แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชิงโข่ว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชิงโข่ว แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

2558-07-12 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา (ชิงโข่ว)

西元二一五年歲次乙未五月二十七日                                             仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘                   สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย     ตราบวันตายดินกลบหน้ามิแปรเปลี่ยน
มุ่งมั่นจนถึงที่สุดด้วยพากเพียร          เป็นดั่งเทียนหลอมละลายเป็นแสงธรรม
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                            ถามศิษย์รักของอาจารย์มุ่งมั่นจนถึงที่สุดไหม

   อย่าลวงฟ้าบิดเบือนปณิธานตน        อย่าฉ้อฉลตระบัดสัตย์บาปกรรมยิ่ง
ใจมุ่งมั่นกลับเลือนหายอยากจะทิ้ง       ห้วงเหวลึกดำดิ่งคือโทษทัณฑ์
จิตศรัทธากอปรเมตตาอันสูงส่ง          พอเนิ่นนานกลับลดลงและแปรผัน
ปณิธานกลับทอดทิ้งเหยียบย่ำกัน        อย่าล้อเล่นนั้นวิบากกรรมชีวิตตน
แค่ความตายก็ลนลานตระบัดสัตย์       แค่โรคร้ายมาขัดก็สับสน
แค่เคราะห์กรรมมาขวางก็เวียนวน       ถึงถูกฝนหล่อหลอมอย่าสิ้นความดี
จะเพื่อตนหรือเพื่อชนพลีอุทิศ            จะทำผิดหรือบำเพ็ญบุญบาปชี้
จะเมตตาหรือหลงโลภโกรธมากมี        จะแค่ดีหรือให้ถึงที่สุดทำ

                                                ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

          อาจารย์ว่าจะไม่มาแล้วนะ เพราะอาจารย์อยากจะให้ศิษย์เข้มแข็ง และยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง  ศิษย์ทุกคนมีจิตศรัทธา  มีจิตมุ่งมั่น  แล้วก็มีปณิธานที่เป็นตัวหลักยึดถือใช่หรือไม่  (ใช่)   ถ้าศิษย์มีหลักที่ยึดถือมั่นคง  มีจิตมุ่งมั่นศรัทธาหนักแน่นไม่แปรเปลี่ยน  ฉะนั้นศิษย์ไม่ต้องหวังรอพึ่งอาจารย์ให้ช่วยแล้ว แต่ศิษย์ต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง มีหลักยึด มีจุดยืน ว่าเรามีชีวิตไม่ใช่แค่เพื่อชีวิต แต่เรามีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม เพื่อกลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ เช่นนั้นอาจารย์ขอหยั่งคำถาม  คำถามหนึ่งเพื่อตรวจสอบจิตใจศิษย์  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เสียเวลามากนะ ทุกนาทีเป็นการฝึกฝนเรียนรู้ และชั่วโมงสุดท้ายก็เป็นชั่วโมงสำคัญที่ได้ตอบคำถามที่ศิษย์มีความสงสัยอยากรู้อะไรมากมาย
          อาจารย์ถามคำถามหนึ่ง “กลัวตายไหม” (ไม่กลัว)  ทำไมถึงไม่กลัวตาย (เพราะอย่างไรคนเราก็ตาย, ตายทุกคน, เตรียมตายก่อนตาย, ไม่เกินร้อยปีทุกคนก็ต้องตาย)  เพราะบำเพ็ญยังไม่สำเร็จเลยกลัวตายหรือ ยังบำเพ็ญไม่ดีเลยกลัวหรือ ทำไมอาจารย์ถามคำถามนี้  เพราะว่าศิษย์หลายต่อหลายคน เมื่อถึงคราวป่วย เป็นโรค มีเคราะห์กรรม หมอสั่งคำเดียวว่าถ้าอยากหาย อยากรอด ให้ไปกินเนื้อสัตว์ แล้วศิษย์กินไหม (ไม่กิน)  แน่นะ ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือมนุษย์ประเสริฐที่ธรรม  เพราะมงคลสูงสุดแห่งชีวิตการเป็นคน คือ สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม มงคลสูงสุดของความเป็นคนที่ประเสริฐ คือ ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาซึ่งคุณธรรม  และคุณธรรมนั้นเป็นคุณธรรมที่ตัวศิษย์เองทุกคนตั้งสัตย์  ไว้ว่าจะทำให้ได้ และทำให้ถึงที่สุด  ฉะนั้นถ้าเจอข้อทดสอบว่าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะตาย ศิษย์จะกินเขาไหม ถ้าโดนเคราะห์กรรมเข้ามาแล้วจะพลาดผิดไหม
อาจารย์บอกไว้อีกอย่างหนึ่งนะ ถ้าใครที่กินเจคนเดียวในบ้าน จงเป็นคนที่เลี้ยงง่าย อย่าเรื่องมาก และจงทำตัวให้เป็นที่รักของคนในบ้าน อย่าเป็นคนจู้จี้จุกจิก ไม่อย่างนั้นเวลาตอนที่เรากินเจแล้ว เขาเกิดรำคาญขึ้นมา แล้วเอาอาหารเนื้อสัตว์ยัดเข้าปาก แล้วเราจะเป็นอย่างไร และยิ่งถ้าใครเป็นพ่อแม่พี่น้อง พูดให้ที่บ้านเข้าใจไว้เลย อยากให้หนูได้ถึงที่สุดของความดีที่หนูตั้งเป้าหมายไว้ไหม อยากให้แม่ถึงที่สุดของความดีที่แม่ตั้งความมุ่งหมายไหม อยากให้แม่ได้เป็นพุทธะไหม อยากให้แม่ได้ฝึกฝนการเป็นพุทธะถึงที่สุดไหม ถ้าลูกอยากให้แม่เป็น ไม่ว่าแม่จะเจ็บป่วยอย่างไร จำไว้นะลูก ต้องให้แม่กินเจจนลมหายใจสุดท้าย ต้องบอกให้ลูกรู้ไว้ บอกให้คนในครอบครัวรู้ไว้ ตายไปก็ไม่ต้องห่วง ป่วยก็ไม่ต้องห่วง เพราะศิษย์ทำดีจนถึงที่สุดแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ เพราะมนุษย์ประเสริฐที่คุณธรรม มงคลสูงสุดของการเป็นคนก็คือ ยอมทิ้งชีวิตได้เพื่อรักษาธรรม   เพราะธรรมมีค่าใหญ่กว่าสังขาร  เพราะธรรมมีคุณค่าหนักแน่น    ยิ่งกว่าการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นถ้าอยากจะเดินหนทางนี้ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด



          อาจารย์จะพยายามรีบมารีบไป เดี๋ยวจะให้โอกาสศิษย์ได้ถามตอบกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมดีไหม (ดี)  มีคำถามมากมายในหัวใจใช่หรือไม่  บางทีบางคำถามไม่ต้องรอคนอื่นตอบ ถามจิตใจตัวเราเอง เรามุ่งมั่นบำเพ็ญสิ่งสำคัญคืออะไร เรามุ่งมั่นบำเพ็ญสิ่งที่สำคัญ คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สิ่งใดที่กระทำแล้วกลายเป็นกิเลส กลายเป็นบาป กลายเป็นกรรม เราอย่ากระทำดีกว่าไหม ฉะนั้นถ้าเกิดทำไปแล้วก่อเกิดเป็นกรรม ทำไปแล้วก่อเกิดเป็นกิเลส ทำไปแล้วก่อเกิดเป็นความยึดมั่นถือมั่นหลงผิด ก่อเกิดเป็นอวิชชาหลงถือมั่นยึดมั่นในตัวตน อย่างนั้นคิดให้ดี ไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะทำลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนแม้กระทั่งยึดตัวอาจารย์ ถ้ายึดแล้วต้องเจออาจารย์ทุกครั้ง อาจารย์ก็ไม่อยากมา เพราะถ้ามาเจออาจารย์แล้วศิษย์ยึด   มาแล้วศิษย์หลงอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง  ไม่ยึดอาจารย์ ได้ไหม ไม่เจออาจารย์ก็เข้มแข็งได้ใช่ไหม ไม่เจออาจารย์ ก็มุ่งมั่นได้ใช่ไหม แม้เจ็บป่วย ก็ไม่เรียกอาจารย์ใช่ไหม แม้ท้อแม้ทุกข์ ก็ไม่เรียกอาจารย์ช่วยได้ไหม
เริ่มต้นเข้าใจทำให้ได้นะ จำที่อาจารย์พูดได้ไหม อาจารย์บอกว่ามนุษย์ประเสริฐที่คุณธรรม ฉะนั้นอุดมคติสูงสุดของการเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐก็คือ ชีวิตก็สละได้เพื่อรักษาซึ่งคุณธรรม และคุณธรรมที่ศิษย์ตั้งคือ ตราบจนตัวตายก็จะไม่ผิดต่อปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้  และคุณธรรมที่ศิษย์ตั้งไว้ หรือปณิธานที่ศิษย์ตั้งไว้มีคุณธรรมที่สูงส่งนั่นคือความเมตตาถูกไหม  แต่ก็มีบางคนบอกว่า “อาจารย์ศิษย์แย่แล้ว บางทีมันต้องกินเนื้อสัตว์นิดหน่อย ต้องมีนิดหน่อยผสมไปบ้าง ไม่เห็นเป็นไรเลยอาจารย์”  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะต่อเคราะห์กรรม ความเจ็บปวดของเขา เรายืนมองแล้วบอกว่า เธออดทนหน่อยนะ ไม่เป็นไร ฉันหาย เดี๋ยวฉันทำบุญคืนให้   มันถูกต้องไหม   นี่หรือคนที่จะเป็นว่าที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่หรือคนที่มีเมตตาจิตในใจ  ฉะนั้นต่อความเจ็บปวด   ต่อเคราะห์กรรมของเขา เรายืนดูเฉยๆ  แล้วบอกว่าแกต้องเสียสละชีวิตให้ฉัน ได้หรือ (ไม่ได้)  เราก็รักชีวิต เขาก็รักชีวิต   ฉะนั้นต่อเคราะห์กรรม   ต่อความทุกข์ยากของคนอื่น   เราจะไม่นิ่ง ดูดาย เราจะไม่ยืนเฉย แต่เราจะพยายามช่วยเขาให้พ้นทุกข์ โดยที่แม้แต่ตัวเองทุกข์ก็ไม่เป็นไร
พระพุทธะยอมถึงขนาดไหนรู้ไหมศิษย์ หัวใจของพุทธะที่ถือธรรมเป็นที่หนึ่ง  ถือธรรมเป็นที่ตั้งมากกว่าความเป็นตัวตน  มากกว่าอารมณ์ความรู้สึก ก็คือ แม้ตัวเองทุกข์ ทุกข์จนกระทั่งตัวเองถูกเขาเฉือนเนื้อ แล่เนื้อเป็นชิ้นๆ  ทำให้เจ็บ ทำให้ปวด ขนาดไหน ท่านยังเอาความทุกข์นั้นมาแปรเปลี่ยนเป็นความเบิกบาน และสามารถแผ่เมตตาจิตอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาได้ นั่นแหละที่สุดของคำว่าเข้าถึงหัวใจพุทธะ ต่อให้ โดนด่า โดนเคราะห์กรรม  โดนทำร้าย โดนเบียดเบียน ในหัวใจขณะนั้น ท่านกลับเกิดความเบิกบาน ไม่โกรธ ดีใจที่ได้ชำระหนี้บาปเวรกรรมในอดีต และได้เปิดหัวใจอันเมตตาที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา  อย่าเป็นคนที่บำเพ็ญแล้วยังเป็นคน อย่าเป็นคนที่บำเพ็ญแล้วได้แค่ใจของความเป็นคน แค่นั้นไม่พอ เราต้องเข้าถึงหัวใจของพุทธะที่เจริญรอยคุณธรรมที่สูงที่สุด ศิษย์อย่าเป็นแค่คนดี แค่นั้นอาจารย์ไม่เอา ศิษย์ต้องดีให้ถึงที่สุด ใครจะร้าย ใครจะยังไง คิดแต่ว่า ดี ฉันได้ใช้กรรม ดี ฉันได้จบกรรม ดี ฉันจะได้ทิ้งความเป็นตัวตนให้กับเขาไป ให้เหลือแต่คุณธรรมในใจ ให้เหลือแต่ความเมตตางดงามในใจ แม้ใครมาทำให้เราเจ็บที่สุด แม้ใครจะมาด่าเราให้ปวดที่สุด แต่เราสามารถแปรเปลี่ยนความรู้สึกของความเป็นคนให้เป็นหัวใจแห่งพุทธะที่เมตตาได้ เบิกบานได้ เข้มแข็งได้ ไม่จองเวรจองกรรมได้ ไม่เป็นคนช่างจดช่างจำ ไม่เป็นคนถือโทษ ไม่เป็นคนมักโกรธ เป็นคนที่มีแต่ให้ ให้ได้แม้หัวใจแห่งความเป็นคน ให้แล้วเหลือแต่ความเป็นพุทธะ เหลือแต่ความเป็นธรรม ให้ไปเลยศิษย์ กลัวทำไม กายเจ็บแล้วมันก็ตาย แต่การเข้าถึงธรรม ไม่มีเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ เพราะเมื่อศิษย์เข้าถึงภาวะที่ทุกข์ที่สุดแล้ว และศิษย์สามารถแปรเปลี่ยนทุกข์ที่สุดให้กลายเป็นความเบิกบาน และเมตตาที่ยิ่งใหญ่ได้  ทำให้ถึงนะศิษย์ อย่าแค่ฟัง ทำไมฟังมาเป็นปี ฟังมาเป็นสิบๆ ปี ทำไมเราได้แค่ฟัง แต่ไม่เคยเข้าถึงธรรมสักที เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยลงแรงที่ใจเรา อาจารย์รู้ว่าศิษย์เก่งในการอุทิศเสียสละเวลาช่วยคน  แต่ใจนี้เคยลงแรงบ้างไหม  เคยขูด  เคยขัดเกลา เคยทิ้งความเป็นตัวตนบ้างไหม เคยทิ้งนิสัยบ้างไหม
ฉะนั้นเคราะห์ภัย ความทุกข์ ความเจ็บปวด ไม่ใช่เรื่องโหดร้าย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว  ไม่ใช่อุปสรรค  อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น  ไม่ได้อยู่ที่เจ้ากรรมนายเวร แต่อยู่ที่หัวใจเราเอง รับได้ไหม ถ้ารับได้อุปสรรคก็เป็นบารมีหนุนให้เราสูงขึ้น รับไม่ได้อุปสรรคมันก็ดึงใจให้ศิษย์ตกต่ำลง และอยู่ในกรงขังแห่งความเป็นคนไปตลอดตราบจนลมหายใจสุดท้าย เมื่อตายไปแล้วก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิด เพราะยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า ให้รู้จักไม่ครองเรือน ไม่บริโภคกาม คำว่าไม่ครองเรือน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีครอบครัว แต่มีความหมายโดยนัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรือนกายที่กำลังถูกไฟไหม้อยู่ตลอดเวลา ที่มันมีความตายคืบคลานอยู่ตลอดเวลา สังขารนี้อย่าไปปรนเปรอ อย่าไปหลงใหลกับมันมาก มันมาเพียงแค่ให้เราอาศัยยืมใช้  สร้างคุณธรรมให้ถึงที่สุด ถ้าปัญญาไม่ถึง ก็ใช้คุณธรรมไปให้ถึง  ชีวิตนี้ฉันจะมีเมตตาให้ถึงที่สุด ชีวิตนี้ฉันจะมีคุณธรรมแห่งความเสียสละให้ถึงที่สุด ยากไหม ศิษย์เอย ไม่ยากนะ อย่าพูดว่าทำไม่ได้ ต้องทำให้ได้ อย่ารอให้ตายแล้วค่อยได้ มันต้องตอนนี้ศิษย์  ใครจะเป็นอย่างไร ฉันไม่รู้ รู้แต่เพียงอย่างเดียว ฉันต้องทำให้ได้ ฉันต้องดีให้ได้ ได้ไหมศิษย์ (ได้)  อาจารย์อยากเห็นศิษย์ไปให้ถึง ไม่ใช่เป็นแค่คนดี แต่ต้องเป็นคนที่เข้าถึงธรรม และทำได้จริงๆ ศิษย์เป็นมากกว่าผู้ปฏิบัติงานธรรม  แต่ศิษย์กำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งความเป็นพุทธะ ถูกไหม (ถูก)  แล้วมีอะไรเหมือนพระพุทธะบ้าง มีอะไรที่เหมาะสมกับการเป็นพระพุทธะบนแดนดินบ้าง ถ้านิสัยยังไม่วาง อารมณ์ยังไม่ผ่อนปรน ให้ลดเหลือน้อยที่สุด แล้วศิษย์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร ฉะนั้นก็ต้องมีคุณธรรม ถ้าปัญญาศิษย์ยังเข้าไม่ถึงสภาวธรรม ยังไม่เข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรม สิ่งที่จะนำพาให้ศิษย์ไปให้ถึงปัญญาธรรม นั่นก็คือเริ่มต้นที่คุณธรรมก่อน มีจิตสำนึกอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคนอันประเสริฐ ทำแล้วสมควรไหมกับความเป็นคนอันประเสริฐ  คิดอย่างนี้สมควรไหมที่ควรคิด พูดแบบนี้สมควรไหมที่ควรพูด ทุกขณะพินิจไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลาว่ามีคุณธรรมสมควรแก่ความเป็นคนมากเพียงใด สำรวมระมัดระวังอยู่เสมอ  ไม่ให้การพูดการกระทำของเราก่อเกิดกรรม ที่จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ให้การพูดการกระทำ หรือแม้กระทั่งความคิดเที่ยงตรง และคงอยู่ในความเป็นผู้มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อายุมากหรืออายุน้อย ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือความมุ่งมั่นในปณิธานของตัวศิษย์เอง เมื่อตั้งปณิธานแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด เมื่อเดินแล้วถอยไม่ได้ มีแต่ก้าวหน้าอย่างเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปณิธานนี้ศิษย์ตั้งแล้วเลิกไม่ได้ ถอนไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ มีแต่มุ่งมั่นเดินให้ถึงที่สุด เพราะศิษย์ตั้งใจไว้แล้ว  อาจารย์เศร้าใจจริงๆ กับคนที่มาพูดกับอาจารย์ หรือแม้อยากมาพูดกับใครก็ตามว่าถอนทิ้งได้ไหมอาจารย์ ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เป็นอาจารย์จะตอบเขาว่าอย่างไร ถอนทิ้งเท่าก็กับตกนรกแล้วนะ เลิกแล้วไม่เอาแล้วก็เท่ากับก้าวลงไปในนรกแล้วนะ  ศิษย์ตั้งปณิธานเองแล้วศิษย์จะถอนได้อย่างไร แล้วศิษย์จะให้ใครถอนปณิธานหรือ ตอนที่ตั้งปณิธานก็ไม่ได้หน้ามืด ไม่ได้มีใครบังคับ แล้วทำไมพอลำบาก ศิษย์จะถอนปณิธานทิ้งเล่า แล้วทำไมศิษย์ลืมหัวใจแห่งความเสียสละ หัวใจแห่งเมตตาตรงนั้นไป  ฉะนั้นไปก็ไปให้ถึงที่สุด ถอนไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เลิกไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ อย่าทำลายตัวเอง ไม่มีใครฉุดเราลงนรกได้ ถ้าเราไม่ดึงตัวเองให้ตกต่ำ ไม่มีใครเอาเราขึ้นฟ้าได้ ถ้าเราไม่รู้จักดึงใจเราให้ขึ้นฟ้า แล้วทำไมจึงทำกับตัวเองอย่างนี้
อาจารย์ว่าบางครั้งมันก็จุกนะศิษย์ จุกตรงที่พูดอะไรไม่ออก  เพราะอะไรรู้ไหม  เหมือนคนเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกดี แต่ยังไงเขาก็ไม่เอา เขาได้แค่นี้ มันก็เลยจุกตรงที่ว่าศิษย์ทำได้แค่นี้  ทั้งที่จริงๆ มันได้มากกว่านี้ ดีกว่านี้ และถึงที่สุดกว่านี้ได้ แต่ศิษย์พูดว่าศิษย์ได้แค่นี้ อาจารย์ก็เลยจุก จุกจนพูดไม่ออก ฉะนั้นถามตัวเองจริงๆ นะศิษย์ว่าได้แค่นี้จริงๆ หรือ ศิษย์บำเพ็ญสูงที่สุดได้แค่นี้ มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงหรือ ฉะนั้นอย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตน บำเพ็ญต้องไปให้ถึงซึ่งธรรม อันแท้จริง ธรรมอันบริสุทธิ์ ธรรมที่ไม่มีคำว่าตัว ไม่มีคำว่าตนให้ยึดถือ ไปให้ถึงนะศิษย์ หนทางแห่งพุทธะอยู่ที่เราเลือกเดิน เมื่อเลือกแล้วต้องให้ถึงที่สุด ตราบจนดินกลบหน้า ตราบจนลมหายใจสุดท้าย ก็ไม่ทิ้งซึ่งความถูกต้องที่ดีงามและคุณธรรมในใจตน  ถามตัวเองว่า วันนี้ถ้าต้องตาย คุณธรรมแห่งความเป็นคนถึงพร้อมไหม ชีวิตนี้ทำได้ดีที่สุดแล้วใช่ไหม ถ้าคุณธรรมความเป็นคนถึงพร้อม เมตตาจิตถึงที่สุด บำเพ็ญเต็มที่แล้ว แม้วันนี้ตายก็ไม่เสียดาย นั่นแหละสุดยอด แต่ถ้าวันนี้สิ่งที่อาจารย์พูด ศิษย์ยังทำได้ไม่ถึงที่สุด ยังไม่ถึงดี อย่าเพิ่งตาย เพราะมันจะไม่คุ้มเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำให้ได้นะศิษย์  ถ้าอาจารย์มีแขนที่กว้างใหญ่ อาจารย์ก็อยากจะกอดปลอบใจศิษย์ทุกคนนะ ลุกขึ้นมาสู้ทำให้ได้ ทำให้ดีที่สุด เพื่อธรรมในใจของศิษย์เอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

2554-06-25 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กทม.


西元二〇一一年 歲次辛卯五廿四 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน  กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ปลุกพลังเมตตาให้ยิ่งใหญ่ ปลุกให้กว้างออกไปที่สุดหนอ
เมตตาคือจิตใจคือรากฐานก่อ จนแตกหน่อคุณธรรมระบือไกล
เพราะไม่คิดทำร้ายเบียดเบียนชีวิต เพราะไม่ติดกลิ่นรสที่เคยหลงใหล
เพราะทุกข์เขาคือทุกข์เราต่างเพียงกาย เพราะสุดท้ายคุณค่าชีวิตใช่อยู่เพื่อตน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักผู้พยายามเดินถึงซึ่งความบริสุทธิ์ทุกคนสบายดีไหม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้โอวาทกับนักเรียนที่นั่งชั้น 3)
ศิษย์กลัวความผิดหรือกลัวรับผลแห่งความผิด ถ้ากลัวความผิดศิษย์จะไม่ยอมทำผิดโดยเด็ดขาด จะสำรวมระมัดระวังทุกขณะ แต่ศิษย์สำรวมไหม (ไม่)  สิ่งที่น่ากลัวคือ หัวใจของศิษย์ที่ไม่รู้จักระมัดระวัง อยากพูดก็พูด อยากด่าก็ด่า อยากโมโหก็โมโห อยากอยากก็อยาก
เมื่อไรที่เราจะทำอะไรก็ตาม อาจารย์อยากให้ศิษย์ไม่ว่าจะเจอคนไม่ถูกใจ เจอเรื่องชอบใจ ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ศิษย์ลองถอยมาสักหนึ่งก้าวก่อนจะทำอะไร แล้วมองตัวเองให้เห็นว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจะทำอะไร เห็นไหมว่าโมโห เห็นไหมว่าโกรธ เห็นไหมว่าอยากด่า ใช่ไหม (ใช่)  มองเห็นแล้ว เห็นแล้วควรทำไหม (ไม่ควร)
ทำไมเราถึงต้องบำเพ็ญธรรม เพราะว่าการเป็นแค่คนดีไม่มีวันสิ้นทุกข์  ไม่มีวันพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นคนดีผลของการทำดีสูงสุดก็แค่ไปสวรรค์ แล้วก็กลับมาเสวยทุกข์ใหม่ แต่บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญเพื่อสิ้นทุกข์ หลุดพ้นการเวียนว่าย และถ้าเราอยากสิ้นทุกข์ หลุดพ้นการเวียนว่าย สิ่งที่ศิษย์จะต้องดูแลควบคุมให้ดีก็คือตัวเอง ไม่ใช่ผู้อื่น คุมตัวเองให้ได้แค่นี้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และตัวเองที่ศิษย์ควรคุมนี้ ตัวเองที่ศิษย์ไปยึดมั่นถือมั่น มันไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ควรจะยึดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครว่าเรา เราก็ยึดแล้ว แล้วตัวที่ศิษย์ยึดนี้ มันยึดได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์บอกว่ามันเป็นอะไร มันเป็นถุงขี้ เวลาเราทำงานอะไรเหนื่อยๆ เวลาเราทำอะไรดีๆ แต่คนอื่นไม่ได้ดั่งใจเรา ไม่ทำตามเรา เราก็มัวแต่ห่วงถุงขี้ที่เหนื่อย
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมเพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และบำเพ็ญธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสที่เรายึดมั่นถือมั่น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วกิเลสมีไหม  ถามว่าตอนนี้ใครมีความโกรธ มีไหม ตอนนี้ไม่มี ใช่ไหม แต่เจอสิ่งที่กระทบหู แล้วมันด่าฉัน มันว่าฉัน นั่นแหล่ะโกรธมันถึงมา  ตอนนี้ไม่มีความโกรธมีแต่จำฝังใจ ใครมันด่าฉัน ใครมันว่าฉัน ใครไม่ดีกับฉัน มีแต่สิ่งที่จิตสั่งสม ซึ่งเป็นความว่าง แต่เรายึดมั่นถือมั่นว่ามันมี
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าเราบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดี เพราะเป็นคนดีไม่มีวันสิ้นทุกข์ เป็นคนดีอย่างมากไปสูงสุดคือสวรรค์ หรือไม่ไปสูงสุดก็คือพุทธาลัย แต่ก็ไปติดคุกสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมก็เพื่อตัด เพื่อปล่อยวางตัวตนที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จริงหรือเปล่า (จริง) แต่ศิษย์ยึดไหม (ยึด)  โดยเฉพาะอายุมากแล้วยังยึดไหม (ยึด)  ยึดทำไม เพราะสังขารนี้มีไว้ให้ปลงๆ ปล่อยๆ พอถึงเวลาเราต้องรู้จักแยกจิตแยกกายให้ออกจากกัน ยังห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงไหม (ไม่ห่วง)  โกหกอาจารย์ทั้งเพ
ยิ่งอายุมากแล้ว สิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำเป็นประจำ อย่างแรกคือแผ่เมตตาจิต ว่างเมื่อไรก็แผ่ มีความสุขก็แผ่ เมื่อยามทุกข์ก็แผ่ ขออย่าให้เขาทุกข์เหมือนเราเลย ขอให้เขาคิดได้ จิตที่รู้จักแผ่ จิตที่รู้จักให้ด้วยความเมตตา ด้วยความกรุณา เป็นจิตที่ประเสริฐ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์กินเจเพราะศิษย์อยากมีเมตตา ฉะนั้นยิ่งอายุมากแล้วแผ่เมตตาจิตอยู่เสมอ แรงเราอาจจะไม่มีทำอะไรเหมือนคนอื่น  แต่แรงแห่งพลังจิต พลังอธิษฐานมีพลังที่ยิ่งใหญ่ สามารถส่งไปได้ไกลและไปได้ทั่วทิศ และไม่มีวันหมด ไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะหมด  
เวลาศิษย์แผ่เมตตา ศิษย์ก็บอกว่าแล้วศิษย์จะมีกุศลไหมอาจารย์ แล้วเขาจะเอากุศลของศิษย์ไปหมดไหม แล้วศิษย์จะเหลืออะไรไปใช้เจ้ากรรมนายเวร ศิษย์จะกลัวอะไร ใช่ไหม (ใช่)  จิตเมตตาแผ่ไปเถอะ ยิ่งแผ่ก็ยิ่งกว้างใหญ่ ยิ่งแผ่ก็ยิ่งมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
อายุมากแล้วสิ่งที่สำคัญก็คือการปลง การปล่อยวางและแผ่เมตตาจิตอยู่เสมอ แล้วเวลาคิด พูดหรือทำอะไร เชื่ออาจารย์ถอยหนึ่งก้าว ใจเย็นสักนิดหนึ่ง มองให้ออกว่าตอนนี้จะด่าเขาทำไม ขี้ด่ากับขี้ก็เหม็นทั้งคู่ ใช่หรือไม่ ขี้โกรธกับขี้ก็โง่ทั้งคู่  โกรธทำไมเขาก็ขี้เราก็ขี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมต้องเข้าให้ถึงการบำเพ็ญที่แท้จริง  ไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่ต้องขัดเกลาแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีอะไรให้เราต้องยึดติดไม่มีอะไรให้ยึดติดแม้กระทั่งความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อาจารย์จับมือให้กำลังใจศิษย์ทุกคนก่อน เพราะเดี๋ยวอาจารย์ขึ้นไปแล้วอาจจะไม่ได้ลงมา  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายของการบำเพ็ญธรรม เราบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมนะศิษย์นะ
(ศิษย์อยากให้หายเจ็บป่วย)  ขนาดพระพุทธะยังต้องเจ็บป่วยถึงจะหมดสิ้นกายสังขารได้ แต่สิ่งที่เหนือกว่าความเจ็บป่วยก็คือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความเจ็บป่วยมาเพื่ออะไร มาเพื่อให้เราปลงและแยกให้ออกว่ากายก็คือกาย จิตก็คือจิต กายป่วยแต่ถ้าจิตไม่ป่วยล่ะ ศิษย์ต้องทำให้ได้ ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ศิษย์ก็ยังต้องมีสังขารเพื่อไปรับทุกข์แห่งความทรมาน แต่ถ้าศิษย์สามารถเข้าถึงความว่างที่แท้จริงได้  ศิษย์ก็ไม่มีร่างกายที่ต้องไปทุกข์ทรมาน แต่ศิษย์สามารถไปสู่ความสงบเย็นอันแท้จริงได้
ฟังอาจารย์รู้เรื่องไหมหนอ อาจารย์ห่วงศิษย์เหลือเกิน เพราะศิษย์ของอาจารย์นั้น ยังติดอยู่ในร่างกาย ยังติดอยู่ในสังขาร ซึ่งร่างกายและสังขารนี้มันไม่เคยเที่ยงแท้ มันไม่เคยทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ถ้าศิษย์ไม่รู้จักขัดเกลาควบคุมใจตน การบำเพ็ญธรรมสิ่งสำคัญที่สุดคือ หัวใจอันบริสุทธิ์ หัวใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในความดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าอาจารย์มีร้อยมือพันมืออาจารย์ก็อยากดึงศิษย์ทุกคนให้กลับไปกับอาจารย์ แต่ถ้าหัวใจของศิษย์ไม่รู้จักนำพาตน ศิษย์ก็คือคนที่ดึงตัวเองให้ตกต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมเพี่อเข้าถึงความบริสุทธิ์อันแท้จริง แล้วความบริสุทธิ์อันแท้จริงคืออะไรล่ะ คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถึงจะทำดีเท่าไหร่ ความดีก็ยึดมั่นไม่ได้ ถ้ายังติดดีอยู่ ติดตัวตนอยู่ ศิษย์ก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตา ศิษย์ไปโรงพยาบาลก็ทานผิดไปบ้างก็มี)  อย่างนั้นต้องรู้จักกราบขอขมาและระมัดระวังตนเอง ทำสิ่งใดก็ต้องกล้ารับ ผิดก็ว่าผิด ไม่ใช่ว่าทำผิดแล้วมากลัวการรับโทษอย่างนี้ก็ไม่ใช่ศิษย์ของอาจารย์ ผิดก็ต้องกล้ารับ เพราะเราเป็นคนทำใช่ไหม เพราะยิ่งเรากล้ารับ ยิ่งเรายอมรับว่าเราเป็นผู้ผิดนั่นก็คือการขอขมากรรม แต่ถ้าผิดแล้วยังให้เหตุผลตัวเองอยู่ร่ำไป ไม่รับโทษ นั่นก็คือการไม่สำนึกแก้ไข แต่อาจารย์บอกแล้วถ้าเมื่อไหร่ศิษย์พ้นจากตัวตนได้ ศิษย์ก็ไม่มีทุกข์ให้เวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์ยังไม่พ้นการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฎฎะทุกข์แห่งการเวียนว่าย
ยึดอะไรกับความคิด แม้กระทั่งบางทีความคิดก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิได้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายที่ไม่มีวันหมดสิ้นทุกข์ได้ก็คือความไม่รู้ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความอยาก ใช่หรือเปล่า  
อาจารย์ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะสิ่งที่อาจารย์อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว อาจารย์กลัวอย่างเดียว ศิษย์ของอาจารย์ทำไม่ได้ เข้าไม่ถึงสิ่งที่อาจารย์พูด เพราะมนุษย์ยังอดยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่ได้ แม้กระทั่งความคิดที่ไม่มีรูปลักษณ์เราก็ยังยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้แต่ตัวตนที่เป็นถุงขี้ศิษย์ก็ยังกอด แล้วจะให้อาจารย์ทำอย่างไร  ในเมื่อศิษย์ฟังก็หลายเที่ยว รู้ก็หลายรอบ แต่ทำไมจึงไม่สามารถตัดรัก โลภ โกรธ หลง ได้สักที น่าแปลกนะ ฟังธรรมมาก็มากแต่ทำไมตัดความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่ความรู้ ความเข้าใจ แต่ไม่ใช่ความแจ้งกระจ่าง ใช่ไหม (ใช่) เราเกิดมาเพื่ออะไร คุณค่าของชีวิตอยู่ที่ไหน อยู่ที่เงินทอง หรืออยู่ที่ค้นหาธรรมที่แท้จริงในตัวตน แล้วธรรมที่แท้จริงในตัวตนอยู่ที่ใด ใครตอบอาจารย์ได้ ไหนให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยสิ (อยู่ที่ใจ)  ใจที่หยั่งรู้ถึงสัจภาวะ และสัจภาวะนั่นคืออะไร นั่นคือความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ล้วนเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเรานำมาประพฤติปฏิบัตินั่นเรียกว่าคุณธรรมแห่งความเป็นคน หรือศีลธรรมแห่งความเป็นมนุษยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมมีอยู่ในตัวศิษย์แล้วนะ ไม่ประมาทในการดำรงชีวิต นั่นก็คือไม่ทอดทิ้งสัจภาวะแห่งความเป็นคน ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ครองศีลธรรม นั่นก็คือไม่ทอดทิ้งคุณธรรมแห่งความเป็นคน
มนุษย์สามารถเข้าถึงธรรม ขอเพียงศีลธรรมไม่ทอดทิ้ง สัจภาวะไม่หลงลืม เราจะไม่มีวันห่างไปจากธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะทำอย่างไรล่ะ สิ่งที่ศิษย์ของอาจารย์รู้ มันจะกลายเป็นปัญญาที่ถึงแจ้ง แล้วเห็นธรรมในตัวตนสักที
โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์นะ ความดีไม่สามารถทำให้เราสิ้นทุกข์ได้ แต่การบำเพ็ญธรรมถึงทำให้เราสิ้นทุกข์ได้ จำไว้นะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้โอวาทกับนักเรียนที่นั่งชั้น 4)
รอนานไหม (ไม่นาน)  จิตใจที่กว้างใหญ่ ไปอยู่ที่ใดก็สบาย แต่จิตใจที่คับแคบไปอยู่ที่ใดก็อึดอัด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์เห็นศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน ทำให้อาจารย์นึกถึงอะไรรู้ไหม ศิษย์ของอาจารย์บางคนก็เหมือนอาจารย์ บางคนก็เหมือนพระศรีอาริย์ บางคนบำเพ็ญก็เหมือนพระกวนอู บางคนบำเพ็ญก็เหมือนพระกวนอินหรือพระโพธิสัตว์
จันทรปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบำเพ็ญธรรมไม่ว่านั่งหรือว่ายืนก็เอะอะมะเทิ่งเหมือนอาจารย์เลย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์เห็นนะเวลานั่งนี่หาความเป็นผู้บำเพ็ญธรรมไม่เจอเลย ไม่สำรวม ไม่งาม เหมือนอาจารย์เลย เหมือนแต่ท่าทางแต่หัวใจไม่มีเลย ใช่ไหม (ใช่)  บางคนก็ดูเข้มงวดดุดัน แต่จิตใจเหมือนท่านกวนอูก็ไม่มี บางคนดูท่าทางสุภาพเรียบร้อยเหมือนพระกวนอิน แต่จิตใจร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมศิษย์เลียนแบบแต่ข้างนอก แต่หัวใจศิษย์ไม่เป็น อาจารย์ไม่เอา เป็นต้องเป็นให้แท้ทั้งนอกทั้งใน ไม่ใช่เลียนแบบอาจารย์จี้กง สมถะง่ายๆ เอะอะมะเทิ่ง พูดจาโวยวาย น่าดูไหม (ไม่น่าดู)  หรือชอบทำตัวเป็นพระกวนอูเข้มงวด จู้จี้จุกจิก ชอบชี้อย่างนั้นไม่ถูกนะ อย่างนี้ไม่ถูกนะ เธอต้องทำอย่างนี้นะ เราชอบเป็นอย่างนั้นนะ หน้าตาก็ไม่ค่อยยิ้มแย้ม บำเพ็ญธรรมหน้าบึ้งเหลือเกิน ถูกไหม (ถูก)  ไม่รู้จะเก็บท่าทีให้เขากลัวทำไม บำเพ็ญธรรมต้องให้คนอยากชิดใกล้ ไม่ใช่ให้คนเห็นแล้วอยากหนี แล้วศิษย์เป็นอย่างนี้ไหม ยิ่งบำเพ็ญหาเพื่อนบำเพ็ญไม่เจอเลย
ร้อนไหม (ร้อน)  ข้างหลังจะร้อนหน่อยนะ อาจารย์รีบมาวันนี้เพราะเห็นศิษย์ของอาจารย์ต้องได้รับความลำบาก ลำบากไหม (ไม่)  มาฟังธรรมะแบบนี้อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด)  อยู่บ้านอิสระเต็มที่ อยู่นี่ต้องนั่ง ห้ามไปไหน จะเข้าห้องน้ำก็ต้องอดทนรอ  ก็เหมือนกับการกินเจ เหมือนการตั้งปณิธานที่จะไม่ทานเนื้อสัตว์ การมุ่งมั่นจะปฏิบัติดีด้วยกายและใจให้บริสุทธิ์และสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะทำก็ต้องใช้ความอดทน ความเพียรพยายาม ฉะนั้นวันนี้ก็เหมือนศิษย์เข้าเตาหลอมเล็กๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าผ่านเตาหลอมนี้ได้ ศิษย์ก็สามารถฟันฝ่าความยากลำบากได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าผ่านเตาหลอมเล็กๆ นี้ไม่ได้ ศิษย์ก็อาจจะผ่านความยากลำบากในโลกนี้ได้ยาก
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวจน ไม่กลัวหมดตัว  ไม่กลัวเหลือตัวคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะการตั้งใจที่จะไม่ทานเนื้อสัตว์ก็เหมือนเราทานอยู่คนเดียวในโลกกว้าง แต่ถ้าคิดอย่างนั้นก็ดูจะหดหู่ไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์ลองคิดดูสิ หนึ่งต้นไม้ถ้าหยัดยืนมั่นคงอาจจะก่อให้เกิดความร่มเงาร่มเย็นแก่มวลประชาได้ แต่ถ้าหนึ่งต้นไม้ไม่หนักแน่นมั่นคง ต้นไม้ก็อาจจะนำความเกะกะรกหูรกตาให้ผู้คนได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นศิษย์อยากเป็นอะไร  ถ้าบำเพ็ญธรรมด้วยความตั้งใจ ด้วยความสุข ด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวต้นไม้ก็ให้ร่มเงาร่มเย็นได้ แต่ถ้าหนึ่งความตั้งใจไม่มุ่งมั่นไม่เด็ดเดี่ยว อ่อนแอยอมแพ้ ต้นไม้นั้นก็อาจจะเป็นต้นไม้ที่น่าสงสารและทุกข์ทน และมีแต่คนอยากจะบอกว่าเลิกกินเสียเถอะ ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งใดต้องทำด้วยใจที่เป็นสุข และเราจะยั่งยืน แต่ถ้าเราทำด้วยความทุกข์ทนเราจะไม่ยั่งยืน ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เพราะสุดท้ายคุณค่าชีวิตใช่อยู่เพื่อตน” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบำเพ็ญธรรมแท้จริงเพื่ออะไร เพื่อตัวตนตัวหนึ่งหรือ แต่เพื่อเข้าถึงซึ่ง  สัจธรรมความเป็นจริง เราบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริง ธรรมที่มีอยู่ในตัวเรา
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ก็เหมือนกับอาทิตย์ อาทิตย์เมื่อฉายส่องไม่ว่าอยู่ทางทิศเหนือหรือทิศใต้ก็ยังคงเป็นอาทิตย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ทางเหนือกับทางใต้จะได้รับอาทิตย์ร้อนแตกต่างกัน แต่อาทิตย์ก็ยังคงเป็นอาทิตย์ที่ยังคงไม่ทอดทิ้งศิษย์ไปไหน แล้วศิษย์ก็จะเข้าใจความหมายนี้
ไม่เหนื่อยกับการฟังธรรมะ ใช่ไหม (ไม่เหนื่อย)  ไม่เหนื่อยกับการเรียนรู้ ใช่ไหม (ไม่เหนื่อย) เบื่อฟังหรือยัง (ไม่เบื่อ) จริงหรือ (จริง)  พอบอกว่าให้มาอบรมฟังธรรมะ เออ..เดี๋ยวก่อนๆ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครตัดสินใจมาฟังโดยไม่ลังเลยกมือขึ้น อย่าหลอกอาจารย์บ่อยๆ นะศิษย์นะ ใช่หรือเปล่า (ไม่หลอก)  
เราอยู่ในโลกนี้มีความทุกข์มากมาย แต่เราบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร การพยายามเป็นคนดีไม่มีวันสิ้นทุกข์ได้ แต่การพยายามบำเพ็ญตน
ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีและค้นหาสภาวธรรมที่แท้จริงในตัวตนให้ได้ จะสามารถทำให้ศิษย์ที่มีทุกข์พ้นเวียนว่ายได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เป็นคนดีอย่างมากสุดแค่ขึ้นสวรรค์ แต่บำเพ็ญธรรม เราไม่ได้ต้องการแค่สวรรค์ แต่เราต้องการสิ้นทุกข์และพ้นเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะสิ้นทุกข์ได้อย่างไรถ้าเรายังอดหลงและไม่รู้ มนุษย์เราหลงเพราะความไม่รู้  ไม่รู้อะไร ไม่รู้ในตัณหา ไม่รู้ในมานะ ไม่รู้ในทิฐิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัณหาคือ ความอยาก มานะคือ ความถือตน  ทิฐิ คือความเห็นผิด   สามสิ่งนี้ล้วนเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัณหาแตกไปเป็นโลภ โกรธ หลง ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความเห็นผิดก็แตกเป็นโลภโกรธหลงได้ ความยึดมั่นถือมั่นก็แตกเป็นโลภ โกรธ หลง และอารมณ์กิเลสต่างๆ ได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์รู้จักควบคุมสามอย่างนี้ให้ได้ ศิษย์ก็สามารถบำเพ็ญขัดเกลาตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
แต่ตัณหา ทิฐิ มานะ เกิดจากอะไร เกิดจากความไม่รู้ที่หลงผิด เกิดจากความไม่รู้ที่เราไปทะยานอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราไม่รู้อะไร อาจารย์ถามว่าเราหลงผิดอะไร ไม่รู้อะไร ทะยานอยากอะไร ตอบอาจารย์ได้ไหม ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เราไม่มีวันสิ้นทุกข์ ถ้าไม่รู้ว่าต้นเหตุแห่งทุกข์คืออะไร ใช่ไหม (ใช่)
ก่อนที่อาจารย์จะคุยต่อ อาจารย์เอาโอวาทครอบของภาคกลาง คือไท่อินหนึ่งส่วน อีสานหนึ่งส่วน ภาคเหนือหนึ่งส่วน  ภาคใต้อีกหนึ่งส่วน มาต่อรวมกัน จำได้ไหม  
บุคคลักษณะของผู้บำเพ็ญต้องประกอบไปด้วย จริยะ ศีล ปัญญา และคุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ไหม  โอวาทอาจารย์ให้ไปแล้วได้สนใจบ้างไหม ไม่ได้สนใจเลย ใช่หรือเปล่า อย่างนั้นวันนี้อาจารย์ไม่พูดอะไร แต่ถามศิษย์ดีไหม (ดี) จริยะ ศีล ปัญญา คุณธรรม  ไม่อย่างนั้นสิ่งที่อาจารย์ให้ มันก็เป็นแค่ตัวหนังสือเป็นพระโอวาทอยู่วันยังค่ำ เมื่อไรจะเป็นของศิษย์และอยู่ในใจของศิษย์สักที
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ จริยะคืออะไร ตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยได้ไหม ศีล คืออะไร ปัญญาคืออะไร คุณธรรมคืออะไร ถ้าวันนี้ตอบไม่ชื่นใจไม่ต้องกินข้าวดีไหม (ดี)  ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่รู้จักคำว่า “จริยะ” ได้ไหม (ไม่ได้) จริยะคือะไร (ระเบียบ) ระเบียบอะไร (ระเบียบในตัวตนของตนเอง) แล้วศิษย์มีระเบียบไหม  ส่วนใหญ่บำเพ็ญธรรมตามใจตัวเอง บุคลิกลักษณะของผู้บำเพ็ญที่เดินแล้วต้อง ศิษย์รู้ไหมปราชญ์โบราณพูดไว้ว่า ถ้าคนเป็นปราชญ์เดินต้องเหมือนสายลมพัด ยืนต้องเหมือนต้นสน นั่งต้องนิ่งเหมือนอะไร ไม่รู้เลย แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่มีท่าทีอะไรเลยที่บ่งบอกความเป็นผู้บำเพ็ญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่สำคัญในการเป็นผู้บำเพ็ญก็คือ ต้องมีท่าทีสุภาพอ่อนน้อม มีจริยวัตรอันดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ให้จริยวัตรแค่กฎระเบียบ ไม่ใช่ แต่ต้องออกมาจากใจของเรา มีท่าทีที่มองไกลๆ ก็ดูแล้วน่าชิดใกล้ เข้าใกล้แล้วก็รู้สึกอบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่เราอย่าเป็นคนที่มองไกลๆ ก็ขยะแขยง อยู่ใกล้ก็หวาดหวั่นอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  
ฉะนั้นการเป็นผู้บำเพ็ญสำคัญคือจริยะท่าทางต้องมีความสุภาพ สุขุม อ่อนน้อม ใจเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ศิษย์ของอาจารย์ สุภาพไหม สุภาพ อ่อนน้อมไหม อ่อนน้อม แต่ถ้าอ้าปากบ่นเมื่อไร พูดเมื่อไร หลุดเมื่อนั้น นิสัยเอย ความเคยชินเอย อะไรออกมาหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยืนเฉยๆ ก็ดูดี แต่อย่าให้พูดเลย พูดแล้วดูไม่จืดเลย ใช่ไหม (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญต้องมีจริยวัตรที่งดงาม อย่าให้เป็นแค่ผู้ที่ที่เป็นอาวุโสมีจริยวัตรงดงาม แต่ตัวเราหามีความงดงามทางการบำเพ็ญไม่มีเลย ใช่ไหม (ใช่)
ส่วน “ศีล” กับ “ปัญญา”  และ “คุณธรรม”   “ศีล” คือ  
(เครื่องรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย)  เครื่องรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย เครื่องนี้มาอยู่กับตัวเราบ้างไหม (ความปกติ) ความปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ถ้าเราปกติเราก็มีศีล แต่ถ้าเราผิดปกติเราก็คือไม่มีศีล แล้วเราปกติไหม
“ศีล” คือ ความถูกต้องอันดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศีลคือความถูกต้องอันดีงาม “ปัญญา” คือ ความแจ่มชัด  “คุณธรรม” คือ รากฐานแห่งความเป็นคน บ่อเกิดแห่งทาน ศีล ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอาจารย์พูดแค่นี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ) แล้วใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมทำอย่างไรล่ะให้สี่อย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งในการบำเพ็ญธรรม  และคือตัวเรา ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์อยากบอกว่า “ศีล” คือความถูกต้องอันดีงาม “คุณธรรม” คือรากฐานของความเป็นคน  ขึ้นชื่อว่าคนหนึ่งคนถ้าดำเนินชีวิตไม่เคยขัดต่อศีล คนนั้นเป็นคนที่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ และช่วงจังหวะของการบำเพ็ญธรรมหรือดำเนินชีวิตไม่เคยขัดต่อศีล ถ้ารักษาศีลได้สมบูรณ์ก็จะเกิดปัญญาอันสมบูรณ์ ถ้าทำศีลให้บริสุทธิ์ ก็จะเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดมีศีลมีปัญญาอันดีงาม จะไม่มีจริยวัตรที่งดงามก็เป็นไปไม่ได้
ส่วน “คุณธรรม” คือรากฐานแห่งความเป็นคน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคุณธรรมก็มีอยู่ในศีล และในคุณธรรมนี้มีสองอย่าง ถ้าอยู่ในมนุษย์เรียกว่า “ศีลธรรม”  ถ้าอยู่ในร่างกายเราเรียกว่า “สัจธรรม”  อยู่ในสรรพสิ่งเรียกว่า “ธรรม” ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามาอยู่ในมนุษย์เรียกว่า “ศีลธรรม” และ “คุณธรรม” แต่ถ้าอยู่ในสิ่งของ เราเรียกว่า “ธรรม” แล้วธรรมที่อยู่ในสิ่งของเรียกว่าอะไร มีอะไรบ้าง นั่นก็คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และเป็นของว่าง ฉะนั้นดำเนินชีวิตเราต้องมีศีลธรรม และดำเนินชีวิตเราต้องไม่ลืมสัจธรรม  เพราะสัจธรรมทำให้เราไม่หลงยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในสิ่งของ ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถเข้าใจธรรม ทั้งในตัวตน ทั้งในสรรพสิ่ง ทั้งในร่างกาย ศิษย์ก็จะเข้าใจว่าทุกข์อยู่ที่ไหน แล้วจะดับทุกข์อย่างไร  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์พูดจบก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ เพราะศิษย์ยังไม่เข้าใจ  นี่แหละ เป็นเพราะว่าศิษย์ขาดปัญญารู้แจ้งทั่วพร้อม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ไม่ใช่ว่าจะมีไม่ได้นะ แต่เราจะมีได้อย่างไร ไม่ยาก
การบำเพ็ญธรรมคือธรรมตอนที่กำลังกระทำ  ทุกๆ ขณะ คือเราต้องทำงาน ทำโน่นทำนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภาษาไทยบ่งบอก ธรรม คือ ทำ แต่คนละตัว ทำจนเห็นธรรมได้หรือไม่ (ได้)  แล้วจะเห็นธรรมได้อย่างไร อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกวันศิษย์ต้องตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็ต้องออกไปหาสตางค์ และก็ออกไปทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ออกไปทำงาน ออกไปหาสตางค์ แต่ศิษย์มีสติรู้ตัว ไม่ว่าทำงานพูดคุยกับใครไม่ขาดศีลธรรม แล้วเมื่อเวลาทำอะไร ถ้ามีความอยาก มีความโลภ มีความหลงเกิดขึ้นก็ไม่ขาดสัจธรรม คือหยั่งลึกถึงความเป็นสัจธรรมว่า อ้อ..อยากได้แล้วมันก็ไม่เที่ยง มันก็ทุกข์ อยากได้ไหม อย่าอยากเลย บอกเบาๆ ก็ได้ นี่ก็คือเราสามารถใช้ความเข้าใจมาตัดความอยาก ความโลภ ความหลง คือเห็นธรรมภายนอก แล้วเห็นธรรมภายใน รู้เรื่องไหม (รู้)
อาจารย์บอกศิษย์ตั้งแต่ต้นแล้วการบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่ใช่แค่บำเพ็ญเพื่อเป็นคนดี เป็นคนดีแต่ถ้าขัดเกลากิเลสของตัวเองออกไม่หมด ก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่บำเพ็ญธรรมคือ ขึ้นไปเหนือกว่าดี คือพ้นดีพ้นชั่ว ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ชอบหรือชัง มองเห็นสัจภาวะความเป็นจริงในสรรพสิ่งว่าไม่มีอะไรน่าชอบและไม่มีอะไรน่าชัง แต่การเข้าถึงสภาวะเข้าถึงได้ยากไหม (ยาก)  อาจารย์ถึงพูดบ่อยๆ ว่าศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกับถุงขี้ แล้วศิษย์ก็ชอบกับถุงขี้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำทุกอย่างเพื่อถุงขี้ เพราะออกจากตาก็เรียกขี้ตา ออกจากปากก็เรียกขี้ปาก ออกจากมือก็เรียกขี้มือ แล้วมันไม่ใช่ถุงขี้หรือ แล้วเราก็บำรุงบำเรอถุงขี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันควรยึดมั่นถือมั่นไหม (ไม่ควร)  แล้วสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นที่อาจารย์บอกว่ามันเป็นถุงขี้ มันมีความเที่ยงแท้ไหม (ไม่เที่ยง) มันมีความเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยน)  มันเดินไปถึงที่สุดคือความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแจ่มใสถึงสภาวะสัจธรรมนี้ แล้วไม่ลืมสภาวะ สัจธรรมนี้ ศิษย์ก็คือธรรม ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่ชื่อนี้ แต่มันคือความเป็นธรรมที่อยู่ในตัวศิษย์ แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างไม่หลงลืมไม่ประมาทว่าชีวิตนี้มันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลง ความคิดที่มันชอบคิดมากมันก็ไม่เที่ยง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้คิดถึงลูก พรุ่งนี้อยากบ่นลูก ใช่หรือเปล่า วันนี้คิดถึงเงิน พรุ่งนี้คิดถึงลอตเตอรี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความคิดมันยังไม่เที่ยง ศิษย์ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน อย่ามัวไปจมปลักกับความคิด เพราะความคิดถึงที่สุดก็คือความว่าง แล้วสิ่งที่เรียกว่าความว่างและไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงนั้นคือธรรม
ถ้าศิษย์สามารถมองเห็นธรรมในตัวตน มองเห็นธรรมในสรรพสิ่ง ศิษย์ก็จะรู้ว่าเรามีชีวิตเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ไม่ใช่เกิดมาเพื่อยึดมั่นแสวงหาแล้วก็ล้ม แล้วก็ห่วง แล้วก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์  อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ เกิดมาเพื่อเวียนว่าย ฉะนั้นเราอย่ายึดติดแม้กระทั่งความดี อย่ายึดติดแม้กระทั่งสิ่งที่น่ารังเกียจเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรศิษย์เลย มันมีแต่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่า ดีก็ไม่น่ายึดชั่วก็ไม่น่ายึด สิ่งที่ควรจะยึดคืออะไรล่ะ
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรม อย่ายึดติดแม้กระทั่งความดี อย่ายึดติดแม้กระทั่งสิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรศิษย์เลย มันมีแต่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่า ดีก็ไม่น่ายึด ชั่วก็ไม่น่ายึด สิ่งที่ควรจะยึดคืออะไร คือความเป็นจริงที่ไม่เที่ยงแท้ ที่ควรเดินไปสู่ความว่าง แล้วสิ่งที่เดินไปสู่ความว่างคือ การเข้าถึงความบริสุทธิ์ ซึ่งตอนนี้ศิษย์กำลังจับปณิธานแห่งการเดินไปสู่ความบริสุทธิ์ แล้วเราจิตบริสุทธิ์หรือยัง (ยัง)  สะอาดหรือยัง (ยัง)  มันยังเคยสะอาดเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตน ทั้งที่ตัวตนของตนก็คือ ถุงขี้ จริงไหม (จริง)  แล้วถุงขี้นั่นก็คือธรรม ถ้าเกิดเรารู้แจ้งเห็นจริง ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์เห็นลูก สามี เงินทอง พ่อแม่ป่วย หรือแม้กระทั่งเห็นตัวเองป่วย เห็นตัวเองคิดฟุ้งซ่าน เห็นตัวเองอยากได้โน่นอยากได้นี่ เห็นแล้วเห็นธรรมในนั้นไหม เห็นสิ มันเป็นธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นตัวตนที่ยึดมั่นไม่ได้ พอเราวิ่งไปหาแล้วเหมือนตัวตนที่ถมไม่เคยเต็ม ฉะนั้นรู้จักพอได้หรือยัง อายุปูนนี้แล้วนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ยังไม่พออีกหรือ พอหรือยัง (พอ)  พอบ้างเถอะ หรือแม้ไม่อายุปูนนี้ก็ตาม วางได้บ้างไหม (ได้)  จริงหรือ ตัวนี้วางให้ได้เสียที ห่วงมันเหลือเกิน ห่วงมันไหม ขนาดอาจารย์เลือกที่มันเป็นต่ำที่สุด น่าเกลียดที่สุด เผื่อศิษย์จะได้รังเกียจแล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แต่ปล่อยไหม (ไม่ปล่อย)  รักไหม (รัก, ไม่รัก)  รักมันไหมถุงขี้ (ไม่รัก)  ถ้าศิษย์ไม่รักเวลาโดนคนด่าเจ็บไหม ไม่เป็นไรเขาว่าถุงขี้ ใช่ไหม (ใช่)  อยากทำไม อยากแล้วก็เติมขี้ในตัวเอง แต่ศิษย์เติมไหม
ฉะนั้นศิษย์บำเพ็ญธรรมต้องไปให้ถึง อย่ามองยึดติดแค่ตัวตน เพราะต้นเหตุแห่งความทุกข์ คือ ตัณหา มานะ ทิฐิ
ตัณหา คือ ความอยาก
มานะ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
ทิฐิ คือ ความเห็นผิด
ฉะนั้นวันนี้เรามานั่งฟังเพื่อเข้าถึงความกระจ่างแจ้งในความไม่รู้สามอย่างนี้ ซึ่งอาจารย์ก็พูดบ่อย ยึดมันไหมตัวนี้ (ไม่ยึด)  ถ้าอย่างนั้นวันนี้มื้อเย็นไม่ต้องกินกับข้าว กินแต่ข้าวเปล่า ได้ไหม (ได้)  ง่วงนอนอย่ากินกาแฟได้ไหม (ได้)  พูดได้ก็ต้องทำได้นะศิษย์นะ อยากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยาก)  พูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเอง ใช่หรือไหม (ใช่)  ศิษย์บอกกินข้าวเปล่ากับกับข้าว ทีอย่างนี้มีปัญญา แต่ศิษย์ของอาจารย์มีปัญญาอย่างนี้ทุกรอบไหม (ไม่)  ชอบให้ความคิดทำร้ายตัวเอง ชอบให้ความยึดมั่นถือมั่น ทำให้ตัวเองทุกข์ จำไว้นะศิษย์ โดนเขาด่า โดนเขาว่า โดนเขาทำให้เราเจ็บ คือการได้ลดละ ละลายหนี้บาปเวรกรรม ทำให้เราได้เบาบางตัวตน ฉะนั้นอาจารย์ก็บอกศิษย์ไปเป็นร้อยเที่ยวพันเที่ยว โดนเขาด่าต้องดีใจ หมดกรรมแล้ว ไม่ใช่โดนเขาด่า ผูกกรรมต่อ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่ไปทำมาผูกกรรมหรือจบกรรม (จบกรรม)  จริงหรือ เห็นโดนเขาด่าก็เถียงฉอดๆ เลย
ฉะนั้นศิษย์ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม หนทางของศิษย์คือการเดินไปสู่ความบริสุทธิ์ ศิษย์จำได้ไหม หลักของการนับถือพุทธศาสนา คือ ละชั่ว ทำดี เดินไปให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ศิษย์ก็กำลังทำอยู่นะ แต่เดินไปถึงซึ่งความบริสุทธิ์ จะต้องละให้ได้ซึ่งความรักความชอบ ความรักความเกลียด เพราะถ้ายังมีรักมีชอบ มีรักมีเกลียดก็ยังไม่บริสุทธิ์ เกลียดก็ไม่เที่ยง รักก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรม เราเดินไปให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ คือการมองเห็นว่าทุกๆ สิ่งล้วนหนีไม่พ้นสภาวะสัจธรรม มีความไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มีความว่าง และถึงที่สุด มันคือกองขี้ อย่าไปเอาขี้ แต่จงทำขี้ให้ถึงประเสริฐที่สุด คือการเข้าถึงพระนิพพาน คือการดับร้อน เดินไปสู่ความสงบเย็น ตอนนี้เย็นหรือยัง แล้วศิษย์ของอาจารย์เย็นได้หรือยัง (ยัง)  ยังเย็นไม่ได้อีกหรือ ร่างกายนี้มีใครบ้างไม่เจ็บป่วย แต่เราเจ็บเพื่ออะไร จำไว้นะศิษย์เจ็บเพื่อฝึกกายออกจากจิต ฝึกใจเพื่อปลงสังขารว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา ถ้าศิษย์ยังอยากมีตัวตน ก็คือเอาตัวตนไปทุกข์ ไปเวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์บำเพ็ญจนไร้ตัวตน คือ ไม่เอาตัวตนแล้ว ก็ไม่มีตัวตนให้ต้องทุกข์ต้องเวียนว่ายแล้ว อยากมีไหม อยากเอามันไหม (ไม่เอา)  แค่นี้ก็ทุกข์จะแย่แล้ว
ฉะนั้นเราเจ็บป่วย ให้ดีใจ เพราะมันเจ็บแล้วทำให้เราปลงมัน ใช่ไหม (ใช่)  มันเจ็บก็เจ็บไป ฉันไม่เจ็บ ศิษย์ง่ายๆ อาจารย์เห็นศิษย์เป็น เคยนั่งดูทีวีไหม (เคย)  นั่งท่านั้น แล้วยิ่งเป็นรายการทีวีที่ดูแล้วกำลังสนุก นั่งชั่วโมงหนึ่งก็ไม่เมื่อย สองชั่วโมงผ่านไปแล้วจะเป็นยังไงต่อ อยากดูต่อ ดูเรื่องอื่นต่อ เมื่อยไหม ไม่เมื่อย ลืมเมื่อยไปเลย ทำไมตอนนั้นถึงลืมได้ล่ะศิษย์ แล้วถ้าวันหนึ่งศิษย์ต้องเจ็บป่วยถึงขนาดที่อยู่บนเตียงแคบๆ ทีวีก็ดูไม่ได้ ไปเที่ยวไหนก็ไปไม่ได้ ต้องอยู่กับเตียงแคบๆ  ศิษย์จะปลงสังขารยังไง ถ้าตอนนี้ศิษย์ไม่ฝึกปลงตั้งแต่ตอนนี้ ศิษย์เคยไหม นอนอยู่กับที่ อยากทำอะไรก็ทำไม่ได้ จิตมันอึดอัดเหลือเกิน มันทุกข์เหลือเกิน เหมือนตกนรกที่สุดเลย อยากกินก็กินไม่อร่อย อยากพูดก็ไม่รู้จะพูดกับใคร เพราะไม่มีใครฟัง พูดมากๆ ก็เบื่อ ทำไมเวลาป่วย เรารู้สึกว่าอยากพูดๆ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเวลาหลับตา ทำไมเหลือตัวคนเดียว แล้วตอนนั้นศิษย์จะทำใจได้หรือ ในเมื่อศิษย์ไม่เคยฝึกจิตตัวเองเลย จะรอให้นอนแบะตรงนั้น แล้วศิษย์ค่อยฝึกจิตหรือ ทำไมไม่ฝึกตอนนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ศิษย์บอกว่าเดี๋ยวศิษย์หาเงินเยอะๆ จะได้มีความมั่นคง มั่นคงหรือเงิน บางทีหาไปแทบตาย หามาเพื่อรักษาร่างกาย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าอะไร แบกของหนัก นั่งท่าผิดๆ มือขยับยิกๆ อยู่อย่างนี้ แล้วนิ้วก็ล๊อค หาเงินมาเพื่อรักษานิ้วล๊อคที่มัวแต่ยุ่งๆ อยู่กับตรงนี้ ใช่ไหม (ใช่)  หามาเพื่อรักษาหลัง เพราะมัวแต่นั่งแล้วไม่ยอมยืน หรือไม่มัวแต่หามาเพื่อบำรุงร่างกาย เพราะอะไร มัวแต่กินตามใจแล้วก็ต้องหายา หาเงินมาเพื่อรักษาตัวเอง ศิษย์เหมือนคนที่กำลังทำอะไรวนในอ่างไหม แล้วอะไรคือความมั่นคงที่แท้จริง
สิ่งที่เป็นคุณอันประเสริฐที่สุด คือ ธรรมะ ให้ประโยชน์ทั้งภพนี้และภพหน้าและภพไหนๆ  แต่ศิษย์กลับไม่เลือกทำ การบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญตอนไหน บำเพ็ญทุกขณะที่มีลมหายใจ ทุกขณะที่ศิษย์มองเห็น ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับศีลธรรม ดำเนินชีวิตไม่ขัดต่อคุณธรรม ดำเนินชีวิตไม่ทอดทิ้งสัจภาวะ ไม่ประมาทในสัจภาวะธรรม ไม่ประมาทเพราะทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงได้ ถ้าทุกขณะคุณธรรมไม่ขาด สภาวธรรมไม่หลงลืม ศีลธรรมไม่หายไปไหน จริยะจะไม่งดงามแล้วศิษย์จะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมดอกหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่สิ่งที่เราต้องเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคือ สละตัวเองช่วยผู้อื่น ทุกข์ตัวศิษย์เองมี อาจารย์รู้ แต่ถ้าศิษย์สามารถลืมทุกข์ตัวเอง แล้วไปช่วยขจัดทุกข์ผู้อื่น นั่นแหละคือความเป็นพุทธะ ยอมทิ้งความสุขตัวเองเพื่อไปช่วยผู้อื่น  แม้จะโดนหยามเหยียด แม้จะโดนว่า แต่เราก็ยังอยากช่วย นั่นแหละคือหัวใจแห่งพุทธะ ถ้าเอาตัวรอดแค่คนเดียว ศิษย์ก็เป็นแค่อรหันต์ แต่ถ้ารู้จักช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ก็คือโพธิสัตว์ ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เพื่อเป็นคนดีแค่นั้นนะศิษย์ คนดีไม่มีวันพ้นทุกข์ คนดีอย่างมากสุดคือขึ้นสวรรค์  แต่ผู้บำเพ็ญธรรมคือ คนที่พยายามขัดเกลาแก้ไขสิ่งไม่ดี พลิกฟื้นธรรมให้ปรากฏอยู่ในหัวใจเรา แล้วธรรมนั้นอยู่ที่ไหน ธรรมนั้นอยู่ที่ตัวเราทุกขณะ ความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง ความว่างเปล่า ปลงไหม (ปลง)
ดำเนินชีวิตพูดต้องมีเมตตาเป็นพื้นฐานได้ไหม (ได้)  ถ้าเราถือเมตตาธรรมเป็นพื้นฐาน ทำอะไรถือความเมตตาเป็นหลัก เราจะเบียดเบียนคนไหม เราจะอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเราไหม เราจะโกหกพกลมไหม (ไม่)  จะผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม (ไม่)  แล้วมโนธรรมสำนึก เมตตาธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรม จะไม่เกิดหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ไปให้ถึงเสียทีเถิดนะศิษย์นะ ไปให้ถึงซึ่งคำว่า “ผู้บำเพ็ญ” ไปให้ถึงซึ่งจุดหมายแห่งการบำเพ็ญ อาจารย์เตะก็แล้ว ยันก็แล้ว ไปให้ถึงนะ อย่าปล่อยให้อาจารย์อยู่คนเดียวเลยนะ อาจารย์อยากเห็นศิษย์กลับไปพร้อมกับอาจารย์ได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นมุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมในตัวตน มุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมจนไร้ตัวตน มุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีแม้กระทั่งตัวตน ทำให้ได้นะศิษย์นะ ได้หรือเปล่า (ได้)  
วันนี้อาจารย์จะไปแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญ อดทน พากเพียร ได้ไหม (ได้)  แล้วไปให้ถึงซึ่งธรรมในใจตน ธรรมในตัวตน ธรรมที่แท้จริงที่บริสุทธิ์งดงาม ที่แม้ใครๆ ก็มาพรากธรรมตัวนี้ไปจากใจศิษย์ไม่ได้ ธรรมที่แท้จริง ใช่หรือเปล่า อาจารย์ไปแล้วนะ คำพูดมากมายล้วนบ่งบอกให้ศิษย์ไปให้ถึงซึ่งธรรม คำพูดมากมายล้วนอยากให้ศิษย์ไปให้ถึงที่ที่ศิษย์จากมา คำพูดมากมายล้วนเพื่อศิษย์ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์  ทำแม้ว่ายากทำ ก็ต้องทำให้ได้ หวังโดยไม่หวัง ดูแลตัวเองดีๆ นะ ดีใจที่กลับมานะ ตั้งใจนะ ทำให้ได้นะศิษย์นะ ช่วยผู้อื่น อย่ายอมแพ้นะ
เสียสละตัวเอง อุทิศเพื่อผู้อื่น เสียสละความสุขตัวเองฉุดช่วยเวไนย ไม่ห่วงแม้ตัวเองจะทุกข์ ไม่ห่วงแม้ตัวเองจะเจ็บ ขอเพียงชีวิตนี้ได้ฉุดช่วยคน แม้จะทุกข์สักหมื่นครั้ง แม้จะเจ็บสักกี่หน แต่ถ้าเพื่อบำเพ็ญช่วยคนศิษย์ก็จะไม่หวั่น ได้ไหม (ได้) แม้จะลำบาก แม้จะยาก แต่เพื่อช่วยคนแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็ฟันฝ่าได้ ขอเพียงศิษย์มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง แล้วสักวันเราจะได้เจอกัน ต้องมีสักวันที่ศิษย์จะกลับไปหาอาจารย์จริงๆ ใช่ไหม  ต้องมีสักคนสิที่อาจารย์เชื่อได้ว่าจะกลับไปหาอาจารย์ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ลมปาก ใช่ไหม ทำให้ได้นะ อุทิศตัวเองเพื่อช่วยผู้อื่นเป็นเรื่องยาก แต่เราต้องทำให้ได้ มุ่งมั่นบำเพ็ญอย่ายอมแพ้ ตั้งใจนะ เมื่อทำแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด เมื่อมุ่งมั่นแล้วอย่ายอมแพ้ เมื่อตั้งมั่นแล้วอย่าไหวหวั่น ใช่ไหม
เป็นโอกาสยากที่จะได้เจอศิษย์พร้อมหน้าพร้อมตากันขนาดนี้ อาจารย์เลยอยากจับมือทุกๆ คนเพื่อหวังว่าจับมือกันแล้ว ปล่อยวันนี้แต่วันหน้าจะไม่ปล่อย มุ่งมั่นวันนี้จะมุ่งมั่นต่อไป เข้มแข็งหยัดยืนวันนี้จะเข้มแข็งต่อไป ใช่ไหม (ใช่)  บำเพ็ญเพื่อตัวเองให้เข้าถึงธรรมที่แท้จริง บำเพ็ญเพื่อเข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริง สภาวะที่ไม่มีแม้กระทั่งตัวตน ถ้าทำได้คงดีไม่น้อยนะศิษย์นะ ตัวตนคือต้นเหตุแห่งทุกข์ ความยึดมั่นคือความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น แต่การรู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นในตัวตน ไม่หลงในตัวตนอีกต่อไป จะนำพาศิษย์ให้พ้นทุกข์ได้ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ทุกข์อะไรไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่รู้จักปล่อยวางความยึดมั่น ทุกข์อะไรไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงผิดเห็นผิด อาจารย์เสียดายจังที่จับมือไม่ถึงคนข้างหลัง ถ้าอาจารย์มือยาวได้ก็ดีสินะ อาจารย์จะได้จับศิษย์ทุกๆ คน สายใยศิษย์ของอาจารย์ตัดไม่มีวันขาดนะ
ขอเพียงศิษย์อย่าหลงผิด อย่าคิดผิด อย่ามัวแต่น้อยใจจนมองไม่เห็นความเป็นจริง อย่ามัวแต่ตำหนิโทษฟ้าโทษดินว่าบำเพ็ญธรรมแล้วทำไมชะตาชีวิตจึงเป็นอย่างนี้ ศิษย์ต้องดีใจสิ เพราะชะตาชีวิตยิ่งยากลำบากยิ่งทดสอบความอดทนอดกลั้นในตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งยากลำบากเรายิ่งมุ่งมั่นไม่ท้อถอย เดินต่อไม่หยุดยั้ง นั่นแหละคือการที่ทำให้เราบำเพ็ญแล้วยิ่งแข็งแกร่ง มิใช่หรือ ถ้ามัวแต่โทษฟ้าโทษดินว่าทำไมทดสอบศิษย์แล้วทดสอบศิษย์อีก บางครั้งก็ต้องหันมาถามตัวเราเองนะ เป็นเพราะเรายังไม่เคยผ่านด่านนี้ได้สักทีหรือเปล่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่น แม้ตัวตนก็ไม่เห็นน่ายึดมั่นถือมั่นเลย แล้วยึดอะไรกัน    หนักหนา ห่วงอะไรกันนักกันหนา อย่าหาเวรหากรรมให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ถ้ารู้จักบำเพ็ญตัวเอง ประคองตัวเองให้ถูกต้องดีงาม เราก็สามารถลดละหนี้บาปเวรกรรมได้ แต่ถ้าเกิดไม่รู้จักประคองตัวเองให้ดี บำเพ็ญไม่ถูกต้อง เราก็คือคนผู้สร้างชะตาชีวิตให้มีหนี้เวรกรรมไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ จะทำอะไร ถอยสักหนึ่งก้าว อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม ได้ไหมศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ เดินหนทางนี้แล้ว ถ้าไม่ถึงจุดหมายอย่ายอมแพ้ เดินสู่หนทางนี้แล้ว ถ้าไม่หมดลมหายใจ อย่าหยุดยั้งปณิธานนะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้โอวาทกับนักเรียนที่นั่งชั้น 5)
มีโปรเจคเตอร์ก็ทำให้เห็นคนตัวใหญ่ขึ้น เห็นทั่วถึงไหม (เห็น) มีภาพด้วยเสียงด้วยใช่หรือเปล่า แต่เทคโนโลยีนี้ยังสู้อาจารย์ไม่ได้ อยากไปไหนก็ไปได้ อยากแยกร่างก็แยกได้ น่าสนใจไหม อยากเป็นเซียนไหม (อยาก)  วันนี้เหนื่อยจนไม่สามารถจะแยกร่างได้แล้วใช่หรือไม่ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่กลัว (ลำบาก)  ไม่กลัวลำบากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวจน ไม่กลัวหมดตัว ไม่กลัวอยู่คนเดียว  
ใครนั่งอยู่บนนี้บนเก้าอี้หัวโล้นหลับตกเก้าอี้ไปบ้างหรือยัง (ยัง)  เกือบตกหรือยัง ถ้าหลับจนตกเก้าอี้คงต้องโดนคนหัวเราะแน่ ๆ โดนล้อไปถึงปีหน้าเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ก็ต้องขายหน้าข้ามปีแน่นอน เพราะฉะนั้นเวลาจะหลับก็เกาะเก้าอี้ไว้แน่นๆ
ทีนี้ข้างบนนี้ก็เป็นเรื่องของข้างบน ข้างล่างก็เป็นเรื่องของข้างล่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) วิทยาการเบื้องบนและวิทยาการเบื้องล่างมาตีกัน คนอยู่ข้างล่างไม่ต้องสนใจข้างบน ส่วนคนอยู่ข้างบนก็ไม่ต้องสนใจข้างล่างดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้อาจารย์ถ่ายทอด videoconference เองนะ  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ทำงานเหนื่อยแล้วรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยเหลือเกินอยากจะแยกร่างได้ ก็ต้องรอลงทะเบียนก่อนดีหรือไม่ (ดี)  ตอนนี้เราลงทะเบียนอะไร (พุทธะ)  ถามว่าลงเสร็จแล้วจะลงเฉยๆ หรือไปเป็นพุทธะด้วย (เป็นพุทธะด้วย)  ดังนั้นต้องถามคำถามนี้ ปัจจุบันนี้ใครยังกลัวตกนรกอยู่บ้าง ยกมือขึ้น ยอมรับความจริง ยกสูง ต้องหัดยกมือสูงๆ ไว้เวลาที่ตกนรกไปจะได้เรียกอาจารย์ทัน ใช่หรือเปล่า  จริงๆ เราจะตกนรกได้อย่างไรในเมื่อเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์บำเพ็ญธรรมหรือเราพยายามทำตัวเป็นคนดี
(เสียงพระอาจารย์จากชั้นสี่ดังขึ้นมา)  วิทยาการสมัยใหม่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนคนที่ใช้วิทยาการสมัยใหม่ก็ควบคุมตนเองไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช้เงินแล้วเงินก็กินเรา ใช้อินเตอร์เน็ตแล้วอินเตอร์เน็ตก็กินเรา กินทั้งเวลา กินทั้งหัวใจ และกินทั้งเงินด้วย แล้วบอกว่าจน แล้วจนหรือเปล่า จนถึงขนาดว่าไม่มีข้าวกิน มีไหม (ไม่มี)  ไม่มีเลย เป็นคนจนแต่ทุกคนมีข้าวกินดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าจนแล้ววันไหนไม่มีข้าวกินก็ไปสถานธรรมนะ
เห็นไหมว่าศิษย์ที่นั่งฟังอยู่ชั้นห้าน่าสงสารแค่ไหน ความน่าสงสารของศิษย์เรียกร้องให้อาจารย์ขึ้นมาหาด้วย แต่จะมาอย่างไรดีล่ะ มาอย่างนี้ดีกว่าใช่หรือไม่  วันนี้เราลงทะเบียนพุทธะแล้ว หากว่าเราลงทะเบียนแล้วเราพยายามที่จะเข้าสอบ สอบบ่อยๆ ถามว่าสามารถจะเป็นพุทธะได้ไหม (เป็นได้)  ถ้าวันนี้เราลงทะเบียนเรียนเสร็จแล้วเราไม่ไปสอบเราจะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้) ต้องถือว่าความยากลำบากที่เราเจอในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกที่ต้องเจอทุกวัน เรื่องทางธรรม เรื่องปัญหาจุกจิกกวนใจ ความป่วยไข้กวนร่างกาย คนใกล้ชิดสนิทสนมกวนอารมณ์ ต้องถือว่าทุกอย่างเป็นการเข้าสอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้ส่วนใหญ่เราไม่ยอมเข้าสอบ หรือสอบไม่ผ่าน ก็เลยคิดว่าเราตกนรกแน่ ๆ  ถ้าหากว่าศิษย์ตกนรก อาจารย์ไม่รู้ว่าจะช่วยศิษย์ทำไม วันนี้ศิษย์มีหวังได้เป็นพุทธะ ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงจะช่วยศิษย์ โดยปกติแล้วอาจารย์มาในงานประชุมธรรมนั้น มักจะพูดหลักธรรมให้ฟัง แต่วันนี้อาจารย์จะพูดความในใจให้ฟังดีหรือไม่  (ดี)
วันนี้เรามาที่นี่เราไม่ได้มาเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม แต่เราเป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นผู้มีธรรม เป็นผู้มีศีล เป็นผู้ใช้ปัญญากับทุกเรื่อง  เป็นผู้ทำสิ่งใดระมัดระวัง ทั้งคำพูด ความคิด และการแสดงออก ให้คนเขามองแล้วเขาบอกว่า นี่คือคนบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่ให้เขาเห็นว่าบำเพ็ญธรรมแล้วต้องกินเจเท่านั้น แค่นั้นพอไหม (ไม่พอ)  การลงทะเบียนพุทธะในวันนี้ ศิษย์ต้องเข้าสอบด้วยและข้อสอบอยู่ในชีวิตจริงของศิษย์ทั้งสิ้น จะรับเงินใคร จะจ่ายเงินใคร จะกินของใคร จะเดินทางไหน จะนอนตรงไหน ใช้ความอดทนกับเรื่องไหน ทุกสิ่งทุกอย่างคือการบำเพ็ญธรรม ทำได้ไหม (ได้)  ใครทำได้นั่งลง (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง) แสดงว่าทำได้ทุกคนเลยใช่ไหม
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม เข้าไปใส่ชุดคลุมและผูกผ้ามัดเอวให้พระอาจารย์)
ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวอาจารย์ก็จะกลับแล้ว มัดไปมัดมาเป็นคนถูกผูกมัดทางโลกีย์ใช่ไหม (ใช่)  อยากจะพยายามหนีเหลือเกินก็ถูกผูกมัดใช่หรือเปล่า ไหนใครคิดว่าตัวเองถูกผูกมัดหนักเลย ยกมือขึ้น ไม่มีใครกล้ายกเลย เพราะจริงๆ เรารู้ว่าเรายังมีเวลาอยู่ แต่ไม่รู้ว่าศิษย์จะมีเวลาบำเพ็ญอีกนานแค่ไหนเพราะฉะนั้นรีบๆ บำเพ็ญให้ดี  เวลาเจอภัยจะหนีทันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เวลาน้ำซัดมาทีเดียว ถามว่ามดทั้งรังไปกับน้ำไหม (ไป)  มีมดตัวหนึ่งอยู่บนเนินนิ่งๆ ไม่โดนน้ำซัด มดทั้งรังไปแล้วเหลืออยู่ตัวเดียว ต้องอยู่ตัวเดียว เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าอย่ากลัวที่จะอยู่คนเดียว เกิดมาก็มาคนเดียว ตายไปก็ไปคนเดียว
เวลาบำเพ็ญธรรมเราใช้ตาไหม (ใช้) ใช้หูไหม (ใช้) ใช้ปากไหม (ใช้) ใช้จมูกไหม (ใช้) เมื่อสักครู่อาจารย์พูดไปแล้ว สังขารนี้ ร่างกายนี้เหมือนถุงขี้ ออกจากตาเรียก (ขี้ตา)  ออกจากหูเรียก (ขี้หู) ออกจากปากเรียก (ขี้ปาก)  ออกจากหัวเรียก (ขี้หัว)  มีหมดเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปให้ความสำคัญกับร่างกายนี้ในแง่ประทินให้สวยงามหรือทำตัวให้ทันสมัย คนบำเพ็ญธรรมไม่มีเชย ไม่มีตกยุค เพราะทุกยุคของคนบำเพ็ญก็ใส่เสื้อ (ขาว)  กระโปรงก็ (น้ำเงิน)  กางเกงก็ (น้ำเงิน)  มีตกยุคไหม (ไม่มี)  มีแต่คนที่ชอบใส่เสื้อสกปรกๆ ที่ตกยุคใช่หรือไม่ ต้องบอกว่าคนที่ใส่เสื้อสกปรกต้องมาเป็นพวกอาจารย์ เพราะอาจารย์ไม่เคยซักเสื้อเลย แต่ศิษย์เหมือนอาจารย์แต่ภายนอก ใจเหมือนไหม (ไม่เหมือน)  นั่งๆ ก็แคะขี้ฟัน เดินไปก็กินไป นั่งก็ไม่มีกระดูกสันหลัง อยากจะนอนท่าเดียว ถึงเวลานอนก็ไม่นอน  เมื่อคืนตื่นกี่โมง (ตีสาม)  บางคนขึ้นมานอนตีหนึ่ง แต่คนที่นอนแล้วแก่แล้วก็ตื่นตีสาม แล้ววันนี้นั่งก็เลยเกือบจะตกเก้าอี้ ใช่หรือเปล่า วันนี้นอนเร็วหน่อยดีหรือไม่ เราไม่ต้องดูแลเรื่องความสวยงามของตัวเอง แต่เราควรดูแลเรื่องสุขภาพตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คำแรกของคำว่ากินเจ คือ (กิน)  ทุกวันนี้ให้ความสำคัญกับการกินมาก ไม่อยากกินก็เหลือไปมื้อต่อไป เหลือแล้วก็เก็บมากิน แต่กลายเป็นกินเจตามใจปาก ปากเราไม่โกยมาจากฟ้า ไม่กวาดมาจากทะเล ไม่เก็บมาจากพื้นดินแล้ว แต่กวาดมาหมดเลยญาติสนิทมิตรสหาย กวาดมาอยู่ในปากเราหมด วันไหนไม่ได้นินทาใครนอนไม่หลับ  การตั้งปณิธานกินเจแล้วต้องสำรวจวาจา ไม่ใช่แค่เรื่องกินเข้าไป แต่ต้องดูว่าเราคายอะไรออกมาด้วย ฉะนั้นให้กินเจและคายเจออกมาด้วย ไม่ใช่กินเจแต่คายสิ่งเน่าออกมา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เป็นผู้บำเพ็ญธรรมเหนื่อยหน่อยตรงที่คนอื่นนั้นเขาไม่ได้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่ได้เชื่อเรื่องการทำดี ไม่ได้พยายามทำดี แต่เรานั้นนอกจากจะพยายามทำตัวเป็นคนดีแล้วยังต้องช่วยคนอื่นให้เป็นคนดี แล้วยังต้องเป็นผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าศิษย์ทำตัวเป็นคนดีไม่ได้ ช่วยใครไม่ได้ เป็นพุทธะไม่ได้ ถ้าจะเป็นพุทธะแต่ไม่เคยลงมือช่วยใครก็เป็นพุทธะไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้ต้องทำตัวเราให้เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อที่เรานั้นจะได้ช่วยคนอื่นได้ ถามว่าทำอย่างนี้เป็นการทำบุญหวังผลไหม (ไม่)  จริงๆ แล้วเราก็ยังทำบุญหวังผลอยู่ เรามุ่งหมายพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า มุ่งหมายให้ตัวเราหลุดพ้นเป็นเบื้องหน้า แต่เราจะต้องค่อยๆ ตัด ทำไปก่อน ทำให้มั่นคง และตัดสิ่งเหล่านี้ออกไป ในที่สุดจึงจะสามารถสงบนิ่ง สะอาดและกลับคืนได้ แต่ว่าบอกว่าจะตัดเดี๋ยวนี้เลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ก็เลยไม่เอาใครไม่สนใจใคร ไม่บำเพ็ญตัวเอง แล้วบอกว่าฟ้าช่วยด้วย ฟ้าช่วยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้ฟ้าช่วยไม่ได้ อาจารย์จึงสอนว่า แทนที่ศิษย์จะยึดมั่นกับเงินทองของนอกกาย ยึดมั่นกับบุคคล วันนี้ขอให้ยึดธรรมะเป็นสรณะ และในวันหนึ่งเมื่อเราถึงฝั่งแล้ว ธรรมะหรือบุคคล หรือสิ่งใดนี้ แม้กระทั่งสังขารตัวเองก็ปล่อยลงในที่สุด
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตนี้ เราลองหันกลับไปดูสิ่งที่เกิดในชีวิตของเรามากมาย บางทีก็ซ้ำๆ บางทีก็เปลี่ยน เรายึดอะไรได้ วันนี้เรามานั่งที่นี่ โลกคือเวลาที่ว่างเปล่า ด้วยใจที่ว่างเปล่า ชีวิตเราไม่มีค่าด้วยซ้ำ รู้สึกว่าความมีค่าในชีวิตนี้มันน้อยจริงๆ น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่เข้าใจ ไม่มีความสุขเลย เพราะว่าเราเห็นว่าตัวเรามีค่าน้อยเกินไป แต่ในสายตาของอาจารย์แล้วทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่มีค่าเท่ากันหมด มิได้วัดจากหน้าตา เงินทอง หรือนิสัยใจคอ แต่เพราะว่าศิษย์คือหนึ่งในจิตญาณในพระแม่องค์ธรรม เช่นเดียวกับอาจารย์และเช่นเดียวกับทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เพียงแต่บางคนเกิดมากรรมเยอะ บางคนกรรมน้อย แต่มีกรรมแล้วสักวันก็คลาย อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อาจารย์ไม่เคยหมดหวังในศิษย์คนใด จึงหวังว่าศิษย์นั้นไม่หมดหวังในตัวเองได้หรือไม่ (ได้)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาทของภาคกลางคือไท่อิน คำว่า  “บุคคลักษณะผู้บำเพ็ญ” ภาคอีสานคือคำว่า “จริยะ” ภาคเหนือคือคำว่า “ศีล ปัญญา” และภาคใต้คือคำว่า “คุณธรรม” ออกมาเขียนเรียงกันเป็นวงกลม)

บุคลักษณะ



บุคคลักษณะของผู้บำเพ็ญธรรม อันได้แก่
จริยะ คือ ความสำรวม เรียบร้อย สุภาพ ต้องรวมถึงเวลาโมโหด้วย เพราะพุทธะไม่โมโห การที่มีโมโหจึงไม่ใช่พุทธะ ฉะนั้นจริยะจึงรวมไปถึงตอนโมโหด้วย อย่างนี้เวลาโมโหจะว่าคนอื่นไหม อาจารย์จะบอกให้ อย่าคายของเน่า กินเข้าไปของดีทั้งนั้น คายออกมาเน่าหมดเลย เพราะข้างในยังมีตัวทำให้เน่าอยู่ คือหัวใจเราที่ยังเอียงไป เอียงมา คิดไม่ได้ ปลงไม่ตก ก็เลยทำให้สิ่งที่เข้าไปคายออกมาเป็นของเน่า
จริยะมีอะไรบ้าง “นั่งดุจระฆัง ยืนดุจต้นสน นอนดั่งคันธนู เดินเหมือนลมเหิน”
นั่งดุจระฆัง  คือนั่งตรงๆ ไม่ใช่นั่งไหลไปไหลมาไม่มีกระดูกสันหลัง เห็นโซฟาไม่ได้พาดเอียงเลย อย่างนี้ไม่ใช่ระฆังแล้ว
ยืนดุจต้นสน ก็คือยืนตัวตรง  
นอนดั่งคันธนู นอนเหมือนเด็กทารก เคยเห็นเด็กทารกนอนไหม เด็กทารกนอนสุภาพไหม (สุภาพ)  ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็เพราะสุภาพ ไม่ให้นอนหงายเพราะนอนหงายเป็นนิยามของคนขี้เกียจ คนโบราณบอกว่านอนเหมือนท่าคนตาย เพราะว่านอนตายก็คือพักผ่อนแล้ว นอนยาวแล้วต่อแต่นี้ไม่ต้องลุก ทุกวันนี้เรานอนเหมือนคนตาย เวลาลุกก็ไม่อยากจะลุก เวลานอนก็นอนไม่หลับ มีปัญหาเหลือเกิน
เดินเหมือนลมเหิน คือเดินไปอย่างมีเป้าหมายมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เดินไปหยุดคุยที่นี่นิดหนึ่ง  หยุดคุยที่นั่นหน่อย ถามไปถามมา ไม่มีเรื่องก็กลายเป็นมีเรื่อง ง่ายไหม (ง่าย)  คนสมัยนี้เดินๆ หยุดๆ เวลาเดินก็ก้าวขาไม่ถูก ลงน้ำหนักเท้าไม่ถูก สังเกตว่ารองเท้าตัวเองส้นเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ถ้าเท่ากันแสดงว่าเป็นลมแล้ว จึงเดินได้สง่างาม เพราะฉะนั้นสี่อย่างนี้ต้องจำไว้และกระทำ หมุนเวียนอยู่ในการเป็นผู้บำเพ็ญของเรา หากวันใดขาดไปสิ่งหนึ่ง การเป็นผู้บำเพ็ญของเราก็ไม่สมบูรณ์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
มีคนเคยถามว่าอยากเป็นผู้บำเพ็ญที่ดีทำอย่างไร อย่างไรเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่ดี ให้มีสี่อย่างนี้ในจิตใจที่รู้ตื่นและแสดงออก จิตใจเราจะรู้ตื่นได้ต่อเมื่อเราพยายามจะทบทวนตนเอง ทบทวนความผิดของตนเอง พยายามโทษตัวเอง ให้เห็นว่าเราควรจะแก้ไขอะไร และรู้ตื่นจากภายในแสดงออกมาสู่ภายนอก ทั้งภายในและภายนอกมีสี่ข้อนี้ได้ไหม การบำเพ็ญไม่ใช่ง่ายนะศิษย์แต่ไม่ยาก ใช้เวลาวันละกี่ชั่วโมง เรานอนกี่ชั่วโมง (8 ชั่วโมง)  ไม่ต้องนอนเยอะขนาดนั้นหรอก นอนวันละกี่ชั่วโมง  (6 ชั่วโมง)  หักลบแล้วเหลือเวลากี่ชั่วโมง กินวันละกี่มื้อ (3 มื้อ)  หักลบแล้วเหลือเวลาบำเพ็ญกี่ชั่วโมง (24 ชั่วโมง)  ถูกไหม แน่ใจหรือเปล่า อย่างนี้เรียกว่าตกวิชาคณิตศาสตร์แต่สอบผ่านวิชาบำเพ็ญ นี่คือจริยะ มีเวลาไหนที่เราไม่ทำแบบนี้ไหม (ไม่มี)  
คนที่โกรธเกลียดกันมากๆ จะทำให้เกิดความวุ่นวาย  ฉะนั้นจงอย่าบ่มเพาะความโกรธเกลียดในจิตใจ เมื่อความโกรธเกลียดในจิตใจของเราเจอกับของคนอื่นเจอกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จึงเกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น และคนที่หมกมุ่นกับตัวหนังสือดำกระดาษขาวมากเกินไปก็จะทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน ฉะนั้น ในการเป็นผู้บำเพ็ญจึงควรบ่มเพาะจิตใจของตนเองนั้นเป็นผู้มีคุณธรรม ทั้งห้ามโกรธเกลียดแฝงเร้นภายในจิตใจ ทั้งไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับการอ่านมากเกินไป แต่ไม่ใช่ไม่ให้อ่านหนังสือธรรมะ ถามว่าตัวอักษรดำกระดาษขาวก็อาจหมายถึงนิยาย บางทีอ่านหนังสือไร้สาระ เหลวไหลไปเรื่อยก็มี รู้มากแต่ปฏิบัติน้อย อย่างนี้ทำให้เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ฟุ้งซ่าน  เข้าใจไหม
“จริยะ” คือความสำรวม เรียบร้อย
“ปัญญา” คือความรู้ตัว รู้ตื่นทั่วพร้อมเสมอ
“คุณธรรม” คือรากฐานของมนุษย์ การที่เรามีเมตตา มีสัจจะ เป็นสิ่งที่ทำให้เรางอกออกมาจากการมีธรรม ปฏิบัติ นั่นคือการมีคุณธรรม สิ่งที่เราศึกษาธรรมมาทั้งหมดและพยายามปฏิบัติออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเมตตา ความซื่อสัตย์ มโนธรรม การละอายต่อบาป ธรรมข้อใดที่ปฏิบัติออกมาเรียกว่าคุณธรรม อาจจะยังงงก็ค่อยๆ กลับไปศึกษา
“ศีล” คือความรู้ถูกรู้ผิด เช่น เราทำอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเราฆ่าคนตายเราต้องติดคุก เรารู้ไหมว่าผิด ในแง่ของทางโลกแล้วหลายคนนึกถึงกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นบำเพ็ญได้ดี ศิษย์ก็จะบังคับตนเองได้ แต่ศิษย์ก็เหมือนกับวิทยาการสมัยใหม่ก็คือควบคุมตัวเองไม่ได้ ใช้กฎเกณฑ์แล้วสุดท้ายกฎเกณฑ์ก็บังคับตัวเองจนกระดุกกระดิกไม่ได้ ไม่มีอิสระ วันนี้ต้องทำอย่างนี้ พรุ่งนี้ต้องทำอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริยะ เปรียบเสมือนเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในตัวเรา ถ้าเลือดไม่สะอาดร่างกายก็ทำการฟอก จริยะก็คือเลือดของเราที่ต้องสะอาดอยู่เสมอ เลือดที่ไม่สะอาดคือความเคยชิน เลือดที่สะอาดคือจริยะ เพราะฉะนั้นจงฟอกให้สะอาดเสมอ
ปัญญา เปรียบเสมือนสมอง ถ้าหากว่ามีความรู้แล้วก็มีความฉลาด อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญาไหม (ไม่)  จบปริญญาโท ปริญญาเอกมีปัญญาไหม (ไม่)  ถ้าหากว่ามีความรู้เท่าทันคนอื่นแต่ใช้เพื่อเอาเปรียบคนอื่น เรียกว่าไม่มีปัญญา ถ้ามีความรู้ มีความเข้าใจชีวิต รู้สัจธรรมชีวิตแล้วช่วยเหลือคนอื่นอย่างนี้เรียกว่า มีปัญญา ดังนั้นปัญญานั้นคือสมองของศิษย์
คุณธรรม เปรียบเสมือนกระดูก ต้องมีความแกร่ง กระดูกแข็งมาก คุณธรรมต้องแข็งต้องแกร่ง พยายามที่จะรักษาคุณธรรมเหมือนกระดูกที่ไม่แตกหักง่ายๆ
ศีล เหมือนหัวใจ บางทีต้องแสดงออกไป บางเรื่องเราพูดไม่ได้ มีปาก มีหู ตาเห็น แต่พูดไม่ได้ เพราะว่าศีลจำกัดเรา บางเรื่องเราแสดงออกได้ แต่บางเรื่องพูดไม่ได้ อึดอัดไหม บางทีปากไม่พูด ส่งสายตา ศิษย์เอ๋ยอดทนมากๆ หน่อย คนมีศีลต้องใช้ความอดทน แต่ที่สำคัญควรจะรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ไม่ใช่อะไรควรพูดก็ไม่พูด อะไรไม่ควรพูดก็พูด สำคัญคือก่อนจะใช้ศีลก็กลับไปใช้อะไรก่อน (ปัญญา)  ต้องกลับไปใช้สมอง ก็คือปัญญาก่อน
จริยะ เปรียบเสมือนสายพิณ ถ้าตึงไปเพราะไหม หย่อนไปเพราะไหม บางคนมีจริยะเหมือนกันแต่เป็นจริยะที่ตึงเกินไป  ถามว่าพิณนี้จะดีดได้ไหม ดีดได้ ถ้าไม่ขาดก็ไม่ไพเราะ  อย่าเป็นพระกวนอู แต่ใจไม่ใช่ อย่าเป็นอาจารย์แต่ใจไม่ใช่ อย่าเป็นพระกวนอินที่ดูแล้วเรียบร้อยแต่ใจก็ไม่ใช่ อย่าทำตัวเป็นคนใจกว้างเหมือนพระศรีอาริย์แต่ใจแคบ คนอื่นไม่รู้เราคิดอะไร แต่เรารู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจริยะคือสายพิณ ถ้าหากว่าเป็นพุทธะไม่มีธรรมะ ไม่รู้ธรรมะ ต่อไปก็สอนคนอื่นไม่ได้
ปัญญา เปรียบเสมือนสายน้ำที่ตัดไม่ขาด จงให้ปัญญาของเราตัดไม่ขาด มีคนเอากิเลสมาตัดขาดไหม (ไม่ขาด)  ปัญญาตัดกิเลสขาดไหม (ขาด)  
ศีล เปรียบเสมือนสายลม เรามองเห็นสายลมไหม ศีลของศิษย์มองเห็นไหม (ไม่เห็น)  วูบมาเหมือนสายลมแล้วหายไป คือมีบ้างไม่มีบ้าง แล้วหายไปใช่ไหม (ไม่ใช่)  อาจารย์เปรียบศีลให้เป็นต้นไม้  ต้นไม้ปลูกแล้วก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ศีลของเราต้องเป็นร่มเงาให้ผู้อื่น มิใช่ศีลของเราเป็นความน่าอึดอัดที่ไปบีบคอคนอื่นให้ตาย ถ้าเราเคยอึดอัดเรื่องอะไรจงอย่าทำให้คนอื่นอึดอัด เราจงรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถเป็นผู้ถือศีลที่น่าเคารพ น่ายกย่อง และทำให้ผู้อื่นนั้นสบายใจเวลาอยู่ใกล้ เข้มงวดกับตัวเองให้มากและผ่อนคลายให้ผู้อื่นด้วย
คุณธรรม เปรียบเสมือนรอยต่อของวงกลม เรื่องทุกเรื่องที่ทำมาสมบูรณ์แบบหมด แต่ว่าในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของเรามิได้ใช้คุณธรรมลงไปเป็นผู้กระทำ การกระทำหลายๆ อย่างของเราบางทีจึงถูกคนตำหนิ ถูกคนว่า จึงหาธรรมะในการกระทำของเราไม่ได้ แม้กระทั่งตอบตัวเองยังต้องตอบไปน้ำขุ่นๆ ถึงแม้บางทีเราจะฉลาดใช้เหตุผลในการที่จะบอกในสิ่งต่างๆ อธิบายในสิ่งที่เราจำได้ คนอื่นอาจจะพยักหน้าแล้วแต่เรายังส่ายหน้า ตัวเราเองยังส่ายหน้าให้กับการกระทำของตนเองเสมอ อาจารย์บอกแล้วว่าคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่น ความเมตตา สัจจะ ความรู้ผิดชอบชั่วดี หรือใดๆ ก็แล้วแต่ที่งอกเงยออกมาจากธรรมะเรียกว่าคุณธรรม สิ่งนี้เหมือนรอยต่อของวงกลม ที่จะเติมเต็มให้กับการกระทำของศิษย์ต่อไปตลอดชีวิต คือต้องใส่คุณธรรมลงไปด้วยอย่าลืม คนมีคุณธรรมไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่หน้าอย่างหลังอย่าง ไม่ปากอย่างใจอย่าง ไม่ปากว่าตาขยิบ รับรองคนมีคุณธรรมไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน
มองชีวิตให้มีความสุข ให้ทุกวันมีเสียงหัวเราะ ในขณะที่เราเป็นทุกข์ก็ให้ขำได้กับชีวิตตัวเอง เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองชีวิตของตนเอง    นิดหนึ่ง ชีวิตก็มีความสุขมากขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเรามองไปเหมือนเดิม ยิ่งจ้อง ก็ยิ่งทุกข์ เปลี่ยนอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  จริงๆ แล้วเปลี่ยนความคิดนิดหนึ่ง เปลี่ยนมุมมองนิดหนึ่ง พอหันมามองอีกทีก็เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนตั้งแต่ที่ศิษย์เมินหน้าไปจากความทุกข์นั้นแล้ว ฉะนั้นจงใส่ใจชีวิตตนเองเรื่องการบำเพ็ญธรรม แต่อย่ารำคาญความทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกวันใช้เวลาบำเพ็ญกี่ชั่วโมง (24 ชั่วโมง)  
อาจารย์นั้นมาเย็นเพราะอยากให้ศิษย์นั้นได้ฟังธรรมะเยอะๆ และก็รู้สึกว่าสงสารศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างบนนี้มากๆ อยากจะพบปะจะวิ่งขึ้นวิ่งลงก็ใช่ที่ เดี๋ยวคนที่เขาให้อาจารย์ใช้ร่างเขาจะเหนื่อยมาก ฉะนั้นอาจารย์ก็เลยมาทั้งสองที่เลย เพราะอาจารย์ทำได้อยู่แล้ว และก็เป็นสิ่งที่ศิษย์ก็อยากทำกันบ่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากจะแยกร่างใช่ไหม แยกแล้วหาเงินอย่างเดียว แยกได้สิบร่างก็ไปหาเงินหมดเลย ทีนี้รวยแล้วก็บำเพ็ญไม่เป็น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนจะบำเพ็ญได้ส่วนใหญ่เป็นคนที่จน จริงหรือเปล่า เรามีเงินในกระเป๋าไม่ตุงเท่าไร แต่ใจเราตุงมาก จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าเราใช้ชีวิตด้วยความรู้ตัวและรู้ตื่นตลอดเวลา
บางทีเราเป็นคนหัวแถวก็จริงแต่ต้องหัดทำตัวเป็นคนหางแถวบ้าง ต้องฝึกฝนเรื่องที่เราไม่เคยฝึกฝนบ้าง ไม่เคยล้างชามก็ไปลองล้างชามดู ไม่เคยยกโต๊ะก็ต้องไปลองยกโต๊ะดู  ไม่เคยขัดห้องน้ำก็ลองไปขัดดู โดยเฉพาะวันนี้เป็นโอกาสดีอย่างยิ่ง คนที่นั่งอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็มีทั้งเจี่ยงเอวี๋ยน ปั้นซื่อ ฐันจู่ และก็ญาติธรรม ส่วนเราปกติอยู่แต่ข้างหน้า เป็นหัวแถว เลยลืมแล้วอารมณ์หางแถวเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นกลับไปทำงานบ้างจะได้รู้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
หวังว่าศิษย์นั้นศีลบริบูรณ์ แล้วปัญญาก็จะบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์ ปัญญาบริสุทธิ์ตามกันมา เวลาในชีวิตนี้สั้น ใช้เวลาให้มีประโยชน์ วันนี้ภัยยังไม่ถึงหน้าตนเองอย่างชัดเจน เราจึงรู้สึกว่ามันห่างไกลตัวเรา แต่ขอให้รู้ว่าภัยอยู่กับเราทุกขณะ การตายจากสังขารนี้ก็เป็นภัยอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าต้องอายุเจ็ดสิบถึงจะตายใช่ไหม (ใช่)
มีสามอย่างที่เป็นปัญหาในชีวิตมนุษย์ต้องจำไว้ให้ดี
1. ตัณหา คือความอยาก
2. มานะ คือความถือตัว ถือว่าเราเป็นคนกินเจแล้ว เป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว เป็นเจี่ยงซือแล้ว หรือว่าเป็นฐันจู่  ฉันมาก่อน เธอมาหลัง หรือว่าเธอไม่ทำฉันทำ อย่างนี้ไม่ถูก
3. ทิฐิ คือความเห็นผิด อย่าให้อายตนะมาหลอกเรา
ลองกลับไปดูว่าปัญหาหรือสิ่งที่เราพบเจอตอนนี้เกิดจากสามสิ่งนี้หรือไม่  ถ้าเป็นชั้นประชุมธรรม เมื่ออาจารย์ถามว่าปัญหาในชีวิตของเขาคืออะไร อาจารย์จะให้เขาตอบว่า โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐาน ตอนนี้อาจารย์ยกระดับศิษย์ขึ้นมานิดหนึ่ง อย่าให้สามสิ่งนี้มาทำลายการบำเพ็ญของศิษย์เลยนะ
คนที่ไม่ค่อยได้มาสถานธรรม แต่ว่ากินเจแล้ว ตั้งปณิธานทานเจแล้ว ถ้าคิดว่าเราไม่มาสถานธรรมแล้วสามารถบำเพ็ญได้ดีก็ขอให้เปลี่ยนความคิดใหม่ การบำเพ็ญธรรมกับสถานธรรมไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ เนื่องจากการกินเจนั้นเป็นการอาศัยเรื่องความเชื่อมั่นและเรื่องของสังคม หากว่าศิษย์นั้นกินอยู่ผู้เดียว โดดเดี่ยวเดียวดาย ความมั่นคงของศิษย์นั้นจะถูกสั่นคลอน ขอให้รู้ว่ามาสถานธรรมไหว้พระ ทำจิตใจให้สะอาดเป็นกุศล และกินเจเข้าไปก็คายเจออกมาด้วย อย่ากินเจเข้าไปแล้วคายสิ่งเน่าออกมา ทำได้ไหม (ได้)  
วันนี้อาจารย์จะพยายามจับมือศิษย์ทุกคน ความทุกข์ลืมๆ ไปบ้างก็ได้นะศิษย์ ต่อให้ศิษย์ลืมมันไปบ้างความทุกข์ก็ยังอยู่ยืนยง เพราะว่าเกิดมาเป็นคน เวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ ไม่มีทางเลยที่ศิษย์จะลืมตาตื่นมาแล้วไม่เจอความทุกข์ ต่อให้ศิษย์อยู่เฉยๆ ก็ยังมีทุกข์ได้ อาจารย์นั้นไม่มีกำลังใจอะไรที่จะให้ศิษย์ได้มากมายเพียงพอสำหรับเวลาที่ศิษย์ทุกข์เลย แต่อาจารย์ก็ยังให้กำลังใจศิษย์เสมอ  การจับมือกันเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าเป็นคำปลอบใจจากอาจารย์ อาจารย์รับรู้ รับฟัง เข้าใจในความทุกข์และเหตุผลของศิษย์ทุกคน ในทุกๆ ครั้ง เพียงแต่มนุษย์นั้น เป็นผู้มีกรรมเหลือเกิน น้ำตาไหลเท่าไรก็ไม่มีวันหมดสิ้นได้ อาจารย์ขออย่างเดียว คือศิษย์อย่าทำให้ตัวเองทุกข์ อย่ากระหน่ำมรสุมให้กับชีวิตของตัวเอง รักชีวิตของเจ้าดุจดังที่อาจารย์นั้นรักเจ้าทุกคน ดูแลชีวิตของเจ้าเหมือนดังอ้อมแขนของอาจารย์ที่คอยปกปักษ์คุ้มครองศิษย์เสมอ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นฝ่าพ้นจากวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้ไปได้ ศิษย์ก็จะได้ไปอยู่กับอาจารย์ตลอดไป และศิษย์นั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าตนเองจะต้องตกนรกหมกไหม้ไป ขอเพียงมีสติ
ทำทุกๆ วันให้เป็นผู้มีอารมณ์ขัน อย่ามีน้ำตาแบบนี้ทุกวันๆ เข้าใจหรือไม่ ดูแลและรักตัวเอง เห็นใจผู้อื่น ทุกคนชอบคำปลอบใจ ทุกคนชอบคนอารมณ์ดี เราไม่มีใครเข้าหาอาจจะเป็นเพราะเราอารมณ์ไม่ดี อาจารย์หวังว่าสิ่งที่อาจารย์พูด ความในใจเหล่านี้สามารถทำให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างจริงจังกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เปลี่ยนแล้วอย่ากลัวตัวเองเจ็บมาก เปลี่ยนเถอะศิษย์ นิสัยความเคยชินที่ไม่ดี บำเพ็ญธรรมมาสิบปีบางทีก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ แล้วศิษย์จะเหลือเวลาเท่าไร บางทีอาจารย์นั้นก็มีศิษย์ที่เพิ่งรับธรรมะใหม่ๆ เยอะแยะ แต่ในขณะเดียวกันอาจารย์ก็อดห่วงพวกศิษย์ไม่ได้ วันไหนหนอศิษย์จะตื่นจริง ๆ เสียที ศิษย์จะเข้าใจหลักสัจธรรมจริงๆ เห็นเสียทีว่าศิษย์ควรจะไปพ้นจากเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
ดูแลรักตัวเองให้มากๆ แทนอาจารย์ที่อยากจะดูแลศิษย์ตลอดเวลา อาจารย์นั้นถูกเจ้ากรรมนายเวรของศิษย์นั้นดึงไปตลอดเวลา บางทีอาจารย์ก็คิดว่า เวลาที่อาจารย์ช่วยศิษย์ไม่ได้ พี่น้องผู้ร่วมบำเพ็ญของศิษย์นั้นช่วยศิษย์ได้ไหม อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นรักกันและปรองดองกัน หนักนิดเบาหน่อยอย่าถือโทษโกรธเคือง สนใจ ใส่ใจ เอาใจใส่หนทางบำเพ็ญ เดินให้รอดนะศิษย์นะ มีชาตินี้ไม่มีชาติหน้า มีแต่ชาตินี้ให้หลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ลาก่อนนะ


จริยะคืออาการน้อมที่เผยออก จากด้านในไปสู่นอกที่คนนี้
จากนอกบอกถึงในใจใดที่มี อยากทันคนจึงควรที่รู้ทันตน
ศีลคือทางเดินที่แสนจะสะดวก อยู่ลวกลวกออกดอกไม้ตัดจากต้น
ความเข้มงวดน่าอึดอัดแต่สร้างคน การย่อย่นพาให้ศีลยิ่งเสื่อมเร็ว
ปัญญาทุกด้านบารมีที่ฝึกสั่งสม การอบรมพาแสงถึงค้นหุบเหว
รู้สติอย่างช้าช้าอย่าใจเร็ว ฉลาดคือเปลวเทียนที่ดับพร้อมปัญญา

                        พระโอวาทซ้อนคำว่า “ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “บุคคลักษณะผู้บำเพ็ญ”
  

หากแม้ขาดสิ่งนี้ไปแล้วเล่าก็
แม้สิ่งที่เรียกว่าถูกต้องยังไม่วายมีปัญหา
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จริยะ”

ข้อกำหนดขอบเขตอันสำคัญมากสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกฝนบำเพ็ญและผู้คงแก่เรียน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ศีล”

จิตใจชอบที่พาออกจากความมืด    เลือกคำตอบได้อย่างแม่นยำ
ตาดวงนี้เห็นชัดกว่าถูกต้องทั่วไป    ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดการเล่าเรียน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ปัญญา”

เงาแห่งจิตใจที่สำแดงออกเป็นความประพฤติ  คุณธรรมคือรากฐานจิตใจมนุษย์  
คุณธรรมคือรากฐานแห่งบุญวาสนา  คุณธรรมคือกระดูกของผู้บำเพ็ญ  มนุษย์ผู้พยายามปฏิบัติตัวด้วยเมตตาแล้วนั้นคือมีคุณธรรม
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คุณธรรม”






หมายเหตุ
พระอาจารย์จี้กงเมตตา นำพระโอวาทซ้อนโอวาท ซึ่งได้ให้ไว้ในงานประชุมธรรม 4 สถานธรรม รวม 4 ภาค มารวมกันพร้อมทั้งอธิบายมีดั้งนี้
“บุคคลักษณะผู้บำเพ็ญ” ให้ไว้ในงานประชุมธรรม 2 วัน ณ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ 23-24 เมษายน พุทธศักราช 2554
“จริยะ” ให้ไว้ในงานประชุมธรรม 2 วัน ณ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ
เมื่อวันที่ 28-29 พฤษภาคม พุทธศักราช 2554
“ศีล ปัญญา” ให้ไว้ในงานประชุมธรรม 3 วัน ณ สถานธรรมหงหยัง เมื่อวันที่ 4-6 มิถุนายน พุทธศักราช 2554
“คุณธรรม” ให้ไว้ในงานประชุมธรรม 2 วัน ณ สถานธรรมเต๋อฮว่า เมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน พุทธศักราช 2554

ทางฝ่ายบรรณสารได้นำมาจัดรวมกันและสอดไว้ในหน้าแรก

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา