แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ญาณ๓ระดับ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ญาณ๓ระดับ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2542

2542-07-03 พุทธสถานสกุลหยัง บางบอน กทม.


PDF 2542-07-3-สกุลหยัง #15.pdf
วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหยัง บางบอน กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ชีวิตนี้แม้ยากรู้อนาคต จงกำหนดทำวันนี้ให้ดียิ่ง
อันสิ่งใดไม่ถูกควรควรละทิ้ง จิตใจนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

หลายสิ่งในโลกนี้เป็นดาบสองคม หลงชื่นชมสิ่งผิดยากจะรู้แจ้ง
ในวันนี้ฝึกปัญญามาพลิกแพลง รู้แจกแจงเท็จจริงอย่างยุติธรรม
ในวันนี้เป็นวันดีประชุมธรรม ขอน้อมนำจิตศรัทธามาเผยกว้าง
หากสงสัยต้องศึกษาให้ถูกทาง หมั่นจืดจางเหล่ากิเลสในทุกวัน
ดอกไม้งามไม่บานบ่อยรู้ไว้เถิด ทิวทัศน์เลิศยากพบเห็นรู้ไหมหนา
โอกาสดียากพบเจอกลางธารา ยุคสามมาเร่งบำเพ็ญแจ้งในตน
วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางลัดยามนี้โปรด ละลดโกรธเป็นอารมณ์อันเผาผลาญ
ละความหลงอันพาให้เวียนทรมาน ฟื้นพุทธญาณต้องเริ่มต้นวันนี้เลย
ด้วยเวลาแห่งชีวิตไม่มากนัก จงตระหนักอย่าปล่อยผ่านไปเฉยเฉย
หากว่าตนไม่บำเพ็ญอีกละเลย ความชินเคยจะพาสู่ห้วงนรกานต์ 
ในครานี้ช่างโชคดีรู้ทางแท้ ให้หมั่นแก้อุปนิสัยแต่ก่อนหนา
ว่ายทวนน้ำไปดั่งเช่นเหล่ามัจฉา มิคร้านนาสักวันต้องไปถึง
เวียนว่ายในวัฏสงสารช่างขื่นขม จะเศร้าตรมอีกเพียงไหนหากไม่พ้น
ในยามนี้มีสติมิร้อนรน เพียรมรรคผลต้องบำเพ็ญกลางลำบาก
หากชีวิตเรียบง่ายช่วยผู้อื่น หากกล้ำกลืนทุกข์แทนคนไปทั่วหล้า
เริ่มจากตนบำเพ็ญดีมิพ้อว่า ฝึกเมตตาเป็นทุนจากดวงใจ
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพซึ่งธรรมาศึกษาได้
ปฏิบัติได้หลังจากจบสองวันนี้ไป จะใกล้ไกลขอให้หมั่นขยันเทอญ
ในวันนี้น้องชายหญิงผู้มีบุญ จงนำหนุนการบำเพ็ญสู่ชีวิต
ทำสิ่งใดให้ถี่ถ้วนปัญญาคิด เนรมิตร้ายเป็นดีด้วยเท่าทัน
ศิษย์พี่รับพระบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นอดทนนั่งตั้งใจศึกษา
จงรู้ว่าพุทธระเบียบเฝ้ารักษา คนมีค่าที่ทำตนเป็นคนดี
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหยัง บางบอน
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

มนุษย์ชอบเอาแต่รับโดยประมาท ธรรมชาติเป็นผู้ให้ไปเท่านั้น
ผู้หลงโลกถูกหลงโลภคอยลงทัณฑ์ ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่เป็นอื่น
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานสกุลหยัง  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

การบำเพ็ญเป็นสุขเพราะมีเมตตา อุทิศกลางอุราจะมีไม่ขาด
คุมสติไม่ว่าอะไรเกิดอุบัติ จิตเที่ยงชัดเคียงข้างทุกเวลา
อุบลผุดขึ้นมาหวั่นโคลนไม่ เมื่อเข้าใจทำอย่างไรรู้เองหนา
ปฏิบัติตนเป็นอย่างหน้าที่นา เรื่องปฏิปทาไปถามมาจากตน
ยากลำบากเคียงบ่าเคียงไหล่ไว้ ยามสบายลดไหล่ไม่เที่ยวชน
แม้หนามขวากฝ่ากันด้วยอดทน ประจักษ์ผลไม้ซี่ยามรวมกัน
น้ำเหมือนกันรวมได้ไม่ประหลาด ปัญญาฉาด  บั่นยากใคร่ครวญมั่น
ละอัตตาทิฐิคอยทำลายโอกาสนั้น รู้เท่าทันฤทัยที่หมองมัว
หากขัดกันเนืองเนืองน่าอดสู จิตหลับอยู่เป็นหลงฟุ้งสลัว
ดูไม่ออกอะไรปลอมชีวิตตัว มนุษย์มัวเฟื่องสุขจอมทัพอวิชชา
อุกฤษฏ์  แห่งโศกศัลย์คือสิ้นหวัง ฤทัยยังโศกอยู่พาบิ่นบ้า
ฝ่าอุปสรรคร่วมกันมีคุณค่า น้อยรักษาน้ำใจทุกข์กินใจ
สามัคคีกันเฝ้าแบ่งปันร่วมประสาน อยู่ร่วมกันร่วมสุขทุกข์อัชฌาสัย
ความหนักแน่นกลมเกลียวชนะภัย นอกในใจเป็นหนึ่งยากปราชัย

ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

นั่งฟังวันนี้ ฟังด้วยความทรมานกันหรือเปล่า (ไม่ทรมาน)  อากาศร้อนไหม มีแอร์ใจก็ร้อนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ใจร้อนเพราะว่าใจไม่สงบ ใจไม่สงบเพราะมีสิ่งต้องคิด แล้วเราคิดกันเรื่องอะไรเราถึงใจร้อน  เรารู้ว่าตัวเราใจร้อน เราก็ต้องถามตัวเราเอง แล้วเราก็ต้องรู้ตัวเราเองด้วยว่าเราใจร้อนเพราะสาเหตุใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่  รู้อย่างเดียวว่าเราใจร้อน แต่เหตุของความใจร้อนมาจากสิ่งใดทำไมไม่รู้กันเมื่อสักครู่บอกว่าเกิดจากใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใจเป็นอย่างไรถึงเรียกว่าใจร้อน (ใจไม่สงบ)  ใจไม่สงบทำให้ใจร้อน ไม่สงบเพราะว่าคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าอย่างไรถึงใจไม่สงบ ถึงใจร้อน  คิดอยากให้วันนี้จบไวๆ ใจเราเลยร้อนรนกระวนกระวาย จริงหรือเปล่า  หรือไม่ก็มีคนขึ้นมาพูดก็อยากให้เขาพูดจบไวๆ ใจเราเลยร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ร้อนเพราะว่าโดนไฟไหม (ไม่ใช่)  แต่ร้อนเพราะว่าเราเร่งใจเราเอง เร่งความรู้สึก หรือเร่งสถานการณ์ที่อยู่รอบตัวเรา เราจึงใจร้อน แต่จริงๆ ใจร้อนแล้วทำให้เย็นได้ไหม (ได้)  โดยการทำอย่างไร (นั่งสมาธิ)  นั่งสมาธิโดยกำหนดลมหายใจอย่างนั้นหรือทำให้ใจเย็น  หากตอนนี้ท่านมานั่งฟังแล้วท่านนั่งสมาธิจะดับได้ไหม  เพราะเหตุแห่งการดับคืออยู่ที่ใจใช่ไหม  ใจเรากำลังคิดว่าทำอย่างไรให้เวลาหมดเร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เราจะทำใจให้เราหยุดได้ก็คือยอมรับสภาพ  เมื่อเรายอมรับสภาพ เราจะใจร้อนไหม (ไม่)  เปลี่ยนจากการใจร้อนเป็นตั้งใจฟัง เมื่อตั้งใจฟัง มีใจจดจ่อ ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เราจะมีความรู้สึกอย่างไร  บางคนจะรู้สึกว่าคนพูดๆ ได้ช้าจังเลย บางคนคิดว่าทำไมจบไวจังเลย  ความรู้สึกจะกลับกันทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาที่เราสนใจที่จะอยู่กับคนๆ หนึ่ง  แต่เราเกลียดที่จะอยู่กับคนๆ หนึ่ง เวลาเท่าๆ กัน  เมื่ออยู่ใกล้คนรัก เรารู้สึกว่าเวลาช่างเร็วเหลือเกิน  แต่เวลาอยู่ใกล้คนเกลียดเรารู้สึกว่าเวลาช่างช้าเหลือเกิน  ทั้งที่เวลาก็เท่าๆ กัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการจะดับใจร้อน ต้องดับที่ตัวเราแล้วยอมรับสภาพแวดล้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะเอาแต่นั่งสมาธิ นั่นก็คือเหมือนเราหนีสภาวะแวดล้อมนั้นไปชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่ง  แต่ผลสุดท้ายถ้าเราดึงใจนั้นกลับมา เราก็ต้องเจอเหมือนเดิมอีก จริงหรือไม่ (จริง)  
มนุษย์เรามักเป็นทุกข์เพราะว่าเราไม่ยอมรับความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีอารมณ์สองอย่าง  อารมณ์อย่างแรกคืออะไร เพราะว่าเรารัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอารมณ์อย่างที่สองเป็นอะไร  เพราะว่าเราเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านสามารถหยุดเรื่องรักกับเกลียดได้ ในโลกนี้จะไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์  จะเป็นสุขไปหมดเลย แต่เป็นเพราะว่าเราทำใจไม่ได้ นึกจะเกลียดก็เกลียด บางทีไม่มีเหตุผล  นึกจะรักก็รักอย่างหัวปักหัวปำ ไม่ดูอะไรถูกอะไรผิด จึงทำให้เราเป็นทุกข์  หรือพูดง่ายๆ ตามสำนวนว่า “มนุษย์เราต้องดิ้นรนเดือดร้อน เพราะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา”  จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่อย่างนั้นเราก็คงเป็นสุขแล้ว พอแล้วกับการมีชีวิตเท่านี้ พอแล้วกับการมีเท่านี้  พอแล้วกับการเป็นคนอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะเรามักไม่พอ  ต้องหาอีก  เราจึงมักจะไม่มีสุข  มักจะเห็นการมีสุขเป็นของคนอื่น  ของตัวเองมักจะไม่ดี ของคนอื่นดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้อยากซื้อเสื้อตัวหนึ่ง เห็นแล้ว อยากได้ ถูกใจมาก พยายามหาเงินซื้อมาให้ได้  แต่พอซื้อได้ เคยรู้สึกเสียใจบ้างไหม ไม่เห็นจะดีเลย ใส่แล้วก็ไม่สวย ใส่แล้วก็ไม่หล่อ ไม่น่าซื้อมาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นอย่างนี้กันบ่อยๆ พอได้มาหนึ่งตัวก็อยากได้อีกหนึ่งตัว ซื้อเสื้อแบบนี้ต้องมีกางเกงแบบนี้  พอมีเสื้อกางเกงแบบนี้  รองเท้าต้องเป็นแบบเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างสมมติซื้อเสื้อมาราคาร้อยบาท แต่กางเกงห้าร้อย ใส่แล้วรู้สึกไม่ถูกใจ  ต้องเสื้อพันหนึ่งหรือกางเกงห้าร้อยถึงจะไปกันได้  แล้วเมื่อเสื้อพันหนึ่ง กางเกงห้าร้อย รองเท้าต้องเท่าไหร่ แล้วจะเดินหรือจะนั่งรถ  ก็ต้องนั่งรถ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะนั่งรถเมล์หรือนั่งรถเบนซ์  ก็นั่งรถเบนซ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นเป็นเพราะอะไร  เราทั้งนั้นเลยที่ทำให้เราต้องเดือดร้อน แล้วก็วุ่นวาย แล้วก็เป็นทุกข์กับการหาไม่จบไม่สิ้น เพราะว่าไม่พอใจแล้วก็ไม่มีสุขในสิ่งที่ตนเองมี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามีชีวิตเราต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยู่กับธรรมชาติได้อย่างสอดคล้องเราก็เป็นสุข แต่ถ้าอยู่อย่างขัดแย้งกับธรรมชาติเราจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)  ถ้าอากาศร้อนแต่เราใส่เสื้อผ้าหนาๆ ก็ร้อน  ฉะนั้นถ้าอากาศร้อนเราต้องใส่เสื้อผ้าบางสักนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่บางจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็แปลว่าธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่าการดำเนินชีวิตเราต้องรู้จักแปรหรือปรับสภาพให้อยู่กับแวดล้อมได้  แต่มนุษย์เราปกติเราอยู่อย่างสอดคล้องหรืออยู่อย่างขัดแย้ง (ขัดแย้ง)  มักจะขัดแย้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีรู้ว่าอากาศร้อนแต่ชอบเสื้อตัวนี้ เลยยอมใส่หนาๆ แล้วก็เป็นทุกข์กับการใส่เสื้อผ้าหนาจนเกินไป  บางทีรู้ว่าแต่งตัวแบบนี้มาห้องพระจะไม่เหมาะสมแต่ก็ยังอยากแต่งเพราะว่าชอบ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คุยกันก่อนดีไหม อย่าเพิ่งสงสัยว่าเรามาอย่างไร ดีหรือเปล่า (ดี)  เรามาก็มาทางประตู ออกก็ออกทางประตูเหมือนท่าน  แต่ประตูที่เราเข้ากับประตูที่ท่านเข้านั้นต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเป็นอย่างเราไหม (อยาก)  เดินไปเดินมาก็มีคนมอง เดินไปเดินมาก็มีคนเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากเป็นไหม
นั่นต้องรู้จักเข้าออกประตูให้ถูกทางก็ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  
“ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่เป็นอื่น” 
ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น  แต่เรามักไม่กลัวกฎแห่งกรรมแล้วก็ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมกัน จริงไหม (จริง)  เพราะอะไรถึงไม่เชื่อ  คิดว่าทำดีไม่ได้ดีหรือว่าอย่างไร  
โลกนี้เรื่องราวผ่านมาก็มากมาย  ทำให้คนเรามักจะยิ้มยาก  ตอนเป็นเด็กก็ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ร้องไห้ง่าย  พอโตขึ้นประสบการณ์มีมากขึ้น ชีวิตสอนให้เรารู้จักคน รู้จักเรื่องราวมากขึ้น  ทำไมเราจึงกลายเป็นคนที่ยิ้มยากไปเสีย  ทั้งที่ก็รู้ว่าการยิ้มไม่ใช่เรื่องยากเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ายิ้มยากต่อไปต้องมาเรียนหัดยิ้มกัน  เพิ่งได้ยินกันมาเองไม่ใช่หรือ โรงเรียนสอนวิธียิ้ม  ต่อไปถ้ายิ้มไม่เป็น  คงต้องมีโรงเรียนสอนให้มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าต่อไปใจแข็งอีก ก็ต้องเป็นมีโรงเรียนที่สอนให้ร้องไห้เป็น 
ความเมตตาก็คือความรัก  ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน หากเรานั่งแต่คนอื่นยืน เราจะไม่เชื้อเชิญบ้างก็ดูแห้งแล้งน้ำใจไมตรี แห้งแล้งน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ถ้าวันนี้เรามีหน้าที่นั่งก็ขอให้นั่งฟังอย่างเต็มที่  คนที่นั่งข้างๆ หรือยืนข้างๆ เขาจะได้เป็นสุขในการดูแลท่าน จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าให้เหมือนปูที่อยู่ในห้อง  จับไปทางซ้ายก็อยากจะไปทางขวา 
เป็นอะไร ชวนคุยก็แล้ว  พูดก็แล้ว  ยิ้มก็ไม่ยิ้ม  พูดก็ไม่พูด  กลัวเรากันหรือเปล่า (ไม่กลัว)  อุตส่าห์ถือตะกร้าดอกไม้ให้รู้ว่าเป็นคนใจดีแล้วคนโหดร้ายใจร้ายจะถือดอกไม้กันไหม (ไม่)  ถ้าให้ปาเซียน (แปดเซียน) องค์อื่นมา  ถือดาบ ถือมีด  วางท่าทีอย่างสง่าน่าเกรงขาม  ท่านก็คงหวาดกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาถือดาบถือมีด  ท่านมาปราบมาร    ใช่หรือไม่ (ใช่)  มารเท่านั้นที่จะกลัวดาบ  ถ้าท่านกลัวดาบท่านก็เป็น (มาร)  ฉะนั้นวันนี้เราถือดอกไม้  ท่านคงไม่กลัวแล้วใช่ไหม (ใช่)  ปล่อยใจให้สบาย  อย่าได้วิตกกังวล หรืออย่าได้สงสัย  ไม่อย่างนั้นมาฟัง หรือนั่งฟังวันนี้ก็คงฟังเราไม่ได้รู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนบำเพ็ญก็คือคนที่ฝึกฝนตนเองให้ตนเองมีคุณธรรมตลอดเวลา และหมั่นขัดเกลาแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี  คนที่มีภูมิธรรมเป็นคนอย่างไรในสายตาหรือในความคิดของท่าน (มีเมตตากรุณา)  คนที่บำเพ็ญธรรมหรือคนที่มี คุณธรรมนั้นต้องมีความเมตตากรุณา  แล้วต้องมีอะไรอีก (ความรัก)  มีความรักแต่รักอย่างถูกต้อง ไม่ใช่รักอย่างหัวปักหัวปำ  แล้วอะไรอีก รักษาศีลใช่หรือไม่  ศีลมีอะไรบ้าง จำได้ไหม  อย่าบอกว่ามีแค่ห้าข้อแล้วท่องไม่ได้เลย ศีลมีแค่ห้าข้อเองไม่ใช่หรือ (ใช่)  คนมีคุณธรรมต้องรู้จักรักษาศีล  ไม่ผิดศีล  สิ่งใดที่ทำให้ตนเองดำเนินชีวิตแล้วเกิดการกระทำที่ผิดศีลก็จะไม่กระทำ วันนี้ถ้าเราพูดว่าให้ท่านมาบำเพ็ญธรรม  ให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม  อยู่ๆ ให้พูดอย่างนี้ก็คงไม่ทำ  ฉะนั้นเราจะชี้ก่อนว่า  การมีธรรมมีประโยชน์อย่างไร  พอรู้ว่ามีประโยชน์คนเราถึงจะสนใจแล้วก็ลงมือกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านจะไปซื้อของ เห็นเขาพูดโฆษณาสินค้าหรือของ  ถ้าไม่พูดเชิญชวน หรือว่าพูดแล้วไม่น่าฟัง ใช้แล้วไม่มีประโยชน์ ท่านก็ไม่สนใจที่จะเข้าไปฟัง  ไม่สนใจที่จะซื้อแล้วเอาไปใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้ทุกคนรู้ไหมว่าคุณธรรมนั้นมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์  (มีประโยชน์)  ทุกคนต่างก็รู้  หากเราจะสรุปง่ายๆ  คุณธรรมนอกจากมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตให้กับตนเองแล้ว  ยังรู้จักที่จะนำพาชีวิตได้ถูกต้องด้วย  แล้วก็สามารถอยู่กับ   ผู้อื่นได้อย่างเป็นสุขด้วยการมีคุณธรรม  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการมีคุณธรรมยังช่วยลดความคม คลายปมที่ยุ่งเหยิง ทอนความอยาก คลายความมืด คืนความใส นำพาสู่ความสงบและสันติ  แปลว่าผู้ใดที่รู้จักนำคุณธรรมไปบำเพ็ญตน ไปฝึกฝนตนหรือไปใช้ในชีวิต  เขาจะสามารถลดความคมได้  ความคมนั่นก็คือความเจ้าเล่ห์เพทุบาย  คลายความยุ่งเหยิงนั้นคือคลายความวุ่นวายในชีวิต  ทอนความอยาก  อยากในทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศที่ไม่รู้จักจบสิ้น  คลายความมืด  มืดที่หลงวนอยู่ในโลกใบนี้  คืนความใส ใสอย่างไร  ใสบริสุทธิ์อย่างฟากฟ้า  ใสบริสุทธิ์อย่างปราศจากซึ่งอัตตาและตัวตนที่มีขอบเขต มีชื่อ มีนาม มีความเจ็บ มีความโศกเศร้า  คืนความสงบและสันติ  ก็คือนำพาชีวิตให้ไม่วุ่นวาย  มีความสงบสุข มีความร่มเย็น ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข  ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เป็นคนที่หาเรื่อง ไม่มีพิษ ไม่มีภัยกับใคร  หากใครทำได้คนนั้นย่อมมีความสุขดังที่เราบอก  ทุกคนรู้จักคุณธรรม แต่เอาชนะธรรมในตัวตนไม่ได้  ธรรมในตัวตนมักพ่ายแพ้กิเลสในตัวตน แล้วเพราะอะไรถึงพ่ายแพ้ (โลภ โกรธ หลง, ความอยากได้)  ความอยากได้ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เราแพ้กิเลสในใจตน แสดงว่าในใจเราก็มีสิ่งดีและไม่ดีอยู่ในตัวเรา  
คนเราไม่มีใครเป็นคนร้ายมาตั้งแต่เกิด หรือพูดง่าย ๆ ไม่มีใครเป็นคนชั่วตั้งแต่เกิด  ทุกคนต่างเป็นคนดีและไม่มีใครที่อยากจะใฝ่ชั่วมาตั้งแต่เกิดด้วย  ตั้งแต่เกิดมาเราก็อยากได้ความรักความอบอุ่นของอ้อมอกพ่อแม่ ไม่ใช่ความเกลียดของพ่อแม่  ตั้งแต่เกิดมาสิ่งแรกที่เราปรารถนาก็เริ่มต้นดีแล้ว  แต่ทำไมตั้งแต่เริ่มต้นมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้  สิ่งที่เราปรารถนาจึงดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เพราะอะไร เพราะว่าใจเราไม่ดีตั้งแต่เกิดก็หาไม่ เพราะว่าใจเราฝักใฝ่ไม่ดีตั้งแต่เกิดก็หาไม่  แต่เพราะความเคยชิน ความหลงผิด หรือการปล่อยตัวไปตามกระแสแห่งโลก กระแสแห่งอารมณ์  จึงทำให้เราทำผิดพลาด จึงทำให้เราลืมควบคุมตนเอง จึงทำให้เราลืมไปว่าการกระทำใดที่เรียกว่าผิด การกระทำใดที่เรียกว่าถูก การกระทำใดที่เรียกว่าเป็นคนดี การกระทำใดที่เรียกว่าทำแล้วไม่ดี  เราลืมนึกถึงข้อนี้ไป  บางครั้งอยู่บ้าน พ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาอบรมบ่มสอนเรา  แต่ในเมื่อคนทุกคนมีพื้นฐานที่ต้องการสิ่งที่ดีอยู่แล้ว  เมื่อเราปฏิบัติไม่ดีหรือเผลอทำผิดไยต้องโทษพ่อแม่  เราต้องโทษตัวเราเองมากกว่า  ทำผิดใครนำทางเรา ใครพาขาเราเดิน ก็ไม่ใช่พ่อแม่  แต่ใจเราเองต่างหาก แต่ผิดแล้วรู้แก้ไขจึงจะเป็นสิ่งที่ถูก จึงจะเป็นคนที่ดีงาม จึงจะเป็นคนที่ประเสริฐ  แต่ถ้าผิดแล้วไม่แก้ไขเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่รู้แล้วทำไม่ได้  ถ้าพูดง่าย ๆ  ก็คือโง่เขลาเบาปัญญา  แล้วตอนนี้มีผิดแล้วแก้ได้หรือยัง (ยัง)  อย่างนั้นยอมรับแล้วใช่ไหมว่าโง่เขลาเบาปัญญาไปบ้าง  โง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้แพ้ใคร แต่แพ้ใจเราเอง  ไม่ต้องกลัวว่าเราว่าท่านโง่กว่าคนอื่น ไม่ใช่แต่เราโง่กับตัวเราเอง พ่ายแพ้กับตัวเราเอง  เราไม่ได้โง่กว่าคนอื่นหรอก  เราฉลาดกว่าคนอื่น  เอาชนะคนอื่นได้  แต่ทำไมเอาชนะตนเองไม่ได้ ฉลาดกับตนเองไม่ได้
“ปฏิบัติตนเป็นอย่างหน้าที่นา เรื่องปฏิปทาไปถามมาจากตน”  มนุษย์เราเกิดมามีร่างกายพร้อมสมบูรณ์นับเป็นสิ่งที่ดี  บางคนสามารถยืนได้สูง แต่บางคนทำไมยังวนเวียนอยู่เบื้องล่าง  ทำไมบางคนเกิดมามีลาภยศเต็มไปหมด แต่บางคนไม่มีเลยสักอย่างเดียว  เรื่องหนึ่งก็คือเกิดจากบุญกรรม  แต่อีกเรื่องหนึ่งที่เราสามารถไขว่คว้าและแก้บุญกรรม หรือแก้วาสนาได้ก็คือการรู้จักมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และมีอุดมการณ์ให้กับชีวิต  ความคิดของมนุษย์ในเรื่องคุณค่าและอุดมการณ์แตกต่างกัน  ทำไมคนยืนอยู่บนเขาจึงคุยกับคนที่เดินอยู่พื้นล่างไม่รู้เรื่อง ทำไมคนที่เคยทำงานกับคนที่ไม่ทำงานบางครั้งจึงพูดกันไม่เข้าใจ
ท่านเคยสงสัยไหม เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอเข้าใจไหมว่าเพราะอะไร  นั่นก็คือว่าเพราะเขาสองคนมีอุดมการณ์ต่างกัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากดูตั้งแต่ต้น คนหนึ่งมีอุดมการณ์แล้วพยายามทำไปให้ถึงอุดมการณ์จนสำเร็จ แต่อีกคนหนึ่งอุดมการณ์ในชีวิตยังไม่เคยมี ถ้ามาพูดกับเขาว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น  ฟังแล้วเป็นเรื่องที่รู้สึกว่า  เขาพูดโม้เกินไปหรือเปล่า  เขาพูดเพ้อฝันเกินไปหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้เรามาคุยกับท่านหากเราพูดว่าตัวท่านนั้นสามารถเป็นพุทธะกลับคืนเบื้องบนได้ วันนี้ฟังก็คงเหมือนกับเรื่องที่เมื่อครู่เราพูด คือคนที่อยู่บนเขาสูงกับที่ยังเดินอยู่รอบเขา  ยังไม่คิดที่จะไต่ปีนขึ้นไปที่สูง  แต่คนสองคนนี้เหมือนกันไหม (เหมือน)  มีทั้งเหมือนและไม่เหมือน ไม่เหมือนคือคนหนึ่งมีอุดมการณ์และไปถึงอุดมการณ์จนสำเร็จแล้ว แต่อีกคนหนึ่งยังไม่มีอุดมการณ์ยังไม่มีความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วความคาดหวังหรืออุดมการณ์ในชีวิตของท่านเป็นเรื่องใดกันบ้าง  (อยากเป็นผู้นำนำสิ่งที่ดีสู่สังคม) การจะเป็นผู้นำก็คล้ายๆ กับหินที่โยนลงไปในแม่น้ำใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้ขาดหินก้อนนั้น หินที่ยอมโยนลงไปในแม่น้ำแล้วเกิดวงแตกกระจายนับไม่ถ้วน คือขาดแบบอย่างที่ดี ถ้าสังคมมีแบบอย่างที่ดีสามารถชี้ชัดได้ว่า ทำดีแล้วบังเกิดผล ทำชั่วแล้วได้โทษ คนนั้นย่อมเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วนำสังคมไปสู่การกระทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้ขาดคนเช่นนี้ ขาดคนที่ยอมเสียสละ
เมื่อครู่เราบอกว่าคนนั้นต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำ กับอีกคนหนึ่งไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งใดเลย จึงทำให้เขาสองคนแตกต่างกัน เพราะว่าความมุ่งมั่นหรืออุดมการณ์ในชีวิตของคนแตกต่างกัน จึงทำให้ชีวิตของคนค่อยๆ ตีห่างจากกันทีละน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราเกิดมาในเพื่อนบ้านเดียวกัน แต่ทำไมเขาไปได้สูงแต่เรายังย่ำอยู่กับที่นั่นก็คืออยู่ที่อุดมการณ์ความมุ่งมั่น หรือการดูชีวิตของเขาหรือการวาดฝันชีวิตของเขา  หรือถ้าพูดให้ดีหน่อยก็คือการวาดค่าให้กับชีวิตของตนเองว่าจะเป็นในทางใด บางคนวาดค่าว่าอดทนเรื่องเล็กได้แต่อย่าให้เงินขาดมือ ขาดเงินฉันทนไม่ได้อดทน ในการทำงานลำบากตรากตรำได้ แต่อดทนให้  ไม่มีเงินทำไม่ได้  อดทนให้ตัวเองมอซอแบบนี้ไม่ได้ แต่อดทนลำบากเพื่อให้ตนเองมีเสื้อผ้าสวยๆ ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คืออุดมการณ์หรือคุณค่าในการมองชีวิตและมองรูปลักษณ์ในโลกใบนี้ต่างกัน
แต่สำหรับปราชญ์นั้นเวลามองสังคมมองโลกและมองค่าชีวิต เป็นอย่างไรรู้ไหมพระโพธิสัตว์และพระพุทธองค์ท่านมองค่าชีวิตว่าชีวิตคือความทุกข์  มนุษย์ทุกคนต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ ฉันจะต้องทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ให้ได้ ค้นหาความหลุดจากทุกข์นี้ให้เจอ แล้วนำพามวลชนไปสู่ความรู้แจ้งแห่งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความแตกต่างระหว่างพุทธะกับมนุษย์ตรงที่เมื่อท่านตั้งความมุ่งมั่นแล้วท่านไปให้ถึง ความมุ่งมั่นของท่านไม่ใช่แค่ลาภยศเงินทอง แต่เป็นเรื่องชีวิต ค่าแห่งชีวิต ค่าแห่งการเป็นคน จึงทำให้ต่างกันราวฟ้ากับดิน เราสำเร็จได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน สำเร็จของเราเป็นการมีเงินมีทอง แต่ท่านสำเร็จได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการรู้แจ้งรู้ตื่นแล้วนำพามวลชนคืนสู่แดนนิพพาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ค่าของคนจึงต่างกันตรงนี้ ต่างกันตรงที่ว่าเราหวังอะไรกับชีวิต เราให้ค่าชีวิตมีค่าตรงไหน เราให้ค่าชีวิตมีค่าตรงแค่หาเงินทอง หรือเราให้ค่าชีวิตมีค่าทั้งหาเงินทองด้วย ช่วยเหลือชีวิตตนเองด้วยและนำพาชีวิตผู้อื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความต่างกันอย่างฟ้ากับดินแต่ก็ไม่ใช่จะคุยกันไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่คนขึ้นไปบนที่สูงแล้วอยากบอกคนอยู่ที่ต่ำ แต่น้อยเหลือเกินที่คนอยู่ที่ต่ำแล้วขึ้นมาบอกคนที่สูง มีหรือไม่ (ไม่มี) มีเหมือนกันที่มาบอกว่าอย่าไปเลยเหมือนสำนวนที่ว่า  “สวรรค์มีประตูแต่คนไม่เดินนรก ไม่มีทางไม่มีประตูแต่คนจะไป”  แปลว่าชีวิตของคนเรานั้นเหมือนๆ กัน จะต่างกันตรงที่ไหน แล้วจะทำให้ค่าเราสูงส่งหรือต่ำต้อยก็อยู่ที่ว่าเรามุ่งมั่น เราคาดหวัง หรือเรามีอุดมการณ์ในเรื่องชีวิตและในเรื่องรอบตัวชีวิตอย่างไรกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
(มีนักเรียนท่านหนึ่งเรียนถามท่านหลันต้าเซียนว่า “อนุตตรธรรมนี่คือธรรมชาติที่เป็นจริงไม่ขึ้นกับเวลา มนุษย์ทำไมต้องเกิดมา แล้วเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ค้นหา ปรากฏว่าสิ่งมีชีวิตมีเฉพาะบนดาวดวงนี้ ดาวดวงอื่นยังไม่ค้นพบ ทำไมอนุตตรธรรมถึงสร้างมนุษย์เฉพาะบนโลกดวงนี้”)  เขาถามว่าอนุตตรธรรมทำไมจึงสร้างมนุษย์ให้เกิดมาบนโลกนี้ ในดาวดวงอื่นทำไมจึงไม่ค้นพบ จริงๆ  ในดาวดวงอื่นก็มีสรรพชีวิตเหมือนกัน แต่สรรพชีวิตนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นรูปร่างคน อาจจะเป็นรูปร่างอื่นที่เรายังสืบหา ค้นหาไม่เจอ  จะพูดว่าไม่มีชีวิตก็เป็นไปไม่ได้  ทุกสรรพสิ่งเมื่อมีโลก มีฟ้า มีสวรรค์ มีแดนให้คนอยู่ย่อมมีชีวิต  แต่ชีวิตอาจจะยังหาไม่เจอก็เป็นได้ นั่นขึ้นอยู่กับว่าภูมิปัญญาของคนได้ไต่เต้าไปถึงเท่าไหร่ จะพูดว่าในโลกนี้มีเฉพาะมีสรรพชีวิต จริงๆ แล้วเราอยากจะบอกว่าไม่  จริงๆ ดาวดวงอื่นก็มีชีวิตเหมือนกัน แต่ชีวิตอาจจะไม่ได้เรียกว่าคน ไม่ได้เรียกว่าสรรพสิ่ง ไม่ได้เรียกว่าพืช อาจจะเป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่นอกเหนือจากคำพูดจะกำหนดได้ พอเข้าใจไหม  เราแก้ให้เปลาะหนึ่งก่อน ส่วนอีกเปลาะหนึ่งทำไมมนุษย์จึงต้องเกิดมาบนโลกนี้  จริงๆ แล้วคำว่าเกิดดับมนุษย์เราเป็นคนกำหนดคำว่า เป็น อยู่ ตาย เปลี่ยนแปลง มนุษย์เราให้ตัวอักษรเป็นคำพูด แล้วการแบ่งแยกฟ้า สวรรค์ นรก มนุษย์ก็เป็นคนแบ่งอีกใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ สรรพสิ่งในโลกนี้หากพูดว่าเกิดดับทุกๆ ที่ก็มีเกิดดับ แต่เราสามารถจะดับได้ไหม หรือเราสามารถจะหยุดการเกิดได้ไหม ขึ้นอยู่กับตัวเราปฏิบัติต่อโลกใบนี้เช่นไร หากเราปฏิบัติได้ถูกต้อง ดำเนินได้ถูกหนทาง กลับคืนได้ถูกทิศทาง จะเป็นการดับที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป แต่เป็นเพราะว่ามนุษย์เราเมื่อมีโอกาสแล้ว บ่อยครั้งที่อยู่ตรงนี้ก็อยากไปตรงโน้น อยู่บนฟ้าก็อยากจะอยู่บนโลก  หากจะบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้ท่านเกิด แต่ตัวท่านเองนั่นแหละเป็นผู้ที่อยากลงมาเกิด อยากมาช่วยโลกเอง อนุตตรธรรมไม่ได้กำหนดให้ท่านลงมาเกิดคน แต่ให้ท่านลงมาทำหน้าที่  เมื่อลงมาทำหน้าที่ มาอยู่ตรงนี้แล้ว เราเกิดแล้วเราไม่ยอมกลับ  เราเกิดๆ ดับๆ แล้วหาทางกลับไม่ถูก หาทางดับไม่ถูกทาง  ฟังดูแล้วอาจจะยิ่งฟังยิ่งงง เพราะเรื่องเกิดดับเป็นเรื่องที่เรายากจะพูดถึง แต่ทำอย่างไรให้เราอยู่ตรงนี้ เข้าใจตรงนี้ แล้วเข้าใจเรื่องการเกิดดับได้ถูกต้องก่อน หากตรงนี้เรายังทำไม่ดี จะไปพูดทำไมในเรื่องอนาคต จะไปพูดทำไมในเรื่องที่เรายังไม่รู้แจ้ง จริงหรือไม่  บ่อยครั้งที่เราอยู่ในป่า เรารู้หมดว่าต้นไม้มีกี่ต้น นกมีกี่ชนิด  แต่ชีวิตเราเป็นอย่างไร นิสัยอย่างไร  เรารู้ไหม  แล้วเรียนรู้ป่าไปทำไม  ในเมื่อตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเรียนรู้ป่าต้องรู้จักสอนชีวิต มองธรรมชาติของชีวิต ต้องมองย้อนชีวิตตนเป็น อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเรียนรู้แล้วนำมาสอนตนเอง แล้วพาตนเองกลับคืนสู่ที่เดิมได้ แต่ตอนนี้เริ่มต้นเรายังไม่รู้ เดินไปยังไม่ถูกทาง ฉะนั้นเราจะไปพูดทำไมเรื่องอีกไกล  สู้เราพูดในเรื่องตรงนี้ให้ถูกแล้วเป็นได้ดี เมื่อเป็นไปได้ดี ไปได้ถูกแล้วไปดับ  อย่างนี้น่าสนใจกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  การรู้เรื่องอนาคต การรู้เรื่องโลกจึงเป็นเรื่องที่รู้แล้วยังไม่มีประโยชน์ จริงหรือเปล่า(จริง)  ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากบอกท่าน แต่อยากให้ท่านเข้าใจชีวิตตรงนี้ก่อน  ถ้าท่านเข้าใจชีวิต  ก็จะเหมือนกับสำนวนที่ว่า”อยู่ในบ้าน โลกภายนอกก็เรียนรู้ได้หมด” เพราะทุกๆ อย่างในโลกล้วนเกิดจากใจตนจริงหรือไม่ (จริง)  ทำไมเรียกว่าโลก ทำไมเรียกว่าฟ้า ทำไมเรียกว่าดี ทำไมเรียกว่าชั่ว  เพราะใจเราเป็นคนกำหนดจริงหรือไม่ (จริง)  แท้ที่จริงแล้วดีชั่วเหมือนกันไหมจริงๆ แล้วมีพื้นฐานเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่อีกคนหลงผิด อีกคนหนึ่งเดินทางถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการจะมาพูดวันนี้ เราต้องการจะมาพูดให้รู้จักชีวิตก่อน เมื่อรู้จักชีวิตแล้วนำพาชีวิตให้ถูกทาง ท่านย่อมสามารถหยิบใช้ฉวยของในโลกนี้ได้เป็น ไม่เดือดร้อน และไม่เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  อาจจะยังกระจ่างไม่หมด  แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อนดีไหม เพราะยังมีหลายคนที่สงสัยเหมือนกัน ถ้าวันนี้ทั้งวันเราตอบคำถามทุกคนคงตอบได้ไม่หมด  วันนี้เรามาคุยกันเรื่องชีวิตง่ายๆ ก่อน แต่ง่ายๆแบบนี้ทำไม่เคยสำเร็จสักที ดับทุกข์ไม่เป็นสักที จริงหรือไม่ (จริง)   
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ร่วมกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่าจะทำงานหรือว่าจะปกป้องเภทภัย เราต้องใช้ความร่วมมือของทุกๆ คน  การดำเนินชีวิตคนเดียวบนโลกนี้ย่อมยากที่จะสำเร็จ ใช่หรือเปล่า แต่นั่นเพราะอะไร ทำไมอยู่บนโลกนี้ยังต้องมีกฎเกณฑ์ควบคุมคนในสังคม ให้ดำเนินไปในทางเดียวกัน ให้สอดคล้องกัน  ทั้งที่เราอยู่บนโลกนี้ ใครๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น  ทำไมจึงต้องมีมาตรการหรือกฎเกณฑ์ของสังคมมา  ควบคุมจิตใจเรา  ทำไมจึงต้องมีคุณธรรมมาคอยบังคับไม่ให้เราพลาดพลั้งทำผิด เราเคยสงสัยไหม (สงสัย)  ชีวิตนี้เช้ามาหาเงิน หาเงินได้เป็นสุขแล้วนอนหลับ เท่านั้นหรือ  จริงๆ แล้วเราต่างหวังดีให้แก่กัน แต่เพราะอะไรบ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกัน เรามักทะเลาะเบาะแว้งกัน  เพราะว่าเรามีความคิดที่แตกต่างกัน มีความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็มีกิเลสตัณหาที่เราใฝ่ ที่เราปรารถนาเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเหมือนกันเราก็เกิดการแย่งกัน เบียดเบียนทำร้ายกัน  แต่ถ้าต่างกันแล้วมากเกินขอบเขตที่ควรมี มากเกินขอบเขตแห่งความดี เราก็ย่อมทำร้ายเขาอย่างไม่มีสิ้นสุด เพราะว่ามนุษย์เรามีกิเลสและความเป็นตัวตนที่อยากจะได้ อยากจะมี จึงทำให้เราเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นโดยที่ยอมละเมิดคุณธรรมและความเป็นเพื่อน  โดยที่ยอมแม้กระทั่งทำร้ายบุพการีของตน เพียงเพราะตนต้องได้สมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากทำเช่นนี้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับสรรพสัตว์ในโลกนี้  สัตว์นั้นมีความรักแต่เป็นรักที่ไม่ตลอด  สัตว์ในบางจำพวกนั้นไม่รู้จักว่าใครคือพ่อแม่  แล้วบางทียังทำร้ายกันได้ลงคอแม้เป็นพี่น้องกันเอง  แต่มนุษย์เราประเสริฐกว่าสรรพสัตว์ เราต้องรู้จักควบคุมกิเลสตนเองให้เป็น  แล้วเราจะควบคุมกิเลสกันอย่างไรดี (พอใจในสิ่งที่เรามี)  แต่ความเป็นจริงของมนุษย์มักจะไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่  มักจะเอาชนะกิเลสในใจตนไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรเราถึงเอาชนะกิเลสในใจตนไม่ได้ (เพราะกิเลสมีมากกว่า)  เพราะกิเลสมีมากกว่าความดีในใจเราหรือ  อยากให้กิเลสมีน้อยกว่า อย่างนั้นต้องพยายามทำให้กิเลสมีน้อยให้จงได้ ดีหรือไม่  แล้วการจะเอาชนะกิเลสด้วยการกด ข่มไว้ เป็นวิธีที่ถูกไหม  โดยการขับไล่ไปเลยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ตราบใดที่มีชีวิต ตราบนั้นมนุษย์ยังมีความอยาก  ตราบใดที่ยังมีร่างกายมนุษย์ยังต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ  ยังต้องหาเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรกับตัวกิเลสที่อยู่ในใจเราดี (ต้องพยายามสงบจิตใจตนเองให้ได้)  ต้องพยายามสงบ หรือพูดง่ายๆ คือต้องพยายามควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้  ไม่ให้กิเลสนั้นพลุกพล่านและนอนเนื่องเป็นสันดานในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะต้องพยายามละลายให้ได้  แต่การจะละลายนั้น  เราต้องรู้จักละลายให้เป็น  มีให้เป็น  อยากให้ถูก  มีแบบไหนเรียกว่ามีเป็น และอย่างไหนเรียกว่าอยากอย่างถูก (อยากได้โดยการรู้จักฐานะตนเอง)  นั่นคือรวมใจให้เป็นหนึ่งอย่าแตกแยกเป็นสอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความทุกข์ยากต่างๆ ล้วนเกิดจากใจ  เมื่อใจเป็นสอง ใจหนึ่งเรียกว่าขาว ใจหนึ่งเรียกว่าดำ  ดำคือกิเลส การใฝ่ไม่ดี  ขาวคือคุณธรรม ความดีงาม  ถ้ามีเท่าๆ กันการแสดงออกย่อมเป็นอย่างไร  ย่อมยากที่จะผิดหรือผิดไม่มากเท่าไหร่  แต่ถ้าเมื่อไหร่เรามีด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าจนครอบคลุมได้หมด เราจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างเดียว  ไม่มีใจที่มาทำให้เราหวั่นไหว เปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราสามารถทำให้ใจเรากลายเป็นใจดวงเดียวกันได้ไหม 
บ่อยครั้งที่เรื่องราวบนโลกนี้ ความสุขก็ทำให้เราหลงลืมตัวเองเผลอกระทำผิด กลายเป็นทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความทุกข์ก็อาจจะทำให้เราจมปลักจนแทบจะไม่มีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรื่องราวในชีวิตนี้ บางครั้งเราอยากจะให้อยู่กับที่แต่ก็เปลี่ยนแปลงไป บางครั้งเราอยากให้เปลี่ยนแปลงแต่ก็อยู่กับที่  บางครั้งเราอยากให้สมหวังแต่เรื่องราวก็กลายเป็นผิดหวัง บางครั้งเราอยากออกห่างจากเขา ไม่อยากสมหวังกับเขา แต่ก็กลับกลายเป็นสมหวัง  เรื่องราวในโลกนี้บางครั้งอยากได้อะไรกลับยิ่งหนี  อยากมีอะไรกลับยิ่งยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่ยังรู้จักทำใจ หรือยอมรับ หรือพูดง่ายๆ คือปลงตกได้ คนนั้นย่อมสุข มีสวรรค์อยู่กับใจ  แต่ผู้ที่ปลงไม่ตกยอมรับสรรพเรื่อง สรรพชีวิตในโลกใบนี้ไม่ได้ย่อมเป็นทุกข์ มีนรกอยู่กับตน การรู้จักทำใจให้เป็น การรู้จักปลงตกกับชีวิต จะทำให้เรามีประโยชน์ จะทำให้เราสามารถมีชีวิตยืนหยัดอย่างเข้มแข็งห้าวหาญบนโลกใบนี้ บนเรื่องราวต่างๆ ที่พานพัดเข้ามาได้ โดยการปฏิบัติ โดยการกระทำ เมื่อไรเรายอมรับเรื่องราวได้ เรารู้จักที่จะเลือก เรารู้จักที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง ไม่รังเกียจดูหมิ่นดูแคลนใคร สามารถอยู่ร่วมกับใครๆ ก็ได้ สามารถรับเรื่องราวในโลกอะไรก็ได้  เราย่อมเป็นสุข จิตใจเราย่อมปลอดโปร่งและแจ่มใส  การยอมรับเรื่องราว การวางใจให้เป็นปกติสุข ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง ไม่แยกใจให้เป็นสอง รวมใจให้เป็นหนึ่งในการอยู่บนโลกนี้ นั่นคือการบำเพ็ญตน นั่นคือการรู้จักนำพาชีวิตตนเองให้ดีงาม ให้รู้จักมีความสุขง่ายๆ กับชีวิต ยอมรับและเปิดใจกว้าง  เหมือนวันนี้หากท่านยอมรับเราไม่ได้ จะเป็นสุขไหมในการนั่งอยู่ร่วมกัน (ไม่เป็นสุข)  ไม่เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะให้เรากลับไวๆ ใช่หรือเปล่า (เปล่า)  มีใครขับไล่เราหรือเปล่า (ไม่มี)  แต่เมื่อครู่เราได้ยินแว่วๆ ว่าเมื่อไรจะจบเสียที  
การทำใจก็คงไม่ยาก ใช่หรือไม่  แล้วเมื่อเราเจอปัญหา เราจะต้องรู้จักสืบสาวหาเรื่องราวให้เจอ แล้วแก้ให้ได้  เมื่อแก้ให้ได้ ใจเราไม่วิตก ใจเราไม่กังวลกับสิ่งที่ผ่านมา ทำให้เบาใสเป็นสุข เราย่อมอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสันติและสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
บ่อยครั้งที่เรื่องผ่านไปก็เป็นทุกข์  เรื่องที่ยังไม่ผ่านมาก็กังวล จึงทำให้ชีวิตวันนี้วุ่นวายและยากสงบใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะกังวลกันอยู่สามกาล ไม่อดีตก็อนาคต  ไม่อนาคตก็ปัจจุบัน  สู้กังวลแต่ปัจจุบันแล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าผัดวันประกันพรุ่ง  โลกนี้ไม่มี  คำว่าพรุ่งนี้  โลกนี้มีแต่คำว่าวันนี้  ฉะนั้นทำไมเราไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ต้องมัวสะสม มัวกังวลในเรื่องอนาคต ถ้าวันนี้ดีจะไปกลัวอะไรกับอนาคต  ที่แล้วมาแก้ได้ด้วยการทำวันนี้ให้ดี  ที่แล้วมาสำนึกได้ แก้ได้ด้วยการทำวันนี้ให้ถูกต้อง  หากชีวิตเรารู้จักคำว่าถูกต้องและดีงาม จะกลัวอะไรกับความทุกข์ยากบนโลกนี้  หากชีวิตเรารู้จักเปิดกว้าง ยอมรับทำใจได้เป็น จะกลัวอะไรกับความทุกข์ยาก ลำบาก จริงหรือไม่ (จริง)  หากชีวิตเราอดทนเรื่องเล็กๆ ได้จะกลัวอะไรกับเรื่องใหญ่ จริงหรือไม่ (จริง)  จึงมีคำกล่าวว่ามองเห็นรูรั่วเล็กได้เราย่อมดับไฟ หรือดับภัยอันยิ่งใหญ่ได้ ถ้าเมื่อไรรูรั่วเล็กๆ ที่เกิดจากใจเราดับไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยากจะมีสุขได้  ฟังตรงนี้แล้วพอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
มนุษย์เราตายแล้วไปไหน อยากรู้ไหม (อยาก)  ดูง่ายๆ มนุษย์เราชอบสิ่งไหนก็ไปสิ่งนั้น รักสิ่งไหนก็ไปหาสิ่งนั้น  ตอนนี้ท่านชอบสิ่งไหน เงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเงินทองหาได้ด้วยการทำอย่างไร  ทำงานและดิ้นรนไปแสวงหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้พอเดาได้หรือยังว่าเราตายแล้วเราจะไปไหน  มีทางจะไปสวรรค์ไหม  เพราะเมื่อมีเงินมีทอง ตัวจะเป็นอย่างไร (หนัก)  หนักแล้วก็หยาบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนักใกล้กับฟ้าหรือใกล้กับดิน (ใกล้กับดิน)  แล้วไปไหน รู้แล้วใช่หรือไม่  นี่คือเรื่องง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามีชีวิต ทำวันนี้ให้เบา ใส สว่าง สงบในทางที่ถูก รู้จักควบคุมจิตใจให้ดีงาม ยอมรับในสิ่งที่ควรยอมรับ สิ่งใดที่ไม่ถูกไม่ควรรีบแก้ไข รีบปรับปรุง จะกลัวอะไรกับวันพรุ่ง  วันนี้ได้รับธรรมพรุ่งนี้ตายก็ไม่กลัว  วันนี้ฟังธรรมพรุ่งนี้ตายก็ไม่กลัวแล้ว  แต่จะมีใครสักกี่คนที่วันนี้ฟังธรรมพรุ่งนี้ตายแล้วกลัวบ้าง  กลัวกันหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรื่องเกิดดับในโลกนี้ อยากรู้ไหมว่าทำอย่างไรเราจะดับเรื่องราวในโลกนี้ได้ (อยากรู้)  อย่างนั้นดับความอยากก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วความดับในเรื่องนี้ หรือการดับในโลกนี้ ไม่ยากเลย  ดับอย่างไร  เมื่อไรที่เราไม่มีตัวตน เมื่อนั้นเราก็ตายแล้ว  เข้าใจคำว่าไม่มีตัวตนไหม เราเคยกล่าวไว้เมื่อประชุมธรรมครั้งที่แล้ว  เราพูดเรื่องการเกิดดับให้เขาฟังเหมือนกัน  ทุกคนสนใจกันใหญ่เลย  แต่ฟังจบแล้วดับไม่ได้สักคน  อย่างนั้นเราพูดง่ายๆ เกิดก็คือการมีชีวิตและรู้สึกเป็นตัวตน  ตายก็คือหมดชีวิต ไร้ตัวตน  ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์มากระทบเรา เราดับได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมดับไม่ได้  ก็เพราะลืมตัวตนไม่ได้  เมื่อใดที่ลืมตัวตน ไม่มีที่ให้กิเลสอยู่  กิเลสจะเกาะอะไร จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อกิเลสไม่เกาะการดับ  การเกิดจะต้องมานั่งพูดไหม (ไม่)  
มีชีวิตเพียงเพื่อทำวันนี้ให้ดีที่สุด  ทำหน้าที่ ทำภาระตนเองให้ดีที่สุด  มีโอกาสช่วยคน นั่นแหละก็คือการเกิดมา  แต่คนเรามักจะเป็นอย่างไร  ดับอารมณ์ไม่ได้  ดับความอยากไม่ได้  เหมือนเกิดเป็นแต่ดับไม่เป็น  อยากได้แต่หยุดไม่เป็น  เอาแต่อยากๆ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วทำไมไม่หยุดกัน  หยุดไม่ใช่แค่หลับ แต่ต้องหยุดที่ใจ  เพราะเมื่อไรที่เราหยุดที่ใจ หรือว่าพอ เมื่อนั้นเราเป็นสุข จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นการเกิดดับในโลกนี้จะกลัวอะไร  ถ้าเมื่อไรเราลืมตัวตน  การเดินทางในโลกนี้เมื่อเราเดินจนถึงสุดปลาย  ทิ้งตัวตนเสีย  เมื่อนั้นเราก็จะดับได้  แต่เมื่อไรเราทิ้งตัวตนไม่ได้  เมื่อนั้นแม้จะไม่มีกายแล้ว ใจเราก็ยังกังวล เกาะติดกับอารมณ์ เกาะติดกับลูกหลาน  เพราะว่าฉันคนนี้มีลูก ตัวฉันคนนี้มีเงิน  ฉันคนนี้ก็เลยยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด  เพราะว่าดีดตนเองจากกิเลส  ดีดตนเองจากโลกใบนี้ไม่ได้  เมื่อไรที่ดีดได้ต้องดีดได้ทั้งตัวตน ทั้งวัตถุรูปนามได้ด้วย  เมื่อดีดได้ทั้งสองอย่าง  เมื่อนั้นย่อมหลุดพ้น จริงหรือไม่  (จริง)  แต่เมื่อไรรูปนามดีดได้  แต่ตัวตนดีดไม่ได้ นี่คือตัวฉัน นี่คือของๆ เธอ นี่คือของๆ ฉัน  เมื่อนั้นไม่มีวันหลุดพ้น  เพราะว่ายังติดอยู่ ยังมั่นอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  ดูง่ายๆ เหมือนคนที่ชอบมอง ชอบดูภาพไม่ดี  ตายไปก็ไปเกิดเป็นอะไรรู้ไหม จิ้งจกที่เกาะอยู่ฝาผนัง  ภาพอะไรสวยไม่สวยก็ได้ดูหมด ได้ดูทุกวันเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนใครชอบทำอะไรในที่ลับ ซ่อนในที่มืด  ชอบอยู่ในที่มืดๆ ที่สว่างอยู่ไม่ได้ อยู่ในที่มืดๆ แล้วมีเสียงเพลงดังกึกก้อง ตายไปก็ไปไหน ก็กลายเป็นไส้เดือน กิ้งกืออยู่ใต้ดิน  เพราะเวลาคนเหยียบทีหนึ่งก็เป็นจังหวะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการดำรงชีวิตของเราตอนนี้  วันนี้จะเป็นตัวผลักดัน  จะเป็นตัวชี้ชัดว่าเราจะไปทางใด  หากวันนี้ไม่เร่งรีบปฏิบัติ  หากวันนี้ไม่เร่งรู้ตื่นชีวิตตนเองให้มีค่า  ให้มีปณิธาน  ให้มีอุดมการณ์ที่สูงส่ง  เราก็จะเป็นนกที่พอใจบินอยู่กับพื้น  หรือเดินต๊อกๆ อยู่กับดิน จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วนกที่อยู่บนฟ้ากับนกที่อยู่บนดินต่างกันหรือไม่ (ต่าง)  ไม่ต่างเลย  อยู่ที่ว่าเมื่อไรจะก้าวให้ตนเองมีอุดมการณ์  มีคุณค่าแล้วรู้ค่าชีวิตที่แท้จริง 
หากมีเมืองๆ หนึ่ง  ภายในเมืองๆ นี้ คนทำงานหรือคนปฏิบัติงานสามัคคีกลมเกลียวกัน  ศัตรูจะมารุกรานย่อมยาก  ครอบครัวๆ หนึ่งจะแตกแยกหรือเป็นสุขต้องเกิดจากภายในบ้านอยู่ร่วมกันได้อย่างฉันท์มิตรก่อน  หากมีใครคนใดคนหนึ่งเกิดจิตใจฝักใฝ่ภายนอก  การที่คนอื่นจะมายุยงส่งเสริมให้แตกแยกย่อมเป็นการง่าย  หากตัวเราหรือสรรพสิ่งนั้นเน่า หนอนย่อมเกิด  เฉกเช่นเดียวกันหากภายในตัวเรามีความคิดที่อกุศล  มารย่อมลงมาสู่  ใจไม่ดีย่อมปรากฏ  นั่นก็คือว่าสรรพสิ่งในโลกนี้จะดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับใจภายในของเราคิดเช่นไร  หากเราไม่มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ไม่คดโกง  มารจะมากล้ำกรายได้ไหม (ไม่ได้)  ความทุกข์ยากจะมาสู่เราได้ไหม (ไม่ได้) ก็ไม่ได้  ฉันใดก็ฉันนั้น  หากจิตเราวางได้ถูก  รากเราลงได้ถูกไม่มีหนอนมาชอนไช  รู้จักดูดซับสิ่งที่ดี การบำรุงเลี้ยงต้นย่อมเจริญเติบโตงดงามได้  หากใจเรารู้จักบ่มเพาะในสิ่งที่ดีงาม  รู้จักเลือกสรรว่าอะไรดี อะไรควรรับ อะไรควรหยุด อะไรควรมี  การจะเจริญเติบโตหรือมีชีวิตบนโลกนี้ย่อมเป็นสุขและเจริญงอกงาม  เป็นสิ่งที่ต้องการของทุกคน  ฉะนั้นใจจึงเป็นส่วนสำคัญ  หากเราไม่ควบคุมให้ดี  กฎเกณฑ์สังคมอะไรก็ยากจะควบคุมได้  กฎหมายบางทียังควบคุมได้ไม่หมด  ไม่เหมือนกฎแห่งคุณธรรมศีลธรรม ควบคุมได้ทั้งนอกและใน ควบคุมทั้งที่มืดและสว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงไม่ควรละเลยคุณธรรม และเราจึงไม่ควรมองข้ามคุณธรรมในการปฏิบัติ  เมื่อไรที่เราสามารถมีชีวิตได้อย่างกลมกลืนสอดคล้องได้ เรียกว่ามีอย่างพอเหมาะ อยากให้อยากอย่างรู้ควร  อะไรดีอะไรชั่วแบ่งแยกให้เป็น รู้เด่นชัด  การดำเนินชีวิตให้มีคุณธรรมจึงไม่เป็นเรื่องยากเลย  การดำเนินชีวิต ให้บำเพ็ญตนให้เป็น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเหมือนกัน จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าอะไรควร อะไรไม่ควร (รู้แล้ว)  รู้หรือยังอะไรดี อะไรร้าย (รู้)  เราดีท่านร้าย การคิดแบบนี้ก็ไม่ถูก ต้องเรียกว่าเราดีได้ เขาต้อง (ดีได้)   เรารวยได้  เขาต้อง (รวยได้)  ทำได้ไหม  นั่นแหละก็คือการฝึกจิตใจ ความเป็นคนที่มีเมตตา  ฝึกจิตใจที่รู้จักให้  บ่อยครั้งที่เรามักพูดว่า สังคมเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เอาแต่ได้  แต่พอถึงคราวที่เราเสียสละ ทำไมท่านกลับเห็นแก่ตัวตามเขาไปด้วย  พอถึงคราวที่เราต้องเสียสละ เรากลับพูดว่าปล่อยๆ ไปเถอะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือไม่ก็บอกว่าเอาไว้ทีหลัง เอาไว้วันหน้า  แล้ว
วันหน้าเมื่อไรจะมีวันนี้สักที  จริงหรือเปล่า (จริง)
การจะเรียกร้องสังคม การจะเรียกร้องผู้อื่น หรือการจะเรียกร้องแม้
กระทั่งบุตรหลานตัวเอง  หากตนเองไม่เคารพตนเองใครจะเคารพเรา  หากตัวเราเองไม่นำก่อน  ใครจะตามเรา แล้วใครจะเชื่อเรา 
คงเป็นการพูดสั้นๆ เท่านี้  สงสารผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนกันจนเมื่อยแล้ว  รู้เรื่องกันทั้งหมดไหม  อย่าบอกนะว่าฟังได้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งฟังไม่รู้เรื่องแล้ว  สิ่งที่เราทิ้งไว้ก็คือกลอนทั้งหมดนี้  ตรงไหนไม่เข้าใจ ไม่แจ่มแจ้งขอให้มีโอกาสมาทบทวนศึกษาได้หรือไม่ (ได้)  วันนี้ฟังธรรมทั้งหมดให้รู้เรื่องก็คงเป็นไปไม่ได้  มีโอกาสขอให้มาเพิ่มอีกวันหนึ่งได้หรือเปล่า (ได้)  
เราไม่ได้มาเพื่อให้ท่านมาเคารพเราหรือยกย่องเรา แต่เราอยากให้ท่านได้รู้ว่าชีวิตคนเราเป็นสิ่งมีค่า ขอให้ถนอมรักษาให้ดีและนำพาให้ถูกทาง  การจะกลับคืนสู่แดนนิพพาน หรือการจะกลับคืนสู่ที่มาเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่วันนี้และวันพรุ่งนี้หรือต่อๆ ไป ทุกคนล้วนมีแต่เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง  หากเบาได้ขอให้เบา แล้วเอาเวลาที่สามารถปลีกได้มาช่วยเหลือ     ตนเองและมานำพาคนอื่นได้หรือไม่ (ได้)  ท่านคิดว่าการมีเงินทองกับการมีคุณธรรม สิ่งไหนควรมีมากกว่ากัน สิ่งไหนช่วยชีวิตเราได้ตลอดมากกว่ากัน (คุณธรรม)  เงินทองช่วยได้แค่กายปลอมตัวนี้ แต่คุณธรรมช่วยได้ทั้งตัวนี้และตัวที่อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำพูดเราจะเป็นจริงหรือหลอกลวงขอให้เอาไปพิจารณาดู  หากท่านนำคุณธรรมไปใช้ได้ คุณธรรมจะช่วยทั้งกายเนื้อและพุทธจิตธรรมญาณ  แต่เงินทองช่วยได้แค่กายเนื้อเท่านั้นเอง พิสูจน์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอท่านปฏิบัติ  ขอให้พยายามทำให้ได้  เอาชนะใจตนเองให้ได้  ชนะคนอื่นไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าตนเองยังไม่เคยชนะเลย  สะสมทรัพย์แม้จะมีมาก  แต่มีแล้วก็มาหวาดวิตก  ไม่เหมือนมีคุณธรรม มีมากเท่าไหร่ก็ไม่ต้องวิตก ถ้าคนนั้นไม่ยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งมีคุณธรรมก็ยึดติด   คุณธรรมอีก  เช่น สร้างกุศลร้อยบาทก็ต้องมีชื่อ ต้องเขียนชื่อ  แต่อย่าลืมว่าปิดทองหลังพระย่อมมีคุณธรรมยิ่งใหญ่กว่า  ช่วยโดยไม่หวังผลย่อมมีบุญกุศลมากกว่า  อยู่บนโลกนี้ดำเนินชีวิตมาถึงสุดปลายแล้ว ขอให้ทิ้งตัวตนเสีย อย่าได้กังวล  เมื่อใดทิ้งตัวตนได้ เมื่อนั้นย่อมเบา  ถ้าเมื่อไรยังทิ้งความเป็นตัวตนไม่ได้ เมื่อนั้นย่อมหนัก  การจะกลับคืนสู่เบื้องบนย่อมเป็นการยาก  การจะมีจิตใจที่โปร่งใสเบาสบายเมื่อยามมีชีวิตก็เป็นการยากเช่นกัน  ขอให้ดูแลรักษาตนเองให้ดี ๆ  อย่าพาตนเองตกลงไปในห้วงเหวแห่งโลกีย์อีก  สวรรค์มีทางให้แล้ว เป็นสวรรค์ที่สูงสุดหรือเรียกง่าย ๆ ว่านิพพาน  ขอให้รู้จักค้นหา หาให้เจอแล้วเดินให้จงได้  แล้วเราก็จะไปพบกันที่นั่น อย่าพบกัน  ตรงนี้เลย  

วันอาทิตย์ที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อันความสุขที่แท้จริงคือสิ่งใด สละให้ผู้อื่นไม่หวังผล
ชีวิตหนึ่งเวลาสั้นย้อนมองตน ศิษย์ทุกคนขอโปรดจงได้เห็นตาม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานบ้านสกุลหยัง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

อย่ากลัวความยากลำบากเลยศิษย์รัก แบกของหนักจึงรู้เบาเป็นไฉน
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย เร่งละลายเหล่ากิเลสในใจตน
เมื่อเคยแพ้จึงชนะอย่างภาคภูมิ ศิษย์มีปูมความหลังคอยส่งผล
วิบากกรรมนำพาศิษย์จำทน ไปช่วยคนพ้นวิบากได้เป็นไท
เรือน้อยล่องกลางทะเลมรสุมมาก ละความอยากในใจตนให้สลาย
เป็นพุทธะต้องศึกษาให้เข้าใจ เป็นคนใหม่หลังจากได้ผ่านหล่อหลอม
ในวัยหนุ่มระวังเรื่องกามตัณหา ฉกรรจ์มาใจนักเลงขาดอ่อนน้อม
วัยชราหลงละโมบต้องตรมตรอม ศิษย์จงพร้อมระวังสามเวลานี้
จงปล่อยวางซึ่งสิ่งใดควรปล่อยวาง ใจสว่างอยู่ร่วมกันดั่งน้องพี่
จะใกล้ไกลบอกตนเองเวลามี ขยันที่มาสถานธรรมฟื้นดวงญาณ
ฮา  ฮา  หยุด

ชีวาไม่เคยแน่นอน  ขึ้นลงเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป  เวียนว่ายในสุขทุกข์ที่วุ่นวาย  ไปกับอารมณ์นั้น  เวลาที่ทนทุกข์ใจ  ใครใคร่ครวญกว่านั้น  ความเศร้าในวันนั้น  แม้เจ้าผ่านโปรดได้รู้ระวัง
*ผลีผลามเป็นสุขที่ไหน  คนใจร้อนสอบเป้าหมาย  เมื่อจิตใจร้อนใหญ่  นาทีไม่ยอมจะรอ  ผลุนผลันเป็นสุขที่ไหนเหมือนไม้แข็งไม่อาจงอ  ฝึกจิตใจให้รอ  บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่
ใครนำสิ่งดีของตน  เผยความไม่ดีสหาย  คุณธรรมสลายมิคงหยุดอยู่มิอาจเหลือไว้  แค่เพียงหากใครรู้ตน  ก็จงได้หมั่นแก้ไข  ตนได้ทำแค่ไหนผลงาม       ย่อมตกเท่าตนได้ทำ

ทำนองเพลง : สงสารกันหน่อย
ชื่อเพลง :   บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เรือลำนี้นั่งไม่สบายเลยนะ  อาจารย์อยู่ในเรือรู้สึกเรือจะโยก  แสดงว่าเราพายไม่นิ่งพอ  ถ้าเราพายเก่งๆ เรือต้องไปตรงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเรือยังโยกไปโยกมาอีกล่ะ (พายไม่พร้อมกัน)  พายไม่พร้อมกัน พายแล้วเรือหมุนไปหมุนมาเพราะว่าไม้พายชนกัน คนหนึ่งอยากจะพาย ข้างซ้าย คนหนึ่งอยากจะพายข้างขวา ถ้าพายแบบนี้เรือก็จะหมุน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คงเป็นคำตอบจากผู้ที่เคยพายเรือ เพราะฉะนั้นการพายเรือเป็นเรื่องง่ายไหม (ไม่ง่าย)  อาจารย์ ทำไมบอกว่าเวลาที่เราพายเรือแล้ว เรือลำนี้นั่งไม่สบาย เพราะว่าเรานั้นต้องอาศัยความสามัคคีเป็นหลัก  หากว่าเรานั่งอยู่ในเรือเราก็ย่อมรับรู้ได้ว่าเรือลำนี้พายได้ตรงดีหรือไม่  ถ้าหากว่าเราอยู่นอกเรือเป็นแต่คนมองไกลๆ  เราจะรู้ไหมว่าเรือลำนี้พายแล้วรู้สึกอย่างไร (ไม่รู้)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้ามานั่งบนเรือลำนี้เอง  เหมือนกับสองวันนี้ที่ตั้งใจมาศึกษาธรรมะต้องศึกษาเอง  ศึกษาแล้วลองดูเรือตัวเองว่าโยกไปโยกมาหรือเปล่า (โยก)  เรือในหัวตัวเองหมุนไปหมุนมาหรือเปล่า (หมุน)  สงสัยบ้างไม่สงสัยบ้าง ศรัทธาบ้าง สงสัยบ้าง เป็นหรือเปล่า (เป็น)  แสดงว่าเรายังนั่งไม่สบาย  เมื่อเรือของเรานั่งไม่สบาย  ถามว่าจะให้คนอื่นมานั่งได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจะต้องกำราบอะไรที่อยู่ในใจของเราก่อน (กิเลส)  ถ้าพายนิ่งๆ ดีก็เรียกว่า “เรือ” ถ้าไม่นิ่งเรียกว่า “ลิง” ดีไหม (ดี)  เพราะใจของเราว่องไวรวดเร็ว  เร็วดีหรือเร็วไม่ดี (เร็วดี, เร็วไม่ดี)  เวลาที่เราจะปฏิบัติงานธรรม  เวลาที่เราจะบำเพ็ญธรรม  ช้าดีหรือเร็วดี (เร็วดี)  ถามว่าเร็วต้องเร็วแบบไหน (มั่นคง) ถ้าช้าต้องไม่ช้าอืดอาด  ถ้าเร็วต้องเร็วแบบคนที่มั่นคงแล้ว  ถามว่าเราเป็นคนเร็วหรือคนช้า (ช้า)  ช้าอืดอาดหรือเปล่า (ไม่อืดอาด)  ก็คอยดูว่าหลังจากจบชั้นเรียนสองวันนี้ไปแล้วจะช้าอืดอาดหรือเปล่า  ใครพูดอะไรให้เราฟัง เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร  ก็ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร  หลังจากสองวันนี้ ไม่เข้าใจมากก็ต้องเข้าใจน้อย  ถามว่าน้อยหรือมากสำคัญตรงไหน ไม่เป็นไรขอให้ทำจริง กลัวแต่ว่ากลับไปแล้วก็เป็นคนช้าอืดอาด  รู้ว่าดีแต่ไม่ทำหรือว่ามันฝืนใจตัวเองไม่ไป อุปสรรคใหญ่อยู่ที่ใจเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอย่างไรดี ทุบใจทิ้งดีไหม (ไม่ดี)  ทำอย่างไรกับใจตัวเองดี (ชนะใจตัวเอง)  ชนะหรือเปล่าเดี๋ยวก็รู้ อยู่มาตั้งเป็นสิบปีชนะตัวเองได้ไม่กี่หน  ดูว่าคราวนี้อุดมการณ์สูงส่งจะชนะจิตใจอันเป็นจิตใจกิเลสของเราได้หรือไม่  
เมื่อยหรือยัง (ยัง)  ยังไม่เมื่อยก็พายอีกสักรอบหนึ่ง  เขาบอกให้เราพายขวา เราก็ขวา เขาบอกให้เราพายซ้าย เราก็ซ้าย ดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่ใช่คนหนึ่งอยากขวาคนหนึ่งอยากซ้าย พายไปพายมา เรือ หมุนไปหมุนมา ไม่ต้องไปไหน อยู่กับที่  ขนาดการพายเรือ กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่สถานธรรมนั้นให้ศิษย์ทำ  ให้ศิษย์ร่วมพายยังทำได้ไม่พร้อมเพรียงเลย  แสดงว่าการศึกษาธรรมะหรือว่าการหัดสิ่งใดก็แล้วแต่ต้องอาศัยเวลา  จะใช้เวลาแค่สองวันคงไม่พอ  ต้นไม้ไม่สามารถโตขึ้นได้ภายในสองวันหรือสามวัน  เช่นเดียวกัน การที่ศิษย์ของอาจารย์มาศึกษาธรรมะ ศึกษาแล้วยังต้องเอาไปปฏิบัติ  หากว่าไม่ปฏิบัติก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงได้  บางคนอ่านหนังสือเก่ง แต่ว่ารู้แจ้งเห็นจริงแต่ในตัวอักษรในตัวหนังสือเท่านั้น  เขาพูดเรื่องความเมตตาดี พูดเรื่องการอภัยดี  แต่ถามว่าเราเคยอภัยไหม (เคย) เราเคยเมตตาไหม (เคย)  แล้วถามว่าการเมตตาและอภัยของเรานั้นได้ดียอดเยี่ยมหรือยัง (ยัง)  แสดงว่าสิ่งที่รู้แจ้งเห็นจริงของคนสมัยนี้เป็นเพียงการรู้แจ้งเห็นจริงในกระดาษ ในหนังสือ ในคัมภีร์ต่างๆ เท่านั้น  ถ้าหากว่าเราเคยปฏิบัติก็จะรู้ว่าการรู้แจ้งเห็นจริงเป็นเช่นไร  ไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริงตามคำเขาว่า  ไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริงเพียงแค่เดี๋ยวเดียว แต่เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงอย่างตลอดเวลา  เพราะฉะนั้นการที่ศึกษาธรรมะในสองวันนี้ก็เพื่อให้เรานั้นมีความเข้าใจ เพื่อให้เรานั้นมีความตั้งใจที่จะทำดีต่อไป  เพื่อให้เรานั้นบรรลุเป็นพุทธะในวันข้างหน้า สำคัญหรือไม่ (สำคัญ)  เพราะว่าชีวิตของเราวันนี้ คนเขาเรียกเราเป็นพุทธะหรือปุถุชน (ปุถุชน)  เป็นปุถุชนเดิมทีก็ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นคนธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าคนเขาเรียกว่าเป็นพุทธะเดินดินยิ่งดีกว่าไหม (ดีกว่า)  แต่ถามว่าเป็นพุทธะเดินดิน ทำยากหรือเปล่า (ยาก)  เป็นพุทธะเดินดินทำอย่างไร (ต้องบำเพ็ญ, ต้องมีเมตตากรุณา)  
ผู้ชายมาหรือเปล่าวันนี้ (มา) แน่ใจหรือที่บอกว่ามา  เรามาแข่งกันดีกว่าว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ใครจะชนะ  ถ้าคนสุดท้ายตอบที่ฝ่ายชายให้ฝ่ายชายเป็นผู้ชนะ  ถ้าคนสุดท้ายตอบที่ฝ่ายหญิงให้ฝ่ายหญิงชนะ  ดีไหม (ดี)  เพราะฉะนั้นยอมแพ้ไม่ได้  อาจารย์ให้เวลาห้านาที  คำถามว่าเป็นพุทธะเดินดินทำอย่างไร (ตั้งใจปฏิบัติดี, ตั้งใจปฏิบัติธรรม, ฉุดช่วยผู้อื่นให้มาร่วมฟังธรรม, ลงมือปฏิบัติ, มีความกตัญญู, การทำจิตใจให้บริสุทธิ์, มีใจที่แน่วแน่และมั่นคง, ปฏิบัติธรรมด้วยความจริงใจและเต็มใจ, รู้จักเสียสละ, ต้องรู้แจ้งเห็นจริง) คนสุดท้ายเป็นฝ่ายไหน (หญิง)  ผู้หญิงชนะ
เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์มองดูไป  โลกรอบๆ ข้างในขณะนี้  มองเห็นไหมว่าภัยพิบัตินั้นมากมายเหลือเกิน  บางคนนั้นไม่ทุกข์ไม่ร้อนเพราะเห็นว่าภัยพิบัตินั้นไม่ได้อยู่กับเรา  ไม่ได้เกิดหน้าบ้านเรา และไม่ได้เกิด    ตรงหน้าเรา  ภัยพิบัติหมายความว่าอย่างไร  ภัยพิบัติไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นภัยที่อยู่ไกลตัวเรา   แต่หมายถึงเป็นภัยที่รอบๆ ข้างเราและมิหนำซ้ำ ภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดคือภัยพิบัติที่อยู่ภายในใจของตัวเอง  เวลาที่สำคัญที่สุดคือเวลาของอะไร  ไม่ใช่เวลาของโลกนี้แต่เป็นเวลาของชีวิตตัวเราเอง  เหมือนกับเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นอยู่  ปกติคนเราไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง  วันไหนเกิดวันไหนไปไม่มีใครรู้  แต่เมื่อครู่อาจารย์บอกให้ชัดๆ ว่าเวลาจะหมดแล้ว  ปกติเราจะต้องเดือดเนื้อร้อนตัว ต้องรีบตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะต้องทำอย่างสุดกำลัง  ไม่ใช่มัวแต่ตัดสินใจ   อันนี้เรียกว่าช้าอืดอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่า  เวลาที่เห็นว่าเวลาจะหมดอยู่อย่างนี้  จะต้องรีบร้อน  รีบร้อนอย่างมั่นคง  
ผู้บำเพ็ญธรรมมั่นคงได้ด้วยสิ่งใด  มั่นคงได้ด้วยหลักสัจธรรม  มั่นคงได้ด้วยคุณธรรมที่ตัวเองคิดว่าตัวเองมีพอแล้ว  ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์รู้ว่าเวลามีน้อย  แต่คุณธรรมของตัวเองไม่มีเลย  ถามว่าเมื่อหมดจากชีวิตนี้ไป  ไปไหนดี (นิพพาน)  คำถามที่ว่าคนเราตายแล้วไปไหนควรจะเป็นคำถามที่ต่างคนต่างตอบเอง  มีคนบอกว่าอยากไปนิพพาน  คนที่ไปนิพพานได้เป็นพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเราเหมือนพุทธะหรือยัง  แล้วชั่วชีวิตนี้ของเราจะเหมือนพุทธะได้ไหม (ได้)  แต่มีเงื่อนไขสำคัญนั้นคือคนไม่รู้ว่าชีวิต วันไหนมา วันไหนไป   เพราะฉะนั้นเวลาของชีวิตเราอาจจะเหลือแค่คืบเดียว  แค่สามคืบหรือเป็นเมตร  ไม่มีใครรู้  ฉะนั้นจึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องมีสติทุกๆ ขณะจิตใช่หรือไม่ (ใช่)  รีบร้อนแต่รีบอย่างมั่นคง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่มีคุณธรรมปลอมๆ หรือความดีปลอมๆ  แต่ต้องมีความดีจริงๆ มีคุณธรรมจริงๆ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นแรงแค่ไหน หรือว่าจะพรากเอาชีวิตของเราไป  เราก็ต้องไม่สูญเสียความดีของเราไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าอยู่บนโลกนี้ทำในสิ่งที่พุทธะทำ  เห็นในสิ่งที่พุทธะเห็น  ช่วยคนเหมือนที่พุทธะทำนั้น  ถามว่าตายไปแล้วก็เป็นพุทธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดวันนี้ทำดี  พรุ่งนี้ดีน้อยๆ  มะรืนนี้กลับมาดีมากอีกแล้ว  แต่มะเรื่องนี้ก็ไม่มีความดี  เหมือนกับที่เขาบอกว่า “ดีครึ่งไม่ดีครึ่ง”  ถามว่าอย่างนี้เป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)   ไปอยู่ที่ไหนที่ครึ่งๆ ดี  ตายไปเป็นอะไร (เปรต) ก็ไปอยู่ที่ครึ่งๆ  คิดเอาเองว่าที่ครึ่งๆ เรานั้นครึ่งอยู่ทางไหน  เพราะแต่ละคนก็ครึ่งไม่เท่ากัน  ถ้าหากว่าเรามีความดีเต็มเปี่ยมเราก็พุ่งขึ้นสูงสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่ายังมีความดีไม่เต็มเปี่ยม เราก็ขึ้นเท่าที่เรามีแรง  ก่อนถึงนิพพานเป็นอะไร (สวรรค์)  เรียกว่าสวรรค์   สวรรค์ทะลุไปถึงจะเป็นนิพพานใช่หรือไม่   เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำดีแค่พอไปสวรรค์เราก็ไปอยู่สวรรค์  ถ้าเราทำความดีแค่เหมือนที่มนุษย์ทำ  ชาติต่อไปเราก็เกิดมาเป็นมนุษย์อีก ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ถ้าเราร่วงหล่น  ความดีของเราทำไม่ถึงเกณฑ์ที่มนุษย์เป็น  เรียกว่าเป็นสัตว์ในคราบของมนุษย์     ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชาตินี้เราไม่ใช่สัตว์  แต่ชาติต่อไปใช่ไหม (ใช่)  ก็คือหมุนกลับมาแล้วมาเกิดเป็นสัตว์  เป็นวัวก็ดี  เป็นม้าก็ดี  เป็นหมูก็ดี  ชอบกินใช่ไหม  เพราะฉะนั้นชาติหน้าก็เกิดมาให้คนอื่นกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่) การเกิดเป็นอะไรแล้วแต่เรากำหนด  แต่ถ้าหากว่าทำความชั่วมาก  ก็ต้องลงไปเกิดเป็นผีนรกก่อน  ต้องรับกรรมให้เสร็จจึงจะสามารถกลับชาติมาเกิดอีกได้  หรือไม่ก็อาจจะเป็นครึ่งอย่างที่หัวหน้าชั้นฝ่ายหญิงว่า  เพราะฉะนั้นอยากเป็นอะไรตัดสินใจให้ดี ดีหรือไม่ (ดี)  
แดนโลกมนุษย์นั้นเป็นเสมือนทางผ่านของภพภูมิทั้งมวลจะผ่านจากภพนี้ไปเป็นพุทธะย่อมได้  ผ่านจากภพนี้ไปในภพที่ต่ำกว่า  ย่อมได้  ผ่านจากภพนี้ขึ้นไปสู่นิพพานย่อมได้  ย่อมอยู่ที่เราตัดสินใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อคนที่ตัดสินใจแล้ว มีเป้าหมายแล้ว  ถามว่าเวลาที่เราอยากจะทำดี เราจะเป็นพุทธะ  เวลาที่คนชั่วมาเอาเปรียบรังแกเรา เราทำอย่างไร (อภัย)  ขอให้ศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนตั้งความมุ่งมั่นให้ดี  เวลาเจอคนชั่วมารังแกก็อย่าไปรังแกคนชั่วนะคนดีทั้งหลาย รู้ไหม  
พิธีรีตองเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเป็นการสอนให้คนนั้นรู้จักระเบียบ  เหมือนกับเราใช้ชีวิตที่ในบ้านของเรา เราก็ต้องมีพิธีรีตองด้วย  เวลาเราจะออกจากบ้านเราต้องบอกใคร (พ่อแม่)  เวลาเรากลับเข้าบ้านแล้วต้องบอกใคร (พ่อแม่)  เวลาเราจะนั่ง เราต้องให้ใครนั่งก่อน (พ่อแม่)  เวลาเราจะ กินน้ำต้องให้ใครกินก่อน (พ่อแม่)  เวลาเราจะกินข้าวต้องให้ใครกินก่อน (พ่อแม่)  ถามว่าเคยทำหรือเปล่า (เคย)  เวลามาพุทธสถานเราต้องมากราบ องค์มารดาบอกว่าเรามาถึงแล้ว  เวลาเราไปก็เช่นเดียวกัน  เวลาจะนั่งเราก็ต้องดูซ้ายดูขวาว่าคนอื่นเขายืนหรือนั่ง  เวลาอาจารย์มาก็ต้องรู้จักทักทายอาจารย์  เวลาอาจารย์ถามก็ต้องตอบ  
เมื่อครู่นี้ร้องเพลงฉันอยู่ที่นี่มีความสุข อยู่ที่นี่ทุกคนมีความสุขจริงๆ หรือไม่  ความสุขที่แท้จริงอยู่ไหน (ใจ)  ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่นี่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  แต่อยู่ที่จิตใจของเราที่เบิกบาน  เบิกบานด้วยอะไร  อยู่เฉยๆ จิตใจนั้นเบิกบานไม่ได้  ยิ่งบางคนเป็นโรคชอบเก็บตัวเงียบคนเดียว  ยิ่งเราเก็บตัวเงียบ นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน  ยิ่งฟุ้งซ่านมาก เราจะได้สิ่งที่ตรงข้ามกับความสุข คือความทุกข์  ความทุกข์นั้นมีสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่อมทุกข์  ทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หาทางออกไม่เจอ  คนที่ชอบนั่งคิดอะไรคนเดียว คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เป็นคนอมทุกข์ให้ทำอย่างไร  อาจารย์มีวิธีง่าย ๆ คือ เวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาก ๆ ให้ลุกขึ้นยืน เดินออกไปข้างนอก  เจอใครก็ยิ้มให้  แล้วก็ลืมความทุกข์ของตนเองไป แล้วก็พูดกับคนในสิ่งที่ดี ๆ เท่านั้น ไม่กลับมาพูดถึงความทุกข์ที่ตัวเองมีอยู่  เมื่อเราออกไปพูดคุยกับคนอื่นมาก ๆ  ไม่พูดถึงความทุกข์ของตนเอง  ความทุกข์ในใจของเราก็เป็นอย่างไร (หายไป)  ไม่ใช่หายไป เพียงแต่เราลืมไป  พอไปๆ มาๆ เราก็จะเห็นว่า การที่เราพูดกับคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่าการทำดี  การพูดกับคนอื่นเรียกว่าการทำดีก็ต่อเมื่อเราพูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น  การพูดกับคนอื่น ถ้าเราพูดในสิ่งที่ไม่ดี แม้ว่าเราจะพูดในสิ่งที่ไม่ดีด้วยเจตนาที่ดี ถามว่าเหมือนกันไหม  ก็ไม่เหมือนกับการที่เราใช้วาจาที่ดี  ก็จะไม่เป็นการที่เรานั้นใช้คำพูดที่ดีได้  เพราะว่าคนอื่นนั้นมองไม่เห็นเจตนาที่อยู่ในใจของเรา  เขามองเห็นแต่สีหน้าที่ขมวดคิ้วของเรา  เห็นแต่คำพูดที่ลอยลมมา  เขาได้ยินแต่เสียง เขาไม่เห็นจิตใจของศิษย์ว่ามีจิตใจดีหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนั้น ต้องพูดแต่ในสิ่งที่ดี  แต่การจะพูดในสิ่งที่ดีต้องมาจากใจ  เพราะฉะนั้นใจสร้างความคิด ต้องคิดในสิ่งที่ดี  การที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดีเป็นกรรมไหม (เป็น)  บางคนบอกแค่คิด ยังไม่ทำอะไรเลย  แค่คิดว่าเขาไม่ดีเท่านั้นเอง  ถามว่าเราส่งความคิดว่าเขาไม่ดีออกไป ถามว่าใครไม่ดี (เรา)  ใครเป็นคนส่ง (เรา)  ถามว่าเพราะฉะนั้นเราก็ยัง ไม่ดีได้ คนอื่นจะดีไหม (ไม่ดี)  คนอื่นก็เหมือนเรา  คนอื่นชอบทานอาหารอร่อยๆ เราก็ชอบทานอาหารอร่อยๆ  คนอื่นชอบให้คนทำดีด้วย เราก็ชอบให้คนทำดีด้วย  เพราะฉะนั้นเราต้องทำดีกับคนอื่น  จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า  เราจะเป็นอย่างไร (เห็นแก่ตัว)  เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นคน เราต้องไม่เห็นแก่ตนเอง  ถ้าหากว่าเห็นแก่ตนเอง เพื่อความสุขของตนเองเราก็จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว  เราจึงต้องรู้จักที่จะเห็นแก่ผู้อื่น  อันว่าปุถุชนมนุษย์ธรรมดาเห็นแก่ตนเอง  แต่พุทธะนั้นเห็นแก่ผู้อื่น  เราก็ให้ผู้อื่นเรียกเราว่าเป็นผู้ที่เห็นแก่คนอื่นเป็นสำคัญ  คำว่าเห็นแก่ตัวกับคำว่าเห็นแก่ผู้อื่นต่างกันมากไหม (มาก)  ทำไมถึงต่างกันมาก  แล้วสิ่งไหนเป็นความรู้สึกที่ดี (เห็นแก่ผู้อื่น)  สิ่งไหนเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี (เห็นแก่ตัว)  ถามว่าเราเป็นคนที่เห็นแก่สิ่งไหน  ต้องไปชั่งน้ำหนักดู  ถ้าหากว่าความดีและความไม่ดีแตกต่างกันแค่นี้  ทำไมศิษย์ของอาจารย์จะข้ามความไม่ดีมาสู่ความดีไม่ได้เหรอ จริงหรือไม่ (จริง)  มีข้างซ้ายก็มีข้างขวา ข้างนี้บอกว่าเห็นแก่ตัวเอง  ข้างนี้บอกว่าฉันเห็นแก่ผู้อื่น ก็แค่ข้างสองข้างนี้ ทำไมเราถึงข้ามจากฝั่งนี้มาสู่ฝั่งนี้ไม่ได้ เพราะอะไร อะไรที่เป็นลำคลอง เป็นเหวที่กั้นอยู่ตรงกลาง (กิเลส)  มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบโทษกิเลส แต่ว่าสิ่งที่กั้นอยู่ตรงกลาง คือตัวเราเอง ความคิดเราเอง อคติของตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกว่ากิเลสเขาไม่ดี   
(พระอาจารย์ยกตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมหญิงท่านหนึ่ง)
คนนี้สวยไหม (สวย)  แล้วถามว่าคนนี้เป็นกิเลสหรือเปล่า (ไม่เป็น) กิเลสอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจเรา)  ผู้ชายคนนี้หล่อไหม กิเลสอยู่ที่เขาหรือเปล่า อยู่ที่ใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไปโทษกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  
(พระอาจารย์ชูสร้อยทองคำขึ้น)
อันนี้สีอะไร (สีทอง)  สวยไหม (สวย)  อยากได้ไหม (ไม่อยาก)  ทำงานหาเงินแทบตายซื้อทองมาเส้นเดียวไม่พอก็ซื้อสองเส้น กิเลสอยู่ที่ทองหรือเปล่า (ไม่ใช่) อะไรที่เรียกกิเลส ใจเราใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นกิเลสไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่ว่ากิเลสอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายิ่งมีกิเลสมากเท่าไหร่ กิเลสก็ยิ่งเป็นเครื่องเตือนสติเราว่า เรามีกิเลสเราต้องตัด เราต้องมองทุกอย่างให้ดีขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น 
แม้บอกว่าเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ดีเลย แต่ตัวเราต้องดีอยู่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งแต่โบราณกาลมาพอมนุษย์เงินทองขาดมือ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อุดมสมบูรณ์จะเกิดการแก่งแย่งชิงดีกัน  คำๆ นี้มีไว้บอกถึงสังคมโลก แต่ศิษย์ของอาจารย์มีสังคมอีกสังคมหนึ่งที่แปลก คือสังคมของการบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ว่า จะอยู่ในภาวะที่ดีหรือว่าร้าย เราต้องดีอยู่ได้ แม้ว่าจะมีสีดำกล้ำกลายเข้ามากินสีขาวมากเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่ไม่ดำเลยคือใจของเรา เหมือนกับจับเสื้อผ้าของเราไปย้อม วันนี้เราใส่เสื้อผ้าสีขาว พรุ่งนี้มีคนเอาเสื้อผ้าของเราไปย้อมกลายเป็นสีดำไป แต่ว่า  สิ่งที่ไม่เป็นสีดำ ก็คือใจของคนที่ใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ใบหน้านั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าหากว่าเราดีที่จิตใจ ใบหน้าของเราต้องยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องห่วงคนอื่นด้วยความจริงใจ เมื่อผนวกกันเข้าเรียกว่า ภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ในที่สุดแล้วย่อมเป็นคนดีที่สมบูรณ์  แต่มนุษย์ในปัจจุบันนี้ หลายคนมีภายนอกที่ดี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันสวยงามราคาแพง แต่จิตใจของเรานั้น ไม่แพงเหมือนกับเสื้อผ้าเลย จิตใจนั้นกลับมีราคาถูกกว่า ฉะนั้นจึงต้องให้ดีทั้งภายในและภายนอกประสานกัน จึงจะเรียกว่าเป็นการดีอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การที่ภายนอกนั้นจะดูดีได้ ภายนอกนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีได้ ขอเพียงให้แต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อย กิริยามารยาทเป็นสิ่งที่สำคัญ ส่วนภายในนั้นจะทำให้ดีได้อย่างไร ภายในใจของเราเรามองเห็นไหม เรารู้สึกได้ไหม (รู้สึกได้)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะขัดเกลาใจของเรานั้น  ไม่ใช่เอาใจดึงออกมาขัด 
แต่เป็นการที่เรานั้น ความรู้สึกของตัวเอง 
ตอนนี้เรามีพ่อแม่อยู่ แต่เรากลับมาจากที่ทำงานเราก็เหนื่อยมาก เราก็ไม่อยากไปดูแลพ่อแม่ ไม่อยากจะไปเอาใจใส่พ่อแม่เท่าที่ควร แต่การที่เราจะเป็นคนดีได้ เราต้องฝืนความรู้สึกของตัวเราเองที่ขี้เกียจนี้ เข้าไปหาพ่อแม่ แล้วก็ถามสารทุกข์สุขดิบ ต้องยกข้าวให้ทาน ต้องยกน้ำให้ถึง เวลาเราไปที่ทำงาน บางคนทำงานเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ เขาบอกว่าเงินทองหน้าตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราจะจับเงินจับทองในที่ทำงานก็ต้อง ไม่หยิบเล็ก ไม่ฉวยน้อย ต้องทำให้ได้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีโอกาสมาถึงให้โกงได้ ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเราเอง พี่น้องเราทำไมนิสัยไม่ดีเลย ทำไมชอบทะเลาะกับเราบ่อยๆ ทำอย่างไรดี  ทะเลาะกับเขาเลยไหม เขาเห็นเขาไม่ดีเราก็ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเราเอง ไม่ไปทะเลาะ ไม่ไปปะทะคารมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่สำคัญที่สุดที่มีเรื่องทะเลาะมากที่สุดคือสามีภรรยา ทะเลาะกันเกือบทุกวันเลย ทำอย่างไรดี  ไหนใครเคยมีประสบการณ์ลองบอกวิธีแก้ไขมาหน่อย  (เวลาเขาว่าเรา เราเฉยฟังไว้)  ทำอย่างไรดีฝ่ายผู้ชาย  ฝ่ายหนึ่งร้อนอีกฝ่ายหนึ่งก็เย็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วส่วนใหญ่เราร้อนหรือเราเย็น (ร้อนครับ) แต่โบราณมีคำพูดอยู่คำหนึ่งเอาไว้สอนสำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว ตั้งแต่สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นผู้นำครอบครัว ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน ทำไมถึงต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้นำ ก็เหมือนกับที่เพื่อนนักเรียนตอบไว้ว่า ฝ่ายหนึ่งร้อนฝ่ายหนึ่งต้องเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าคนหนึ่งต้องเป็นขาหน้า คนหนึ่งต้องเป็นขาหลัง แต่ในสมัยก่อนนั้นกำหนดไว้เลยว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่ในสมัยนี้อาจารย์ไม่อยากจะสอน ถ้าสอนแบบนี้ไปก็คงจะมีคนคัดค้าน เพราะฉะนั้นขอพูดแต่เล็กน้อย สมัยก่อนบอกว่าผู้ชายเป็นผู้มีคุณธรรม ผู้หญิงจึงเดินตาม ฉะนั้นถ้าหากว่าในบ้านของเรา เราเป็นผู้ชาย เราก็มาตรวจสอบว่าเรามีคุณธรรมมากพอหรือยัง แล้วผู้หญิงก็มาตรวจสอบว่าที่จริงแล้วแฟนของเราดีหรือเปล่า ถ้าดีเราก็ควรที่จะเดินตาม ไม่ใช่เดินไปขัดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าเราเป็นผู้หญิง แล้วก็  ผู้ชายไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่ ผู้หญิงจะทำอย่างไร สมัยนี้บอกว่า สิทธิเท่าเทียมกัน อย่างนั้นผู้หญิงก็มีคุณธรรม เอาความดีนั้นไปชนะใจของสามีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อพูดเองว่าสิทธิเท่าเทียมเพราะฉะนั้นเราจะต้องมีคุณธรรม จึงสามารถให้แฟนมาเดินตามเราได้ แต่เมื่อเขาเดินตามแล้วก็อย่าได้ใจ ต้องเก็บใจไว้แต่พอดี 
การที่ยุคสามนี้ เภทภัยลงมามาก ทำให้ธรรมะแท้ลงมาโปรดชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง ดังที่ศิษย์เห็นรอบๆ บ้าน  รอบๆ ประเทศ รอบๆ โลก ทุกๆ ที่มีภัยเกิดขึ้น แม้กระทั่งภัยที่อยู่ในใจของเราก็มีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น
จำเป็นจะต้องมีธรรมลงมาช่วยจิตใจของศิษย์ทั้งหลาย 
ในอดีตกาลนั้นใช้ศาสนาเป็นที่กล่อมเกลาจิตใจของเราทุกคน แต่ถามว่าสุดยอดของศาสนา ของผู้บำเพ็ญ ของผู้ที่ต้องการจะหลุดพ้นคือการไปบวช ผู้หญิงไปเป็นแม่ชีได้ไหม ผู้ชายไปบวชพระได้ไหม ตลอดชีวิตไปไหม (ไม่ไป)  ไม่มีกี่คนที่จะไปอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้นในปัจจุบันนี้การบำเพ็ญนั้น  ขอให้ศิษย์บำเพ็ญในเพศฆราวาส ทำตัวให้ดี ให้ดีมากๆ ให้ศิษย์ศึกษาธรรมะและปฏิบัติได้ ไม่ไช่ศึกษาแค่รู้เหมือนสมัยก่อน  ฉะนั้นในปัจจุบันนี้การบำเพ็ญธรรมนั้นจึงเข้าสู่ครัวเรือน  ผู้ที่บำเพ็ญธรรมได้ดีนั้น ครอบครัวต้องสมานสามัคคีกัน  ถ้าศิษย์ทำไม่ได้หรือยิ่งแตกแยกเพราะว่ามีธรรมะเข้าไปในบ้าน  แสดงว่ากำลังเดินทางผิด  เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติ จำเป็นต้องเข้ากับคนทุกคนให้ได้  จะต้องมีทางออกของสิ่งที่เรียกว่าความแตกร้าว  ถ้าหากศิษย์ยังหาไม่เจอ  แสดงว่ายังเดินทางผิด หรือไม่ก็ยังพยายามไม่พอ ฉะนั้นอาจารย์จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนเข้ากับคนทุกคน เข้ากับคนในบ้านและเข้ากับคนข้างนอกได้  นั่นจึงเรียกว่า เป็นผู้ที่บำเพ็ญได้ดี  แต่ไม่ใช่เข้ากับคนได้แบบลิ้นสองแฉก  อยู่กับคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง มาอยู่กับอีกคนหนึ่งก็พูดอีกอย่างหนึ่ง  อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าการเข้ากับคนได้ จะเรียกว่าเป็นการตั้งระเบิดเวลาให้กับตัวเอง  รอสักวันหนึ่งให้ความแตกปะทุ คนที่จะเอาตัวไม่รอดคนแรกก็คือเรา  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมในยามนี้  ไม่ใช่การบำเพ็ญธรรมที่เหมือนสมัยก่อน  แต่เน้นหนักในชีวิตประจำวัน ความคิด คำพูด จิตใจของศิษย์ทุกๆ คน ให้เป็นสีขาวตั้งแต่ข้างในจนถึงข้างนอก  ให้เป็นสีขาวตั้งแต่ข้างนอกจนถึงข้างใน  ให้เป็นสีขาวจากตัวศิษย์ออกไปหาคน   ทุกคน
อย่าบอกว่าพุทธะเป็นยาก  อย่าบอกว่านิพพานไกลจนเกินเอื้อม  เรายังไม่เคยเอื้อมเลยยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วถึงหรือไม่ถึง พระพุทธองค์เคยมี ร่างกายเกิดเป็นมนุษย์ไหม (เคย)  ท่านใช้ความพยายามมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความพยายามเท่าท่านไหม  เพราะยังไม่มีจึงไม่ถึง  ถ้าศิษย์ของอาจารย์มีความพยายามถึงขนาดพระพุทธองค์ จะถึงไหม (ถึง)  ต้องถึงแน่นอน  พระพุทธองค์นั้นต้องใช้เวลานาน กว่าจะเสาะแสวงหาธรรมแท้เจอ  แต่ศิษย์ของอาจารย์เจอแล้วกลับไม่รู้  ทางอยู่ข้างหน้ากลับไม่เดิน เรานั้นเป็นคนโง่หรือฉลาด (คนโง่)  เราย่อมเป็นคนที่โง่กว่า  แต่ในยามนี้ อาจารย์พูดกับศิษย์ถึงขนาดนี้  บางคนไม่ชอบใจที่พูดแบบนี้  แต่ถามว่าทางอยู่ข้างหน้าแล้วไปเดิน เดินช้าๆ ก็ถึง  ขอเพียงแต่อย่าหยุดเดิน  เดินไวก็    หกล้มได้  ฉะนั้นคนที่ไวก็ต้องรู้จักระวังตัวเอง  อยากที่จะช่วยผู้อื่นได้ ต้องช่วยตัวเองให้พ้นก่อน ช่วยตัวเองให้พ้นจากอะไร (จากวิบากกรรม)  ช่วยให้พ้นจากวิบากกรรมได้อย่างไร  คือการช่วยผู้อื่น  แปลกไหม (แปลก)  ถ้าหากอยากพ้นวิบากกรรมต้องไปช่วยผู้อื่น ตัวเองจึงพ้น  แต่หากมัวช่วยตัวเองให้พ้นวิบากกรรม เราจะไม่พ้น  เพราะฉะนั้นวิธีของการบำเพ็ญธรรมนั้นค่อนข้างจะแยบยลลึกซึ้ง  บางคนเข้าใจว่าการพ้นวิบากกรรม คือการช่วยตัวเองให้พ้น  ไปๆ มาๆ ไม่ยอมพ้น  เพราะมัวแต่ห่วงตัวเองว่าจะเป็นอย่างไร จะได้รับผลอย่างไร  อย่างนี้จะไม่พ้นวิบากกรรมไปไหน  ต้องรู้จักช่วยผู้อื่น  ช่วยชนิดลืมตัวเองและเราอยู่ท่ามกลางความยากลำบาก แล้วมีความสุขได้  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ความยากลำบากนั้นจะทำให้เราเกิดปัญญาขึ้น  เหมือนคนไม่เคยตีเหล็กจะไปฝึกหัดตีเหล็ก  การตีเหล็กนั้นทั้งร้อน ยาก ลำบาก  แต่ตีไปตีมา ในที่สุดแล้วก็ตีเป็น  แต่หากว่าเรากลัวร้อนและไปมองอยู่ข้างๆ ดูเขาตีเหล็กตั้งแต่ขั้นต้นถึงขั้นสุดท้าย มองจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่ตัวเอง    ไม่เคยลงมือตี  เรียกว่าเป็นผู้ร่วมดูและสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ  ดูจนเชี่ยวชาญแล้วตีเป็นไหม (ไม่เป็น)  แต่คนที่ตีเหล็ก หัดตีผิดตีถูก  ในที่สุดก็ตีเป็น  ฉะนั้นการกระทำทุกๆ อย่างก็เหมือนกัน จำเป็นที่จะต้องลงมือทำเอง  ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย  อยากได้มากก็ต้องลงมือทำมาก  กลัวยากและลำบากไหม (ไม่กลัว)  
การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้  มีช่วงเวลาที่ควรจะระมัดระวังอยู่สามช่วงเวลา  รู้ไหมว่าสามช่วงเวลานี้ คือสามช่วงเวลาอะไร  ช่วงเวลาแรกเรียกว่าช่วงเวลาวัยหนุ่ม หรือวัยสาว  ช่วงเวลาที่สองเรียกว่าวัยฉกรรจ์  ช่วงเวลาที่สามเรียกว่าวัยชรา  ทำไมถึงมีแต่สามช่วงเวลานี้  ก็เพราะว่าตั้งแต่เล็กจนถึงก่อนที่จะเป็นวัยหนุ่มสาว จิตใจของเรานั้นสะอาดสะอ้านใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอจิตใจของเรานั้นเริ่มที่จะเติบโตขึ้นๆ  กลับนำพากิเลสภายนอกอันเป็นฝุ่นสีดำเหมือนที่เราเห็นตามถนนนั้น  มันไม่ได้เกาะเฉพาะร่างของเรา  แต่มันเกาะลึกเข้าไปถึงในจิตใจของเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ช่วงเวลาหนุ่มนั้นควรจะระวังอะไร  ควรจะระวังเรื่องกามตัณหา การเสพเนื้อหนัง สุราของมึนเมา ใช่หรือเปล่า  อาจารย์ไม่อยากจะพูด แต่ในสมัยนี้นั้นไม่ได้เป็นเฉพาะ   ผู้ชาย ผู้หญิงก็เป็นด้วยแต่หาได้น้อย  พอในวัยฉกรรจ์นั้นควรจะระวังอะไร  ควรจะระวังจิตใจนักเลง ที่คอยเอาเปรียบผู้อื่น  จิตใจที่คอยพร่ำเอาชนะคนอื่น  ไม่รู้จักยอม ไม่รู้จักถอย  ลุยเป็นอย่างเดียว   เหมือนอย่างที่คนปัจจุบันนี้เรียกว่า   “ดับเครื่องชน”  อันนี้อาจารย์ไม่ได้พูดเล่น  แต่ว่ามนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้เป็นจริงๆ   เดินหน้าเพื่ออะไร  เพื่อสังเวยอารมณ์ของตนเอง  อารมณ์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เต็มล้น  อันได้แก่  อารมณ์ของความโกรธ  โกรธบ่อยไหม  (บ่อย)  อารมณ์ของความหลง  อารมณ์ของความรัก  ความรักต่างกับความเมตตาตรงไหน  ความรักนั้นมีให้มากเกินไปแล้วเป็นความรักที่มีให้กับคนเพียงคนหรือสองคนหรือคนแค่กลุ่มเดียว  แต่ความเมตตาหมายถึงการรักผู้อื่นโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ  ไม่แบ่งว่าเขารวยหรือจน  ไม่แบ่งว่าเขานั้นเป็นใครมา  จะตัวดำตัวขาวก็รักเท่าๆ กัน นั่นคือความเมตตา  แต่ความรักที่มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีให้  ก็คือรักเฉพาะคู่ของตน  รักเฉพาะลูกของตน  รักเฉพาะเพื่อนของตนเท่านั้น นี่ไม่ได้เรียกว่าความเมตตา  แต่เรียกว่าเป็นความรักที่หลง  
มีอีกวัยหนึ่งที่ต้องควรระวังคือวัยไหน  (วัยชรา)  วัยชราระวังอะไร  วัยชราก็เกือบจะหมดไปอยู่แล้ว  แต่ต้องระวังอะไร (โรคภัยไข้เจ็บ)  วัยชราควรจะระวังอะไรไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บ (ระวังสุขภาพ)  คำถามบางคำถาม ถามง่ายแต่ตอบยาก เพราะฉะนั้นต้องคิดตามไปด้วย (เรื่องอารมณ์, กามตัณหา)   ถึงวัยชราจะสงบราบเรียบเหมือนน้ำไม่มีคลื่น  เรื่องกามตัณหาให้ระวังไว้ตั้งแต่วัยหนุ่ม  พอถึงเวลาแก่ก็จะนิ่งสงบได้เหมือนน้ำที่ราบเรียบ  วัยฉกรรจ์ให้ระวังอารมณ์ จิตใจที่นักเลง  พอถึงวัยชรา กลับมีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาแทน  ที่ทำให้เรานั้นกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้   มีสิ่งหนึ่งแต่อาจารย์ไม่ได้บอกว่าให้ระวังโรคภัยไข้เจ็บเสียทีเดียว  เพราะโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นปลายสาเหตุของสิ่งนี้  วัยชราระวังอะไร (ความตาย, ความเหงา, กลัวลูกหลานทอดทิ้ง)  ถ้าเด็กตายล่ะ  เด็กบางคนออกจากท้องแม่ยังไม่ทันเห็นโลกก็ตายแล้ว บางคนยังหนุ่มยังสาวก็ตายได้  เพราะฉะนั้นความตายไม่ใช่เป็นเรื่องของคนที่อายุมากต้องระวัง  แต่ต้องเป็นเรื่องที่รู้จักปลงได้  มีชีวิตตั้งหลายสิบปี  ถ้าหากจะตายปีนี้ก็ต้องทำใจได้แล้ว  ส่วนความเหงาป้องกันได้  อาจารย์จะสอน  ไม่ต้องกลัวเหงาตอนแก่  ทำอย่างไรรู้ไหม  ตอนมีชีวิตอยู่ก็ช่วยผู้อื่นให้มาก  ถึงเวลาเราลำบากเขาก็จะมาช่วยเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าการช่วยนี้ต้องเป็นการช่วยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน  จึงจะมีผลตอบแทนกลับมา เข้าใจไหม  แต่หากว่าเราช่วยเพราะว่าอยากให้เขามาช่วยเรา  เขาจะมาช่วยไหม (ไม่ช่วย)  เขาอาจจะไม่มาช่วย  เราอาจจะผิดหวัง
อาจารย์ถามกลับว่าเคยทอดทิ้งพ่อแม่หรือเปล่า  ถ้าใครไม่เคยทอดทิ้งพ่อแม่  ลูกหลานก็จะไม่ทอดทิ้งเรา  แต่ถ้าเราทอดทิ้งพ่อแม่  ลูกหลานเห็นเราทิ้งได้ เขาก็ทิ้งตาม  เพราะฉะนั้นใครอยากให้ลูกหลานกตัญญู ก็ต้องรู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ของตัวเองให้ลูกหลานเห็น  ให้ลูกหลานเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ไม่ใช่มาสอนตอนที่เขารู้หมดแล้ว  ต้องทำตั้งแต่เขายังเล็กๆ ชนิดที่ว่าเขายังพูดกับเราไม่รู้เรื่อง  เราคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องแต่เขารู้เรื่องแล้ว  ถ้าหากว่าเราไม่ทำแล้วเราทำบังหน้า  ทำแบบขอไปที เขาก็จะทำกับเราแบบบังหน้าแล้วขอไปที  จะได้ผลมาเท่าๆ กันทีเดียว  เพราะฉะนั้นอยากได้สิ่งไหนก็ต้องทำสิ่งนั้น  วัยชราระวังอะไรอีกดี (จะทำสิ่งใดในบั้นปลายของชีวิต, การปลงไม่ตก ตัดไม่ขาด, ความคิด, ความเจ็บป่วย) 
นี่คือความคิดของคนที่อยู่ในวัยชราจำนวนมาก  บอกว่าจะเอาผลไม้ไปให้ลูกกิน  ตัวเองกินไหม (ไม่กิน)  เพราะฉะนั้นอันนี้คืออะไร (ความกังวล)  ในวัยชรานั้นหลายๆ คนตัวเองไม่ค่อยจะได้ใช้เอง  ไม่ค่อยจะได้กินเอง  แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ให้กับลูกหลาน  ทุกสิ่งเก็บไว้แต่ไม่รู้ว่าท้าย  ที่สุดแล้วจะเอาไปไหน  การที่จิตใจของเรานั้นเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น  เพราะว่าจิตใจนั้นอัดแน่นไปด้วยที่ที่เต็มแล้ว  ไม่มีช่องว่างที่จะให้ความใสบริสุทธิ์เข้าไป  ฉะนั้นการที่เป็นเช่นนี้ จะทำให้เป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ
การรักษาสุขภาพนั้นต้องรักษาที่ต้นเหตุ คือการรักษาที่ใจของเรา  จริงๆ แล้วอาจารย์พูดเช่นนี้อย่าหาว่าอาจารย์ว่า  แต่อาจารย์พูดให้ฟังว่าศิษย์นั้นควรไปตัดที่ต้นเหตุ อันได้แก่ความหลงทั้งมวล ความโลภในทรัพย์สินทั้งมวล  ถ้าหากว่าอยากจะส่งสิ่งใดให้แก่ลูกหลาน  จงส่งความดีไป ส่งความดีไปให้ถึงลูกหลาน  เมื่อลูกหลานเห็นเราทำดี เขาก็ทำดี  นั่นจะเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่น่าเก็บรักษาที่สุด  หลายๆ คนส่งเงินส่งทองให้แล้วถามว่า เขาเอาไปทำอะไร  ศิษย์มีเงินให้เขาล้านหนึ่งหรือสิบล้าน เวลาเขาเอาไปใช้ เงินสิบล้านนั้นสามารถใช้ได้กี่วัน  ถ้าหากว่าลูกหลานเป็นคนดี เงินสิบล้านก็อาจใช้ได้ในชีวิตหนึ่งก็ได้  แต่ว่าเราส่งแต่เงินทองไปให้ ไม่ได้มีอะไรที่บอกว่าให้ใช้เงินทองอย่างระมัดระวัง ใช้ด้วยการให้รู้จักทำดี ให้รู้จักเผื่อแผ่คนอื่น  ในที่สุดเงินสิบล้านนั้นก็อาจใช้หมดภายในหนึ่งปีก็ได้  เงินนั้น มากน้อยไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่ว่าความดีที่มีมากให้เขาต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เหมือนในขณะนี้อาจารย์บอกว่าไม่ได้มารักษาโรคให้ศิษย์ ไม่ได้มาบอกว่าให้ศิษย์ร่ำรวย  อาจารย์บอก รวยแล้วมีประโยชน์อะไร  สิ่งเดียวที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไว้ ก็คือการที่ให้ศิษย์รู้จักทำความดี  ถ้าหากเราทำความดีมากๆ  แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรง แต่จิตใจนั้นแข็งแรง  แม้ว่าเราจะไม่ร่ำรวย แต่จิตใจนั้น
รวย  เป็นสิ่งที่ดีกว่าแน่นอน  
ศิษย์ของอาจารย์ที่มาอยู่ที่นี่ มาจากหลายที่ที่ต่างๆ กัน ไม่ใช่คนในกรุงเทพฯ ทั้งหมด  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกลับไปบ้านของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะใกล้หรือไกล ให้รู้จักที่จะแบ่งเวลาให้ตนเอง บอกตนเองว่าตนเองนั้นมีเวลา  ไม่ใช่ใครถามกี่ทีก็บอกว่าไม่มีเวลา  แท้จริงแล้วมีหรือไม่มีเวลาเราย่อมรู้ตัวดี  อาจารย์กำลังจะบอกต่อไปว่า ขยันมาสถานธรรมฟื้นดวงญาณของตนเอง  ถ้าหากว่าเราอยู่ที่บ้านจะฟื้นได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีใครจับเรามานั่งอย่างนี้ อยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างนี้  ทุกๆ วันก็อยู่แต่ที่บ้าน  อยู่แต่กับความเคยชินของตนเอง  ในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชินที่หนักมาก  ไม่สามารถที่จะฟื้นจิตใจของเราได้  ไม่ออกมาเห็นคนดี ก็คิดแต่ว่าโลกนี้ยังเลวร้าย  เพราะฉะนั้นแม้ว่าโลกนี้เลวร้าย แต่ในสถานธรรมเต็มไปด้วยคนดี  จึงบอกว่าให้ศิษย์บอกตนเองว่ามีเวลา  ไม่ใช่พูดคำว่าไม่มีเวลาจนติดปาก  ขอให้ศิษย์นั้นกลับมาสถานธรรม มาศึกษาธรรมให้มากๆ  มีความเข้าใจให้มากๆ  มีคำกล่าวว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า”  วันนี้บอกว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่ยังมีคนเข้าใจมากกว่าเราอีก  เราบอกว่าเราทำดีแล้ว แต่ยังมีคนทำดีกว่าเราอีก  ฉะนั้นจึงบอกว่าการที่ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่  อาจารย์บอกให้ศิษย์บำเพ็ญธรรม  ไม่ใช่บำเพ็ญแบบไม่ตั้งใจ  แต่ให้บำเพ็ญด้วยความตั้งใจจริงๆ  เมื่อบอกว่าเข้าใจแล้วต้องเข้าใจจริงๆ  ต้องทำได้ ต้องพูดได้ ต้องคิดเป็น  หลายคนบอกว่าเข้าใจธรรมแล้ว  แต่ว่าเข้าใจแค่ไหน  เข้าใจแต่ยังไม่ยอมลงแรงบำเพ็ญเลย  คนที่ไม่ลงแรงบำเพ็ญก็ไม่สามารถที่จะได้มรรคผลใดๆ  ลงแรงแค่ความว่างเปล่า มรรคผลก็คือความว่างเปล่า  ลงแรงมาก มรรคผลก็คือผลงานของศิษย์
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่วงคำในพระโอวาท)
“มา”  มาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม  มีโอกาสก็มา  ถ้าเขาชวนแล้วอย่าบอกว่าไม่มีเวลาว่าง ได้ไหม (จะพยายาม) 
“ไหล่”  ได้คำว่าไหล่คิดว่าอย่างไร (แบกรับภาระ)  แล้วทำได้ไหม (ได้) คนมีไหล่อยู่สองข้าง มีไหล่ซ้าย ไหล่ขวา  ไหล่ข้างหนึ่งแบกภาระทางโลก  ไหล่อีกข้างหนึ่งแบกภาระทางธรรม แบกมวลเวไนยสัตว์ทั้งหมด  อยู่ที่ว่าเราจะบริหารสองข้างนี้ให้สมดุลย์กันได้ไหม  ถ้าหากว่าอยากให้ไหล่สองข้างสบายๆ ก็อยู่เฉยๆ กับบ้าน  แต่หากอยากให้ตัวเองเป็นพุทธะก็ใช้ไหล่สองข้างนี้ไว้แบกคนจำนวนมาก  อย่างอาจารย์แบกภาระโปรดทั้งสามภูมินี้  แล้วไหล่ของศิษย์มีไว้แบกอะไร  
“กัน”  หมายความว่าอะไร (กันทุกอย่างไม่ให้เข้ามาหาตัวเรา)  อย่างนี้ญาติธรรมก็เข้ามาหาเราก็ไม่ได้สิ (อันนั้นเป็นของดีเราต้องไปเปิดประตูต้อนรับ) “กัน” ตัวนี้มาจากคำว่า ด้วยกัน  ไปด้วยกันกับอาจารย์ดีไหม  อย่าลืมว่าเวลาอาจารย์เรียกแล้วต้องไปนะ  
“ฝ่า”  ฝ่าฟันอุปสรรค งานที่ยุ่งของตัวเอง ดีไหม  ฝ่าออกมาให้ได้  อาจารย์จะรอ
“ขวาก”  “หนาม”  แสดงว่าบำเพ็ญธรรมไม่ง่ายทั้งคู่เลย  แต่อาจารย์หวังว่าจะพยายามดีไหม  อย่าลืมว่าเป็นศิษย์อาจารย์แล้ว  อาจารย์บอกให้ศิษย์เป็นพุทธะ ก็อย่าลืมว่าต้องทำตัวเป็นพุทธะ  แม้จะมีขวากหนาม ความยากลำบากอย่างไร  ขอเพียงแต่ใจเราสู้ เวลาที่มีความไม่เข้าใจอะไร ก็กลับมา สถานธรรม มาถาม  อย่าให้คนอื่นพูดจาสองสามคำก็ปลิวลมไปกับเขา  ขอให้กลับมาสถานธรรม
“คอย”  ชีวิตนี้คอยอะไร มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์นั้นรอคอย บางสิ่งมีค่า  แต่บางสิ่งนั้นไม่มีค่าสมควรแก่การคอย  ขอให้ศิษย์นั้นคอยในสิ่งที่มีค่า  คอยในสิ่งที่คอยได้  อาจารย์อยากจะบอกว่า คอยตัวนี้ อาจารย์คอยศิษย์ ไม่ใช่ศิษย์คอยในสิ่งที่ศิษย์ต้องการ  ขอให้คอยในสิ่งที่มีค่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทและผลไม้แก่ครอบครัวสกุลหยังทั้งหมด)  
อยากกินอะไรดีวันนี้ กินเจดีกว่า  เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันดีจริงๆ  เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็อยากจะบอกว่ารักกันให้มาก บำเพ็ญตามกันให้ดีๆ เราเป็นน้องก็บำเพ็ญตามเขาให้ติดๆ  อย่าบำเพ็ญทีเว้นห่างสามก้าว วันนี้ขี้เกียจหน่อยเว้นห่างสักห้าก้าว  เราเป็นพี่เราต้องดูแลเขาให้ดีๆ อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ต้องช่วยเหลือ อะไรที่ควรจะพูดก็พูด ต้องรู้อะไรควรไม่ควร อันไหนที่ตามกำลังเราทำ อันไหนที่ไม่ตามกำลังเราอย่าทำ 
อาจารย์ให้นักเรียนในชั้นนี้เพื่อที่จะให้รู้ว่าศิษ์ทั้งหลายนั้นเป็นพี่น้องกัน  แม้ว่าจะเกิดมาคนละเวลา คนละสถานที่ คนละพ่อและคนละแม่ แต่ว่าเมื่อมาอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว ขอให้รักกันเหมือนกับพี่น้อง แม้ว่าพี่เราน้องเราจะนิสัยไม่ดีไปซักนิดหนึ่งก็จงอภัยให้มากๆ  เพราะการอภัยนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง  การเสียสละให้ผู้อื่นนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง  รวมทั้งอาจารย์อยากจะให้กำลังใจแก่ฐันจู่ และบ้านสกุลหยังหลังนี้ด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่าให้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเข้าไว้  พี่น้องที่รักกันนั้นหายาก แต่พวกศิษย์ทำได้ แต่เมื่อเราทำได้แล้วก็ขอให้เราทำได้ตลอดไป  การที่จะรักกันจริงๆนั้นคืออะไร พี่น้องที่รักกันจริงๆ ไม่ใช่ว่าพูดจาดีเข้าหากันตลอดเวลา แต่บางครั้งพูดจาตักเตือนกันอย่างเกรงอกเกรงใจด้วย  ตักเตือนเพื่ออะไร เพื่อให้พี่น้องของเรานั้นไม่หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่วมทุกข์ร่วมสุขเพื่อไรเพื่อให้คนในบ้านของเรานั้นได้บำเพ็ญธรรม  ท้ายที่สุดแล้วได้กลับคืนขึ้นนิพพานไปพร้อมกัน  ไม่ใช่ว่าเราขึ้นนิพพานแล้ว น้องเรายังตกอยู่ในโลกีย์  เมื่อพี่ขึ้นนิพพานแล้วปล่อยน้อง น้องขึ้นนิพพานแล้วปล่อยพี่ ปล่อยพ่อ ปล่อยแม่ ปล่อยญาติเราอยู่ข้างในโลกีย์นี้ ให้เขาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ อันนี้ไม่ถือเป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแท้จริง  ฉะนั้นวันนี้มีญาติพี่น้องของตนเอง ถ้าหากเขายังไม่บำเพ็ญธรรม  ถ้าหากเขายังไม่เข้าใจธรรมะ  เราก็มาดูว่าเป็นเพราะว่าอะไร  ธรรมะไร้รูปลักษณ์ไม่มีสิ่งใดให้ศิษย์มองเห็นได้  แต่ว่าธรรมะนั้นดูที่ใครหละ  ดูที่ตัวของคนที่ได้รับธรรมะไปแล้ว ก็คือดูที่ตัวของศิษย์เอง  เปรียบไปแล้วเหมือนกับอะไร  เคยเห็นยาขวดหนึ่งไหม  ยาน้ำขวดหนึ่ง  หากว่ายาน้ำอันนี้ไม่ติดฉลากเป็นอย่างไรรู้ไหม (ไม่รู้)  ยาในขวดเป็นน้ำสีดำ  ไม่ติดฉลากจะรู้ไหมว่าเป็นยาอะไร (ไม่รู้)  ในฉลากไม่มีคุณสมบัติ รู้ไหมว่าเป็นยาอะไร (ไม่รู้)  ผู้บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับฉลากที่ติดอยู่ข้างขวดยา  บนฉลากเขียนคุณ-สมบัติไว้  บำเพ็ญได้ดีมากแค่ไหน คุณสมบัติมีมากเท่าไร  เสร็จแล้วชื่อยี่ห้อได้รับการค้ำประกันหรือเปล่า  คนกินแล้วหายไหม  ย่อมอยู่ที่ตัวเรา  หากเราเป็นฉลากยาที่ไม่มีคุณสมบัติเลย  แปะลงไปแต่มีความว่างเปล่า  ใครจะกล้ากินหรือเปล่า (ไม่กล้า)  ไม่มีใครบอกว่าศิษย์เป็นคนบำเพ็ญดีสักคน  ถ้าเทียบไปแล้วก็คือเราไม่มีฉลาก ไม่มีสิ่งใดเขียนลงไปเลย เป็นฉลากเปล่า ไม่มีใครกล้าบำเพ็ญตามศิษย์หรอก  ฉะนั้นจึงขอให้เรานั้นเอาความดีของเราเป็นคุณสมบัติของยา  ให้เอาคุณธรรมของเราเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงธรรมะว่าดีเท่าไร  สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดเสมอว่า ธรรมะเท็จหรือจริงอยู่ที่ศิษย์  อยู่ที่คนทั้งนั้น  ธรรมะจะเท็จ ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงออกไปทำแต่สิ่งที่ไม่ดี  ธรรมะก็จะไม่ดี  เพราะว่าศิษย์นั้นรับไปแล้วแต่ทำไม่ได้  ธรรมะเป็นสิ่งที่จริงได้ อยู่ที่ศิษย์เป็นผู้บำเพ็ญและบำเพ็ญดีมากด้วย ให้คนเขายกย่องเป็นพุทธะเดินดิน  ในที่สุดแล้ว ธรรมะก็กลายเป็นสิ่งที่ดี  ฉะนั้นธรรมะคือธรรมชาติ จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ตัวศิษย์เอง  อยากให้ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ศิษย์ก็จงทำความดีตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นความดีเล็กๆ น้อยๆ  ก็ไม่มองข้าม ให้ทำทุกอย่าง  แม้ว่าเป็นความชั่วเล็กๆ น้อยๆ  เราก็ไม่ทำ  เพราะความชั่วเล็กๆ น้อยๆ สั่งสมกันมากๆ ก็เป็นความชั่วที่มาก  คนที่เคยทำความชั่วที่เล็กๆ น้อยๆ จึงกล้าที่จะทำความชั่วที่ยิ่งใหญ่ได้  คนที่เคยทำความดีเล็กๆ น้อยๆ จึงค่อยๆ ทำความดีที่ยิ่งใหญ่ได้  ดูสิว่าศิษย์นั้นจะน้อยจากดีหรือไม่ดีขึ้นไปหาสิ่งที่มากนั้น  
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงและเมตตาอธิบายเพลง            "บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่" )
"ใครนำสิ่งดีของตน  เผยความไม่ดีสหาย  คุณธรรมสลาย  มิคงหยุดอยู่ มิอาจเหลือไว้  แค่เพียงหากใครรู้ตน  ก็จงได้หมั่นแก้ไข  ตนได้ทำแค่ไหน  ผลงามย่อมตกเท่าตนได้ทำ" การนำความดีของตนไปเผยโดยเผยความไม่ดีของคนอื่น  ทำอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นเจตนาดี  แต่มนุษย์หลายคนชอบทำ  ทำเหมือนเจตนาดีที่เราเอาความดีของเรานั้นไปเปิดเผยความไม่ดีของคนอื่น  การทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรม  เพราะฉะนั้นคุณธรรมย่อมสลายและไม่คงหยุดอยู่กับเรา ไม่อาจเหลือไว้กับเรา  หลายคนทำไปด้วยความไม่ตั้งใจ  แต่เมื่อเราได้เห็นตนเองแล้วต้องรีบแก้ไข  แต่บางคนทำไปด้วยความตั้งใจ ด้วยความอยากจะเด่นกว่าเขา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง  ถ้าหากเป็นเช่นนี้จะเรียกว่ามีคุณธรรมไม่ได้  ในการที่เกิดมาเป็นมนุษย์หนึ่งชาตินั้น  อันว่าความดีของเรานั้นมีอยู่  แต่ความดีของเรานั้นอาจไม่เป็นผลดี ถ้าหากว่าเรานั้นใช้เปิดเผยความไม่ดีของคนอื่น  แล้วกับคนไม่ดีเราจะทำอย่างไร  อาจารย์จะให้คำตอบคือ จงใช้ความดีไปชนะผู้อื่น  ความดีนั้นไปเงียบๆ เหมือนกับลม  อยู่ก็อยู่  ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ไม่มีรูปลักษณ์อะไร  ในขณะที่ศิษย์อยู่กับคนที่ไม่ดี สิ่งใดที่เป็นผลงานที่ทำขึ้นมาจงยกให้เขาเสีย  หรือว่าอยู่กับคนดีก็เช่นเดียวกัน  ผลงานที่ทำต่างๆ นานานั้น จงยกให้คนอื่น  อย่าได้เก็บเป็นผลงานของตนเอง อย่าได้เป็นความดีของตนเองเฉพาะตัว  เพราะถ้าหากว่าอยู่กับเรา ความดีนั้นๆ จะไม่คงอยู่ได้  จงเอาความดีนั้นๆ ส่งให้กับคนจำนวนมาก  ให้เป็นความดีของมวลชน  แล้วความดีนั้นๆ จะอยู่ตลอดไป  เหมือนกับฟ้าที่ให้แสงสว่างลงมา  ถามว่าฟ้าบอกว่าเราก็ทำความดีไม่ได้หรือ  กลายเป็นการไปเปิดเผยความไม่ดีของเขา ได้หรือเปล่า  อาจารย์จะให้คำตอบว่า  จงใช้ความดีไปชนะผู้อื่น  ความดีนั้นไปเงียบๆ เหมือนกับลม อยู่ก็อยู่  ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร  ไม่มีรูปลักษณ์อะไร  ในขณะที่ศิษย์อยู่กับคนไม่ดี  สิ่งใดที่เป็นผลงานที่ทำขึ้นมาจงยกให้เขาเสีย  หรือว่าจะอยู่กับคนดีด้วยกันก็เหมือนกัน  ผลงานที่ทำต่างๆ นานานั้นจงยกให้กับคนอื่น  อย่าได้เก็บเป็นผลงานของตัวเอง  อย่าได้เป็นความดีของตัวเองเฉพาะตัว  เพราะถ้าหากว่าอยู่กับเรา ความดีนั้นๆ จะไม่คงอยู่  จงเอาความดีนั้นส่งให้กับคนจำนวนมาก  ให้เป็นความดีของมวลชน  แล้วความดีนั้นจะอยู่ตลอดไป  เหมือนกับฟ้าที่ให้แสงสว่างลงมา หากฟ้าบอกว่าฉันให้แสงสว่างพวกเธอเป็นความดีของฉัน ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ฟ้าไม่เคยทวงถาม  ทุกวันก็เป็นอย่างนั้น  แต่มนุษย์ทุกคนต่างหากที่ได้รับสิ่งดีๆ นั้นจากฟ้า   มนุษย์ก็เจริญเติบโตใต้ฟ้านี้โดยไม่ติดขัดอะไร  ถ้าหากว่าฟ้าอยากจะได้ความดีของตัวเองอย่างเดียว  มนุษย์ในใต้หล้านี้จะเจริญเติบโตได้ไหม จะมีความเจริญต่างๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจึงบอกว่าเมื่อฟ้าช่วยไม่หวังผล มนุษย์ก็เจริญเติบโตใต้หล้านี้อย่างรุ่งเรือง  หวังว่าศิษย์นั้นจะเจริญรอยตามฟ้าดินโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ความดีที่พูดถึงได้ตลอดกาลคือ ความดีที่ไม่ใช่ความดีของเราคนเดียว  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง “สงสารกันหน่อย”)
ชื่อเพลงอะไรดี (ตั้งมั่น, รู้ชีวิต, รู้ตัวหรือเปล่า, รู้ตน, ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน, คนใจร้อน, บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่)  เอาชื่อสุดท้ายก็แล้วกัน “บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่”  อาจารย์ก็หวังอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะบำเพ็ญได้เป็นคนใหม่ คนเก่าบางคนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่หวังว่าคนใหม่นี้ต้องดีกว่าคนเก่า  เราจะไม่เป็นอะไรที่แย่ลง  แต่จะเป็นอะไรที่ดีขึ้นตลอดเวลา  อย่างนี้จึงเหมาะที่จะเป็นพุทธะได้  แต่การจะบำเพ็ญเป็นคนใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อยู่ดีๆ จะใหม่ขึ้นมาได้อย่างไร  เหมือนทองที่ใส่อยู่หากอยากจะเอามาทำใหม่ก็ต้องเอาไปหลอม ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน  อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะความยากลำบากนั้นมีไว้สอนชีวิต  ไม่มีความยากศิษย์ของอาจารย์จะไม่ได้เป็นคนใหม่  แต่อาจารย์นั้นไม่แน่ใจว่ากี่คนจะทนความยากลำบากแบบนี้ได้  ขอให้ถือว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเหมือนกับตอนที่เราตั้งใจที่จะหาเงินทอง  มีเท่านี้ยังไม่พอ ยังหาเพิ่มอีก ก็หวังว่าการบำเพ็ญของศิษย์จะเป็นเช่นนี้  โลภเงินทองอาจจะไม่ได้จริง  เพราะเงินทองเป็นของนอกกาย  ถ้าหากอยากมีความโลภ  ขอให้ศิษย์มีความโลภในกุศล 
(นักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์จี้กงว่า อนุตตรธรรมใช้อะไรเป็นหลัก) ใจของศิษย์ไง  หลักหมายถึงอะไร หมายถึงแก่น หลักทุกหลักมีไว้ เหมือนทางให้ศิษย์เดิน  แต่อนุตตรธรรมเปรียบไปแล้วเป็นธรรมชาติ  ศิษย์ที่อยู่ที่นี่ทุกคน  ต่างคนต่างมา  ต่างคนต่างกรรม  ต่างคนต่างเวียนว่ายตายเกิด  ไม่มีใครบอกได้ว่าใครเป็นอย่างไร  อนุตตรรรมก็เป็นธรรมชาติ  ศิษย์นำกลับไปแล้วปฏิบัติดู  แล้วศิษย์จะรู้ว่าหลักของศิษย์คืออะไร  หากศิษย์จะบอกว่าหลักคืออะไร  ศิษย์แต่ละคนที่บำเพ็ญยืนอยู่ตรงนี้  หลักของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน  อาจารย์ก็ไม่เคยว่า  ขอเพียงแต่ศิษย์นั้นได้ปฏิบัติได้ขัดเกลาจิตใจของตนเองให้ดีขึ้น  
(นักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์จี้กงว่า มนุษย์ทุกคนท้ายสุดต้องการที่จะไปสู่แดนนิพพาน  เราจะทดสอบได้อย่างไรว่า  ขั้นตรงนั้นเราได้ฝึกจิตแล้วถึงขั้นนิพพาน) ถ้าหากว่ามีวิธีการทดสอบตั้งแต่อยู่ในโลก  คงไม่ต้องเปลืองแรงศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้ที่ต้องมานั่งบำเพ็ญใช่ไหม (ใช่)   ธรรมะเป็นสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์  ไม่สามารถมองเห็นได้  คนที่จะทดสอบแล้วรู้ว่าตัวเองถึงนิพพานหรือยัง ควรหรือไม่ที่จะไปถึง  คือการมองกลับเข้าไปในใจของตัวเอง  และควรทดสอบด้วยตนเองเท่านั้น  แต่คนที่คิดจะทดลองในการที่จะไปถึงนิพพานนั่นคือคนที่ไปไม่ถึง  รู้ไหม  เหมือนกับอาจารย์บอกศิษย์ว่า ให้โลภในกุศล  แต่จริงๆ แล้วโลภในกุศลถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  แต่ด้วยมนุษย์นี้ต้องมีอะไรสักอย่างเป็นหลักยึด เป็นหลักเกาะ  ในเมื่ออยากโลภ อาจารย์ขอให้โลภกุศลแทน  แต่ถ้าอาจารย์สอนศิษย์ได้  ถ้าศิษย์ทุกคนมีระดับเท่ากัน  มีพื้นฐานเท่าๆ กัน  อาจารย์จะบอกว่าธรรมะไม่มีอะไร  แค่ช่วยคน ช่วยคนอื่น เสียสละด้วยตนเองเท่านั้น  แต่คนที่คิดจะทดลองในการที่จะไปถึงนิพพานนั้นคือคนที่ไปไม่ถึง  เหมือนกับอาจารย์บอกให้ศิษย์ว่า ให้โลภในกุศลถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  แต่ด้วยมนุษย์ต้องมีอะไรเป็นหลักยึด เป็นหลักเกาะ  ในเมื่ออยากโลภ อาจารย์บอกให้โลภกุศลแทน  แต่ถ้าอาจารย์สอนศิษย์ได้  ถ้าศิษย์ทุกคนมีระดับเท่ากัน  และมีพื้นฐานเท่าๆ กัน  อาจารย์จะบอกว่าธรรมะไม่มีอะไร  แค่ช่วยคน ช่วยคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น เมตตาเพื่อคนอื่น  ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย  ถามว่าศิษย์กี่คนรับได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  

เพราะฉะนั้นจึงมีการแบ่งการบำเพ็ญได้สามระดับ  ระดับแรกคือ บุคคลที่ชอบนั่งสมาธิ หาความสงบให้แก่ตนเอง  แต่การหาความสงบให้แก่ตนเองนั้นพอไหม  การบำเพ็ญญานอันสูงสุดนั้น มีแต่การทำเพื่อคนอื่น ช่วยผู้อื่น  
ญาณระดับแรกคือคนที่ชอบวอนขอ ขอโน่นขอนี่  ขอให้ร่ำรวย  มีสุขภาพแข็งแรง
ส่วนญาณระดับที่สองคือ คนที่ชอบสวดมนต์ แล้วคิดว่าตนเองจะไปถึงนิพพาน ทั้งที่จริงๆ แล้ว  ในมนต์คาถาต่างๆ นั้น ไม่เคยจะนำกลับไปปฏิบัติ
ญาณระดับที่สามคือ คนที่มุ่งบำเพ็ญถึงจิตใจของตนเอง เอาจิตใจออกมาขัดเกลา  ไม่กลัวความยากลำบาก  ไม่กลัวความเจ็บร้อน  อยากไปถึงนิพพานไหม (อยาก)  อาจารย์จะบอกให้  ตัวอย่างของคนที่บำเพ็ญอนุตตรธรรมแล้วสำเร็จไปบนนิพพาน เป็นอย่างไรรู้ไหม  คือคนที่ยอมคนอื่นว่า  คนที่เห็นแล้วทำก่อน  ไม่ต้องรอให้ใครเรียก คือคนที่ดังเช่นแม่ครัว ที่ยอมลงไปทำครัวให้ศิษย์ทั้งหมดทาน  โดยที่ไม่ยอมสนใจว่าศิษย์นั้นจะเป็นใคร  มาจากไหน จะดีหรือชั่ว  เขาก็ทำให้ศิษย์ทาน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ต้องไปลงชื่อบอกเขาไหมว่า  ผมมาทานข้าว คุณทำให้ผมทานหน่อย (ไม่ต้อง)  เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญอนุตตรธรรมสำเร็จ ก็คือคนที่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญตัวเอง  ตั้งหน้าตั้งตาช่วยเหลือผู้อื่น  โดยไม่สนใจใคร  โดยไม่ต้องสงสัยอะไรมาก  ทำใจให้ว่างๆ ใสๆ เหมือนกับเด็กทารก  ถามตัวเองว่าวันหนึ่งทำได้กี่นาที  ทำใจตัวเองให้ว่าง  ให้โล่ง  ให้แสงสว่างคนอื่นได้เหมือนฟ้า  นั่นคือจิตของพุทธะ
อยากรู้อีกไหมว่า  หลักของอนุตตรธรรมนั้นให้บำเพ็ญอย่างไร  ศิษย์ก็เอาหนังสือไปอ่าน  ในประวัติของพุทธะทุกพระองค์นั้น  แต่ละประวัติจะมีทางหนึ่งเส้นให้กับศิษย์  บำเพ็ญตามใครก็ได้คนหนึ่ง  หรือถ้าอยากได้ทางจริงๆ อยากจะบีบบังคับให้อาจารย์จะบอกว่า ให้อภัยผู้อื่น
อาจารย์จะไปแล้ว  หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้น รักษาสุขภาพกายให้ดี รักษาสุขภาพใจให้แข็งแรง  อย่าให้กิเลสอะไรเข้าไปทำลายจิตใจของเรา  หลังจากกลับไปวันนี้  หวังว่ายังจำสถานธรรมได้  หวังว่าวันหน้า ศิษย์ของอาจารย์จะร่วมศึกษาอีก  ความหวังสุดท้ายของอาจารย์ คือ หวังว่าศิษย์ทุกคนนื้จะบำเพ็ญได้ดีๆ  เพราะมีแต่คำพูดนี้ คำเดียวเท่านั้น  ที่จะพาศิษย์ให้สูงขึ้น  ไม่ให้จิตใจของศิษย์นั้นตกต่ำไปเรื่อยๆ  เดิมทีชีวิตของศิษย์ทุกคน  อยู่ในมือพญายม  อยู่ในมือยมบาล  ตอนนี้อาจารย์เอาชีวิตศิษย์คืนมา  ชีวิตของศิษย์ทุกคนอยู่กับฟ้า  แต่การกำหนดนั้นอยู่ที่ตัวเอง  ขอให้กำหนดชีวิตของตัวเอง  ไปในทางสว่างไสว  อย่าให้ความคิดชั่ววูบ อารมณ์ชั่วแล่น  เข้ามาทำลายพุทธะองค์น้อยๆ ของอาจารย์เลย รู้ไหม (รู้) อันใดที่เป็นปัญหาของเรา  กลับไปแก้ที่ต้นเหตุ  ไม่ใช่มาแก้ที่ปลายเหตุ  ความล้มเหลวหรือสำเร็จในชีวิตนี้  ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง  ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น  ไม่ผิดไปจำคำนี้ไว้ด้วย  วันหน้าอาจารย์มาหวังว่าเจอศิษย์ทุกคนนะ  กลับมาตั้งใจศึกษา  อย่าตัดสินใจอะไรเพียงครั้งเดียว  ขอให้มองนานๆ  อาจารย์ไปก่อนนะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา