แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศรัทธา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศรัทธา แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2541

2541-09-26 พุทธสถานสกุลสงน้อย (หมิงเฉิง) จ.ตาก


PDF 2541-09-26-หมิงเฉิง #17.pdf

#งานบุกเบิก  #ความศรัทธา  #ความลังเลสงสัย  #โลภโกรธหลง  #เปิดหมิงเฉิง 


วันเสาร์ที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑         พุทธสถานสกุลสงน้อย  บ.แม่ระวาน จ.ตาก
                                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  กาลเวลาล่วงเลยมาสางเป็นสาย           จากเด็กน้อยเคยสบายกลายทุกข์ขม
ความสุขไหนจะจีรังไร้ทุกข์ตรม                ขอน้องข่มใจคิดด้วยปัญญา
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                      ลงสู่พุทธสถาน    เคียมคัล
องค์มารดา              ถามน้องพี่ชายหญิงสราญฤๅ
                            ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา     ฮวา   ฮวา

  ด้วยเวลาแห่งชีวิตผ่านรวดเร็ว              เป็นเปลวเทียนหลอมตนเองย่อมสูญสิ้น
เวลาที่ผ่านได้ใช้ทั้งดื่มกิน                      เป็นอาจิณแล้วคุณค่าสร้างหรือไม่
คิดแต่ว่าตนเองปุถุชน                         คิดผู้คนสร้างคุณค่าพุทธะได้
บำเพ็ญตนสะอาดเกลี้ยงทั้งกายใจ           ทั้งนอกในไร้มลทินธุลีแฝง
ในบัดนี้โอกาสดีรู้ทางกลับ                    ขอให้นับชีวิตนี้กี่ปีคง
ขอให้รู้ฝึกตนทางสายตรง                     ด้วยใจคงความศรัทธาไม่ลังเล
เวียนเกิดดับเกิดตายมาหลายภพ             ขอคิดจบวนเวียนบ่วงกรรมนี้
ขอให้รู้ใช้เวลาที่ตนมี                           ใช้ชีวิตให้พอดีพอสมควร
ฟ้าส่งมาสายทองนาวาแกร่ง                  จงใจแข็งต่อกิเลสที่ยั่วเย้า
ด้วยทุกคนเป็นพุทธะแต่ก่อนเก่า              ฟื้นญาณเราจากอับแสงคืนสว่าง
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม                  ขอให้นำจิตใจใส่ใจยิ่ง
สละเวลาด้วยตั้งใจศรัทธาจริง                   แลตั้งใจทิ้งกิเลสที่รังควาน
หากจิตใจใสสะอาดนิพพานใกล้                หากกายได้เบาใสคืนสู่ฟ้า
ธรรมะแท้ปฏิบัติแท้ไม่ลวงตา                    วิริยะนำพาคืนบ้านเรา
อันปฏิบัติเกิดขึ้นจากเข้าใจแล้ว                 น้องลงแรงมิคลาดแคล้วศึกษาก่อน
แม้ชีวิตที่เป็นอยู่ดิ้นรนร้อน                       แต่จงผ่อน ณ ใจให้เบาดี
ในสองวันจงตั้งใจมาให้ครบ                     ประชุมจบนำเวไนยให้คืนบ้าน
วัฏสงสารเป็นที่สุดแห่งทรมาน                   อย่าปล่อยผ่านเพราะตนไม่สละเวลา
น้องต่างมีบุญสัมพันธ์กับพุทธะ                 อย่าลดละต่อการเดินแห่งเวลา
ด้วยใจตนน่ากลัวยิ่งเปลี่ยนเร็วหนา             ขอรู้ค่าธรรมที่รับเกินประมาณ
ขอตั้งใจอยู่ให้ครบทั้งสองวัน                    เวลาผ่านอายุมากไม้ใกล้ฝั่ง
ตนวันนี้ยังมีซึ่งพลัง                               ขอให้ยังรู้บำเพ็ญเจริญไกล
อย่าได้คิดสองสามใจไว้ลังเล                    อย่าหักเหเพราะคำคนนั้นลือเล่า
ขอศึกษารู้แจ้งเองอย่าดูเบา                     แล้วเร่งก้าวให้ท่วงทันอย่าช้าเกิน
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป                  ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น
ขอศิษย์น้องยิ่งนานวันยิ่งเลื่อนขั้น               สลัดคราบปุถุชนนั้นสู่พุทธะ
จงรักษาพุทธระเบียบให้จงดี                    บรรพชนมีอยู่ร่วมส่งกุศล
ตั้งใจฟังให้เข้าใจสู่แยบยล                       จงเป็นคนนำบรรพชนสู่นิพพาน
                                                    จรดวางพู่กันลงยืนข้างเคียง
                                                                                    ฮวา  ฮวา  หยุด




วันเสาร์ที่ ๒๖ กันยายน  พุทธศักราช ๒๕๔๑       พุทธสถานสกุล สงน้อย  บ.แม่ระวาน จ.ตาก
พระโอวาทพระนาจา

  งานบุกเบิกต้องเหน็ดเหนื่อยมิได้พัก             ผู้เป็นหลักเสียสละเมตตาล้วน
หว่านเมล็ดใช้เหงื่อรดสองมือพรวน                รู้นิ่มนวลและเข้มแข็งตามโอกาส
                   เราคือ
  ¶} ¸ô ¥ý ¾W  (ไคลู่เซียนฟง)          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                      ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                             ถามศิษย์น้องทุกท่านสบายดีไหม

  บุกเบิกนำถากถางทางสะดวก                  มิลวกลวกหรือถือมั่นปรารถนา
ปัญหารู้นำพลิกแพลงเรื่องนานา                   อารมณ์มาขัดใจไม่ขัดตาม
อยู่ร่วมกันสำรวมน้อยประมาทยิ่ง                 ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร[๑]อย่ามองข้าม
กระดาษไฟจะมากน้อยต้องลาม                  ครองพยายามตั้งใจดั่งปองเลิกวน
ขัดเกลาจิตทีละหน่อยย่อมสำเร็จ                  ความรู้เข็ดสามารถพาบำเพ็ญพ้น
กระจ่างบวกลงแรงกำเนิดปลายต้น               เสมอเหมือนกล้าได้ฝนรุดเติบโต
เวลาแห่งชีวิตคนนั้นสั้นนัก                         โลภโกรธรักตัดแล้วตามอาวุโส
บำเพ็ญอย่างเรียบง่ายไม่อวดโอ้                   แลมิโล้ตามลมแห่งชะตา
                                                                                         ฮิ  ฮิ   หยุด



          เบื่อไปไยชีวิตดีดี  ประหนึ่งราตรีรอแสงยาวไกล  เนิ่นนานล้าแล้วไม่หยุดทุกข์ใจ  เชื่อไหมลองปล่อยดู
          คนบางคนเป็นทุกข์ทั้งใจ  ปอดไปไยความทุกข์ก็ครู  จะล้มไม่ล้มเดินโยกเหมือนปู  โปรดสู้สู้ดูก่อน
*        เพราะรักตนเองจนเกินไป  จึงหลงจนใจ จึงทุกข์มิผ่อน  หนีความจริงหิงสา[๒] พาจร  หากผิดก็จะผ่อนผัดเหมือนเคยมา
          ผิดหน่อยทุกวันสั่งสมเคยชิน  ติดปีกบินไม่พ้นชะตา  ต้องขวัญหนีหายชีพแค่พริบตา  อย่าช้าบำเพ็ญเถอะ
เพลง : ต้องกล้าสู้ความจริง
ทำนองเพลง : เต่ากับกระต่าย




พระโอวาทพระนาจา

(.บรรยาย : งานประชุมธรรมเป็นงานที่จัดขึ้นร่วมกันระหว่างฟ้าดินและมนุษย์ จึงสั่นสะเทือนไปถึงสามภพ)
แล้วอะไรที่สั่นสะเทือนถึงสามภพ มีแต่ความไม่ดีสั่นสะเทือนไปถึงสามภพใช่หรือไม่ (ไม่ใช่แล้วคำกล่าวที่ว่าต้องทำให้สั่นสะเทือนไปถึงสามภพนั้นทำอย่างไร (ทำความดี) แล้วเคยคิดว่าทำความดีทำให้โลกนี้สั่นสะเทือนได้หรือเปล่า สิ่งที่สั่นสะเทือนนี้ไม่ใช่แผ่นดิน ภูเขา หรือบ้านที่สั่นสะเทือนนะ แต่ต้องทำความดีแล้วสั่นสะเทือน แล้วความชั่วร้ายสามารถทำให้โลกนี้สั่นสะเทือนหรือสั่นสะเทือนไปถึงสามภพได้หรือเปล่า
ถ้ามีผู้ที่คิดร้ายต่อท่านคนหนึ่ง เขามีอำนาจและมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ เขาก็สามารถทำให้โลกทั้งโลกสั่นสะเทือนได้ใช่หรือเปล่า ตัวเรายืนอยู่เฉยๆ ก็สั่นสะเทือนได้เหมือนกันหรือที่เรียกว่าอกสั่นขวัญแขวนใช่หรือไม่ เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดไกลถึงสามภพ ถ้าเราทำดีจิตใจก็อิ่มเอิบสบายใจ แต่ถ้าเราคิดทำความชั่วทำเรื่องเลวร้ายตัวเราก็ไม่สบายใจ เพราะเราทำความชั่วทำสิ่งไม่ดีไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราอยากมีชีวิตอยู่อย่างอิ่มเอิบใจสบายใจ เราก็ต้องรู้จักหมั่นทำความดี และหลีกหนีสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหมดทั้งสิ้น สิ่งใดที่ทำให้ไม่สบายใจเราก็ต้องเลิกทำเสียใช่หรือไม่ (ใช่แต่ทุกวันนี้ทุกคนหันหน้าหรือหันหลังให้กับความดีกัน ถ้าให้มาฟังธรรมะก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนๆ ขายของก่อน แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเราเลือกหันหน้าให้กับความดีหรือหันหลังให้กับความดีกัน 
ถ้าเรามีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งและคิดอยากจะปลูกพืชพันธุ์ชนิดหนึ่ง การจะบุกเบิกถากถางปลูกพืชพันธุ์อย่างที่เราต้องการนั้น จะต้องใช้พละกำลังอย่างมาก และความตั้งใจอย่างสูงส่งใช่หรือไม่ (่ใช่และกว่าจะทำจนกระทั่งสำเร็จ เราก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ  คนทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายในการที่จะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง แต่อยู่ที่ว่าจุดมุ่งหมายนั้นทำไปเพื่อใคร บางคนนอกจากชีวิตของเขา เวลาที่เขาสละไป หรือจุดมุ่งหมายที่เลือกทำนั้นไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเขาคนเดียว แต่เขาทำเพื่อให้ผลประโยชน์ต่อผองชนและผู้อื่นด้วย คนเช่นนี้เป็นคนที่น่ายกย่องใช่หรือไม่ (ใช่เพราะเขาไม่ได้คำนึงถึงแต่ตนเองอย่างเดียว เขามีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นด้วย คนเช่นนี้เป็นคนที่มีประโยชน์ แม้จะเหนื่อยเท่าไร แม้จะลำบากเท่าไร แต่สิ่งที่เขาทำก็เพื่อคนอื่นด้วยไม่ได้ทำเพียงเพื่อตัวเอง การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่คนที่จะเห็นผลของคนคนหนึ่งที่ได้เสียสละ ต้องใช้เวลาพอสมควรใช่หรือไม่ (ใช่ถึงจะได้ผลสำเร็จตามที่ตนเองต้องการ งานบุกเบิกก็เช่นเดียวกัน เวลาเราต้องการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากเรามุ่งมั่นจะกระทำอย่างมีจุดมุ่งหมายมีความแน่วแน่ เป็นธรรมดาที่ต้องมีข้อทดสอบไม่มากก็น้อย เพื่อดูความมุ่งมั่น ความแน่วแน่ การเสียสละและความตั้งใจจริงของเขาว่ากระทำเต็มที่หรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเขาฝ่าฟันความยากลำบากได้ ผลสำเร็จย่อมกลับมาหาเขาไม่ช้าก็เร็วใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นจำไว้อย่างหนึ่งว่าคนเราเมื่อจะทำความดี หรือจะทำงานสิ่งใดก็ตามเพื่อมุ่งไปให้ถึงฟากฝั่งแห่งความสำเร็จ เป็นธรรมดาที่จะต้องเผชิญความยากลำบาก จึงมีคำกล่าวว่า ขมก่อนแล้วหวานจึงตามมา ดีกว่าหวานแล้วต้องมาขื่นขมภายหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
งานบุกเบิกนอกจากลงแรงแล้วจะต้องอดทนไม่ย่อท้อ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร จะบุกเบิกถากถางที่หรือถากถางเพื่อทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง ข้อแรกเราต้องมีจุดมุ่งหมายในการที่จะทำก่อน ข้อที่สองต้องมีความอดทนไม่ย่อท้อ ข้อที่สามต้องมีจิตใจเมตตาเสียสละอย่างไม่เคลือบแฝงด้วย เมื่อเรามีจิตเมตตาที่จะให้ ที่จะสละ เราจะต้องไม่เคลือบแฝง เพราะหากเรากระทำสิ่งใด ตอนแรกเรามีใจเริ่มต้น  มีความเมตตา  แต่ถ้าต่อไปเราไม่สามารถไปถึงจุดมุ่งหมาย เพราะว่าเรามีจิตใจเคลือบแฝง ถ้ามีใจเมตตาแต่มีจิตเคลือบแฝงคิดเพียงน้อยนิด เมื่อเราทำอะไรแล้วคิดว่าทำไมเราจะต้องเสียสละก่อน ทำไมเราต้องเหนื่อยก่อนหรือลงแรงก่อน คิดอย่างนี้เราจะไปได้ถึงจุดหมายได้ไหม อาจจะถึงแต่ก็ทุลักทุเลเต็มที และผลที่ได้ก็อาจจะไม่ดีอย่างที่ต้องการเหมือนตอนเริ่มต้นใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นเมื่อเรามีจิตใจที่จะตั้งใจทำอะไร เราก็ต้องมีความตั้งใจมุ่งมั่นอดทนไม่ย่อท้อ ต้องเสียสละเมตตาอย่างจริงจังเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่เคลือบแฝงด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากเรื่องการทำงานแล้วเรื่องธรรมะก็เช่นเดียวกัน หากคนทุกคนในโลกนี้รักแต่ตัวเองคิดถึงแต่ตัวเอง มีชีวิตอยู่ก็เบียดเบียนผู้อื่นทำร้ายคนอื่น ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังไม่เชื่อ มองเห็นแต่ข้อเสียของผู้อื่น เข้มงวดผู้อื่นแต่รู้จักผ่อนปรนให้ตนเอง คนเช่นนี้เป็นคนเช่นไร (เห็นแก่ตัวทำให้สังคมนี้จะเป็นอย่างไร (ไม่ดีคนเช่นนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อสังคม น่าจะขจัดทิ้งไม่ให้อยู่ในโลกนี้ เพราะอยู่ข้างๆ เราก็ทำให้เราอกสั่นขวัญแขวน ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าอย่างนั้นลองสังเกตตัวเองดูก่อน เห็นแต่ตัวเองไม่เห็นผู้อื่นตัวเองเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็นมีชีวิตอยู่เบียดเบียนคนอื่น ทำร้ายคนอื่นแต่ตัวเองสบายเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อย่างเช่นการทำงานของเราตัวเองสบายแต่คนอื่นทำหนักหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือต้องดับชีวิตผู้อื่นเพื่อให้ตัวเราเองมีชีวิต เบียดเบียนหรือเปล่า สิ่งที่เราพูดหมายถึงการที่ไปทานเนื้อทานชีวิตของคนอื่น  เราอาจจะพูดได้ว่าเราไม่เคยว่าใคร ไม่เคยตบตีใคร ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ปกติทุกวันเราพรากชีวิตเขาไปวันละสามมื้อด้วยกัน ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วใครพูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ คนอย่างนี้เป็นคนไม่ดีควรขจัดทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าท่านตอบว่าใช่ก็ลดได้หนึ่งข้อ ลดข้อที่บอกว่าใครพูดอะไรไม่ยอมฟังแต่ตอนนี้ท่านฟัง แล้ววันนี้ท่านก็สามารถลดได้อีกข้อหนึ่งคือมีชีวิตอยู่แต่ไม่เบียดเบียนใคร ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วต่อไปท่านก็ทำเพิ่มอีกก็คือไม่มองแต่ตน ไม่เห็นแก่ตน ไม่มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตน แต่มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นด้วย ดูแลเอาใจใส่คนข้างๆ ใครมีทุกข์เดือดร้อนก็มีใจเมตตาช่วย ท่านก็สามารถนำตัวเองให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เรากล่าวเมื่อสักครู่นี้ได้อย่างหมดสิ้น แล้วท่านก็สามารถเป็นคนดีโดยพื้นฐานใช่หรือไม่ สิ่งที่เรากล่าวมาทั้งหมดท่านสามารถทำได้แล้วต่อไปมีโอกาสให้ฝึกตัวเอง  สิ่งใดที่ไม่ดี อารมณ์ร้อนอารมณ์วู่วามตัดทิ้งเสีย ต้องรู้จักคิดว่าเมื่อใดควรเข้มแข็ง เมื่อใดควรนิ่มนวล เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างข่มเขาได้หรือไม่ (ไม่ได้ท่านก็ไม่อยากอยู่อย่างนั้น  แต่ท่านอยากอยู่ร่วมกันท่ามกลางความอ่อนน้อม มีน้ำใจต่อกัน แล้วก็จริงใจต่อกันใช่หรือไม่ (ใช่แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินใจต้องเข้มแข็ง  เมื่อพบความลำบากจะอ่อนแอได้หรือไม่ (ไม่ได้ก็ต้องรู้จักสู้ไปให้ถึงสิ่งที่เรามุ่งหวัง หากมีชีวิตอยู่ให้เรารู้จักบำเพ็ญ ขัดเกลาตนและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น นี่ก็คือการบำเพ็ญขั้นพื้นฐาน เมื่อยามที่เรามีชีวิตอยู่ เมื่อยามอยู่กับคนในสังคม  ฟังอย่างนี้แล้วเรื่องการบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรมเป็นเรื่องยากที่จะกระทำไหม (ไม่ยากแต่ยากที่จะเอาชนะจิตใจของตนใช่หรือไม่ (ใช่เพราะเมื่อใดที่เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำดี เรามักจะเจออุปสรรคแต่ถ้าเราฝ่าอุปสรรคความยากลำบาก ฝ่าฟันจิตใจของตัวเองไปให้ถึงซึ่งความดีได้แล้ว เราก็สามารถเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์น้อยๆ ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อผู้อื่นทำอะไรได้ดีส่วนมากเรามักจะมีข้อติใช่หรือไม่ เวลาเขาทำดีให้เราก็รู้สึกว่ายังไม่พอแล้วเราก็อดพูดไม่ได้ การที่เราอยู่ร่วมกัน กว่าที่คนๆ หนึ่งจะเสียสละหรือจะทำอะไรให้อีกคนหนึ่งได้ เขาต้องเอาชนะใจตัวเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อเอาชนะใจตัวเองแล้วยังต้องเอาชนะใจท่านให้ได้อีกใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าท่านขัดขวางหรือว่ากล่าวเขา แทนที่ท่านจะช่วยหนุนนำคนดีให้เป็นคนดี ท่านกลับเป็นปีศาจร้ายมารร้ายใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ท่าน บางครั้งเราต้องคิดก่อนว่าเราจะเป็นพญามาร หรือเป็นนางฟ้าเทวดาที่มาช่วยเกื้อหนุนผู้ที่ทำความดี
มิลวกลวกหรือถือมั่นปรารถนา
การทำงานสักอย่างหนึ่ง ถ้าเราพยายามรีบๆ เพื่อให้สำเร็จ กับคนที่ค่อยๆ ทำแต่ก็สำเร็จเหมือนกัน ถึงแม้จะช้าต่างกันที่เวลา แต่ความสำเร็จของใครดีกว่ากัน ถ้ามองดูแล้วคนที่ช้า ดีกว่าใช่หรือไม่ เพราะเร็วๆ มักออกมาลวกๆ ผลออกมาก็ไม่ค่อยสวยงามใช่ไหม (ใช่ถ้าเราจะทำอะไรเหมือนเดิมอีก เพื่อให้ประสบผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้น เราจะเอาแต่หวังผลประโยชน์ที่อยู่ข้างๆ ได้หรือไม่ (ไม่ได้ถ้าเราเอาแต่หวังผลประโยชน์ การจะไปถึงผลสำเร็จ  บางทีก็อาจจะไม่ได้ หรือบางครั้งก็อาจจะทำให้ยิ่งช้าใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราจะทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จจะต้อง  ๑. ต้องอย่าทำลวกๆ รีบร้อน  . อย่าคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จนไม่ประสบผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า  เหมือนคนที่มีตำแหน่ง แต่ถ้าไม่รู้จักรักษาตำแหน่งให้ดี พอมีคนให้เงินแล้วบอกว่าช่วยหน่อยนะ เขาก็หวังผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ถ้ามีการแต่งตั้งตำแหน่งที่ใหญ่กว่า  คนๆ นี้จะได้รับไหม (ไม่ได้) การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน  อย่าหวังผลประโยชน์เพียงเล็กๆ น้อยๆ เวลาเราทำดี วันนี้ไม่ได้ผลดีไม่เป็นไร เราขอไปรับผลใหญ่ที่เบื้องบนดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเมื่อเราทำดีแล้วไม่ได้ผลดีทันทีแต่กลับมาเป็นผลร้าย เราก็ไม่ต้องกังวลไม่ต้องเสียใจ เราก็คิดว่าวันนี้เราไม่ได้รับผลเล็ก แต่ต่อไปเราขอไปรับผลใหญ่ที่เบื้องบนย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดีอย่าเพิ่งท้อแท้ดีหรือเปล่า (ดีเพราะว่าเวลาเราปลูกต้นไม้กว่าที่เราจะได้รับผลตามที่เราต้องการ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะนานเหมือนกัน  ฉะนั้นเมื่อทำดีบางครั้งไม่ได้รับผลดีในตอนนี้ แต่อาจจะไปได้รับผลดีในภายหน้าแล้วยิ่งใหญ่ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
ปัญหารู้พลิกแพลงเรื่องนานา อารมณ์มาขัดใจไม่ขัดตาม
เมื่อเรามีปัญหา มีอุปสรรคมาขัดใจเราจะทำอย่างไร ขัดใจเลยดีไหม  อย่างเช่นเมื่อมีคนทำให้ท่านเจ็บใจ ทำให้ท่านเดือดร้อน ท่านจะขัดใจไปทันที ทำให้เขาเดือดร้อน ทำให้เขาเจ็บใจมากยิ่งกว่าเราดีหรือเปล่า (ไม่ดีเท่ากับว่ามีปมหนึ่งปมแล้วก็ผูกเข้าไปอีกหนึ่งปม เพราะอะไรเมื่อเวลาเจอปัญหาแล้ว จึงทนไม่ได้ต้องแก้แค้นยอมไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไรดีต่อปัญหาที่เราเจอ ต่อสิ่งที่มากระทบใจหรือทำให้ขัดใจ (ยอมแพ้ยอมแพ้ก็เป็นวิธีที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่ก็คือเขาอยากเอาชนะเรา เราก็ยอมแพ้เขา เขาก็ไม่คิดเอาชนะเราอีกใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าคนที่ทำให้ท่านไม่พอใจเกิดอารมณ์โกรธ โมโหเราจะทำอย่างไรดี ถ้าลูกหลานทำอะไรให้ไม่พอใจ เราจะทำอย่างไรดี (วางเฉย, ตั้งสติให้รอบคอบเราก็ต้องมีสติก่อนใช่ไหม แล้วก็ไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เขากระทำเพื่อที่จะว่าเราจริงๆ หรือเปล่า เราต้องดูที่เจตนารมณ์ของคนที่เขาพูดกับเราด้วย  ฉะนั้นถ้ามีคนโมโหใส่เรา ชี้หน้าว่าเราเป็นคนไม่ดี บางครั้งก็ไม่ใช่เขาว่าเราเสมอไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นบางครั้งที่พ่อแม่ดุเรา จริงๆ แล้วเพราะอยากให้เราได้ดี ถึงจะมีวิธีการสอนลูกแตกต่างกันไปบ้าง  แต่จุดมุ่งหมายนั้นคือหวังให้เราได้ดีใช่หรือเปล่า เวลาเรามองสิ่งใดก็เช่นเดียวกัน อย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก มองแล้วต้องเข้าไปให้ถึงแก่นแท้ภายใน เราจึงจะเป็นผู้มีชีวิตอยู่โดยไม่ยึดติดเพียงเปลือกนอกและไม่ยึดติดเพียงคำพูดเปลือกนอก แต่เราต้องเข้าถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของคำพูดของการกระทำและของสรรพสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ เราจึงจะเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่ยึดติดในรูปลักษณ์ภายนอก หรือพูดง่ายๆ ก็คือทำอะไรทวนกับความรู้สึก ทวนกับอารมณ์ที่มาขัดใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่จะไปซ้ายหรือไปขวา จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็ต้องรู้จักควบคุมตนเองใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากเรารู้จักที่จะเดินไป แต่ไม่รู้จักที่จะถอยบ้างหยุดบ้างก็ไม่ถูก หากเรารู้จักที่จะไปซ้ายแต่ไม่รู้จักที่จะมองขวาก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะเรื่องราวบนโลกนี้เราจะมองมุมเดียวไม่ได้ เราต้องมองให้เห็นทั้งหน้าและหลัง มองให้เห็นทั้งคุณและโทษใช่หรือไม่ (ใช่เราจึงจะอยู่บนโลกนี้อย่างเห็นได้ชัดและนำพาตนเองไปได้อย่างถูกต้องและถูกหนทาง เพราะเรื่องราวทุกเรื่องในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะให้คุณอย่างเดียวโดยไม่มีโทษ ทำไมต้องมีทั้งคุณและโทษ เพราะตราบใดที่เรายังควบคุมตนเองไม่ได้ เรื่องราวที่จะเกิดคุณก็ง่ายมากและย่อมง่ายมากที่จะให้ทั้งโทษ เมื่อเรารักแล้วเราก็อดไม่ได้ที่จะรักแบบผิดๆ โมโหแล้วอดไม่ได้ที่จะไม่ทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงทั้งซ้ายขวาและหน้าหลัง นั่นก็คือเรามองเห็นภัยที่อยู่สูงใหญ่และเด่นชัดโดยที่มองเห็นภัยเล็กๆ ไม่เด่นชัด คนที่จะอยู่บนโลกนี้ได้และไม่ประสบความยากลำบาก นั่นก็คือมองเห็นแม้จะเป็นภัยเล็กๆ ก็ดับได้ก่อน อย่าพ่ายหรืออย่าให้ชีวิตสะดุดกับภัยเล็กๆ น้อยๆ เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หากทำผิดบ่อยครั้ง ต่อไปก็จะเป็นความผิดที่ใหญ่ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยู่ร่วมกันสำรวมน้อยประมาทยิ่ง       ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขรอย่ามองข้าม
การอยู่ร่วมกันไม่ว่ากับคนในครอบครัวหรือคนในสังคม อาจจะต้องมีเหตุขัดแย้งกันบ้างใช่หรือไม่ (ใช่ถึงอยู่ร่วมกันเพียงคนสองคน หากมีเหตุโต้แย้งขัดกันขึ้นมีรอยร้าวเกิดขึ้น การอยู่ร่วมกันก็ยากที่จะเป็นสุขได้ และถ้าเป็นสังคมใหญ่เมื่อเกิดเหตุขัดแย้งกันขึ้น การอยู่อย่างมีความสุขก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ความวุ่นวายและอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการขัดแย้งกันย่อมเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่คนนั้นเป็นพื้นฐานของครอบครัว ครอบครัวก็เป็นพื้นฐานของสังคม และสังคมก็เป็นพื้นฐานของประเทศ  ถ้าหากว่าคนที่อยู่ร่วมกันหรือครอบครัวที่อยู่ร่วมกัน ปูพื้นฐานบ่มเพาะความเป็นคนได้ไม่ดี สังคมและประเทศก็จะมีแต่ประชาชนที่เป็นคนที่อันตรายและไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นการขัดเกลาพื้นฐานก็ต้องเริ่มขัดเกลาที่ตนเองก่อน ถ้าตนเองเที่ยงธรรมมั่นคง มีธรรมที่แน่วแน่แล้ว คนอื่นก็ย่อมคล้อยตามเราได้ แต่ถ้าหากว่าเราปกครองผู้อื่นแล้วไม่ได้ดั่งที่เราต้องการ อาจจะเป็นเพราะตัวเราเองยังไม่เที่ยงธรรมพอ ยังดีไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่การปูพื้นฐานของมนุษย์เริ่มแรกก็ต้องเริ่มที่ตนเองเป็นสิ่งสำคัญ และการปูพื้นฐานให้ได้ดีนั้นก็ต้องเริ่มที่การบ่มเพาะที่จิตใจของตนเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่ตัวเรานั้นจะเคลื่อนไหวได้ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเราว่าคิดอย่างไรทำอย่างไร และมีจุดมุ่งหมายไปทางไหน ใจจึงเป็นส่วนที่สำคัญ ถ้าใจของเรามีมโนธรรมมีคุณธรรมที่ดีแล้ว การกระทำก็ยากที่จะผิดไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าหากจิตใจของเราคิดร้าย ไม่มีมโนธรรมไม่มีคุณธรรม แม้เพียงช่วงวินาทีเดียวก็ง่ายที่จะกระทำผิดได้ ฉะนั้นการปูพื้นฐานอบรมบ่มเพาะที่จิตใจจึงเป็นส่วนสำคัญที่เราจะต้องกระทำและละเลยไม่ได้  แล้วเวลาที่เราอยู่ร่วมกันนั้นจะทำอย่างไรให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข นั่นก็คือนอกจากรู้จักที่จะขัดเกลาบ่มเพาะตนเอง ใจของเราก็ต้องพร้อมที่จะเปิดกว้าง เมื่อรู้จักรักตนเองก็ต้องรักคนอื่นได้ด้วย รักบ้านเราได้ก็ต้องรักบ้านคนอื่นได้ด้วย หากทุกคนคิดอย่างนี้การขัดแย้งทะเลาะกันก็ยากที่จะเกิดขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่แต่เป็นธรรมดาที่คนมักมีความคิดความต้องการ หรือความพอใจแตกต่างกันออกไป จะว่าเขาผิดก็ไม่ได้ จะว่าเราถูกก็ไม่ใช่ อย่างเช่นเราบอกว่าบ้านเราจะมีความสุขได้ บ้านนั้นจะต้องเป็นสี่เหลี่ยม มีไม้กั้น มีประตู มีหน้าต่าง  แต่ถ้าไปถามนก นกก็บอกว่าบ้านของนกต้องอยู่บนต้นไม้ ต้องมีเศษหญ้ากองกันเป็นรัง  ถ้าไปถามปลาปลาก็บอกว่าบ้านของปลาต้องมีน้ำ เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่าชีวิตของเรามีสุข แต่ชีวิตของปลา ของนกเป็นทุกข์ได้หรือไม่ (ไม่ได้ก็เหมือนกับคน มาตรฐานความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป เราจะบอกว่าเราถูกแล้วเขาผิดก็ไม่ใช่ เราจะบอกว่าเขาถูกแต่เราผิดก็ไม่เชิง เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกัน ก่อนจะขัดแย้งกันก่อนที่เราจะเกิดปัญหาหรือไม่พอใจใครนั้น เราลองเปิดใจให้กว้างและคิดตามอย่างที่เราบอกดู เหมือนแต่ละคนก็ชอบกินไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นเวลาที่ผู้อื่นกระทำสิ่งใดขึ้นมา ลักษณะที่เขาจะดำเนินไปก็ย่อมแตกต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าสมมติว่าเขาทำสิ่งนี้ดีที่สุดแล้ว และให้สำหรับเรา เราจะบอกเขาว่าไม่ดีก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นอยู่ร่วมกันบนโลกนี้ต้องเปิดใจและมองให้กว้าง บางครั้งเราอย่าติดในความสุขของตนเองจนมากเกินไป อย่างเช่นเขาให้สิ่งหนึ่งเรา เราก็ไม่รับแล้วบอกว่าไม่เห็นให้ในสิ่งที่เราต้องการเลย ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากเราเปิดใจเราให้กว้างก็ยากที่จะเกิดการขัดแย้งกัน เพราะเรารับเขาได้ แล้วมีหรือที่เขาจะรับเราไม่ได้ แต่การที่เราจะรับเขาเราก็ต้องรับให้ได้ตลอด เพื่อที่เขาจะได้ดีกับเราตลอด ดังนั้นเราจะต้องเปิดใจให้กว้าง เพราะถ้ามองแต่ตนก็เห็นแต่ตนก็แคบๆ แค่นี้ แต่ถ้าหากเรามองหมู่ชนมอง คนตาเราก็สามารถกว้างได้ แต่ถ้าเรามองแต่ท่าน เราก็เห็นแต่ท่านคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้ร่วมกับคนหลายคน เราก็ต้องรู้จักมองให้กว้าง ใจเราจะได้เปิดกว้างได้และเป็นคนที่มีใจที่กว้าง เมื่อใจกว้างแล้วจึงจะเมตตาได้ เพราะถ้าเรามองแต่ตนเห็นแต่ตน ใจเราก็มีแต่แคบลงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความรู้เข็ดสามารถพาบำเพ็ญพ้น
ถ้าศิษย์น้องเห็นสิ่งใดเป็นสิ่งที่ผิด พอทำก็หวาดผวาไม่กล้าทำอีก เหมือนกับเด็กที่ไม่เชื่อผู้ใหญ่เตือนว่าอย่าเล่นไฟอย่าเล่นมีด แต่พอได้รับอันตรายก็เข็ดไม่เล่นอีก หากเราไม่รู้จักดำเนินชีวิตก็อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอันตรายที่มองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่ตอนนี้ถ้าเราบอกว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดี อย่าเดินทางผิดนะ ถ้าเดินทางผิดจะพบอันตราย ถ้าพบอันตรายแล้วอาจจะไม่ได้กลับมาเดินทางใหม่ก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่มีใครรู้ว่าทางที่ผิด เมื่อเดินไปแล้วเราจะกลับมามีชีวิตแล้วกลับไปเดินทางใหม่ได้หรือไม่  ฉะนั้นการดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อมีชีวิตอยู่เลือกทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวและรู้จักเข็ด แล้วเราก็จะไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องเสียใจใช่หรือไม่ (ใช่เพราะอะไรเราต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บแล้วเจ็บอีก ก็เพราะเราไม่ยอมเข็ดใช่ไหม (ใช่ถ้าเข็ดสักนิดหนึ่งเราก็จะไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเศร้าและก็ไม่ต้องเจ็บอีกต่อไปน้องจะทำได้ไหม (ได้ต่อไปห้ามทำอะไรที่ไม่ดีอีกได้หรือไม่ แล้วสิ่งใดที่ดีก็รีบเดินไปใช่หรือเปล่า (ใช่ไม่ใช่บอกว่าดูก่อน ขอดูทีวีก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำดี ขอทำงานก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปทำเรื่องที่ดี อย่างนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้ได้เหมือนกันแต่ไม่ค่อยดีใช่หรือเปล่า (ใช่อย่างนี้เรียกว่าความดีไม่ขวนขวาย ความชั่วย่อมง่ายที่จะมาแทรกแซง
เป็ดนั้นอยู่ได้ทั้งบนบกและบนน้ำ มนุษย์เราอยู่ในน้ำมากๆ ก็เป็นโรคไขข้ออยู่บนที่สูงมากๆ ก็หวาดกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ชีวิตเราบางครั้งเราก็มีสูงแต่บางครั้งก็ตกลงมาต่ำได้ เราต้องรู้จักควบคุมตนเอง เมื่ออยู่สูงก็ต้องวางตัวให้เหมาะสมถูกต้องแต่ไม่เย่อหยิ่ง เพราะอยู่สูงอย่างไรเท้าก็ยังต้องเหยียบพื้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้เราบอกท่านแต่ถ้าท่านไปดำเนินชีวิตจริงๆ ไม่มีใครไปบอกท่านว่าเมื่อไรจะขึ้นสูง เมื่อไรจะลงดินใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้เราเป็นพี่ท่านเป็นน้อง เราก็คอยดูแลท่าน แต่ต่อไปท่านต้องดูแลตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่ไม่มีใครสามารถพึ่งใครไปได้ตลอดชีวิต ต่อไปเราต้องเดินเอง ต้องเลือกชีวิตของเราเอง แต่การเลือกก็ต้องเลือกให้ถูกและต้องดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)
เวลาแห่งชีวิตคนนั้นสั้นนัก    โลภโกรธรักตัดแล้วตามอาวุโส
ชีวิตของเรานั้นไม่รู้ว่าวันใดจะหมดสิ้น บ่อยครั้งที่เราเห็นว่าคนผมดำไปก่อนคนผมขาวก็มีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ใช่คนผมขาวไปก่อนคนผมดำเสมอไป เราไม่รู้ว่าเวลาใดชีวิตเราจะหมดลง ทุกคนมักจะกลัวการสิ้นอายุขัย เรายินดีกับการเกิดแต่เราเสียใจกับการสูญเสีย  จริงๆ แล้วเป็นการดำรงที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูกธรรมชาติของชีวิตสอนให้เรารู้ว่าปกติของชีวิตต้องมีเกิดและมีดับควบคู่กันไปใช่หรือไม่ (ใช่หากเรายินดีรับในการเกิด แล้วทำไมเราไม่ยินดีรับในการดับ  เราอาจจะเห็นการตายหรือการดับเป็นการหลับไปชั่วนิจนิรันดร์ เป็นการพักได้แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่น้อยครั้งที่เราจะได้พักอย่างแท้จริง ตราบที่เรายังมีชีวิตเราต้องฝ่าฟันความยากลำบากไปเรื่อยๆ ไม่มีวันได้พักอย่างแท้จริง วันที่พักอย่างแท้จริงนั้นคือวันที่เราดับสิ้น เรากลัวไหมกับการดับ บางคนกลัวบางคนไม่กลัว คนที่กลัวการดับเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ขึ้นเบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าทำดีมาตลอด กลัวอะไรกับการไม่ได้ขึ้นเบื้องบน ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าตลอดชีวิตเราทำแต่สิ่งที่ดี บำเพ็ญตน กระทำตนช่วยเหลือผู้อื่น ให้อภัยไม่โกรธแค้น ไม่ผูกใจเจ็บ เราจะกลัวอะไรกับการดับสิ้นของชีวิต เราจะกลัวอะไรกับการที่มีอายุสั้นหรืออายุยาวใช่ไหม (ใช่ถ้าเราได้รู้หนึ่งหนทางที่ได้กลับบ้านแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวที่จะได้กลับไปเป็นเช่นไร  แต่ถ้าตอนนี้ศิษย์น้องยังกลัว ศิษย์น้องก็ต้องเร่งรีบ อะไรที่ไม่ดีเลิกทำเสีย อะไรดีรีบรักษาแล้วทำบ่อยๆ ดีหรือไม่ (ดีอย่างเช่นความดี การทำบุญทำกุศล การไม่ถือโกรธไม่นินทาทำไม่ยากเกินไปใช่หรือเปล่า (ใช่)
เป็นลูกก็ต้องเป็นเด็กดีไม่โกหก ไม่หลอกลวงพ่อแม่ เป็นบิดามารดาก็ต้องมีความเมตตาจริงใจ รักคนอื่นได้เหมือนรักลูกของตัวเอง มีหรือที่คนอื่นจะไม่รักพ่อแม่ของตนใช่ไหม (ใช่ฉะนั้นการบำเพ็ญอย่างง่ายๆ รักเราได้ก็ต้องรักเขาได้ แล้วเราก็จะมีความสุข บำเพ็ญอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่อย่าเป็นคนที่มีชีวิตโยกไปโยกมา พอเขาบอกว่าดีก็ดี พอเขาบอกว่าไม่ดีก็ถอยกลับ อย่างนี้ก็เหมือนกับไม่มีจุดมุ่งหมายของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่ใครพูดอะไรก็เป็นไปตามนั้น  เหมือนวันนี้ศิษย์น้องมาศึกษาธรรม ไม่เป็นต้นหญ้าที่โอนเอนไปตามลมปากของผู้อื่น  ถ้าเป็นไปตามนั้นก็อาจจะไม่มาศึกษาใช่หรือไม่ (ใช่แต่บางคนก็ไม่เป็นไปตามคำพูดของคนอื่นก็เลยมาศึกษาใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นมาศึกษาก็ต้องพินิจพิจารณาได้ว่าสิ่งที่เรามาศึกษาดีไหม ถูกต้องเที่ยงแท้หรือไม่ ทุกท่านมีปัญญาพิจารณา ได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาประทานเพลง ต้องกล้าสู้ความจริง  ทำนองเพลง เต่ากับกระต่าย)
เบื่อไปไยชีวิตดีดี ประหนึ่งราตรีรอแสงยาวไกล
คนที่มีความทุกข์มักจะจมอยู่กับความทุกข์ เหมือนกับท้องฟ้าที่รอวันที่จะสว่างสักครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่ยอมสว่าง หลายครั้งที่เรามีชีวิตอยู่แล้ว เราเหมือนท้องฟ้าที่มืดมนไม่มีวันได้พบกับแสงสว่าง ถ้าเราปล่อย ตัดและปลงสักนิดหนึ่ง ความทุกข์นั้นก็อาจจะหายไปได้ในทันที ความสว่างก็อาจจะมาแทนที่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่บ่อยครั้งที่เราเจอความทุกข์แล้วเราปลงไม่ได้ ตัดไม่ได้ วางไม่ได้ และปล่อยไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เราถึงต้องมืดมนหนทาง เดินเหมือนคนเดินเซ  เหมือนคนเมาโย้เย้ไปมาใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมแสดงท่าประกอบนิทานที่ศิษย์พี่เล่า)
เต่ากับกระต่ายมีความสามารถต่างกัน  คนเราอะไรไม่ดีก็โทษเต่า เดินช้าก็บอกว่าทำอะไรเชื่องช้าเหมือนเต่า ไม่ได้เรื่องก็เหมือนเต่า กลัวหดหัวก็เหมือนเต่า แต่ถ้าเป็นกระต่ายก็บอกว่าว่องไวดีเหมือนกระต่าย ตื่นตูมก็เหมือนกระต่าย แต่ทุกอย่างก็ต้องมีดีและก็ไม่ดีใช่หรือไม่ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดมุมมองของใจออกได้บ้างหรือเปล่าใช่ไหม เต่าก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคืออายุยืนอดทนไม่ย่อท้อ แม้ชีวิตจะยืนยาวขนาดไหนก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อใช่หรือไม่ (ใช่เต่าเวลาหงายท้องก็พลิกตัวขึ้นเองไม่ได้ แต่คนเราเมื่อล้มแล้วต้องรู้จักลุกเป็นด้วยใช่ไหม (ใช่)
คนบางคนเป็นทุกข์ทั้งใจ  ปอดไปไยความทุกข์ก็ครู
มีละครที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจะต้องแต่งงานมีครอบครัว เขาไม่อยากแต่งงานเพราะกลัวว่าแต่งงานไปจะลำบาก แต่พอแต่งงานไปเขาก็กลับรู้สึกว่าตอนนั้นเขาไม่น่าร้องไห้เลย แต่งงานแล้วก็มีความสุข แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า สุขเพียงไม่กี่วันพอมีภาระก็กลับเพิ่มปัญหาขึ้นมาอีก ใช่ไหม (ใช่) ที่ศิษย์พี่ยกตัวอย่างเรื่องนี้เพราะต้องการรู้ว่าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับเรื่องที่เรายังไม่รู้ อย่าหวาดกลัวกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่ยังไม่รู้นั้น  หากเรากลัวไปก่อน เราอาจจะพลาดโอกาสที่ดีๆ ก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเวลาเราจะมาศึกษาธรรมะ หรือมีคนชวนไปกระทำสิ่งใดอย่าเพิ่งปฏิเสธ อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ขอให้พินิจพิเคราะห์สำรวจแล้วเราจะไม่พลาดโอกาสที่ดีๆ ไป การกระทำสิ่งใดก็เหมือนกันอย่าเพิ่งประมาท หรือหลงตนเองจนลืมความสามารถของผู้อื่นไป เพราะบางครั้งเราคิดว่าตัวเราเก่ง แต่คนที่เก่งกว่าเราก็ยังมี บางครั้งเราคิดว่าเราแน่ แต่ต่อไปอาจมีคนที่แน่กว่าเราก็เป็นได้ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าเราแน่ กว่าเราจะเป็นคนที่แน่ได้ เราก็ต้องไปเรียนรู้กับคนอื่นก่อนเหมือนกัน ทุกวันนี้ท่านบอกว่าท่านแน่ท่านยิ่งใหญ่ ท่านเป็นคนจริงแต่ต่อไปคนที่แน่ คนที่ยิ่งใหญ่ อาจจะเป็นคนที่เล็กนิดเดียวสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นการอยู่บนโลกนี้อย่าประมาทคนอื่น อย่าประมาทตัวเองและอย่าประมาทชีวิตของตนเองด้วย แล้วเราก็จะเป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่พลาดโอกาสไปง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่หลายครั้งที่เราพลาดโอกาสดีๆ ไป แล้วเราก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลังและคิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่พลาดอีก  ฉะนั้นเราอย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวความผิดหวัง เพราะความทุกข์และความผิดหวังอาจจะเป็นครูที่ดีก็ได้  และสอนประสบการณ์ที่ดีให้กับเราได้ เราอย่ายึดติดกับความสุข เพราะความสุขที่เราคิด ใช่ว่าจะต้องมีความสุข ต้องร่าเริงสมหวัง บางครั้งทำไปแล้วอาจจะต้องเสียใจและรู้สึกหดหู่ใจก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะเรื่องราวในโลกนี้ เมื่อขึ้นชื่อว่ารูปและนาม ขึ้นชื่อว่าเรื่องบนโลกแล้ว ล้วนตกอยู่ในภวังค์ของความไม่เที่ยงทั้งนั้น แม้แต่ใจของศิษย์น้องวันนี้ว่าธรรมะดี แต่ต่อไปอาจจะบอกว่าธรรมะไม่ดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้มาศึกษาธรรมะ ขอให้ได้หลักธรรมไปใช้กับชีวิต อย่ามาช่วยงานธรรมะแต่ไม่ได้อะไรกลับไป น่าเสียดายยิ่งนัก
มีนิทานอีกเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งไปซื้อแพะมาจากตลาดหนึ่งตัวแล้วเขาก็จูงไป มีชายสามคนอยากกินเนื้อแพะ เขาก็เลยปรึกษากันว่าจะช่วยกันให้ชายคนนี้มองแพะไม่เป็นแพะ ฟังแล้วแปลกไหม แต่บางครั้งคนเรามองคนไม่เป็นคนก็เพราะคำพูดของคนได้เหมือนกัน แล้วทำอย่างไรจึงจะทำให้คนมองแพะแล้วไม่เป็นแพะ คนแรกก็บอกว่าคุณจูงอะไรมา แพะก็ไม่ใช่ม้าก็ไม่เชิง ตัวประหลาดทำไมไปซื้อมาได้ คนแรกพูดไปเขาก็ไม่เชื่อก็ยังดูว่ามันคือแพะ พอมาพบคนที่สองก็บอกอีกว่าตัวอะไรๆ สัตว์ประหลาด เขาก็เริ่มไม่มั่นใจว่าใช่แพะหรือเปล่า พอคนที่สามมาพบก็บอกว่าคนบ้าจูงตัวอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็วิ่งหนีไป เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ทิ้งแพะ แล้วบอกว่าคนบ้าหลอกให้ฉันซื้อแพะมาได้
เรื่องนี้ให้แง่คิดอะไรกับท่าน บำเพ็ญธรรมแล้วอย่าเป็นเหมือนแพะหลงทางดีไหม (ดีสำนวนโบราณกล่าวไว้ว่าอย่าเป็นแพะหลงทาง เพราะแพะเวลาเดินไปทางหนึ่งแล้ว บางที่ในทางหนึ่งยังมีแยกอีก ใช่หรือไม่ (ใช่เวลาแพะหายไปทีหนึ่งจะตามกลับมาก็ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่วันนี้เราได้ศึกษาธรรมะ เราได้รู้ว่าธรรมะนี้เป็นธรรมะที่ดี และเป็นธรรมะที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ทางสว่าง อย่าปล่อยให้สิ่งที่เรามั่นใจหรือสิ่งที่เราศึกษาแล้ว ลอยไปเหมือนดั่งแพะหลงทางดีไหม (ดีไม่อย่างนั้นถึงแม้จะศึกษามาสองวัน แต่พอโดนคนพูดก็ปล่อยทิ้งทันที ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นตัวหนังสือและรูปภาพ ลงต้นกล้า )
ตอนนี้ศิษย์น้องทุกคนก็เหมือนลงกล้าแห่งคุณธรรมในเนื้อนาแห่งจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นพุทธะ เมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมความดีอยู่แล้วแต่เราต้องลงแรงให้โอกาสแห่งคุณธรรมความดีนั้นได้เจริญเติบโต แผ่กิ่งก้านออกมาให้เป็นต้นไม้ที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่อย่าเป็นผู้ที่มีเมล็ดแห่งคุณธรรม เมล็ดแห่งการกระทำดี แต่ไม่ได้ลงแรงกระทำเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่มีความดีแต่อยู่ในใจ  คนที่มีความดีและเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะว่าเขารู้จักนำคุณธรรม และนำหลักสัจธรรมมาทำให้ตนเองยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ใช่คุณธรรมทำให้คนยิ่งใหญ่ แต่ตัวคนต่างหากที่นำคุณธรรมมาทำให้ตนยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามีเวลามาได้เพียงสั้นๆ  ใครที่ยังคิดมาเพียงหนึ่งวัน ลองคิดดูให้ดีว่าจะมาให้ครบอีกหนึ่งวันดีไหม (ดีแล้วขอให้ศึกษาและทำความเข้าใจให้แจ่มชัดว่าวันนี้ที่ศึกษาธรรมะไป  เป็นธรรมะที่มาหลอกลวงหรือเปล่า เป็นธรรมะที่ทำให้เรามีชีวิตที่ผิดแปลกแตกต่างจากการเป็นคนหรือไม่ ขอให้คิดดูให้ดี  ธรรมะนี้หากเราปฏิบัติได้ตัวเรานั่นเเหละก็คือคนที่ดี แต่ถ้าเราได้รับรู้ธรรมะไปแต่กลับวางไว้เฉยๆ ธรรมะนั้นก็ยากที่จะมีประโยชน์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่อย่างเช่น ท่านได้แอปเปิ้ลมาลูกหนึ่งแต่ถ้าท่านไม่รู้จักหยิบนำมาทาน แอปเปิ้ลนั้นจะมาบำรุงร่างกายได้ไหม  คุณธรรมจะมาหล่อเลี้ยงร่างกายหรือบำรุงจิตใจของเราได้นั้น เราต้องรู้จักนำคุณธรรมเข้ามาอยู่ในตัวเราและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
การศึกษาธรรมะในวันนี้ไม่ใช่มาศึกษาแล้วไปวัดไม่ได้ ไปไหว้พระข้างนอกไม่ได้  เรายังไหว้พระได้แต่เมื่อมีโอกาสก็มาไหว้พระที่นี่ เมื่อมีโอกาสที่จะทำบุญสร้างกุศลก็ไปสร้างบุญกุศลที่วัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อมีโอกาสหมั่นมาขัดเกลาจิตใจ มาฟื้นฟูรากธรรมให้กับตัวตนเอง หมั่นหาสถานที่ที่นำความสุข ความร่มเย็นคุณธรรมที่อิ่มเอิบให้กับตนเองเราควรที่จะหาบ่อยๆ อยากอยู่ใกล้สิ่งดี อยากมีสิ่งที่ดีมาอยู่กับเรา ไม่ใช่ว่าหนึ่งเดือนเราไปแค่สี่วันแต่ต้องมีได้ทุกๆ วัน มีได้จนเราเป็นธรรมะเคลื่อนที่หรือเป็นตู้พระธรรมเคลื่อนที่ใช่หรือเปล่า (ใช่ไม่ว่าใครจะถามอะไร คัมภีร์นี้ก็พร้อมที่จะเปิดได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ศึกษาด้วยวิธีรู้และแจ้งในพุทธจิตของตนเอง ดูอย่างพระพุทธองค์ท่านดูจากคัมภีร์ที่ไหนหรือเปล่า ท่านค้นที่คัมภีร์ของตัวตนเอง คัมภีร์นั้นเป็นคัมภีร์แห่ง
พุทธจิต คัมภีร์แห่งการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ตัวท่านก็มีคัมภีร์นี้แต่อยู่ที่ว่าพร้อมจะเปิดคัมภีร์นี้หรือพร้อมที่จะศึกษาตัวตนเองหรือเปล่า และพร้อมที่จะตัดเนื้อร้าย เนื้อที่ไม่ดีออกแล้วสร้างแต่สิ่งที่ดีหรือไม่
อดทน" ใช่หรือไม่ (ใช่อดทนมีอดทนเล็กๆ และอดทนใหญ่ๆ หากว่าอดทนเล็กๆ ก็ใช้ใจของศิษย์ที่เล็กๆ แต่ถ้าหากว่าความอดทนนี้ต้องใช้มาก ศิษย์ก็ต้องขยายใจนี้ให้ใหญ่ขึ้นกว้างขึ้น ให้เมตตาขึ้น เพื่อจะได้ผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปอย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้นตอนนี้อาจารย์พูดถึงเรื่องความอดทน ความอดทนไม่ใช่มีแค่สามวันห้าวัน จะต้องมีเนิ่นนานตลอดชีวิต แม้จบชีวิตนี้ความอดทนไม่จบตาม ทำได้หรือเปล่า (ได้ตอนนี้ร้อนไม่ร้อน (ไม่ร้อนถ้าอาจารย์ให้อากาศร้อนกว่านี้เอาไหม เมื่อศิษย์รู้สึกว่าร้อนก็บอกว่าร้อน แล้วเพิ่มใจแห่งความอดทนของตัวเราให้มากขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่แม้ว่าร้อนหรือไม่ร้อนจะทำอย่างไร ถ้าเกิดว่ามีพรุ่งนี้อีกวัน แล้วพรุ่งนี้ร้อนกว่านี้จะทำอย่างไร (อดทนถ้าถามว่าให้ศิษย์ไปเดินกลางแดดเพื่อชวนคนมารับธรรมะทำได้ไหม (ทำได้)


Line Callout 2 (No Border): จิตใจที่บริสุทธิ์เที่ยงแท้Line Callout 2 (No Border): สิ่งอะไรก็แล้วแต่Line Callout 2 (No Border): ความไม่เชื่อมั่น
ถ้ามีความสงสัยเพิ่มสีเข้าไปหนึ่งข้าง มีจิตใจวอกแวกก็เพิ่มสีลงไปอีก มีความไม่เชื่อมั่นก็เพิ่มสีลงไปอีก  มีสิ่งอะไรก็แล้วแต่เพิ่มสีไปอีกหนึ่ง แล้วจะเหลือจิตใจอันบริสุทธิ์เที่ยงแท้อยู่เท่านี้เอง เพราะฉะนั้นเวลาทำสิ่งใดเราต้องมีจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่จิตอันนี้แบ่งออกเป็นห้าสีแล้ว ดังนั้นการมานั่งฟังธรรมะใจกลายเป็นห้าส่วน  การที่เรามีความไม่แน่ใจลังเลสงสัย ทำให้การพิจารณาสิ่งใดนั้นมีอุปสรรคทันที เพราะฉะนั้นจึงต้องมีจิตหนึ่งใจเดียวที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ จะทำให้การที่เรามุ่งมั่นทำสิ่งใดก็สำเร็จขึ้นโดยง่าย บางคนนั้นเดินทางธรรมบำเพ็ญธรรมได้ง่ายดาย แต่บางคนนั้นเดินทางธรรมบำเพ็ญธรรมได้ยากลำบาก  เรานั้นชอบเปรียบเทียบกัน ว่าคนนั้นสบายกว่าเรา รวยกว่าเรา  ถามว่าเราเคยเอาใจไปเทียบกับเขาว่าใจเรากว้างได้เท่ากันหรือเปล่า บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเรานั้นมีจิตใจ ๔-๕ ใจ โดยที่ผู้อื่นนั้นมีจิตหนึ่งใจเดียว หากให้เบื้องบนเลือกที่จะช่วยสงเคราะห์ใครสักคน อยากจะเลือกคนที่มีหลายใจหรือใจเดียว (ใจเดียวเพราะฉะนั้นทุกครั้งศิษย์จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ  เพราะใจของศิษย์ไม่บริสุทธิ์พอ เหมือนกับการมานั่งฟังธรรมะในวันนี้ บางคนนั้นฟังธรรมะยิ่งฟังยิ่งเข้าใจยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง บางคนยิ่งฟังยิ่งรู้สึกงง เพราะว่าเรายังไม่มีจิตที่เชื่อมั่นพอใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาฟังแล้วเกิดเขาพูดผิดไปคำหนึ่งจะเป็นอย่างไร (สงสัยเวลาฟังแล้วเขาพูดผิดไปแทนที่เราจะปล่อยวางก่อนแล้วก็ฟังต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ แต่ก็มานั่งจับผิด  แล้วคนพูดต่อไปเรื่อยเราจะฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง) เราก็อยู่กับผิดอันนี้ ที่สุดแล้วคนเดินไปหมดแล้วเหลือแต่เราคนเดียวที่มานั่งจับผิด  แล้วเราวิ่งตามไม่ทันเพราะว่าเรานั้นมัวแต่มานั่งจับผิด
แอปเปิ้ล ๒ ลูก ก็มี ๒ อะไร (๒ ใจลูกแรกเรียกว่ามรรคผล ลูกสองเรียกว่ากิเลส จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอาอย่างนี้ถึงจะดี บางทีกิเลสที่มารังควานจิตใจของเรา เราตัดได้ แต่ตัดด้วยความเสียดายเต็มที่ บางครั้งกิเลสก็ย้อนกลับมาใหม่




(ศิษย์พี่เมตตาส่งเสริมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานธรรม)
วันนี้ศิษย์น้องหลายคนต่างมาช่วยงานก็คงเหนื่อยกันไม่มากก็น้อย หากทุกหยาดเหงื่อของเราทุกความลำบากของเรา แลกมาได้ซึ่งการฟื้นฟูพุทธจิตของเวไนยก็เป็นการแลกที่ดีก็จะเป็นการแลกที่ไม่เสียดายเปล่า ถึงลงแรงไปเราก็มีใจ เพราะว่าคนที่ตามมาก็ยิ้มแย้ม ปลื้มใจด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นชีวิตของคนเราจะมีค่าขึ้นก็อยู่ที่การกระทำว่าจะทำเช่นไร จะทำเพื่อตนหรือเพื่อผองชน  วันนี้ศิษย์พี่เห็นว่าศิษย์น้องเหนื่อย ศิษย์พี่ก็เหนื่อยไปด้วยนะ รู้ว่าหลายคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ศิษย์พี่เห็นใจ จะให้อะไรเป็นกำลังใจดี อยู่ด้วยกันเหมือนลางสาดดีไหม ไม่ทิ้งกันแม้แต่คนเดียว เวลากลับคืนก็กลับคืนพร้อมกันดีไหม (ดีอยู่ร่วมกันรักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นพี่เป็นน้องกันให้ได้ดีไหม อย่าเป็นพี่เป็นน้องกันแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก  รักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้รักศิษย์พี่ได้ก็ต้องรักคนอื่นได้ด้วย ถูกศิษย์พี่ว่าได้ก็ต้องโดนคนอื่นว่าได้ด้วยใช่ไหม  ความดีเก็บไว้ความชั่วทิ้งไป อย่ามองเห็นแต่คนอื่นไม่ดี ตัวเราเองก็มีสิ่งไม่ดีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่เวลาเรายิ้มเราต้องยิ้มให้กับคนอื่นใช่ไหม แต่เวลาร้องไห้ทำไมเราร้องไห้คนเดียว หมายความว่าถ้าเรามีความสุข เราอยากให้ทุกคนมีความสุขด้วย แต่ถ้าเราทุกข์เราไม่อยากให้คนอื่นทุกข์กับเราด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นความดีนำออก ความชั่วตัดทิ้ง  อย่าให้เห็นหน้ากันแค่วันนี้พรุ่งนี้เท่านั้น มีโอกาสก็มาศึกษาธรรมดีไหม  ตั้งใจศึกษาให้ดีนะ กว่าจะสำเร็จได้ต้องขอบคุณคนที่เป็นเจ้าบ้าน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลและผู้ช่วยดูแลพุทธสถาน)
ขอให้ร่วมแรงร่วมใจกันให้ดี อย่าคิดว่าสถานธรรมนี้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ถ้าร่วมมือกันแล้วก็ต้องร่วมมือกันให้ได้ดี เสียสละแล้วก็ต้องเสียสละให้เต็มที่ อย่าคิดน้อยใจอย่าคิดคลางแคลงใจอะไรได้ไหม (ได้เอาลูกอมดีไหม เจอความทุกข์ยาก เจอความลำบากจะได้ฝ่าฟันได้  เพราะมีคนนำ มีคนยอมเหนื่อย ยอมเสียสละถึงจะมีเราที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่โลกนี้ก็เหมือนกันมีพ่อแม่เสียสละดูแลเรา มีคนที่เสียสละบุกเบิกถากถางทำถนนสร้างบ้านให้กับเรา จึงมีเรายืนอยู่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่โลกนี้จะสันติสุขได้เพราะเราช่วยเหลือซึ่งกันและกันและยินดีให้โดยไม่คิดหวังผล  การกระทำที่ง่ายที่สุดเวลาบำเพ็ญธรรมก็คือให้เขาไป การให้เป็นสิ่งที่ดี ให้โดยไม่หวังผลยิ่งประเสริฐใหญ่ ศิษย์น้องให้ได้ไหม  ให้ความเมตตา ให้อภัย ให้ได้ดีแม้เราจะทุกข์ลำบากไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะว่าคนที่ยอมทนทุกข์ลำบากเพื่อให้ผู้อื่นได้ดี คนนั้นเป็นคนที่ประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนพระพุทธองค์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ยอมลำบากก่อนจึงได้รู้จักทางตื่น ถ้าไม่มีท่านมีหรือที่เราจะได้รู้หนทางที่จะกลับคืน วันนี้ก็เหมือนกันจะมีเราได้เพราะมีอาวุโส เพราะมีศิษย์รุ่นพี่ใหญ่ใช่ไหม (ใช่ฉะนั้นมีเขาก็มีเรา แต่คนที่เป็นรุ่นพี่ใหญ่ก็ต้องไม่ลืมรุ่นน้องเล็กๆ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างเกื้อกูลอาศัยซึ่งกันและกัน อย่าทอดทิ้งกันและกันแล้วโลกนี้ก็จะสันติสุข  เหนื่อยอย่างไรก็ไม่ท้อ ลำบากอย่างไรก็ไม่บ่น แม้อุปสรรคจะเข้าถึงกระดูกเข้าถึงเส้นเลือดก็ไม่ยอมแพ้ แล้วเราก็จะได้พบกันที่เบื้องบน คนที่จะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องผ่านข้อทดสอบถึงขนาดความลำบากเข้าเนื้อเข้ากระดูก จึงจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ศิษย์น้องอย่ากลัวความลำบากเพราะโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ที่ได้มาง่ายต่อไปก็รับความลำบาก รับความทุกข์ทีหลังเหมือนกัน
ขอให้ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ดีอย่าท้อถอยต่อความยากลำบาก ท่านก็คือพุทธะ ท่านจะเป็นพุทธะได้ก็อยู่ที่ท่านจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง




วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน  พุทธศักราช ๒๕๔๑                พุทธสถานสกุล สงน้อย  จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อันลาภยศเปรียบศิลาที่รอพัง                   เงินทองดั่งของผู้อื่นเรายืมใช้
ผู้ยึดมั่นถือมั่นต้องหนักใจ                          ติดกลร้ายแห่งกิเลสย่อมยากคืน
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                      ลงสู่พุทธสถาน     แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                             ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

  ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายสมถะ                        เป็นวาระอันดีมีกายนี้
เกิดมายากวันเวลาดุจวารี                         มิรอทีให้ศิษย์ตื่นจึงหมดลง
ศิษย์ตื่นช้าอาจดีกว่าศิษย์ไม่ตื่น                   รับรสขื่นอาจดีกว่าศิษย์ต้องหลง
ในบัดนี้อาจารย์ชี้ทางสายตรง                     ศิษย์รู้ปลงแล้วเดินก้าวมาให้ทัน
สิ่งสำคัญใช้พายเรือคือสิ่งใด                      ไม้ถ่อไกลหางเสือเที่ยงมิเหหัน
สถานธรรม ©ú ¸Û (หมิงเฉิง) ระบือนาน        คนกล่าวขานยกย่องในความศรัทธา
เมื่อพายเรือในแดนโลกลมโบกพัด                 อย่าได้วัดเอาเปรียบกันรู้ไหมหนา
ขอให้มีจริงใจดั่งเดิมเคยมา                        บำเพ็ญพาเวไนยพ้นทะเลลวง
เรือลอยน้ำน้ำย่อมคว่ำเรือลงได้                   มิมีใครบำเพ็ญดีแต่แรกอาจารย์ห่วง
ขอศิษย์รู้ควบคุมจิตมิติดบ่วง                      กรรมทักทวงอย่าท้อแท้เร่งฝ่าฟัน
ขอมีใจเมตตาอีกเสียสละ                          อภัยกันชนะตนเป็นของขวัญ
แม้ความผิดเล็กน้อยอย่าทำกัน                    เพียรทุกวันทุกเวลาย่อมพ้นคืน
สาละวนแดนโลกีย์มานานแล้ว                    ที่คลาดแคล้วถึงวันนี้เป็นโชคหมื่น
หากบัดนี้เจอธรรมแท้ไม่ยอมตื่น                   อาจไหลลื่นจมหนักไปยิ่งกว่าเดิม
                                                                                       ฮา  ฮา  หยุด




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทานข้าวอิ่มหรือเปล่า อร่อยไหม ความอร่อยเกิดขึ้นที่ไหน (ลิ้นลิ้นเป็นอวัยวะอย่างหนึ่งมีไว้รับรู้ใช่หรือเปล่า ตั้งแต่เล็กจนโตเราเคยไม่รับรู้รสชาติของอาหารไหม  วันนี้อาหารชนิดนี้อร่อยก็จริง แต่วันหน้าอาหารชนิดอื่นย่อมอร่อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่อร่อยที่สุดนั้นอยู่ที่เรารับรู้ เพราะฉะนั้นการรับรู้เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของเราใช่ไหม (ใช่เรารับรู้ความสุขความทุกข์  ถามว่าความสุขใดเป็นความสุขที่มากสุด แท้จริงแล้วลิ้นเป็นอายตนะอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นอายตนะคือ หู ตา จมูก ลิ้น กายใจให้แต่ความรู้สึก แต่เรารับรู้ความสึกนั้น เราเอาอะไรไปรับรู้ ลิ้นที่เรารับรู้มีความสิ้นสุดแห่งความอร่อยไหม วันที่เราหมดลมหายใจใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราจำเป็นไหมต้องรอให้ถึงวันนั้น เราถึงจะบอกตัวเองว่าเราต้องควบคุมตัวเองสักที  ใจนั้นเป็นเจ้าแห่งกาย ลิ้นเป็นอวัยวะที่อยู่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นเราควบคุมใจจึงต้องควบคุมตั้งแต่วันนี้  จำเป็นไหมที่จะต้องให้เราตายจึงจะมาควบคุม ถ้าให้เรามาควบคุมโดยที่ไม่ได้ตั้งเนื้อตั้งตัวควบคุมทันไหม (ไม่ทันคนเรานั้นอยากจะเป็นพุทธะจะเป็นตั้งแต่วันไหนดี ตายไปแล้วเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้เรานั้นอยู่บนโลกติดอยู่ในกิเลส เราไม่เคยคิดที่จะตัด ไม่เคยคิดที่จะลดละ และควบคุมใจของตนเอง ในที่สุดแล้ววันนี้เราควบคุมไม่ได้  แล้ววันที่เราหมดลมหายใจเราจะควบคุมได้หรือไม่ (ไม่ได้)
การเริ่มบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งสำคัญหรือเปล่า (สำคัญเริ่มบำเพ็ญวันไหนดี วันนี้เราบำเพ็ญอะไรบ้าง เมื่อเรามีความสุข เราก็ปล่อยตัวปล่อยใจของเราให้สุขเต็มที่ เมื่อมีความทุกข์มาก็ตั้งรับไม่ทัน เพราะฉะนั้นการตั้งรับต้องตั้งรับตั้งแต่วันนี้  ถ้าวันนี้เรามีความสุขเราจะทำอย่างไร (ทำต่อไป) ถ้าเรามีความทุกข์จะทำอย่างไร (ต้องอดทน) เราจะอดทนอย่างเดียวโดยไม่คิดที่จะตัดที่ต้นเหตุนั้นเป็นความคิดของปุถุชนใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้เรามาในสถานธรรมได้ยินคำว่า พุทธะ กี่คำ (นับไม่ถ้วน) เราอยากจะเป็นพุทธะไหม (อยากพุทธะนี้ไม่มีคนส่งมอบให้ พุทธะนั้นต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง สองวันนี้คนจำนวนมากพูดถึงคำว่า พุทธะ แต่เราต้องปฏิบัติเองใช่ไหม (ใช่) เขาเหล่านี้ให้เพียงความรู้ความเข้าใจ หากว่าเราไม่เข้าใจ เราไม่ปฏิบัติ เราจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จวันนี้กลับไป  ถ้าเราปฏิบัติก็สามารถสำเร็จได้ แต่มีกี่คนจะปฏิบัติจริง ปฏิบัติเพียงครึ่งวันแล้วท้อใจทำอย่างไรดี เวลาพบสิ่งที่ยากจะต้องพยายามอดทน
สมมติว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งตั้งอยู่กลางแดด เป็นก้อนหินที่ร้อนมาก ต้องการให้ศิษย์นั้นหยิบขึ้นมา หยิบได้ไหม (หยิบไม่ได้แต่ถ้าไม่หยิบหินก้อนนี้ก็จะไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะ จะหยิบไหม (หยิบแล้วจะหยิบขึ้นมาอย่างไร (ต้องพยายามแล้วจะพยายามอย่างไรให้สำเร็จ ตรงนี้เป็นส่วนที่มนุษย์นั้นจะต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณาใช่หรือเปล่า (ใช่หากสามารถที่จะหยิบได้ขึ้นมาสำเร็จก็เป็นพุทธะ หากว่ากลัวร้อนทนร้อนไม่ไหวก็ยังคงเป็นปุถุชนต่อไป เพราะฉะนั้นการที่เราจะหยิบหินก้อนนี้ ถ้าหากว่าหยิบก็เป็นพุทธะ ถ้าหากไม่หยิบก็เป็นคนต่อไป มีหลายเรื่องหลายราวที่เกิดในชีวิตมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาแล้วเราแทบจะอดทนไม่ไหว แต่ว่าในที่สุดแล้วก็ต้องทนต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่หากว่าเราจะต้องหยิบหินก้อนนี้จึงสำเร็จเป็นพุทธะ อาจารย์ถามว่าถ้าร้อนมากๆ จนทนไม่ไหวศิษย์จะก้มลงไปหยิบไหม (หยิบศิษย์รักของอาจารย์ต้องหยิบขึ้นมา หยิบขึ้นมาเพื่ออะไร หยิบขึ้นมาเพื่อเราจะได้ใช้ความอดทนครั้งสุดท้ายนี้ การฝ่าฟันครั้งสุดท้ายนี้เพื่อทะลวงอุปสรรคนานาใช่หรือไม่ (ใช่แต่ในความเป็นจริงการสำเร็จเป็นพุทธะนั้นไม่ได้ใช้ความอดทนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เจอสิ่งที่ลำบากยากเพียงอย่างเดียว แต่เจอนับครั้งไม่ถ้วนใช่หรือไม่ (ใช่ถามว่าถ้าให้ศิษย์ต้องหยิบก้อนหินก้อนที่ร้อนมากๆ นี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนมือพองจะทำไหม (ทำชีวิตของคนนั้นสั้นเหมือนกับผีเสื้อ มีโอกาสที่จะโบกบินไม่นานก็ต้องตายไป เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าร่างกายของเรานั้นที่เกิดมาครั้งนี้ได้ใช้ประโยชน์ ได้ทำให้เรานั้นจากกายมนุษย์กลับคืนขึ้นไปเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถเสวยวิมุติสุขได้อีกนานแสนนาน เอาหรือไม่เอา (เอาเพราะฉะนั้นการเอื้อมมือไปหยิบหินก้อนนี้จึงเป็นความสำคัญมาก ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เราจะเอื้อมมือไปหยิบ ยังมีอีกหลายๆ ครั้ง เพราะฉะนั้นเจอความยากลำบากต้องอดทนให้ได้ หากว่าเป็นความอดทนที่ยากที่จะอดทนจะทำอย่างไร อาจารย์ก็ให้ใช้คำเดียวเหมือนเดิมคือคำว่า
อันลาภยศเปรียบศิลาที่รอพัง เงินทองดั่งของผู้อื่นเรายืมใช้
ในที่นี้ใครเป็นผู้ที่มีลาภยศชื่อเสียงเงินทอง มีตำแหน่งหน้าที่การงาน สิ่งเหล่านี้เรียกว่าลาภยศใช่หรือไม่ (ใช่แล้วถามว่าลาภยศนี้เป็นของเราตลอดไปหรือไม่ (ไม่ศิษย์มีลาภมากกว่าหรือมียศมากกว่า มีสิ่งไหนมากกว่ากัน (มีพอๆ กันเราจะตัดต้องรู้จักตัดตรงไหนก่อน เราจะตัดสิ่งเล็กๆ ไปหาสิ่งใหญ่ๆ หรือจะตัดจากสิ่งใหญ่ๆ มาหาสิ่งเล็กๆ (สิ่งใหญ่ๆเราจะต้องรู้ว่าสิ่งที่เรามีนั้นมากมายขนาดไหนใช่หรือไม่ (ใช่สมมติว่าเรามีลาภยศ เราก็ถามตัวเองก่อนว่าเรานั้นมีลาภยศขนาดไหน ศิษย์ไม่รู้จักลาภยศของตนเองแล้วจะไปตัดความใหญ่เล็กอันนี้ได้อย่างไร จะตัดผ่านจะแล่สิ่งนี้ให้บางได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ก่อนว่าตนเองมีลาภมียศ ใช่หรือไม่ (ใช่หากว่าใช่แล้วมีลาภมีมากมายเท่าไร หากว่าใช่แล้วจะตัดคำไหนก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เงินทองมีทุกคนหรือเปล่า หนึ่งบาทก็เรียกว่าเงินใช่หรือไม่ (ใช่หนึ่งบาททองก็เรียกว่าอะไร ห้าสิบสตางค์ทองก็เรียกว่าอะไร (ทองเงินทองหมายถึงทรัพย์สินใช่หรือไม่ (ใช่) เงินทองทำไมจึงต้องเปรียบเหมือนของคนอื่น เราหาหรือเปล่า (เราหาแล้วทำไมอาจารย์จึงบอกว่าเหมือนของคนอื่น เวลาเราสิ้นลมหายใจไป แม้กระทั่งลูกหลาน ภรรยาที่รักสามีที่รัก ญาติพี่น้องที่เรารักก็กลายเป็นคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นเมื่อเราจากร่างกายไปแล้ว กายที่นอนนิ่งกับตัวเราซึ่งเป็นวิญญาณที่ออกจากร่าง ถามว่าคนที่นอนนิ่งเป็นคนอื่นไหม (เป็นแม้กระทั่งตัวเรากับตัวเรายังไม่สามารถที่จะเป็นคนๆ เดียวกันได้ตลอดไป นับประสาอะไรกับเงินทองของนอกกาย ถูกหรือเปล่า (ถูกแล้วถามว่าทุกๆ วันนี้เรายึดเงินทองไหม (ยึดถ้าหากว่ามีน้อยๆ ได้หรือเปล่า (ได้แล้วถ้ามีมากๆ ล่ะ (มีมากๆ ก็ดีถามว่าเป็นพุทธะมีเงินหรือไม่ (ไม่มีแล้วศิษย์จะเป็นพุทธะหรือเอาเงินทอง (ทั้งสองอย่าง)
อาจารย์จะบอกให้มนุษย์แท้จริงมีใจเดียว ถ้ามีสองใจ ใจแรกเรียกว่าใจ ใจที่สองเรียกว่ากิเลส เพราะฉะนั้นถ้ามุ่งหมายจะทำสิ่งใดจะต้องมีใจเดียวจึงจะสำเร็จ ศิษย์มุ่งหมายจะมีใจอะไร (ใจพุทธะ) คนที่บอกว่าจะเอาทั้งสองอย่างแสดงว่าเรานั้นยังเป็นปุถุชนใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ใช่มีแค่สองใจเท่านั้นที่ศิษย์มี ในหนึ่งนาทีศิษย์คิดกี่เรื่อง หนึ่งวัน หนึ่งปีศิษย์คิดกี่เรื่อง (นับไม่ถ้วนนี่คือคนที่ใจจะทำหลายสิ่งหลายอย่างใช่หรือไม่ (ใช่ตอนที่ศิษย์มีหลายใจนั้นจะทำให้ศิษย์เป็นผู้มีความสำเร็จได้หรือเปล่า (ไม่ได้แม้กระทั่งปุถุชนสอนปุถุชนเองยังพูดว่า การทำสิ่งใดต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว เพราะฉะนั้นใจของเราต้องควบคุม อาจารย์บอกแล้วว่าใจของเราเป็นเจ้าแห่งเรือนกาย หากศิษย์ไม่รู้จักคุมจิตใจของตนเองย่อมไม่มีผู้ใดสามารถคุมใจของเราได้ เมื่อเราไม่สามารถคุมใจของเราได้ เราก็ไม่สามารถเป็นพุทธะได้  เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธะง่ายหรือยาก (ไม่ยากไม่ง่ายขึ้นอยู่กับปัญญา) ศิษย์ของอาจารย์มีปัญญาเท่าไร (ปัญญาขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเมื่อศิษย์บอกว่าปัญญาขึ้นอยู่กับการฝึกฝน เพราะฉะนั้นเราจะต้องฝึกฝนด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วการจะเป็นพุทธะถ้าหากไม่มีปัญญาก็เป็นเรื่องยากทันที
"ไม่ยากไม่ง่ายขึ้นอยู่กับปัญญา"  ถ้าบอกว่าไม่ยากก็คือง่าย ไม่ง่ายก็คือยาก อาจารย์ขอบอกว่าขณะนี้ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญมาก ขนาดตัดสินได้ว่าเรานั้นจะเป็นพุทธะหรือจะเวียนว่ายตายเกิดเป็นปุถุชนต่อไป เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีปัญญาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับใคร (ตัวเองในที่สุดแล้ว คำว่า พุทธะ ก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปได้หรือไม่ หรือจะกำหนดชะตาชีวิตของตนเองว่าเป็นพุทธะได้หรือไม่
นิพพานนั้นไกลไหม พระพุทธองค์ พระศรีอาริย์ พระโพธิสัตว์กวนอินและแม้กระทั่งตัวของอาจารย์เองล้วนแต่เคยเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น การรู้ตื่นรู้แจ้งไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลันทันที  แล้วจากการเกิดร่างกายมา ยังทำให้เราหมกมุ่นอยู่ในกิเลส ในตัณหาและในความมืดบอดแห่งจิตใจ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ ผู้ใดไม่ปฏิบัติย่อมเข้าไม่ถึง ผู้ใดไม่ศึกษาย่อมไม่เข้าใจ ศิษย์ของอาจารย์ต้องศึกษาให้เข้าใจเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าไม่เข้าใจแล้ว ทำผิด ทำถูก อยู่บ่อยๆ จะเพิ่มบาปกรรมให้กับตนเอง หากว่าทำถูกอยู่เสมอ ย่อมเพิ่มกุศลให้กับตนเอง สิ่งใดที่เราไม่รู้จึงควรที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจแล้วค่อยปฏิบัติ บางคนมีความกล้า แต่กล้าแล้วทำในสิ่งที่ผิดไปเสียทั้งหมด บางคนไม่ค่อยกล้าแต่เมื่อทำแล้วก็ทำได้ถูกต้องไปทั้งหมด ศิษย์อยากเป็นคนกล้าที่ทำผิดหรือคนไม่กล้าที่ทำถูก (คนไม่กล้าศิษย์อยากจะเป็นพุทธะต้องเป็นคนระมัดระวังรอบคอบ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง
ผู้ยึดมั่นถือมั่นต้องหนักใจ    ติดกลร้ายแห่งกิเลสย่อมยากคืน
ทุกวันนี้เราเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นหรือเปล่า ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เราชอบ ในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เป็นของเราใช่หรือเปล่า (ใช่อาจารย์จะบอกว่าชีวิตที่เกิดมามีสิ่งใดที่เที่ยงแท้เป็นของเราได้ตลอดกาลไหม ความยึดมั่นถือมั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรควบคุม และตัดทิ้งไหม (ควรยึดมั่นถือมั่นที่สุดคืออะไร (จิตใจจิตใจถือมั่นอะไร (ความดีศิษย์คิดว่าถูกไหม ถ้ายึดมั่นถือมั่นในความดีก็เป็นสิ่งที่ผิด ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ สมมติว่าวันนี้ไปทำบุญตักบาตร ถวายข้าว น้ำและผลไม้ แล้วเราก็ยึดมั่นถือมั่นในความดีของเรา ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เราถวายไป ศิษย์ได้บุญและบุญนี้ก็ย่อมกลับมาเป็นของเรา บุญนี้จึงกลับมาตอบแทนเรา โดยที่เราก็ยังยึดมั่นถือมั่น ในที่สุดแล้วบุญนี้กลับไม่ได้เป็นสิ่งที่หลงเหลือให้เราเป็นพุทธะได้เลย การทำบุญใดๆ นั้นต้องไม่หวังสิ่งที่จะตอบแทนกลับมา ถ้าเราคิดว่าเราทำบุญ ๑๐๐ บาท แล้วต้องได้กลับมา ๑๐๐ ในที่สุดเราก็เป็นคนที่ไม่เหลือบุญให้เราได้กลับไปเป็นพุทธะ ไม่เหลือสิ่งใดที่จะกลับไปนิพพานได้ เช่นเดียวกับการสร้างบันไดให้วัด แล้วบอกว่าบันไดที่บ้านเรานั้นก็ต้องแข็งแรงเหมือนกับที่เราสร้างให้วัด แต่บันไดที่จะต่อขึ้นไปนิพพานไม่เหลือ เพราะเราหวังในผลตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)
การทำบุญโดยหวังผลตอบแทน และไม่หวังผลตอบแทนนั้นต่างกันอย่างยิ่ง ถ้าเราหวังผลตอบแทน เราก็จะได้รับสิ่งตอบแทน แต่จิตใจของเราจะไม่เหลือบุญ แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน บุญนั้นจะย้อนกลับมาเป็นของเราในรูปของความสว่างในจิตใจ ปกติจิตใจของเรานั้นมืดบอดเพราะเต็มไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง จิตใจของเราจึงไม่สว่างเลย เห็นผู้อื่นจะได้ดีเราก็เป็นทุกข์ เห็นผู้อื่นมีความสุขเราก็เป็นทุกข์ จิตใจเช่นนี้ไม่ใช่จิตใจของพุทธะ ถ้าศิษย์อยากมีจิตใจแห่งพุทธะ ก็ต้องมีความเมตตา ความเสียสละ แม้ว่าตัวเราจะเป็นทางให้คนอื่นเหยียบย่ำก็ยังจะมีความสุขใจใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอาสิ่งใดมารับอาจารย์ (ใจ) ใจของศิษย์สีอะไร (สีขาว) ใจของศิษย์เป็นสีขาวแน่หรือเปล่า มีความลังเลสงสัยหรือเปล่า ถ้ามีความลังเลสงสัยเพิ่ม ใจก็เป็นจุดสีเทา ขาวปนเทาใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าจิตใจไม่มีความศรัทธามั่นคง นั่งฟังธรรมะจิตเลื่อนลอย ศิษย์จะเพิ่มสีอะไรเข้าไป (สีดำจิตใจเป็นวงกลมวงหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดรูปวงกลมเพื่อแสดงถึงถึงสภาวะ)
 




 ชีวิตนั้นเหมือนกับการเดินทาง จากเราแรกเกิดขึ้นมาเป็นเด็กน้อย เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นผู้ใหญ่จนกระทั่งผมขาว เราก็เริ่มแก่แล้วก็ตาย เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตายมีเรื่องต้องประสบมากมาย อยากรู้ว่าตลอดการเดินทางของชีวิตศิษย์จับอะไร  การเดินทางของชีวิตทั้งชีวิตของเรานั้นจะจบลงที่นิพพานใช่หรือเปล่า (ใช่เหมือนดังพุทธองค์ที่ศิษย์นั้นสักการะบูชาก็หาไม่ ตลอดทางชีวิตนี้ของเราจับสิ่งใดบ้าง (เงินทอง, จับคู่, จับลูก, จับบ้าน, จับรถ, จับทีวี, จับตู้เย็นพอหมดอะไรให้จับก็กลับมาจับเงินทองให้รวยขึ้นอีก แทนที่เราหาได้ครบแล้วเราจะหยุด แต่เรากลับมาจับอีกใช่ไหม จับเงินทองเพิ่มขึ้นมาอีกใช่ไหม จับรถคันใหญ่กว่าเดิม บ้านหลังใหญ่กว่าเดิม จับตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใหญ่กว่าเดิมใช่หรือไม่ (ใช่ที่อาจารย์พูดมานี้เป็นเพียงการยกตัวอย่าง มนุษย์นั้นจับมากมาย เวลาที่เราจับความดีงามคุณธรรมต่างๆ นั้น เมื่อเทียบกับการจับลาภยศ ชื่อเสียงเงินทอง ลูกสามีภรรยา เทียบกันแล้วความดีนั้นทำได้เพียงแค่เสี้ยวเดียวใช่หรือไม่ (ใช่แค่นี้จึงไม่พอที่จะทำให้ศิษย์นั้นไปเป็นพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์นั้นเวลาที่หาลาภยศชื่อเสียงเงินทอง ก็ประกอบไปด้วยกรรมชั่วต่างๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่เมื่ออยากจะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใหญ่โตก็ทุจริต แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้ารวมกันก็กลายเป็นความผิดครั้งใหญ่ที่เรานั้นจะกลับตัวไม่ได้  เป็นการสร้างนิสัยไม่ดีให้กับตนเอง เมื่อเราไม่ได้ในสิ่งที่เราปรารถนาเราก็พูดโกหก ในที่สุดเราก็ตัดสินให้กับตัวเราเองว่าเรานั้นไม่สามารถจะเป็นพระพุทธะได้ นิพพานนั้นไกลเหลือเกินสำหรับคนแบบเรา ถ้าเราได้ปล่อยสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ตัวเราเบาสบาย คำว่า นิพพาน ก็จะเดินใกล้เข้ามา เมื่ออาจารย์พูดเช่นนี้แล้วศิษย์ของอาจารย์ปล่อยได้หรือไม่ (ได้ทำไมตอบช้าจัง (ยังลังเลอยู่สิ่งใดที่ทำให้ศิษย์ลังเลที่สุด (มีหลายอย่างที่ยังจับอยู่เพราะศิษย์รู้ว่าเมื่อออกไปหาความจริงแล้ว ไม่ใช่นั่งฟังธรรมะอยู่ที่นี่แล้ว จะต้องเจอสิ่งต่างๆ มากมาย ต้องเจอมายา ต้องเจอกิเลส ต้องเจอภาพลวงตาใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เมื่อศิษย์พยายามลงแรงที่ใจ กลัวหรือที่ใจของเรานั้นจะไม่สะอาด  เมื่อศิษย์พยายามเป็นพุทธะ กลัวหรือที่จะไม่ได้เป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่แม้ว่าศิษย์ของอาจารย์เทียบไม่ได้กับพระพุทธองค์ แต่ให้เราเจริญรอยตาม เมื่อเราเดินไปกลัวหรือที่จะไม่ถึง เพียงแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องมีความตั้งใจปฏิบัติธรรม เราต้องตั้งใจทำจริงๆ  คำว่า ตั้งใจ หมายความว่าเมื่อเจออุปสรรคความลำบากแล้วจะไม่ท้อถอย  เราอยู่ในสังคม กลัวที่สุดคือคำนินทา รองมาคือโดนต่อว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อเจอสิ่งเหล่านี้เราต้องรีบขอบคุณที่เขาช่วยว่าเรา ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเราโตแล้วมีใครกล้ามาว่าเราหรือเปล่า คนที่อายุขึ้นเลข ๓ แล้วแทบจะไม่มีคนมาว่าเราอยู่แล้ว เมื่อคนเขามาว่าเราต้องรีบขอบคุณเขา ต้องรีบแก้ไขตนเอง แค่เฉพาะความโกรธก็เยอะมากแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่ชีวิตนี้โกรธคนมานับไม่ถ้วน อย่ารอให้เรานั้นตายแล้วจึงค่อยไปขอขมาลาโทษ  เมื่อนั้นคนเขามาขอขมาลาโทษเรา เราจะรับรู้หรือเปล่า เรารู้แต่ว่าถ้าเราไม่ให้อภัยเขาจะรู้ไหม (ไม่รู้เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดีชีวิตนี้โกรธเกลียดคนให้น้อยจะได้ไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกันต่อไป  ชีวิตนี้เราต้องอะไรอีก (ต้องโลภให้น้อยเพราะถ้าเราโลภน้อยจิตใจของเราจะได้ไม่ต้องเผื่อกว้างไว้สำหรับทีวี ตู้เย็น บ้านและรถ จิตใจของเรานั้นกว้างใหญ่มากสามารถวางโลกได้ทั้งใบ โลกของใจเรามีทุกอย่างใช่หรือเปล่า (ใช่ศิษย์จะเป็นพุทธะอาจารย์อยากจะให้ศิษย์เอากิเลสเหล่านี้ทิ้ง เพราะฉะนั้นเราควรผูกกิเลสให้น้อย ถ้าผูกกิเลสยิ่งหนายิ่งแน่นเท่าไร ก็ยิ่งแก้ยากและยิ่งทุกข์มากทำให้เราไม่สามารถเป็นพุทธะได้ เพราะว่าติดทีวี ติดบ้าน ติดรถ และติดคน ศิษย์สมควรติดไหม (ไม่สมควรเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยใช่หรือเปล่า (ใช่แต่รวมๆ กันยิ่งใหญ่ไหม  ชีวิตนี้จึงต้องใช้ชีวิตให้เรียบง่ายและสมถะ อยู่ในแถบนี้ถือเป็นชุมชนที่สงบ เมื่อไม่มีสิ่งที่เป็นกิเลสยั่วเย้ามากมายถือเป็นโอกาสดีแห่งการบำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นจงรักษากายรักษาใจให้เป็นผู้มีความเรียบง่ายและสมถะ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้ดูๆ ไปแล้วชีวิตของคนนั้นจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ยากก็ยาก จะบอกว่าเป็นสิ่งที่ง่ายก็ง่าย อยู่ที่เรานั้นจะรู้จักใช้ชีวิตนี้ให้เกิดความยากหรือความง่าย ถ้าเรายิ่งหาสิ่งภายนอกมาปรุงแต่งเพิ่มเติมมากมาย ชีวิตนี้ยิ่งใช้ก็ยิ่งลำบากถูกหรือเปล่า (ถูกเหมือนกับทีวีรุ่นใหม่ เมื่อก่อนใช้หมุนเดี๋ยวนี้ใช้กด คนรุ่นก่อนจะปรับก็ลำบากใช่ไหม เป็นความยากด้วยวิวัฒนาการที่ล้ำสมัย เพราะฉะนั้นยิ่งใช้ชีวิตให้เรียบง่ายสมถะเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดสิ่งที่ดีงามมากขึ้นเท่านั้นใช่ไหม (ใช่เปรียบประหนึ่งอาหารที่เรากิน มีรสชาติเผ็ดเปรี้ยวเค็ม เมื่อเทียบกับรสจืด อาหารก็มีรสชาติ เพราะฉะนั้นคำว่า เรียบง่ายสมถะ เปรียบเสมือนอาหารที่จืดจานหนึ่ง ศิษย์จะฝืนกินอาหารที่จืดนี้ไปตลอดชีวิต โดยที่จิตใจของเรานั้นไม่ปรุงแต่งความเปรี้ยวเผ็ดหวานมันลงไปทำได้ไหม (ได้)
ความโกรธ            เปรียบเสมือน            ความเผ็ด
ความรัก              เปรียบเสมือน            ความหวาน
ความหลง            เปรียบเสมือน            ความมัน
ความโลภ            เปรียบเสมือน            ความเค็ม
ส่วนความขื่นความขม และรสชาติอื่นๆ ศิษย์ลองไปเปรียบเทียบดู  ความขื่นอาจจะเปรียบได้กับความละอาย ลองพิจารณาเองว่าเรานั้นชอบรสชาติแบบไหน ในใจของเราคือสิ่งใด ทานอาหารให้จืดลงเพื่อที่เรานั้นจะได้รู้จักใช้ชีวิตนี้และใจนี้ให้ราบเรียบลง
ถ้าศิษย์ต้องการที่จะได้มรรคผลเพื่อที่จะกลับไปเป็นพุทธะต้องทำอย่างไรบ้าง (ต้องไขว่คว้าเป็นพุทธะนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ มีมรรคผลไหม (ไม่มีเพราะฉะนั้นจะต้องปฏิบัติด้วยการรู้จักไขว่คว้าหาโอกาสให้กับตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่เปรียบเสมือนวันนี้ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ได้มาที่สถานธรรมก็อยู่บ้านนอนเฉยๆ หรือไม่ก็ออกไปทำงาน ไม่สละเวลาก็ไม่ได้ประชุมธรรมก็ไม่รู้จักธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นการที่เราอยากจะได้มรรคผลกลับไปเป็นพระอริยะ เราทำอย่างไร (ไขว่คว้าต้องหาโอกาสและไขว่คว้าให้กับตนเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่แม้ว่ามรรคผลอยู่ตรงหน้าไม่เอื้อมมือไปคว้าก็ไม่ได้
สิ่งสำคัญใช้พายเรือคือสิ่งใด  ไม้ถ่อไกลหางเสือเที่ยงมิเหหัน
สิ่งสำคัญใช้พายเรือคือสิ่งใด  หนึ่งคือไม้ถ่อ, ไม้พาย  สองก็คือหางเสือ หางเสือนี้จะต้องเที่ยง เมื่อหักซ้ายต้องไปซ้าย เมื่อหักขวาต้องไปขวา ไม่ใช่บอกว่าตอนนี้ฉันอยากจะให้ไปซ้ายแต่คนถ่อกลับถ่อไปทางขวา แสดงว่าแตกความสามัคคี  เพราะฉะนั้นจะต้องใช้ทั้งไม้ถ่อและหางเสือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์ถามนักเรียนที่ตอบคำถามที่ได้รับผลไม้ไปแล้วว่ายังจะเอาผลไม้อีกไหม)
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าจะทำอะไรต้องมีใจเดียวใช่หรือเปล่า ถ้า
(พระอาจารย์เมตตาประทานแอปเปิ้ลให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม แต่พอนักเรียนเอื้อมมือหยิบ พระอาจารย์ก็เอาแอปเปิ้ลหลบ)
ทำไมอาจารย์ถึงเล่นแบบนี้อยากรู้ไหม เพราะว่าเรานั้นอยู่ในชุมชนที่เรียบง่าย ในขณะที่เมืองหลวงนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ชีวิตของศิษย์และคนในเมืองจึงต่างกัน ศิษย์ของอาจารย์เมื่อมีเวลาว่างอย่านอนอยู่บ้านเฉยๆ หรือดูทีวีดูละคร ขอให้รู้จักใช้เวลาเหล่านี้ออกมาปฏิบัติธรรม ทำงานธรรมะ เมตตาช่วยคน ออกมาศึกษาธรรมะดู ขอให้ต่อต้านความเฉื่อยชาความเกียจคร้าน ต่อต้านสิ่งเหล่านี้ออกไป เปรียบประหนึ่งศิษย์นั้นต้องการจะไขว่คว้าผลไม้ให้มาอยู่ในมือใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าไม่ยืดตัวขึ้น ไม่หดตัวลง ไม่เอื้อมมือคว้า ถามว่าผลไม้จะอยู่ในมือเราได้ไหม (ไม่ได้ยืดตัวขึ้นหมายความว่าเรานั้นต้องรู้จักที่จะยืดตัวขึ้นเพื่อที่จะไปคว้าสิ่งหนึ่งมา ใช่หรือไม่ (ใช่หดตัวลงคือการอ่อนน้อม  เมื่อถึงเวลาที่จะแสดงความกล้าหาญจงยืดตัวขึ้น และเมื่อเราต้องการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต้องหดตัวลง เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมาก หากว่าผู้บำเพ็ญธรรมรู้จักแต่ความกล้าหาญแต่ไม่รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตน จะเป็นผู้บำเพ็ญที่บำเพ็ญแล้วไม่สมบูรณ์ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักทั้งความกล้าและความอ่อนน้อมด้วยในเวลาเดียวกัน
ในชีวิตประจำวันเรารู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างเป็นกิเลสล่อลวงใจของเราเราก็ยังนำมาไว้ในมือ แล้วยังสร้างความเดือดร้อนต่อไปเรื่อยๆ เราจะทำอย่างไรดี (เราจะต้องแก้ไขเราจะต้องทำอย่างไรในเมื่อเรานำกิเลสมาอยู่ในใจเราแล้ว (ตัดใจลองเทียบดูกับในบ้านของเรา บางคนมีทีวีสองเครื่องใช่หรือไม่ (ใช่ทีวีเครื่องแรกก็สร้างกิเลสไหม ทีวีเครื่องที่สองก็สร้างกิเลสไหม (สร้างความโลภครั้งแรกสร้างกิเลสไหม ความโลภครั้งที่สองสร้างกิเลสไหม (สร้างความโกรธครั้งแรกสร้างกิเลสไหม ความโกรธครั้งที่สองสร้างกิเลสไหม (สร้างแล้วจะทำอย่างไรดี จะตัดครั้งที่สองนี้ทิ้งไปก่อนทำอย่างไรดี ถ้าหากว่าศิษย์ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วศิษย์จะกลับไปตัดกิเลสได้อย่างไร เพราะว่ากิเลสที่บ้านของเราหรือในใจของเรานั้นไม่ใช่มีเพียงแค่ครั้งเดียว แต่มีถึงห้าครั้งสิบครั้ง ยี่สิบครั้งถึงร้อยครั้งใช่หรือไม่ (ใช่สมมติว่าแอปเปิ้ลลูกนี้เป็นกิเลสที่อยู่ในใจเรา เราจะตัดกิเลสอันนี้ออกไปอย่างไรดี ก็ส่งไปให้กับคนที่ยังไม่มีจะได้เป็นลูกแรกสำหรับเขา และนี่จะเป็นอริยมรรคผล
ถึงแม้ว่าเรื่องแอปเปิ้ลนั้นจะเป็นเรื่องที่ง่าย เป็นกิเลสสำหรับเราแต่เป็นอริยมรรคผลสำหรับผู้อื่นใช่หรือเปล่า (ใช่บางคนนั้นมีความสามารถทางธรรมมากมาย งานการเก็บไว้ทำล้นมือไม่ยอมให้ผู้อื่นทำ แสดงว่าเราทำงานธรรมนั้นด้วยความมีกิเลส เพราะฉะนั้นเมื่อเราส่งสิ่งที่เราทำนั้นไปให้ผู้อื่น กิเลสของเราก็จะกลายเป็นงานธรรมของผู้อื่นและจะเป็นกุศลของเราทันทีใช่หรือไม่ (ใช่แต่ว่าการตัดกิเลสจริงๆ แล้วไม่มีทางอื่นนอกจากตัดไฟเสียแต่ต้นลม ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์รู้ว่าสิ่งนี้เป็นกิเลส อย่าให้สิ่งนี้เข้ามาครอบครองใจเรา มีทางเดียวเท่านั้นก็คือการตัดเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น จะได้ไม่มีรากไม่มีเหง้าให้คอยดึงเราใช่หรือเปล่า (ใช่กิเลสนั้นลุกลามเร็วเหมือนต้นหญ้า แค่ต้นหญ้าต้นหนึ่งก็สามารถกลายเป็นต้นหญ้าทั้งแปลง เพราะว่ามันลุกลามเร็วใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นอยากจะตัดกิเลสก็ต้องตัดเสียตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวทันที ไม่ใช่บอกว่านี่เป็นกิเลสเอาไว้ก่อนแล้วค่อยตัดวันหลังก็ได้ ในที่สุดแล้วในวันหลังนั้นก็ไม่สามารถตัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่มีแต่จะงอกงามอยู่ในจิตใจของเรา ในที่สุดแล้วต้นไม้ที่เราปลูกนั้นกลับไม่ขึ้น แต่ต้นหญ้าซึ่งเป็นวัชพืชขึ้นแทน  เมื่อวานนี้ได้โอวาทอะไร (ลงต้นกล้าลงต้นกล้าไม่ใช่ลงต้นหญ้านะ
ไม้ถ่อนั้นเปรียบประหนึ่งความศรัทธา แล้วหางเสือเปรียบเสมือนอะไร
การแกล้งกันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเกิดว่าศิษย์คนใดไม่กล้า จงเพิ่มกำลังใจและความมั่นใจให้กับเขาด้วยการช่วยๆ กันใช่หรือไม่  หากว่าการเป็นพี่น้องกันไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วยกัน ถูกหรือเปล่า
บางครั้งเราเข้าใจว่าสิ่งนี้ต้องทำอย่างนี้ไม่สามารถจะเป็นอย่างอื่นได้ แต่เมื่อถึงเวลาแล้วบุคคลนั้นๆ ไม่สามารถทำในสิ่งที่เราให้ทำได้ เราจำเป็นจะต้องโอนอ่อนผ่อนตามได้ เหมือนกับวันนี้ที่จัดงานตรงกับข้างบ้านใช่หรือไม่ (ใช่ข้างบ้านสวดมนต์แล้วศิษย์จะสวดมนต์ด้วยหรือเปล่า (ไม่แต่ศิษย์อาจารย์ก็ยังดีรู้จักที่จะร้องเพลงให้เบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน ใช่หรือไม่ (ใช่คนข้างบ้านโศกเศร้าเราจำเป็นต้องโศกเศร้าด้วยเพื่อเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน จงอย่าเห็นว่าภัยข้างบ้านไม่ใช่ภัยของเราถูกหรือเปล่า คนข้างบ้านที่เสียชีวิตไปแล้วเราเสียชีวิตได้ไหม (ได้ถ้าในงานของเรามีคนทำแบบนี้เราชอบไหม (ไม่ชอบเพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือนำพาซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่ต้องรู้จักว่าตอนนี้กำลังทำอะไร พลิกแพลงได้แค่ไหนเปลี่ยนแปลงได้แค่ไหน ไม่ใช่ยึดในสิ่งที่เราเข้าใจหรือยึดในหลักธรรมะและก็ทำอย่างนั้นโดยไม่มีการพลิกแพลง ผู้ยึดมั่นถือมั่นต้องหนักใจเพราะเราเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นจึงไม่สามารถนำพาตนเองให้ตลอดรอดฝั่งได้ ยึดมั่นในความรู้ทางโลกหรือทางธรรมต่างก็เป็นการยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างที่เรารู้และเราเข้าใจจึงต้องเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนได้ เปรียบเสมือนน้ำเป็นน้ำแข็ง ที่ออกมาจากน้ำเช่นเดียวกัน แต่สิ่งหนึ่งเป็นน้ำ อีกสิ่งหนึ่งเป็นน้ำแข็ง เมื่อใช้ความร้อนละลายออกมาเป็นน้ำเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นหางเสือเปรียบเสมือนอะไร (สมาธิ, ความมั่นคงของจิตใจ)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลพุทธสถาน และผู้ช่วยดูแลพุทธสถาน)
ไม้ถ่อหมายถึงความจริงใจ หางเสือเปรียบเสมือนความมุ่งมั่น ผู้ชายว่าไม้ถ่อเปรียบเสมือนอะไร (เปรียบเสมือนผู้นำอาจารย์จะเปรียบหางเสือประหนึ่งความเข้าใจ ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ความเข้าใจธรรมดา แต่เป็นความเข้าใจในแก่นแท้แห่งหลักสัจธรรมอย่างเที่ยงแท้ เพราะฉะนั้นในเรือลำหนึ่งจึงต้องมีทั้งหางเสือและไม้ถ่อ  สิ่งที่ศิษย์จำเป็นจะต้องมีอย่างยิ่ง สิ่งแรกคือความศรัทธาและความเข้าใจ ถ้าเราไม่สามารถเข้าใจในหลักสัจธรรมได้ ก็ไม่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นฟังได้ใช่หรือไม่ (ใช่คนที่อยู่ที่นี่มีความสามารถแตกต่างกัน ขอให้เข้าใจในภาระที่แบกรับและเข้าใจที่จะสร้างความศรัทธาและความเข้าใจให้บังเกิดขึ้น จึงจะสามารถใช้เป็นสิ่งที่นำผู้อื่นต่อไปได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจศิษย์จำเป็นต้องมี ขาดไม่ได้แม้แต่สิ่งเดียว เมื่ออาจารย์ให้ชื่อสถานธรรมที่นี้แล้ว ศิษย์ของอาจารย์รับรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ต่อให้เกิดสิ่งใดขึ้น ไม่ว่าคนจะว่า สิ่งใดจะเกิดขึ้นอุปสรรคน้อย อุปสรรคใหญ่ ต่างจำเป็นต้องฝ่าฟันให้ผ่านพ้น อย่าคิดว่าสิ่งนี้เป็นภาระหน้าที่ใคร ต่างเป็นภาระหน้าที่ของศิษย์ทั้งสิ้น หากสิ่งใดยังเข้าใจไม่ถ่องแท้ ขอให้นานวันยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานความมั่นคงยิ่งมั่นคง ยิ่งนานวันความสามัคคีของเรายิ่งแข็งแรงเป็นปราการมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาจารย์ให้ชื่อสถานธรรมนี้แล้วขอให้ตั้งใจให้จงดี อย่าได้ดูแคลนอย่าได้เกี่ยงกันทำงาน ขอให้ช่วยๆ กัน
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อพุทธสถานว่า ©ú ¸Û หมิงเฉิง)
เมื่อวานนี้พระนาจามาบอกให้ศิษย์บำเพ็ญ เพราะฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ลงมาก็พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ สองวันนี้คำที่ศิษย์ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือคำว่า พุทธะ และคำว่า บำเพ็ญ เพราะฉะนั้นเมื่อกลับไปเราจะลืมสิ่งใดก็ได้ แต่ลืมการบำเพ็ญไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่สิ่งต่างๆ หาจากภายนอกได้ สิ่งที่หาไม่ได้ก็คือใจของเราเอง กับการบำเพ็ญปฏิบัติ เมื่อหาจากข้างนอกไม่ได้แล้ว ศิษย์ของอาจารย์จึงต้องบำเพ็ญ ถ้าไม่บำเพ็ญก็ไม่สามารถเป็นพุทธะได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
คนเราเดินทางธรรมต้องเสมอต้นเสมอปลาย วันนี้เสียสละได้วันหน้าก็จงเสียสละให้ได้ เข้าใจหรือไม่(เข้าใจวันนี้เป็นแค่วันเริ่มต้นที่เรานั้นจะบำเพ็ญธรรมหรือไม่บำเพ็ญ หากว่าศิษย์นั้นมีความไม่เข้าใจสงสัยอะไรวันหลังยังต้องมาศึกษาเพิ่มเติมอีก ได้หรือเปล่า (ได้วันนี้อาจารย์มามีเวลาอยู่จำกัดมาก แต่หวังว่าการที่อาจารย์ได้พบหน้าศิษย์ในวันนี้จะไม่เป็นการเสียเปล่า จะสามารถทำให้ศิษย์นั้นเดินทางธรรมต่อไปได้ แม้ว่าเรานั้นยังจะมีความสงสัยความลังเลอยู่มากมาย แต่ว่าการที่เราสงสัยลังเล การที่เราจะออกไปเจอความทุกข์ ไม่ใช่เพื่อหยุดแต่เพื่อเดินหน้าต่อไป เพื่อให้ความสว่างนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเราให้ได้จึงจะไม่เสียโอกาสที่เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ การที่เกิดมาเป็นคนในชาตินี้นั้น ถ้าทำเพื่อปากเพื่อท้องเพื่อลาภยศชื่อเสียงและเงินทองเท่านั้น ก็เป็นการเสียเปล่าอย่างยิ่ง อันว่าคนโง่หรือว่าคนฉลาดนั้นย่อมสามารถที่จะมีเงินทอง ย่อมสามารถที่จะสำเร็จได้เช่นกัน อย่าได้ดูถูกตัวเองว่าเราเป็นชาวบ้านธรรมดา หาเช้ากินค่ำไม่เฉลียวฉลาด ขอให้เรานั้นรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรม การฝึกบำเพ็ญพุทธะไม่ต้องอาศัยความฉลาด ไม่ต้องอาศัยความรอบรู้ใดๆ ขอให้ศิษย์นั้นมีความจริงใจเดินหน้า ดังที่อาจารย์พูดไว้ตอนแรก ถ้าศิษย์เดิน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ถึงใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าศิษย์ไม่เดินเลยจะถึงไหม (ไม่ถึงเพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตั้งใจเดินหน้าได้หรือเปล่า (ได้เดินหน้านี้เดินหน้าใจตน เดินหน้าออกไปฉุดช่วยผู้คน มัวแต่จมในเรื่องของตัวเอง จมแต่เรื่องภาระหน้าที่ของตัวเอง จมแต่ในเรื่องความเข้าใจและอารมณ์ของตัวเอง  บางคนนั้นจมแต่ในเรื่องเหล่านี้จนไม่เป็นอันทำอะไร วันๆ ก็ได้แต่นั่งมองตัวเอง แต่ไม่ได้มองเห็นความผิดของตัวเองเลย มองเห็นแต่ว่าตัวเองพอใจสิ่งไหน จะทำสิ่งไหนต่อไป ถ้ายังคิดเช่นนี้ก็ยังไม่ใช่พุทธะ พุทธะนั้นทุกเวลาทุกขณะจิตรู้ว่าเวไนยยังทุกข์ ตนเองยังสบายไม่ได้ รู้เพียงเท่านั้น เห็นไหมว่าพุทธะนั้นมีความคิดเช่นนี้ ถ้าอยู่ในโลกมนุษย์นี้เรียกว่าคนโง่ แต่เมื่อเทียบกับพุทธะนั้นก็ต้องเรียกว่ามีมหาเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ของอาจารย์นั้นถ้าหากว่าตนเองเป็นปุถุชนคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นจะบำเพ็ญอย่างไร ก็ขอให้มองที่ใจของตนเอง เริ่มออกมาจากใจของตนเอง ความสว่างอยู่ที่ไหน ให้ศิษย์หันหน้าไปเผชิญกับสิ่งนั้น อย่าได้หลงทำความชั่ว เพราะความชั่วนั้นเป็นเสมือนความมืดใช่หรือไม่ (ใช่ธรรมะและความดีเปรียบเสมือนความสว่างใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์อยากจะทำความชั่วเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่าอารมณ์ชั่ววูบชั่วแล่น แสดงว่าเรากำลังหันหน้าเข้าหาความมืดถูกหรือเปล่า (ถูกเพราะฉะนั้นจงควบคุมใจของตนเองให้ดี หันหน้าเผชิญแต่ความสว่าง สิ่งมืดๆ เร้นๆ สิ่งที่ทำแล้วเกิดความอับอาย สิ่งที่ทำแล้วทำให้รู้สึกละอาย สิ่งนั้นห้ามทำเข้าใจหรือเปล่า สิ่งใดที่ทำแล้วทำให้เกิดความโล่ง ความสบายใจ ขอให้ทำให้มากๆ ยิ่งเป็นคนที่อายุมากเป็นไม้ใกล้ฝั่งด้วยแล้ว จำเป็นที่จะต้องเอาตัวเองเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น อาศัยว่าลูกหลานนั้นเป็นผู้ที่เชื่อฟังเรา ขอให้เรานั้นรู้จักแนะนำสั่งสอนเขาให้ทำแต่สิ่งที่ดีและบำเพ็ญธรรมะให้ได้ สิ่งนี้มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติที่ศิษย์นั้นสืบทอดต่อกันมาเป็นมรดกตกทอดกันไปสู่พวกเขาเสียอีก เพราะว่าสมบัตินั้นใช้แล้วก็หมดสิ้นได้ แต่ว่าความดีความงามสืบทอดกันไปไม่มีขาดสาย เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจไม่รู้ว่าอาจารย์พูดมาขนาดนี้แล้วศิษย์ของอาจารย์คิดจะบำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ (บำเพ็ญบำเพ็ญแล้วบำเพ็ญให้ดี อย่าบำเพ็ญให้เกือบดี เราต้องบำเพ็ญให้ดีจริงๆ คนที่ดีจริงๆ คำว่าหินกับหยกนั้นต่างก็เป็นหินชนิดหนึ่งด้วยกันทั้งสิ้น แต่ว่าหยกนั้นมีความสุกสว่างสกาวกับหินที่มีความทึบ หยกนั้นไว้ใช้ประดับบ้าน แต่หินนั้นมีไว้แค่ใช้สร้างบ้านใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นจงคิดดูดีๆ ว่าเรานั้นบำเพ็ญแล้วก็จริง แต่ระหว่างหินที่เอาไว้ใช้สร้างบ้านกับหยกที่เอาไว้ประดับบ้านนั้น อยากจะเป็นชนิดไหน
มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ศิษย์นั้นจะต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจ ในโลกกว้างนี้ อันว่าวิชาความรู้นั้นไม่มีทางจะศึกษาให้หมดได้ มีแต่สัจธรรมที่อยู่ในตัวเรานั้น ที่ถึงแม้จะกว้างแต่เรานั้นก็สามารถที่จะเข้าใจได้ สิ่งอื่นในโลกที่บอกว่าเราเข้าใจแล้ว เมื่อเราหันกลับไปดูอีกทีเราอาจจะยังไม่เข้าใจมันก็ได้
มีความทุกข์มากก็จริง ชีวิตนี้ก็คือทุกข์ แต่ว่าศิษย์นั้นจะเผชิญความทุกข์ต่อไปด้วยการบำเพ็ญ บำเพ็ญไปด้วยดำเนินชีวิตไปด้วย สุดท้ายแล้วเราจะไม่ได้เจอทุกข์ที่สุดคือการเวียนว่าย เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้นทุกคน)
ศิษย์ต่างก็มีบุญกันมากมาย แต่ว่าบุญนี้สั่งสมขึ้นมาเพื่ออะไรรู้ไหม หลายคนสั่งสมเพื่อให้ตนเองได้ไปเป็นเทวดาเพื่อจะได้มีความสุขสบาย แต่ว่าตอนนี้อาจารย์จะให้ศิษย์ไปในที่ๆ สุขสบายกว่า เพียงแต่ว่าในตอนต้นนั้นจะต้องฝ่าฟันกับความลำบากบ้าง ขอให้เชื่อในสิ่งที่อาจารย์นำมามอบให้ทุกคน
เวลาที่เราเจอกันสั้นหรือยาว (สั้นเวลานั้นสั้นจนบอกไม่ถูก เวลาที่อาจารย์มาเยือนนั้นเป็นเวลาที่สั้น แต่อาจารย์นั้นมองเห็นชีวิตศิษย์ อาจารย์ก็รู้สึกว่ามันสั้นเช่นเดียวกัน เรานั้นเกิดมามีร่างกายอันสมบูรณ์นับว่าเป็นโชคลาภวาสนา ในวันนี้เราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยนับว่าเป็นผู้ที่มีวาสนาเสียอย่างยิ่ง ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไป บางคนบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยบำเพ็ญ แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ แต่ใครรู้ได้ว่าพรุ่งนี้ตนเองยังจะมีลมหายใจอยู่หรือไม่ ใครรู้ได้ว่าพรุ่งนี้เราจะแก่เฒ่าชราอีกสักเท่าไร เรี่ยวแรงของเราที่มีอยู่นั้นมันจะร่วงโรยไปอีกมากน้อยสักเท่าไหน ไม่มีใครทราบใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นจงรักษาวันนี้เวลานี้ให้จงดี สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีให้หมั่นที่จะกระทำอย่าได้ผัดผ่อน สิ่งใดที่เป็นความชั่วความไม่ดี แม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อย ก็อย่าเข้าไปย่างกายเข้าไปยุ่งเกี่ยว การเป็นพุทธะนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับปุถุชน แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับปุถุชนที่พยายามจะตัดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่นี่ไกลจากถิ่นที่ศิษย์มา แต่ละคนนั้นเดินทางมาไกลมาก ขับรถให้ระวังให้มาก อาจารย์นั้นมีความหวั่นใจอยู่อย่างหนึ่ง หวั่นใจว่าวันนี้เจอกันวันหน้าอาจไม่พบเจอ เป็นสิ่งที่อาจารย์วิตกกังวลทุกครั้งที่จะจากศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนไป ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ผู้ที่ได้ชื่อว่าศิษย์ของจี้กง จงรักษาตัวให้จงดี ศึกษาหลักธรรมให้เข้าใจและเป็นตัวแทนของอาจารย์ เป็นจี้กงน้อยที่เดินไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ช่วยคนเหมือนดั่งชื่ออาจารย์ที่บอกว่าอนุเคราะห์คน อย่าได้รู้สึกดีใจเมื่อคนอื่นเป็นทุกข์ เมื่อคนอื่นเป็นทุกข์เจ้าก็จงเป็นทุกข์ด้วย อาจารย์หวังไว้ว่าวันหน้าจะได้เจอศิษย์ทุกๆ คนอีก อย่าได้มีแม้แต่ว่าชั่วแล่นของความรู้สึกท้อแท้และจะตีตัวจากอาจารย์ไป วันหน้าเจอกันใหม่นะ


[๑]  สิงขร                   ภูเขา
[๒]  หิงสา                  ความเบียดเบียนการทำร้ายการคิดให้เขาทนทุกข์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท     ลง  
      แรงลงทีละนิดหน่อย                                               น้อยน้อยรวมกันยิ่งใหญ่
ครองความเสมอต้นปลาย                                           ย่อมรับสมดังใจปอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา