แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิษย์พี่เม่าเถียน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิษย์พี่เม่าเถียน แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

2552-04-13 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร



西元二○○九年歲次己丑三月十八日 仙佛慈悲訓
วันจันทร์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ฝึกงูใหญ่เป็นมังกรผงาดฟ้า ฝึกนกเป็นหงส์กล้าสง่าศรี
ฝึกมนุษย์ให้เป็นปราชญ์เป็นเมธี ฝึกคนดีให้ยิ่งใหญ่ด้วยปณิธาน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดา มองดูศิษย์รักด้วยความเป็นห่วง


ทำงานฟ้าด้วยศรัทธาและสองมือ ขุมพลังคือสามัคคีเป็นที่ตั้ง
งานทุกงานขัดเกลาตนไปพลาง ใจฟ้าตั้งไม่ติดอุปสรรคใด
ใช้ปัญญาแย้งขัดคนไม่แหนง ใครพลิกแพลงเป็นแกร่งสิ้นสงสัย
ยิ่งขึ้นมาเป็นอาจารย์บรรยายไซร้ ยิ่งต้องอ่อนน้อมใจเป็นสำคัญ
ฮา ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เกิดเป็นคนต้องมีความมุ่งมั่นที่สร้างสรรค์และยิ่งใหญ่ จะเป็นนกต้องเป็นนกที่ยิ่งใหญ่และบินให้สูง ถ้าจะเป็นงูใหญ่ก็ต้องเลือกเป็นมังกรที่บินให้ได้ ถ้าบำเพ็ญไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีแต่ปณิธานแต่ไร้หัวใจอันมุ่งมั่น สิ่งที่ศิษย์ตั้งนั้นทำไม่ถึง ไปไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์มาหาศิษย์ อาจารย์อยากถามปณิธานศิษย์คืออะไร มารับปณิธานวันนี้ หัวใจอะไรที่มุ่งมั่น มุ่งมั่นจะทำอะไร เข้าใจคำว่าบำเพ็ญธรรมหรือไม่  ทำไมเราต้องบำเพ็ญ ทำไมเราต้องช่วยคน การช่วยคนข้างนอกกับการปกโปรดยุคสามนี้ต่างกันอย่างไร ตอบคำถามอาจารย์ได้ไหม ดีแล้วทำไมต้องบำเพ็ญ ศิษย์ที่เริ่มต้นต้องตอบคำถามของอาจารย์ให้ได้ จำได้ไหมว่าอาจารย์ถามว่าอะไรบ้าง เพราะในห้องนี้มีผู้เพิ่งเริ่ม มีผู้เพิ่งเดินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว กับมีคนเก่า
ฉะนั้นอาจารย์จะถามแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม นั่นเป็นของคนกลุ่มแรก บำเพ็ญคืออะไร ทำไมเราต้องบำเพ็ญ แล้วทำไมเราต้องช่วยคน เราช่วยคนปกโปรดยุคสามครั้งนี้ต่างกับช่วยคนข้างนอกอย่างไร ศิษย์ต้องหาคำตอบให้ได้ ถ้าศิษย์หาคำตอบนี้ไม่ได้ ศิษย์จะเป็นกระบอกเสียงแทนฟ้าดินได้อย่างไร ถูกไหม (ถูก)  นี่คือคำถามเริ่มต้น คำถามพื้นฐานที่ศิษย์ต้องตอบให้ได้
กลุ่มที่สอง  พูดได้ดีแล้ว พูดได้เก่งแล้ว ตอบอาจารย์หน่อย อะไรเรียกว่าผู้บำเพ็ญ หินกับหยกต่างกันอย่างไร ทำไมเปรียบผู้บำเพ็ญเป็นหยก ปุถุชนกับกัลยาณชนต่างกันตรงไหน ใจฟ้ากับใจมนุษย์เป็นอย่างไร ถ้าบำเพ็ญมาในระดับหนึ่งยังแยกไม่ออกซึ่งสองความหมายที่อาจารย์พูดนี้ ศิษย์ต้องทบทวนอย่างหนัก ศิษย์เป็นอาจารย์บรรยายธรรมมาได้อย่างไร ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์ยังไม่ลงลึกนะ
กลุ่มสุดท้าย อาจารย์จะให้ใคร ศิษย์ต้องรู้แล้วนะ นั่นคือพวกที่บำเพ็ญมานานแล้ว อยู่ข้างหน้าเขา ตอบอาจารย์หน่อย คำว่า "เอกภาพ" คืออะไร ไม่ต้องออกนอกบ้านก็สามารถรู้ถึงสรรพสิ่ง รู้หนึ่งแจ้งถึงสิบคืออะไร ฉะนั้นศิษย์ต้องตอบอาจารย์ให้ได้ วันนี้อาจารย์ให้การบ้านที่ศิษย์ต้องไปลงแรง หาคำตอบให้เจอ บรรยายธรรม ธรรมตรงไหน หัวใจแห่งการบรรยายธรรมคืออะไร คงไม่ต้องให้อาจารย์พูด ศิษย์ก็รู้นี่ การอยู่ร่วมกับคนเป็นเรื่องทรมาน การมีชีวิตเป็นเรื่องที่ทรมาน แต่การไม่รู้แจ้งเห็นจริงไม่สามารถตัดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอาจารย์ว่าทรมานยิ่งกว่าการอยู่ร่วมกับคนในโลกอีกนะ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์เบื่อที่จะต้องมาเจอคน ศิษย์เบื่ออุปนิสัยของคน ทำไมศิษย์ไม่เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดที่มันน่าเบื่อยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ ชีวิตนี้ก็ทุกข์มากแล้ว แต่สิ่งที่ทุกข์หนักหนาสาหัสสากรรจ์ก็คือการไม่รู้หนทางหลุดพ้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์จะกลับมาใหม่ อาจารย์คงไม่ทำลายความสุขของศิษย์หรอกนะ  ตอบคำถามของอาจารย์มาให้ได้นะ ตัวแทนแห่งฟ้า ตัวแทนแห่งดิน หงส์และมังกร ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ อาจารย์พร้อมเมื่อไหร่ อาจารย์จะมาหาศิษย์
วันอังคารที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


รับหน้าที่บรรยายธรรมแทนฟ้า เที่ยงธรรมพิสุทธิ์กล้ากระจ่างชัด
ความสำรวมเคร่งครัดอย่าได้ขาด ธรรมวางจัดในชีพตนไม่เสื่อมคลาย
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อินอีกคราหนึ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักหิวกันหรือยัง


ทำงานต่อสานกันอย่าวู่วาม โปรดยุคสามมุ่งเก่าใหม่ผสาน
ปณิธานไม่ตามติดอ่อนมุ่งมั่น คิดต่างกันซ้อมแรงจิตกุศล
อะไรต้องก็เมื่อไรก็เมื่อนั้น เมื่อพร้อมกาลบ้านเดิมสุดถนน
ผลสุกงอมกลับรวมชีวิตต้น เดินอยู่บนสัจธรรมไม่เปลี่ยนใจ
เขาก็เรากันและกันเอ็นดู สามัคคีแตกเป็นหมู่จิตย่อมส่าย
คนเพิ่มต่อไม่ใจกว้างอย่างไร คนเริ่มแรกเมื่อใหม่ต้องประคอง
หมั่นส่งเสริมบำเพ็ญกันอย่างมีหลัก บรรยายธรรมใช้ปากย่อมบกพร่อง
ยึดหลักธรรมนำพาอย่างคล้องจอง ท่วงทำนองท่าทีงามผึ่งผาย
ฮา  ฮา  หยุด


เจี่ยง‍ซือ จึงจะสามารถที่จะนำพาให้ผู้อื่นได้

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้ผู้เขียนพระโอวาทบนกระดานเป็นผู้แต่ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์คิดว่าอาจารย์มาครั้งนี้ ศิษย์คงพร้อมที่จะตอบคำถามอาจารย์ได้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม กินไม่ใช่เพื่อหวังอิ่ม อยู่ไม่ใช่เพื่อหวังสบาย จุดหลักในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคือ รักษามโนธรรมสำนึกไม่ให้สูญหาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ศิษย์กินก็ต้องให้อร่อย แล้วก็ต้องอิ่ม หรือไม่อิ่มไม่เป็นไรแต่ต้องอร่อย อยู่ลำบากก็อยู่ไม่ค่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ อาจารย์น่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ลองนอนไม่มีเสื่อไม่มีหมอน ใช้แขนต่างหมอน ใช้ฟ้าเป็นผ้าห่ม ศิษย์จะนอนกันหลับลงไหม บ้านเมืองวุ่นวายขนาดนี้ สิ่งที่ทุกคนเรียกร้องและปรารถนาคือ ความสงบ ผู้คนหลงมัวเมาขนาดนี้ สิ่งที่ประชาชนและทุกคนเรียกร้อง ก็คือความถูกต้องและดีงาม ทำไมปราชญ์โบราณจึงไม่กลัวความยากลำบาก ทำไมปราชญ์โบราณจึงไม่หน่ายท้อ ทำในสิ่งที่ยากทำ รู้ว่าทำแล้วไม่มีวันสำเร็จก็ยังอยากจะทำ ก็เพราะว่า เผื่อว่าพุทธบารมีในการฝึกฝนบำเพ็ญตนนั้น จะช่วยคลี่คลายความทุกข์ยากในโลกให้เป็นความสงบ เผื่อจะน้อมนำหัวใจคนที่ลุ่มหลง ให้กลับมาเป็นผู้รู้ตื่น ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ต้องตอกย้ำความรู้ เพื่อที่จะได้เอากลับไปเป็นพลังในการแปรเปลี่ยนผู้คน ให้ตื่นจากความหลง และช่วยกันคลี่คลายบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ อย่ากลัวความยาก อย่ากลัวความลำบาก เดินผ่านคมมีดนั้นง่าย แต่ยอมอยู่เพื่อรักษามโนธรรมสำนึกนั้นยาก ความถูกต้องชอบธรรมต้องเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องรักษาให้ได้ ทุกขณะชีวิตไม่เคยละเมิดมโนธรรมสำนึกความดีงามในหัวใจ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต ถูกต้องแล้วหรือที่รักษากายแต่ไร้หัวใจอันดีงาม ถูกต้องแล้วหรือที่ห่วงร่างกายแต่ไม่ห่วงหัวใจที่ควรจะมีมโนธรรมสำนึกมากกว่านี้ อาจารย์รู้ใครๆ ก็รักร่างกาย ศิษย์ก็รัก แต่ถ้ารักร่างกายแล้วทำลายหัวใจ อาจารย์ขอเลือกมีหัวใจอยู่แต่ไร้ตัวดีกว่า ถูกไหม (ถูก)
ศิษย์รู้ไหม ความรู้ความเข้าใจของศิษย์หนึ่งคน ยังประโยชน์ต่อหมู่ชนอีกหมื่นพันคนได้ แต่ถ้าศิษย์ไม่รู้ไม่เข้าใจ ศิษย์จะช่วยใครสักคนหนึ่ง ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด ถูกหรือไม่ (ถูก)  บำเพ็ญเดินสามก้าวล้มหกก้าว ยืนหนึ่งครั้งล้มสิบครั้ง ศิษย์ยังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วเป็นอาจารย์บรรยายธรรมอย่างไรล่ะ ตัวเองยังยืนได้ไม่มั่นคง
ทำไมอาจารย์ถึงต้องถามว่าบำเพ็ญคืออะไร ทำไมเราต้องบำเพ็ญ แล้วทำไมเราต้องช่วยคน เพราะจิตเดิมแท้ของศิษย์ทุกคนคือ เห็นคนทุกข์แล้วทนนิ่งดูดายไม่ได้ นี่คือสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ทุกคน ถามศิษย์ลึกๆ ทุกคนสิ แต่เพราะอะไรมันถึงหายไป ถ้าสัญชาติเดิมของศิษย์หายไป ความเป็นพุทธภาวะจะมีได้อย่างไร จริงไหม ถ้าศิษย์สามารถทนนิ่งดูดายท่ามกลางที่คนอื่นเขาทุกข์ทรมานได้ ศิษย์จะเรียกว่าผู้บำเพ็ญได้อย่างไร ถ้าห่วงตัวเองมากกว่าห่วงคนอื่น ศิษย์รับหน้าที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมไปทำไม รับแล้วฆ่าตัวเองตายชัดๆ ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ไม่ได้ต้องการอยากได้กระดาษคำตอบเลย แต่อาจารย์อยากได้คำตอบจากหัวใจของศิษย์ทุกคน เพราะคำตอบนั้นจะเป็นคำตอบที่อยู่คู่กับศิษย์และเป็นหลักคุ้มครองศิษย์ไปตลอดชีวิต เมื่อไหร่ศิษย์ล้า เมื่อไหร่ศิษย์ท้อ ความเข้าใจนั้นแหละจะฉุดดึงให้ศิษย์กลับคืนขึ้นมา และยืนอย่างเข้มแข็ง แต่ถ้าศิษย์ฝากความรู้ไว้กับหนังสือ ฝากความเข้าใจไว้กับสมุด เมื่อไหร่ศิษย์ไม่อ่าน ศิษย์ก็ยืนไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  มีใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจได้ไหม ว่าความมุ่งมั่นที่แท้จริงของศิษย์คืออะไร เอาจากใจ กลั่นออกมาจากใจ กี่ปีๆ ก็ไม่เคยลืมเลือน
เราบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร เพื่อเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือ ห่วงแต่ทุกข์ของตัวเองหรือ บำเพ็ญธรรมแล้วหมั่นศึกษาอย่างไม่หน่ายท้อ และพยายามทำสิ่งที่ศึกษาให้ปรากฏเป็นจริง ไม่ให้รูปลักษณ์ แสง สี เสียง ในโลกเป็นตัวถ่วงความเจริญของจิตใจ ผลประโยชน์ไม่สามารถทำลายคุณธรรม ความตายไม่ทำให้อุดมคติสูญหาย เช่นนี้แล้วยังต้องกลัวอะไรกันอีกเล่า ถูกไหม (ถูก)
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่าศิษย์ต้องเป็นหยก อย่าเป็นหิน เพราะ
คุณสมบัติของหยก ๖ ประการ ไม่ต่างอะไรกับกัลยาณชน สิ่งที่ศิษย์ตอบมานั้นเอามาจากไหน
๑) สีของหยกมองกี่ครั้งๆ ก็ดูเย็นตา
๒) ความเหนียวของหยกคือ สติปัญญาของกัลยาณชน มองดูธรรมดาแต่ยิ่งวิเคราะห์ยิ่งมองค้นหาก็กลับรู้ว่าเขามีความรู้ที่ลุ่มลึกแอบแฝงอยู่ ดังที่ศิษย์พูดกันว่า นำประกายไม่สำแดงเด่น มองดูเหมือนคนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วมีความรู้เต็มเปี่ยม ไม่เคยอวดอ้างตน
๓) หยกแท้เคาะอย่างไรก็ใส ไกลใกล้ก็ได้ยิน หมายความว่า วาจากล่าวต้องสุภาพ น่าฟัง จับใจ แม้เสียงไม่ได้ยิน แต่ชื่อของการพูดของเขาก็สะท้อนใจว่า เมื่อไหร่ถ้าคนนี้ขึ้นพูด เรารู้เลยว่าเขาต้องพูดได้ดี หรือเมื่อไหร่ที่ผู้นี้พูด เรารู้ได้เลยว่าเขาพูดได้น่าฟัง ไกลใกล้ขนาดไหนเขาก็ได้ยิน
๔) คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของหยก ดัดงออย่างไรก็ไม่แตกหักง่าย มันคือความกล้าหาญ อดทนต่อความยากลำบาก แม้เจอความทุกข์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ยังรักษาความมุ่งมั่นในหัวใจ แม้ได้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ลุ่มหลง สูญเสียปณิธานความตั้งใจ
๕) หยกแม้จะมีเหลี่ยมมุม แต่ก็ไม่เคยทำร้ายผู้ใด นั่นคือบารมี นั่นคือความดีงาม ที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
๖) หยกถ้ามีตำหนิจะมองเห็นได้ชัด นั่นคือกล้ารับฟังคำกล่าวตักเตือนของผู้อื่นโดยไม่โกรธแค้นชิงชัง คนที่กล้ารับฟังคำตักเตือนของผู้อื่นจะเต็มเปรียบได้กับมหาสมุทรที่รองรับทุกสิ่ง หมู่มวลความรู้จะไหลหลั่งมาสู่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ตอบได้ใกล้เคียงอาจารย์บ้างไหม เดี๋ยวอาจารย์พูดจบอาจารย์จะเรียกศิษย์ตอบ วันนี้ตอบไม่ได้ ไม่ต้องกินข้าวไหวไหม (ไหว)  เสียงแค่นี้เองหรือ อาจารย์เพิ่งบอกไม่ใช่หรือ ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญไม่หวังเพื่อจะกินอิ่ม อยู่ก็ไม่ได้หวังเพื่อสบาย สิ่งสำคัญคือรักษามโนธรรมสำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องกิน แล้วก็ไม่ต้องนอน ดีไหม (ดี)  สิ่งที่ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ สำรวมระวัง พูดแล้วต้องทำให้ได้ พูดแล้วทำไม่ได้อย่าพูด การไม่ระวังคือภัย พูดมากคือปัญหา คุมสติตัวเองไม่ได้ มักจะไม่พบจุดจบที่ดี หวังแต่เอาชนะ หวังแต่เอาได้ดี สักวันย่อมสูญเสีย ฉะนั้นกัลยาณชน หัวใจต้องเที่ยงธรรม การปฏิบัติต่อผู้อื่นต้องสำรวมอ่อนน้อม และรู้จักเคารพ เดินอยู่บนความเมตตาหรือที่ศิษย์ชอบพูดกันว่า ทุกย่างก้าวเปรียบเหมือนน้ำแข็งบาง ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมไม่รู้จักระมัดระวัง คนที่จะต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองกระทำก็คือคนที่ไม่ระวังนั่นเอง ใช่ไหม
อยากนั่งหรือยัง (ยัง)  อาจารย์ตอบคำถามให้ศิษย์ไปกี่ข้อแล้วรู้ไหม สติอยู่กับตัวหรือเปล่า ตอบไปกี่ข้อแล้ว (สองข้อ)  เมื่อสักครู่ตอนที่ศิษย์กำลังฟังหัวข้ออยู่นั้น อาจารย์ได้ให้กลอนไว้นะ หวังศิษย์จะทำกันให้ได้ หวังโดยไม่อยากยึดติดความหวัง เป็นความหวังที่ว่างเปล่าเหลือเกิน จริงไหม เป็นความหวังที่ว่างเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "ผนึกกำลังกัน")
เหลืออีกไม่กี่คำตอบที่อาจารย์อยากจะพูด อาจารย์ลองหันกลับมาถามศิษย์บ้างดีกว่านะ ปิดสมุด ศิษย์ไม่ใช่นักเรียนแล้วนะ จบไปแล้วศิษย์จะถือสมุดขึ้นไปพูด ถือสมุดไปบรรยายให้คนอื่นฟังจริงๆ ได้หรือ (ไม่ได้)
คำถามที่อาจารย์ยังไม่ตอบ ใครจะตอบให้อาจารย์ฟังได้บ้างหรือจะให้อาจารย์เรียกว่าอย่างไร (คำถามที่เมื่อวานพระอาจารย์เมตตาคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมในเรื่องของหัวใจในการบรรยายธรรมคืออะไร ขอตอบว่า หัวใจในการบรรยายธรรมคือ พูดได้ ทำได้ และพูดไม่ผิดต่อหลักธรรม ขอพระอาจารย์เมตตา)  นั่นคือหัวใจของทุกๆ คนที่จะเป็นอาจารย์บรรยายธรรม พูดได้ ต้องทำได้ ใช่หรือไม่ แต่หัวใจของศิษย์จริงๆ คืออะไร เราต้องการเป็นแค่อาจารย์บรรยายธรรมเพื่อบรรยายธรรมเท่านั้นหรือ หัวใจของศิษย์คืออะไร (ประกาศธรรมแทนฟ้า)  ประกาศธรรมแทนฟ้า แต่ถึงเวลาควรพูดศิษย์ไม่พูด ถึงเวลาไม่ควรพูดศิษย์กลับพูด มักเป็นอย่างนั้นทุกทีใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องแยกให้ออกนะเวลาไหนสมควรพูด เวลาไหนไม่สมควรพูด
จริงๆ แล้ว หัวใจของการเป็นผู้บรรยายธรรม อาจารย์ไม่อยากให้คำตอบเพราะมันเป็นคำตอบที่ศิษย์ต้องไปตอบกันเอาเอง แต่ละคนต้องมีคำตอบในหัวใจของตัวเอง ศิษย์จะเป็นอาจารย์บรรยายธรรมเพื่ออะไร หัวใจอะไรของการเป็นอาจารย์บรรยายธรรม อย่าได้แค่หลักการแต่ไม่ลงแรงจริงที่ตัวตน
ศิษย์มีความมุ่งมั่นจะทำอะไร (ศิษย์มุ่งมั่นจะแบ่งเบาภาระอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม)  ตอบได้ดี แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมไม่อยู่ ศิษย์ก็ยังคงต้องรักษาความมุ่งมั่นของศิษย์ต่อไปนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามีผู้นำแต่ถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักนำตัวเองให้เป็นด้วย คนบางคนรู้จักแต่เดินตามแต่ถึงเวลานำตัวเองไม่ได้
อาจารย์บรรยายธรรมต้องน้อมนำเบื้องบนและนำพาเบื้องล่าง เป็นเหมือนตัวประสานที่ดี
คำว่า “รู้หนึ่งแจ้งถึงสิบ” นั้นหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าแม้อาจารย์ที่อยู่เบื้องหน้าถ่ายทอดคำสั่งอะไรลงมา ศิษย์ก็สามารถแจกแจงรายละเอียดให้ผู้น้อยได้ฟัง แต่ถ้าเกิดพูดถึงการบำเพ็ญภายในหัวใจ รู้หนึ่งแจ้งถึงสิบหมายความว่าอย่างไร เพราะมีตัวตนจึงเกิดสรรพสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไร้ตัวตนสรรพสิ่งก็ไม่เกิด
“ไม่ต้องออกนอกบ้านก็เข้าใจทุกเรื่องราว” นั่นหมายความว่าอย่างไร ตอบอาจารย์ได้ไหม (ถ้าจิตเราสอดประสานกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่แบ่งแยก เขา เรา ฉัน สัตว์ คน สิ่งของ ไม่มีความยึดติดเหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จิตเราก็คือสภาวะธรรมชาติ หรือสภาวะพุทธะ เราไม่อาจแยกจากกัน เมื่อนั้นแล้วธรรมชาติภายนอกกับตัวฉันก็คือสิ่งเดียวกัน เมื่อร่างกายของฉันเป็นอะไรไป เราก็จะรู้ได้ ตัวเราจะรู้ได้ อย่างเช่น มือเราคัน เราก็จะรู้ว่ามือเราคัน เหมือนกันถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับธรรมชาติแล้วไซร้ เมื่อธรรมชาติเป็นอย่างไรตัวเราก็จะสามารถรู้ ล่วงรู้ได้ถึงความเป็นไปของธรรมชาติ)  ศิษย์กำลังตอบคำว่าเอกภาพนะ
ไม่ต้องออกนอกบ้านรู้ถึงสรรพสิ่ง นั่นหมายความว่า ตัวเราคือสภาวธรรม พุทธจิตเดิมแท้คือสภาวธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีสภาวธรรม ฉะนั้นไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโลก ไม่มีตัวตน เข้าใจไหม นั่นก็คือแม้จะอยู่ในบ้านเราก็เข้าใจสรรพสิ่งได้ เพราะว่าเรารู้จักตัวตนที่แท้จริง  แล้วสรรพสิ่งต่างอะไรจากตัวตนที่แท้จริง เราเห็นใบไม้ร่วง ชีวิตเราก็ร่วงหล่น  หรือเราเห็นผมดำเปลี่ยนเป็นผมขาว เราก็รู้ว่าสรรพสิ่งนั้นต้องเปลี่ยนแปลง  เรารู้ว่าชีวิตเราทนนิ่งอยู่ดูดายไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนในโลกก็เหมือนกัน
ศิษย์รักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร สภาวะข้างนอกก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น  ถ้าศิษย์เข้าใจหัวใจแรกเดิมของตัวเอง ศิษย์ก็จะเข้าใจมวลมนุษย์ทุกผู้คน ถ้าศิษย์สามารถฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้กลับมาปรากฏ ศิษย์ก็จะสามารถยังประโยชน์ทั่วแผ่นดิน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นหน้าที่ของการเป็นผู้บรรยายธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ถ้าศิษย์ไร้ความเข้าใจแล้วศิษย์จะช่วยใครได้แม้แต่ตัวเอง
ใจฟ้าเป็นอย่างไรล่ะ แล้วใจมนุษย์หรือใจศิษย์ล่ะ ใกล้เคียงกับฟ้าบ้างหรือยัง  ฟ้าไม่เคยยึดมั่นหมาย แต่มนุษย์ทำอะไรยึดมั่นหมาย ฟ้ามีอิสรเสรีเคลื่อนคล้อยไปตามธรรมชาติ แต่มนุษย์กลับมีพันธะผูกพัน
อาจารย์ตอบคำถามศิษย์เกือบหมดแล้วนะ แต่ศิษย์ตอบคำถามของอาจารย์ได้หมดหรือยัง  กลับไปลงแรงให้มากกว่านี้ ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป อาจารย์ก็คงไม่ต้องหวังอะไรแล้ว ใช่ไหม กิเลสอารมณ์ยังตัดกันไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อัตตาตัวตนทิฐิก็ยังลดกันไม่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไหร่ล่ะเมื่อไหร่จะทำได้
รักตัวเองไหม รักแล้วปล่อยให้ตัวเองเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ศิษย์รักตัวเองจริงๆ หรือ  ห่วงแต่ตัวแต่ไม่ห่วงใจ ห่วงแต่ตัวแต่ไม่ห่วงวิญญาณของตัวเองที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก  พยายามหน่อยนะศิษย์นะ
“หมั่นเพียรวิริยะก้าวหน้า จริงจังไม่เกียจคร้าน” คือประโยคสุดท้ายที่อาจารย์อยากให้ศิษย์  ใครรู้ว่าทำข้อสอบอาจารย์ไม่ได้ กลับไปซ่อมให้ดี  ผ่านไม่ผ่านศิษย์รู้แก่ใจตัวเอง ไม่ต้องให้อาจารย์ชี้ ไม่ต้องให้อาจารย์เรียก
อาจารย์คงต้องไปแล้ว มองศิษย์ให้เต็มตาอีกครั้งหนึ่ง เบื้องหน้าก็ใกล้ร่วงโรยเต็มทีแล้ว  นำพาตัวเองก็ยากแล้ว นำพาผู้อื่นยิ่งยากใหญ่ แต่ก็หวังว่าศิษย์ต้องทำให้ได้ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ไปไหน อยู่ที่ศิษย์ทุกคน แล้วหัวใจยิ่งใหญ่ได้อย่างไรถ้าไม่ใช่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
ตอกย้ำปณิธานความมุ่งมั่น ตอกให้ติดตราตรึงใจไม่มีวันลืมเลือน แม้จะล้มหรือลุกเป็นพันครั้ง ศิษย์ก็จะกลับมายืนเข้มแข็งได้ใหม่ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  หัวใจที่ไม่ท้อคือหัวใจที่กล้าแกร่ง จิตใจที่รู้จักสงสารผู้อื่นมากกว่าสงสารตัวเองคือจิตใจของผู้บำเพ็ญธรรมนะ ทำให้ได้
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระโอวาทศิษย์พี่เม่าเถียน


บุคลิกฝึกภายในงามภายนอก น้ำเสียงท่าทีบอกกิริยา
หยาบเกินไปไม่อาจเหนือเวลา ละเอียดเกินไม่อาจคลาคล่ำใช้งาน
เราคือ
เม่าเถียนศิษย์พี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนก้าวหน้าบ้างหรือไม่
พระโอวาทศิษย์พี่เม่าเถียน
วันนี้น้องที่มานั่งอยู่ที่นี่ก็ถือได้ว่าน่านับถือน้ำใจ สมควรแก่การตั้งปณิธานใดใดที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ เพราะว่าในขณะนี้กรุงเทพฯ วุ่นวายน้องทุกคนก็ยังเสียสละที่จะนั่งอยู่ที่นี่ได้ ถือว่าเป็นผู้ที่บุกน้ำลุยไฟไม่ครั่นคร้ามเช่นเดียวกัน ฉะนั้นในวันนี้การตั้งปณิธานนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การตั้งปณิธานที่สำคัญก็หมายความว่าตัวเองรับหน้าที่ที่สำคัญจึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนตรวจสอบ ย้อนมองส่องตนอยู่เสมอ อย่าได้เป็นผู้ที่ย้อนมองส่องตนเพียงนิดหน่อย หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมากหน่อย ทำให้ตนเองนั้นไม่สามารถที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น  เมื่อยามเป็นญาติธรรมจะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเป็นอาจารย์บรรยายธรรมหรือว่าที่อาจารย์บรรยายธรรมแล้วไม่ก้าวหน้าไม่ได้  ฉะนั้นในวันนี้ถือว่ามีแต่ทางเดินไปข้างหน้า ไม่มีทางถอยหลัง  เดินหน้าเพื่อที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ถอยหลังผิดปณิธานก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ อาจถึงขนาดตกนรกไป เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
บางคนเห็นการเป็นเจี่ยงซือเพียงแค่มีศักดิ์มีศรี มีศักดา มีอำนาจ ฉะนั้นนี่เป็นการเข้าใจที่ผิด เพราะว่าการเป็นเจี่ยงซือคือการแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น ฉะนั้นไม่ว่าในขณะหลับขณะตื่น ขณะที่อยู่คนเดียวหรือขณะที่อยู่กับคนจำนวนมากก็จำเป็นที่จะต้องมีลักษณะแห่งเจี่ยงซือ ต้องมีวิญญาณแห่ง
อาจารย์บรรยายธรรมบางท่าน เตี่ยนฉวันซือที่พูดบรรยายธรรมบางท่านมิใช่มีแค่มนุษย์ฟัง ถึงขนาดมีเทพเทวดาฟังก็ยังทำได้ แต่หากศิษย์น้องที่นั่งอยู่ในที่นี้คิดว่าที่เราพูดนั้นเราทำได้หรือไม่  ถ้าหากว่าเราพูดแล้วทำไม่ได้แปลว่า แม้กระทั่งตัวเราเองยังไม่ฟังตนเอง จะให้เทวดาที่ไหนมาฟัง จะให้ผีที่ไหนมาฟัง ถือว่าเป็นการที่ไม่เคารพตัวเองอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีดีเท่าไหร่ขอให้เอาออกมา แสดงออกมาด้วยการทำหน้าที่ของตน
จะบรรยายธรรมแต่ละครั้ง ไม่ใช่เห็นเพียงแค่กระดาษ ไม่ใช่เห็นเพียงแค่สแตนด์ หรือคนพูดและคนฟังเพียงไม่กี่คน เราต้องเห็นถึงความเป็นความตาย เห็นถึงการขึ้นเบื้องบนได้หรือไม่ของเวไนยสัตว์นั้นๆ ต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้ที่น่านับถือและน่ายกย่องแต่มิใช่จอมปลอม  ต้องพยายามแสดงจิตโพธิสัตว์และพุทธะออกมาจากภายใน จึงจะสามารถนำพาผู้อื่นได้  กล่าวเช่นนี้แล้ว น้องทุกท่านยังคิดว่าตัวเองเหมาะสมจะเป็นเจี่ยงซือหรือไม่ เหมาะไหม ไม่กล้าตอบแปลว่าไม่เหมาะใช่หรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นพี่สมมติใหม่ เจี่ยงซือทั้งห้องนี้ยกทิ้งให้หมด ทุกคนไม่ต้องเป็นเจี่ยงซือ ไม่ต้องเป็นเจี่ยงเอวี๋ยน ถามว่า ธรรมะเผยแพร่ไปให้ใครพูด ในที่สุดแล้วก็ยังจะต้องพึ่งพวกท่าน ประหนึ่งแล้วเหมือนเบื้องบนไม่มีทางเลือกแต่เบื้องบนก็ได้เลือกพวกน้องขึ้นมา  ขอให้น้องทุกคนทำตนเป็นทางเลือก ทำตนเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการถูกเลือกในครั้งนี้  แม้วันนี้คิดว่าตัวเองยังไม่ได้มาตรฐานก็ขอให้พยายามพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น อย่าเป็นคนที่ทิฐิสูง อ่อนน้อมต่ำ ขอให้เป็นผู้อ่อนน้อมมากๆ ให้คนมองแล้วเกิดความรู้สึกว่า นี่คืออาจารย์บรรยายธรรม มองเห็นได้ที่ไหน อาจารย์บรรยายธรรมนั้นมีบุคลิกภาพที่ดี มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ศีรษะจรดรองเท้า ทั้งการแต่งกาย ทั้งหน้าตา ทั้งน้ำเสียง ทั้งบุคลิก สิ่งที่พูดออกมา ย่อมแสดงถึงความเป็นเจี่ยงซือทั้งสิ้น จะว่าไปแล้วง่ายก็แสนง่าย ยากก็ตรงที่น้องนั้นไม่ยอมแก้ไขนิสัยความเคยชินผิดๆ ของตัวเองเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครคิดว่าตัวเองยังมีสิ่งที่ต้องแก้ไขยกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองจะกลับไปแก้ไขบ้างยกมือขึ้น หวังว่าน้องทุกท่านนั้นทำให้ได้อย่ามองเห็นว่าตัวเองนั้นด้อยค่า คนที่มาในวันนี้คงมีแต่คนที่เก่งและไม่เก่ง หวังว่าคงไม่มีคนเก่งที่ไม่ยอมทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเก่งมากไม่ยอมทำก็เหมือนอะไร มีก็เหมือนไม่มี ฉะนั้นในวันนี้บางคนเป็นคนเก่ง เก่งแล้วขอให้หัดให้ดีมากยิ่งขึ้นสามารถสื่อถึงธรรมะให้แทงทะลุไปถึงในจิตใจของเวไนยสัตว์ให้มาก ให้เขาสามารถตื่นรู้แม้เพียงขณะหนึ่ง ถือเป็นบุญกุศลมหาศาล แต่หากว่าพูดโดยไม่ได้เตรียมตัว หรือพูดไปตามเนื้อหาสาระที่ตัวเองรู้มา โดยไม่ได้นำพาถึงจิตใจไม่เอาจิตใจใส่ ไม่พูดด้วยความเข้าใจที่ออกมาจากใจของตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าจะพูดเป็นชั่วโมงก็หาได้เกิดกุศลใดไม่
วันนี้ศิษย์พี่มาที่นี่ด้วยอดใจไม่ได้ ใจหนึ่งอยากจะบอกให้น้องรับทราบถึงปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน ใจหนึ่งอยากจะจูงใจ อยากจะแนะนำ อยากโน้มน้าวน้องที่ยังไม่ก้าวหน้าดีให้ก้าวหน้าดีมากยิ่งขึ้น ใจหนึ่งอยากจะปรามน้องที่มีจิตใจไม่มั่นคงในทางธรรมให้มั่นคงในทางธรรมมากยิ่งขึ้น ใจหนึ่งอยากให้กำลังใจน้อง อันว่าพี่นั้นถือว่าเป็นพี่ที่เจอน้องมากที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลาย เจอน้องบ่อยที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลาย จึงเห็นน้องๆ นั้นได้ชัดมากยิ่งขึ้น  อยากจะเตือนสติน้องในหนทางชีวิตนี้ คนบางคนเกิดมามีคุณค่ามาก ตายไปแล้วไปไกลลิบลิ่วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด บางคนทำบ้างไม่ทำบ้างก็ครึ่งๆ กลางๆ ทั้งอยู่ในโลกและจากโลกนี้ไป การที่น้องนั้นจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นในเวลานี้ ฉะนั้นจึงขอให้ปล่อยวางเรื่องทางโลกให้มากและบำเพ็ญธรรมให้มากเช่นเดียวกัน งานธรรมะ งานฟ้า ให้มนุษย์นั้นเป็นผู้ทำ จึงหวังว่ามนุษย์เช่นน้องๆ นั้นสามารถที่จะทำได้ดีมากยิ่งขึ้น พัฒนาตัวเองอยู่เสมอๆ ทุกวันๆ ขอให้อ่านหนังสือธรรมะเพราะว่าความเข้าใจแห่งน้องนั้นมีความสำคัญต่อมวลเวไนยสัตว์เป็นอย่างยิ่ง วันไหนไม่อ่านหนังสือธรรมะจิตใจก็ตกต่ำมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เรานั้นเกียจคร้าน เวลาที่จิตท้อแท้ตกต่ำขอให้เอาธรรมะนั้นชำระล้าง
มีประสบการณ์มากกว่าก็ขอให้แนะนำคนอื่นด้วยความพินอบพิเทา ดังกลอนนำที่ศิษย์พี่ให้ไว้แล้ว มีคนที่หยาบมากเกินไป นิสัยเมื่อหยาบมากเกินไปเปรียบเสมือนจอบเสียม เมื่อใช้อย่างรุนแรงไม่กี่ครั้งก็มีอันต้องพังพาบ นิสัยคนละเอียดจู้จี้จุกจิกมากเกินไปก็เหมือนแจกันสลักเสลาสวยงาม แต่ทว่าไม่อาจจะทนการใช้งานอย่างหนักได้ จึงหวังว่าน้องทุกคนอย่าเป็นคนจู้จี้มากเกินไป ทั้งอย่าเป็นคนที่หยาบโลนมากเกินไป  ขอให้มีนิสัยแห่งผู้ดี  คำพูดหนักๆ ก็หาทางพูดให้เบา คำพูดเบาๆ ก็หาทางพูดให้เข้าใจและไม่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน
ในวันนี้ศิษย์พี่มาด้วยเวลาจำกัด เนื่องจากมาในเวลาที่น้องนั้นใกล้จะตั้งปณิธานแล้ว ถือว่าเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกันดีหรือไม่
ในวันนี้พูดถึงอาจารย์บรรยายธรรมมากแล้ว อยากจะเตือนเตี่ยนฉวันซือทุกท่าน เมื่อเป็นผู้นำแห่งอาจารย์บรรยายธรรมแล้ว จะรู้น้อยกว่าอาจารย์บรรยายธรรมมิได้ จำเป็นที่จะต้องรู้มากกว่า ฉะนั้นจึงเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้เช่นเดียวกัน
งานธรรมะเรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็คือการแพร่ธรรม เรื่องที่จุกจิกมากที่สุดก็คือเรื่องของคน แต่ว่าน้องทุกคนต้องทำทั้งสองอย่าง คืออยู่กับคนแล้วขอให้สมัครสมาสมานสามัคคีเหมือนดังพระโอวาทที่พระอาจารย์ให้ในวันนี้  ถ้าหากว่าผนึกกำลังกันได้ ก็ย่อมไม่มีใครทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าผนึกกำลังกันไม่ได้ ต่างคนยังเอาแต่ใจ ยังเห็นแก่ตัว ยังไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง อย่างนั้นแล้วย่อมไปไหนไม่ได้ไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  งานธรรมะไปไม่ไกล ตัวเองบำเพ็ญธรรมก็ไปไม่ไกลเช่นเดียวกัน
อีกทั้งอยากเตือนไปถึงอาจารย์บรรยายธรรมที่ไม่ได้มาในวันนี้ ขอให้รู้ว่าเรามีหน้าที่อะไร ให้ทำให้ดี อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องทางโลกมาก หน้าที่คือหน้าที่ ความรับผิดชอบคือความรับผิดชอบ
ขอให้ตั้งใจทำงานธรรมะให้ดีทุกคน ศิษย์พี่นั้นจดทั้งบาปและกุศลที่น้องทำ ขอให้น้องนั้นเป็นผู้คิดดีใฝ่ชอบ อย่าทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกันเองเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ก็ขอให้ตั้งใจให้ดี อย่าได้ลืมเลือนปณิธานที่ตั้งในวันนี้  ขอให้ความสำเร็จที่ตั้งต้นในวันนี้สำเร็จไปถึงแดนฟ้า

รักษาตัวทุกคนเพราะว่าตอนนี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมนั้นก็มีร่างกายที่ไม่แข็งแรง น้องทุกท่านนั้นก็ควรที่จะมีร่างกายแข็งแรง ช่วยเป็นเสาหลักค้ำกันไปและค้ำกันมา เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ลาก่อน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544

2544-10-13 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี (ชั้นฐันจู่)


วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

น้ำรวมตัวกันเป็นสายธารา อันภูผาเกิดจากหินก้อนน้อยน้อย
รวมพลังคนละนิดคนละหน่อย หนึ่งสู่ร้อยยากมีอะไรทำลายได้
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์   กราบ
องค์มารดา ถามเมธีศิษย์ชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนตั้งใจฟังคำอาจารย์ ฮา    ฮา
เสียงจากใจรินไหลไปไม่เคยสิ้น อยู่แดนดินเคล้าทุกข์โศกโลกปลุกปั่น
ชีวิตหนึ่งเป็นเพียงฝันไม่ยาวนาน ศิษย์รู้กาลเร่งตื่นใจไม่สายเกิน
บางคนยังชะล่าใจบำเพ็ญอยู่ แต่ใจดูเลื่อนลอยเมฆคล้อยต่ำ
อันเวลาไม่คอยคนคร้านเดินย่ำ ศิษย์จะนำคนอื่นต้องนำตนก่อน
ได้ชื่อว่าบำเพ็ญต้องเคร่งครัด เดินทางลัดอาจลำบากอดทนเถิด
ศิษย์ต่างมีจิตใจแสนประเสริฐ อย่าได้เกิดอวิชชาเข้าครอบงำ
ศึกษาธรรมให้หนักหน่อยจักได้รู้ ผิดเป็นครูแต่อย่าได้คอยอ้างนั่น
ทุกคนต่างก็มีความสำคัญ จงยืนยันทิศทางด้วยการลงมือ
อย่าได้มีเพียงชื่อน่าเศร้าใจ ทำลงไปรับผิดชอบทุกสิ่งสรรพ
บัดนี้ฟ้าคับขันจึงบังคับ ให้คนรับมือบำเพ็ญให้จริงจัง
มหาธรรมทางสายใหญ่มากคนเดิน ใครเดินเพลินย่อมถูกทิ้งอาจเป็นได้
ปลูกถั่วย่อมได้ถั่วไม่คลาดไป คนตั้งใจทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น
ทั้งพูดจาพรสวรรค์ใช่มีทุกคน ธรรมแยบยลน้อยคนแจ้งอย่างแท้จริง
แต่ยังหวังว่าทุกคนทำจิตนิ่ง เร่งละทิ้งตัณหาเหตุกรรมทั้งมวล
ฝึกคุณธรรมอดทนต่อความกลัดกลุ้ม คนใดที่ทุ่มเทจิตจงเมตตา
เป็นดั่งโพธิสัตว์อวตารมา ทุกสิ่งหนาคือหน้าที่ของตนเอง
ปรมิตาทั้งหกอยู่กลางใจ วิริยะเหมาะสมในศิษย์กลุ่มนี้
จงรักษาโอกาสทุกนาที อย่าได้มีจิตน้อยใจใดเผชิญ
ปัจจุบันคนเห็นคนเป็นศัตรู จงเชิดชูฝึกอ่อนน้อมเข้าขันแข่ง
จงยอมให้งานเลือกคนฝึกความแกร่ง อย่าได้แบ่งฉันและเธอให้หมองใจ
ขอให้ฟังคำส่อเสียดเป็นเสียงเพลง และรู้เกรงใจผู้อื่นไม่เสียหาย
ช่วยเหลือกันผูกมิตรให้ทั่วไป อันว่าใครต่างชมชอบอยู่กับคนดี
เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วอย่าแปรใจ ช่วยเจ้าแต่ละคนไม่ใช่ง่ายง่าย
ศิษย์รักเอยอย่าเอาแต่รักสบาย กาลยุคปลายทนลำบากเราช่วยกัน
สถานธรรมเพิ่มขึ้นหนึ่งแห่งยามใด เปรียบดอกบัวผุดอยู่ในแดนวิมุติ
จงอดทนตั้งใจให้ถึงที่สุด เพื่อได้หลุดพ้นเกิดตายคืนแดนเดิม
ขณะนี้พระอาจาริณีร่วมอยู่นี่ ศิษย์จงมีจิตศรัทธาและมุ่งมั่น
ต่างก็มีบุญและกรรมมาร่วมกัน ฝ่าภยันด้วยจิตแท้ทดสอบจริง
ในวันนี้ชั้นเรียนของฐันจู่ จงเรียนรู้กลับไปให้มากมาก
เพื่อช่วยคนในแดนโลกอันหลายหลาก ฝ่าความยากที่สุดจะพบสบาย
ใครที่ยังพุทธระเบียบไม่แคล่วคล่อง ให้ย้อนมองตนเองเร่งก้าวหน้า
อย่าได้เอาฝึกแต่ง่ายเท่านั้นนา หนึ่งชีวาช่วงสั้นสั้นสั้นเหลือเกิน
เคารพเบื้องหน้านำพาผู้น้อยเจ้าอย่าลืม ชาตินี้ยืมกายปลอมบำเพ็ญแท้
มีทุกวันนี้ได้เพราะอาวุโสดูแล อย่าคิดอย่างเอาแพ้เอาชนะเลย
จากเบื้องบนลงมาหล้าด้วยสำราญ เวลาผ่านค่อยหมดไปต้องจำจาก
อาจารย์อดไม่ได้น้ำตาพราก หมื่นถ้อยคำไม่อาจฝากให้สิ้นความ
จงเดินทางด้วยสวัสดิภาพทางบำเพ็ญ ถึงลำเค็ญอาจารย์จะอยู่เป็นเพื่อน
ขอเพียงจิตพวกเจ้านั้นอย่าลางเลือน ใครมาเตือนนึกเสียว่าฟ้าฝากมา
จงทำตนเป็นแบบอย่างให้ดีดี หากใครที่ยังเบียดเบียนเร่งกระเตื้อง
จงรู้ว่าชีวิตอันฟุ้งเฟื่อง อย่าสิ้นเปลืองกุศลไปสลายกรรม
เพียงนาวาล่องลอยอยู่กลางน้ำ ฟ้าใกล้ค่ำทัศนคติต้องตรงเที่ยง
ต้องตรวจสอบกันบ่อยบ่อยอย่าเอนเอียง อุปสรรคเพียงเครื่องวัดใจคนเดินทาง
ในวันนี้ยินดีเจอศิษย์รัก ขอตระหนักปัญหาต่างด้วยปัญญา
อย่ายิ่งเพียรยิ่งหลงงมงายนา อันทรัพย์สินแม้นมีค่าไม่ติดตัว
ขอให้ตั้งใจฟังวันนี้ให้ดีดี หากว่ามีโอกาสจะเร่งมาเยือน
กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     เทียมเมฆาคืนสู่แดนนิพพาน

ฮา  ฮา  ถอย

วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
พระโอวาทท่านเอวี้ยฮุ่ยซือหมู่

ในจิตใจมีกรอบเหลี่ยมที่เข้มงวด ภายนอกกวดขันลักษณะไม่หน่ายหนี
คือจิตใจที่รักษาระเบียบประเพณี อ่อนน้อมมีอยู่ภายนอกเสมอมา
เราคือ
เอวี้ยฮุ่ยซือหมู่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา พร้อมด้วยความเมตตาของซือจุน
ถามศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรมยังท้อแท้กันหรือเปล่า

จุดตะเกียงให้สว่างกลางจิตใจ การช่วยเหลือต้องมีใจเมตตาแท้
ขณะเดียวกันหมั่นพิจารณาผิดรู้แก้ หมั่นดูแลตนดีทั้งนอกใน
มือซ้ายปักธูปลงในกระถาง ใจเป็นกลางสงบนิ่งจึงยิ่งใหญ่
สำรวมตนดีให้พร้อมจากจิตใจ หน้าที่ให้รู้รับผิดชอบย่อมเจริญ
ก้มกราบด้วยจิตศรัทธาเฝ้าสำนึก คอยตรองตรึกทุกขณะให้ดีเถิด
เฝ้าหมั่นเพียรสำรวจตนสู่ความประเสริฐ ไม่ปล่อยตนให้จิตเกิดมารครอบงำ
พร้อมสะดวกต้อนรับด้วยไมตรี ไม่เกี่ยงมีมากน้อยหรือเช้าค่ำ
ชี้แนะกล่าวเตือนรู้เหมาะปัญญานำ เรือทั้งลำผ่านมรสุมด้วยสามัคคี
สถานธรรมรู้รักษาความสะอาด หวังผงาดแต่เลอะรกไร้ราศี
หมั่นดูแลทุกขณะกลางวารี ให้ฤดีสะอาดดั่งแท่นบูชา
อยู่ร่วมกันรู้ถ้อยทีถ้อยอาศัย ความจริงใจต้องมีในทุกสถาน
โอบอุ้มกันช่วยเหลือกันกาลนาน อย่าเผาผลาญใจตนด้วยความคิดไม่ดี
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทท่านเอวี้ยฮุ่ยซือหมู่

ในการบำเพ็ญธรรม  ถ้าหากใครสามารถเจริญรอยตามแบบอย่างของเรา  ก็คงได้พบเราแน่นอน  แต่ว่าใครล่ะจะยอมรับความลำบาก จะยอมรับทุกข์ของเวไนย  หาได้ง่ายไหม  ศิษย์บางคนก็ยังบำเพ็ญแบบลุ่มๆ ดอนๆ บางคนก็ทำได้ดีแล้ว  แต่ว่าจิตใจก็อ่อนแอเหมือนคนที่จะหมดลมหายใจ  ไม่วันนี้ก็วันพรุ่ง  ทำไป  เพราะว่าหน้าที่บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้พยายามมองให้ออกปลงให้ตกว่า โลกนี้อะไรคือความสุข  อะไรคือความทุกข์ สิ่งที่ศิษย์ได้รับอยู่นั้นเรียกว่าสุขหรือ  ลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง สักการะที่เราได้นั้นนี่สุขหรือทุกข์กันล่ะ  ถ้าเมื่อใดที่เราไม่รู้ว่าโลกนี้คือความทุกข์  ชีวิตนี้ไม่จีรัง เรายังมองทุกข์ไม่ออก  เรายังปลงไม่ได้  เราจะไม่สามารถบังเกิดจิตที่เมตตาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เราจะไม่สามารถเกิดปณิธานที่มุ่งมั่นยอมรับทุกข์แทนเวไนยได้  แม้ตัวเองจะเจ็บ  แม้ตัวเองจะตาย ก็ขอให้เวไนยได้รู้ตื่น
 ศิษย์ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพระก็เหมือนกับเรา  ที่ชีวิตนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตัวเราเท่านั้น  วันๆ เราได้แต่กราบขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้น้อยที่อยู่ข้างหลังอย่าได้รับทุกข์อีกต่อไป  ถึงเราจะตายในวันนี้  ก้มกราบจนไม่มีแรงจะยืนแล้ว  เราก็ขอรับ เพื่ออะไรล่ะ  เพื่อให้ทุกท่านบำเพ็ญได้อย่างเป็นสุข ไม่มีอะไรที่ต้องทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้ยังรู้สึกว่ายิ่งบำเพ็ญ       ต้องอดทน ต้องทุกข์ยาก  เราอยากบอกว่าน้อยแล้วนะ  น้อยแล้ว   น้อยจริงๆ เราไม่มีโอกาสมีร่างกายนี้  สิ่งที่จะช่วยก็เลยช่วยได้เท่านี้  ฟ้าเบื้องบนก็เมตตาให้เราได้ช่วยท่านได้เท่านี้  โอกาสที่จะช่วยทุกท่านที่มาข้างหลังก็เลยได้ไม่เต็มที่  อาจารย์ของท่านก็เลยต้องรับภาระหนัก  แต่ขอให้รู้ว่าเมื่อใดที่ท่านยังมีธรรมะอยู่ในใจ  เมื่อนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยห่างหายไปจากใจ  แต่ถ้าเมื่อใดท่านบ่นท้อ ท่านท้อแท้ ธรรมะจะไม่อยู่ในตัวท่านเลย แต่จะกลายเป็นมารที่ครอบงำชักนำท่านให้ยิ่งเดินยิ่งไม่มีวันถึง  ให้ยิ่งบำเพ็ญยิ่งไม่อาจค้นพบ  กลับยิ่งลุ่มหลงกลับยิ่งมืดมิด
หากเราสบายในวันนี้  แล้วท่านต้องลำบาก  เราก็ขอเดินจนตายก็ยังดี  เราไม่อยากสบายเพื่อให้ท่านต้องทุกข์ยาก ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม การทดสอบความยากลำบากจึงอยู่ที่จิตใจของตัวท่าน จะหาผู้นำให้รับทุกข์แบกทุกข์แทนท่าน  พุทธะก็ทำไม่ลง อาจารย์หรือซือหมู่เราก็ทำไม่ได้  สู้เรารับเองดีกว่าไหม  อย่างน้อยเราก็ไม่มีกายให้เจ็บปวดอีกแล้ว เหลือแต่จิตใจที่ห่วงหาและยอมเจ็บปวดแทนดีไหม  เราเป็นศิษย์อาจารย์กันใช่หรือไม่  (ใช่)  รู้ไหมแม้เราตายบางทียังไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่ที่ไหน  ชื่อไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร  เราเห็นน้ำตา เห็นความทุกข์ยากท่านมามากแล้ว  เรารู้ว่ามันยากเหลือเกินจะบำเพ็ญในยุคนี้ จิตใจก็รักสบาย  อยากจะช่วยคนก็เป็นอย่างไร  ช่วยเขาไม่ได้  เพราะตัวเองยังปลงไม่ตก  ยังไม่รู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ง่ายเลยใช่ไหมที่วันนี้เราได้มีโอกาสมาผูกบุญร่วมกัน  ต้องขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณฟ้าเบื้องบน และผู้อาวุโสที่นำพาทุกท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้มีทุกท่านในวันนี้  แต่ว่ามีข้างหน้าจึงมีข้างหลัง  แต่ข้างหน้ากับข้างหลังอย่าทำให้เกิดช่องว่าง  จงอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี    อย่าเพราะว่าเห็นเป็นผู้ใหญ่ ใช่ ความอ่อนน้อมต้องมี แต่อย่าเกรงกลัวจนไม่กล้าที่จะคุยหรือปรึกษา  อย่างนั้นเราจะทำงานเข้ากับท่านไม่ได้ การจะทำงานเข้ากับใครได้  เราต้องรู้ว่าข้างหน้าต้องการอะไร  ข้างหลังจึงเดินได้ถูก  ถ้าหัวเดินทางหนึ่ง หางคิดอย่างหนึ่ง  ก็ย่อมไปได้ไม่สวย  จะเป็นหงส์หรือเป็นมังกรก็อยู่ที่ว่าเราเลือกแบบที่จะบำเพ็ญเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
ทุกวันต้องกราบพระ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กราบพระ ปักธูป จุดตะเกียง  ทุกขณะจิตต้องสำรวม ใสบริสุทธิ์และสะอาด อย่าทำแบบลวกๆ ผ่านๆ ไม่อย่างนั้นกราบพระไปก็ไม่ได้อะไร  ทุกขณะที่ทำ ทุกขณะที่ก้าว ล้วนเป็น จริยระเบียบที่ได้ให้ฝึกเป็นพุทธะ รู้จักน้อมนำหวนกลับมามองตัวเอง ด้วยความสำนึก ด้วยจิตใจที่ตรงเที่ยง ว่าอะไรที่ตัวเองทำในวันนี้  พิจารณาดูทั้ง 9 หรือสำรวจดูทั้ง 3 สิ่งที่พูดตลอดทั้งวันถูกต้องไหม  เที่ยงหรือเปล่า  สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้ฟัง ได้ลงไปค้นคว้า ได้ลงไปสืบหาดูว่าถูกต้องไหม สมควรหรือเปล่าที่จะเอามาพูดหรือเอามากล่าวต่อไป  หากมองสิ่งใดก็จงรู้ว่าอะไรต้องมอง  อะไรไม่ต้องมอง  ตาเมื่อเปิดแต่ก็ยังรู้จักปิดได้เมื่อยามฝุ่นผงเข้า  เมื่อยามมีสิ่งใดมากระทบ  ฉะนั้นก็ต้องรู้ไว้ว่าจิตเราก็เฉกเช่นเดียวกับนัยน์ตาที่มองเห็น  แม้จะมองเห็น แต่บางครั้งก็ต้องปิดใจไม่รับรู้บ้าง  ได้ทำงานสิ่งใดก็จงเคารพในงานที่ตัวเองทำ ทำด้วยความเคารพ  ทำด้วยความศักดิ์สิทธิ์  งานที่ออกมาย่อมดูยิ่งใหญ่  ย่อมดูมีค่าและทรงเกียรติ  แต่ถ้าสิ่งใดทำแล้วไม่แจ่มชัด ต้องรู้จักไต่ถาม ค้นคว้าจากอาวุโสหรือค้นคว้าจากหนังสือ  ใบหน้าต้องยิ้มแย้ม ท่าทีต้องอ่อนน้อม อย่าไหว้พระด้วยความหวานอมขมกลืน  เห็นหน้าพระก็กลายเป็นเหมือนเห็นหน้าอะไร  อย่างนี้ไม่เอา
ต้องรู้จักพอใจในการแสวงหาในโลกนี้บ้าง เมื่อไรที่มาหยุดยืน ถึงเวลาที่จะไหว้พระ  เมื่อนั้นต้องหยุดแล้ว วางแล้วซึ่งทุกสิ่ง  ถึงเวลาแล้วที่ต้องปล่อยวาง  รู้ไหมทำไมถึงกำหนดการไหว้พระเป็นเวลา ก็มีความนัยตรงที่ว่า ถึงเวลาที่เราต้องพอแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องหยุดได้แล้ว  กลับมามองที่ตัวเอง  กลับมาค้นหาซึ่งพุทธะในใจ กลับมาสำรวจความผิดของตัวเองว่ามีมากน้อยแค่ไหน อย่าได้เป็นผู้ที่ไหว้พระแล้วก็ท่องเป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง  แต่ไม่ได้มีจิตสำนึกหรือระลึกถึงว่าแต่ละพระองค์กว่าที่ท่านจะสำเร็จกลับคืนขึ้นไปได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละพระองค์มีบุญคุณกับตัวเรามากแค่ไหน  ทุกขณะที่กราบไหว้ต้องระลึกได้ถึงจริยวัตรอันดีงาม ประวัติที่น่าเจริญรอยตาม  สำรวจตัวเองด้วยว่าวันนี้คิดดี  ทำดี  พูดดี พร้อมสมบูรณ์ไหม  กล่าวสิ่งใดไปบิดเบือนเผลอไผลหลงลืมไม่ได้ทำตามหรือเปล่า วันนี้ได้ความรู้หรือวันต่อไปเรียนรู้อะไร  ได้ยินใครพูดอะไร เอามาตรวจสอบ เอามาวัด เอามาคิดพิจารณาหรือไม่  หากทำได้เช่นนี้ก็ถือได้ว่าทุกขณะที่ก้มกราบ ปักธูป จุดตะเกียง ก็มีค่าแห่งการบำเพ็ญแล้ว  แต่จะพูดมากไปทำไมล่ะ  ถ้าจิตของศิษย์รักทุกคนยังไม่รู้ว่าอะไรคือการบำเพ็ญ  แล้วทำไมต้องบำเพ็ญ ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าจะไหว้พระไปแต่ไม่ได้ศึกษาเพิ่มเติม  ฉะนั้นต้องรู้ด้วยว่าแม้จะไม่ได้เป็นอาจารย์บรรยาย เป็นแค่ผู้ดูแลห้องพระ  แต่ธรรมะยังต้องศึกษาเอาไว้  ต้องเรียนรู้ไว้ว่าเรือธรรมะนี้คืออะไร  การปลดปล่อยหมายถึงอะไร ใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เคยจำอะไรเลย  แล้วศิษย์รักทั้งหลายจะส่งเสริมคนได้อย่างไร  แล้วจะนำพาคนอื่นได้อย่างไร
ห้องพระนี้บางครั้งมีคนก้าวเข้ามา  ใบหน้าศิษย์ต้องยิ้มแย้ม  ทุกเวลาต้องพร้อมเสมอ สะดวกให้แก่การมีคนเข้ามาศึกษา ไม่เกี่ยงงอนว่าจะเช้าหรือจะค่ำ จะมากหรือจะน้อย  แม้ตัวเองจะเหนื่อยขนาดไหน แต่เมื่อเขามาถึงบ้านเรา  เราต้องอย่าดูดาย  เราต้องดูแล เราต้องช่วยเขา  เขาเหมือนคนหลงทางเข้ามาอยู่ในบ้านเรา เขาเหมือนคนที่ทุกข์เข้ามาอยู่ในบ้านเรา  จิตเมตตาต้องบังเกิด  ช่วยเขาปัดทุกข์ให้เป็นความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า  รับธรรมะนั้นง่าย  ทำไมบำเพ็ญจึงแสนยาก หรือบำเพ็ญง่ายแต่ทำไมจึงเข้าใจเรื่องธรรมะได้ยากเหลือเกิน  ก็เป็นเพราะว่าเราไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย ใช่หรือไม่  (ใช่)  จิตใจของศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงง่าย พอเปลี่ยนไปเราก็เริ่มไม่ค่อยมั่นใจในธรรมะ ไม่ค่อยเคารพในอาวุโส  เบื่อหน่ายที่จะกราบพระและลงแรงบำเพ็ญ เป็นเพราะอะไร  เป็นเพราะว่าบุญสัมพันธ์นั้นเบาบาง ความเข้าใจนั้นตื้นเขิน  จิตมุ่งมั่นเสียสละนั้นอ่อนแรง  การบำเพ็ญจึงลุ่มๆ ดอนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพลียกันไหม  บางคนมาจากที่ไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังมาทั้งวันเพลียกันหรือเปล่า  (ไม่เพลีย) เหนื่อยไหม  (ไม่เหนื่อย)  ต้องขอบคุณฟ้าดินจริงๆ นะที่ทำให้เรามีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านอีก ถ้าไม่มีเบื้องบน ไม่มีพระอนุตตรธรรมมารดา  เราก็คงไม่ได้มาผูกบุญกับท่าน   และเราก็คงไม่รู้ว่าเรามีชีวิตไปเพื่ออะไร  ทำไมเราจึงต้องช่วยคน ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้รู้บ้างหรือยัง  นาวาธรรมหรือสถานธรรมมีความหมายว่าอะไร  การปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรมคือการกระทำเช่นไร  สองอย่างนี้ต้องรู้ชัด ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้  แล้วทำไมจะต้องลงแรงบำเพ็ญทั้งกายและใจ  ก็เพราะว่าใจของเรานั้นมีพุทธะอยู่ใช่ไหม (ใช่)  เราจะต้องรู้คุณค่าของตัวตน  รู้คุณค่าของกายตนนี้แล้วตั้งใจบำเพ็ญด้วย  แล้วรู้ไหมว่าทำไมธรรมะจึงอุบัติลงมาในยุคนี้  สี่อย่างนี้ขอให้ผู้ดูแลสถานธรรมทุกๆ คนต้องพยายามหาความกระจ่างในจิตใจให้ได้
ทำไมต้องช่วยคนล่ะ  ตราบใดที่มนุษย์โลกยังมีความทุกข์  ตราบนั้นจิตเมตตายังต้องมี  มีไว้เพื่ออะไร  มีไว้เพื่อขจัดความเห็นแก่ตน  ขจัดความคิดยึดติดในตัวตน ให้รู้จักให้ด้วยความบริสุทธิ์  ให้โดยที่ไม่หวังอะไร  ให้แม้ตัวเองจะทุกข์  แต่คนอื่นสุขก็ยินดีและเต็มใจ นี่คือการฝึกเมตตาจิตเฉกเช่นพุทธะ  เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก  แต่เราลองมุ่งมั่นดูด้วยใจรัก  ด้วยใจที่ตั้งมั่นไม่ยอมแพ้  อะไรมาขวางหน้าก็จงยิ้มสู้  จะรู้ว่าเป็นบันไดให้เขาก้าวได้สูงขึ้นๆ ยิ่งเจอใครทุกข์ ยิ่งเจอใครเดือดร้อน เรายิ่งต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ยิ่งเดินเข้าไปหา  ยิ่งเข้าไปประคับประคองโอบอุ้มให้เขาฟื้นขึ้นมาเป็นคนที่สู้ได้อีก  มีคุณค่าอีก อย่ามองว่าการฉุดช่วยคนอื่น  การยอมให้คนอื่น การเสียสละให้คนอื่น คือทำเพื่อคนอื่น แท้จริงแล้วไม่ใช่  ทุกขณะที่ทำให้เขา ทุกขณะที่ช่วยเขา หรือทุกขณะที่นึกถึงเขา นั่นคือเราได้ฝึกตน ตนที่ไม่มีตน  ตนที่ว่างเปล่า ตนที่ประเสริฐ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องหนักแน่น  เป็นกุลสตรีแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนนิ่มนวล  แต่ภายในจิตใจต้องเข้มแข็ง เข้มงวดรักษาซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีของความเป็นหญิง  สืบทอดจริยวัตรอันดีงาม เป็นแบบอย่างให้รุ่นลูกรุ่นหลาน  แม้ศิษย์รักฝ่ายชายดูภายนอกเข้มแข็ง แต่จิตใจก็อย่าได้อ่อนยวบยาบสู้อิสตรีไม่ได้ อย่างนั้นไม่ถูกต้อง  อย่าเกี่ยงงาน หนักก็เอาเบาก็สู้  ต้องร่วมมือกันประสานกันอย่านิ่งดูดาย เขาเหนื่อยเราสบาย อย่างนี้หรือคือผู้บำเพ็ญ ไม่ได้ ไม่ใช่  เขาเหนื่อยเราต้องเหนื่อยกว่า เขาทุกข์เราต้องแบกรับทุกข์ แม้จะหนักกว่า เราก็ต้องสู้  นี่คือจิตแห่งพุทธะ  นี่คือจิตของผู้บำเพ็ญ รับไหวไหม (ไหว)  คิดให้ดีๆ นะ  รับปากซือหมู่แล้ว  จะรับปากต้องคิดให้ดีๆ อย่าได้แต่รับ  ไม่อย่างนั้นทุกข์ไป เหนื่อยไป ก็คือศิษย์เองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์อยู่ในห้องพระ อะไรเรียกว่า แนะนำ อะไรเรียกว่า ว่ากล่าว อะไรเรียกว่า ตักเตือน ต้องแยกให้ออก เพราะบางครั้งเราเป็นผู้ที่อยู่ในห้องพระ  ตอนไหนชี้แนะ ตอนไหนกล่าวเตือน ตอนไหนพูดจา ต้องแยกให้ออก อย่าเอาอารมณ์มาสับสน   ปนเป  อย่าเอาจิตมนุษย์มาพูดกับมนุษย์  ไม่อย่างนั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่อง  แต่จงเอาจิตแห่งพุทธะ จิตแห่งโพธิสัตว์มาคุยกับเขา ทำได้ไหม  ด้วยปัญญาของศิษย์รักเองศิษย์รักจะรู้ว่าคนไหนควรพูด คนไหนควรเตือน  เวลาตอนไหนควรบอก เวลาตอนไหนไม่ควรบอก ต้องรู้ ใช้ปัญญาหยั่งรากลึกลงไปในตัวตนเอง  สติต้องมีอยู่เสมอ  ต้องรู้พร้อมและตามเท่าทัน อย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่  อย่าถือความรักความชอบจนหน้ามืดตามัว แยกไม่ออก อย่าเห็นคน ส่งเสริมคนแต่เพียงภายนอก แต่ต้องส่งเสริมเขา ช่วยเขาให้ถึงจิตใจ เข้าให้ถึง แล้วจะนำพาเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ซือหมู่เราเห็นห้องพระแต่ละห้องพระล้วนสวยงาม ดูเป็นระเบียบ แต่ทำไมสวยงามแต่ห้องพระ  ส่วนอื่นสกปรกเลอะเทอะกันจังเลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  อะไรเลอะก่อน ใจเลอะ แล้วก็รก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้องพระสวย องค์พระขาว โต๊ะพระเรียบร้อย แต่ที่อื่นเลอะเทอะช่างปะไร  ได้หรือเปล่าศิษย์รัก  ไม่ได้นะสะอาดต้องสะอาดหมดจด สงบราบเรียบก็ต้องสงบราบเรียบให้หมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าสะอาดแต่ห้องพระ แต่ใจยังขมุกขมัว ยังสกปรก หรืออย่าสะอาดตรงโต๊ะพระ แต่ใต้โต๊ะฝุ่นเขลอะอย่างนี้ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้สวย แต่น้ำในแจกันกลับเน่าเหม็น หมายความว่าอย่างไร  ศิษย์รักรู้ดีใช่หรือไม่  อย่ามองหนึ่งให้เป็นหนึ่ง แต่ต้องรู้จักมองหนึ่งแล้วแตกเป็นสอง เป็นสามได้ นี่คือใช้ปัญญา ไม่อย่างนั้นวันนี้พูดกันทั้งวันศิษย์รักก็ไม่ได้นอนแน่เลย
คงมาเวลาสั้นๆ นะ อยากอยู่กับศิษย์รักให้นานๆ อยากพูดจาส่งเสริมให้มากๆ แต่บางครั้งคำพูดก็จุกอยู่ในลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากมาย เพราะก็เห็นว่าศิษย์รักทุกคนบำเพ็ญได้ดีแล้ว  จะมีผิดมีพลาดบ้างศิษย์รักก็รู้กันเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ทุกขณะยิ่งบำเพ็ญยิ่งมองเห็น อะไรดีอะไรไม่ดีในตน  ทุกขณะยิ่งบำเพ็ญยิ่งอ่อนน้อมลง  ยิ่งใสยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งเที่ยงตรง  อย่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้ง กิเลสและความไม่ดีของผู้อื่น  สถานธรรมไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ล้วนต้องดูแลให้ดี  ล้วนต้องมีและต้องส่งเสริมบุคลากรให้ขึ้นมาให้ได้  เราเหมือนคนที่ยืนอยู่ในเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง  จะช่วยเขาต้องช่วยให้ทั่วให้เท่าๆ กัน ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  แม้จะอยู่ลำเล็กแต่ถ้ามีโอกาสอย่าลืมหมั่นมาดูแลลำใหญ่บ้าง  อย่าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของเขา แล้วไม่ใช่หน้าที่ของเรา  ขึ้นชื่อว่าฐันจู่ แปลว่า ผู้ดูแลสถานธรรม  ตอนตั้งปณิธานมีบอกไว้ไหมว่า ต้องสถานธรรมลำนี้เท่านี้เท่านั้น มีหรือเปล่า (ไม่มี)  ไม่มี ตั้งขึ้นมานั้นตั้งด้วยใจหรือตั้งด้วยถูกบังคับ  (ตั้งด้วยใจ)  ตั้งด้วยใจ แล้วทำด้วยใจหรือทำด้วยหน้าที่ (ทำด้วยใจ) ตอบให้ได้ทุกวันนะ  อย่าทำเพราะหน้าที่  แต่ต้องทำเพราะใจของเรา  บำเพ็ญด้วยใจของเรา  ก้าวเดินทุกขณะไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำ ก็เพราะใจของเราต้องการช่วยเหลือ ต้องการช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ อย่าถือทิฐิ อย่าเอาอารมณ์ อย่าเอาแต่ตน ไม่อย่างนั้นยิ่งบำเพ็ญจะยิ่งสูญเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) ทำแล้วอย่าคิดสะสม  อย่าคิดเอาหน้า อย่าคิดหยิ่งผยอง เคยเห็นหมากรุกไหม ย่อมมีรุกและรับสลับกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รักร่วมกันบำเพ็ญ ต้องสลับกันเป็นคนรุก สลับกันเป็นคนรับบ้าง  อย่าเอาแต่รุกแล้วไม่รู้จักรับ อย่างนี้ก็ไม่ได้  หรืออย่าเอาแต่รับแล้วคิดนำไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขารุกกับขารับต้องได้เหมาะสม แล้วงานธรรมะจึงจะก้าวหน้าไปได้อย่างงดงามและรุ่งเรือง  เบื้องบนกับเบื้องล่างต้องประสาน  หากไม่ประสานกัน ทำงานในใจย่อมขัดแย้งจริงหรือไม่ (จริง)
 อย่าให้คนแพร่ธรรม แต่ธรรมไม่แพร่ในคน เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ เข้าใจวรรคนี้ไหม ธรรมะฟุ้งไป ธรรมะแพร่ไป  แต่ในใจของเราไร้ซึ่งธรรมไม่ได้นะ ใจเราต้องมีธรรมอยู่เสมอ เมตตาต้องให้บริสุทธิ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลงทำไมยังมีกันอยู่  ไม่ได้มีมานานแล้ว พอมีทำไมจึงปล่อยออกมาได้อย่างน่ากลัว  อย่างนั้นมีกับไม่มีก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ กลับมาก็เหมือนเดิม ไม่มีก็จงไม่มีตลอดไป อย่าได้เรียกกลับมาอีกรู้หรือเปล่า รู้ไหม บางครั้งถ้าเกิดมารมา กรรมเวรมาทวงถาม จิตเราต้องฝึกเป็นพุทธะ อย่าทำตัวเป็นมารรับกรรม ไม่อย่างนั้นจะลำบาก เมื่อมีกรรมมาทวงถาม ถ้าศิษย์รักทำได้เต็มที่ ปฏิบัติหน้าที่อย่างบรรลุเป้าหมาย แม้วันนี้กรรมจะมาทวงถาม ศิษย์รักก็จะจากไปหรือไปพร้อมกับกรรมได้อย่างไม่หวั่นเกรง แต่ถ้าเกิดหน้าที่ปณิธานศิษย์รักยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ กรรมมาทวงถาม ศิษย์รักจึงหวาดกลัว  จึงร้องขอให้พุทธะช่วย นั่นแปลว่าศิษย์รักต้องย้อนมองดูตัวเองแล้วว่า เป็นเพราะว่าเรายังทำไม่ถึง ยังไม่บรรลุหน้าที่ เราจึงหวาดกลัว เรายังมีสิ่งที่ไม่ดีเต็มไปหมด  เราจึงเกรงกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันหมั่นสำรวจ 3 บริสุทธิ์ 4 เที่ยงตรง ทำให้ได้ ทำให้ได้นะ หนักหรือเปล่า หนักไหมหน้าที่นี้ อย่าให้ห้องพระว่างคนหรือคนว่างธรรม ไม่ดีเลยนะ สวยงามไป สะอาดไป แต่ไม่มีใครอยู่ก็น่าเศร้าใจ  อย่าทำให้ห้องพระว่างคน และอย่าทำให้ตัวคนว่างจากธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
จงก้าวต่อไปด้วยความมั่นคง ถือปณิธานความมุ่งมั่นเป็นเหมือนไม้ค้ำยันให้ก้าวเดินไปอย่างไม่หวาดหวั่น ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ใจแม้จะดูเป็นกรอบเหลี่ยม แต่กรอบเหลี่ยมนั้นก็คือถือระเบียบพุทธะเคร่งครัดมีความเคร่ง ครัดในใจตัวเอง ภายนอกกลมมนใสหมายความว่าไม่มีเหลี่ยมมุมมาทิ่มแทงทำร้ายใคร นี่คือเหลี่ยมในใจ แต่กลมภายนอกทำได้ไหม (ได้) ต่อไปนี้บ่าของเราจะไม่เบาอีกแล้ว ต้องหนักและแบกรับภาระหน้าที่นี้ให้จงดี อย่าปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินใจ ลุ่มหลงในอายตนะจนลืมหน้าที่ตัวเอง ลืมปณิธานตัวเอง อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
 โลกนี้แม้จะสวยอย่างไร ก็ไม่สู้ทำจิตใจให้สวยให้ได้  โลกนี้จะดีอย่างไร ใครจะดีเท่าใด ก็ไม่สู้ใจของศิษย์รักงดงามและดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องดีให้ได้นะ บำเพ็ญต่อไปอย่ายอมแพ้ความทุกข์ยาก ซือหมู่เรารู้ว่าทุกข์นั้นเกิดเพราะว่าตัวศิษย์รักเองยังมีความไม่บริสุทธิ์ ยังไม่เที่ยงพอ ถ้าเมื่อไรศิษย์รักบริสุทธิ์และเที่ยงพอ ศิษย์รักจะรู้ว่าอุปสรรคและความยากลำบากนั้นแทบไม่มีเลย จริงไหม (จริง) และต้องปลงให้ตก มองให้ออกว่าโลกนี้คืออะไรกันแน่ โลกนี้คือสิ่งที่ให้เรามาแสวงหา แต่แสวงหาอะไรล่ะ แสวงหาคุณค่าแห่งตน ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนที่เป็นแบบอย่างอันดีงาม และมีอิสระอย่างอริยะ ใช่ไหม (ใช่) จงตื่นขึ้นและเป็นคนมองโลกได้อย่างใสและเข้าใจถ่องแท้ ในการแบ่งแยกก็ต้องมองออกว่าอะไรคือเอกภาพ ในเอกภาพก็ต้องมองออกว่าอะไรคือการแบ่งแยก นั่นแหละคือการบำเพ็ญ แล้วใช้จิต สติปัญญานี้หยั่งรู้โลกภายนอก หรือที่ปราชญ์กล่าวไว้ว่า บางครั้งไม่ต้องออกไปไหน อยู่ในบ้านก็เห็นทุกสิ่ง รับรู้เรื่องราวได้ทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ก็คงไม่กล่าวอะไรอีกแล้วนะ ให้ศิษย์รักบำเพ็ญกันให้ดีๆนะ ทำได้ไหม (ทำได้)

พระโอวาทซือหมู่เมตตากับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม
ตอนนี้ศิษย์รักสบายไหม  สบายกันหรือเปล่า แล้วถ้าลำบากจะทำกันอย่างไร  ต้องรู้จักฝึกฝนความลำบากด้วยนะ  ซือหมู่เรารู้ว่าตอนนี้ผู้นำมีทั้งความสบายและความลำบาก  แต่ถ้าสบายมากเท่าไร ลำบากก็จะตามมามากเท่านั้น เข้าใจความหมายเราหรือเปล่า  ทำไมซือหมู่จึงเป็นซือหมู่  ก็เพราะว่าซือหมู่รับความทุกข์ แต่ตอนนี้ศิษย์คือศิษย์ของซือหมู่  ทำไมถึงทำตัวสบาย  ไม่ใช่ซือหมู่อยากให้ศิษย์ลำบาก  แต่ว่าการโปรดเวไนยสัตว์  ถ้าเราไม่ลำบากบ้าง แล้วเราจะนำพาเขาได้อย่างไร  ถ้าเราไม่สามัคคีกัน อยู่กันรับปากกัน ยอมกัน แต่ในใจกลับไม่ได้ทำในสิ่งที่ปากตัวเองพูด


  วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔       สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
พระโอวาทท่านเม่าเถียน
ห่วงเวไนยที่ยังหลงไม่ตื่น ห่วงเวไนยที่ตื่นแล้วยังหลงหลับ
ห่วงคนที่รู้แล้วไม่ขยับ ห่วงท่านดับแล้วไม่อาจคืนแดนเดิม
เราคือ
เม่าเถียนศิษย์พี่เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านบำเพ็ญดีแล้วหรือยัง


พระโอวาทท่านเม่าเถียน

คนที่ไม่มีคุณสมบัติขอเชิญลงได้  กฎระเบียบต้องเป็นกฎระเบียบ  จริงๆ แล้วจิตใจของเราต้องมีกฎระเบียบ  ไม่ใช่กฎระเบียบที่เราพูดถึง แต่เป็นกฎระเบียบที่อยู่ในใจ กฎระเบียบที่เราทำได้  แม้ว่ากฎระเบียบนั้นมีไว้อาจจะอึดอัด แต่ถ้าทุกท่านมีกฎระเบียบในใจทุกท่าน  ชีวิตทุกท่านมีระเบียบเรียบร้อยก็มีผลดีต่อตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ แต่ตอนนี้แค่เริ่มก็ควรจะเริ่มให้จริงจัง  ไม่ใช่เริ่มอย่างเหยาะแหยะ ขอไปที  ทำลวกๆ อย่างนั้นบำเพ็ญไปอีกสิบปีก็ไม่เท่ากับที่ท่านลงแรงจริงจังเพียงหนึ่งปี ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าคนอื่นกำหนดเราไม่ได้  มีใครกำหนดเราได้  ย่อมมีแต่ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ วันผ่านไป ขอให้ผ่านไปอย่างคนที่มีคุณค่า ทุกวันนี้คนที่อยู่ที่นี่ลงปณิธานทานเจแล้ว  ถือว่าก้าวขึ้นฝั่งพุทธะแล้ว  แต่จิตใจนั้นยังฝักใฝ่ทางโลก ไม่เป็นไร  เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว ใครสำเร็จใครไม่สำเร็จ ก็ย่อมอยู่ที่ตนเองบำเพ็ญได้มากเท่าไร
 คนที่ชอบติผู้อื่น ติไปทำไม เขาบำเพ็ญได้แค่ไหนก็คือตัวของเขา  ท่านบำเพ็ญได้แค่ไหนก็คือตัวของท่าน ใช่ไหม (ใช่)  จำเป็นต้องติต้องว่ากันไหม (ไม่จำเป็น)  จำเป็นต้องตักเตือนกันไหม  การตักเตือนนั้นตักเตือนกันได้  แต่มีขอบเขตของการตักเตือน ไม่มีใครชอบฟังคำบาดหู  ฉะนั้นจงอย่าพูดจาบาดหู  ไม่มีใครชอบฟังคำพูดเพ้อเจ้อ  ฉะนั้นจงอย่าพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีใครชอบฟังคำส่อเสียด จงอย่าพูดส่อเสียด  อย่าปั้นน้ำเป็นตัว  อย่าเห็นแก่ประโยชน์ตนหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  พูดไปพูดไป ในที่สุดแล้วกินเข้าไปเป็นเจ แต่ออกมากลับไม่เป็นเจ  ฉะนั้นจึงบอกว่าเมื่อขาเราเข้าไปอยู่แดนพุทธะแล้ว  จิตใจของเรานั้นจงอย่าฝักใฝ่แต่ทางโลก  หน้าที่ของลูกทำให้ดี  หน้าที่ของพ่อแม่ทำให้ดี  เราจะสร้างบุญไปพร้อมกับบาปทำไม  จะสร้างบุญไปแล้วถังของกุศลเราก็เจาะรูไว้ข้างล่าง  ทำไปก็รั่วไป ยิ่งทำดีเท่าไรก็ยิ่งหมดไปเท่านั้น  ใครบำเพ็ญมา 10 ปี  ยกมือขึ้น   ถือว่าคนใหม่ยังมีมาก คนเก่ามีน้อย  ขอถามคนเก่าๆ ว่าทำตัวเหมาะสมกับความเก่าของตัวเองไหม  หากเราไม่เป็นแบบอย่างที่ดี  คนข้างหลังก็ก้าวตามเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเก่าแต่ตำแหน่ง  จะเก่าแต่สิ่งที่ไม่ควรนั้นไม่ได้ ต้องเก่าอย่างคนที่มีสติ มีปัญญา เก่าอย่างคนที่นำหน้าด้วยความเมตตา  ไม่ใช่เก่าแบบคนที่ยึดติด เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
พุทธะย่อมห่วงเวไนย  เวไนยย่อมห่วงตนเอง  ทุกท่านในที่นี้เป็นทั้งเวไนย เป็นทั้งพุทธะ อยู่ที่ท่านจะเลือกเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งวันเป็นพุทธะกันได้นานสักกี่มากน้อย  ส่วนใหญ่จะเป็นเวไนยทั้งสิ้น ใช่หรือไม่  แต่ยามใดที่จิตใจของเราตื่นขึ้นมาแล้ว  จะต้องตื่นอย่างแท้จริง  ไม่ใช่ตื่นไปหลับต่อ หลับต่อตื่นไป อย่างนี้สลับกันเรื่อยๆ แม้พุทธะลงมาจากฟากฟ้าก็คงจะช่วยไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาถึงช่วงนี้แล้ว  ท่านรู้สึกห่วงตัวเองบ้างหรือไม่  มัวแต่คิดว่าบำเพ็ญไปแล้วคงจะสำเร็จไปไม่ได้   เมื่อท่านไม่มั่นใจ จะให้ใครมั่นใจ  ให้เราไหม  ต้องรู้จักคิด ไม่ใช่รู้แต่พูด  ต้องรู้จักทำ ไม่ใช่เอาแต่นั่งคิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
มีหลายคนบอกว่าเราศิษย์พี่นั้นดูแล้วดุ   บางคนก็ไม่อยากจะเจอ ใช่หรือไม่  แต่อยากทราบว่าทุกวันนี้เคร่งครัดกับตัวเองดีแล้วหรือยัง  ให้อาจารย์ของเรามาพูด ท่านก็พูดกับน้องๆ อย่างดี  ท่านจำใส่ใจกี่วัน  พูดดีกับท่าน ท่านแก้ไขหรือไม่  แต่ละคนนั้นความผิดเต็มตัวท่วมตัว  จึงอย่าให้พูดว่าค่อยๆ บำเพ็ญเลย   เราผู้พี่อยากจะพูดว่า รีบเร่งบำเพ็ญเถิด  คนที่ละกายสังขารไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเด็ก  ทุกท่านก็รู้ว่าในตัวของทุกท่านมีเหตุแห่งการดับสิ้นของสังขารแฝงเอาไว้ทั้งนั้น  เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันไหนเท่านั้นเอง  แล้วอย่างนี้จะให้เราพูดว่าค่อยๆ บำเพ็ญ  ค่อยเป็นค่อยไปหรือ  คงต้องบอกว่า รีบเร่งบำเพ็ญ  ยกระดับจิตใจของตนเองขึ้นมา  จิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่ต้องมั่นคง  เข้มแข็งอดทน มีสติ รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร  เช่นนี้จึงเหมาะสม   หากเป็นจิตใจที่อ่อนแรง อ่อนล้า จิตใจที่ท้อแท้ เอาแต่ใจตัวเอง  เห็นแก่ตน รักหน้า  ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ หรือรักแต่พวกพ้องของตน ท่านจะช่วยใครได้ แล้วท่านจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้กี่มากน้อย ใช่หรือไม่  (ใช่)
ทุกคนต้องย้อนมองตนเอง  มองให้เห็นถึงตัวเองจริงๆ รู้จักตัวเองจึงจะสามารถชนะตัวเองได้  ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น  สามอย่างนี้เป็นพิษร้าย  บางคนหนักไปทางความโลภ  บางคนหนักไปทางความโกรธ  บางคนหนักไปทางความหลง  ฟังธรรมะตั้งมากมาย  หากไม่สามารถปฏิบัติได้  แม้แต่หนึ่งอย่าง จะฟังธรรมะไปทำไม  เคยคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไหม  (เคย)  ตอนนี้ตัดกรรมไปแล้ว  กรรมเก่าก็ใช่ว่าจะตัดได้  คนบำเพ็ญจึงพบกับวิบากกรรม  เราบำเพ็ญจึงหลบเลี่ยงไม่พ้น  จิตใจต้องสำนึกแท้ สำนึกจริงในสิ่งที่ตัวเองเคยก่อ  แม้ว่าเราจะลืมไปแล้วก็ตาม
 หากว่าเมื่อยก็ขอให้ทนสักนิด  เราจะให้ท่านยืนอยู่แบบนี้ รู้ไหมว่าให้ยืนทำไม  ทำจิตใจให้นิ่ง สำนึกให้จริง  กรรมที่มีจะได้เบาบางลงบ้าง  คนที่บำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้  หากจิตใจยังมีความเคลือบแคลงเสแสร้ง  จิตใจยังสงสัยบ้างไม่สงสัยบ้าง  ก็เท่ากับว่าเรานั้นประสบความล้มเหลวในการบำเพ็ญธรรม  แม้ท่านจะตั้งปณิธานทานเจด้วยเหตุผลใดก็ตาม  แต่เมื่อถึงบัดนี้ได้ตั้งปณิธานไปแล้ว  ถวายสาส์นขึ้นสู่เบื้องบนแล้ว   ท่านนั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้  ฉะนั้นจงอย่าดูถูกตัวเอง  ขอให้ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำ  เวลาที่สถานธรรมมีงาน  ขอให้ท่านมาถึงสถานธรรมเป็นคนแรก  มีบางคนพอมีงานชอบมาถึงเป็นคนสุดท้าย อย่างนี้ใช้ได้หรือไม่  (ไม่ได้)   ญาติธรรมทั่วไปนั้นมาถึงคนสุดท้ายอันนี้ว่าไม่ได้  แต่หากว่าท่านเป็นคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้ว  หมายความว่า ตั้งใจจะสร้างกุศลอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร   ตั้งใจจะสร้างกุศลเพื่อคืนเบื้องบน  ก็ยังทำตัวเฉื่อยแฉะเชื่องช้า อย่างนี้ควรเรียกว่า ใช้ไม่ได้
ในสถานธรรมมีเรื่องของความบริสุทธิ์ 3 อย่าง ได้แก่ ชายหญิงชัดเจน  เงินทองชัดเจน  โลกและธรรมชัดเจน  สามอย่างนี้ให้ระมัดระวังให้ดี  เพราะว่าคนที่อยู่ในนี้ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถทำได้  ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้นไม่ขอพูดถึง  อยากให้ท่านสำรวจตนเอง  เวลาในการบำเพ็ญธรรมของเรานั้นยังมีอีกยาวนาน  แต่หากเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนเกียจคร้าน  เวลายาวนานนั้นก็คงจะไม่พอให้ท่านใช้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมาสถานธรรมเจอคนที่ดุหน่อย  เจอคนที่อ่อนโยนหน่อย ก็ขอให้อภัยกันให้ดี  เหมือนอย่างเราศิษย์พี่ท่านว่าดุ   พระอาจารย์จี้กงท่านว่าใจดี  เมื่อวานนี้หลายคนคงจะได้เจอพระอาจาริณี  ท่านเป็นคนที่อ่อนโยน  แต่อยากจะทราบนักว่า หากพูดด้วยความอ่อนโยนตลอดเวลา  คนที่ไม่รู้จักสำนึก ก็คงจะไม่สำนึกตลอดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาสถานธรรมเพื่อขัดเกลานิสัยของตนเอง  เจอสิ่งที่ถูกใจบ้าง  ไม่ถูกใจบ้าง  ท่านต้องฝ่าไปให้ได้  เป็นอุปสรรคอยู่ที่ไหน  ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น  แต่อยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น
การทานเจนั้นขอให้เข้าก็สะอาด  ออกก็สะอาด พูดจาให้ดี  คิดให้ดีจึงพูดดี  ขอให้กินให้สะอาด  ไม่ใช่กินอย่างลวกๆ หรือว่าแล้วแต่เหตุการณ์อำนวย  เหตุการณ์อำนวยก็กินสะอาดหน่อย  เหตุการณ์ไม่อำนวยก็ขอไปที  อย่างนี้ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งปณิธานทานเจจริงๆ หรือเปล่า  ขอให้คิดและทบทวน  ขอให้เข้าใจในธรรมะที่ตัวเองศึกษา  หลายคนนั้นอาจจะยังไม่เข้าใจ  หลายคนนั้นอาจจะแค่เพียงเริ่มต้น  ขอให้เราตั้งใจศึกษา  เพื่อให้ศิษย์และอาจารย์ของเราทุกคนได้อยู่ร่วมกัน  ดังเช่นเรากลับคืนไปอยู่กับพระอาจารย์  เราก็หวังว่าทุกๆ ท่านที่เป็นน้องจะสามารถกลับไปอยู่กับพระอาจารย์เช่นเดียวกัน  ทุกวันท่านคอย  เราจึงต้องเร่งหมั่นพยายาม  คอยนี้คอยอะไร  คอยให้ท่านกลับตนเป็นคนดี  คอยให้ท่านละอารมณ์ คอยให้ท่านดีขึ้นๆ ท่านคิดว่าคนที่รอมีความทุกข์ไหม  (มี)  ทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ให้ตัวเอง  แต่ทุกข์เพื่อเวไนยทั้งมวล  ท่านจึงต้องคิดให้ดี  ตัวท่านมีความสำคัญมาก
วันนี้ศิษย์พี่ขออนุญาตพระมารดามาพบได้  ก็เพราะบอกว่า ทุกๆ ครั้งที่มีงานประชุมธรรมเจอกันบ่อย แต่ไม่สามารถที่จะบอกกล่าว  ไม่สามารถที่จะสอนได้โดยตรง  เพราะว่ามีทั้งคนที่ใส่ใจและมีทั้งคนที่ไม่ใส่ใจ  มีทั้งคนที่ขอไปทีและมีทั้งคนที่เคร่งครัด  วันนี้ขอให้เราพี่และน้องได้คุยกัน  ขอให้เราได้สืบสานสืบทอดในปณิธานแห่งพระอาจารย์  แห่งพระศรีอาริย์ฯ และเราขอให้ทุกท่านรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนที่ดีขึ้น คนที่บำเพ็ญธรรมก็อาจจะมีหลายอย่างที่ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ไม่บำเพ็ญ  ฉะนั้นจึงต้องเคารพซึ่งกันและกัน  สามัคคีกันให้มาก  หลายๆ คนเมื่อทานเจไปถึงช่วงหนึ่งก็กลับเปลี่ยนใจ ทนไม่ได้กับอาหารที่ยั่วเย้า กิเลสที่ยั่วยวน  จึงหวังว่าเตือนน้องๆ ไว้ก่อน  ถ้าหากว่าท่านเปลี่ยนใจ ผลลัพธ์จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน  หากท่านรักษาปณิธานได้  ถึงจะไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้  อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าท่านก็ไม่ตกต่ำ  แต่หากท่านรักษาปณิธานไม่ได้  ผลก็ตรงกันข้ามกับนิพพาน  กลายเป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด  ฉะนั้นเตือนใจทุกท่านให้ดี  เมื่อยหรือยัง
โอวาทนั้นถ้าหากว่าไม่สมบูรณ์ไม่เรียบร้อย  ขอให้พิจารณาถามอาจารย์อาวุโสว่าจะแจกหรือไม่  หากว่าทำไม่ดี ทำไม่เรียบร้อย ยังขาดตกบกพร่องไป  ขอให้พิจารณาให้ดี  หากไม่สมบูรณ์ก็ต้องพิจารณาเช่นกัน  แล้วให้อาจารย์อาวุโสเป็นผู้ตัดสิน หากว่าอาจารย์อาวุโสอ่านไม่ออก ให้รู้ที่จะแปลให้ฟัง  ออกความคิดเห็นให้ฟัง  เข้าใจหรือยัง
หลายคนที่นี่ไม่ใช่เป็นแค่คนที่ตั้งปณิธานทานเจเท่านั้น  แต่ยังมีตำแหน่งทางธรรมพ่วงมาด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การทานเจเป็นการเริ่มต้นที่เราจะไปช่วยงานธรรมะอย่างแท้จริง  ความหมายของการเป็นฐันจู่  เจี่ยงซือ  เจี่ยงเอวี๋ยนนั้นไม่ใช่ว่ามีเอาไว้เพื่อให้คนมาโค้งคำนับ มีเอาไว้ให้ดูว่าตนอยู่ในตำแหน่งของการทำหน้าที่อะไร  ก็ไปทำหน้าที่นั้นให้ชัดเจน  ส่วนหน้าที่รองๆ ลงมา  ถ้าหากว่ามี แม้กระทั่งขัดห้องน้ำก็ยังต้องไปหัดทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นจะมีตำแหน่งไว้โอ้อวดไม่ได้  แต่ต้องมีตำแหน่งไว้เพื่อย้ำเตือนจิตใจของเราให้รู้จักที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในสิ่งที่ตัวเองแบกรับ  บางคนเป็นทั้งฐันจู่  เป็นทั้งเจี่ยงซือ และเป็นทั้งคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้ว เป็นความยากลำบากที่สุด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่สบาย  อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่เวลากราบพระแล้วจะต้องมาอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่อย่างนั้น  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่เป็นฐันจู่  เป็นเจี่ยงซือ  บางทีเรายอมอยู่ข้างหลังก็เป็นเรื่องสมควร  อย่าคิดว่าเรานั้นจะต้องอยู่ข้างหน้าเสมอไป  เพราะว่าการอยู่ข้างหน้าไม่ได้มีความหมายแค่อยู่ข้างหน้า  แต่การอยู่ข้างหน้ามีความหมายถึงภาระอันยิ่งใหญ่  หมายความว่าเรานำหน้าคนทั้งหมด  ฉะนั้นเวลากราบพระคนที่มายืนข้างหน้าแล้ว  จึงต้องรู้จักสำนึกตัวเองว่าในขณะนี้เรายืนอยู่ข้างหน้าคนอื่น  หมายความว่าภาระของเราก็หนักยิ่งกว่าคนอื่น  การที่บางคนจะแบกรับงานยุคสามอันนี้  ไม่ใช่อยู่ที่ว่าอายุมาก  อายุน้อย  ไม่ใช่อยู่ที่การเข้ามาบำเพ็ญธรรม 3 ปี 5 ปีหรือ10 ปี  แต่อยู่ที่ความตั้งใจจริงที่เราตั้งใจจะแบกรับหรือไม่  บางคนมาไวแบกรับได้มาก  มีความสามารถพิเศษมาก  ก็ต้องรู้จักใช้ความสามารถนี้ให้เป็นประโยชน์  แต่ในขณะเดียวกันต้องรู้จักหัดอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ด้วย  เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  รับรองได้ว่าหากท่านฝึกอ่อนน้อมถ่อมตน  ก็ไม่เป็นการเสียหายที่ตรงไหน  หากว่าท่านฝึกปากกับใจตรงกัน  ก็ไม่เป็นการเสียหายที่ตรงไหน  ท่านเป็นคนจริงใจคนก็ยิ่งรัก  หากท่านเป็นคนที่มีมิตรสัมพันธ์ที่ดี รู้จักช่วยเหลือคนอื่น  คนอื่นก็ยิ่งชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านต้องฝึกหัดเป็นคนที่มนุษย์ด้วยกันเองชมชอบได้ จึงจะสามารถให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชมชอบท่านได้  หากว่าท่านหวังว่าการที่ท่านทำดีนั้น เพื่อให้พุทธะชมชอบ  แต่ในมนุษย์ด้วยกันเอง  ท่านยังไม่สามารถทำสำเร็จ แล้วคิดว่าพุทธะจะชมชอบท่านหรือไม่  ย่อมเป็นไปไม่ได้  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักตัวเองให้มาก  เคร่งครัดกับตัวเองให้มาก
การที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนว่า  พลิกแพลงไปตามสภาพการณ์  ใช้ปัญญาพลิกแพลงไปตามสภาพการณ์นั้น  ท่านต้องดูสภาพการณ์จริงๆ ท่านต้องรู้จักที่จะพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่เห็นว่าตอนนี้ถึงทางเราตันแล้ว  เราก็พลิกแพลงไปอย่างนั้นไม่ใช่  แต่หมายความว่าท่านนั้นเกิดความขัดข้อง  แล้วถ้าหากว่าทำไปจะเดือดร้อนผู้อื่น  อย่างนั้นจึงใช้การพลิกแพลงไปตามสภาพการณ์ การทานเจเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับมนุษย์มาก  แต่หากว่าท่านทานด้วยจิตใจที่เมตตาแล้ว  ท่านจะไม่รู้สึกว่ายุ่งยากใครเลย  เพราะถ้าหากว่าท่านกล้าแม้แต่หยิบเนื้อสัตว์เข้าปาก  ก็แสดงว่าจิตเมตตาของท่านนั้นมันลบหายไป
หลายคนทานเจแล้วคิดว่าเรื่องทานไข่เป็นอย่างไรบ้าง  เราจะช่วยตอบให้ดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าตอนนี้กำลังเป็นปัญหาของพวกท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่บอกว่าไข่ทานไม่ได้นี่ใครพูด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดใช่หรือไม่  ท่านได้ยินกับหูไหม  (ไม่ได้ยิน)  เป็นการบอกเล่าเก้าสิบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อได้ไหม  หลายๆ ปัญหาในโลกนี้ก็เกิดแบบนี้  คือฟังกันมา พูดกันไป  แม้กระทั่งคำพูดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพูดกันไปไม่เว้น ใช่หรือไม่  (ใช่)   เราขอแนะนำให้ทุกท่านพูดแต่เรื่องดีๆ หัดพูดแต่เรื่องดีๆ ที่ตัวเองรู้ชัดแล้ว  อย่าทำตัวให้เป็นลมช่วยกันกระพือเข้าไปให้ไฟมันลุกโหม ดีหรือไม่ (ดี)  วันใดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการบอกให้พวกท่านเลิก  พวกท่านก็จะรู้เอง  ตอนนี้หากว่าใครทำได้ก็ทำไป  ใครเลิกได้ก็เลิกไป  ใครเลิกไม่ได้ไม่ต้องว่า  ไม่ขอพูดว่ามันเป็นเรื่องผิดหรือถูก  เพราะว่าคงจะไม่อยู่ในความคิดที่สามารถจะพูดออกมาได้  ขอให้ทุกท่านทานด้วยความสบายใจ  แต่ระมัดระวัง  สิ่งใดที่รู้ว่าไม่ใช่  คิดว่าไม่ใช่ก็อย่าไปทาน  เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)  และอย่าฟังคำพูดที่บอกเล่าเก้าสิบมา  ดูอย่างเรื่องนี้เห็นไหมว่าคนพูดนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าพุทธะพูดอีก ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีทั้งสองประเภทคือ ทั้งกินได้และกินไม่ได้ ขอให้ตัดสินใจ ขอให้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แต่อย่าพูดว่าไม่ได้ แต่อย่าพูดว่าได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) หากว่ามีเด็กเล็กๆ ฝึกหัดทานเจ ท่านไม่ให้พวกเขาทาน พวกเขาจะทานอะไร หากถึงคราวลำบากแล้ว  ท่านไม่ให้เขาทาน  เขาจะทานอะไร  ท่านต้องคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ  อย่าเอาตัวไปขัดขวางโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังขวางอะไรอยู่  ท่านทำได้  คนอื่นทำไม่ได้  ฉะนั้นการที่ท่านขวางไปก็เท่ากับเป็นการทำให้คนอื่นมีอุปสรรคมากขึ้น เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)
 ใครมีอะไรจะถามเรื่องการทานเจบ้าง  ขอเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นปัญหาของตัวเองคนเดียว หากไม่มี ศิษย์ผู้พี่จะกลับแล้ว  หวังว่าท่านนั้นจะทานเจอย่างคนที่สบายใจ อย่างคนที่อิ่มเอิบใจ  แต่ให้ระมัดระวังให้รอบคอบ  ให้รู้ทันในสิ่งที่ตัวเองได้ทานเข้าไป  ให้รู้ทันในสิ่งที่ตัวเองคิด  เพราะว่าการทานเจนั้นไม่ได้มีความหมายครอบคลุมอยู่แค่การทานเข้าไปเท่านั้น  แต่หมายถึงการคิดออกมาด้วย  การพูดออกมาด้วย  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดตกบกพร่องไม่ได้  ไม่เช่นนั้นแล้วตัวท่านอยู่ในแดนพุทธะ  จิตญาณท่านโปร่งใส  แต่การกระทำของท่านสวนทาง  การกระทำของท่านเป็นสิ่งผิดบาปอยู่เป็นระลอกๆ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญเป็นพุทธะได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ใครทำไม่ดี  ในบ้านของเราเป็นอย่างไร  เราไม่ต้องสนใจ ขอให้หัด ขอให้ฝึก ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมีความอดทน ห้ามปากของเรา  ห้ามใจของเรา  ห้ามความคิดของเรา เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)
ทุกๆ คำพูดที่วันนี้เราผู้พี่พูดล้วนออกจากใจ  ขอให้น้องๆ เก็บจำใส่ใจและขอให้รู้ไว้ว่า ทุกๆ เวลาเราผู้พี่คอยมองและจดบันทึกอยู่  ใครทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ความผิดใดๆ ไม่จำเป็นต้องพูด  ถ้าหากท่านพูดเมื่อใด  ขอให้พูดแล้วเขาสามารถแก้ไขได้ อย่างนั้นเร่งพูด  แต่กลัวว่ามนุษย์ด้วยกันพูดกัน  คนไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นพูดไปก็จะเสียประโยชน์เปล่า บางทีจึงต้องรู้จักอดทนอดกลั้น  บางทีจึงต้องรู้จักระมัดระวัง  ขอให้รักษาจิตญาณของตัวเองนั้นให้กลมใสสว่าง  ตอนนี้ปากของเราสะอาดแล้ว ใจของเราสะอาดตาม  จิตญาณของเราจะกลม ใสและสว่าง  พูดตามหน่อยได้ไหม  กลม ใสและสว่าง   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทุกคนพูดตามว่า  กลมใสและสว่าง)  เวลาพูดไห้รู้สึกว่า จิตใจของเรานั้นกลมใสหรือยัง (ยัง) ไม่กลม ไม่ใสและไม่สว่างด้วย ใช่หรือไม่  (ใช่)  จึงหวังว่ากลับไปหลังจากวันนี้  เวลาผ่านไปหนึ่งปี  บำเพ็ญไปหนึ่งปี  ขอให้หนึ่งปีที่ผ่านไปนั้นผ่านไปดั่งคนที่บำเพ็ญ  ไม่อย่างนั้นบำเพ็ญไปสิบปี  ไม่สู้บำเพ็ญแค่หนึ่งวัน ใช่หรือไม่  (ใช่)  บำเพ็ญไปสิบปี  ขอให้ก้าวหน้าดั่งคนที่ก้าวหน้าสิบปี ดีหรือไม่ (ดี)  ขออวยพรให้ทุกท่านนั้นบำเพ็ญบรรลุขึ้นสู่แดนฟ้า  ขอให้ทุกท่านนั้นอย่าท้อแท้ ขอให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา