แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อิ๋งเซิ่ง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อิ๋งเซิ่ง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-16 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์

西元二○一七年歲次丁酉十月二十九日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                        สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ใครช่วยตนไม่สู้ตนพึ่งตัวเอง            แม้แสนเก่งยังมีเรื่องทำไม่ได้
พยายามด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย           พ้นเวียนว่ายเป้าหมายนี้ใช้ปัญญา
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

  แม้ความจริงนั้นยากเกินรับไหว        สำรวมตาไม่มองหูไม่ฟังบ้าง
เท็จหรือจริงตามตามกันต้องระวัง        เมื่อมองตามใจตนห่างไกลธรรม
เรื่องไม่คุ้นมั่นใจไปไร้ประโยชน์           ไม่สว่างเพราะใจโกรธดั่งจมน้ำ
จิตหมายรู้คิดวางต้องรีบทำ              หยุดไม่ทันจึงปล่อยกรรมลิขิตตน
บำเพ็ญได้ก็ยากตกทุกข์เวียนว่าย        บำเพ็ญได้ไม่เห็นไกลการหลุดพ้น
ปฏิบัติด้วยได้จริงกว่าจริงสู่คน           ยิ่งเกิดกิเลสปัญญาตนยิ่งลับคม
ตื่นจากความคิดแห่งตนซับซ้อน          เก็บอารมณ์จนเป็นก้อนโรคเพาะบ่ม
คนชอบใช้นิสัยนำธรรมหมดคม          คิดต่างหนาตนมองชมใจสบาย
บ่าวไม่ไปนายประหนึ่งดูว่านิ่ง                    ที่เห็นความจริงจริงอาจไม่ใช่
จิตตลอดมายึดติดใกล้เหมือนไกล              จิตหลงเพราะแต่ไหนกายพาเพลิน

                                                                                                       ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ฟังธรรมะง่วงไหม เหนื่อยไหม หลับไหม (หลับ)  ฟังธรรมแล้วจิตใจต้องกระปรี้กระเปร่า จิตใจโล่งเบาสบาย เเต่ทำไมยิ่งฟังหัวยิ่งหนัก ตกลงว่ามาฟังธรรมเพื่อหลับหรือมาฟังธรรมเพื่อปลุกจิตใจให้ตัวเราตื่น (ปลุกจิตใจให้ตื่น)  มาฟังเพื่อปล่อยวางหรือมาฟังเพื่อยึดมั่น (ปล่อยวาง)  มาฟังเพื่อสละความเป็นตัวตนหรือยึดถือความคิดแห่งตน (สละความเป็นตัวตน)
วันนี้มาฟังธรรมะ อย่ากดดันตัวเอง ปล่อยจิตให้เบา ฟังไปเรื่อยๆ ถ้ามัวแต่จมอยู่กับความคิด สิ่งที่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าปล่อยวางความคิดสิ่งที่เราฟังเราก็จะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ กระจ่างแจ้ง จริงหรือไม่ (จริง)
การมาเรียนรู้ธรรมอย่าใช้แค่ความคิด แต่ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรอง เพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลลงไปตามกิเลส นิสัย อารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรด้วยปัญญา ปัญญาจะทำให้เรารู้จักยั้งคิดและมองให้กว้าง ถ้าอยากฟังธรรมจงเปิดใจให้กว้างอย่าเอาแต่จมอยู่กับความคิด เพราะธรรมนั้นทำให้เราไม่หลงทำให้เราเกิดปัญญาในการเรียนรู้ความจริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ศิษย์น้องเอ๋ยบางทีการพยายามยกย่องหรือชื่นชมอะไรสักอย่างก็ทำให้อีกสิ่งหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  เหมือนศิษย์พี่ชมว่าคนนี้ดี และคนที่ไม่ได้ชมแปลว่าไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  งั้นเราควรชมหรือไม่ชม (ควร)  ถ้ามีใครทำดีสักอย่างแต่เราไม่เคยให้กำลังใจเลย เขาจะมั่นใจและทำสิ่งดียิ่งขึ้นไหม (ไม่)  ลองคิดดูนะ
สมมติศิษย์พี่มีศิษย์น้องสองคน คนหนึ่งมีความขยัน และอีกคนก็มีความดี แต่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ขยันแต่ก็ไม่ได้ดีมาก แต่พอเวลาเราชื่นชมคนนี้ว่าดีมาก เก่งมาก ให้เขามีกำลังใจในการทำสิ่งที่ดีมันก็เป็นสิ่งดี เขาทำอะไรเหมือนกันเราให้รางวัลเท่าๆ กัน คนที่ทำดีมากๆ เขาก็จะไม่รู้สึกว่าเขาอยากทำ เพราะว่าผลลัพธ์ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขี้เกียจเลย ถูกไหม (ถูก)  บางครั้งการชมอะไรแบบพร่ำเพรื่อ ชมแบบไม่มีเหตุ บางครั้งการชมคนหนึ่ง ก็กลายเป็นด่าอีกคนหนึ่ง จริงไหม (จริง) คนนี้ดีมากทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ส่วนอีกคนก็จะรู้สึกว่าตัวเราไม่มีอะไรดีเลยหรือ บางครั้งสิ่งที่ศิษย์น้องยกค่าให้สูง แท้จริงแล้วบางสิ่งนั้นมันไร้ค่าจริงๆ หรือ
ศิษย์น้องยกค่าว่าสิ่งนี้คือสุข เเท้จริงแล้วสิ่งที่ไม่เห็นค่า สิ่งนั้นเป็นทุกข์จริงไหม เรามักบอกว่าได้เงินคือความสุข สำเร็จคือความสุข คนชมคือความสุข แล้วคนด่าคนอื่นที่ไม่ให้เงินคือความทุกข์หรือ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกแดนสมมติ เราก็ติด “สมมติ” จึงไม่เข้าถึงคำว่า “วิมุตติ” ติดอยู่ในโลกสมมติก็ติดอยู่ในความสมมติไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรวางสมมติ ศิษย์น้องจะพบคำว่า “วิมุตติ” คือคำว่าพ้นทุกข์
มนุษย์สร้างกฎเกณฑ์แต่ผลสุดท้ายมนุษย์ก็ถูกกฎเกณฑ์ทำให้ตัวเองตาย มนุษย์เรียกกฎเกณฑ์ว่าความสุขเเต่ผลสุดท้ายกฎเกณฑ์ก็ทำให้มนุษย์ทุกข์ ฉะนั้นอะไรดี อะไรไม่ดี ความเข้าใจในความจริงอันเป็นกลางคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด การเอียงซ้ายเอียงขวาล้วนทำให้มนุษย์เวียนว่ายทุกข์สุขไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)
ถ้าอยากพ้นทุกข์ไม่ต้องติดทุกข์ไม่ต้องติดสุข ไม่ต้องติดดีไม่ต้องติดร้าย อะไรๆ ก็ได้ เราทำแบบนี้ได้แต่อยู่กับบางคนเขายังมีดี มีเสีย มีทุกข์ มีสุข จงเอาธรรมนี้เตือนใจตน หลักธรรมที่สำคัญสอนให้เรารู้ตน ไม่ต้องไปรู้เรื่องของใคร รู้ใจตนให้มากๆ เข้าใจตนให้มากๆ เเละนำพาตนให้ถูกทาง เมื่อเราถูกแล้วเราก็พ้นทุกข์ คนที่เกี่ยวข้องกันมาเห็นแล้วก็หมดทุกข์ไปด้วย
ถ้าทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ศิษย์น้องไม่ตัดสินว่าดีหรือร้าย ไม่ตัดสินว่าทุกข์หรือสุขคงจะดีไม่น้อย ถ้าเรามองแล้วตัดสินใจทันทีว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี เวลาใครพูดอะไรเเล้วตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินปักใจเชื่อ เราจึงหนีไม่พ้นดีเเละไม่ดี ทุกข์และสุข แต่ถ้าศิษย์น้องไม่ปักใจไม่ตัดสินก็จะไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลส เเละไม่มีผลที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ความผิดหวังความเสียใจ
โดยส่วนใหญ่ทุกคนอยากมีชีวิตที่สุขสบายไม่มีเรื่องไม่มีเคราะห์ภัย ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสวัสดิ์ มีแต่โชคดี อย่างนั้นไปเปลี่ยนชื่อเลยดีไหม (ไม่ดี) เปลี่ยนชื่อเป็นมงคล ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่มงคล ชีวิตจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ชื่อไหม (ไม่ใช่)  อยู่ที่ตัวเลขไหม (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่มักบอกว่าชะตาชีวิตไม่ดีไปเปลี่ยนชื่อ ไปเปลี่ยนเลขใหม่เผื่อจะเป็นมงคล แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แต่นิสัยยังเหมือนเดิมจะดีขึ้นไหม มงคลหรือไม่มงคลอยู่ที่เบอร์โทรศัพท์อยู่ที่ชื่อไหม อยู่ที่ความประพฤติไม่เคยทำดีก็ไม่มงคล ใจดีแต่ไม่เคยพูดอะไรดีๆ เลย อ้าปากทีก็ไปด่าเขา จะมงคลไหม (ไม่)  อยากมีชีวิตมงคลก็ไปทำบุญเยอะๆ ทำบุญให้ครบเก้าวัด ชีวิตจะได้มงคลฟาดเคราะห์ฟาดภัย แต่ศิษย์พี่ถามหน่อยนะทำดีตั้งเยอะแยะแต่ถึงเวลาบาปกรรมชั่ว นิสัยที่ชอบเอาเปรียบกินแรงคนอื่น ด่าคนอื่นลับหลัง ไม่ซื่อสัตย์ ไม่แก้ มันจะดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นอยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่สวัสดิภาพ อยากมีชีวิตที่มงคล อยากมีชีวิตที่สงบราบรื่น ควรแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ไปให้พระแก้ ไปให้วัดช่วยสะเดาะ กลับออกมาจากวัดยังด่าพระอีกจะมงคลได้ไหม
ธรรมใดหรือที่ยังโลกให้สันติสุข เคยได้ยินไหม เมตตาธรรมค้ำจุนโลกความละอายเกรงกลัวต่อบาปทำให้โลกสงบสุข ที่ใดไร้คนละอายเกรงกลัวต่อบาป ที่นั่นโลกย่อมพบภัยพิบัติ ฉะนั้นอยากมีความสุข อยากมีชีวิตสงบสุข ก็ต้องรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วเราละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม (นิดหน่อย)
มีคนหนึ่งตลอดชีวิตเขาทำบาปทำกรรมฆ่าคน แล้ววันนี้เขารู้แล้วว่าถ้าอยากให้ชีวิตมีความสงบเขาต้องหยุดฆ่า เขาต่อรองกับพระพุทธะบอกว่าปกติฆ่าทุกวัน ตอนนี้ฆ่าวันเว้นวันได้ไหมจะช่วยให้ดีขึ้นไหม (ไม่)  แล้วที่บอกว่าละอายเกรงกลัวต่อบาปมีไหม แล้วจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นไหม แล้วเราเป็นประเภทกล้าทำบาป ไม่กล้าทำสิ่งถูกหรือเปล่า อย่าเอามือไปให้คนอื่นดู เเต่ลืมดูมือตัวเองว่าทำอะไรไปบ้าง อย่าเอาชีวิตไปให้คนอื่นเขาช่วยทำนายบอกทาง แต่เราไม่รู้จักนำทางตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าผู้มีปัญญาหรือ แล้วตัวเราไม่ฟังใคร ฟังแต่หมอดู คนในบ้านพูดไม่ฟังเเต่หมอดูบอกอะไรก็เชื่อ นั่นคือนิสัยตัวเราเองล้วนๆ แล้วต้องให้คนอื่นมาบอกหรือ เเค่หันมองเเล้วยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากมีชีวิตสุขสงบไม่ใช่แค่ทำดีแล้วพอ ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสงบต้องละชั่ว ถึงจะเรียกว่าดี ดั่งที่มนุษย์บอกว่าโรคภัยเข้าทางปากเคราะห์ภัยออกจากปาก กินอะไรไม่ระวังก็หาโรคมาสู่ตัว พูดอะไรไม่รู้จักคิดก็หาภัยมาหาตน ปรารถนาชีวิตสงบแต่ทำไมไม่รู้จักพอ ปรารถนาชีวิตมีสุขทำไมไม่รู้จักยินดีในสิ่งที่มี เมื่อไม่พอจึงไม่สงบ เมื่อไม่เคยยินดีในสิ่งที่มีสิ่งที่ได้มาจึงไม่มีความสุข ถ้าอยากพ้นเคราะห์เวรกรรม เราต้องไม่ทำชั่ว ไม่ทำบาป แต่หลายคนมักบอกว่า โอกาสทำดีนั้นทำยาก ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสงบบาปกรรมเราต้องไม่สร้าง
คนมักจะพูดว่าทำดีทำยาก ทำชั่วทำง่าย แล้วศิษย์น้องเคยได้ยินไหม โอกาสของคนทำชั่วมีเสมอสำหรับผู้ขาดธรรมในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกวันเรามีโอกาสทำดี แปลว่าเรามีธรรมอยู่เสมอ แต่ถ้าทุกวันเราทำชั่ว แปลว่าเราไม่เคยมีธรรมในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องอยากมีชีวิตที่สงบสุข พ้นเวรพ้นภัย เราก็ไม่ควรทำชั่ว เพราะผลของความชั่วมักจะแผดเผาคนที่ทำชั่วในภายหลัง ถ้าเราจะมีเหตุในอนาคตที่ไม่ดี เราจะทำชั่วไหม (ไม่ทำ) ศิษย์น้องชอบความทุกข์ไหม อยากมีชีวิตที่มีแต่ทุกข์ไหม (ไม่ชอบ)  ความทุกข์คือผลของกรรมชั่ว ผลของบาปที่เราผิดศีลขาดธรรม ถ้าเราไม่อยากมีทุกข์เราจะทำกรรมชั่วไหม (ไม่ทำ)  ในเมื่อทำชั่วแล้วมันก็ให้ผลแผดเผาและเป็นทุกข์ เราอยากทำไหม (ไม่อยาก)  ไม่มีแรงใดเสมอแรงกรรม ไม่มีกำลังใดน่ากลัวเท่ากับกำลังแห่งกรรมชั่ว เมื่อมันตกผลแล้ว ต่อให้หนีสุดหล้าฟ้าเขียวเราก็หนีไม่พ้น อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่แจ้ง อย่าทำสิ่งที่ผิดศีลขาดธรรมต่อชีวิตตน เพราะอนาคตต้องรับผลทุกข์เป็นแน่แท้ หรือแม้แต่ปัจจุบันก็หนีไม่พ้นไฟเผาใจที่รู้อยู่เเก่ใจว่าทำผิด
ตอนเด็กๆ ใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ยกมือขึ้น ขนาดพ่อเเม่เรายังทำได้ ต้องระวังให้มาก อะไรเรียกว่ากรรมชั่ว อะไรเรียกว่าความไม่ดี ความชั่วที่ก่อเกิดเป็นบาปกรรม (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น รู้ว่าผิดก็ยังทำ) ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เหมือนห้ามบ่นห้ามโกรธก็ยังอดใจไม่ได้ ใส่ร้ายป้ายสี (ไม่มีความซื่อตรง)  บางครั้งอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเราประมาทเรื่องเล็กก็ทำให้ชีวิตเราพังได้ อย่ามองว่าเป็นบาปกรรมนิดๆ หน่อยๆ เมื่อรวมตัวกันตกผลก็น่ากลัวได้ ใช่หรือไม่ต้นเหตุของบาปกรรมและความทุกข์มาจากไหน (การกระทำของเรา ความคิด, ตัวเอง)  กิเลสและความคิดตัวเอง (มาจากกิเลสความชั่วกับความเห็นแก่ตัวเอง)  ทุกอย่างที่เป็นบาปกรรมก็เพราะว่าเราเห็นแก่ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์เราหนีไม่พ้นทุกข์ในโลกนี้ เรารู้จักโลกก็เพราะความอยาก เราเจ็บช้ำในโลกก็เพราะเรายึดอย่างไม่ปล่อยวาง และเราไม่มีวันพ้นโลกก็เพราะเรามองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม ก็ควรหยุดการสร้างบาปสร้างกรรม เหตุแห่งการเวียนว่ายล้วนเกิดมาจากตัวตนที่อยากได้ใคร่ดี ใช่ไหม (ใช่)  
เราก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่ทำให้เจ็บช้ำ เพราะอยากแล้วก็ทำให้เรายึด ถ้าเมื่อไหร่เห็น ช่วงใช้ แล้ววางทิ้งนั่นเรียกว่า “ธรรม” แต่ถ้าเมื่อใดเห็นแล้วอยากแล้วยึด ไม่ปลดปลง ไม่ปล่อยวาง นั่นเรียกว่า “โลภ” เราอยากทำดีแต่บางครั้งเราก็ละชั่วไม่ได้ แล้วต้นเหตุของความชั่วมาจากไหน ก็มาจากตัวตนที่อยากได้ใคร่ดีจนลืมผิดชอบชั่วดี แล้วพออยากเสร็จเราก็หนีไม่พ้นทุกข์เพราะเราอยากแล้วเรายึดว่ามันต้องได้ มันต้องดี แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นชัดเราก็จะพ้นโลกได้ เราทุกข์ในโลกก็เพราะยึด หนีไม่พ้นในโลกก็เพราะไม่เคยเห็นแจ้งจริง เมื่อใดที่เราอยู่ในโลกมองเห็นสรรพสิ่ง รู้จักใช้แล้ววางลงได้ นั่นเรียกว่าธรรม แต่ถ้าใช้สรรพสิ่งอย่างยึดมั่นเเละไม่ปลดปลงก็เรียกว่าทุกข์ หากไม่อยากทุกข์ เมื่อเราแสวงหาอะไรมาใช้แล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ต้องยึดมั่นจนก่อเกิดทุกข์ จะได้จะเสียก็ไม่เป็นไร นี่เรียกว่ายืมใช้ เเต่มนุษย์ใช้แล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ครอบครองเเละหวังว่าต้องให้เป็นไปตามใจเรา จึงมีคำพูดว่า “ยิ่งคิด ยิ่งพูดก็ยิ่งยึดติด ยิ่งจำก็ยิ่งไม่จบ” ถ้าเราเลิกคิด ยอมรับความจริงก็จบได้ แต่มนุษย์ไม่ยอมให้จบ เอาเรื่องมาเล่าต่อ สร้างวิบากกรรม สร้างกรรมไม่จบสิ้น เห็นใครไม่ดี ก็เอาไปเล่าต่อๆ แล้วก็จำฝังใจ แล้วก็ก่อเกิดเป็นบาปกรรม ถ้าอยากเข้าใจธรรม เมื่อเห็นอย่าเพิ่งตัดสิน เมื่อมองอะไรอย่ายึดติด 
ศิษย์น้องเคยโดนคนว่าไหม เคยโดนคนโกงไหม เคยโดนคนทำร้ายไหม (เคย)  แล้วคนที่ว่าเอาเปรียบ โกง ทำร้าย ดีไหม (ไม่ดี)  เราเคยว่าแม่ไหม (เคย)  เราเคยเอาเปรียบพ่อแม่ไหม (เคย)  เราเคยแอบด่าพ่อแม่ไหม (เคย) แล้วศิษย์น้องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วเราไม่ดีจริงๆ ไหม (ไม่ดี)  ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเราที่โดนเขาโกง โดนเขาด่า เขาไม่ดีจริงๆ ไหม ก็ไม่ใช่ ศิษย์พี่จะบอกต่อว่า ถ้าศิษย์น้องรู้จักเรียนรู้ธรรม ธรรมจะสอนว่า อย่าทำอะไรตามความคิด อย่าทำอะไรตามความรู้สึก แต่จงทำด้วยสติ เพราะเมื่อไหร่ที่ทำอะไรด้วยความคิด ทำอะไรด้วยความรู้สึก มันง่ายที่จะวุ่นวาย และมันง่ายที่จะไหลลงตกไปเป็นพวกของความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ถ้าทำอะไรด้วยสติ มันจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง เห็นจริง และสงบ แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำอะไรมักชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง มันคือรากเหง้าของความโลภ โกรธ หลง และอารมณ์ก็เป็นต้นเหตุของกิเลสทั้งมวลที่ก่อให้เกิดทุกข์และบาปกรรม ฉะนั้นทำอะไรเราจึงไม่ควรใช้อารมณ์ ใช้ความคิด ใช้ความรู้สึก แต่ควรใช้สติ เพราะในโลกของความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนมีหลายสิ่งซ่อนอยู่ สิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ามันดี หรือสิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ามันไม่ดี แท้จริงแล้วมันมีกลลวงอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ ถูกไหม (ถูก)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้น)
สมมติว่าถ้าคนนี้ไม่ดี เเต่ถึงที่สุดในชีวิตของคนจมอยู่กับตรงนี้ไหม จะพูดอะไร ทำอะไรเดิมๆ ไหม (ไม่)  ความไม่ดีของเขาแค่ไม่ดีตรงนี้ สมมติว่าศิษย์พี่ไม่ได้มีอารมณ์อะไรเเต่เเค่ไม่ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนตัวดำ พุงใหญ่ สักลาย รู้สึกไม่ดี เป็นอารมณ์ล้วนๆ เราไม่มีเหตุผลแค่เห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบ ถ้าเราทำอะไรแล้วใช้แต่อารมณ์ เราจะมองเห็นสิ่งที่มากกว่านั้นไหม (ไม่เห็น) เราก็จะรู้สึกว่ามันไม่ดี เเละไม่ดีจนจบ เคยได้ยินไหมว่าทุกสรรพสิ่งในโลกในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย ในมืดก็มีสว่าง ในอ้วนก็มีผอม ในเตี้ยก็มีสูง ถ้าเราหมั่นใช้สติเเละพิจารณาจนบังเกิดธรรม เราจะไม่ก่อเกิดกิเลสที่นำพาให้เราประพฤติผิดชั่ว เพราะความคิดเเละนิสัยของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คิดต่ำมากกว่าคิดสูง คิดร้ายมากกว่าคิดดี ถ้าศิษย์น้องอยากหยุดกิเลส หยุดบาป หยุดกรรม ศิษย์น้องต้องหยุดการตามใจตัวเองเเละทำอะไรเอาแต่อารมณ์ธรรมไม่ได้สอนให้เราจมอยู่กับความคิด เพราะความคิดนิสัยอารมณ์ ง่ายที่จะพาให้มนุษย์หลงผิด ทุกคนมีทั้งดีและไม่ดี และเมื่อเราตอกย้ำตัวเองอยู่อย่างนี้ เข้าใจตัวเองอยู่อย่างนี้ เวลาโดนเขาว่า เราจะได้ไม่โกรธ เมื่อเจอคนที่ไม่ดีเราก็จะไม่โกรธ อยากจะพ้นทุกข์ จงเห็นจริง ความเห็นจริงคือทุกสิ่ง ไม่เคยมีอะไรเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา ใครจะยิ้มได้ตลอดเวลาถูกไหม (ถูก)  ร้องไห้บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องทำให้ร้องไห้ก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  เจอเรื่องสูญเสียก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริง เห็นโลกชัดเราจะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ถ้ายังหลงยึดมั่นก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วก็สร้างวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วก็ต้องไปชดใช้กรรมไม่จบสิ้น บาปกรรมแห่งการหลงผิดที่คิดว่า ผิดนิดผิดหน่อยไม่เป็นไรช่างมัน กรรมชั่วช่างมัน เชื่อไหมว่าต่อให้พุทธะอยู่ตรงหน้าก็นำให้ท่านพ้นทุกข์ไม่ได้ แล้วกรรมนี้ถ้ามันฝังลงไปในจิต ต่อให้เกิดกี่ภพกี่ชาติ มันก็ทำให้ศิษย์น้องไม่มีวันพ้นทุกข์ได้เลย
ทุกสิ่งที่เราเห็น แต่จริงๆ แล้วเราก็เหมือนไม่เห็น บางครั้งเราคิดว่ามันดีแต่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะ (ไม่ดี)  บางครั้งเราก็อาจคิดว่ามันไม่ดีแต่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะ (ดี)  ถ้าเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ยึดมั่นกับความคิด สิ่งใดจะทำให้เราโกรธ สิ่งใดจะทำให้เรารัก สิ่งใดจะทำให้เราทุกข์ได้ใช่ไหม (ใช่) ธรรมสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าความจริง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดติดแต่ความคิดในตัวตน เพราะเรื่องราวในโลก เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต ล้วนหมุนเปลี่ยนแปรผัน ไม่มีอะไรคงที่และตายตัว แต่สิ่งที่คงที่และตายตัวคือความรู้สึกที่ยึดมั่นในตัวตน มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องปล่อยวางความคิด
แต่ใครที่จะรู้ทันความคิดจนสามารถปล่อยจนไม่ทุกข์ได้ จะปล่อยได้ต่อเมื่อเราเห็นแจ้งชัด ฉะนั้นการเข้าใจหลักความจริง การเข้าใจหลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่าถ้าเราทุกข์ อย่ามัวแต่แก้คนอื่น ถ้าเราทุกข์อย่ามัวแต่เปลี่ยนแปลงคนอื่น เเต่เราต้องกล้ารับความจริง เเละยอมรับได้ไหมถ้าทุกสิ่งไม่เป็นดั่งใจคิด มีอะไรเป็นดั่งใจศิษย์น้องบ้าง ถ้ามีบ้างไม่มีบ้างก็จะสุขบ้างทุกข์บ้าง หรือว่าควรเห็นชัดจริงสักทีบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อใดที่มีสติจนเป็นปกติเราจะไม่หลงในอวิชชา เเต่จะสามารถดูจิตใจไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ตาม ถ้าทำได้เราจะพ้นบ่วงมารที่เรียกว่าความทุกข์ได้ ศีลคือความปกติ เมื่อมีสติจนจิตปกตินั่นเรียกว่าผู้มีศีล ถ้าเมื่อใดสามารถห่างไกลกรรมชั่วได้เเละดำเนินชีวิตปกติจะเป็นผู้ที่มีศีลโดยที่ไม่ต้องพยายามบังคับให้ตัวเองมีศีล เเต่ถ้าเมื่อใดศิษย์น้องโมโหแล้วบอกให้ใช้เมตตา ใช้ขันติ นั่นเเปลว่าศิษย์น้องผิดปกติ การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรากลับมาสู่ความปกติเเละเรียกว่าคนมีศีลธรรม โดยเป็นธรรมดา
ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์น้องมีความโลภโกรธหลง นั่นเรียกว่าคนผิดปกติ เมื่อใดที่ศิษย์น้องไม่มีอารมณ์อะไรครอบงำนั่นเรียกว่าปกติ โลภโกรธหลงไม่มีตัวตนเเต่ชอบอาศัยกับคนที่ยึดติด เมื่อเราไม่ยึดติดเราจะมีอะไรที่ทำให้เราโลภโกรธหลงแล้วทุกข์สุขดีร้าย ถ้าเราไม่ตัดสินว่าอะไรร้ายอะไรดี เมื่อนั้นคือทางสายกลางที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ เเต่มนุษย์ตัดสินว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ เเล้วในที่สุดก็เรียกสิ่งที่ชอบว่าสุข สิ่งที่ไม่ชอบว่าทุกข์ ผลสุดท้ายก็หนีสุขเเละทุกข์ที่ตัวเองยึดติดไม่พ้น แล้วจึงก่อเกิดเป็นบาปกรรม แล้วมาสร้างกรรมดีเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องมีกรรมชั่วมาทำลาย ไม่ต้องมาเจอเภทภัย
ธรรมสอนให้เรากลับสู่ความปกติ เมื่อปกติเราก็สงบสุข ไม่ก่อบาปกรรม เเละไม่ต้องพยายามเป็นคนดีเพื่อหนีกรรม มีความน่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งคือ มนุษย์ยังระงับความอยากไม่ได้ อยากแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ทุกข์เเละหนีไม่พ้น ฉะนั้นจำที่ศิษย์พี่บอกไว้ “เห็น ช่วงใช้ แล้ววางได้ ปลดปลงได้ เรียกว่าธรรม แต่ถ้าเห็นแล้วช่วงใช้ยึดมั่น ยึดติดและปลดปลงไม่ได้ เรียกว่า โลภ” ศึกษาธรรมอย่ามัวแต่สงสารตัวเอง เห็นว่าตัวเองน่าสงสาร เราจะตีกรอบแบ่งแยกและยึดติด และเรียกคนนั้นว่าดี คนนี้ไม่ดี แต่เมื่อใดเราศึกษาธรรม เปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง เราจะไม่แบ่งแยก เราจะไม่ยึดติด เราจะไม่ตีกรอบ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้
ฟังศิษย์พี่พูดถ้าไม่มีสติ จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามีสติแล้วคิดตาม ศิษย์น้องจะได้ปัญญาที่นำพาให้ศิษย์น้องพบความสว่าง ไม่ต้องสว่างตอนตาย แต่สว่างตอนมีชีวิต ไม่ต้องรอพ้นทุกข์ตอนตาย ต้องพ้นทุกข์ตั้งแต่ตอนมีชีวิตธรรมมีไว้ปลุกให้เราตื่น
วันนี้คงมีโอกาสมาผูกบุญกัน แต่สิ่งสำคัญคือขอให้มีสติรู้จักยั้งคิด อย่าทำอะไรเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ เรื่องราวในโลกมีเกิด มีดับ บางครั้งความดับไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าใจ แต่บางครั้งความดับและการสูญเสียอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้พ้นทุกข์พ้นโศกก็ได้ เกิดเป็นคนอย่ากลัวการสูญเสีย เกิดเป็นคนอย่ากลัวการเสียเปรียบ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้เปรียบใคร จำไว้นะศิษย์น้อง โดนใครเอาเปรียบ โดนใครกินแรง ในโลกนี้ไม่มีใครเอาเปรียบใครได้แท้จริง เมื่อยังตกอยู่ในเหตุและผลของการเวียนว่ายอยู่ในกระแสวิบากกรรม เมื่อเขามาให้เราได้ใช้กรรม แล้วเราอยากจะเกี่ยวกรรมต่อหรือจะจบเวร จบกรรม (จบเวร จบกรรม)  ถ้าจะจบเวรจบกรรมควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ควรจะด่าไหม (ไม่ควร)  ควรจะนินทาไหม (ไม่นินทา)  ควรจะต้องไปสะเดาะเคราะห์ไหม (ไม่)  ชีวิตอยู่ที่การเรียนรู้ถ้าเรียนรู้จนเห็นธรรมจะได้พ้นทุกข์ ไม่ใช่เรียนรู้แล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิม น่าเสียดาย จริงไหม (จริง) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะได้ไหม (ได้)  เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วปล่อยวางจะได้ไม่ทุกข์ แต่รู้เขาไม่สู้รู้เรา แก้ไขคนอื่นไม่สู้แก้ไขที่ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อย่าถือตัวดื้อดึงมีทิฐิ                    คนชอบติบ่นว่าจึงก้าวหน้า
ใช้อารมณ์ผสมโรงหักด้ามพร้า            ใช้ความกล้าไม่ไตร่ตรองย่อมอันตราย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

  ความคิดความในใจช่างร้อนรน         ชวนตนปลงจริงเท็จล้วนระหกระเหิน
รู้ปัจจุบันคือความจริงไม่ขาดเกิน         ลาภยศเงินที่สุดไม่เคยพอ
มั่นยึดแล้วสุดชีวิตไปทางไหน             ได้อะไรไม่ได้อะไรกันบ้างหนอ
ปลงคงแคล้วติดไม่ตามรังควานต่อ       ไยต้องทุกข์หนอคนแค่ปล่อยวาง
ศิษย์เอ๋ยอย่ากล้าทำบาปทำกรรม        อย่ามัวฝันจงทำดีทุกอย่าง
สติรับเพื่อตื่นรู้สู่ความว่าง                ซื่อความจริงเพื่อมิคว้างสู่อบาย
จริงใจต่อทุกคนใสดั่งน้ำ                  กุศลทำใครรีรอแล้วทำไม่ได้
คนซื่อตรงต่อความจริงสุขฤทัย           ไม่ทำผิดพลั้งไปหลอกลวงตน
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราอยู่ในโลกเราเบื่อการเป็นผู้ฟัง เราอยากเป็นผู้พูดมากกว่าเป็นผู้ฟัง เราชอบที่จะพูดมากกว่าที่จะฟัง แต่หลายครั้งปัญหาเกิดจากพูดหรือเกิดจากฟัง (พูด)  แล้วเราเคยหยุดไหม (ไม่หยุด)  มนุษย์ชอบที่จะแก้ปัญหามากกว่าหยุดสร้างปัญหา ปล่อยให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยวิ่งไปตามแก้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  หลายต่อหลายครั้งบางครั้งชีวิตมักพูดว่าไม่น่าเลย แต่เราก็ทำทุกที มนุษย์รู้จักที่จะก้าวเดิน แต่ลืมไปอย่างหนึ่งว่า บางครั้งต้องรู้จักหยุดให้เป็น อย่าก้าวเป็นแต่หยุดไม่เป็น อย่าเอาแต่โต้แย้ง บางครั้งต้องรู้จักนิ่งให้ได้ อย่าเอาแต่มั่นอกมั่นใจเพราะบางทีสิ่งที่เรามั่นอกมั่นใจมันอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้จริงก็ได้
ทำอะไรเอาแต่ถือตัวถือทิฐิว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง ไม่รับฟังคำติจากใคร ไม่รับคำเตือนจากใครย่อมเป็นอันตราย เมื่อไม่ฟังแล้วยังใช้อารมณ์ผสมเข้าไปย่อมมีแต่หัก บางครั้งพูดไปเพื่อความสะใจ พูดไปเพื่อความสบายใจ เเต่จริงๆ เเล้วกลายเป็นทุกข์ใจไม่ต่างจากเดิม เขาทำให้เราโมโหเราก็ว่าเขากลับ ว่ากันไปมาได้อะไรไหม (ไม่ได้)  สบายใจทั้งคู่ไหม (ไม่สบายใจ)  ทำดีมาแทบตายแต่หลุดบ่นมาเพียงหนึ่งครั้งความดีกลับสูญหาย บางครั้งอยู่แค่เสี้ยวขณะที่คิด เรามักพูดว่าคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก แล้วถ้าพ้นจากความนึกคิดในตัวตน (สบายไม่มีความคิดก็ไม่ทุกข์อะไร)  ใช่ไหม (ใช่) แต่เราเคยไปถึงความคิดตรงกลางนั้นไหม ส่วนใหญ่ชอบคิดไปทางที่ดีบ้างไปทางที่ร้ายบ้าง ธรรมะสอนให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่ถึงที่สุดมนุษย์กลับไม่เป็นกลางจริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางไหม (มี)  ก็แค่หยุด หยุดความคิดให้ได้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ทางสายกลางนั้นมีให้เราเลือกเดิน แต่เราไม่เคยฉุกคิด เราติดแต่เพียงว่าเราศึกษาธรรม เรามีชีวิตรู้แต่เพียงไม่ร้ายก็ดี ไม่ดีก็ชั่ว แต่เราลืมทางสายกลางที่อยู่ระหว่างดีและชั่ว ซึ่งทางสายกลางนั้นเรียกว่า ธรรมอันเป็นแก่นแท้ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์ เราจะแก้อย่างไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
มองธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่มองธรรมจงมองที่หลักธรรมความจริง เพราะไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลักธรรมก็ยังคงอยู่เช่นนั้น เราตอนนี้ศิษย์กำลังมองธรรมหรือมองแต่ตัวอาจารย์
ธรรมสอนให้เราปลดปลง ปล่อยวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดมั่นแล้วลุ่มหลง อาจารย์ก็ต้องชี้นำให้ถูกทาง ไม่ใช่ให้หลงผิด อาจารย์ควรชี้ให้ศิษย์พ้นทุกข์แค่หนึ่งเปราะ หรือพ้นทุกข์แล้วจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร (พ้นทุกข์จากการเวียนว่าย)  จะเอาแค่พ้นโรคพ้นภัยหรือว่าพ้นจากการเวียนว่ายในวัฎสงสาร ช่วยให้ศิษย์หายป่วยหนึ่งครั้ง ถ้าศิษย์ไม่รู้จักดำเนินชีวิตตัวเองให้เป็น ศิษย์ก็ต้องกลับมาป่วยอีก และถึงที่สุดทุกชีวิตก็หนีความเจ็บป่วยไม่ได้ สู้พ้นเกิดพ้นตายและไม่ต้องกลับมาเจ็บไม่ต้องกลับมาทุกข์ย่อมประเสริฐกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าศิษย์หวังจะเป็นเช่นนั้น ศิษย์ก็ต้องมองที่ตัวธรรม อย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะเห็นคนย่อมไม่เห็นธรรม ถ้าเห็นธรรมในผู้คนก็จะเห็นธรรมในใจตน แต่ทำอย่างไรหนอในเมื่อตาของมนุษย์นั้นฝ้าฟางเหลือเกิน เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้ก็เหมือนไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกใบนี้จะงดงามและน่าอยู่ได้ ก็ต้องมีคนที่กล้าเสียสละ คนที่กล้าทำอะไรมากกว่าผู้อื่นหนึ่งก้าว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะถ้าศิษย์อยากจะช่วยคนให้พ้นทุกข์ ศิษย์ต้องก้าวมากกว่าเขาหนึ่งก้าว แล้วเขาถึงจะตามศิษย์ เขาถึงจะเคารพให้เกียรติศิษย์ เขาถึงจะเชื่อฟังศิษย์ แต่ถ้าศิษย์ไม่ต่างอะไรกับเขา ศิษย์พูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์สบาย อาจารย์ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ยอมลำบาก นี่ถึงเรียกว่าผู้นำคน ผู้ที่จะฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์ ถ้าตัวเราอยากฉุดช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ แต่เราไม่มีอะไรที่ดีเด่นหรือเด่นในด้านคุณธรรม เราก็ไม่สามารถดึงใครให้ตามมาได้ ฉะนั้นถ้าอยากช่วยคนให้พ้นทุกข์ จงก้าวให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว จงดีให้มากกว่าผู้อื่น แล้วเชื่อไหมบางครั้งศิษย์ไม่ต้องพูดอะไรเลย เขาก็ยิ้มรับว่าคนดีมาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เรามุ่งมั่นศึกษาธรรม เริ่มต้นพื้นฐานคือเป็นคนดี ถูกต้องต่อศีลธรรมหรือยัง ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ ยังไม่สามารถมีศีลธรรมความเป็นคนที่ถูกต้องได้ ศิษย์เอ๋ยอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์เลย การพ้นเวียนว่ายก็คงเป็นเรื่องยาก รู้ว่าทำดีต้องทำมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว แต่ถึงที่สุดแล้วใครที่กล้าเริ่มทำ รู้ว่าการทำความดีต้องเสียสละความเป็นตัวตน ยอมลำบาก ใครที่คิดจริงจังจะทำจริงๆ มีแต่คนพูด มีแต่คนรู้ แต่ขาดคนทำ น่าเสียดายนะ
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นจะนั่งหรือไม่นั่ง)
ไม่ยอมลำบากสักหนึ่งก้าว ไม่ยอมสละตัวเองสักหนึ่งก้าว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผลของการทำดีมีค่าแค่ไหน
ผลของการอุทิศเสียสละทำให้เราปล่อยวางตัวตน เเล้วทำให้เราโปร่งโล่งสบายดีเช่นไร ยอมเก่าจึงได้ใหม่ ยอมถอยจึงได้ก้าวหน้า ยอมเสียสละจึงมีคนอุทิศให้
ชีวิตนี้ที่ยุ่งยากเพราะไม่รู้เเละพยายามบอกว่ารู้ วิธีการอยู่กับผู้คนอะไรคือการทำดี ถ้าทำดีต้องมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว เเละกล้าเสียสละนั่นคือทำดี ในเมื่อรู้ว่าชีวิตหนีไม่พ้นทุกข์เเละอดไม่ได้เมื่อมีเรื่องมากระทบ เรามักจะคิดดีหรือไม่ก็คิดร้าย การคิดดีก็ทำให้เราอดยึดติดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนดีจริง แต่เมื่อเขาทำร้ายเราก็เสียใจ เมื่อเราติดในความร้ายเราก็เป็นทุกข์ ทำไมเขาทำร้ายเรา ฉะนั้นจะพ้นจากความทุกข์ได้อย่างไร (ต้องเดินทางสายกลาง)  ทำอย่างไรให้ตัวเองพ้นทุกข์
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักจะกลัวความเหงา กลัวโดดเดี่ยวกลัวถูกทอดทิ้ง กลัวอ้างว้าง กลัวสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ มนุษย์เราทุกวันนี้ที่ทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามีเราแค่คนเดียวและเรายังเอาตัวไม่รอด หรือว่ามีทั้งเราแล้วก็มีคนอื่นและยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน อะไรที่ทำให้เราทุกข์มากกว่า (หลายคน)  ถ้าเราเห็นชัดว่า การทุกข์คนเดียวก็พอแล้ว เราอย่าไปเกี่ยวให้ทุกข์อีกมากมายเลย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เรามักคิดว่าเราเอาตัวไม่รอด อยู่คนเดียวไม่ได้ สูญเสียไม่ได้ เหงาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาตัวเปล่าแล้วเราก็มาคนเดียว สุดท้ายก็ต้องกลับไปตัวเปล่า ก็ต้องกลับไปคนเดียว ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เรากำลังสูญเสียอะไร เราก็แค่ได้กลับมาสู่ความจริงอันเป็นของเดิม ฉะนั้นเราแค่ได้กลับมาเร็วขึ้น อยู่คนเดียวไม่ได้หรือ รักเขามากกว่าตัวเองจนยอมฆ่าตัวตายเพราะเขาทิ้งหรือ รักเขามากจนยอมผิดศีลขาดธรรม นั่นคือเรารักตัวเองนั่นคือทำให้ตัวเองทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
ความเป็นจริงของโลกกำลังสอนให้รู้ว่าทุกชีวิต แล้วเมื่อถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ทางเดิมที่ตัวเองจากมา แล้วเราจะนำธรรมมาปลอบประโลมใจ หรือนำกิเลส ความเสียใจ ความทุกข์ใจ ความผิดศีลขาดธรรมมาทำร้ายใจ ธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อปลดปลงปล่อยวาง ไม่ได้สอนให้ยึดมั่นทุกข์ทนไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าศิษย์เป็นคนที่เรียนรู้ใคร่ปฏิบัติธรรม นำธรรมมาปลอบประโลมใจ นำธรรมมายั้งเตือนใจ หรือนำกิเลสอารมณ์ความผิดศีลขาดธรรมมาทำร้ายชีวิตให้อับจน ศิษย์เลือกได้ เพราะถึงที่สุดเเล้วไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากเราต้องดูเเลตัวเราเอง รักที่สุดก็ยังต้องต่างคนต่างไป ดีที่สุดก็ต้องต่างคนต่างไปไม่มีใครช่วยได้ ถึงเวลาป่วยคำพูดของใครก็ไม่มีประโยชน์นอกจากคำพูดของตัวเองที่ปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นสู้ หรือจะยอมเเพ้เเล้วตายไปเลยตรงนี้ ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาเป็นห่วงมารัก ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ไม่ห่วงตัวเองหรือ ถ้าตัวเองยังมีคุณค่าพอ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ความเจ็บปวดเเละกิเลสที่หลงผิดมาชักนำให้ศิษย์ต้องตกลงไปในอบายภูมิเเละเวียนว่ายไม่จบสิ้น ในเมื่อธรรมนี้เป็นทางสายเก่าที่สักวันชีวิตต้องเดินเเล้วทำไมไม่เดินให้ดีๆ เพราะชีวิตเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า อีกสิ่งที่หนีไม่พ้นคือเกิดมาพร้อมกับกรรม
กรรมนั้นมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้าตอนนี้ชีวิตจะกลับไปสู่ทางเก่า ซึ่งทางเก่านั้นควรจะเป็นทางที่สิ้นเวรสิ้นกรรมหรือเกี่ยวกรรมต่อไป (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  อย่างนั้นการที่ชอบต่อว่าเขาที่เขาทิ้งเรา การชอบด่าเขาให้รู้สึกเจ็บ การประชดตัวเอง นั่นคือการเกี่ยวกรรมหรือสิ้นกรรม (เกี่ยวกรรม)  ถ้าเขาทำเราเจ็บขนาดนี้ ถ้าเขาทิ้งเรา เจ็บแล้วต้องจำ ไม่ใช่เจ็บแล้วกลับไปเหมือนเดิม อย่างนี้เรียกว่าคนไม่ฉลาด ฉะนั้นเมื่อจำแล้วจะทำอีกไหม (ไม่ทำ)  ดังนั้นควรจะขอบคุณเขา ขอให้หมดกรรมกันชาตินี้ ไม่ติดค้างอะไรกันอีก ศิษย์เอ๋ยถ้าของนั้นจะเป็นของๆ เรา ทำอย่างไรก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าอยู่แค่ตัว แต่ใจเขาไม่ได้อยู่กับเรา จะรั้งจะยึดทำไมให้เจ็บปวด
โลกของความเป็นจริงมีสองด้าน มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีหน้ามือก็มีหลังมือ มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง ในเมื่อมีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีทุกข์ได้ก็ต้องมีสุขได้ อาจารย์ขอถามว่าสุขกับทุกข์ ดีกับร้าย อยู่กันคนละฟากฝั่งหรืออยู่ฝั่งเดียวกัน (คนละฟากฝั่ง)  ถ้าเลือกมองแต่ข้างหน้าแล้วเจ็บแล้วทุกข์ ทำไมไม่หันหลังกลับ ถ้าเลือกจมอยู่กับใจที่คับแคบแล้วมีแต่ความเจ็บปวด ทำไมไม่ลองเปิดใจให้กว้าง อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วมันเหมือนอยู่คนละฝั่ง แต่จริงๆ แล้วมันคืออันเดียวกัน จริงไหม (จริง)  หน้ามือกับหลังมือรวมกันเราเรียกว่า (มือ)  ฉะนั้นถ้าคิดแล้วเจ็บ ทำไมไม่รู้จักคิดให้เป็น พลิกใจให้ได้ ด่าเขาเราก็ทุกข์ ถ้ามันเป็นทุกข์ แล้วตรงนี้เป็นสุข ถ้าไม่อับจนปัญญา เราจะหาสุขในทุกข์ไม่ได้หรือ จริงไหม (จริง)  คิดสูงก็พ้นทุกข์ คิดต่ำก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าพ้นจากคิดสูง คิดต่ำ นั่นเรียกว่าสงบ เย็น ไม่ร้อนรุ่ม ไม่คาดหวัง ไม่ยึดติด กลับคืนสู่ทางสายเดิม ที่ถึงที่สุดแล้วเราต้องเดินสายนี้
มาคนเดียวก็ (ไปคนเดียว)  เงินหายช่างมันขอให้ปัญญาและใจอย่าสูญเสีย มีเงินไร้ปัญญา เงินก็หมดได้ ถ้าไม่มีเงินแต่มีปัญญา เงินก็มีได้จริงไหม (จริง)  เหมือนกันศิษย์เอ๋ย คิดว่าไม่มีคนนี้หาใหม่ก็ได้ ก็ไม่ได้จริงจังอะไร แต่พอเขาไม่เอาเรา มันกลายเป็นเจ็บมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคนนะศิษย์เอ๋ย อย่าล้อเล่นกับความคิดหรือความรู้สึกของใจตน เพราะเมื่อพลาดพลั้งหลงไปเป็นทาสของกิเลส อารมณ์แล้ว มันถอนตัวยาก จริงไหม
ถ้าอาจารย์บอกว่าในสิ่งที่มันดูเหมือนตรงกันข้ามศิษย์ว่าจะหาสุขในทุกข์ไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์ไม่อับจนปัญญาพลิกความคิดได้ มองเห็นเป็นฟากฝั่งแห่งความพ้นทุกข์ มันไม่ได้อยู่ตรงข้าม แต่มันอยู่ที่ใจนี้เอง ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีทางพ้นทุกข์ ทำไมต้องรอให้คนข้างนอกมาแก้ ทำไมเราไม่แก้ที่ตรงใจนี้ เพราะมันอยู่ด้วยกันตลอด ศิษย์มักจะมองว่ามันเป็นฝั่งตรงข้าม ฉะนั้นอ่อนแอได้ก็เข้มแข็งได้ ทุกข์ได้มันก็สุขได้ สุขทุกข์มาหลายรอบแล้ว มันก็เย็นและปลดปลงได้ ตราบที่ชีวิตยังไม่หมดลมหายใจและไม่อับจนปัญญา ทำไมเราต้องยอมแพ้ จริงไหม (จริง)  นั่งเมื่อยได้ก็ลุกขึ้นยืนได้ ที่ยืนเมื่อยได้ก็นั่งได้ เพราะมันคือชีวิต แต่ถ้าเมื่อไหร่ยืนแล้วไม่ได้นั่งนั่นคืออัมพาตกิน เหมือนกันใจศิษย์ยังมีชีวิตมันยังพลิกได้ ถ้ามันพลิกไม่ได้มันคือตายทั้งเป็น แล้วใจศิษย์ตายทั้งเป็นไหม (ไม่)  ยังรู้สึกอยู่แล้วทำไมยอมตายล่ะ เจ็บนิดหน่อย เรียกให้อาจารย์จี้กงช่วยที อาจารย์อยากจะบอกว่า ถึงอาจารย์จะมาพัดให้ ถึงอาจารย์จะเอาน้ำมนต์ให้ แต่ถ้าใจศิษย์ไม่ลุกขึ้นสู้อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอาจารย์จะชี้นำทางสว่างแต่ถ้าศิษย์ไม่เดินทางสว่าง ศิษย์จะคิดมืดมน อาจารย์ก็เปลี่ยนแปลงชะตากรรมไม่ได้ อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้นำแนวทาง ตักเตือนให้ศิษย์เดินให้ถูก แต่ถึงเวลาเมื่อใช้ชีวิตศิษย์ต้องตัดสินใจเอง เพราะชีวิตไม่ใช่ฟ้าลิขิต ไม่ใช่คนอื่นกำหนด แต่เราต้องกำหนดตัวเอง อย่ารออาจารย์จี้กงชี้ อย่ารออาจารย์บอก แต่ศิษย์ต้องตื่นรู้ด้วยตัวเองพอถึงเวลา คำว่าทำใจ มันเป็นเรื่องที่ทำยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ แล้วเราก็ไม่ควรจะคิด แต่คนก็อดคิดไม่ได้
ของบางอย่างเมื่อมันขึ้นสู่ที่สูง สักวันก็ย่อมตกลงมา มันธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครที่จะพบสุขแล้วไม่มี (ทุกข์)  ไม่มีใครที่จะพบดีแล้วไม่ (พบร้าย) ธรรมสอนว่าทุกขณะของการดำเนินชีวิต คือทุกขณะของการตื่นรู้ สิ่งใดที่เรียกว่ากิเลส สิ่งนั้นก็เรียกว่าปัญญาญาณ สิ่งใดที่เรียกว่าเกิดดับ สิ่งนั้นก็สามารถเรียกได้ว่า “พระนิพพาน” เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นว่า สิ่งใดที่เรียกว่าด้านหน้า สิ่งนั้นก็คือ (ด้านหลัง)  และในด้านหน้าด้านหลังมีกลางไหม (มี)  ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งใดที่ก่อให้เกิดกิเลส สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดเป็นปัญญาญาณ สิ่งใดที่เป็นความเกิดดับ สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดนิพพาน สิ่งที่ศิษย์มองว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ แล้วอยู่คนละด้าน ถ้าเรามองให้เห็นชัดแท้ที่จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่าเราพลิกใจได้หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่รู้ สิ่งที่แสดงออกจึงกลายเป็นกิเลส บาป กรรม เมื่อรู้ สิ่งที่แสดงออกจึงกลายเป็นปัญญาญาณ” เพราะเราไม่รู้ เห็นไม่ชัด เราเลยทุกข์ ถ้ามนุษย์เลือกแต่หนีทุกข์ ปฏิเสธทุกข์ กลัวทุกข์ พ้นไหม (ไม่พ้น) เพราะฉะนั้นทำอย่างไร (ทำใจยอมรับแล้วก็สู้ต่อไป บำเพ็ญธรรม ยอมรับความจริง)  สิ่งที่ศิษย์ตอบล้วนเป็นคำตอบที่ดี แต่สิ่งที่ศิษย์กำลังพยายามทำใจและยอมรับ พระพุทธะกลับนำสิ่งนั้นมาทำให้ตัวท่านตื่นรู้แล้วกลายเป็นพุทธะและนำสิ่งที่ตื่นรู้มาโปรดเวไนย ยอมรับความจริง แล้วเราเคยเห็นความจริงไหม ความจริงที่ทำให้เราเห็นจริงแล้วยิ่งกว่าจริงขึ้นไปอีก แล้วไม่ทุกข์อีกต่อไป แล้วเราเคยนำสิ่งที่เป็นความจริงนั้นมาพิจารณาจนบังเกิดการตื่นรู้ไหม แล้วสิ่งที่เป็นความจริงนั้น เรียกว่า สัจธรรม ในโลกล้วนเต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่เรียกว่าชีวิตและทุกชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม เมื่อไรที่มนุษย์ประจักษ์แจ้งในสัจธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะตื่นรู้ความจริง
ทุกสรรพสิ่งล้วนเรียกว่าชีวิต สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตหรือที่เรียกอีกอย่างว่ารูปนาม รูปนามหนีไม่พ้นความจริงแห่งสัจจะ เมื่อไหร่ที่มนุษย์ตื่นรู้ เมื่อนั้นมนุษย์จะเห็นความจริง และเมื่อไหร่ที่มนุษย์เอาความจริงนั้นมาไตร่ตรองพินิจจนเห็นแจ้ง มนุษย์จะสามารถเป็นอิสระต่อกิเลสสิ่งแวดล้อม เข้าถึงความบริสุทธิ์และพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
สัจจะความจริงอะไรที่เราเข้าใจแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ สัจจะความจริงอะไรถ้าเราเห็นแล้วจะสามารถทำให้เราปลดปลงและพ้นทุกข์ (ยอมรับความจริงแล้วสู้ไปกับมันได้)  (มีเกิดก็มีดับ ตั้งอยู่เเล้วดับไป ความจริงที่ดำรงอยู่)  นั่นคือสัจธรรม สัจจะคือความจริงที่คงอยู่เป็นนิจนิรันดร์เปลี่ยนแปลงไม่ได้
(ทำตัวเป็นกลางปล่อยวางทุกอย่าง)  ทำให้ดีที่สุดเเละยอมรับทุกสิ่งเเม้ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี แต่มองให้เป็นกลาง
(บำเพ็ญบุญ)  บำเพ็ญบุญและต้องละบาปด้วย ถ้าบำเพ็ญบุญเเต่บาปไม่ละเรียกว่าดีไม่แท้จริง
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดมาตัวเปล่าเเละไปตัวเปล่า)  ตอบได้ดี ความจริงอันเป็นสัจจะที่หมั่นพิจารณาเเล้วหยั่งให้ถึงธรรมตลอดเวลา จะทำให้เราพ้นทุกข์ ความจริงที่ทำให้ตื่นรู้เเล้วทำให้ไม่ทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องไปทุกข์ก่อน เเต่สามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเห็นชัด
(ความจริงในธรรมชาติที่ดำรงอยู่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ถ้าเรายอมรับในความจริง มองเห็นความจริงตลอดเวลาก็จะไม่ทุกข์ ในโลกของความจริงมีสิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์กับความจริงที่แอบแฝงซ่อนอยู่ สมมติว่านำผลไม้ปาใส่หน้าคนนี้ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาทุกข์หรือศิษย์ทุกข์ (เขาทุกข์) เราเห็นเเล้วทุกข์ตามไหม (ไม่)  ถ้านำสาลี่ปาใส่ศิษย์ ศิษย์จะทำให้ตนเองไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้)  ด้วยการทำอย่างไร มีสองทางคือหลบให้พ้นกับรับให้ได้ รับได้มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าหลบพ้นก็ไม่ทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดคนเขาอยากจะปาให้มันโดน ยังไงก็หลบไม่พ้น (ต้องมีครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2) เพราะฉะนั้นถ้าอาจารย์ปาปุ๊บ (เฉย)  เฉยมันก็เจ็บนะ ศิษย์เอ๋ย เวลาเจอเรื่องทุกข์มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่เราจะรับมือกับมัน บางครั้งศิษย์ต้องนิ่งเฉย (เหมือนเวลาอาจารย์ตีก้น ลงโทษอย่างไรเราก็ต้องนิ่งเฉย โดนตีเจ็บ แต่ก็ต้องรับผิดเราต้องยอมรับ เหมือนเป็นนักเรียน)  ศิษย์พูดได้ถูกต้อง แต่ว่าเมื่อปรากฏการณ์มันมาอย่างนี้ เราจะมองเห็นความจริงไหม มองเห็นความจริงแค่เพียงว่าโดนด่า โดนว่าเป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็หนีไม่พ้น นั่นเรียกว่าปรากฏการณ์ภายนอก แต่ปรากฏการณ์ภายในที่แท้จริงคือความเจ็บ ศิษย์ว่าความเจ็บมันอยู่นานไหม (ไม่)  ศิษย์จะมองแค่ความเจ็บแล้วจำความเจ็บ หรือศิษย์มองความเจ็บไปจนถึงที่สุดจนถึงความจริง (เราต้องดูว่าการกระทำนั้นเราผิดไหม แล้วมาปลงว่า การที่ทำผิดเราต้องโดนทำโทษ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำผิดไป)  ส่วนใหญ่เราจะมองเห็นว่าทำผิดแล้วก็ทำโทษเป็นเรื่องปกติ โดนว่าก็ต้องทุกข์เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าศิษย์คิดเช่นนี้ ก็จะได้แค่นี้ๆ ไปตลอด แต่สิ่งที่อาจารย์กำลังจะบอกมากกว่านั้นก็คือ อย่ามองแค่ความเจ็บ อย่ามองแค่การโดนด่า อย่ามองแค่การโดนตี แต่มองให้เห็นจริงว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต มันไม่มีอะไรที่จะคงอยู่อย่างนั้น มันต้องแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึก มันก็จะเจ็บไปตลอด แต่ถ้าเรามองความรู้สึกให้จริงแท้จนถึงที่สุด เราจะลากความเจ็บไปตลอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ความเจ็บเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ความเจ็บเปลี่ยนแปลงไหม ความเจ็บถึงที่สุด ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วเราจะยึดมันให้ทุกข์ หรือเราจะมองให้ถึงที่สุดแล้วเห็นแจ้งประจักษ์จริง (มองให้ถึงที่สุด)  เมื่อเรามองให้ถึงที่สุด จนเห็นแจ้งประจักษ์จริง เราจะไม่จมอยู่กับความเจ็บ แต่จะเห็นได้ว่าเราเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่น แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ควรหรือที่จะเอามาคิดเจ็บตัวเจ็บใจ ฉะนั้นถ้าเกิดว่าศิษย์เจอเรื่องราวที่ไม่ถูกใจ เจอเรื่องราวที่ไม่เป็นดั่งคิด จงมองให้เห็นความจริงว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง และถึงที่สุดก็ต้องกลับไปสู่ความว่างเปล่าอันเป็นกลาง จริงไหม (จริง)
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะทุกข์กับโลกใบนี้ไหม (ไม่)  อย่ามัวติดยึดอยู่แต่ปรากฏการณ์ จนลืมมองความจริงแท้ เพราะถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงแท้และเห็นแจ้งจริง มนุษย์จะเป็นอิสระ พ้นจากกิเลส แต่ถ้าเรายังไม่ยอมเห็นแจ้งจริง เกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แล้วกรรมดีนั้นเป็นกรรมที่เราต้องเวียนว่ายรับไหม (รับ)  กรรมชั่วเป็นสิ่งที่เราต้องรับไหม (รับ)  เมื่อเราหลงไปกับกิเลส ก็หนีไม่พ้นกรรม เมื่อหนีไม่พ้นกรรม ก็หนีไม่พ้นทุกข์ที่แท้จริง ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติรู้ทันความคิด ไม่ตกไปเป็นทาสของความดี ความร้าย หรือเรียกว่ากระแสแห่งวิบากกรรม
บางทีสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากแต่ศิษย์เคยนำสิ่งนั้นมาคิดพิจารณาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งไหม ถ้าในใจศิษย์ไม่มีคำว่ายึดติดว่าอะไรเรียกว่าดี อะไรเรียกว่าไม่ดี ดีก็ไม่กลายเป็นสุข ไม่ดีก็ไม่กลายเป็นทุกข์ ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียน 3 คน ออกไปยืนหน้าชั้น)
โดยส่วนใหญ่เรามักจะมองเปรียบเทียบกัน มีคนเตี้ยและมีคนสูง อาจารย์ถาม จริงๆ เขาเตี้ยไหม (เตี้ย,ไม่เตี้ย)  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เราจึงเป็นอิสระไม่เกิดกิเลสและสามารถพ้นทุกข์แห่งพันธนาการได้ เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าอาจารย์บอกว่า คนนี้เตี้ยไม่ดี แล้วชมคนที่สูงว่าดี ถามจริงๆ มีเตี้ยกว่านี้ไหม มีแย่กว่านี้ไหม แล้วที่สูงกว่ามีไหม ฉะนั้นวันนี้ศิษย์โดนเขาด่าและอีกคนชม คนที่ด่าเขาแย่กว่าเราจริงไหม (ไม่จริง) คนที่ทำร้ายเราให้เจ็บปวดเขาไม่ดีกับเราจริงๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าเรายังมีลมหายใจยังมีสิ่งที่มีมากกว่า แล้วยังมีสิ่งที่ทุกข์มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อย่ามัวแต่ยึดติดปรากฏการณ์ที่ศิษย์เห็นจนลืมมองความจริงที่มากกว่านั้น ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจความจริง มนุษย์จะรู้ว่าทุกสิ่งมีแค่ชั่วคราว ตราบที่ยังมีลมหายใจเเล้วมนุษย์ยังครองสติได้ไม่ดี บางครั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่มีอะไรทุกข์เเละไม่มีอะไรสุขเพราะทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ในสูงยังมีสูงกว่า ชีวิตคือความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน อย่ามัวจมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจนลืมมองว่าชีวิตยังต้องก้าวต่อไป อย่ามัวทุกข์อยู่กับสิ่งเดียวจนลืมมองว่ามีอะไรต่อไปอีก อย่ามองแค่ปรากฏการณ์รูปแบบที่เเสดงให้เห็น เเต่ต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ความจริง ซึ่งจะทำให้ศิษย์พ้นจากกิเลสและเป็นอิสระจากความทุกข์ แต่มนุษย์กลับยึดติดแค่เท่านี้ ถ้าเปิดใจให้กว้างมีสูงกว่าอีกไหม (มี)  มนุษย์มองแค่ตรงนี้เลยรู้สึกว่าตัวเองแย่ ทำไมไม่หันกลับมามองว่ายังมีที่แย่กว่า ถึงตอนนี้จะทุกข์เเต่ก็มีทุกข์กว่า ทุกข์เเละสุขไม่ได้อยู่ที่ด้านตรงข้ามเเต่อยู่ที่เราพลิกใจเป็นไหม พลิกใจเป็นหันหลังกลับก็พบความจริง ความจริงนั้นจะปลดเปลื้องให้ไม่ต้องทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าโลกไม่เที่ยงเราจะเกลียดอะไร จะรักอะไร เพราะสิ่งที่น่ารักก็พร้อมจะน่าเกลียด เมื่อเราไม่ปักใจใส่ลงไปก็ไม่มีอะไรทำให้ใจเราทุกข์ เพราะเรายึดติดแต่ความคิดจนขาดสติเเละมองความจริง การศึกษาหลักธรรมสอนให้เราอย่ามองเพียงเปลือกนอกเเต่จงมองให้เห็นถึงแก่นแท้ความจริงเพราะแก่นแท้ความจริงจะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นตราบยังมีลมหายใจอย่าจมอยู่กับความทุกข์ แต่จงค้นพบทางพ้นทุกข์ด้วยปัญญาของตนเอง จำไว้นะศิษย์น้อยเอ๋ย สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นกิเลส เป็นบาป เป็นกรรมนั้นก็เป็นปัญญาญาณแห่งความตื่นรู้ ทุกขณะแห่งการดำเนินชีวิต ที่เราประพฤติปฏิบัติ คือทุกขณะที่สามารถทำให้เราตื่นรู้ได้ สมมติอาจารย์โดนด่า โดนเบียดเบียน โดนทำร้าย อาจารย์คิดร้าย ผูกใจเจ็บ เจอหน้าจะไปจองเวรจองกรรม นั่นก็คืออาจารย์ไม่สิ้นเวรสิ้นกรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์คิดดี มองในแง่ดี และปฏิบัติดี มันก็ยังเป็นกรรมอยู่ ถูกหรือไม่ เพราะมันยังมีความเป็นตัวตนที่ยึดติดว่า ฉันต้องพยายามทำดีให้กับเขาถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองจนถึงความเป็นจริง ไม่ว่าฉัน หรือ เขา ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไร แล้วเราต้องพยายามทำดีเพื่อหวังผลไหม (ไม่)  เราดีเพื่อแค่ดี เป็นดีที่ไม่ยึดติด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์คิดว่า หนูจะต้องเป็นคนมีเมตตา หนูจะต้องเป็นคนเสียสละ หนูจะต้องเป็นคนใจกว้าง คิดแบบนี้ก็คือยังทำดีเพื่อหวังผล ยังทำดีเพื่อยึดติด ว่าสิ่งที่ดีนั้น ทำแล้วมันจะทำให้เราสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดศิษย์โดนเขาด่า ไม่เป็นไร ถึงที่สุดทั้งเธอและฉัน ก็คือความว่าง ไม่มีฉันไม่มีเขาในโลกแห่งความเป็นจริง มีแต่สรรพสิ่งที่แปรเปลี่ยน เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนจนถึงที่สุด เราจึงมีกรรมแค่สังขาร หามีกรรมที่จิตใจไม่ เมื่อนั้นเราจึงมีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมของสังขาร จิตจึงว่างจากการยึดติดแห่งตัวตน กลับสู่ภาวะธรรมอันแท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าทางหู ทางตา แล้วมีโลภโกรธหลงก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องเวียนว่าย เเต่ถ้าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นั่นคือสิ้นวิบากกรรม สิ้นเวรกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อสิ้นเกิดดับหรืออยู่เพื่อเกิดแล้วดับไม่จบสิ้น เมื่อฟังเเล้วเข้าใจ จะเข้าใจว่าทำไมต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อหลุดพ้น เมื่อฟังธรรมไประดับหนึ่งเเล้วจะปฏิบัติธรรมอย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญ นั่นคือเรามีหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ไม่ขาดศีล ไม่บกพร่องธรรม เเละทำด้วยความสุขไม่ได้ทำเพราะโลภตำแหน่ง หรือสนองกิเลสตัณหา ถ้าทำได้เช่นนี้จึงเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ทุกขณะที่ปฏิบัติคือทุกขณะที่ตรัสรู้ ทุกขณะที่ได้ปฏิบัติทำให้เราตื่นรู้ว่าจะไม่ตกเป็นทาสกิเลส เช่น อาจารย์ให้เงินหนึ่งร้อยบาท รับไหม (รับ)  เเล้วค่อยไปทำบุญทำทาน โลภแล้วค่อยให้ทานกับไม่ต้องโลภแต่ได้ให้ทาน สิ่งใดดีกว่ากัน (ไม่โลภแต่ได้ให้ทาน)  เพราะความโลภถมอย่างไรก็ไม่เต็ม ศิษย์ก่อเกิดกิเลสแล้วค่อยทำดีกับไม่สร้างกิเลสเลยเรียกว่าการทำดีปฏิบัติธรรม อะไรประเสริฐกว่ากัน
ศิษย์บอกว่า ขอให้ไปโลภก่อน ขอไปผิดศีลก่อน แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญทำทาน เหมือนอาจารย์บอกว่า อาจารย์ตบศิษย์คนนี้ แล้วอาจารย์ไปอุทิศบุญให้กับอีกคนหนึ่ง ชดเชยกันได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไปด่าคนนี้ แต่อาจารย์ไปทำดีกับคนนี้ มันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ฉันใดก็ฉันนั้นศิษย์ ทำไมต้องปล่อยให้ตัวเองไปโลภ ไปโกรธ ไปหลง แล้วค่อยมาประพฤติดีปฏิบัติดี ทำไมไม่หยุดตั้งแต่ก่อนโลภ โกรธ หลง ก่อนที่จะกลายเป็นวิบากกรรมให้เราต้องรับล่ะ
พ่อแม่ตีก็ไม่ใช่ไม่รัก แต่ก็เพราะยิ่งรักก็เลยยิ่งตี การโดนตี การโดนด่าใช่แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี การสูญเสียการถูกทำร้ายใช่เป็นสิ่งที่แย่และเป็นทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรามองให้เห็นชัดในโลกแห่งความเป็นจริงว่า อะไรดีแท้จริง อะไรแย่แท้จริง อยู่ที่เราสามารถมองเห็นชัดแล้วไม่ยึดติดความคิดตัวเองได้หรือเปล่า หนทางแห่งการบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติคือ เดินสู่ทางสายกลาง ไม่ตัดสินว่าใครดีหรือใครร้าย ไม่ยึดติดว่าใครแย่ใครดี มุ่งกลับสู่ทางสายกลางคือความสงบเย็นที่แท้จริง
หลายคนมักถามอาจารย์ว่า ทำไมเขาไม่ดีอาจารย์ไม่ว่า อาจารย์อยากจะบอกว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจ แปลว่าฟ้ายังให้โอกาสศิษย์แก้ตัวและทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าศิษย์ไม่มีลมหายใจแปลว่าฟ้าไม่มีโอกาสให้ศิษย์ได้มีชีวิตแล้วทำตัวให้ดีที่สุดแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก็ต้องจากลากันแล้วนะ ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งชีวิตต้องพบความแก่ ความเจ็บ ความตาย จำคำที่อาจารย์จี้กงพูดให้ได้นะ ว่าเรากำลังกลับสู่ทางสายเก่าที่มีกรรมแค่สังขาร แต่จิตพ้นกรรมมานานแล้ว อย่าสร้างตัวตนยึดติดกับกรรมจนก่อเกิดเป็นทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ศิษย์เอ๋ยศิษย์รู้ไหมว่าตัวตนที่ศิษย์บอกว่าอันนี้เรียกว่าของตน อันนี้เรียกว่านิสัยตน มันเป็นความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แท้ตัวตนของศิษย์คืออะไร มันไม่มี มีแต่อารมณ์ นิสัย ที่ศิษย์บอกว่าก็ฉันเป็นคนแบบนี้ ก็ฉันชอบอย่างนี้ แต่จริงๆ มันเป็นของศิษย์จริงๆ ไหม (ไม่จริง)  มันไม่มี แต่เราไปยึดติดมัน พอไปยึดก็สร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าเรามองเข้าใจความจริงว่า มันว่างเปล่า มันไม่มี มันก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง นั่งอยู่ตรงนี้ถือว่าเสียสละเพื่อผู้อื่นเป็นจิตใจที่ดีงาม อยากให้อาจารย์จับมือ อาจารย์จับมือแล้วจะเป็นมงคลหรือเปล่าอยู่ที่การกระทำของศิษย์นะ หวังจะให้อาจารย์ตีจะได้หายโรคหายภัยหรือ หายโรคหายภัยบางครั้งมันก็ยังไม่ดี เพราะว่าเมื่อถึงเวลาเราก็หนีไม่พ้นความจริงก็คือ เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่สิ่งที่สำคัญเหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นคือจิตที่ตื่นรู้ในความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงแค่สังขาร แต่จิตพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายมานานแล้ว แต่เราเคยมองเห็นจิตตัวเองไหม มองเห็นแต่ใจ มองเห็นแต่สังขารอันไม่เที่ยง เราบำเพ็ญเพื่อกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ ไม่ใช่เราบำเพ็ญเพื่อความมีตัวตน เราบำเพ็ญเพื่อละวางตัวตนกลับคืนจิตอันเดิมแท้ ฉะนั้นต้องรู้จักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าหวังแต่จะพึ่งอาจารย์อย่างเดียว แต่ศิษย์ต้องรู้จักพึ่งปัญญาญาณที่ตื่นรู้ในความจริงแห่งตนด้วย ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรจงคิดด้วยปัญญา จงมองด้วยปัญญา อย่าติดอยู่กับความคิดและอารมณ์ความรู้สึก เพราะอย่างไรทุกชีวิตก็หนีความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ ฉะนั้นตายแค่สังขาร จงเอาจิตที่ว่างเป็นสภาวธรรม เป็นตัวตนอันแท้จริงที่ไม่มีอะไรที่ต้องเกาะเกี่ยว ได้หรือไม่ (ได้)  ไม่ได้กลับไปนิพพานแล้วไปเสวยสุข อันนั้นก็ยังไปยึดตัวตน แต่กลับคืนสู่ธรรมที่ว่าง ธรรมที่ไม่ต้องยึดถือ เพราะถ้ายังยึดถือเราก็ยังมีที่ให้ต้องทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเรายังยึดติดก็แปลว่าเรายังอยากมีทุกข์เวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นกลับคืนสู่สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่เอาอะไรแล้ว ทำเต็มที่แล้ว ดีที่สุดแล้ว ศีลก็ไม่ขาด ธรรมก็ไม่พร่อง ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันดูแลตัวเอง ฉันเอาชีวิตตัวเองให้รอด กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้คือความว่างให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะมีตัวตนให้ทุกข์ทำไม มัวแต่กำจัดกิเลส มิสู้กำจัดที่สร้างกิเลส กิเลสน่ากลัว แต่ตัวตนที่สร้างกิเลสน่ากลัวกว่ากิเลสอีกนะ อย่ามัวแต่หยุดกิเลส แต่ต้องหยุดการยึดติดตัวตนที่เป็นเหตุให้กิเลสอิงอาศัย ฉะนั้นมองตัวเองว่างเปล่าๆ บ้าง ไม่มีบ้าง ยึดลูกหลาน ยึดทรัพย์สินไป ยึดสามี ยึดภรรยาไปก็มีแต่ทุกข์ ถึงที่สุดแล้วก็ต้องตัวใครตัวมัน จงเข้มแข็ง มองความจริงให้ถ่องแท้ เพื่อเราจะได้กลับสู่ความอิสระ และพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ได้ไหมหนอ เข้มแข็งนะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากลับเข้ามาส่งเสริมนักเรียนในชั้น)
ศิษย์เอ๋ยดูแลตัวเองให้ดี ถึงที่สุดแล้วทุกคนล้วนมีชะตาชีวิต อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ เข้มแข็ง ขออย่าสร้างปัญหาเพิ่มก็พอ รอดมาได้ก็ดีแล้ว ใจสู้แค่นั้นเอง ถ้าใจไม่สู้มันก็ต้องแพ้แล้วใช่ไหม เลิกจมอยู่กับความคิด มีสติได้แล้วนะศิษย์เอ๋ย เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ มีโอกาสมาฟังธรรมอีกนะ ขอให้รู้จักดำเนินชีวิต ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี อยู่ที่บุญกรรมที่เราสร้าง ถ้าเราไปเบียดเบียนชีวิตเขาก็ต้องสำนึกขอขมากรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ศิษย์ผู้ที่มีปัญญา ตั้งใจบำเพ็ญอย่าปล่อยให้กิเลสอารมณ์ชักนำทำให้ก่อเกิดวิบากกรรมเเล้วทำให้เราต้องทุกข์ไม่จบสิ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยต้องถามตัวศิษย์เองว่าไปสร้างกรรมอะไรมา ถ้าศิษย์ไม่สำนึกขอขมา กรรมนั้นก็ไม่มีวันจบสิ้น กรรมบางอย่างเป็นกรรมของสังขารที่หนีไม่พ้นความเจ็บเป็นเพียงแค่สังขารอย่าให้เจ็บไปถึงใจเลย เราหนีความเจ็บของสังขารไม่ได้ หนีความทุกข์ของสังขารไม่ได้ เเต่มีจิตที่ตื่นรู้ เข้าใจความจริง เเล้วไม่ทุกข์ในสังขารได้ ไม่ใช่หรือ ให้อาจารย์ลูบหัวเพื่อให้หายจากโรคภัยเเต่คนที่สร้างโรคภัยคือตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่รู้จักดูเเลตัวเองให้ดี ให้อาจารย์ช่วยก็ได้เพียงชั่วคราว ถ้าศิษย์ไม่ดูเเลตัวเองให้ดี ไม่รู้จักนำพาชีวิตให้ถูกต้อง ศิษย์ก็จะเจ็บทั้งกายเเละใจ ถ้าศิษย์เข้าใจก็จะรู้ว่ามีแค่กายเท่านั้นที่เจ็บเเต่ใจของเราไม่เคยเจ็บ เรามักหลงในสิ่งที่ไม่ควรหลง ผิดในสิ่งที่ไม่ควรผิด ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่ดี ศิษย์ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าหาเหตุให้ตนเองทุกข์ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องนะ
ศิษย์เอ๋ยว่างๆ หมั่นสวดมนต์ กราบพระเยอะๆ ทำจิตให้สงบ อย่าฟุ้งซ่านเข้าใจนะ เพราะอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์เป็นแบบนี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์เองนะ ตื่นรู้ในความจริงมากกว่าสิ่งที่เห็นเพียงปรากฏการณ์ชั่ววูบ ตื่นรู้ในสัจจะอันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และนำพาให้จิตพบอิสระอย่างแท้จริง กลับคืนความบริสุทธิ์ เกิดตายไม่น่ากลัว เจ็บตายก็ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือจิตที่ยึดติดไม่ยอมนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ต่างหาก เอาแต่ทุกข์อยู่นั่นแหละ ทำไมไม่คิดให้พ้นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองไตร่ตรองให้ดีนะ ไม่ต้องยึดอาจารย์จี้กง แต่มองที่หลักสัจธรรมเอาหลักสัจธรรมไปไม่ต้องเอาอาจารย์ไป เอาหลักสัจธรรมไปใช้ในชีวิตนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ และเมื่อเข้าใจเราจะได้กลับคืนสู่สภาวธรรมเดียวกันที่ทำให้คนทุกคนเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความแตกต่าง ดีหรือไม่ (ดี)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ซื่อสัตย์ต่อความจริง”
     มองตามจริงหรือมองตามใจตน               หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย
รู้ไม่ทันจึงคิดปล่อยวางไม่ได้                       ก็ยากเห็นจริงได้ด้วยปัญญา
กิเลสเกิดจากความคิดแห่งตน                      ใช้อารมณ์จนเป็นนิสัยตนหนา
ตามองไปไม่เห็นความจริงนา                      เพราะตลอดมายึดแต่ในความคิดตน
ปัจจุบันคือความจริงที่สุดแล้ว                      ยึดติดคงไม่แคล้วต้องทุกข์หนอ
อย่ามัวฝันจงกล้ารับความจริงพอ                  ตื่นเพื่อรู้มิรีรอใครทำใจ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมถงซิน วันที่ ๑๘-๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐  
เพลงพระโอวาทพระอาจารย์หน้า ๑๔ บรรทัดที่ ๒
เดิม     ตาไม่ฟังปัญหาเพื่อก้าวมิก่าย  แก้เป็น       ตาไม่ฟังไม่คิดมิก้าวมิก่าย
บรรทัดที่ ๓
เดิม     ศิษย์ช่วยตน ช่วยคนเมตตาลึกล้ำ
แก้เป็น    ศิษย์ช่วยกัน ช่วยช่วยกันเมตตาลึกล้ำ
บรรทัดที่ ๙-๑๐
เดิม     ตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรมดีไหม เห็นไม่ดี ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้แท้จริง
แก้เป็น ตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรมให้ดี เห็นไม่ดีก็ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้ความจริง
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย วันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐   หน้า ๑๙
เดิม     ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าแง่ลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวมิได้
แก้เป็น    ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจมิได้

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

2557-06-28 29 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์


西元二○一四年 歲次甲午 六月 初二日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

ยิ่งแข็งดื้อคนกลับให้อ่อนน้อมนัก ยิ่งอวดจักคนกลับให้ดูเบายิ่ง
จิตอ่อนน้อมสุภาพเป็นที่รักจริง ดุจไม้ผลดกยิ่งน้อมต่ำลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านสราญฤๅ

โดยมากฟังอรรถามารู้แค่รู้ สาระเหมือนผู้คนก็แต่งเสริมไป
ปัญญาน้อยกลับว่ารู้เห็นบ่อยไป ธรรมรู้ยากถึงแต่ใจไม่มั่นคง
จึงบำเพ็ญปฏิบัติได้ไม่เต็มที่นัก กิเลสหากมากก็ยังยึดโลภหลง
กระจ่างธรรมจากใจไกลการอวดองค์ พูดทุกคำธรรมอย่าหลงสัจธรรมจริง
ธรรมเหมือนว่าปฏิบัติได้ไม่สิ้นสุด เพียรไม่หยุดดีได้ด้วยจิตนิ่ง
สิ้นกายแค่ก็เพียงเปลี่ยนเปลือกทิ้ง เมื่อทุกข์ผ่านไปต้องยิ่งทบทวนตน
สติย้ำหยั่งถึงใจพูดกลั่นกรอง เมื่อคิดตรองให้ตนทำไม่สับสน
ดึงชีวิตอยู่ไหมมีคำตอบตน อย่าตกใจในผลถ้าไม่ระวัง
เดินทางธรรมรักษาธรรมจักได้ดี วิสัยที่เคยชินนำใกล้เหมือนห่าง
มาร่วมใจร่วมธรรมถากถางทาง นกกางปีกคนต้องกางคุณธรรม

ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
วันนี้ใครคิดว่าตัวเองอดทนได้เก่งมากๆ บ้าง ยกมือขึ้น แล้วความอดทนนี้อยู่ได้กี่วัน (สองวัน)  นึกว่าได้แค่วันเดียววันนี้ก็พอแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไหนใครคิดว่าอดทนแล้วจะอดทนอีก ยกมือขึ้น ส่วนที่ไม่ยกมือแปลว่าไม่อดทนแล้ว ใช่ไหม ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัดไหม (มี)  ถ้าเรามีความสุขที่ได้อดทน เรามีความสบายใจที่ได้อดทนอดกลั้น คิดว่าความสุขที่ได้จากการอดทนอดกลั้นจะมีขีดจำกัดไหม (ไม่มี)  ถ้าเราอดทนด้วยความรู้สึกไม่ชอบ รำคาญ เบื่อหน่าย อดทนได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิก จริงไหม (จริง)  แต่ว่าถ้าในความอดทนนั้นเรามีความสบายใจ มีความสุขใจ มีความปลื้มใจว่าไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะอดทนได้ขนาดนี้ ความอดทนนั้นจะไปได้เรื่อยๆ จริงไหม อย่างนั้นวันนี้อดทนด้วยความสบายใจหรืออดทนด้วยความลำบากใจ (สบายใจ)  ถ้าอดทนด้วยความสบายใจความอดทนนั้นก็ต้องไม่มีขีดจำกัด ยังอดทนได้เรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาฟังธรรมะมีความสุขกันดีไหม ใครที่รู้สึกว่าฟังไม่ไหวแล้วยกมือขึ้น ยังไหวกันไหม (ไหว)  อย่างนั้นสู้ต่ออีกวันก็ยังไหว เพราะว่าเรามีความอดทนได้ดี
วันนี้มาฟังธรรมะ ส่วนใหญ่ก็มาฟังเพื่อจะได้เป็นคนดี มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าฟังธรรมะแล้วกลายเป็นคนไม่ดี แถมยังมีความทุกข์ เราจะฟังธรรมะกันไหมโดยส่วนใหญ่เราฟังธรรมะก็เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ให้เป็นคนดีในสังคม เมื่อทำดีแล้วจะได้มีความสุขเมื่อดำเนินชีวิต แต่ว่าเราปฏิบัติได้อย่างที่เราพูดไหม ทำได้ดีแล้วมีความสุขไหม ถ้าทำได้ดีมีความสุข เราก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายธรรมะอะไรเพิ่มแล้ว ถูกไหม (ไม่)  เพราะว่าต่างคนก็ต่างทำได้ดีมีความสุขแล้ว ใช่ไหม (ไม่)  ฟังธรรมะก็เพื่อให้ได้ดีมีความสุข แล้วตอนนี้ดีหรือยัง มีความสุขหรือยัง (ยัง)
โดยส่วนใหญ่เราฟังธรรมะกันเยอะ เพราะคิดว่าเมื่อฟังแล้วจะต้องได้ดี เมื่อมาฟังธรรมะแล้วชีวิตจะต้องดี แค่นั้นหรือเปล่า แต่ถ้าแค่ฟังแล้วไม่ลงมือปฎิบัติจะได้ดีหรือ แค่ฟังโดยที่ไม่ทำอะไรเลยจะได้รับผลดีได้หรือไม่ (ไม่ได้) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเรามาฟังธรรมะ แล้วยังกลับไปด่าว่าคนเหมือนเดิม ฟังธรรมะแล้วยังขี้โมโหเหมือนเดิม ฟังธรรมะแล้วยังใจวุ่นวายเหมือนเดิม จะได้ดีไหม (ไม่ได้)  
ฉะนั้นถ้าแค่ฟังธรรมะแล้วบอกว่าจะต้องได้ดี อย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ ที่ถูกต้องคือเมื่อฟังธรรมะแล้วจะต้องลงมือปฏิบัติ ถ้าฟังธรรมะแล้วไม่ปฏิบัติจะให้ได้ดีก็คงยาก อย่างมากสุดก็แค่เมื่อฟังธรรมะที่ดีๆ ก็จะได้แค่ความสบายใจ ได้เข้าใจ ได้อิ่มใจ ได้รู้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านอยากได้มากกว่านั้น เมื่อฟังแล้วเข้าใจแล้ว ท่านก็จะต้องกลับไปกระทำกลับไปปฏิบัติ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำดีกันถึงที่สุดหรือไม่ (ไม่ถึง)  ท่านสามารถทำดีได้ตลอดหรือไม่ (ไม่ได้) เพราะมีนิสัยอย่างหนึ่งในจิตใจที่เป็นสิ่งขวางกั้นไม่ให้มนุษย์ไปถึงความดี จริงๆ แล้วจิตใจลึกๆ มนุษย์ก็อยากเป็นคนดี แต่ในจิตของความที่อยากเป็นคนดีนั้น ก็มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำให้ไปไม่ถึงซึ่งความดี คืออะไรรู้ไหม (ไม่มีความอดทน)  ตอบได้ดีนะ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่คอยขวางกั้นนั่นก็คือ ความคิดที่ว่า “ทำไมฉันต้องทำ ทำไมฉันต้องยอม” ใช่หรือเปล่า
สมมติเวลาเราอยู่ร่วมกับคน คนอื่นเขาเอารัดเอาเปรียบ เราอยากเป็นคนดีไหม (อยาก, ไม่อยาก)  ส่วนใหญ่จะไม่อยาก ถ้าตอนนี้เราทำงานอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็นั่งเฉยๆ เราก็ทำงานไป พอสักพักเราเห็นเพื่อนไม่ทำงาน เราทำไหม (ไม่อยากทำ)  ตอนนี้เรากำลังนั่งฟังธรรมด้วยใจจดใจจ่อ แต่เห็นคนอื่นหลับคร่อกฟี้ๆ เราอยากฟังต่อไหม (อยาก) เขาหลับ เราหลับด้วย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์อยากจะเป็นคนดี แล้วไปไม่ถึงความดี นั่นคืออะไรรู้ไหม เพราะเราคิดว่าทำไมเราต้องทำความดีมากกว่าคนอื่น ทำไมเราจะต้องทำดีแล้วเหนื่อยกว่าคนอื่น ทำไมฉันต้องทำดีแล้วเสียเปรียบคนอื่น ทำไมฉันทำดีแล้วต้องกลายเป็นคนโง่ที่ปล่อยให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบ ใช่ไหม เหมือนคนอื่นเขาโกง เขาไม่ขยัน เราขยันอยู่คนเดียว พอเห็นเพื่อนที่ร่วมงานเขาไม่ขยัน เราเป็นอย่างไร วันแรกก็ยังพอไหว พอวันที่สอง วันที่สามเริ่มท้อแล้ว วันที่สี่ วันที่ห้า ขยันไปทำไมในเมื่อไม่มีใครขยันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงไปไม่ถึงความดี เพราะอะไร (ไม่อดทน)  แน่ใจหรือว่าเป็นเพราะไม่อดทน แต่บางทีเพราะเรากลัวเสียเปรียบหรือเปล่า จริงไหม (จริง)  เหมือนเราทำงานเหนื่อยแทบแย่เลย กลับมาลูกนั่งเฉยๆ สามีนั่งเฉยๆ โมโหไหม (โมโห)  ทำไมโมโหล่ะ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาแทบแย่ แล้วทำไมจะต้องมานั่งเก็บกวาด ทั้งที่สามีกับลูกนั่งเฉยๆ คนดีก็เลยดีแตกเลย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นแปลว่าคนดีแพ้คนขี้เกียจ หรือแพ้ใจตัวเอง (แพ้ใจตัวเอง)  แล้วใจอะไรที่แพ้แล้วทำให้เราไม่สามารถไปถึงฟากฝั่งแห่งความดีได้สำเร็จ เพราะแค่ยอมไม่ได้หรือ เพราะแค่รู้สึกว่าเสียมากกว่าหรือ จริงไหม (จริง) เราจึงอยากจะบอกว่าถ้าจะเป็นคนดีอย่ากลัวการเสียเปรียบ อย่ากลัวการรักษาความดีแม้จะต้องเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นคนดีแล้วทำได้สองอย่างนี้ความดีที่สุดเราถึงแน่ แต่ถ้าทำดีแล้วเห็นคนเอาเปรียบแล้วยอมไม่ได้เราก็ไปไม่ถึงความดีหรอก จริงไหม (จริง)  ถ้าทำดีแล้วเจอคนรักสบายแต่เราต้องเหนื่อยแล้วเรายอมแพ้ เราก็ไปไม่ถึงความดีหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปให้ถึงความดีที่สุดไหม (อยาก)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทำดีมาช่วงหนึ่งแล้วเจอคนเอาเปรียบ เจอคนกินแรง เราโมโหแล้วเราก็เอาเปรียบแล้วก็กินแรงกับเขาถึงที่สุดแล้วเราสบายใจไหม (ไม่สบายใจ)  แล้วรู้สึกว่าเราดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีเลย แล้วทำไมยังยอมแพ้ความชั่ว ไปไม่ถึงความดีกันเล่า ฉะนั้นถ้าอยากทำดีแล้วไปถึงความดีจงอย่ากลัวการเสียเปรียบและจงอย่ากลัวความเหนื่อยในการพยายามทำให้ถึงที่สุดแห่งความดี เพราะโดยพื้นฐานนิสัยของมนุษย์ที่ขวางกั้นไม่ให้ไปถึงความดีนั่นก็คือไม่อยากเป็นคนแพ้ ไม่อยากยอม และลึกๆ ก็เกียจคร้าน
จำไว้นะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาด้วยความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่สร้างเหตุ จะได้รับผลหรือ ฉะนั้นอยากได้ผลดีก็จงสร้างเหตุดี แล้วตอนนี้เราสร้างเหตุดีบ้างหรือเปล่า ไม่สร้างเลย นึกมาแต่ละอย่างว่าเขาเอาเปรียบ เราก็ต้องเราเอาเปรียบ เขาขี้เกียจ เราก็ต้องขี้เกียจ แล้วอย่างนี้จะไปถึงความดีงามได้ไหม (ไม่ได้) 
และนิสัยของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่ขวางกั้นไปให้ไม่ถึงความดีคืออะไรรู้ไหม ข้างนอกทำเหมือนแข็ง แต่ข้างในอ่อนแอ ข้างนอกพยายามทำดีแสนดี แต่จริงๆ ข้างในร้ายเหลือทน มนุษย์แม้จะอยากดีขนาดไหน แต่ถ้าคุมร้ายไม่อยู่นอกจากจะไปไม่ถึงความดี ความดีไม่สัมฤทธิ์ผล ความร้ายก็พร้อมจะออกมารุกรานใจเราได้ทันที แล้ววันนี้ใครคิดว่าตัวเองสามารถข่มความร้ายแล้วรักษาความดีได้ยั่งยืนนานจน ไม่ปริปากบ่นสักคำ ไม่บ่นเบื่อ ไม่บ่นเหนื่อย มีไหม (มี)  ปรบมือให้ตัวเองหน่อย
ถ้าอยากไปให้ถึงความดี ที่สำคัญก็คือคนดีไม่กลัวเสียเปรียบ คนดีไม่กลัวพ่ายแพ้ ถ้าเราโดนดูถูก โดยเรียกว่าคนขี้แง ไม่แน่จริง ถ้าโดน  ดูถูกแบบนี้ยอมไหม (ไม่ยอม)  ส่วนใหญ่ไม่ยอม แรงมาก็แรงกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ ทุกคนเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะโลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้ เราจึงไม่สามารถรักษาความดีได้ เพราะเมื่อโดนหยาม โดนดูถูกนิดหนึ่ง ยอมไหม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถรักษาความดีได้ พระพุทธองค์จึงสอนว่าเป็นคนดีอย่ากลัวพ่ายแพ้เพราะยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นอย่ากลัวอย่าเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะความพ่ายแพ้ทำให้เราเข้มแข็ง แต่ถ้าจะเอาชนะอย่างเดียวเราจะเข้มแข็งไหม (ไม่)  แล้วมีใครในโลกนี้บ้างชนะแล้วไม่เคยแพ้ (ไม่มี)  คนที่แพ้ได้ก็คือคนที่ชนะได้ แต่คนที่ชนะได้ไม่เคยเห็นสักรายที่จะแพ้ได้จริง คนที่กล้าแพ้ได้คนนั้นคือคนที่ชนะเป็น แต่เราไม่เคยเห็นในโลกเลยที่ชนะเป็นแล้วแพ้ได้ ถูกไหม (ถูก)  ทำไมพระพุทธองค์จึงบอกว่าจงรู้จักพ่ายแพ้ จงอย่ากลัวพ่ายแพ้ เพราะคนที่แพ้เป็นคือคนที่ทำให้เวรกรรมไม่ยืดเยื้อ คือคนที่มองเห็นแล้วฉลาดกว่าคนที่เอาแต่มีเรื่อง แล้วหาเรื่องตอบคือคนที่ทำให้เวรไม่จบ
ฉะนั้นอยากให้ไปถึงความดี
๑. อย่ากลัวการเสียเปรียบ
๒. อย่ากลัวพ่ายแพ้
๓. อย่าขี้เกียจ
๔. อย่ากลัวเหนื่อย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายสองคนออกมายืนหน้าชั้น)
เล่นเป่ายิงฉุบเป็นไหม (เป็น)  คิดว่าตัวเองจะแพ้หรือชนะ (แล้วแต่จังหวะโอกาส และดวง)  แต่ถ้าเราไม่กลัวแพ้ ยอมรับความพ่ายแพ้ เวลาแพ้จะเสียหน้าไหม (เสียก็ไม่กลัวแค่สมมติ)  และถ้าเรารู้จักเตรียมตัวแพ้ไว้ก่อนใจเราจะเสียไหม (ไม่เสีย เพราะเป็นเกมชนิดหนึ่ง)  ท่านก็เข้าใจได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนใช่ว่าจะต้องชนะ แต่บางครั้งการเตรียมตัวแพ้ก็ไม่เสียหาย ไหนลองเป่ายิงฉุบ
(ครั้งแรกและครั้งที่สองเสมอกัน ครั้งที่สามและครั้งที่สี่ผลัดกันชนะคนละครั้ง)
จริงๆ กรรไกรก็แพ้ค้อนอยู่แล้ว ทำอย่างไรกรรไกรก็ชนะค้อนไม่ได้ แม้กรรไกรจะแพ้ แต่ถึงเวลาค้อนก็ยังรู้จักช่วยเหลือกรรไกร อย่างที่นักเรียนท่านนี้พูดว่า ถ้ากรรไกรเสีย ค้อนก็สามารถช่วยทุบให้กลับมาเป็นปกติได้ ฉะนั้นชนะแล้วอย่าหลงลำพองตน ชนะแล้วต้องรู้จักเอื้อประโยชน์เพื่อผู้อื่น แล้วความชนะนั้นจะได้ไม่เป็นที่รังเกียจของใคร ฉะนั้นถ้าอยากไปถึงซึ่งความดี อย่ากลัวการพ่ายแพ้ อย่ากลัวการเสียเปรียบ และอย่าขี้เกียจ เพราะว่าการที่เรารู้จักระมัดระวังเช่นนี้ จะทำให้เวลาที่เราทำอะไร เราจะสามารถทำได้จนถึงที่สุด
แต่โดยปกติแล้วมนุษย์ก็มักจะพลั้งเผลอและหลงลืมตัวเอง แม้รู้ขนาดนี้ก็ยังไปไม่ถึงความถูกต้องและดีงาม ธรรมะทางสายพุทธจึงสอนไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักรักษาศีล” ทางสายปราชญ์จึงสอนไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักมีคุณธรรม” แต่ถามว่าศีลคืออะไร คุณธรรมคืออะไร บางครั้งเราก็ยังสับสน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงศีลและมีคุณธรรมเราควรคิดอย่างไรดี (ต้องเริ่มศึกษาและปฏิบัติ)  ต้องรักการเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรารู้ว่าทำไมการเป็นคนดีและเราจะรักษาความดีได้นั้น ทางพุทธสอนว่าให้มีศีล ทางปราชญ์สอนว่าให้มีคุณธรรม แต่ศีลห้าข้อเรารักษาได้ครบไหม (ไม่ครบ)
พื้นฐานของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน จำไว้เลยนะ
๑. ปฏิบัติต่อกันด้วยดี คือมีเมตตาธรรม ไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยความไร้เมตตา มีศีลก็เข้าถึงธรรม ถ้าเข้าถึงศีลถึงธรรมก็จะเข้าใจความเป็นปกติที่เรียกว่าคนดีที่มีรากฐานอันงดงาม ในศีลห้าข้อนี้ถ้าทำได้เรียกว่าคนปกติใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าทำไม่ได้สักข้อหนึ่งเรียกว่าคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)
๒. ของของใคร ใครก็หวง อย่าคิดอยากได้ของใคร คือมีมโนธรรม มีสำนึกที่ดี เงินหนึ่งร้อยบาทอยู่กับเรา เราดีใจไหม (ดีใจ)  แต่พอเห็นร้อยหนึ่งของคนอื่นเราอยากได้ไหม (อยาก)  ทั้งที่รู้อยู่ว่าของของใคร ใครก็หวง แล้วเราไปเอาทำไม ถูกไหม (ถูก)  ทั้งที่เรามีไหมหนึ่งร้อย (มี) แต่ทำไมยังอยากได้อีกหนึ่งร้อย (ไม่พอ)  ถามว่าเรามีแฟนไหม (มี)  แต่ทำไมเห็นคนอื่นดีกว่า ใช่หรือเปล่า
๓. ให้เกียรติ สุภาพ อ่อนน้อมต่อกัน คือมีจริยธรรมที่งดงาม
๔. อย่าปากว่าตาขยิบ ปากหวานก้นเปรี้ยว คือมีความซื่อตรง 
๕. ชอบคนคุยรู้เรื่อง คือปัญญาธรรม แปลว่าเป็นคนรักคนมีปัญญา คนที่ชอบดื่มสุรายาเมาคุยรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่หลงแต่ความคิดของตัวเองคุยกันรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่จมอยู่ความชอบของตัวเองแล้วมองไม่เห็นความถูกต้อง ไม่มีความยุติธรรมคุยรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
เพื่อนที่อยู่ใกล้ฉลาดกว่า โง่กว่า หรือไม่ต่างจากเรา (ไม่ต่างจากเรา)  ไม่ต่างเลยใช่ไหม ฉะนั้นเราจึงไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะเราเกลียดคนที่เก่งกว่า เพราะอยู่ใกล้คนเก่งกว่าเรากลายเป็นคนโง่ ทั้งที่จริงๆ แล้วโง่แล้วเราก็จะได้ปัญญา อยากเข้าถึงความดีก็อย่ากลัวความโง่ ใช่ไหม (ใช่)  การเข้าถึงความดีจนกระทั่งมีศีลมีธรรม แล้วกลับสู่ความเป็นปกติที่เรียกว่าคนดีงาม ยากไหม (ไม่ยาก) 
บางทีทะเลาะกับแฟนเพราะอะไร คุยกันไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ต่างคนต่างหวังดีคนละแบบ แต่ไม่เคยมองกันตรงกลาง ไม่เคยมองความจริง ถูกหรือเปล่า มนุษย์อยู่ด้วยกัน ขนาดเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังยอมเสียเปรียบต่อกันไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)  ภรรยาเหนื่อยกว่าสามียอมได้ไหม สามีเหนื่อยกว่าภรรยายอมได้ไหม ถ้ายอมไม่ได้ถึงที่สุดครอบครัวก็ทะเลาะกัน แล้วก็ไม่อบอุ่น น่าเสียดายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเหนื่อยกว่าหน่อย ให้เขาสบาย ยอมทำให้ถึงที่สุด สักวันหนึ่งคุณค่าความดีงามของเราต้องสะเทือนใจเขาบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่สำคัญที่เราทำดีนั้น เพื่อความสุขใจ เพื่อความสบายใจไม่ใช่หรือ ฉะนั้นถ้าท่านยอมเหนื่อยหน่อย แต่ได้ความสุขของครอบครัวกลับมา ถ้าเสียเปรียบหน่อยแต่ได้ความร่มเย็นของครอบครัว อย่างนี้ยอมถอยหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า ถ้าเอาแต่ถือดี เอาแต่ถือว่าตัวเองเสียเปรียบ แล้วถึงที่สุดก็มีแต่ความทุกข์ ถึงที่สุดคนที่ต้องช้ำใจก็คือคนที่ถือนั่นแหละ จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นอย่ามัวหวังแต่ผลดีจนลืมนึกถึงต้นทุน คือชีวิตและหัวใจ อย่ามัวหวังว่าจะต้องสมบูรณ์พูนสุข จนลืมคนรอบข้างและจิตใจตนเอง เราเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่า เวลาลูกไม่ได้ดี โกรธไหม (โกรธ)  สามีไม่ได้ดี โกรธไหม (โกรธ)  แล้วท่านโกรธกันทำไมหรือ เพราะเขาไม่เหลืออะไรดีเลยจริงๆ หรือ อย่ามัวมองเห็นแต่สิ่งที่เสีย จนลืมมองเห็นคุณค่าที่ยังเหลือมี เขาอาจจะเสียแค่เรื่องเดียว แต่อีกร้อยเรื่องก็ไม่ได้เสียนี่ เขาอาจจะไม่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทั้งหมดนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมัวกังวลแล้วทุกข์ใจกับข้อเสีย จนลืมเห็นคุณค่าของข้อดีอีกหรือไม่ ถ้าเขาเจ้าชู้รับได้หรือไม่ หรือถ้าภรรยาเป็นคนขี้บ่นรับได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ได้เลยหรือ นี่แหละอย่างที่เราบอกว่าอย่าเห็นแต่สิ่งที่เสียเพียงอย่างเดียว แล้วทำลายร้อยความดีทั้งหมด ถึงแม้เขาจะขี้บ่นแต่เขาดูแลบ้านดีไหม แม้เขาขี้บ่นแต่ซื่อสัตย์ไหม แม้จะขี้บ่นแต่ถึงอย่างไรก็รักเราใช่ไหม แล้วทำไมจึงให้เรื่องขี้บ่นเพียงอย่างเดียว ทำให้เราเกลียดเขาไปทั้งหมด ทั้งๆ ที่อยู่กันมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว แถมยังทำให้ครอบครัวแตกแยก ไม่คุ้มเลยนะ แล้วถ้าคิดว่าขี้บ่นทนไม่ได้ แล้วเราไปหาใหม่ ท่านคิดว่าท่านจะไม่เจอคนขี้บ่นอีกหรือ ในเมื่อมนุษย์ชอบพูดว่า ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ฉะนั้นอย่าทำให้ข้อเสียแค่อย่างเดียวแล้วทำให้เราทุกข์ทั้งชีวิต อย่าแค่มองเห็นความผิดพลาดครั้งเดียว แล้วเราไม่มีความสุขใจเลยไปตลอดชีวิต ท่านเคยเป็นไหม เวลาที่เสื้อตัวโปรดหายแล้วเสียใจไหม (เสียใจ)  บ่นแล้วบ่นอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีความสุขไหม (ไม่มี)  แค่เสื้อตัวเดียวเองนะ หรือเพื่อนสนิททำให้เสียใจนิดหน่อย แต่เรากลับสูญเสียความสุขไปเลย ช่างน่าเสียดายนะ ฉะนั้นอย่ามัวกังวลผลจนลืมต้นทุนแห่งชีวิต อย่ามัวกังวลว่าผลต้องได้ดีจึงทำร้ายร่างกายและจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความไม่ดีก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปทั้งหมดเหมือนกับที่ผู้หญิงชอบเป็น อย่ากลัวแค่หน้าเหี่ยวแล้วชีวิตจะไม่เหลือดี แล้วเราจะไม่เหลือดีอะไรให้ภูมิใจเลยหรือ เราก็เลยต้องไปทำทุกอย่างเพื่อจะให้หน้าเราดีแค่นั้นเองหรือ แต่สิ่งอื่นเราไม่เคยดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากปฏิบัติไปให้ถึงความดีหากรักษาศีลไม่ได้ก็จงมีธรรม รักษาธรรมไม่ได้ก็จงมีศีล รักษาศีลรักษาธรรมไม่ได้ก็จงมีความเป็นคนอันปกติ รักดีก็ต้องปฏิบัติดี ไม่ชอบคนปากว่าตาขยิบ เราก็อย่าเป็นคนปากว่าตาขยิบ ชอบคนคุยรู้เรื่องเราก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง ชอบคนเคารพให้เกียรติเราก็ต้องให้เกียรติคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก) 
“สุขสงบ” กับ “สงบสุข” สองคำนี้อะไรดีกว่ากัน เมื่อสักครู่เราพูดถึงเรื่องการทำดีแล้วไปให้ถึงดีแล้วใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราจะพูดถึงเรื่องความสุข ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า สุขแล้วสงบ หรือ สงบแล้วค่อยสุข (สงบแล้วสุข)  สงบก่อนแล้วค่อยสุข ใช่ไหม (ใช่)  หรือสุขก่อนแล้วค่อยสงบ (ทั้งสองอย่าง)  ถ้าอยากหาความสุข แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจสองคำนี้ ท่านจะไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริงได้ ยิ่งถ้ามองไม่เห็นความแตกต่าง ยิ่งไม่มีวันมีความสุขที่แท้จริงได้ เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ขอสุขก่อนแล้วค่อยสงบ แล้วทุกวันนี้สุขแล้วได้สงบไหม ยิ่งหาความสุขก็ยิ่งไม่สงบ ยิ่งพยายามหาความสุขก็กลับไม่เคยสงบ พุทธะจึงสอนไว้ว่าจงสงบสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะสงบได้อย่างไร ในเมื่อพื้นฐานความเป็นคนของเรายังดีไม่เป็นปกติเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารักษาความเป็นคนอันเป็นปกติให้ดีแล้ว สงบแล้วจะสุขยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนี้เราพยายามสุขเพื่อจะให้ (สงบ)  แล้วเจอไหม (เจอ)  ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า ถ้าอยากพบสุขจงสงบให้เป็นก่อนแล้วจึงสุข แล้วจะสงบได้อย่างไรในเมื่อยังไม่ดีเลย แถมชอบยึดดี เรียกร้องดี ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ได้ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากสงบและสุขจงถามตัวเองก่อนว่า ถ้าดีได้แท้จริง สงบก็สุขได้ แต่ถ้ายังดีไม่ถ่องแท้ก็ยากสงบและพบสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สิ่งที่มนุษย์มักหาความสุขกันมีสองอย่างคือสุขที่เกิดจากภายนอก กับสุขที่เกิดจากภายใน ภายนอกก็คือพอมีอะไรดีเราก็มีความสุข พออะไรไม่ดีเราก็มีความทุกข์ ถ้าอะไรที่เรายึดติดนั้นมันขึ้นๆ ลงๆ ใจเราก็ต้อง (ขึ้นๆ ลงๆ)  แล้วทำไมเราไม่หาความสุขที่เกิดจากภายใน ทำไมเราจึงปล่อยใจไปสุขทุกข์กับภายนอก ใช่ไหม
โดยส่วนใหญ่ทุกข์ก็เกิดที่ใจ สุขก็เกิดที่ใจ หาใช่ภายนอก แต่มนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น เขาดีเราจึงสุข เขาไม่ดีเราก็ (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนทำให้เราสุขหรือเปล่า (ไม่)  จริงๆ แล้วสุขอยู่ที่ไหน (ใจ)  ดีก็อยู่ที่ (ใจ)  ร้ายก็อยู่ที่ (ใจ)  ถ้าเรารู้จักควบคุมใจได้ วางใจเป็น กระทบภายนอกก็ไม่กระเทือนภายใน จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นฟังใหม่นะ ดีก็อยู่ที่ (ใจ)  ร้ายก็อยู่ที่ (ใจ)  ฉะนั้นถ้าเราวางใจเป็น กระทบก็เพียงภายนอก ใจข้างในก็จะไม่กระเทือน จริงไหม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์ มองเห็นทุกข์กับสุข ดีกับร้ายเท่ากัน มนุษย์จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บาปก็จะไม่เกิดเพราะว่ามองเห็นสองสิ่งนี้เท่ากัน ทำได้ไหม (ได้)  ดังนั้นถึงเขาร้ายเราก็ไม่ (กระเทือนใจ)  กระทบแต่ไม่กระเทือนใจเพราะมันมีค่าเท่ากัน เท่ากันตรงไหนล่ะ เขาร้ายตลอดไหม แล้วคนที่ดีกับเราควรดีใจไหม เขาดีตลอดหรือ (ไม่)  แล้วควรยิ้มดีใจไหม วันนี้เขาชมดีใจไหม แล้วแน่ใจหรือเขาจะชมตลอด ฉะนั้นพุทธะจึงสอนว่า ถ้าอยากพ้นทุกข์ พ้นจากความผิดบาปและความชั่ว จงมองความทุกข์และความสุขเท่ากัน จงมองความดีและความร้ายไม่ต่างกัน และหมดเยื่อใยจากความแตกต่างได้เสีย ทุกข์สุข เมื่อนั้นเรียกว่าผู้พ้นทุกข์ วางใจเป็นกระทบก็ไม่กระเทือน วางใจไม่เป็นยังไม่กระทบก็กระเทือน
ถ้าเราวางใจไม่ยึดติดในชอบ ไม่รังเกียจในชัง เห็นเท่ากันบาปก็ไม่เกิด ทุกข์ก็ไม่มี ถ้าเราหมดเยื่อใยในชอบในชัง เราก็คงพ้นทุกข์ฟังดูเหมือนง่ายๆ แต่ทำยาก ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าทำได้ กระทบเท่าไหร่ก็ไม่กระเทือนเพราะวางใจเป็น จำไว้นะเรื่องภายนอกไม่ได้น่ากลัว เรื่องภายนอกไม่ได้เลวร้าย แต่เพราะใจเราไม่ยอมเรื่องเล็กๆ เลยเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราไม่ยอมแค่นั้นเอง ตรงกันข้ามเรื่องใหญ่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องเล็กได้ถ้าเรายอม จำไว้นะ วางใจเป็น กระทบก็ไม่กระเทือน แต่ถ้าวางใจไม่เป็น กระทบเมื่อไหร่ก็เจ็บปวดและทุกข์ทนเมื่อนั้น แค่กลับไปที่คำว่า “ยอม” จำคำต้นเราได้ไหม ยอมเสียเปรียบแค่นั้นเอง ทุกข์ก็จะหยุดตั้งแต่ต้น แต่เพราะไม่ยอมเราจึงต้องมารอแก้ตรงนี้ ทุกข์ไปแล้วแก้หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นถ้ายอมแต่แรกจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าไม่ชังตั้งแต่แรกจะทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าไม่ชอบตั้งแต่แรกจะมาเศร้าเสียใจที่รักมากเกินไปไหม ฉะนั้นวางใจให้เท่าๆ กัน กระทบเมื่อไหร่ก็ไม่กระเทือน กระแทกเมื่อไหร่ก็ไม่กระเทือน ได้หรือไม่ถ้าเมื่อไรมนุษย์หมดเยื่อใยในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มนุษย์ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ยังมีเยื่อใยยังรัก ยังชอบ ยังทุกข์ ยังสุข ถึงจะวางใจให้พ้นทุกข์อย่างไรก็หนีไม่พ้น กระทบเมื่อไหร่ก็กระเทือนเมื่อนั้น แต่ถ้าวางใจให้เท่าๆ กันก็ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  
ใครที่ร้ายที่สุดในโลก (ตัวเรา)  ใครที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดในโลก (ใจที่ไม่รู้จักยอม)  แค่คำเดียวเองนะ ยอมได้ทุกข์จบเมื่อนั้น ยอมไม่ได้ทุกข์ไม่จบ โง่ได้ทุกข์จบเมื่อนั้น โง่ไม่ได้ทุกข์ไม่จบ เกียจคร้านเมื่อไหร่ ทุกข์ก็ไม่จบ แต่คนขยันทุกข์จบได้ เพราะชีวิตไม่ยอมแพ้ จนก็ไม่กลัว ลำบากก็ไม่กลัว เพราะขยัน แต่ถ้าเกียจคร้านก็ตาย ลำบากก็แย่ ฉะนั้นกลับไปตั้งแต่ต้น “อย่ากลัวเสียเปรียบ ไม่กลัวพ่ายแพ้ อย่าขี้เกียจ อย่ากลัวเหนื่อย” วิธีพ้นทุกข์ของเรายากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าวางใจเป็น เรื่องใหญ่แค่ไหนก็กลายเป็นเรื่องเล็กได้ แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ยึดติดในชอบชัง ดีร้าย เพียงชั่วครู่ก็ทุกข์ได้ในทุกๆ ขณะ แม้ไม่มีเรื่องราวอะไรก็ตามจริงไหม (จริง)  
วันนี้เราไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ขอเพียงยอมได้ ไม่ขี้เกียจ แพ้ได้ ไม่กลัวเสียเปรียบ ลืมแล้วหรือ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความสงบมีแล้วอยู่ภายใน แต่จิตใจไม่ว่างพอได้ตระหนัก
ความพ้นทุกข์มีอยู่แล้วทุกขณะ แต่มัวรักโลภโกรธหลงจนหลงลืม

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังคิดอะไรอยู่แล้ววางไม่ลง

สุขกับความหลงตน สุขกับความต้องการ สุขกับมายาท่วมเต็มจิตใจ ใจไม่ว่างพอเพื่อตระหนัก อย่างไรยับยั้ง ใจที่ไม่เคยได้หยุด สุขใจยังสร้างเอา
* สุขอยู่ในหัวใจ ผ่อนคลายในหัวตน สุขคือทุกข์ทุกข์ก็คือสุขนั้น
** เพียงคิดได้เองไม่มียาก ได้สุขเป็นของขวัญ ชีวิตที่มีที่อยู่ ก็แค่ลมหายใจ
*** รู้รู้ทั้งรู้มิหยุดใจ ยังคงสุขใจช่างมัน ตัวเองที่ไม่เคยรู้จัก ห้ามแล้วห้ามอีกยังไม่ฟัง รู้รู้ทั้งรู้มิหยุดใจ สุขมาสุขไปใจรกแทน ทำเพื่อตนให้สุข ยิ่งทุกข์ใจตนเอง    (ซ้ำ * ,** ,** ,***)
ชื่อเพลง : สุขพบได้ด้วยใจไม่ใช่สร้างเอา
ทำนองเพลง : ด้วยมือของเธอ

หมายเหตุ: “แต่มัวรักโลภโกรธหลงจนหลงลืม” สามคำที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแต่งกลอนต่อให้สมบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นโอกาสดีที่ได้มาเจอศิษย์ แต่ในโอกาสนั้นก็มีความจำกัดอยู่ ทุกเรื่องทุกราวที่เกิดขึ้นล้วนพร้อมจะเกิดแล้วก็ดับไปในเวลาเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะคุยเรื่องอะไรดี ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ทุกคนมีความสงบสุขและความพ้นทุกข์อยู่แล้ว ศิษย์ว่าจริงไหม (จริง)  อย่าเชื่อเพราะคนอื่นเขาพูดหรืออย่าเชื่อเพราะอาจารย์พูด แต่จะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติแล้วเห็นจริง จึงค่อยตอบว่าเชื่อ ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะชอบฟังๆ กันมา ได้ยินมา เชื่อตามๆ กันมา ฉะนั้นก็เลยทำให้เราไม่เคยรู้จริงสักที แค่ฟังๆ มา เราจะรู้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งที่ฟังนั้นไปปฏิบัติจนเห็นจริง นั่นแหละจึงควรเชื่อ แต่ถ้าเกิดยังไม่เคยเอาไปปฏิบัติแล้วบอกว่าจริง อย่างนั้นไม่ควรจะรีบเชื่อ อย่างนั้นเรียกว่างมงาย ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นปฏิบัติ ถึงเวลาก็เชื่อเลย ฟังแล้วดีนะ เชื่อนะ แต่พอถึงเวลาไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรามีความสงบไหม เราเคยมองหาไหมว่าตัวเรามีความสงบไหม หรือชีวิตมันวุ่นๆ ไวๆ แล้วก็วุ่นๆ แล้วก็ไวๆ รวมกันเป็นวุ่นวายๆ จริงๆแล้ว ความสงบมีอยู่แล้วนะ แต่อยู่แค่เพียงว่าเราหันกลับมามองตัวเองบ้างหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) 
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ดีใจจริงๆ หรือ ขอดูหน้าคนดีใจหน่อยนะ ไม่เป็นไรนะเป็นธรรมดา มีคนยินดี มีคนไม่ยินดี เป็นเรื่องปกติธรรมดา มีคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา มีคนเข้าใจไปกับอาจารย์กับมีคนไม่เข้าใจอาจารย์ก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาอยู่กับศิษย์ทำไมไม่ธรรมดานะ อยู่กับคนอื่นก็ปลอบใจเขาได้ แต่พอถึงเวลาเป็นเรื่องของเราเป็นอย่างไร (ไม่ธรรมดา)
โดยส่วนใหญ่เรามีชีวิตเพื่อ (เพื่อรับกรรม, บำเพ็ญ, ปฏิบัติความดี, ทำดีและทำชั่ว)  ทำดีและทำชั่ว เขาตอบได้ดีนะ ใช่ไหม (ใช่)  เรามีชีวิตอยู่เพื่อ (ตอบแทนคุณแผ่นดิน)  จริงหรือ ทุกวันนี้ก็แทบจะขโมยต้นไม้ ขโมยน้ำ ขโมยอากาศ เราได้ตอบแทนคุณแผ่นดินอะไรบ้าง มีแต่ทิ้งของไม่ดี ปล่อยอากาศพิษ อย่างนี้เรียกว่าตอบแทนคุณแผ่นดินหรือเปล่า (ไม่)  บอกชีวิตมีเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ถึงเวลาปฏิบัติธรรมไหม (ไม่ปฏิบัติ)  เริ่มต้นมาก็จะบ่นคนอื่น ด่าคนอื่น อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม ชีวิตเกิดมาเพื่อใช้กรรม ใช่ไหม (ใช่)  รับกรรมอดีตหรือกำลังสร้างกรรมใหม่เพื่อจะได้ก่อเกิดเป็นอนาคต
ชีวิตเกิดมาเพื่อ (หาความสุข)  อาจารย์ว่าหัวหน้าตอบถูกที่สุดเลย โดยส่วนใหญ่มนุษย์มีชีวิตเพื่อหาความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นที่ตอบมาให้อาจารย์ฟังนั้นไม่จริงเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อีกคนหนึ่งก็ตอบถูก เกิดมาเพื่อทำดีและทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์เกิดมาเพื่อหาความสุข อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย แล้วที่หาอยู่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วที่มีอยู่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วที่ติดอยู่ดีหรือร้าย (ร้าย)  แล้วสิ่งที่ชอบสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ไหนบอกว่าเกิดมาเพื่อหาสุข ทำไมถึงที่สุดกลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นพออยู่ๆ ไปเราจึงเข้าใจว่าชีวิตที่แท้ไม่มีสุขไหนจริง ไม่มีทุกข์ไหนแท้ถ้าเราเข้าใจว่าเราเกิดมาเพื่อหาสุข อย่างนั้นวิธีที่จะทำให้เรามีสุขได้ คือทำอย่างไร (ทำใจ)  ตอบได้ดีนะศิษย์ ในเมื่อทำแล้วไม่ได้สุข ก็ต้องทำใจ ฉะนั้นเราก็เลยหาทางทำอย่างไรให้เรามีสุขตลอด แล้วมันไม่พลิกกลับเป็นทุกข์ ด้วยการทำอย่างไร (หาเรื่องทำให้สงบ)  แค่พูดว่าหาเรื่องก็ไม่สงบแล้วนะ (หาวิธีปฏิบัติ, ทำใจให้มีความสุข)  ก่อนอื่นศิษย์ ต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายก่อน ชีวิตทุกๆ คนอยากพบความสุข จำไว้เลยนะศิษย์ ถ้าศิษย์คิดว่าชีวิตนี้ศิษย์อยากมีสุข ฉะนั้นคิดแล้วทุกข์ก็ต้องเลิกคิด ติดแล้วทุกข์เลิกติด ด่าแล้วเจ็บเลิกด่า บ่นแล้วทุกข์เลิกบ่น ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ยังบอกเลยทำใจๆ ก็ในเมื่อหลักของชีวิตเกิดมาตั้งแต่ต้น สิ่งที่ศิษย์ทุกคนอยากได้คือความสุข แล้วถ้าคิดแล้วทุกข์ คิดทำไม ด่าแล้วทุกข์ ด่าทำไม โกรธแล้วทุกข์ โกรธทำไม ถ้าเราเริ่มต้นคิดอย่างนี้แล้วเข้าใจชีวิต ตั้งแต่นี้เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะเกลียด เราจะอยากอะไรจนเกินไปไหม ถ้ามันอยากแล้วเหนื่อยแทบตาย อยากทำไม อยากแล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วอยากไหม (ไม่)  จริงหรือ ก็เห็นยังอยากอยู่ แค่อยากก็เหนื่อยแล้วศิษย์ อย่างนั้นอยากให้น้อยๆ หน่อยไม่ดีหรือ หรือบางทีไม่อยากบ้าง จะตายไหม (ไม่ตาย)  แล้วทำไหม (ไม่ทำ)  ก็เลยเอาแต่ฝืน ทำใจๆ อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)
ฉะนั้นวิธีแก้ที่ศิษย์พยายามที่จะหนีให้พ้นทุกข์ คือทำอย่างไรรู้ไหม (บำเพ็ญเพียร)  ตอบ ได้ดีนะ (เอาธรรมะมาเข้าทางใจ)  ธรรมะเป็นรูปร่างที่เข้าทางใจได้หรือศิษย์ (เดินทางสายกลาง, ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ, ละวางปล่อยวาง, หาเหตุแห่งทุกข์และดับทุกข์)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ถึงเวลาที่เราทุกข์จริงๆ เราเคยหาเหตุแห่งทุกข์กันหรือไม่ (ไม่เคย)  แล้วเราเคยดับที่ทุกข์กันหรือไม่ (ไม่เคย)  แต่พอทุกข์ศิษย์ไปแก้กันที่ไหนรู้ไหม เวลาที่ศิษย์บอกว่าชีวิตนี้อยากมีสุข และไม่อยากมีทุกข์ สิ่งแรกที่ศิษย์จะทำเลยก็คือ ใส่บาตร ทำบุญ ทำทาน เผื่อว่าอานิสงส์ของบุญทานนั้น จะดลให้เรามีสุขพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่
โดยส่วนใหญ่ชีวิตทุกคนต้องการความสุข แต่บางครั้งถ้าสิ่งใดคิดแล้วทุกข์ หยุดแล้วถามตัวเองก่อนดีไหมว่าควรจะคิดไหมถ้าทำแล้วทุกข์ ทำไมไม่หยุดก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองตะบี้ตะบันทำต่อไป แล้วจมอยู่กับความทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตอยากหาความสุขไม่ใช่หรือ วิธีแก้ของศิษย์ส่วนใหญ่ที่ทำกันเป็นพื้นฐานคือ ทำบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม เพื่อว่าผลของบุญในการใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมนั้นจะมีอานิสงส์ที่ทำให้ศิษย์นั้นมีสุข พ้นทุกข์ ทำบุญ ๑๐๐ วัด แต่ถ้าใจไม่ปล่อยวางความคิด ไปทำบุญ ๑๐๐ วัดทุกข์ก็ยังอยู่ในหัว ถึงศิษย์ไปฟังเทศน์ ๑๐๐ วัด ไหว้พระ ๙ วัด ถ้าศิษย์ยังหาทุกข์ไม่เจอ แม้ฟังจนจบศิษย์ก็ยังแบกทุกข์ไปวัด แล้วแบกทุกข์กลับมาบ้านเหมือนเดิม ถูกหรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นวิถีทางปฏิบัติของทางศาสนาพุทธจึงสอนไว้ว่า การปฏิบัติเพื่อทำให้เราพ้นทุกข์นั้นไม่ยาก อย่างแรกคือ ทาน อย่างที่สองคือ ศีล อย่างที่สามคือ ภาวนา อย่าง ที่สี่คืออะไรรู้ไหม โดยส่วนใหญ่วิธีปฏิบัติเมื่อเวลาเราอยากจะหาเหตุแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ให้ได้ พระพุทธะก็สอนไว้ว่าให้รู้จักมี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แปลว่าทานยังเป็นส่วนเล็กๆ ถึงที่สุดจึงเข้าถึงปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถวายทานอะไรได้บุญที่สุด (ถวายธรรม, อภัยทาน, ทาน, ให้ปัญญา, ให้ธรรมะ, ให้บุตร, สร้างสถานธรรม, กตัญญูพ่อแม่)
ทางสายพุทธจะเน้นเรื่องเกี่ยวกับทาน ศีล สมาธิ และปัญญา แต่ทางสายปราชญ์จะเน้นเรื่องการมีคุณธรรมประจำใจ หรือการมีคุณธรรมในการดำรงชีวิต อย่างเช่น ถือกตัญญูเป็นหลัก ใครมีพระคุณต้องรู้จักตอบแทนคุณ กับพี่น้องรู้จักสามัคคีปรองดอง กับเพื่อนรู้จักซื่อตรง กับภาระหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ นี่คือการใช้คุณธรรมในการดำเนินชีวิต แต่ศิษย์เป็นคนนับถือพุทธ ธรรมะทางพุทธสอนให้เรารู้จักทำทาน แต่ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทานที่ประเสริฐที่สุด ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าคืออะไร พระพุทธะบอกว่าให้ทานกับสัตว์ไม่สู้ให้ทานกับคน ให้ทานกับคนไม่สู้ให้ทานกับพระภิกษุ แต่อาจารย์ว่าไม่ว่าพระ ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระภิกษุ ศิษย์ให้ได้หมดทานเล็กๆ ก็ค่อยๆ สะสม ไม่ใช่รอแต่ให้ทานใหญ่ๆ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างน้อยเล็กๆ ก็ทำให้ใหญ่ได้ ไม่ใช่เอาแต่ใหญ่ๆ ฉะนั้นศิษย์บางคนจึงบอกว่าถวายทานทั้งทีต้องสังฆทาน เพราะสังฆทานได้บุญมาก ใช่ไหม (ใช่)  กับสัตว์ศิษย์ก็เตะ กับคนศิษย์ก็ด่า แต่ทำบุญอยู่แค่สังฆทาน กับสัตว์ก็ต้องเมตตา กับคนก็ต้องเมตตา ไม่ใช่ทำบุญแค่สังฆทานใหญ่ๆ บุญเล็กๆ ไม่ทำ ไม่อย่างนั้นกลายเป็นเราสร้างบุญที่หนึ่ง สร้างบาปอีกที่หนึ่ง ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ถวายสังฆทานโดยที่ไม่เจาะจงหนึ่งครั้ง ยังได้บุญมากกว่าถวายภัตตาหารโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขร้อยครั้งพันครั้ง คือทำโดยไม่เจาะจงได้บุญเยอะกว่า ทำสังฆทานร้อยครั้งพันครั้ง ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง ให้ธรรมะเป็นทานให้คนเข้าใจธรรมะร้อยครั้งพันครั้งก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้อภัยทาน ใช่ไหม (ใช่)  สังฆทานร้อยครั้งไม่ประเสริฐเท่ากับสร้างวิหารหนึ่งครั้ง สร้างโบสถ์ให้คนปฏิบัติธรรม สร้างวิหารร้อยครั้งร้อยโบสถ์ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง ให้ธรรมะเป็นทานร้อยครั้งก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้อภัยทานหนึ่งครั้ง แปลว่าสร้างโบสถ์เป็นร้อยๆ ครั้งต้องใช้เงินหลายล้าน แล้วทำไมเราไม่ทำบุญที่เราไม่ต้องใช้เงินเลย นั่นก็คือการให้อภัย แล้วไม่ก่อกรรม ไม่ทำให้เวรมันยืดเยื้อ ทำให้เราจบเวรจบกรรมเป็นบุญยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าให้ธรรมะเป็นทาน บุญยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหาร
แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ ชอบไปสร้างโบสถ์วิหารแต่ก็ยังแช่งชักหักกระดูกคน กลายเป็นมือหนึ่งสร้างบุญ อีกมือหนึ่งสร้างบาป บุญกับบาปชดเชยชำระกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญ บาปก็อยู่ส่วนบาป แล้วบุญให้ผลคือความสุข และบาปให้ผลเป็นความทุกข์และมีวิบากกรรม แต่บุญให้ผลคือความสุขและวิบากกรรมเหมือนกัน แต่เป็นกรรมในด้านสุข ความชั่วให้ผลคือทุกข์และวิบากกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญเยอะๆ ชาติหน้าก็อาจจะได้กลับมาเกิดเป็นคนที่มีเงินมากมาย หรือไม่ก็ได้เสวยสุขบนสวรรค์ เมื่อหมดบุญก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ อย่างนี้หนีพ้นอย่างแท้จริงหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่าทานยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้
แล้วการรักษาศีลสามารถทำให้พ้นทุกข์ได้หรือไม่ มีทั้งคนที่บอกว่าได้และไม่ได้นะ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้ล่ะ เพราะถ้ารักษาศีลแล้ว แต่ยังยึดติดในการรักษาศีล ก็ยังต้องไปรับบุญ รับผลของศีลนั้น เคยได้ยินหรือไม่ว่า ถ้าเราเมตตาสัตว์มากๆ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ทำให้อายุยืน แปลว่ายังต้องไปรับผล ไม่ลักขโมยของผู้อื่น ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ทำให้เป็นคนมีทรัพย์และไม่สูญเสียทรัพย์ ไม่โดนฉ้อฉล ประพฤติซื่อสัตย์สุจริตไม่ผิดลูกผิดเมียใคร ทำให้เจอรักแท้ ลูกก็อยู่ในโอวาท ถ้าใครอยากได้แบบนี้ก็จงรักษาศีลข้อนี้ เพราะจะทำให้เจอรักแท้ และลูกก็ว่านอนสอนง่าย ถ้าศิษย์บอกว่าสามีก็ไม่ได้เป็นรักแท้ ลูกก็ไม่ว่านอนสอนง่าย แปลว่าศิษย์เคยผิดข้อธรรมข้อนี้ แล้วศิษย์เคยไหม พูดอะไรก็ไพเราะ พูดอะไรคนก็ฟัง เพราะศิษย์เป็นคนรักษาความสัตย์ จึงทำให้พูดอะไรคนก็เชื่อฟัง แต่ถ้าเวลาศิษย์พูดไม่มีใครบอกว่าไพเราะ น่ารำคาญ ไม่เชื่อฟัง แปลว่าศิษย์โกหกมดเท็จ
ฉะนั้นศีลจึงยังไม่นำพาให้พ้นทุกข์ เพราะศีลยังเป็นเหตุ เป็นผลที่ยังต้องรับกันอยู่ จำไว้นะ แล้วถ้าอยากมีปัญญาดี ก็อย่าเสพของมึนเมา เวลาเรียนหรือทำอะไร ทำไมเราความจำไม่ดี เพราะเราชอบเสพของมึนเมาหรือเปล่า อย่างนั้นหมายความว่าทั้งทานและศีลทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นต้องทำอย่างไร (สงบกาย สงบใจ สงบวาจา)  ถ้ามนุษย์รู้จักหมั่นทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เราก็จะเกิดความปิติสุขที่ได้ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ก็จะเกิดความสงบได้ แต่ว่าเวลาโดนทุกข์กระทบ เรายังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ เพราะอะไรรู้ไหม (เพราะใจยังไม่สงบ)  ใช่ไหม เมื่อสักครู่ศิษย์ตอบว่า (สงบกาย สงบใจ สงบวาจา)  แต่เขาบอกว่าใจยังไม่สงบ เราก็เลยยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องสงบๆ (ต้องทำสมาธิให้เกิดปัญญา)  ตอบได้ดีนะเป็นคนมีปัญญา
ก้าวต่อไปที่เราต้องเรียนรู้ก็คือทำอย่างไรให้เราสงบ นั่นก็คือสมาธิ แต่สมาธิโดยความหมายแท้จริงหมายความว่าความมั่นคง ไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ไม่ใช่หลับตาแล้วบอกว่านี่คือสมาธิ แต่สมาธิที่แท้จริงคือเมื่อโดนกระทบ จิตสงบไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบไม่กระแทกกระทั้นย้อนกลับไป แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราสามารถสงบได้ นั่นคือต้องมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์จึงอยากมาคุยกับศิษย์เรื่องทุกข์และทางดับทุกข์ โดยใช้สติและปัญญาและรู้แจ้งด้วยธรรม ถ้าอย่างนั้นเราต้องเข้าใจก่อนว่าเราทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะเรายังปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่ได้)  เหตุแห่งทุกข์มีเยอะไหม (เยอะ)  เยอะแล้วเราแก้ได้สักข้อไหม (ไม่ได้)  ได้แต่ทำใจๆ อย่างเดียว ทำใจอย่างเดียวรักษาได้ทุกโรคไหม (ไม่ได้)
อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ ทุกข์นี้ถ้าทางหลักธรรมมีสาเหตุมาจากความไม่รู้ (อวิชชา)  ไม่รู้แล้วจึงอยาก (ตัณหา)  อยากแล้วจึงยึด(อุปาทาน)  เพราะไม่รู้จึงอยาก เมื่ออยากแล้ว จึงอยากยึด แล้วศิษย์เคยรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นดี แต่เพราะความอยากจึงทำให้เราสูญเสียความยุติธรรม สูญเสียปัญญาและสูญเสียความกล้าหาญในการเผชิญความจริง ฉะนั้นพระพุทธะก็เลยบอกว่า เพราะว่าเราไม่รู้ แล้วไม่รู้อะไรหนอที่ทำให้ทุกข์ ไม่รู้จักใจตัวเองหรือไม่รู้จักเท่าทันโลภ โกรธ หลง หรือไม่รู้จักธรรมเป็นความจริงแท้ ใช่ไหม ที่ศิษย์พูดมาทั้งหมดมีหลายอย่าง บางคนทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง เรียกว่ากิเลส ถ้าเชื่อกิเลสก็หนีไม่พ้นการสร้างบาปและวิบากกรรม ถ้าเราเลิกโลภ โกรธ หลง เราสามารถควบคุมได้ เราก็หยุดบาป หยุดวิบากกรรมได้ ฉะนั้นตอนนี้โลภ โกรธ หลง หยุดได้ไหม (ไม่ได้)  มีแล้วก็มีอีก แล้วทำอย่างไรดี
หนึ่ง คือ ทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง
สอง คือ ทุกข์เพราะเราไม่รู้ความเป็นจริงของโลกใบนี้
สมมติว่าตอนอาจารย์มาถึง มองแต่ตัวเอง คิดแต่เรื่องตัวเอง ไม่สนใจศิษย์เลย แต่สักพักหนึ่งเมื่ออาจารย์สงบ อาจารย์ก็หยั่งรู้ได้ถึงจิตของศิษย์ว่ามีศิษย์บางคนกำลังนินทาอาจารย์อยู่ พระพุทธะจะรู้จักจิตคนได้ก็ต่อเมื่อท่านสงบแล้วหยั่ง เมื่อหยั่งรู้ว่าศิษย์คนนี้กำลังนินทา ศิษย์คนนั้นกำลังเบื่อว่าเมื่อไหร่จะจบ เมื่ออาจารย์หยั่งรู้แล้ว ก็คิดท้อแท้อุตส่าห์มาเพื่อให้ศิษย์รู้จักพ้นทุกข์ แต่ศิษย์กลับมาทุกข์เพราะอาจารย์ ทำไมเป็นแบบนี้ แต่ถ้าอาจารย์พลิกใหม่ คิดใหม่ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคน มีชอบก็มีชัง มีดีก็มีร้าย มีชื่นชมก็มีรังเกียจเดียดฉันท์ แล้วอาจารย์จะเอาอะไรกับความไม่แน่นอนของคนและความเป็นเช่นนั้นเองของศิษย์ นั่นคือตัวอย่าง เช่นศิษย์ถูกเขาว่าแล้วศิษย์ก็รู้ว่าเขากำลังว่า ศิษย์จะคิดว่าเขาว่าเราทำไม ทำไมต้องว่าด้วย ผิดตรงไหน เราก็ดีนะ ทำไมทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จะใช้แบบนี้ก็ได้นะ เห็นทุกข์แล้วจงทุกข์ต่อไปนะศิษย์ เชิญเต็มที่กับทุกข์เลย กับอีกแบบหนึ่ง เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดา มีชอบก็มีชัง มีเกลียดก็มีรัก เป็นธรรมดาของโลก จะไปอะไรกับทุกเรื่องราว ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถามตัวเองว่าทำดีหรือยัง เบียดเบียนเขาไหม ก็ไม่ได้เบียดเบียน ว่าเขาไหมก็ไม่ได้ว่า แต่เขานินทาก็ช่างเขา ขนาดพระพุทธรูป คนยังติเลย แล้วเอาอะไรกับฉัน ทำไมเขาจะไม่ติ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเอาแบบไหน (แบบสอง)  นั่นคือรู้อะไรถึงพ้นทุกข์ เรารู้อะไรเราถึงปล่อยวางได้ (รู้ต้นเหตุแห่งทุกข์)  รู้สติใช่ไหม หนึ่งคือรู้เท่าทันความคิด เมื่อทุกข์มากระทบหน้า ทุกข์มันตบหน้า คนด่าเรา โดนตบหน้า เราจะตบตัวเองซ้ำอีกไหม เหมือนเขาด่าศิษย์ครั้งเดียว เขาว่าศิษย์ครั้งเดียว ว่าแล้วก็จบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เอามาคิดอีก ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นต่อไปนี้จะรู้อะไร (รู้ให้อภัย)  รู้ให้อภัยยังแก้แค่หลักของทาน รู้เมตตาก็ยังแก้แค่หลักของศีล แต่ถ้ารู้แล้วสงบ ไม่หวั่นไหว เรียกว่าหลักของสมาธิ แต่รู้แล้วเห็นแจ้ง แล้วหยุดได้ ไม่หวั่นไหว ไม่โต้ตอบไป ไม่ทุกข์ นั่นคือหลักของปัญญา รู้อะไร (รู้เท่าทันความคิด, รู้ตื่น)  รู้ความจริงอันเป็น
สัจธรรมของโลกใบนี้ หรือเรียกว่าโลกธรรม๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีทุกข์มีสุข มีชมมีด่า มีรักมีเกลียด เป็นธรรมดา ฉะนั้นโดนด่าก็ธรรมดา เวลาป่วยก็ธรรมดา ป่วยกายไม่ป่วยใจ เจ็บขา ไม่ใช่เจ็บทั้งตัว แต่ศิษย์แปลก เจ็บที่เท้า แต่สั่นไหวทั้งตัวเลย แค่เจ็บเท้าจะตายๆ ใช่ไหม (ใช่)  มันเป็นธรรมดาของโลก มันเป็นจริงของโลก ที่ต้องมีเปลี่ยนแปลง แล้วที่สุดก็หาตัวตนไม่ได้ แล้วเราทุกข์ไหม
ฉะนั้นเรามารู้ความจริงอีกคำหนึ่งคือ โลกใบนี้ล้วนไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ฉะนั้นเจอคนชมก็ธรรมดา โดนคนด่าก็ธรรมดา สามีไปมีแฟนใหม่ก็ (ธรรมดา)  ลูกดื้อก็ธรรมดา แต่เราจะทำอย่างไรให้ความธรรมดานั้นมันไม่ทำให้เราทุกข์ เมื่อรู้ว่ามันคือสิ่งธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องเจอ แต่เมื่อบางครั้งมันมาจุกอกเรา เราจะทำอย่างไร จำไว้นะศิษย์ ต้องไม่กลัวคำว่าทุกข์ ทุกคนมักจะหันหลังและเบือนหน้าหนีความทุกข์ ไม่อยากเจอมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องรักทุกข์มีทุกข์เป็นเพื่อน และอีกอย่างที่ศิษย์จะต้องจำไว้ในใจคือ ความทุกข์ไม่ได้แปลว่าซึม เศร้า หงอย ห่อเหี่ยว หมดแรง ตายแน่ ให้ศิษย์ล้างไปจากความคิด ล้างไปจากหัวเลยนะ ทุกข์ แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เมื่อเวลาทุกข์มาให้อยู่เฉยๆ อย่าไปเกลียดเพราะยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ถ้าความทุกข์มา ความพลัดพรากมา การโดนนินทามา การสูญเสียมา ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน ไม่ต้องหนี ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องให้ค่า ปล่อยมันวางเฉยไว้อย่างนั้น พอถึงเวลามันจะหายไปเอง มันเริ่มที่ไหน ก็ให้ละ ให้วาง ให้จบ ให้หยุดที่นั่น โดยที่ไม่ต้องให้ค่า ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องคิดซ้ำซาก คิดวนเวียน ปล่อยให้ทุกข์อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ส่วนเราเดี๋ยวทุกข์ก็จะจบไปเอง แต่พอทุกข์มา ศิษย์มักจะซึม เศร้า หงอย ตายแน่ อาจารย์จะบอกว่าไม่ใช่นะให้คิดใหม่ว่า เมื่อทุกข์อยากมาก็ให้มันมา แต่ทุกข์ก็อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ของเรา ให้ไปใส่ใจเรื่องอื่นแทน แล้วทุกข์มันก็จะหายไปเอง แต่ศิษย์โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ ทุกข์มาก็ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์
ฉะนั้นวิธีที่อาจารย์จะแก้คือศิษย์จะใช้ใจมนุษย์ไปสัมผัสทุกข์ หรือจะใช้จิตแห่งความพ้นทุกข์ไปสัมผัสทุกข์ ถ้าใช้ใจในการสัมผัสทุกข์ก็หนีไม่พ้นความรู้สึก ความยึดติด แต่ถ้าใช้จิตเดิมแท้ที่ศิษย์ได้รับหนึ่งชี้ จิตเดิมแท้นี้มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่ต้องการที่อยู่และไม่ต้องการคนครอบครอง เอาจิตตัวนั้นทำงานเมื่อเจอทุกข์ จิตตัวนั้นมีหน้าที่แค่เพียงตื่นรู้ แค่รู้ รู้ตัวเอง ทุกข์มาแล้วฉันจะเอาจิต ฉันจะไม่เอาใจ ฉันจะใช้จิตที่ตื่นรู้มาอยู่ร่วมกับทุกข์ เพราะเมื่อเราใช้ใจ เราหนีไม่พ้นฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนั้น ฉันคิดอย่างนี้ ใช่ไหม นี่คือใจมนุษย์ แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าธาตุรู้หรือจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์อยู่ เอาจิตนั้นแหละ จิตที่ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการคนครอบครอง ทำหน้าที่แค่เพียงรู้ เมื่อเวลาทุกข์มากระทบ เลือกตามจิต ไม่ตามใจ เพราะจิตเป็นสภาวะที่พ้นทุกข์อยู่แล้ว และเป็นสภาวะว่างแล้วนะ และมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคนนะ ฉะนั้นเราจะเลือกใช้ใจหรือใช้จิต (ใช้จิต)  แล้วเราจะเลือกเข้าใจทุกข์แล้วพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นลบไปจากหัวใจเลยนะ ทุกข์ไม่ได้แปลว่าซึม เศร้า หงอย แต่ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยาก
อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์คือทุกข์เพราะการยึดติดในตัวตน ฉะนั้นตัวตนนี้ถ้าอาจารย์ตีก็เจ็บทุกที่ ตีตรงไหนก็ (เจ็บ)  ลองตีตัวเอง เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บหรือ อย่างนั้นเริ่มใหม่ ตีแรงกว่านี้หน่อย ตีมือเจ็บไหม (เจ็บ)
ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เชื่อไหมว่า แม้คำพูดที่พูดไปแล้วคนไม่ฟัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แม้เสื้อผ้าที่เราทิ้งไปแล้ว หากมีคนนำมันมาเหยียบย่ำ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แม้จานข้าวที่เรากินแล้ว แล้วมีคนนำมากระแทกๆ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทุกข์หมดทุกอย่าง ฉะนั้นเหตุแห่งทุกข์อีกอย่างที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “สุขพบได้ด้วยใจไม่ใช่สร้างเอา” ทำนองเพลง ด้วยมือของเธอ)
ได้ผลไม้แล้วจะเอาไปทำอะไร (รับประทาน)  รู้จักให้ต่อจะได้เกิดบุญที่กว้างไกล ไม่ใช่เก็บบุญไว้ที่ตนเอง ฉะนั้นจะนำไปให้ใครดี
(รับประทาน)  ขออีกคนหนึ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้มาแล้วรู้จักให้ จะได้บังเกิดบุญที่ยิ่งใหญ่ จะนำไปให้ใครดี (ให้คนข้างๆ)  คนข้างๆ มัวแต่นั่งก้มทำอะไรไม่รู้ ให้เขาช่วยตัวเอง ให้ใครดี (ให้คนที่นั่งข้างๆ)  อย่ามัวแต่นึกถึงเพื่อนจนลืมนึกถึงพ่อแม่ ใช่ไหม (ใช่)  จะนำไปให้ใคร (รับประทาน
เอง)  นักเรียนชั้นนี้ไม่รู้จักสร้างบุญต่อเลยนะ (อยู่ที่บ้านคนเดียว)  ก็นำไปผูกบุญกับเพื่อนบ้านก็ได้ คนที่ทำงานก็ได้ คนที่ชักชวนเรามาก็ได้ (เกษียณแล้ว)  แล้วไม่มีเพื่อนบ้านเลยหรือชีวิตนี้ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งต้องรักเพื่อนบ้าน ยิ่งต้องเกื้อหนุนเพื่อนบ้าน เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่พึ่งได้คือเพื่อนบ้าน การรู้จักให้ต่อจะได้มีบุญ บุญจะได้กว้างไม่ได้จมอยู่ที่เราคนเดียว
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ตอบคำถามแล้วได้ผลไม้ จงรู้จักนำไปผูกบุญสัมพันธ์กับคนอื่นต่อ อย่าเก็บไว้ทานคนเดียว ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ร้อนไหม ศิษย์สบายดีนะ ทำดีโดยไม่ยึดติดนะ โลภ โกรธ หลงตัดได้บ้างหรือยัง (ตัด ได้บ้างแล้ว)  ตัดได้บ้างหรือยัง (ยัง)  ยังเลยหรือ อายุปูนนี้แล้วนะ โลภ โกรธ หลง ต้องเบาบางได้แล้ว ถ้าศิษย์อยากไปหนทางที่ดี หลับตาแล้วก็สบายใจ โลภ โกรธ หลง คือทางแห่งบาปและความทุกข์และการเวียนว่าย เมื่อศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญแล้ว โลภ โกรธ หลง ต้องละและเบาบางให้น้อยที่สุด หรือพูดง่ายๆ คือพยายามอย่าให้มี ด้วยการรู้จักเท่าทันตัวเอง ควบคุมชีวิตด้วยสติ ใช้จิตในการนำพาตน ไม่ใช่ใช้ใจ เพราะชอบรู้สึก รู้สึกอยากได้ รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนี้ ซึ่งหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าใช้จิตอันเดิมแท้ที่เรียกว่าธาตุแห่งความรู้ หรือจิตแห่งพุทธะจะไม่มีตัวมีตน ไม่มีรู้สึก และไม่มีคนต้องครอบครอง ในตัวเรามีสิ่งที่ประเสริฐที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ ที่ใช้แค่การตื่นรู้ด้วยสติ และเข้าใจสรรพสิ่งด้วยปัญญา ถ้าศิษย์เข้าใจในการดำเนินชีวิต ใช้จิตมากกว่าใช้ใจ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมันจะเกิดและจบได้ด้วยตัวเรา แต่ถ้าศิษย์เอาแต่ใช้ใจเอาแต่รู้สึก ก็หนีไม่พ้นโลภ โกรธ หลง ก่อเวรกรรม ทำโน่นทำนี่ เกิดตัวตนไม่จบสิ้น ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมากระทบ ให้จิตมองให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น มันเป็นกิเลสไม่ใช่ตัวตนเดิมแท้ ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ไม่ต้องให้ค่าปล่อยมันไว้ เดี๋ยวมันก็จบไปเอง ให้เหลือแต่จิตที่ว่าง จิตที่นิ่ง จิตที่สงบ เมื่อจิตไม่รวมกับอารมณ์ก็เรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อจิตไม่ยึดติดในอารมณ์ความคิดก็เรียกว่าวิมุตติ ใช่ไหม
อย่าฟังแล้วไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นศิษย์ไม่พ้นทุกข์นะ อย่าฟังแต่ถึงเวลาขาดสติทำไม่ได้ ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นวังวนแห่งความทุกข์ เราเกิดมาเพื่อจบ เกิดมาเพื่อดับ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเกิดตัวตนไม่จบสิ้น ทุกสิ่งกำลังเกิดและจบ เกิดและจบ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมันเลยไม่จบ เอาอดีตมาคิด เอาอนาคตมากังวล ปัจจุบันก็ทำไม่ได้ดี ใช่ไหมศิษย์ ปูนนี้แล้วนะศิษย์ไม่ใช่อายุน้อยๆ ฉะนั้นปลงได้ปลง วางได้วาง โลภ โกรธ หลง อย่าไปเอามาให้ครอบงำใจ ไม่อย่างนั้นศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ก่อเอง เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย ถ้าเราไม่สร้างปัจจัยให้เราทุกข์ เราจะไปรับกรรมอะไร จริงไหม
ฟังแล้วทำนะศิษย์ ทำให้ได้นะ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่ตายแล้วถึงจะพ้นทุกข์ แต่พ้นทุกข์ขณะนี้เดี๋ยวนี้เลย เราสามารถพ้นทุกข์ได้ทุกขณะ ไม่ต้องกังวล ทำตรงนี้ให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา ทำตัวเองให้มีสติรู้ตัวเอง เห็นจิตตัวเอง ไปที่ๆ พ้นทุกข์กับอาจารย์นะอย่าทิ้งอาจารย์ไปคนเดียวเลย ได้หรือไม่ (ได้)  พ้นทุกข์ตื่นรู้ด้วยตัวเองนะ ศิษย์เอยชีวิตมันชอบดื้อ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ นะ ไม่ได้วนเวียนอยู่กับทุกข์ ทุกข์สุดท้ายที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจ ตื่นรู้ แล้วพ้น
มีอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ยังมักจะติดกันแล้วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แห่งความมีตัวตน นั่นคือการยึดติดในสิ่งที่ตาเห็น หูฟัง ลิ้นสัมผัส มือยึดถือ หัวใจดิ้นรน ศิษย์รู้ไหมว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ ถ้าเรากินแอปเปิลแล้วอร่อยทำให้เราทุกข์ได้ไหม อร่อยแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  อร่อยก็ทุกข์ มันเกิดสัญญาจำได้หมายรู้ว่าอร่อย คราวหน้าถ้ามีโอกาสกินอีกลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  กินอีกคำหนึ่งเจอหนอน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะความจำได้หมายรู้ตอนแรกมันอร่อย มันไม่มีหนอน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทุกข์เพราะการยึดติดในรสชาติ ยึดติดในสิ่งที่เห็น เห็นแล้วต้องสวย เห็นแล้วต้องเจริญตา ต้องสบายใจ ใช่ไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะว่าคราวหน้ามันต้องสวยอีก ถ้าไม่สวย ทุกข์ ถูกไหม ได้ยินต้องเจริญหู ไม่เจริญหู ทุกข์ไหม (ทุกข์)  มนุษย์ทุกข์เพราะการยึดติดในสิ่งที่ต้องดี ไม่ดีไม่ได้ แล้วเป็นไปได้ไหม ในเมื่อศิษย์รู้ความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าธรรมดาของโลกมีได้ ก็ต้อง (มีเสีย)  มีสุขก็ต้อง (มีทุกข์)  มีดีก็ต้อง (มีร้าย)  รู้อย่างนี้แล้วทำไมถึงยังทุกข์อีก เพราะเราขาดสติตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่เรากำลังกระทบอยู่ ฉะนั้นอยากกินแล้วไม่ทุกข์เอาไหม อยากเห็นแล้วไม่ทุกข์ เอาไหม อยากอยู่ในโลกเกิดแล้วจบดับ เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  ไม่ต้องรอตายแล้วค่อยดับทุกข์นะศิษย์ ทุกข์ดับได้ทุกวันเลย คือกินไม่อร่อยก็ได้ เห็นไม่สวยก็ได้ ได้ยินไม่ดีก็ได้ เรียกว่าเห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสสัมผัสเพียงแค่สักแต่ได้กิน แต่มนุษย์ไม่ใช่ กินก็ต้องอร่อย อยู่ก็ต้องสบาย มันก็เลยทุกข์ ถ้าไม่อร่อย ไม่สบาย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ กินไม่อร่อยก็ได้ ถ้าอร่อยแล้วต้องสร้างกรรม ควรกินไหม (ไม่ควร)
อาจารย์ถามนะ ถ้าอร่อยแล้วสร้างกรรมและวิบากกรรมแห่งการจองล้างจองผลาญไม่จบสิ้น เอาไหม (ไม่เอา)  กินไหม (ไม่กิน)  ถ้าอย่างนั้นพยายามกินเนื้อสัตว์น้อยๆ นะ เพราะศิษย์ไปเอาเนื้อเขามานิดนึง แล้ว
แผ่บุญแผ่กุศลให้ ศิษย์ว่ามันพอหรือ (ไม่พอ)  ศิษย์ไปเอาเขาทั้งชีวิต แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด เขาพอไหม (ไม่พอ)  แค่คนด่าศิษย์ ศิษย์ยังจำแล้วจำอีกเลย แล้วนี่ศิษย์ไปเอาถึงชีวิต แล้วแผ่เมตตาพอหรือ ฉะนั้นอย่าสร้างกรรมที่ทำให้เราต้องชดใช้เกิดวิบากกรรม ฉะนั้นทำอะไร คิดให้ดีๆ บาปคือผลพวงของความทุกข์และการเวียนว่าย บุญคือเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส แต่ปัญญาคือสิ่งที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม อันเป็นธรรมดาของโลก
ฉะนั้นระวังไว้นะศิษย์ คนที่ศิษย์ทำร้ายเขา ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ ถ้าเขาแก้แค้นศิษย์ยังไม่สาแก่ใจ แม้ศิษย์จะเจ็บขนาดนี้ ถ้าเขาบอกว่ายังไม่พอ เขาก็จะทำแล้วทำอีก อยากรับผลหรือ ถ้าไม่อยากอย่าสร้างเหตุในการเข่นฆ่าสรรพสัตว์และผู้คน ทางสายปราชญ์จึงสอนว่า เกิดเป็นคนจงมีเมตตา เมตตาแล้วจะฆ่าใครไหม เมตตาแล้วจะนินทาใครไหม เมตตาแล้วจะด่าใครไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าจำอะไรไม่ได้ เกิดเป็นคนขอให้มีเมตตา ดีไหม (ดี)  เมตตาจะต้องให้อภัยใครไหม (ไม่ต้อง)  ไม่ต้องแล้ว ก็เมตตาเขาแล้ว ถ้ายังต้องให้อภัย แปลว่าโกรธแล้วค่อยให้อภัย แปลว่าเกลียดแล้วค่อยให้อภัย ถ้าเมตตาแล้วจะเข้าใจ อะไรจะเกิดก็เข้าใจว่าคนไม่เท่ากัน คิดไม่เหมือนกัน มันเป็นธรรมดา เขาคิดซ้าย เราคิดขวา เขาชอบ เราไม่ชอบ เราจะไม่โกรธ แต่เราจะเมตตา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรามีความซื่อสัตย์สุจริต เราจะโกงใครไหม (ไม่โกง)  เราจะเบียดเบียนใครไหม (ไม่เบียดเบียน)  เราจะอยากได้ของใครมาเป็นของเราไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่มีศีลก็จงมีธรรม ถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรม ก็ไม่รู้จะได้เจออาจารย์หรือเปล่านะ
เกิดเป็นคนทำไมต้องรักษาความดีงาม เพราะความดีชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ความชั่วนำพาให้มนุษย์ทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นขอให้ศิษย์คิดเอา ชีวิตนี้จะตามใจ หรือตามจิตเดิมแท้ ใจที่มีแต่อารมณ์โลภโกรธหลง หรือจะตามจิตเดิมแท้ที่เข้าถึงสภาวะว่าง ไม่มีตัวตนให้ครอบครอง
คิดให้ดีก่อนจะทำอะไร พลาดแล้วจะถอยหลังไม่ได้ตลอดนะ ตราบใดยังมีลมหายใจ ยังมีโอกาสแก้ไข แม้ศิษย์ทำผิดแล้วศิษย์ยังมีลมหายใจ ฟ้ายังให้โอกาส ถ้าผิดแล้วยังมีลมหายใจรีบแก้เพราะถ้าเมื่อไรที่ลมหายใจหมดลง ศิษย์หมดโอกาสที่จะแก้ตัวแล้ว ศิษย์จะต้องรับผลของการกระทำที่ศิษย์ก่อ แต่ตอนนี้ยังมีลมหายใจพยายามทำความดีเยอะๆ ทำสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจความทุกข์ ดับทุกข์ด้วยตัวเอง เพราะตัวตนที่แท้จริงก็ยึดถือไม่ได้ ความดีก็ยึดถือไม่ได้ ถ้ายึดถือแล้วจะต้องไปรองรับอีก แต่ทำดีด้วยการพ้นทุกข์ คือ ทำดีโดยไม่หวังผล ไม่มีตัวตนต้องไปรับแล้ว เราพ้นทุกข์แล้ว แต่ถ้าทำดียังยึดในผล คือการเอาตัวไปรับ รับแล้วพ้นทุกข์ไหม 
(มีนักเรียนในชั้นคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า การสวดมนต์แผ่เมตตาทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ไหม)
ถ้าแรงกระแสจิตของศิษย์นิ่งและมั่นคง ช่วยคนได้ ช่วยสรรพสัตว์ได้ และช่วยจิตให้ศิษย์สงบได้ แต่สวดมนต์ไม่มีประโยชน์ ถ้าถึงเวลาศิษย์อยู่กับคนแล้วศิษย์สงบไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  การสวดมนต์เป็นอุบายอย่างหนึ่งให้เกิดจิตที่สงบ จิตที่นิ่ง ถ้าถึงเวลาเจอคนว่าศิษย์ แล้วศิษย์โมโหเหมือนเดิม ก็ไม่ได้เรื่องอะไร จิตต้องสงบเมื่อโดนกระทบ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์บอกแล้วนะว่า หนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่มีเพียง ทาน ศีล แต่มีสมาธิ คือ ความมั่นคง และ มีปัญญา คือ ความเข้าถึงธรรม และรู้ตื่นด้วยสติตนเอง เมื่อเวลาโดนกระทบแล้วไม่กระแทก แต่โดนกระทบแล้วจบได้ที่ใจ ไม่ก่อเกิดเป็นตัวตนอีกตนหนึ่งที่ทับซ้อนเรา
อาจารย์อยากคุย อยากพูดธรรมะเยอะๆ อาจารย์อยากช่วยศิษย์ แต่ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว (อยากฟังอาจารย์อีก)  ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ถ้าศิษย์ไม่นำกลับไปทำ อาจารย์แค่ชี้ทางสว่าง ถึงเวลาศิษย์ต้องเดินไปให้พบทางสว่างด้วยตนเอง ตัวตนมันไม่น่ายึดถือนะ เพราะถึงที่สุดก็หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ที่ทนได้ยาก ว่างเปล่าจากการยึดถือ ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เหมือนที่อาจารย์บอกศิษย์ว่า นี่คือหน้าตาของศิษย์จริงๆ หรือเปล่า หน้ายังเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  และยังหาที่สุดไม่ได้ ตราบที่ยังไม่หยุดกรรมของตัวเอง หน้านี้จะไม่ใช่หน้าสุดท้าย แต่ถ้าเราหยุดได้ในทุกขณะหน้านี้ชาตินี้คือชาติสุดท้าย จะพ้นทุกข์ให้ได้ด้วยตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ธรรมรู้ทำ”)
รู้ธรรมรู้ทำ แปลว่า ธรรมะที่อาจารย์ได้บอกไปแล้วจงเอาไปปฏิบัติการ ปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปตรวจสอบใคร แต่เอามารู้ด้วยใจตัวเอง แก้และเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงใจตัวเอง รู้เท่าทันใจตัวเองไม่ก่อให้เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง ที่เป็นหนทางแห่งบาปอีกต่อไป
จำไว้นะศิษย์ให้อภัยทานดีกว่าสร้างวัดวิหารอีกนะ อาจารย์ยังมีแอปเปิลอีกลูก เอาให้คนที่ยิ้มยากแล้วกันนะ เวลาทำอะไรให้ใจเย็นๆ ยิ้มง่ายๆ เป็นคนที่ทุกข์ยากสุขง่าย ดีไหม (ดี)  แต่ที่สำคัญลด ละ เลิกเหล้าก่อนนะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะเหลือแค่นี้ ถ้าศิษย์เลิกเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้เป็นยาได้นะ แต่ถ้าศิษย์เลิกเหล้าไม่ได้ก็จะทำให้ศิษย์ยิ่งตายไว คิดให้ดีๆ ก่อนกินนะศิษย์
มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญกลับมาหาอาจารย์อีกนะ มาร่วมสร้างบุญนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ แต่เอาธรรมะเป็นประทีปส่องทางให้ชีวิตพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์ได้ ขอเพียงไม่เอาใจไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่จงใช้จิตเดิมแท้นะศิษย์ มีโอกาสกลับมาอีกเด็กดื้อทั้งหลาย อย่าฆ่าตัวเองด้วยมอเตอร์ไซค์ อย่าฆ่าตัวเองด้วยผู้หญิง หรือโลภโกรธหลง อบายมุขนะศิษย์ ได้ไหม
อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อาจารย์อยากได้ศิษย์ไปด้วยนะ ตั้งใจทำอะไรขอให้มีสติ ชีวิตไม่เหลือมากแล้วนะ คิดให้ดีๆ รู้เรื่องไหม โดนลูกบังคับมาใช่หรือเปล่า ฟังรู้เรื่องไหม ทำอะไรขอให้มีสติอย่าเอาแต่อารมณ์ คิดให้ดีๆ มีโอกาสกลับมาอีกนะ ใช่ไหมเด็กดื้อ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุดนะ คิดอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ อย่าทุกข์เพราะความคิด อย่าทุกข์เพราะอารมณ์ ทำอะไรคิดให้ดีๆ มีสติรักษาจิตให้บริสุทธิ์นะ ศิษย์เอ๋ยชีวิตมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนะ คิดให้ดีๆ ถ้าประมาทชีวิตก็แขวนอยู่บนความตายได้ ใช่หรือไม่ ดูแลห้องพระดีหรือเปล่า ทอดทิ้งใช่ไหม (ทำทุกวัน)  แล้วแอบบ่นตัดพ้อได้หรือ
ตั้งใจนะศิษย์เอ๋ย จิตใจที่ดีงาม อาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาจิตที่ดี จิตที่บริสุทธิ์ ทำได้ดีแล้วพยายามต่อนะ เดินหน้าต่อไป อย่ายอมแพ้นะ อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ทุกข์มันจบแล้ว เรื่องบางเรื่องจบแล้ว เริ่มต้นใหม่กับชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ เข้าใจไหม เริ่มต้นใหม่ได้แล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญ นำพาผู้คนด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอแล้วนะ รักษาบุญ รักษาโอกาสด้วยหัวใจที่ระมัดระวัง อาจารย์ช่วยเต็มที่แล้วนะ ไม่ต้องคิดมาก
มีโอกาสกลับมาอีกนะ สัญญากับอาจารย์ได้ไหม บำเพ็ญเพื่อตัวเองนะศิษย์ ทำงานธรรมะอย่าเหนื่อยอย่าท้อ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ เป็นเด็กดี ไม่ใช่หลงแต่แสงสีอยากได้แอปเปิลต้องเลิกกินหมากก่อน
อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวความลำบาก อาจารย์อยากให้พร อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น กลัวอะไรหรือ ไปแล้วนะศิษย์เอย อาจารย์อยากจับมือทุกคน อาจารย์อยากให้พรศิษย์ทุกคน ให้ศิษย์เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ อย่าทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อย่าให้ความคิดทำร้ายชีวิตนะศิษย์เอย รู้จักนำพาชีวิตให้ถูกทาง เราเกิดมาบนโลกเพื่อพบความสุขที่แท้จริง แล้วสุขที่แท้จริงคืออะไร คือเข้าใจตัวเอง รู้ถึงตัวเองอันแท้จริง รู้เท่าทันตัวเองไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์อีกต่อไปนะ ดูแลตัวเองนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ธรรมรู้ทำ”
ฟังผู้คนอรรถามาก็มาก 
เหมือนรู้แต่กลับยากปฏิบัติได้
ถึงว่ารู้แต่ไม่มาจากใจ
ก็ยังไกลคำว่าปฏิบัติธรรม
อย่าได้เพียงแค่ดีก็ผ่านไป
ต้องหยั่งตรองให้ถึงใจตนย้ำ
คิดพูดทำมีไหมอยู่ในธรรม 
รักษาธรรมจักนำธรรมร่วมใจ



พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม ณ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ
จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗

กลอนพระโอวาทหน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๒ และพระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๕
เดิม ต่างมีความเป็นฉันครุกรุ่นคุกคาม แก้เป็น ต่างมีความเป็นฉันคุกรุ่นคุกคาม

กลอนพระโอวาทหน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๔ และพระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๑๐
เดิม บางคนเดินจนแค่ไม่รู้หน้าที่ แก้เป็น บางคนเดินจนแทบไม่รู้หน้าที่

กลอนพระโอวาทหน้า ๓๕ บรรทัดที่ ๑๓ และพระโอวาทครอบ วรรคที่ ๒
เดิม ก่อนครุเป็นอารมณ์ฉัน เป็น ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน

เพลงพระโอวาท หน้า ๑๕ บรรทัดที่ ๙
เดิม เพียงเด้วยความไม่ประมาท เป็น เพียรด้วยความไม่ประมาท

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา