงที่สุดรู้ก็เหมือนไม่รู้ แล้วเมื่อเราเรียนรู้ไปจนถึงที่สุด เราก็จะรู้ว่าในโลกนี้มีก็เหมือนไม่มี แบบนี้เรายังอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้ก็ดีนะ แต่ถึงเวลาเราก็อยากอีก อาจารย์จะให้คาถาให้ศิษย์เอาไว้เวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ในโลกใบนี้เห็นก็เหมือนไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี รู้ก็เหมือนไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ทำตัวรู้ไปหมดทุกอย่าง ที่เราว่ารู้ จริงๆ เรารู้ไหม (ไม่รู้)  ที่เราว่ามีเขา จริงๆ เรามีเขาไหม (ไม่มี)  ที่เราว่าได้ เราเคยได้อะไรไหม เมื่อไรที่เราทุกข์เพราะการมีใจ ถ้าเราทุกข์เพราะเรามีจิต อาจารย์ถามหน่อยในเมื่อใจของเรามันขยายใหญ่ได้ เมื่อใหญ่มากก็เจ็บมาก หรือใหญ่มากแล้วจะเจ็บน้อยลง ใจแคบใจเล็กยิ่งทำให้เราอึดอัด ใช่ไหม (ใช่)  แต่หากใจกว้างจนหาที่สุดไม่ได้เราจะทุกข์เราจะเจ็บน้อยลง จริงไหม (จริง)  เรามาดูนิสัยของใจ กับนิสัยของกิเลสหน่อยเอาไหม สมมติว่าตอนนี้ใจเรามีความทุกข์เข้ามาในใจ ความทุกข์มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  โลภ โกรธ หลง มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีก็แปลว่ามันพร้อมที่จะหายไปได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสนใจมันจากไม่มีจะกลายเป็น (มี)  จากไม่เหลือจะกลายเป็น (เหลือ)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราเห็นหน้าเขาแล้วเราทุกข์ เราจะทำอย่างไรดี
เราทุกข์เพราะเราใส่ใจ เราเจ็บเพราะเราใส่ใจ ภาษาไทยมันบอกชัดเจนเลยเอามันมาใส่ใจ เราผิดหวังเพราะเรา (เอามันมาใส่ใจ)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ในใจ เราจะทำอย่างไรให้มันลดไปจากใจ ทำอย่างไรให้มันออกไปจากใจ คิดออกไหม ทำอย่างไรดีจะได้ไม่ต้องทุกข์กับมัน มองเป็นอื่นดีกว่า เราเห็นเหมือนไม่เห็น เพราะถ้าเห็นแล้วมันทุกข์ มองแล้วมันเจ็บปวด แล้วเราทำเห็นเหมือนไม่เห็น ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาความทุกข์มา ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่ง อย่าเล่นกับความทุกข์ อย่าจริงจังกับความทุกข์ มันเข้ามาเราไม่ใส่ใจ เราไม่ปรุงแต่ง เราไม่เพิ่มความทุกข์เข้าไป เดี๋ยวความทุกข์มันจะหายไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่เจ็บ ทำไมเขาทำอย่างนี้ ทำไมเขาไม่รู้จักตั้งใจฟัง อุตส่าห์สอนแล้วสอนอีก สอนแล้วก็เปล่าประโยชน์ นี่เขาเรียกว่าเอามันมาใส่ใจ แล้วเรายังปรุงแต่ง ยังใส่อารมณ์เข้าไป แล้วคนที่เจ็บเขาเจ็บกับเราไหม เขาทุกข์กับเราไหม เขาแค่นั่งหลับเฉยๆ  คนที่มีอารมณ์ คนที่โมโหก็เราทั้งนั้นเลย แล้วเราจะเหนื่อยไปทำไม ในเมื่อเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ถูกไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ เราทุกข์เพราะเราเอาเขามาใส่ใจแล้วยิ่งทุกข์ เราก็ไม่สนใจเขาสิ ในใจเรายังมีเรื่องให้คิด มีเรื่องอื่นให้น่าสนใจมากกว่าไม่ต้องไปดูดำดูดีเขาเลย  ถ้าเอามาคิดแล้วมันทุกข์ ถ้าใส่ใจแล้วมันทุกข์ก็เลิกคิดดีไหม
คำว่าปล่อยวางแปลว่าไม่กลับมาคิดอีก ศิษย์จำคำให้ดีๆ นะ มนุษย์รู้จักคำว่าปล่อยวางแต่ไม่เข้าใจคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงคืออะไรใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงแปลว่า ถ้าคิดแล้วมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางก็คือไม่เอากลับมาคิดซ้ำคิดซากให้ทุกข์อีก นั่นแหละเรียกว่าปล่อยวาง
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อริยทรัพย์ในตน”
เมื่อวานบอกไว้ใช่ไหมว่ามีเจ็ดอย่าง เพราะอริยทรัพย์อีกอันหนึ่งที่ประเสริฐก็คือการรู้จักเรียนรู้เข้าถึงความจริงจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่ถูกโลกใบนี้ลวงหลอกอีกต่อไป
ขอให้เดินทางกลับโดยปลอดภัย ขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ วงเล็บเฉพาะคนที่รู้จักทำความดีโดยไม่ย่อท้อ ส่วนที่ดีบ้างเสียบ้าง อาจารย์ไม่รู้ เพราะความชั่ว มันก็ย่อมตามคนชั่วไป ฉะนั้นมีโอกาสทำดีแต่เลือกทำชั่ว ก็ช่วยไม่ได้  อาจารย์บอกไปแล้วนะ ชีวิตเรา เราเป็นคนขีดเส้นเอง อนาคตจะเป็นเช่นไรไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่ใครเป็นคนกำหนด แต่เราต้องกำหนดด้วยตัวเราเอง ถ้าศิษย์ศรัทธาเชื่อมั่นในความดีงาม ความดีงามนั่นแหละจะคุ้มครองศิษย์เอง ไม่ว่าภพภูมิไหนความดีมันก็จะนำพาให้ศิษย์พบแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าศิษย์เลือกประพฤติชั่ว ทำชั่ว ศิษย์เอ๋ยไม่ต้องชาติไหนหรอก   ชาตินี้ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์สร้าง ทำไมคนเราต้องมีธรรมะ เพราะธรรมะจะนำพามาซึ่งความสงบร่มเย็นในชีวิต ถึงที่สุดศิษย์จะหาอะไรก็ตามแต่ท้ายที่สุดศิษย์ไม่อยากได้ความร่มเย็นในชีวิตหรือ ศิษย์ไม่อยากได้ความสันติสุขในชีวิตหรือ แล้วสันติสุขร่มเย็นในชีวิตมันมาจากไหน มันก็มาจากความประพฤติที่ถูกต้องและดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครทำร้ายเราหรอกนอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครฆ่าศิษย์ให้ตายทั้งเป็นได้นอกจากความคิดของศิษย์เองที่ไม่ปล่อยวาง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกนี้อะไรจะเกิด ขอเพียงเราเชื่อมั่นในความถูกต้องดีงามว่าเราเกิดมาศีลเราไม่ขาด ธรรมเราไม่พร่อง หนทางดับทุกข์ย่อมไม่ไกลในชีวิตและชาตินี้หรอก ถ้าศิษย์ไม่ดูถูกตัวเอง ศิษย์ก็เป็นคนดีที่บำเพ็ญธรรมและช่วยเหลือคนได้ ถ้าตัวเองรอดมีหรือจะช่วยคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองยังฝึกไม่ได้ ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำให้คนอื่นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ชอบอยู่อย่างหนึ่ง มีคนหนึ่งที่เจอเรื่องทุกข์ แต่เขาสามารถอดทนและไม่ทุกข์ได้ เพราะคิดอย่างเดียวว่าถ้าเขาทุกข์แล้วคนที่รักจะทุกข์ยิ่งกว่าเขา เขาเลยไม่ทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นทุกข์ เขาขอไม่พูด เขาขอทุกข์คนเดียว ศิษย์เคยมีใจแบบนี้ไหม ถ้าทำได้เช่นนี้ถือว่าประเสริฐแล้วล่ะ ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนที่รักมันเจ็บ ฉันจะไม่ทุกข์ ฉันจะเข้มแข็ง ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนไม่ได้ดีขึ้นเลย ฉันจะขอทุกข์คนเดียว พูดไปก็ทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันขอทุกข์คนเดียวก็ได้ แล้วฉันจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นบุญและสิ้นกรรมและยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา อาจารย์หวังเล็กๆว่าศิษย์จะเป็นเช่นนั้น เมื่อไหร่ทุกข์ลองถามตัวเองว่าถ้าทุกข์แล้วทำให้คนอื่นเขาต้องทุกข์ด้วย คุ้มหรือ ที่จะทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้เขาทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็ยอมกลืนความทุกข์แล้วไม่พูดดีไหม (ดี)
ดีที่รู้จักบำเพ็ญและไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ อาจารย์คงต้องไปแล้วมีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ศิษย์เอ๋ยอย่าดูถูกคุณค่าของความดีงามในใจตนเพราะถึงที่สุดศิษย์สามารถพ้นทุกข์และเป็นพุทธะบนแดนดินในโลกได้ อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ และทำเพื่อธรรมหรือทำเพียงเพื่อตัวตน ถ้าเพื่อธรรมมันก็จะพ้นทุกข์แต่ถ้าเพื่อตนมันก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตน



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อริยทรัพย์ในตน”

            สมบัติแห่งอริยะ จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน  สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่งไปมา เรื่องที่จะไขเป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญาเป็นความตื่นในตัวเอง      ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิตกระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เองอยู่เหนือเวลา

อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ

                    (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ (๗)ปัญญา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-10 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

西元二〇一七年嵗次丁酉五月十六日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐               สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ใช้ชีวิตไหลไปตามกระแส               สุดแล้วแต่สังคมสิ่งแวดล้อม
สูญเสียตัวเองไปในโลกอันจอมปลอม    คนถูกย้อมในสิ่งที่ตนรู้ดี
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกแฝงกายน้อมกราบอัญชุลี
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ       
      แผนที่ใดล้วนมีไว้พิชิตแดน              แต่ชีวิตคนดำเนินแผนที่วุ่นวาย
ชอบเร่งไวไปบีบให้คนตาย               แข่งรีบใจถูกผิดเป็นปากประตู
ประสงค์ทางหมดทุกข์ต้องไม่เสแสร้ง     จงใช้หัวใจแห่งความจริงตื่นรู้
หยุดวิ่งหนีกรรมจี้ถูกสำนึกดู             ใช้ปัญญาคู่ความดีแม้ไม่ชาญ
สติไม่ให้เผลอพูดดั่งก้นรั่ว                 คิดทำชั่วอย่ามีไม่ไถหว่าน
กายใจสงบเป็นเย็นได้เบิกบาน           สงบเป็นว่างทุกข์นั้นในทุกที่
กลัวจะลืมก่อนดีชั่วคืออะไร              ทุกวันนี้สุขไหมบ่ายหน้าหนี
อาจไม่ใช่โกรธเช้าสายเพียงเท่านี้         ธรรมหายไปแต่ไม่มีรู้สึกตัว
เพียรเช้าค่ำให้กับคำคนตำหนิ            กินอยู่ปกติใจธรรมล้อมเป็นรั้ว
ตามืดบอดไม่เท่าใจมืดมัว                   คนน่ากลัวที่ความคิดกว่าอะไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
รู้จักกันก่อนจึงจะสนทนากันดีไหม (ดี)  มีหลายท่านคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นหรือคลางแคลงใจเป็นแน่แท้ใช่ไหม (ไม่)  เป็นธรรมดาอยู่ในโลกโดยส่วนใหญ่ไม่ถูกเขาหลอก  เราก็หลอกเขา สลับกันไปสลับกันมา ใช่ไหม (ใช่)  ยอมรับว่าเคยหลอกเขาด้วยใช่ไหม (ใช่) สักครู่ท่านบอกเองว่าไม่ถูกเขาหลอกก็หลอกเขา อย่างนั้นก็แปลว่าเราก็เคยไปหลอกเขามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับอีกนะ ถือว่าเราพูดคุยสนทนากันในเรื่องของธรรมะดีไหม (ดี)  อย่าพึ่งตั้งป้อมรังเกียจเราเลย เพราะนั่งฟังมาเกือบวันหนึ่งแล้วได้รู้ธรรมบ้างไหม (รู้) หรือว่าได้แค่นอนหลับ (ได้รู้ธรรม)  ได้รู้ธรรมหรือ เรานึกว่าได้นอนหลับ ต้องถามว่าได้ฟังธรรมเต็มอิ่มหรือว่าได้นอนหลับเต็มอิ่ม เป็นเช่นไร (ฟังธรรมเต็มอิ่ม)  เรานึกว่านอนหลับเต็มอิ่ม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แปลกนะอยู่บ้านไม่ค่อยจะหลับไม่ค่อยจะนอนวันๆ เอาแต่เที่ยว แต่พอมาห้องพระไม่รู้ทำไมมันอยากหลับมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าที่นี่น้ำธรรมของคนดีนะพูดปุ๊บหลับปั๊บเลย อย่าพึ่งตกใจเสียงเราดังเราก็เหมือนคนใต้เสียงแข็งแต่ใจไม่มีอะไรใช่ไหม (ใช่)  คนใต้เสียงห้วนไหม (ห้วน)  แต่ใจมีอะไรไหม (ไม่มีอะไร)  ใจดีแต่ปาก (ร้าย)
ถ้าทำอะไรด้วยใจชอบ สองชั่วโมง สามชั่วโมง หรือหนึ่งวัน สองวันเราก็สู้ไหว แต่ถ้าทำอะไรแล้วใจไม่ชอบ แม้เพียงผ่านไปหนึ่งนาที เราก็สู้ไม่ไหวแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครอยู่ฟังจนจบครบสองวัน แปลว่ามีใจที่ชอบธรรม แต่ใครอยู่ไม่ครบสองวัน แปลว่าใจนั้นไม่เคยชอบธรรมเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่พูดว่า ถ้าชอบยังไงก็สู้ ยังไงก็ไหว เหมือนฝ่ายชายให้ยืนเฉยๆ หนึ่งชั่วโมง ไหวไหม (ไหว)  แต่ให้ดูแข่งฟุตบอล แข่งวัว แข่งนกสองชั่วโมง สามชั่วโมงไหวไหม (ไหว)  ต่างกันตรงที่ใจเราชอบกับไม่ชอบ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจเราทำด้วยความรู้สึกที่ชอบ อะไรก็ไหว แต่ถ้าใจเราไม่ชอบ เชื่อไหมว่านิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นแบบนี้เราใคร่ขอถามท่านหน่อยนะว่า โลกใบนี้ดีหรือร้ายอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรือคนกำหนด (คนกำหนด)  ดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (ฟ้า)  จำเรื่องเมื่อสักครู่ได้ไหม เวลาชอบอะไรฟังแล้วรู้สึกดีจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าไม่ชอบแล้ว แม้ฟังคนพูดดีก็ยังรู้สึกแย่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เราถามหน่อยนะดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)  จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคร้าย แต่เราหาทางออกที่ดีที่สุดได้ เราคิดดีไว้เราก็จะเจอดี จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคดี แต่ถ้าเราคิดร้ายดีหรือร้าย (ร้าย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)
ถ้าอย่างนั้นสุขหรือทุกข์อยู่ที่คนกำหนดหรือใจเรากำหนด (ใจเรากำหนด)  สุขหรือทุกข์อยู่ที่คนภายนอก หรือหัวใจเรา (หัวใจเรา)  ทำไมตอบได้ชัดเจนเลย แต่เวลามีทุกข์ทำไมกลับโทษเขาลืมโทษใจ เวลารู้สึกแย่ทำไมว่าเขา ไม่ว่าใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนชายในชั้น)  ใจมันไม่เคยมีเหล้าเดินผ่านร้านเหล้า รู้สึกอะไรไหม (ไม่รู้สึก)  แต่ถ้าใจมันเคยกินเหล้า แม้ไม่เดินผ่านร้านเหล้ามันทำไมรู้สึกเปรี้ยวปาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจมันไม่มีอะไร สิ่งภายนอกมี มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าใจท่านรักเดียวใจเดียว ผู้หญิงจะสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน ท่านจะหวั่นไหวไหม (ไม่)  เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ผู้หญิงถ้ารักเดียวใจเดียวในสามีตัวเอง ผู้ชายจะดูดีขนาดไหนปากหวานขนาดไหน เราจะหวั่นไหวไหม (ไม่)
ฉะนั้นดีร้ายทุกข์สุขอยู่ที่ภายนอก หรืออยู่ที่ใจ (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจเขาไม่ดี หรือใจเราแอบมีสิ่งไม่ดีแล้วหวั่นไหวไปกับการไม่ดีอันนั้น (ใจเราแอบไม่ดี)  คิดได้เช่นนั้นตลอดไหมนะ พอมีปัญหาก็โทษเขา ไม่โทษตัวเอง ฉะนั้นพอเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยหน่อยสิ เอาน้ำมนต์มา ๙ วัด เผื่อจะปัดเคราะห์ ปัดร้าย ปัดปัญหา ปัดทุกข์ได้ ใช่ไหม( ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราไปหวั่นไหวกับเขา เราไปมีปัญหากับเขาแล้วถึงเวลาฝ่ายหญิงก็เลยบอกสงสัยต้องไปเอาน้ำมนต์ ๙ วัด มาปัดสามีตัวเองให้เลิกหลงใหลผู้หญิง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงน้ำมนต์สัก ๙ วัดศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ล้างคนให้ดีไม่ได้ ก็ถ้าจะล้างได้ดีที่สุดคือตัวเขาเองต้องไม่หวั่นไหว
ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์จะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ผู้อื่น คนเราจะบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง ก็ดูที่ว่าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีศีลธรรมหรือไม่ อยากล้างใจให้บริสุทธิ์ อยากให้ชีวิตมีสิ่งมงคลมาเกิดขึ้นกับตัว มันต้องดูที่การกระทำใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านไปทำชั่ว ท่านไปคิดผิด ท่านไปทำบาปแล้วเอาน้ำมนต์ ๙ วัดมาล้างๆ หมดไหม (ไม่หมด)  จะล้างได้ก็ต้องหยุดที่ใจของตัวเอง ทำดีละชั่วหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อยู่ในโลกอยากเป็นที่รักของทุกคนไหม อยากเป็นที่รักของผู้อื่นไหม อยากให้เขารักแต่ด่าเขาทุกวัน จับผิดเขาทุกวัน เขาจะรักไหม (ไม่รัก)  ฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จัก (รักตัวเอง, รักผู้อื่น)  ก็เพราะคิดว่ารักตัวเองฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จักอยู่แล้วอยากให้เขาเข้าใจ เราต้องรู้จักเคารพให้เกียรติกัน เชื่อถือ ซื่อตรง ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีใครเขารักท่านหรอก เขารักแค่เพียงรูปพอถึงเวลาจูบแล้วไม่หอมเขาก็เลิกราไปใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากให้คนอื่นรักจงรู้จักเคารพให้เกียรติ ซื่อตรง จริงใจ มีชีวิตอยู่อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย (อยู่อย่างสงบ)  ถ้าอยากอยู่อย่างสงบก็อย่าเอาสายตาไปเบียดเบียนใคร อย่าเอาสายตาไปฆ่าใคร อย่าเอามือไปทำร้ายเบียดเบียนใคร อย่าเอามือไปตบตีเข่นฆ่าใคร อย่าเอาความคิดไปเบียดบังทำร้ายใคร และอย่าใช้ความคิดไปฆ่าใคร อยู่ที่ไหนมีหรือจะไม่สงบสุข จริงไหม ทำไหม (ทำ)  มองทีก็จับผิดมากกว่าจับถูก เห็นคนก็เห็นแย่มากกว่าเห็นดี มองปุ๊บก็ดูถูกมากกว่าให้เกียรติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่มีสุข ไม่มีใครรัก ไม่ต้องไปไหว้พระ ถามตัวเองว่าทำตัวให้น่าเคารพกราบไหว้ไหม
ดังที่มนุษย์มักจะกล่าวไว้ว่า ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ก่อนที่จะโทษผู้อื่น หรือก่อนว่าฟ้าดิน ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นเหตุของความทุกข์และปัญหาทั้งมวลหรือไม่ หรือที่ตามคำธรรมะสอนว่า หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเหมือนผืนนา ปลูกบุญก็ได้บุญวาสนา ปลูกบาปก็ได้เภทภัย ทุกข์ภัยพาล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญ บาป มงคล อัปมงคล ล้วนเราเป็นผู้สร้าง และเราเป็นผู้เก็บผลนั้นทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากมีสุข ไม่ใช่เอาแต่ไหว้พระอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่รู้จักแก้ไขที่ตัวเองก็ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราถามท่าน เราอยากอยู่อย่างมีเภทภัย มีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่อยาก)  เราอยากอยู่อย่างคนที่สงบสันติสุขไหม ก็อยากทั้งนั้น มนุษย์ทุกคนอยากมีสุข ไม่อยากมีเภทภัย ไม่อยากมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพอรู้ไหมว่า เภทภัยเวรกรรมมาจากไหน (มาจากตัวเรา)  ตัวเราทำอย่างไรหรือจึงมีเภทภัย จึงมีเวรมีกรรม ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้ารู้ก็คงไม่มานั่งฟังตรงนี้หรอกใช่ไหม (ใช่)  คำว่าเวร เภทภัย มาจากไหน พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีเวร ก็ไม่มีภัย แล้วเวรคืออะไร
เวรกรรมคืออะไร คือสิ่งที่ไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะก่อเวร ก่อภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ชอบประพฤติผิดมีเวรมีภัยไหม (มี)  คนที่ชอบโกหกมุสา ชอบผิดศีลผิดธรรม และชอบอบายมุขมีเวรมีภัยไหม (มี)  แปลว่าถ้าเราผิดศีล โกหก ติดอบายมุข เราล้วนสร้างเวรภัยด้วยตัวเองใช่ไหม (ใช่)  มีเวรแล้วท่านชอบเวรไหม (ไม่ชอบ)  เพราะมีเวรก็ต้องรับภัยพิบัตินั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้ามีเวรแล้วเราอยากให้เวรยืดเยื้อไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  รู้ไหมว่าเวรยืดเยื้อเกิดจากเช่นใด เราล้วนมีชีวิตสร้างเวรหรือสร้างสันติสุข (สร้างสันติสุข)  ไม่เคยโกหก ไม่เคยผิดศีล ไม่เคยติดอบายมุข ไม่ถือสาหาความ ไม่ไปโกรธใครใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นไหว้พระแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำดีแล้วไม่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ แต่ต้องถามก่อนว่าทำดีแล้ว ไม่หยุดทำชั่วท่านจะหยุดเวรภัย หยุดทุกข์ภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้อยู่เต็มอก ถ้าอยากหยุดทุกข์ อยากหยุดเวรหยุดภัย เราก็ต้องพยายามเป็นคนมีศีลไม่ประพฤติผิด ไม่ติดอบายมุข ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนฆ่าใคร หรือทำร้ายใคร ทั้งกาย วาจา ใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่แล้วมาทำไหม (ทำ)  ทำไมทำเวรทำภัย เวรภัยมันถึงไม่จบรู้ไหม (ไม่รู้)  ผู้ที่คิดอยู่เสมอว่า เขาด่าฉัน เขาว่าฉัน เขาโกงฉัน เขาชิงชังฉัน เขาทำร้ายฉัน นี่เรียกว่าผู้ผูกเวรให้ยืดเยื้อในใจเรามีแต่สิ่งนี้ ทำแล้วยังจดจำฝังใจใช่ไหม (ใช่)  ไหนบอกว่าไม่ชอบเวรยืดเยื้อ อยากจบเวรจบกรรม กันแต่ถึงเวลาถามใจลึกๆ ท่าน ความดีของตัวเองจำ ได้แต่ความดีผู้อื่นไม่เคยจำใช่ไหม (ใช่)  ความชั่วของตัวเองจำไม่ได้ แต่ความชั่วของผู้อื่นจำได้แม่นยำ ใช่ไหม นั่นแหละเรียกว่าผู้ผูกเวรจองเวรให้ยืดเยื้อ ฉะนั้นอยากหยุดกรรม อยากหยุดเวร พระพุทธจึงสอนไว้ว่า ผู้ที่มีสุข ผู้ที่เกษม ผู้ที่สันติ คือผู้อะไร คือผู้มีจิตใจปลอดโปร่งไม่ยึดมั่นถือมั่น ยอมรับความเป็นจริง และมีปัญญาเห็นแจ้ง คนด่าเราก็คือคนรักเราหัวเราะ แปลว่าไม่ยอมรับใช่ไหม ถามท่านจริงๆนะ ถ้าคนที่ท่านเกลียดจนสุดใจ ท่านจะด่าเขาให้เมื่อยปากไหม (ไม่ด่า)  บ่นไหม (ไม่บ่น)  เพราะอะไรไม่อยาก ที่ยังด่าที่ยังบ่น แปลว่ายังรักเขาอยู่จริงไหม (จริง)  มิฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา เราเข้าใจว่าเขารัก เราเราจะโกรธจะชิงชังเขาไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้ เราจะผูกเวรเกี่ยวกรรมกับใครไหม (ไม่)  ถ้าไม่อยากจะผูกเวรผูกกรรม ทำอย่างไรดี ที่จะให้เกิดเป็นคนแล้วไม่ผิดศีล ไม่โกหก ไม่ติดอบายมุข ไม่เกลียดด่าคนอื่น ทำอย่างไรดี (เลิกความชั่วทำความดี)  เลิกความชั่วมาทำความดี แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักมือหนึ่งถือศีลมือหนึ่งถือสาก ยอมรับเต็มปากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ในที่นี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ท่านว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  เราขอดูหน้าคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีหน่อยนะ รู้ไหมคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังระงับยับยั้งชั่งใจเรื่องความชั่วไม่ได้ คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริง จริงไหม (จริง)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีแต่ขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ศีลยังรักษาไม่ครบ คุณธรรมในความเป็นคนยังประพฤติปฏิบัติได้ไม่มั่นคง ก็ยังไม่อาจเรียกว่าคนดีใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ยังพูดว่าตัวเองดีไหม(ไม่ดี, ดีบ้างไม่ดีบ้าง)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่ทำผิด คิดร้าย ก็คือคนที่มักพูดว่าตัวเองดี แต่คุมใจไม่ได้ต่างหากใช่ไหม (ใช่)  ผู้ร้ายในสังคมปัจจุบันนี้ เขาก็คือคนดีคนหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไหร่ที่เขาหยุดความโกรธไม่ได้ หยุดความเห็นแก่ตัวไม่ได้ หยุดใจที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ได้ เขาก็สามารถเป็นคนที่ร้ายและน่ากลัวได้จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องมองใคร ตัวเราเองนั่นแหละใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะยับยั้งความชั่วได้ สิ่งที่ดีที่สุดนั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติดี แต่ถามหน่อยนะว่า คนในที่นี้เคยทำดีจนสุดจิตสุดใจหรือยัง (ยัง) ยังเป็นพวกสามวันดีสี่วันไข้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่า ทำไมถึงต้องทำดี บางคนทำดีแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  บางคนถามว่าทำดีไปเพื่ออะไรใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นเราจะบอกให้การศึกษาธรรมเพื่อรักษาใจให้ปกติ และดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม ถ้าทำได้ ท่านก็จะยากประพฤติผิดประพฤติชั่ว ถูกไหม (ถูก)  แต่เราทำดีเพื่ออะไรหรือ เพราะว่ารากฐานแห่งความสงบและความเจริญของชีวิตคน จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีหัวใจที่เมตตาและปรารถนาดีต่อกัน ท่านว่าจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอยู่กันอย่างคนจับผิดคิดร้าย มองในแง่ไม่ดี ล้วนเป็นรากฐานให้เราสร้างบาปกันจริงไหม (จริง)  เวลาเราอยู่อยากมีความสงบ อยากมีความเจริญในชีวิต มองเขาดีหรือมองเขาร้าย (มองเขาดี)  มองเขาด้วยหัวใจเมตตาหรือมองเขาด้วยการจับผิด (มองเขาด้วยหัวใจเมตตา)  เช่นนั้นหรือ แล้วรู้ไหมว่าทำดีมีค่าตรงไหน ทำดีมีค่าตรงที่คนที่มุ่งมั่นปฏิบัติดีจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว คนมุ่งมั่นปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม จะไม่มีผลเป็นทุกข์ ไม่มีผลเป็นเภทภัยต่อกัน  ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรหรือที่เราจะล้มเลิกไม่ทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ควรที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติดีจริงไหม (จริง)  แล้วอะไรล่ะเป็นเหตุแห่งความไม่ดี นอกจากการผิดศีล นอกจากการติดอบายมุข ใครพอตอบเราได้บ้าง (อารมณ์ต่างๆ)  อารมณ์ต่างๆ เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งกรรมเวรใช่ไหม (ใช่)  แต่หยุดอารมณ์ได้ไหม (ได้)  จริงๆ แล้วต้นเหตุแห่งความผิดพลาดต้นเหตุแห่งเภทภัยต่างๆ มีสาเหตุง่ายๆ ไม่กี่เรื่อง มีสามเรื่องอะไรบ้าง  (ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่ไหม (ใช่)  มีใครหักห้ามความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้เราก็หนีไม่พ้นเหตุแห่งเภทภัยใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะบอกให้ง่ายๆ ก่อนจะได้โลภ โกรธ หลง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในจิตใจมนุษย์มีไม่กี่อย่างหรอก มนุษย์ทุกคนรักสบาย เมื่อรักสบายแล้วเอาเปรียบไหม (เอาเปรียบ)  นั่นแหละสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ก่อเวรก่อทุกข์ภัยให้กับผู้อื่น ก็คือชอบรักสบาย พอคิดรักสบายก็เลยเอาเปรียบผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบางทีพอเอาเปรียบแล้วดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เราจะบอกท่านนะ ในโลกนี้ไม่มีใครชนะแท้จริงแล้วได้แท้จริง วันนี้ท่านเอาชนะเขาได้ เอาเปรียบเขาได้ แต่พอถึงวันที่ผลกรรมมันตามสนอง ตอนนั้นท่านถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครได้มากกว่าใคร เอาเขามากเท่าไร ท่านก็จะได้รับผลคืนมากเป็นเท่าทวีคูณ จริงไหม (จริง)  ลองคิดง่ายๆ นะสามีลองเอาเปรียบภรรยาดูสิ ภรรยาลองเอาเปรียบสามีดูสิ เป็นอย่างไร บ่นจำไม่ลืมเลย ลองเอาเปรียบเพื่อนดู เป็นอย่างไร เขาไม่รักเราเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความดีหนึ่งที่เคยทำเพียงแค่ท่านเผลอเอาเปรียบเขาสักนิดหนึ่ง เขาก็ลืมความดีท่านจนหมดสิ้นได้เช่นกัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าเผลอแค่เพียงคิดกินแรงเอาเปรียบ ท่านก็สร้างทุกข์ภัยให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นเวรพ้นภัยได้นั่นคืออะไรรู้ไหม ภัยต่างๆ กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ เล็กๆ กลายเป็นบานปลายมโหฬาร เพราะเพียงคำว่าอดทนไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเพียงไม่อดทนเรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยนะ ท่านเป็นคนอดทนไหม (ไม่ค่อยจะอดทน)  อดทนไม่ได้ปัญหาจะเกิด อดทนไม่ได้เรื่องนิดๆ ก็มีเรื่องมีราวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาที่เกิดอย่าเพิ่งไปถึงเรื่อง โลภ โกรธ หลงเลย แค่เรื่องง่ายๆ คือชอบเอาเปรียบ อดทนไม่เป็น ปัญหาเกิดไหม แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถ้าอย่างนั้นกราบไหว้พระก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายังไม่รู้จักอดทนอดกลั้น แล้วชอบกินแรงเอาเปรียบผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งคือแพ้ไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  เถียงกันฉันต้อง (ชนะ)  ท่านต้องเป็นผู้ (ชนะ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาทั้งมวลล้วนเกิดจากที่ เราแพ้ไม่เป็น เสียไม่ได้ ยอมไม่มี อดทนไม่เหลือใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทะเลาะกันแล้วถึงที่สุดใครถูกใครผิด ว่าอย่างไร (ผิดทั้งคู่) แต่ถึงเวลาเถียงไหม (เถียง) ทะเลาะไหม (ทะเลาะ)  ทะเลาะแล้วผลที่สุดชนะแล้วเราสะใจไหม (สะใจ)  มิตรเมื่อทะเลาะกันความเป็นมิตรก็จืดจาง สามีภรรยาเมื่อทะเลาะกันไม่ยอมกันความรักก็จางหายใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทะเลาะกันจิตใจเราก็รู้สึกย่ำแย่ เข้าหน้ากันไม่ติด แล้วใครล่ะที่ทำให้ตัวเองทุกข์ ยังไม่ถึง โลภ โกรธ หลง แต่ใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก ชอบเอาชนะคนอื่นเป็นที่ตั้ง ถูกหรือไม่
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์คืออะไรรู้ไหม ก็คือ ถือดีใช่ไหม (ใช่)  ต้นเหตุปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงก็คือถือดี ถือดีว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เมื่อเวลาเราถือดีแล้วอวดดีด้วยแล้วความดีก็หดหาย ถูกต้องหรือไม่ (ถูก)  แล้วสิ่งที่น่ากลัวก็คือเวลาที่ถือดีแล้วก็มัวแต่ไปเรียกร้องผู้อื่นให้ต้องปฏิบัติดี โดยลืมเรียกร้องตัวเอง และชอบอ้างว่าฉันหวังดีเลยเข้มงวดเธอ ฉันหวังดีจึงบ่นด่าเธอ
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าการปฏิบัติดีเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าเอาสิ่งที่ดีไปเรียกร้องผู้อื่นจนกลายเป็นเขารำคาญและรังเกียจ สู้ทำตัวเองให้ดีแล้วสอนเขาด้วยการกระทำดีกว่าสอนเขาด้วยคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนที่ถือดีอีกอย่างหนึ่งก็คือบังคับให้ทุกคนต้องทำดีต่อเราจนเราลืมทำดีกับเขาหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  ถึงท่านจะเป็นคนดีทำดีแล้วทำไมบอกว่ายังไม่ได้ดี ถามตัวเองก่อนนะเวลาตัวเองทำดีแล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เอาธรรมะไปเรียกร้องบังคับให้คนอื่นทำ แล้วไปประณามคนอื่นที่ไม่ดีว่าคนชั่วร้าย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีมุ่งแต่บำเพ็ญตัวเองแก้ไขตัวเอง แต่คนที่ยังไม่เข้าใจความดีคือพยายามเรียกให้คนอื่นทำดีต่อตัวเองแต่ตัวเองยังไม่ทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นจำไว้นะ อย่าบอกว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ดีกับเรา ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องสำหรับการประพฤติปฏิบัติธรรม คือเราทำดีกับผู้คนแล้วหรือยัง คนอื่นดีไม่ดีไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าเรามีเมตตาจิต เรามีหัวใจที่รู้จักปรารถนาดีกับผู้อื่น แม้เราทำดีถึงที่สุด เขามองไม่เห็นดี เราก็พอใจแล้วใช่ไหม เพราะเราทำดีไม่ได้หวังคนชม แต่เราทำดีเพื่อหลีกหนีเภทภัยที่เรียกว่า ความทุกข์และเวรกรรมต่างหากใช่หรือไม่(ใช่)
เราคงต้องกลับแล้ว ถ้าอยู่กับเราแล้วเพื่อความดี แต่ท่านกำลังตัดพ้อบ่นว่าเรา เราก็ขอกลับดีกว่าใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่มนุษย์แปลกนะ ชอบเอาตัวเองไปบังคับคนอื่น เราจึงทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าทุกคนยอมรับธรรมชาติของแต่ละคน จากทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาตัวเองไปวัดคนอื่น ชอบเอาความคิดตัวเองไปใส่แล้วกล่าวโทษคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกอย่างหมดทุกข์ หมดเวร หมดภัย จงเลือกที่จะทำสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมแห่งความเป็นคนให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)  ศีลธรรมแห่งความเป็นคน คือ ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนชีวิตเขาเพื่อชีวิตเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าท่านไม่โกหก พูดคำไหนเป็นคำนั้น เขาเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม (จริง)  พูดได้ทำได้ ทำได้พูดได้ศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์)  ท่านอยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยากได้)  ถ้าอยากได้ครอบครัวร่มเย็น รู้จักเคารพให้เกียรติ สุภาพอ่อนน้อม มีหรือครอบครัวไม่ร่มเย็น ซื่อตรงจริงใจ มีหรือเพื่อนฝูงไม่รักใคร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมงคลและความดีทั้งมวล ล้วนต้องเริ่มที่ตัวเรา มีศีล มีธรรมหรือยังถ้ายังขาดศีล ขาดธรรม ก็ยากจะมีสุขจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่จะนำพาให้มนุษย์พบทางที่ดีงาม พบทางที่สงบสุข และพบทางที่บรรเจิด ไม่ใช่เรื่องการเอาแต่ใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำแล้วถูกต้องในทำนองคลองธรรม เอาแต่ใจง่ายที่จะหลงผิด เอาแต่ความคิดง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรม ความถูกต้องดีงาม มีหรือชีวิตนี้จะไม่พบความสุขความสงบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคงพูดกับท่านเตือนท่านได้แค่นี้ ทำหรือไม่ทำ (ทำ)  ทำอย่างคนมีธรรมหรือทำอย่างคนเอาแต่อารมณ์ (อย่างคนมีธรรม)  เอาแต่ใจ (ไม่ทำ)  ก่อนทำอะไร ไม่ว่าคิด พูด ถามตัวเองก่อนว่าตามอารมณ์ หรือตามศีลธรรม (ศีลธรรม)  พูดง่ายทำไม่ง่ายนะ ฉะนั้นจงรู้จักทำให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม คุณธรรมความดี เพื่อยับยั้งชั่งใจ  เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไร ฉะนั้นวันนี้ต้องคิดดีพูดดีมีศีลธรรม เพื่อหยุดยั้งกรรมชั่วที่เราเคยได้ก่อมา ไม่ว่าจะเป็นเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต กาย วาจา ใจ ถ้าวันหนึ่งกรรมมันตกผล แม้ท่านจะมีน้ำตานองหน้า มืออุ้มองค์พระ พระก็คุ้มครองล้างท่านให้พ้นกรรมไม่ได้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวเท่ากับแรงกรรมที่มนุษย์ก่อ  ฉะนั้นหยุดก่อนที่กรรมจะตกผลไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  วันนี้คงมีโอกาสผูกบุญกับท่านแค่นี้มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐           สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  พาชีวิตตนอยู่กับเรื่องใดที่ใด            ไม่ฝึกฝนอะไรพาไกลยาก
คนอยู่กับความเคยชินเป็นส่วนมาก      จึงลำบากกว่าบำเพ็ญในสักวัน
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม  
จิตหนึ่งใจเดียว หนนี้บำเพ็ญแท้จริง เรื่องคำติติง อยู่ในโลกใครพ้นไป  แต่ศิษย์ยอมทุกข์  ชีวิตมีเพียงเศร้าใจ  คิดได้สายไป  ศิษย์รักอาจารย์เสียดาย  ศิษย์อยากบำเพ็ญ  ทบทวนหัวใจเจ้าก่อน  ข้ายังคอยสอน  แต่คนรับฟังหายไป   ขาดศิษย์คนนี้   ธรรมะช่วยคนอย่างไร  เจ้าเหลือน้ำใจ     แด่ฟ้าอาจารย์ไหมเอย
คนไหน คนไหน เป็นเหมือนกัน  แค่คำเย้ยหยัน  ศิษย์ยอมแพ้โดยเปิดเผย  จิตดินใจฟ้า  แพ้เป็นพระใครบ้างเคยเอ่ย  เจ้าเฉยเจ้าทน  อย่างคนคิดเป็นคงดี
    รอศิษย์กลมเกลียว  เหมือนเกลียวกับคลื่นชิดใกล้  เรื่องอยู่ในใจ  อย่าเปรยเลยเป็นเรื่องดี  ศิษย์เอยศิษย์รัก  จากนี้เดินไปอีกที  ให้ถึงสักที  กลับคืนฟ้าที่จากมา
ทำนองเพลง:คำสัญญาที่หาดใหญ่
ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สองวันนี้ใครนั่งฟังธรรมะแล้วมีความสุขมาก ยกมือขึ้น สุขไหม (สุข)   ร้อนจนสุกเลยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์รู้ว่านั่งฟังในชั้นนี้ร้อนจนสุกเลย ใช่ไหม(ใช่)  อาจารย์อยากบอกให้นะศิษย์ ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้เราอิ่มใจ สบายใจ บริสุทธิ์ใจ นั่งไปเราก็ได้บุญ แต่ถ้านั่งฟังแล้วมีแต่ความทุกข์ใจ หม่นหมองใจตัดพ้อต่อว่าคน นั่งฟังไปมันก็บาปใจเปล่าๆ อาจารย์พูดเสมอเกือบทุกๆ ที่  ฉะนั้นวันนี้ศิษย์นั่งได้บุญหรือศิษย์นั่งได้บาป (บุญ)  นั่งได้ธรรมะหรือนั่งได้กิเลสว่าเขา (ธรรมะ) 
ด่าคนที่ชวนมาครั้งหนึ่ง ว่าคนพูดบรรยายครั้งหนึ่ง กลับมาว่าตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่ามาเลย อย่างนั้นหรือเปล่า “บุญ” นั้นอาจารย์บอกได้เลยว่าทำได้ทุกที่ทำได้ทุกคน ถ้าทำแล้วสบายใจ บริสุทธิ์ใจ ก็เกิดบุญ ถ้าทำแล้วเราให้คุณธรรมด้วยก็เป็นการสร้างบุญที่เรียกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน เขาพูดมาเรามีท่าทีอ่อนน้อมกลับ นั่นก็คือการสร้างบุญ เขาพูดดีมาเราอนุโมทนานั่นก็คือการสร้างบุญ ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถสร้างบุญได้ อย่าจำกัดว่าบุญต้องทำที่วัด บุญทำได้กับทุกคน และบุญก็สามารถสร้างได้ทุกที่ แต่อยู่ที่ว่าเราคิดจะให้บุญ หรือให้เวรให้กรรม เวรก็คือการคิดร้าย คิดไม่ดี คิดไม่เป็นมงคล คิดบาป คิดอกุศล เหมือนกับที่ศิษย์รู้ๆ กัน คิดดีก็ได้ (ดี)  คิดชั่วก็ได้ (ชั่ว)  แล้ววันนี้คิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ดีตลอดเลยใช่ไหม ไม่มีเจือปนเลยใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์มีวิธีบอกสุขง่ายๆ สมมติว่าศิษย์ไปอยู่ที่ไหน ศิษย์อยากมีสุขง่ายๆ ให้คิดง่ายๆ คิดเสมอๆ แค่นี้ขอบคุณแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว สุขไหม  ฉะนั้นจะสุขได้ทุกๆ ก้าวทุกก้าวที่เดินก็มีสุขได้ทุกก้าว แต่มนุษย์เราสุขไหม ยังไม่พอ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ยังไม่สุข ทุกข์มันทุกก้าวเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่าต่อไปนี้ ดีแล้ว พอแล้ว สุขแล้ว แล้วตอนนี้สุขง่ายหรือสุขยาก (ง่าย)  ใครๆ มักจะพูดว่า ยังไม่ค่อยสุข ตอนนี้มันทุกข์เหลือเกิน  ฉะนั้นศิษย์มาฟังธรรมแล้วต้องให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วทำให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ เราอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุขหรือมีทุกข์ (สุข)  แล้วทุกวันก้าวมาอย่างสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สามีอยู่กันนานๆ เบื่อไหม (เบื่อ)  ลูกอยู่นานๆ รำคาญไหม (รำคาญ)  อาจารย์ถามหน่อย สามีตอนนี้ภรรยาเป็นอย่างไร น่ารักไหม ไม่มีสัญญาณตอบจากหมายเลขที่ท่านเรียก อาจารย์อยากบอกศิษย์ แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ก็พอแล้ว จะทำให้สุขได้ทุกที่ และสุขได้ทุกคน ถ้าบอกว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ต้องมากกว่านี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ คนที่คิดคือคนที่ทุกข์ คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือคนที่สุขยาก แล้วศิษย์อยากมีสุขหรือมีทุกข์ ถึงเวลาคิดอย่างคนมีสุขหรือคนมีทุกข์ ฉะนั้นบางทีแค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เมื่อศิษย์คิดได้อย่างนี้จะมองโลกได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกว่า อันนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ดี เลวร้าย อันโน้นก็มีแต่เรื่องราวไม่ดี มันอยู่ก็มีแต่หัวใจหดหู่หม่นหมองจริงไหม
เมื่อมองโลกแย่ใจเราก็ (แย่)  เมื่อมองโลกไม่ดีใจเราก็ (ไม่ดี)  เมื่อมองโลกทุกข์ใจเราก็ (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนทีจะแปรโลกแปรใจเราก่อนดีไหม (ดี)  ก่อนที่จะไปเปลี่ยนใครเปลี่ยนใจเราก่อนดีไหม (ดี) 
เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตก็ต้องมีขยับเขยื้อนนิดหน่อยใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าชีวิต ถ้ายึดแล้วไม่ขยับ แปลว่ามันตายหรือเรียกว่าเป็นโรคอัมพฤตอัมพาตใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ขยับเขยื้อนก็ถือว่าเป็นการรู้จักอะไร ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้ชีวิตรู้จักยืดหยุ่นเป็นดีหรือไม่ (ดี)  สมมติว่าอาจารย์โบกพัดขึ้นแปลว่ายืน อาจารย์โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)  แต่อย่างนี้ง่ายไปไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอย่าลุกก็โอยนั่งก็โอย ต้องคิดว่าได้ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตมันยืดแล้วมันไม่หยุ่นขึ้นมานั่นเรียกว่า ใกล้ตายแล้วนะ แต่ว่ามันมีเรื่องอยู่อย่างหนึ่งว่า เราดำเนินชีวิตการมองแต่คนข้างหน้า บางทีมันก็ไม่ใช่จะถูก บางทีเราก็ต้องมองข้างซ้าย ข้างขวาด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าแถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง แถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง สลับกันอย่างนี้ได้ไหม (ได้)  ถ้าแถวไหนผิดแถวนั้นต้องเต้นเป็ดทั้งแถว ตกลงไหม (ตกลง)  เราพร้อมใจกันนะ มีข้อตกลงเหมือนกัน แถวนี้หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ทำตามอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แถวสองต้องแย้งกับอาจารย์ พออาจารย์โบกพัดขึ้น ศิษย์ต้องนั่งลงพออาจารย์โบกพัดลง ศิษย์ต้องยืนขึ้น อาจารย์ย้ำแล้ว ฉะนั้นผิดไม่ได้นะ ฉะนั้นถ้าอาจารย์เอาพัดตั้งแปลว่า (นั่ง)  ถ้าอาจารย์เอาพัดลงอย่างนี้แปลว่า (ยืน)  อาจารย์อธิบายให้แต่ละแถวแล้วโบกพัดขึ้นแปลว่า (ยืน)  โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)
ถ้าผิด ๑ คน โดนทั้งแถวพร้อมไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)  แถวไหนจะตอบยกมือขึ้น เอามือลง จำไว้ ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าตัวเองไม่ผิด คนอื่นก็ไม่เดือดร้อน ตัวเองก็ไม่เดือดร้อนด้วย ธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์ดูแลตัวเองไม่ดี ศิษย์เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง นักเรียนในชั้นเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง)
เรียนเชิญอาจารย์นั่ง อาจารย์จะแย้งหรือตามดี ศิษย์จำไว้ อยู่ในโลกนี้ เรื่องราวบางเรื่องก็ควรตาม เรื่องราวบางเรื่องคิดให้ดีควรตามหรือควรแย้ง การเป็นตัวของตัวเองก็ดี แต่ถ้าเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปแล้วทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ยอมลดความเป็นตัวของตัวเองแล้วตามผู้อื่นบ้างก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นควรตามหรือควรแย้ง เกิดเป็นคนต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ไหลลื่นไปตามผู้อื่นจนขาดจุดยืนของตัวเองก็ไม่ดี
(พระอาจารย์เมตตาเล่นเกมกับนักเรียนในชั้น)
เริ่มจากฝ่ายหญิงก่อนฝ่ายชายนั่งลง ฝ่ายชายเขาเงียบ ฝ่ายหญิงมีนิสัยที่แก้ไม่ได้คือชอบจับผิด ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นกลุ่มหนึ่งก่อน แล้วจะเป็นกลุ่มสองฝ่ายหญิงเขาขี้อาย เขาผิดก็ให้อภัยเขา แต่ถ้าฝ่ายชายผิด ไม่ต้องให้อภัย จับเต้นเป็ดเลยจริงไหม ดีไหม (ดี)  เป็นผู้ชายมันต้องมีความกล้าหาญ ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด เป็ดก็ต้องเป็นเป็ด
อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าอาจารย์บอกว่า การเต้นเป็ดมันก็เหมือนความทุกข์อันหนึ่ง ที่ศิษย์กลัว ศิษย์ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น แต่อาจารย์ถามหน่อย ถ้าลองเป็นเป็ดสักครั้งหนึ่ง ความทุกข์มันจะดูน่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วมันยากเกินจะรับไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด
เข้ามาสู่เรื่องธรรมะกันบ้างดีกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์เข้าใจธรรมะ เพราะการเข้าใจธรรมะมันจะทำให้เรามีหลักในการดำเนินชีวิต และการเข้าใจธรรมะช่วยเยียวยาใจเวลาเจอเรื่องที่เกินยากจะรับไหว ศิษย์เคยไหมอยู่ในชีวิตมันมีทั้งเรื่องที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วเรื่องที่คิดไม่ถึงเกิดขึ้นมันก็มีใช่ไหม แล้วเมื่อมันมี ใจเราตั้งรับทันไหม (ไม่ทัน)  ใจเรามันสู้ไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยเยียวยาใจ และการเข้าใจธรรมนั่นแหละ ไม่ประมาทและพร้อมจะเผชิญทุกข์ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แต่เวลาเราจะเข้าใจธรรมะ บางทีมันเป็นเรื่องยาก ฟังมาสองวันแล้วปลดทุกข์ได้หรือยัง (ยัง)  เข้าใจแล้วปลดทุกข์ได้ไหม (ได้) อาจารย์เข้าห้องน้ำปลดปุ๊บหมดปั๊บทันที ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามันปลดทุกข์ง่ายอย่างนั้นมันก็ดี แต่ชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะปลดทุกข์ได้ มีศิษย์คนหนึ่ง เป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ และบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะมีสุขได้ก็ต่อเมื่อต้องได้ ต้องดี ต้องมีถึงจะสุข ถ้าไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่คนๆ นี้ไม่ใช่แค่นี้ยังบอกอาจารย์อีกว่า อาจารย์ไม่ใช่ต้องได้ ต้องดี ต้องมี และต้องสุข ไม่พอ ศิษย์ยังต้องเป็นคนที่ว่าถ้าจะตาย ก็ต้องขอให้ตายไม่ลำบาก ให้นอนแล้วก็ตายเลย ศิษย์จะโชคดีที่สุดแล้ว
ถ้าเกิดศิษย์จะเจ็บขอให้เจ็บปุ๊บแล้วหายไปเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มักจะชอบกำหนดแบบนี้ กำหนดทั้งความตายของตัวเอง กำหนดทั้งการเจ็บของตัวเอง และกำหนดทั้งการมีชีวิตของตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์คนนี้ยังบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อถ้าศิษย์มีสามี ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข เท่านี้ไหมสุขของศิษย์ ยังไม่พอศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อภรรยาของศิษย์ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข สามีต้องรับผิดชอบ ซื่อตรง ขยัน เอาใจดูแลเราเป็น ปากหวาน ไม่เจ้าชู้ ไม่กะล่อน รับผิดชอบหน้าที่ ศิษย์ถึงจะสุข แต่ศิษย์เชื่อไหมผู้ชายขอผู้หญิงอย่างเดียวอะไรรู้ไหม เลิกบ่น สุขเลยใช่ไหม (ใช่)  เลิกบ่น เลิกใช้เงินเก่ง  ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์คนนี้ กว่าจะสุขได้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วเขาต้องการแค่นี้ไหม (ไม่)  เขายังกำหนดไปว่าถ้าศิษย์เรียนจบขอให้ศิษย์แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก มีครอบครัวที่ร่มเย็น ศิษย์ถึงจะสุข ศิษย์กำหนดสามี หน้าที่การงาน ลูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นเด็กดี ต้องประสบผลสำเร็จ ต้องเจริญก้าวหน้า ต้องเป็นที่พึ่งพา มีเพื่อนกำหนดเพื่อน เพื่อนฉันต้องจริงใจ มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่กินแรง มีเงิน หน้าที่ตำแหน่ง เสื้อผ้าต้องกำหนด
ฉะนั้นความสุขของศิษย์คนหนึ่งถูกตีกรอบไว้แบบนี้เรียบร้อย ฉะนั้นถ้าสามีไม่อยู่ในกรอบ ลูกไม่เป็นดังกรอบที่ศิษย์คิดทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพื่อนไม่เป็นดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เงินไม่ได้ดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตำแหน่งไม่มีดังใจศิษย์หวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีครอบครัวแล้วไม่ร่มเย็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร อาจารย์ถามจริงๆ อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร ตายก่อนหรือศิษย์ ยังตายไม่ได้เพราะไม่ใช่ตายแบบนี้
จะตายก็เมื่อดับแล้วตายเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์จะหลุดพ้นได้อย่างไร เห็นมองทีไร มีความคาดหวังทุกที ยึดติดทุกที ฉะนั้นถ้าเราอยากหลุดพ้นทำอย่างไร ปล่อยวางหรือ อาจารย์จะเล่าให้ฟัง เมื่อศิษย์ยึดมั่นกับความคิดว่าอย่างนี้เรียกว่าสุข ศิษย์ก็ปักใจยึดมั่นว่าอันนี้เรียกว่าสุขจริง สุขแท้ และสุขตัวเดียวเท่านั้นที่ศิษย์จะเจอในชีวิต ถ้าไม่มีแบบนี้ ศิษย์จะไม่มีวันสุขเลย ใช่ไหม มนุษย์ชอบกำหนดตายตัวว่า ความสุขเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วบอกว่าสิ่งที่เรากำหนดนั้น เป็นของจริงสมบูรณ์แบบที่สุด พอไม่เป็นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เรายังหวังให้มันเป็นไปได้ใช่ไหม (ใช่)  ห้ามคนด่า ห้ามเสียเงิน ห้ามผิดหวัง ห้ามล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อห้ามไม่ได้แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ทุกความยากลำบากของชีวิตไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่ตั้งไว้ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ภัยอันตรายภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่คิดผิด และเรื่องราวในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับเรารู้สึกต่อเรื่องราวเช่นไร
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ วิธีอาจารย์ง่ายๆ สนใจไหม (สนใจ)  แค่ทำใจว่างๆ อะไรจะเกิดก็ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว  ฉะนั้นไม่ว่าสามีจะอยู่หรือจะไปก็ (ดีแล้ว)
ถ้าไล่เขา เขาไม่ไป อย่างนั้นก็อยู่ก็ดีแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะโลกใบนี้นะศิษย์ ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยมา อาจารย์ถามหน่อยเงาะป่ามีตั้งหลายตัว ตัวไม่ดำ แต่ทำไมเรามองเห็นตัวดำนั้นน่ารักที่สุดล่ะ (เพราะมันมีดอกไม้สีแดง)  คนมีตั้งมากมาย ทำไมเราไม่ไปรัก คนมีตั้งมากมายทำไมเขาไม่ด่า ทำไมเขามาด่าเรา มารักเรา มาเกลียดเรา มาชอบเรา ใช่ไม่ใช่เพราะบุญกรรมทำร่วมกันมา ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเมื่อเวลาบุญกรรมมันสร้างร่วมกันมา เราจะใช้บุญใช้กรรมนั้นให้หมด หรือเราจะสร้างบุญต่อ แล้วไม่ยึดติดบุญนั้นดี (สร้างบุญต่อ)  สร้างบุญต่อ ส่วนใหญ่คิดอยากสร้างบุญต่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าสร้างบุญต่อแล้วยังหวังผลแปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเจอเขาอีก ใช่ไหม (ใช่)  ถูกไหม (ถูก)  ก็จริงนะ ถ้าศิษย์เอ๋ย ขอว่าให้ฉันร่มเย็น ทำให้สวยวันสวยคืน แปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับบุญอีก แต่จริงๆ แล้ว ความหมายของการศึกษาธรรมคือทำบุญเพื่อละวางความยึดถือในตัวตน เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าอาจารย์มีตัวตน อาจารย์ตีตรงไหน อาจารย์ก็เจ็บถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์ว่างจากตัวตนที่ยึดถือ เชื่อไหมศิษย์ จะตีตรงไหนมันก็ไม่เจ็บ จะมาสุขหรือมาทุกข์ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)  เหมือนเทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์กำหนดว่ามือซ้ายนี่คือสุข มือขวานี่คือทุกข์ วันใดที่อาจารย์เหลือแต่มือซ้าย ไม่มีมือขวาอาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  อะไรนะ มือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ วันหนึ่งอาจารย์มีแต่มือสุข แต่ไม่มีมือนี้สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ถ้าอาจารย์บอกว่ามือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตัดมือขวาไปทิ้ง แล้วเหลือแต่มือซ้าย อาจารย์ถามจริงๆ ว่าศิษย์มีสุขหรือมีทุกข์ (ทุกข์)  ทำไมล่ะ ก็รู้นะว่ามีมือข้างเดียว เหมือนกันศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เรียกว่าสุข ศิษย์ลองเสวยสุขมันทุกวันๆ สิ ทำไมกลายเป็นทุกข์ วันนี้เขาก็ชม พรุ่งนี้เขาก็ชม มะรืนเขาก็ชม มะเรื่องเขาก็ชม ทั้งปีเขาก็ชม ชมอยู่อย่างเดียว  สวยๆๆๆ  ชมอย่างนี้ทุกวันจากที่สุข  เราก็จะรู้สึกว่ามันบ้า หรือเปล่านะใช่ไหม
ถ้าศิษย์เข้าใจ ก็อยากให้ศิษย์เข้าใจในหลักธรรม เพราะหลักธรรมคือความจริงของโลกที่ไม่สอนให้ศิษย์แยกตัวเองออกจากธรรม แต่สอนให้ศิษย์อยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง ความจริงสอนให้เรารู้ว่า เราอย่าแยกตัวเอง และเราอย่าพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เรียกว่าธรรม แต่จงอยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง แล้วจะมีสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบแยก ฉันอยากได้หน้าไม่อยากได้หลัง ฉะนั้นเวลาเจอศิษย์ อาจารย์ต้องให้ศิษย์เห็นแต่ด้านหน้า ห้ามให้ศิษย์เห็นด้านหลังเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ชอบความสว่างไม่ชอบความมืดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นธรรมชาติยังสอนเลยว่า ฟ้ามีมืดมีสว่าง คนอยู่กลางระหว่างฟ้าและดิน มืดกับสว่างอย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราจึงเรียกว่าชีวิต ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราอยากศึกษาธรรม ชีวิตมีสุขและมีทุกข์ ธรรมะไม่ได้สอนให้เรารักสุข เกลียดทุกข์ รักดีด่าชั่ว ธรรมสอนให้เราตั้งตนอยู่ตรงกลาง แล้วยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าสุขหรือทุกข์ด้วยหัวใจปกติ จึงเรียกว่ามีธรรม แต่มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นไหม เราชอบแยกธรรมะ ฉันต้องเอาแบบนี้ ฉันไม่เอาแบบนั้น แล้วกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วใช่ธรรมะไหม มีไหมพระพุทธองค์ มีไหมพระองค์ไหนที่ศิษย์กราบไหว้บอกว่า ให้ด่าคนชั่ว ให้แช่งคนไม่ดีมีไหม (ไม่มี)  แล้วศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม เป็นศิษย์ของพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ไหม ฉะนั้นเจอคนชั่ว ด่าหรือไม่ด่า (ไม่ด่า)  ฉะนั้นอาจารย์อยากสอนว่า ถ้าศิษย์แปรเปลี่ยนจากความโกรธเกลียดเป็นใจที่ปกติเรียกว่าศีล เรียกว่าธรรม แต่ถ้าใจมันเอียงซ้าย เรียกว่าบุญ เอียงขวาเรียกว่าบาป แต่ถ้าปกติ เรียกว่าธรรม ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ด่าก็ได้ ทุกข์ก็ได้ โกรธก็ได้ เสียก็ได้ ใจยังคงปกติ นั้นแปลว่าศิษย์เข้าถึงธรรม แต่ถ้าศิษย์ยังเอียงว่า ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เรียกว่าการก่อกรรม ไปด้านดีเรียกกรรมดี ไปด้านชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว ถ้ามากไปด้านดีเรียกว่ากรรมดี และศิษย์ยังหวังผลแปลว่า ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับกรรมดี ใช่ไหม (ใช่)
แต่ถ้าศิษย์ไปด้านชั่ว ศิษย์เกลียดเขา ด่าเขา ชิงชังเขา โกรธแค้นเขา นั่นคือศิษย์กำลังสร้างกรรมชั่ว ที่เรียกว่า วิบากกรรมหรือเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวรกรรมหนีไม่พ้นคือนรก อบายภูมิ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนอะไรกระทบ ยังเอียงดี ยังเอียงชั่ว ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาปที่เรียกว่า สนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เจอเรื่องอะไรมากระทบ ศิษย์รักษาใจปกติ เห็นชัดไม่โกรธ เห็นชัดไม่ด่า เห็นชัดไม่ลุ่มหลง รักษาใจปกติได้ นั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม เราศึกษามาตั้งนาน เราเคยเข้าถึงธรรมบ้างไหม เราวิ่งไปแต่ด้านกรรมเดี๋ยวก็ไปทำกรรมดีเดี๋ยวก็ไปทำกรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็วิ่งวนรับสนองผลกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมะไม่ได้สอนให้เราแตกแยกไม่ได้สอนให้เราขัดแย้งแต่สอนให้เรากลมกลืนสอดคล้องฉะนั้นอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมมีคนดีตลอดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมมีคนเลวตลอด (ไม่ได้)  เมื่อเราห้ามไม่ได้ห้ามเขาไม่ได้เปลี่ยนเขาไม่ได้รักษาใจตัวเองดีกว่าไหม ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้เปลี่ยนแปลงใคร แต่ธรรมะสอนให้ดูแลใจให้เข้าถึงธรรมแค่นั้นเอง เมื่อเรายอมรับความปกติได้ มันก็สงบ มันก็เย็น มันก็วาง มันก็สุข แม้โดนด่าเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  โดนคนเอาเงินไปไม่คืนเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  สามีไปไม่กลับเป็นเรื่องปกติภรรยาด่าไม่จบเป็นเรื่องปกติ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้บนโลกนี้มันมีวันหมดอายุจริงไหมล่ะ (จริง)  ด่าสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  รำคาญไปสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  ใจของมนุษย์เรา ใจเราเองเรารู้ดีโกรธมากๆ มันเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  โกรธมากๆ เหนื่อย เหนื่อยสักพักเดี๋ยวขอหยุดโกรธก่อน สักพักค่อยมาโกรธใหม่ใช่ไหม (ใช่)  มีแบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์นึกว่าโกรธแล้วจบแล้วจบกัน มีค่อยมาโกรธมาด่ามันใหม่ แบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์ตกใจมนุษย์มีโกรธภาคสองภาคสามต่อด้วยเพิ่งรู้นะ
อยากอยู่กับคนอื่นอย่างสันติสุขลองทำหัวใจให้ว่าง ไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต ไม่มีตัวตน ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่กับคนก็บังคับให้คนต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบนั้น พอเขาไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่ยึดติด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลก แล้วไม่ทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกทั้งมวล ลองทำหัวใจให้ว่าง อยู่กับเขาแบบไม่ยึดมั่นไม่คาดหวังไม่ผูกติดได้ไหม ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แม้ลูกจะเกเรก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้วันนี้จะเป็นทุกข์ไม่ใช่สุขก็ได้ แล้วศิษย์จะเข้าใจความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา ไม่ร้ายไม่ดี จะร้ายจะดีอย่างไรเราก็หนีไม่พ้นบนโลกนี้ใช่ไหม อาจารย์ขอถามหน่อย ในโลกนี้มีอะไรไม่มีคู่ มีไหม (ไม่มี)  มีค่ะอาจารย์หนูอยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้ คำว่าคู่ของอาจารย์หมายความว่า ในโลกนี้มันมีภาวะคู่เสมอ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีชมก็ต้องมีติ มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย ถูกไหม (ถูก)  มีคนหนุ่มมันก็ต้องมี (คนสาว)  ฉะนั้นคนหนุ่มสาวเกลียดคนแก่ดีไหม (ไม่ดี)  คนแก่เกลียดคนหนุ่มสาวได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า ถ้าเราเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนเกี่ยวพันกันเราจะอยู่กันอย่างกลมกลืนสอดคล้องได้ใช่ไหม ถ้าเรายึดติดว่าฉันชอบแต่คนแก่ ไม่ชอบคนสาวเราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)
เราชอบคนชมไม่ชอบคนด่าถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความเป็นจริงอะไรๆ มันก็ปกติธรรมดา การเรียนรู้ธรรมคือ หันกลับมามองว่าต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่เขา มันไม่ได้อยู่ที่ใคร หรือมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวอะไร แต่มันเกิดจากใจของเราที่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มองความจริง และไม่ยอมรับความจริง เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขก็จงยอมรับว่าแก่ก็ (ทุกข์)  ศิษย์เอยจะแก่จะเด็กก็ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าคิดไม่เป็น จริงไหม (จริง)  ถ้าแก่แล้วยังไปทำให้ตัวเองทุกข์นั้นก็คือคนโง่ น่าจะดีใจว่าชีวิตผ่านมาร้อนหนาวมาหลายปีแล้ว ยังรอดมาได้ถือว่าโชคดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  และยังโชคดีที่ได้แก่ปานนี้ แต่เด็กๆ สิน่ากลัว ไม่รู้ว่าชีวิตจะได้แก่หรือไม่ ก็ไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกคุณค่าคนแก่ เพราะมีคนแก่เราถึงได้มีชีวิตยาว ฉะนั้นถ้ารักแต่วัยหนุ่มสาวคึกคะนอง ท่านได้ตายก่อนแก่แน่ จริงไหม (จริง)  อาจารย์ถึงบอกว่าการเรียนรู้เข้าใจธรรม คือการยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนดี อย่าไปกำหนด ขอให้ตายได้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ  ถ้าเกิดมาไม่ตายทรมานนะ เกิดมาไม่เจ็บลำบากนะ จริงไหม (จริง)  อาจารย์บอกให้ถ้าเกิดมาแล้วตายเลยไม่เจ็บ ดีไหมล่ะ (ดี)  ศิษย์ลองไปถามคนที่เรียนๆ อยู่แล้วตายเลย แล้วเขาจะบอกว่าขอเจ็บก่อนเถอะ อาจารย์จะบอกให้เจ็บก่อนดีตรงไหน ความเจ็บมันเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าศิษย์กำลังผิดปกติแล้ว ศิษย์ต้องดูแลความผิดปกตินั้นให้ดี เพราะถ้าดูแลไม่ดีศิษย์จะตายโดยไม่ต้องเจ็บจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเข้าใจชีวิตมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ไหนบอกอาจารย์มา ไม่มี โดนด่ายังดีเลย โดนคนเอาเงินไปแล้วไม่คืนก็ดี ดีตรงไหนล่ะอาจารย์ ดีแล้วขอให้หมดเวรหมดกรรมกัน ชาตินี้จบพอแล้วไม่ติดหนี้กันอีกแล้ว ใช่ไหม
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าเรายอมรับความเป็นปกติของชีวิต ที่มันดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุขได้ ศิษย์จึงบังเกิดธรรม แล้วเชื่อไหมว่า กรรมจะไม่มี มันจะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างอีกแล้ว บาปไม่มีอีกแล้ว แล้วไม่ต้องพยายามทำบุญเพื่อเสวยบุญอีกต่อไป เพราะขอเท่านี้ก็พอแล้ว ดีไหม (ดี)  ทำตรงนี้ เดี๋ยวนี้ตรงนี้ได้เลย แค่ยอมรับอะไรๆ ก็ดี ดีที่ได้เรียนรู้เข้าใจ และไม่เกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป หรืออยากจะเกี่ยวกรรมอีก  (ไม่อยาก)  แต่ศิษย์มักจะบอกว่าอาจารย์บางทีคนเรายังต้องมีอารมณ์รู้สึกบ้าง จะให้รักษาใจปกติ ไม่รู้สึกมันทำใจยากนะอาจารย์ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายออกมา)  อาจารย์การจะรักษาใจให้ปกติ ไม่ให้รู้สึกอะไร มันยากนะ ถ้าอาจารย์ถามว่า จะทำอะไรก็ทำไป รู้สึกอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ก็ทำไป ก็ปล่อยอารมณ์มันออกมาเลยใช่ไหม ถ้าสมมติอาจารย์หมั่นไส้คนนี้แล้ว ตีแบบนี้ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่เป็นไรศิษย์เดี๋ยวอาจารย์ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำอะไรก็ช่างมัน ไม่รู้สึกรู้สา จิตไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้ บางทีเราเกลียดมัน เบื่อ รำคาญ ด่ามันไปเลย ทำร้ายมันไปเลยดีไหม (ไม่ดี)  เดี๋ยวค่อยมา ขอโทษนะเธอ ถ้าทำแบบนั้นมันแก้อะไรกันได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ของอาจารย์ปล่อยให้รู้สึกรู้สา สร้างเวรกรรมเต็มที่แล้วค่อยไปทำบุญที่วัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา ลบล้างใจเขาได้ไหม (ไม่ได้)   “ขอโทษนะเมื่อสักครู่ไม่ได้ตั้งใจ แค่มือพลั้งไป” หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นหยุดก่อนสร้างกรรม หรือสร้างกรรมแล้วค่อยหยุด (หยุดก่อนสร้างกรรม)  ไม่เอาอาจารย์ มันต้องรู้สึกรู้สาก่อนสิ ด่ามันให้สะใจก่อน เดี๋ยวค่อยไปสร้างบุญใช่ไหม ถูกไหม หยุดก่อน พลั้งมือ ทำร้าย เกี่ยวกรรมสร้างเวรกรรม  หรือไปสร้างเวรกรรมแล้วสร้างบุญชดเชยอะไรประเสริฐกว่ากัน ศิษย์โกรธเต็มที่ไปรักมาเต็มที่ ไปเกลียดมาเต็มที่ ไปด่ามาเต็มที่ แล้วทำบุญชดเชยทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นสู้หยุดแล้วมองอย่างเข้าใจ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่า ไม่หลง ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์มา ท่านจึงบอกว่า อย่าพยายามไปกดมัน อย่าไปพยายามบังคับมัน อย่าไปพยายามคิดถึงมัน เพราะความคิดการกด ไม่ช่วยให้เราดีขึ้น วิธีที่จะดีที่สุดคือ เปิดใจกว้าง ยอมรับความจริง ด้วยสติยั้งคิด เขาก็คือส่วนหนึ่งของธรรม เขาร้ายมากเท่าไร เราไม่ต้องทำอะไร เราก็ดีขึ้นดีขึ้น โดยไม่ต้องมีคำชม จริงไหม
สมมติว่าอาจารย์ด่าศิษย์คนนี้ว่า เลว ชั่ว อ้วน ศีรษะล้าน ใครเลว อาจารย์เลวใช่ไหม แต่ถ้าเขายืนเฉยๆ ไม่พูดอะไร แถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นอย่างไร มันสุดยอดนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น เรานิ่งได้ เราสงบได้ เราเย็นได้ เราคือผู้ที่เข้าถึงธรรม แต่คนที่กำลังโกรธ เกลียด เขากำลังตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในนรก  ฉะนั้นถ้าเราเย็นได้ ว่ามันก็แล้ว เกลียดมันก็แล้ว มันยังยิ้มอยู่อีก ศิษย์ลองปล่อยให้เขา
ด่าสัก ๑๐ วัน แล้วศิษย์ไม่โกรธเลย เชื่อไหม เราจะแปรเปลี่ยนคนที่ตกนรกให้ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยหัวใจที่ปกติ เขาก็จะหันมาถาม แกมีดีอะไรนะ ทำไมแกไม่โกรธฉันเลย ฉะนั้นจึงถามศิษย์อย่างไรล่ะ จะเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น หรือจะหยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง (หยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง)  ถ้าศิษย์หยุดได้ ศิษย์ยังแปรเปลี่ยนคนที่กำลังจะสร้างกรรมกับเราให้เขาพ้นทุกข์ได้ด้วยความเข้าใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นควรจะรู้สึก หรือไม่รู้สึกดี อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่รู้สึก แต่เข้าใจใจที่มันปกติ รู้สึกไปมันก็เจ็บ ด่าไปมันก็ทุกข์ รักมากไปมันก็เต็มไปด้วยน้ำตาจริงไหม (จริง)  หลงมากไปมันก็ตามืดบอด แล้วเราควรหรือที่จะมองเห็นแค่นี้ ถ้าเขาเป็นทุเรียน อาจารย์จะกินแต่เปลือก หรืออาจารย์จะกินเนื้อ (เนื้อ)  อย่างนั้นถ้าศิษย์เป็นคนๆ หนึ่งที่มันทำให้เราได้เห็นเนื้อ ได้เห็นแก่นแท้ เราจะมัวแต่ติดเปลือก หรือเราจะเอาให้ถึงเนื้อ เอาให้ถึงเนื้อในนั่นแหละที่แท้มันคือธรรม ที่ทำให้เราเข้าใจสัจธรรม เนื้อแท้แห่งความเป็นคนของเขาที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้ มีแต่ทุกข์ แล้วก็ว่างจากตัวตน เมื่อเราไม่ยึดมั่นได้ เมื่อนั้นแหละเราจะพบธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จำไว้นะศิษย์อะไรก็ดี ไม่นั่งก็ดี ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม ทำนองเพลง :คำสัญญาที่หาดใหญ่ ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน)
ร้องได้ไหม (ได้)  เพลงนี้เศร้านิดหนึ่งนะ เป็นเพลงที่กลั่นออกมาจากใจ ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์คนหนึ่ง เขาได้รับรู้ เพียงแค่โดนว่า เพียงแค่โดนด่า ศิษย์ก็ไม่เอาอะไรแล้วหรือ ศิษย์ก็ไม่อยากดีแล้วหรือ มันน่าเสียดายนะศิษย์นะ ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าแค่โดนว่านิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว เสียดายนะศิษย์จริงไหม
อาจารย์เอากลอนของท่านแปดเซียนมาแยกเป็นคำๆ และอาจารย์จะวงคำข้างใน ให้มีความหมายอีกความหมายหนึ่งเพื่อฝากไว้เป็นสิ่งเตือนใจศิษย์ ได้หรือไม่ (ได้)  ช่วงที่บางคนยังไม่ได้วง ตอบคำถามได้อาจารย์มีรางวัลให้เอาไหม (เอา)  แต่ถ้าเกิดรางวัลที่อาจารย์ให้ไป กินแล้วมันต้องทุกข์เอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องเจ็บเอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องตายเอาไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงนะ (ไม่เอา)  พูดจริงหรือ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเอาไม่เอา (ไม่เอา)  นักเรียนเอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามจริง ศิษย์ไม่เอาสักวันศิษย์ก็ต้องเอา ถูกไหมล่ะ (ถูก)  ศิษย์ไม่กลืนกินมันให้ได้สักวันมันก็จะกลืนกินศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้ตั้งมือยอมรับกับมันดีกว่าว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บ ความปวดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และความตายก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทุกข์ทน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะถามว่า ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ทุกข์ ตอบได้อาจารย์ให้รางวัล รางวัลที่ได้ไปแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างเป็นคนที่ไม่ทุกข์ ดีไหม (ดี)  รับมันให้ได้ มันคือใจและคือความเป็นจริงของทุกชีวิตที่ต้องเจอ ทุกชีวิตที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ดี ความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันทำให้เรามีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จริงไหม (จริง)
มีใครตอบอาจารย์ได้บ้างมีไหม (ทำใจว่างๆ)  อย่างนั้นเอาแอปเปิลว่างๆ ไปไหม (เอา)  มีใครอยากตอบอีก ถ้ารับแอปเปิลอาจารย์ไปแล้วแอปเปิลอาจารย์มันว่าง แต่แอปเปิลมันกินแล้วต้องกล้าทุกข์ กล้าเจ็บ กล้าป่วยนะ ได้ไหม ทำใจว่างๆ นะ ฉะนั้นเอาแอปเปิลนี้ไปก็จะไปแบบว่างๆ นะ (คิดแต่สิ่งดีๆ)  ถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ ศิษย์ก็มองเป็นด้านดี ใช่ไหม ก็ศิษย์บอกอาจารย์เองให้คิดด้านดี ฉะนั้นถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ก็จะไม่โกรธมองในด้านดี ใช่ไหม (ใช่)  คิดในด้านดีไว้นะศิษย์ แต่บางทีในด้านดีแม้จะมีร้ายเราก็ต้องมองให้เห็นว่ามันมีดี แล้วเราก็จะได้ไม่จมอยู่กับความแย่ใช่ไหม (มองโลกให้กว้างๆ)  มองโลกให้กว้างๆ ไม่ว่าจะบวกจะลบก็ทำใจให้ได้นะ
(ทำใจจิตว่างให้อยู่กับธรรมะ)  การจะทำจิตใจให้ว่างคือต้องมองว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ทำจิตใจให้ว่าง ถึงเวลามันว่างได้จริงๆ ไหม มัวแต่เลอะเลือนมันก็ไม่ว่างหรอกนะ ใช่ไหม (ให้อภัย)  รู้จักการให้อภัย แล้วก็ให้ธรรมแก่เขา ให้ความปราณี ให้ความเมตตา เมื่อให้ความเมตตาจะลดพยาบาท เมื่อให้ความกรุณาจะลดการเบียดเบียน
(รู้จักปล่อยวาง)  อย่างนั้นแปลว่าจะไม่รับแอปเปิลใช่ไหม รู้จักละวางทำให้ถึงที่สุดจำไว้นะศิษย์ ก่อนจะปล่อยวางศิษย์ต้องทำให้ถึงที่สุด ทำให้ถูกต้องในศีลธรรม แล้วถึงเวลาใครจะว่าใครจะชมเราต้องปล่อยวาง นี่ถึงจะเรียกว่าปล่อยวาง และละวางอย่างถูกต้อง ทำให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าไม่ทำยังปล่อยไม่ได้ จริงไหม รับผิดชอบหน้าที่ให้ดี ทำตัวเองให้มีศีลธรรม (ปลง)  ให้มันปลงได้จริงๆ เถอะถึงเวลาคิดได้ ปลงไม่ตกก็มีใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดไม่ได้ มันก็ปลงไม่ตก แต่เรื่องของอารมณ์ต้องใช้สติ อย่าใช้ความคิด กับคนบางคนต้องคิดให้ได้ปลงให้ตก แต่กับเรื่องของหัวใจต้องใช้สติยั้งคิด ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์
(รู้จักให้อภัย)  ก่อนจะให้อภัย แปลว่าต้องโกรธเขาแล้วถึงจะพยายามให้อภัยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์ยังรู้สึกว่ายังต้องให้อภัยแปลว่าลึกๆ ในใจศิษย์ยังโกรธอยู่ แต่ถ้าศิษย์ใช้ความเมตตา ใช้ความเข้าใจ ไม่ต้องอภัย ใช้ความเข้าใจใช้ความเมตตา จะดีกว่านะ (สามารถค้นหาและทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะทำ อันนี้คือเปิดเผยมาก แต่ความสุขเหล่านั้นของเรามันเป็นความสุขที่ห้ามไปเบียดเบียน หรือไปทำร้ายคนรอบข้างเราหรือคนอื่น ก็คือเรามีความสุขได้ ก็คือทำอะไรก็ได้โดยที่แบบไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องมีอะไรมากีดกัน)  ความหมายของศิษย์ก็คือทำในสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าความสุข แต่ความสุขนั้น ต้องไม่ตั้งอยู่บนการเบียดเบียน คดโกงหรือทำร้ายใคร ใช่หรือ ไม่ ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ตอบได้ดีนะ ตอบได้ดี มีใครตอบอีกไหม (เข้าใจค่ะ เข้าใจในที่นี้ก็คือ เราต้องเข้าใจก็คือ เริ่มจากเข้าใจตัวเราเองก่อน เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจธรรมชาติของทุกอย่าง เข้าใจคนอื่นมีความเข้าใจค่ะ)  เพราะใจของคนเหมือนกันทุกคน รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนพูดดีไม่ชอบคนพูดร้าย ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนเคารพให้เกียรติ ฉะนั้นถ้าเราเอาใจของเราตรงนี้ ไปปฏิบัติกับผู้อื่น เราก็จะเข้าใจคน และเราก็จะไม่เอาสิ่งนั้นไปทำร้ายคน ใช่ไหม หน้าตาเหมือนไม่ยอมรับเลยนะ
(มีสติแล้วก็อดทนกับสิ่งที่มากระทบ)  แต่ระวังนะ บางทีความอดทนมันก็มีจำกัดนะ อาจารย์อยากบอกศิษย์ เปิดใจให้กว้างแล้วกล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และยอมรับความเป็นจริง ไม่ต้องใช้คำว่า “อดทน” แต่ใช้คำว่า “พยายามเข้าใจ” เพราะอดทนมันมีขีดจำกัดจริงไหม (จริง)  (อยู่กับความจริง)  ทำให้ได้อย่างนั้นนะ อยู่กับความจริง ห้ามอยู่กับสิ่งที่คาดหวังในใจ เขาไม่รักก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่รัก เขาได้แค่นี้ก็ต้องยอมรับว่าแค่นี้ (มองโลกในแง่ดี)  แต่ศิษย์จำไว้นะ บางทีแม้โลกมันจะมีดีมีร้าย แต่จงจำไว้ว่า “ลองหาดีในร้ายให้เจอ” แล้วเราจะไม่ได้ทุกข์กับมัน และในดีเราลองมองให้ดีว่ามันก็มีร้าย เราจะได้ไม่หลงกับมันเกินไป
(ที่เป็นทุกข์ก็เพราะว่าไม่เข้าใจตัวเอง)  ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง แล้วอยากให้อาจารย์ปลดทุกข์ให้ใช่ไหม แล้วเราเคยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายบ้างไหม เราเคยยอมคนได้ไหม ถ้าอยากเข้าใจ อยากปลดทุกข์ ถามตัวเองก่อนยอมคนเป็นไหม ให้เขาโดยไม่หวังผลได้ไหม ถ้าทำได้แบบนี้ศิษย์ก็ไม่ทุกข์หรอก มนุษย์ทำอะไรชอบหวังผล ทำอะไรชอบเอาชนะ ทำอะไรชอบถือทิฐิอัตตาตัวตนมันเลยทุกข์ใช่ไหม (รักษาใจให้ปกติ)  รักษาใจให้ปกติดีนะ
(ต้องตั้งสติ ทำดี มองในแง่ดี)  ตั้งสติ คิดดี ทำดี แล้วก็ต้องละชั่วให้ได้ด้วย ใช่ไหม ละกิเลสอารมณ์ที่เป็นต้นเหตุที่มาทำให้เราทำผิดคิดร้ายให้ได้ด้วยนะศิษย์ คิดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่วก็เปล่าประโยชน์นะ (ต่างคนต่างอยู่ไม่จองเวรจองกรรม)  ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายเราล่ะ (เย็นไว้)  แล้วถ้าเขายังทำอีกล่ะ (นับหนึ่งถึงสิบ)  ถ้าเกิดเขายังทำอีกล่ะ ก็คิดเสียว่าเราจะได้จบเวรจบกรรมกันนะ ให้อภัยเขาก็ได้สันติใช่ไหม (แผ่เมตตา)  รักษาจิตจำไว้ศิษย์ ใครจะทำอะไรไม่ต้องไปสนใจ รักษาจิตของเราให้ปกติยกใจให้สูงให้ได้ อย่าทำให้เขาทำร้ายเราทั้งกายและใจ ให้เรามีกรรมแค่สังขาร แต่ไม่มีกรรมทางใจให้เขาทำร้ายเราได้แค่กายแต่ไม่ทำร้ายใจทำให้ได้นะ
(ต้องมีความอดทนอดกลั้นควบคุมอารมณ์ของเราเองให้ได้)  ถ้ารู้จักพอ เราก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าไม่พอก็ต้องอดทนอดกลั้นไปตลอดนะใช่ไหม (ยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามีอะไรมากระทบ)  ให้ได้อย่างนั้นนะ (คิดดีพูดดีไม่พูดให้คนอื่นเสียใจ)  คิดดีพูดดีไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ แต่อย่าเผลอพลั้งอารมณ์ เพราะถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์นั่นแหละ จะทำให้เราคนดีกลายเป็นคนร้ายได้เสมอ จริงไหม (ตัดกิเลสจากใจเราให้ได้ก่อน)  แต่ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ้นทุกข์ได้ก็สิ้นกิเลสได้ แต่สิ้นกิเลสได้อาจจะไม่สิ้นทุกข์ก็ได้ ลองพิจารณาคำของอาจารย์ให้ดีนะจริงไหม
(ผิดก็ยอมรับผิด) ตอบได้ดีนะ จิตสำนึกที่ดีงามเป็นโอกาสที่จะทำให้เราแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งมวลได้ แค่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช้ความเมตตาปราณี)  เมื่อเมตตาจะไม่พยาบาท เมื่อกรุณาจะไม่เบียดเบียน เมื่อยินดีในเขาเป็นสุขจะไม่ริษยา เมื่อวางใจเป็นกลางจะไม่ยึดติดถือดี มีความอดทนอดกลั้น ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่าพรหมวิหารสี่ (เป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ)  ตอบได้ดีทำให้ได้อย่างนั้นนะ และจงจำไว้ว่าสิ่งที่เราทำให้ ไม่ใช่ต้องการให้คนชม แต่เราทำเพราะเราอยากหนีห่างจากความชั่ว และขอเป็นคนทำดีแบบปิดทองหลังพระ มีธรรมะไว้ในจิตใจ กราบพระจงอย่าเห็นแต่ความสวย แต่จงเอาธรรมะกล่อมเกลาใจนะ
(ต้องทำใจให้เย็น)  ต้องทำใจให้เย็น ไม่ว่าน้ำจะกลายเป็นน้ำเดือดก็ตาม ก็ต้องกลับมาเย็นให้ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไร ถ้ามันเดือดร้อน วู่วาม นิ่งก่อน นิ่งจะทำให้เกิดสติ แต่ถ้าร้ายมา ร้ายกลับมันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย และเป็นอารมณ์ ฉะนั้นจงหยุดให้เป็น จงเย็นให้ได้ ใช่ไหม เพราะถ้าชีวิตคนหยุดไม่เป็นก็ไม่มีวันเย็นได้
(ตั้งใจทำความดี)  แต่ทำความดีต้องลดละการเบียดเบียนชีวิตนะ (ต้องมีเมตตา มีสติ ขอบคุณทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
(อยู่อย่างพอเพียงและเพียงพอ)  แล้วเมื่อไรจะพอเพียงและเพียงพอจะได้ไม่ทำร้ายร่างกาย ทำให้ได้นะ
(ตั้งสติ ปล่อยวาง ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย)  ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด มีศีลมีธรรม ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว รักษาจิตของตัวเองให้ดีนะ
(ยอมรับความจริงเปิดใจให้กว้าง)  ถ้าเกิดคนนั้นเป็นลูกเรา คนนี้เป็นเพื่อนบ้านเรา เข้าข้างใครมากกว่ากัน
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ทำให้ได้อย่างนั้นเถอะนะ กลัวถึงเวลาทำไม่ได้ อยู่อย่างไม่เบียดเบียนคือไม่ฆ่าเขาเพื่อชีวิตเรา ใช่ไหม
(สอนลูกและสามีให้เดินในทางที่ดี) ขอให้ยิ้มให้เก่งก็พอนะ เพราะบางทีสอนไปมากๆ เขาก็ไม่ฟังนะศิษย์เอ๋ย สู้การทำให้ดูดีกว่า
(ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น) แค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในข้างหน้านี้ให้ดี แล้ว ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ต้องขยันรู้ไหม
(รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน)  ถ้อยทีถ้อยอาศัย เคารพให้เกียรตินะ  (อยู่อย่างมีเหตุผล)  บางครั้งเหตุผลของเราก็ถูก แต่เหตุผลของคนมักง่ายที่จะเข้าข้างตัวเอง เพราะคนทุกคนต่างมีเหตุผล ใช่ไหม เปิดใจให้กว้างยอมรับแค่นี้ให้ได้ แม้เขาจะเป็นได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม
(เป็นคนที่สงสารเพื่อน สงสารและก็เอ็นดูด้วย ทำให้มีความสุขใจไม่เกิดทุกข์)  รู้จักมีจิตที่สงสาร จิตที่สงสารจะทำให้เราไม่เบียดเบียนใครนะจำคำของอาจารย์ไว้ จิตที่รู้จักสงสาร จิตที่รู้จักมีเมตตา จะมีแต่ให้และไม่เบียดเบียนใคร รักษาใจนี้ไว้นะ (การให้ที่สำคัญคือการให้อภัย แล้วก็มีสติ อย่าใช้อารมณ์ก่อนพูดเสมอ) ทำให้ได้นะ (ถือศีลห้าอยู่ที่บ้าน ทำจิตให้ว่างอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด)  ศีลห้าครบจริงๆ หรือไม่โกหกจริงๆ หรือ ยุงไม่ตบจริงๆ หรือ (ยอมรับความจริงของตัวเอง แล้วยอมรับความจริงของคนอื่น ไม่คาดหวังและตีกรอบคนอื่น)  ทำให้ได้นะไม่เสียทีที่ฟังอาจารย์
(อย่าไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นทุกข์)  ใช่ถ้ายอมรับมัน บางทีความทุกข์มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต และบางทีความทุกข์นั่นแหละ ทำให้เรามีชีวิตจริงไหม (จริง)  ถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักชีวิตหรือ จริงไหมศิษย์ (จริง)  เพราะรู้สึกจึงทุกข์ แต่ถ้าเราไม่รู้สึก เราไม่ทุกข์ นั่นแหละแปลว่าชีวิตเราไม่มีแล้ว จริงไหม (จริง)  (ทำใจให้เป็นปกติ เพราะว่าทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นเรื่องปกติทั้งนั้นเลย)  ใช่ ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงไม่หวั่นไหว ความเห็นแจ้งในสรรพสิ่งคือปัญญาที่ตื่นรู้ ถ้าทำได้ในทุกข์ขณะจิต เราก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในตัวเรานั่นเอง (อดทนอย่างมีสติ)  รุ่นนี้ยังต้องอดทนอีกหรือ น่าจะเข้าใจโลกได้มากขึ้นนะ ใช่ไหม เด็กๆ เขาใช้ความอดทนไม่เท่าไร  แต่ถ้ารุ่นนี้ยังต้องอดทนนี้ต้องคิดหนักแล้วนะ (การเรียนรู้ทุกข์ได้สุขเป็นกำไร)  ปล่อยวางเรียนรู้ได้สุขเป็นกำไร ตอบเป็นกลอนเลยนะ แต่ก่อนจะปล่อยวาง ทำให้ดีที่สุด อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นี่แหละเรียกว่าหนทางของการปล่อยวางที่แท้จริง เข้าใจไหม (เปิดใจให้กว้าง ทำจิตใจให้ปกติ เพื่อเข้าถึงหลักธรรม)  จริงๆ ใจมนุษย์ปกติอยู่แล้วจริงไหม แต่พอโดนกระทบทางตา ทางหู มันเลยไม่ปกติ แล้วใจมันยึดติดมั่นหมาย มันก็เลยมองอะไรไม่ปกติ ใช่ไหม (นักเรียนชายคนหนึ่งยืนขึ้นและหัวเราะ)  ขอให้หัวเราะอย่างนี้ตลอดนะ เพราะตั้งแต่อาจารย์มา คนนี้ก็หัวเราะไม่หยุดเลย ฉะนั้นโดนด่าก็ (หัวเราะ)  เจ็บป่วยก็ (หัวเราะ)  ภรรยาหนีไปก็ (หัวเราะ)  หัวเราะไม่ได้ ต้องมีสติ (ทำจิตให้ว่างแล้วหยุดที่ใจเรา) 
แต่จิตของมนุษย์ไม่เคยว่าง ใช่หรือไม่ ชอบมีความเป็นตัวตนเข้ามาอยู่ แต่อาจารย์จะบอกโดยแท้จริงว่า จิตเดิมแท้นั้นว่าง แต่ใจแห่งความเป็นตัวตนมาบดบังจิตเดิมแท้ จึงทำให้เรามองไม่เห็นความจริง แต่ถ้าเมื่อไรเราวางอัตตาตัวตน เมื่อนั้นล่ะมนุษย์ว่างโดยแท้จริง และกำลังเดินกลับไปสู่ความว่างจริงไหม
(ไม่ยึดติดจากการเห็นหรือได้ยิน)  หยุดตั้งแต่ผัสสะ ผัสสะแปลว่ารู้สึก เห็นแล้วไม่ก่อเกิดเป็นความรู้สึก มันหยุดแค่นั้น เหมือนที่เรียกว่า รูปก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฉะนั้นถ้าเห็นเป็นแค่รูปแล้วไม่เกิดสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ มันก็ไม่กลายเป็นเวทนา สังขาร วิญญาณ ภพชาติ ชรา มรณา มันหยุดการเกิดได้อาจารย์พูดยากเข้าใจไหม
(ปล่อยวางทุกอย่าง)  ศิษย์คนสุดท้ายตอบอาจารย์น่ารักปล่อยวางทุกอย่าง แปลว่าแอปเปิลเขาก็ไม่เอาใช่ไหม บอกปล่อยวางทุกอย่างแต่ตามองแอปเปิลไม่ห่างเลย
(เลิกจากการกระทำความชั่ว ทำแต่ความดีทำ จิตใจให้บริสุทธิ์)  แล้วการจะเลิกชั่วได้คืออะไร (ไม่ผิดศีลธรรม)  ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ธรรมนั้นไม่ได้เกิดจากการที่อาจารย์ยัดเยียดให้ศิษย์ แต่ศิษย์ต้องบังเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตัวเอง แล้วออกมาจากตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(อยู่แบบเป็นกลาง)  รักษาใจให้เป็นกลาง หรือเรียกว่าหนทางแห่งทางสายกลาง ใช่ไหม จริงๆ มนุษย์มีทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจของเรามักชอบเอียงเอน มองแค่นี้แต่ไม่มองให้กว้างๆ เหมือนวันนี้อาจารย์ถามง่ายๆ
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างหัวหน้าชั้นกับนักเรียนในชั้นยืนเรียงกันสามคน)
มนุษย์เรามีความเป็นกลางอยู่เสมอ แต่เรามักจะชอบเห็นแค่นี้เหมือนเรามองอย่างนี้ เรามองแค่นี้ ใช่ไหมแต่จริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางอยู่ทุกขณะ มีคนที่สูงกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่แย่กว่า มีคนที่ร้ายกว่า ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรามองอยู่ทุกขณะเราจะไม่จมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เราจะเปิดใจกว้าง แต่มนุษย์ไม่ใช่พอเจอเรื่องนี้มาปุ๊บก็จมอยู่แค่เรื่องนี้แล้วก็ตายเพราะเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงๆ มันยังมีอีกหลายเรื่องแต่เราเคยเปิดกว้างดูไหม
(พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน)
อาจารย์ขอเอาพระโอวาทซ้อนครั้งที่แล้วมาต่อกันนะ ต่อกันจะได้คำว่า “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้” ถ้าจิตใจสงบ เราจะควบคุมและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มาแวดล้อมได้ แต่ถ้าจิตไม่สงบ เราจะถูกสิ่งที่แวดล้อมเปลี่ยนแปลงใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นลองเอากลอนที่อาจารย์ให้ ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรมดีไหม (ดี) ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วใช่ไหม พระโอวาทซ้อนนี้มีกลอนอยู่ข้างใน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลาศิษย์แล้วนะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนมองไม่เห็นความจริง อย่ายึดมั่นกับสิ่งที่คาดหวัง จนลืมมองสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนคือสิ่งที่เป็นจริง ยอมรับได้ก็หมดทุกข์ได้ ถ้าไม่ยอมรับเราก็ทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใดที่เข้าใจในความธรรมดานั้นจนบังเกิดธรรม จนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นตัวตนได้ คนนั้นก็สามารถกลับคืนสู่สภาวธรรมแห่งความว่างได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่น่าเสียดายที่หลายคนๆ ฟังอาจารย์ไปแล้วก็เบื่อ ไม่ได้อะไรนะ ใช่ไหม คนเราเกิดมาล้วนต่างมีบุญที่ดีใช่หรือไม่ แล้วทำไมจึงไม่รักษาบุญโอกาสที่ดีอันนั้น อย่าปล่อยชีวิตจมอยู่กับความประมาท และปล่อยชีวิตจมอยู่กับการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ จนลืมความดีงามแห่งหัวใจ มนุษย์ดีงามได้เพราะ ซื่อตรง เที่ยงตรง โดยเฉพาะถ้าทำงานขาดความซื่อตรง ขาดความเที่ยงตรง คนๆ  นั้นก็ยากมีชีวิตที่ยั่งยืนยาวได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานราชการเป็นทหาร เขาว่ากันว่ามีเทพคุ้มครอง แต่เทพจะคุ้มครองคนที่ทำงานราชการด้วยหัวใจที่ซื่อตรง แต่ถ้าไม่ซื่อตรงเทพก็ไม่คุ้มครอง พญามาร ผี ก็จะมาจองเวรจองกรรมจริงไหม ต้องถามตัวศิษย์เองว่าซื่อตรงหรือยัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ฝากเพลงนี้ไปให้ใครคนหนึ่งที่เขาทิ้งอาจารย์ หรือว่าใครสักคนหนึ่งที่วันนี้อยู่กับอาจารย์ แต่วันหน้าไม่กลับมาแล้วดีไหม ใครที่คิดว่ามาสองวันนี้แล้วไม่เจออาจารย์แล้วก็ลองเอาไปพิจารณาดู เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญ ต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่หวาดกลัวใช่ไหม มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง และรู้จักทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ใช่ไหม ไปแล้วนะ สามัคคีกันหรือยัง เข้มแข็งนะ อาจารย์อยากเห็นคนที่หาดใหญ่สามัคคีกันได้ไหม ทำงานฟ้าไม่กลัวลำบาก ทำงานฟ้าไม่กลัวทุกข์ หัวใจอะไรเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เป็นแบบนี้ ทำงานฟ้าจงแบกหัวใจที่ยิ่งใหญ่ กล้ายอมรับ รู้จักเคารพให้เกียรติผู้คน และก็จงทำงานอยู่กับผู้คนด้วยหัวใจที่เสียสละยากไหม
ศิษย์เอ๋ย จิตสำนึกจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่เราเคยทำกับคนอื่นเขามา ฉะนั้นศิษย์ต้องกล้าชดใช้กรรม ยอมรับผลกรรมเราที่ก่อ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักสำนึก กรรมเวรนั้นมันก็ไม่มีวันหายไปได้ ฉะนั้นรับแล้วก็ต้องสำนึกร่วมผิดด้วยว่าตัวเองไปทำอะไรเขามา เราถึงเป็นแบบนี้ จริงไหม ถ้าไม่เบียดเบียนทำร้ายเขา เขาจะมาเบียดเบียนทำร้ายเราไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติที่จะเข้าใจ ความเป็นจริงของชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เข้มแข็งให้ได้ ความอ่อนแอมีได้ แต่เราก็ต้องกลับมาเข้มแข็งให้ได้นะ เพราะคนเราเกิดมา มาคนเดียวเราก็ต้องกลับคนเดียว มาตัวเปล่าเราก็ต้องกลับตัวเปล่า ไม่มีใครไปกับเราได้ นอกจากหัวใจที่ตื่นรู้แห่งความจริงเท่านั้น ใช่ไหม แต่เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์นะ ทำให้ได้นะ รู้จักศึกษาธรรม ธรรมที่แท้จริงและเป็นความรักอยู่ในใจเรา รักษาใจแห่งรักให้ได้นะ ทำให้ได้นะ ศิษย์เอ๋ย รักษาจิตใจที่ดีงามด้วยการปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิด อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายชีวิตนะ เข้าใจไหม รู้เรื่องไหม
มีโอกาสมาฟังให้ครบดีไหม จะได้เข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจอาจารย์ แต่เข้าใจว่าชีวิตที่เกิดมาเป็นธรรม เพราะชีวิตหนีไม่พ้นธรรม ธรรมแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต้องเข้าใจในทุกข์ สุข แต่เราจะอยู่ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ สุข ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่วิ่งวุ่น แต่ลืมค้นหาใจที่แท้จริงของตัวเอง ถ้าเราหวังแต่จะให้คนอื่นมาเติมเต็ม แต่ตัวเองไม่เคยเติมเต็มใจตัวเองได้เลย ความทุกข์ก็เกิดจากใจเราจริงไหม สามัคคีให้อาจารย์ได้ไหม ตั้งใจบำเพ็ญ หนทางบำเพ็ญที่แท้จริง คืออุทิศ เสียสละ เวลาตัวเองเพื่อผู้อื่น ชีวิตของศิษย์ หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มั่นคงในการช่วยเหลือโปรดผู้คน ต้องมีอยู่ในศิษย์เสมอ ไม่หาย ไม่จาง ไม่คลาย ด้วยความมั่นคง ศิษย์ทำดีหรือยัง ความคิดศิษย์ยังชอบฟุ้งซ่าน ฉะนั้นมีเวลาว่างสวดมนต์ให้เยอะๆ กราบพระขอขมาให้เยอะๆ เลิกฟุ้งซ่าน ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเป็นทุกข์ และตัวเองก็เป็นทุกข์ใช่ไหม
สมัครสมาน ดูแลจิตใจของศิษย์ให้ดีงาม ให้ถูกต้อง ด้วยหัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คน แม้ตัวเองจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร ได้ไหม ศิษย์คือลูกศิษย์อาจารย์จี้กง หัวใจของอาจารย์จี้กงคืออนุเคราะห์ปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรม เอาหัวใจนี้ไปนะ หัวใจที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรมจนลืมความเป็นตัวตนเหลือแต่ธรรม ที่จะเอาไปให้เขา ทำได้เช่นนี้ศิษย์ก็คือคนที่มีหัวใจแห่งพระพุทธะ ทำให้ได้นะ ได้ไหมหัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มองเห็นความเป็นจริงในโลกนี้ว่า โลกนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ภัยภายนอกยังไม่น่ากลัวและโหดร้ายเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักคิดอยู่ในศีลในธรรม จริงหรือไม่ มงคลใดจะดีงาม ก็ไม่สู้จิตที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้แข็งแรงหรือ หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้โชคดีไม่ซวยหรือ แต่ถ้าศิษย์ยังคิดไม่เป็น เอาแต่เที่ยวไม่รู้จักรับผิดชอบ ไม่รู้จักทำมาหากิน มันก็ไม่มีมงคลหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักรับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รู้จักมีศีลมีธรรม มงคลนั้นประเสริฐยิ่งกว่าอาจารย์ตีหัวอีก ฉะนั้นจงรู้จักทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ไม่ใช่แค่อาจารย์ตบแล้วมันจะดี แต่ถ้าตบวันนี้ดีแต่ใจมันคิดร้าย ตบไปมันก็เจ็บเปล่าๆ
คนในโลกน่ากลัวเพราะอะไร น่ากลัวเพราะไม่รู้จักยับยั้งความคิด อารมณ์ตัวเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ ทุกชีวิตหนีไม่พ้นต้องกลับคืนสู่ความตาย และความตายนั้นคือความว่าง แต่เราจงว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะแห่งทุกข์อีกต่อไป ว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เข้าใจปริศนาธรรมที่อาจารย์พูดไหม
อยู่อย่างคน ทำให้ดีที่สุด ยืมใช้ถึงเวลาก็ปล่อยวาง อย่าอยู่อย่างคนที่มีแต่ความอยาก อย่าอยู่อย่างคนที่ถมอยากไม่เต็ม มันมีแต่ทุกข์จริงไหม เราสุขได้ด้วยตัวเองถ้าพอ แค่นี้ ขอบคุณ ดีแล้ว จริงไหม มันอิ่มโดยที่ไม่ต้องรออะไรมาเติม มันสุขได้โดยที่แม้ไม่มีใคร เราก็สุขได้ เพราะถึงที่สุดทุกคนต้องกลับคนเดียวทุกคนก็กลับไปสู่ความไม่มี แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม แล้วจะยึดความโกรธ ความเกลียดเป็นอบายภูมิให้เราเวียนว่ายต่อไปทำไม ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ไม่ใช่ต้องการให้ศิษย์มาเคารพอาจารย์ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักเคารพธรรมในตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่เป็นพุทธะ เป็นคนดีได้ ไม่ต้องไหว้อาจารย์ ทำดีจนตัวเอง หรือคนอื่นกล้ายกมือไหว้ศิษย์จากใจนั่นแหละ ศิษย์เข้าถึงธรรมได้ระดับหนึ่งแล้วจริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้”
     หยุดเขาหรือหยุดใจตน                         หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                                        ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                                       ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                               สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                   ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                            ความมีคือหลงวุ่นวาย
     ชีวิตคนดำเนินไปไวเร่งรีบ                     ใจถูกบีบให้เป็นทุกข์หมดทางหนี
ใช้หัวใจแห่งปัญญาคู่ความดี                       แม้ถูกจี้ให้ทำชั่วอย่าเผลอใจ
สงบเป็นเย็นได้ไม่มีทุกข์                            วางเป็นสุขก่อนลืมจะดีไหม
ไม่ใช้โกรธเช้าสายบ่ายค่ำหายไป                  แต่ให้ใจปกติอยู่กับธรรม
หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา