แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ละบาปบำเพ็ญบุญ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ละบาปบำเพ็ญบุญ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-01 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一九年歲次己亥四月廿八日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป        คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน       สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา
                              เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

  การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด     กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง              หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
สังเกตุใจแอบกระถด[๑]ออกทีละหน่อย    สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ           เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน
คบไฟหยัดยืนส่องทางสามแพร่ง          มองลอดแสงหัดพุทธบุตรกลับสวรรค์
จิตชนะพุทธะเป็นผู้ข้องใดกัน              ฟื้นใจตะวันให้ได้ขัดเกลาใจ
พอหรือไม่วินิจฉัยตนอยู่เนืองเนือง       แจ้งว่าเรื่องใดเป็นทุกข์ต้องขยาย
คุมความคิดตัวเองความโลภทั้งหลาย    การอ่อนให้ทำให้ตกเป็นทาส
    หมายแก้ทางนั้นไม่มีวันสำเร็จ             เข็ดกิเลสปลดแอกใช่ด้วยความสามารถ
ไม่ต้องเก่งบางทีพิจารณาข้อจำกัด        คนจักรู้ที่เคร่งครัดโดยปริยาย
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์     ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม           แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ
                                                                             ฮิ ฮิ หยุด

 พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
รอความศักดิ์สิทธิ์ข้างนอก ไม่สู้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในตัวเรา รอแต่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่ลืมทำตัวเองให้น่าเคารพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ใครก็ปรารถนา รักและอยากใกล้ชิด เพราะนำความร่มเย็น ทำไมเรามัวแต่รอความร่มเย็นจากภายนอก ทำไมเราไม่รู้จักทำความร่มเย็นจากภายใน ฉะนั้นมัวแต่หาภายนอกก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับพยายามทำภายในให้ศักดิ์สิทธิ์ ร่มเย็นและน่าเคารพ ไม่เช่นนั้นกราบไหว้พระพุทธะไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไหว้ไปแล้ว แต่ตัวเองยังทำตัวไม่น่าเคารพ ไหว้ไปแล้ว ขอไปแล้ว ยังทำตัวเองไม่ร่มเย็น อย่างนี้อยากเอาพระกลับมาบ้านด้วยไหม แม้เอากลับมาบ้านแล้วก็ยังไม่ร่มเย็น เอามาแขวนกับตัวก็ยังไม่ร่มเย็น เพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือตัวเราเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองต้องเจอเคราะห์ร้ายไม่ใช่พระแต่เป็นตัวเราเอง พูดไม่ถูกต้อง พูดไม่เหมาะสม ถ้าทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม ไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่เหมาะ ทำไม่ถูก ทำผิดศีลธรรม ขาดธรรม แม้มีพระคุ้มครอง พระก็ไม่คุ้มครอง จริงหรือไม่ (จริง)  พระก็ไม่อยากอยู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกราบไหว้พระ อย่าลืมนำความเป็นพระมาใส่ไว้ที่ใจ อยากได้ความสงบร่มเย็น อย่าลืมนำความสงบร่มเย็นมาอยู่ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนี้ คุยกันได้ไหม ยอมให้เรามาคุยด้วยได้ไหม (ได้)  ถ้าท่านยอม เราก็อยู่ แต่ถ้าท่านไม่ยอม เราก็ (อยู่)  เราเพิ่งเคยได้ยิน ยอมก็อยู่ไม่ยอมก็อยู่ โดยส่วนใหญ่ ถ้าไม่ยอมให้อยู่ก็ต้องกลับใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าจะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านแล้วนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนทำตัวน่ารัก คนทำตัวร่มเย็น คนทำตัวน่าเคารพ มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยู่ใกล้แล้วไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ อยู่ด้วยแล้วร้อนเป็นไฟ อย่างนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย แม้แต่ตัวเราเองยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย แล้วเราทำตัวเองไหม (ไม่ทำ)  จึงมีคำพูดง่ายๆ ว่า ถ้าความดี ความถูกต้อง การมีศีล มีธรรม เปรียบเหมือนน้ำ ความชั่ว ความโลภ ความผิดศีลขาดธรรม การมีโลภ โกรธ หลง เปรียบเหมือนไฟ เกิดเป็นคนตายเพราะน้ำ ดีกว่ามีชีวิตอยู่แล้วถูกไฟเผาตายทั้งเป็น จริงไหม (จริง)  เคยไหมถูกความโกรธเผาจนอยู่ไม่เป็นสุข อยู่ที่ไหนก็ร้อน (เคย)  แต่เลือกไหมที่จะนำน้ำแห่งความดีมาปฎิบัติ ก็ไม่เลือก จริงไหม (จริง)  โลภแล้วก็ทำให้อิจฉาริษยา ทำให้แก่งแย่ง ทำให้ผิดศีล ทำให้ขาดธรรม ทำให้ใจร้อนรุ่ม อย่างนี้อยากจะโลภอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แต่ก็ยังโลภอยู่
ฉะนั้นตายเพราะความดี กับตายเพราะกิเลส ชีวิตไหนจะมีค่ากว่ากัน (ความดี)  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้ว เรายอมอดทนจนถึงซึ่งความดีไหม ก็ตบะแตกก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกความทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง และการผิดศีลขาดธรรม เผารนจิตใจอยู่ และเหมือนไม่เคยมีความสุข
เพราะเราไม่เคยดีแท้ ๆ แต่เรามักเป็นดีที่มีโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่
  “คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป    คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน    สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา”
เคยไหม คนชักแม่น้ำทั้งห้า อันนี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ฟังแล้วดูดี แต่ในความดีนั้นก็ยังดูไม่จริงไปเสียทั้งหมด ใช่หรือไม่ และบางครั้งถึงเขาจะพูดจริงขนาดไหน แต่มันก็ยังเหมือนจะดี แต่ยังดีไม่ตลอด ดีเกิน ตรงเกิน ก็เหมือนขวานผ่าซาก ใช่หรือไม่ จริงเกินไปก็เจ็บปวดใช่หรือเปล่า ฉะนั้นหากพูดแล้วคิดว่ากำลังจะโกหกก็ยิ้ม ๆ แทนได้ไหม หรือบอกว่าเดี๋ยวไปทำธุระก่อน ใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงเราพูดอย่างไร เหมือนเขา ถามว่าเขาดีไหม ถ้าเราตอบชัดเจนว่าไม่ดี แล้วเขาอยากดีขึ้นไหม (ไม่อยาก)  หากเขากำลังอยากทำดี เลยไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นแบบนี้บ่อยไหม ฉะนั้นพูดจริงเกินไปก็ใช่ว่าจะ(ดี)  พูดสวยแต่หาความจริงไม่ได้ก็ใช่ว่าจะ (ดี)  ฉะนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  แต่เราอยากบอกว่าดี ลองอยู่ในโลกพูดให้น้อยทำให้เยอะ น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่ในโลกนี้พูดมากทำน้อยไม่น่ารักเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นประเภทแรกหรือประเภทหลัง เงียบเลย อย่างนั้นแปลว่าเป็นแบบหลังใช่ไหม พูดมากแต่ไม่ค่อยทำ
การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด  กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
  กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง      หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
ถ้าวันนี้ใครนั่งฟังแล้วก็หลับ แปลว่าไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเองในการฟังธรรมใช่หรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  รู้ไหมว่าการฟังทำให้เกิดปัญญาอันสว่างไสว จิตมักมืดมนไปเพราะกิเลส การมาฟังธรรมคือทำให้จิตสว่างโดยไม่ถูกกิเลสมาทำให้มืดมน เหมือนคนโบราณชอบเข้าวัดเข้าวาเพราะทำให้จิตผ่องใส กลับมาแล้วเบิกบานใจแต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา จะเข้าก็เพราะไปเอาสามตัวสองตัว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ไปเพื่อผ่องใสหรือเพื่อมืดมน สามตัวได้มานั่งลุ้นวันที่สิบหก ถูกหรือไม่ถูก แล้วก็กลับมามืดมนใหม่ เพราะถูกกิน
“สังเกตใจแอบกระถดออกทีละหน่อย สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ     เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน”
เกิดเป็นคนมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือยังไม่ทำอะไรก็ยอมแพ้ กับอีกประเภทหนึ่งคือสู้ยิบตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนักเรียนในห้องนี้เป็นประเภทไหน (สู้ยิบตา)  สู้ยิบตาจริงๆ หรือ สู้ยิบตาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง หรือสู้ยิบตาเพื่อให้ได้ตามใจของตัวเอง ความหมายไม่เหมือนกันนะ
เราขอเริ่มต้นง่ายๆ ก่อน โดยส่วนใหญ่เมื่อมานั่งฟัง ทุกคนก็มักจะคิดว่า ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะบำเพ็ญรอดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  แค่ชีวิตตอนนี้ทำมาหากินก็จะแย่อยู่แล้ว แล้วจะให้มาบำเพ็ญอีก ก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกคนก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวก่อน ดีขนาดไหน ก็บอกเดี๋ยวก่อน เพราะตัวเองยังไม่รอดเลย อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะคิดว่า ถ้าตัวเองยังไม่รอด อย่ามาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ อย่ามาพูดถึงเรื่องการเป็นคนดี ขอให้ชีวิตของตัวเองรอดไปก่อน เมื่อรอดแล้ว อยู่ตัวแล้ว แล้วค่อยมาว่าเรื่องการบำเพ็ญ การเป็นคนดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราถามนะ ถ้าคนๆ หนึ่ง มีจุดหมายว่า ตัวเองต้องรอดก่อน แล้วช่วงที่จะรอด จะต้องฆ่าคนอื่นให้ตายหมดก่อน แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าคนนี้บ้าง เหลือคนนี้บ้าง ฆ่าคนโน้นบ้าง แล้วทำดีกับคนนี้บ้าง แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นก็แปลว่า ถ้าเราจะไปรอด คนนั้นก็ต้องอยู่ด้วย คนนี้ก็ต้องอยู่ด้วย คนนั้นเราก็ต้องดี คนนี้เราก็ต้องดี ศีลเราก็ไม่ขาด ธรรมเราก็ไม่บกพร่อง แล้วเราก็รอดด้วยใช่ไหม (ใช่)  เราว่าที่เราเห็นไม่ใช่แบบนี้นะ คนไหนศีลห้า ไม่บกพร่องเลยยกมือขึ้น
ทุกคนมีเป้าหมาย คือ ต้องมีเงิน ต้องสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่สิ่งผิดที่ทุกคนมีเป้าหมายในการมีความอยากบ้าง อยากทำโน่น อยากทำนี่ แต่ความอยากนั้นต้องไม่ทำให้เราขาดไปซึ่งคุณธรรมความเป็นคน ความอยากนั้น ต้องไม่ทำให้เราเป็นคนที่ผิดศีลขาดธรรม เพราะคุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ แต่คุณค่าของคน คือ ทุกขณะที่ก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ เราสามารถกอดเพื่อน รักเพื่อน แล้วเดินไปพร้อมกับเพื่อน ไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในชีวิตจริง เราเป็นเช่นนี้ไหมหนอ ไม่เคยทิ้งเพื่อน ไม่เคยเตะเพื่อน ไม่เคยโกหกเพื่อน ไม่เคยเบียดเบียนใคร เพื่อความสำเร็จและเพื่อการได้เงินมา ไม่เคยผิดศีลขาดธรรมเลย ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าคุณค่าของความหมายของชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ได้มาแล้วต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว ความสำเร็จที่ได้มาแล้วไม่เหลือซึ่งใครที่เป็นมิตรแท้ หรือไม่เหลือซึ่งความเป็นคน การหามาเช่นนี้ก็หาใช่จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริงไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าทำเพื่อความสำเร็จ แต่ฆ่าคนทุกคน แล้วตัวเองอยู่รอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม ตัวเองรอดก่อนคนอื่นทีหลัง กับอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่ารอดแล้วยังไม่พอยังขอมีอีกนิดหนึ่ง มีอีกเยอะๆ หน่อยใช่หรือไม่ แล้วก็คิดว่าเยอะๆ แล้วจะได้มีความสุข สมมติมีคนชมว่าเราเก่ง ไม่เคยชมเลยแล้วชมว่าเราเก่ง เรารู้สึกว่าดีใช่หรือไม่ แต่ถ้าทุกวันชมเราว่าเก่ง เยอะไปมันก็ไม่ดี บางอย่างอะไรที่เราชอบกินบ่อยๆ มันก็ไม่ค่อยอร่อย เงินหาบ่อยๆ หาเยอะๆ ดีไหม สุขไหม บางอย่างเราหาเยอะๆ ก็ดี แต่ในทางกลับกันเยอะแล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไรเพิ่มเติม คุณค่ามันก็แค่นั้น เท่านั้น สิบกับหนึ่งบางทีก็ไม่ต่างกันเลย บางทีหามากเกินก็กลายเป็นไม่สมดุล มัวแต่หาเงินจนลืมดูแลครอบครัว ลืมความสัมพันธ์ที่ดีที่ควรจะมีต่อกัน มัวแต่ห่วงเรื่องเงินจึงทำลายมิตรภาพ เคยเห็นไหมเงินเพียงสิบบาททะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นเงินมันสำคัญกว่ามิตรภาพหรือ บางอย่างเราคิดว่าหาเยอะๆ แล้วเราจะได้ แต่โลกน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าของนั้นเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา แต่หาแทบตายมันกลับไม่ใช่ของเรา แล้วเรายังหาไหม
ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญคือ ธรรมะ เราขาดไม่ได้ เพราะธรรมะจะสอนให้เราพบความจริง และอยู่บนโลกแห่งความจริงโดยไม่ทุกข์ และธรรมะอะไรล่ะที่จะสอนให้เราพบความจริงและไม่ทุกข์ ศิษย์พี่ถามง่ายๆ นะ ในเมื่อหามากๆ ก็ไม่ค่อยดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นหาแต่สิ่งที่ดี ดีไหม ชีวิตเราเกิดมาแล้วก็อยากมีสิ่งดีๆ ในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่า ศิษย์พี่อยากเลี้ยงเป็ดหนึ่งตัว เพราะคิดว่าถ้ามีเป็ดหนึ่งตัวแล้วจะมีความสุข เป็ดตัวนี้ก็ดีนะ สมบูรณ์อ้วนท้วนกำลังดี แล้วศิษย์พี่ก็คิดอีกทีว่า โอ้ย ชีวิตมันต้องดี เป็ดตัวหนึ่งพอไหม (ไม่พอ)  เพิ่มอีกตัวดีไหม (ดี)  หาแล้วหาอีกก็ได้เป็ดอีกหนึ่งตัว แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา ตัวนี้อ้วนกว่า ตัวนี้ผอม ก็เลยตีตัวอ้วนแล้วก็บอกว่า แกต้องแบ่งให้ตัวผอมบ้าง แล้วก็เอาแต่รังแกเป็ดตัวอ้วน เพราะทำให้เป็ดอีกตัวผอม ใช่หรือไม่ เป็นความผิดของเป็ดตัวอ้วนใช่ไหม (ไม่ใช่)  เห็นชีวิตของศิษย์น้องก็เป็นอย่างนี้ ไม่โทษตัวเอง โทษเป็ด ไม่โทษตัวเองทำผิด แต่โทษเพื่อนร่วมงาน ไม่โทษว่าตัวเองคิดผิดแต่โทษว่าคนอื่นคิดไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพิ่มเป็ดตัวที่สามอีกดีไหม ชีวิตต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ ตัวนี้ก็ได้แล้ว ตัวนั้นก็ได้แล้ว พอใจไหม (ไม่พอ)  แล้วก็หวังว่าเป็ดอีกตัวจะทำให้อีกสองตัวดีขึ้น ใช่หรือไม่ คราวนี้เป็นอย่างไร พอไหม เอาอีกไหม
ฉะนั้นบางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดี ให้มาก ๆ และคิดว่าตัวนี้ดีแล้ว แต่ถึงเวลา ที่นึกว่าจะได้ดีกว่าเดิมแล้ว ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วหาอีกตัวดีไหม (ไม่ดี)  ชีวิตมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือศิษย์น้อง อันนี้ก็ไม่เคยพอ แล้วสุดท้ายเป็ดสามตัวทะเลาะกันไหม ทะเลาะกันตั้งแต่เป็ดสองตัวแล้วใช่ไหม แล้วคิดว่าจะหยุดเป็ดไหม หรือหยุดความคิดตัวเอง แล้วเวลาเราแก้ปัญหาเราแก้ที่เป็ดหรือแก้ที่ความคิด
แล้วในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้วอะไรที่เราต้องพบ บางทีก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีต้องพบ อย่างนั้นที่ไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดีพอ หรือว่าเป็ดไม่เคยพอดี เมื่อถึงเวลาเรามักโทษเป็ด เป็ดไม่ดีพอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราต่างหากที่ไม่พอดี หรือดีไม่พอ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีอีกไหม บางทีหวังอยากให้เป็ดเป็นหงส์ ทำไมเป็ดไม่เป็นหงส์ นี่คือความผิดของเป็ดที่ไม่ยอมเป็นหงส์ ผิดไหมที่เป็ดไม่เป็นหงส์ (ไม่ผิด)  มนุษย์ก็แปลกนะ ได้อย่างหนึ่ง แต่ก็อยากได้อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นแค่นี้ แต่อยากให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วเป็ดไม่เป็นหงส์ ผิดที่เป็ดไหม (ไม่)  เมื่อก่อนเป็ดน่ารักกว่านี้ ผอม และดูดีกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เป็ดดูอ้วนเกินไป เราเป็นไหม เมื่อก่อนภรรยาน่ารักกว่านี้ เมื่อก่อนสามี และลูก ก็น่ารักกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปนะ อย่างนี้โทษเป็ดไหม
เข้าใจที่ศิษย์พี่เปรียบเปรยไหม เมื่อเราอยู่ในโลกธรรมะสอนให้รู้ว่าจริงๆ แล้วแท้จริงแล้วความไม่เที่ยงความไม่ทนความไม่แท้นั่นแหละคือความพอดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเรานั่นเองที่มันดีไม่พอ จึงมองเห็นทุกอย่างไม่พอดี เป็ดมันเกินไปหรือใจเราต่างหากที่ยึดติด เป็ดจริงๆ มันแย่ไหม หรือใจเราต่างหากที่แบ่งแยกเปรียบเทียบ คาดหวัง
การเรียนรู้หลักธรรม ปฏิบัติธรรม จึงมีสามแบบ
แบบที่หนึ่ง คือการปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส เรียกว่า ระดับศีล
แบบที่สอง เพื่ออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสงบร่มเย็น เรียกว่าระดับคุณธรรม
แบบที่สาม ปฏิบัติแล้วทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วพ้นทุกข์ เรียกว่าสัจจะความเป็นจริง
ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมเพื่อลดละกิเลส เราก็ต้องมีศีล ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมแล้วอยู่กับคนอื่นได้อย่างสันติสงบสุขร่มเย็น เราก็อย่าขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เกิดเป็นคนต้องมีเมตตา ต้องมีสัจจะวาจา เราทำได้ไหม ถ้าทำได้อยู่กับใครก็ร่มเย็น
อีกอันหนึ่งคือระดับพ้นทุกข์ เอาแค่ศีลและคุณธรรมยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าจะศึกษาระดับธรรมที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าถึงสัจจะความจริง ที่เรียกว่า โลกอันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ในโลกนี้มีสิ่งใดเที่ยง แท้ ทน ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ แต่ความยึดติดของคนต่างหากจึงเรียกโลกว่าดีว่าร้าย เรียกว่าทุกข์สุข
ถ้าเอาศีลมาดับทุกข์จะยาก เอาคุณธรรมมาดับทุกข์จะยาก เหมือนคนที่พยายามเมตตากับคน แต่อย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ที่ไม่เข้าใจเพราะว่าเราหวังให้เป็ดเป็นหงส์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราก็ไม่เคยพอใจในเป็ดที่เป็นเป็ด มักคิดว่าเป็ดต้องดีกว่าเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือถ้าไม่ดีกว่าเดิมก็ต้องไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าเราเอาหลักธรรมความเป็นจริงมาพิจารณาว่า โลกนี้ในตัวเราทุกคนทุกสรรพสิ่งในรูปในนามไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เหมือนถามว่าเรามีชีวิตเรารักชีวิตไหม (รัก)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตเกิดแล้วต้อง (แก่)
การพิจารณาหลักธรรมจนเข้าถึงหนทางที่จะสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ อย่างเมื่อสักครู่ที่เราพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีดีไม่มีร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ สุขและทุกข์ ดีและร้าย นั้นเกิดมาจากความยึดติดในความคิด เรามักใช้ความคิดเป็นตัวตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วมีดีหรือร้ายจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  ระหว่างเราเป็นผู้ให้ กับผู้รับ เราชอบแบบไหนมากกว่ากัน (ได้)  เสียกับได้ เราชอบแบบไหน (ได้)  ศิษย์พี่ถามนะว่า ในโลกนี้มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีเสียบ้าง (ไม่มี)  ศิษย์น้องก็รู้อยู่แล้ว ถ้าหลับตาข้างเดียว ก็บอกว่าตัวเองได้ แต่จริงๆ เสียไปแล้วเท่าไรก็ไม่รู้ ถูกหวยสามตัว ดีใจมากเลย แต่ตอนเสียไป ไม่เคยนับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งเจ็บใจมากยิ่งขึ้น เวลาได้ดันซื้อน้อย แต่เวลาเสียดันซื้อมาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้ชัดๆ มองแบบจริงจังอย่างคนที่จิตใจสงบ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ถ้าจิตเราสงบ เราจะเป็นนายเหนือสถานการณ์ แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่าน สถานการณ์จะครอบงำเราให้ตกเป็นทาส ฉะนั้นถ้าเราจิตสงบในทุกเรื่องราว เราก็สามารถควบคุมสถานการณ์และฉลาดในการมีชีวิตได้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ที่แล้วมาเราทุกข์ คือเราโง่กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริง เหมือนคำว่า “ชีวิต”
“ชีวิต” มีได้แล้วเสียไหม (เสีย)  มีเกิดแล้วมีตายไหม (มี)  แล้วในเกิดตายมีเจ็บไหม มีแก่ไหม (มี)  ถ้าเราอยากมีชีวิตให้มีแต่เกิดแล้วไม่ตายได้ไหม แล้วเราบอกว่าเกิดดีตายไม่ดีได้ไหม ถ้าโลกนี้เกิดดี มีแต่คนเกิดไม่มีคนตายดีไหม (ไม่ดี)  แล้วอยากเกิดไหม คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว แต่อยากเกิดอีกไหม บางคนบอกว่าทำบุญชาตินี้เดี๋ยวชาติหน้าจะได้สบาย ชาตินี้มันไม่สบาย ชาติหน้ามันจะสบายหรือ ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต ใจเราจะไม่กระเพื่อมไหวและไม่ยึดติดว่าอะไรดีอะไรร้าย เพราะจริงๆ แล้วในร้ายมันก็มีดี ในทุกข์มันก็มีสุข แต่เราขาดปัญญาเห็นจริงเท่านั้นเอง ในความเกิดของเราแท้จริงมีความตายอยู่ทุกขณะ เรามองให้ดีๆ แล้วจะไม่ถูกโลกพลิกให้ตัวเองเจ็บปวด แต่เราจะรู้จักพลิกแล้วให้ตัวเองฉลาดมีปัญญาขึ้น เพราะธรรมสอนให้เราเข้าถึงปัญญา ธรรมไม่ได้สอนแค่ศีล สมาธิ แต่ถึงที่สุดคือระดับปัญญาที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ความหมายของชีวิตจึงไม่ใช่คำว่าเกิด แต่ความหมายของชีวิตคือเกิดแล้วตายอยู่ด้วยกันเสมอ สุขและทุกข์ไม่เคยอยู่คนละมุม แต่มันอยู่ด้วยกันเสมอ ร้ายและดีมันก็ไม่ได้อยู่คนละด้าน แต่มันอยู่เกี่ยวเนื่องหนุนนำกันเสมอ แต่ใจเราเองต่างหากที่มันมืดบอดยึดติดความคิด จึงเห็นเหมือนคนละด้านคนละมุม ทั้งที่จริงๆ แล้วอย่างเดียวกัน เพราะมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่ทนและไม่แท้ ฉะนั้นควรหรือที่เราจะถอยห่างสัจธรรม แต่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้สัจธรรมเพื่อจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและเห็นชัดผู้อื่น
ฟังแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  สิ่งที่ศิษย์น้องควรกลัวไม่ใช่ความตายไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นใจที่มองไม่เห็นความจริง และทำให้เราอับจนสู้ไม่ได้ต่างหากจริงไหม เจ็บป่วยใครๆ ก็เป็นถูกไหม ลองมีชีวิตไม่เจ็บแล้วตายทันทีเอาไหม เห็นไหม ไม่มีใครเอาสักคนเลย แต่ทำไมลึกๆ ขอให้มีชีวิตอยู่แล้วตายเลย จริงๆ แน่ใจหรือว่าอยากได้อย่างนั้นใช่ไหม เจ็บหน่อยเพื่อเตรียมตัวยังดีกว่าไม่เจ็บเลยแล้วตายทันทีใช่หรือไม่ แล้วบางทีความตายดูอาจจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วความตายก็เป็นแค่การหมุนเวียนเปลี่ยนผันจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งที่เราเป็นผู้กำหนดใช่ไหม เอาง่ายๆ เบาใสขึ้นฟ้า หนักมึดดำขุ่นมัวลงดิน ตอนนี้เบาใสหรือหนักดำ (เบาใส)  นักเรียนชั้นนี้น่ารักจริงๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  ทั้งเบาทั้งใสเลยนะ
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์ ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม       แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ”
เวลาทุกข์มากๆ นะบางทีร้องเพลงอ้าปากดังๆ เลยอยู่ในห้องน้ำ ถึงจะทุกข์แค่ไหนก็มีความสุข ก็มันเครียดทำอะไรก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยอมรับความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นบางทีการร้องเพลงก็อาจจะช่วยให้เรา (โล่งใจ)  แล้วก็บอกมีคนขว้างปามาโบ้งเบ้ง เราก็ร้องอ๊าก ฉะนั้นบางครั้งในโลกนี้ที่เราทุกข์ที่เราเจ็บปวด เพราะเราไม่รับความจริง ชอบให้เป็ดเป็นหงส์และชอบให้เป็ดต้องดีกว่าเดิม ถ้าศิษย์น้องยอมรับความจริงว่า ไม่แน่เขาอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เราไม่ยึดติดความคิด เราไม่ยึดติดความคาดหวัง เรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เป็น เราสุขเขาก็สุข เพราะใจของมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบไหลลงทุกข์มากกว่าจะดึงตัวเองให้พบความสุข เหมือนนั่งตรงนี้ให้ยิ้ม ยิ้มไหม ก็ยิ้มไม่ออก จะให้ทำยังไงและผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์คือคนที่ยิ้มไม่ออก  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเรียนรู้ยอมรับความจริงและรู้จักพิจารณาความจริงจนบังเกิดทางพ้นทุกข์ นั่นแหละเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ลองเปิดใจแล้วศึกษาธรรมดูนะ เพราะธรรมจะทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ศิษย์พี่เอาตามพระอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแต่ขอเป็นคนไม่ประพฤติชั่วก็ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าเป็นคนดีที่ยุงก็ไม่ตบ มดก็ไม่บี้ แมลงสาปก็ไม่ขยี้ แต่พอคนรู้จักทำอะไรผิดเราด่าเขาเลย อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  ก็ฉันเป็นคนดี
เราเป็นอย่างนั้นไหมหนอ มดก็ไม่ขยี้ ยุงก็ไม่ตบ แมลงสาปก็ไม่เคยฆ่า แต่ถ้าใครไม่ดีก็ด่าเลย อย่าเป็นอย่างนั้นนะ เพราะผู้บำเพ็ญที่แท้จริง คือ ชั่วไม่ทำ เรียกว่าดี ดีกว่าดีก็ทำ ชั่วก็ทำ อย่างนั้นหาดีไม่ ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เฝ้าหวงแหนดินน้ำทรัพย์สินสมมุติ ปล่อยแดนวิสุทธิ์อยู่ไกลกว่าเดิมหนอ
ยึดตายตัวไหนเลยจะรู้พอ              วิมุติก็ไม่ได้ไปหากไม่ปลง
จะลงเอยแค่บำเพ็ญใจให้ดี              จิตไม่ว่างปล่อยชีวีให้ลุ่มหลง
สิ่งใดใดในโลกล้วนไม่ยืนยง            เดินทางตรงพ้นเวียนว่ายคืนนิรันดร์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อย่าเดินหนี  ชีวิตเหนื่อยอ่อนล้า มีปัญหาความรู้ไม่เคยจะช่วยใคร เรื่องใจสับสนเกิน  คำพูดคนอยู่รอบกาย ศิษย์รักทำใจ ศิษย์รักก็รู้เอง
อยู่เยี่ยงไหนได้พบสุขจริง ศิษย์แย่งชิงสู้เขาไม่รู้ทำไปทำไม ไม่ทำแบบเดิมเดิม  ฝึกเพิ่มเติมที่หัวใจ แก้ไขทุกการกระทำจากใจนี้
บำเพ็ญค่อนชีวิต  รับภาระกันขึ้นอีกนิด  หลายครั้งทำตัวไร้ความคิด ชอบเดินหนี อดเจอตัวเองคนสำคัญ ศตวรรษเพลิดเพลิน  ก้าวเดินบรรลุผ่าน พาดไปบนฟ้าไกล  แต่นี้ทุกลมหายใจไว้บำเพ็ญ

ทำนองเพลง : มากกว่ารัก
ชื่อเพลง : ลมหายใจไว้บำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    (พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ลุกขึ้นๆ ต้องให้อาจารย์เมตตาอีกหรือ ไม่ต้องแล้วนะ ต้องเข้มแข็งรู้จักนำพาตัวเองได้แล้วนะ จิตที่เต็มไปด้วยความสุข จิตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ จะทำให้เราอยู่กับใครก็นำพาซึ่งความสุข อยู่กับใครก็จะไม่โกรธ เพราะเรามีสุขและเข้าใจ อยู่กับใครอยากมีสุขไหม ศิษย์ก็อยาก เขาก็อยาก ศิษย์เข้าใจเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจก็ไม่มีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่แท้จริงคืออยู่กับใครก็กลมกลืนสอดคล้อง เรียกว่าหัวใจแห่งธรรม แต่ถ้าอยู่แล้วขัดแย้ง อยู่แล้วเจ็บปวดแปลว่าไม่ใช่ธรรมะจริงไหม (จริง)  สุขได้แล้ว คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย พูดอะไรนึกถึงคนข้างๆ บ้าง เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ในตัวมนุษย์นั้นมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านไม่ดี แล้วเราส่วนใหญ่ใช้ด้านไหนมากกว่ากัน (ด้านดี)  ถ้าเราใช้ด้านดี ก็แปลว่า
ในด้านดี คนดีมักเป็นคน (ดี)  ถ้าใช้ด้านดีบ่อยๆ ก็แปลว่า สามารถปฏิบัติอะไรออกมาเป็นคนดีได้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าใช้ความดีได้บ่อยๆ เราจะทำดียากหรือทำดีง่าย (ง่าย)  ถ้าบอกว่าทำดียาก ก็แปลว่าไม่ค่อยได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำดี ต้องทำอย่างไร (ไม่เสียดสีคนอื่น)  ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดเท็จ แปลว่า ไม่เคยโกหกคนเลยใช่ไหม (ใช่)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ไม่เคยโกหกแน่ใจหรือ ร้อยทั้งร้อยเห็นมาพูดอย่างนี้ ก็โกหกมาแล้วทั้งนั้น จริงไหม (จริง)  ยังจะจริงอีกนะ

ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนดี ทำดีบ่อยๆ อย่างนั้นคนดีเขาจะทำผิดศีลผิดธรรมไหม (ไม่)  ผิดไหม (ไม่)  แล้วคนดี เขาทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนดี (คิดดี พูดดี ทำดี)  แปลกนะคิดได้เพียง คิดดี พูดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่ว อย่างนี้ก็ยังไม่เรียกว่าดี จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์รู้ว่า ในตัวของเรามีสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่าด้านดี และอีกด้านหนึ่งเรียกว่าด้านไม่ดี ถ้าเรารู้จักใช้ด้านดีบ่อยๆ การจะแสดงออก หรือการจะปฏิบัติซึ่งธรรม ซึ่งความดีงาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อถึงเวลาต้องทำจริงๆ แล้ว การแสดงออกซึ่งการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติดี บางคนกลับทำได้ยาก แล้วไม่รู้จักที่จะทำด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนมองเฉยๆ ปล่อยคนอื่นดีไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนที่เลือกด้านดีหรือเปล่า
คนที่เลือกทำในด้านที่ดี เขาต้องคำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรม ใช่หรือไม่ อย่างที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกในจิตใจไหม ถ้ารู้จักคิดตรงนี้ตลอด เราจะไม่มีวันทำผิดศีลขาดธรรมได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มโนธรรมสำนึก เอาแต่ทำอะไรตามใจตนเอง จะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นคนที่มีธรรม ควรปฏิบัติตามธรรมหรือปฏิบัติตามใจตนเอง (ตามธรรม)  เมื่อตามใจตนเองก็ไม่เรียกว่าธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่า เราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตัว แล้วปกติเราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  ถ้าเราเห็นแก่ธรรมเป็นหลัก ทุกอย่างต้องมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก ทุกอย่างต้องมีรู้จักละอายใจเกรงกลัวต่อบาปกรรม เราจะผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ส่วนใหญ่เรามักทำตามใจตนเอง มากกว่าตามธรรม ฉะนั้นอยากรู้ว่าตนเองมีธรรมหรือไม่มีธรรม ก็ดูว่าตามใจตนหรือไม่ตามใจตน ใช่หรือไม่ แล้วเราส่วนใหญ่เห็นแก่ธรรมหรือเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  เมื่อเห็นแก่ตนก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม กรรมดีกรรมชั่ว และความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  และเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  และยังอยากทำแบบเดิมไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเช่นนั้นเรามาศึกษาธรรมกันหน่อยดีไหม อย่างไรเรียกว่า เห็นแก่ธรรมมากกว่าเห็นแก่ตน ยากไหม (ไม่ยาก)  แปลกนะ ไม่ยากแต่ไม่มีใครอยากทำ
(ละเว้นความชั่วปฏิบัติธรรม)  ใช่ไหม อย่างเช่นเวลาขายของ สินค้านี้ดีหรือไม่ดี เราพูดเพื่อเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ธรรม เห็นแก่ตัวอยากเอากำไรเยอะหน่อย เราก็จะบิดเบือนธรรม แต่ถ้าเราเห็นแก่ธรรม เราก็จะพูดตามความจริงว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี แต่เมื่อแม่ค้าอยากขายได้กำไรก็เอาดีกับไม่ดีมาผสมกันแล้วบอกว่าดี เหมือนกันเวลาโดนเขาว่า เราจะเห็นแก่ธรรมหรือเราจะเห็นแก่ตัวเอง ถ้าเห็นแก่ธรรมเราจะทำอย่างไร คำว่าความดีนั้น หรือคนที่ทำอะไรนึกถึงธรรมมากว่านึกถึงตนก็จะคิดให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ศีลทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรมเราก็จะเป็นคนดีและสันติสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เราต้องเริ่มต้นจากการทำดีให้ได้ก่อน ถ้าบาปยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการบำเพ็ญบุญ ถ้าความชั่วยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการเป็นคนดี หลักของการเป็นคนดีส่วนใหญ่ที่เรารู้และเข้าใจก็คือ เพื่อละชั่ว
เหมือนเราทำบุญเพื่อ
(ทำดีชำระกิเลส , สะสมบุญ , ทำใจให้สงบ)  เพื่อความสงบแห่งจิตใจ ทำแล้วสงบบ้างไหม (ไม่นิ่ง, ไม่สงบ)  เพราะเรายังวอนขออยู่ ก็ไม่สงบ เขาตอบได้ถูก ตอบได้ดี จุดหลักของการมีศีลมีธรรมคือความสงบ คือความเย็นใจ คือความสบายใจไม่มีอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อนอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำบุญแล้วยังขอจะสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล สงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล เย็นไหม (ไม่เย็น)  ถ้าอย่างนั้นเรากำลังทำบุญถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วทำไหม (ทำ)  ฉะนั้นอย่างแรกที่เราต้องเข้าใจให้เหมือนๆ กัน ปรับความคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะคุยกันยาวๆ เรื่องยากๆ เราต้องเริ่มที่เรื่องง่ายๆ และเป็นพื้นฐานก่อน คือเรื่องการทำความดีงามใช่ไหม ละบาปไม่ได้ก็จะบำเพ็ญบุญไม่ได้ ละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญดีไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะละบาปได้ ถ้าไม่เข้าใจจุดหลักของการละบาปเราก็บำเพ็ญไม่ได้ บำเพ็ญไม่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  โดยพื้นฐานของการเข้าใจในการทำบุญทำทาน เราทำเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความโลภโกรธหลง ทำบุญเพื่อความสบายใจเย็นใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ถามนะ เราสามารถทำบุญได้เฉพาะที่วัดใช่ไหม (ไม่ใช่)  แสดงว่าถ้าอาจารย์อยู่กับใครแล้วละกิเลสได้และทำให้สงบเย็นได้ และสามารถปฏิบัติกับเขาจนมีธรรมได้เท่ากับอาจารย์กำลังทำบุญทำทานและให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าเราจับหลักของคำว่าบุญกับทานได้ถูกศิษย์จะอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำบุญกับเขาได้ เพราะอยู่กับเขาแล้วเราสงบ อยู่กับเขาเราได้ละกิเลส อยู่กับเขาแล้วเราได้เย็นใจ แต่อยู่กับใครกิเลสก็ไม่ละ เป็นบุญหรือเป็นบาป (บาป)  แล้วมันมีศีลมีธรรม หรือผิดศีลผิดธรรม (ผิดศีลผิดธรรม)  ตกลงเรามีบุญมีศีลมีธรรมเฉพาะวัด ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากเทียบว่า ถ้าสมมติว่าใครด่าเรามา เราอยากทำบุญกับเขา หรืออยากเกี่ยวกรรมกับเขา ถ้าเราอยากทำบุญกับเขา ถ้าเขาด่ามาแล้วเราละความโกรธได้ เราสงบได้ เราให้ธรรมะเป็นทานได้ เท่ากับว่า เขาด่ามา เราได้ทำบุญ เขาด่ามา เราได้ให้ธรรมะที่ประเสริฐที่สุดที่เรียกว่า ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามา เรายังสามารถเข้าถึงศีลได้ด้วย เพราะว่าไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกหกใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดสำนึกในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเขาด่ามา เราสามารถสร้างทาน สร้างบุญ สร้างศีล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกที่เราสามารถทำบุญ ทำทาน มีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำอย่างนี้ไหม (ไม่ทำ, ทำ)
ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามีใครก็ตาม ทำอะไรให้เราเจ็บ แต่เราสามารถกระชาก กิเลสออกจากตัวได้ แล้วเราสามารถสงบเย็นได้ เราสามารถให้ธรรมะเป็นทานได้ แปลว่าทุกที่เรากำลังทำให้เขาเป็นพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังทำทุกที่ให้เป็นวัด เรากำลังทำทุกที่ให้สงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปรากฏว่าเราอยู่ในโลก เรามักจะคิดว่านี่ก็มาร นี่ก็ปีศาจ นี่ก็ชั่วร้าย ใช่ไหม โลกนี้ก็เลยเต็มไปด้วย มารและปีศาจ ใช่ไหม ฉะนั้นปรับความคิดพื้นฐานให้ถูกได้หรือยัง
อย่างนั้นการปฏิบัติให้ได้ทำบุญ ทำทาน ให้ได้มีศีลมีธรรม เราสามารถทำได้ที่ไหน (ทุกที่) แล้วสามารถทำได้ทุกตอน แม้จะถูกคนด่า เราก็ทำได้ ถ้าเขาเอาเงินไป แล้วไม่คืน เราจะยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาเอาสามีของเราไป แล้วไม่คืน ยอมไหม (ไม่ยอม/ยอม)
เมื่อวานพระนาจาก็บอกแล้วว่า ของอะไรที่เป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา ถ้าของที่ไม่ใช่ของเรา อย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา แล้วนั่นใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ไม่มีใครเป็นของเราจริงหรอก ถ้าศิษย์เข้าใจ จริงไหม (จริง) 
หลักสำคัญของการทำทาน ทำบุญ หรือมีศีลมีธรรม ก็คือ เพื่อความสงบเย็น ใช่หรือไม่(ใช่)  หลักสำคัญของการให้ทาน ก็คือ เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละแล้วซึ่งกิเลสโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละกิเลส โลภ โกรธ หลง เราก็ได้ทำบุญ ทำทาน ถ้าหากเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละซึ่งโลภ โกรธ หลง แล้วยังสามารถนำพาซึ่งความสงบร่มเย็น นั่นก็คือ เราได้ทำบุญ ทำทาน และได้ปฏิบัติธรรมแต่หากว่าปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความโลภ เกิดความหลงขึ้น เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  เช่นนี้เรียกว่าตกเป็นทาสของ (กิเลส)  แล้วเมื่อตกเป็นทาสของกิเลส หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  มีใครบ้างมีทุกข์แค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโลภแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโกรธแค่ครั้งเดียว แล้วมีใครบ้างที่โกรธแล้ว เข็ดแล้ว ไม่โกรธอีก (ไม่มี)
มนุษย์เรามีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เรามีทุกข์โดยพื้นฐาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากเพิ่มทุกข์ให้ตนเองไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเช่นนั้นการตกเป็นทาสของกิเลส ได้ความทุกข์หรือความสุข (ความทุกข์)  และพอไหม ฉะนั้นการตกเป็นทาสของกิเลสก็คือ การเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง อยากหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง อยากสองก็ (ทุกข์สอง)  อยากสามก็ (ทุกข์สาม)  และเราเคยพอทุกข์ไหม (ไม่พอ)  และเป็นความทุกข์ที่ตามมาด้วยกรรมชั่วและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์บอกว่า มนุษย์กลัวเคราะห์กรรม มนุษย์กลัวโชคร้าย
เคราะห์กรรมแห่งการโชคร้ายมาจากคนปฏิบัติดีมีศีลธรรมหรือมาจากคนที่ปฏิบัติชั่วตกเป็นทาสของกิเลสและอบายมุข ถ้าเราไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีกรรมชั่ว ไม่อยากมีวิบากกรรม ไม่อยากมีกรรมเลวร้าย เราก็ควรไม่ปฏิบัติชั่ว แล้วเราปฏิบัติดีไหม ถ้าเรารู้ว่าการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของความทิฐิยึดติดในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นซึ่งความทุกข์ วิบากและความชั่ว เราจะเพิ่มกรรมให้ตนเองไหม เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าชั่วกับดีต่างกันอย่างไร ถึงเวลาเราอยากเลือกชั่วหรืออยากเลือกดี จำไว้ว่าชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เลือกที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังหรืออยู่กับที่ เลือกที่จะก้าวให้ดีขึ้นหรือทำตัวให้แย่ลง หรือทำตัวให้ปล่อยวางและเข้าใจในความจริง เรามีสิทธิ์เลือกใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าเราหยุดทุกข์ไม่ได้ เรารับมือกับทุกข์ไม่เป็น มันไม่ใช่ แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อเวลาทุกข์มันมาเจอกับตัว ศิษย์แก้ไขอย่างไร
วันนี้หลักใหญ่ๆ ที่อาจารย์จะมาพูดคือเรื่องความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ทุกข์ได้
มีใครบ้างที่ทุกข์แล้วไม่ทุกข์อีก ศิษย์เคยทุกข์แล้วไปพบคนอื่นที่ทุกข์ เรารู้สึกว่า เราเฉยๆ เลย ศิษย์เคยรู้สึกอย่างนี้ไหม (เคย)  เช่น ตอนนี้เราทุกข์เหลือเกิน แต่เมื่อศิษย์พบคนที่เขาทุกข์ไม่ต่างจากเรา แล้วดูน่าจะหนักกว่าเราด้วย ความทุกข์ของเราก็เหมือนจะน้อยลง เล็กลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้ว บทของความทุกข์นั้นมีสอนใจเราอยู่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะน้อมนำความทุกข์นั้นมาสอนใจเรา และนำมาลงมือปฏิบัติแก้ไขหรือไม่ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเทียบกับคนอี่นแล้ว จะรู้ว่าเรานั้นโชคดีกว่าเขามาก ใช่ไหม (ใช่)  แขนขาก็ครบ เงินก็มี บ้านก็มี รถก็มี แต่ไม่มีอย่างเดียวคือ ความพอดี ถูกไหม (ถูก)  กับอีกแบบหนึ่ง ความทุกข์ที่อาจารย์เห็นเป็นประจำแล้วอาจารย์คิดว่าน่ารักดี คือ ตัวเองก็ทุกข์ คนที่รักก็ทุกข์ แต่ยอมพูดว่า ไม่ทุกข์ เพราะว่าถ้าพูดว่าตัวเองทุกข์ จะทำให้คนที่ตัวเองรักยิ่งทุกข์ อย่างนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  เพราะถ้าเราพูดไป เขาก็ทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเขาเลยไม่ (ทุกข์)  เพราะเมื่อไรที่เราทุกข์ และมีคนที่ต้องทุกข์มากกว่า เราจะสามารถอดทนและความทุกข์นั้นจะเยียวยาใจเราได้ให้ทุกข์ที่เราพบนั้นเหมือนไม่เจ็บ เพราะถ้าเราเจ็บ จะมีคนที่เจ็บกว่าเรา แล้วคนที่เจ็บกว่าเรานั้นเป็นคนที่เรารักมากที่สุด ยกตัวอย่าง แม่ลูกคู่หนึ่ง แม่ก็จูงลูกไป ปรากฏแม่สะดุดล้มคว่ำ ลูกก็ล้มคว่ำ ทั้งแม่ทั้งลูกก็แขนถลอกหมดเลย แม่ถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกตอบว่าไม่เจ็บ ทั้งที่ลูกเลือดไหลมากแต่ลูกไม่กล้าเจ็บ เพราะเดี๋ยวแม่จะเจ็บกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีคนที่รักมากกว่าตัวเอง ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เพราะความทุกข์นั้นจะทำให้คนที่รักศิษย์หรือห่วงศิษย์เขาจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้แล้วยังทุกข์แล้วไม่รู้จักรักษาเยียวยาความทุกข์ ก็แปลว่า ศิษย์ไม่เคยรักใครมากกว่าตัวเอง
ใช่เลย จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่ศิษย์มีคนที่ศิษย์เห็นค่าและรักศิษย์มากกว่า ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เหมือนบางทีศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์คิดว่าศิษย์ทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็นทุกข์เลย เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากบอกว่าเขาเหล่านั้นก็ทุกข์ แต่บางทีเขาไม่แสดงออกซึ่งความทุกข์ เพราะแสดงออกไปแล้วทุกข์ก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเอง และคนรอบข้างดีขึ้นเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่มีทุกข์แล้วไม่เคยแสดงออก แปลว่าเป็นคนที่รู้จักเห็นใจคนอื่น แต่ถ้าเราทุกข์แล้วเราชอบแสดงออกแปลว่าเราเป็นคนที่ (เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นเหมือนกันเวลาศิษย์ทุกข์ ถ้าศิษย์เห็นอะไรมีค่ามากกว่าตัวเอง ศิษย์จะสามารถยอมอดทนในทุกข์ได้ และทิ้งทุกข์ได้เพื่อสิ่งนั้น เพราะมีค่ามากกว่า เราไม่ยอมทุกข์เพราะอะไร เพราะเราอยากกตัญญูกับพ่อแม่ เราไม่ยอมเจ็บปวดเพราะอะไร เพราะเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข จิตมันใหญ่กว่าเดิมไหม เห็นไหมว่าเราสามารถทำบุญได้ แม้ในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนนี้ยิ้มจังเลย หัวเราะจังเลย เขาไม่เคยทุกข์บ้างเลยหรือ ไม่ใช่เขาไม่เคยทุกข์ แต่เขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกทุกข์ไปเพื่ออะไร เพราะความทุกข์มันมีค่าน้อยกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราเป็นแบบนั้นไหม
ฉะนั้นอาจารย์แค่พูดง่ายๆ เริ่มต้นของความเป็นคนธรรมดา แต่มันกลับทำให้เวลายืนด้วยกันแล้วทำไมเขาดูสูงจัง ถ้าคนด้วยกันปฏิบัติเข้าถึงธรรมแล้ว อยู่กับคนนี้แล้วเย็นใจจัง อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่าง ใช่ เพราะเขาปฏิบัติถึงซึ่งคุณธรรมความเป็นคน มากกว่าเห็นแก่ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแค่คน หรืออยากเป็นมากกว่าคน (มากกว่า)
ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเจอทุกข์ สมมติว่าความทุกข์เหมือนลูกสับปะรด จับแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  จับสับปะรดแล้วน่าจะทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  จับดีๆ ก็ไม่ทุกข์นะ จับไม่ดีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่จับเลยก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าสมมติว่าสับปะรดคือความทุกข์ แล้วความทุกข์ไปอยู่กับศิษย์ วิธีที่ศิษย์เจอความทุกข์ศิษย์จะเอาชนะความทุกข์อย่างไร (ปล่อยวาง)  ถ้าสมมติว่าความทุกข์เป็นสับปะรด ส่วนใหญ่บอกว่า ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  และการปล่อยวางที่ดีที่สุดคืออะไร (ปลอกแล้วเอามากิน)  ปล่อยวางแล้วปลอกแล้วเอามากิน ถ้าเป็นความทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไร โดยส่วนใหญ่เวลาเจอทุกข์มีไม่กี่ทางเลือกอย่างแรกคือจ่อมจมกับมันเลย ให้ตายไปเลย ไม่เขาตายก็เราตายไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยๆ กลับมาทุกข์ใหม่ แล้วคิดแล้วทุกข์ไหม แล้วคิดไหม คิดต่อ พอเหนื่อยเสร็จก็กลับมาคิดต่อ คิดต่ออีกหรือไม่ (คิด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีเจอทุกข์ เมื่อเราเจอทุกข์คนบางคนเลือกที่จะจ่อมจมกับมัน กับอีกวิธีหนึ่ง หนีไปให้ไกลๆ แล้วหลอกตัวเองหาความสุขอย่างอื่นแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหายไหม (ไม่หาย)  พอหันกลับไปมอง หันกลับไปเจอเดิมๆ (ทุกข์อีก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีแก้วิธีรับมือของศิษย์มีอยู่สองอย่าง ไม่ทุกข์กับมันให้ตายไปเลยข้างหนึ่งก็เดินหนีไปสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาเจอมันใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  แม้ว่าไปเอาพลังคนอื่นมาเต็มปอด ได้กำลังใจมาแล้ว ว่าไหวแล้ว พอเจออีกทีก็ลมจับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยอมรับให้ได้ว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น เพราะมันเป็นอยู่แล้ว)  อย่างแรกคือ ต้องยอมรับให้ได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร เพราะเรายึดกับความคิดเราจนไม่ยอมมองความจริง เรายึดกับใจที่เราอยาก จนเราไม่ยอมมองความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องปล่อยวางสิ่งที่เรายึด อยาก และรับความจริงให้ได้ เมื่อรับความจริงได้ ก็คือเอาความทุกข์มาทำให้เกิดสติตื่นรู้ จนมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริง นำพาให้เราพ้นทุกข์ ท่านนั้นตอบได้น่ารักนะ ถ้ามันเป็นทุกข์เอามาทุ่มศีรษะก็โง่เกินไป ฉะนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทำไมศิษย์ไม่ลองมองมันให้ชัด ทำให้เกิดความเข้าใจ และพ้นทุกข์ล่ะ ไม่ต้องเป็นความสุขแต่เป็นความเข้าใจ เหมือนทำใจเรื่องสามี สุดท้ายก็ได้เท่านี้ หวังมากกว่านี้ เขาก็ได้เท่านี้ เหมือนสามีที่ทำอะไรกับภรรยาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะบ่นมากแค่ไหน เดี๋ยวเขาก็หยุดบ่นเองถ้าเขาเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกเราหวังขนาดไหน ทุ่มเทขนาดไหน หากเขาทำได้แค่นี้ เราก็ต้องแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปหวังมากกว่านี้ก็ทรมาน
ศิษย์รู้ไหมว่า ชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบัน แต่คนที่จมอยู่กับอดีต คือคนที่ปล่อยให้ตนเองตายแล้ว และเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับความคิดในอดีต แล้วคนที่มีชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบันหรือคนที่จมอยู่กับอดีต (คนที่อยู่กับปัจจุบัน)  ศิษย์จำไว้นะ มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้น จึงอยู่กับอดีต เพราะเขาแก้อะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่มีชีวิต เขาจะไม่ฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็นและจมอยู่กับอดีต แต่จะพยายามมองไปข้างหน้า และอยู่กับปัจจุบันให้มี (ความสุข)  เราทำบุญกับสามีดีไหม ทำบุญกับลูกดีไหม (ดี)  ไปทำบุญเก้าวัดไกลๆ ได้ ทำไมไม่ทำบุญใกล้ๆ บ้าง
ถ้าทำกับเขาแล้วมันได้ลดกิเลส ได้ลดความเป็นอัตตาตัวตน แล้วเราได้แสดงศักยภาพของคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ออกมา เราไม่ได้ทำบุญทำทานกับแฟนเราหรือ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราจ่อมจม แต่จงเอาทุกข์มาทำให้เราเกิดสติปัญญา และนำพาให้เราพ้นทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสุขก็ได้ แต่เป็นความเข้าใจและยอมรับความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะมันได้แค่นี้ ถ้าเขาได้แค่นี้เราก็ต้องแค่นี้ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงให้เป็น บางคนเราอยู่ด้วย เขาทำงานกับเราพูดกี่ครั้งเขาก็ได้แค่นี้ เมื่อเรามีทุกข์เราจะไม่กลัวแล้วใช่ไหม เมื่อเราไม่กลัวทุกข์เราก็จะรับมือกับทุกข์ได้ ถ้าเราอยากจะแก้ทุกข์เราก็ต้องมองให้ออกว่า แล้วทุกข์มันมีสาเหตุมาจากอะไร (ทุกข์เกิดจากใจ)  ใจที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงแต่ยึดติดแต่ความคิดเห็นของตนเอง แล้วก็บอกผู้อื่นว่า ฉันปรารถนาดีนะ ปรารถนาดีกับลูกแต่ลูกทำได้แค่นี้เราก็ต้องยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำงานเต็มที่ เราไม่ได้เลื่อนขั้นแต่คนอื่นได้เลื่อนขั้นเราก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าเรายังฝืนยืนยันว่าทำไมๆ เราถึงไม่ได้ เราก็มีแต่ทุกข์และก็มีบาปติดตัว เกลียดคนนั้นเพราะคนนั้นแน่เลยฉันถึงไม่ได้เลื่อนขั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานสับปะรดให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
เอาสับปะรดไปช่วยอาจารย์แบกเลย
(การกระทำ)  การกระทำอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นั่นคือการกระทำที่เรายึดติด การกระทำที่ประกอบไปด้วยความอยาก การกระทำที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยึดเหตุผล)  ทุกข์เพราะยึดในความคิดว่าเรามีเหตุผลที่ถูกต้อง เคยไหมว่า ฉันมีเหตุผล ฉันถูก คนอื่นเหตุผลไม่ดีไม่ถูก เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วเป็นบ่อยไหม คนทุกคนมีเหตุผล เหตุผลมาจากความรู้ความเข้าใจที่ตัวเองสรุปเอาเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  และโดยส่วนใหญ่เหตุผลที่เราสรุปเองว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี มักจะลำเอียงหรือเที่ยงตรง (ลำเอียง)  เข้าข้างตัวเองมากกว่าตรงกลาง แล้วเหตุผลเราถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์บอกว่าเราทุกข์เพราะเรายึดในเหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของผู้อื่น นั่นก็เป็นปัญหาได้ เพราะเรามองแต่เหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของคนอื่น เหตุผลที่ถูกต้องคือมีศีลธรรมไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เหตุผลช่วยไม่ได้ เพราะเหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง
มีเหตุผลว่าเราดี แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่าดีก็ได้
(แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์)  ความเป็นธรรมดาของสังขาร แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อันเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเป็นธรรมดาแล้วเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่)  ฉะนั้นแก่ก็ไม่ทุกข์ ตายก็ไม่ทุกข์
ดังนั้นการพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ไม่ทุกข์ การถูกว่าก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมดา จำให้ได้อย่างนี้เสมอๆ นะ
(ทุกข์เพราะตนเองเป็นผู้กระทำเอง)  ศิษย์เอ๋ย ทำดีที่สุดก็ยังถูกว่า ทำไม่ดีก็ถูกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน ถูกว่านิดถูกว่าหน่อยก็ไม่เห็นต้องเป็นอะไรเลย เพราะว่าสิ่งนั้นคือความธรรมดา ใช่หรือไม่ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูถูกกล่าวหา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม เพราะเพชรจริงไม่กลัวการเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวก็แต่ว่า เรายังดีไม่พอ แล้วก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มีใครจะตอบพระอาจารย์อีกไหม เราทุกข์เพราะอะไรหรือ
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ละไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกข์โดยไม่ทุกข์ได้ เราจะเลือกแค่เห็นทุกข์หรือเราเป็นทุกข์ เขาพูดให้เจ็บเราจะแค่เห็นหรือเก็บเอามาใส่ใจแล้วเป็นทุกข์ ถ้าแค่เห็นแล้วไม่คิดก็จบ เพราะหลักแห่งธรรมคือความสงบ แต่เราไม่เคยสงบ เพราะเราไม่ยอมจบ เราก็เลยเอามาคิดและก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเราจับแก่นหลักธรรมตั้งแต่แรกเลยเราสงบไหม เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์เราควรเอามาคิดไหม ถ้าเราเห็น แต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น ไม่เห็นแต่เราคิดมันไม่มีก็เหมือนมี ถ้าเราเห็นแต่เราทำเหมือนไม่เห็น จะมีอะไรกับใจเราไหม จะมีอะไรมากวนใจเราไหม ที่เรียกว่าไม่ใส่ใจ ถ้ามันทุกข์แล้วจะทำให้เราเจ็บปวด เราไม่เอามาใส่ใจจะทำเราทุกข์ไหม เหตุหลักของความทุกข์คือการยึดมั่น พระพุทธะจึงกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์ไม่ยึดมั่น ความตายความเจ็บก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่ที่เรายังเจ็บ ปวดและทุกข์ เพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเรายึดสิ่งใดได้ไหม สามียึดได้ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจแก่นของสัจธรรม เพราะแก่นของสัจธรรมล้วนบอกให้เรารู้ว่า เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เอาไว้เป็นคาถาเด็ดปลดทุกข์เลยศิษย์ เห็นเขาอยู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ และบางทีคิดว่าเขาทำให้เราทุกข์ บางครั้งเราทุกข์เพราะเขา แต่บางครั้งเขาก็ทุกข์เพราะเรา ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เพราะเขาคนเดียว แต่เขาก็อาจกำลังทุกข์เพราะเราก็ได้ เราอยู่ในโลกเห็นเหมือนไม่เห็น บางทีมันอาจจะทำให้เราทุกข์น้อยลง
บางทีปากเขาว่าเราแต่ใจเขาอาจจะห่วงเรา เราเคยโมโหลูกแล้วว่าเจ็บๆ แสบๆ ไหม (เคย)  แต่ลึกๆ เรารักลูกไหม (รัก)  แล้วว่าลูกไหม (ว่า)  อย่างนั้นคนที่ว่าเราเจ็บแสบ ลึกๆ เขาอาจจะรักเรา เพราะถ้าไม่รัก เขาจะว่าให้เมื่อยปากไหม แล้วจะว่าให้เปลืองน้ำลายไหม ก็ไม่นะ ที่เราว่าเขาเจ็บแสบเพราะเรารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอกเขาอกเรา เวลาถูกเขาว่าเจ็บแสบก็คิดเสียว่าเขารักเรา เพราะบางทีเราเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น สิ่งที่เรามองไม่เห็นเราลืมไป เหมือนที่บอกว่าดูในร้ายแต่ก็มีดี ดูในดีแต่ก็มีร้าย เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มีก็เหมือนไม่มี ถามว่าเงินมีร้อยบาท เคยรู้สึกว่ามีร้อยบาทไหม มีหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน เคยรู้สึกว่ามันเป็นของเราบ้างไหม (ไม่เคย)  มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  สามีมีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ นะศิษย์ พ้นจากตาเราใช่ของเราไหม อยู่กับเรา ใจเขาเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเอาแก่นของความเป็นจริงแห่งสัจธรรมมาย้ำเตือนใจจนสามารถพ้นทุกข์ ทะลุทะลวงความทุกข์ แล้วใดๆ ในโลกก็ไม่อยากและไม่ยึดอีกต่อไป ที่เรียกว่าแก่นของหลักธรรมคืออะไรในโลกก็ไม่เอากับมันแล้ว อาจารย์ถามหน่อยศิษย์ มีพัดก็ทุกข์เพราะพัด มีแอปเปิล ก็ทุกข์เพราะแอปเปิล มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีอะไรบ้างในโลกที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  แล้วเราอยากมีอีกไหม รู้แล้วยังจะอยากอีก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อสนองกิเลสความอยาก ความหมายเลยไม่เหมือนกัน เมื่อไรที่เราเข้าถึงหลักแห่งความเป็นจริง คนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม แต่ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตัวแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม
ฉะนั้นวัฏฏะสงสารเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความอยาก เมื่อไรที่มนุษย์สิ้นกิเลสความอยากแห่งการเป็นตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตัวตนเป็นมายา ถ้ายังหลงยึดติดในตัวตนแห่งมายา และทำทุกอย่างเพื่อตัวตน มนุษย์ก็จะหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์สามารถสิ้นกิเลสสิ้นตัณหาในใจ เมื่อนั้นมนุษย์ก็พ้นวิบากกรรมได้จริงไหม (จริง)
เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ฉะนั้นเราอยู่เพื่อสร้างกรรมต่อ หรือเราอยู่เพื่อจบกรรม (จบกรรม)  ตอบอาจารย์ว่าจบกรรม แต่ทุกอย่างที่ทำมานั้นเป็น การก่อกรรมทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เป็นธรรม ถ้าศิษย์อยากจบกรรมกับเขา อย่างนั้นหากเขาว่ามา ศิษย์จะต้องไม่ว่าเขากลับ เขาโกงมาศิษย์จะต้องไม่โกงตอบ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์จะไม่ได้อยู่เพื่อสนองความอยากแห่งกิเลส แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ทำตามหน้าที่ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ทำถึงที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับในสิ่งที่เป็น นั่นจึงเรียกว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อสิ้นกรรม
แต่เรากลับตรงกันข้าม เรามักปฏิบัติเพื่อสนองความอยากว่า วันนี้อยากได้อะไร วันนี้เกิดโลภอะไร ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย ก็มาจากกิเลส เมื่อไรที่เชื้อแห่งกิเลสยังไม่หมดไปจากใจ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหนีพ้นจากวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ดังที่เรียกว่า ถ้าจะดับ ก็ต้องดับจนไม่เหลือแม้สักเล็กน้อยที่เรียกว่าเชื้อแห่งความอยาก ดังที่เรียกว่า ตายก่อนตาย
อย่าบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จชาติหน้า แต่ “ต้องบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จตอนนี้ และไม่มีชาติหน้า” เพราะเราไม่รู้ว่า ชาติหน้า เราจะทำได้สมกับที่เราได้เกิดเป็นคนเหมือนในชาตินี้หรือเปล่า แล้วอย่างนี้ทำไมเราจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อเราก็มีร่างกายครบสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ช่วยอาจารย์แต่งชื่อเพลงหน่อยดีไหม ปกติอาจารย์จะให้ทำนองเพลงและชื่อเพลงเลย แต่ในชั้นนี้อาจารย์อยากให้นักเรียนในชั้นนี้ร่วมกันตั้งชื่อให้เพลงนี้ อาจารย์มีชื่ออยู่ในใจแล้วถ้าอาจารย์บอกศิษย์ต้องเอาชื่อเพลงที่อาจารย์ตั้งแน่เลย เพลงเพราะไหม (เพราะ)  เพลงเพราะหรือคนร้องเพราะ (เพลงเพราะ)
(ชื่อเพลง สุขจริง, อย่าทำอะไรแบบเดิมเดิม, มีธรรมะในหัวใจ, นี่คือชีวิต)
ตั้งชื่อว่า (บำเพ็ญบุญต่อไป)  ศิษย์รู้ไหมว่า ชื่อที่ศิษย์ตั้งเหมาะกับให้ศิษย์ไว้ใช้กับตนเอง และเตือนใจตนเองว่ารู้จักบำเพ็ญบุญต่อ อย่าทำบาป อย่าหลงอบายมุขนะ เพราะว่าชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ไม่ฟื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคำที่ศิษย์เขียน เหมาะกับตัวของศิษย์เองทั้งนั้นเลย จริงไหม (จริง)  อาจารย์ว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครอยากได้แอปเปิลของอาจารย์บ้างไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่เราคุยกันค้างไว้ว่า มีอะไรก็เป็นทุกข์ แล้วศิษย์ยังอยากได้อยู่ไหม อยากหรือ มีแอปเปิลก็ทุกข์นะ อร่อยก็ทุกข์ ไม่อร่อยก็ (ทุกข์)  แต่ก็ยังอยากได้ทุกข์
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า ความทุกข์เกิดจากความยึดและความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราต้องการเอาชนะความทุกข์ได้ หรือเข้าใจความทุกข์ได้ เราก็ต้องไม่ (อยาก)  แล้วก็ (ไม่ยึด)  เพราะว่าในโลกใบนี้มีอะไรบ้างที่เราสามารถครอบครองได้ (ไม่มี)  แสวงหาได้แต่ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ร่างกายนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้ว่าไม่ได้ แต่เราก็ยังอยาก แล้วก็ (ยึด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรที่จะเป็นการเรียกว่าการปฏิบัติและบำเพ็ญ แล้วทำให้เราทุกข์น้อยลง
ตอบได้ไหม แปลว่าที่พูดไปไม่มีใครจำได้เลยใช่ไหม (ความอยากได้เป็นทุกข์ ทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่อยากได้เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้ามาเป็นของเราเราก็รับไว้ แต่รู้ว่านั่นมันเป็นของเราแล้ว ซึ่งตรงนี้จริงๆ แล้วมันยากที่คนเราจะทำได้ เราก็ต้องฝึกใจเรา ฝึกปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ตลอดทุกเวลานาที คิดอยู่ตลอดว่าอันนั้นไม่ใช่ของเรานะ แต่ถ้ามันเป็นของเราเราก็ยอมรับมัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็ยอมรับมัน)  หมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเป็นของเราก็เป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่แค่ทำให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติง่ายๆ เลยนะศิษย์ ทำหน้าที่ของตัวเองปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ผิดต่อฟ้า ไม่ผิดต่อดิน ไม่ผิดต่อความเป็นคน แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ ถ้ามันจะได้มันก็ได้ อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ ในโลกนี้ถึงศิษย์จะบอกว่าศิษย์หามาเท่าไหร่แล้วทำไมศิษย์ต้องเสีย ทำไมศิษย์ต้องยอมให้เขา ทำไมเขาต้องเอาของศิษย์ไป อาจารย์อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ มีอะไรเป็นของเรา เราเหมือนเราได้ เราเหมือนเรามี จริงไหม แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยมีอะไรเลย ไม่เคยได้อะไรจริงๆ เลย ถามใจลึกๆ ศิษย์มีจริงๆ ไหม จริงๆ เราไม่เคยมี และจริงๆ เราก็ไม่เคยได้ แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี คิดว่าเราได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ของเรา เราแค่บังเอิญได้เจอมันชั่วขณะหนึ่ง แต่บังเอิญมันอาจไม่ใช่ของเราอีกขณะหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่าเราเสีย เราไม่ได้เสีย เราได้ก็ไม่ได้ได้ แท้จริงเราไม่ได้และไม่ได้เสีย เพราะเรามาจากความว่างเปล่า แล้วเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า แล้วเราจะยึดติดกับความอยากว่า เขาเอาของฉันไป เขาเอาของฉันไป เพื่อสร้างเหตุปัจจัยให้กลับมาเวียนเจอกันอีกใช่ไหม เพื่อสร้างภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการยึดติด เราก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายังทุกข์กับอะไรอีกหรือ
ถ้าให้ตอบแบบสุ่มตอบ แล้วไม่มีใครตอบ อาจารย์บังคับให้ตอบดีไหม ด้วยการส่งสับปะรด หากสับปะรดไปอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ก็คือ เราไม่เคยรู้เท่าทันใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยมองเห็นทันความทุกข์ที่มา เมื่อความทุกข์มาเราจึงยึดความทุกข์ทันที ฉะนั้น เราต้องฝึกสติ สติจะทำให้เรารู้จักคิด รู้จักทำ และกลับมาสู่ความเป็นกลาง อาจารย์จึงให้ศิษย์ส่งสับปะรด เพื่อฝึกสติ
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกม และส่งสับปะรด)
เมื่อร้องเพลงที่อาจารย์ให้ หากอาจารย์บอกให้หยุด แล้วสับปะรดอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ว่า ตัวเราแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุด ตัวเราที่ช่างคิด ตัวเราที่ช่างโกรธ หรือตัวเราที่ช่างน้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้สับปะรดจะกลายเป็นแอปเปิล
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยไข้เจ็บ เป็นเพราะสิ่งที่เราทาน ไม่รู้จักระมัดระวังในการทาน
จริงๆ โรคภัยไม่น่ากลัว โรคภัยเป็นทุกข์แค่สังขารแต่ไม่ใช่ทุกข์ที่จิตใจ เรามีกรรมแค่ที่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ เหมือนที่เขาเรียกว่ากายเจ็บได้อย่าให้ใจเจ็บ กายทุกข์ได้อย่าให้ใจทุกข์ เพราะจะล้มพังไม่เหลืออะไรเลย
(คนรอบข้างทำไม่ถูกใจ)  เหมือนเรื่องเมื่อวานเลย อยากให้เป็ดเป็นหงส์ใช่ไหมแล้วเป็ดก็ไม่ยอมเป็นหงส์สักที บางทีอาจเป็นไก่ไม่ยอมเป็นเป็ด จงยอมรับในธรรมชาติของทุกสิ่งแล้วเราจะไม่ทุกข์
(ใจเราไม่นิ่ง เมื่อใจเรานิ่งทุกข์มากๆ จะน้อยลง)  แค่เห็นทุกข์อย่าไปเป็นทุกข์แค่นั้นเอง เห็นแต่ไม่เป็น ถ้าเราไปเป็นทุกอย่างก็ทุกข์ตาย เราแค่เห็นทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะการดับ เราเห็นโรคแต่เราไม่เป็นโรค เห็นโรคในร่างกายแต่ใจเราไม่เป็นโรค เรามีกรรมแค่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ ใจเราพ้นกรรมมานานแล้วแต่มนุษย์ชอบเอาตัวตนมาบังคับใจของเรา จึงทำให้เราไม่เห็นจิตเดิมแท้
มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์ แล้วจริงๆ เราเคยมีหรือเคยไม่มี (ไม่มี)  แล้วสุดท้ายเราต้องมีหรือไม่มี (ยังอยาก)  ยังอยากอีกหรือศิษย์ปูนนี้แล้วควรจะปล่อยๆ บ้างนะศิษย์ ที่ควรจะมีก็มีเกือบหมดแล้ว ที่ไม่เคยรู้ก็รู้หมดแล้ว ที่ไม่เคยได้ก็ได้เกือบหมดแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากอีกหรือ เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ จะมีเวลาเพื่อสนองกิเลสอีกหรือ (ความอยากเป็นของธรรมชาติ)  ความอยากเป็นของธรรมชาติไหม ความอยากไม่ใช่ธรรมชาติแท้จริง ถามใจจริงลึก ๆ ความอยากคือธรรมชาติแท้จริงที่เราแสวงหาอย่างนั้นหรือ ความอยากเพื่ออะไร จริงแล้วเราอยากเพื่อแค่บำรุงเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอด แค่อยากเพื่อปัจจัยสี่ แล้วพออยากไปถึงที่สุดลึกๆ ในความอยากมีความว่างอยู่ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี แล้วอะไรถึงเป็นแบบนั้น เพราะธรรมะต้องการสอนว่าอยากไปเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี (บางคนมีมากก็ไม่อยากมี)  แล้วเราจะเกิดมาเพื่อวนเวียนวัฏฏะแห่งความอยากอย่างนั้นหรือ (ภายในครอบครัว, สุขภาพตัวเองไม่แข็งแรง)
จริงๆ อาจารย์อยากได้ชื่อเพลงว่า “ลมหายใจเพื่อบำเพ็ญ” เหมือนที่ศิษย์พูดว่า คนเรามีความอยากเป็นธรรมดา ใช่ไม่ผิด แต่ถ้าความอยากนั้น เป็นอยากที่ทำให้ศิษย์เดินเข้าไปในวัฏฏะของการเวียนว่ายแห่งความทุกข์ไม่จบสิ้น กับอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องอยากมาก แต่อยากเท่าที่พอทำได้ คือ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองความอยาก แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ความเป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรามา ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลส
อาจารย์ถามง่ายๆ นะ ระหว่างกิเลส กับธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นเดิมแท้ของใจศิษย์ (ธรรม)  อาจารย์ก็ว่า น่าจะเป็นธรรม ธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ในใจของเรา จริงไหม (จริง)  อารมณ์นั้นมาทีหลัง ถูกไหม (ถูก)  แล้วชีวิตของเราจะกลับคืนสู่ธรรม หรือสนองกิเลส แล้วเวียนว่ายกรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ถ้าอาจารย์ก้าว แล้วก้าวหนึ่งขึ้นฟ้า กับอีกก้าวแค่เล็กน้อยแล้วได้แค่บุญบาป อาจารย์อยากให้ศิษย์ก้าวแล้วถึงฟ้าเลยดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะผลักดันศิษย์ อาจารย์ก็ควรจะผลักดันให้ศิษย์กลับคืนสู่ที่เดิมที่ศิษย์มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เพียงแค่ผลักดันให้ศิษย์กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใครอยากตาย ก็ไม่มีใครอยากตาย จริงไหม (จริง)  เราอยากแก่อีกไหม เราก็ไม่อยากแก่ อยากเจ็บอีกไหม ศิษย์ก็ไม่อยากเจ็บ เพราะในโลกนี้แก่ครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นถ้าศิษย์ไปสนองความอยากแล้วศิษย์ต้องแก่ต้องเจ็บ แล้วต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างนี้ศิษย์ยังจะอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)
มันแค่อยู่ที่ก้าวว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ถ้าเลือกทางนี้สนองความอยาก แต่ถ้าลดความอยากนิดหนึ่งแล้วมันทำให้เราเข้าถึงธรรม ลดละความอยากความโลภ ลดละการยึดถืออัตตาตัวตนแล้วพ้นทุกข์ ทำไมเราไม่ลองก้าวทางนี้ดู ตอนนี้เราเดินมาเจอทางสามแพร่ง ทางหนึ่งอาจารย์ชี้บอกว่ามากกว่าขึ้นสวรรค์คือพ้นทุกข์นิรันดร์ และอีกทางหนึ่งคือกลับไปเหมือนเดิมคือเวียนว่ายในความทุกข์ อีกทางหนึ่งคือยึดติดในความดี ทำดีแล้วสนองความดีนั้น พอหมดกรรมดีก็กลับมาเวียนว่ายกรรมดีกรรมชั่วอีก ศิษย์ว่าอาจารย์ควรชี้ทางไหนดี แล้วทางแรกวิธีที่จะแก้ แล้วทำให้ถึงที่สุดคือ เมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถเอาหลัก
สัจธรรมมาสอนตัวเอง มาทำให้ศิษย์ตั้งตรงอยู่ในสัจจะความเป็นจริง ไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว เข้าสู่ความเป็นกลางเมื่อนั้นศิษย์จะพ้นบาปกรรมและการยึดติดในตัวตนนั้นชาตินี้ ตอนนี้เลย แต่ไม่เลย เราเห็นอะไรเราก็อยาก ชอบ ไม่ชอบ ชอบก็เรียกว่ากรรมดี ไม่ชอบก็เรียกว่ากรรมชั่ว แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องวิเคราะห์ดี ไม่ต้องยึดติดดี ไม่ต้องยึดติดร้าย เพราะถึงที่สุดมันไม่มีอะไรดีจริง ร้ายจริง เพราะทุกสิ่งมันเป็นกลาง เมื่อเห็นเป็นกลางมันก็เลยไม่มีกรรม แต่มันเป็นธรรม

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น แล้วให้พับแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนนักเลง)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ลักษณะแบบนี้เรียกว่านักเลง
ทันทีเลย การยึดติดในความคิด อารมณ์ ความรู้สึก แล้วชอบวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินคน ทำให้เราเข้าไม่ถึงธรรมและมองไม่เห็นความจริงแต่กลับเหวี่ยงไปเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ดี ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วอันนี้ที่ศิษย์ตัดสินว่าเด็กเป็นจิ๊กโก๋แค่เสื้อผ้า เพราะเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นตั้งแต่เขาเดินมา เขาก็ไม่ได้เป็นจิ๊กโก๋นี่ แค่อาจารย์บอกให้เขาทำเหมือนจิ๊กโก๋ แล้วจริงๆ เขาเป็นจิ๊กโก๋ไหม (ไม่)  
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงแก่นของหลักธรรม เราจะไม่ตัดสินอะไรดีอะไรชั่ว แล้วเราจะไม่อยากยึดเขา หรือไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขา เราจะแค่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความถูกต้องเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติและเคารพให้เกียรติต่อเขา เราก็มีจริยธรรม มีเมตตาธรรม ซื่อตรงต่อเขา แม้เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ตัวเองว่าเราดีพอ ปฏิบัติกับเขาถูกพอ และเราก็ไม่ผิดต่อการเกี่ยวกรรมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ตัดสินมันไม่เป็น “ธรรม” แต่มันกลายเป็น “กรรม” ทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเจออะไรอย่าตัดสิน เพราะเขาอาจจะดีหรือไม่ดี ไม่อาจวัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดเขาจะร้าย ทุกข์หรือสุข เราก็ไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีสติทุกขณะ เราจะมีศีลมีธรรมและบำเพ็ญธรรมสิ้นกรรมพ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าอยู่กับเขาหรืออยู่กับใคร สมมติว่าเรารับประทานอาหารแล้วเจอรสเปรี้ยวโกรธไหม (ไม่โกรธ)  กินแกงจืดแล้วรสเป็นต้มยำโกรธไหม (โกรธ)  ซื้อส้มบางมดแล้วคนขายบอกว่าหอมหวาน แต่พอกินแล้วเปรี้ยว โกรธไหม (โกรธ)  เห็นไหมกลายเป็นกรรมเลยไหม ฉะนั้นเขามีสิทธิ์จะพูดเป็นเรื่องของเขา แต่สำหรับศิษย์คือ “การควบคุมใจตัวเอง” ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ต้องรอ ปฏิบัติทุกขณะที่เราโดนกระทบ แล้วเราเลือกได้ว่าจะเป็นผู้มีศีลธรรม หรือเราจะถูกกระทบแล้วเราสร้างกรรม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ที่เราจะแปลสิ่งที่รู้ให้รู้จนถึงที่สุด เชื่อไหมศิษย์ อาจารย์อยากได้คนแบบนี้ “ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ทำ”
เพราะถ้ายึดดีก็ต้องไปเสวยกรรมดี และถ้าหากทำชั่วแล้วละชั่วไม่ได้ก็หนีไม่พ้นที่ต้องไปรับผลของกรรมชั่ว แต่หากว่าดี ทำถึงที่สุดแล้วเราไม่ยึดดี ชั่วเราก็ไม่คิดทำ แต่เราก็สามารถคงไว้ซึ่งคุณธรรมความถูกต้อง นั่นคือ ทางพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาชื่อเพลงลมหายใจไว้บำเพ็ญ)
ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เหลือของศิษย์นั้นอยู่ที่ ศิษย์จะมีลมหายใจเพื่อสนองกิเลสกรรม หรือมีลมหายใจเพื่อบำเพ็ญศีลทานคุณธรรมและนำพาให้ตนพ้นทุกข์ อยู่ที่ศิษย์เลือกเดินแล้วนะ ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทางสว่าง ถ้าศิษย์จะสว่างก็ต้องสว่างให้ถึงที่สุด อย่าเอาสว่างแค่วับ ๆ แวม ๆ ในโลกไม่มีอะไรร้าย ถ้าคุมใจตนเองได้ เราก็สามารถควบคุมคนในโลกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราคุมใจตนเองไม่ได้คนในโลกก็สามารถบีบคั้นจิตใจเราได้ ศิษย์รักตนเองไหม (รัก)  แต่ทำไมเพียงแค่ถูกคนว่า ศิษย์ก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น แปลว่าคน ๆ นั้นไม่เคารพตนเอง ไม่ให้คุณค่ากับตนเอง ปล่อยชีวิตของตนไปอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน เช่นนั้นเมื่อใดที่ถูกคนว่าเราก็หน้าเสีย เขายิ้มเราก็หน้ายิ้ม แสดงว่าเราไม่มีความสุขด้วยตนเองเลย ต้องอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน จริงไหม เรื่องที่ง่าย ๆ ที่สุด เพียงแค่เราถูกคนว่า หากเขาว่าเราแล้ว เราจะปฏิบัติให้ได้ศีล ธรรม ทาน คุณธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง” ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องทุกข์ เจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด ก็จงทำจิตใจให้เข้มแข็ง ได้ไหม (ได้)  แต่อย่าแข็งโป๊กๆ จนกลายเป็นคนดื้อรั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ศิษย์กลับไปพิจารณาอีกที ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ มีพบก็มีจาก เมื่อยามมีชีวิตอยู่ จงทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากไป เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะทำจนถึงที่สุดแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
อาจารย์ไม่ต้องปลอบใจอะไรแล้ว ทำไมยังไม่เข้มแข็งอีกนะ ต้องเข้มแข็ง มั่นคง นำพาคนให้ได้ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ดีใจจังเลย มีความทุกข์อะไรอยากให้อาจารย์ช่วยเหลือไหม มีเวลาน้อยจะได้รักษาเวลานี้ให้มากที่สุด หรืออยากให้อาจารย์พูดปลอบใจอะไร อายุน้อยนะ นักเรียนชั้นนี้อายุน้อย แข็งแรง สดใส แล้วก็ยิ้มหวานทั้งนั้นเลย ฉะนั้นในสิ่งที่ไม่มี เราจะมีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสิ่งที่ขาดแคลนเราจะสมบูรณ์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราผ่านมาทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสมบูรณ์ที่สุด เราก็จะส่งมอบต่อให้คนอื่นได้มากที่สุด จริงไหม (จริง)  มีแต่คนที่มีความสุข ถึงจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่นได้ มีแต่คนที่มีใจกว้าง ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอายุเท่านี้แล้วไม่หงอยแล้วนะ ยิ้มเข้าไว้ ภูมิใจเข้าไว้ว่าเราใช้ชีวิตมาเต็มที่แล้ว
ฉะนั้นหลังจากนี้เราจะเหลือคุณค่าและทรงคุณค่าที่ดีที่สุด ด้วยการเข้าใจชีวิตว่าเราไม่เกิดมาเพื่อรับกรรม ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจความจริง
ที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่ทำแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดถือ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ใส สว่าง สะอาด ในใจ อะไรที่ทำให้ใจของเราสกปรก ก็อย่าไปคิด อะไรที่ทำให้ใจของเราร้าย ก็อย่าไปเอามา เพราะใจของฉันจะกลับฟ้า ฉันจะนำใจเดิมกลับฟ้า ใจฉันต้องสะอาด ต้องใส ต้องดีที่สุด ดีจนไม่มีใครเคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ฉันจะดีได้ถึงขนาดนี้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การประคองใจของตัวเองให้ถูกต้อง ให้ดีงาม ให้มีธรรม ธรรมที่เรียกว่า ทำให้เราประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ ร่มเย็นยิ่งกว่าร่มเย็น ดีงามยิ่งกว่าดีงาม
อาจารย์เชื่อในศิษย์ว่า ขอแค่เพียงศิษย์มั่นใจว่าทำได้ เราก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  ศรัทธาเชื่อในความดี ศรัทธาเชื่อใจธรรมที่เรามี แล้วเราจะได้กลับไปสู่สิ่งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นดูแลจิตใจของตัวเองนะ เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ใจเดิมแท้ของเรานั้นไม่มีกรรม เรามีทุกข์เพียงแค่ร่างกาย แต่ใจเดิมแท้ของเราไม่เคยทุกข์นะ
ศิษย์รู้ไหม การช่วยคนก็คือการช่วยตัวเอง ยิ่งเราพยายามช่วยคนมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเองมากเท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญจึงไม่ดูถูกคุณค่าของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นศิษย์ที่อาจารย์รัก ที่สมแล้วกับการเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง มีหนทางเดินที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติจริงที่งดงาม มีการกระทำที่ดีและถูกต้อง โลภ โกรธ หลง ความอยากในโลกนี้ไม่เคยช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์เท่ากับธรรมะ ธรรมะแห่งความเมตตา ธรรมะที่รู้จักอุทิศเสียสละ
ให้ให้ถึงที่สุด ให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
(ใจไม่ปล่อยวาง)  ก็มัวแต่หมกมุ่นกับความคิด ถ้าเมื่อไรที่คิดฟุ้งซ่าน ลองเอาเพลงธรรมะมาร้อง จะทำให้เราวางลงได้บ้าง เพราะคิดไปก็ไม่ช่วยอะไร จริงไหม ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งก้าวต่อไป กายทิ้งไว้ที่โลกนี้ เอาจิตเดิมแท้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์ เข้มแข็งแล้วรู้จักหาทางออกให้ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้ว
ทุกข์ก็อย่าแบกมันไว้ เข้มแข็งและยอมรับความจริงนะ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยคุณธรรมความเป็นคน ดูแลตัวเองด้วย ทำให้ได้ ตั้งใจนะ มีโอกาสศึกษาบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและเลิกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของศิษย์เองศิษย์ต้องเลือกเอง แต่เมื่อเลือกแล้วจงเลือกสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เพราะชีวิตมันเดินหน้าแล้วมันย้อนกลับไม่ได้ อย่าคิดว่าอายุมากแล้ว ฟังธรรมไม่ค่อยรู้เรื่อง
ยิ่งยากเท่าไร ยิ่งต้องฟังให้ได้ ยิ่งต้องฟังให้รู้ ปัญญามีอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวศิษย์เองทุกคนจะนำปัญญานั้นมาเข้าถึงธรรมไหม อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ธรรม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ทุกข์ แต่ต้องพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำตัวให้ถูกต้องนะศิษย์เอย เป็นอะไรอาจารย์ไม่ว่า ขอแค่ทำให้ถูกต้อง ได้ไหม แล้วสักวันศิษย์จะเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พยายามให้ศิษย์รู้ แค่อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ได้อยากให้ศิษย์ทุกข์ในโลกเลยนะ คิดให้ดีๆ


วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าเรารู้อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องรีบแก้ เราต้องยอมรับอย่าฝืน ถ้าฝืนไปแล้วมันไม่ใช่ แม้บางครั้งผิดก็ต้องผิด อย่ากลัวที่จะผิด เพราะความผิดทำให้เราก้าวหน้า ความผิดทำให้เรารู้จักยอมตัวเองยิ่งขึ้น
จริงๆ อาจารย์อยากคุยกับฐันจู่ ฐันจู่จินโจวเป็นอย่างไรบ้าง
ขอบใจนะศิษย์เอ๋ย อุทิศเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น ยอมอยู่ข้างหลังบ้าง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วนะ  หมดแรงหรือยัง ผลักดันกันไปให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจกันบ้าง ก็ขอให้อะลุ่มอล่วยไปให้ถึงที่สุด อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว บางทีการสร้างห้องพระก็เหมือนการฝึกใจเราที่สุด ฝึกใจให้กว้างยิ่งกว่ากว้าง ยอมยิ่งกว่ายอม ให้ยิ่งกว่าให้
อาจารย์แจกผลไม้เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจ ให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เป็นลูกศิษย์อาจารย์ทั้งทีต้องเข้มแข็ง อย่างน้อยต้องให้สมกับที่ต้องตั้งใจบำเพ็ญ เหนื่อยหน่อยนะ มาเยอะเลย อย่างนี้ผลไม้อาจารย์ไม่พอแน่เลย แต่อย่าลืมนะ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้อย่าไปกลัวใช่หรือไม่ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อะลุ่มอล่วย นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้อภัยกัน
อย่าถือสาเอาเรื่องเอาราว เรามาบำเพ็ญเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เรามาบำเพ็ญเพื่อละความเป็นตัวตน ถ้าบำเพ็ญแล้ว นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ยอมแปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่จริงไหม ฉะนั้นอะไรที่ควรยอมได้ก็ควรยอม อะไรที่ควรให้ได้ก็ควรให้
ฉะนั้นเราได้โอกาสที่ดี เราก็ควรรู้จักแปลงโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ได้ฝึกฝนจิต ไม่ใช่โอกาสที่ตามใจตัวเราเอง อยู่ที่ใจของเราถ้านิดๆ หน่อยๆ เรายอมแพ้ โรคที่มีอยู่นิดๆ ก็จะมีเยอะ แต่ถ้านิดๆ หน่อยๆ ฉันไหวฉันสู้ ฉันได้ฉันผ่าน ที่นิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นไม่มี อาจารย์เคยบอกไว้ตั้งหลายรอบแล้ว กรรมเป็นแค่ที่สังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ถ้าจิตอ่อนแอไปตามกายตามสังขาร เราก็เจ็บทั้งกายและใจ แต่ถ้าเรามีกรรมไว้แค่ที่สังขาร กรรมนั้นก็ทำอะไรที่ใจเราไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็จะทำให้เราเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ เพราะถึงที่สุดกายของเราก็ต้องทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ มีแต่จิตเท่านั้นที่จะต้องไป
ศิษย์เอ๋ย ทำจิตใจให้เข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง ผ่านทุกเรื่องราวด้วยหัวใจที่ดีงาม อะไรที่เก็บไว้แล้วมันเหม็น มันไม่ถูกไม่ดีก็อย่าเก็บ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คนที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ  แล้วเราจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ของใครหรือเปล่า  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสก็ตั้งใจให้เต็มที่นะศิษย์เอ๋ย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง”
            ทำจิตใจให้เข้มแข็ง                          เรื่ยวแรงไม่มีถดถอย
    แม้เป็นแสงเทียนเล่มน้อย                          หิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ
    หยัดยืนหัดเป็นพุทธะ                               ชนะใจตนให้ได้
    ขัดข้องไม่ว่าเรื่องใด                                 วินิจฉัยความคิดตัวเอง
    ความทุกข์ทำให้อ่อนแอ                            ทางแก้ไม่ใช่ต้องเก่ง
    บางทีรู้จักร้องเพลง                                  คร่ำเคร่งไม่สู้ทำใจ
    ปล่อยวางไม่ท้วงหวงแหน                          ดินแดนวิสุทธิ์อยู่ไหน
    ตัวตายก็ไม่ได้ไป                                     หากใจปล่อยวางไม่ลง


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมผูถี เมื่อวันที่
๑๑-๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒   

จากเดิม เพียงผิดหวังไปบ้าง แก้เป็น เพียงผิดหวังไม่ตาย
จากเดิม สุขใจก็มีทุกข์ได้ แก้เป็น สุขใจก็มีความทุกข์ได้

ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน  ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา  สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า  ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย  ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ  ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา  อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำ พิจารณา  ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป  ซึมเศร้ากันไปไหน  คนดีต้องมีละอายเพียงผิดหวังไม่ตาย  ธรรมไมไปไม่มา
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง  จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย  สุขใจก็มีความทุกข์ได้  สุขเพราะปลงความทุกข์ไป  คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาว์
ทำนองเพลง : ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง : กำไรจากความทุกข์



[๑]กระถด : ถดถอย, กระเถิบ, ขยับ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-30 สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

西元二○一八年歲次戊戌五月十七日                                                                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑               สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  เรื่องในหัวธรรมในใจสารพัน           เท็จจริงเป็นตามอำนาจแห่งคติ
คนในโลกล้วนมากมีคติ                          รู้เช่นนี้ต้องรีบกำราบใจ
                                เราคือ                                                                             
  ศิษย์พี่นาจา                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

  ทบทวนตนมากกว่าโทษใครผิด         คนรู้ผิดปัญหาจึงแก้ได้
คนแกล้วกล้าหน้าที่คือวินัย              ยอมแก้ไขจึงก้าวหน้าชี้ที่พลาด
ข้อบกพร่องให้เตือนตนพัฒนาดู          ไขทุกข้อรู้รู้ไม่ประมาท
ยอมให้สอนทุกข์เตือนมิตรปรามาส[1]     คนฉลาดดูแต่สิ่งมีคุณ
การมองที่ย้อนไปได้อะไร                 เพื่อเข้าใจว่าชีวิตต้องยืดหยุ่น
เมื่อสนิทไม่รู้เกรงใจกลายวุ่น             มีความห่างอาจสมดุลสัมพันธ์ดี
คนรู้คนจริงอะไรอะไรจริง                รู้จักจริงรู้จักตนเรียนเรื่องนี้
บำเพ็ญไม่หยุดนิ่งการทำดี                หมู่คนดีอยู่รู้เคารพกัน
ธรรมพร้อมไหนเที่ยวทุกข์และสับสน        งดฝึกฝนยิ่งทุกข์หลายสถาน
บัณฑิตงามหลงตนยิ่งน่าสงสาร          อย่ายิ่งทุกข์พลาดสวรรค์ชีวิตจริง
                                                                                                 ฮิ ฮิ หยุด



[1] ปรามาส : ดูถูก, ดูหมิ่น

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ท่านมาฟังธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด และสามารถนำพาชีวิตให้ก่อเกิดปัญญาและเข้าถึงความบริสุทธิ์ นั่นแหละเรียกว่าฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมด้วย แต่เราฟังอย่างเดียวใช่ไหม (ใช่)  ปฏิบัติธรรมคือมีสติ รู้เท่าทันความคิดและสามารถยับยั้งอารมณ์นิสัยตน จนก่อเกิดปัญญาเห็นแจ้ง เข้าถึงความบริสุทธิ์สงบเย็นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองว่าการปฏิบัติธรรมคือต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว หรือต้องเดินจงกลม หรือแค่ใส่บาตรทำบุญถวายสังฆทาน แต่เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ ถ้าทุกขณะที่เราทำงาน เรามีสติ เรามีความบริสุทธิ์ใจ เรามีความแจ่มชัด เราไม่มีอารมณ์หรือนิสัยความเคยชินเป็นใหญ่ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ จริงไหม (จริง)
เราอยู่ร่วมกับคนเราปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติต่อกันด้วยนิสัยและอารมณ์ ถ้าอยู่กับเขาด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการให้ธรรม นั่นคือ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ อยู่กับใครเราก็สร้างบุญให้ธรรมได้ แล้วเราเป็นประเภทไหน เราเป็นประเภทปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ ถ้าเราปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ สิ่งที่เราได้คือนิสัยความเป็นตัวตน แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราได้ก็คือธรรมและธรรม นั่นก็คือความสงบและร่มเย็นใจ แต่ทำไมปฏิบัติกับใครแล้วมีแต่ความร้อน ไม่เย็นเลย เหมือนเราถามผู้ปฏิบัติงานธรรม มาทำงานธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม (ปฏิบัติธรรม)  มาทำอะไรตามใจตัวเองหรือมาขัดเกลาใจตัวเอง (ขัดเกลาใจตัวเอง)  ปฏิบัติธรรมคือการลดละนิสัย กิเลส อัตตา ความเคยชินให้เบาบาง ถูกไหม แต่ถ้ายังนั่งแล้วนิสัยยังพอกพูน เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว อยากกลับ อย่างนี้แปลว่าไม่ได้ปฏิบัติเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ใจเย็น สงบ ขอบคุณ อนุโมทนาบุญ นั่นคือการปฏิบัติธรรม
ท่านชอบทำบุญไม่ใช่หรือ ใครพูดดีแล้วเราอนุโมทนาบุญด้วยก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก)  ถ้าช่วงที่อนุโมทนาบุญยังรู้จักอุทิศบุญ ขอให้บุญแห่งการเข้าใจธรรมนี้แผ่ไปยังทุกคน แผ่ไปยังวิญญาณทั้งหลาย แผ่ไปยังสรรพสิ่งทั้งหลาย ขอให้เขามีใจที่สงบเย็นเหมือนข้าพเจ้าตอนนี้ ฉะนั้นทุกที่ทุกขณะเราสร้างบุญได้ ทุกที่ทุกคนเราปฏิบัติธรรมได้ แล้วท่านชอบคนลำเอียงไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนปากว่าตาขยิบไหม (ไม่)  ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  ชอบคนที่ดีจริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราเป็นคนที่ทำดีกับพระ แต่กับคนเราไม่ทำใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราทำบุญแต่กับพระแต่กับคนเราไม่ให้บุญเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นการแสดงออกเพียงภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกปฏิบัติ ภายในก็มีสติรู้เท่าทัน และเห็นแจ้งในความเป็นจริงจนเกิดปัญญา นำพาชีวิตพบความสงบ ถูกไหม (ถูก)  เคยได้ยินบ้างไหม เพราะจุดใหญ่ของการปฏิบัติคือพบความสงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคือทุกขณะที่ทำมีความสงบเย็นและถึงที่สุดก็พบความสงบเย็น หลักในการปฏิบัติธรรมก็มีแค่นี้ คือทำอะไรก็ตามทำแล้วให้เรามีความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมด้วยการฟังไปอย่างมีสติรู้เท่าทัน เกิดปัญญามองเห็นความจริง และนำพาชีวิตกลับคืนความบริสุทธิ์สงบเย็น นั่นก็คือฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมลงแรงที่ใจด้วย  ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)
ใจเป็นต้นธารของความรู้ เมื่อเรามีใจบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด  และความรู้ก็เป็นหลักสำคัญหนึ่งของหัวใจ  ถ้ารู้อย่างแจ่มชัดแล้วไร้อคติ หัวใจก็จะสงบ หรือพูดง่ายๆ ตามที่มนุษย์พูดกันคือเราเป็นตามสิ่งที่เราคิด เราเป็นตามสิ่งที่เราเชื่อ และเราก็ต้องได้รับผลของสิ่งที่เรากระทำ ฉะนั้นตัวคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราคิดเราเชื่อและเรารู้สึกอย่างไร เหมือนตอนนี้ เราบอกว่าเราไม่ชอบท่าน เมื่อคิดไม่ชอบ มองยังไงก็ไม่ชอบ ปัญหาอยู่ที่ท่านหรืออยู่ที่เรา ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะยิ้มสวยงามขนาดไหน ยิ้มน่ารักขนาดไหน ถ้าใจเราไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ยังไงก็ (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนกัน ถ้าตอนนี้ใจเรากำลังสบายใจเรากำลังรู้สึกดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นที่เขาไม่ดีเพราะใจเราไม่ดีหรือเขาไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  จริงหรือ เห็นถึงเวลาโทษเขาไม่โทษใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจเราบริสุทธิ์ เหมือนเราตอนนี้ ถ้าใจท่านสบายใจ มองอะไรมันก็ดูสบายไปหมด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าตอนนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี  ใครพูดอะไรก็ไม่ดีหมด แต่ถ้าตอนนี้ท่านสบายใจ เขาพูดไม่ดีท่านก็ยังรู้สึก (ดี) ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านรู้สึกไม่ดี แล้วใครพูดดี ท่านก็บอกมีอะไรหรือเปล่า จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกจะเป็นอย่างไร ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรอย่าได้โทษฟ้า อย่าได้โทษดิน อย่าได้ก่นว่าผู้คน จงหันกลับมาถามใจตนว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร จึงว่าเขาเป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้นั่งสบายหรือไม่สบาย (สบาย)  รีบพูดทันทีเลย กลัวบอกว่าไม่สบายเพราะใจท่านมีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแต่งตัวก็มีอิทธิพลต่อจิตใจนะ จริงไหม (จริง)  ลองแต่งตัวแบบใส่ชุดทหารสิ ใจมันรู้สึกฮึกเหิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ชายลองแอบใส่กระโปรงสิ ใจมันรู้สึกตุ้งติ้งทันทีเลย ฉะนั้นอย่าพูดว่าการแต่งตัวไม่มีผลต่อจิตใจ ก็มีผลเหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราแต่งตัวสุภาพก็มองดูสุภาพน่าเคารพ เราแต่งตัวล่อแหลมก็มองดูไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าจิตบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้ก็เป็นหลักสำคัญของหัวใจ ถ้ารู้อย่างชัดเจนไร้อคติ ใจนั้นก็จะสงบสุขถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือที่พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด และเราต้องรับสิ่งที่เราทำ เพราะเราเป็นคนสร้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเราเป็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อ เราคิดเราเชื่ออย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นชีวิตของเรา หนึ่งมาจากพ่อแม่ แต่อีกหนึ่งที่จะเป็นไป และเป็นอย่างไร ล้วนเกิดมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจแห่งตัวตนถูกหรือไม่ (ถูก)  ตัวตนเป็นอย่างไร ก็ดูที่ความคิด ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่วันนี้เราทำอะไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าเมื่อก่อนทำอะไร ให้ดูปัจจุบัน อยากรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ให้ดูการกระทำปัจจุบัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้อดีตเราทำอะไรมา ให้ดูผลของปัจจุบันที่เราได้รับใช่หรือไม่ (ใช่)  และอยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ดูวันนี้เราทำเช่นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์ทุกคนอยากทุกข์หรือเปล่า (ไม่อยาก)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เพราะบาปมีผลคือความทุกข์ และน่ากลัวที่สุดยิ่งกว่าทุกข์ก็คือ การเวียนว่ายรับผลแห่งการกระทำของตน ที่เรียกว่า วัฏสงสาร ถ้าเราไม่อยากรับทุกข์ เราก็อย่าทำบาปและรากเหง้าของบาปคือ โลภ โกรธ หลง การยึดติดตัวตน ตัณหา อบายมุข ราคะ กิเลสทั้งหลาย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงอย่าสร้าง (บาป) ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ ความยึดติดตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่านเอง อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุ เราจะได้รับผลไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ทำผิด เราจะได้รับทุกข์ไหม (ไม่)
ในโลกนี้สิ่งที่เราเชื่อมักเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไหม (ไม่)  คนไม่ดี ไม่ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนดี ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอคนไม่ดีเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  ควรด่าไหม (ไม่ควร)  แล้วเวลาเจอคนดี เราควรหลงไหม (ไม่หลง)  ถ้าเราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่เราคิด การดำเนินชีวิตก็อาจจะผิดพลาดได้เพราะหลายครั้งสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ ถูกไหม เหมือนวันนี้เราชนะ พรุ่งนี้เราชนะไหม หรือต่อไปเราจะชนะไหม (ไม่)  มีชนะก็มีแพ้ มีดีก็มีไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เรารู้ว่าในคนไม่ดี อาจจะดีได้ เราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เมื่อไม่เกลียดเราจะบาปไหม (ไม่บาป)  เมื่อไม่บาปเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วตอนนี้เราเกลียด เราบาป เราทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องระวังก็คือ เมื่อศึกษาธรรมอย่าให้ความคิดความเข้าใจมาบดบังความจริงเพราะความจริงทำให้เราเห็นธรรมและพ้นทุกข์ แต่ถ้าเราเอาแต่ความคิดจนไม่มองความจริง จะทำให้เราไม่มีวันพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะสามารถมองเห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่เราคิดและเข้าใจ ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะโทษคนอื่นต้องหัดมามองดูตัวเรา ทำอย่างไรที่จะไม่ปล่อยให้ความคิดมาครอบงำเราจนลืมมองความเป็นจริง เพราะส่วนใหญ่มนุษย์มักจะยึดติดความคิดความเข้าใจ จนทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันว่าอะไรมาบดบังจนทำให้เรามองไม่เห็น
ถามลึกๆ  ในตัวตนคนมีความเป็นจริงที่เหมือนๆ กันอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในโลกก็เหมือนกัน ดูอาจจะร้าย แต่ดี ดูเหมือนดีจริงๆ แอบร้าย ใช่ไหม (ใช่)  เรานี่แหละเป็นเลยจริงไหม
ถ้าอย่างนั้นเรามาดูว่าอะไรบดบังจนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงและตื่นรู้ในความจริงจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้งได้ วิสัยของมนุษย์ที่เหมือนๆ กัน

ข้อแรก ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ จริงไหม ลองโดนว่าซิ เธอนะไม่ดี รับไหม ไม่รับเสียงสูงเลยใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้เรามองไม่เห็นความจริงคือผิดไม่เป็น ว่าไม่ได้ ร้ายไม่ได้ ใช่ไหม
อย่างที่สอง ยอมไม่เป็น ถ้าคนที่เราบอกว่าเขาไม่ดี มันไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเขามีดีอยู่ แต่ถึงเวลาพอเขาไม่ดีกับเรา เรายอมไหม (ไม่ยอม)  เมื่อไม่ยอมเราก็เลยไม่สามารถปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมได้ นี่แหละยอมไม่เป็น  เมื่อยอมไม่เป็น ให้ก่อนเป็นไหม (ไม่เป็น )
ข้อสาม ให้ก่อนไม่ได้ เธอไม่ดีกับฉันก่อนแล้วทำไมฉันต้องดีกับเธอก่อน เธอไม่เคยให้อะไรฉันเลยทำไมฉันต้องให้เธอก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม แล้วเมื่อเป็นอย่างนั้นเราจะสามารถทำดีกับใครได้ไหม แล้วเราจะปฏิบัติธรรมได้ไหม แล้วเราจะมองเห็นความจริงไหม
ฉะนั้นสิ่งเลวร้ายที่ขวางกั้นทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความจริงและมองเห็นธรรมะได้ คือ นิสัยความเป็นคนของเราที่ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คือ ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ยอมไม่ได้ ให้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราทำตรงนี้ไม่ได้ จะปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ เมื่อเราปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ แล้วจะมองเห็นความเป็นจริงในโลกได้หรือ ถ้าว่าได้ ผิดได้ ก็ดีขึ้นได้ แต่ถ้าว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ก็ไม่มีวันเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ ทะเลยิ่งใหญ่เพราะกล้ารองรับทุกสรรพสิ่ง น้ำเล็กกระจ้อยร่อยเพราะไม่เคยคิดรองรับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ปิดกั้นตนไม่เคยรับฟังคำพูดใครและไม่เคยเปลี่ยนแปลงนิสัยใจตน สักวันหนึ่งจะต้องกลายเป็นน้ำเน่าที่ไร้ใครอยากใกล้ชิด และรากฐานของการเป็นคนที่ดีและสามารถปฏิบัติธรรมได้ก็คือต้องยอมให้เป็น และต้องให้ก่อนให้ได้ เขาด่าเราแต่เราอดทน เรายอม เราให้ความเมตตากลับ อยู่ในโลกนี้เราไปเอาก่อนแล้วค่อยให้หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา ไปทำร้ายเขาแล้วค่อยมาทำดีตอบ แก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ไปเอามาน้อยๆ แล้วให้เยอะๆ อย่างไหนดีกว่ากัน หรือไม่เอาเลย คนดีจริงต้องให้ก่อน และเมื่อให้จนถึงที่สุดมีหรือจะไม่ได้ มีแต่ไปเอาจนถึงที่สุด แล้ววันไหนจะได้ ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่สามารถเอาชนะใจที่ไหลลงต่ำอย่างนี้ได้ ท่านก็ไม่มีวันเป็นคนดี และเข้าถึงธรรมได้ จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อท่านยังปล่อยตัวเองเป็นแบบนี้ท่านก็เลยอดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ว่า ทำไมเขาไม่เมตตาฉัน
พื้นฐานของความเป็นจริงของคน
อันดับที่ ๑ มีเมตตา ทำไมเขาไม่เมตตา แต่เราลืมเมตตากับเขา และลืมเมตตากับตัวเอง 
อันดับที่ ๒ มีมโนธรรม ทำไมเขาไม่มีมโนธรรมสำนึกเลย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย แล้วตัวเราเองล่ะ
อันดับที่ ๓ มีจริยธรรม ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย แล้วตัวเองน่ารักไหม เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า พูดได้แต่ทำ (ไม่ได้)
อันดับที่ ๔ มีสัตยธรรม  พูดแล้วได้อย่างที่พูดไหม พูดแล้วไม่เห็นทำได้เลย ขี้โม้เสียเปล่า และเมื่อถึงที่สุด
อันดับที่ ๕ มีปัญญา แต่ถ้าเมื่อไรท่านว่าได้ ท่านผิดได้ ท่านยอมได้ ท่านให้ได้ทั้งเมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม และปัญญาธรรม สิ่งเหล่านี้ก็จะมาโดยไม่ต้องมีการบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ให้ได้ก็เมตตาได้ ยอมได้ก็มีมโนธรรมได้ ผิดได้ก็มีสัตยธรรมได้ ยอมได้ ผิดได้ ให้ได้ก็มีปัญญาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ายอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แบบนี้เรียกว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย เข้าใจไหม ฉะนั้นอยากละบาป โลภ โกรธ หลง ยังเป็นกิเลสอย่างหยาบ แต่บาปที่เกิดจากการยอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แล้วหวังว่าทุกสิ่งต้องเป็นอย่างใจ นั่นแหละที่เป็นกิเลสที่เป็นแก่นแท้ในใจของเรา แก่นแท้ของเรามันมีอยู่ ๒ แก่น หนึ่ง คือแก่นที่ไม่ดี กับ สอง คือแก่นที่ดี ลึกๆ ชอบคนเมตตาไหม (ชอบ)  ชอบคนที่เคารพให้เกียรติไหม (ชอบ)  ชอบคนพูดได้ทำได้ไหม (ชอบ)  ชอบคนมีปัญญาดีไหม (ชอบ)  แล้วเรามีชีวิตอยู่ อยู่กับคนโง่หรือคนฉลาด (ฉลาด)  อย่างนั้นหรือ เห็นเลือกคนโง่ เพื่อที่จะกดขี่ และว่าได้ ใช่ไหม คนที่เลือกเพื่อนโง่กว่า นั่นแหละเรียกว่าคนโง่ที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นลองหันกลับไปดูนะ ว่าเราโง่หรือเราฉลาด ดูที่เพื่อนเรา
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เขียนบนกระดานว่า)
สิ่งที่ควรละ  { ละบาป }   ได้แก่
1. ผิดไม่ได้ ว่าไม่ได้
2. ยอมไม่เป็น
3. ให้ก่อนไม่ได้                   
4. ตามใจ ตามอารมณ์
สิ่งที่ควรมี  { บำเพ็ญบุญ  }   ได้แก่
1. ต้องมีเมตตาธรรม
2. ต้องมีมโนธรรม
3. ต้องมีจริยธรรม
4. ต้องมีสัตยธรรม
5. ต้องมีปัญญาธรรม

ถ้าสิ่งนี้ท่านละได้ สิ่งนี้ท่านก็มีได้ ถ้าสิ่งนี้ท่านทำได้สิ่งนี้ท่านก็ไม่ต้องพยายาม มันก็มีขึ้นเอง จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม ดังที่พระพุทธะสอนไว้ ท่านเป็นคนนับถือศาสนาพุทธถูกไหม “ละบาปก็บำเพ็ญบุญ”  เมื่อละบาปบำเพ็ญบุญ ก็สามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ มันยังมีแก่นธรรมของความเป็นจริงอีกแก่นหนึ่งคือ นอกจากเห็นสิ่งที่ต้องละและสิ่งที่ต้องปรากฏให้มี ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าทำสองสิ่งนี้ได้ และเข้าใจความจริงแห่งโลกอีกสิ่งหนึ่ง จะสามารถเกิดปัญญา และเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “สภาวธรรม” ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าอย่างนั้นตั้งใจฟังก่อนนะ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราถึงต้องศึกษา ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)  แค่นี้ก็เอาตัวไม่รอดแล้วใช่ไหม แค่นี้ก็ทุกข์แล้วใช่หรือไม่ แต่การเลือกทำในสิ่งที่ถูก ผลจะนำพามาให้ทุกขณะที่ทำมีความสุข แต่ถ้าเราเลือกทำสิ่งที่เรียกว่า กิเลส อารมณ์ ผลที่ตามมาคือจุดไฟเผาตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมคือชื่อแห่งความสงบสุข ขึ้นชื่อว่ากิเลส คือชื่อของความทุกข์และความเผาร้อนจิตใจตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าทำไมต้องเป็นคนดี เป็นคนดีเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทำดีโดยไม่หวังผล เข้าใจจุดประสงค์ของการทำดีไม่มีวันเหนื่อย แต่ถ้าทำดีแบบยึดติดว่า ไม่ยอม ไม่ได้ ฉันต้องได้ ฉันต้องอย่างนี้ ทำไปแล้วจะเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนนั่งฟังไปแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสามารถทำได้แบบนี้ รู้ไหมว่าการทำได้แบบนี้ ยังเป็นสาเหตุของการสร้างเหตุที่ดี เมื่อเรามีเมตตา ไม่เคยเบียดเบียนใคร จะถูกใครเบียดเบียนไหม (ไม่)  เมื่อเรารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เคยอยากได้ของใครมาเป็นของเรา ใครจะมาเอาอะไรจากเราไหม (ไม่)  เพราะเราไม่เคยอยากได้ของใครมาก่อนถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดว่าท่านอยากได้เมตตา ถามซิว่าท่านเคยเมตตาใครไหม ถ้าท่านเมตตามากๆ ก็จะอายุยืน คนมีมโนธรรมสำนึกดีก็จะเป็นที่รัก ที่น่าเคารพนับถือ  คนที่พูดจริงทำจริง ก็จะศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นอยากสร้างเหตุที่ดี ถามซิว่าเรามีเหตุอันนี้ที่ครบหรือไม่ อยากได้ครอบครัวร่มเย็นก็ถามว่าเรามีมโนธรรมสำนึกไหม เราเคยให้เกียรติคนในครอบครัวไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือรากฐานของความเป็นคนที่ทุกคนควรมี
แต่จิตใจมักง่ายที่จะไหลลงต่ำ มากกว่าขึ้นสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราฝืนได้เราก็จะพบธรรมได้ และเมื่อเราพบธรรมได้ เราก็จะเกิดปัญญาเห็นแจ่มแจ้งได้ ที่เรียกว่าความเป็นจริงอันเป็นหนึ่งเดียวกันเรียกว่า (นิพพาน)  นิพพานคือความสงบเย็น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่พ้นทุกข์แม้เราจะดีขนาดไหน แม้จะละบาป บำเพ็ญบุญ  ละบาปเพื่อสร้างคุณธรรม ซึ่งทำได้แค่นี้ก็คือคนที่ประเสริฐในโลก ดังพระพุทธะบนแดนดิน แต่ยังไม่พ้นทุกข์นะ จริงไหม (จริง)
เมื่อไรที่ใจเราเที่ยงตรงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น
เมื่อไรที่เรามีใจเมตตา เราจะได้ใจที่สงบร่มเย็นกับทุกคน และกับตัวเรา
เมื่อไรที่เราสามารถใจกว้างเราจึงสามารถรักษาความสมดุลระหว่างดี ร้าย ได้ เสียได้
แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจเรากระจ่างแจ่มชัดความเป็นจริง เมื่อนั้นแหละใจเราจะเป็นอิสระ และกลับคืนสู่สภาวธรรม แต่ไปไม่ถึงเลยใช่ไหม ฉะนั้นถ้าท่านทำได้อย่างที่เราพูด  เราก็จะบอกต่ออีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเหมือนกันนั่นก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” นั่นคือความเป็นจริงอีกอันหนึ่งที่ท่านพิจารณาอยู่เนืองๆ จะบังเกิดธรรมและปลดปล่อยความผิดทั้งหลายให้เบาบางลงได้ ความจริงแห่งธรรมอีกอันหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและกลับคืนสู่ความเป็นจริงก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
ศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ในความเป็นจริงแห่งคน ถ้าเราหมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง คนมีวันเปลี่ยนแปลง เราจะโกรธจะเกลียดใครไหม (ไม่)  เราจะหลงใครไหม (ไม่)  ถ้าลึกๆ เรารู้เสมอว่ามันไม่เคยมีอะไรจริง แล้วเราหลงไหมตอนนี้ หลงไม่หลง (ไม่หลง)  ไม่เข้าใจใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นค่อยๆ พูดทีละเรื่องนะ ถามหน่อยเรามีวันแก่ไหม (แก่)  เรามีวันเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  เรามีวันตายไหม (ตาย)  ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (น่ารัก)  ไม่แน่ ก็เมื่อสักครู่ท่านยังบอกเลยว่าเรามีวันเหี่ยว เรามีวันตาย ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (ไม่แน่)  ถูกไหม เราถามหน่อย เราดีไหม เราร้ายไหม ใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่เมตตา ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนให้นักเรียนในชั้นดูหน้าตา) ท่านนี้ยืนดูหน้าตาหน่อยนะ หันมาโชว์ให้เขาดูหน่อย หน้าตาร้ายไหม ร้ายไหม ไม่แน่นะ ถ้าไม่แน่เราสามารถมั่นใจได้ไหมว่าเขาไม่ดี เราสามารถหลงได้ไหมว่าเขาดี (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ เมื่อไม่ได้แล้วเราจะเกลียดเขาไหม (ไม่)  เมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะดีหรือเปล่าเราจะรักเขาไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นเราถามจริงๆ คนที่ท่านบอกว่ารัก คนที่ท่านบอกว่าเกลียด เขาดีจริงๆ ไหม เขาน่ารักจริงๆ ไหม (ไม่แน่)  เมื่อไม่แน่แล้วเราควรรักไหม (ไม่ควร)  ใช่หรือไม่ ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ท่านจะไม่ทุกข์กับคนในโลก และไม่ก่อเกิดโลภ โกรธ หลงและไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้ใจทุกข์เลย จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นแก่นแท้ที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว โลภ โกรธ หลงจะไม่บังเกิด เพราะมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นถ้าตามใจตามอารมณ์ ธรรมจึงไม่เกิด ปัญญาจึงไม่มี ความเห็นแจ้งในโลกความเป็นจริงจึงไม่เคยชัด ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคือ ตามใจตามอารมณ์ ใช่ไหม จึงหนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งความทุกข์ ทำไมเขาต้องทำให้ฉันเจ็บ ทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ ทำไมเขาต้องลวงฉันอย่างนี้ แต่ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง เราจะไม่ถามว่าทำไม แต่เราจะเข้าใจเพราะเราก็เคยเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยด่าเขาไหม เคยโกงเขาไหม เคยหลอกเขาไหม เคยผิดคำพูดกับเขาไหม ใช่หรือไม่ แล้วตัวเองให้อภัยตัวเองไหม แล้วเคยว่าตัวเองแล้วแก้ไขไหม ฉะนั้นถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์

สิ่งที่เราพูดคือแก่นความเป็นจริงของคนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวสอนไว้ว่า เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นคนในตัวเรา เราจะเข้าใจความเป็นคนในผู้คน เมื่อไรเข้าใจนิสัยของความเป็นคนอันแท้จริง เราจะเข้าใจนิสัยของความเป็นคนในโลกได้ เมื่อไรที่เราเห็นชัดในตัวตน เราจะสามารถเห็นชัดในผู้คน ดังคำกล่าวว่า ไม่ต้องออกนอกบ้าน ถ้าเข้าใจตนก็เข้าใจในมวลสรรพสิ่งในชีวิต แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตนก็ยากที่จะเข้าใจผู้คนได้ เหมือนที่มนุษย์ชอบเป็นกันคือ เอาแต่รอว่าใครจะมารักฉัน เอาแต่รอว่าใครหนอจะเคารพฉัน แล้วก็รอว่าใครหนอจะทำให้ฉันมีความสุข ถูกไหม แต่ผู้ที่เข้าใจธรรม ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้น่ารัก และรู้จักรักคนอื่นให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่รอคนมารักสู้รู้จักรักตัวเองให้เป็นและรักคนอื่นให้เป็นดีกว่าแล้วจะเหงาไหม (ไม่เหงา)  รู้จักเคารพให้เกียรติตัวเองและเคารพให้เกียรติผู้อื่น ใครจะมาดูถูกเราไหม (ไม่)  รู้จักมีสุขไม่ต้องรอสุขในอนาคต เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นอย่ามัวรอจงเริ่มทำที่ตัวเราเองก่อน วันนี้เราก็มาแค่นี้ ขอทวนหน่อยนะ ทำอะไรต้องรู้จักมีสติ มีธรรมยั้งคิดนะดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดไกลเกินเอื้อม อย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดท่านทำไม่ได้ ไม่ลองจะรู้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนกำหนด แต่อยู่ที่เราสร้าง ขอเพียงเราเข้าใจและเห็นแจ้งความเป็นจริงในตัวเอง ธรรมะไม่ได้อยู่ข้างนอก ธรรมะไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ธรรมะต้องค้นหาที่ใจเรา และเริ่มทำออกจากใจเรา เพราะถ้าเราสงบคนอื่นก็เป็นสุข ถ้าเราทุกข์คนอื่นก็เป็นทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นลองไปดูนะสิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยากไกลเกินเอื้อมใช่ไหม (ใช่)
เวลาทำอะไรถามตัวเองก่อนนะ อยากปฏิบัติธรรมและพ้นทุกข์จริงไหม ถ้าไม่อยากปฏิบัติก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าอยากปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ พบธรรม ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดวันนี้ว่า สิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านคิด สิ่งที่ท่านพูดยอมให้ใครไหม ให้ไหม สิ่งที่ยอมให้มีธรรมบ้างไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากพบธรรมในผู้คน ต้องเริ่มจากพบธรรมในใจตน อยากมีธรรมในผู้คน ก็ต้องเริ่มมีธรรมในใจตน ใครไม่มีเรื่องของเขา เราจะมี ใครไม่เป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นธรรมที่ถูกต้องและดีงามให้ได้ คนปัจจุบันนี้ขาดคนดีจริงนะ โลกปัจจุบันขาดคนมุ่งมั่นปฏิบัติจริง เก่งแต่พูดแต่ไม่เก่งกระทำใช่ไหม (ใช่)  ดีแต่ปากไม่เอา อยากให้ดีที่การกระทำ และขอเป็นคนดีจริง ดีที่สุด ดีจนลมหายใจสุดท้าย แล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตมันมีค่า ทุกเวลาประมาทไม่ได้ เพราะผิดกับเขาไปแล้ว ทำดีอย่างไรก็แก้ไม่ทันจริงไหม (จริง)  ถามใจท่านดู ใครว่าเราผิดใจนิดหนึ่ง ขอโทษหายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นยอมก่อนไม่ดีกว่าหรือ สร้างธรรมให้บังเกิด อย่าเป็นทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อไม่ต้องมีทุกข์ อย่ามีทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อจะได้ไม่สร้างทุกข์ ขอให้มีสติ ทำอะไรยั้งคิด ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อิงมองตามจริงโลกอยู่ลำบาก              เจออุปสรรคต้องเข้าใจชีวิตยิ่ง
หอบสติไปข้างนอกได้พึ่งพิง                   คาถาเรียกใจนิ่งไม่จ่ายแพง
สติตรองครองใจใช้เป็นประจำ                 คิดพูดทำเป็นธรรมบารมีแกร่ง
ฟังได้กลางกลางกำราบมารจำแลง           ตื่นใจแจ้งในโลกสร้างบารมี
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อยู่ไปอยู่มาชีวิตไม่เป็นของเรา  เกิดแต่เรื่องเหนือคาดเดา กำกับเราคือนิสัยตน  ปัญหาซ้ำซ้ำเป็นตัวเองง่ายง่ายกลับสับสน  ขาดธรรมในเรื่องตน (อึดอัดในเรื่องของใคร)
บำเพ็ญหมดแล้วเรื่องทุกข์ก็ยังไม่เบา ไม่มีวันเว้นศุกร์เสาร์ดูฌานเราบำเพ็ญถึงไหน ได้เห็นว่าทุกข์ก็พบว่าธรรมมีที่หัวใจ ธรรมะสมบูรณ์จิตใจ สุขทุกข์กลายช่วยให้กระจ่าง
* คนบำเพ็ญหัวร้อนรับกันไม่ไหว รู้มากไปถึงรับแบกให้เป็นปัญหาตัว ติดใจสงสัยกันแล้ววุ่นวายหนักหัว ตระหนักรักตัวต่างคนบำเพ็ญจิตให้มากพอ
** ผู้บำเพ็ญนั้นสติอยู่พร้อมเหมือนเพื่อน เสียงที่ไม่ตักเตือนแม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น โลกไม่พ้นทางคิดถึงปัญหาตกตกหล่นหล่น เสียงคือเสียงบ่นชีวิตไม่เพียรไม่ใช่ของเรา      ซ้ำ (*, **,      )

ทำนองเพลง : เธอเป็นแฟนฉันแล้ว
ชื่อเพลง : ชีวิตไม่เพียรไม่เป็นของเรา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่า (ไม่มา)  ตกลงมาช้าดี หรือมาช้าไม่ดี  ดีกว่าไม่มาเลยใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่มาดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวศิษย์แล้วนะ ถ้าตั้งใจคุยกันเราก็อยู่กันนานๆ แต่ถ้าไม่ตั้งใจคุยกัน  มาสักครู่ก็หายไปดีไหม (ไม่ดี)  อะไรก็ดีอยู่ในโลกนี้จะได้ไม่ทุกข์จริงไหม ถ้าเลือกที่รักมักที่ชังเราก็จะมีความทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าอะไรมันก็ดี เขาด่าก็ดี เขาชมก็ (ดี)  เขาเอาเงินไปไม่คืนก็ (ดี)  ให้พูดได้อย่างนี้ตลอดๆ นะ สามีไปไม่กลับบ้านก็ (ดี)  จริงหรือ  แต่ผลสุดท้ายก็มานั่งเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เก่งจริงนี่นา
อยู่ในโลกนี้อยู่ยากไหม (อยู่ยาก)  บางคนบอกยาก บางคนบอกไม่ยาก ถ้าอยู่แล้วใส่ใจ กังวลทุกคนมันก็ยากนะ แต่ถ้าอยู่แล้วเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจใครมันก็ง่ายใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ แล้วศิษย์เป็นประเภทไหน

อาจารย์ว่าบางทีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้บางทีก็อยู่ยาก เพราะในโลกคนส่วนใหญ่มักจะสอนว่า ต้องเป็นคนเก่ง ต้องเป็นคนดี และต้องมีแต่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
เรามักจะถูกสอนว่าอยู่ในโลกนี้ต้องเป็นคนเก่ง ต้องให้ดี ต้องให้ได้ ต้องให้เด่นให้ดัง ใช่ไหม (ใช่)  สอนลูกว่าต้องเก่ง ลูกต้องดี ทำอะไรก็ต้องได้ และต้องดังใช่ไหม ถ้าลูกไม่ดีไม่เด่นไม่ดัง ไม่เอาใช่ไหม (เอา)  เราถูกสอนมาเป็นแบบนี้ แต่ธรรมะกลับสอนในด้านตรงกันข้าม ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ดีก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ธรรมดาก็ดี เราเคยสอนลูกแบบนี้ไหม เราเคยบอกตัวเองให้เป็นแบบนี้บ้างไหม เราบอกแค่เพียงว่าลูกต้องเก่ง ถ้าลูกไม่เก่งจะยืนบนโลกนี้ไม่ได้ จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราสอนอย่างไร เราสอนเราบอกตัวเราเองเสมอ ฉันต้องเก่ง ต้องได้ ต้องดี แต่เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราเริ่มรู้แล้วว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องเก่ง บางครั้งยอมไม่ดีบ้าง เพื่อให้คนอื่นได้ดีไม่เป็นไร บางครั้งยอมเสียสละ ยอมที่จะไม่ได้บ้าง เพื่อให้ผู้อื่นได้ เพื่อให้มีสุข บางครั้งไม่ต้องเด่นไม่ต้องดัง อยู่ธรรมดาเรียบๆ ง่ายๆ ก็อยู่กับใครได้ เป็นสุขมากกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำไมเวลาใช้ชีวิตเวลาเจอความจริง เราถึงไม่บอกกับลูก บอกกับหลาน บอกกับคนที่เรารัก บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่กลับยัดเยียดให้กับลูกว่า ลูกต้องเป็น ลูกต้องได้ ต้องดี จริงไหม (จริง)  แล้วเราเคยสอนเขาแบบนั้นไหม ไม่เก่ง แม่ก็รัก พ่อก็รัก ไม่ดีไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับมาดีได้ แม่ก็ให้อภัย พ่อก็รัก เคยบอกกันอย่างนี้ไหม (ไม่เคย)
ขอบใจนะที่กล้ายอมรับ เพราะอาจารย์ว่าอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นใครพูดแบบนี้เลย น้อยมาก ส่วนใหญ่รอให้เขาไปผิดพลาดมาแล้วถึงค่อยบอก ถ้าเกิดลูกเขาพูดได้เขาคงบอกว่าทำไมแม่ไม่บอกผมตั้งแต่แรก ทำไมพี่ไม่บอกหนูตั้งแต่แรก ทำไมเพื่อนไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าฉันเป็นแบบนี้ก็ได้ เคยบอกไหมว่าแกไม่ต้องดีที่สุดแต่ขอแกจริงใจกับฉันก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  แกไม่ต้องเก่งที่สุดแต่ขอแกเข้าใจฉันเวลาฉันแย่ก็พอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการเวลาเราอยู่ร่วมกันคืออะไร ความจริงใจ ความเข้าใจ กำลังใจ และการเห็นใจ เวลาเราอยู่ในโลกเราเคยเข้าใจใครไหม เราเคยเห็นใจใครจริงๆ ไหม และเราเคยทำได้บ้างไหม เรามักจะตรงกันข้ามใช่ไหม (ใช่)  แกต้องเก่งแกไม่เก่งไม่ใช่เพื่อนฉัน แกไม่ใช่ลูกฉัน เธอไม่ใช่สามีฉัน ไม่ได้เรื่อง ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วชีวิตเรา เราต้องการคนที่เข้าใจเวลาเราแย่ที่สุด คนที่รับเราได้เวลาที่เราไม่เหลืออะไรและไม่มีอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ความสุขหาง่ายขอเพียงเห็นใจบ้างหรือยัง เข้าใจบ้างหรือยัง จริงใจหรือยัง และรับเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม ถ้ารับได้ เข้าใจได้ เห็นใจได้ และทนได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ความสุขก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ฉะนั้นถ้าเราอยากได้สังคมที่ร่มเย็น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่น่ารัก ลูกที่น่ารัก สามีที่ดี ถามตัวเราเองก่อน เห็นใจเขาบ้างไหม จริงใจกับเขาแค่ไหน แล้วชีวิตที่ร่มเย็น ชีวิตที่เป็นสุขก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ที่ตัวเราพร้อมจะเรียนรู้และเข้าใจคนรอบข้างอย่างจริงใจหรือไม่
อาจารย์ให้กลอนนำ มีคาถาเรียกใจที่ทำให้ใจนิ่งและไม่ต้องจ่ายแพง นั่นคืออะไร (ต้องมีสติ,มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิต)  มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิตใช่ไหม (ใช่)  เป็นคาถาเรียกใจที่เราไม่ต้องจ่ายเลยใช่ไหม (ใช่)  เวลาอารมณ์ร้อนใช้สติ สติจะช่วยยับยั้งให้เราใจเย็นคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลารู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี จงมีสติ สติจะดึงใจให้เรากลับมาให้เราเป็นปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่ดี แต่เรามีสติไหม (ไม่มี)  ถ้าทำอะไรขาดสติบ่อยๆ ก็ง่ายจะตกเป็นทาสอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์คือคนที่ไม่เคยมีสติอยู่กับตัวถูกไหม (ถูก)  แต่คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และยั้งตัวเองได้แปลว่ารู้จักมีสติใช้กับตัวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสติจึงเป็นสิ่งที่มีค่าไม่ต้องเสียเงินเลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไปใช้บ่อยๆ เวลาไปอยู่กับใคร หรือต้องเผชิญกับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบถูกไหม (ถูก)  แปลว่าอาจารย์ต้องอยู่ต่อหรือกลับ (อยู่ต่อ)  นึกว่ากลับ ถ้าตอบถูก แล้วตอบได้ แล้วตอบเป็น อาจารย์ก็ไม่ต้องสอนอะไรแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  ก็รู้แล้วไม่ต้องบอกอะไรแล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  ในโลกใบนี้สิ่งที่จริงก็ไม่จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วสิ่งที่ไม่จริงก็จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดเอง ก็ต้องรับผิดชอบกับผลที่ตัวเองพูด นั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อไป ได้ไหม (ได้)  ศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกอย่าผลักดันให้ใครทุกข์ อย่าผลักดันให้ใครเจ็บปวด แม้ศิษย์บอกว่ามันเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์ทำเขาเจ็บ เขาจะทำเราเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ทำเขาทุกข์ เขาจะกลับทำเราทุกข์ยิ่งกว่า อาจารย์ถามก่อนถ้าเรามีชีวิตแล้วขอได้หนึ่งอย่าง เราอยากขออะไรให้กับชีวิตก่อนจะนั่งดีไหม (ดี)  ขออะไรให้กับชีวิต ขอได้อย่างเดียวและขออีกไม่ได้แล้ว และถ้าตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ระหว่างขอให้รวย ขอให้แข็งแรง และขอให้มีปัญญา ตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ไหนใครอยากขอให้รวยยกมือขึ้น ในใจก็อยากยกแต่ไม่มีใครยกมือเลย พูดมาตามตรงเถอะอาจารย์ไม่ว่า ยกมือไหม ไม่ยกหรือ ขอแล้วขออีกไม่ได้แล้วนะ ใครขอให้แข็งแรงยกมือขึ้น ยกได้ครั้งเดียว แล้วยกไม่ได้แล้วนะ อยากได้แข็งแรงเอามือลง ใครอยากขอให้มีปัญญา ยกมือขึ้น อย่ายกซ้ำนะศิษย์เอย เอามือลง ถ้าใครขอให้มีปัญญาอาจารย์อยู่คุยต่อ แต่ถ้าใครขอแข็งแรงและรวย อาจารย์จะกลับศิษย์ไปหาเอาเองดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์พูดตรงๆ  ทำไมอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกปัญญารู้ไหม มีเงินแต่ไร้ปัญญา มันก็จนได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีเงินแต่มีปัญญาก็รวยได้จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมถึงเลือกอยากรวยก่อนแล้วถึงเลือกมีปัญญา ปัญญาเกิดได้จากการศึกษาเรียนรู้ แล้วยิ่งเรียนวิชาธรรมะด้วย กลับไม่เคยคิดอยากเอา แล้วจะได้ปัญญาไหม ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์เอารวยหรือเอาปัญญา (ปัญญา)
ไหนใครบอกเอาแข็งแรง อาจารย์จะบอกเอาแข็งแรงแต่ถ้าไม่มีปัญญาสู้กับความอ่อนแอ แข็งแรงมันก็กลับไปอ่อนแอได้ จริงไหม (จริง)  แต่คนมีปัญญาเมื่ออ่อนแอเขาจะทำตัวเองให้เข้มแข็งจงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน ควรเลือกเมื่อจะดำเนินชีวิต เราจะก้าวไปตรงไหนเราต้องถามจุดเริ่มต้นเรา ถ้าเราเริ่มต้นผิดชีวิตมันก็เดินผิดทาง แต่ถ้าเราเริ่มต้นถูก ชีวิตมันก็เดินไปได้ มันก็สู้ได้ตลอดทาง แล้วมันมีทางออกตลอดทาง จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ชีวิตศิษย์เอาเงินก่อนเอาปัญญา ใช่ไหม เงินก่อนปัญญาไว้ที่หลัง ใช่ไหม  เหมือนวันนี้เขาบอกให้มาฟังธรรม 3 วัน เดี๋ยวนะค้าขายดีขายก่อน ใช่หรือไม่ จริงๆ นะศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกนี้ไม่อยากเจอคนคับแคบ อย่าตีใจคับแคบ ถ้าอยากอยู่บนโลกกว้างจงเปิดใจกว้าง อะไรก็ได้ อะไรก็ดี เราก็จะมองเห็นโลกกว้าง แต่ถ้าเราตีตนคับแคบ มันต้องอย่างนั้นมันต้องอย่างนี้ เราก็จะเจอแต่คนคับแคบโลกคับแคบ จริงไหม
ถ้าศิษย์เกิดอยากมีปัญญา ศิษย์ก็ต้องรู้จักหมั่นเรียนรู้ แต่บางครั้งการยึดติดยึดมั่นทำให้เราขาดปัญญา และทำให้ไม่สามารถทำอะไรด้วยปัญญาที่แจ่มชัดได้ เหมือนเวลาเรายึดความคิดของเรา เราว่าความคิดของเราถูกต้อง เราก็จะไม่สามารถมีปัญญามองเห็นอะไรแจ่มชัด เหมือนเราคิดว่าคนนี้เป็นคนผิด เราจะมองให้เขาถูกมันก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความคิดของเรามันบดบังปัญญา ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือ อยากมีปัญญาจงอย่ายึดถือความคิดตนเป็นเด็ดขาด เพราะถ้ายึดถือความคิดตน ปัญญาจะบกพร่องทันที เข้าใจนะ (เข้าใจ)
ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันต่อ หลายคนอาจสงสัยว่า ธรรมะที่ฟังไปในวันนี้ มันแตกต่างกับสิ่งที่ผมหรือหนูเคยเรียนรู้เคยเรียนรู้กันมา ต่างไหม (ไม่ต่าง)  เรามาตกลงกันก่อนนะ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์แค่พูดเรื่องธรรมะ ที่เราจะเอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต และที่สุดของการปฏิบัติธรรม ก็คืออยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ และสามารถไม่เป็นทุกข์ได้ นั่นคือจุดประสงค์หลักของการศึกษาและเรียนรู้ธรรม แต่โดยส่วนใหญ่เราศึกษาและเรียนรู้ธรรม เรามักจะเข้าใจว่าจุดประสงค์หลักของการปฏิบัติธรรมคือการทำบุญ ทำทาน และเป็นคนดี
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นเรียนว่าใครชอบทำบุญบ้าง)
ที่บอกว่าชอบนี่ทำบ่อยๆ หรือนานๆ ที (บ่อย)  คนทำบุญติดบุญไหม ขอบุญไหม หลงบุญไหม จุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมหรือการปฏิบัติธรรมอย่างแรก ศิษย์คิดว่าถ้าจะปฏิบัติธรรมต้องทำบุญเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดประสงค์ส่วนใหญ่ในการทำบุญของเราคือ เราทำบุญเพื่อให้ใจสบาย เพื่อสละ เพื่อความโล่งเบา โปร่งเบาในจิตใจ ใช่หรือไม่ ทำบุญเพื่อให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเวลาทำบุญเสร็จ ขอๆๆ อย่างนี้เรียกว่าให้หรือขอ ตกลงว่าทำบุญหรือขอบุญ (ขอบุญ)  จุดประสงค์หลักของการทำบุญคือ ทำบุญเพื่อสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละความโลภหลงในทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไปทำแล้วยังขอ เรียกว่าสละหรือกลับไปยึดเหมือนเดิม ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่เงินเป็นสำคัญแต่อยู่ที่ใจใช่หรือไม่ เราทำเพื่อความสละไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่แล้วมาทำเพื่อให้หรือทำเพื่อเอา ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นศิษย์ก็ต้องเริ่มต้นให้ถูก หลักของการปฏิบัติธรรมคือ ทำบุญเพื่อให้ ทำบุญเพื่อสละ ทำบุญเพื่อไม่ยึดถือ ทำสิบบาทขอร้อยบาทถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าทำเพื่อยึดจะกลายเป็นทำแล้วยังมีกิเลสแอบแฝง ยังมีเจตนามุ่งหวังไม่บริสุทธิ์ ทำบุญแบบนี้ไม่ได้ไปสวรรค์ ใช่ไหม (ใช่)  จะขอต้องขอที่ตัวเอง ขอพระคุณเจ้าให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ทุกวันด่าๆ จะร่มเย็นเป็นสุขไหม (ไม่)  ทุกวันเอาแต่จับเข่านินทา เล่นหวย เล่นพนัน จะมีความสุขไหม (ไม่)  ฉะนั้นอยากขอให้ตัวเองมีความสุข ทำไมไม่ถามที่ตัวเราเอง เพราะจุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมคือทำเพื่อให้ ทำเพื่อละ ใช่หรือไม่
เป็นคนดีที่ชอบเอาความดีว่าตัวเองดี แล้วไปข่มคนอื่นถูกไหม (ไม่ถูก)  เราเป็นคนดีที่ชอบวิพากวิจารณ์ คนนั้นไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ชอบเอาความดีของเราไปตัดสินว่า คนนั้นแย่ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ไม่เคยวิพากวิจารณ์ใคร ไม่เคยไปตัดสินใคร ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบีบบังคับใครใช่ไหม (ใช่)  เราทำดีจุดประสงค์หลักของการทำดีคือ ไม่ประพฤติชั่ว เราทำดีเพื่อกางกั้นใจของตัวเองไม่ให้ทำผิด เราทำบุญทำทานเพื่อป้องกันให้ใจไม่หลงยึดติด ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจให้ได้ก่อน เพราะถ้าศิษย์ไม่เข้าใจกลายเป็นว่าทำบุญแล้วก็ยังไปหลงยึดเหมือนเดิม อย่างนี้ก็ไม่ได้ละอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้วยังไปทำบาปอีกอย่างนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าดี ทำดีเท่าไรก็ไม่เคยได้ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราดีแล้วใครไม่ดีว่าไหม (ว่า)  อาจารย์ ศิษย์ไม่ว่าเลย แต่แช่งมันให้ตายจมดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหยียบให้ตายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย คนดีแล้วมีสิทธิ์ไหมที่บังคับให้ทุกคนต้องดีกับตัวเอง (ไม่มี)  เรียกร้องให้ทุกคนต้องดี คนนั้นไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ฉันดีอยู่คนเดียวเอง เหนื่อย เป็นแบบนี้ไหม (ไม่, เมื่อก่อนเป็นแต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็น)  หลังจากอาจารย์พูดอยากไม่เป็นทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจ ถ้าศิษย์ศึกษาปฏิบัติธรรม บุญยังไม่เข้าใจ การเป็นคนดียังไม่เข้าใจ ศิษย์ก็ยังก้าวต่อไปไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลักสำคัญอันที่สองของการเป็นคนดีก็คือ ทำดีเพื่อให้ตัวเองไม่ประพฤติชั่ว แต่ไม่ใช่ทำดีแล้วเอาชั่วไปให้คนอื่น ไม่ใช่ทำดีแล้วเพื่อบอกว่าคนนั้นชั่ว แล้วตัวเองดี๊ดีถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีจริงยังไงก็ไม่ต้องไปว่าคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เชื่อไหม ถ้าศิษย์เป็นคนดี ศิษย์ยืนเฉยๆ ให้เขาชั่วไปเถอะ ยิ่งเขาชั่วเท่าไร เรายิ่งสุกใสสว่างปิ๊งปั๊งจริงไหม (จริง)  ไม่ต้องไปด่าเขาเลย ยิ่งเขาชั่วเท่าไร ฉันสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยจริงไหม (จริง)  แล้วจะไปด่าทำไมให้ตัวเองสกปรกตามใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเอง     ถ้าศิษย์อยากเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติแล้วไม่อยากชั่ว ไม่อยากเลว ไม่อยากร้าย ถ้าจะเป็นคนดีก็อย่าเอาความดีของตัวเองไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แล้วอย่าไปคิดว่าตัวเองดีนักหนาถึงได้สามารถตัดสินคนอื่นได้ว่า คนนั้นไม่ดี คนนั้นแย่ แน่ใจหรือว่าตัวเองดีจริงๆ (ไม่แน่ใจ)  ไม่แน่ใจแล้วเรามีสิทธิ์ว่าใครไหม (ไม่มี)  จำไว้นะ อย่าว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าว่าเมื่อไร ศิษย์ก็เกี่ยวกรรมกับคนเมื่อนั้น ไม่ว่าศิษย์จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เมื่อว่าแล้วอย่าบอกว่าไม่ตั้งใจ ตั้งใจทั้งนั้นแหละใช่ไหม (ใช่)  อย่าบอกว่าไม่เจตนา เจตนาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่เจตนาจะว่าไม่ออกหรอกจริงไหม (จริง)  แล้วคนส่วนใหญ่ชอบมาคิดว่าที่ว่าคนอื่นได้ มักคิดว่าตัวเองดีเลิศ ประเสริฐศรีใช่ไหม (ใช่)  ถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะว่าคนนั้นมันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แต่อาจารย์ถามจริงๆ คนที่เขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังดีไม่พอ เขาจะว่าใครไหม     (ไม่ว่า)  เขาจะวิพากษ์วิจารณ์ใครไหม (ไม่)  ถ้าเขารู้ตัวเองว่า จริงๆ แล้วตัวเองก็ยังไม่ได้ดีจริง เขาจะว่าใครไหม (ไม่ว่า)  เขารู้ว่าตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ที่เขานินทา เราเคยนินทาไหม (เคย)  ที่เขาทำผิด เราเคยทำผิดไหม (เคย)  ที่เขายักยอกของๆ คนอื่น ฉ้อฉล โกง ทุจริต เราไม่เคยโกงเลยหรือ (ไม่เคย)  ถามจริงๆ ตอนเด็กๆ ใครบ้างพูดได้เลยไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ (หยิบไม่บอก) หยิบไม่บอกเรียกว่าขโมย อย่าพูดว่าไม่ขโมย บางทีเห็นดอกไม้ข้างๆ ทาง เห็นไม่มีเจ้าของเด็ดมาดมเฉยเลย แล้วก็ถือกลับบ้าน อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมย สิ่งที่ไม่ควรมองเราก็ไปแอบมอง ไปแอบรู้ นั่นแหละเขาเรียกว่าขโมย อย่าบอกว่าตัวเองไม่ขโมย ฉะนั้นถ้าเราตรวจสอบจริงๆ เราจะไม่เห็นใจ คนไม่ดีหรือ เราจะว่าคนไม่ดีได้หรือ เพราะตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นเมื่อตัวเองดีไม่พอ จึงพยามยามทำดีเพื่อไม่ทำชั่ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่พยายามยกว่าตัวเองว่าดี จริงๆ นั้นดีไหม (ไม่ดี)  แล้วคนที่ว่าคนอื่นไม่ดี ตัวเองดีไหม (ไม่ดี)  แล้วตอนนี้ตัวเองดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ดีไหม ดีหรือยัง ตัวเองดีไหม ไหนใครกล้าบอกว่าตัวเองไม่ดียกมือขึ้น (นักเรียนทั้งห้องยกมือ)
อาจารย์ทั้งดีใจและเสียใจ เพราะไม่ดีเต็มห้องเลย แต่อีกอันหนึ่งก็ดีใจว่า คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี  คนนั้นแหละพร้อมจะเป็นคนดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นมาคุยต่อ สิ่งที่อยากคุยคือ จุดประสงค์ใหญ่ในการศึกษาธรรมนอกจากเรารู้จักทำบุญเป็นคนดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ศึกษาธรรมเพื่อจะได้ทำให้เรารู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ และไม่ต้องทำให้เราทุกข์กับโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามให้ศิษย์ตอบแล้วมีรางวัลให้ แต่รางวัลนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า กินแล้วทุกข์เหลือเกิน กินแล้วเจ็บจี๊ด เข้าไปถึงใจ เอาไหม (เอา)  นี่แหละสาเหตุหนึ่งของความทุกข์  รู้แล้วว่ามีแล้วทุกข์ ก็อยากมี รู้ว่ามีแล้วว่าเจ็บจิ๊ด ไปถึงใจก็อยากเอา จริงไหม (จริง)  สามีแต่ก่อนมีไหม    (ไม่มี)  ก่อนเคยมีไหม (ไม่มี)  แล้วมีไหม เป็นอย่างไรล่ะ เจ็บจิ๊ดไหม ทุกข์ไหม เอาไหม เอาไปแล้วถอนตัวไม่ได้ รอแต่เพียงเขาไม่เอาเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุอย่างแรกที่มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนหนีไม่พ้นทุกข์ก็คือ หนูอยู่ในโลกคนเดียวไม่เป็น อยู่ว่างๆ ไม่ได้ แล้วจะได้รู้ว่าขึ้นสวรรค์แล้วลงนรกอย่างไร ถูกไหม (ถูก)  ไม่ต้องถามผู้หญิงถามผู้ชายก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าสวรรค์นั้นอยู่ตรงไหน ก็ลองมีสักคนหนึ่ง บุญพาวาสนาส่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอยู่นานไปนานมา กรรมอะไรของฉัน
สิ่งแรกที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ก็คือ ความไม่พอใจกับความไม่มี ไม่พอใจกับความว่างเปล่า ไม่พอใจกับความโดดเดี่ยว ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า โดดเดี่ยว และไม่มี ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามหาแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องวางมันลง มีมันแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้และเข้าใจ แล้วก็ต้องวางลงให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องเจ็บก็คือ (เรา)  คนที่ต้องเจ็บและต้องทุกข์ก็คือคนที่พยายามอยากจะเอา อยากจะมี และอยากจะยึดให้มากที่สุด แล้วผลสุดท้ายถึงเวลา ศิษย์ก็แบกมันไปไม่เคยได้ เราต้องอยู่กับคำว่า (ว่างเปล่า)  ใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์ถามนะศิษย์ ถ้าไม่มีแล้วอยากมีจนมันเจ็บ แล้วค่อยเรียนรู้การวางให้ได้ หรือไม่ต้องมีก็อยู่ได้ หรือมีแต่อยู่ให้ได้วางให้เป็น (อยู่ให้ได้วางให้เป็น)  แต่ละคนเจอไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงได้ถามศิษย์ว่า เมื่อศิษย์จะเลือกดำเนินชีวิต มีอะไรบ้างในโลก มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยเจ็บ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยผิดพลาด (ไม่มี)  มีแล้วไม่ต้องพลัดพรากสูญเสีย (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้ามันไม่มีศิษย์อยากจะเจอมันอีกไหม    ในตัวของเราก็หนีไม่พ้นแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาอีกตัวหนึ่งดีไหม (ดี)  แน่ใจหรือ ถ้าอยากจะมีอีกตัว ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้ทุกข์อีกรอบหนึ่ง เจ็บอีกรอบหนึ่ง เหนื่อยอีกรอบหนึ่ง ช้ำอีกรอบหนึ่ง เสียใจอีกรอบหนึ่ง แล้วมันใช่รอบเดียวไหม (ไม่ใช่)  มันอาจจะมารอบแล้วรอบเล่า เมื่อไรจะหมดกรรมต่อกันสักที มันอาจจะมาแล้วมาอีก อาจารย์จึงบอกว่าหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรมคือ อยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  เหมือนเวลาลูกบอลมันมา  ถ้ามันมาแล้วมันเจ็บ  เอาไม่เอา  (ไม่เอา)  แล้วเวลาเมื่อมันมาแล้วมันทุกข์ รับไม่รับ (ไม่รับ)  แต่ชีวิตจริงรับแล้วเอาใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม ที่มนุษย์บอกว่าเขาจะทำอะไร แย่ขนาดไหน มันไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเลย มันจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เขาจะทำอะไร เขาจะแย่ขนาดไหน ฉันไม่เคยเอาเขามาใส่ใจฉันเลย ฉันจะทุกข์ไหม      (ไม่ทุกข์)  นั่นแหละทำได้ไหมถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วมันทุกข์ รับมันมาแล้วมันเจ็บ มีแล้ว คิดแล้ว มันก็ช้ำ แล้วทำไมโง่เอามันมา สู้เอาไป (ทิ้ง)  ไม่ต้องทิ้งหรอก เดี๋ยวเขาก็ไปตามทางของเขา โลกใบนี้ไม่เขาจากเราไป เราก็จากเขาไป ฉะนั้นเหตุการณ์จบแล้วเราควรวางมันจากใจดีไหม เหมือนที่อาจารย์บอก สิ่งที่เขาทำออกจากปากเราเรียกว่าขี้ปาก ออกจากตาของเราก็เรียกว่าขี้ตา สิ่งที่เขาทำแล้วมันก็เหมือนขี้ แล้วเราจะเก็บขี้มาไว้ในใจไหม (ไม่เก็บ)  แล้วเราเผลอเอาขี้มาเล่นไหม (ไม่)  ทำไมเขาด่าหนู ทำไมเขาว่าหนู ทำไมเขาทำแบบนี้กับหนู แล้วเราก็เอาขี้ไปแบ่งให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ามันทุกข์ อย่าใส่ใจ ถ้ามันเจ็บ อย่าเก็บไว้ในใจ เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ เราเกิดมาเพื่อเห็นทุกข์ แต่ไม่ต้องเอาทุกข์มาทำร้ายใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมะสอนให้เราแค่รู้แต่ไม่ต้องไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่คิดอยากจะเอา ยากไหม (ไม่ยาก)
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาท ทำนองเพลงเธอเป็นแฟนฉันแล้ว)
ดูสิมีใครจะร้องเพลงได้บ้าง เพลงนี้อาจารย์ให้ประจำชั้นนักเรียนชั้นนี้นะ นิสัยขี้ตู่เราชอบเป็นไหม เราเป็นคนขี้ตู่ไหม เห็นเขายิ้ม คิดไปเองว่าเขาต้องชอบฉันแน่เลย เคยเป็นไหม เห็นเขาส่งตาหวาน   คิดไปเองว่าเขามีใจให้ฉัน เราเป็นแบบนั้นไหม มันขี้ตู่ชัดๆ เลย ถูกไหม คิดไปเองว่าเขาเป็นแฟนเรา แล้วค่อยมาถามว่า แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ ใช่ไหม ศิษย์ก็เป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์ในโลกก็เพราะเราขี้ตู่ชอบไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา ถูกหรือไม่ อาจารย์ถามจริงๆ สังขารนี้ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมหลงได้หลงดี ถึงเวลามันก็กลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติแล้วเราหลงมันไหม (ไม่หลง)
อาจารย์ถามจริงๆ  ศิษย์รักเป็นศิษย์ขี้ตู่ไหม เงินมาจากธรรมชาติไหม เสื้อผ้ามาจากธรรมชาติไหม (ใช่)  เราทุกข์เพราะเรารักธรรมชาติใช่ไหม แต่ถึงที่สุดเราเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราต้องงกไหม (ไม่)  แล้วผลสุดท้ายเราต้องทุกข์เพราะความงก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังงกอีกไหม ยอมรับมาตรงๆ  ฉะนั้นเราเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งต้องคืนธรรมชาติ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์เป็นห่วงนะ อยากหลังตรงอยากแข็งแรง ก็ต้องนั่งหลังตรง พออาจารย์พูดก็นั่งตรง แล้วศิษย์ในนี้ทุกข์เพราะอะไรอยากให้อาจารย์ช่วยแก้ บอกมา ศิษย์รู้ไหม ถ้าเรารู้เราเห็นทุกข์ ถ้าเราไม่ยึดมั่นกับทุกข์เราก็จะพบทางออกของทุกข์ ถ้าเราสามารถอยู่ในโลกเราเห็นทุกข์ชัดแล้วไม่ยึดมั่นกับความทุกข์ เราจะเห็นทางของความพ้นทุกข์ เมื่อเราทุกข์ เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน จากที่คิดว่าทำไมต้องทำกับฉัน เปลี่ยนเป็นไม่เป็นไร อยากเอาไปก็เอาไปเลย จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จะต้องรู้จักเปลี่ยนความคิด ถ้าคิดแบบนี้แล้วมันเจ็บ ทำไมไม่เปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง ถ้ามองเห็นชัดแล้วพบทางออก ทำไมไม่ปล่อยวางแล้วมองให้ชัด ทุกข์อะไร ถ้าอยากพ้นทุกข์จะยังยืนยันเอาความคิดของตัวเอง หรือจะยอมรับความจริง ห้ามแก่ เจ็บ ตาย ห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกข์ไหม แก่ เจ็บ ใจก็สู้ไม่ถอยนะ แปลว่าอย่างน้อยชีวิตนี้ตายแล้วไม่อายฟ้า ไม่อายดิน ไม่ผิดต่อผู้คน ไม่เห็นต้องกลัวตายเลยใช่ไหม แต่ถ้าทำแล้วยังอายฟ้า อายดิน ไม่ถูกกับผู้คน อย่าเพิ่งตายเดี๋ยวจะตกนรก ใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบอาจารย์อยากได้แอปเปิลเพิ่มความทุกข์เอาไหม ในเมื่อตัวเองมีปัญญาแล้ว แม้เจอทุกข์ก็จงแปลทุกข์ ให้ใช้เป็นทางพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่  ศิษย์มีปัญญาอย่าดูเบาปัญญาคนอื่น ชีวิตไม่ใช่อาจารย์กำหนด ไม่ใช่ใครกำหนด แต่เรากำหนดตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกแอปเปิลกินแล้วทุกข์ แต่ถ้าศิษย์จะมีสุขก็เป็นเรื่องของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  กลัวไหมกับแอปเปิลทุกข์ (ไม่กลัว, ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วคราวนี้จะปล่อยไหม ทำให้เต็มที่ก่อน ถ้าทำเต็มที่แล้วเราก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ ถ้ายังไม่เต็มที่อย่าเพิ่งปล่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราไม่รับผิดชอบ (ทุกข์เพราะยึดติด)  แล้วคราวนี้จะยังยึดติดอีกไหม ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เรายึดติดได้ ยิ่งยึดติดปัญญาก็ไม่เกิด ทุกข์ก็จะเจ็บ เวลายึดติดมากๆ หันกลับมามองที่มือ เมื่อไรที่มือมันยึดนั่นคือมือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ชีวิตคือสิ่งที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ ถ้ายึดมันก็คือป่วย มันก็คือทุกข์ มันก็คือเจ็บจริงไหม (จริง, ทุกข์เพราะคิดมาก)  คิดแล้วได้อะไร คิดแล้วดีขึ้นไหม   สู้แปลความคิดเป็นกล้ารับความจริงดีกว่าไหม แล้วบางทีคิดไปก็กลายเป็นแช่งคนรอบข้าง ถ้าเกิดจะคิด สมมติลูกไปรบ ลูกไปทำงาน ลูกขับรถออกไป ก็ขอให้เขาปลอดภัย คิดแบบนี้ดีกว่า แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับให้ไหว
(ทุกข์เพราะความเป็นห่วง)  ห่วงไปมันไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นสู้อวยพรให้เขาปลอดภัยดีกว่า มองในแง่ดีมันก็ทำให้เขาไปดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่คนแล้ว รู้ใช่ไหม พ่อแม่คือสิ่งที่เป็นพุทธะบนบ้าน ถ้าพุทธะคิดว่าลูกจะรอดไหมๆ ลูกไม่รอดแน่ มีใครจะตอบอีก ตอบว่า (เมื่อเวลาเป็นทุกข์ทำไมถึงวางยากจัง)  ตกลงถามหรือตอบอาจารย์ (ถามอาจารย์)  ถามว่าทำไมวางยาก วางยากเพราะว่าใจเราไม่ยอมปล่อย ใจเราไม่กล้ารับความจริง  ถ้าใจเรากล้ารับความจริง มันจะไม่ต้องวาง ทุกสิ่งมันเกิดมาจากจิตทุกขณะ จริงไหม เหมือนเขาว่าเราจบหรือยัง ถ้าจบแล้ว เรื่องที่เราทำจบหรือยัง จบแล้ว เราแก้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  สิ่งที่ทำได้คือ สู้กับความเป็นจริง ยังไม่ต้องปล่อย แค่สู้กับความจริงให้ได้ เปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็นหัวใจที่สู้ แล้วจะไม่ทุกข์ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว ล้มได้ก็ลุกขึ้นมาได้ ผิดได้ก็ต้องแก้ใหม่ได้
ฉะนั้นเมื่อไรจะเลิกบุหรี่ (ทุกข์เพราะระแวง)  ระแวงไม่ดีนะ สู้ระวังตัวเองดีกว่า เพราะระแวงมันอยู่กับใครก็ไม่มีความสุข อยู่กับแฟนก็ไม่มีความสุข ขอเพียงแค่เราทำดีพร้อม เขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ ศิษย์จำไว้นะ ทุกสิ่งในโลกนี้ ถ้ามันเป็นของเราอย่างไรมันก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ได้เป็นของเรา อย่างไรมันก็ต้องไป จริงไหม (จริง)  แล้วจะไปรั้งทำไมให้เจ็บ แล้วจะไประแวงทำไมให้ทุกข์ อยากไปไปเลย ถูกไหม (ถูก)  เพราะถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่)  เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่)  เขาไปกับเราไหม (ไม่ไป)  อย่ารักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง
(ยังไม่มีเรื่องก็ทุกข์แล้ว)  ยังไม่มีเรื่องก็คิดไปแล้ว  เอ๊ะ! มันจะมีเรื่องไหม ศิษย์เป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นต่อไป (ทำให้ดีที่สุด)  ทำให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุด และกล้าที่จะสู้กับความจริง ธรรมะสอนให้เรามีภูมิคุ้มกัน ยอมรับความจริงให้ได้นะ
(ทุกข์เพราะอยากครอบครอง)  ฉะนั้นลองหันไปดูมือ เราครอบครองอะไรได้ เรายึดอะไรได้ ถึงที่สุดเราก็มาตัวเปล่า แล้วก็ไปตัวเปล่า ฉะนั้นไม่เคยมีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงนะ
(ห่วงลูกห่วงหลาน)  แก้ไม่ได้นะสิ่งนี้ อย่างที่อาจารย์บอกว่า ห่วงได้ แต่ห่วงอย่างให้กำลังใจ ห่วงอย่างเข้าใจ และห่วงอย่างรัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ารักเขาเต็มที่ดูแลเขาเต็มที่ ถึงเวลาศิษย์ต้องยอมรับ คนทุกคนมีหนทาง ศิษย์ไปห่วงเขาตลอดไม่ได้ ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป จริงไหม (จริง)  เข้มแข็งนะ 
(ทุกข์เพราะมีความห่วง)  อายุปูนนี้แล้วก็ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว ห่วงตัวเองดีกว่า เพราะเขาไปถึงไหนแล้วไม่เคยกลับมาดูแลเราเลยใช่ไหม (อยากได้)  ศิษย์เอยไม่มีใครในโลกที่มีความอยากแล้วไม่อยากทำผิดมีน้อยมาก แล้วพยายามอยากน้อยที่สุดเพื่อให้ไม่ผิดเลยก็ไม่มี ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรพอใจในสิ่งที่มีบ้าง ไม่อย่างนั้นความอยากจะทำให้เราเจ็บ แล้วก็เจ็บ ฉะนั้นรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
(ไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วตอนนี้รู้จักปล่อยได้หรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิด ดับอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องพยายามไปปล่อยมันหรอก พอถึงเวลามันก็ต้องไปตามทางของมัน ขอเพียงเราเข้าใจหลักของความเป็นจริง เราไม่ต้องพยายามบังคับใจให้ปล่อย แต่มันจะตื่นรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เกิดมันก็จบอยู่ทุกขณะ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
(คำพูดคน)  คำพูดคนก็เหมือนขี้ปาก ใช่ไหม เก็บมาก็เหมือนเก็บขี้มาไว้ในตัว แล้วเอามาคิดก็เหมือนเล่นขี้ แล้วเอาไปเล่าคนอื่นก็เอาขี้ไปป้ายคนอื่นอีกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยังสนขี้ปากคนอีกไหม (ไม่สน)  แต่บางทีก็เอามาพิจารณาเขาพูดจริงไหม พูดจริงเราก็เอามาแก้ไข พูดไม่จริงก็ปล่อยมันไป อย่าเก็บขี้เอาไว้ในใจ (กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง)
(กลัวในสิ่งที่มาไม่ถึง)  อายุเท่าไหร่แล้วศิษย์ ตัวใหญ่ๆ  กลัวอะไร กลัวแพ้ พ่าย ผิด แต่อาจารย์ถามหน่อยคนในโลกใครไม่แพ้ ไม่พ่าย ไม่ผิด (ไม่มี)  เมื่อรู้ว่าไม่มี จงเข้มแข็งเมื่อยามแพ้ จงมุ่งมั่นเมื่อยามเจ็บ และจงอดทนเมื่อยามทุกข์ท้อ ดีหรือไม่ (ดี)  อายุเท่าไหร่แล้วเรา
มีใครตอบอีก (คิดมาก)  แล้วคิดดีไหม ความคิดมันง่ายที่จะไหลลงต่ำ ง่ายที่จะฟุ้งซ่าน คิดร้ายมากกว่าคิดดี ฉะนั้นเวลาความคิดมา จงใช้สติ สติจะดึงความคิดมาสู่ความเป็นกลาง และมองเห็นความจริง ฉะนั้นเราคิดมีสติ เวลาคิดได้มีสติ เวลาแย่มีสติ ทำให้ได้นะ
(จะถามอาจารย์หนูมีความทุกข์มากเลยแต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าหนูอยากมาอบรมมาเรียนให้ครบทั้ง 3 วันแต่พรุ่งนี้หนูมาไม่ได้เพราะมีความจำเป็น หนูจะถามอาจารย์ว่าถ้าหนูสะสมไว้ 2 วันแล้วค่อยไปอบรมใหม่อีกวันเป็น 3 วันได้ไหม ทุกข์มากเลยอาจารย์)  เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ต้องทุกข์ๆ เดี๋ยวคราวหน้ามีอบรมอีก มาซ้ำอีกรอบ รับรองยิ่งจำแม่นแน่นอนเลย ไม่ทุกข์ด้วย ดีไหม (ดี)  ยิ่งฟังยิ่งได้ปัญญาแม้จะเข้าใจไม่เข้าใจแต่ปัญญาธรรมสั่งสมไว้ สักวันหนึ่งมันจะปิ๊งออกมาทันทีเลย ฉะนั้นอย่ากลัวการฟังธรรมะนะ ไม่ต้องทุกข์ ดีใจออกได้ฟังอีกรอบหนึ่ง ไม่เป็นไร คราวหน้ามีโอกาสก็มาให้ครบนะ ได้ไหม (ได้)  ได้ตอบไหม (แต่ว่าต้องเป็นวันหยุดอีก)  อ่อ ตกลงว่ามันเป็นปัญหาของอาจารย์ใช่ไหมนี่ ว่าอาจารย์จะยอมให้เขาจบหรือไม่ยอมให้เขาจบใช่ไหม มันต้องมีสักครั้งหนึ่งนะที่มันจะครบทั้ง 3 วันและเป็นวันหยุด เอานะไม่ลองดูจะรู้หรือ ใช่ไหม แล้วถ้าสู้ไม่ถอยมีหรือเขาจะไม่ยอมให้จบ ใช่ไหม ไม่ต้องทุกข์ศิษย์เอ๋ย เรื่องเล็กๆ
(ยอมให้คนอื่นเก่งบ้าง)  แต่มันทำได้ไหม บางครั้งสิ่งที่ดีก็คือเราต้องให้โอกาสคนได้เก่งบ้างอย่าเก่งคนเดียว เก่งคนเดียวมันเหนื่อยให้คนอื่นเก่งแล้วเรายอมไม่เก่งบ้างนั่นแหละเราจึงอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ใช่ไหม  ตั้งใจดีก็ดีแล้ว
(อยากปลดห่วงแต่ปลดไม่ได้)  เมื่อปลดไม่ได้ก็ต้องอยู่กับสิ่งที่มีให้เข้าใจ คนบางคนมีร้ายมากกว่าดีหรือคนบางคนมีร้ายแค่หนึ่งแต่มีดีเป็นร้อยมันอยู่ที่ศิษย์จะเห็นร้ายแล้วจ้องจับผิดหรือจะเอาความดีมากลบความร้าย ใช่ไหม แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลอีก ถ้าเรายอมรับนะ
เราทุกข์เพราะว่าอะไรหรือ มีความสุขดีอยู่กันสองคนไม่ค่อยทุกข์อะไร ใช่ไหม (ลูกอยู่กรุงเทพฯหมด)  ไม่ค่อยทุกข์อะไรใช่ไหม ฉะนั้นโชคดีฉะนั้นเลยไม่อยาก
ศิษย์ไม่มีทุกข์อะไรใช่ไหม ดีแล้วนะ ยินดีด้วย เขาบอกเขามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร โชคดีนะ ใช่ไหม หันมายิ้มหน่อยนะศิษย์ ฉะนั้นศิษย์พูดว่ามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร ไม่เคยทุกข์อะไร ใช่ไหม (อยู่กันสองคน คนหนึ่ง 81 อีกคน 80)  นี่ 80 นะนี่ แข็งแรงดี สบายดี ใช่ไหม (ลูกสามคน)  ถ้าวันหนึ่งต้องสูญเสียก็จงยังสุขอยู่นะ เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ
(เราพูดแล้วลูกไม่เชื่อฟัง)  เราพูดรู้เรื่องไหม เราพูดแต่สิ่งที่เราคิด แล้วเราเคยฟังที่ลูกเป็นบ้างไหม ฉะนั้นถ้าอยากไม่มีปัญหากับลูก ลูกจะเป็นอย่างไรไม่ต้องเรียกร้อง บอกกับลูกว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก แต่ขออย่างเดียวลูกโตแล้วนะถึงเวลาแม่ก็เลี้ยงดูลูกไม่ไหวแล้ว
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เพราะความคิดความรู้ เพราะคิดว่าตัวเองรู้และเข้าใจ แต่จริงๆ บางทีอาจจะไม่รู้และไม่เข้าใจ ฉะนั้นต้องรู้จักเปิดใจกว้างบ้าง และรับฟังเรื่องราวของคนให้มากๆ
(ทุกข์กับคนรอบข้าง)  ถ้ามีเพียงคนเดียวที่ศิษย์พูดกับเขาแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ความผิดเรา แต่ถ้าทุกคน ศิษย์พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง แบบนี้ความผิดศิษย์แล้วนะ เราต้องถามตัวเราเองว่าเราเคยฟังใครบ้างไหม ทุกคนมีแนวความคิดของตัวเอง ทุกคนมีทางเดินของตัวเอง ขอแค่เพียงเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร
(ทุกข์เพราะยึดติดความผิดของตนเอง)  ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์อย่ามัวจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เราต้องกล้าที่จะมองความจริงที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ถ้ากล้ายอมรับเราก็ไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า
(ทุกข์เพราะไม่เป็นตัวของตัวเอง)  เลียนแบบคนอื่นไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น ค้นหาตัวเองให้เจอและรักษาความดีของตัวเองให้ได้ เป็นหญิงจำคำพูดของอาจารย์ไว้ อย่าทำตัวเป็นของสาธารณะ
(ทุกข์เพราะว่าเป็นห่วงแม่)  เราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ดูแลตัวเองให้เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด แบบนี้แม่ก็หายห่วง ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมสบายดี ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมรักแม่ ผมคิดถึงแม่ แค่นี้ก็ดีแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีให้เข้มแข็งให้รอดปลอดภัย
(ทุกข์เพราะเป็นห่วงลูก)  ถึงเวลาต้องปล่อยเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
(ทุกข์เพราะการกระทำ)  ทำอะไรไปไม่คิด ใจร้อน เอาแต่ใจ วิ่งไปหาความรัก จนลืมรักตัวเองใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะ รักตัวเองให้มาก อย่ารักคนอื่นจนทำร้ายตัวเองเข้าใจไหมสาวๆ
(ทุกข์เพราะครอบครัว)  ทุกข์เพราะครอบครัวใช่ไหม แล้วทำอย่างไร แก้อะไรไม่ได้ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เข้มแข็งอดทนรักษาความดีไว้เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(อยากให้ลูกมาบำเพ็ญด้วย)  อยากให้ลูกมาบำเพ็ญ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำตัวเองให้ถูกต้องดีงาม แล้วเขาจะเดินตามมาโดยที่เราไม่ต้องเรียกหรือบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ทำตัวเราให้กว้างที่สุด ให้เย็นที่สุด ให้นิ่งที่สุด ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง รับเขาให้ได้มากที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงพระโอวาท)
อยากได้รางวัลไหม (ไม่อยากได้)  ศิษย์ยังไม่ได้อะไร เขาได้แล้วอาจารย์ไม่ให้นะ เอาไหม (ไม่เอา)  เอานะ ชีวิตจะได้รู้จักทุกข์เป็นอย่างไร
ในเนื้อเพลงอาจารย์ถามคำถามนะ เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น ศิษย์ว่า เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น คือเสียงของอะไร ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (สติ)  เพราะสติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียงถูกไหม (ถูก)  ถ้าเรานิ่งฟังจะเตือนเราให้พบทางออกว่า อย่าใจร้อน ใจเย็นๆ เป็นเสียงที่รอเราฟังอยู่ เมื่อไรที่เราเจอปัญหาจงนิ่ง แล้วสติจะมา เมื่อสติมาปัญญาจะเกิด อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่าน เพราะเสียงที่บ่นอยู่คือเสียงของความคิดที่ไม่รับความจริง แต่สติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียง จะบอกเราว่าหยุดเถอะ พอแล้วมองความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงเวลาต้องรู้จักมีสตินะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอะไรอย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่
ตอนนี้มีใครอยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม สักครู่อาจารย์เล่นเกมส่งแอปเปิลดีกว่า แอปเปิลไปตกที่ใครต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)  เพราะอย่างไรเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ทุกข์ดีกว่าทำให้ตัวเองทุกข์นะดีไหม
(นักเรียนในชั้นขอกอดพระอาจารย์)  ทำไมหรือ (คิดถึงพ่อ)  เข้มแข็งๆ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทำให้ดี ตอนไปแล้วมาเสียใจ มันน่าตีไหม ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามถูกต้องเพื่อเป็นบุญกุศลให้กับพ่อแม่ที่ล่วงลับ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม โดยเปลี่ยนจากแอปเปิลเป็นสับปะรด)
อาจารย์ถามคำถามเดียวอะไรที่ทำให้ทุกข์บ่อยที่สุด ไม่ต้องส่งสับปะรดก็ตอบเลยนะ (ใจ)  แน่ใจนะ เพราะทำอะไรก็เอาแต่อารมณ์  จริงๆ แล้วในทุกข์มีทางพ้นทุกข์ผู้มีปัญญาย่อมพบทางออกในความทุกข์ ดั่งที่เขาเรียกว่ากิเลสมาปัญญาเกิด วางดาบพลันก็พลันเห็นพุทธะ ฉะนั้นอย่ากลัวการตอบอาจารย์ เพราะอาจารย์อยากร่วมบุญกับศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)  อาจารย์ดีใจและปลื้มใจที่คนทางใต้น่ารัก และมีใจใฝ่ธรรมะ และมีใจอุทิศเสียสละ และมีใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะหวั่นไหวอะไรไปบ้างก็ตาม หลักสำคัญในการศึกษาธรรม คือเรียนรู้เข้าใจความทุกข์ และอยู่กับทุกข์อย่างคนไม่ทุกข์ เพราะชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์  และสาเหตุเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นทุกข์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วถึงที่สุด แม้ตัวเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ
เรารู้ว่าเนื้อตัวเรายึดไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าบำเพ็ญแล้วไม่ยึด ไม่เผลอหลงยึดตัวเองไปสร้างวิบากกรรม สิ่งแรกก็คือหมั่นทำอะไรโดยใช้คุณธรรมเป็นหลัก อย่าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ เพราะถ้าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ หนีไม่พ้นกรรมชั่ว แต่ถ้าทำอะไรปฏิบัติกับใครด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเห็นใจ ด้วยธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะตัวเองชอบ เพราะตัวเองคิดแบบนี้ เพราะตัวเองอยากได้แบบนี้ ผลสุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่บำเพ็ญธรรมสอนให้เราถือคุณธรรมเป็นหลัก เพื่อยับยั้งการหลงยึดมั่นถือมั่นและเผลอตามใจตัวเอง   ฉะนั้นปฏิบัติกับเขาเคารพไหม     ปฏิบัติกับเขาเมตตาไหม ปฏิบัติกับเขาจริงใจไหม ปฏิบัติกับเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ถ้าปฏิบัติกับเขาทุกวันมีแต่ให้ธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม    แต่ถ้าทุกวันศิษย์อยากกินอะไร ชอบอะไร อยากได้อะไร จะทำอะไร ทุกวันที่ได้ก็คืออัตตาตัวตน ซึ่งทำให้เราไม่สามารถกลับคืนสู่สภาวะธรรมได้ แต่กลายเป็นว่าเรายึดติดตัวตนใช่ไหม อาจารย์ถามว่า เรากินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยงาม ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เพื่อกลับคืนสู่ธรรม หรือเพื่อเป็นตัวของตน ถ้ากลับคืนสู่ธรรมทุกขณะเราต้องมีธรรม แบบนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมเป็นทาน แต่ถ้าทุกขณะ ฉันอยากได้แบบนี้ ฉันเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ทำไมเขาพูดแบบนั้น ทำไมเขาพูดแบบนี้ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว ถึงที่สุดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นยิ่งศิษย์ยังไม่ได้กินเจด้วย บางคนกรรมก็ไม่ถูกตัด กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็สร้างอีก แล้วแบบนี้จะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แล้วเรียกอาจารย์ช่วยได้ไหม เพราะตัวศิษย์เองยังไม่คิดช่วยตัวเอง ยังตามใจลิ้น กินแล้วสร้างบาป กินแล้วเกี่ยวกรรม อยากกินอีกเหรอ ละได้ก็ต้องละ บาปที่ตัดได้ง่ายที่สุดคือบาปที่ละออกจากปาก ไม่เอาภัยเข้าสู่ตัว และไม่เอาภัยออกจากปาก ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญไปให้ถึง เราต้องละวางตัวตนและถือธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าใจเราเย็นอยู่ที่ไหนก็เย็น ถ้าใจเราร้อนแม้อยู่ที่เย็นก็ร้อน ใช่ไหม ฉะนั้นขอให้ทำอะไรไตร่ตรองในธรรมให้หนัก ถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือนิสัยตนเป็นอารมณ์เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบคำว่า ธรรมของตน ฉะนั้นปฏิบัติกับใครถือธรรมเป็นหลัก เมตตาไว้ จริงใจไว้ ให้เกียรติเคารพไว้ มีธรรมไว้ ซื่อตรงไว้ ไม่ใช่เรื่องยากถูกไหม (ถูก)  แต่ตามใจตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองมีแต่ทุกข์และมีแต่กรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง รักษาความดีงามในใจของตนให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์อยู่ในโลก แต่ไม่ทุกข์กับโลก อยู่ในโลกไม่ทุกข์เพราะคำพูดคน อยู่ในโลกไม่เจ็บเพราะการกระทำของคน แต่เข้าใจความเป็นจริง ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หน้าที่เราจะไปแก้ไข สิ่งที่เราทำได้คือรักษาจิตให้ปกติและดีงามมีธรรมอยู่เสมอเท่านั้นเป็นพอใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากโอบกอดศิษย์ทุกคน อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคน มุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าล้า อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ใจตัวเองนะได้ไหม (ได้)  ให้ได้จริงๆ นะ มีโอกาสกลับมาศึกษา เรียนรู้ เข้าใจตัวเองให้มากๆ นะศิษย์ได้ไหม เข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ก้าวหน้า เดินทางธรรมให้ถึงที่สุดนะได้ไหม (ได้)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันตื้นตันใจไปหมด แค่เห็นศิษย์กลับมาก็ดีใจแล้ว แต่จะดีใจมากกว่านี้ ถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่างคนดีแท้จริง มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างคนมีธรรมแท้จริงใช่ไหม (ใช่)
ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์หรอกนะ อาจารย์รอวันศิษย์เดินได้และปฏิบัติได้จริง และกลับไปหาอาจารย์อย่างคนที่ทำถึงธรรม ทำเข้าถึงธรรมนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  พระอาจารย์ไปแล้วนะ รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ อย่าเป็นเด็กดื้อของอาจารย์ เข้มแข็ง นำพาคนให้ได้ด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สู้ไม่ถอยนะ
ใครที่ตอบแล้ว นั่งลงก็ได้นะ ใครที่ยังไม่ตอบ ยืนตอบอาจารย์ใช่ไหม อะไรที่ทำให้เราทุกข์  ความดื้อหรือเปล่านะ (ความคิด)  ตอบได้ดีนะ ฉะนั้นถ้าคิดแล้วคิดไม่ถูก จงใช้สติยั้งคิด (ความไม่มีสติ ใช้แต่อารมณ์)  อายุเท่านี้แล้วนะ ต้องอารมณ์เย็นขึ้น ใจเย็นขึ้น ใช้ธรรมกำกับความคิดนะ                  (ไม่รักดี)  ชอบดื้อใช่ไหม (จิตใจ)  จิตใจเป็นอย่างไร ใจร้ายมากกว่าใจดี (ใจร้าย)  จริงหรือ คนแบบนี้ใจร้ายไหมศิษย์ ดูไม่ร้ายนะ ใจดีออกใช่หรือไม่ ฉะนั้นพยายามใจดี อย่าใจนักเลง แล้วรู้จักมีศีลมีธรรมได้ไหม (ได้)  อายุเท่านี้แล้วโรคภัยก็เยอะแล้วนะ ไม่รักตัวเองหรือ อยากตกนรกไหม (ไม่)  กลัวตายไหม (กลัว)  แล้วทำดีหรือยัง (ทำ)  ทำอะไร ศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  ศีลห้ายังไม่ครบเลย
(มีสติทุกขณะที่คิด พูด ทำ)  รู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พอแล้วนะศิษย์ อะไรที่มันผิดรีบแก้ไขก่อนที่มันจะก่อภัยก่อทุกข์ อาจารย์เตือนได้แค่นี้นะ
(ใครร้ายร้ายตอบ ใครแรงมาแรงตอบ)  เจ๊งแน่ๆ นะศิษย์ ต่อไปยอมได้ยอมนะศิษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชีวิตมันจะสั้นจริงไหม (จริง)
(สติความคิด)  ทุกข์เพราะการกระทำของตนที่ไม่มีสติยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ชอบกินเหล้า ชอบดูดบุหรี่ ชอบไปดูแข่งนก ชอบดูชนวัว ใช่ไหม (ใช่)  ควรทำอีกไหม (ไม่)  ควรเข้าวัดเข้าวาบ้างนะ อายุปูนนี้แล้ว อบายมุขนำไปสู่นรก เปรตและเดรัจฉานนะศิษย์  มีลมหายใจจงเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องก่อนที่หมดลมหายใจแล้วแก้อะไรไม่ได้นะศิษย์
(ดื้อ)  ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ขี้เกียจ ต่อไปต้องขยัน กล้ารับผิดชอบ อย่าอู้ มีน้ำใจช่วยเหลือพ่อแม่ พูดดังๆ ว่าผมจะ (ขยัน)  และจะรัก (พ่อ แม่)  ดังๆ  เรื่องดีเราต้องกล้า เรื่องไม่ดี เราต้องหด ต้องทำให้ได้นะ วาจาบางทีก็ไม่สำคัญเท่าการกระทำนะศิษย์
(การมีทิฐิมานะของตน, ไม่รู้)  รู้ก็ทุกข์ ไม่รู้ก็ทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่รู้คนอื่นไม่เป็นไร ขอให้ศิษย์รู้และเท่าทันใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสอารมณ์ แล้วต่อไปนี้ อย่ามองแต่ตัวเอง ถ้าสงสารตัวเองมาก เราจะไม่สงสารใคร ถ้าคิดถึงตัวเองมากเราจะลืมคิดถึงคนอื่น มีเราได้ทุกวันนี้ ก็จะต้องมีอีกคนที่เหนื่อยเพราะเรา ฉะนั้นอย่าลืมคนที่เขาห่วงเรา รักคนที่เขารักเราด้วย อย่ามัวแต่รักตัวเอง
(อารมณ์ร้อน)  ถ้าอย่างนั้นใจเย็นนะ (พูดไม่ค่อยคิด)  ตอบได้ดี
รู้จักมีความสุขตลอดยิ้มได้ในทุกเรื่อง ทุกข์มันก็ไม่มี จริงไหม
(ทุกข์เพราะว่าโลภ โกรธ หลง)  โลภ โกรธ หลงยังตัดไม่ได้สักทีนะ อายุเท่านี้แล้วนะ โลภยังตัดไม่ได้ ยังโลภอยู่อีกหรือ ยังโกรธอยู่อีกหรือ หลงหลาน โมโหหลาน แล้วก็โกรธหลาน ช่างเขาเราดูแลก็พอ อย่าไปทุกข์ใจเลย ทุกข์ใจก็เปล่าประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงเองเลย เขาจะได้ไม่ด่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปทุกข์ ทำให้ดีที่สุดเพราะว่าสุดมือแล้วเราก็ควบคุมอะไรไม่ได้ จริงไหม เราเปลี่ยนโลกให้เป็นดั่งใจไม่ได้ เปลี่ยนคนให้เป็นดั่งคิดไม่ได้ ขอแค่เพียงตัวเราทำตัวเองให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรเราห้ามไม่ได้ จริงไหม
(อยู่คนเดียว)  อดไม่ได้ที่ฟุ้งซ่าน เหงาไหม ไม่เหงาใช่ไหม อาจารย์อุตส่าห์ดีใจนึกว่าอยู่คนเดียวนี่คือไม่เหงาแล้วอยู่คนเดียวได้ ศิษย์เอ๋ย ถึงที่สุดศิษย์ไม่เคยพลัดพราก ศิษย์ไม่เคยมีคู่ เวลาคนที่เขามีคู่แล้วเขาพลัดพรากมันเจ็บ แล้วการที่เคยอยู่กับคู่มาตลอดแล้ววันหนึ่งต้องอยู่คนเดียวไม่มีคู่ อาจารย์ไม่เคยเห็นใครเข้มแข็งสักที แต่ศิษย์เข้มแข็งได้ ขอแค่เพียงยอมรับ อย่าฟุ้งซ่าน เมื่อไรที่ฟุ้งซ่านจงมองด้วยสติ อยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี อยู่มาตั้งสี่สิบปี ทำไมอยู่ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจำเป็นจะต้องมีหรือ ไม่มีฉันจะอยู่ให้ได้ ฟุ้งซ่านเมื่อไร สวดมนต์ ฟุ้งซ่านเมื่อไรไปทำบุญใส่บาตร ฟุ้งซ่านเมื่อไรนั่งสมาธิ มันอยากฟุ้งๆ ไปแต่ฉันจะสงบ ฉันจะเด็ดเดี่ยว ทำให้ได้นะ
(เป็นห่วงลูก)  ศิษย์เอ๋ย คนเป็นลูกนี่ทำไมไม่ทำตัวให้น่ารักนะ แต่อาจารย์ถามจริงๆ อยากให้ลูกเป็นดังใจ หรือยอมรับให้ลูกเป็นอย่างที่เขาเป็นอย่างไหนสุขกว่ากัน เห็นเขาดีกว่าไม่เห็นเขา ถ้าแม่เอาแต่บ่น แม่เอาแต่ว่า ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาหนีไปเราก็ช้ำใจ ฉะนั้นรับให้ได้ลูกจะเป็นอย่างไรบอกคำเดียวว่าแม่ก็รักหนูตลอด ไม่ว่าหนูจะถูกจะผิดแม่ก็รัก ไม่ต้องบ่นไม่มีประโยชน์ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะเด็กดื้อเหลือเกิน ถ้าพูดถึงคนโบราณจะกล่าวไว้ว่า ตำแหน่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีคุณธรรมบารมีถึงพร้อม แต่ถ้าคุณธรรมบารมีไม่ถึงพร้อมก็ไม่สามารถเป็นจ้าคนนายคนได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอยู่ที่ตัวเรา แล้วถ้าเขาเป็นเจ้าคนนายคนแล้วเขาโดนกดดัน โดนด่า โดนยัดเยียด ถึงตอนนั้นศิษย์จะบอกว่าให้เขาเป็นคนธรรมดาพอแล้ว
(ชอบคิดกังวล)  ถ้าทำให้ดีที่สุดทำไมต้องคิดกังวล ทำเต็มที่ที่สุดทำไมต้องหวาดกลัว เต็มที่หรือยัง ใช่หรือไม่ (ทุกข์เพราะเป็นห่วงแม่)  ตัวเองดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเราเข้มแข็งเราก็มีแรงดูแลแม่ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้มแข็งเรายอมแพ้เราบ่น แม่ก็เฉาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอแค่เพียงมุ่งมั่นเข้มเเข็งสิ่งที่ดีเราก็ช่วยแม่แล้ว (ไม่ทุกข์เพราะพยายามมีศีลประจำใจ)  ยุงมา เราไม่ตบ เราแค่ขยี้เฉยๆ คนมีศีลประจำใจ ความเมตตาจะทำให้เรามีอายุยืน (ทุกข์เพราะคิดมากสับสน)  เมื่อวานศิษย์พี่นาจาเมตตาว่าความคิดง่ายที่จะไหลลงที่ต่ำมากกว่าขึ้นสูง คิดร้ายง่ายกว่าคิดดี ใช่หรือไม่
(อยากให้แม่แข็งแรง)  ชีวิตนี้หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ และความตายใช่ไหม ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำให้ดีที่สุด เราห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ แต่ขอให้มีปัญญาสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ด้วยการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องมีธรรม แม้ตายก็ไม่น่ากลัว แม้เจ็บก็ไม่ใช่เรื่องที่โหดร้าย แต่ทำให้เรารู้จักปลดปลงสังขารลงได้ด้วยการไม่ยึดติด และกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เราจากมา แต่การยึดมั่นถือมั่นและการห่วงอันนั้นห่วงอันนี้ คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้วางไม่ลง นั่นคือการนำพาให้ตัวเองทุกข์ และเวียนว่ายในกรรมที่เราสร้างร่วมกับผู้คน
(สติมาปัญญาเกิด)  สติเตลิด (จะเกิดปัญหา)  ฉะนั้นขอให้ทำอะไรมีสติ ศิษย์เอ๋ย ปัญหา ความทุกข์ ความผิดพลาด ทำให้เรารู้จักตน สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้มแข็ง สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ แต่เมื่อเจอปัญหา เราจึงได้เห็นชัดว่า เราไม่เคยเข้มแข็ง เราไม่เคยรู้ และเราไม่เคยเข้าใจอะไรจริงๆ
ฉะนั้นมนุษย์กลัวปัญหา กลัวความผิด กลัวความทุกข์ แต่พุทธะไม่เคยกลัวปัญหา ไม่เคยกลัวความผิด ไม่เคยกลัวความทุกข์ เพราะปัญหา ความผิด และความทุกข์ ทำให้เรามองเห็นใจเราชัดเจนขึ้น ว่าจริงๆ เราเข้มแข็ง หรือจริงๆ เราไม่ได้เข้มแข็ง จริงๆ เรารู้หรือจริงๆ เราไม่รู้ เหมือนเราฟังธรรมเข้าใจว่า อดทน ให้อภัย มีเมตตา แต่ถึงเวลาอดทนไหม เมตตาไหม เข้าใจคนอื่นหรือไม่ ทำไม่ได้เลยต่างหาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองเอาไปศึกษาดูนะศิษย์ สิ่งที่อาจารย์ให้คือกลอนสามบทนี้ ถ้าเรามีบุญกันอยู่ เราคงได้เจอกันอีกดีไหม (ดี)  จำไว้นะศิษย์ อยู่ในโลกสร้างบุญ อย่าสร้างบาป อยู่กับใคร จงอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน อย่าอยู่อย่างมีบาปกรรมร่วมกันเลย  บุญ คือสิ่งที่ให้ไปแล้วทำให้จิตเบา จิตว่าง จิตโปร่ง จิตใส แต่ บาป คืออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่หนัก มีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บ แล้วศิษย์อยากอยู่กับคนบนโลกด้วยบุญหรือด้วยบาป (ด้วยบุญ)  แล้วเราให้บุญหรือเราให้บาป (ให้บุญ)  ถ้าให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวด ก็ให้บาป แต่ถ้าให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้ความซื่อตรง ให้ความเข้าใจ นั่นก็คือการให้บุญ ปฏิบัติธรรมเริ่มที่ตัวเรา เอาธรรมออกจากใจ เอาธรรมยื่นให้ผู้คน อยู่อย่างคนมีธรรมและให้ธรรม เราก็จะกลับคืนสู่ธรรมได้ แต่ถ้าอยู่อย่างคนมีอัตตาตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า นรก สวรรค์ และอบายภูมิ ถามตัวเองนะ วันนี้ที่เราทำพ้นเวียนว่ายตายเกิดไหม วันนี้ที่เราทำพ้นทุกข์มีธรรมหรือไม่ อย่าประมาทการดำเนินชีวิต ตายเกิดแล้วไม่จบ ถ้ายังยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ตายแล้วไม่มีวันหมด ถ้ายังมีกรรมและไม่ชำระสะสางให้สิ้นกรรม ฉะนั้นจงอยู่อย่างคนไม่สร้างกรรมใหม่ ใช้กรรมเก่าโดยการมีธรรม ไม่มีกรรม ปฏิบัติธรรมไม่สร้างกรรม แล้วทำอย่างไรล่ะ ก็แค่ทำด้วยธรรม อย่าทำด้วยอารมณ์ความเป็นตัวตน เพราะจะกลายเป็นกรรม ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดนะ
อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ถึงเวลาเป็นเรื่องปกตินะ มีพบก็มีพราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวันศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนไม่ขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เจ็บก็ไม่ต้องกลัว ตายก็ไม่เสียดาย เพราะเต็มที่ที่สุดแล้ว แล้วศิษย์ล่ะเต็มที่หรือยัง ดีแบบคนพ้นกรรมไหม หรือยังอยากเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าไม่อยากลองเอาธรรมที่อาจารย์พูดไปปฏิบัติ ยากไหม (ไม่ยาก)  ถือคุณธรรมเป็นหลัก ไม่ถือตัวเองเป็นหลัก ถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่ถืออารมณ์นิสัยเป็นหลัก ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด ได้ไหม (ได้)  ลองตรองดูสิ่งที่ทำ มีเมตตาไหม จริงใจไหม เห็นใจไหม รู้จักเข้าใจคนอื่นไหม ไม่ยากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งใจนะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงาม รู้คุณค่าของตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง รู้จักรักชีวิตตัวเองนะ ทำให้ได้นะ บุญรักษา ความดีนำพา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ รักษาบุญรักษาโอกาส ดูแลตัวเองให้ได้ เข้มแข็งให้เป็น อย่าดื้อดึง ทำให้ได้ อย่าดื้อมาก รู้จักรักตัวเอง อย่าหลงคำพูดคน จนลืมความมุ่งมั่นของตัวเอง ในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามนะ บุญรักษา นำพาให้ชีวิตร่มเย็น ลำบากไหม เมื่อยไหม เหนื่อยไหม รู้เรื่องหรือเปล่า กินผักนะ ชีวิตจะเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ชีวิตต้องมุ่งมั่นสู้ มีโอกาสมาฟังอีกนะ ได้ไหม อาจารย์ต้องให้กำลังใจอะไรอีกไหม ไม่ต้องแล้วใช่ไหม เจอเรื่องราวอะไร ขอให้ผ่านไปได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ รักษาความถูกต้องดีงามด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ด้วยความเป็นจริง ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผ่านให้ได้นะ
ต่อไปเดินหน้าสู้ ระวังคำพูด ศิษย์ก็คือคนสำคัญ แต่คำพูดเราก็สำคัญ อย่าให้คำพูดเราทำร้ายใคร ศิษย์ต้องเข้มแข็ง มุ่งมั่น เชื่อมั่น อย่ายอมแพ้ อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงอีก หนทางธรรมไม่ยาก สิ่งที่ยากคือหัวใจที่ชอบไม่ยอม หนทางธรรมไม่เคยยาก แต่ที่ยากคือหัวใจที่ดื้อรั้นและไม่ยอมฟังอะไรง่ายๆ อะไรจะเกิดก็เกิด ขอแค่เพียงเราเข้าใจและมองเห็นความเป็นจริง มุ่งมั่นแล้ว ไปให้ถึง ดีแล้วดีให้สุด อย่ายอมแพ้ ร่วมมือกันนำพากันให้ถูกทาง ไม่แข่งกัน ก้าวไปพร้อมกันได้ไหม แม้จะลำบากก็ฟันฝ่าให้ได้ แม้จะทุกข์ก็อย่าท้อ แม้จะล้าก็ไม่มีวันถอย เข้มแข็งได้จริงๆ ไหม มีโอกาสมาฟังธรรมให้เข้าใจ ศิษย์ล้วนมีบุญนะ อย่าดูเบาบุญของตัวเอง เดินหน้าแล้วไปให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยให้ความร้ายมาทำร้ายความดีในใจตนเอง ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ไม่ใช่หวั่นไหวอะไรนิดหน่อยก็ยอมแพ้แบบนี้ไม่ไหวนะ ไปให้ถึงที่สุดได้ด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินแก้ ความดีของตัวเองคืออะไร คือความมั่นใจและรู้คุณค่าของตัวเอง ศิษย์มีคุณค่าแต่ศิษย์ชอบดูเบาคุณค่าตัวเอง รู้จักรักตัวเองนะศิษย์ อย่าทำร้ายตัวเองในสิ่งที่ผิดเลย
เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วง เมื่อไรจะเข้มแข็งมุ่งมั่นแล้วทำให้อาจารย์มั่นใจว่าข้างหน้าอาจารย์ไม่ต้องห่วงศิษย์แล้ว ถามใจตัวเอง ถึงที่สุดหรือยัง ถ้ายังไม่ที่สุด ลงมือให้ที่สุด ถ้ายังไม่ที่สุด ทำให้ที่สุด
กลับแล้วนะ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามไปให้ถึงที่สุด เต็มกำลังที่สุดในชีวิตหนึ่งที่ศิษย์จะทำได้ แล้วศิษย์จะไม่มีวันเสียดายเลยที่เกิดมา แม้จะต้องตายไปในวันนี้ เชื่ออาจารย์เถิดนะ แล้วเราจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อกลับสู่ความเป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่นำพาไปสู่ความว่าง สงบ เย็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น   


          พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติมาปัญญาเกิด”
    รู้ผิดกล้าแก้ไขจึงก้าวหน้า              ปัญหาชี้ข้อบกพร่องให้ตนรู้
ทุกข์สอนให้ตนรู้ตนย้อนมองดู             ที่เข้าใจว่ารู้อาจห่างความจริง
คนรู้จริงไม่หยุดนิ่งการเรียนรู้              คนดีอยู่ที่ไหนพร้อมฝึกฝนยิ่ง
ธรรมงดงามหลงตนพลาดทุกข์ยิ่ง          มองตามจริงอย่าอิงเข้าข้างไป

    สติเรียกใจนิ่งตรอง                      ครองใจเป็นกลางลงได้
ใช้ธรรมกำราบหัวใจ         แจ้งในธรรมตามเป็นจริง


 แก้ไขเพลงพระโอวาทที่ท่านเสี่ยวผีเซียนถง เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมจินจง เมื่อวันที่ 16-18 มิถุนายน 2561    

จากเดิม  เมื่อยังไม่ถาม เจ้าลืมหรือเปล่า
แก้เป็น  เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน
ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา