แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อยู่ร่วมกัน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อยู่ร่วมกัน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2548

2548-10-22 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก



西元二00五年歲次乙酉九月二十日                             大衆恭求仙佛慈悲指示訓
  วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
                                                      สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

   คนทางใกล้ทางไกลล้วนมาถึง                      สำแดงซึ่งบุญสัมพันธ์พลันอยู่ร่วม
ศึกษาธรรมแลกเปลี่ยนกันด้วยสำรวม           ไม่หละหลวมด้วยจิตใจใฝ่ระวัง
               เราคือ
   องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา        ถามศิษย์น้องชายหญิงเกษมฤๅ  ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

   การเป็นคนต้องรู้จักใช้ชีวิต                            ถูกลิขิตด้วยกรรมเก่าแก้ไขได้
ด้วยสำนึกฝึกตนเปลี่ยนแปลงใจ                     ให้วุ่นวายกลายสงบรู้ควรทำ
ธรรมวิเศษใจคนต้องวิเศษด้วย                        ความสำรวยวิถีคนไร้คุณค่า
ต้องรู้จิตคิดอะไรตลอดเวลา                            ใช้ปัญญาพิจารณาคิดก่อนทำ
จงอย่าให้ความไม่รู้ทำจิตขุ่น                            หัดยืดหยุ่นในเวลาที่ผ่านยาก
ฝึกชีวิตดีงามด้วยความลำบาก                       อุปสรรคมากจึงรู้จักตัวตนจริง
สามวันนี้ศึกษาธรรมฟื้นฟูจิต                           ทุกคนต่างเคยทำผิดไม่แตกต่าง
แต่จะมีกี่คนหาแนวทาง                                    แก้ไขสร้างชีวิตใหม่ในชีวิตเดิม
ความเพลิดเพลินเจริญใจพาตกต่ำ                 ขอให้คลำทางสว่างอยู่ในจิต
ขอศิษย์น้องจิตใจอย่าได้ปิด                            ชั่ววูบคิดสวรรค์นรกต้องเลือกเอง
จงรักษาพุทธระเบียบให้เคร่งครัด                   แลวางจัดการวางตนเป็นดุจปราชญ์
สามวันนี้อย่าผ่านไปด้วยประมาท                  คนฉลาดรู้จักคิดรู้จักตรอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป                       ชาตินี้จงมาตั้งใจบำเพ็ญธรรม
อย่าปล่อยให้ความรู้มากเข้าครอบงำ            การปฏิบัติสำคัญกว่าการคิดเอง
               ฮวา  ฮวา  หยุด  จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน                                                                                          


วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระนาจา
   จงแข่งขันกับตนเองในทุกวัน                         เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้คงไว้
ยิ่งเสาะหายิ่งค้นพบพลังแห่งใจ                       ที่ไม่อาจหมดไฟตราบสิ้นลม
          เราคือ
   ศิษย์พี่นาจา                                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

   มีปัญหาอย่าเพิ่งออกความเห็น                   อย่าชอบเดากันเป็นเรื่องปกติ
คิดเป็นตุเป็นตะน่าตำหนิ                                 หนาวเย็นเยือกสัจจะที่ถูกเปลือย
ทำใจเย็นเป็นไม่อย่าคะนอง                             ใจอยู่นอกสมองหนักชีวาเหนื่อย
ชีวิตมีภยันตรายอยู่คิดอย่าเอื่อย                    สลัดเนือยฉลาดคนใจดีงาม
คนสบายใจเย็นย่อมแอบสำราญ                    ยึดถือมั่นเชื่อซ่อนภัยคุกคาม
วางตัวตนหัดจนไม่วู่วาม                                  ความเกร็งหามในจิตอวิชชางำ
รู้ซึ้งพอเหมาะสัมผัสเรื่องคน                            วาจาคนแรงอย่างนี้ใดถลำ                    
มือแน่นกำดีรู้ไม่กระทำ                                     ราบรื่นประจำหลังฝึกสิ่งที่กังวล
ข้อคิดเตือนใจไร้คนสนอง                                 ขาดมุมมองนี้พลังตรองสับสน
ปัญญาคู่รู้สรรค์สร้างเรียกตน                         ย้อนมองตนกี่ครั้งจึงเข้าใจ
มากู่ร้องคนในบำเพ็ญแกร่ง                             เพิ่งเช้าใหม่หมดแรงหรือไฉน
คนคิดได้ด้วยให้ความตั้งใจ                              สลัดความหมดใจหวังตนเอง
ทุกข์ใจเองใครไม่แบ่งกังวล                              เอื้อพวกตนกลับแข่งกันข่มเหง
นิสัยคิดไม่แก้แพ้ภัยเอง                                    ทะเลเพลงความทุกข์ก้องดวงใจ
                                                                                                                                                          ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทพระนาจาเมตตา

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นที่อยากจะฟังอาจารย์บรรยายธรรมพูดต่อหรือฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
อยากฟังเขาพูดก่อน แล้วค่อยฟังเราดีหรือเปล่า คนไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน ใครจะฟังเด็กตัวน้อยๆ กับผู้ใหญ่ตัวโตๆ  เห็นไหมว่านิดหน่อยก็ให้กำลังใจคนพูดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)   จริงๆ ถ้าเราคิดมากหน่อย เราเลือกทั้งสองคนเลย แต่ขอคนละเวลา  การเลือกของเราก็ไม่ทำร้ายจิตใจใครโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  ถ้าเราบอกเลือกเด็กดีกว่า ผู้ใหญ่ก็อาจจะน้อยใจได้  ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกัน เราต้องพยายาม คิดถึงอกเขาอกเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นท่านฟังมาครึ่งวันแล้ว รู้สึกเครียด รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเมื่อย แล้วก็รู้สึกเบื่อ ใช่ไหม แล้วหัวข้อต่อไปเป็นหัวข้อที่สำคัญ เราก็เลยมาขอคั่นรายการสักครู่ ได้ไหม (ได้)  เพื่อให้ท่านผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง แต่ว่าจะผ่อนคลาย แล้วสมองปลอดโปร่งได้ก็คือต้องเป็นอย่างไร (ออกกำลังกาย)  ทั้งที่รู้ว่าออกกำลังกายดี แต่บางทีความเคยชินของมนุษย์ก็ทำให้เราขี้เกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนเสนอความคิดแล้วว่าให้ออกกำลังกาย การปฏิบัติตามสิ่งที่คนอื่นบอกไม่ค่อยยาก  ถ้าสิ่งนั้นไม่ฝืนกับความรู้สึก แต่หากวันหนึ่งเราต้องทำอะไรที่ฝืนความรู้สึก ถ้าเรายอมทำจะมีความสุขได้ไหม อย่างเช่นเขามาด่าท่าน ให้ท่านโกรธ ถ้าท่านทำตามความโกรธในใจที่เกิดขึ้น ท่านจะทุกข์ไหม  บางครั้งจึงต้องฝืนกับความรู้สึกด้วยการไม่โกรธ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นอย่าคิดว่าการฝืนความรู้สึก หรือฝืนอารมณ์ตัวเองจะเป็นทุกข์เสมอไป บางทีอาจมีความสุขมากกว่าก็ได้  บางครั้งเราต้องฝืนอารมณ์ หรือความรู้สึกตัวเองบ้าง ถ้าทำได้บางทีมันก็ไม่ยาก  เหมือนนั่งตรงนี้ ฝืนความรู้สึกตัวเองไหม (ฝืน)  แต่ว่าพลังของมนุษย์นั้นเป็นพลังที่ไม่จำกัด บางทีถ้าเราพูดว่า “ทำไม่ได้” อย่างไรๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าเราพูดว่า “ฉันทำได้” ยากแค่ไหนบางทีเราก็ไปถึงได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านง่ายๆ ว่าสุขกับทุกข์ เกิดจากภายนอก หรือเกิดจากภายใน รอยยิ้มเสียงหัวเราะ หรือน้ำตา เกิดจากภายนอก หรือเกิดจากภายใน (ภายใน)  ถ้าวันนี้อารมณ์ดี ใครด่าเรา เราก็หัวเราะ แต่ถ้าวันนี้ออกจากบ้านมาอารมณ์มันแย่สุดๆ ใครชมอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก  นี่คือจากภายในสู่ภายนอก แต่ในทางกลับกันถ้าใจท่านปกติ ใครพูดดี เราก็รู้สึกยิ้ม ใครพูดร้ายเราก็รู้สึกไม่ดีไปนิดหนึ่ง ถ้าเดินไปอีกสี่ก้าวเขาด่าอีก ความรู้สึกก็แย่ลงไปอีก แล้วถ้าทั้งวันมีแต่ถูกด่าไม่ถูกชม อย่างไรก็ยิ้มไม่ขึ้น จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรามีพลังใจที่เหลือเฟือ เป็นพลังที่ไม่มีวันหดหาย สิบก้าวที่เดินไปก็โดนว่าทั้งสิบก้าว เดินไปอีกสิบก้าวก็คิดว่าถูกว่าอีก เราก็คิดว่าดีเหมือนกันมีคนช่วยชี้แนะฉันจะได้แก้ไข  มีกระจกที่เป็นคน ถ้าเดินไปทั้งวันเขายังว่าอีก “เออก็ดีเหมือนกันนะ คนเราที่เคยชมกันอยู่ก็อาจจะว่าก็ได้” แปลว่าความสุขหรือความทุกข์ รอยยิ้มหรือคราบน้ำตา ไม่ใช่เกิดจากภายนอกอย่างเดียวนะ แล้วไม่ใช่เกิดจากคนที่บังคับให้ท่านทุกข์ อยู่ที่ว่าเขาขุดหลุมแล้วเราจะกระโดดลงไป ให้เขาฝังแล้วกลบตายไหม ถ้าเขาว่าจนเราเจ็บปวด แต่ถ้าเรายืนอดทน ไม่กระโดดไม่สนใจ คนว่าจะตายก่อนจริงไหม คนๆ นี้ว่าอย่างไรก็ไม่บ่นเลย ไม่โกรธเลยยิ่งเรานิ่งมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้เขายิ่งเต้นมากเท่านั้น เรามีพลังใจที่ยิ่งใหญ่นะ จงเอาพลังใจนี้ไปคิดในทางที่ถูก แล้วทางที่ดีเราจะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขได้ แล้ววันนี้ท่านจะยอมขุดหลุมฝังตัวเองให้นั่งเมื่อยแล้วตายทั้งเป็นบนเก้าอี้ไหม เราเดินไปกับเพื่อน เราใส่เสื้อเก่าๆ เพื่อนใส่เสื้อใหม่ๆ  “เดินกับเขาอายจังเลย เขามีทองเราไม่มีทอง ทองเราเส้นเท่าขี้มดเลย” เรากำลังขุดหลุมฆ่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังคิดให้ตัวเองทุกข์เอง ฉะนั้นสุขกับทุกข์เกิดจากที่ใดกันแน่ สืบให้ถึงที่สุดแล้วดับมันที่ต้นเหตุ แล้วเราจะรู้ว่าความสุขกับความทุกข์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องที่ใครเป็นผู้กำหนด แต่เรากำหนดเองทั้งนั้น ใช่ไหม

“จงแข่งขันกับตนเองในทุกวัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้คงไว้”
 เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อเทิดทูนกับความสุขเพื่อสร้างสรรค์หรือทำลายตัวเอง เอาแบบไหน สร้างสรรค์ให้ตัวเองมีความสุขและคนรอบข้างมีความสุข หรือสร้างสิ่งที่มาเป็นเหตุทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่น
สังเกตไหมว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่ที่เวลาโกรธ ไม่พอใจ  หรือแค้น เพราะว่าเขามีความทุกข์แน่นอยู่ในอก ทำอย่างไรจะระบายให้คนตรงข้ามมันทุกข์ และรับรู้ว่า ฉันกำลังทุกข์ เพราะเธอนะ ทำฉันทุกข์ เพราะนายทำให้ฉันเจ็บ   ให้สังเกตตัวท่านว่าโมโห เพราะอะไร ทำไมถึงอยากพูดความโมโหออกไป ก็เพราะว่าเก็บไม่อยู่แล้ว ความทุกข์ต้องระบายออกไปใช่หรือไม่ อย่างแรกคือต้องยอมรับเขาทำให้เราโกรธ เขาทำให้เราเจ็บ บอกไปเลย  เราเจ็บแล้วกับสิ่งที่เขาทำ แต่ต่อไปนี้เราขอโทษ แล้วเราจะพยายามไม่ทำให้โกรธอีก  บางทีถ้าเรากล้ายอมรับ ตอนที่เขากำลังว่า เรายืดอกกล้ายอมรับเขาจะหยุดไหม แต่ถ้าเมื่อไรเรายิ่งแย้งเขา เขาก็ยิ่งตามรังควานเราไปสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าท่านจะรับรู้ว่าเขากำลังทุกข์เพราะท่าน บางครั้งท่านก็ต้องยอมรับ แบกรับความทุกข์ของเขาส่วนหนึ่ง เขาจะได้หยุด คนเราอยู่ในโลกมีสองแบบ แบบหนึ่งพยายามทำตัวเองเป็นคนขาว กับแบบหนึ่งแม้ขาวก็ยอมสกปรก ท่านจะยอมเป็นแบบไหน วันนี้สิ่งที่เรามาคุยกับท่านไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยนะ แต่เป็นเรื่องการดำรงชีวิตอยู่
 “ยิ่งเสาะหายิ่งค้นพบพลังแห่งใจ ที่ไม่อาจหมดไฟตราบสิ้นลม”
มนุษย์เรามีพลังใจที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราสู้ เราทำได้ ยิ่งลำบากมากแค่ไหนก็ไปถึง แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ไหวแล้ว แพ้แล้ว ยอมแล้ว แม้ใกล้แค่ตรงนี้เราก็ไปไม่ถึง จิตใจเราเป็นสิ่งสำคัญนะ เชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่พลังเรามีอยู่ และทำให้ดี ทำให้สำเร็จ
ยินดีต้อนรับเราไหม ถ้าไม่ยินดีเราจะได้กลับเลย เอาแค่นี้พอไหม น้อยๆแต่ได้คุณค่า ดีกว่ามากๆ แล้วฟังไม่รู้เรื่องเลย จะฟังกันอีกไหม หรือฟังกันแค่นี้พอแล้ว (เอาอีก) จะสนองกิเลสท่านดีหรือเปล่า (เป็นกิเลสที่ดี) เป็นกิเลสที่ดีหรือ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ เวลาเชื่อสายตาแล้วจะไม่ใช้ความคิด  เวลาเชื่อมั่นความคิดแล้วจะไม่เชื่อมั่นสายตา จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเห็นก็ต้องคิด  เวลาคิดก็ต้องเห็นด้วย   เกิดเป็นคนสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ รู้ไม่จริงอย่าทำพูดมาก  แล้วไม่รู้อย่าเดาส่ง  และอีกอันหนึ่งคือรู้แล้วอย่ายึดมั่นตายตัว  คนสามประเภทนี้ถ้าอยู่ที่ไหนก็พังที่นั่น สามารถปั้นน้ำให้เป็นตัวได้  และสามารถเอาความรู้ที่มีอยู่ทำร้ายผู้อื่นได้ จริงหรือไม่ (จริง) 
เมื่อยหรือยัง  บางทีเราก็ต้องทำอะไรที่ขัดความรู้สึกบ้าง เพราะชีวิตนี้อย่ายอมทำอะไรตามอารมณ์ประจำๆ  เรามีชีวิตอยู่เดินไปตามอารมณ์ตลอดเวลา จริงไหม (จริง)  อารมณ์อยากโทรหาคนที่เรารัก  อารมณ์ไม่อยากคุยแล้วก็วางหู  คนที่ทำอะไรตามอารมณ์นี้เหนื่อยไหม  เหนื่อยนะ  ยิ่งต้องวิ่งตามอารมณ์ แล้วยังเป็นทาสอารมณ์ให้ทันด้วย   ตอนนี้ไฟโกรธแล้วฉันก็ต้องโกรธ  ตอนนี้ให้หัวเราะแล้ว ฉันต้องหัวเราะ  ตอนนี้ให้ฉันร้องไห้แล้ว  ฉันต้องร้องไห้  เราเป็นทาสอารมณ์กันเกือบทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงที่สุดอารมณ์ก็หมดไป แต่ทำไมอารมณ์ที่วูบมาวูบไป จึงมีอิทธิพลต่อมนุษย์  ถ้าวันหนึ่งเกิดอารมณ์วูบมา เรากลับนิ่งเฉย  เรากลับสงบเย็นล่ะ ลำบากไหมที่จะฝืน  (ลำบาก)  การฝืนตัวเองเป็นเรื่องยาก   แต่ถ้าไม่ลองฝืนดูบ้างจะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่ได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเชื่อในพลังความสามารถของทุกท่านนะ ว่าทำได้ 
ความสุขมีแค่นิดเดียว อยู่ที่ว่าเราจะรอคนอื่นทำให้เราสุข หรือตัวเราจะมีแต่ความสุขแล้วเอาให้คนอื่น  เคยเห็นไหมที่คนอื่นทำให้เราสุข ทำให้เรายิ้มได้  แล้วถ้าวันไหนเราเป็นสุข ไปอยู่ที่ไหนก็ยิ้มให้คนอื่นดีไหม  ไม่ใช่อยู่ที่ไหนก็บอกให้คนอื่นไปไกลๆ  จงทำตัวเองให้มีความสุข  และเป็นความสุขที่สามารถไหลรินเอื้อเฟื้อผู้อื่นได้  คนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็เป็นที่ต้องการของทุกคน ใช่หรือไม่
คนที่เดาส่งๆ คนที่ชอบออกความเห็นทั้งที่ตนเองไม่รู้จริง  ผลสุดท้ายพอรู้ความจริง คนที่พูดไปโดยไม่มีข้อมูลพื้นฐานเลย คนนั้นก็หนาวเอง  เช่น ได้ยินมาว่าคนนั้นไม่ดี  เราก็เอาไปพูดต่อ พอถูกถามว่าแล้วไม่ดีอย่างไรล่ะ เราไม่รู้แต่กลัวเสียหน้าก็ตอบไปว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น  เคยเป็นไหม แล้วพอถึงเวลาจริงๆ เราก็ต้องตายเพราะคำพูดเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า การที่เราจะพูดอะไรกับใครสักคนหนึ่งก็ตาม หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ดีงาม แต่เขาไม่เห็นด้วย เขาไม่ชอบ คนที่ท่านเดินไปเตือน คนที่ท่านเดินไปบอก จากมิตรดีดีอยู่ก็อาจจะกลายเป็นศัตรู ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราพูดเราเตือนด้วยความดีความถูกต้อง เห็นใจ  แต่พูดๆ ไปแล้ว ถ้าเขาเข้าใจเห็นด้วยก็เสมอตัว  แต่ถ้าพูดไปมากเกิน พูดไปแล้วฟังแล้วไม่ดี เขาก็อาจจะเห็นท่านเป็นศัตรูทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเวลาเราจะกล่าววาจาอะไรออกไป ไม่ว่าจะเตือนด้วยความหวังดีหรือชี้แนะแนวทางอะไรก็ตาม ต้องรู้จักคิดให้ดีๆ นึกให้ดีๆ พูดไปแล้วอย่างมากสุดก็เสมอตัว อย่างนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่พูดเลยก็มีทั้งดีและไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะพูดอย่างไร พูดทำให้เขาเปิดใจกว้างๆ ดีกว่า  พูดหนึ่งอย่างแต่สามารถทำให้เขาคิดแตกเป็นสองเป็นสามเป็นสี่ได้ อย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือ พูดให้เขามีแง่คิด พูดให้เขาได้เปิดปัญญา ย่อมดีกว่าพูดแล้วชี้ชัดไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า พูดโดยนัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความหมายมากกว่านั้น เหมือนเช่นจะบอกคนนี้ ว่าถ้าอ้วนมากกว่านี้จะดูไม่สวย ขนาดนี้กำลังดี แต่เขากำลังกินอยู่ จะบอกเขาอย่างไร พูดให้เขาได้คิดว่าถ้าเขากินมากกว่านี้เดี๋ยวเขาจะอ้วนนะ เขาก็กินไอศกรีมไปถ้วยที่สองแล้ว แล้วก็กินเป็นถ้วยที่สาม พูดอย่างไรให้เขาได้คิด (ไอศกรีมทำให้อ้วน)  แต่ไม่ได้บอกเขาอ้วน ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าหู  เพราะเขากินถ้วยที่สองแล้ว เราช่วยกันเพราะเราอยู่ในโลกเราไม่พูดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ทานมากกว่านี้ไม่สวยนะครับ)  ฟังดูดีไหม สำนวนแบบนี้ต้องให้ผู้ชายพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้หญิงคิดไม่ค่อยออกใช่หรือไม่ (ใช่)  (หุ่นอย่างนี้ก็ดีแล้ว)  แต่เขาจะไม่หยุดกินไอศกรีมน่ะสิ 
โดยส่วนใหญ่มนุษย์พอพูดคำว่า “ไม่” จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  “หยุด” จะขยับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะบอกให้คนหยุดกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องยาก  ยิ่งถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งไม่ดี เราจะยืนเฉยๆ แล้วเป็นคนพูดไม่เป็นได้ไหม (ไม่ได้) แล้วยิ่งถ้าคนนั้นเป็นลูก เป็นสามี เป็นภรรยาเราล่ะ จะไม่พูดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะพูดอย่างไรล่ะ ทำให้เขารู้ว่าเราห่วงนะ อย่าทำเลย อย่างตอนนี้ถ้าคนนี้เป็นลูกท่าน คิดว่าทำอย่างไรให้เขาหยุดกินไอศกรีม (อ้วนแล้วนะเดี๋ยวไม่รักนะ)  เราว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นขนาดนี้กำลังดี ถ้ามากกว่านี้เดี๋ยวจะรักน้อยลงนะ น่าจะดีกว่านะ (กินมากเดี๋ยวจะไม่สบาย)  เป็นแบบผู้ใหญ่ห่วง ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ตอนนี้ดูสมบูรณ์ดีแล้ว อย่ากินเลย)  คิดให้ดีๆ นะ จะพูดอย่างไรให้คนเขาหยุด หยุดแล้วหยุดจริงๆ นะ ไม่ทำต่อ ฉะนั้นตอนพูดเราต้องคิดให้ดีๆ นะ (ไอศกรีมร้านนี้อร่อยดีนะ แต่จะต้องเสียเงินไปซื้อยาลดความอ้วน)  เราว่าเรามีเจ้าอื่นที่อร่อยกว่านี้ วันนี้อย่าเพิ่งกินพรุ่งนี้ค่อยไปกินกันใหม่ หยุดทันทีไหม แม้จะกินไม่หมดก็ยังหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะบอกว่าเก็บพุงไว้ก่อน ยังมีอีกเจ้าหนึ่งอร่อยกว่านี้อีก  พอไปถึงรถสตาร์ทไม่ติด เอาเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน พอถึงพรุ่งนี้รถเข้าอู่ไปแล้ว  ฉะนั้นปัญญาของมนุษย์มีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะพูดอย่างไรให้เขาหยุดในสิ่งที่เราไม่อยากให้เขาทำ  แต่จะพูดอย่างไร เป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้ธรรมะเรื่องการเห็นอกเห็นใจกัน ดีไหม (ดี)  แต่ก่อนจะพูดธรรมะเรื่องนั้น เรามาคุยกันต่อดีกว่าว่า ถ้าพูดให้เขาหยุดเป็นได้ ก็ต้องพูดให้เขาเดินต่อไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้คนที่เรารู้จักคนหนึ่งท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เราจะพูดอย่างไรให้เขาฮึดขึ้นสู้ เดินเข้าไปเตือนว่าไม่ต้องคิดมากคนที่แย่กว่าเราก็ยังมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  (เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเลย, คนเรามีเวลาตั้งเยอะเราสามารถทำอย่างอื่นได้)  เวลายังเหลืออยู่สามารถทำอย่างอื่นได้อีกวันนี้อย่าท้อเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าคิดได้นอกจากจะช่วยผู้อื่นแล้วยังช่วยตัวเองเวลาท้อใจได้ด้วย แล้วท่านจะทำอย่างไร  พูดอย่างไรแล้วโดนใจให้เขาลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (มีมืดเดี๋ยวก็มีสว่าง)  ง่ายๆ แต่ได้ใจความนะ แต่ตอนนี้มันมืดจะแย่แล้วไม่เห็นสว่างเลย (มันมีทุกข์ก็ต้องมีสุข, สิ่งที่ผ่านไปแล้วขอให้เป็นข้อคิดเตือนใจนะ)  อยู่ที่ว่าเราจะยื่นกำลังใจให้กับใครบ้างหรือเปล่า ตอนนี้เขาท้อแท้ หมดแรงจะทำอะไรแล้ว เราจะพูดอย่างไรให้เขาลุกขึ้นสู้ (สู้เพื่อชีวิตมีชีวิตเพื่อสู้, มีชีวิตอยู่ต้องสู้ต่อไป, หลังฝนตกฟ้าย่อมสดใสเสมอ)  ถามจริงๆ นะสิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดนี่ ทำให้คนที่ท้อแท้ลุกขึ้นมาได้จริงๆ ไหม (ไม่ต้องน้อยใจเวลาเราเกิดมาก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว, ทะเลยังมีคลื่น ชีวิตที่ราบรื่นย่อมมีอุปสรรค)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมถ้าเราคิด เราก็สามารถทำในสิ่งที่ดีงามได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ปัญหามีไว้ให้แก้อย่าไปท้อ)  ชีวิตไม่ใช่เป๊ปซี่บางครั้งอาจจะไม่ดีที่สุด  เวลาที่จะช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ บางทีจะต้องพยายามก้าวอยู่เหนือและมองให้เห็นมากกว่านั้น แล้วเราจะดึงเขาขึ้นมาจากความทุกข์ยากได้
ตอนแรกเราพูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า มนุษย์นั้นมีอยู่สองแบบ  แบบหนึ่งพยายามทำตัวเองให้ดี กับอีกแบบหนึ่งคือขาวแล้ว แต่กลับพยายามคลุกให้ตัวเองเป็นสีดำ  วันนี้สิ่งที่ท่านกำลังศึกษาบำเพ็ญ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านได้ยินมา ก็คือไปนั่งสมาธิวิปัสสนา แล้วทำจิตใจให้สงบเพื่อค้นหาความสว่างที่แท้จริง  ตามหลักธรรมเรียกว่าศึกษาแบบอรหันต์ ศึกษาแบบสำเร็จในตัวเองคนเดียว ทำตัวเองให้ขาวจนถึงที่สุด แต่วันนี้สิ่งที่ท่านกำลังศึกษาและบำเพ็ญก็คือ วิธีแห่งโพธิสัตว์ แม้ตัวเองจะขาวก็ยอมที่จะกระโดดลงไปในสิ่งที่สกปรก เพื่อควานหาสิ่งที่ดีไปฉุดช่วยเขา แม้ตัวเองยังขาวไม่พอก็ยอมกระโดดเข้าไปในความสกปรกเพื่อให้ตัวเองขาวให้ได้ท่ามกลางความสกปรก ท่านเคยได้ยินไหมว่าในหมู่ของคนทั้งหลาย ถ้ามีคนดีที่แท้จริง  คนที่ไม่ดีเมื่ออยู่ร่วมกับคนดี  สักวันย่อมสำนึกและอยากเจริญรอยตาม กับอีกแบบหนึ่งท่านเคยได้ยินไหมว่า  ในหมู่ของคนทั้งหลายใครๆ ก็เป็นคนดีทั้งหมด  แต่วันนี้มีคนบอกว่า ผมไม่ดี ผมชั่ว เอาความดำของตนเองเพื่อทำให้คนอื่นเป็นคนขาว เคยได้ยินไหม (เคย) คนบนโลกส่วนใหญ่จะเอาความขาวไปทำให้เขาเห็นความดำ  คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ  เธอดีแล้วเธอก็ดีไป เธอขาวแล้วเธอก็ขาวไป ฉันยังเลวอยู่  แต่ถ้าวันหนึ่ง เราเปลี่ยนเป็นเราไม่ดี เรามันเลว คุณดีแล้ว ดีจริงๆ นั่นก็คือยอมเป็นคนสีดำ เพื่อให้เขาเปลี่ยนเป็นสีขาว นี่คือการบำเพ็ญแบบโพธิสัตว์  การบำเพ็ญท่ามกลางสังคม แล้ววันนี้สิ่งที่ท่านมาศึกษาคือการศึกษาแบบโพธิสัตว์  ถ้าท่านไม่ถนัดแบบโพธิสัตว์ท่านก็เลือกแบบอรหันต์ สำเร็จด้วยตัวเองคนเดียว แต่วันนี้เรามาบอกให้ท่านรู้อีกทางหนึ่งคือ แม้ว่าเราจะยังไม่ดีพอ ในความไม่ดีของเรา เราก็ยังสามารถผลักดันให้คนอื่นกลายเป็นคนดีได้ด้วยจิตใจที่กล้ายอมรับ ซึ่งน้อยคนนักที่คนในสังคมจะยอมรับว่าตนเองเป็นคนไม่ดี  ฉันเป็นคนผิด ฉันเป็นคนเลว ไม่ค่อยมีนะ  วันนี้เราจะเป็นคนหนึ่งที่ยอมให้ตนเองดำเพื่อให้คนอื่นขาวเอาไหม (เอา) 
(นักเรียนคนหนึ่งถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เราจะบำเพ็ญทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กันได้ไหม)  ได้ แล้วแต่เป็นบางครั้ง เช่นในขณะที่อยู่บ้านเราก็ฝึกแบบอรหันต์ทำจิตใจให้สงบ  อย่าฟุ้งซ่าน หรือบางทีถ้าออกไปข้างนอก เจอคนก็วุ่นวายสับสนไปหมด เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถมีสมาธิอยู่ทุกขณะจิต  คุยกับใครก็มีสมาธิ เพราะเมื่อไรมีสมาธิก็เกิดปัญญา แล้วถ้าใจไม่นิ่งก็มองอะไรไม่เด่นชัด เหมือนน้ำที่ขุ่น ยิ่งแกว่ง มองอย่างไรก็ไม่เห็นตะกอนและไม่เห็นความใส
เราจะทำอย่างไรถึงจะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ เราเห็นใจคนอื่นจริงๆ ไหม แล้วเราเห็นตัวเองจนไม่เห็นใครหรือไม่  มนุษย์มีสองแบบ
1.      ถ้าไม่เห็นตัวเองมากเกินไป ก็เห็นผู้อื่นน้อยเกินไป
2.      ไม่เห็นผู้อื่นมากเกินมากเกินไป ก็เห็นตัวเองน้อยเกินไป
สองอย่างนี้ไม่ดีทั้งคู่ เห็นผู้อื่นมากเกินไปก็ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง  เห็นตนเองมากเกินไปก็ดูถูกคนอื่นอยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรจะเป็นตัวตรวจสอบว่าเราจะไม่เป็นแบบนั้น (มองโลกในแง่ดี, ทำตัวดีต่อเขา เขาก็จะทำดีต่อเรา, เอาใจเขามาใส่ใจเรา, ยิ้มแย้มแจ่มใสและทำดีกับเขา  ปรึกษาหารือ พูดคุยกัน, อ่อนน้อมถ่อมตน, ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน, ยอมรับและให้อภัยความผิดของผู้อื่นบ้าง)  คนประชุมธรรมสองวันตอบบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวจะได้ให้ผลไม้ (อ่อนน้อมถ่อมตน)  ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แม้จะคุยกับเด็กก็ต้องอ่อนน้อมไหวไหม (ไหว) ถ้าเรามีความสุขชีวิตชีวาสดใสก็ไม่ทำให้เดือดร้อนใครใช่หรือเปล่า (ยอมรับและให้อภัย) ยอมรับและให้อภัยความผิดของผู้อื่นบ้าง (รู้จักให้และแบ่งปัน) เป็นคนที่รู้จักให้และแบ่งปัน เดี๋ยวมีคนขอจะแบ่งไหม (แบ่ง) แบ่งนะ
ใครคิดออกก่อนเราจะเฉลย เป็นเรื่องพื้นๆ เองแต่บางทีเรามองข้ามไป ใช่หรือไม่ เรื่องที่เห็นอกเห็นใจและทำให้เราสามารถเข้าใจผู้อื่นได้และไม่มองข้ามหัวอกเขา ไม่ยาก อะไรล่ะ (ให้เขาก่อนก่อนที่เขาจะให้เรา) เราต้องให้เขาก่อน ก่อนที่เขาจะให้เรา แปลว่าให้เพื่อจะหวังให้เขาให้กลับคืน ให้จะให้ก็ให้ไปเลย อย่าว่าจะได้ตอบแทน (มองในสิ่งที่ดีของเขา) จงมองในส่วนที่ดี ส่วนที่ไม่ดีก็มองข้ามไป (การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่) การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ แม้เขาจะทำผิดเราก็ให้อภัย ไม่ใช่เฉพาะคนเป็นลูกหรือสามีเรา คนอื่นก็ได้นะ (ใช้พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา )  เคยไหมถึงเวลาอะไรก็เมตตา แต่ทำใจไม่ได้แล้ว  (สนใจและให้ความช่วยเหลือเขา) สนใจและช่วยเหลือเขา  เราบอกดีไหม อยากรู้ไหม  ถ้าเราเข้าใจและพยายามเห็นใจ เมื่อนั้นแหละความเข้าใจและความเห็นใจเป็นสิ่งที่ดีจะทำให้เราเปิดใจกว้าง เมื่อเราเปิดใจกว้างแล้วเขามีข้อคิดหรือมุมมองที่แตกต่างหรือเขาจะทำอะไรที่พิลึก เราก็พยายามเข้าใจและเห็นใจ ก็จะทำให้เราอยู่กับเขาได้นาน และเป็นรากฐานในการอยู่ร่วมกัน เวลาที่ท่านไม่สามารถเห็นอกเห็นใจเขาได้เพราะไม่เข้าใจ ทำไมเขาจึงทำอย่างนี้ (ถ้าสิ่งที่เขาทำเดือดร้อนคนอื่นมากๆ เราจะเห็นใจได้ไหม) ท่านเคยได้ยินบทของพระเยซูคริสต์พูดไหม มีอยู่บทหนึ่งบอกว่า มีหญิงโสเภณีอยู่คนหนึ่ง พอชาวบ้านรู้เข้าก็เอาหินปาเขากันหมด แต่พระเยซูคริสต์พูดบอกว่า คนที่จะตัดสินว่าเขาผิดได้ คนนั้นต้องไม่เคยผิดเลยทั้งชีวิต ถึงจะลงโทษเขาได้ หัวอกเดียวกัน ท่านเคยผิดไหม วันนี้ท่านโมโหแค่ตีลูก แต่คนอื่นเขาโมโหแล้วเขาฆ่า มันต่างอะไรกับคนวิ่งหนีสิบก้าวกับคนวิ่งหนีร้อยก้าว เอาจิตใจตรงนั้นไปเห็นใจเขา แล้วท่านจะช่วยเปลี่ยนคนร้ายให้กลายเป็นคนดีด้วยความเห็นใจและใจกว้างอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ต้องค่อยๆ สอนเขานะ ท่านต้องเหนื่อยกับคนนี้หน่อย และคนที่ท่านกำลังจะเปลี่ยนแปลงนี้ก็สามารถทดสอบใจท่านได้ทุกเวลา จริงไหม จำไว้นะเมื่อไรที่ท่านโกรธแล้วท่านแค่ฆ่ามดจนตาย แล้วคนอื่นโกรธแล้วฆ่าคนตายต่างกันไหม ผลก็คือเขาตายเหมือนกันจริงไหม ท่านด่าแล้วคนนี้เจ็บ แต่คนนี้ด่าแล้วคนทั้งโลกเจ็บปวดหมด ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราเปิดใจกว้างเท่าที่จะกว้างได้ เราจะเห็นอกเห็นใจทุกคน และเราจะโกรธใครไม่ลงเพราะเราก็เคยผิด เมื่อนั้นปัญญาเกิด เมื่อนั้นจิตเมตตาย่อมมี เรื่องยากไหม ฝึกความเข้าใจฝึกความเห็นใจ คนเราจะไม่เข้าใจจะไม่เห็นใจก็ต่อเมื่อยึดมั่นถือมั่นความคิดตัวเองอย่างตายตัว แม่ว่าหนึ่งก็ต้องหนึ่ง ลูกห้ามเป็นสองเป็นสามนะ แม่โกรธแม่รับไม่ได้ มันเป็นไปได้ไหม วันนี้อายุตอนสิบขวบคิดแบบนี้ไหม วันนี้ตอนอายุสามสิบคิดอีกอย่างหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับเด็กใช่หรือไม่
อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรา นั่นก็คือ จะเรียกให้คนอื่นเคารพเรา เราเคยเคารพคนที่สูงกว่าได้ดีหรือยัง จะเรียกให้ลูกกตัญญูรู้คุณเรา เรากตัญญูรู้คุณพ่อแม่ถึงที่สุดไหม นี่คือทำให้ได้ก่อนแล้วถึงเรียกคนอื่นทำ ถ้าตัวเองทำไม่ได้ดี ลูกหันมาถามแม่ “แล้วแบบไหนที่เรียกว่าดี” จริงไหม (จริง)  กับอีกแบบหนึ่งก็คือ ถามจริงๆ นะ ถ้าเด็กรู้จักคิดตั้งแต่แรกก็คงไม่ทำตัวให้น่ารังเกียจน่าอดสู ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเคยเห็นไหมคนบางคนอยู่ในโลกทำตัวน่ารังเกียจ ส่วนบางคนทำตัวได้น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมาจริงๆ ใช่หรือไม่ ส่วนคนบางคนทำตัวได้น่าสงสารจริงๆใช่หรือไม่ วันนี้เราเห็นท่านน่าเสียดายกับน่าสงสารจริงๆ นั่งฟังแล้วเหมือนหูซ้ายมันทะลุหูขวา  เราไม่ได้พยายามเอาความคิดเราไปใส่ความคิดท่านนะ แต่เรากำลังพูดเพื่อเปิดประตูแห่งความคิดให้ออกกว้าง ไม่ใช่จะพยายามยัดเยียดใส่อะไรเข้าไปในสมองท่านนะ แต่พูดเพื่อให้ท่านมองโลกกว้าง มีใจที่กว้างขึ้นอีก เพราะความคับแคบของใจเราหรือเปล่านะ ทำให้เรายอมคนบางคนไม่ได้
เพราะความคับแคบของใจหรือเปล่านะ จึงทำให้เราตัดสินคนผิดๆ ถูกๆ ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เหมือนท่านที่มาที่นี่ ถ้าในห้องปิดไฟหมดเลย (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ปิดไฟในห้องทั้งหมด) เป็นยังไง (มืด) ถ้าเข้ามาในบ้านหลังหนึ่งมันมืดไร้ความสว่าง อยู่ไหวไหม (ไม่ไหว) อยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าในห้องนั้นมันตีแคบขึ้นมาอีกอึดอัดไหม ในนี้มีร้อยกว่าคนแต่ห้องมีแค่หนึ่งตารางเมตร อยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไรถึงอยู่ไม่ได้ บ้านก็เหมือนใจ ใจก็เหมือนบ้าน ใจเราเป็นอย่างไร เคยมองใครสว่างบ้างไหม เคยมองใครแล้วสดใสไหม (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เปิดไฟในห้อง)  คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก แล้วเราเคยเป็นคนที่ทำตัวเองเป็นคนคับแคบไหม ใครอยู่ด้วยแล้วยิ้มไม่ออก อยู่แล้วก็อึดอัด เป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเขาได้ดี รับไม่ได้ใช่หรือไม่ จำไว้นะ ถ้าฟ้ายังให้เขามีชีวิตอยู่แปลว่าเขายังมีความดีที่พอจะแก้ไข ถ้าเขาชั่วแล้วฟ้าเก็บทันที ก็แปลว่าเขาถึงเวลาแห่งกรรมเขาแล้ว ใช่หรือไม่ มนุษย์ทุกคนเกิดมามีกรรมนะ แล้วกรรมมาจากไหน ถ้าไม่ตัวท่านเองเป็นคนกำหนด
ฉะนั้นการบำเพ็ญก็คือยอมฝืนความรู้สึกตัวเองบ้าง ลองคิดดูนะ มีลูกหนึ่งคนลูกอยากได้อะไรก็ตามใจตลอด ไม่เคยขัด เสียคนไหม แล้วตัวท่านล่ะเสียนิสัยไหม อยากกินก็กิน อยากไปไหนก็ไปในสิ่งที่ชอบ แต่เคยฝืนความรู้สึกไหม วันนี้กินน้อยหน่อยกินให้พอดี กินให้กลางๆ ไม่ให้กินแล้วเพราะจะอ้วน พูดน้อยๆหน่อย พูดมากแล้วสามีก็รำคาญ ลูกก็เบื่อ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรมก็คือย้อนมองตนเองแล้วทำในสิ่งที่ให้ไปแล้วเขามีความสุข ถ้าให้เขาแล้วไม่มีความสุข ก็อย่าไปให้ อย่างนั้นไม่ใช่เรียกคนบำเพ็ญใช่หรือไม่ และบางครั้งแม้ตนเองจะให้บทเรียนที่ตนเองเป็นคนผิดบ้างก็ต้องยอมให้ ลองให้เขาถูก เผื่อความถูกนั้นจะทำให้เขารู้จักสำนึกแก้ไขดีขึ้นใช่หรือไม่
เรารู้วันนี้ฟังมากๆ ท่านเบลอแล้วใช่ไหม อย่างนั้นวันนี้เราหยุดแค่ตรงนี้แม้เราจะยังพูดไม่จบแต่มีโอกาสแล้วเราค่อยมาคุยกันต่อดีไหม (ดี)  อย่างนั้นมีโอกาสท่านกลับมาศึกษาเพิ่มเติมเยอะๆ นะ เพราะวันนี้เรารู้ว่าสมองท่านมีจำกัดเหลือเกิน อัดอะไรมากๆ ต้องระเบิดแน่ๆ ใช่ไหม (ใช่) (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนออกมาสี่คนโดยให้เวลาหาไม้ที่มีค่ามากที่สุด)  เราให้เวลา 3 วินาที ให้ท่านไปหาให้ได้มากที่สุด มีอะไรก็ได้ที่มากที่สุด ไม้อะไรที่หาแล้วรู้สึกว่ามีค่ามากที่สุด หาที่นี่ ข้างล่าง ข้างนอก ข้างใน ก็ได้ แค่ภายใน 3 วินาที
อันนี้คือไม้กวาด อันนี้คือก้านธูป อันนี้ไม้ชี้ อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าสิ่งที่ท่านหาอยู่นี้ จงทำให้มีความสุข และทำให้เพื่อนในห้องนี้มีความสุขในสิ่งที่เราหามาได้ ลองคิดนะ ทำได้ไหม 
บางทีเราเกิดมา เราก็ต้องหาใช่ไหม แต่หามาจนถึงที่สุด บางทีอะไรคือความสุข เหมือนชีวิตต้องเรียนใช่หรือไม่ แต่เรียนแล้วอะไรคือความสุข รู้แต่ว่ามีหน้าที่ต้องเรียน รู้แต่ว่ามีหน้าที่ต้องหา ใช่หรือไม่ หาในสิ่งที่เราหา มักจะหาเฉพาะข้างนอกมากกว่าข้างใน
เสียดายยังพูดไม่หมด แต่คิดว่าถ้าพูดมากกว่านี้ บางคนก็อาจจะไม่ไหวแล้ว เอาไว้มีโอกาส เราค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกมากๆ กว่านี้ดีไหม (ดี)  แต่อยู่ที่ว่าท่านจะให้เวลากับตัวเองในการคิดหาหลักธรรมบ้างหรือเปล่า ธรรมะมีไว้เพื่อน้อมนำจิตใจตัวเอง ธรรมะมีไว้เพื่อตรวจสอบแก้ไขตัวเอง ไม่ให้ตัวเองนั้นเป็นคนที่หลงตน และธรรมะมีไว้เพื่อเกื้อหนุน ช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่ช่วยแต่ตนเองไม่ช่วยใคร และธรรมะมีไว้เพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดติด แม้ความคิดนั้นจะแตกต่างกัน แต่จงเปิดใจให้กว้าง พร้อมรับมุมมองที่แตกต่าง แล้วเราจะรักคนทุกคนได้ ไม่เกลียด ยินดีที่รับเขาเป็นอย่างนั้น ยินดีที่รู้ว่าเขาคือคนที่เราไว้ใจและพร้อมจะบอกความเป็นจริง แต่เพราะอะไรที่เขาไม่กล้าบอกเราเมื่อเขาทำผิด เพราะเรารับไม่ได้ หรือไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างไรถ้าพูดด้วยกันไม่ได้และก็ไม่เคยเข้าใจซึ่งกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
จงมีจิตใจที่เปิดกว้าง รับทุกๆ ผู้คน ไม่แบ่งเขา ไม่แบ่งเรา ไม่ถือว่านี่ลูกฉัน นี่ลูกเขา เข้าใจเขาทั้งลูกเขาและลูกฉัน มีจิตใจที่เที่ยงตรง ไม่ลำเอียง  สิ่งนี้พูดมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้นะ แต่ถึงเวลา ลูกฉันมาก่อน ลูกคนอื่นไว้ทีหลัง ใช่ไหม (ใช่)  ฉันสบายไว้ก่อน คนอื่นเหนื่อยไปเถอะ ได้ไหม (ไม่ได้) 
วันนี้แม้เราจะพูดไปมากมายขนาดไหน แต่ถ้าถึงเวลาท่านไม่เลือกที่จะทำ ก็เปล่าประโยชน์ที่นั่งฟังไป อย่าลืมนะ ทุกข์ สุข เกิดจากใจเราเองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภายนอกจะมีอิทธิพลหรือไม่ อยู่ที่เราจะลากไปกับความคิดที่เขากำลังใส่ให้หรือเปล่า ทำตัวเองให้ดีแล้วค่อยไปเรียกร้องผู้อื่น หรือทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องเรียกร้อง เดี๋ยวเขาก็ทำให้เราเอง เขาก็ทำตามเราเอง ถ้าความดีที่เราทำมันพิสูจน์ตัวของมันเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้คงต้องจากลาไปแล้ว ขอให้ท่านมีความสุขในการนั่งฟังธรรมะ ด้วยจิตใจที่กระตือรือร้นกระปรี้กระเปร่า ยิ่งฟังธรรม จิตใจยิ่งอิ่มเอิบในการฟังธรรม ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วมีแต่จิตใจหดหู่ อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำที่เราบอกได้นะ เป็นผู้บำเพ็ญธรรมทำอย่างไร จะบำเพ็ญโพธิสัตว์หรือบำเพ็ญอรหันต์ (โพธิสัตว์)  เข้าใจนะ ถึงเวลาเราคงต้องไปแล้ว ขอให้ท่านตั้งใจฟังนะ อย่าคิดว่าเรามาเล่นละครหลอกเลย วันนี้เรามาเปิดกุญแจแห่งความรู้ในหัวใจท่านให้กว้างยิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เข้มแข็งอดทนเรียบง่าย                       อ่อนน้อมจริงใจสุขุม
พูดจาปราศรัยรัดกุม                             ไม่บุ่มบ่ามทำอะไร
                 เราคือ
  จี้กงวิปลาส                             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนง่วงหรือเปล่า เหนื่อยหรือไม่
  ทุกคนต่างเป็นคนดี                            แต่ยิ่งนานปียิ่งเฉื่อย
อย่าปล่อยชีวิตเรื่อยเปื่อย                       เรื่อยเรื่อยแข่งกับตัวเอง
ความยากฝึกคนให้แกร่ง                       เปลี่ยนแปลงตนเองให้เก่ง
จงก้าวอย่างคนรีบเร่ง                            โดยอย่าเซ็งความเป็นตน
ทำในสิ่งที่ควรทำ                                 พูดซ้ำแต่ไม่ใช่บ่น
คิดได้แต่ใช่กังวล                                 อดทนไม่ใช่กล้ำกลืน
อย่าติดชีวิตหรูโก้                                  คนโง่ที่ฟังคนอื่น
จะฉลาดอย่างยั่งยืน                             ศิษย์ตื่นตอนนี้ยังทัน
                                                                                                                   ฮา ฮา หยุด

ว่าไงเจ้าความคิดหนีไม่พ้น เห็นต้องทนทุกข์อยู่ ว่าไม่ผิดเลยสักราย เข้าใจก็ยอมทำใจจริงจริงสักที เรื่องต้องเป็นไม่ฝืนไป
* ศิษย์จงรู้ รู้เท่าทันที่เป็นอยู่ ไม่มากไป ไม่น้อยไป อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความท้อ ไม่ปล่อยใจตามน้ำไป อยู่กับความคิดก็อย่าปล่อยให้ร้าย มีคนที่จริงใจ โลกจึงดูงดงาม
เพราะใจช่างอยู่เหนือที่ว่าไว้  เหนือด้วยกฎทุกกฎ ไม่อาจคาดหมายใด ถึงไงก็ยังเป็นใจตนเองมิวาย เข้าใจก็รู้วิธี (ซ้ำ *)

                                                                         ชื่อเพลง : เข้าใจก็รู้วิธี
ทำนองเพลง : ไม่แข่งยิ่งแพ้


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นั่งมาถึงครึ่งวัน  บ่ายวันที่สองแล้ว รู้สึกง่วงนอนไหม (ไม่ง่วง)  เวลากลางคืนปกตินอนหลับไหม (หลับ)  มนุษย์เป็นโรคกลางคืนไม่ยอมนอน กลางวันไม่ยอมตื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงเวลากินไม่ค่อยหิว หิวตอนไม่ใช่มื้ออาหาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เท่ากับว่าเราเป็นโรคประหลาดใช่หรือไม่ เป็นโรคประหลาด ต้องใช้ยาประหลาดรักษา ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เวลามองในกระจกจะเห็นคนที่ประหลาดที่สุดในโลกอยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่เข้าใจยากที่สุด คือใคร (ตัวเรา)  พูดถูกหรือเปล่า เมื่อเรารักษาตัวเองไม่ได้ ย่อมรักษาผู้อื่นไม่ได้ ถามจริงๆ ว่าเคยรู้สึกปรารถนาดีกับใครไหม (เคย)  แล้วคิดว่าเวลาเราปรารถนาดีแล้ว เขาฟังเราหรือไม่ (ไม่ฟัง)  เขาไม่ฟังเรา เพราะเรายังไม่หายประหลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องแก้ความประหลาดของตนให้หายก่อน
ฉะนั้นเวลาสองวันนี้ เรามานั่งฟัง สิ่งที่เราได้ฟังเป็นสิ่งที่ดีต่อเราหรือไม่ (ดี)  สิ่งที่ดีรู้แล้วต้องทำไหม (ทำ) สิ่งที่ดีรู้แล้วต้องปฏิบัติ ถามว่าเราปฏิบัติได้ไหม คิดว่ากลับไปแล้วทำหรือเปล่า (ทำ)  เปอร์เซ็นต์ทำมากกว่าหรือเปอร์เซ็นต์ทำน้อยกว่า เราคิดว่าเรากลับไปเราจะทำ แต่ส่วนใหญ่เรื่องดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตรู้ว่าดีแต่ทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะฉะนั้นศิษย์ยังเป็นคนประหลาดอยู่ เวลามีคนปรารถนาดีมาเตือนเรา เราก็มักจะตอบให้เขาเจ็บๆ ใช่หรือไม่ อย่างเช่นบอกว่า เธอยังทำไม่ได้เลย อย่างนี้คนอื่นฟังแล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  เวลามีคนมาตอบเรา เราเจ็บไหม (เจ็บ)  เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นคนที่หยุดประหลาดเสียที เราจะต้องรักษาจิตใจของเราเอง การรักษาจิตใจนี้จะเริ่มขึ้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเราตามหาหมอคนนี้ไม่พบ หมอคนนี้เป็นคนที่เรานั้นรู้จัก เป็นคนที่ดีที่สุด เป็นคนที่เก่งที่สุด เป็นคนที่เอาใจยากที่สุด คนๆ นี้เป็นใคร (ตัวเราเอง)  ถ้าหากว่าอาจารย์อยากจะให้ศิษย์รักษาตัวเอง ทำไมวันนี้ยังต้องให้ศิษย์นั้นมานั่งฟังธรรมะเพราะอะไร เพราะว่าส่วนใหญ่เรารู้แต่ทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูด ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ศิษย์ไม่รู้จัก แต่ให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงตนเองออกมาจากภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนแปลงนิสัยตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในเมื่อเราเป็นคนที่ไม่อยากจะฟังคนอื่นพูด แล้วถามว่าเราจะฟังตัวเองพูดไหม เราอาจจะฟังในสิ่งที่ตัวเองพูด แต่ยังไม่เคยพูดให้ตัวเองฟังเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เห็นมีแต่พูดเข้าข้างตัวเอง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการแก้ตัวเองนี่แก้ยากไหม การแก้ไขตัวเองนั้นเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก แต่ต้องทำหรือเปล่า (ต้องทำ)  ถามจริงๆ ว่าเราอยากได้ชื่อว่าเป็นคนดีไหม ถามว่าตอนนี้เราดีจริงๆ หรือเปล่า ไหนลองตอบตัวเองสิว่าตัวเองจริงๆ แล้วเป็นคนดีใช่ไหม คนอื่นชมเราได้ยินบ่อยๆ ถูกหรือเปล่า แต่เราชมตัวเองกี่หน ถ้าหากเปรียบแล้วการพูดชมตัวเองออกมาก็เหมือนปากที่ง้างไม่ขึ้นเลยทีเดียวใช่หรือไม่ เพราะว่าเรารู้ว่าจริงๆ แล้ว พูดดีออกไปแต่ใจเราดีไหม (ไม่ดี)  เราทำดีออกไป เราคิดดีอยู่หรือเปล่า บางทีเราทำไปเพราะหน้าที่ บางทีเราทำไปเพราะว่าเรานั้นอยู่ตามแวดล้อมด้วยคนดี หากเราทำไม่ดี เราก็จะเป็นคนที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไหนๆ ศิษย์ก็ต้องพูดดี ก็ต้องทำดี เพราะฉะนั้นก็ให้ศิษย์นั้นเป็นคนดีที่ออกมาจากข้างใน ดีหรือไม่ (ดี)  ทำยากไม่ยาก
คนดีเป็นอย่างไร ไหนบอกหน่อยสิ (ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน, ช่วยคนอื่น, พูดดี ทำดี คิดดี, ทำให้คนอื่นได้ดีด้วย, รู้จักกตัญญูบุญคุณคน, ทำให้คนอื่นพ้นทุกข์, ปากกับใจตรงกัน)  เท่าที่ฟังมานี่คำว่า “คนดี” คือการทำให้คนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการทำให้คนอื่นยากไหม ทำเพื่อคนอื่นที่เป็นคนในบ้านเรา ทำเพื่อคนอื่นที่เป็นญาติพี่น้องเรา  ทำเพื่อคนอื่นที่เป็นคนที่เราพบทุกวันแต่ไม่ใช่ญาติ ยากไหม ดังเช่นเพื่อนสนิทมิตรสหาย คนรู้จักมักจี่ คนที่เดินไปเดินมาที่เราไม่รู้จักเลย ยากไม่ยาก ลำดับความยากมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  การที่เราบอกว่า ทำให้ผู้อื่น คำว่า “ผู้อื่น”  เราวงเล็บไว้หรือเปล่าว่าเฉพาะพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีวงเล็บไว้ไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นคนดี คนดีที่ยิ่งใหญ่ คือการทำให้ผู้อื่นโดยไม่ต้องจำกัดคำว่า “ผู้อื่น”  ตรงนั้น นั่นคือใคร คนดีคือคนที่ทำให้สิ่งที่ดีให้ความดีนั้นๆ ตกแก่ผู้อื่น ไม่ใช่ตกแก่ตัวเอง ดังเช่น หากว่าพ่อแม่ตีลูก ถามว่าพ่อแม่โหดร้ายไหม พ่อแม่ตีลูกเพื่อให้ลูกได้ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  พ่อแม่กำลังทำสิ่งที่คนดีคนหนึ่งทำอยู่หรือเปล่า (ใช่)  กำลังทำหน้าที่ที่ถูกต้อง แม้บางทีวิธีการที่จะไปถึงในสิ่งนั้นๆ อาจจะดูแล้วเป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับคนมอง แต่อาจจะถูกต้องก็ได้ จริงหรือเปล่า
ส่วนเราเจอหน้าใครก็ไหว้ไปทั่วเลย รู้จักก็ไหว้ ไม่รู้จักก็ไหว้  ถามว่าทำอย่างนี้เราเป็นคนดีหรือเปล่า เราทำในสิ่งนี้เพื่อให้เขาเอ็นดูรักใคร่เรา ถูกหรือไม่  ถามว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า นั่นขึ้นอยู่กับว่าเราไหว้เขา เราหวังอะไรอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เจอใครอย่าไหว้ แต่กำลังพูดว่าเวลาที่เราทำอะไรสักเรื่องหนึ่ง เรามีผลประโยชน์อยู่ในนั้นหรือเปล่า เมื่อเรามีผลประโยชน์อยู่ในนั้น เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ก็มักจะสื่อถึงความดีและความไม่ดีของเราก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ (จริง) 
“เข็มแข็งอดทนเรียบง่าย” 
เรียบง่ายเป็นไหม (เป็น)  ถ้าหากว่าวันนี้ให้กินข้าวเปล่า มีซีอิ้วสักถ้วย ผัดผักไม่ใส่อะไรเลยจานหนึ่ง อยู่ได้ไหม (ได้)  ให้กินอย่างนี้ทุกวันๆ อยู่ได้ไหม ให้เราใส่เสื้อผ้าที่ไม่ต้องเน้นสีสัน ความสวยงาม อยู่บ้านมีทีวีแต่ไม่เปิด มีแอร์แต่ก็ไม่เปิด มีพัดลมแต่ก็ไม่อยากเปิด  มีเงินก็ไม่ค่อยเยอะแยะเท่าไร อย่างนี้ทำให้เราเป็นคนทะนงตนน้อยลง  ความเรียบง่ายคล้ายๆ คนจนหรือเปล่า (คล้าย)  บัณฑิตก็ใกล้เคียงคนจน เพราะฉะนั้น คนบนโลกแม้ว่าจะมีความร่ำรวยมากเพียงไร ส่วนใหญ่ก็เรียบง่ายไม่ได้ มีคุณธรรมไม่สูงส่ง
ฉะนั้นการที่จะเป็นคนๆ หนึ่งที่จะเป็นนักบำเพ็ญธรรม ยากไม่ยาก ศิษย์หลายๆ คนย้อนมองส่องตน วันหนึ่งยังไม่ได้รอบหนึ่งเลย ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นสำคัญมากแค่ไหน หลายๆ คนบำเพ็ญธรรมมาหลายปี ศึกษาธรรมมานาน รู้ธรรมะมากมาย แต่มักจะบ่นกับตนเองว่า เปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้สักที  ใช่ไหม (ใช่)  แสดงว่าเราแพ้อยู่คนหนึ่ง คือแพ้ใคร (ตัวเอง) 
นั่งฟังธรรมะอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ บ่นว่าเหนื่อยก็แย่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าชีวิตเรียบง่ายตามวิธีอาจารย์ก็ปิดแอร์เลยนะ แต่พรุ่งนี้ไม่รู้จะมาหรือเปล่า ศิษย์อยากนั่งหรือยัง ยืนสักสองชั่วโมงดีไหม ให้นั่งนานๆ ก็นั่งจนเมื่อย ให้ยืนนานๆ ก็ไม่ได้ เอาใจยากหรือเปล่า  ไหนใครเอาใจยากบ้าง ศิษย์เคยเอาใจตนเองจนรู้สึกพึงพอใจไหม  เคยมีจนรู้สึกว่าตัวเองรานั้นมีพอแล้วไหม ในการอยู่ร่วมกับคนจำนวนมากไม่สามารถทำให้ทุกๆ อย่างนั้นพร้อมเพรียงได้ คนในบ้านเดียวกับเรา พ่อแม่พี่น้องของเรา ถามว่าเขาพร้อมเพรียงกับเราไหม (ไม่พร้อม)  เราเคยฝึกที่จะรู้จักความคิดของกันและกันไหม เราเคยรู้ไหมว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ เรารู้แต่ว่าเขาชอบ หรือไม่ชอบอะไร รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่ถามว่าในสิ่งที่เรามองว่าเขาเป็นอย่างไร ใช่เป็นสิ่งที่เขาจะบอกเราไหม เวลาภรรยาและลูกเรามองว่าเราเป็นอย่างไร เราเคยคิดไหมว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เราไม่ได้เถียง ทุกบ้านเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นการที่จะมีเวลาให้กับครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ  เราไม่ชอบให้ใครตัดสินเรา เพราะฉะนั้นเราตัดสินใครได้ไหม (ไม่ได้)  เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เพราะเราไม่เคยให้เวลาเขา ฉะนั้นกลับไปแล้วเราต้องให้เวลากับคนในบ้านมากยิ่งขึ้น ทำไมอาจารย์พูดเรื่องนี้ เพราะอาจารย์เห็นว่าทุกคนอยากมีความสุข แต่ความสุขในโลกนี้ไม่มี  มีแต่ความทุกข์ที่ลดน้อยลง เมื่อมีความทุกข์น้อยลงความสุขก็จะมีมากขึ้น เหมือนกับการมีชีวิตเกิดเป็นคน การที่จะมีความสุขเป็นเรื่องยาก แต่การจะทำให้เราตกอยู่ในภาวะความทุกข์ที่น้อยลงเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่า  เมื่อเราไม่ชอบอะไรเราก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น  เมื่อรู้ว่าคนอื่นไม่ชอบอะไร เราก็อย่าได้ทำ แค่นี้เหมือนกับเป็นการเอาใจคนอื่นหรือเปล่า
ภรรยาบางคนทนไม่ได้ที่ต้องเอาใจสามีในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ สามีบางคนก็ทนไม่ได้ที่ภรรยาเป็นอย่างนี้  เราทุกคนมีความทนไม่ได้จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าแก้ปัญหาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกันจะได้คำตอบไหม (ไม่ได้)  ทุกคนอยากตามใจตนเอง  ทุกอย่างก็ยิ่งพังลงมา เพราะฉะนั้นยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ทำให้ตนเองเสียสละมากหน่อย ให้ผู้อื่นได้รับการเสียสละจากเรามากหน่อยทำได้ไหม (ได้)  เท่านี้ความสุขก็จะมีมากยิ่งขึ้น  อยากมีความสุขไหม ยอมให้ความสุขผ่านเข้ามาในชีวิตนี้ไหม  ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น ยอมที่จะได้รับผลประโยชน์น้อยลง ยอมพูดช้าลงอีกนิด ยอมใช้เวลาคิดอย่างละเอียดโดยใช้เวลาคิดมากกว่าเดิม  ยอมลงมือลงไม้ช้าลงกว่านี้ได้ไหม (ได้)  เรื่องที่แย่ที่สุดของคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน คือ การต้องลงมือลงไม้ซึ่งกันและกัน เป็นการระงับความโมโหไม่ได้อย่างถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะจริงๆ แล้วคนที่เราปรารถนาดีที่สุดก็คือคนในบ้านเรา แต่การที่เรานั้นถูกลงมือลงไม้จากเขาแสดงว่าเราแย่ที่สุดจนทำให้เขาอดกลั้นไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าว่าแต่สามีตบตีภรรยาเลย ภรรยาตีสามีก็มี  ผู้หญิงเป็นคนที่มีความอดทนมากที่สุดเกือบจะทุกคน ผู้หญิงเป็นผู้ที่ใช้ความอดทนได้ดีแต่ว่าเวลาที่อดทนไม่ได้เหมือนโลกทั้งโลกพังลงมา อะไรๆ ก็ทนไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) 
ฉะนั้นจงหาทางออกให้กับชีวิตอย่างถูกต้องด้วยการคิดอย่างรอบคอบ  อย่าใช้อารมณ์  ความโลภ ความเกลียดชังและที่สำคัญอย่าใช้อคติ  ถ้าหากเรามองว่าเขาเป็นศัตรูของเราแล้ว  วันไหนเราจะมองว่าเขาเป็นมิตรกับเราอีกครั้ง  ตอนที่เราจะมองคนอื่นเป็นศัตรูของเรา เรารู้ไหมว่าความรู้สึกของเราค่อยๆ ปลูกฝังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เราจะมองผู้อื่นเป็นศัตรูด้วยความอคตินั้น เรารู้ไหมว่าความคิดของเราที่รู้สึกชิงชังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนั้นรู้ไหม (รู้,ไม่รู้)  คนที่ตอบว่าไม่รู้ แสดงว่าไม่เคยย้อนมองจิตใจตนเองเลย ปล่อยให้ทุกวันจิตใจมันเตลิดไปไกลเหมือนลิง ที่วิ่งพล่านไปทั่ว แต่จริงๆ แล้วเวลาเราเกลียดเขาวันนี้แล้ว เราเกลียดเขาไปตลอดเลยหรือเปล่า เพราะว่าเรื่องเดียวของเขาทำให้เราเกลียดเขาใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ คิดดูให้ดีก่อนตอบ เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ได้ฝังรากไว้แล้ว เมื่อเรามองเขาอย่างคนที่มีอคติ ทุกครั้งที่เรามองก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เวลามีอคติแล้วเกิดความรู้สึกจิตใจร้อนหรือเย็น (ร้อน)  ไฟข้างนอกก็มี ไฟข้างในก็มี  ถามว่าเอาไฟข้างนอกมาใส่ไฟข้างในได้อย่างไร ไฟข้างนอกเข้าไปอยู่ในใจได้อย่างไร
ไฟข้างนอกนั้นเข้าสู่ใจได้ทางไหน อย่างแรกที่เข้ามาคือที่เราหลับลืม ๆ อยู่ทุกวันคือตา อีกอย่างหนึ่งที่เบิ่งฟังๆ อยู่ทุกวันก็คือหู  ไฟของความโกรธนั้นเข้ามาด้วยหูและตาอันเป็นอายตนะของเราจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ไฟต่างๆ ดับมอดลงได้บ้างคืออะไร  แน่นอนใจของศิษย์นั้นมีอารมณ์เป็นฐาน ภายนอกก็มีเรื่องราววุ่นวายสับสนเป็นเหตุ ทำให้ศิษย์รับสิ่งเหล่านี้เข้ามาได้เพราะว่าใจของเรานั้นมีอยู่ จริงหรือไม่ การที่จะดับไฟให้เบาบางลงนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง ตาของเราหลับก็ได้ลืมก็ได้ เวลามีเรื่อง ใช้วิธีการอะไร ต้องใช้วิธีการหลบตา หลับตา แต่ส่วนใหญ่จะเบิ่งตาดูเลย   แล้วหูเบิ่งได้ไหม หูเบิ่งอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ยินไม่ชัดก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ หน่อย ที่ได้ยินไม่ชัดแทนที่กิเลสจะน้อยลงหน่อยก็ยิ่งชัดใหญ่เลยใช่หรือไม่ ชัดว่ามันคุอยู่ในใจเป็นไฟกองโตเลย  การจะดับเสียงที่ได้ยินทางหูนี้ทำอย่างไร  (ทำเป็นไม่ได้ยิน)  จริงๆ ทำเป็นไม่ได้ยินกันทุกคนอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วได้ยินเต็มสองหูเลยใช่หรือเปล่า เรื่องอะไรที่คนอื่นเขาว่าเรา เรื่องที่เขายิ่งไปพูดไกล ๆ ยิ่งเงี่ยหูเข้าไปฟังใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคนหูเบา ขนาดมีคนมาบอกว่าคนนั้นเขานินทาเรา เราไม่ได้ยินสักคำ แต่เราเชื่อไปหมด อย่างนี้เขาเรียก เวรกรรม หรือเปล่า ไม่มีกรรมก็จะเป็นกรรมแล้วใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นทำอย่างไร จะปิดหูตัวเอง (อย่าหูเบา, เอาหูไปนา เอาตาไปไร่)  จะเอาหูไปนา นาก็อยู่ไกล จะเอาตาไปไร่ก็มีแต่คนที่ไม่ชอบอยู่ตรงหน้า (อย่าเอาไปปรุงแต่ง, ทำไม่รู้ไม่ชี้, เดินหนีไม่ต้องฟัง, เอาสติกำหนดรู้ว่าเป็นเสียงเท่านั้น ไม่ปรุงแต่ง) ทำได้หรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องที่ตรงกับเราก็ทำยากใช่ไหม (สิ่งที่ดีเก็บไว้ สิ่งไม่ดีอย่านำมาใส่ใจ)
ปรบมือให้หน่อย (เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา)  แต่กักอยู่ไว้ที่สมองนิดหน่อย  (ช่างมัน)  ช่างง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร วิธีง่ายๆ ในการปิดหูตัวเองคืออะไรง่ายมากๆ เลยคือทนไม่ไหวก็เดินหนี ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็ยืนปิดหู อย่าปิดสองช่องเปิดหนึ่งช่อง อย่างนี้ไม่ดี วิธีที่ยากขึ้นมา ก็คือทำใจให้เฉยๆ  แต่วิธีเหล่านี้ล้วนไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ วิธีแก้ปัญหาที่ถาวรก็คือ รู้จักแยกแยะในสิ่งที่ฟัง ดูว่าเราทำผิดหรือเปล่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ขัดหู แม้คนๆ นั้นจะใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความเรา ถามว่าเราฟังแล้วมีอะไรสึกหรอหรือเปล่า เราฟังแล้วก็ยังไม่มีอะไรสึกหรอ เราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ใช่หรือเปล่า มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่อย่างเดียวก็คือ จิตใจรู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่ฟังจริงหรือไม่
เพราะฉะนั้นการที่จะระงับสิ่งที่ได้ยินก็คือการเปลี่ยนแปลงจิตใจของตนเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  การที่จะระงับสิ่งที่ได้ยิน นอกจากการเปลี่ยนแปลงจิตใจของตนเองแล้วไม่มีสิ่งอื่น เพราะว่าเรานั้นเอามือไปอุดปากคนอื่นได้ไหม  อาจอุดปากได้ ด้วยเงิน ด้วยอำนาจ ด้วยบารมี แต่ถามว่าอุดตรงนี้ไปปูดตรงโน้น ไหวไหม (ไม่ไหว)  นอกจากเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนดีแล้วไม่มีวิธีอื่นที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข ฉะนั้นการจะเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นต้องทำเมื่อไร ไม่ใช่ตอนที่เขาพูด  การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นจำเป็นที่จะต้องทำทุกวัน การทำใจตนเองนั้น จำเป็นที่จะต้องทำทุกๆ เวลา จริงหรือเปล่า หากเราไม่เคยทำใจเลย อยู่ดีๆ พบเรื่องบาดใจ พบเรื่องทุกข์ใจ พบเรื่องไม่ชอบใจ อยู่ดีๆ ให้ทำใจทำไม่ได้ 
ชีวิตนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องทำใจด้วย ถ้าหากว่าตอบไม่ได้แสดงว่าไม่ได้ฟังกันเลย  คำถามของอาจารย์ย้อนไป แล้วก็ย้อนมา แสดงว่ามีหลายๆ คนฟัง มีอีกหลายคนฟังแต่ตามไม่ทัน บางคนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง  การที่ต้องทำใจ เพราะว่าเรามองย้อนก็คือ เราอยากที่จะมีความสุขกับชีวิตตัวเอง การที่เราทำดีกับคนอื่น สิ่งที่ได้ตอบรับกลับมาก็คือได้ดีกับตัวของเราเองใช่หรือไม่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้สิ้น เปลี่ยนแปลงตนเองทำยากไหม(ยาก,ไม่ยาก)  สมมติว่าปกติศิษย์ของอาจารย์ใช้จานแบนกินข้าว วันนี้ให้กลับไปใช้ถ้วยกลมได้ไหม บางคนมีปัญหาถึงขนาดที่ว่าหากว่าเปลี่ยนจานกินข้าวแล้วรู้สึกว่าข้าวไม่อร่อย  บางคนต้องกินน้ำฝน พอให้กินน้ำอื่นรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ค่อยมีความสุขเลย อันนี้เป็นความยึดติดถือมั่นในตัว  จำเป็นที่จะต้องแก้ ทำไมถึงจะต้องแก้ความยึดติด  ถามว่าในการดำเนินชีวิตของเราทุกๆวันมีสิ่งต่างๆซ้ำเดิมไหม (ซ้ำเดิม) เรายังไปแปรงฟัน ไปกินข้าวที่เดิมหรือเปล่า เรายังใช้ชีวิตและเห็นหน้าคนเดิมๆอยู่หรือเปล่า แต่ในรายระเอียดแล้วเหมือนกันหรือไม่ (ไม่เหมือน) กับข้าวก็เปลี่ยนไป ที่แปรงฟันก็เปลี่ยนไปเมื่อวานปวดฟันซี่นี้ วันนี้ไม่ปวดแล้ว ใช่ไหม คนเดิมๆที่เราพบ ถามว่าเขาใส่เสื้อผ้าเหมือนเดิมหรือเปล่า (ไม่เหมือนเดิม) ทุกอย่างในรายละเอียดแล้วเปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งใดที่คงเดิมจริงๆ
ฉะนั้นที่เราคลายความยึดติดถือมั่นเพื่ออะไร เพราะว่าเรานั้นไม่สามารถจะมีสิ่งต่างๆ เดิมๆ ได้ตลอด วันนี้เราอยู่ที่นี่ วันพรุ่งนี้เราอาจจะไปอยู่อีกที่หนึ่ง อย่างเช่น ถ้าเป็นวันอาทิตย์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วศิษย์ของอาจารย์อาจจะทำอีกอย่างหนึ่ง อาทิตย์นี้ศิษย์ของอาจารย์ก็ทำอีกอย่างหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง) และบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตหลังจากที่ฟังธรรมะจบไปก็ได้ บางคนอาจจะเปลี่ยนได้แต่เปลี่ยนได้ไม่ดีก็เป็นได้ บางคนอาจจะไม่เปลี่ยนเลยก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งต่างๆที่เหมือนเดิมอย่างจริงแท้ และข้อสำคัญคือทุกๆคนเกิดมาต้องตาย การตายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของคนทุกคน จริงหรือไม่ (จริง) มีใครในที่นี้บอกว่าตัวเองไม่ตายมีไหม (ไม่มี) ความตายน่ากลัวไหม (น่ากลัว) ความตายน่ากลัวหรือเปล่าอยู่ที่ว่าตอนนี้เราทำอะไร จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถึงแม้ว่าเรารู้ว่าเราเป็นคนดี ทำดี ตายไปแล้วไปที่ดีๆ แต่ถามว่ากลัวไหม ความเปลี่ยนแปลงคือ ความน่ากลัวที่สุด เราจะบอกว่าเราไม่กลัวเลย ไม่จริงหรอก ทุกคนเวลาจะตายแล้วต้องดิ้นรนทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องไปไหน ไม่สามารถจะกำหนดทิศทางได้เหมือนไปที่ทำงาน ไปตลาด ไปบ้าน
ฉะนั้นสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้คือสิ่งที่กำหนดอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราเป็นในวันนี้คืออะไรที่กำหนดมา คือการกระทำในอดีตที่กำหนดมา ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ชอบเคี้ยวข้าวทางซ้าย ฟันข้างซ้ายก็สึกมากกว่าฟันข้างขวา จริงหรือไม่ (จริง) อันนี้เป็นแค่นิสัยจากวัยเด็กขึ้นมาสู่ตอนโต แต่หากว่าในชาตินี้เราถนัดที่จะทำความไม่ดีในเรื่องนี้ โดยที่เราก็มีเหตุผลอ้างต่างๆ นานาว่าที่เราทำไปเพราะว่าเรามีเหตุผลอย่างนี้ๆ เราอาจจะทำในสิ่งที่ผิดในสายตาของคนอื่นแต่ถูกต้องสำหรับตนเอง แต่ถามว่าในวนเวียนกฎแห่งกรรมแล้วสามารถหลีกเลี่ยงได้ไหม (ไม่ได้) ถึงแม้ว่าจะทำบุญและกรรมคู่กันไปก็ต้องรับบุญและกรรมคู่กันไปเช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นได้ ฉะนั้นอนาคตอยากกำหนดให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมไหม หรือว่าพอใจในสิ่งที่ตัวมีวันนี้แล้ว มีใครพอใจในสิ่งที่ตนเองมีวันนี้แล้วบ้างไหม พอใจในรูปร่างหน้าตา พอใจในฐานะ พอใจในครอบครัว พอใจในชีวิตของตัวเองมีใครพอใจถึงขนาดนั้นไหม ถ้าหากพอใจคงไม่ทุกข์ ถ้าทุกข์อยู่แสดงว่าไม่พอใจ จริงหรือไม่ (จริง) แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นท่องไว้คำหนึ่ง ท่องตามนะ “ที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ถ้าหากว่ารู้สึกอย่างนี้ได้จิตใจก็จะเบาสบายยิ่งขึ้น อยากได้จิตใจที่เบาสบายไหม ถ้าอยากได้ต้องพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ต้องรู้ว่าตัวเองมีอะไร รู้จักพอใจในสิ่งไหน เปิดใจฟังวันนี้เหมือนใจของศิษย์ได้เปิดประตูออก แล้วจะมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน
สถานธรรมใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีคนมา จริงหรือเปล่า (จริง) บ้านไม่ช่วยกันกลับมาก็ไม่มีคน ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เขียนกระดานอยู่ด้านหน้า)
มนุษย์สมัยนี้เวลาพูดต้องพูดให้ชัดๆ อะไรที่ไม่แน่ใจก็ไม่ถาม ถ้าหากไปอยู่กับคนสมัยโบราณ สงสัยจะลำบาก เพราะคนสมัยโบราณพูดน้อย ได้ใจความ ต้องตีความและเข้าใจเอง ไม่รู้ต้องถาม ต้องพิจารณาทุกๆ อย่าง บางเรื่องแม้พูดกับคนๆ นี้ด้วยคำพูดประเภทนี้ แต่เมื่อไปพูดกับอีกคนหนึ่งอาจจะใช้คำพูดเดียวกันไม่ได้ ถึงแม้เขาจะมีความใกล้เคียงกันก็ตามที นี่คือลักษณะของคนโบราณนะ แต่คนสมัยนี้ไม่ได้ ทุกอย่างต้องพูดให้ชัด แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ชัด คืออะไร คนสมัยนี้คิดไม่ชัด แต่เวลาฟังอยากฟังชัดๆ ลำบากไหม (ลำบาก) ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ สิ่งขาดหายไปคืออะไร (ความมั่นใจ) ไม่ใช่ ความมั่นใจมีมากมายทีเดียว สิ่งที่ขาดหายไปคือ ปัญญา
ถ้าไม่รู้ต้องถาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลับไปบ้านก็ต้องหัดเป็นคนที่ถาม อยู่ที่ไหนก็ต้องหัดเป็นคนที่ถาม แต่อย่าถามจุกจิกจู้จี้ เหมือนคนไม่มีสมอง ให้ถามพองาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถาม จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนนั้นบกพร่อง หากอาจารย์พูดอย่างนี้จะมองเป็นว่าก็ว่า ใช่หรือไม่ จะมองเป็นแนะก็แนะแล้วแต่คนนะ เหมือนกันเวลาที่ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ศิษย์ไม่บ่นไม่ว่าแต่เวลาถูกคนว่าแล้วรู้สึกทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มองว่าเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีหรือไม่ เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ ร้อนรุ่มทุรนทุรายกับคำพูดของคนอื่น ดีหรือเปล่า (ดี) มองคนอื่นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ได้) มองใครเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้หมด ยกเว้นมองตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์เบื่อไม่เบื่อ ถ้าอาจารย์เบื่อแล้วกลับได้ไหม ได้หรือเปล่า อาจารย์ถามศิษย์ทีไร ไม่เห็นมีใครถามอาจารย์เลยว่าอาจารย์เบื่อหรือเปล่า อาจารย์มีสิทธิ์เบื่อหรือเปล่า (มีสิทธิ์) เบื่อหรือเปล่า รักได้ก็เบื่อได้ รักไปเบื่อไปเป็นไหม คนที่บ้านรักไปเบื่อไป เป็นหรือเปล่า (เป็น)  แทงใจดำเลยนะ  ไหนใครเป็นคนใจร้อนบ้าง ไหนใครใจร้อนมามากกว่าสิบปีแล้วยกมือขึ้น แล้วคนที่ไม่ยกนี่เป็นคนใจไม่ร้อนใช่ไหม ใจเย็นหรือเปล่า แต่เวลาคนใจเย็นใจร้อนขึ้นมา น่ากลัวกว่าหรือเปล่า  สรุปแล้วใครน่ากลัวกว่ากัน คนใจเย็นน่ากลัวกว่า ใช่ไหม คนใจร้อนต้องรู้จักดับอารมณ์ตัวเอง มีคำพูดอยู่สองคำ ให้คนใจร้อนท่องไว้ ไหนใครใจร้อนเบิ่งหูให้กว้างๆ อันแรกคือ อย่าปรารถนาทำสิ่งใด รวดเร็วมากเกินไป คนใจร้อนได้ยินไหม  อย่างที่สองคืออย่าประมาท หวังผลประโยชน์เข้าข้างตนเอง   คนใจร้อนต้องจำไว้ เพราะว่าสองสิ่งนี้ไปผสมกับความใจร้อนที่มีอยู่เดิมแล้ว จะทำให้เรื่องทุกอย่างยากมากยิ่งขึ้น เหมือนคำพูดที่มนุษย์พูดกันบ่อยๆ บอกว่า ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า คนบำเพ็ญต้องถนัดทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย จริงหรือไม่ เพราะบำเพ็ญก็ต้องละตัดอารมณ์อยู่แล้ว หากว่าศิษย์ยิ่งบำเพ็ญ อารมณ์ยิ่งมากขึ้นๆ ถามว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมหรือเปล่า แล้วพอเวลาเราแก่ตัวมากขึ้นก็เป็นโรคความดันอีก ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามระงับจิตใจของตนเอง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ศิษย์อาจารย์ไม่ใช่วัยรุ่นสักคน เพราะเวลามันผ่านไปแล้วแต่อารมณ์ก็ยังร้อนอยู่ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง เข้าใจก็รู้วิธี)
คนที่ไม่มั่นใจว่าเสียงตัวเองจะเพราะ แต่ถามว่าไม่ลองร้องให้คนอื่นฟังหน่อยหรือว่า ไม่เพราะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต่างคนต่างส่งเสียงก็แล้วกัน ดีหรือเปล่า การร้องเพลงที่ประสานเสียงเป็นหมู่อย่างนี้ ฟังไม่ออกหรอก ว่าร้องเพราะหรือไม่เพราะ อาจารย์รับประกัน ขอให้ทุกคนร้องด้วยความเบิกบานใจ ดีหรือไม่ (ดี) 
การที่มาอยู่รวมกัน การส่งมอบความสุข ให้ความสุขนั้นมันไหลถ่ายเทจากตัวเราไปสู่ผู้อื่น แล้วจากผู้อื่นมาสู่เรานั้น ทำได้ด้วยการที่เรานั้นเป็นคนที่มีความจริงใจต่อผู้อื่น เหมือนกับการร้องเพลงในวันนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นร้องด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ เมื่อเรานั้นทำ เราย่อมเป็นผู้ที่เบิกบาน เมื่อเราร้องเราย่อมเป็นผู้ที่เบิกบาน แม้ว่าความสุขนั้นมีมากมาย แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่ลองร้องเพลงดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าความสุขนั้นมาได้อย่างไร จริงหรือไม่ (จริง)  หลายๆ คนมองดูคนอื่นร้องเพลงมีความสุข ตัวเองอยากมีความสุข แต่ไม่ยอมร้อง ย่อมไม่ได้รับ จริงหรือเปล่า (จริง)
เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น จำเป็นที่จะต้องให้ตัวเรานั้นเป็นผู้มอบให้กับตัวเอง อาจารย์พูดแล้ว อาจารย์นั้นทำได้แค่เตือนใจ ทำได้แค่สะกิดใจ ทำได้แค่ปลุก ส่วนคนที่จะตื่นหรือไม่ตื่นนั้น จำเป็นที่จะต้องให้ใครปลุก (ตัวเอง)  ตัวศิษย์เอง เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นมองกลับไป หลายๆ คนไม่เป็นผู้ที่สร้างโอกาสให้กับตัวเอง หลายๆ คนนั้น ยังหยิบเอาความน้อยเนื้อต่ำใจมาใช้กับชีวิตจริงของศิษย์ แล้วปล่อยให้การทำสิ่งที่ถูกต้อง ที่ควรทำ ควรพูด เก็บไว้ในใจ หลายๆ คนเลือกที่จะเงียบ ใช่หรือเปล่า
การแก้ปัญหาในชีวิตทำได้หลายอย่าง แต่ต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองในรายละเอียดของการใช้ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์จะเป็นอย่างไร จะทำอย่างไร แน่นอนคนอื่นตอบไม่ได้ ฟังเขาพูดกี่ทีก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ถามว่าศิษย์เข้าใจตัวเองหรือเปล่า สิ่งที่ศิษย์ทำไปก็ยังไม่ได้เป็นเหมือนกับคนที่เข้าใจตัวเอง ใช่หรือไม่ อาจารย์ถามว่าอยากทำความดีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไหมในตอนต้น ความดีที่ยิ่งใหญ่ คนดีที่ยิ่งใหญ่นี้ทำอย่างไร หากว่าตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็ย่อมช่วยคนอื่นไม่ได้ เมื่ออยากช่วยคนอื่นต้องทำอย่างไร ต้องสลัดความเป็นตัวตนทิ้งแล้วมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับผู้อื่น เอื้อมมือของเราลงไปช่วยคนอื่น ก้าวขาของเราออกจากวงแห่งอัตตาของเราเอง จึงสามารถช่วยผู้อื่นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงเป็นคนดีที่รู้จักสร้างโอกาสให้กับตัวเอง จงเป็นคนดีที่รู้จักและเข้าใจตัวเอง จงเป็นคนดี  อย่าใช้ความรู้สึกนำทางความคิด นำพาการบำเพ็ญของตนเองเลย
(พระอาจารย์เมตตาครอบพระโอวาทคำว่า “แข่งขันกับตัวเอง”)
คำนี้คงเป็นคำที่เหมาะสมกับศิษย์ที่อยู่ตรงนี้หลายๆ คน เกือบจะทุกคนก็ว่าได้ เพราะว่าทุกคนนั้นมุ่งที่จะแข่งขันกับโลก แข่งขันกับชีวิต แข่งขันกับการแข่งขันข้างนอก เพื่อที่ได้มาซึ่งเงินทอง ใช้วิธีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกคนหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยหันมามองเลยก็คือ “ตัวเอง”  เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นจะเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นดีมากยิ่งขึ้น คงต้องพึ่งคำนี้ คำว่าอะไร (แข่งขันกับตัวเอง)  แข่งขันกับตัวเอง เมื่อวานนี้เราเคยแย่กว่านี้ วันนี้เราต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ ปีที่แล้วเรายังทำไม่ได้ ปีนี้เราต้องทำให้ได้ ทุกๆ วันต้องผ่านไปอย่างคนที่ทำดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำได้ไหม (ได้) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูป พระอาทิตย์ส่องแสงกับดอกบัว)
รูปดอกบัวภายใต้แสงอาทิตย์  พระอาทิตย์นี้อยู่ใกล้ดอกบัวมาก แสดงว่าดอกบัวนั้นได้รับความร้อนจากพระอาทิตย์ดวงนี้มาก  ด้วยพระอาทิตย์เป็นประกายละอองความร้อนออกมา เพราะฉะนั้นดอกบัวดอกนี้จะต้องแกร่งมากๆ แต่ว่าเมื่อดูรูปนี้ถ้าวาดให้สวยได้จะแสดงให้เห็นถึงพลังของคนที่ไม่กลัวความยากลำบากเลย  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีพลังอยู่ข้างใน  พลังที่พร้อมจะต่อสู้อุปสรรคทุกอย่าง พลังที่เป็นผู้ไม่เหนื่อยง่ายจนเกินไป ทำทุกอย่างได้อย่างใจต้องการ  แต่ตั้งอยู่บนความถูกต้องที่ดีงาม ทำได้ไหม
เวลาในชีวิตของศิษย์นั้นก็เหมือนเวลาของดอกบัว ดอกบัวนั้นหากมองไปก็คือความแข็งแกร่ง แต่หากเข้าไปจับแล้วดอกบัวนั้นกลีบอ่อนมากไม่ทนมือทนไม้ อาจารย์อยากให้รู้ว่าชีวิตของศิษย์นั้นมีความเปราะบางเหลือเกินเผลอไม่ได้  วันนี้ยังมีลมหายใจพรุ่งนี้อาจจะไม่มีก็ได้  หวังว่าศิษย์ทุกคนคงได้รับพลังจากการที่อาจารย์พยายามส่งรูปๆ หนึ่งให้ศิษย์ หวังว่าทุกคนเข้มแข็ง
วันนี้อาจารย์คงคิดถึงศิษย์อีกหลายคนที่ไม่สามารถที่จะเอาจิตใจมารวมกับอาจารย์ได้ อาจารย์คงมีปัญญาเพียงเท่านี้ แต่ฝากศิษย์ดูแลตัวเองดีๆ ในวันนี้ทุกคนแตกต่างกัน ภายนอกดูแตกต่างกันด้วยฐานะ รูปร่าง อายุ เพศ วัย  แต่ในจิตญาณของศิษย์นั้นเหมือนๆ กัน จิตญาณที่จะสามารถรู้ตื่นและเบิกบานเองได้  สามารถเข้าถึงธรรมเองได้ 
อาจารย์ห่วงศิษย์คนที่เป็นคนที่ฉลาด คนที่ฉลาดมักไม่กล้าที่จะออกมาจากวงล้อมของความคิดของความเป็นตัวตน ทำให้เป็นอุปสรรคยิ่งในการบำเพ็ญธรรม  ศิษย์คนที่ไม่มีความคิดใดๆ ซับซ้อนก็น่ายินดี  แต่ไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ดี ฉะนั้นทุกคนอาจารย์จึงห่วงหมด  อาจารย์จึงรักหมด  ฉะนั้นอาจารย์ฝากคำพูดสั้นๆ “ดูแลตัวเอง” อย่าปล่อยให้สิ่งใดๆ อันเป็นเหตุไม่บังควรมาเป็นอุปสรรคของศิษย์ในการจะเข้าถึงพระธรรม เมื่อเล็งเห็นว่าพระธรรมคือชีวิต เมื่อเล็งเห็นว่าไม่มีทางดับทุกข์ที่ดีกว่านี้ได้ ศิษย์ของอาจารย์จะทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเอง ซึ่งการบำเพ็ญไม่ได้ต้องการเงินทองของศิษย์ การบำเพ็ญไม่ได้ต้องการเวลาของศิษย์ แต่การบำเพ็ญต้องการจิตใจที่ดีงามของศิษย์ อุ้มชูโลกนี้ให้สูงส่งมากยิ่งขึ้น ศิษย์รู้ไหมรอบๆ ตัวศิษย์มีแต่เภทภัยอันตราย แล้วศิษย์ยังนอนสบายอยู่ที่บ้าน ควรหรือเปล่า
ศิษย์รักทุกคน วันนี้แม้ใครไม่ได้จับมืออำลากับอาจารย์ แม้ใครเหมือนอยู่ไกลอาจารย์  ศิษย์จงเอาจิตใจนั้นมาเป็นสรณะ อาจารย์เข้าใกล้ศิษย์ทุกคนทุกเวลา
ศิษย์ตื่นตอนนี้ยังทัน
ฝากดูแลตัวเองทุกๆคน ฝากศิษย์รักที่ไม่ค่อยมาสถานธรรม จะเบื่อหน่าย จะท้อ ถดถอยใดๆ ก็แล้วแต่ ศิษย์ต้องรู้ตัว บางคนนั้นก็มีภาระหน้าที่ เมื่อศิษย์ไม่ทำ ทุกอย่างก็ชะลอตัวช้าลง ฉะนั้นตอนนี้มีกำลังให้ทำ วันหนึ่งศิษย์ไม่มีกำลัง ไม่ทำแล้ว อย่างน้อยยังมีผู้น้อยที่ตามศิษย์มากมาย ไม่อายฟ้าไม่อายดิน แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างคนที่มีปัญญามากขึ้นในทุกๆ วัน 
ฉะนั้นในการที่อาจารย์ขอศิษย์ว่า “สถานธรรมอย่าทิ้ง”  คงเป็นคำขอตื้นๆ เบื้องต้น ให้เก็บไปคิด  ทำหน้าที่ในการเป็นคนให้ดี  ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนให้ดี  พิษณุโลก คนที่อยู่ที่นี่ทุกคน ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ อย่าได้ถูกอุปสรรคใดๆ ทำให้ศิษย์เฉื่อยและช้า  ทางโลกสำคัญต่อศิษย์มาก แต่ทางธรรมนั้นทิ้งไม่ได้  (เข้าใจไหม)  ดูแลคำพูดตัวเอง  ความคิดและจิตใจตัวเอง เมื่อศิษย์ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ศิษย์ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี  พฤติกรรมส่วนตัวนั้นส่งผลมากต่องานธรรม ด้วยเหตุว่าธรรมะนั้นไร้รูป คนจึงมองคนที่ปฏิบัติธรรม ศิษย์ของอาจารย์สำคัญแค่ไหนที่เจ้าจะต้องทำตนเป็นคนดี  หลายๆ คนก็ถูกเราพูดจาแรงมากไป ทำให้เขาไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้
ฉะนั้นคำพูดต้องระวัง ความคิดต้องระวัง การกระทำก็ต้องระวัง  แต่อาจารย์พูดแบบนี้ไม่ได้สอนให้ศิษย์เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิด อาจารย์ยังอยากให้ศิษย์คิด พูดและทำในสิ่งที่ดีเสมอ เข้าใจไหม  พี่ของศิษย์มีตั้งหลายคน พี่คนนี้ปรึกษาไม่ได้ ก็ปรึกษาพี่อีกคนหนึ่งก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รักษาตัวให้ดีนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท (ภาพพระอาทิตย์ และดอกบัว )
                พลังซ่อนอยู่ภายใน                             
รู้ได้ด้วยใจสัมผัส
ในคนกำลังฝึกหัด                                                
ฉลาดที่จะเยือกเย็น


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา