แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กุศล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กุศล แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

2558-05-23 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二一五年 歲次乙未四月六日            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘     สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  บำเพ็ญธรรมอย่าเป็นคนช่างประจบ   นินทาคนวนไม่ครบจบไม่ลง
ไม่มีใครเป็นกาใครเป็นหงส์                         ทางสายตรงอย่าเดินเล่นอ้อมไปมา
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ดีร้ายแปรทุกขณะไหนถูกผิด           นิ่งทุกขณะไม่ปล่อยจิตกระเพื่อมไหวผิดพลาดโดนใหญ่เตลิดมาฝึกใจ     กี่ครั้งกระทบก็ไม่ปล่อยกิเลสครอง
ใครร้ายอย่าจำเก็บมาใส่ใจ               อย่าเอาใจใส่มากไปจับจ้อง
เที่ยวใส่ใจได้ทุกข์มาครอบครอง          ไม่อาจจองคุมสุขแม้ใจตน
วางเฉยอารมณ์เป็นไม่วุ่นพลุ่งพล่านหนา การตามอารมณ์พาขาดการฝึกฝน
ไม่ลืมตัวคนสติดีรู้ตน                      หลงชีวิตประมาทจนทับถมจมท้าย
อยากสงบต้องหมั่นฝึกอภัยเป็นทาน     รู้ตัวทันเท่ารู้โลกบ้างไหม
แม้ถูกข่มกล้าอารมณ์เสียออกไป         คิดก่อนหว่านสิ่งใดจนใจตน
สร้างเหตุจึงตามมาซึ่งผลนั้น              ไม่หยุดกั้นบาปกรรมแต่กลัวผล
กรรมสนองวอนพุทธะหนุนช่วยบันดาลดล   ไยไม่คิดก่อนทำตนเช่นไร

ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวหรือเปล่า (ไหว)  ใจสู้อะไรก็ไหว ถ้าใจไม่สู้นิดหน่อยก็ไม่ไหว ใจชอบอะไรก็ทำได้ แต่ถ้าใจไม่ชอบ ใจไม่รัก นิดหน่อยก็ไม่อยากทำ  ฉะนั้นตอนนี้สู้และรักที่จะฟังธรรมไหม ถ้าสู้ ถ้าไหวอย่างนี้
ปิดพัดลม ปิดแอร์ ก็คงไม่มีปัญหา ถูกไหม (ถูก)  โดยส่วนใหญ่ถ้าใจเราสู้ ยากแค่ไหนเราก็ฝ่าฟันได้ ถ้าใจเรารักที่จะทำให้สำเร็จ ลำบากแค่ไหนเหนื่อยแค่ไหนเราก็ฝ่าฟันจนได้ สิ่งสำคัญคือหัวใจเรา รักและสู้หรือเปล่า
วันนี้มาฟังธรรมก็เหมือนกัน รักที่จะฟังธรรมไหม รักที่จะเรียนรู้ธรรมไหม (รัก)  ถ้ารักทำไมสู้ไม่ได้ และถ้าเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
นิดๆ หน่อยๆ จะยอมพ่ายแพ้หรือ (ไม่ยอม)
  หรือเป็นคนที่ยังไม่ทันทำอะไรก็แพ้ตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  นักเรียนชั้นนี้เป็นคนขี้แพ้ไหม (ไม่)  ไม่มีใครอยากเป็นคนขี้แพ้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนชนะคนอื่นทำไมไม่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปสู้กับคนอื่น สู้ใจตัวเองไหวไหม (ไหว)  เราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน เราปล่อยใจตัวเองจนเสียนิสัย การมาอบรมธรรมก็คือ การมาฝึกทวนกระแสแห่งจิตใจบ้าง
มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก ฉะนั้นอยากหยุดโรคภัย อยากหยุดพิษภัยก็ต้องระวังปาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ ก็บ่น ก็พูด ก็ด่า แล้วเราเป็นเช่นนั้นไหม (ไม่เป็น)
มีใครในโลกบ้างที่เป็นคนดีแท้จริง มีใครในโลกบ้างที่เป็นคนถูกแล้วไม่มีวันผิด และมีใครในโลกบ้างที่เป็นคนผิดแล้วไม่กลับกลายเป็นคนถูกบ้าง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วจะบ่นทำไม ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วจะว่าเขาได้อย่างไร
ใช่ไหม (ใช่)
  ผิดถูกก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง เกิดขึ้นก็แค่ขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาที่เปิดกว้าง มองด้วยใจที่ไม่คับแคบจนเกินไป จริงๆ แล้ว
ในโลก ไม่มีใครที่แย่ที่สุดและไม่มีใครที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
  เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วใครหรือที่จะต้องบ่นปากเปียกปากแฉะ และจะมีใครบ้างหรือ
ที่เราจะต้องด่าจนเจ็บใจ มีไหม (ไม่มี)
  ลองมองให้กว้างๆ ให้ทั่วๆ ให้ชัดว่าใครถูกเสมอ ใครผิดตลอด ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเข้าใจแจ่มชัด แล้วอารมณ์จะเกิดไหม (ไม่เกิด)  เมื่ออารมณ์ไม่เกิด แล้วเราจะก่อกรรมทำเข็ญด้วยวจีกรรมไหม ฉะนั้นถ้ารู้ชัด ก็ไม่จำเป็นต้องทำบาปกรรมใดๆ เลย แต่เพราะมนุษย์เราอยู่ในโลก ไม่เคยมองอย่างชัด ไม่เคยรู้อย่างแท้จริง จึงอดไม่ได้ที่จะสร้างบาปกรรม ทางปาก กาย และใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหลักธรรมจึงต้องมีคำสั่งว่าอย่าพูดหากพูดแล้วจะก่อวจีกรรม จงคิดให้ดีก่อนว่า สิ่งที่พูดนั้นจริงไหม ดีหรือเปล่า พูดแล้วกอปรไปด้วยเมตตาจิตด้วยหรือไม่ พูดแล้วสุภาพหรือเปล่า พูดแล้วมีประโยชน์ไหม ถ้าจริงแต่
ไม่ดีก็อย่าพูด ถ้าดีแต่ไม่ได้กอปรไปด้วยเมตตาจิตก็อย่าพูด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวไว้ว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับขวานที่อยู่ในปาก ซึ่งคนพาลมักจะกล่าวคำชั่ว เมื่อไรที่คนพาลเกิดมาพร้อมความชั่ว เท่ากับคนนั้นเกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก และฟันตัวเองให้เจ็บปวด เราคิดว่านักเรียน
ในชั้นคงไม่เกิดมาพร้อมกับขวานในปากนะ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น)
  แล้วยังมีคำกล่าวต่ออีกว่า บุคคลที่ติคนที่ควรสรรเสริญ และสรรเสริญคนที่ควรติ คนนั้นชื่อว่า (เก็บความชั่วไว้ในปากตัวเอง)  เราเป็นเช่นนั้นไหม คนที่ควรตำหนิเรากลับชม คนที่ควรชมเรากลับตำหนิ นั่นก็น่ากลัวนะ ถ้านักเรียนในชั้นเกิดมาพร้อมกับขวานอยู่ในปาก ถูกไหม (ไม่ถูก) ฉะนั้นคนพาลคือคนที่กล่าวคำชั่ว ใครที่พูดคำชั่วร้าย ทำให้คนอื่นเจ็บปวด คนนั้นได้ชื่อว่า เกิดมาพร้อมกับขวานที่อยู่ในปาก เราเชื่อว่ามีกันทุกคน เราถามเพื่อยืนยัน มีใครบ้างอยู่ในโลกโดยไม่นินทาใครเลย (ไม่มี)  แปลว่าท่านเกิดมาพร้อมกับขวานในปาก คนพาลชอบทำอะไรเอาแต่อารมณ์ มักจะพูดแต่สิ่งไม่ดีงามและไม่ถูกต้อง
เป็นโอกาสดีที่ได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ เป็นการยากที่จะเชื่ออะไรได้ง่ายๆ ใช่ไหม ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ ลองสนทนาคุยกันดู เปลี่ยนบรรยากาศจากการฟังอย่างเดียว เป็นการถกธรรมะพูดคุยกันบ้าง ดีไหม (ดี)  แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันอีกแบบหนึ่ง ได้หรือไม่ (ได้)
ส่วนใหญ่เราเรียนรู้หลักธรรมะ ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดีและคนเก่ง ธรรมะสอนให้เราเป็นคนต้องสำเร็จ ห้ามล้มเหลวใช่ไหม (ใช่)  มีสติคิดหน่อย ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดีเป็นคนเก่ง และต้องเป็นคนสำเร็จเท่านั้นใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าธรรมะ สอนให้เรารู้จักแพ้ก็ได้ เสียก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เมื่อเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะสอนให้เราแพ้ก็ได้ ล้มก็ได้ ทุกข์ก็ได้ แล้วทำไมถึงชอบพูดว่าไหว้พระแล้วยังทุกข์ ตกลงธรรมะสอนว่าให้ทุกข์ได้ไหม (ได้)  เป็นคนดีแล้วทำไมยังโดนคนว่า ฉะนั้นเรียนรู้หลักธรรมแล้ว
แพ้ได้ไหม ทุกข์ได้ไหม ล้มเหลวได้ไหม (ได้)
ถ้าเราไปไหว้พระ สะเดาะเคราะห์ ทำสังฆทาน แล้วยังเจอเคราะห์
ก็เป็นเรื่องธรรมดา เราอยากย้ำให้ท่านรู้ในใจ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์มักจะพูดว่า ไหว้พระแล้วทำไมยังมีเคราะห์อีก ไปบวชพระแล้ว
ไปศึกษาธรรมะแล้ว ทำไมยังทุกข์อีก แปลว่า การไปไหว้พระ ไปทำสังฆทานห้ามทุกข์ ห้ามเคราะห์ ห้ามแพ้ ห้ามป่วยใช่ไหม (ไม่ใช่)
  แล้วทำไมเวลาไปไหว้พระหรือไปทำบุญ จะต้องคิดว่าห้ามทุกข์ เพราะธรรมะไม่ได้สอนให้เราหลง แต่ธรรมะสอนให้เรากล้าที่จะเรียนรู้สู้กับความจริงที่เรียกว่า ชีวิต”  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเกิดอยากเรียนรู้ชีวิต จะเป็นไปได้ไหมว่าโลก
ใบนี้ต้องมีแต่ความสว่างห้ามมืด โลกใบนี้นิ้วทุกนิ้วต้องเท่ากัน ห้ามมีสั้น
มียาวได้ไหม (ไม่ได้)
  โลกใบนี้หัวใจคนต้องเท่ากัน ห้ามมีใครใหญ่กว่าเล็กกว่าได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้อย่างนั้นจะเอาอะไรกับความไม่แน่ของชีวิต
ฉะนั้นถ้ารักที่จะมีชีวิตก็ต้องยอมรับความตาย ถ้ารักที่จะอยู่กับคน
ก็ต้องยอมรับการถูกนินทาว่าร้าย ถ้ายอมรับที่จะเสาะหาแสวงหาของ
ในโลก ก็ต้องยอมรับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ถ้ารักที่จะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะเจ็บและทุกข์ ถ้าอยากรักก็ต้องกล้าที่จะเจ็บ ถ้าอยากมีชีวิตก็ต้องกล้าตาย เพราะฟ้าไม่ใช่สว่างแล้วมืดไม่ได้ คนไม่ใช่ดีแล้วร้ายจะไม่มี นอกจากว่าถ้าใจมนุษย์ไม่อยากมีอยากได้จนเกินไป คนใจกว้างก็จะไม่คับแคบหรอก
ถ้าใจมนุษย์ไม่อยากมีอยากได้เกินไป คนใจเย็นก็คงไม่หงุดหงิดง่ายๆ หรอก จริงไหม (จริง)
  ธรรมทั้งหลายล้วนสอนให้รู้ว่า เมื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตแล้ว ทำจนถึงที่สุดแล้ว บางครั้งก็ต้องรู้จักยอมรับและปล่อยวางที่จะเป็นไป ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม จึงมีคำพูดคำหนึ่งว่า ธรรมทั้งหลาย
ทั้งมวลอยู่ที่การปล่อยวางใจเป็นไหม
ถ้าเอาแต่มีความอยากอยู่ร่ำไป
คนใจกว้างก็พร้อมจะใจแคบ คนใจดีก็พร้อมจะใจร้าย ถ้าเอาแต่อยาก
ตามอกตามใจคนก็คงดิ้นรน ยากจะพบความสุขได้ แต่ถ้ามนุษย์รู้ที่ใช้ชีวิต
ให้เป็น และวางใจให้ดี โลกใบนี้ก็มีที่กว้างพอให้เรายืนอยู่ และโลกใบนี้ก็คงไม่ผูกพันทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีอิสระและหาความสุขไม่ได้
(ต้องปล่อยวาง) ความหมายว่า ถ้าเรารักที่จะมีชีวิตอยู่ อย่าเลือก
ที่รักมักที่ชัง เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต ย่อมมีได้ มีเสีย มีทุกข์ มีสุข มีเกิด มีตาย ถูกไหม (ถูก)
  อยากมีชีวิต แต่ไม่อยากได้ ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีความสุข แต่ไม่อยากมีความทุกข์ ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีแต่รัก แต่ไม่อยากเจ็บปวดในรัก ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากอยู่กับคน แต่ไม่อยากถูกนินทา ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อไม่ได้ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า การเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่แค่เป็นคนดี ไม่ใช่แค่เป็นคนเก่ง แต่เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมแห่งชีวิต และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ถึงเวลาต้องยอมรับผล ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้ายก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ คิดว่าทำอะไรแล้วก็ต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องชนะเท่านั้น ต้องดีเท่านั้น ต้องไม่ถูกว่าเท่านั้น อย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นเมื่อทำเต็มที่แล้ว ถูกว่ากล่าว ก็เป็นธรรมะของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แพ้ก็เป็น (ธรรมะ) ของชีวิต ฉะนั้นถ้าทำให้ถึงที่สุด ก็ต้องปล่อยวางใจ อย่าไปยึดจนเกินไป เพราะธรรมะสอนไว้ว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ครอบครองไม่ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ใดใดในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่น
ถือมั่น ถูกไหม (ถูก)
  พอเข้าใจไหม ฉะนั้นหากกลับบ้านไปมืดค่ำแล้วถูกคนที่บ้านว่ากล่าว แล้วจะเสียใจไหมที่มาฟังธรรม (ไม่เสียใจ)
ถ้ารักจะมีชีวิต อย่ารังเกียจความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงคือส่วนหนึ่งของชีวิต และส่วนหนึ่งของชีวิตก็เหมือนกับฟ้า มีสว่าง แล้วไม่มีมืดได้ไหม (ไม่ได้)  มีคำชมแล้วไม่มีคำด่า ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมยังมีคำว่า “ไม่ได้” กับคนอื่นอยู่อีก
คนโบราณคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากจับไฟ แล้วไม่ถูกไฟแผดเผา
ก็อย่าคิดไปเล่นกับไฟ ใช่ไหม (ใช่)  ไฟไม่แผดเผาใคร ถ้าใครไม่คิดอยาก
ไปจับ ถูกหรือไม่ (ถูก)
  หินไม่คิดทำให้ใครหนัก ถ้าคนนั้นไม่คิดจะยก
ถูกหรือไม่
(ถูก)  ในทางเดียวกัน น้ำเชี่ยวจะไม่ทำให้เรือคว่ำ ถ้าคนไม่คิดอยากจะล่องเรือไปขวาง ใช่ไหม (ใช่)  งูจะไม่มีวันกัดใครถ้าคนนั้น ไม่ไปเบียดเบียนและเกี่ยวกรรมกับมัน ถูกไหม (ถูก)
ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ชีวิตจะไม่ทำให้เราทุกข์ ถ้าเราไม่ยึด ไม่ไปช่วงใช้ ไม่ไปยุ่งยาก ไม่ไปก้าวก่าย แค่ยอมรับในสิ่งที่ต้องเป็นไปเท่านั้นเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก) และเรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ถูกหรือไม่ (ถูก) ดังที่เมื่อสักครู่เราบอก ถ้าใจเรากว้างพอก็คงไม่มีใครในโลกใจร้ายหรอก

ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตใจเราเย็นพอ ก็คงไม่มีใครทำให้ใจเราวุ่นวายได้หรอก จริงไหม (จริง)  ฟังแค่นี้ยากหรือเปล่า (ไม่ยาก)
ถ้าเราใจกว้างและใจเย็นมากพอ ใครหรือจะดี ใครหรือจะร้าย ไม่มี อะไรเรียกว่า สุขและทุกข์ก็ไม่ปรากฏ แต่จะเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งที่เรียกว่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม ถ้าจริงท่านคงจะไม่มองเห็นโลกนี้ร้ายหรือดีหรอก และจะไม่เห็นโลกเป็นทวิภาวะ แต่ใจของมนุษย์ยังมีสิ่งที่เรียกว่าชอบและชัง เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าชอบและชัง ก็เลยเกิดคำว่าดีและร้าย ได้และเสีย สุขและทุกข์ แต่เมื่อใดใจเรากว้างจนหาที่สุดไม่ได้ ใจเราวางเฉยกับทุกสิ่งที่ดีร้ายได้เสีย จะมีอะไรที่เรียกว่าดี อะไรที่เรียกว่าร้าย อะไรที่เรียกว่าทุกข์และสุข มีแต่ความจริงที่หมุนเวียนไปตามเหตุปัจจัยอันบริสุทธิ์และยุติธรรมแล้ว แต่บางครั้งพอหมุนเวียนเปลี่ยนไป ทำไมไม่เป็นแบบนั้น แบบนี้ เพราะความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เหมือนสักครู่ที่เราบอกว่า ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ จึงทำให้ใจที่กว้างกลายเป็นใจแคบ ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เลยทำให้คนที่ใจเย็นกลายเป็นคนที่โมโหฉุนเฉียวง่าย
ฉะนั้นถ้าคุมใจได้ก็คุมโลกได้ ถ้ายังคุมใจและทำใจไม่ได้ ก็คุมโลกนี้ไม่ได้ เราก็จะโมโหตายเสียเปล่าๆ เหมือนที่เราพูดเมื่อสักครู่ ไฟจะไหม้มือเราได้ไหม ถ้าเราไม่อยากไปจับหินจะทำให้เราหนักได้ไหม ถ้าเราไม่ไป (ยก)  ฉะนั้นเรื่องราวบางเรื่องจบไปแล้ว ผ่านไปแล้วเสร็จไปแล้ว ทำไปเรียบร้อยแล้ว จะมาแบกทำไมให้หนักใจ จะไปแหย่ไฟทำไม เมื่อรู้ว่าแหย่แล้ว (ร้อน)  จะไปยุ่งทำไม ถ้าไปยุ่งแล้วทำให้ชีวิตยิ่งวุ่น เราจะเบียดเบียนชีวิตใครทำไม ถ้าเราไม่อยากถูกใครเบียดเบียน สัจธรรมชีวิตล้วนเป็นจริงเช่นนั้นตั้งแต่ต้น ถ้าเข้าใจตั้งแต่ต้นชีวิตจะยุ่งยากไหม (ไม่ยุ่งอยาก)  จบไปตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เราจะสอนให้ท่านเป็นคนที่ไม่สู้ชีวิต แต่เราบอกตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าท่านทำอย่างที่เราพูดไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ถึงที่สุดแล้วยอมรับผล ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้าย เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่สามารถควบคุมได้คือ ขณะนี้ตอนนี้ทำให้ดีที่สุด มีธรรมและรักษาศีลให้ดีที่สุด ถึงเวลาวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เหตุและผลปัจจัยที่เป็นไป ฉะนั้นถ้าเราทำแล้วจะไปยกทำไมให้หนัก ถ้าเกิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ก็ยอมรับผลที่จะตามมา ผลจะเป็นอย่างไร ก็ท่านเป็นคนบอกเอง กล้าที่จะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะทุกข์ รักที่อยากจะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะเจ็บ รักที่จะมีชีวิตก็ต้องกล้าที่จะตาย รักที่จะเสี่ยงในการแสวงหาเงินทอง ก็ต้องกล้าที่จะล้มและแพ้เป็น  ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้แค่เป็นคนดี ไม่ได้สอนให้ท่านรู้จักหวังดีกับคน แล้วแพ้ไม่ได้ เสียไม่ได้ ยอมไม่เป็น สู้ไม่เป็น อย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะสอนให้เป็นคนดีแล้วต้องแพ้เป็น เสียได้ กล้ารับความจริง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่หมุนเวียนไปตามความเป็นจริง เราเกิดมาเป็นแค่ผู้อาศัย ไม่ใช่ผู้ที่อยากมีแล้วต้องมีให้ได้
บางทีมีแล้วก็ต้องไม่มีได้ นั่นแหละจึงเรียกว่า
เข้าใจธรรม
ฟังยากไหม (ไม่ยาก)  เพราะชีวิตล้วนมีกฎเกณฑ์ และกฎเกณฑ์
นั่นแหละเป็นสิ่งที่มนุษย์ลืมเลือนไม่ได้ อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะถ้าใจเรากว้าง โลกนี้ก็ไม่น่ากลัว ถ้าใจเราเย็นและนิ่งพอ โลกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ เข้าใจโลกให้เป็น ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)
  ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เมื่อไม่กลัวก็แสดงว่าพร้อมที่จะเผชิญและรับมือไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหลักของโลกใบนี้ที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ โลกหรือชีวิต หรือทุกสรรพสิ่งล้วนหนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คนมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความทุกข์เป็นธรรมดา และเมื่อถึงที่สุดแล้วก็มีความตายเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราจึงไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดานั้นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยากรักชีวิต ก็อย่ากลัวความแก่ เจ็บ ตาย ใช่ไหม (ใช่)
ระหว่าง แก่ เจ็บ ทุกข์ ตาย อะไรเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เมื่อสักครู่เราสอนให้ท่านเรียนรู้และเข้าใจแต่บางครั้งก็ยังอดที่จะกลัวและอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ เพราะว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงจนน่ากลัว แค่เราจงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม แต่เกิดมาเพื่อใช้กรรม ซึ่งกรรมจะหมุนไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเราถูกกระทบ เรานิ่งเป็น เราสงบเป็น เราก็ไม่ก่อเหตุปัจจัยในการสร้างกรรมเพิ่ม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเราถูกกระทบแล้วเราร้าย เราโมโห เราฉุนเฉียว นั่นคือเรากำลังสร้างกรรมไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราเข้าใจ สิ่งที่มากระทบเป็นแค่เช่นนั้น เป็นแค่เท่านั้น แล้วเราจะก่อเกิดกรรมไหม (ไม่)  แต่เราจะเกิดมาเพื่อจบกรรม เมื่อจบกรรมแล้ว สิ่งที่เราดำเนินชีวิตก็คือการไม่สร้างกรรมเพิ่ม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อถูกกระทบแล้วเรานิ่งได้ไหม (ไม่เคยนิ่งได้เลย) อย่างนี้เรียกว่า ทำเวรให้ยืดเยื้อหรือ
ที่เรียกว่าจองเวรจองกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ไม่มีใครร้ายที่สุดถ้าเรามองให้กว้าง ไม่มีใครแย่ที่สุดถ้าเรามองให้ไกล และไม่มีใครดีที่สุดจนทำให้เราหลง ถ้าเรามองให้มากกว่าที่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่มีใครดีที่สุดแล้วเราจะรักใครไหม เมื่อไม่มีใครแย่ที่สุดแล้วเราจะเกลียดใครไหม เมื่อไม่เกลียดใครแล้วเราจะด่าใครกลับไหม เมื่อไม่ด่ากลับแล้วเราจะจองเวรจองกรรมไหม (ไม่)  ก็จบแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะทำอย่างไรเมื่อถูกกระทบจึงสามารถทำให้เรานิ่งและรู้ให้ทัน
เบื่อฟังเราหรือยัง เรายกตัวอย่างง่ายๆ มีนิทาน เราเปลี่ยนเป็นนิทานเผื่อจะทำให้ท่านตื่นนะ มีผู้ชายคนหนึ่งออกจากบ้านไปทำงานทุกวันๆ แต่ทุกวันที่ออกจากบ้านเขาเดินผ่านทางสายนี้ ซึ่งผ่านทางสายนี้จะมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน แล้วก็ด่าเขา ด่าๆ ด่าจนเขาเดินลับหายไป วันแรกเขาก็งงไม่เข้าใจ ฉันทำผิดอะไรนะแค่เดินผ่านถนนสายนี้
มาว่าฉันจังเลย โดนว่ามาสิบวันทนไหวไหม
(ไม่ไหว)  แค่วันแรกก็ไม่ไหวแล้วใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านคงหันไปตะบันหน้าแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่รู้ไหมพอคนนี้จะวิ่งไปตะบันหน้าเขา ชายคนนี้ก็หนีทุกที และก่อนจะหนียังหัวเราะสะใจที่ว่าได้แล้ว จนกระทั่งผ่านไปเป็นเดือนเขาก็ยังไม่สามารถจัดการกับคนๆ นี้ได้ เขาก็คิดในใจว่า ทำไมต้องว่าฉัน ฉันทำอะไรผิด ฉันก็แค่เดินถนนสายนี้ธรรมดาแต่มีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนบ้านเดินมาบอกว่า
อย่าไปถือสาคนนั้นเขาเป็นคนบ้า เชื่อไหมว่าทุกข์ที่เขาแบกมาตั้งแต่ตอนโดนว่าจนกลับบ้านก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องว่าฉัน มันหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะอะไรหรือ เพราะเราไม่ถือสาคนบ้าใช่ไหม
(ใช่)
เหมือนกันถ้าเราเข้าใจโลกอย่างคนรู้ชัด แต่ไม่ใช่มองทุกคนเป็น
คนบ้าหมดนะ แต่ถ้าเรารู้ชัดสิ่งที่เราโดนว่ามา หรือแบกมามันจะจางหายไปทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาปลอบปะโลมใจ มาแก้ไขอะไรในใจ มันจะปล่อยทิ้งไปได้ทันทีเพราะเราเห็นชัด อย่าไปถือเลย เขาไม่เต็ม เขาบ้าใช่หรือไม่ (ใช่)
  แต่ตอนนี้ใครล่ะกำลังบ้าถือเอาไว้เต็มหัวใจ ถูกไหม (ถูก)  ในเมื่อมันเป็นแค่นั้น เท่านั้น โกรธแล้วได้อะไร น้อยใจแล้วมีอะไรดีขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้ารักที่จะมีชีวิตอย่ากลัวโดนว่า รักจะมีชีวิต และเสี่ยงกับการใช้ชีวิตอย่ากลัวพ่ายแพ้ รักที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้เป็นอย่ากลัวความผิดพลาดล้มเหลว เพราะนั่นคือความจริงหรือเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นคน ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ทุกข์นั้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้เข้าใจแล้วเกิดความเบิกบานใจ
นั่นจึงเรียกว่ารู้และเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่
รักจะเข้าใจชีวิตอย่ากลัวความตาย เพราะความตายบางทีอาจทำให้เราได้พักผ่อนชั่วนิรันดร หรือบางทีความตายอาจจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงจากรูปลักษณ์หนึ่งเป็นอีก รูปลักษณ์หนึ่ง กลัวความเจ็บป่วยไหม (กลัว)  อย่ากลัว เพราะความเจ็บป่วยเป็นตัวบ่งบอกให้เรารู้ว่า
เรากำลังทำร้ายร่างกายอย่างผิดๆ ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่เตือน
ดีกว่า
ไม่เจ็บแล้วตายเลย น่ากลัวกว่านะ
ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ได้สอนให้แค่เป็นคนดี คนเก่ง
แต่การเรียนรู้หลักธรรมคือ การสอนให้เข้าใจชีวิต และสู้ชีวิตเป็น แพ้ได้ ล้มได้ ทุกข์ได้ แต่อยู่กับทุกข์ อยู่กับความแพ้ และอยู่กับการผิดพลาด ด้วยความความเข้าใจและเบิกบาน ใจสู้ซะอย่างอะไรก็ไม่น่ากลัว
กลัวอย่างเดียวคือใจไม่สู้
วันนี้มาเรียนรู้วิชาธรรมะเพื่อเข้าใจชีวิต ก่อเกิดปัญญา ไม่ใช่มาเรียนรู้ธรรมะแล้วให้เหงาเศร้าตรม มนุษย์มักจะพูดว่า เวลาอยู่ในห้องพระ ถ้ายิ่งอยู่แล้วยิ่งสดชื่น กระจ่าง สว่าง สงบ นั่นแปลว่าเดินถูกทาง แต่ถ้าอยู่ในห้องพระแล้วหม่นหมอง หดหู่ ห่อเหี่ยว แปลว่าเรากำลังปล่อยให้
พญามารครอบงำแล้ว
ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก อย่าคิดแค่เพียงว่าหวังดี ปรารถนาดี
แต่บางครั้งความหวังดี ความปรารถนาดี แต่ถ้าไม่ถูกที่ถูกทางและ
ไม่ยอมรับความจริง
  ความหวังดีความปรารถนาดีก็ทำให้เกิดทุกข์ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำคำพูดคำหนึ่งที่เรากล่าวไว้ดีๆ ว่า ไฟไม่ทำให้มือใครพองหรือ เจ็บปวดถ้าเราไม่คิดที่จะไป (จับ)  หินไม่ทำให้ใครหนักถ้าเราไม่คิดที่จะ (ยก, แบก)  น้ำเชี่ยวไม่ทำให้เรือใครคว่ำถ้าเราไม่คิดที่จะ (ขวาง) และงูก็ไม่คิดที่จะมาเบียดเบียนหรือทำร้ายเราถ้าเราไม่คิดที่ไป (ทำร้ายเขาก่อน)  ฉะนั้นถ้าขึ้นชื่อว่าอยากใช้ชีวิตก็จงอย่ากลัวความจริง เพราะความจริงของชีวิตล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน แต่ที่เรียกว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ล้วนเป็นเพราะมนุษย์สมมติกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นแค่สิ่งสมมติ ซึ่งเราเป็นเพียงแค่ผู้อาศัยยืมสิ่งสมมติมาใช้ ฉะนั้นชีวิตไม่ได้บอกให้ท่านเกิดมาเพื่อทุกข์ แต่ชีวิตสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์และเข้าใจทุกข์ด้วยความเบิกบาน นี่จึงเรียกว่า พุทธะ
ถ้าดอกไม้กลัวที่จะเหี่ยวก็คงไม่กล้าที่จะเบ่งบาน ถ้ามนุษย์กลัวความทุกข์และกลัวการมีชีวิตก็คงอยู่บนโลกนี้ได้ยาก ฉะนั้นถ้าอยากมีชีวิตก็จงอย่ากลัวทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าทุกข์แล้วต้องทน แต่ความทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทนได้ยากแล้วจะทนทำไมให้ทุกข์ขัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ความทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วทำไมเวลาเป็นทุกข์แล้วต้อง
ทุกข์ทนแล้วปล่อยให้ทุกข์ขัง ในเมื่อสรรพสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ใจเราไม่ยอมเปลี่ยนตามหรือเปล่า ยังจมอยู่กับความหวังและความต้องการเดิมๆ หรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นโลกเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน ก็จงมีสติและรู้จักยั้งคิดและมองให้เห็นความเป็นจริง เราจะได้ไม่ถูกโลกนี้ทำให้เจ็บปวด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราขอตัวกลับได้ไหม ฟังมาก็เยอะแล้ว ถึงเวลาก็แค่ลงมือปฏิบัติให้จงได้เท่านั้นเอง เราบอกท่านแล้วนะ ถ้าหัวใจเรารู้อย่างแจ่มชัด ไม่มีอะไรเรียกว่าทุกข์และสุข ไม่มีอะไรเรียกว่าน่ากลัวและเจ็บปวด แต่เพราะเรายังไม่รู้ชัดและยังไม่เข้าใจตน จึงมีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ สุข และความเจ็บปวด
คนในโลกหรือชะตาชีวิตในโลกเป็นคนบ้าหรือเราที่บ้ากันแน่
อยากมีชีวิต
ก็ต้องกล้าที่จะรับความจริง
ถ้าอยู่กับคนยังไม่พ้น แล้วจะพ้นธรรมและโลกได้หรือ ไม่มีทาง ต้องอยู่กับคนจนกระทั่งเข้าใจ จนสามารถพ้นคนได้ ถึงจะพ้นโลกได้และเข้าถึงธรรมได้ แต่ถ้าอยู่กับคนแล้วยังไม่เข้าใจ จะค้นหาธรรมและเข้าถึงโลก เป็นไปไม่ได้หรอก ฉะนั้นจงสู้ชีวิตนะ ดอกไม้ไม่กลัวที่จะ
เบ่งบาน ไม่กลัวที่จะเหี่ยวเฉา
เกิดเป็นคนเมื่อเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกให้เป็น อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความพลัดพราก
จงเปลี่ยนแปลงด้วยหัวใจที่สู้
ไม่มีอะไรน่ากลัวและไม่มีอะไรเลวร้าย ถ้าใจเราเรียนรู้ที่จะสู้ให้เป็น และยืนให้ได้เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ ขอให้เข้าใจทุกข์ จนเกิดความเบิกบาน มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก




วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘   สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมต้องเทียวทำให้คล่องมือ   ความยึดถือต้องเทียวละให้หดหาย
เทียวไปมาตัดก็คล้ายเพิ่มก็คล้าย         แล้วเมื่อไหร่ศิษย์จะพ้นได้แท้จริง
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

ในความศรัทธา ศรัทธามากมากจำเป็นหนักหนา ศิษย์อย่าลืมเรียนธรรมคืออะไร เพราะเข้าใจเท่าไหร่ไม่พอ ไม่ว่าศรัทธา ที่มีล้นใจเนื่องด้วยเหตุใด แต่จงบำเพ็ญปัญญาศรัทธาอย่างไร รู้แล้วทำได้หมดยิ่งดี
อย่าโทษฟ้าว่าดินโทษโชคชะตา ที่ได้เกิดมา อย่าโทษคนโทษใครใครเป็นอย่างไร ก็ไม่ต่างกัน เห็นคำตอบที่จริงรู้จักตัวเอง ปัญหาเดิมหายไป
* แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะทำดีโดยไม่รอใครชม แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะบำเพ็ญโดยไม่เจืออารมณ์ เมื่อใดสั่งสม สำนึกด้วยใจ คนที่ชนะตัวเอง
ถ้าเจ้าไม่เพียรทำมาทำไปเปลี่ยนใจ อาจารย์ก็น้ำท่วมปาก
(ซ้ำทั้งเพลง, ซ้ำที่ขีดเส้นใต้, * , ซ้ำที่ขีดเส้นใต้)

ทำนองเพลง : หลงตัวเอง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กินอิ่มและฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็จะเป็นชูชกที่กินไม่มีวันอิ่ม
ถูกหรือเปล่า
(ไม่ถูก)  อย่างนั้นฟังธรรมอิ่มหรือยัง (ยัง)  อย่างนี้ก็เป็นคนโลเลคบไม่ได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลับไปกลับมา อย่างนี้ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ตกลงตอนนี้อิ่มหรือไม่ (อิ่ม)  อะไรอิ่ม (กินอาหารอิ่ม)  แล้วมาฟังธรรมะ
อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)
  คนฉลาดต้องรู้จักพลิกแพลง ต้องบอกว่าไม่ได้อิ่มท้องแต่อิ่มใจ แปลว่าใจนี้ยังเติมได้อีกใช่ไหม (ใช่)
มีคำพูดหนึ่งที่มนุษย์มักจะพูดว่า ใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง”  แต่อาจารย์ก็แปลกใจอย่างหนึ่ง ใจของมนุษย์บางครั้งก็ตื้นเขินจนน่าตกใจ
พอบอกว่ารับไม่ได้ นิดหน่อยก็รับไม่ได้ พอบอกว่าไหวอย่างไรก็ไหว อย่างนั้นตกลงว่าใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง หรือตื้นเขินจนน่าตกใจ แล้วแต่อารมณ์ใช่หรือไม่ อารมณ์ดีอะไรก็ไหว อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยอะไรก็ไม่เอา ศิษย์
รู้ไหม ถ้าศิษย์สามารถคุมใจได้ รู้ใจทัน แปลว่าเรื่องราวข้างนอกจะเป็นอย่างไร ศิษย์ก็สามารถพลิกซ้ายพลิกขวาได้ ไม่ว่าโลกจะพลิกไปอย่างไร แต่ถ้าเรารู้ใจตัวเองและคุมใจตัวเองได้ ไม่ว่าอะไรจะมาเราก็สามารถรับได้
  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การแปรเปลี่ยนโลก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรู้เท่าทันใจไหม ถ้าโลกเกิดอะไรขึ้น เรารู้เท่าทันใจ เราก็สามารถว่างได้ อะไรๆ มา
เราก็ไหว แต่ถ้ามีบางเรื่องมาถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเราก็รับไม่ได้ อะไรที่ทำให้เราเรียนรู้และสามารถควบคุมใจเราได้ อะไรเราก็ควบคุมได้ เราก็รู้วิธีการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่รู้วิธีการ และไม่เคยควบคุมอยู่คือ (ใจ)
  กลับกันถ้าวันหนึ่งเราควบคุมใจได้ เราดูแลใจตัวเองเป็น ไม่ว่าโลกจะเป็นแบบไหนเราก็จัดการได้ จริงไหม (จริง)  ไม่ว่าจะร้ายดีอย่างไร ถ้าเรารู้ใจตัวเองและควบคุมใจได้
ก็เปลี่ยนแปลงได้
(พระอาจารย์เมตตา ยกสับปะรดและที่รองขึ้นมา)
ในทางกลับกันถ้าอาจารย์ว่าอันนี้ละ เอาไหม (เอา)  ถ้าให้สองอันนี้จะเอาอันไหน บางคนบอกว่าเอาทั้งคู่เลย ใช่หรือไม่ อาจารย์ขอถามนะ
ถ้าบางครั้งชีวิตเจอเรื่องหนักขนาดนี้คุมใจได้รู้ใจทัน เรื่องหนักก็กลายเป็นเรื่อง (เบา)
  ถ้าชีวิตเจอเรื่องเบาขนาดนี้คุมใจไม่ได้ คุมใจไม่ทันก็จะกลายเป็น (หนัก)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิชาอะไรที่สอนให้เรารู้จักคุมใจ
แล้วในทางกลับกัน ถ้าเกิดว่าสับปะรดคือความทุกข์ และสับปะรดคือความสุข ถ้าเรารู้จักคุมเป็น คุมใจได้ รู้ใจทัน ทุกข์จะกลายเป็นทุกข์ไหม แล้วสุขจะเปลี่ยนเป็นทุกข์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นเรารู้และเก่งเรื่องข้างนอกเยอะ เรารู้จัดการเรื่องข้างนอกได้เป็น แต่ทำไมชีวิตเรา ใจของเรา เรากลับรู้
ไม่เป็น จัดการไม่ได้ ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนสำเร็จกับการดำเนินชีวิตหรือเก่งข้างนอกแต่ขาดข้างใน ส่วนใหญ่มีข้างนอก แต่บกพร่องข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)
  ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์สามารถเรียนรู้วิชานี้ได้ ทุกข์ก็จะไม่กลายเป็นทุกข์ สุขก็จะไม่แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ ถ้าเรารู้จัก รู้ใจ คุมใจได้เป็น ถูกไหม อย่างนั้นใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยว่าวิชาอะไร อย่าบอกนะว่าวิชามาร
(การฝึกใจ)  อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าศิษย์ตอบผิดก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ตอบถูกก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อย่างนี้เอาไหม (เอา ยินดี)  อาจารย์ว่าไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง วิชาธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์จะตอบว่าวิชาอะไร (วิชาการดำเนินชีวิต)  แล้ววิชาไหนที่สอนการดำเนินชีวิต ถ้าเป็นทางโลกก็สอนให้รวย ให้เก่ง ให้สำเร็จ แต่วิชาของอาจารย์นี้ สอนให้จน สอนให้ล้มเหลว สอนให้พ่ายแพ้ เอาไหมวิชานี้ (เอา)  เอาดีไหมศิษย์ (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย คนในโลกหากไม่โง่ก่อนแล้วจะฉลาดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  จะเอาแต่สำเร็จแล้วแพ้ไม่เป็นก็ลำบาก จริงไหม (จริง)  เอาแต่ได้ไม่เคยเสีย มีที่ไหน ก่อนจะลงทุนอะไรมันก็ต้องเสียก่อนแล้วจึงจะได้ ไม่ใช่หรือ (ใช่)  ก่อนศิษย์จะชนะเขา ศิษย์ต้องรู้แพ้ให้เป็นก่อนไม่ใช่หรือ (ใช่)  แล้วมีใครในโลกที่ชนะอย่างเดียวแล้วไม่เคยแพ้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ แล้วมีใครไหมในโลกนี้ที่เกิดมาฉลาดแล้วไม่โง่ มันต้องโง่ก่อนแล้วจึงจะฉลาด ใช่ไหม (ใช่)
(วิชาการบำเพ็ญภายในและการปฏิบัติภายนอก ใช้ความเมตตาธรรม ที่จะทำให้ทุกข์ที่มากมาย ถ้าเรามองดูแล้วก็สามารถที่จะสบายดีได้ ถ้าเรามีเมตตาธรรม แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าเดรัจฉาน ถ้าเรามีเมตตา แม้กระทั่งเสือ
ก็สามารถที่จะอยู่กับเราได้)
  วิชาแห่งการปฏิบัติหรือวิชาแห่งคุณธรรม
ใช่ไหม (ใช่)
  มนุษย์ชอบเรื่องความดี ชอบการพูดดี ชอบคนทำอะไรดีๆ ให้ แต่เมื่อถึงเวลาเมื่อสัมผัสกับตัวเองก็ไม่เห็นใครทำเลย แปลกจริง แล้วเมื่อถึงเวลาจริงๆ เราเมตตาไหม (เมตตา)  จริงหรือ เมตตาที่แท้จริง ต้องเมตตาแม้กระทั่งคนที่เป็นศัตรูเรา หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตก็ยังต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งเมตตาธรรม ไม่ใช่เสียเมตตาแล้วรักษาชีวิต อย่างนั้นไม่อาจเรียกว่า
คนเมตตา ถูกไหม
(ถูก)
ยังไม่รู้จักอาจารย์เลย มารู้จักชื่อเสียงอาจารย์กันก่อนดีไหม (ดี)  เข้าบ้านไม่แนะนำตัวก็เหมือนไม่มีจริยธรรมที่ดีงาม เข้าบ้านใครไม่รู้จักเคารพให้เกียรติเจ้าของบ้านก็รู้สึกว่าบกพร่องในจริยธรรม อาจารย์ขอแนะนำตัวก่อนนะ เราคือ จี้กง รู้จักเราหรือยัง ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม (สบายดี)  มีคนแอบลักไก่นะ หลายคนเลยมาเฉพาะวันนี้เพื่อจะได้เจออาจารย์
วิชาแห่งธรรม ธรรมที่สอนให้มีสติ ทำอะไรให้มีสติยั้งคิด มีสติพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริง วิชานี้ถ้าศิษย์ฝึกไว้ก็จะสามารถรู้ใจควบคู่ใจ และเป็นนายของใจเราได้ แต่โดยปัจจุบันนี้มนุษย์มักจะปล่อยตัวเองไปตามกระแสของอารมณ์และกิเลส สิ่งที่ได้ก็เลยกลายเป็นทุกข์ ตัวตนความยึดมั่นถือมั่น อัตตาทิฐิ จึงทำให้ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่เคยเห็น ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเห็นแต่นิสัยตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขังตัวเองอยู่อย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้นถ้าเราจะปฏิบัติธรรมก็เพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นตัวตน เราจะต้องทำอย่างไร ในการปฏิบัติธรรมเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติแล้วกลับยิ่งเป็นตัวตนขังตนเอง
(ปฏิบัติเพื่อคืนสู่ธรรม)  แต่อาจารย์เห็นยิ่งปฏิบัติยิ่งเห็นแต่ตัวตนทั้งนั้นเลย ก่อนที่เราจะเข้าถึงความยากตรงนี้ หรือจะเอายากก่อนแล้วค่อยไปง่าย ง่ายก่อนแล้วค่อยไปยาก เอาแบบไหนดี (ยากก่อนแล้วค่อยไปง่าย) กินขมก่อน ขมยังกลืนลง หวานต้องคายทิ้ง ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหมว่า เมื่อใดที่มนุษย์หมดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หมดจากความศรัทธาในอารมณ์รู้สึกแห่งจิตใจ เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่มีในโลกอาจารย์พูดใหม่นะ เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหมดสิ้น เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนหรืออารมณ์จางหาย ไม่มีกิเลสที่เรียกว่าตัวตนหรือจิตใจให้วิ่งตามแล้ว เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่ปรากฏในโลกใบนี้ เพราะเรายัง
ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อมีตัวตนจึงเรียกว่าความสุข ความทุกข์ ดีและร้าย

แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน คลายจากการตามอารมณ์วิ่งตามกิเลสตน เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่มีบนโลกใบนี้ ยากขึ้นไปอีก เมื่อใดที่เราโดนอะไรกระทบ โดนอะไรกระแทก แล้วเห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ ไม่เกิดตัวตนว่าทำไมทำฉัน ทำไมว่าฉัน ด่าฉัน อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี แต่กลับกลายเป็นวางเฉย สงบ ไม่มีตัวตนทั้งโลกนี้ ไม่มีตัวตนทั้งโลกหน้า เมื่อนั้นแหละศิษย์เอ๋ย คนที่อยู่บนโลกแล้วสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ยากไหม
(ไม่ยาก)
  โดนกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือนไปที่ใจหรือเจ็บใจ โดนกระทบแล้วไม่ด่า ไม่แค้นเคืองใจ การที่โดนกระทบนั้นเป็นผลดีเพราะได้ชดใช้กรรม
วางเฉยนิ่งแล้วเข้าใจ เห็นโลกชัดแจ่มแจ้งแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าตัวตน ล้วนหนีไม่พ้นกรรม กรรมดี หรือกรรมชั่ว และนั่นก็ยังไม่พ้นวิบากกรรม ฉะนั้นไม่ว่าดีหรือชั่วก็ยังเป็นวิบากกรรม แม้จะโดนตีแล้วจะคิดว่าดี
ก็ยังยึดติด แต่ถ้าบอกว่า ช่างมันเถอะ แค่นั้นก็จบแล้วก็ปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น โดนตีเสร็จ เขาตีฉันทำไม ทำไมเขาต้องตี เดี๋ยวต้องมีเรื่องกันหน่อย ไม่ยอมแล้ว มันก็จะกลายเป็นอารมณ์ พอเป็นอารมณ์เสร็จมันก็จะกลายเป็นเคืองแค้น พอเคืองแค้นเสร็จมันก็จะกลายเป็นจองเวรจองกรรม พอจองเวรจองกรรมเสร็จมันไม่ยอมความ แล้วก็เก็บเอาไว้ในใจ จิตก็เลย
ไม่ใส จิตก็เลยหนัก จิตก็เลยขุ่น ตัวตนก็เลยเกิดมี ใช่ไหม (ใช่)
  แต่ถ้าทุกวันเกิดแล้วจบ เกิดแล้วจบ ชีวิตจึงมีแค่ขณะนี้ที่ผ่านมาใช้กรรม จบกรรม
ไม่สร้างกรรมต่อ เอาไหมศิษย์ (เอา)
  อย่างนั้นกระทบแล้วไม่กระเทือน
ได้ไหม (ได้)
  ก็แน่ล่ะไม่ได้ตีศิษย์นี่ ใช่ไหม (ใช่)
แต่คำว่านิ่งเฉยของอาจารย์ไม่ใช่แปลว่าขาดสูญ ไม่สนใจพระอิฐ พระปูน พระพรหม ไม่ใช่นะ ใครก็ไม่เอาไม่ใช่อย่างนั้น จะมีอยู่อย่างหนึ่ง
ที่เรียกว่าปฏิบัติเข้าถึงธรรม และบำเพ็ญกุศลชดใช้หนี้กรรม นั่นต้องไป
ทีละก้าว ทีละก้าว หรือในหนึ่งก้าวก็สำเร็จได้ ว่าอย่างไร ไปไหม (ไป)
  เอาไหมวิชานี้ (เอา)  ยังอยากทุกข์ไหม (ไม่อยากทุกข์)  อย่างนั้นศิษย์จำไว้นะ เมื่อใดที่มนุษย์คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ไม่วิ่งตามกิเลสอารมณ์แล้ว เมื่อนั้นทุกข์สุขไม่มีในโลกนี้ เมื่อใดโดนกระทบไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางปาก ทางตัวตน เห็นก็สักแค่เห็น รู้ก็สักแค่รู้ ไม่ก่อเกิดอารมณ์เกี่ยวพัน ไม่ก่อเกิดอารมณ์จองเวรจองกรรม ไม่ก่อเกิดกรรมดี กรรมชั่ว เมื่อนั้นศิษย์จะเป็นผู้ที่สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้ และเดี๋ยวนี้ ถ้าโดนกระทบ ศีลครบแล้ว ทำในความเป็นคนสมบูรณ์แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจางหายแล้ว
แม้จะตายตอนนี้ก็ไม่เสียดาย ตีให้ตายก็ไม่เสียดาย เพราะทำถึงแล้ว
ศีลงดงามแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่มีอีกแล้ว ไม่ต้องชาติหน้าศิษย์ เอาเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย เอาไหม (เอา)
  ศีลถึงหรือยัง (ยัง)  คุณธรรม
ความเป็นคนถึงหรือยัง
(ยัง)  แล้วจะไปได้อย่างไรล่ะ โดนกระทบเมื่อไรกระแทกกลับทุกทีเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อเราโดนกระทบ จำไว้นะศิษย์ ขอให้เรานิ่ง เขาจะให้ทุกข์เรากี่ครั้ง จะให้เราเจ็บขนาดไหน จำไว้ว่าเราจะต้องเอาธรรมให้ปรากฏ เราจะต้องรักษาธรรมให้ดำรงอยู่ ตัวฉันจะตายไม่เป็นไร แต่ธรรมต้องให้คงอยู่ ตัวฉันจะเจ็บไม่เป็นไร แต่ฉันต้องมีศีลอยู่ ถ้าทำได้ขนาดนี้แม้ไม่ได้ไหว้พระ พระก็มารับเราไป ถ้าแม้เราไหว้พระ แต่พอเราโดนกระทบเราก็ด่า เกลียด และแช่งเขา แม้ไหว้พระทุกวันพระก็ไม่เอา ถ้าศิษย์อยากเรียนจึงต้องรู้จักมีสติและนิ่งให้ได้เมื่อโดนกระทบ อย่ามัวแต่ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์ ยิ่งตามอารมณ์สิ่งที่ได้คือ ตัวตนขังตน”  หรือที่พระพุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กองทุกข์”  ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครรัก หลง บำรุงบำเรอส่วนนี้
คนนั้นก็คือคนที่อยากกอดกองทุกข์ และอยากมีทุกข์ไปจนวันตาย
ไปยากแล้วมาง่ายๆ ต่อดีไหม (ดี)  ยากแล้วทำได้ไหม (ได้)  ได้หรือ ถ้าได้แล้ว อย่างนั้นสิ่งที่ง่ายๆ ก็คงไม่ต้องพูดแล้ว ใช่ไหม (จะพยายาม)
ไม่ต้องพยายามแล้ว แต่ต้องทำให้ได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เราก็สามารถสำเร็จได้ในตอนนี้และขณะนี้ทันที ถูกไหม (ถูก)  แต่เราจะรู้ชัดเห็นแจ้งจนสามารถคลายความยึดมั่นได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ยาก ถึงบอกว่ารู้แล้วไม่หลงเรียกว่า อริยะหลงแล้วไม่รู้เรียกว่า ปุถุชน
ทำไมเราจึงหลง เพราะเราไม่รู้ชัด แต่ตอนนี้ศิษย์รู้ชัดแล้วว่าสิ่งที่ศิษย์รักสิ่งนี้ นั่นคือกองทุกข์ หรืออาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งให้น่ารังเกียจมากขึ้น ก็คือ ถุงขี้เพราะออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก)  ออกจากตาเรียกว่า
(ขี้ตา)
  ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู)  ออกจากผิวเรียกว่า (ขี้ไคล) แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ถุงขี้หรือ
พระพุทธะเรียกว่า ถุงหนังที่มีทวารทั้ง 9” พระพุทธะเรียกไพเราะ ส่วนอาจารย์ขอเรียกว่าถุงขี้ก็แล้วกัน ออกจากเราก็เป็นขี้ปากแล้ว ออกมาจากตาก็เรียก ขี้ตา แล้วเราหลงไหมกับถุงใบนี้ (หลง)  หลงนะ วันๆ ต้องบำรุงบำเรอถุงขี้ คิดไว้เสมอเมื่อไรที่มองกระจกเหมือนกำลังมองถุงขี้ โปะแป้งให้กับถุงขี้ กำลังฉีดโบท็อกซ์ให้กับถุงขี้ กำลังชื่นชมถุงขี้ แล้วรักถุงขี้ตัวเองไม่พอ ยังไปหาถุงขี้มาเป็นเพื่อน แล้วยังยอมที่จะผลิตถุงขี้เพิ่ม เราควรรักหรือ อาจารย์พูดแรง แต่ถ้าอาจารย์พูดไม่แรง ศิษย์ก็ยึดไม่ปล่อย
จำไว้เลยนะศิษย์ ร่างกายนี้วันหนึ่งก็ต้องตาย แล้วศิษย์จะตายก่อนหรือว่าจะตายก่อนตาย
(ตายก่อนตาย)   แต่ทำไมตัวตนของเราจึงต้องยึดติดในสังขารนี้ อย่างตัวเรานี้วางไม่ลง โดนตบที ก็เจ็บ โดนด่าที ก็เจ็บ แต่จริงๆ เจ็บที่ไหน (เจ็บที่ใจ)  ไม่ใช่ติดตรงที่เรายึด ถ้าเราไม่ยึดจะเจ็บไหม เพราะว่าจบไปแล้ว เพราะเขาด่าก็จบไปแล้ว แต่ใจศิษย์นั้นไม่เจ็บ (ยึดมั่นถือมั่น)  ใช่ทั้งที่จบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่เรายังเกี่ยวไว้ก่อน แล้วว่างๆ ก็มานั่งเล่น อาจารย์บอกเสมอ เมื่อด่าเขาก็เป็นขี้ปาก แล้วเราเก็บเอาขี้ปากมาไว้ในใจไหม เมื่อจำไม่ลืมก็แสดงว่าเอาขี้ปากเขามาใส่ไว้ในใจ แล้วว่างๆ ก็เล่นขี้ โมโหมากๆ ก็เอาขี้ปาใส่หน้า หรือบางทีอัดอั้นก็เอาขี้ไปแบ่งเพื่อน ทำไมนิสัยอย่างนี้นะ นิสัยก็ไม่ได้ดีกว่าฉันเท่าไร แกว่าไหม เล่นขี้กันมันเลย
แล้วเป็นเรื่องจริงไหม แล้วเรายังทำไหม (ทำ) ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่ออกจากปากเราจะออกไปได้สองอย่างคือ กรรมดีกับกรรมชั่ว หนีไม่พ้นวิบากกรรม วัฏจักรแห่งการเวียนว่าย เราจะหยุดกรรมอย่างไร ซึ่งเรียกว่า เป็นกรรมที่ก่อเกิดการเวียนว่ายต่อไป
อาจารย์ถามหน่อย ศิษย์เอ๋ยอยู่บนโลกนี้เป็นคนดีแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทั้งดีทั้งชั่วไม่เหนื่อยทั้งคู่เลยหรือ เหนื่อยไหมเป็นคนดีในโลก
ใบนี้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
  เหนื่อยอะไร ทำแล้วไปยึดมันก็เลยเหนื่อย
ทำแล้วหวังผลมันก็เลยหนัก แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึด ไม่หวังผล จะเหนื่อยจะหนักอะไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น ถ้าทำแล้วไม่ยึด ไม่แบกมันจะเหนื่อยจะหนักอะไร แต่เราทำแล้วต้องได้หน้า ทำแล้วถ้าเสียหน้าไม่ทำ อย่างนี้เรียกว่าทำแบบยึดติด อย่างนั้นเรามาดูกัน ศิษย์บอกว่าอาจารย์เป็นคนดีเหนื่อย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า การเป็นคนดีในโลกไม่เหนื่อยถ้าเราไม่ยึดติด แล้วมีอีกอันหนึ่ง อาจารย์เป็นคนดี บางครั้งศิษย์อาจถามอาจารย์ว่า อาจารย์ทำไมต้องเป็นคนดี เกิดเป็นคนดีบ้าง ชั่วบ้าง จะเป็นไร จริงไหม (จริง)
  ไหนใครเห็นด้วยกับอาจารย์ในคำนี้บ้าง อาจารย์ทำไมต้องเป็นคนดี ถ้าดีตลอดก็เหนื่อย ดีบ้างชั่วบ้าง ไม่เห็นเป็นไรเลยอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  สามวันดี สี่วันไข้ หรือสามวันดี อีกห้าหกวันไม่ดีเลย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่อาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราก็เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่พระพุทธะกล่าวไว้ไหม ธรรมย่อมรักษาผู้ที่บำเพ็ญประพฤติธรรม ผู้ที่สามารถปฏิบัติได้ดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมเป็นสุขทั้งยามหลับและยามตื่นเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม อย่างนั้นแปลว่าถ้าอยากมีความสุขก็ต้องประพฤติธรรม ถ้าอยากมีความทุกข์ก็ต้องปฏิบัติชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้ ถ้าเราไม่อยากเป็นคนดี สิ่งที่ศิษย์วิ่งหาอีกอันหนึ่งก็คืออยากเป็นคนที่มีสุข ทำอะไรก็ได้อาจารย์ขอให้ได้สุขอย่าทุกข์ แล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เพราะพยายามสุขแล้วไม่ทุกข์นั้นยาก แต่พระพุทธะก็ชี้บอกไว้ว่า ประพฤติดีแล้วย่อมเป็นสุขทั้งยามหลับยามตื่น แล้วเราเลือกประพฤติดีไหม (ดี)  ก็ยังดีบ้างไม่ดีบ้าง
มนุษย์ถ้าปฏิบัติดีก็จะเรียกว่ากรรมดี ถ้าปฏิบัติชั่วก็จะเรียกว่ากรรม (ชั่ว)  กรรมดีกับกรรมชั่ว แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่สามวันมีกรรมดี สี่วันมีกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะศิษย์มักจะบอกว่า ศิษย์พยายามจะปฏิบัติดี แต่เมื่อปฏิบัติดีแล้วมันไม่ได้ดี ศิษย์จึงเหนื่อยใจแล้วก็ไม่อยากจะทำดี ทำไปแล้วมันท้อใจ อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เวลาเราทำกรรมดี สิ่งที่เราทำคืออะไรบ้าง (ใส่บาตร ปิดทอง ฝังลูกนิมิต) ทำมาทั้งหมดไหม กฐิน ผ้าป่า ทำหมดไหม (ทำ)  แล้วได้ดีไหม (ไม่ได้)  ลูกนิมิตศิษย์ก็ฝังเป็นสิบลูกแล้ว หลังคาก็ทำเป็นสิบแผ่นร้อยแผ่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ร่มเย็นเลย ทานก็ทำมาก บุญก็ทำไม่เคยเกี่ยง ใครเห็นก็ทำมาก ใครไม่เห็นก็ทำน้อย อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)
หลักของธรรมะ สอนไว้ว่า เริ่มต้นคือต้องมีทาน สองคือมีศีล สามคือสมาธิ สี่คือปัญญา ซึ่งสมาธิกับปัญญาเรียกว่า ภาวนา
ศิษย์ก็บอกว่า บุญ ทาน อะไรก็แล้วแต่ศิษย์ก็ทำมามากมาย แต่ทำไมไม่เห็นจะดีสักที อาจารย์ขอถามว่า เวลาอยู่ในวัด ก็เป็นคนดี ไหว้พระ
สวดมนต์ ใจเย็น แต่พอออกนอกวัดหรือยังไม่ทันพ้นวัดดี เวลาเห็นใคร
ไม่ชอบใจ ด่าเขาไหม (ไม่ด่า)  จริงหรือ อาจารย์เห็นศิษย์ มักจะเป็นคนดีเพียงในวัด แต่พอออกจากวัด เห็นศิษย์ด่าได้ก็ด่า นินทาได้ก็นินทา ยังไม่ทันพ้นธรณีสงฆ์ก็ยังแอบนินทาพระอีก เป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)
  อย่างนี้ถึงศิษย์จะทำกรรมดี แต่ว่าต้นเหตุของกรรมชั่ว ศิษย์ไม่ลดไม่ละ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  เป็นคนใจบุญสุนทานแต่ก็ยังโลภ  ยังหลง ยังขี้โมโห
ใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนทำบุญตักบาตรแต่ยังด่า ยังอยาก ยังโลภ หายไหม (ไม่หาย)
แล้วถ้าแม้บุญทานไม่ได้ทำ กรรมชั่วไม่ทำ ต้นตอแห่งกรรมชั่วไม่ออกมาจากตัวเรา อย่างนี้ดีไหม แต่ในทางกลับกัน ทุกวันศิษย์ทำดี ใส่บาตร ถวายทาน ช่วยคนมากมาย แต่ยังคงมีกิเลสที่เป็นรากเหง้าของกรรมชั่ว ศิษย์ไม่เคยละเว้นเลย อย่างนี้จะดีไหม (ไม่ดี)
ที่บอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ตกลงใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าศิษย์อยากเป็น
คนดี เริ่มต้นง่ายๆ กรรมชั่วอย่าทำ แล้วกรรมชั่วหรือเรียกอีกอย่างว่า
บาปต้นรากเหง้าของบาปคืออะไร (กิเลสตัณหา)  อะไรอีกที่เป็นรากเหง้าของกรรมชั่วและของบาปทั้งมวล แม้เราจะทำดีขนาดไหนถ้าบาปยังไม่ลด เราก็ไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง (โลภ, โกรธ, หลง)  กิเลสตัณหาประกอบไปด้วย โลภ โกรธ หลง ซึ่งโลภ โกรธ หลง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อกุศลหรือทางของคนไม่ฉลาด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทางของคนโง่และคนโลภ เราเคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ไหม ไม่มีไฟใดเสมอด้วยความโลภ ไม่มีบาปเคราะห์กรรมใดเสมอด้วยความโกรธ และไม่มีความมืดมนใดที่เป็นตาข่ายครอบใจให้มนุษย์ลุ่มหลงได้เท่ากับความหลงผิด มนุษย์ล้วนติดในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งก็หนีไม่พ้นกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่วที่ได้รับก็คือ ความทุกข์และการเวียนว่ายอยู่ในโลกไม่จบสิ้น ผลของกรรมดีถ้าทำแล้วยังหวังวอนขอ ศิษย์เคยได้ยินไหม เวลาเราไปวัด เราจะเอาทรายเข้าวัดหรือออกจากวัด (เข้าวัด)  ถ้าศิษย์ทำบุญแล้วไม่ขอ
นั่นแหละเรียกว่า เอาทรายเข้าวัด แต่ถ้าทำบุญแล้วขอนั่นแหละคือการเอาทรายออกจากวัด เมื่อไรที่ทำบุญแล้วขอ นั่นคือการหวังจะมีตัวตนไปรับผลอีก ก็คือกรรมดีที่ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด และการรองรับผลของตัวตนที่ทำดีอีก เราเป็นแบบนั้นใช่ไหม (ใช่)
  แล้วจะพ้นทุกข์ไหม ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เพราะสองกรรมนี้ก็ยังขึ้นอยู่ในคำว่า กระแสของกรรม เมื่อสร้างกรรมแล้วก็จะหนีไม่พ้นวิบากกรรม และ วัฏฏสงสาร อย่างนั้นทำอะไรที่จะพ้นกระแสกรรมดีกรรมชั่วที่เรียกว่า อกรรมหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กุศล  คือการไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ยกระดับจิตให้สูงขึ้น แผ้วถางตัวตนให้จางคลาย
ฉะนั้นถ้าศิษย์ดำเนินชีวิต โดยไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้อย่างนี้ก็เป็นการดี จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหมเวลาที่อยากมากๆ แล้วก็จะปิดบังปัญญา โกรธมากๆ แล้วก็จะมองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หลงมากๆ แล้วก็จะมืดมนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เคยเป็นอย่างนี้ไหม (เคย)
แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง (ต้องบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ)  นั่นแปลว่าตอนนี้ศิษย์ยังไม่สะอาดเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  (ต้องมีสติรู้เท่าทันโลภะ โทสะ โมหะ) ตอบได้ดี ถ้าสิ่งเหล่านี้มา ศิษย์ไม่ตก
เป็นทาส ศิษย์เป็นนายของสิ่งเหล่านี้ ศิษย์ก็จะสามารถคุมได้ จริงไหม (จริง)
  ถ้าเราไม่ไปเล่นกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งนี้จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องมีสติรู้เท่าทัน จนกระทั่งเห็นโลภ เห็นโกรธ เห็นหลง แล้วว่าฉันจะไม่ไปกับแก
นี่จะเรียกว่าตื่นรู้อย่างแท้จริง เมื่อไรที่ตื่นรู้ เมื่อนั้นอาจารย์ก็สามารถจะปลุกเสกให้ศิษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนโลก ได้ ใช่ไหม (ใช่)
(ต้องปล่อยวาง)  เวลาใครทำอะไรให้เราโกรธแล้วเราจะโกรธไหม อาจารย์จะบอกว่า ทุกอย่างมันเกิดแล้วมันก็จบเอง โดยที่เราไม่ต้องปล่อย แต่ที่เราต้องปล่อยเพราะว่าเราไปยึด ฉะนั้นถ้าเรารู้ทัน เราก็อย่าไปยึด
อาจารย์เทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปรียบเสมือนสิ่งที่มากระแทก แล้วศิษย์จะยังยึดอยู่ไหม (ไม่ยึด)  จริงหรือ แล้วก็บอกว่า ตีหนูทำไม ทำไมต้องตีหนู ทำไมต้องด่าหนู ทำไมหนูต้องทุกข์ ทำไมหนูต้องโง่ แล้วถ้าโง่บ้างจะเป็นอะไรหรือ แล้วถ้าทุกข์หน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่เสียหายอะไร ก็แพ้หน่อย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ ก็ต้องแก้ไขตั้งแต่ต้น แก้ไขความหลงผิดในใจของศิษย์ก่อน เกิดมาสุขก็ได้ ทุกข์ก็เป็น เกิดเป็นคนจะชนะก็ได้ แพ้ก็เป็น เกิดเป็นคนอะไรๆ ก็รับได้ เข้าใจและปล่อยวางเป็น ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ดีแล้วเสียไม่ได้ สุขแล้วทุกข์ไม่เป็น ฉลาดแล้วโง่ไม่เป็น อย่างนี้ไม่ใช่ มีใครบ้างหรือที่ฉลาดแล้วไม่โง่ มีไหม (ไม่มี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้นสองคน)
เห็นอะไรศิษย์เอ๋ย ถ้าเขาคือความมั่งมี เขาคือความสุข ส่วนอาจารย์คือความทุกข์ ความยากจน ถ้าเราเอาแต่ใจจดจ่อเปรียบเทียบเขาดีกว่า
เขารวยกว่า เขาใหญ่กว่า เขาแน่กว่า ฉันไม่มีอะไรเลย ฉันแย่ ฉันไม่ดี ก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าพวกเรารู้จักความพึงพอใจ ไม่ช่างเปรียบเทียบ ไม่ช่างเปรียบเปรย คนเราอะไรก็เสียได้ แต่เวลาเสียเปรียบคนอื่นเสียไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
  ทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ สาธุ ยินดีในบุญ ยินดีในความอิ่มเอิบ ยินดีในความสุข ทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ และก็พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว มาตรฐานความสุขให้ต่ำเข้าไว้ มาตรฐานความทุกข์ให้สูงเข้าไว้ เราจะได้เป็นคนทุกข์ยาก สุขง่าย ดีไหม (ดี)  แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่มาตรฐานความสุขเป็นไง สูง มาตรฐานความทุกข์ ต่ำ อะไรนิดอะไรหน่อยทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมองโลกต้องมองให้กว้าง ถึงเขาจะรวย ถึงเขาจะคือตัวแทนความรวย แต่ถ้าเรามองให้ดีๆ ก็ยังมีคนน้อยกว่า ก็ยังมีคนบางกว่า แล้วก็ยังมีคนเสียมากกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่ามองแล้วทำให้เกิดทุกข์ มองแล้วต้องมองให้กว้าง ให้ใจเห็นชัดจนอะไรมันทำใจเราให้เจ็บไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) อย่ามองแต่ว่ามันเยอะกว่า มันดีกว่า มองอย่างนี้มันก็จะทุกข์ ทำไมไม่มองว่า มันก็ยังมีที่มีคนน้อยกว่านะ เหี่ยวกว่านะ แก่กว่านะ ดีไหม (ดี)  ที่ดีที่สุดคือมองให้กว้างเห็น
ให้ชัด ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครแย่กว่า มีใหญ่ ก็มีใหญ่กว่า จริงไหม (จริง)
ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครดีที่สุด ไม่มีใครแย่ที่สุด และไม่มีตัวเราที่เลวที่สุด มองให้กว้างมองให้ดี และตัวเราก็ไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุด มองให้เยอะๆ มองให้ชัดๆ อย่ามองอย่างคนโง่ที่ทุกข์แล้วทุกข์อีก มองอย่างคนที่พ้นทุกข์นะศิษย์ มองอย่างคนที่เอาชนะชีวิตตัวเองให้ได้ เห็นไหมเมื่อมีใหญ่ ก็จะมีใหญ่
(ใหญ่กว่า)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์คิดว่าเมื่อมีเล็ก แล้วจะมีเล็กกว่าไหม (มี)  เล็กกว่าทุกอย่างเลยใช่ไหม อายุก็เล็ก ตัวและหน้าก็เล็ก
มีอย่างเดียวคือหน้าตึง มองไว้นะศิษย์ วันใดที่ความทุกข์มากระทบกายและใจ อย่ามองแต่ตัวเอง แต่จงมองให้กว้าง ถ้ามองตัวเองแล้วควบคุมตัวเองให้ได้ อย่ามีบรรทัดฐานความสุขที่สูง แล้วมีบรรทัดฐานความทุกข์ที่ต่ำ เป็นคนที่ทุกข์ยาก ดีไหม (ดี)
เรียนรู้ธรรมแล้วต้องให้ได้ธรรม ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมแล้วยังทุกข์วันยังค่ำ เรียนรู้ธรรมต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมแล้วยังโง่ดักดานอย่างนี้ไม่เอา เมื่อมองโลกต้องมองให้ชัด ดูใจต้องดูให้ออก อย่าอยู่กับความคิดแค่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมองไม่เห็นความจริง เพราะทุกข์ไม่ได้มีไว้สำหรับให้คนทุกข์ แต่ทุกข์มีไว้สำหรับคนที่มีจิตประเสริฐ แล้วเรียนรู้ที่จะพ้นทุกข์ ทุกข์มีไว้สำหรับให้คนที่ไม่อยากจะประเสริฐ ไม่อยากจะฉลาดยังอยากจะโง่ อยากจะจมปลักอยู่เลย เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำไมไม่มีสติหรือศิษย์ ทำไมจึงไม่ตื่นรู้ด้วยตัวเอง ทำไมต้องรอให้อาจารย์ตบแล้วตบอีก ถึงจะตื่น
พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินทางสายมรรคเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา  ศิษย์ทำได้แค่ทาน ให้ทานและทำบุญเก่ง แต่ไปไม่ถึงศีล ไปไม่ถึงความสงบและรู้แจ้งเห็นจริง ในสองระดับนี้ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้เมื่อสงบและรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป เรียกว่า สมาธิ ไม่ใช่แค่นั่งหลับตา แต่สมาธิหมายถึง โดนกระทบแล้วใจไม่กระเพื่อมไม่หวั่นไหว ใจนิ่งและไม่ตกเป็นทาสของกรรมดีกรรมชั่ว แต่มองเห็นแล้วเข้าใจและปล่อยวาง อย่าไปแค่ทาน จงเข้าให้ถึงศีล เพราะเมื่อทำได้ถึงศีลก็จะบังเกิดธรรม เมื่อทำได้ถึงศีลบังเกิดธรรม ก็จะมั่นคง
รู้แจ้งเห็นจริง เราทำถึงไหม (ถึง)
  ศีลมีกี่ข้อ (ห้าข้อ)  ข้อหนึ่งคือ (ไม่ฆ่าสัตว์)  ยุงมาเราตบ มดมาเราเหยียบ แมลงสาบมาเราขยี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการพ้นทุกข์และไม่เวียนว่ายในกรรมเวรอีกคือ ให้ทานเป็นแล้ว ต่อไปก็คือ รักษาศีล เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์ วิธีทำไม่ยากเลย
ทุกขณะที่ดำเนินชีวิต อะไรที่ทำให้เราต้องเบียดเบียนชีวิต ไม่กิน ไม่ทำ ไม่สร้าง อะไรที่ทำให้เราต้องผิดลูกผิดเมีย ไม่มีกิ๊ก ไม่กดไลค์ ไม่แอบชอบใครในเฟสบุ๊ก
อยากให้ครอบครัวร่มเย็น สำคัญคือต้องซื่อตรง มีมโนธรรมสำนึก
ข้อที่สอง ไม่ผิดลูกผิดเมีย  ข้อที่สาม ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา เวลาศิษย์ดำเนินชีวิตทำให้ดีที่สุด แลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีให้คนได้ซื้อได้ขายดีไหม ทำงานด้วยความรับผิดชอบเต็มที่ ซื่อตรงซื่อสัตย์ในหน้าที่ ไม่เบียดบังใคร ถ้าทำได้อย่างนี้ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่ได้เงินมาด้วยความไม่โลภไม่หลง ถ้าทำได้อย่างนี้ศิษย์ก็มีครบสามข้อแล้ว ข้อที่สี่ ไม่พูดปด ฉะนั้นพูดด้วยความเป็นจริง ถ้าพูดจริงแล้วทำร้ายคนก็ให้เงียบ ข้อที่ห้า ไม่ดื่มสุราของมึนเมา ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ เหล้าก็ไม่กวักมือเรียกเราไปกินหรอก แต่เพราะเรามีความอยากอยู่ในใจ เราก็เลยเดินตามไปกินเหล้า แต่ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ ต่อให้เหล้าลดราคาถูกแค่ไหนคนก็ไม่เดินตามไปซื้อหรอก ฉะนั้นอย่าให้เหล้าอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเหล้าจะครองใจเรา แล้วถ้าเราศีลครบ ศีลคือการละเว้นไม่กระทำผิด แล้วปฏิบัติต่อคนด้วยคุณธรรม ต่อผู้อื่นให้มีเมตตา ก่อนกระทำอะไรให้มีมโนธรรมสำนึกที่ดี กล่าววาจาอะไรให้มีคำพูดคำไหนคำนั้น ศีลพร้อมธรรมพร้อม ตายก็ไม่เสียดาย แต่ตอนนี้ศีลพร้อมหรือยัง จริงๆ ถ้าพิจารณาตอนนี้ศิษย์ก็มีศีลครบนะ มีเพียงแค่คุณธรรมความเป็นคนที่ประพฤติต่อคนยังไม่งามพร้อม ยังมีโกรธ มีเกลียด ยังไม่มีเมตตา ไม่มีมโนธรรมสำนึก ถ้าถามตอนนี้ว่าศิษย์มีศีลพร้อมไหม ศีลของศิษย์พร้อม แต่คุณธรรมความเป็นคนยังไม่พร้อม ต้องเข้าใจให้ถูก ศีลคือข้อละเว้น คุณธรรมคือความประพฤติที่เราปฏิบัติอยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อปฏิบัติต่อเขามีเมตตาไหม พูดกับเขามีความซื่อตรงไหม ทำงานกับเขามีมโนธรรมสำนึกที่ดีไหม ไม่หลอกลวง ไม่โป้ปด ถ้าทำได้ขนาดนี้ ศีลพร้อมธรรมพร้อม สิ่งนี้จึงเรียกว่าดำเนินชีวิต ปฏิบัติเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อความเป็นคนที่มีอารมณ์และตัวตน ทุกขณะคืนสู่ธรรม แต่เราไม่ใช่ ทุกวันปฏิบัติเพื่อสนองกิเลสตามใจตน เราเลยไม่เคยพบธรรมและไม่เคยมีธรรมในใจ
รู้ขนาดนี้แล้วคิดว่ายังพอทำได้ไหม (ได้)  ยากไหมในการฝึกฝนบำเพ็ญ (ไม่ยาก)  หากจะยากก็ยากที่เราไม่รู้เท่าทันใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงทำอะไรมีสติ ทุกขณะมีสติพิจารณาอยู่เนืองๆ เราก็จะไม่บกพร่องและด่างพร้อยในเรื่องศีลธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมผู้ที่รักษาศีลได้ครบ ไม่ด่างพร้อย ไม่ขาดตก ไม่บกพร่อง โดยที่ไม่ให้ศีลมาครอบงำจนก่อเป็นตัณหาหรือทิฐิ คนนั้นได้ชื่อว่ามีทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายใน และทรัพย์นั้นเรียกว่า อริยทรัพย์มีชีวิตที่ไม่จน และเป็นคนที่มีชีวิตไม่ว่างเปล่า ถ้าเข้าถึงศีลที่งดงามนะ และในความถึงศีลนั้นเข้าถึงธรรม คนๆ นั้นก็จะเป็นคนที่บุญกุศลจะไหลมาสู่ และความสุขจะเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากสำหรับคนที่ปฏิบัติได้ถึงพร้อมทั้งศีลและธรรมยากไหม (ยาก)  ยากตรงที่จะทำเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นมนุษย์เรามีความทุกข์อะไรบ้างที่ยากจะทำใจได้
บอกอาจารย์ให้ชื่นใจหน่อยซิ แล้วศิษย์ยังมีความทุกข์อะไรที่ยังจัดการไม่ได้ (ทุกข์เพราะว่าเป็นผู้นำ)  ทุกข์เพราะว่าเป็นผู้นำ ผู้นำอะไรหรือ นำทุกอย่าง นำทั้งคนในครอบครัวใช่หรือไม่ ถ้าเราทำได้ดี บางครั้งไม่จำเป็นต้องสอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการปฏิบัติให้เขาเห็น ปฏิบัติให้เขาประจักษ์แจ้ง ผู้ที่เข้าถึงธรรม ปฏิบัติเพื่อธรรมศิษย์รู้ไหมจะเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนใจเย็น สุขุม ไม่ปากเปราะ ไม่หูเบา ไม่ใจง่าย ถ้าศิษย์ดำรงตนด้วยศีลและธรรมพร้อมนะ และมีเวลาก็ยังรู้จักเสียสละให้อภัย ให้ทานอยู่เสมอ และเมื่อโดนอะไรกระทบศิษย์ก็ไม่วุ่นวายในอารมณ์ ไม่พลุ่งพล่านในอารมณ์ ยังนิ่งได้ อภัยได้ สงบได้ เอาตัวเราแสดงให้เขาเห็นโดยไม่ต้องพูดเป็นการนำที่ดี ดีกว่าพูดไปตั้งเยอะแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)
(ความทุกข์ในเรื่องการเรียน)  แล้วขยันหรือยัง ตั้งใจเต็มที่หรือยัง หมั่นทบทวนความรู้หรือไม่ ถ้าอยากได้ดีต้องหมั่นทบทวน อย่ามัวเห็นแก่การเล่น การเที่ยวสนุก จนลืมภาระหน้าที่ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายนะ
(ทุกข์เพราะจิตใจยังไม่เข้มแข็ง)  ถ้ากล้ายอมรับความจริง ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้อ่อนแอ ถ้าหัวใจสู้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เราล้มเหลวและพ่ายแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
น่าเสียดายนะ ที่มาฟังแล้วปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เก็บไว้ในใจบ้างเลย ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่มีความสุขเพราะเรื่องคดีภายในครอบครัว ระหว่างคดีแม่และน้องสะใภ้)  คนทุกคนล้วนมีกรรมติดตามมา และกรรมที่ติดตามมานี้ เราก็ไม่สามารถเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้ก็คือ การยอมให้ถึงที่สุด และศิษย์เป็นตัวกลางลองไปคุยกับน้องสะใภ้ว่า พี่ขอแล้วกัน จบกันแค่นี้ พี่ไม่เอาอะไร อยากเอาอะไรไปก็เอาไป ลองคุยกับเขาด้วยตัวเอง ลองขอร้องเขาให้ทำบุญกับคนแก่ เพราะอีกไม่กี่ปีเขาก็ต้องไป เราลองพูดให้เขาเข้าใจ ให้แม่อยู่จนสบายใจ ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วจะเอาอะไรไป จะทำอะไรก็ทำเราไม่เอาทั้งสิ้น เราลองคุยกับเขาด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
(มีทุกข์เรื่องบริวารไม่ค่อยเชื่อฟัง พี่น้องไม่ค่อยรักกัน)  เราจะทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือตัวเราต้องมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมเสียก่อน เห็นถูกต้องว่าไปตามถูก เห็นผิดต้องว่าไปตามผิด แต่ว่าบางครั้งเมื่อเขาผิดก็อย่าลงโทษหนักเกินไป ต้องเหลือทางให้เขาเดินบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อเด็ดขาดเกินไปก็จะทำให้คนไม่มีที่ยืน ถูกหรือไม่ หละหลวมเกินไปก็ทำให้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นเราต้องรู้จักตึงและหย่อน ที่มนุษย์ชอบพูดว่า ต้องมีทั้งบารมีกับพระเดชพระคุณ ต้องใช้ให้ถูกต้อง  (ทุกข์เพราะความโลภ)  อย่างนั้นต่อไปคิดอยากได้อะไรพิจารณาให้ดี อย่ากลายเป็นความโลภแล้วทำให้เราขาดศีลขาดธรรม 
(ทุกข์เพราะคุณแม่เพิ่งเสีย)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ จริงๆ แล้วถ้าศิษย์เข้าใจคำว่า หลักสัจธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เราอาจจะมองว่าคนๆ หนึ่งตาย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า แค่เป็นการเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งเท่านั้น ถ้าศิษย์ทำได้ดี คนที่จากไปก็ตายตาหลับ แต่ถ้าศิษย์มัวจมอยู่กับความทุกข์ คนที่ไปก็มีแต่ความทุกข์ อยากให้เขาไปแล้วดี เราจงรู้จักสร้างสุข แล้วก็สร้างบุญกุศลหนุนนำให้เขาพ้นทุกข์ ไม่มีใครตายหรอกนะ มีแต่สิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป เป็นไปตามชะตากรรมแค่นั้นเอง
(มีลูกคนเดียวและรักลูกมาก)  มากจนวางไม่ลงจนกลายเป็นกังวลมากไป อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์รู้ว่าเมื่อเกิดเป็นคนเราต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร จะดีหรือจะร้ายอย่างไร จำไว้ว่าขอแค่เขายังอยู่ก็ชื่นใจแล้ว อย่าไปตีมาตรฐานสูง อย่าไปกำหนดให้มากมาย เอาแค่ว่าเขายังกลับมาหาเราก็ดีแล้ว เขายังเรียกเราว่าแม่ ยังมีคนให้เราเรียกว่าลูก ก็สุขแล้ว ถ้าไปกำหนดมาตรฐานสูงเราก็ทุกข์ ถ้าไปคาดหวังมากเราก็เจ็บ ฉะนั้นสุขง่ายๆ
ก็คือแค่มีเขาก็สุขแล้ว (ทุกข์เพราะหลานสะใภ้บ่นมาก)
  ใจเย็นๆ ปล่อยให้เขาบ่นไป เรารู้จักรับผิดชอบเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่พึ่งเขา แต่อย่างน้อยถึงเขาจะว่าอย่างไรก็ให้ยิ้มเข้าไว้ ให้อภัยเป็นทาน เพราะการให้อภัยนั้นเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่
(เราเป็นครอบครัวใหญ่และเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เราจะพาครอบครัวให้ผ่านพ้นไปได้ยังไง)  ขอให้ขยัน แม้จะลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ก็จะผ่านไปได้ แต่ต้องธำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าศิษย์ทำได้แบบนี้ ศิษย์ก็จะนำพาครอบครัวได้ แต่อย่ามัวเห็นแก่ตัวเองจนลืมนำพาครอบครัว คนบางคนยอมทิ้งครอบครัวเพราะว่าหวังสบาย ไม่อยากทุกข์ แต่ถึงจะทุกข์อย่างไรเราก็จะสู้และฟันฝ่าไปด้วยกัน ถึงที่สุดความสุขก็จะอยู่ตรงหน้า (ทุกข์เพราะลูกๆ ไม่มาธรรมะ เพราะบอกว่าแม่ยังไม่ได้ดีเลย แล้วธรรมะจะทำให้เขาได้ดีได้อย่างไร)  ฉะนั้นเราต้องทำให้ดี ทำให้เขาเห็น ประจักษ์ให้เขาเห็น (ต้องตายก่อนใช่ไหม)  อาจจะไม่ต้องตาย แต่ศิษย์ต้องจำอย่างหนึ่งนะ ขึ้นชื่อว่าลูก
มีใครไม่เคยบ่นว่าแม่ตัวเองบ้าง ศิษย์ก็ต้องใจเย็นๆ ใช้เวลา เหมือนศิษย์ที่อยู่ๆ จะให้มาฟังธรรมะศิษย์ยังไม่ยอมมาง่ายๆ เลย มาฟังธรรมะแล้วจะให้เชื่อทันทีเลย ตัวศิษย์เองก็ยังไม่เชื่อเลย เราต้องพยายามทำให้ลูกเห็น แม้วันนี้ไม่เห็น พรุ่งนี้ก็ต้องพยายามทำให้เห็น ศิษย์ต้องอย่าแพ้ใจตัวเองก่อน ถ้าศิษย์ยอมแพ้ความดี ยอมแพ้แค่ปากลูกบ่นแล้วเลิกทำ
อย่างนี้ลูกจะเห็นได้อย่างไร ศิษย์ต้องสู้จนถึงที่สุด ส่วนเขาจะได้ดีไม่ได้ดี อาจารย์ขอบอกตามตรง ทุกชีวิตล้วนบังคับใครไม่ได้ แค่เขาเป็นคนก็ดีแล้ว หวังมากไป หวังสูงไป พอเขาทำไม่ได้เราก็จะเจ็บ
ช่วยได้ก็ช่วย คนในโลกนี้เดี๋ยวนี้ทุกคนก็มีหนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครไม่มีหนี้ หนี้ทางใจ หนี้ทางกาย หนี้ ธกส. เมื่อคราวที่แล้วอาจารย์เจอศิษย์ เป็นหนี้อะไร หนี้ ธกส. บางคนก็เป็นหนี้ชีวิตใช่หรือไม่ แต่เป็นหนี้ไม่ใช่จะมีสุขไม่ได้ ถ้ารู้จักใช้คืน แต่อย่าหนีหนี้ไม่อย่างนั้นกรรมจะตามไม่จบไม่สิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นขอให้เปลี่ยนแล้วจะทำให้ท่านมีความสุขในทุกๆ วัน ไม่เป็นไรนะศิษย์ เมื่อทำถึงที่สุดผลมันจะเสียก็ไม่เป็นไร เพราะเราทำเต็มที่แล้ว อาจารย์บอกแล้ว เมื่อเป็นลูกศิษย์อาจารย์ ถึงจะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แม้ไม่สำเร็จข้อสำคัญล้มแล้วลุกขึ้นสู้ แพ้ก็ไม่เป็นไร แพ้แล้วขอให้เริ่มต้นใหม่ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เอาอดีตมาเป็นประสบการณ์สอนชีวิตให้เข้าใจชีวิตดียิ่งขึ้น ไม่มีใครหรอกที่ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีใครหรอกที่ชีวิตสุขโดยไม่มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่นะด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง
(ทุกข์ใจที่สามีกินเหล้า สูบบุหรี่ด้วย)  อย่างนั้นอาจารย์ขอถามหน่อยนะ สูบบุหรี่ กินเหล้า กับมีเมียน้อยเอาอันไหน (ไม่เอาทั้งนั้นเลย)
ไม่มีใครในโลกได้ครบสมบูรณ์ ต้องได้อย่างเสียอย่าง ก็ศิษย์เลือกมาแล้วใช่ไหม (ใช่)
  คนมีตั้งร้อยตั้งล้านทำไมไม่ไปเลือก ไปเลือกที่สูบบุหรี่กินเหล้ามา ตอนนั้นมันหน้ามืดไปหน่อย ตอนนี้ตาสว่างแล้วใช่ไหม อย่างนั้นศิษย์คิดไว้ดีๆ อาจารย์บอกถ้าวางใจถูก แม้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข ถ้าวางใจผิด แม้สุขก็กลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นถึงจะกินเหล้าสูบบุหรี่เราก็ยังรัก ดีกว่าไปมีเมียน้อย
มีกิ๊กใช่ไหม ก็บอกเขาสิ แม่รักนะเมื่อไหร่จะเลิกสูบ จะรอให้ตายก่อนหรือ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“มีสติ ไม่ขาดสาย” ซึ่งพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหมิงเอิน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่
๑๖
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘)
ศิษย์ลองตอบคำถามของอาจารย์ว่า จะเอาแอปเปิลของอาจารย์ไปทำอะไรที่จะก่อเกิดประโยชน์สูงสุด (เอาไปบอกหลานว่า ย่าไปอบรมธรรมะมา แล้วก็จะอธิบายเรื่องที่ไปอบรมมา)  เอาให้ได้ประโยชน์มากกว่านี้ไหมศิษย์ คั้นเป็นน้ำแอปเปิลแล้วแจกทั่วหมู่บ้าน แล้วก็บอกว่าเอาบุญมาฝาก เอาบุญมาให้ อย่างนี้ดีไหม (ดี)  บุญไม่ใช่อยู่ที่การให้ แต่บุญอยู่ที่การส่งต่อ เวลาใครทำแล้วเราอนุโมทนาบุญก็ได้บุญต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราได้บุญมาแล้ว เรายังส่งต่อ ยังเผื่อแผ่แบ่งปันต่อ อย่าเอาเฉพาะในครอบครัวแต่จงรู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันเพื่อนบ้านด้วย แอปเปิลลูกเดียวจะได้เป็นแอปเปิลที่กินกันได้ทั้งหมู่บ้านเลย ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมร้องเพลง)
ศิษย์ยินดีจะมาร่วมสร้างบุญไหม ร่วมผูกบุญไหม (ถ้าว่าง)  การสร้างบุญกุศลทำไมต้องรอว่าง บุญสร้างได้บ่อยๆ ถ้ารอช้าความชั่วจะไหลเลื่อนเข้ามาแทรกทันที ใช้เสียงเป็นทาน ใช้เสียงในการแพร่ธรรมะให้คนได้ตื่นรู้ ไม่ดีหรือ
วันนี้อาจารย์กลับได้แล้วใช่ไหม พูดไปมากมายก็เท่านั้นนะศิษย์ ถ้าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าดีๆ ก็จบ เพราะดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำ ทุกสิ่งทุกอย่างอาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทาง เหลือแต่ศิษย์ที่ต้องลงมือทำ และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก เราเกิดมาเพื่อตื่นรู้ในทุกข์ และเอาทุกข์นั้นมานำพาให้เราเป็นพุทธะบนดิน ไม่ต้องรอชาติหน้า ลงมือทำชาตินี้ตอนนี้ โดยปฏิบัติด้วยการมีศีลให้พร้อม
มีธรรมให้ครบ และพิจารณาในความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่า
สังขารเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน และไม่เคยไปกับเรา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ได้รับชี้นั่นคือพุทธจิต จงตื่นรู้และดึงพุทธจิตออกมาให้พ้นจากการติดในสังขาร เพราะสังขารถึงที่สุดก็ตายดับไปกับโลกใบนี้ มีแต่จิตที่กลับคืนไปสู่เบื้องบน ถ้าจิตยังเข้าไม่ถึงธรรม จิตนั้นก็ยังเต็มไปด้วยตัวตน ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายในวัฏฏะ แต่ถ้าเมื่อไรจิตศิษย์เข้าถึงธรรม สภาวธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ทั้งโลกนี้และโลกไหนๆ  ขอให้มีสติเพียรรำลึกถึงธรรมอยู่เสมอ สติที่สอนให้เรารู้ว่ากายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง และในกายนี้ก็เต็มไปด้วยกรรม และเผ่าพันธุ์ของกรรมที่เราสร้าง ฉะนั้นเราเป็นผู้รับกรรม แล้วหากจะสร้างกรรมต่ออีก ก็จะต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือเราจะเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม คิดเอานะศิษย์  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ อย่าเล่นกับความรู้สึกของคน เพราะถ้าเมื่อไรเขาโกรธ เขาเคียดแค้น เจ็บปวด เวลาเขาย้อนกลับเขาจะเอาหนักยิ่งกว่าที่ศิษย์ทำกับเขา ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอาจารย์ตีศิษย์คนนี้แล้วท่องบทแผ่เมตตา แต่พอว่างก็ด่า เกลียด รำคาญเขา บุญที่กรวดน้ำไปจะชดใช้บาปที่ทำกับเขาได้ไหม ไม่ได้ แล้วทำไมเราไม่ทำบุญกับคน ทำไมต้องทำบุญกับพระอย่างเดียว บุญสร้างได้ทุกที่ ทำให้ใครมีสุข ทำให้ใครไม่หม่นหมอง นั่นเรียกว่าบุญ แต่หากทำให้ใครทุกข์ เหี่ยวเฉา หดหู่ นั่นเรียกว่าบาป แล้วทำไมต้องทำบุญแค่ในวัด ข้างนอกกับใครก็ทำบุญได้ ถ้าบาปเกิดขึ้นแล้ว เขาจองเวรจองกรรม เขาจะไม่เอาเราแค่เจ็บนิดหน่อย เวลาคนเราเจ็บใจ เขาจะลืมไหม
ขอโทษคำเดียวหายไหมศิษย์ (ไม่หาย)  ผิดแล้วขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแค่เจตนานิดหน่อย แต่เวลาเขาเอาคืน เขาเอาเจ็บ เขาเอาหนัก ฉะนั้นทำไมต้องไปก่อเวรก่อกรรมแล้วค่อยมากลัวผล ทำไมไม่คิดก่อนที่จะก่อเวรก่อกรรม อาจารย์จึงบอกว่า อย่าเล่นกับความรู้สึกของชีวิตคน เพราะเมื่อทำเขาถึงชีวิตเขาก็จะเอาเรายิ่งกว่าชีวิตและอะไรที่ศิษย์รักเขาก็ จะเอาศิษย์ตรงนั้นด้วย เพราะแค่เอากับศิษย์ ศิษย์ไม่เจ็บ แต่ต้องทวงคืนจากคนที่ศิษย์รัก ทวงจากสิ่งที่ศิษย์หวง ทวงให้เจ็บให้ปวด บีบให้ตาย แล้วทำไมเราจึงต้องรอให้กรรมมันส่งผลแล้วค่อยมาทำบุญ อย่างนี้ไม่ทันหรอกนะศิษย์
ขึ้นชื่อว่าชีวิต มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท และเราเกิดมาเป็นผู้รับผลกรรมของสิ่งนั้น ไม่มีใครหนีพ้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากทุกข์ก็สร้างบาปกรรมไว้ แต่ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ก็จงคิดให้ดีก่อนกระทำ เพราะเมื่อกรรมนั้นย้อนมา แล้วศิษย์จะขอพระพุทธะ ศิษย์จะขอบุญที่ศิษย์เคยทำ เหล่านี้มันช่วยกันไม่ได้ หักล้างกันไม่ได้หรอกนะ เพราะศิษย์ไปทำดีที่วัด
แต่เวลาทำบาปศิษย์ทำกับคน ทำกับชีวิตเขา แล้วอย่างนี้เขาจะให้อภัยศิษย์ไหม ขนาดมีคนด่าศิษย์คำเดียว ศิษย์จำไหม (จำ)
  แต่เวลาเขาทำดีเป็นร้อยครั้ง ศิษย์จำไหม (จำ)  ไม่ค่อยจำ แต่จำได้คำเดียวเวลาเขาด่า แต่เวลาเขาทำดีมามากแค่ไหนก็ไม่เคยจำ ในทางกลับกันเวลาศิษย์ไปกินเขา ไปทำร้ายเขา ไปเบียดเบียนเขา คิดว่าเขาไม่เอาคืนศิษย์หรือ แล้วคิดว่าเขาจะเอาคืนศิษย์เบาๆ หรือ แล้วบุญจะเอามาใช้ทดแทนกันได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะความรู้สึกคนเมื่อเจ็บแล้วมันจำ ฉะนั้นเวลาอยู่ด้วยกัน ทำบุญได้ทุกที่
ทำอะไรที่ทำให้เขาชื่นใจ ทำอะไรที่ทำให้เขาสบายใจ ทำอะไรที่ทำให้เขาสุขใจ นั่นเรียกว่าบุญ แต่ถ้าทำอะไรที่ทำให้เขาหดหู่ ย่ำแย่ นั่นเรียกว่าบาป
คิดให้ดีๆ นะศิษย์ จริงไหม (จริง)
  แค่คำปลอบไม่ทำให้หายได้หรอกนะ
ด่าเขาจนเจ็บ กีดเขาจนเป็นแผล แล้วจะมาเย็บให้ แล้วถามเขาว่า เจ็บไหม อย่างนี้ทดแทนกันได้หรือ ฉะนั้นก่อนพูด ก่อนทำก็คิดให้ดีๆ อย่าพูดว่า
ก็หนูหวังดี อาจารย์ถามว่าศิษย์หวังดีหรือระบายอารมณ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
  อย่าคาดหวังกับคนสูง จะได้ไม่ผิดหวังและเจ็บปวดนะศิษย์ ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่ต้องสอนให้เหนื่อยเลย
ธรรมะสอนให้เข้าใจชีวิต ถ้าเมื่อไรที่ไม่สนใจธรรม ก็คือไม่สนใจชีวิต ธรรมะสอนให้เข้าใจชีวิตและพ้นทุกข์ในชีวิต ถ้าไม่อยากเอาธรรมะนั่นก็แปลว่าไม่อยากพ้นทุกข์ ยังอยากทุกข์ต่อไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ มีแต่สังขารที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครตาย แต่ถ้าตายจริงๆ ก็คือแค่สังขารนั้นตายไป แต่จิตยังอยู่  อยู่ตามแรงบุญกรรมที่ศิษย์สร้าง แต่ถ้าศิษย์ทำกรรมที่ไม่มีอกรรมแล้ว จิตก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ศิษย์เอ๋ย อายุมากแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาสังขารก็ต้องทิ้งไว้กับโลกนี้ จงดึงจิตออกมาให้จิตบริสุทธิ์ ให้จิตได้สดใส ให้จิตได้งดงาม ด้วยศีลด้วยธรรม แล้วทิ้งสังขารนี้ไว้อย่าไปยึดติดกับมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)   รู้จักมีศีลมีธรรมเพื่อนำพาชีวิตให้พบทางสว่างถูกไหมศิษย์  ต้องทำให้ได้ อย่าได้แค่ฟัง แต่ต้องฟังให้ได้ใช่หรือไม่ เอาธรรมะที่อาจารย์บอกวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติให้ได้นะ มาวันนี้จะได้ไม่เสียเปล่าใช่ไหม (ขอบคุณ
พระอาจารย์เมตตา)  มีสุขให้อาจารย์เห็นหรือยัง
ชีวิตนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ใช่ความทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคืออารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุม ความทุกข์ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับกิเลสอารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุมให้ได้ ใช่หรือไม่ ชวนเขามาธรรมะต้องให้ตรงอยู่ในธรรม อย่าชวนเขามาด้วยการหลอกลวงนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญ มาช่วยอาจารย์แค่นี้ยังต้องหลบอีกหรือ เดินทางธรรมนี้แล้วอย่ายอมแพ้ต้องสู้ให้ถึงที่สุดนะศิษย์ อย่าฟังไปแล้วเสียเปล่านะ น่าเสียดาย ตั้งใจทำให้ดี ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น ใช่ไหม ขจัดได้หรือยังความรัก โลภ โกรธ หลง กล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ศิษย์ต้องทำให้สิ่งที่เห็นแล้วทำให้เกิดธรรมในใจ เกิดธรรมในบิดา มารดา ใช่หรือไม่ ต้องสู้นะ อาจารย์จะให้กำลังใจ สู้อย่างคนที่กล้ายอมรับความจริง เอาแอปเปิลไหม จะได้เอาไปผูกบุญกับคนอื่นต่อ
อุตส่าห์ออกมาช่วยอาจารย์ ถูกต้องแล้วนะ (จับมือกับพระอาจารย์ด้วยคะ)  จับมือนั่นหมายความว่าจะกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ยังจะจับไหม ปล่อยก็ได้นะตอนนี้ (ไม่ปล่อย)  มั่นใจนะ กลับมาหาอาจารย์อีกนะ
มาผูกบุญ มาเพิ่มพูนปัญญาธรรม จะได้ไม่หลงกับโลกใบนี้ อย่าอยู่ใกล้แล้วเสียเปล่านะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดนะศิษย์เอ๋ย เอามาทำให้เกิดปัญญา
ให้ได้ นำพาชีวิตให้พ้นทุกข์แล้วกลับมาอีกนะ โลกใบนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตใจที่ไม่ยอมสู้ คนไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่อยากจะไปเที่ยว ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ และอาจารย์ก็ไม่เคยหลอกศิษย์ มีแต่ศิษย์ที่หลอกอาจารย์ว่าจะทำแต่พอถึงเวลาก็ไม่ทำ หลอกอาจารย์ว่าจะบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
(เป็นเนื้องอกที่มดลูกอยากขอยาพระอาจารย์คะ)  ขอแอปเปิลอาจารย์หน่อยนะ แต่ถึงเวลายังไงก็ต้องรักษาอันนี้เป็นแค่ยาช่วยให้คลายความเจ็บปวด เข้าใจนะ แต่ที่สุดแล้วยังไงก็ยังต้องรักษา เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ชีวิตเราเราทำเองก็ต้อง
รับเอง ถ้าไม่อยากมีกรรมจงคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร เข้าใจนะ
อาจารย์อยากอวยพรให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้มแข็ง รู้จักต่อสู้กับชีวิตให้ได้นะ (อยากขอยาพระอาจารย์)  ขอยาหรือ ใครอยากได้ยา ถึงเวลามาหยิบนะ อาจารย์วางไว้ที่โต๊ะ (อยากจับมือพระอาจารย์)  ต้องจับมืออาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์ไปแล้วนะ ต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ดี รู้จักนำพาชีวิตตัวเองให้ถูกต้อง
รักษาตัวเองให้ดี อย่าทำร้ายตัวเอง เพราะชีวิตทุกชีวิตล้วนมีค่า ขอให้คิดด้วยความไตร่ตรองรอบคอบ และใจเย็น อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญกลับมาสู้อ้อมกอดแห่งธรรม กลับมาสู่อ้อมกอดแห่งความจริง อย่ามัวหลงกับชีวิตอันจอมปลอมนี้ อย่ามัวติดกับกิเลสของโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความจริงเลยนะ ตื่นแล้วสู้กับชีวิต สู้กับความทุกข์ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง มองให้ออก แล้วสักวันหนึ่งศิษย์จะได้กลับไปกับอาจารย์ ไปด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่จิตที่ติดด้วยสังขาร อารมณ์และนิสัย ทำให้ได้นะศิษย์ (เวลาก้มเงยตอนนี้ไม่ได้)  สังขารไม่เที่ยง ไม่ใช่ให้ยึดติด ไปแล้วนะศิษย์
เด็กดื้อทั้งหลาย ไม่ร้องไห้นะศิษย์ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง ต้องมีหัวใจนักสู้ อะไรก็กล้าที่จะยอมรับ และฝึกเรียนรู้ อย่ายอมแพ้ บำเพ็ญแล้วเดินให้ถึงที่สุด บำเพ็ญแล้วเพื่อความดีงามและความถูกต้องก็จะไม่ทอดทิ้ง บำเพ็ญแล้วเพื่อคุณธรรมก็ยอมเสียได้และเจ็บปวดได้
แม้ร่างกายอันไม่เที่ยงนี้จะเป็นอย่างไร ศีลงามพร้อมหรือยัง คุณธรรมความเป็นคนสมบูรณ์หรือยัง เมื่อรักษาไว้ได้การดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ารักษาไม่ได้ การดำเนินชีวิตก็สับสนปนเป เรียนรู้หลักธรรมต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ ธรรมย่อมคุ้มครองคนประพฤติ ความชั่วนั้นจะก็นำพาให้คนลุ่มหลง ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะประพฤติธรรมหรือประพฤติชั่ว คำพูดคนไม่สำคัญเท่ากับการกระทำของเรา ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์รักของอาจารย์
ช่วยร่างกายไม่ประเสริฐเท่ากับช่วยนำพาจิตใจให้พ้นทุกข์ เพราะกายนี้หนีไม่พ้นความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่ถ้าอาจารย์ช่วยจิตศิษย์ จิตนี่แหละที่สามารถพ้นทุกข์ได้แท้จริง ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวแต่ติดอยู่กับกาย จงดึงจิตออกมาให้พ้นทุกข์ด้วยการประพฤติปฏิบัติให้งดงามนะศิษย์ ขอแค่รับผิดชอบหน้าที่ของความเป็นคนให้ดี อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม ว่างก็ให้กลับมา ได้ไหม อย่ามัวแต่เล่น อย่ามัวแต่ดื้อ ไม่อย่างนั้นชีวิตพลาดไปแล้วก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ สังขารทิ้งไว้ที่นี่ เอาจิตกลับมาหาอาจารย์นะ จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่งดงามที่เข้าถึงศีลและธรรม และปลดปลงในการยึดมั่น
ถือมั่นในสังขารอันไม่เที่ยงแล้วนะ
มีแต่จิตนี้เท่านั้นนะที่จะทำให้ศิษย์กับอาจารย์กลับมาเจอ และพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ศรัทธาเชื่อมั่นในความ
ถูกต้องดีงามในใจของตัวเอง ตั้งใจทำให้ได้
เพื่อเวไนยไม่มีคำว่าเหนื่อย
เพื่อเวไนยไม่มีคำว่าท้อ
เพื่อช่วยคนไม่มีคำว่าทุกข์นะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท มีสติ ไม่ขาดสาย”
    ทำสิ่งใดด้วยสติอยู่ในธรรม             ใจเย็นยั้งใจร้อนทิฐิหนา
ใช้ความนิ่งสยบความวุ่นเลียนใจฟ้า        ฝึกพิจารณาตามจริงกว่าตามใจ
    มีสติต้องคุมดูความคิด                  รู้ทุกขณะไม่ปล่อยจิตเตลิดใหญ่
โดนกระทบก็ไม่เก็บมาใส่ใจ                คุมใจได้ทุกข์สุขไม่เป็นอารมณ์
    อารมณ์พาคนประมาท                 จนขาดสติทับถม
ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์                         กล้าขมหวานจึงตามมา


หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหมิงเอิน
อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑๖
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

2558-04-18 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ



西元二一五年 歲次乙未二月三十日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เหตุผลเป็นแดนเกิดแห่งความจริง แต่ความจริงอยู่เหนือเหตุผลไซร้
มีเหตุผลนั่นคือพิสูจน์ได้ แต่พิสูจน์ได้ใช่สิ้นสุดแห่งความจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ปล่อยอารมณ์เพียงชั่ววูบเพราะไม่คิด ต้องพลาดผิดสุดท้ายต้องรับผล
คนเคยชินปล่อยอารมณ์ตามใจตน ไม่เคยยั้งเหตุต้นผลบานปลาย
ความหลงผิดเป็นเหตุแห่งทุกข์ทน เป็นภัยของใจคนที่ซ่อนไว้
โลภโกรธหลงอารมณ์ช่างแสนวุ่นวาย ชอบพันพัวยามกลัวหน่ายถอยไม่ทันความไม่เที่ยงเจนตาใครล่วงพ้น แจ่มใสหมองสับสนหม่นเร็วเปลี่ยนผัน
คนสุดขั้วยามร้ายน่าหวาดหวั่น ทำจิตเบิกบานสงบเย็นคือคนเดิม
รู้ยอมช่างยอดคนวางใจเย็น การบำเพ็ญฝึกใจทางธรรมส่งเสริม
ช่วยงานฟ้าธรรมนำคนสู่เผดิม คืนใจเดิมอันแท้ไร้ตัวตน
ตะแกรงฟ้ากระชอนถี่คว้าหาคนจริง ไม่ต้องวิ่งแต่ปฏิบัติและฝึกฝน
ทำงานฟ้าเดินงานธรรมอุทิศตน สำรวมตนขัดเกลานิสัยให้งดงาม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
“เหตุผลเป็นแดนเกิดแห่งความจริง แต่ความจริงอยู่เหนือเหตุผลไซร้
มีเหตุผลนั่นคือพิสูจน์ได้ แต่พิสูจน์ได้ใช่สิ้นสุดแห่งความจริง”
เราถามท่านง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง) หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามได้ไหม (ไม่ได้)  อย่ามัวมองแต่เหตุผลจนลืมความจริง อย่ามัวแต่ยึดอยู่กับหลักสูตรหรือหลักการจนลืมหรือมองข้ามความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นหนึ่งบวกหนึ่งไม่เป็นสามหรอกจริงไหม (จริง)  เราจะเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็นก็ได้ หรือเราจะเห็นมากกว่าที่เราเห็นก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับใจ ความคิดและภูมิปัญญาของเรา ว่าเราจะตีกรอบชีวิตให้ตายตัวไหม อย่างนั้นเราถามใหม่ หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  ถ้าเราบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ได้ไหม (ได้)  หนึ่งบวกหนึ่งกลายเป็นติดลบได้ไหม (ได้)  เราอย่าลืมนะว่าบางครั้งเรารู้ เราเข้าใจหมด แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็มีสิ่งที่อยู่เหนือความรู้ ความเข้าใจและความคิด ใช่ไหม (ใช่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมเราบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งอาจจะเป็นสาม ผู้ชายกับผู้หญิงเมื่อรักกันเป็นสามได้ไหม (ได้) เห็นไหม อย่างนั้นถ้าผู้ชายกับผู้หญิงเกิดตอนนี้รักกันเป็นสอง แต่ถ้าต่อไปเขาไม่รักกันอาจจะเป็นตัวใครตัวเขา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรายืนอยู่บนโลก เรากำลังยึดอะไรในการดำเนินชีวิต แต่ปัจจุบันนี้เรามองแต่สิ่งที่เราอยากเห็น เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราเป็นแต่สิ่งที่เราอยากเป็นจนเราลืมไปว่าเราควรจะเป็นอะไร ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้ท่านแค่ทำบุญ แค่ตักบาตร แค่ให้อภัยคน แค่สวดมนต์ไหว้พระ เราอย่ามองธรรมเป็นแค่บุญบาป ดีร้าย อภัย เมตตา แต่ธรรมะมีค่ายิ่งกว่านั้น ค่าที่มนุษย์ลืมไปและมองไม่เห็น แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์มองค่าธรรมได้เห็นชัด มนุษย์จะไม่ถูกอารมณ์ครอบงำและไม่ถูกสภาวะแวดล้อมพลิกผันให้ตัวเองต้องทุกข์ใจเลย เราเคยเห็นธรรมมากกว่านี้ไหมเคยเห็นมากกว่าบุญบาป พระสวดมนต์ ขอพร เราเคยเห็นมากกว่านั้นไหม (เคย)  เคยเห็นแค่ศักดิ์สิทธิ์ กับไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ได้ผลหรือไม่ได้ผล ใช่ไหม(ใช่)  น่าเสียดายนะ ธรรมมีค่ามากกว่านั้น มากกว่าตรงไหน อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ฉะนั้นต้องมองกว่าที่มองเห็น อย่ามองแค่สิ่งที่ใจอยากเห็น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่มีวันพบธรรมได้เลย และธรรมก็ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่มันอยู่ในใจของท่านเอง จะตื่นรู้และประจักษ์ชัดได้เช่นไร ถ้าตื่นได้ รู้แจ้งได้ ธรรมนั้นก็นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์พ้นโศกได้เช่นกัน
เรามีสิ่งที่ชอบ มีสิ่งที่ชัง มีสิ่งที่ดี มีสิ่งที่ร้าย ถ้าร่างกายนี้คือเนื้อนาบุญ ทุกวันเราปลูกแต่อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันชอบแบบนี้ ฉันเกลียดแบบนั้น ฉันเป็นแบบนี้ ฉันเป็นแบบนั้น แล้วก็สร้างตัวตนขังตน จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราเข้าใจว่าตัวมนุษย์คือเนื้อนาบุญที่ปลูกอะไร ก็ได้อย่างนั้น แล้วทำไมเราจึงไม่ปลูกสติที่เข้าถึงธรรมล่ะ แต่เรากลับปลูกอารมณ์ ชอบอย่างนั้น ชังอย่างนี้ ใส่เข้าไปในตัวตนเองทุกวัน ผลสุดท้ายตัวเองก็เป็นคนที่ชอบชังเกลียด แล้วก็เต็มไปด้วยอารมณ์ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าตัวตนคือเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ทำไมเราไม่ปลูกสติ ปลูกความตื่นรู้ในธรรม เพื่อถึงที่สุดเราก็คือธรรม ธรรมก็คือเรา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ปัจจุบันเรากลับปลูกอะไรลงไปในชีวิต (อารมณ์)  ใส่อะไรเข้าไปในตัวเอง ถ้าตัวตนนี้คือเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกอารมณ์ชอบชังก็ย่อมได้อารมณ์ชอบชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นแล้วทำไมเราถึงไม่ปลูกสติที่เข้าถึงธรรมเล่า เราก็จะได้มหาสติที่เป็นธรรมในตัวตน แต่ตอนนี้เรากลับไม่เป็นเช่นนั้น เรากลับปลูกความชอบ ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง และตอกย้ำตัวเองว่านี่แหละตัวตน ผลสุดท้ายเราก็คือคนที่สร้างกรงขังตน จริงไหม (จริง)
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เรายังอยากปลูกอะไรในตัวเราเล่า ปลูกสติ ปลูกมหาธรรม หรือปลูกอารมณ์ความเป็นตัวฉัน เหมือนวันนี้นั่งเพื่อนั่งให้เข้าถึงธรรม หรือนั่งเพื่อยังคงเป็นตัวฉัน หลายคนชอบพูดว่า “ฉันไม่ชอบ” “ฉันเบื่อ” ใช่ไหม ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกความสุขย่อมได้ความสุข ปลูกความเบื่อหน่ายชิงชังแม้นั่งอยู่ต่อหน้าพระ ท่านก็ได้คำว่าเบื่อหน่ายชิงชัง ใช่ไหม เช่นนั้นเราลืมปลูกสติหรือเปล่า แล้วเราลืมปลูกต้นธรรมหรือไม่ เขาหว่านเมล็ดธรรมให้ท่าน ท่านเก็บไหม ท่านไม่เก็บแถมยังรำคาญเขาด้วย จริงไหม ฉะนั้นก่อนจะโทษคนอื่นหันกลับมามองตน ที่มนุษย์ชอบพูดไม่ใช่หรือว่า “เรายิ้ม เขาก็ต้องยิ้ม ถ้าเราหน้าบึ้งเขาจะยิ้มไหม”
มีใครบ้างไม่ชอบ ความโลภ โกรธ หลง สมัครเป็นสมาชิกกันทั้งนั้นเลยใช่ไหม และเห็นทำยอดทะลุเป้ากันตลอดเลย ยิ่งขายตรงอีกใช่หรือเปล่า ไม่ต้องโปรโมทใครๆ ก็อยากสมัครใช่หรือไม่ แต่แปลกนะพอให้ชวนมาทำความดีต้องโน้มน้าวต้องมีเหตุผลถึงจะทำ แต่พอเรื่อง โลภ โกรธ หลง ที่มันไม่ค่อยจะดีเลย ไม่ต้องโน้มน้าวไม่ต้องมีเหตุผลก็สมัครใจทำ บอกให้เลิกสมัครเป็นสมาชิกเลิกไหม (ไม่เลิก)  แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ไหม (มี,ไม่มี)  มีเหมือนกันใช่ไหม มีที่ทำให้มีความสุขเล็กๆ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องมานั่งทุกข์ใหญ่ๆ แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่เห็นโทษอย่างแท้จริงก็ไม่มีวันที่จะปล่อยมือหรือเลิกราได้จริงหรือไม่
“โลภโกรธหลงอารมณ์ช่างแสนวุ่นวาย  ชอบพันพัวยามกลัวหน่ายถอยไม่ทัน”
รู้ว่ามีโลภ โกรธ หลง แล้ววุ่นวายใจ แต่เราก็ยังชอบที่จะพันพัว แต่พอถึงเวลากลัวแล้วเราถอยทันไหม (ไม่ทัน)  เพราะอะไร โกรธไปแล้ว โลภไปแล้ว ใช่หรือเปล่า จึงมีคำกล่าวที่มนุษย์ชอบพูดกันคือ “มนุษย์ทำอะไรก็ได้เยอะแยะ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้คือ คุมหัวใจตัวเอง” ฉะนั้นคิดเสียว่าสองวันนี้มาฝึกเรียนรู้การคุมใจตัวเองดีไหม (ดี)  เราเคยคุมใจตัวเองอยู่ไหม (ไม่อยู่)  เราเคยยั้งใจตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ช่างน่ากลัวนะ เราคุมใจตัวเองไม่ได้เลยหรือ เรายั้งใจตัวเองทันไหม มีทั้งทันและไม่ทันใช่หรือไม่ แต่ส่วนใหญ่มักจะทำไปเรียบร้อยแล้วค่อยคิดได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ไม่ดีเพราะอะไร เพราะเราเคยชินแต่การตามใจ ตามอารมณ์ แต่วันนี้เราบอกให้ท่านเปลี่ยนจากการตามใจ ตามอารมณ์ มาเป็นตามสติและตามธรรมให้ทัน ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะปกติเวลาอะไรมากระทบเราเกิดอารมณ์แทบทันที เพราะเราเห็นแบบว่าแค่อยากเห็น เราไม่เคยเห็นมากกว่าเห็น จริงไหม (จริง)  ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  เห็นแต่ใจตัวเองหรือเปล่านะ
ถ้าอยากเห็นมากกว่าที่เห็น เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ อยู่เรื่องหนึ่ง มีชายสองคนคนหนึ่งขายโลงศพ ท่านรู้จักโลงศพไหม (รู้จัก)  โลงศพเป็นที่ที่เราทุกคนต้องไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเป็นที่ที่ทุกคนต้องอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  อีกคนหนึ่งขายรถ วันหนึ่งคนขายโลงศพกับคนขายรถก็จุดธูปอธิษฐานต่อฟ้าดิน คนขายโลงศพอธิษฐานว่า “ขอให้มีคนตาย” แต่คนขายรถอธิษฐานว่า “ขอให้คนรวย รวย รวย” ท่านว่าสองท่านดีไหม สองท่านดีเป็นไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้เข้าถึงธรรมอย่าเห็นแต่สิ่งที่อยากเห็น อย่ายอมเป็นในสิ่งที่มันต้องเป็น บางครั้งอาจจะเป็นได้มากกว่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะทุกอย่างเราเป็นผู้กำหนด โลกนี้เราเป็นคนที่สมมตินะ ตัวเราเป็นคนสมมติทุกอย่าง สมมติว่าแบบนี้ฉันชอบและสมมติว่าแบบนี้ฉันไม่ชอบ กำหนดว่าแบบนี้ฉันรัก กำหนดว่าแบบนี้ฉันไม่รัก ฉะนั้นอย่าเอาสิ่งที่ตัวเองกำลังสมมติ กำลังกำหนดมาฆ่าตัวเองตาย อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองชอบชังมาทำให้ตัวเองต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ใช่ไหม
ใครบอกให้ท่านรัก ไม่มี ท่านรักด้วยตัวเอง ใครบอกให้ท่านเกลียด ก็ไม่มี ถามสิว่าเชื่อใครบ้าง ไม่เชื่อใครเลยใช่ไหม (ใช่)  เชื่ออย่างเดียวคือเชื่อใจมันเต้นตุ๊บ ตุ๊บ แล้วบอกว่าชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ตุ๊บ ตุ๊บ แล้วบอกว่าเกลียด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครพูดถูกใจเรา เราก็จะบอกว่า ใช่ ใช่ แต่ถ้าใครพูดไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ขัดหู เราก็บอกว่าไม่ใช่ ฉะนั้นถ้าเราถามท่านว่าแล้วเรื่องเมื่อสักครู่ใครคือคนน่าเกลียด ใครคือคนดี มีไหม (ไม่มี)  คนขายโลงศพเป็นคนไม่ดีแช่งให้คนตาย คนขายรถอวยพรให้คนรวยเป็นคนดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเราจึงยึดติดแต่สิ่งที่เรารู้ เราเห็น ทำไมเราไม่มองให้มากกว่านั้น ถ้าเราเห็นแล้วเรามองได้มากกว่านั้น เราคงไม่ถูกโลกจับเราพลิกซ้ายพลิกขวา หรือโดนคำพูดคนทำให้เราเจ็บปวดและเจ็บใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  
ดังคำกล่าวที่ว่าถ้าหัวใจเรากว้างสุดประมาณจะมีสิ่งใดเกินเลยไปบ้าง ถ้าหัวใจเรางดงามและยิ่งใหญ่พอ จะมีใครขาดไปบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ จะมีใครที่เราต้องเกลียดและต้องพยายามให้อภัยบ้าง ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ จะมีอะไรในโลกที่ทำให้เราอยากจนหัวปักหัวปำ ทั้งที่จริงๆแล้วทุกสิ่งก็ล้วนเปลี่ยนไป ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ เราจะยึดมั่นถือมั่นกับตัวตนไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอเราจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้วตัดสินใครได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ โลกใบนี้ยังมีอะไรให้เราต้องอยากอีกหรือ (ไม่มี)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ จะมีใครในโลกหรือที่น่าเกลียด ถ้าเราใจกว้างพอจะมีใครหรือที่เราต้องพยายามให้อภัย ใช่ไหม (ใช่)  และคงไม่มีใครที่เรารู้สึกว่า ทำเกินไปแล้วนะ และถ้าเราจิตใจยิ่งใหญ่พอ กว้างพอ ใครหรือที่น่าโมโห ใครหรือที่เลวร้าย ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจพอ จะสามารถจบได้ทุกอย่างเลยนะ ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อก็เข้าใจ แม้ผิดก็เข้าใจ แม้ด่าเราก็เข้าใจ จริงไหม (จริง)  
หากเราเข้าใจเขาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาด่าเรา เพราะอะไร จะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  จะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  จะแช่งชักหักกระดูกไหม (ไม่แช่ง)  จะโมโหไหม (ไม่โมโห)  แล้วถ้าเราใจกว้างพอ เขาเอาของเราไปแล้วไม่คืนเราจะทวงไหม (ไม่ทวง)  เขาจะเอาแฟนเราไปก็ไม่ทวงใช่ไหม
(ใช่,ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ ที่เรายังโกรธ ที่เรายังเกลียด ที่เรายังชอบ ที่เรายังชัง เป็นเพราะเรายังเข้าไม่ถึงธรรม และเข้าไม่ถึงตัวตนเอง เลยมองโลกและคนไม่เคยชัด เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ถ้าเราเห็นตัวชัด ก็จะเห็นโลกชัด ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจโลกและผู้คน เคยได้ยินไหม (เคย)  เคยได้ยิน แต่เราทำแบบนั้นไหม (ไม่)  เอาแต่เห็นคนอื่นชัดแต่เห็นตัวเองไม่ชัด นั่นเป็นเพราะเราเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เราจึงไม่เคยเห็นมากกว่าเห็น และเป็นอะไรได้มากกว่าที่กำลังเป็นกันอยู่
ธรรมที่เราพูดยากไหม มีบางคนยังไม่เข้าใจนะ อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะเทียบอะไรง่ายๆ อีก อันนี้ 1 ไหม(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้ที่ตะกร้าดอกไม้) อันนี้ 1 ไหม (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้ที่ตัวท่าน) ตัวท่าน 1 ไหม ในหนึ่งมีหลากหลายไหม แล้วในหลากหลายและในหนึ่งมีคำว่าจบสิ้นไหม แล้วในหนึ่งที่หลากหลายมีคำว่าจบสิ้นไหม (ไม่มี) มีไหม (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูตะกร้าดอกไม้)  นี่เรียกว่าอะไร (หนึ่ง)  เมื่อสักครู่คุยกันเรื่องเป็นหนึ่งเลยต้องเป็นหนึ่งใช่ไหม ไม่เป็นตะกร้าดอกไม้แล้วหรือ นี่แหละนะเขาชี้อะไรเราก็เป็นอย่างนั้น ก็อาจจะทำให้เราทุกข์ได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อย่างนั้นเราถามท่านใหม่ว่า สิ่งนี้เรียกว่า (ตะกร้าดอกไม้)  ตะกร้าดอกไม้มีความหลากหลายอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความหลากหลายนั้นก็มีความเป็นหนึ่งอยู่รวมกันคือเรียกว่า หนึ่งตะกร้า ฉะนั้นเราจะเรียกว่าดอกไม้ หรือเรียกว่าตะกร้า หรือเรียกว่าหนึ่งก็เรียกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะในนี้มีความหลากหลายอยู่และมีความเป็นหนึ่งอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าเราบอกว่าเป็นตะกร้าดอกไม้ก็ได้ ดอกไม้อย่างเดียวก็ได้ และก็เป็นอะไรได้หลายอย่างแล้วแต่เราจะคิดแล้วแต่เราจะจินตนาการ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตัวเราเป็นหนึ่งหรือเป็นหลากหลาย (เป็นหนึ่ง, เป็นหลากหลาย) เป็นหลากหลายอารมณ์แล้วก็เป็นหนึ่งได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดถอนตัวเรา ใครจะพูดอย่างไรเราก็ไม่รู้สึกใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นคนบ้าเวลาบ่นไหม (เคย) พอไม่มีคนรองรับคนที่พูดก็กลายเป็นคนบ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะ ถ้าเกิดท่านกำลังว่าใครคนนั้นไม่รองรับท่านก็จะกลายเป็นคนบ้า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในทุกๆ เรื่องเพราะมีตัวตนซ่อนอยู่เราจึงต้องแบกรับสิ่งที่ถูกกระทบ แต่ถ้าเกิดเราดึงตัวเราออก สิ่งนั้นก็กลายเป็นความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่มนุษย์ยังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มองไม่เห็นว่าในความเป็นหนึ่งนั้นมีความหลากหลาย และในความหลากหลายก็สามารถกลับสู่หนึ่งได้ และในความหลากหลายหรือความเป็นหนึ่งผลสุดท้ายก็คือความว่างเปล่า ถึงจะหลากหลายแค่ไหน ผลสุดท้ายในความหลากหลายก็คือความว่างเปล่า สิ้นสุด ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ธรรมจะทำให้เรามองเห็นความจริง เราจะเข้าใจธรรมได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่มองออกแต่ไม่ย้อนกลับมามองที่ตัวเอง ใช่หรือไม่
เรามักจะถามท่านว่า ระหว่างดอกไม้กับตัวคน ท่านเลือกอะไร (เลือกคน)  เลือกคนแต่บางครั้งหลังๆ ก็ดอกไม้ ใช่ไหม ไหนใครอยากได้ดอกไม้ยกมือขึ้น เราถามท่านนะทำไมถึงอยากได้ดอกไม้ เพราะว่ามันสวย ใช่ไหม สงสัยเราสวยสู้ดอกไม้ไม่ได้ อยากได้เราก็ให้นะ แต่อย่าลืมตั้งชื่อให้ดอกไม้ ดอกไม้สะท้อนความจริงของชีวิตคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเวลา และมีวันหมดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างมีวันถึงที่สุด วันนี้เราจะสุขกับเขา แต่วันต่อไปทุกข์เราก็ต้องทำใจให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อยากได้ดอกไม้ใช่ไหม เพราะเขาอยากซื้อใช่ไหม อยากซื้อเราก็ให้นะ ชีวิตที่อยากซื้อแต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องกลับสู่ความว่างใช่ไหม (ใช่)  อยากได้เพราะ (มีสีสันสวยงามหลากสี)  สวยงามแต่ที่จริงแล้วมีความร่วงโรยอยู่ สวยหรือไม่สวยมองให้เห็นชัด ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เห็นจะทำให้เราต้องทุกข์ใจ เมื่อถึงวันที่เราไม่ได้เห็นสิ่งที่มากกว่านั้น เหมือนเราชอบแต่ถึงเวลาสิ่งที่เราชอบล้วนมีการเปลี่ยนแปลงได้ ใช่ไหม (ใช่)  
ถ้ามนุษย์มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น มนุษย์จะไม่มีวันเห็นมากกว่าที่เห็นได้เลย เราเห็นอะไรมากกว่าดอกไม้ไหม เราเห็นอะไรมากกว่าผู้คนไหม ถ้าเราสามารถเห็นได้เราจะรู้ว่าใดๆ ในโลกล้วนไม่น่าอยากได้เลยและล้วนไม่น่าหวังจะมีเลย จริงหรือไม่ (จริง) แต่ในโลกมนุษย์ทุกคนล้วนยังอยากได้อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  อยากได้แต่ไม่อยาก (เสีย)  เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยากได้ดอกไม้ มีเหตุผลที่อยากได้ไหม (เพราะว่าดอกไม้มีหลายอย่าง สวยงามมากและบางดอกก็มีกลิ่นหอม)  บางครั้งชีวิตอย่าเป็นไปตามคนขีดไว้อย่างเดียว เราต้องรู้จักขีดเส้นให้กับชีวิตตัวเราเองด้วย มีหลายคนที่เราชวนคุยด้วยแต่ไม่ค่อยอยากไปกับเราเลย เอาแต่ก้มหน้า อย่างนั้นเราจะเข้าเรื่องต่อแล้วนะ ที่เราชวนคุยมานั้นเป็นเรื่องราวไม่ใช่ไร้สาระเลย และเป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึงด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่เรารู้ก็คือ ทุกชีวิตล้วนคือธรรม ธรรมอันเป็นธรรมชาติ และในธรรมอันเป็นธรรมชาติ ล้วนแฝงสัจธรรมอยู่ ผู้ใดที่ประจักษ์แจ้งในสัจธรรมภายใน ย่อมพบความจริงสู่ภายนอก ทุกชีวิตเรียกว่าธรรมชาติ ในธรรมชาติล้วนมีหลักแห่งสัจธรรมอยู่ เมื่อไหร่ที่เราประจักษ์ชัดหลักสัจธรรม เราจะพบความจริงที่นำพาให้มนุษย์เป็นอิสระ และบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง เราเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะสอนให้ละชั่วทำดี เข้าถึงความบริสุทธิ์ แต่มนุษย์ยังติดอยู่แค่ดีชั่วเลยไปไม่ถึง (ความสุข)
ทุกสิ่งล้วนมีหลักสัจธรรม ทุกสิ่งคือธรรมชาติที่ล้วนมีหลักสัจธรรมซ่อนอยู่ ผู้ใดประจักษ์ชัดในหลักสัจธรรมจะพบความจริงที่จะนำพาให้มนุษย์พบอิสระ และบริสุทธิ์ที่แท้จริง เป็นประโยคที่เราอยากให้ท่านรู้ เพราะว่าแค่พูดแล้วท่านไม่เอาไปขบคิด หรือไม่ไตร่ตรอง ท่านจะมองไม่เห็นสิ่งที่เรากำลังจะสื่อให้ท่านเห็น ถามว่าตอนนี้จำได้ไหมที่เราพูดอะไรจำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์ยังเห็นดอกไม้เป็นแค่ (ดอกไม้)  ตัวคนเป็นแค่ (ตัวคน)  แล้วเราเคยเห็นดอกไม้มากกว่าดอกไม้ ตัวคนมากกว่าตัวคนไหม (ไม่เคย) ในตัวดอกไม้มีความไม่เที่ยงอยู่ไหม (มี) ความไม่เที่ยงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหลักสัจธรรม ในตัวคนมีความเที่ยงอยู่ไหม (ไม่มี) ในความไม่เที่ยงของตัวคน เรียกว่า (สัจธรรม)  เมื่อเห็นความไม่เที่ยงในตัวตนแล้วจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) ถ้าได้แล้วตอนนี้พ้นหรือยัง (ยัง) เพราะอะไรถึงยังไม่พ้น (ยึดติด) เพราะทุกครั้งที่โดนกระทบจะยึดติดแค่เพียงอารมณ์ชอบชัง แต่ไม่เคยเข้าถึงหลักสัจธรรม จริงไหม (จริง) โดนว่าทีหนึ่งเรามองเห็นเป็นความไม่เที่ยงไหม
เมื่อเราโดนว่าทีหนึ่งเราก็เห็นแต่อารมณ์ การจะฝึกจิตต้องมองเห็นมากกว่าที่เห็น โดนว่าทีหนึ่งต้องมองให้เห็นธรรม ถ้าเห็นตัวตนก็เป็นตัวตนเห็นคนก็เป็นคน แต่ถ้าเห็นธรรมในคนเราก็จะมีวันพบธรรมได้ ดอกไม้นี้เหี่ยวเสียแล้ว แถมร่วงด้วยแล้วท่านอยากจะเอาไปทำไมนะ ในโลกใบนี้สิ่งที่ท่านกำลังอยากมันไม่เหี่ยวได้หรือ ในโลกใบนี้สิ่งที่ท่านกำลังโมโหและกำลังดิ้นรนไขว่คว้า มันไม่มีวันสูญสลายได้หรือ มีวันสูญสลาย มีวันร่วงโรย มีวันเหี่ยวเฉา มีวันตายไป แล้วจะอยากทำไม หรือจะอยากแล้วรู้จักทำใจไว้ก่อนดีไหม แต่เราทำใจไหม เห็นสามียังเป็นสามี เห็นลูกยังเป็นลูก เห็นเงินยังเป็นเงิน แต่พุทธะไม่ใช่ พุทธะสอนให้เห็นมากกว่าที่เห็น แล้วจงเห็นให้บังเกิดธรรม เห็นบ่อยๆ แล้วธรรมก็จะกลับมาสู่ใจเรา ในตัวเรามีธรรมชาติ ในธรรมชาติมีหลักสัจธรรม หากเข้าใจในหลักสัจธรรมนั้น เราจะสามารถพบความจริงอันเป็นอิสระและบริสุทธิ์ที่แท้จริง แล้วเราเคยเห็นไหม
ถ้าวันนี้เราบอกว่าเราจะให้เลขสองตัวสนใจไหม (สนใจ)  แปลว่าที่ฟังมาไม่ได้เข้าใจเลย ถ้าได้ไปแล้วเป็นอย่างไร มันไม่เที่ยง มันมีวันหมด และมันมีวันเปลี่ยนแปลง ได้แล้วอย่าลืมนะทุกสิ่งก่อนที่เราจะได้เราต้องเสียแล้วจึงได้ ไม่มีอะไรในโลกได้มาฟรีๆ ท่านต้องเสียก่อนแล้วจึงได้ แล้วจะได้เพื่อเสียหรือเสียเพื่อได้ ยังสับสนอีกนะ เราอยู่ในโลกนี้เราต้องเสียก่อนแล้วจึงได้ แล้วจะได้เพื่อเสียหรือเสียเพื่อได้ (เสียเพื่อได้) ทั้งได้ทั้งเสียก็ไม่เอา เพราะถึงที่สุดแล้วเราไม่เคยได้อะไรเลยและไม่เคยเสียอะไรเลย นี่คือความจริงที่ท่านลืมไป คิดให้ดีๆ นะสิ่งที่ท่านบอกว่าท่านมีแท้จริงแล้วคือท่านกำลังไม่มีและไม่มีอยู่ทุกขณะ แล้วสิ่งที่ท่านบอกว่าท่านกำลังได้ จริงๆ แล้วท่านไม่ได้ แต่ท่านกำลังจะเสีย
เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตล้วนเดินไปสู่ความตาย และทุกขณะเราคือคนที่กำลังตาย อย่ามองว่าตัวเองเป็น มองให้ถูก เพราะคิดว่าตัวเองเป็น ปัจจุบันนี้ถึงประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือกำลังตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะอยากได้อะไรไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะเอาเปรียบใครไหม (ไม่)  ท่านจงจำไว้ว่าหลักสัจธรรมที่มนุษย์ชอบ คือการให้นำมาซึ่งความสุข การเอาเปรียบนำมาซึ่งความทุกข์ อยากให้ใครมีสุขจงรู้จักให้ แล้วคนที่ให้ก็จะสุขด้วย วันนี้ท่านอาจจะพูดว่า ดีใจได้กำไร ดีใจได้มากกว่าคนอื่น ดีใจฉันได้กำไรมากกว่าคนอื่น ดีใจฉันได้เยอะกว่าคนอื่น แต่เราจะบอกให้นะ ใต้หล้าฟ้านี้ไม่มีใครได้กำไรมากกว่าใคร เอาเปรียบเขามากแค่ไหน ท่านก็เสียเปรียบเขามากเท่านั้น ได้มากแค่ไหน แท้จริงแล้วท่านก็ต้องเสียมากเท่านั้น ฉะนั้นมองให้เห็นธรรม อย่ามีชีวิตมองเห็นแต่อารมณ์ เพราะธรรมจะนำพาเราให้พ้นทุกข์ และไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ตัวตนนี้ เจ็บก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่ใช่ของเรา ป่วยก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่เคยเที่ยง พลัดพรากก็ไม่ทุกข์ เพราะเราไม่เคยมี ได้มาก็ไม่ได้ดีใจ เพราะเราไม่เคยมีอะไรเป็นของเราแท้จริง ตัวเรานี้ของเราหรือ เสื้อผ้านี้ของเราหรือ คนที่รักนี่ของเราหรือ แล้วอะไรทำให้ท่านลืมไปล่ะ เพราะมนุษย์ใช้แต่อารมณ์มากกว่าสติและการเข้าถึงธรรม ทุกวันเราจึงปฏิบัติแล้วได้แต่อารมณ์มากกว่าได้หลักสัจธรรม เราจึงเข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์ เมื่อได้อารมณ์ก็ดี ก็ร้าย ก็ได้ ก็เสีย ก็ชอบ ก็ชัง แต่เมื่อใดที่เราได้หลักธรรม เราจะพบความอิสระและบริสุทธิ์ เกิดมาเพื่อจบ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเกาะเกี่ยวผูกพันให้เกิดวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ยังอยากวอนขออะไรจากเราไหม (ไม่)  ไหนใครกราบพระแล้วอยากขอบุญขอวาสนาบ้าง ยังอยากไหม (อยาก)  ถ้าอย่างนั้นจำไว้นะว่า เรื่องของวันนี้ล้วนเกิดจากการกระทำของเมื่อวานนี้ เรื่องของชีวิตวันนี้สุขหรือทุกข์ล้วนเกิดจากการสั่งสมในจิตใจเราที่กำหนดตัวตน ฉะนั้นวันนี้จะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับเมื่อวานนี้ ชีวิตตอนนี้จะสุขหรือทุกข์อย่างไร ขึ้นอยู่กับเรากำหนดตัวตนนี้ทั้งสิ้น
ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาจากการวอนขอ ล้วนได้เพราะการกระทำ และไม่มีอะไรในโลกที่เป็นเหตุทำให้เราเจอแบบนี้ นอกจากตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ดังที่มนุษย์มักจะกล่าวว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมชั่วย่อมหนุนนำคนชั่วให้ได้ชั่ว กรรมดีย่อมหนุนนำคนดีให้ได้รับผลดี แต่เกรงอย่างเดียวว่าคนดีจะดีไม่จริง มือทำบุญแต่ใจอาฆาต ปากให้อภัยแต่ใจยังจดจำไม่ลืมเลือน ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นชีวิตจะเป็นเช่นไร ไม่ใช่อยู่ที่ฟ้า ไม่ใช่อยู่ที่หมอดู แต่อยู่ที่เราคิดพูดและทำอะไร วันนี้อยู่ที่เมื่อวานและวันหน้าก็อยู่ที่วันนี้ เราเรียนรู้หลักธรรม ไม่ใช่เพื่อให้หลงงมงาย ไม่ใช่ให้หลงในทางปฏิบัติธรรม แต่เรียนรู้หลักธรรมเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในตัวตนและมองโลกให้แจ่มชัด เพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป โดยไม่ต้องพึ่งใคร พึ่งตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เช่นนี้ถ้าโดนคนว่าแล้วจะกลับไปต่อว่าเขากลับไหม (ไม่)  โดนเขาด่าจะกลับไปด่าเขากลับไหม (ไม่) เพราะอะไรที่ไม่คิดจะด่าเขากลับแล้ว เพราะว่ากลัวเป็นคนบ้าหรือเปล่า
วันนี้เรามาคุยกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รบกวนเวลาแค่นี้ได้หรือไม่ (ได้)  เราขอกลับก็คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่ (อยากได้วิธีปลุกสติ)  อยากได้วิธีปลุกสติหรือ ไม่ยากเลยนะ ทุกครั้งที่โดนกระทบจงนิ่ง ก่อนวิ่งไปตามอารมณ์ นิ่งแล้วมองให้เห็นธรรม เพราะความนิ่งเป็นรากฐานของสติ แต่ทุกครั้งที่เราโดนกระทบ เราไม่นิ่งและเราก็วิ่งไปตามอารมณ์ทันที ฉะนั้นทุกครั้งที่โดนกระทบนิ่งสักหน่อย ช้าสักนิดแล้วหยั่งให้ถึงธรรม แต่อย่าเอาแค่เห็น เพราะความคิด อารมณ์ ความรู้สึกล้วนนำพาให้มนุษย์ขังเป็นตัวตน แต่ถ้าเวลาโดนกระทบใช้คำว่า “พิจารณา” ให้บังเกิดธรรม การพิจารณาก็เรียกว่า “ภาวนา” หรือเรียกว่าทำความสงบให้เกิดจนบังเกิดเป็นสมาธิแล้วก่อเกิดเป็นปัญญา ต้องลงมือกระทำนะ แค่เราพูดไม่ได้ เพราะธรรมะเหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าเป็น “ปัจจัตตัง” ทำเอง รู้เอง สำเร็จเอง เอาแต่ฟังแล้วไม่ทำ ไม่มีวันค้นพบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะเกิดมาเพียงเพื่อตัวตนขังอารมณ์ตน หรือเราจะเกิดมาเพื่อค้นพบธรรมที่มากกว่านั้น
สุดท้ายแล้วนะ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์ประกอบไปด้วยกาย ใจและจิต พระพุทธะบอกว่าในกายใจและจิตมีเนื้อนาบุญอยู่ ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกอารมณ์ย่อมได้อารมณ์ที่เรียกว่าตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราปลูกสติและปลูกธรรม เราย่อมเข้าถึงธรรมที่ทำให้เราพ้นทุกข์ นับจากนี้คิดให้ดีๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่วิ่งไปตามอารมณ์ หรือมีชีวิตอยู่แล้วรู้จักมีสติพิจารณาให้เข้าถึงธรรม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทาสอารมณ์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ไม่จบสิ้นหรอกนะ แต่พุทธะต้องการให้ท่านรู้ว่ามนุษย์มีสิ่งประเสริฐที่เรียกว่า “มหาธรรมอันยิ่งใหญ่” ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธองค์ ไม่ใช่อยู่ที่องค์พระ ไม่ใช่อยู่ที่พระไตรปิฎก แต่อยู่ที่ตัวเรา นิ่งแล้วหยั่งให้ถึงซึ่งธรรมอันแท้จริง แล้วธรรมนั้นจะนำพาให้เราพบธรรม เริ่มต้นวิธีปฏิบัติง่ายๆ นะ ทำอะไรมีเมตตาไหม ถ้าทำแล้วไม่มีเมตตาอย่าทำ ง่ายไหม (ง่าย)
โมโหไปแล้วเรียกว่าเมตตาไหม ด่าไปแล้วเรียกว่าเมตตาไหม ความอยากเกิดแล้วเรียกว่าคนมีเมตตาไหม ฉะนั้นพิจารณาให้ได้ธรรม และธรรมจะมาสู่เรา และธรรมนั่นจะนำพาให้เราพ้นทุกข์และเป็นอิสระอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ เราไม่สามารถทำให้ท่านเชื่อได้ถ้าท่านยังตีกรอบตัวเองว่าไม่เชื่อ แต่อย่าลืมนะกรอบที่ท่านสร้างมันก็แค่สิ่งสมมติ แล้วทำไมเราปล่อยให้ชีวิตอยู่กับสิ่งสมมติ และเอาสิ่งสมมตินั้นครอบงำจนชีวิตมองไม่เห็นความจริง เงินทองเป็นสิ่งสมมติไหม คำชมคำด่าเป็นสิ่งสมมติไหม เราไม่เคยได้อะไรเลย เราไม่เคยเสียอะไรเลย เพราะเราไม่เคยมีอะไรเลย  ดังคำที่กล่าวว่า “เรามาตัวเปล่า ไปก็ไปตัวเปล่า เรามาคนเดียว ไปก็ไปคนเดียว” แล้วจะเกี่ยวคนอื่นให้เกิดกรรมและวิบากกรรมทำไม ทำไมไม่เกิดมาเพื่อจบแม้จะเลวร้ายก็ดีใจที่ได้ชดใช้กรรม แม้จะเลวร้ายและเจ็บปวดก็ดีใจที่ได้ชดใช้กรรม ไม่เคยเคืองโกรธไม่เคยด่าทอไม่เคยสูญเสียความดีในใจ
วันนี้ลองกลับไปพิจารณาให้ดีนะ อย่าเห็นแต่สิ่งที่อยากเห็นเลย ธรรมมีค่ามากกว่านั้น อย่าเอาคนมาวัดธรรม อย่าตีกรอบคนจนมองไม่เห็นธรรม น่าเสียดายนะ เพราะมนุษย์มีสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น มากกว่าเงินทอง มากกว่าชีวิต นั่นคือมีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม และนำพาให้ผู้คนพ้นทุกข์ นี่คือการปรกโปรดยุคสาม จะช่วยคนแปรเปลี่ยนจิตใจได้อย่างไร ถ้าตัวเรายังชั่วร้ายอยู่ จะทำโลกให้ดีได้อย่างไรถ้าตัวเรายังไม่ดีอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนโลกเปลี่ยนคนต้องเปลี่ยนที่ตัวเอง เริ่มต้นที่เรานะ ใจกว้างพอไม่มีใครเกินไปหรอก ใจกว้างพอไม่มีใครแย่หรอก ใจดีพอก็ไม่มีใครต้องให้อภัยหรอก ใช่ไหม (ใช่) เพราะใจเรากว้างไม่พอหรือเปล่า จึงยังมีคนที่เราต้องพยายามให้อภัย คิดดูให้ดีนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มองทุกสิ่งอย่าติดยึดต้องดีร้าย ความอยากไม่หวั่นไหวไม่สับสน
ถูกกระทบก็เข้าใจความเป็นคน ความทุกข์ทนไม่เคยทำทุกข์ใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคน ยังเบื่อฟังธรรมะไหม

คนที่แข็งไม่มีน้ำตา  ในด้านชาซ่อนความขี้แพ้ความอาย  บทจะทำเฉยเมย   เงียบจนสร้างปัญหา  เรื่องความคิด เรื่องจำเป็น  
* ตอนช่วยคนเจ้าอย่าเต๊ะไป  ยักท่าไปอะไรไม่ได้คุยกัน  น่าอึดอัดเหลือเกิน  ต้องอกไหม้ไส้ขม  เหมือนทุกครั้งที่แล้วมา  
** หัวยอมก้มลงมาหน่อยไหม  เรื่องเยอะแยะพูดแบบไหน  มีหัวใจด้วยไหม  ช่วยคนต้องไม่หยิ่งเกินไป  ให้คนมาพึ่งเจ้าเหงาคลาย  ยิ่งยศไม่ถือศักดิ์  
*** คนเข้มแข็งไม่ยืนเหนือคน  ไร้ผู้คนไม่มีเรื่องการบำเพ็ญ  มีธรรมในหัวใจ  ประกาศธรรมแทนฟ้าด้วยปัญญาทุกเรื่องราว
(ซ้ำ *, **,**)
ทำนองเพลง :ลมซ่อนรัก
ชื่อเพลง :ช่วยคนต้องเข้าหาคน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ยังต้องให้พูดอะไรอีกหรือ ฝึกฝนบำเพ็ญต้องเรียนรู้ให้มาก ไม่ว่าจะเป็นฟังมาก อ่านมาก และปฏิบัติให้มากด้วย ไม่ใช่ฟังแต่ไม่ปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติแต่ภายนอกแต่ลืมลงแรงปฏิบัติภายใน การประจักษ์แจ้งหลักธรรมต้องตื่นรู้ด้วยตัวเองนะศิษย์ ตื่นรู้ในความจริงแท้ของความเป็นคน คนที่เรามักมองเห็นแค่เป็นคน แต่เราต้องมองให้เห็นจนเป็นธรรม จนเอาธรรมจากคนมาได้ ไม่ใช่เห็นคนก็ยังเป็นคน เราก็จะยังต้องคนไม่จบสิ้น ต้องให้เห็นคนจนเห็นเป็นธรรม แล้วเราก็จะได้ธรรมอยู่ในตัวเรา จนตัวเราไม่มี แล้วเราก็คือธรรม อย่ายิ่งเห็นคนแล้วก็ยังคนไม่จบ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกมีความทุกข์กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่) เช่นนั้นวันนี้มาหาวิธีปลดทุกข์ดีหรือเปล่า (ดี)
“มองทุกสิ่งอย่าติดยึดต้องดีร้าย ความอยากไม่หวั่นไหวไม่สับสน
ถูกกระทบก็เข้าใจความเป็นคน ความทุกข์ทนไม่เคยทำทุกข์ใจ”
มองทุกสิ่งไม่ยึดติดว่าจะต้องดีต้องร้าย ไม่ไปตัดสินใครดีใครไม่ดี ใครร้ายใครดี เห็นก็แค่เห็น มองก็แค่มอง แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้ไม่ดี อันนี้แย่ ไม่ได้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมีดีมีแย่ ก็กลายเป็นมีบุญมีบาปมีเวรมีกรรม แต่ถ้าเกิดไม่มีดีไม่มีแย่ บุญก็ไม่ต้องยึดติด บาปก็ไม่ต้องเกี่ยวกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่เห็นก็อดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเริ่มต้นคิดอย่างนี้มันก็วุ่นไม่จบ แต่ถ้าเริ่มต้นเห็นแค่เพียงเห็นใครพูดโดนใจก็โดนใจ ใครพูดขัดใจก็เจ็บ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเริ่มต้นเราไม่ตัดสินดีไม่ดี เลวไม่เลว เห็นก็แค่เห็นไม่ต้องเริ่มมันก็จบ จริงไหม (จริง)  จบตั้งแต่ยังไม่เกิดเลย พระพุทธะจึงสอนว่า เกิดทุกทีก็ทุกข์ทุกที เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นตัวตนที่เราชอบแบบนั้นเกลียดแบบนี้ เอาแบบนั้นไม่เอาแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ต้องเริ่มก็จบ เห็นก็สักว่าเห็น สวยแล้วเป็นอย่างไร สวยแล้วมีสวยกว่าไหม ดีแล้วมีดีกว่าไหม แย่แล้วมีแย่กว่าไหม หล่อแล้วมีหล่อกว่าไหม ใช่ไหม (ใช่)  อย่าลืมนะทุกสิ่งมันแค่อยู่ชั่วขณะ ดีแค่ขณะหนึ่งแค่นั้นเอง อาจารย์ถามว่า ศิษย์เคยเห็นม้าไหม เขาจะบังคับให้ม้าเดินแบบป้องตาอย่างนี้ตลอดใช่ไหม แล้วเราชอบเป็นแบบนี้ไหม (ไม่ชอบ)  มองแล้วต้องอย่างนี้เราชอบไหม มองแล้วมองได้ไม่กว้าง ชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  เป็น กรอบของศิษย์นะมีเลย แบบนี้ดีแบบนี้ไม่ดี แล้วกรอบแบบนี้ใครมาแตะไม่ได้ แล้วเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ใช่ไหม (ใช่)  พอใครมาแตะหน่อย มาว่าฉันทำไม ฉันดี ดีก็ยังมีกรรมที่ติดยึด เลวก็ยังมีกรรมที่ยังผูกพัน ฉะนั้นถ้าจะเข้าถึงธรรม เห็นแค่เห็น รู้แค่รู้ กินแค่กิน ได้ไหม (ได้)  แล้วถ้ากินแล้วอร่อยล่ะอาจารย์ ใครเป็นแม่ครัวเนี่ยขอเห็นหน้าหน่อยเถอะ กินแล้วอร่อยคราวหน้าทำให้ได้อย่างนี้อีกนะ พอทำได้อย่างนี้ทำไมอร่อยเหมือนเดิม เริ่มมีเวรมีกรรมไหม อร่อยแล้วอยากมากินอีกไหม (อยาก)  มาฟังธรรมะกินเจอร่อยไหม ฉะนั้นอย่าทำให้มันก่อเกิดเวรกรรม กรรมที่ไม่จบสิ้น กรรมที่เป็นตัวตนสร้างตัวตนคือเราเอง แล้วก็หนีไม่พ้นอะไร พ้นตัวตนที่ตัวเองสร้างไว้ติดยึด อย่างที่อาจารย์บอกมองทุกสิ่งอย่าติดยึดว่าต้องดีต้องร้าย มองแค่มอง มีความอยากอะไร มันก็แค่นั้น สวยแล้วอย่างไร ดีแล้วอย่างไร รวยแล้วอย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกใช่ไหม จะไม่อยากมากกว่านี้แล้วใช่ไหม (ใช่) รู้แล้วก็เท่านี้ อย่างไรก็ยังเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าเรายิ่งยึดติดต้องดีต้องร้าย ยิ่งยึดติดว่าต้องอยากได้ยิ่งอยากได้ ต้องได้ไม่เสีย ฉะนั้นเวลาเราถูกใครกระทบก็ตาม เราก็เข้าใจแล้วว่ามันก็แค่นั้น เราไม่ได้โกรธ เราไม่ได้ตัดสินและไม่ได้ยึดติด ถึงจะทุกข์ขนาดไหนมันก็ไม่ได้ทุกข์ใจใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ในโลกถ้าไม่อยากทุกข์ทนลองถอนตัวเองออกมาจากการยึดมั่นถือมั่นนั้นนะศิษย์ และคนที่จะตีเราก็จะไม่ทำให้เราเจ็บ แต่มนุษย์อดไม่ได้ต้องยึดต้องถือ แล้วก็ต้องทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเกิดมาต้องทุกข์จริงไหม (จริง) หัวหน้าจริงไหม เราเกิดมาเราต้องทุกข์จริงไหม เราเลือกได้นะศิษย์ ของเรายังเลือกดีที่สุด ถ้ารู้ว่าคิดมากคิดทำไมเล่า วิ่งหนีหรือ ทำไมล่ะ จริงๆ เรื่องมันเกิดและจบแล้วนะ เรื่องมันเกิดและจบไปนานแล้ว แต่สิ่งที่ไม่จบคือสิ่งที่มันคิดอยู่ในสมอง ฉะนั้นถ้าไม่อยากจะทุกข์ไม่ใช่ปล่อยวางเขา แต่ต้องปล่อยความคิด ด้วยการรู้เท่าทันความคิดตน ว่าคิดแล้วมันทุกข์คิดทำไม จริงไหมคิดแล้วมันมีแต่วิตกทุกข์ร้อน ก็ก้มหน้ายอมรับสิ จะทุกข์อีกสักกี่ที โดนด่าเจ็บไหม (ไม่เจ็บ) ไม่เจ็บ แต่จำไม่ลืม ฉะนั้นคำว่าปล่อยวางศิษย์ต้องใช้ให้ถูก ไม่ใช่ปล่อยเขา แต่ต้องปล่อยความคิดด้วยการรู้เท่าทันใจตน อยากดับทุกข์สิ่งสำคัญคืออะไร (ปล่อยวาง)
เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร (ปล่อยวาง)  ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดและดับอยู่ทุกขณะ แล้วยังจะต้องไปปล่อยอะไร มันเกิดและจบไปแล้ว แต่คนที่ไม่เคยยอมจบอะไรง่ายๆ ก็คือตัวศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าบางทีที่ศิษย์ทุกข์หรือกลุ้มกังวลอยู่อย่างนี้ เป็นเพราะเรื่องอดีตกับอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  และก็ทุกข์อยู่กับความคิด ความคิดที่เป็นอย่างไร ช่วยตอบอาจารย์หน่อยนะ อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ได้คิด ตอนนี้ศิษย์จะต้องพึ่งตัวเองแล้วนะ อย่าเอาแต่วอนขออาจารย์ อาจารย์จะสอนให้ศิษย์รู้จักพึ่งตัวเอง เพราะเมื่อถึงเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถช่วยได้ถ้าเราไม่รู้จักก้าว และไม่รู้จักคิดให้เป็น คำพูดดีขนาดไหน หรือคำอวยพรจะเลิศประเสริฐขนาดไหน แต่ถ้าเรายังคิดไม่ได้มันก็พ้นไม่ได้ อะไรดีๆ ศิษย์รู้ไปหมด อันนี้ถูกใจ อันนี้ดีใจ แต่เวลาทุกข์ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรล่ะศิษย์ที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้  เราต้องจับจุดให้ออก  ถ้าเราจับจุดออก  การจะพลิกก็ง่าย  แต่ถ้าจับจุดไม่ออก เอาไปแก้ที่ปลายเหตุ เอาแต่โทษคนอื่น ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฟ้าไม่ยุติธรรมใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมหนูต้องมาเจอกับคนแบบนี้  ทำไมเขาต้องทำกับหนูแบบนี้  อาจารย์บอกไว้ก่อนนะศิษย์ ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย  ไม่มีเรื่องบังเอิญ  สิ่งที่ศิษย์ได้รับนั่นล่ะคือความยุติธรรมที่สุดแล้ว  แต่เราแค่ไม่สามารถเดาได้ว่าเราไปทำอะไรมา กรรมถึงต้องเป็นแบบนี้  แต่ถ้าศิษย์คิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ มองนิสัยมองความเป็นตัวตนก็จะรู้เลยว่าที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะนิสัยฉันแท้ๆ  เพราะสิ่งที่ฉันกินสิ่งที่ฉันพูดแท้ๆ เลย  อย่าโทษคนอื่น ตัวเองล้วนๆ เลยจริงไหม (จริง)  ทุกข์ก็เพราะปากตัวเองเจ็บก็เพราะปากตัวเอง  ทุกข์ก็เพราะใจตัวเองเจ็บก็เพราะใจตัวเอง  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่าให้อะไรล่ะถึงจะพ้นทุกข์ อะไรก็ให้ทำใจกับให้ปลง  มันก็เลยทั้งทำใจและปลงไม่เคยได้ ปัญหาอยู่ที่ใจนะ  สมมติว่าเราหนีคนนี้ได้แต่ถ้าใจเราติดเรื่องนี้เดี๋ยวก็ต้องไปเจอใหม่  ฉะนั้นเราต้องรู้อะไรล่ะ ถึงจะพ้นทุกข์ (รู้ทันความคิดตนเอง  รู้ทันจิตตนเอง  รู้ทันในตัวเอง  รู้เท่าทันใจตัวเอง  หยุดที่ความคิดของเราเอง  มีสติและรู้เท่าทันตัวเอง)  คนตอบได้อยากนั่งไหม  ไหนใครตอบได้ออกมาหาอาจารย์หน่อย  คนตอบไม่ได้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อไป คนที่ตอบ  ตอบได้ดี  อาจารย์ถามคนที่ตอบได้ ถ้าศิษย์ตอบได้ ศิษย์จะยอมยืนแล้วให้ทุกคนนั่ง หรือศิษย์จะนั่งแล้วปล่อยให้ทุกคนยืน หรือจะรู้จักส่งต่อ (ส่งต่อดีกว่าครับ เพราะไม่อยากเอาเปรียบกัน) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์หาคนมาช่วยตอบ ศิษย์ฝ่ายหญิงว่าอย่างไร (ยืนก็ยืนด้วยกัน นั่งก็นั่งด้วยกัน) ศิษย์ที่เหลือล่ะ (ยอมยืนแทน) ตอบได้ดี คนที่ส่งต่อเพราะไม่อยากตัดสินอะไรใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ไปยืนกับเขานะ บางครั้งชีวิตต้องรู้จักเลือกตัดสินนะศิษย์ เพราะถ้าคิดว่าดีก็ไม่เอา แย่ก็ไม่เอา อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้เรื่องเลยนะ จะดีก็ไม่ดีให้ถึงที่สุด จะแย่ก็ไม่แย่ให้ถึงที่สุด คนแบบนี้คบยากนะ จะพูดว่า “ผมไม่ตัดสิน ส่งต่อให้คนอื่นรับผิดชอบไปเลย” ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าคิดให้ดีก่อนนะ ทั้งที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์กลายเป็นโยนทุกข์ให้คนอื่นต่ออีก ศิษย์ฝ่ายหญิงยอมให้เขานั่งแล้วเรายืนใช่ไหม (ใช่) นักเรียนในชั้นยอมนั่งไหม (ไม่ยอม) นี่แหละศิษย์ จำไว้เวลาใครมาดีกับเรา เราอย่าเอาเปรียบ เรายังต้องรู้จักดีตอบและแผ่ขยายความดีให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่ใช่แค่ขอบใจแล้วปล่อยให้คนอื่นยืนต่อไป อย่างนั้นแล้วจะทำให้คนดีไม่มีกำลังใจ นั่งด้วยกัน ยืนด้วยกัน อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ยุติธรรม อย่างนั้นก็ไม่ต้องนั่งกันทั้งชั้นแล้วนะวันนี้ ดีไหม (ดี) อาจารย์ให้แอปเปิลเป็นรางวัลก่อนนะ ถ้ารางวัลเอาไปแล้ว มีแต่ความแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เอาไหม (ทานก็ตาย ไม่ทานก็ตาย)  ตอบได้ดีมาก อย่างนี้เรียกว่าฟังธรรมไม่เสียหลายนะศิษย์ อย่าไปยึดแค่คำพูดคนกินแล้วตาย คนเราอย่างไรเสียก็ต้องตาย กินแล้วต้องเจ็บ แล้วศิษย์จะเอาไหม (เอา)  มนุษย์ถึงได้ทุกข์ทุกวันนี้ แค่เกิดแก่เจ็บตายไม่พอ ยังเอามาเพิ่มให้ยิ่งแก่ยิ่งเจ็บ คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ของศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่อยู่ที่คนให้ แต่อยู่ที่ตัวเราดลบันดาลให้เป็นไป ถึงจะถือพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ปานใด แต่ถ้าใจมีสิ่งสกปรกมีกิเลสมีราคี ถือไปก็บาปเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ที่การปฏิบัติถ้าศิษย์ปฏิบัติได้ดีปฏิบัติได้ชอบมีศีลบริสุทธิ์ ดำรงตนได้งดงาม ไม่ต้องแขวนอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ ผีก็คุ้มครอง เชื่อไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
อาจารย์ยังไม่ทันเริ่มพูดธรรมะศิษย์ก็จบแล้ว อาจารย์พูดเริ่มก็จบทันทีเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นทำอย่างไรล่ะที่เราจะสามารถดับทุกข์ได้ ถ้าตามหลักพระพุทธศาสนาท่านก็สอนไว้ว่าอวิชชาก่อเกิดจึงตามมาด้วยตัณหาและอุปาทาน เมื่อไม่รู้จึงอยากแล้วก็ยึด แต่ถ้ารู้แล้วเราจะอยาก เราจะยึดไหม (ไม่ยึด) อยากไหม (ไม่อยาก) แล้วเราไม่รู้อะไร  ไม่รู้เท่าทันความคิดหนึ่ง ไม่รู้เท่าทันนิสัยอารมณ์ตนอีกหนึ่งใช่ไหม อีกหนึ่งคือ ไม่รู้ความเป็นจริงแห่งคำว่าตัวตนที่กำลังอยาก และหลงอยู่ใช่หรือไม่ เราเคยรู้ทันไหม ไม่เคยรู้เลย ดังนั้น พระพุทธะจึงสอนเป็นขั้นๆ เมื่อไม่รู้ก็ต้องทำให้รู้ด้วยการมีสติระลึกรู้ แล้วรู้อะไรที่จะทำให้เราไม่ประมาท แล้วหลงผิด แล้วเป็นทุกข์ (รู้เหตุ) รู้เหตุเพื่อหาทางดับผลใช่หรือไม่ ธรรมเกิดจากเหตุถ้าอยากดับก็ต้องดับที่ต้นเหตุถูกไหม (ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล) ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่เกิดทุกข์จริงไหม อาจารย์ว่าถึงไม่มีเหตุมันก็มีทุกข์อยู่ทุกขณะนะ เพราะความทุกข์เป็นธรรมดาของโลก และเป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่ต้องมี เราลืมไปหรือเปล่า ฉะนั้น ถ้าศิษย์อยากจะรู้แล้วไม่ทุกข์ รู้อะไร นั่นคือ “ระลึกรู้” หรือเรียกว่า “มีสติรู้” สติรู้ระลึกรู้อะไร (รู้ทันความคิด) รู้ทันความคิดที่เกิดขึ้นในใจ รู้ทันสิ่งที่มากระทบ รู้ทันสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่รับรู้ทางกลิ่นหรือรับรู้ทางประสาทสัมผัสใช่ไหม รู้แค่นั้นพอไหม เห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ พอไหม พอให้เราดับทุกข์และปลงตกได้ไหม ต้องรู้อะไร สิ่งที่พระพุทธะสอนให้ไว้มีสติระลึกรู้ นั่นคือ รู้ว่าคนเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็น (ธรรมดา) มีความตายเป็น (ธรรมดา) มีกรรมเป็น (ธรรมดา)พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่รักเป็นเรื่องธรรมดา มีได้มีเสียเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  มีสุขมีทุกข์เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ศิษย์ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเวลาที่ศิษย์ดูหนังจนจบ ก็ไม่สนุกอีกแล้ว ก็เหมือนกับที่เรามองชีวิตจนจบเห็นจนชัด มันจะพลิกซ้าย พลิกขวา เดินหน้า ถอยหลัง ให้รู้ว่ามันธรรมดา เพราะอาจารย์จี้กงเคยบอกแล้ว แต่ศิษย์มักลืมสติ ความระลึกรู้ พอถึงเวลาก็คิดว่า เขาด่าฉันทำไม ทั้งที่จริงๆ แล้วมีชมก็มีคนด่าเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่เราไม่ยอมทำให้เป็นเรื่องธรรมดา เราก็เลยกลายเป็นคนผิดปกติ และกลายเป็นคนขาดศีล ฉะนั้นความธรรมดา จะทำให้เรามีศีลโดยที่ไม่ต้องพยายามถือศีล แต่เมื่อไหร่ที่เรามองความธรรมดาเป็นไม่ธรรมดา เราก็เริ่มเป็นคนผิดปกติ ใจมันเต้น ตามันยอมไม่ได้ อย่างนี้แหละเรียกว่าไม่ธรรมดา ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกรู้มองเห็นความเป็นจริงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะรู้มันเป็นธรรมดา มันก็แค่นั้น
และสติระลึกรู้ยังสอนอีกว่า มนุษย์มีกรรมเป็นต้นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ใครทำกรรมร้ายหรือกรรมดีอย่างไร จะต้องรับผลกรรมอันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้เราก็ไม่ต้องเกี่ยวกรรม แต่ถ้าเรายังไม่รู้เราก็ยังอดสร้างวิบากกรรมไม่ได้ ถ้าศิษย์ศึกษาหลักธรรม อย่าอ่านแค่อ่าน แต่อ่านแล้วพิจารณาหยั่งให้ลึก มองให้ถึง เพราะทุกประโยคมีความหมายหมด ถ้าเราระลึกรู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา เราก็จะจบได้ตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่จบไม่ได้ก็เป็นเพราะว่า เรายังไม่ยอม เมื่อยังไม่ยอมเราก็เลยต้องเกี่ยวกรรม เมื่อเกี่ยวกรรมแล้ว ทำแล้ว ก่อเกิดเป็นดีกับไม่ดี ดีก็เรียกว่าบุญ ไม่ดีก็เรียกว่าบาป จำไม่ลืมก็เรียกว่าจองเวร ฉะนั้นทุกขณะศิษย์สามารถทำบุญได้ และก็ทำบาปได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่วัด บุญคือสิ่งที่ทำแล้วใจมันฟูใจมันอิ่ม บาปคือสิ่งที่ทำแล้วใจมันแฟบ ดังนั้นเวลาด่าแล้วใจมันแฟบนั่นแปลว่าทำบาป แต่เวลาที่ทำอะไรแล้วมันสุขใจ อิ่มใจ นั่นคือกำลังทำบุญ เหมือนศิษย์ทำงานที่รับผิดชอบงานด้วยหน้าที่ ทำแล้วสบายใจ ทำแล้วมีความสุข นั่นคือทำงานด้วยบุญแต่ถ้าทำแล้วเจ้านายว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ ทำไปก็บาปไป ทำไปก็ด่าไป สวรรค์มีอยู่วันเดียวคือวันรับเงินเดือน นอกนั้นนรกหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  นรกทุกวันเลยหรือ น่าสงสารนะศิษย์เอ๋ย ฉะนั้นเมื่อมีบุญมีบาปก็ยังมีการก่อเกิดเป็นตัวตนที่ต้องรับผลบาปและผลบุญนั้น บุญทำไมทำแล้วไม่ได้ดี เพราะบุญถ้ายังอิงแอบไปด้วยกิเลสตัณหาราคะความยึดมั่นความหลง บุญนั้นก็ยังเต็มไปด้วยบาปอยู่นะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมศิษย์ทำบุญแล้วไม่ได้บุญก็เพราะว่าบุญที่ศิษย์ทำนั้นยังเป็นการโอบรัดเพื่อกลับคืนมาเป็นตัวตนให้เกิดทุกข์ ถ้าอยากจะเข้าถึงบุญที่แท้จริง บุญต้องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ พระพุทธะจึงสอนต่อไปว่า ในเมื่อมีดีมีร้ายอยู่ ยังมีอีกทางหนึ่ง ทางนั้นเรียกว่า ทางที่แผ้วถางกิเลส ความยึดมั่นถือมั่นในดีชั่ว เป็นทางสายกลางที่เรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วมันแผ้วถางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าทำแล้วมันชำระล้างกิเลสในใจตนแล้วยกจิตให้สูงขึ้น นั่นเรียกว่ากุศล แล้วกุศลนี่แหละที่จะทำแล้วเรียกว่าเป็นอกรรม ไม่มีตัวตนมารองรับผลต่ออีก แต่ถ้าทำบุญแล้วขอให้ร่ำรวย ขอให้ร่มเย็น ขอให้ลูกเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ คือทำบุญเพื่อมารองรับกลับมาเกิดใหม่ เราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้ายังหวังอย่างนั้นก็คือยังมีตัวตนให้ต้องไปรับทุกข์รับผลกรรมดีอยู่ ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แล้วแค่ทำแค่นี้แน่ใจได้หรือว่ารับผลแล้วจะได้ดี ไม่มีทางหรอกนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  อยากกลับมาเกิดเป็นคน ศีลห้าต้องครบ การทำบุญต้องยิ่งใหญ่พอ เพราะถ้าเกิดมาเป็นคนแล้วยากจนเอาไหม ฉะนั้นถ้าอยากกลับมาเกิดเป็นคนแล้วรวยอีก ต้องทำบุญเยอะๆ แบบไม่หวังผล ทำแบบปิดทองหลังพระ
ทำไปเลย แต่อาจารย์ขอเลือกทางนี้ ทำแล้วไม่ต้องกลับมารับอีก อาจารย์มาเพื่ออยากให้ศิษย์รู้ว่า เมื่อเราเรียนรู้หลักธรรมชีวิตมีทางให้เลือก แต่เราอย่าหลงกับการปฏิบัติธรรมหรืออย่ายึดมั่นกับธรรมอย่างตายตัว ธรรมมีค่ามากกว่านั้น ใช่ไหมมันมีบุญ มีบาป มีเวรกรรม กับอีกทางหนึ่งที่อาจารย์บอก คือ ทางที่พ้นไม่มีกรรมมารองรับแล้ว ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำแล้วสละตัวตนได้ ยิ่งหลุดพ้นกรอบแห่งความยึดมั่นในตัวตนได้ จึงเรียกว่า กุศล จะทำแบบนี้ไหม หรือจะทำแบบเดิมเอาไหม (ไม่เอา) ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์เสมอว่าทำบุญแล้วไม่เห็นได้ดีเลย ทำไมยังโดนคนว่า ทำไมยังโดนเคราะห์ภัยอยู่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะยกตัวอย่างง่ายๆ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น) อาจารย์บอกว่า ศิษย์มักจะชอบทำบุญ ทำบุญคือทำที่วัด แต่เวลาศิษย์ทำบาปศิษย์ทำที่ไหน อย่างเช่นง่าย ๆ อาจารย์ตบหัวเขา อาจารย์ด่าเขา อาจารย์เตะเขา แล้วอาจารย์ก็ไปวัด “สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย” เจอหน้าก็ไล่เขา รังเกียจเขา เราเป็นอย่างนั้นไหม เราเป็นคนดีแค่อยู่ในวัดไหม เราสงบนิ่งมากๆ เลย ยุบหนอ พองหนอ แต่พอเจอเขาโมโหหนอ ใช่ไหม บุญล้างบาปไม่ได้นะ แล้วอาจารย์ก็ย้ำเสมอว่า อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน ถ้าคนชิงชังแล้ว เจ็บแค้นแล้ว โกรธแล้ว เคืองแล้ว ต่อให้เราไปลูบหัวขอโทษเขา หายไหม (ไม่หาย) ศิษย์ยังไม่หายเลย แล้วศิษย์ไปเอาเขาถึงชีวิต กินหน่อย กินนิด ด่าหน่อย ด่านิด ไม่เป็นไรนะ เพื่อนกันหยิกหน่อยไม่เป็นไรนะ ความรู้สึกคนน่ากลัวนะ ยิ่งถ้าเป็นจิตที่อาฆาตมาดร้ายแล้วถึงขนาดจำแล้วจองเวรจองกรรม แม้ศิษย์จะทำดีขนาดไหนเขาก็ไม่ปล่อยเพราะทำเขาเจ็บไว้ใช่ไหมแล้วเขาจะเอาแค่ให้ศิษย์ร้องไห้หรือ แค่นั้นหรือจะสาแก่ใจ บางทีเขาไม่ทำกับเรา แต่เขาทำกับคนที่ศิษย์รักที่สุด มันเจ็บปวดมากนะ ฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับชีวิตคนและชีวิตใคร คิดให้ดีๆ อย่าเพียงเพราะอยาก โมโห หมั่นไส้ แล้วทำไป เดี๋ยวค่อยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทีหลัง ไม่มีใครชะล้างกันได้หรอกนะศิษย์ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกใคร และอย่าล้อเล่นกับชีวิตใคร เพราะกรรมเมื่อมันเกี่ยวแล้ว ปล่อยไม่เคยง่าย เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่ารักแล้วปล่อยง่ายไหม ห่วงแล้ววางลงไหม ยึดแล้วทิ้งได้ไหม (ไม่ได้) พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อมีโลภ มีโกรธ มีหลง ยังทำใจไม่ได้ เลิกไม่ได้ ท่านก็เลยสอนว่าโลภมากๆ ก็ต้องรู้จักให้ทาน โกรธมากๆ ก็จงรู้จักรักษาศีล หลงมากๆ ก็จงรู้จักมีสติปัญญา แต่นั่นมันเป็นหลายเหตุจากการที่ศิษย์ไปกระทำมาเรียบร้อยแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมจึงไม่แก้ตั้งแต่ต้นเล่าศิษย์ ให้เห็นก็แค่เห็น อย่าก่อเกิดจนเกี่ยวกรรมแล้วบอกว่าไม่เป็นไรหนูทำใจได้ หนูรับไหว เกี่ยวมาแล้วเป็นอย่างไร แรกๆ คิดว่าบุญพาวาสนาส่งให้เธอกับฉันมาเจอกัน สักพักอยู่กันไปกลับคิดว่า “บุญ” หรือ “กรรม” กันแน่ จริงไหม (จริง) แล้วตอนนั้นระวังจะจบไม่ลง คิดให้ดีๆ นะ ก่อนที่จะอยาก ก่อนที่จะยึด จงมีสติระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่เราอยากยึดหนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก มันเป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจงมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา และมองให้เห็นด้านความเป็นจริง อย่าเอาแต่ตามใจ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องตามจริงมากกว่าตามใจ ถ้าตามใจมันไม่ใช่ธรรมแต่มันเป็นกรรม กรรมที่หนีไม่พ้นไม่ว่าดีไม่ว่าร้าย ไม่ว่าวิบากกรรม ไม่ว่าจองเวรจองกรรม
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติที่ทำให้เราสามารถชำระล้างความยึดมั่นถือมั่น ความหลง กิเลส อวิชชา ตัณหาทั้งหมดสิ้น จึงมีกิเลสตัวตนให้ยึดถือ ฉะนั้นเรามองชีวิตให้รู้ อย่างที่อาจารย์พูดบ่อยๆ วันเกิดจริงๆ ไม่ใช่ แต่เรากำลังตายอยู่ทุกขณะ แล้วเพื่อนที่อยู่ในโลกก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันจะเบียดเบียนทำร้ายกันไปทำไม ใช่หรือไม่ มีสติระลึกรู้แล้วตัวเราก็จะไม่ต้องสร้างกรงแห่งความทุกข์ขังตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ช่วยคนต้องเข้าหาคน” ทำนองเพลง “ลมซ่อนรัก”)
ยังมีใครคิดว่าอาจารย์ท่องมาอีกไหม จะได้ให้มาท่องแข่งกับอาจารย์ดีไหม มีนักเรียนคนไหนร้องได้ไหม
“หัวยอมก้มลงมาหน่อยไหม เรื่องเยอะแยะพูดแบบไหน มีหัวใจด้วยไหม ช่วยคนต้องไม่หยิ่งเกินไป ให้คนมาพึ่งเจ้าเหงาคลาย ยิ่งยศไม่ถือศักดิ์”
คนโดยส่วนใหญ่เป็นคนหัวแข็ง ไม่ค่อยยอมกันง่ายๆ แล้วก็ไม่ยอมก้มหัวให้กันง่ายๆ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าศิษย์อยากได้ใจของใคร อยากช่วยใจของใคร หัวเราต้องรู้จักอ่อนน้อม เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับคนในสังคม อยากไปไหนก็เป็นคนที่มีแต่คนรักก็จงรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาจารย์ถามแล้วศิษย์ตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)  ถ้าตอบได้อาจารย์มีรางวัลให้เป็นการเพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตาย เอาไหม (ไม่เอา, เอา)  อาจารย์มีผลไม้สองลูก ลูกหนึ่งอาจารย์รู้ชัดทุกอย่างว่าถ้ากินแล้วจะเป็นอย่างไรแล้วจะมีผลอย่างไร กับอีกลูกหนึ่งกินแล้วไม่รู้อะไรเลย ถ้าเป็นศิษย์มีชีวิตอยู่ ศิษย์จะเลือกแบบคนที่รู้ทุกขณะที่กำลังทำ หรือไม่รู้อะไรเลย (รู้ทุกขณะที่กำลังทำ)  รู้ผลไม้หรือรู้สิ่งที่กระทบชัดหรือรู้ตัวเองชัด (รู้ตัวเอง)  ศิษย์เอยนอกจากรู้ตัวเองไม่พอยังต้องรู้สิ่งที่มากระทบด้วยว่ามันไม่เที่ยงไม่แท้ไม่ทนเหมือนกัน เลือกแบบไหนรู้ชัดหรือไม่ชัด จะรู้ชัดได้ก็ต่อเมื่อต้องมีสติเมื่อเวลาจะทำอะไร แต่คนโดยส่วนใหญ่ในโลกเลือกที่จะปล่อยให้ตัวเองไม่รู้แล้วปฏิบัติ ดำรงชีวิตอย่างคนไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องรู้แล้วนะ (เลือกเอาแบบที่ไม่รู้)  ทำไมหรือ (เพราะมันไม่ทุกข์  ไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ทุกข์)  จริงไหม บางทีรู้มากก็ทุกข์มากตอบได้ดี บางทีไม่รู้อะไรเลยดีที่สุด แต่ความเป็นจริงเราจะไม่รู้ไม่ได้ แต่บางครั้งไม่รู้นั่นแหละดีกว่า ฉะนั้นต้องแยกให้ออก ระหว่างความจริงแห่งคนความจริงแห่งชีวิต กับรู้ในสิ่งที่เขาเป็นตัวเป็นตนแบบนั้น บางทีไม่รู้ดีกว่า รู้มากก็เจ็บมาก  รู้จริงก็ทุกข์จริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  เขาตอบได้ดีนะบางอย่างไม่รู้ดีกว่า ไม่รู้อะไร ไม่รู้จักความเป็นคนของคนๆ นี้  นิสัยแบบนี้  รู้ชัดมากก็เจ็บมากใช่ไหม (ใช่)รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ยิ่งเจ็บใหญ่ เขาคิดว่าเราไม่รู้หรือ ที่จริงเรารู้ ฉะนั้น บางทีไม่รู้ก็ดี ฉะนั้น จงเลือกใช้ธรรมให้ถูก สิ่งที่อาจารย์ให้รู้คือ ระลึกรู้ความเป็นจริงของคำว่า “ชีวิต” และ “ธรรมชาติ” ที่มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันหาความแน่นอนไม่ได้ ถึงเราจะรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ แต่ศิษย์คิดว่าเขาไม่เปลี่ยนหรือ ใจเรายังมีวันเปลี่ยน คนก็ยังมีวันเปลี่ยนไป ฉะนั้นอย่าตอกย้ำว่าแบบนี้มันเจ็บ ไม่แน่เขาเปลี่ยนไปแล้วแต่เรายังพูดว่าเป็นแบบนี้ เขาก็เลยยังเป็นแบบนี้ให้ศิษย์จริงไหม เหมือนที่ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนพูดไว้ เห็นในสิ่งที่อยากเห็น บางทีเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ตาเรายังปักใจเชื่อว่าเขาเป็นแบบนี้ จริงไหม
มีใครจะตอบอาจารย์อีก (เลือกเอาแบบที่รู้) รู้ด้วยอะไร (ถ้ารู้แล้วจะได้หาทางแก้ไข) รู้ให้ดี รู้ให้ชัดนะ อย่ารู้อย่างคนหูเบานะศิษย์ ให้ฟังหูไว้หู (ถ้าเรารับรู้สติ รับรู้สิ่งที่มากระทบ สมมติว่าถ้าแอปเปิลมีพิษเราก็คงไม่รับ เรามีสิทธิที่เราเลือก ส่วนแอปเปิลที่ว่างเปล่าที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร ตรงนั้นเรารับมาแล้วเราพิจารณาระลึกได้เราก็จะมีความสุขกับการได้รับ)  ศิษย์ตอบได้ดี ศิษย์ตอบว่า แม้อันนี้ยังไม่รู้ แต่ถ้าคิดว่าจะเอาก็ต้องพยายามรู้ให้จงได้ เพื่อทำให้สิ่งที่ไม่รู้กลายเป็นสิ่งที่รู้แล้วไม่ทำให้ทุกข์ จำไว้นะศิษย์ แม้มันจะเป็นพิษ แต่คนที่มีปัญญา พิษก็กลายเป็นยาได้ ทุกข์ก็กลายเป็นความพ้นทุกข์ได้ ศีล สมาธิไม่สู้ปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตและสรรพสิ่ง
(บางครั้งสิ่งที่เรารู้อาจเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ก็ได้) ตอบได้ดีนะ เพราะบางครั้งสิ่งที่เรารู้ ถึงที่สุดก็เหมือนไม่รู้ และสิ่งที่ไม่รู้บางทีถ้าเพ่งดีๆ มองดีๆ เราก็จะได้รู้ ฉะนั้น อย่าวางใจว่าเรารู้ไปหมด บางครั้งรู้ก็เหมือนไม่รู้ ฉะนั้น มองธรรมอย่ามองอย่างตายด้าน มองธรรมอย่ามองอย่างยึดติด แต่จงมองแล้วสามารถทะลุทะลวงจนเกิดปัญญาแจ่มชัด จึงเรียกว่ามีธรรมแล้วใช้ธรรมเป็น ไม่เห็นหนึ่งเป็นแค่หนึ่ง ตอบได้ดีนะ
เอาหนึ่งลูกหรือสองลูกดี (เอาสองลูก เพราะเอาอีกลูกให้คนที่รักครับ)  เอาลูกที่รู้หรือไม่รู้ให้คนที่รัก คิดให้ดีๆ นะ (เอาลูกที่รู้ให้)  แน่ใจนะเพราะบางทีคิดว่ารู้ นั่นแหละอาจจะไม่รู้ รับผลไม้นะ บางทีจับอะไรสองอย่างไม่ได้นะศิษย์ ต้องวางสักอย่างหนึ่งก่อนนะ  มีใครจะตอบอาจารย์อีกบ้าง เวลาใกล้หมดแล้วนะ (ไม่อยากเลือกอะไร เพราะบางอย่างเรารู้แล้วว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ เช่น ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หรือบางอย่างที่เราไม่รู้ เราก็ทำเฉยๆ ไป)  ตอบได้ดีมีปัญญาปรบมือหน่อยนะ บางครั้งถ้ารู้ก็เจ็บปวด ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องรับรู้ ว่ามันจะทุกข์หรือสุข อย่างนั้นก็ไม่รู้เลยดีกว่า แต่ชีวิตของศิษย์ถ้ารักษาอย่างนี้ไว้ได้ก็ดี แปลว่าเป็นคนที่รู้จักพอ ไม่มีเพิ่ม และแม้ถึงจะลดก็ไม่เป็นไร ถ้าทำได้อย่างนี้ พอได้จึงดี เพราะไม่พอจึงไม่ดี
(เลือกทั้งที่รู้และเลือกทั้งที่ไม่รู้ เพราะจะเอามาเปรียบเทียบว่ายังมีอะไรที่เรายังไม่รู้)  อาจารย์ขอเปลี่ยนความคิดนิดหน่อยนะ เลือกทั้งสองอย่างเพราะทุกขณะชีวิตเรา มีสิ่งที่รู้และไม่รู้อยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งก็เปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะว่าบางอย่างอยู่กันคนละเรื่อง อยู่คนละเหตุปัจจัย สู้เอาไว้เป็นแง่คิดว่าบางอย่างในชีวิตเรารู้ แต่บางอย่างในชีวิตทำอย่างไรก็ไม่รู้
(ไม่เลือก เพราะถ้าเราเลือก เรายังไม่รู้จักปล่อยวาง ละความคิดในจิตใจของเรา เรายังมีความโลภ เรายังไม่มีที่สิ้นสุดแล้วเราก็เดินสู่ทางธรรมไม่ได้)  ไม่เลือกทั้งรู้และไม่รู้หรือ ไม่ได้นะ เพราะว่าเราอยากดับทุกข์ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ แต่สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์คือขอไม่รู้ภายนอกแต่ขอรู้ภายใน เลือกที่จะไม่รู้ใครแต่เลือกที่จะรู้ใจ อย่างนี้ดีกว่าไหม
(เลือกทั้งรู้และไม่รู้ แล้วแต่ช่วงสถานการณ์ที่เจอเรื่องหลายๆ อย่าง บางครั้งรู้ก็อาจจะมีประโยชน์กับเรา ไม่รู้ก็อาจจะเป็นประโยชน์กับเราก็ได้ ซึ่งในช่วงชีวิตมีทั้งรู้และไม่รู้)  ตอบได้ดี นั่นคือขอให้มีใจอยู่ทุกขณะที่บางครั้งแม้รู้ก็เหมือนไม่รู้ แม้ไม่รู้แต่บางทีก็ต้องพยายามรู้ในบางเรื่องที่ควรเป็นนะ
(เลือกไม่รู้)  เพื่อที่จะได้รู้ ใช่ไหม แต่ถ้าขาดสติเดี๋ยวไม่รู้ก็จะไม่รู้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นถ้าไม่รู้แล้วก็ต้องพยายามที่จะรู้ เพราะเราเริ่มต้นจากความไม่รู้เพื่อเดินไปสู่ความรู้
(เลือกรู้ทุกเรื่อง เพราะต้องรู้จักยอมรับ)  แล้วทุกเรื่องเราจะรู้ได้เราต้องมีสติและยอมโง่ก่อน ถ้าไม่โง่ความรู้ก็จะไม่มีวันไหลเข้ามา ถ้าเอาแต่อวดว่าตัวเองรู้ เราก็จะไม่มีวันได้รู้ อยากรู้เยอะต้องยอมโง่ อยากรู้เยอะต้องฝึกฟังให้มากถึงจะรู้เยอะ
(ไม่รู้ เพราะว่าคนเราเหมือนแก้วหนึ่งใบที่ว่างเปล่าแล้วก็จะมีคนมาคอยเติมให้เราเต็ม)  ถ้าศิษย์คิดอย่างนี้ ศิษย์ก็เป็นคนที่พร่องอยู่ตลอดเวลานะ มันก็ดีแต่บางครั้งเราต้องบอกตัวเราเองว่าเราพร้อมจะเป็นแก้วว่างและเราพร้อมจะเป็นแก้วเต็ม อย่าตายตัวกับความรู้ และอย่าตายตัวกับความไม่รู้ ไม่อย่างนั้นกลายเป็นแก้วพร่องที่รอคนมาเติมเต็ม ศิษย์ก็ไม่มีวันมีสุขเลยนะ จริงไหม
(เลือกเปิดใจรู้และก็ไม่รู้ ถ้าเรารู้จริง ก็แนะนำคนอื่นได้ ถ้าสิ่งที่เรายังไม่รู้ แล้วเราไปศึกษาเราก็จะได้รู้)  ตอบได้ดีนะ แต่บางครั้งจำไว้นะศิษย์ แม้จะรู้ชัดขนาดไหน แต่ทุกสิ่งพร้อมจะเปลี่ยนไป ถึงรู้แล้วก็อย่ามั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้มันจริง
(เลือกไม่รู้ เพราะบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่สมควรที่จะรู้ หรือว่าถ้าเรารู้ไปก็อาจจะส่งผลไม่ดี)  ก็ดีนะ บางครั้งสิ่งที่ไม่ควรรู้ก็อย่าไปรู้ สิ่งที่ควรเรียนรู้ก็ต้องเรียนรู้
(เลือกรู้ เพราะว่าอดีตที่เรารู้แล้ว เราก็จะได้แก้ไข และอนาคตก็จะได้ไม่เกิดซ้ำอีก)  เอาสิ่งที่รู้มาเป็นประสบการณ์สอนชีวิต อย่างนั้นจงเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดีนะ อย่าจดจำในสิ่งที่เลวร้าย ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราทุกข์ใจ เพราะคนเราเวลาจำแล้วลืมยาก ใช่ไหม (ใช่)
(เลือกที่รู้ เพราะว่าเราจะได้ทำใจยอมรับกับมัน เพื่อเจ็บก็รู้ว่าเจ็บ ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ ในเมื่อรู้แล้วก็จะได้ทำใจยอมรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ แล้วทำให้เราไม่เป็นทุกข์)  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ไม่จบสิ้นคืออะไรรู้ไหม (เราไม่ยอมรับกับมัน)  ไม่ยอมรับความจริง ใจไม่สู้พอ ทั้งที่จริงแล้วความจริงทุกคนก็เป็น
(เลือกที่จะรู้ ต้องรู้แล้วก็ควรระวัง เพื่อก้าวไปข้างหน้า)  เพื่อทำให้สิ่งที่เรารู้ไม่ทำให้เราทุกข์ใจและกล้าที่จะยอมรับกับมัน
(เลือกไม่รู้ เพราะว่าเรายังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือวินาทีต่อไปจะเป็นอย่างไร)  แต่บางครั้งศิษย์ก็ต้องพยายามมีความรู้ไว้บ้างเป็นพื้นฐาน ใช่เรายังไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าชีวิตมีเกิดมีตายมีร้ายมีเสียมีดีมีแย่ ต้องมีรู้ไว้บ้างนะ
(เลือกที่จะรู้ โดยศึกษาจากสิ่งที่ไม่รู้แล้วนำมาทำตาม)  ตอบได้ดีแต่ต้องพิจารณาให้ดีนะ สิ่งที่ทำตามบางครั้งมันก็มีเปลี่ยนแปลงได้ เขาบอกดีเราทำตาม แต่ถ้าไม่ดีอย่าไปโกรธเขา (ถ้าเรารู้ว่าเราไม่รู้เรื่องธรรมะ เราก็มาศึกษา แต่บางครั้งผู้ที่ใกล้ชิดเขาบอกเราว่าเขาไม่รู้ว่าเขาไม่รู้อะไร อย่างนี้ต้องทำอย่างไร)  เหมือนอาจารย์อยากให้ศิษย์ในห้องนี้รับรู้ในสิ่งที่อาจารย์บอก แต่อาจารย์ก็อยากบอกว่าบางคนเหมือนแอปเปิลที่เราปลูกและหวังให้ตกดอกออกผลอย่างที่เราหวัง ซึ่งมันเป็นไปได้ มันมีวาระบุญ วาระเหตุปัจจัย ฉะนั้นเราต้องใจเย็นๆ และอดทนรอ รากบุญของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนพูดปุ๊บเข้าใจปั๊บ แต่บางคนพูดแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นศิษย์ต้องใจเย็นและอดทนรอ ใช้ธรรมค่อยๆ กัดกร่อนความไม่รู้ ให้เขาได้รู้
(เลือกที่จะรู้ เพราะความลับบางอย่างที่คนใกล้ตัวเราไม่อยากให้เรารู้เพราะกลัวว่าเราจะทุกข์ ทั้งที่แท้จริงแล้วถ้าเขาบอกเราเขาจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารับได้ จึงเลือกที่จะรับรู้ดีกว่า ถ้าไม่รับรู้จะทุกข์มากเพราะใจมันอยากรู้)  แต่บางทีอาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์นะว่าถ้าเขาไม่ให้เรารู้ เราก็ไม่ต้องไปพยายามรู้ เราจะได้ไม่ทุกข์เพราะความพยายามอยากจะรู้ แต่ให้เปลี่ยนความคิดว่าเขารักเราจริง เรื่องที่แย่เขาถึงไม่อยากให้เรารู้ อาจารย์พูดตามตรงเพราะถ้าศิษย์รู้ว่าเขาไม่ดีจริงๆ ศิษย์รับได้จริงหรือ ลองใจถามใจลึกๆ ของศิษย์ดู เหมือนเรารู้ว่าเขาไม่ชอบและเกลียดนิสัยแบบนี้ของเรามากๆ เลย ศิษย์จะรับได้ไหม (ไม่ได้)  คิดให้ดีๆ นะ มองตัวเองต้องมองให้ชัดนะศิษย์
(เลือกที่ไม่รู้)  ทุกขณะเราเหมือนคนที่ไม่รู้ตลอดเวลา ดูเหมือนจะรู้แต่แท้จริงแล้วไม่รู้ ฉะนั้นเมื่อใดที่เราเจอสิ่งไม่รู้เราจงใช้สติทุกขณะและพิจารณาให้ออก ถ้ามันไม่ได้ก็จงกล้ายอมรับ เพราะคนในโลกเป็นโรคติดดี ร้ายไม่ได้ มันต้องดี และก็ต้องดี ฉะนั้นเราทุกข์ในวันนี้ก็เพราะว่าเราติดดี ต้องดี มีดี ได้ดี ถ้าไม่ดีไม่เอา
(เลือกที่รู้แต่จะรู้ธรรมะที่ถ่องแท้)  ต้องค่อยเป็นค่อยไปใจเย็นๆ บางครั้งไม่รู้ก็มีความสุขกว่ารู้เยอะใช่ไหม (ใช่)  (จะรู้หรือไม่รู้ก็ช่างมัน เดี๋ยวมันก็ดับไป)  ตอบได้ดีนะ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้พอถึงเวลาก็ช่างมัน เข้าโครงการนี้ไหมศิษย์ โครงการชั่งหัวมัน บางทีรู้หรือไม่รู้ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงที่สุดก็ให้ช่างมัน มนุษย์ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าติดดีเกินไป พอเราศึกษาธรรมเราก็คิดว่าชีวิตเราต้องดี ต้องมีแต่ดี ร้ายไม่ได้ แย่ไม่ได้ โดนด่าไม่ได้ เสียไม่ได้ อาจารย์อยากสรุปว่า จริงๆ แล้วควรมีไว้ทั้งสองอย่าง แล้วใช้อย่างไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์ ถ้ารู้แล้วมันทุกข์บางครั้งก็ไม่รู้ดีกว่า แต่ถ้าไม่รู้แล้วทำให้เราทุกข์ก็ต้องเรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หาตัวเองไม่เจอ)  บางครั้งการรู้จักตัวตนชัดก็ไม่ดี เพราะยิ่งเห็นตัวตนชัดก็ยิ่งมีกรอบเยอะ พอเวลาจะทลายกรอบมันยาก  อย่าพยายามหาเลยว่าตัวเองเป็นอย่างไร แต่ควรมองให้ชัดว่าตัวเองคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง มีทุกข์และว่างเปล่า ในความไม่เที่ยงมีทุกข์มีว่างเปล่า เรามีสิ่งที่ประเสริฐมากกว่ากายและหัวใจที่เต้นอยู่ นั่นคือ “จิต” จิตที่เหนือพ้นการเวียนว่ายตายเกิด จิตที่บริสุทธิ์และสะอาด อยู่พ้นกฎของไตรลักษณ์ที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน จิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการรูปลักษณ์ ไม่ต้องการที่อยู่ ขอเพียงแค่ตื่นรู้ และจิตนั้นจะนำพาให้ศิษย์กลับมาสู่อาจารย์ ความเป็นพุทธะที่อยู่ในตัวศิษย์ จงหาจิตนั้นให้เจอ สังขารมันไม่เที่ยง สังขารมีวันเสื่อมสลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเสื่อมสลายและคงอยู่ในใจ และทำให้อาจารย์ต้องกลับมาหาศิษย์ นั่นคือจิต จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่ดีงาม จิตที่นำพาให้ศิษย์ทุกคนพ้นทุกข์ได้ แต่เรามักติดอยู่กับสังขารและใจที่ชอบรู้สึกนั่นรู้สึกนี่ อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า อยู่ในโลกจงใช้จิตมากกว่าใช้ใจ เพราะจิตคือธรรม แต่ใจคืออารมณ์ความเป็นตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนแค่หยั่งก็รู้แล้ว  ถ้าทำแล้วมันไม่มีเมตตา  ทำแล้วมันดูถูกดูหมิ่นคน  ทำแล้วมันไม่ให้เกียรติคน  ทำแล้วขาดปัญญา  เราไม่ทำหรอกจริงไหม  แต่บางครั้งเราไม่เคยหยั่งลงไปในธรรมลึกๆ ในใจ  เราเอาแต่ใช้ใจใช้อารมณ์ใช้ความรู้สึก  คราวหน้าลองหยั่งเข้าไปในใจสิว่ามันอยากทำร้ายคน  อยากด่าคนไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “คุมใจ”)
ศิษย์ต้องรู้จักฝึกคุมใจตัวเองให้อยู่  ไม่เช่นนั้นคนดีของอาจารย์ก็พร้อมจะเป็นปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ได้จริงไหม (จริง)  เวลาร้ายก็ร้ายน่ากลัว  เวลาเย็นก็เย็นจนไม่น่าเชื่อเลยนะ
อาจารย์ฝากไปให้กำลังใจคนที่นั่นหน่อย  อาจารย์ขอเปลี่ยนเป็นขนมแล้วกัน  ไม่ได้ให้ขนมกลัวเป็นโรคอีก  เอาแอปเปิ้ลดีกว่า  อาจารย์เห็นเขากินกันมานานแล้ว  แต่บอกเขาว่ากินแอปเปิ้ลมากกว่ากินหวาน  ฝากไปให้กำลังใจทุกคนที่ลงแรง  ทุกคนที่อ่อนล้า  คนที่เหนื่อยบอกว่าอาจารย์เป็นห่วง  อาจารย์ให้กำลังใจอย่าเพิ่งยอมแพ้  ก้าวเดินต่อไปทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดมามีเหตุมีผล  เรามาเพื่อใช้กรรม  ถ้าละลายกรรมได้ก็ละลาย  ถ้าอดทนได้ก็อดทน  ถ้าอดทนไม่ได้ก็พักสักหน่อยแล้วกลับมาสู้ใหม่นะ
ถ้าศิษย์มีโอกาส จะมีการเปิดห้องพระที่จังหวัดลำปาง มีโอกาสไปร่วมกันนะศิษย์ ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกนะ จงตื่นรู้ด้วยสตินะศิษย์เอ๋ย ชีวิตเราเราเลือกเอง ฉะนั้นไม่ว่าจะเจออะไรเราก็ต้องสู้ อย่ายอมแพ้ กรรมใครก็ต้องรับเอาเอง ถ้าไม่อยากรับกรรมจงพิจารณาก่อนกระทำ แล้วเราจะได้ไม่ต้องรับผลของการกระทำของเรา อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น เห็นสักแต่เห็นได้ไหม ได้ยินสักแต่ได้ยินโดยไม่ตัดสินว่าใครดีใครร้าย ได้หรือเปล่า เพราะเราเกิดมาบนโลกนี้เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป ทำไมไม่ยืมใช้ให้เต็มที่ ไม่ใช่ยืมใช้แล้วยึดติดว่าเป็นของเรา อะไรก็ของเราหมด ทุกข์ก็เราทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วสังขารมันไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสุดท้ายที่อาจารย์อยากพูดกับศิษย์  ความเป็นจริงที่เรียกว่ากฎแห่งไตรลักษณ์ ที่ศิษย์ต้องรับรู้ไว้แล้วหนีไม่ได้ ต้องเจอกันอยู่ทุกขณะนั่นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดคือว่างเปล่าจากตัวตน ที่เรียกว่าสังขารที่ศิษย์ยึดติด สังขารนี้ ร่างกาย สิ่งของ อะไรก็ตามล้วนหนีไม่พ้นความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ซึ่งมันเป็นธรรมดาอยู่ทุกชีวิต ถ้าสังขารนี้ไม่เที่ยงแล้วมีทุกข์เป็นธรรมดา เราควรยึดเป็นของเราไหม (ไม่ควร)  แล้วควรรักมันไหม (ไม่ควร)  เห็นทั้งยึด ทั้งรัก ทั้งหลงเลย ใช่หรือไม่
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้ามนุษย์รู้ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ความไม่เที่ยงก็คือเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ มันมีอยู่แค่ชั่วคราว เราเห็นว่ามันมีอยู่ แต่ถึงเวลามันเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน) คำว่าเปลี่ยน และทนได้ยากได้นั่นคือทุกข์ แล้วเราควรไปทุกข์กับมันไหม (ไม่) เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน จะไปทุกข์ทำไม ถ้าเราไปเผลอยึด เราก็กำลังยึดกับความทุกข์และความเปลี่ยนแปลงที่หาตัวตนไม่ได้เลย ศิษย์เอยธรรมะจะทำให้เราเข้าถึง พอเข้าถึงก็รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงก็ไม่เอาแล้ว พอรู้ว่ามันไม่ทน พอไม่ทนก็ไม่โกรธแล้ว เดี๋ยวมันก็ตาย จะโกรธทำไมเดี๋ยวมันก็ตาย เมื่อไม่อยาก เมื่อไม่โกรธ แล้วมองเห็นมันว่างเปล่าจากตัวตนมันก็ไม่หลง เพราะอะไร สวยขนาดไหน ไหนล่ะตัวตนที่แท้จริง นี่คือหน้าตาที่หล่อที่สุดไหม ไม่จริง พอมองเห็นว่าหาตัวตนไม่ได้เราก็ไม่หลง เมื่อไม่อยาก ไม่โกรธ ไม่หลงเราก็บริสุทธิ์ ฉะนั้นความเกิดกับความตายจึงไม่ทำให้เราหวั่นไหว ความดีกับความร้ายจึงทำให้เราไม่ทุกข์ทน เพราะเราเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อไรที่ศิษย์กระจ่างแจ้งความเป็นเช่นนั้นเองในสัจธรรม ศิษย์จะพบธรรมในนี้ ธรรมที่เรียกว่า พุทธจิตธรรมญาณ ไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่มันอยู่ในนี้ รอศิษย์ที่นั่งทำตาปริบๆ เมื่อไรศิษย์จะพบพุทธะในตน เมื่อพบได้ศิษย์ก็ทำโลกนี้ให้เป็นแดนพุทธะ เมื่อไม่พบศิษย์ก็ยังต้องทุกข์ทน คิดให้ดีๆ นะว่าอาจารย์มาครั้งนี้มาปลุกมาฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณให้ศิษย์ตื่นจากการหลับใหล รีบๆ ตื่นแล้วกลับคืนบ้านเดิมกันนะ ศิษย์มีบ้านเดิมที่ยิ่งใหญ่ บ้านเดิมที่พ้นทุกข์ ไม่ใช่แค่สวรรค์ แต่คือนิพพาน มันไม่ไกล อยู่แค่ชั่วขณะจิต เราเข้าถึงปุ๊บก็ถึงทันที เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้แล้วใช้กรรมเท่านั้นนะศิษย์ ไม่ว่าจะร้ายขนาดไหน ดีแล้วได้ใช้กรรม ดีแล้วได้จบกรรม ดีแล้วได้หมดเวรกรรม ไม่ต้องไปโกรธเขาจริงไหม ได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นจงมีสติระลึกอยู่ทุกขณะนะศิษย์เอ๋ย แล้วศิษย์กับอาจารย์จะได้เจอกันอย่างแท้จริง เจอที่ไม่ใช่เรียกว่าตัวตน แต่เจอคือธรรมเจอธรรม ธรรมที่นำทางให้ศิษย์พ้นทุกข์ น้ำตาของศิษย์ไหลมากพอแล้วนะ ความทุกข์ของศิษย์มันเยอะแล้วนะ จะหยุดได้อย่างไร หยุดที่ตัวเอง หยุดด้วยการตื่นรู้ ไม่ต้องรอชาติหน้าชาตินี้ ใครไม่ดีก็ช่าง ฉันจะดีให้ได้ ฉันจะทุกข์แค่ไหน ฉันจะพ้นทุกข์ให้ได้ อย่ารอ ยิ่งรอมันยิ่งไม่ถึง ไม่ต้องกลัว เกิดเป็นคนต้องสู้ กลัวทำไมกับความทุกข์ กลัวทำไมกับความเจ็บ กลัวทำไมกับความตาย สังขารไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของเรา สิ่งที่ยิ่งใหญ่คือพุทธจิตที่อยู่ในตัวศิษย์ ที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ แต่เรายึดติดแค่เพียงใจ ใจที่มีอารมณ์ ใจที่ชอบใจที่ชัง มันไม่เที่ยงเลย มันไม่เหมือนจิตนะศิษย์ จิตมันประเสริฐกว่านั้น มันยิ่งใหญ่กว่านั้น ขอแค่เพียงตื่นรู้แค่นั้นเอง แล้วเราจะได้กลับบ้านเดิมกันนะ บ้านที่แท้จริง บ้านที่สงบจริง บ้านที่รักกันจริง บ้านที่เข้าใจกันจริงๆ กลับบ้านเถอะนะศิษย์ ห่วงแค่ไหนก็ต้องวาง รักแค่ไหนก็ต้องทิ้ง ใช่หรือไม่


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คุมใจ”
อารมณ์ของใจคนช่างน่ากลัว
ยามพันพัวหม่นหมองจนสับสน
ยามเบิกบานสงบเย็นช่างยอดคน
วางใจคนคือใจฟ้าธรรมนำทาง


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา