วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-16 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์

西元二○一七年歲次丁酉十月二十九日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                        สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ใครช่วยตนไม่สู้ตนพึ่งตัวเอง            แม้แสนเก่งยังมีเรื่องทำไม่ได้
พยายามด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย           พ้นเวียนว่ายเป้าหมายนี้ใช้ปัญญา
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

  แม้ความจริงนั้นยากเกินรับไหว        สำรวมตาไม่มองหูไม่ฟังบ้าง
เท็จหรือจริงตามตามกันต้องระวัง        เมื่อมองตามใจตนห่างไกลธรรม
เรื่องไม่คุ้นมั่นใจไปไร้ประโยชน์           ไม่สว่างเพราะใจโกรธดั่งจมน้ำ
จิตหมายรู้คิดวางต้องรีบทำ              หยุดไม่ทันจึงปล่อยกรรมลิขิตตน
บำเพ็ญได้ก็ยากตกทุกข์เวียนว่าย        บำเพ็ญได้ไม่เห็นไกลการหลุดพ้น
ปฏิบัติด้วยได้จริงกว่าจริงสู่คน           ยิ่งเกิดกิเลสปัญญาตนยิ่งลับคม
ตื่นจากความคิดแห่งตนซับซ้อน          เก็บอารมณ์จนเป็นก้อนโรคเพาะบ่ม
คนชอบใช้นิสัยนำธรรมหมดคม          คิดต่างหนาตนมองชมใจสบาย
บ่าวไม่ไปนายประหนึ่งดูว่านิ่ง                    ที่เห็นความจริงจริงอาจไม่ใช่
จิตตลอดมายึดติดใกล้เหมือนไกล              จิตหลงเพราะแต่ไหนกายพาเพลิน

                                                                                                       ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ฟังธรรมะง่วงไหม เหนื่อยไหม หลับไหม (หลับ)  ฟังธรรมแล้วจิตใจต้องกระปรี้กระเปร่า จิตใจโล่งเบาสบาย เเต่ทำไมยิ่งฟังหัวยิ่งหนัก ตกลงว่ามาฟังธรรมเพื่อหลับหรือมาฟังธรรมเพื่อปลุกจิตใจให้ตัวเราตื่น (ปลุกจิตใจให้ตื่น)  มาฟังเพื่อปล่อยวางหรือมาฟังเพื่อยึดมั่น (ปล่อยวาง)  มาฟังเพื่อสละความเป็นตัวตนหรือยึดถือความคิดแห่งตน (สละความเป็นตัวตน)
วันนี้มาฟังธรรมะ อย่ากดดันตัวเอง ปล่อยจิตให้เบา ฟังไปเรื่อยๆ ถ้ามัวแต่จมอยู่กับความคิด สิ่งที่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าปล่อยวางความคิดสิ่งที่เราฟังเราก็จะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ กระจ่างแจ้ง จริงหรือไม่ (จริง)
การมาเรียนรู้ธรรมอย่าใช้แค่ความคิด แต่ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรอง เพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลลงไปตามกิเลส นิสัย อารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรด้วยปัญญา ปัญญาจะทำให้เรารู้จักยั้งคิดและมองให้กว้าง ถ้าอยากฟังธรรมจงเปิดใจให้กว้างอย่าเอาแต่จมอยู่กับความคิด เพราะธรรมนั้นทำให้เราไม่หลงทำให้เราเกิดปัญญาในการเรียนรู้ความจริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ศิษย์น้องเอ๋ยบางทีการพยายามยกย่องหรือชื่นชมอะไรสักอย่างก็ทำให้อีกสิ่งหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  เหมือนศิษย์พี่ชมว่าคนนี้ดี และคนที่ไม่ได้ชมแปลว่าไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  งั้นเราควรชมหรือไม่ชม (ควร)  ถ้ามีใครทำดีสักอย่างแต่เราไม่เคยให้กำลังใจเลย เขาจะมั่นใจและทำสิ่งดียิ่งขึ้นไหม (ไม่)  ลองคิดดูนะ
สมมติศิษย์พี่มีศิษย์น้องสองคน คนหนึ่งมีความขยัน และอีกคนก็มีความดี แต่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ขยันแต่ก็ไม่ได้ดีมาก แต่พอเวลาเราชื่นชมคนนี้ว่าดีมาก เก่งมาก ให้เขามีกำลังใจในการทำสิ่งที่ดีมันก็เป็นสิ่งดี เขาทำอะไรเหมือนกันเราให้รางวัลเท่าๆ กัน คนที่ทำดีมากๆ เขาก็จะไม่รู้สึกว่าเขาอยากทำ เพราะว่าผลลัพธ์ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขี้เกียจเลย ถูกไหม (ถูก)  บางครั้งการชมอะไรแบบพร่ำเพรื่อ ชมแบบไม่มีเหตุ บางครั้งการชมคนหนึ่ง ก็กลายเป็นด่าอีกคนหนึ่ง จริงไหม (จริง) คนนี้ดีมากทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ส่วนอีกคนก็จะรู้สึกว่าตัวเราไม่มีอะไรดีเลยหรือ บางครั้งสิ่งที่ศิษย์น้องยกค่าให้สูง แท้จริงแล้วบางสิ่งนั้นมันไร้ค่าจริงๆ หรือ
ศิษย์น้องยกค่าว่าสิ่งนี้คือสุข เเท้จริงแล้วสิ่งที่ไม่เห็นค่า สิ่งนั้นเป็นทุกข์จริงไหม เรามักบอกว่าได้เงินคือความสุข สำเร็จคือความสุข คนชมคือความสุข แล้วคนด่าคนอื่นที่ไม่ให้เงินคือความทุกข์หรือ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกแดนสมมติ เราก็ติด “สมมติ” จึงไม่เข้าถึงคำว่า “วิมุตติ” ติดอยู่ในโลกสมมติก็ติดอยู่ในความสมมติไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรวางสมมติ ศิษย์น้องจะพบคำว่า “วิมุตติ” คือคำว่าพ้นทุกข์
มนุษย์สร้างกฎเกณฑ์แต่ผลสุดท้ายมนุษย์ก็ถูกกฎเกณฑ์ทำให้ตัวเองตาย มนุษย์เรียกกฎเกณฑ์ว่าความสุขเเต่ผลสุดท้ายกฎเกณฑ์ก็ทำให้มนุษย์ทุกข์ ฉะนั้นอะไรดี อะไรไม่ดี ความเข้าใจในความจริงอันเป็นกลางคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด การเอียงซ้ายเอียงขวาล้วนทำให้มนุษย์เวียนว่ายทุกข์สุขไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)
ถ้าอยากพ้นทุกข์ไม่ต้องติดทุกข์ไม่ต้องติดสุข ไม่ต้องติดดีไม่ต้องติดร้าย อะไรๆ ก็ได้ เราทำแบบนี้ได้แต่อยู่กับบางคนเขายังมีดี มีเสีย มีทุกข์ มีสุข จงเอาธรรมนี้เตือนใจตน หลักธรรมที่สำคัญสอนให้เรารู้ตน ไม่ต้องไปรู้เรื่องของใคร รู้ใจตนให้มากๆ เข้าใจตนให้มากๆ เเละนำพาตนให้ถูกทาง เมื่อเราถูกแล้วเราก็พ้นทุกข์ คนที่เกี่ยวข้องกันมาเห็นแล้วก็หมดทุกข์ไปด้วย
ถ้าทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ศิษย์น้องไม่ตัดสินว่าดีหรือร้าย ไม่ตัดสินว่าทุกข์หรือสุขคงจะดีไม่น้อย ถ้าเรามองแล้วตัดสินใจทันทีว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี เวลาใครพูดอะไรเเล้วตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินปักใจเชื่อ เราจึงหนีไม่พ้นดีเเละไม่ดี ทุกข์และสุข แต่ถ้าศิษย์น้องไม่ปักใจไม่ตัดสินก็จะไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลส เเละไม่มีผลที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ความผิดหวังความเสียใจ
โดยส่วนใหญ่ทุกคนอยากมีชีวิตที่สุขสบายไม่มีเรื่องไม่มีเคราะห์ภัย ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสวัสดิ์ มีแต่โชคดี อย่างนั้นไปเปลี่ยนชื่อเลยดีไหม (ไม่ดี) เปลี่ยนชื่อเป็นมงคล ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่มงคล ชีวิตจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ชื่อไหม (ไม่ใช่)  อยู่ที่ตัวเลขไหม (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่มักบอกว่าชะตาชีวิตไม่ดีไปเปลี่ยนชื่อ ไปเปลี่ยนเลขใหม่เผื่อจะเป็นมงคล แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แต่นิสัยยังเหมือนเดิมจะดีขึ้นไหม มงคลหรือไม่มงคลอยู่ที่เบอร์โทรศัพท์อยู่ที่ชื่อไหม อยู่ที่ความประพฤติไม่เคยทำดีก็ไม่มงคล ใจดีแต่ไม่เคยพูดอะไรดีๆ เลย อ้าปากทีก็ไปด่าเขา จะมงคลไหม (ไม่)  อยากมีชีวิตมงคลก็ไปทำบุญเยอะๆ ทำบุญให้ครบเก้าวัด ชีวิตจะได้มงคลฟาดเคราะห์ฟาดภัย แต่ศิษย์พี่ถามหน่อยนะทำดีตั้งเยอะแยะแต่ถึงเวลาบาปกรรมชั่ว นิสัยที่ชอบเอาเปรียบกินแรงคนอื่น ด่าคนอื่นลับหลัง ไม่ซื่อสัตย์ ไม่แก้ มันจะดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นอยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่สวัสดิภาพ อยากมีชีวิตที่มงคล อยากมีชีวิตที่สงบราบรื่น ควรแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ไปให้พระแก้ ไปให้วัดช่วยสะเดาะ กลับออกมาจากวัดยังด่าพระอีกจะมงคลได้ไหม
ธรรมใดหรือที่ยังโลกให้สันติสุข เคยได้ยินไหม เมตตาธรรมค้ำจุนโลกความละอายเกรงกลัวต่อบาปทำให้โลกสงบสุข ที่ใดไร้คนละอายเกรงกลัวต่อบาป ที่นั่นโลกย่อมพบภัยพิบัติ ฉะนั้นอยากมีความสุข อยากมีชีวิตสงบสุข ก็ต้องรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วเราละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม (นิดหน่อย)
มีคนหนึ่งตลอดชีวิตเขาทำบาปทำกรรมฆ่าคน แล้ววันนี้เขารู้แล้วว่าถ้าอยากให้ชีวิตมีความสงบเขาต้องหยุดฆ่า เขาต่อรองกับพระพุทธะบอกว่าปกติฆ่าทุกวัน ตอนนี้ฆ่าวันเว้นวันได้ไหมจะช่วยให้ดีขึ้นไหม (ไม่)  แล้วที่บอกว่าละอายเกรงกลัวต่อบาปมีไหม แล้วจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นไหม แล้วเราเป็นประเภทกล้าทำบาป ไม่กล้าทำสิ่งถูกหรือเปล่า อย่าเอามือไปให้คนอื่นดู เเต่ลืมดูมือตัวเองว่าทำอะไรไปบ้าง อย่าเอาชีวิตไปให้คนอื่นเขาช่วยทำนายบอกทาง แต่เราไม่รู้จักนำทางตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าผู้มีปัญญาหรือ แล้วตัวเราไม่ฟังใคร ฟังแต่หมอดู คนในบ้านพูดไม่ฟังเเต่หมอดูบอกอะไรก็เชื่อ นั่นคือนิสัยตัวเราเองล้วนๆ แล้วต้องให้คนอื่นมาบอกหรือ เเค่หันมองเเล้วยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากมีชีวิตสุขสงบไม่ใช่แค่ทำดีแล้วพอ ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสงบต้องละชั่ว ถึงจะเรียกว่าดี ดั่งที่มนุษย์บอกว่าโรคภัยเข้าทางปากเคราะห์ภัยออกจากปาก กินอะไรไม่ระวังก็หาโรคมาสู่ตัว พูดอะไรไม่รู้จักคิดก็หาภัยมาหาตน ปรารถนาชีวิตสงบแต่ทำไมไม่รู้จักพอ ปรารถนาชีวิตมีสุขทำไมไม่รู้จักยินดีในสิ่งที่มี เมื่อไม่พอจึงไม่สงบ เมื่อไม่เคยยินดีในสิ่งที่มีสิ่งที่ได้มาจึงไม่มีความสุข ถ้าอยากพ้นเคราะห์เวรกรรม เราต้องไม่ทำชั่ว ไม่ทำบาป แต่หลายคนมักบอกว่า โอกาสทำดีนั้นทำยาก ถ้าอยากมีชีวิตที่สุขสงบบาปกรรมเราต้องไม่สร้าง
คนมักจะพูดว่าทำดีทำยาก ทำชั่วทำง่าย แล้วศิษย์น้องเคยได้ยินไหม โอกาสของคนทำชั่วมีเสมอสำหรับผู้ขาดธรรมในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกวันเรามีโอกาสทำดี แปลว่าเรามีธรรมอยู่เสมอ แต่ถ้าทุกวันเราทำชั่ว แปลว่าเราไม่เคยมีธรรมในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องอยากมีชีวิตที่สงบสุข พ้นเวรพ้นภัย เราก็ไม่ควรทำชั่ว เพราะผลของความชั่วมักจะแผดเผาคนที่ทำชั่วในภายหลัง ถ้าเราจะมีเหตุในอนาคตที่ไม่ดี เราจะทำชั่วไหม (ไม่ทำ) ศิษย์น้องชอบความทุกข์ไหม อยากมีชีวิตที่มีแต่ทุกข์ไหม (ไม่ชอบ)  ความทุกข์คือผลของกรรมชั่ว ผลของบาปที่เราผิดศีลขาดธรรม ถ้าเราไม่อยากมีทุกข์เราจะทำกรรมชั่วไหม (ไม่ทำ)  ในเมื่อทำชั่วแล้วมันก็ให้ผลแผดเผาและเป็นทุกข์ เราอยากทำไหม (ไม่อยาก)  ไม่มีแรงใดเสมอแรงกรรม ไม่มีกำลังใดน่ากลัวเท่ากับกำลังแห่งกรรมชั่ว เมื่อมันตกผลแล้ว ต่อให้หนีสุดหล้าฟ้าเขียวเราก็หนีไม่พ้น อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่แจ้ง อย่าทำสิ่งที่ผิดศีลขาดธรรมต่อชีวิตตน เพราะอนาคตต้องรับผลทุกข์เป็นแน่แท้ หรือแม้แต่ปัจจุบันก็หนีไม่พ้นไฟเผาใจที่รู้อยู่เเก่ใจว่าทำผิด
ตอนเด็กๆ ใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ยกมือขึ้น ขนาดพ่อเเม่เรายังทำได้ ต้องระวังให้มาก อะไรเรียกว่ากรรมชั่ว อะไรเรียกว่าความไม่ดี ความชั่วที่ก่อเกิดเป็นบาปกรรม (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น รู้ว่าผิดก็ยังทำ) ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เหมือนห้ามบ่นห้ามโกรธก็ยังอดใจไม่ได้ ใส่ร้ายป้ายสี (ไม่มีความซื่อตรง)  บางครั้งอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเราประมาทเรื่องเล็กก็ทำให้ชีวิตเราพังได้ อย่ามองว่าเป็นบาปกรรมนิดๆ หน่อยๆ เมื่อรวมตัวกันตกผลก็น่ากลัวได้ ใช่หรือไม่ต้นเหตุของบาปกรรมและความทุกข์มาจากไหน (การกระทำของเรา ความคิด, ตัวเอง)  กิเลสและความคิดตัวเอง (มาจากกิเลสความชั่วกับความเห็นแก่ตัวเอง)  ทุกอย่างที่เป็นบาปกรรมก็เพราะว่าเราเห็นแก่ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์เราหนีไม่พ้นทุกข์ในโลกนี้ เรารู้จักโลกก็เพราะความอยาก เราเจ็บช้ำในโลกก็เพราะเรายึดอย่างไม่ปล่อยวาง และเราไม่มีวันพ้นโลกก็เพราะเรามองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม ก็ควรหยุดการสร้างบาปสร้างกรรม เหตุแห่งการเวียนว่ายล้วนเกิดมาจากตัวตนที่อยากได้ใคร่ดี ใช่ไหม (ใช่)  
เราก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่ทำให้เจ็บช้ำ เพราะอยากแล้วก็ทำให้เรายึด ถ้าเมื่อไหร่เห็น ช่วงใช้ แล้ววางทิ้งนั่นเรียกว่า “ธรรม” แต่ถ้าเมื่อใดเห็นแล้วอยากแล้วยึด ไม่ปลดปลง ไม่ปล่อยวาง นั่นเรียกว่า “โลภ” เราอยากทำดีแต่บางครั้งเราก็ละชั่วไม่ได้ แล้วต้นเหตุของความชั่วมาจากไหน ก็มาจากตัวตนที่อยากได้ใคร่ดีจนลืมผิดชอบชั่วดี แล้วพออยากเสร็จเราก็หนีไม่พ้นทุกข์เพราะเราอยากแล้วเรายึดว่ามันต้องได้ มันต้องดี แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นชัดเราก็จะพ้นโลกได้ เราทุกข์ในโลกก็เพราะยึด หนีไม่พ้นในโลกก็เพราะไม่เคยเห็นแจ้งจริง เมื่อใดที่เราอยู่ในโลกมองเห็นสรรพสิ่ง รู้จักใช้แล้ววางลงได้ นั่นเรียกว่าธรรม แต่ถ้าใช้สรรพสิ่งอย่างยึดมั่นเเละไม่ปลดปลงก็เรียกว่าทุกข์ หากไม่อยากทุกข์ เมื่อเราแสวงหาอะไรมาใช้แล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ต้องยึดมั่นจนก่อเกิดทุกข์ จะได้จะเสียก็ไม่เป็นไร นี่เรียกว่ายืมใช้ เเต่มนุษย์ใช้แล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ครอบครองเเละหวังว่าต้องให้เป็นไปตามใจเรา จึงมีคำพูดว่า “ยิ่งคิด ยิ่งพูดก็ยิ่งยึดติด ยิ่งจำก็ยิ่งไม่จบ” ถ้าเราเลิกคิด ยอมรับความจริงก็จบได้ แต่มนุษย์ไม่ยอมให้จบ เอาเรื่องมาเล่าต่อ สร้างวิบากกรรม สร้างกรรมไม่จบสิ้น เห็นใครไม่ดี ก็เอาไปเล่าต่อๆ แล้วก็จำฝังใจ แล้วก็ก่อเกิดเป็นบาปกรรม ถ้าอยากเข้าใจธรรม เมื่อเห็นอย่าเพิ่งตัดสิน เมื่อมองอะไรอย่ายึดติด 
ศิษย์น้องเคยโดนคนว่าไหม เคยโดนคนโกงไหม เคยโดนคนทำร้ายไหม (เคย)  แล้วคนที่ว่าเอาเปรียบ โกง ทำร้าย ดีไหม (ไม่ดี)  เราเคยว่าแม่ไหม (เคย)  เราเคยเอาเปรียบพ่อแม่ไหม (เคย)  เราเคยแอบด่าพ่อแม่ไหม (เคย) แล้วศิษย์น้องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วเราไม่ดีจริงๆ ไหม (ไม่ดี)  ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเราที่โดนเขาโกง โดนเขาด่า เขาไม่ดีจริงๆ ไหม ก็ไม่ใช่ ศิษย์พี่จะบอกต่อว่า ถ้าศิษย์น้องรู้จักเรียนรู้ธรรม ธรรมจะสอนว่า อย่าทำอะไรตามความคิด อย่าทำอะไรตามความรู้สึก แต่จงทำด้วยสติ เพราะเมื่อไหร่ที่ทำอะไรด้วยความคิด ทำอะไรด้วยความรู้สึก มันง่ายที่จะวุ่นวาย และมันง่ายที่จะไหลลงตกไปเป็นพวกของความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ถ้าทำอะไรด้วยสติ มันจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง เห็นจริง และสงบ แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำอะไรมักชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง มันคือรากเหง้าของความโลภ โกรธ หลง และอารมณ์ก็เป็นต้นเหตุของกิเลสทั้งมวลที่ก่อให้เกิดทุกข์และบาปกรรม ฉะนั้นทำอะไรเราจึงไม่ควรใช้อารมณ์ ใช้ความคิด ใช้ความรู้สึก แต่ควรใช้สติ เพราะในโลกของความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนมีหลายสิ่งซ่อนอยู่ สิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ามันดี หรือสิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ามันไม่ดี แท้จริงแล้วมันมีกลลวงอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ ถูกไหม (ถูก)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้น)
สมมติว่าถ้าคนนี้ไม่ดี เเต่ถึงที่สุดในชีวิตของคนจมอยู่กับตรงนี้ไหม จะพูดอะไร ทำอะไรเดิมๆ ไหม (ไม่)  ความไม่ดีของเขาแค่ไม่ดีตรงนี้ สมมติว่าศิษย์พี่ไม่ได้มีอารมณ์อะไรเเต่เเค่ไม่ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนตัวดำ พุงใหญ่ สักลาย รู้สึกไม่ดี เป็นอารมณ์ล้วนๆ เราไม่มีเหตุผลแค่เห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบ ถ้าเราทำอะไรแล้วใช้แต่อารมณ์ เราจะมองเห็นสิ่งที่มากกว่านั้นไหม (ไม่เห็น) เราก็จะรู้สึกว่ามันไม่ดี เเละไม่ดีจนจบ เคยได้ยินไหมว่าทุกสรรพสิ่งในโลกในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย ในมืดก็มีสว่าง ในอ้วนก็มีผอม ในเตี้ยก็มีสูง ถ้าเราหมั่นใช้สติเเละพิจารณาจนบังเกิดธรรม เราจะไม่ก่อเกิดกิเลสที่นำพาให้เราประพฤติผิดชั่ว เพราะความคิดเเละนิสัยของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คิดต่ำมากกว่าคิดสูง คิดร้ายมากกว่าคิดดี ถ้าศิษย์น้องอยากหยุดกิเลส หยุดบาป หยุดกรรม ศิษย์น้องต้องหยุดการตามใจตัวเองเเละทำอะไรเอาแต่อารมณ์ธรรมไม่ได้สอนให้เราจมอยู่กับความคิด เพราะความคิดนิสัยอารมณ์ ง่ายที่จะพาให้มนุษย์หลงผิด ทุกคนมีทั้งดีและไม่ดี และเมื่อเราตอกย้ำตัวเองอยู่อย่างนี้ เข้าใจตัวเองอยู่อย่างนี้ เวลาโดนเขาว่า เราจะได้ไม่โกรธ เมื่อเจอคนที่ไม่ดีเราก็จะไม่โกรธ อยากจะพ้นทุกข์ จงเห็นจริง ความเห็นจริงคือทุกสิ่ง ไม่เคยมีอะไรเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา ใครจะยิ้มได้ตลอดเวลาถูกไหม (ถูก)  ร้องไห้บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องทำให้ร้องไห้ก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  เจอเรื่องสูญเสียก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริง เห็นโลกชัดเราจะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ถ้ายังหลงยึดมั่นก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วก็สร้างวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วก็ต้องไปชดใช้กรรมไม่จบสิ้น บาปกรรมแห่งการหลงผิดที่คิดว่า ผิดนิดผิดหน่อยไม่เป็นไรช่างมัน กรรมชั่วช่างมัน เชื่อไหมว่าต่อให้พุทธะอยู่ตรงหน้าก็นำให้ท่านพ้นทุกข์ไม่ได้ แล้วกรรมนี้ถ้ามันฝังลงไปในจิต ต่อให้เกิดกี่ภพกี่ชาติ มันก็ทำให้ศิษย์น้องไม่มีวันพ้นทุกข์ได้เลย
ทุกสิ่งที่เราเห็น แต่จริงๆ แล้วเราก็เหมือนไม่เห็น บางครั้งเราคิดว่ามันดีแต่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะ (ไม่ดี)  บางครั้งเราก็อาจคิดว่ามันไม่ดีแต่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะ (ดี)  ถ้าเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ยึดมั่นกับความคิด สิ่งใดจะทำให้เราโกรธ สิ่งใดจะทำให้เรารัก สิ่งใดจะทำให้เราทุกข์ได้ใช่ไหม (ใช่) ธรรมสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าความจริง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดติดแต่ความคิดในตัวตน เพราะเรื่องราวในโลก เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต ล้วนหมุนเปลี่ยนแปรผัน ไม่มีอะไรคงที่และตายตัว แต่สิ่งที่คงที่และตายตัวคือความรู้สึกที่ยึดมั่นในตัวตน มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องปล่อยวางความคิด
แต่ใครที่จะรู้ทันความคิดจนสามารถปล่อยจนไม่ทุกข์ได้ จะปล่อยได้ต่อเมื่อเราเห็นแจ้งชัด ฉะนั้นการเข้าใจหลักความจริง การเข้าใจหลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่าถ้าเราทุกข์ อย่ามัวแต่แก้คนอื่น ถ้าเราทุกข์อย่ามัวแต่เปลี่ยนแปลงคนอื่น เเต่เราต้องกล้ารับความจริง เเละยอมรับได้ไหมถ้าทุกสิ่งไม่เป็นดั่งใจคิด มีอะไรเป็นดั่งใจศิษย์น้องบ้าง ถ้ามีบ้างไม่มีบ้างก็จะสุขบ้างทุกข์บ้าง หรือว่าควรเห็นชัดจริงสักทีบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อใดที่มีสติจนเป็นปกติเราจะไม่หลงในอวิชชา เเต่จะสามารถดูจิตใจไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ตาม ถ้าทำได้เราจะพ้นบ่วงมารที่เรียกว่าความทุกข์ได้ ศีลคือความปกติ เมื่อมีสติจนจิตปกตินั่นเรียกว่าผู้มีศีล ถ้าเมื่อใดสามารถห่างไกลกรรมชั่วได้เเละดำเนินชีวิตปกติจะเป็นผู้ที่มีศีลโดยที่ไม่ต้องพยายามบังคับให้ตัวเองมีศีล เเต่ถ้าเมื่อใดศิษย์น้องโมโหแล้วบอกให้ใช้เมตตา ใช้ขันติ นั่นเเปลว่าศิษย์น้องผิดปกติ การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรากลับมาสู่ความปกติเเละเรียกว่าคนมีศีลธรรม โดยเป็นธรรมดา
ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์น้องมีความโลภโกรธหลง นั่นเรียกว่าคนผิดปกติ เมื่อใดที่ศิษย์น้องไม่มีอารมณ์อะไรครอบงำนั่นเรียกว่าปกติ โลภโกรธหลงไม่มีตัวตนเเต่ชอบอาศัยกับคนที่ยึดติด เมื่อเราไม่ยึดติดเราจะมีอะไรที่ทำให้เราโลภโกรธหลงแล้วทุกข์สุขดีร้าย ถ้าเราไม่ตัดสินว่าอะไรร้ายอะไรดี เมื่อนั้นคือทางสายกลางที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ เเต่มนุษย์ตัดสินว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ เเล้วในที่สุดก็เรียกสิ่งที่ชอบว่าสุข สิ่งที่ไม่ชอบว่าทุกข์ ผลสุดท้ายก็หนีสุขเเละทุกข์ที่ตัวเองยึดติดไม่พ้น แล้วจึงก่อเกิดเป็นบาปกรรม แล้วมาสร้างกรรมดีเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องมีกรรมชั่วมาทำลาย ไม่ต้องมาเจอเภทภัย
ธรรมสอนให้เรากลับสู่ความปกติ เมื่อปกติเราก็สงบสุข ไม่ก่อบาปกรรม เเละไม่ต้องพยายามเป็นคนดีเพื่อหนีกรรม มีความน่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งคือ มนุษย์ยังระงับความอยากไม่ได้ อยากแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ทุกข์เเละหนีไม่พ้น ฉะนั้นจำที่ศิษย์พี่บอกไว้ “เห็น ช่วงใช้ แล้ววางได้ ปลดปลงได้ เรียกว่าธรรม แต่ถ้าเห็นแล้วช่วงใช้ยึดมั่น ยึดติดและปลดปลงไม่ได้ เรียกว่า โลภ” ศึกษาธรรมอย่ามัวแต่สงสารตัวเอง เห็นว่าตัวเองน่าสงสาร เราจะตีกรอบแบ่งแยกและยึดติด และเรียกคนนั้นว่าดี คนนี้ไม่ดี แต่เมื่อใดเราศึกษาธรรม เปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง เราจะไม่แบ่งแยก เราจะไม่ยึดติด เราจะไม่ตีกรอบ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้
ฟังศิษย์พี่พูดถ้าไม่มีสติ จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามีสติแล้วคิดตาม ศิษย์น้องจะได้ปัญญาที่นำพาให้ศิษย์น้องพบความสว่าง ไม่ต้องสว่างตอนตาย แต่สว่างตอนมีชีวิต ไม่ต้องรอพ้นทุกข์ตอนตาย ต้องพ้นทุกข์ตั้งแต่ตอนมีชีวิตธรรมมีไว้ปลุกให้เราตื่น
วันนี้คงมีโอกาสมาผูกบุญกัน แต่สิ่งสำคัญคือขอให้มีสติรู้จักยั้งคิด อย่าทำอะไรเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ เรื่องราวในโลกมีเกิด มีดับ บางครั้งความดับไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าใจ แต่บางครั้งความดับและการสูญเสียอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้พ้นทุกข์พ้นโศกก็ได้ เกิดเป็นคนอย่ากลัวการสูญเสีย เกิดเป็นคนอย่ากลัวการเสียเปรียบ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้เปรียบใคร จำไว้นะศิษย์น้อง โดนใครเอาเปรียบ โดนใครกินแรง ในโลกนี้ไม่มีใครเอาเปรียบใครได้แท้จริง เมื่อยังตกอยู่ในเหตุและผลของการเวียนว่ายอยู่ในกระแสวิบากกรรม เมื่อเขามาให้เราได้ใช้กรรม แล้วเราอยากจะเกี่ยวกรรมต่อหรือจะจบเวร จบกรรม (จบเวร จบกรรม)  ถ้าจะจบเวรจบกรรมควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ควรจะด่าไหม (ไม่ควร)  ควรจะนินทาไหม (ไม่นินทา)  ควรจะต้องไปสะเดาะเคราะห์ไหม (ไม่)  ชีวิตอยู่ที่การเรียนรู้ถ้าเรียนรู้จนเห็นธรรมจะได้พ้นทุกข์ ไม่ใช่เรียนรู้แล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิม น่าเสียดาย จริงไหม (จริง) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะได้ไหม (ได้)  เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วปล่อยวางจะได้ไม่ทุกข์ แต่รู้เขาไม่สู้รู้เรา แก้ไขคนอื่นไม่สู้แก้ไขที่ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อย่าถือตัวดื้อดึงมีทิฐิ                    คนชอบติบ่นว่าจึงก้าวหน้า
ใช้อารมณ์ผสมโรงหักด้ามพร้า            ใช้ความกล้าไม่ไตร่ตรองย่อมอันตราย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

  ความคิดความในใจช่างร้อนรน         ชวนตนปลงจริงเท็จล้วนระหกระเหิน
รู้ปัจจุบันคือความจริงไม่ขาดเกิน         ลาภยศเงินที่สุดไม่เคยพอ
มั่นยึดแล้วสุดชีวิตไปทางไหน             ได้อะไรไม่ได้อะไรกันบ้างหนอ
ปลงคงแคล้วติดไม่ตามรังควานต่อ       ไยต้องทุกข์หนอคนแค่ปล่อยวาง
ศิษย์เอ๋ยอย่ากล้าทำบาปทำกรรม        อย่ามัวฝันจงทำดีทุกอย่าง
สติรับเพื่อตื่นรู้สู่ความว่าง                ซื่อความจริงเพื่อมิคว้างสู่อบาย
จริงใจต่อทุกคนใสดั่งน้ำ                  กุศลทำใครรีรอแล้วทำไม่ได้
คนซื่อตรงต่อความจริงสุขฤทัย           ไม่ทำผิดพลั้งไปหลอกลวงตน
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราอยู่ในโลกเราเบื่อการเป็นผู้ฟัง เราอยากเป็นผู้พูดมากกว่าเป็นผู้ฟัง เราชอบที่จะพูดมากกว่าที่จะฟัง แต่หลายครั้งปัญหาเกิดจากพูดหรือเกิดจากฟัง (พูด)  แล้วเราเคยหยุดไหม (ไม่หยุด)  มนุษย์ชอบที่จะแก้ปัญหามากกว่าหยุดสร้างปัญหา ปล่อยให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยวิ่งไปตามแก้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  หลายต่อหลายครั้งบางครั้งชีวิตมักพูดว่าไม่น่าเลย แต่เราก็ทำทุกที มนุษย์รู้จักที่จะก้าวเดิน แต่ลืมไปอย่างหนึ่งว่า บางครั้งต้องรู้จักหยุดให้เป็น อย่าก้าวเป็นแต่หยุดไม่เป็น อย่าเอาแต่โต้แย้ง บางครั้งต้องรู้จักนิ่งให้ได้ อย่าเอาแต่มั่นอกมั่นใจเพราะบางทีสิ่งที่เรามั่นอกมั่นใจมันอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้จริงก็ได้
ทำอะไรเอาแต่ถือตัวถือทิฐิว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง ไม่รับฟังคำติจากใคร ไม่รับคำเตือนจากใครย่อมเป็นอันตราย เมื่อไม่ฟังแล้วยังใช้อารมณ์ผสมเข้าไปย่อมมีแต่หัก บางครั้งพูดไปเพื่อความสะใจ พูดไปเพื่อความสบายใจ เเต่จริงๆ เเล้วกลายเป็นทุกข์ใจไม่ต่างจากเดิม เขาทำให้เราโมโหเราก็ว่าเขากลับ ว่ากันไปมาได้อะไรไหม (ไม่ได้)  สบายใจทั้งคู่ไหม (ไม่สบายใจ)  ทำดีมาแทบตายแต่หลุดบ่นมาเพียงหนึ่งครั้งความดีกลับสูญหาย บางครั้งอยู่แค่เสี้ยวขณะที่คิด เรามักพูดว่าคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก แล้วถ้าพ้นจากความนึกคิดในตัวตน (สบายไม่มีความคิดก็ไม่ทุกข์อะไร)  ใช่ไหม (ใช่) แต่เราเคยไปถึงความคิดตรงกลางนั้นไหม ส่วนใหญ่ชอบคิดไปทางที่ดีบ้างไปทางที่ร้ายบ้าง ธรรมะสอนให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่ถึงที่สุดมนุษย์กลับไม่เป็นกลางจริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางไหม (มี)  ก็แค่หยุด หยุดความคิดให้ได้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ทางสายกลางนั้นมีให้เราเลือกเดิน แต่เราไม่เคยฉุกคิด เราติดแต่เพียงว่าเราศึกษาธรรม เรามีชีวิตรู้แต่เพียงไม่ร้ายก็ดี ไม่ดีก็ชั่ว แต่เราลืมทางสายกลางที่อยู่ระหว่างดีและชั่ว ซึ่งทางสายกลางนั้นเรียกว่า ธรรมอันเป็นแก่นแท้ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์ เราจะแก้อย่างไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
มองธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่มองธรรมจงมองที่หลักธรรมความจริง เพราะไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลักธรรมก็ยังคงอยู่เช่นนั้น เราตอนนี้ศิษย์กำลังมองธรรมหรือมองแต่ตัวอาจารย์
ธรรมสอนให้เราปลดปลง ปล่อยวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดมั่นแล้วลุ่มหลง อาจารย์ก็ต้องชี้นำให้ถูกทาง ไม่ใช่ให้หลงผิด อาจารย์ควรชี้ให้ศิษย์พ้นทุกข์แค่หนึ่งเปราะ หรือพ้นทุกข์แล้วจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร (พ้นทุกข์จากการเวียนว่าย)  จะเอาแค่พ้นโรคพ้นภัยหรือว่าพ้นจากการเวียนว่ายในวัฎสงสาร ช่วยให้ศิษย์หายป่วยหนึ่งครั้ง ถ้าศิษย์ไม่รู้จักดำเนินชีวิตตัวเองให้เป็น ศิษย์ก็ต้องกลับมาป่วยอีก และถึงที่สุดทุกชีวิตก็หนีความเจ็บป่วยไม่ได้ สู้พ้นเกิดพ้นตายและไม่ต้องกลับมาเจ็บไม่ต้องกลับมาทุกข์ย่อมประเสริฐกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าศิษย์หวังจะเป็นเช่นนั้น ศิษย์ก็ต้องมองที่ตัวธรรม อย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะเห็นคนย่อมไม่เห็นธรรม ถ้าเห็นธรรมในผู้คนก็จะเห็นธรรมในใจตน แต่ทำอย่างไรหนอในเมื่อตาของมนุษย์นั้นฝ้าฟางเหลือเกิน เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้ก็เหมือนไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกใบนี้จะงดงามและน่าอยู่ได้ ก็ต้องมีคนที่กล้าเสียสละ คนที่กล้าทำอะไรมากกว่าผู้อื่นหนึ่งก้าว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะถ้าศิษย์อยากจะช่วยคนให้พ้นทุกข์ ศิษย์ต้องก้าวมากกว่าเขาหนึ่งก้าว แล้วเขาถึงจะตามศิษย์ เขาถึงจะเคารพให้เกียรติศิษย์ เขาถึงจะเชื่อฟังศิษย์ แต่ถ้าศิษย์ไม่ต่างอะไรกับเขา ศิษย์พูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์สบาย อาจารย์ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ยอมลำบาก นี่ถึงเรียกว่าผู้นำคน ผู้ที่จะฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์ ถ้าตัวเราอยากฉุดช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ แต่เราไม่มีอะไรที่ดีเด่นหรือเด่นในด้านคุณธรรม เราก็ไม่สามารถดึงใครให้ตามมาได้ ฉะนั้นถ้าอยากช่วยคนให้พ้นทุกข์ จงก้าวให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว จงดีให้มากกว่าผู้อื่น แล้วเชื่อไหมบางครั้งศิษย์ไม่ต้องพูดอะไรเลย เขาก็ยิ้มรับว่าคนดีมาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เรามุ่งมั่นศึกษาธรรม เริ่มต้นพื้นฐานคือเป็นคนดี ถูกต้องต่อศีลธรรมหรือยัง ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ ยังไม่สามารถมีศีลธรรมความเป็นคนที่ถูกต้องได้ ศิษย์เอ๋ยอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์เลย การพ้นเวียนว่ายก็คงเป็นเรื่องยาก รู้ว่าทำดีต้องทำมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว แต่ถึงที่สุดแล้วใครที่กล้าเริ่มทำ รู้ว่าการทำความดีต้องเสียสละความเป็นตัวตน ยอมลำบาก ใครที่คิดจริงจังจะทำจริงๆ มีแต่คนพูด มีแต่คนรู้ แต่ขาดคนทำ น่าเสียดายนะ
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นจะนั่งหรือไม่นั่ง)
ไม่ยอมลำบากสักหนึ่งก้าว ไม่ยอมสละตัวเองสักหนึ่งก้าว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผลของการทำดีมีค่าแค่ไหน
ผลของการอุทิศเสียสละทำให้เราปล่อยวางตัวตน เเล้วทำให้เราโปร่งโล่งสบายดีเช่นไร ยอมเก่าจึงได้ใหม่ ยอมถอยจึงได้ก้าวหน้า ยอมเสียสละจึงมีคนอุทิศให้
ชีวิตนี้ที่ยุ่งยากเพราะไม่รู้เเละพยายามบอกว่ารู้ วิธีการอยู่กับผู้คนอะไรคือการทำดี ถ้าทำดีต้องมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว เเละกล้าเสียสละนั่นคือทำดี ในเมื่อรู้ว่าชีวิตหนีไม่พ้นทุกข์เเละอดไม่ได้เมื่อมีเรื่องมากระทบ เรามักจะคิดดีหรือไม่ก็คิดร้าย การคิดดีก็ทำให้เราอดยึดติดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนดีจริง แต่เมื่อเขาทำร้ายเราก็เสียใจ เมื่อเราติดในความร้ายเราก็เป็นทุกข์ ทำไมเขาทำร้ายเรา ฉะนั้นจะพ้นจากความทุกข์ได้อย่างไร (ต้องเดินทางสายกลาง)  ทำอย่างไรให้ตัวเองพ้นทุกข์
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักจะกลัวความเหงา กลัวโดดเดี่ยวกลัวถูกทอดทิ้ง กลัวอ้างว้าง กลัวสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ มนุษย์เราทุกวันนี้ที่ทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามีเราแค่คนเดียวและเรายังเอาตัวไม่รอด หรือว่ามีทั้งเราแล้วก็มีคนอื่นและยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน อะไรที่ทำให้เราทุกข์มากกว่า (หลายคน)  ถ้าเราเห็นชัดว่า การทุกข์คนเดียวก็พอแล้ว เราอย่าไปเกี่ยวให้ทุกข์อีกมากมายเลย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เรามักคิดว่าเราเอาตัวไม่รอด อยู่คนเดียวไม่ได้ สูญเสียไม่ได้ เหงาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาตัวเปล่าแล้วเราก็มาคนเดียว สุดท้ายก็ต้องกลับไปตัวเปล่า ก็ต้องกลับไปคนเดียว ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เรากำลังสูญเสียอะไร เราก็แค่ได้กลับมาสู่ความจริงอันเป็นของเดิม ฉะนั้นเราแค่ได้กลับมาเร็วขึ้น อยู่คนเดียวไม่ได้หรือ รักเขามากกว่าตัวเองจนยอมฆ่าตัวตายเพราะเขาทิ้งหรือ รักเขามากจนยอมผิดศีลขาดธรรม นั่นคือเรารักตัวเองนั่นคือทำให้ตัวเองทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
ความเป็นจริงของโลกกำลังสอนให้รู้ว่าทุกชีวิต แล้วเมื่อถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ทางเดิมที่ตัวเองจากมา แล้วเราจะนำธรรมมาปลอบประโลมใจ หรือนำกิเลส ความเสียใจ ความทุกข์ใจ ความผิดศีลขาดธรรมมาทำร้ายใจ ธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อปลดปลงปล่อยวาง ไม่ได้สอนให้ยึดมั่นทุกข์ทนไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าศิษย์เป็นคนที่เรียนรู้ใคร่ปฏิบัติธรรม นำธรรมมาปลอบประโลมใจ นำธรรมมายั้งเตือนใจ หรือนำกิเลสอารมณ์ความผิดศีลขาดธรรมมาทำร้ายชีวิตให้อับจน ศิษย์เลือกได้ เพราะถึงที่สุดเเล้วไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากเราต้องดูเเลตัวเราเอง รักที่สุดก็ยังต้องต่างคนต่างไป ดีที่สุดก็ต้องต่างคนต่างไปไม่มีใครช่วยได้ ถึงเวลาป่วยคำพูดของใครก็ไม่มีประโยชน์นอกจากคำพูดของตัวเองที่ปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นสู้ หรือจะยอมเเพ้เเล้วตายไปเลยตรงนี้ ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาเป็นห่วงมารัก ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ไม่ห่วงตัวเองหรือ ถ้าตัวเองยังมีคุณค่าพอ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ความเจ็บปวดเเละกิเลสที่หลงผิดมาชักนำให้ศิษย์ต้องตกลงไปในอบายภูมิเเละเวียนว่ายไม่จบสิ้น ในเมื่อธรรมนี้เป็นทางสายเก่าที่สักวันชีวิตต้องเดินเเล้วทำไมไม่เดินให้ดีๆ เพราะชีวิตเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า อีกสิ่งที่หนีไม่พ้นคือเกิดมาพร้อมกับกรรม
กรรมนั้นมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้าตอนนี้ชีวิตจะกลับไปสู่ทางเก่า ซึ่งทางเก่านั้นควรจะเป็นทางที่สิ้นเวรสิ้นกรรมหรือเกี่ยวกรรมต่อไป (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  อย่างนั้นการที่ชอบต่อว่าเขาที่เขาทิ้งเรา การชอบด่าเขาให้รู้สึกเจ็บ การประชดตัวเอง นั่นคือการเกี่ยวกรรมหรือสิ้นกรรม (เกี่ยวกรรม)  ถ้าเขาทำเราเจ็บขนาดนี้ ถ้าเขาทิ้งเรา เจ็บแล้วต้องจำ ไม่ใช่เจ็บแล้วกลับไปเหมือนเดิม อย่างนี้เรียกว่าคนไม่ฉลาด ฉะนั้นเมื่อจำแล้วจะทำอีกไหม (ไม่ทำ)  ดังนั้นควรจะขอบคุณเขา ขอให้หมดกรรมกันชาตินี้ ไม่ติดค้างอะไรกันอีก ศิษย์เอ๋ยถ้าของนั้นจะเป็นของๆ เรา ทำอย่างไรก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าอยู่แค่ตัว แต่ใจเขาไม่ได้อยู่กับเรา จะรั้งจะยึดทำไมให้เจ็บปวด
โลกของความเป็นจริงมีสองด้าน มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีหน้ามือก็มีหลังมือ มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง ในเมื่อมีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีทุกข์ได้ก็ต้องมีสุขได้ อาจารย์ขอถามว่าสุขกับทุกข์ ดีกับร้าย อยู่กันคนละฟากฝั่งหรืออยู่ฝั่งเดียวกัน (คนละฟากฝั่ง)  ถ้าเลือกมองแต่ข้างหน้าแล้วเจ็บแล้วทุกข์ ทำไมไม่หันหลังกลับ ถ้าเลือกจมอยู่กับใจที่คับแคบแล้วมีแต่ความเจ็บปวด ทำไมไม่ลองเปิดใจให้กว้าง อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วมันเหมือนอยู่คนละฝั่ง แต่จริงๆ แล้วมันคืออันเดียวกัน จริงไหม (จริง)  หน้ามือกับหลังมือรวมกันเราเรียกว่า (มือ)  ฉะนั้นถ้าคิดแล้วเจ็บ ทำไมไม่รู้จักคิดให้เป็น พลิกใจให้ได้ ด่าเขาเราก็ทุกข์ ถ้ามันเป็นทุกข์ แล้วตรงนี้เป็นสุข ถ้าไม่อับจนปัญญา เราจะหาสุขในทุกข์ไม่ได้หรือ จริงไหม (จริง)  คิดสูงก็พ้นทุกข์ คิดต่ำก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าพ้นจากคิดสูง คิดต่ำ นั่นเรียกว่าสงบ เย็น ไม่ร้อนรุ่ม ไม่คาดหวัง ไม่ยึดติด กลับคืนสู่ทางสายเดิม ที่ถึงที่สุดแล้วเราต้องเดินสายนี้
มาคนเดียวก็ (ไปคนเดียว)  เงินหายช่างมันขอให้ปัญญาและใจอย่าสูญเสีย มีเงินไร้ปัญญา เงินก็หมดได้ ถ้าไม่มีเงินแต่มีปัญญา เงินก็มีได้จริงไหม (จริง)  เหมือนกันศิษย์เอ๋ย คิดว่าไม่มีคนนี้หาใหม่ก็ได้ ก็ไม่ได้จริงจังอะไร แต่พอเขาไม่เอาเรา มันกลายเป็นเจ็บมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคนนะศิษย์เอ๋ย อย่าล้อเล่นกับความคิดหรือความรู้สึกของใจตน เพราะเมื่อพลาดพลั้งหลงไปเป็นทาสของกิเลส อารมณ์แล้ว มันถอนตัวยาก จริงไหม
ถ้าอาจารย์บอกว่าในสิ่งที่มันดูเหมือนตรงกันข้ามศิษย์ว่าจะหาสุขในทุกข์ไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์ไม่อับจนปัญญาพลิกความคิดได้ มองเห็นเป็นฟากฝั่งแห่งความพ้นทุกข์ มันไม่ได้อยู่ตรงข้าม แต่มันอยู่ที่ใจนี้เอง ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีทางพ้นทุกข์ ทำไมต้องรอให้คนข้างนอกมาแก้ ทำไมเราไม่แก้ที่ตรงใจนี้ เพราะมันอยู่ด้วยกันตลอด ศิษย์มักจะมองว่ามันเป็นฝั่งตรงข้าม ฉะนั้นอ่อนแอได้ก็เข้มแข็งได้ ทุกข์ได้มันก็สุขได้ สุขทุกข์มาหลายรอบแล้ว มันก็เย็นและปลดปลงได้ ตราบที่ชีวิตยังไม่หมดลมหายใจและไม่อับจนปัญญา ทำไมเราต้องยอมแพ้ จริงไหม (จริง)  นั่งเมื่อยได้ก็ลุกขึ้นยืนได้ ที่ยืนเมื่อยได้ก็นั่งได้ เพราะมันคือชีวิต แต่ถ้าเมื่อไหร่ยืนแล้วไม่ได้นั่งนั่นคืออัมพาตกิน เหมือนกันใจศิษย์ยังมีชีวิตมันยังพลิกได้ ถ้ามันพลิกไม่ได้มันคือตายทั้งเป็น แล้วใจศิษย์ตายทั้งเป็นไหม (ไม่)  ยังรู้สึกอยู่แล้วทำไมยอมตายล่ะ เจ็บนิดหน่อย เรียกให้อาจารย์จี้กงช่วยที อาจารย์อยากจะบอกว่า ถึงอาจารย์จะมาพัดให้ ถึงอาจารย์จะเอาน้ำมนต์ให้ แต่ถ้าใจศิษย์ไม่ลุกขึ้นสู้อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอาจารย์จะชี้นำทางสว่างแต่ถ้าศิษย์ไม่เดินทางสว่าง ศิษย์จะคิดมืดมน อาจารย์ก็เปลี่ยนแปลงชะตากรรมไม่ได้ อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้นำแนวทาง ตักเตือนให้ศิษย์เดินให้ถูก แต่ถึงเวลาเมื่อใช้ชีวิตศิษย์ต้องตัดสินใจเอง เพราะชีวิตไม่ใช่ฟ้าลิขิต ไม่ใช่คนอื่นกำหนด แต่เราต้องกำหนดตัวเอง อย่ารออาจารย์จี้กงชี้ อย่ารออาจารย์บอก แต่ศิษย์ต้องตื่นรู้ด้วยตัวเองพอถึงเวลา คำว่าทำใจ มันเป็นเรื่องที่ทำยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ แล้วเราก็ไม่ควรจะคิด แต่คนก็อดคิดไม่ได้
ของบางอย่างเมื่อมันขึ้นสู่ที่สูง สักวันก็ย่อมตกลงมา มันธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครที่จะพบสุขแล้วไม่มี (ทุกข์)  ไม่มีใครที่จะพบดีแล้วไม่ (พบร้าย) ธรรมสอนว่าทุกขณะของการดำเนินชีวิต คือทุกขณะของการตื่นรู้ สิ่งใดที่เรียกว่ากิเลส สิ่งนั้นก็เรียกว่าปัญญาญาณ สิ่งใดที่เรียกว่าเกิดดับ สิ่งนั้นก็สามารถเรียกได้ว่า “พระนิพพาน” เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นว่า สิ่งใดที่เรียกว่าด้านหน้า สิ่งนั้นก็คือ (ด้านหลัง)  และในด้านหน้าด้านหลังมีกลางไหม (มี)  ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งใดที่ก่อให้เกิดกิเลส สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดเป็นปัญญาญาณ สิ่งใดที่เป็นความเกิดดับ สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดนิพพาน สิ่งที่ศิษย์มองว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ แล้วอยู่คนละด้าน ถ้าเรามองให้เห็นชัดแท้ที่จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่าเราพลิกใจได้หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่รู้ สิ่งที่แสดงออกจึงกลายเป็นกิเลส บาป กรรม เมื่อรู้ สิ่งที่แสดงออกจึงกลายเป็นปัญญาญาณ” เพราะเราไม่รู้ เห็นไม่ชัด เราเลยทุกข์ ถ้ามนุษย์เลือกแต่หนีทุกข์ ปฏิเสธทุกข์ กลัวทุกข์ พ้นไหม (ไม่พ้น) เพราะฉะนั้นทำอย่างไร (ทำใจยอมรับแล้วก็สู้ต่อไป บำเพ็ญธรรม ยอมรับความจริง)  สิ่งที่ศิษย์ตอบล้วนเป็นคำตอบที่ดี แต่สิ่งที่ศิษย์กำลังพยายามทำใจและยอมรับ พระพุทธะกลับนำสิ่งนั้นมาทำให้ตัวท่านตื่นรู้แล้วกลายเป็นพุทธะและนำสิ่งที่ตื่นรู้มาโปรดเวไนย ยอมรับความจริง แล้วเราเคยเห็นความจริงไหม ความจริงที่ทำให้เราเห็นจริงแล้วยิ่งกว่าจริงขึ้นไปอีก แล้วไม่ทุกข์อีกต่อไป แล้วเราเคยนำสิ่งที่เป็นความจริงนั้นมาพิจารณาจนบังเกิดการตื่นรู้ไหม แล้วสิ่งที่เป็นความจริงนั้น เรียกว่า สัจธรรม ในโลกล้วนเต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่เรียกว่าชีวิตและทุกชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม เมื่อไรที่มนุษย์ประจักษ์แจ้งในสัจธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะตื่นรู้ความจริง
ทุกสรรพสิ่งล้วนเรียกว่าชีวิต สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตหรือที่เรียกอีกอย่างว่ารูปนาม รูปนามหนีไม่พ้นความจริงแห่งสัจจะ เมื่อไหร่ที่มนุษย์ตื่นรู้ เมื่อนั้นมนุษย์จะเห็นความจริง และเมื่อไหร่ที่มนุษย์เอาความจริงนั้นมาไตร่ตรองพินิจจนเห็นแจ้ง มนุษย์จะสามารถเป็นอิสระต่อกิเลสสิ่งแวดล้อม เข้าถึงความบริสุทธิ์และพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
สัจจะความจริงอะไรที่เราเข้าใจแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ สัจจะความจริงอะไรถ้าเราเห็นแล้วจะสามารถทำให้เราปลดปลงและพ้นทุกข์ (ยอมรับความจริงแล้วสู้ไปกับมันได้)  (มีเกิดก็มีดับ ตั้งอยู่เเล้วดับไป ความจริงที่ดำรงอยู่)  นั่นคือสัจธรรม สัจจะคือความจริงที่คงอยู่เป็นนิจนิรันดร์เปลี่ยนแปลงไม่ได้
(ทำตัวเป็นกลางปล่อยวางทุกอย่าง)  ทำให้ดีที่สุดเเละยอมรับทุกสิ่งเเม้ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี แต่มองให้เป็นกลาง
(บำเพ็ญบุญ)  บำเพ็ญบุญและต้องละบาปด้วย ถ้าบำเพ็ญบุญเเต่บาปไม่ละเรียกว่าดีไม่แท้จริง
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดมาตัวเปล่าเเละไปตัวเปล่า)  ตอบได้ดี ความจริงอันเป็นสัจจะที่หมั่นพิจารณาเเล้วหยั่งให้ถึงธรรมตลอดเวลา จะทำให้เราพ้นทุกข์ ความจริงที่ทำให้ตื่นรู้เเล้วทำให้ไม่ทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องไปทุกข์ก่อน เเต่สามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเห็นชัด
(ความจริงในธรรมชาติที่ดำรงอยู่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ถ้าเรายอมรับในความจริง มองเห็นความจริงตลอดเวลาก็จะไม่ทุกข์ ในโลกของความจริงมีสิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์กับความจริงที่แอบแฝงซ่อนอยู่ สมมติว่านำผลไม้ปาใส่หน้าคนนี้ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาทุกข์หรือศิษย์ทุกข์ (เขาทุกข์) เราเห็นเเล้วทุกข์ตามไหม (ไม่)  ถ้านำสาลี่ปาใส่ศิษย์ ศิษย์จะทำให้ตนเองไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้)  ด้วยการทำอย่างไร มีสองทางคือหลบให้พ้นกับรับให้ได้ รับได้มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าหลบพ้นก็ไม่ทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดคนเขาอยากจะปาให้มันโดน ยังไงก็หลบไม่พ้น (ต้องมีครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2) เพราะฉะนั้นถ้าอาจารย์ปาปุ๊บ (เฉย)  เฉยมันก็เจ็บนะ ศิษย์เอ๋ย เวลาเจอเรื่องทุกข์มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่เราจะรับมือกับมัน บางครั้งศิษย์ต้องนิ่งเฉย (เหมือนเวลาอาจารย์ตีก้น ลงโทษอย่างไรเราก็ต้องนิ่งเฉย โดนตีเจ็บ แต่ก็ต้องรับผิดเราต้องยอมรับ เหมือนเป็นนักเรียน)  ศิษย์พูดได้ถูกต้อง แต่ว่าเมื่อปรากฏการณ์มันมาอย่างนี้ เราจะมองเห็นความจริงไหม มองเห็นความจริงแค่เพียงว่าโดนด่า โดนว่าเป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็หนีไม่พ้น นั่นเรียกว่าปรากฏการณ์ภายนอก แต่ปรากฏการณ์ภายในที่แท้จริงคือความเจ็บ ศิษย์ว่าความเจ็บมันอยู่นานไหม (ไม่)  ศิษย์จะมองแค่ความเจ็บแล้วจำความเจ็บ หรือศิษย์มองความเจ็บไปจนถึงที่สุดจนถึงความจริง (เราต้องดูว่าการกระทำนั้นเราผิดไหม แล้วมาปลงว่า การที่ทำผิดเราต้องโดนทำโทษ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำผิดไป)  ส่วนใหญ่เราจะมองเห็นว่าทำผิดแล้วก็ทำโทษเป็นเรื่องปกติ โดนว่าก็ต้องทุกข์เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าศิษย์คิดเช่นนี้ ก็จะได้แค่นี้ๆ ไปตลอด แต่สิ่งที่อาจารย์กำลังจะบอกมากกว่านั้นก็คือ อย่ามองแค่ความเจ็บ อย่ามองแค่การโดนด่า อย่ามองแค่การโดนตี แต่มองให้เห็นจริงว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต มันไม่มีอะไรที่จะคงอยู่อย่างนั้น มันต้องแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึก มันก็จะเจ็บไปตลอด แต่ถ้าเรามองความรู้สึกให้จริงแท้จนถึงที่สุด เราจะลากความเจ็บไปตลอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ความเจ็บเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ความเจ็บเปลี่ยนแปลงไหม ความเจ็บถึงที่สุด ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วเราจะยึดมันให้ทุกข์ หรือเราจะมองให้ถึงที่สุดแล้วเห็นแจ้งประจักษ์จริง (มองให้ถึงที่สุด)  เมื่อเรามองให้ถึงที่สุด จนเห็นแจ้งประจักษ์จริง เราจะไม่จมอยู่กับความเจ็บ แต่จะเห็นได้ว่าเราเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่น แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ควรหรือที่จะเอามาคิดเจ็บตัวเจ็บใจ ฉะนั้นถ้าเกิดว่าศิษย์เจอเรื่องราวที่ไม่ถูกใจ เจอเรื่องราวที่ไม่เป็นดั่งคิด จงมองให้เห็นความจริงว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง และถึงที่สุดก็ต้องกลับไปสู่ความว่างเปล่าอันเป็นกลาง จริงไหม (จริง)
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะทุกข์กับโลกใบนี้ไหม (ไม่)  อย่ามัวติดยึดอยู่แต่ปรากฏการณ์ จนลืมมองความจริงแท้ เพราะถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงแท้และเห็นแจ้งจริง มนุษย์จะเป็นอิสระ พ้นจากกิเลส แต่ถ้าเรายังไม่ยอมเห็นแจ้งจริง เกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แล้วกรรมดีนั้นเป็นกรรมที่เราต้องเวียนว่ายรับไหม (รับ)  กรรมชั่วเป็นสิ่งที่เราต้องรับไหม (รับ)  เมื่อเราหลงไปกับกิเลส ก็หนีไม่พ้นกรรม เมื่อหนีไม่พ้นกรรม ก็หนีไม่พ้นทุกข์ที่แท้จริง ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติรู้ทันความคิด ไม่ตกไปเป็นทาสของความดี ความร้าย หรือเรียกว่ากระแสแห่งวิบากกรรม
บางทีสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากแต่ศิษย์เคยนำสิ่งนั้นมาคิดพิจารณาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งไหม ถ้าในใจศิษย์ไม่มีคำว่ายึดติดว่าอะไรเรียกว่าดี อะไรเรียกว่าไม่ดี ดีก็ไม่กลายเป็นสุข ไม่ดีก็ไม่กลายเป็นทุกข์ ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียน 3 คน ออกไปยืนหน้าชั้น)
โดยส่วนใหญ่เรามักจะมองเปรียบเทียบกัน มีคนเตี้ยและมีคนสูง อาจารย์ถาม จริงๆ เขาเตี้ยไหม (เตี้ย,ไม่เตี้ย)  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เราจึงเป็นอิสระไม่เกิดกิเลสและสามารถพ้นทุกข์แห่งพันธนาการได้ เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าอาจารย์บอกว่า คนนี้เตี้ยไม่ดี แล้วชมคนที่สูงว่าดี ถามจริงๆ มีเตี้ยกว่านี้ไหม มีแย่กว่านี้ไหม แล้วที่สูงกว่ามีไหม ฉะนั้นวันนี้ศิษย์โดนเขาด่าและอีกคนชม คนที่ด่าเขาแย่กว่าเราจริงไหม (ไม่จริง) คนที่ทำร้ายเราให้เจ็บปวดเขาไม่ดีกับเราจริงๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าเรายังมีลมหายใจยังมีสิ่งที่มีมากกว่า แล้วยังมีสิ่งที่ทุกข์มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อย่ามัวแต่ยึดติดปรากฏการณ์ที่ศิษย์เห็นจนลืมมองความจริงที่มากกว่านั้น ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจความจริง มนุษย์จะรู้ว่าทุกสิ่งมีแค่ชั่วคราว ตราบที่ยังมีลมหายใจเเล้วมนุษย์ยังครองสติได้ไม่ดี บางครั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่มีอะไรทุกข์เเละไม่มีอะไรสุขเพราะทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ในสูงยังมีสูงกว่า ชีวิตคือความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน อย่ามัวจมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจนลืมมองว่าชีวิตยังต้องก้าวต่อไป อย่ามัวทุกข์อยู่กับสิ่งเดียวจนลืมมองว่ามีอะไรต่อไปอีก อย่ามองแค่ปรากฏการณ์รูปแบบที่เเสดงให้เห็น เเต่ต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ความจริง ซึ่งจะทำให้ศิษย์พ้นจากกิเลสและเป็นอิสระจากความทุกข์ แต่มนุษย์กลับยึดติดแค่เท่านี้ ถ้าเปิดใจให้กว้างมีสูงกว่าอีกไหม (มี)  มนุษย์มองแค่ตรงนี้เลยรู้สึกว่าตัวเองแย่ ทำไมไม่หันกลับมามองว่ายังมีที่แย่กว่า ถึงตอนนี้จะทุกข์เเต่ก็มีทุกข์กว่า ทุกข์เเละสุขไม่ได้อยู่ที่ด้านตรงข้ามเเต่อยู่ที่เราพลิกใจเป็นไหม พลิกใจเป็นหันหลังกลับก็พบความจริง ความจริงนั้นจะปลดเปลื้องให้ไม่ต้องทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าโลกไม่เที่ยงเราจะเกลียดอะไร จะรักอะไร เพราะสิ่งที่น่ารักก็พร้อมจะน่าเกลียด เมื่อเราไม่ปักใจใส่ลงไปก็ไม่มีอะไรทำให้ใจเราทุกข์ เพราะเรายึดติดแต่ความคิดจนขาดสติเเละมองความจริง การศึกษาหลักธรรมสอนให้เราอย่ามองเพียงเปลือกนอกเเต่จงมองให้เห็นถึงแก่นแท้ความจริงเพราะแก่นแท้ความจริงจะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นตราบยังมีลมหายใจอย่าจมอยู่กับความทุกข์ แต่จงค้นพบทางพ้นทุกข์ด้วยปัญญาของตนเอง จำไว้นะศิษย์น้อยเอ๋ย สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นกิเลส เป็นบาป เป็นกรรมนั้นก็เป็นปัญญาญาณแห่งความตื่นรู้ ทุกขณะแห่งการดำเนินชีวิต ที่เราประพฤติปฏิบัติ คือทุกขณะที่สามารถทำให้เราตื่นรู้ได้ สมมติอาจารย์โดนด่า โดนเบียดเบียน โดนทำร้าย อาจารย์คิดร้าย ผูกใจเจ็บ เจอหน้าจะไปจองเวรจองกรรม นั่นก็คืออาจารย์ไม่สิ้นเวรสิ้นกรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์คิดดี มองในแง่ดี และปฏิบัติดี มันก็ยังเป็นกรรมอยู่ ถูกหรือไม่ เพราะมันยังมีความเป็นตัวตนที่ยึดติดว่า ฉันต้องพยายามทำดีให้กับเขาถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองจนถึงความเป็นจริง ไม่ว่าฉัน หรือ เขา ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไร แล้วเราต้องพยายามทำดีเพื่อหวังผลไหม (ไม่)  เราดีเพื่อแค่ดี เป็นดีที่ไม่ยึดติด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์คิดว่า หนูจะต้องเป็นคนมีเมตตา หนูจะต้องเป็นคนเสียสละ หนูจะต้องเป็นคนใจกว้าง คิดแบบนี้ก็คือยังทำดีเพื่อหวังผล ยังทำดีเพื่อยึดติด ว่าสิ่งที่ดีนั้น ทำแล้วมันจะทำให้เราสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดศิษย์โดนเขาด่า ไม่เป็นไร ถึงที่สุดทั้งเธอและฉัน ก็คือความว่าง ไม่มีฉันไม่มีเขาในโลกแห่งความเป็นจริง มีแต่สรรพสิ่งที่แปรเปลี่ยน เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนจนถึงที่สุด เราจึงมีกรรมแค่สังขาร หามีกรรมที่จิตใจไม่ เมื่อนั้นเราจึงมีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมของสังขาร จิตจึงว่างจากการยึดติดแห่งตัวตน กลับสู่ภาวะธรรมอันแท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าทางหู ทางตา แล้วมีโลภโกรธหลงก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องเวียนว่าย เเต่ถ้าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นั่นคือสิ้นวิบากกรรม สิ้นเวรกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อสิ้นเกิดดับหรืออยู่เพื่อเกิดแล้วดับไม่จบสิ้น เมื่อฟังเเล้วเข้าใจ จะเข้าใจว่าทำไมต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อหลุดพ้น เมื่อฟังธรรมไประดับหนึ่งเเล้วจะปฏิบัติธรรมอย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญ นั่นคือเรามีหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ไม่ขาดศีล ไม่บกพร่องธรรม เเละทำด้วยความสุขไม่ได้ทำเพราะโลภตำแหน่ง หรือสนองกิเลสตัณหา ถ้าทำได้เช่นนี้จึงเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ทุกขณะที่ปฏิบัติคือทุกขณะที่ตรัสรู้ ทุกขณะที่ได้ปฏิบัติทำให้เราตื่นรู้ว่าจะไม่ตกเป็นทาสกิเลส เช่น อาจารย์ให้เงินหนึ่งร้อยบาท รับไหม (รับ)  เเล้วค่อยไปทำบุญทำทาน โลภแล้วค่อยให้ทานกับไม่ต้องโลภแต่ได้ให้ทาน สิ่งใดดีกว่ากัน (ไม่โลภแต่ได้ให้ทาน)  เพราะความโลภถมอย่างไรก็ไม่เต็ม ศิษย์ก่อเกิดกิเลสแล้วค่อยทำดีกับไม่สร้างกิเลสเลยเรียกว่าการทำดีปฏิบัติธรรม อะไรประเสริฐกว่ากัน
ศิษย์บอกว่า ขอให้ไปโลภก่อน ขอไปผิดศีลก่อน แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญทำทาน เหมือนอาจารย์บอกว่า อาจารย์ตบศิษย์คนนี้ แล้วอาจารย์ไปอุทิศบุญให้กับอีกคนหนึ่ง ชดเชยกันได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไปด่าคนนี้ แต่อาจารย์ไปทำดีกับคนนี้ มันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ฉันใดก็ฉันนั้นศิษย์ ทำไมต้องปล่อยให้ตัวเองไปโลภ ไปโกรธ ไปหลง แล้วค่อยมาประพฤติดีปฏิบัติดี ทำไมไม่หยุดตั้งแต่ก่อนโลภ โกรธ หลง ก่อนที่จะกลายเป็นวิบากกรรมให้เราต้องรับล่ะ
พ่อแม่ตีก็ไม่ใช่ไม่รัก แต่ก็เพราะยิ่งรักก็เลยยิ่งตี การโดนตี การโดนด่าใช่แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี การสูญเสียการถูกทำร้ายใช่เป็นสิ่งที่แย่และเป็นทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรามองให้เห็นชัดในโลกแห่งความเป็นจริงว่า อะไรดีแท้จริง อะไรแย่แท้จริง อยู่ที่เราสามารถมองเห็นชัดแล้วไม่ยึดติดความคิดตัวเองได้หรือเปล่า หนทางแห่งการบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติคือ เดินสู่ทางสายกลาง ไม่ตัดสินว่าใครดีหรือใครร้าย ไม่ยึดติดว่าใครแย่ใครดี มุ่งกลับสู่ทางสายกลางคือความสงบเย็นที่แท้จริง
หลายคนมักถามอาจารย์ว่า ทำไมเขาไม่ดีอาจารย์ไม่ว่า อาจารย์อยากจะบอกว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจ แปลว่าฟ้ายังให้โอกาสศิษย์แก้ตัวและทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าศิษย์ไม่มีลมหายใจแปลว่าฟ้าไม่มีโอกาสให้ศิษย์ได้มีชีวิตแล้วทำตัวให้ดีที่สุดแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก็ต้องจากลากันแล้วนะ ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งชีวิตต้องพบความแก่ ความเจ็บ ความตาย จำคำที่อาจารย์จี้กงพูดให้ได้นะ ว่าเรากำลังกลับสู่ทางสายเก่าที่มีกรรมแค่สังขาร แต่จิตพ้นกรรมมานานแล้ว อย่าสร้างตัวตนยึดติดกับกรรมจนก่อเกิดเป็นทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ศิษย์เอ๋ยศิษย์รู้ไหมว่าตัวตนที่ศิษย์บอกว่าอันนี้เรียกว่าของตน อันนี้เรียกว่านิสัยตน มันเป็นความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แท้ตัวตนของศิษย์คืออะไร มันไม่มี มีแต่อารมณ์ นิสัย ที่ศิษย์บอกว่าก็ฉันเป็นคนแบบนี้ ก็ฉันชอบอย่างนี้ แต่จริงๆ มันเป็นของศิษย์จริงๆ ไหม (ไม่จริง)  มันไม่มี แต่เราไปยึดติดมัน พอไปยึดก็สร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าเรามองเข้าใจความจริงว่า มันว่างเปล่า มันไม่มี มันก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง นั่งอยู่ตรงนี้ถือว่าเสียสละเพื่อผู้อื่นเป็นจิตใจที่ดีงาม อยากให้อาจารย์จับมือ อาจารย์จับมือแล้วจะเป็นมงคลหรือเปล่าอยู่ที่การกระทำของศิษย์นะ หวังจะให้อาจารย์ตีจะได้หายโรคหายภัยหรือ หายโรคหายภัยบางครั้งมันก็ยังไม่ดี เพราะว่าเมื่อถึงเวลาเราก็หนีไม่พ้นความจริงก็คือ เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่สิ่งที่สำคัญเหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นคือจิตที่ตื่นรู้ในความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงแค่สังขาร แต่จิตพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายมานานแล้ว แต่เราเคยมองเห็นจิตตัวเองไหม มองเห็นแต่ใจ มองเห็นแต่สังขารอันไม่เที่ยง เราบำเพ็ญเพื่อกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ ไม่ใช่เราบำเพ็ญเพื่อความมีตัวตน เราบำเพ็ญเพื่อละวางตัวตนกลับคืนจิตอันเดิมแท้ ฉะนั้นต้องรู้จักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าหวังแต่จะพึ่งอาจารย์อย่างเดียว แต่ศิษย์ต้องรู้จักพึ่งปัญญาญาณที่ตื่นรู้ในความจริงแห่งตนด้วย ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรจงคิดด้วยปัญญา จงมองด้วยปัญญา อย่าติดอยู่กับความคิดและอารมณ์ความรู้สึก เพราะอย่างไรทุกชีวิตก็หนีความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ ฉะนั้นตายแค่สังขาร จงเอาจิตที่ว่างเป็นสภาวธรรม เป็นตัวตนอันแท้จริงที่ไม่มีอะไรที่ต้องเกาะเกี่ยว ได้หรือไม่ (ได้)  ไม่ได้กลับไปนิพพานแล้วไปเสวยสุข อันนั้นก็ยังไปยึดตัวตน แต่กลับคืนสู่ธรรมที่ว่าง ธรรมที่ไม่ต้องยึดถือ เพราะถ้ายังยึดถือเราก็ยังมีที่ให้ต้องทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเรายังยึดติดก็แปลว่าเรายังอยากมีทุกข์เวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นกลับคืนสู่สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่เอาอะไรแล้ว ทำเต็มที่แล้ว ดีที่สุดแล้ว ศีลก็ไม่ขาด ธรรมก็ไม่พร่อง ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันดูแลตัวเอง ฉันเอาชีวิตตัวเองให้รอด กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้คือความว่างให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะมีตัวตนให้ทุกข์ทำไม มัวแต่กำจัดกิเลส มิสู้กำจัดที่สร้างกิเลส กิเลสน่ากลัว แต่ตัวตนที่สร้างกิเลสน่ากลัวกว่ากิเลสอีกนะ อย่ามัวแต่หยุดกิเลส แต่ต้องหยุดการยึดติดตัวตนที่เป็นเหตุให้กิเลสอิงอาศัย ฉะนั้นมองตัวเองว่างเปล่าๆ บ้าง ไม่มีบ้าง ยึดลูกหลาน ยึดทรัพย์สินไป ยึดสามี ยึดภรรยาไปก็มีแต่ทุกข์ ถึงที่สุดแล้วก็ต้องตัวใครตัวมัน จงเข้มแข็ง มองความจริงให้ถ่องแท้ เพื่อเราจะได้กลับสู่ความอิสระ และพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ได้ไหมหนอ เข้มแข็งนะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากลับเข้ามาส่งเสริมนักเรียนในชั้น)
ศิษย์เอ๋ยดูแลตัวเองให้ดี ถึงที่สุดแล้วทุกคนล้วนมีชะตาชีวิต อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ เข้มแข็ง ขออย่าสร้างปัญหาเพิ่มก็พอ รอดมาได้ก็ดีแล้ว ใจสู้แค่นั้นเอง ถ้าใจไม่สู้มันก็ต้องแพ้แล้วใช่ไหม เลิกจมอยู่กับความคิด มีสติได้แล้วนะศิษย์เอ๋ย เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ มีโอกาสมาฟังธรรมอีกนะ ขอให้รู้จักดำเนินชีวิต ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี อยู่ที่บุญกรรมที่เราสร้าง ถ้าเราไปเบียดเบียนชีวิตเขาก็ต้องสำนึกขอขมากรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ศิษย์ผู้ที่มีปัญญา ตั้งใจบำเพ็ญอย่าปล่อยให้กิเลสอารมณ์ชักนำทำให้ก่อเกิดวิบากกรรมเเล้วทำให้เราต้องทุกข์ไม่จบสิ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยต้องถามตัวศิษย์เองว่าไปสร้างกรรมอะไรมา ถ้าศิษย์ไม่สำนึกขอขมา กรรมนั้นก็ไม่มีวันจบสิ้น กรรมบางอย่างเป็นกรรมของสังขารที่หนีไม่พ้นความเจ็บเป็นเพียงแค่สังขารอย่าให้เจ็บไปถึงใจเลย เราหนีความเจ็บของสังขารไม่ได้ หนีความทุกข์ของสังขารไม่ได้ เเต่มีจิตที่ตื่นรู้ เข้าใจความจริง เเล้วไม่ทุกข์ในสังขารได้ ไม่ใช่หรือ ให้อาจารย์ลูบหัวเพื่อให้หายจากโรคภัยเเต่คนที่สร้างโรคภัยคือตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่รู้จักดูเเลตัวเองให้ดี ให้อาจารย์ช่วยก็ได้เพียงชั่วคราว ถ้าศิษย์ไม่ดูเเลตัวเองให้ดี ไม่รู้จักนำพาชีวิตให้ถูกต้อง ศิษย์ก็จะเจ็บทั้งกายเเละใจ ถ้าศิษย์เข้าใจก็จะรู้ว่ามีแค่กายเท่านั้นที่เจ็บเเต่ใจของเราไม่เคยเจ็บ เรามักหลงในสิ่งที่ไม่ควรหลง ผิดในสิ่งที่ไม่ควรผิด ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่ดี ศิษย์ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าหาเหตุให้ตนเองทุกข์ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องนะ
ศิษย์เอ๋ยว่างๆ หมั่นสวดมนต์ กราบพระเยอะๆ ทำจิตให้สงบ อย่าฟุ้งซ่านเข้าใจนะ เพราะอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์เป็นแบบนี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์เองนะ ตื่นรู้ในความจริงมากกว่าสิ่งที่เห็นเพียงปรากฏการณ์ชั่ววูบ ตื่นรู้ในสัจจะอันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และนำพาให้จิตพบอิสระอย่างแท้จริง กลับคืนความบริสุทธิ์ เกิดตายไม่น่ากลัว เจ็บตายก็ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือจิตที่ยึดติดไม่ยอมนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ต่างหาก เอาแต่ทุกข์อยู่นั่นแหละ ทำไมไม่คิดให้พ้นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองไตร่ตรองให้ดีนะ ไม่ต้องยึดอาจารย์จี้กง แต่มองที่หลักสัจธรรมเอาหลักสัจธรรมไปไม่ต้องเอาอาจารย์ไป เอาหลักสัจธรรมไปใช้ในชีวิตนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ และเมื่อเข้าใจเราจะได้กลับคืนสู่สภาวธรรมเดียวกันที่ทำให้คนทุกคนเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความแตกต่าง ดีหรือไม่ (ดี)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ซื่อสัตย์ต่อความจริง”
     มองตามจริงหรือมองตามใจตน               หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย
รู้ไม่ทันจึงคิดปล่อยวางไม่ได้                       ก็ยากเห็นจริงได้ด้วยปัญญา
กิเลสเกิดจากความคิดแห่งตน                      ใช้อารมณ์จนเป็นนิสัยตนหนา
ตามองไปไม่เห็นความจริงนา                      เพราะตลอดมายึดแต่ในความคิดตน
ปัจจุบันคือความจริงที่สุดแล้ว                      ยึดติดคงไม่แคล้วต้องทุกข์หนอ
อย่ามัวฝันจงกล้ารับความจริงพอ                  ตื่นเพื่อรู้มิรีรอใครทำใจ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมถงซิน วันที่ ๑๘-๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐  
เพลงพระโอวาทพระอาจารย์หน้า ๑๔ บรรทัดที่ ๒
เดิม     ตาไม่ฟังปัญหาเพื่อก้าวมิก่าย  แก้เป็น       ตาไม่ฟังไม่คิดมิก้าวมิก่าย
บรรทัดที่ ๓
เดิม     ศิษย์ช่วยตน ช่วยคนเมตตาลึกล้ำ
แก้เป็น    ศิษย์ช่วยกัน ช่วยช่วยกันเมตตาลึกล้ำ
บรรทัดที่ ๙-๑๐
เดิม     ตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรมดีไหม เห็นไม่ดี ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้แท้จริง
แก้เป็น ตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรมให้ดี เห็นไม่ดีก็ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้ความจริง
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย วันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐   หน้า ๑๙
เดิม     ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าแง่ลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวมิได้
แก้เป็น    ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจมิได้
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา