แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสี่ยวเซี่ยวฝอถง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสี่ยวเซี่ยวฝอถง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-21 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一六年 歲次丙申四月十五日                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙    สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
  โลภโกรธหลงตัดไม่ขาดปราบไม่สิ้น    แม้ใฝ่ดีติดเคยชินยากลดละ
รู้ธรรมแต่ไม่ปฏิบัติยากสละ              ก็ยากจะบำเพ็ญได้กลับคืน
           เราคือ
  เสี่ยวเซี่ยวฝอถง (小笑佛童)       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านยินดีร่วมศึกษาธรรมกับเราไหมหนอ
  คลื่นใต้น้ำรอวันจะปะทุ                ชะตาดุขาดคุณธรรมไปไม่รอด
จิตสำนึกขาดไปใจมืดบอด                กัดฟันกรอดใช้สติตัวเอง
จิตมุ่งมั่นดุจดั่งง้างธนู                     ปัญญารู้รอบเก่งตรงเป้าเผง
ทันหรือไม่หยุดมหันตภัยตัวเอง           ใจสู้เก่งเท่าใดหนาพิจารณา
เมื่อไม่สู้ภัยจากใจอ่อนแอ                รู้จักใจผ่านมองแผลยากรักษา
มีได้ยากดวงตาแห่งปัญญา               ผู้รู้จริงภาพลวงตาอันตรธาน
ธรรมบาล[๑]เป็นได้ด้วยฝึกฝน             ว่าไร้ตนจึงแท้ทุกสถาน
ใดวางใจรู้จริงธรรมญาณ[๒]                กอปรธรรมเป็นโลกบาล[๓]สำราญใจ
เป็นคนปราณงานบุญไม่บกพร่อง        ยิ่งจะต้องสามัคคีสู่ฟ้าใหม่
รู้ทันกันเป็นอุปสรรคปัญหาใจ           คนยอมละทิฐิได้เรียกบำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด



[๑] ธรรมบาล               ผู้รักษาธรรม
[๒] ธรรมญาณ             จิตเดิมแท้ เป็นรากฐานเดิมตามธรรมชาติแท้ของจิต
[๓] ธรรมเป็นโลกบาล    ธรรมคุ้มครองโลก

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

อยู่ในโลกนี้การพยายามจะมี บางทีก็ทำให้เราทุกข์ บางครั้งการพยายามจะเป็นก็ทำให้เราเจ็บปวด อยากเป็นคนเก่งบางครั้งก็ต้องเจ็บ
ก็ต้องทุกข์
ถ้าเราบอกว่าการมาอยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องมีอะไรเลย และไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  การพยายามจะมีเงินก็หนีไม่พ้นคำว่า “ทุกข์” เพราะว่าพอไม่มีก็ทุกข์ เมื่อมีแล้วไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ การพยายามจะเป็น
คนเก่งยิ่งพยายามก็ยิ่งเจ็บก็ยิ่งทุกข์ ฉะนั้นถ้ามาอยู่กับเราแล้วไม่ต้องมีและไม่ต้องเป็นจะดีไหม (ไม่ดี)  เอาไหม (ไม่เอา)  บอกว่ายิ่งมีก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเป็น
ก็ยิ่งทุกข์ เมื่อพยายามอยากจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ พอเป็นไม่ได้ก็ทุกข์ พยายามอยากจะมีอย่างคนนั้นให้ได้ พอไม่มีก็เจ็บ มนุษย์พยายามวิ่งหาความมี ความเป็น ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้น นึกว่ามีแล้วเป็นแล้วจะได้ไม่ทุกข์ไม่เจ็บ แต่ทำไมยิ่งมีก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเป็นก็ยิ่งทุกข์ ถ้าไม่ต้องมีอะไรเลย และ
ไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  ยังมีห่วงหรือ ห่วงที่พยายามจะมี แต่พอถึงที่สุดแล้วก็เหมือนไม่มี เพราะแม้จะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้เราห่วง ทำไมห่วงมากๆ เขากลับรำคาญ ฉะนั้นเรามีหรือเราเป็นอะไรจริงๆ หรือเปล่า เราถามท่านง่ายๆ แต่จริงๆ เป็นหลักใหญ่ของการศึกษาธรรมเลย เพราะมนุษย์ทุกคนพยายามที่จะมีจะเป็น แต่ยิ่งพยายามมีเท่าไร เรานึกว่าเรามีแล้วจะทำให้เราไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่กลายเป็นยิ่งมียิ่งเป็น ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งเจ็บ
ฉะนั้นเราจึงบอกท่านว่า อยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องมีอะไรเลย และไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  หลายคนบอกว่าไม่ดี อย่างนั้นเราถามจริงๆ
ว่าตัวท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ มีอะไรเป็นของท่านจริง (ไม่มี)  บอกว่ามีเงิน เงินเป็นของเรา แล้วใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  บอกว่าสังขารนี้เป็นของฉัน แล้วใช่ของฉันไหม (ไม่ใช่)  บอกว่าสิ่งนี้เป็นของฉัน แล้วถึงเวลาจะเป็นของฉันไหม
(ไม่เป็น)  อย่างนั้นถามต่อว่า ที่บอกว่ามนุษย์พยายามอยากจะเป็น
แต่แท้จริงแล้วเราเป็นอะไรจริงๆ ไหม (ไม่เป็น)  วันนี้เราเป็นแม่ แต่เมื่อไปอยู่กับเพื่อนแล้วเราเป็น (เพื่อน)  วันนี้เราเป็นคุณครู แต่เมื่อไปอยู่กับอาจารย์ เราก็กลายเป็น (ลูกศิษย์)  วันนี้เราอยู่กับแฟน เราก็เป็นคนรัก
แต่เมื่อเราไปอยู่กับคนอื่น เรากลายเป็น (เพื่อน, คนอื่น)  แท้จริงแล้วเราเป็นอะไร เมื่อเราอยู่กับเขาเราบอกว่าเราเป็นมิตร แต่เมื่อไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเขาว่าเราเป็นศัตรู ถึงแม้เราพยายามจะเป็นมิตรใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่กับเขา เราเป็นพ่อ แต่เมื่อเราไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง เรากลายเป็นเพื่อน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นแท้จริงแล้วเราเป็นอะไรกันแน่ เมื่ออยู่กับเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก แต่เมื่อไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเราเป็นผู้ใหญ่ แล้วเขากลายเป็นเด็ก ตอนนี้เราบอกว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่ผ่านไปอีกยี่สิบปี ผู้ใหญ่จะเป็นอะไร แล้วเราจะเป็นอะไร เหมือนตอนนี้เราอยู่กับท่าน เราดูเตี้ย
แต่ถ้าเราไปอยู่กับคนที่เตี้ยกว่า เราก็กลายเป็นคนสูง ถ้าเราไปอยู่กับคนผอมมากๆ เราก็กลายเป็นคนอ้วน แล้วถ้าเราไปอยู่กับคนอ้วน เราก็กลายเป็นผอม แล้วเราเป็นอะไร แล้วเมื่อถึงที่สุด เรามีอะไร (ไม่มี)  แล้วที่เราบอกว่า เราเป็นอาจารย์ เรามีความเป็นอาจารย์อยู่ แต่เมื่อเราไปพบอาจารย์ เราก็ต้องเป็น (ลูกศิษย์)  ใช่ไหม (ใช่)
ดังนั้นถ้าเราหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น บางครั้งเราก็จะ
ตกหลุมอากาศของตัวเองที่เผลอคิดไปว่า ฉันเป็นอาจารย์ และคอยจะสอนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งเราคิดว่าตัวเองสวย แต่เมื่อไปอยู่กับ
คนอื่น เราคิดว่าเราจะสวยจริงไหม หรือบางทีเราคิดว่าเราเก่ง เราแน่ แต่ถึงเวลา พอเราอ้าปากแล้วเราจึงรู้ว่า จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่เก่ง ไม่แน่เลย
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ต้องเป็นอะไร ไม่ต้องมีอะไรเลย ก็อาจไม่ต้องทุกข์ก็ได้ แต่การพยายามจะมีจะเป็น แล้วก็ตีกรอบให้ตัวเองว่าฉันต้องมี ฉันต้องเป็นให้ได้ แล้วผลสุดท้าย คนที่ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ก็คือตัวเราเอง เหมือนฉันจะดีจะมีความสุขได้ ฉันจะมีจิตที่เข้าถึงธรรมะได้ ฉันก็คิดว่าต้องสงบ แล้ว
ผลสุดท้าย ใครหรือที่กั้นตัวเองออกจากความสงบที่แท้จริง (ตัวเราเอง)
ขอถามท่านนะ เรามีอะไรหรือ แล้วเรากำลังเป็นอะไรหรือ เราไม่มีอะไร เราไม่เคยได้เป็นอะไรจริงๆ สักอย่าง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่เราถูกโดนว่า แล้วเราก็ไม่เป็นอะไรเลยเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
เพราะอะไร ก็เราไม่มีอะไรจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ สักอย่างเลย ฉะนั้นโดนว่าโง่ก็ไม่โกรธ โดนว่าว่าแก่ก็ไม่โกรธ เพราะเดี๋ยวก็ต้องแก่แล้วก็ต้องตายจริงๆ และถึงที่สุดก็ไม่รู้จะแก่อีกเท่าไรด้วย ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเราจะไม่มีใครรัก เราก็ไม่โกรธ เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรให้รัก แล้วเราจะโกรธอะไร แล้วถ้าไม่มีอะไรให้เป็น
เราจะทุกข์อะไร แล้วตอนนี้กำลังทุกข์อะไร ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ในเมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ฉะนั้นคนที่หลงคิดว่าตัวเองมี ตัวเองเป็น คนที่หลงตัวเอง คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่นั่นก็คือคนที่ไม่มองความจริงอย่าง
ถึงที่สุด แล้วเราเป็นไหม ถามจริงๆ เราเป็นอะไร แล้วเรามีอะไรหรือ (ไม่มี)  เราบอกว่าเรามี ถ้าไปเทียบกับคนที่มีมากกว่าเราก็เหมือนไม่มี เราบอกว่าเราไม่มี แต่ไปเทียบกับคนไม่มีจริงๆ เรากลับมี แล้วอย่างนั้นเรากำลังทุกข์กับอะไร แปลว่าเรากำลังทุกข์กับความหลงอันไม่มีที่แท้จริง และไม่เคยเป็นอะไรที่จริงแท้หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะมีความโลภอยากได้อะไรของใครไหม (ไม่อยาก)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  และเราจะหลงตัวเองไหม
(ไม่หลง)  เมื่อความโลภ โกรธ หลง ไม่มี หนทางแห่งทุกข์ หนทางแห่ง
บาปเวรก็หมดสิ้น เมื่อหมดสิ้นก็ไม่ต้องคุยอะไรต่อแล้ว ที่เราพูดกับท่าน
ง่ายไหม (ง่าย)  แต่ถ้าท่านเข้าใจ สิ่งที่ง่ายๆ นี้ก็จะสามารถทำให้ท่านตัดความโลภ โกรธ หลง ได้ทันที ถูกไหม เพราะเราไม่มีอะไรที่แท้จริงสักอย่างเลย เหมือนบางครั้งพยายามจะมีเงิน แต่ทำไมกลับยิ่งต้องเสียเงินก่อน
ถ้าอย่างนั้นที่เรากำลังได้มาหรือว่าเรากำลังจะเสียไป สิ่งที่ท่านเรียกว่า เกียรติยศ หน้าตา ชื่อเสียง แท้จริงก็คือ (หัวโขน)  ทุกท่านเรียกว่าหัวโขน อย่างนั้นก็ถอดหัวโขนออกมาบ้าง ก็เหมือนเรา อันนี้คือหน้าตาเราจริงๆ ไหม (ไม่ใช่)  เพราะหากถอยเวลาไปห้าปี หน้าจะเป็นอย่างนี้ไหม หรือหากเดินหน้าไปอีกห้าปี หน้าจะเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วไหนหน้าของเรา ฉะนั้นถ้ามีคนด่าเราว่าหน้าด้าน เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ทำไมไม่โกรธ
(ก็เพราะไม่ใช่หน้าเรา)  ตอนนี้คิดได้นะว่าไม่ใช่หน้าของเรา
ท่านนับถือพระพุทธองค์ แล้วท่านก็เป็นศิษย์พระพุทธองค์ ถ้าท่านโดนด่า ๗ วัน ๗ คืน ทนไหวไหม (ไม่ไหว)  หนีไหม (หนี)  ไม่ต้องถึง ๗ วัน แค่วันเดียวก็หนีแล้ว แต่ทำไมพระพุทธองค์โดนด่า ๗ วัน ๗ คืนแล้วไม่หนี ไม่สู้ ไม่ด่า แต่ท่านเฉย ถ้าเกิดเราโดนใส่ความว่าเราเป็นคนผิดทั้งที่เราไม่ผิด เราหนีไหม (หนี)  สู้ไหม (สู้)  แต่พระพุทธองค์ไม่สู้ ไม่หนี แต่ท่านทำอะไร พระพุทธองค์ท่านเคยโดนคนปองร้าย เคยโดนคนจะเอาถึงชีวิตไหม (เคย)  ท่านหนีไหม (ไม่หนี)  ท่านสู้ไหม (ไม่สู้)  ท่านว่าไหม (ไม่ว่า)  ท่านผูกใจเจ็บไหม (ไม่)  ท่านเคืองแค้นไหม (ไม่)  ท่านก่อเวรกรรมไหม (ไม่)  ไหนว่าเราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ถูกเขาว่านิดเดียวเราเอากลับไหม เขาทำนิดเดียวเราต่อยกลับไหม แล้วพระพุทธองค์ท่านสอนอะไร ท่านสอนให้เราไม่สู้ ไม่หนี แต่ท่าน (ปล่อยวาง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ที่ใดเป็นที่แห่งต้นเหตุของทุกข์ ที่นั้นเป็นมรรคผลพระนิพพาน ที่ใดเป็นกิเลส ที่นั้นเป็นที่ที่ทำให้เราเป็นพุทธะ” ทำได้แบบนั้นบ้างไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ที่ใดเป็นที่มีกิเลสที่นั้นก็จะเป็นที่ที่บังเกิดกิเลสให้ยิ่งๆ ขึ้นไปใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ถ้ามีทางเลือกทางหนึ่งคือทางสว่าง อีกทางคือทางมืดบอด ทำไมเราไม่ศรัทธาความสว่าง แต่เราเลือกที่จะเดินไปสู่ความมืดบอด หรือเป็นเพราะว่าเราเคารพความมืดบอดมากกว่าความศรัทธาดีงามในตัวเอง ใครร้ายมาเราร้ายตอบ ใครว่ามาเราว่าตอบ ใครเตะมาเราเตะตอบ
อย่างนั้นหรือ
มีใครไม่อยากสนทนาธรรมกับเราบ้างไหม (ไม่มี)  เราไม่ฝืนใจท่าน ไม่อยากทำให้ท่านทุกข์ ไม่อยากให้การมาของเราครั้งนี้ทำให้ท่านทุกข์ แล้วก็ก่อกิเลสก่อบาปก่อกรรม แต่เป็นธรรมดา มีคนดีใจก็มีคนไม่ชอบใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่ยึดติดความมี ความเป็นอะไรของเรา ใครพูดอะไรเราก็คง
ไม่ทุกข์และเดือดร้อนจริงไหม แต่ถ้าเรายึดความมีความเป็นของตัวเรา บางครั้งแค่เราส่งสายตา เราก็เจ็บปวดโดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้
จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์สามารถก่อกรรมได้ทุกขณะเลยนะ
ฉะนั้นต้องระวังความคิด เพราะความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด แม้ตาและตัวจะอยู่ตรงนี้ แต่ความคิดนั้นน่ากลัวยิ่งนัก จริงๆ แล้วมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ และสามารถจะอดทนได้มากเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราไม่
ตีกรอบใจของตัวเองจนเกินไป ถ้าเราบอกว่าไม่ไหว ยืนแค่นิดเดียวก็ไม่ไหว แต่ถ้าเราบอกว่าไม่เป็นไร ยืนแค่นิดเดียวก็ไม่เป็นไร ทุกข์หรือไม่ทุกข์
ต้องถามตัวเองว่า เขาทำให้เราทุกข์หรือเราตีกรอบใจของตัวเราเองให้
คับแคบจนทุกข์ง่ายเกินไป เราพูดง่ายๆ ว่า เราทุกข์หรือไม่ทุกข์ ใช่อยู่ที่เขาเป็นคนทำหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าเราไม่ตีกรอบให้ตัวเอง หรือหัวใจของเรา
คับแคบ ถามว่าเขาจะทำให้เราทุกข์ได้ง่ายๆ ไหม เหมือนเมื่อสักครู่ ถ้าเราบอกให้ท่านยืนต่อไป ท่านบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าท่านคิดในใจว่าไม่ไหว
แค่ ๕ นาทีก็ไม่ไหวแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ฉะนั้นจะทุกข์หรือจะสุขอยู่ที่เราตีกรอบใจเรา ถ้าเราตีกรอบแบบไม่มีกรอบ ใครจะทำเราเจ็บ ไม่มีคำจำกัดความว่าเราจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะทุกข์
ที่ตรงไหน
แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ ก็ตัวเราเป็นแบบนี้ ชอบแบบนี้ ทำอย่างนี้ทำได้แค่นี้ จะเอาอะไรกับเราหนักหนา แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์ง่าย
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่ปรารถนาในความ
ทุกข์ยาก แต่ในความสุขง่าย เราจะเป็นคนที่ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (สุขง่าย)  แต่มนุษย์มักปรารถนาในความทุกข์ง่ายสุขยาก ตอนนี้เรากลายเป็นคนที่ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (ทุกข์ง่าย)  มนุษย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้เป็นคนชอบให้หรือเป็นคนชอบขอ เราอยู่ในโลกนี้จริงๆ แล้วเราเป็นนักให้หรือเป็นนักขอตัวยง ทำอะไรก็ตามขอให้สำเร็จหรือขอให้ล้มเหลว ทำอะไรก็ตามขอให้ได้หรือขอให้ไม่ได้อะไรเลย วันนี้มาฟังธรรมะเราขอหรือไม่ขอ (ขอ)  ไม่ขอแต่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา อย่างนั้นจะต่างกันตรงไหน แล้วเคยได้ยินไหม เวลาคนจะมาเกิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้พร ๒ ประการคือ ให้เป็นนักให้กับให้เป็นนักขอ ท่านจะเลือกอะไร แล้วคนที่เป็นนักขอเป็นอะไรรู้ไหม เป็นขอทาน แล้วคนที่เป็นนักให้ เป็นอะไรรู้ไหม (เศรษฐี)  เราถามต่อว่า ระหว่างนักขอกับนักให้ จริงๆ แล้ว ตัวท่านเป็นนักขอหรือนักให้ แล้วถ้าคนที่เป็นนักให้เป็นคนที่มีหรือคนที่จน (มี)  อย่างนั้นมีเท่านี้ก็ไม่ต้องอะไรมากแล้ว ไม่ต้องขออะไรแล้ว แค่นี้ก็มีพอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมยังขออีก
วันนี้เรามาฟังธรรม เราได้บุญไหม (ได้)  ส่วนใหญ่จะคิดว่าวันนี้มาทำบุญ แต่ไม่ได้ทำบุญ เพราะส่วนใหญ่เรามักจะคิดว่า บุญคือการให้
อย่างนั้นวันนี้เรามาที่นี่ได้ทำบุญไหม (ได้, ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้ก็แปลว่า เราไม่ได้มาให้ แต่เรามาขอ ถูกไหม (ถูก)  วันนี้ท่านกำลังได้บุญนะ เพราะท่านมาให้เวลากับตัวเอง เพื่อมีธรรม ฉะนั้นบุญไม่ได้แปลว่าการยื่นออกไปให้ แต่บุญคือ การฟังธรรมก็เกิดบุญ มีศีลมีธรรมก็เกิดบุญ การช่วยเหลือไม่นิ่ง
ดูดายผู้อื่นในยามที่เขาเดือดร้อน นั่นก็คือการให้บุญสร้างบุญ
 การฟังแล้วรู้สึกดี แล้วเราอุทิศต่อให้สัมภเวสี เจ้ากรรมนายเวร ให้เพื่อน ให้ผู้อื่น นั่นก็คือการให้บุญ การฟังเขาแล้วเขาพูดดี แล้วเราก็อนุโมทนาสาธุ นั่นท่านก็กำลัง
สร้างบุญ ให้บุญ การฟังแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงใจให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ไม่หลงผิด ไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย นั่นก็คือการให้บุญ แต่ไม่ได้ให้กับผู้อื่น แต่เราให้กับตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า บุญต้องให้ผู้อื่น แท้จริงแล้วเราลืมให้บุญกับตนเองหรือไม่ เราลืมให้ธรรมกับตัวเองหรือไม่
พระพุทธองค์สอนไว้ว่า ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ธรรม แล้วเราเคยให้ธรรมกับตนเองไหม ส่วนใหญ่เราให้แต่กิเลส นิสัย อารมณ์ ความเคยชิน การเอาแต่ใจ จริงไหม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทางแห่งทุกข์ บาปกรรม และการเวียนว่าย ให้ธรรมล้วนเป็นหนทางสู่ความสงบเย็น
พระนิพพาน แล้ววันนี้เราให้ธรรมหรือว่าให้กิเลส (ให้ธรรม)  แปลว่าที่นั่งฟังมาสงบ ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่ด่า ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไปไม่ถึงใช่หรือเปล่า ไปถึงได้แค่พลิกความคิดชีวิตก็เปลี่ยน
เหมือนเราถามว่า เราเคยคุยกับอาจารย์พุงใหญ่ “อาจารย์พุงโต
ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะไม่ต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันไปแบบนี้” อาจารย์พุงโตถามว่า “อะไรนะ” เราก็บอกว่า “ทำไมมนุษย์เดี๋ยวต้องร้องไห้ และเดี๋ยวสักพักก็หัวเราะ เมื่อหัวเราะสักพักก็ต้องกลับไปร้องไห้อีก เราต้อง
วิ่งวนระหว่างหัวเราะกับร้องไห้ไปถึงเมื่อไร” อาจารย์พุงโตก็เลยหัวเราะ “เมื่อไรที่เด็กน้อยมีอาจารย์พุงโตอยู่ในใจ เมื่อนั้นแหละเด็กก็จะไม่ต้องหัวเราะและร้องไห้อีกต่อไป” เข้าใจไหม ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้ทุกสิ่ง แต่มนุษย์ท้องแคบจิตใจเล็กนิดเดียว พอเจออะไรก็รับไม่ไหว ฉะนั้นทุกข์
จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านทุกข์อยู่ร่ำไป ใช่ไหม
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า มนุษย์ชอบที่จะเป็นช่างขอ และถามว่าให้
เราให้ไหม (ให้)  แต่บางทีเราก็แอบขอ ฉะนั้นมือหนึ่งให้ อีกมือหนึ่งก็ขอ
แล้วท่านเป็นพวกค้ากำไรเกินควรไหม ให้หนึ่งร้อยแต่ขอหนึ่งพัน หรือบางทียังไม่ทันให้ก็ขอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการทำบุญควรค้ากำไร หรือมีกิเลสอิงแอบไหม (ไม่ควร)  ถ้าเราบอกว่าเราอยากจะเป็นผู้ให้ได้ตลอดต้อง
ทำอย่างไร ไม่ยากเลย เราแค่บอกท่านง่ายๆ ว่าถ้าเกิดเราตื่นเช้ามาแล้วเราบอกว่า “เฮ้อเราขาด เฮ้อเราไม่มี เราไม่เห็นได้อะไรเลย” คนที่มีชีวิตเช่นนี้คือคนที่เอาแต่หวังขอใช่ไหม แต่กลับกัน ถ้าบอกว่าขอบคุณ ดีแล้ว สุขแล้ว ท่านว่าคนแบบไหนมีความสุขมากกว่ากัน (แบบที่สอง)  แบบแรกอยากได้อันโน้น อยากได้อันนี้ ถ้ามีอันนั้นหน่อยคงจะดีมากกว่านี้ ถ้ามีคนนั้นหน่อยคงจะสุขมากกว่านี้ แต่อีกแบบหนึ่ง ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว เราเป็นแบบไหน
ท่านรู้ไหมคนที่จนที่สุดคือคนที่มีเท่าไรก็บอกว่าไม่มี บางครั้งถ้าการมีทำให้เราทุกข์ ก็ให้เราคิดเสมอว่าบางทีเราไม่มีไม่เป็นก็ดี จะได้ไม่ทุกข์
แต่ถ้าการไม่มีไม่เป็นทำให้เราทุกข์มาก บางครั้งเรามีบ้างก็ได้ไม่เห็นเป็นไร เพราะการมีนั้นไม่ใช่มีจริงๆ แต่ถ้าเรามี เราเป็นได้อย่างแท้จริง การมีการเป็นก็จะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์มักจะติดว่าถ้ามีก็ต้องมีไปตลอด ไม่มีก็หาว่าตัวเองจะไม่มีไปตลอด แต่หนทางพุทธธรรมมีได้ก็มีไม่ได้ ไม่มีได้บางครั้งก็
มีได้ เหมือนท่านบางครั้งใจก็เหลือนิดเดียว แต่บางครั้งใจก็ยิ่งใหญ่ บางครั้งเรื่องหนักๆ ก็แบกรับไหว แต่บางครั้งเรื่องนิดเดียวก็รับไม่ไหว ทำไมคุมใจคนอื่นเป็น แต่ทำไมไม่รู้ใจตัวเอง เราบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วว่าเริ่มต้นง่ายๆ อยู่ที่เรารู้พอหรือยัง ถ้าเรารู้พอได้ เราจะให้ได้ แต่ถ้าเรารู้พอไม่ได้ เราจะให้ไม่ได้และจะสุขไม่เป็น แม้ว่าเราเกิดมาตัวแค่นี้ เรียนก็ไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่เราก็บอกว่าขอบคุณแล้ว ดีแล้ว ความสุขเราอยู่ตรงนี้หรืออยู่ข้างหน้า (อยู่ตรงนี้)  แล้วความสุขของท่านอยู่ตรงนี้หรืออยู่ข้างหน้า ไม่เคยอยู่ตรงนี้เลย หวังว่าจะมีสุขต้องมีข้างหน้า แล้วท่านก็ไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองมีเลย ท่านศรัทธาผู้อื่น แต่ลืมศรัทธาความดีในตัวเอง ท่านชอบความดีของผู้อื่น แต่ท่านลืมชอบความดีในใจของตัวเอง ท่านเรียกร้องให้ผู้อื่น
มีความดี แต่ตัวท่านเองไม่เคยมีความดีที่แท้จริงในใจเลย ท่านให้ผู้อื่นจริงใจในการทำดี แต่ตัวท่านเองไม่เคยจริงใจและศรัทธา เชื่อในความดีของ
ตัวเองเลย ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นก่อนจะเรียกร้องผู้อื่น ต้องถามตัวเองก่อนเสมอ ถ้าตัวเองยัง
ไม่มีที่แท้จริง การให้ของเราก็เป็นการให้ที่ไม่เคยบริสุทธิ์ แต่เป็นการให้ที่
หวังผล แต่ถ้าเราอิ่มแล้ว เราสุขแล้ว ใครจะว่าอย่างไร เราก็ให้ธรรมได้
ใครจะทำอย่างไรกับเรา เราก็สามารถให้ความสงบได้ เพราะเราสงบจากใจของเราแล้ว เราศรัทธาในความสงบและความพอของเราแล้ว แต่ความจริง เราไม่ใช่แบบนี้ เราเต็มไปด้วยความโลภ ความเกลียด ความอยาก ความ
ขาดแคลน เมื่อในใจเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถให้ธรรมแก่ใครได้หรือ ในเมื่อทุกขณะที่เราพูดออกมา เราก็คิดว่า เขาจะรักหนูไหม เขาจะให้หนูหรือเปล่า เขาจะยิ้มให้เราหรือเปล่า แต่ถ้าในใจของเราเต็มแล้ว
สุขแล้ว สงบแล้ว ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกคำที่เราพูด ก็จะมีแต่เต็ม สงบ สุข ไม่มีคำว่าเรียกร้อง ไม่มีคำว่าคาดหวัง ไม่มีคำว่ายึดถือ จะมีแต่คำว่าให้จริงๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถึงไหม (ถึง)  ถ้าเข้าใจก็จะถึงเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ถึง
เหมือนที่บอกว่า มนุษย์มักพูดว่า ทำอย่างไรให้คนหิว ทุกคนทำเป็น ไม่ต้องสอนทุกคนก็เป็นอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรให้ทุกคนอิ่ม ทุกคนทำเป็นไหม (ไม่เป็น, เป็น)  เราเคยอิ่มจริงๆ ไหม (ไม่เคย)  ท้องเราอิ่ม แต่ใจยังอยากอยู่ เหมือนกินอิ่มแล้ว ถามว่ากินอิ่มไหม ตอบว่าอิ่ม แต่เมื่อเห็นขนม ก็คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะกินขนมให้มากกว่านี้หน่อย ฉะนั้นเมื่อตัวเรายังขาด
ตัวเรายังไม่อิ่ม เรายังไม่สุข เวลาเราไปอยู่กับใคร เราจะทำให้ผู้อื่นอิ่ม
และสุข รู้สึกไม่ขาด ได้ไหม (ไม่ได้)
ธรรมะจึงสอนว่า ก่อนจะไปเรียกร้องใคร ก่อนจะไปว่าใคร ที่ทำให้เราทุกข์และทำให้เราโกรธ ถามหน่อยว่าเราแอบเพาะเชื้อความโกรธและความขาดแคลนไว้ในใจหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีใครทำให้เราโกรธ นอกจากเราจะมีเชื้อโกรธนี้อยู่ข้างใน ถ้าเราไม่มีความอยาก ใครจะทำให้เราโลภได้
ถ้าเราไม่มีความอยากอยู่ข้างใน ต้องกลับมาสู่หนึ่งเหมือนเดิมคือ ขอบคุณและพอหรือยัง ถ้าไม่ขอบคุณไม่รู้จักพอ อยู่กับใครท่านก็ทำให้คนอื่นทุกข์ได้
ไม่ว่าเขาจะให้เท่าไร ท่านก็จะบอกว่าเอาอีกๆ แม้ว่าตอนนี้เขากำลังจะ
ให้เรา มือเรากำลังจะรับ แต่ในใจก็คิดว่าได้อีกหน่อยก็ดี เรากำลังให้
เรากำลังรับ หรือเรากำลังขอไม่จบสิ้น (ขอไม่จบสิ้น)
พระพุทธะบอกว่า ก่อนที่จะไปแก้คนอื่น เราควรแก้ที่ตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปโทษคนอื่นว่าเขาทำให้เราเจ็บปวด เราควรถามตัวเองก่อน
ว่าเราไม่ชอบเขาหรือว่าเขาทำให้เราไม่ชอบ ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้
ทุกสิ่ง ท้องแคบใจเหลือนิดหนึ่งอะไรก็รับไม่ไหว แล้วเราท้องใหญ่หรือ
ท้องเล็ก (ท้องใหญ่)  พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า “ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สามารถรักษาศีลธรรมได้มั่นคง มนุษย์ก็จะไม่มีปัญญาเข้าถึงความ
แจ่มแจ้งแห่งธรรมได้”
 เมื่อไม่สามารถเห็นความแจ่มแจ้งและสัจธรรมความจริงในโลกได้ มนุษย์ก็เลยไม่สามารถพ้นทุกข์สิ้นกิเลสได้ นั่งอยู่ที่ไหน
ก็ทุกข์ แม้ออกไปจากที่นี่ก็ยังทุกข์ แม้นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นทุกข์ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเรา เราไม่ตีกรอบหัวใจ เราไม่ยึดมั่นกับความคิดอะไรๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ ก็น่าจะไปได้
ถามท่านว่าหากจะไปเมืองหลวง ไปได้กี่ทาง (หลายทาง)  ถ้าจะไปให้ถึงธรรมไปได้กี่ทาง (หลายทาง)  แล้วทำไมชอบตีกรอบว่าต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่แบบนั้นด้วย ถ้าเข้าถึงธรรมแล้ว อะไรก็เรียกว่าถึงได้เหมือนกัน
เราเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าเราเกิดมาพร้อมกับคำว่าขอบคุณ และไม่เคยพอ ความหมายชีวิตจะต่างกันหรือไม่ ถ้าเกิดมาขอบคุณ ดีแล้ว ความสุขก็จะอยู่ตรงนี้ทันทีที่ได้พูด ที่ได้คิด แต่ถ้าเกิดบอกว่า ไม่พอๆ ความสุขก็จะกระเด็นออกไปไกลทันทีเลย
ฉะนั้นเราอยากสุขตอนนี้หรือเราอยากสุขวันข้างหน้า (ตอนนี้)
แล้วตอนนี้ดีหรือยัง (ดีแล้ว)  พอหรือยัง (พอแล้ว)  ตอบเหมือนโดนฝืนใจ เราถามท่านนะ ถ้าตอนนี้ท่านไม่พอ ท่านไม่ดี ท่านก็จะต้องคิดว่าขออีก
นิดหนึ่งก็ดี แล้วช่วงที่กำลังไปขออีกนิดหนึ่ง เกิดไม่ได้ ท่านจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาบอกว่าขอใหม่ ขอข้างนอกไม่สู้ขอข้างใน ดั่งที่พระพุทธะสอนไว้ พึ่งคนอื่นเขายังมีวันเปลี่ยนแปลงไป แต่พึ่งใจตัวเอง ศรัทธาในความดีของตัวเอง และเชื่อมั่นว่าตัวเองต้องทำให้ได้ และต้องสุขให้ได้ นั่นไม่ดีกว่าหรือ แปลกนะ มนุษย์เราไหว้คนอื่นได้ แต่ไหว้ตัวเองไม่ลง รักที่คนอื่นดีแล้วเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ตัวเองกลับดีไม่เป็น ดีไม่ลง นั่นแปลว่าท่านศรัทธาในความดีของคนอื่นมากกว่าศรัทธาในความดีของตัวเอง ท่านเชื่อมั่นว่าเขาดีมากกว่าที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง มากกว่าที่จะต้องเป็นคนดีให้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมเราต้องรอไปพึ่งคนอื่น เพราะเมื่อไรที่ท่านไม่พอ ท่านก็เริ่มเรียกร้องคนโน้นคนนี้ พอเขาไม่ให้เราก็ทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้สึกว่ามีแล้วพอแล้ว
ใครจะให้ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอบคุณ เราจะโกรธเกลียดหรือว่าเขาไหม (ไม่)  ที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่นเป็นมรรคผลนิพพาน จบเลยไม่ต้องไปเกี่ยวกรรมด้วย ฉะนั้นถ้าใจของท่านพร่องเป็นนิจแล้วหวังให้คนอื่นมาเติมให้เต็ม จะมีใครมาเติมให้ท่านเต็มได้ถ้าท่านไม่เติมให้เต็มด้วยตัวเอง
ถ้ามีคนๆ หนึ่งรักท่านจริงๆ ท่านอยากขนาดไหนเขาก็เติมให้ ถึงที่สุดท่านจะอิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “สอนคนหิวง่าย แต่สอนให้คนอิ่มยาก”  แล้วท่านรู้ไหมว่า ธรรมะสอนให้เราอิ่มได้ง่ายทันที แค่เรา
บอกว่าขอบคุณ ดีแล้ว พอแล้ว ง่ายไหม (ง่าย)  แล้วทำไมเราไม่ทำ ทำไมถึงบอกว่าขออีกนิด พอขออีกนิดแล้วไม่ได้กลับมาเราเป็นอย่างไร (ทุกข์)
พอทุกข์แล้วแก้ไขไหม (ไม่)  แล้วใครช่วยเยียวยา คนที่เราไปขอเขาช่วยเยียวยาไหม (ไม่)  พ่อแม่เยียวยาได้ไหม (ไม่ได้)  พระพุทธะจึงบอกว่า
สอนให้คนหิวง่าย แต่สอนให้คนอิ่มยาก สอนให้คนคิดอยากง่าย แต่สอนให้คนหยุดอยากยาก แต่มีวิชาหนึ่งสอนให้คนอิ่มได้ทันที และหยุดอยากได้ทันที นั่นคือ “วิชาธรรม”  ทำให้เราคิดเป็นและทำให้เราหยุดเป็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีคนมาบอกรักท่านดีใจไหม (ดีใจ)  ทุกคนดีใจหมด ถ้าในใจเราเผลอคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะรักไหม ทุกข์ทันที ได้เงินดีใจไหม (ดีใจ)  ถ้าในใจคิดว่าพรุ่งนี้จะเสียเงินไหม ตกลงจะดีใจหรือจะเสียใจ
วิชาธรรมคือวิชาที่จะสอนให้เรารู้จักควบคุมใจของตัวเอง แต่กลับเป็นวิชาที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งที่วิชาธรรมเป็นแก่นแท้ของชีวิตทุกชีวิตด้วยซ้ำไป เราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เราดับเหตุแห่งทุกข์ จริงๆ เราแก้ให้ท่านไป
ทีละเปลาะแล้ว ถ้าเรารู้จักพอ เราจะอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ความโลภ โกรธ หลง เกลียดก็จะไม่มี แล้วท่านรู้ไหมว่ามนุษย์เมื่อใดที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นเวรกรรมและการเวียนว่ายได้ในทันที แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์ยังไม่สามารถพ้นความโลภ โกรธ หลง มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์บาปเวรกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุดจริงไหม (จริง)  ถ้าการมีความสุขของเราเป็นการเบียดเบียนชีวิตคนอื่น เป็นการยืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น หรือเป็นการแลกมาด้วยชีวิตของคนอื่น ท่านคือคนที่กำลังสร้างเวรสร้างกรรม ถ้าความสุขของเรายืนอยู่บนการสูญเสียชีวิตของคนอื่น การต้องเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น การมีชีวิตของเราคือการมีชีวิตเพื่อสร้างเวรกรรม เราจะหนีเวรกรรม หนีทุกข์ก็ด้วยการที่ใดเป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั้นก็เป็นที่ดับทุกข์ มนุษย์หว่านพืชเช่นใด
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าทุกอย่างที่เรากระทำ ไม่เป็นการก่อเกิดกิเลส ก่อเกิดกรรม มีชีวิตอยู่ก็เพื่อชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ แต่ทุกวันนี้กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็เพียรสร้างมาได้ทุกวัน เป็นเรื่องของกิเลส แค่คิดก็ตกเป็นทาสของความอยาก ความหลงแล้ว ฉะนั้นทุกขณะที่เรามีชีวิต
จึงเป็นทุกขณะที่เราเพาะเชื้อแห่งกิเลสและกรรม แต่ถ้าทุกขณะที่เรามีชีวิต เราคิดว่าไม่เป็นไร ขอบคุณแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้เหมาะสมที่สุด ไม่ผิดต่อคุณธรรม รักษาจิต
ที่บริสุทธิ์ดีงาม แม้ตายไปก็ไม่เสียดายเลย แต่ทุกขณะจิต จิตของเราบริสุทธิ์ไหม (ไม่)  จิตที่บริสุทธิ์ จึงพ้นภพภูมิ อบายภูมิที่เลวร้าย แต่จิตที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา และความอยาก ย่อมหนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งสี่ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ส่วนใหญ่จะรู้มากมายแต่ไม่ค่อยปฏิบัติเท่าที่รู้ จริงไหม (จริง)  ปฏิบัติบ้างดีหรือไม่ (ดี)  ยิ่งคนที่คิดว่าจะมาแค่วันเดียว ยิ่งแล้วใหญ่เลย
ฟังเข้าไปแล้วจำให้ได้เยอะๆ  แปลกนะเรื่องใครว่า เรื่องใครด่า คิดเอาๆ
คิดแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาว่าจบแล้ว แต่เราไม่เคยจบสักที แต่ทำไมเรื่องแบบนี้น่าจะเอามาพิจารณาไตร่ตรองให้บังเกิดธรรม แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเอามาคิดบ้างเลย
ฉะนั้นปัญญาธรรมเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ ไม่ใช่จะเกิดกันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้ามนุษย์ได้ฟังธรรมแล้วก่อเกิดปัญญา และนำปัญญานั้นมาไตร่ตรองพิจารณาจนบังเกิดธรรม ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยกางกั้นที่จะทำให้เราไม่ประพฤติผิด ไม่ทำร้าย แต่เรากลับไม่ค่อยทำ คิดในเรื่องไม่ควรคิด
ไปแล้วนะ ดีไหม (ไม่ดี)  ดีเถิด ถึงเวลามาก็ต้องมีเวลาไป จำไว้นะ อย่าพยายามมี และอย่าพยายามเป็นอะไรเลย ถ้าการพยายามมีและเป็นทำให้เราทุกข์และเจ็บ ก็สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนไม่เคยมีอะไร และไม่เคยเป็นอะไรได้อย่างแท้จริง สู้รู้จักขอบคุณ พอแล้ว บุญที่ประเสริฐเกิดจากการที่เรามีศรัทธาที่เราเชื่อมั่นในความดีของเรา
ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใคร พึ่งที่ความดีในใจของเรา ทำให้ได้
 ทำไมจึงต้องรู้จักให้ธรรมกับคนอื่น แล้วทำไมเราไม่รู้จักให้ธรรมกับใจเราเอง ให้ความสงบ ให้ความเข้าใจ เราเคยมีเวลาให้กับใจตัวเองไหม แล้วเราเคยดูแลใจตัวเองไหม ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาให้ เราให้เองไม่ได้หรือ แล้วเมื่อเราให้ใจตัวเองได้แล้ว เรายืนอย่างเข้มแข็งมั่นคง เราก็จะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ ทำไมต้องไปรอคนอื่น เอาที่ตัวเราเอง ศรัทธาในความดีของตัวเองดีกว่าศรัทธาในองค์พุทธะ แต่ไม่ปฏิบัติความเป็นพุทธะ ศรัทธาในความดีของตัวเองนะ ไม่ต้องศรัทธาเรา เชื่อมั่นในความดีของตัวเองนะ ไม่ต้องเชื่อเราก็ได้


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙      สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  นกหลงฟ้าปลาหลงน้ำคนหลงโลก      อุปโภคบริโภคจนมากล้น
เลือกแต่สิ่งดีมาปรนเปรอตน             ท้ายส่งผลหาภัยเข้าใส่ตัว
ทองต้องหลอมเหล็กต้องตีอิฐต้องเผา        อย่าดูเบาการใฝ่ธรรมดีละชั่ว
คนจะดีได้เพราะการรู้ตัว                            จะมัววัวหายล้อมคอกอยู่ทำไม
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา      ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  เพราะใจไม่ชอบลำเค็ญ                            ทำเท่าที่เห็นเพราะสิ้นความดี
เพราะคนมุ่งมั่นหายไปทุกที                       เหลือแค่คนดีไม่มีฝัน
เพราะคนมีแค่ลืมตา                      ไม่ศึกไม่ษาสักคืนสักวัน
เพราะใจแย่แย่จึงทรมาน                 ถึงได้ซมซานอยู่เรื่อยมา
รู้เหมือนไม่รู้เรื่อยไป                      เหมือนไม่ได้อะไร เจ้าชอบแค่มีหน้าตา
ห่วงสบายก็คือปัญหา                     ทำให้ใจยับย่น (คับแคบ)
เปลี่ยนแปลงใจอย่ามีปัญหา              วันหน้าดีทุกคน
เพราะทางมีแค่ตรงไป                    กี่แยกกี่สายก็ไปตรงตรง
เพราะคนดีไม่เข้าใจและปลง             เลยต้องพะวงอยู่ในใจ
ทำนองเพลง : เรือรักล่ม
ชื่อเพลง : โลกประกอบสอบกันเอง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดีใจที่ได้เจอกันไหม (ดีใจ)  แล้วกินกันอิ่มไหม (อิ่ม)  เมื่ออิ่มแล้วก็น่าจะพอมีแรงคุยกับอาจารย์ต่อได้ การกินที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ปราศจากการเบียดเบียนชีวิตเขาเป็นอย่างไร (ดี)  กินยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำต่อไปเลยได้ไหม (ได้)  มีทั้งตอบว่าได้และไม่ตอบดีกว่า เมื่อวานเซียนน้อยได้มาบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า การมีความสุขโดยการเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเป็นการก่อเวรก่อกรรม เราอยากอยู่บนโลกนี้แบบมีเวรกรรมไหม เราอยากอยู่บนโลกนี้อย่างคนที่จองเวรจองกรรมต่อกันไหม (ไม่อยาก)  แล้วอยากอยู่บนโลกนี้แบบมีภัยมีความทุกข์ไหม ในเมื่อศิษย์ของอาจารย์ก็พูดพร้อมกันทุกคนว่าไม่อยาก แต่ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม” ซึ่งเราไม่สามารถแก้อดีตที่เราทำได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงการกระทำ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเรา เราเคยได้ยินเรื่องของบุญและบาปมาบ้างแล้ว ซึ่งบุญบาปนี่เองที่ส่งผลทำให้เราแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนเกิดมาโชคดี บางคนเกิดมาโชคไม่ดี บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะดี บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะไม่ดี ซึ่งแล้วแต่บุญกรรมที่เราเคยทำมาจากอดีต แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เราอยากให้อนาคตมีแต่กรรมมีแต่บาป หรือเราอยากมีอนาคตที่มีแต่บุญแล้วสิ้นกรรม หรือมีแต่บาปแล้วมีการเกี่ยวจองเวรจองกรรมกัน (มีแต่บุญและสิ้นกรรม)
ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่ก่อเกิดกรรมดีกับกรรมชั่ว กรรมดีก็เรียกว่าบุญ กรรมชั่วก็เรียกว่าบาป ถ้าสมมติมีคนมาว่าศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร จำไว้นะศิษย์ อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เราจะแปรร้ายเป็นดี หรือแปรบาปให้เป็นบุญ หรือจะแปรกรรมให้เป็นการจองเวรจองกรรม หรือแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ถ้ามีคนมาว่าศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร (ไม่ว่าตอบ, ต้องมีปากเสียงกันบ้าง) แต่เมื่อสักครู่ใครบอกอาจารย์ว่า อยากอยู่อย่างไม่มีเวรไม่มีกรรม อย่างไม่มีภัย ไม่มีบาป ก็ยังเป็นคนอยู่นี่นะ ศิษย์จะยอมกันง่ายๆ ได้หรือ นี่คือวิสัยของคนที่แพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ เสียไม่มี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องของเวรกรรมเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลังก็ได้อาจารย์ อย่างนั้นศิษย์ลองบอกอาจารย์หน่อยว่า ลึกๆ ศิษย์อยากได้คนรัก หรืออยากได้คนเกลียด ลึกๆ ศิษย์อยากมีศัตรูเต็มบ้าน หรือมีมิตรทั่วบ้าน (มีมิตรทั่วบ้าน)  แล้วถ้าเขาด่ามา อยากได้มิตร หรืออยากได้ศัตรู (อยากได้มิตร)  แล้วทำไมจึงปากอย่างใจอย่างกัน ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับลมปากแล้วนะศิษย์ คนที่หนักแน่นมั่นคงขนาดไหน อยากจะเป็นคนดีขนาดไหน เมื่อเจอลมปากของคนเข้าไป ก็อารมณ์ขึ้นเปลี่ยนไปทุกราย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราอยากจบเวรจบกรรม หรือเราอยากจองเวรจองกรรม (จบเวรจบกรรม)  แล้วต้องทำอย่างไร (ยิ้มไว้)  แต่ศิษย์เคย
เห็นไหม ยิ่งด่าก็ยิ่งยิ้ม เขายิ่งโมโห ถูกไหม (ถูก)  โดนด่าแล้วยังยิ้มได้อีก เดี๋ยวต้องด่าต่ออีกชุด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ คนเขาโกรธมา
อย่ายิ้ม แต่เราต้องขอโทษ ไม่ใช่ทำเฉยๆ นะศิษย์ จะผิดหรือไม่ผิด แต่เรารีบบอกขอโทษ
อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ตอนนี้กำลังโมโห ยิ่งยิ้ม ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นอีก ยิ่งทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ยิ่งโมโห ก็ยิ่งแค้น ยิ่งโกรธ แล้ว
ไม่รู้เขาโกรธอะไรเรา พูดมาสิบประโยค แต่จำได้ประโยคเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดดีมาสิบ ทำดีมาสิบ แต่เขามาแค้นเราอยู่เรื่องเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด เวลามีคนด่า ก็ยอมรับ ขอโทษ
เมื่อวานเซียนน้อยก็บอกแล้วว่า อยากทำให้คนอื่นมีสุข เราต้องสร้างสันติสุขจากใจ อยากให้คนอื่นเขารัก เราก็ต้องรักเขาจากใจ อยากให้คนอื่นเขาเคารพ เราก็ต้องเคารพเขาจากใจ ไม่อยากให้เขามาดูหมิ่นดูแคลนน้ำใจเรา เราก็อย่าเผลอไปพูดอะไรดูหมิ่นดูแคลนน้ำใจเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ก่อนจะพูดอะไรคิดน้อยใช่ไหม แถมเป็นคนที่บางทีพูดแล้วไม่ค่อยคิด ฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้คนอื่นเจ็บใจเป็นไปได้ไหม และถึงแม้เราจะพูดจริงแล้วทำให้เขาเจ็บปวดจะเป็นไปได้ไหม (เป็นไปได้)  แม้เขาพูดจริงแต่เราเจ็บใช่ไหม ฉะนั้นทางแก้ที่ดีที่สุด ถ้าเราอยากสิ้นทุกข์สิ้นกรรมและอนาคตไม่ต้องมีกรรมเกี่ยวกันอีก ไม่ต้องสร้างศัตรูเพิ่มบนโลกนี้ ไม่ว่าเจอใครมากระทำอะไรกับศิษย์ ศิษย์จงดีใจเพราะวันนั้นจะเป็นวันที่ศิษย์ได้ชดใช้กรรม และจงขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้หมดสิ้นกรรมและเราจะไม่เกี่ยวกรรมกันอีกดีไหม (ดี)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ แล้วบอกอาจารย์ว่าหนูให้อภัยแล้ว แต่สมองพอเห็นหน้าปุ๊บความจำก็รีเพลย์เข้ามาเลย พอเห็นหน้าปุ๊บจำได้เลย ถ้าศิษย์ยังจำได้อยู่ แปลว่ายังจองเวร และถ้ายังอดเห็นหน้าแล้วคันปากยิบๆ แล้วด่าในใจไม่ได้ แล้วแอบเผลอพูดไม่ได้ เขาเรียกว่าจองกรรม อย่าบอกว่าปากให้อภัยแต่ใจมันยังล้างไม่หมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า แค่ศีลธรรมยังไม่ทำให้สิ้นทุกข์ ยังไม่ทำให้บริสุทธิ์ เท่ากับมนุษย์ประเสริฐบริสุทธิ์ด้วยปัญญาธรรมจริงไหม (จริง)  ให้อภัยแล้วมันล้างหมดใจไหม ยังไม่หมดใช่ไหม แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เราถึงจะล้างใจให้สะอาด ไม่ใช่ใจที่เต็มไปด้วยคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนั้นอย่างนี้คนนี้อย่างนั้น ใจเราเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ในใจ เก็บมากๆ เหม็นไหม (เหม็น)  เน่าไหม (เน่า)  แล้วเวลาเจอหน้าก็ร้องอี๋ อย่างนั้นต่อไปควรเปลี่ยนแปลงดีไหม ใครว่าเราเป็นอย่างไร (ขอโทษ) ขอโทษได้ไหม จิตสำนึกจากใจจะช่วยชะล้างบาปกรรมให้หมดสิ้น จิตสำนึกขอขมาด้วยใจช่วยชำระกรรมใดใดที่ศิษย์ทำ ให้ละลายเบาบางจางลงได้นะ
เราจะดีไม่ดีไม่ใช่อยู่ที่ใครชี้หน้า แต่เราต้องรู้จักตัวเราเอง ถ้าเกิดรอให้ชีวิตนี้ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่คนชี้หน้า เราไม่ตายแหงหรือ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ดีหรือชั่วเรารู้อยู่ที่ใจ ถ้าเขาว่าผิดเราก็ยอมรับแล้วรีบแก้ไข แต่ถ้าเขาว่าเราแล้วมันไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ทำให้เรารู้ว่า ใจเรายังไม่เข้มแข็งพอ
อาจารย์ขอบอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์ไม่ให้หวย อย่ามาขอหวยอาจารย์นะ อาจารย์มาให้ปัญญาศิษย์จะได้ไม่มีวันจนดีไหม พอพูดอันนี้ชอบขึ้นมาทันทีเลย มีเงินก็เท่านั้นแต่ถ้าไม่มีปัญญาไม่รู้จักใช้เงิน เงินก็มีวันหมดได้ ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปัญญาก็สู้ไม่ถอย ขยันไม่ยอมแพ้ เงินก็มีได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลก แล้วไม่อยากโดนคนหลอกลวง ศิษย์ก็ต้องอย่าลวงตัวเอง ก็ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง ถ้าอาจารย์มีผลไม้ลูกหนึ่งกินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เอาไหม (เอา)  กับอีกลูกหนึ่งกินแล้วยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บ และก็ตาย เอาไหม (ไม่เอา)  จะเอาลูกไหน ใครอยากได้ลูกไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยกมือขึ้น ใครอยากได้ลูกที่กินแล้วยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บและตาย ก็ยกมือขึ้น ใครไม่อยากได้เลยสักลูกยกมือขึ้น อาจารย์อยากให้คนที่ตอบว่าไม่อยากได้เลย เพราะชีวิตมีทางเลือก แต่คนมักจะคิดว่ามีสองก็เลือกแค่สอง แต่จริงๆ เรามีทางเลือกมากกว่าสอง เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ถ้าไม่อยากโดนใครหลอกอย่าหลอกตัวเอง เพราะโลกใบนี้ก็ต้องมีแก่ เจ็บ ตาย มีผลไม้ไหนบ้างที่กินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าศิษย์ไม่อยากโดนหลอก อย่าหลอกและโกหกตัวเอง ใครเลือกผลไม้ลูกนี้ก็คือโง่ โง่ก็ยอมรับมา โง่หน่อยจะเป็นอะไร ดีกว่าทำเป็นฉลาด แต่จริงๆ โง่
ใครที่กินแล้วยิ่งแก่ยิ่งเจ็บยิ่งตาย ใครเลือก คนที่เลือกโง่หรือไม่ (โง่)  แปลกนะ มนุษย์รู้ทั้งรู้ว่ามีแล้ว ก็มีแต่จะเพิ่มทุกข์ มีแล้วจะเพิ่มความเจ็บ มีแล้วจะเพิ่มความตาย แต่ถามว่ามีไหมเอาไหม (ไม่เอา)  แต่เมื่อสักครู่เอากันเป็นแถวเลย ศิษย์ไม่กินมันก็แก่ กินเพิ่มอีกมันก็แก่ แต่พออาจารย์ถามว่าให้กินแล้วเพิ่มเจ็บเพิ่มแก่เอาไหม ศิษย์บอกเอา ตกลงศิษย์ของอาจารย์โง่หรือฉลาด (โง่)  คนที่ไม่เลือกทั้งสองทางก็คือ คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไม่คิดจะเพิ่มอะไรแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะสิ่งที่เพิ่มนั่นก็จะยิ่งเพิ่มความแก่ความเจ็บความตาย เพราะอะไรหรือ
อาจารย์ถามง่ายๆ มีใดๆ ในโลกที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายบ้าง เพิ่มคนรักหนึ่งคนก็เพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพิ่มของหนึ่งอย่างก็เพิ่มความรู้สึกแก่ เจ็บ ตาย มีได้ก็มีเสีย กว่าจะได้มาก็ต้องแย่งชิงเขามา มีทุกข์กับเขามา ศิษย์ที่ยกมือเมื่อสักครู่แปลว่าออกไปข้างนอกจะได้หรือไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่แสวงหาแล้วใช่ไหม (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรมชาติ แล้วธรรมชาติใดบ้างที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แค่ตัวเองคนเดียวก็ต้องรับความแก่ความเจ็บความตาย หนักไหม (หนัก)  แล้วทำไมยังอยากเพิ่มความแก่เพิ่มความเจ็บเพิ่มความตายอีก หรือรู้สึกว่ามีไว้เผื่อจะได้สบายใจ ยึดมั่นแล้วจะได้มีความสุข แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์ไหม (ทุกข์)  หวังให้เขาไปซ้ายแต่เขาไปขวาทุกข์ไหม (ทุกข์)  หวังให้เขาได้ดีแต่พอไม่ได้แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ ถ้าเมื่อใดศิษย์รักของอาจารย์เผลอหลงยึดติดกับธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ศิษย์ก็ต้องทุกข์กับความแก่ เจ็บ ตายไม่จบสิ้น แต่อาจารย์มีวิธีหนึ่งที่มีแล้วไม่ทุกข์ นั่นคือ (ธรรมะ)  ธรรมะทำให้เรา (ปล่อยวาง)  หรือมาเก็บไว้ก่อน มีใครอยากตอบอาจารย์อีก (สายกลาง)  สายกลาง ออกมาเร็ว มายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก่อน (ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ)  สิ่งที่อาจารย์พูดทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมชาติใช่ไหม แต่อาจารย์บอกว่าแล้วเราจะใช้อะไรเป็นหลักในการที่เราจะสามารถไปอยู่ร่วมกับธรรมชาติทั้งหลาย แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นแบบนั้นเอง แก่เป็นปกติ ไม่นานก็ตายเป็นปกติ แล้วเราจะทำอย่างไร เข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ต้องพยายามเข้าใจใช่ไหม (การมีปัญญา)  การมีปัญญาจะทำให้เราเข้าใจธรรมชาติและความเป็นจริงของโลกใบนี้ (ให้เรามีสติและพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่)  ให้เรามีสติและรู้จักพอในสิ่งที่มีอยู่ ก็ตอบได้ดี (การมีคุณธรรมในใจ, ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ยึดติด)  ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ไม่ยึดติด ได้ไหม (ได้)  แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ได้อย่าร้องไห้นะ (อนุตตรธรรม)  ตอบว่าอนุตตรธรรมแล้วแปลว่าอะไรหรือ อนุตตรธรรม (แปลว่าหลักธรรมที่บริสุทธิ์)  แปลว่าหลักธรรมแห่งความเป็นจริงอันเป็นต้นรากเดิมแท้ของสรรพชีวิตทั้งมวล ใช่หรือไม่
อย่างนั้นอาจารย์ถามคนที่ตอบได้นะ ตอนนี้อยู่ระหว่างจะได้ยืนหรือจะได้นั่ง อาจารย์ถามว่าศิษย์ที่ตอบจะทำให้ตัวเองและเพื่อนพ้นทุกข์ได้ด้วยการ (ฉุดช่วยตัวเอง)  ถ้าตอนนี้ทุกคนยืนและศิษย์ออกมาตอบ โดยส่วนใหญ่คนที่ตอบจะได้รางวัลและจะได้นั่ง ส่วนคนที่ไม่ตอบยืนต่อไป ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นจะเอาธรรมที่ศิษย์รู้มาช่วยเขาได้อย่างไร ที่จะนำพาให้เราก็พ้นทุกข์ เขาก็พ้นทุกข์ มนุษย์พูดได้ แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ไม่ค่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์บอกให้ใช้สายกลาง แล้วสายกลางตอนนี้ศิษย์จะได้นั่ง แต่เขาต้องยืน ศิษย์บอกให้ใช้ธรรม แล้วธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เขาได้นั่งด้วย ได้พ้นทุกข์ด้วยและเราก็พ้นทุกข์ด้วย
(มีธรรมะอยู่ในใจ)  ธรรมอะไรหรือที่จะทำให้เพื่อนได้นั่ง แล้วเราก็ได้นั่งเช่นกัน (เพื่อนไม่ได้นั่ง เราก็ไม่ต้องนั่ง)  ศิษย์จำไว้นะ ธรรมเรารู้ เราเข้าใจ เราพูดได้ดีหมด แต่เมื่อถึงเวลา เราจะสละได้จริงๆ อย่างที่เราพูดไหม ฉะนั้นสละธรรมให้ธรรมเขาได้ไหม สละธรรมในตัวเองเพื่ออุทิศธรรมให้เขาได้ไหม (เสียสละให้ทุกคนนั่ง แม้ตัวเองต้องยืน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อมีคนกล้าเสียสละ และให้ธรรมดีๆ กับเรา เราจึงต้องรู้จักเสียสละ และให้ธรรมดีกับเขา ฉะนั้นอย่าเพียงแค่รู้ พูดได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าเป็นเพียงแค่พูดได้ดี แต่ทำได้ไม่ดี อย่างนี้เปล่าประโยชน์ เมื่อสักครู่ อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ถ้ามีเพิ่มแก่ เพิ่มทุกข์ เอาหรือไม่ ศิษย์ก็ไม่เอา แล้วเราจะทำอย่างไร ที่เราจะมีธรรมแล้วไม่ทำให้เราต้องทุกข์อีก ไม่แก่อีก ไม่เจ็บอีก นั่นก็คือ ธรรมที่กล้าเสียสละให้ธรรม ในท่ามกลางความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์เอ๋ย ต้องคิดให้ได้มากกว่า มนุษย์มีปัญญาที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์มีปัญญาที่กว้างไกล “อาจารย์ถ้าเขาไม่นั่ง หนูก็จะไม่นั่ง” แต่ถ้าเมื่อไรเขานั่ง หนูก็นั่ง ทำไมไม่คิดแบบนี้ ฉะนั้นนั่งไหม หนูจะนั่งก็ต่อเมื่อเขาจะได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่)  นั่งพร้อมกันแล้วเอาแอปเปิลเพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตายไปเอาไหม ศิษย์เอ๋ยทุกสิ่งอย่างไรก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย แต่ผู้มีปัญญาเอาไปแล้วรู้จักเปลี่ยนบาปให้เป็นบุญ เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เอาแล้วไปสร้างบุญและไปบอกบุญต่อทำไมไม่เอา ทำไมต้องรออาจารย์บอก ก็สายไปแล้ว อดได้แล้ว กาลเวลาเปลี่ยนแปลงจากแอปเปิลใหญ่ๆ ก็กลายเป็นองุ่นลูกเล็กๆ ช้าไปตามกาลเวลา เพราะโลกนี้สามารถเปลี่ยนได้ ตอนแรกอาจารย์ก็อยากให้ใหญ่ๆ นะ แต่เขาคิดช้าเกินไปเลยเหลือแค่นี้ ไม่เอาอาจจะไม่เหลือเลย มีโอกาสคว้าได้ก็ให้รีบคว้า แต่จงแปรร้ายให้กลายเป็นดี แปรบาปให้เป็นบุญ และแปรบุญให้หนุนบุญขึ้นไปดีไหมศิษย์ ในเมื่อศิษย์เองเป็นคนบอกอาจารย์ว่าอยากอยู่บนโลก อยากมีอนาคตที่ไม่มีภัย ไม่เวรกรรม ฉะนั้นการกระทำอะไรที่กระทำแล้วเป็นภัย เป็นเวรกรรม แล้วเป็นทำไม แต่เมื่อทำอะไรที่ได้บุญได้กุศล แล้วทำไมไม่ทำ เอาไหม (เอา)  แค่นี้ก็เอาใช่ไหม เดี๋ยวต้องแอบว่าอาจารย์จี้กงแน่เลยว่า อาจารย์จี้กงขี้เหนียว เอาไปให้คนอื่นต่อได้ไหม
อยากได้ไหม ขนาดอาจารย์ไม่อยากได้สิ่งที่ถืออยู่จากไม่หนักมันก็หนัก จากที่ไม่ทุกข์มันก็ทุกข์ อย่างนั้นอาจารย์ปล่อยเลยดีไหม เมื่ออาจารย์ปล่อยแล้วมีใครอยากรับต่อไหม ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ และในธรรมชาติเราก็หนีไม่พ้นว่าต้องมีดีและมีร้าย ถ้าเราเผลอไปยึดติดธรรมชาติ พอธรรมชาติดีศิษย์ก็หัวเราะ พอธรรมชาติร้ายศิษย์ก็ร้องไห้ ฉะนั้นธรรมชาติเป็นจริงแต่คนที่เผลอยึดไม่ควรไปยึด เพราะมันไม่จริง ธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา และในความธรรมดานั้น ถ้าเราเข้าใจเราก็จะพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจและไปเผลอยึดมั่นถือมั่น เราก็คือคนที่กำลังแบกทุกข์ อาจารย์ถามหน่อย ในโลกใบนี้เราทุกข์เพราะอะไร (เพราะตัวเอง)  สิ่งที่ควรคิดไม่คิด สิ่งที่ควรทำไม่ทำ สิ่งที่เป็นบุญไม่สร้าง สิ่งที่เป็นบาปก็ขยันสร้าง ฉะนั้นอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน คิดดีคิดบุญคิดกุศลก็ได้บุญได้ดีได้กุศล ที่เหลือก็แค่ชดใช้กรรม แต่ถ้าคิดร้ายสร้างบาปสร้างกรรม ข้างหน้าก็คือผลแห่งบาปกรรมที่ศิษย์สร้าง ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร ถ้าทำแล้วมันหนักเกินตัวและเราต้องแบกและรับไม่ไหว อย่างนั้นเรามาเลือกที่สิ่งเบาและไม่เอาเปรียบใครดีไหม
(ยึดติดกับวัตถุและสิ่งของ)  บางทีเราก็ยึดติดกับวัตถุสิ่งของจนทำให้เราทุกข์จนเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้ว การมีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ แต่เราจะหยุดทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อมีแล้วไม่เปรียบเทียบ ศิษย์เคยไหม อาจารย์จะยกตัวอย่าง ศิษย์ว่าถูกลอตเตอรี่ดีไหม (ไม่ดี,ดี)  ถูกลอตเตอรี่สองตัวดีไหม แต่จะเสียใจก็ต่อเมื่อ ทำไมซื้อน้อยไป ถูกไหม (ถูก)  ตอนถูกนี่รู้สึกเสียดายจริงๆ เลยอาจารย์ รู้อย่างนี้ซื้อห้าร้อย ซื้อหนึ่งพัน ซื้อทั้งบนทั้งล่าง ซื้อทั้งใต้ดินซื้อทั้งบนดินเลย ฉะนั้นที่ควรจะสุขแต่กลับไม่สุข เพราะมัวทุกข์กังวลว่าไม่น่าเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่แค่ยึดติดอย่างเดียว แต่ทุกข์เกิดจากเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี ถ้าพอใจได้ทุกข์ก็ทำร้ายเราไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ก็คนในโลกเป็นอย่างนี้นะศิษย์ ได้หนึ่งเคยพอไหม ไม่นะอาจารย์ ต้องเอาอีก เอาอีกแล้วพอไหม ไม่ ต้องเอาอีก แล้วหนักไหม แล้วแบกไหม จงพอดี จงรู้พอ ถึงเวลาเอาไหม เอา ศิษย์คนไหนอยากถืออยากแบกก็แบกไป ศิษย์จะได้รู้
(ยืนในหลักความเป็นจริง)  ยึดถือในหลักตามความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จงยืนอยู่บนความเป็นจริง อย่าจมอยู่กับอดีต ถ้าอาจารย์ตบโกรธไหม ทุกข์ไหม (ไม่โกรธ, ปล่อยวาง)  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมองตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่อาจารย์ตบมันเกิดแล้วจบไปแล้ว ธรรมะสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรามัวแต่จมกับอดีต เราเป็นทุกข์ เราก็สร้างกรรม ฉะนั้นถึงอาจารย์จะตบ จบยัง (จบแล้ว)  ถ้าศิษย์ไม่จบก็จะมีกรรมไม่จบสิ้น ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ขอให้ศิษย์จำไว้นะ เรื่องบางเรื่องมันจบไปนานแล้ว แต่เราต่างหากเป็นคนที่ไม่ยอมจบ เลยทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะนี้
(ความคิด)  ความคิดของเราทำให้เป็นทุกข์ คิดสูงไม่เป็นชอบคิดต่ำ คิดดีไม่เป็นชอบคิดร้าย คิดยอมไม่เป็น ชอบคิดเอาเรื่องเอาราว ฉะนั้นเราจะหยุดความคิดได้ก็ต้องรู้จักมีสติ ให้เรารู้จักช่วยยั้งคิด และสติรู้จักควบคุมใจไม่ให้เราทำชั่วคิดร้าย สตินั้นมีได้ก็ต่อเมื่อนิ่ง นิ่งให้ได้นะอย่าฟุ้งซ่านกับความคิดและปล่อยไปตามความคิด เพราะความคิดง่ายที่จะฟุ้งซ่าน สติจะดึงจิตเราให้เข้าสู่ธรรม ด้วยการมีปัญญา คนเราอยู่ในโลกนี้การจะเป็นที่รักของคนอื่นไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรัก เพราะเรารู้จักสร้างบุญบารมีด้วยการให้ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นที่รักของทุกคนด้วยการที่ได้แล้วรู้จักให้
(การเปรียบเทียบความทุกข์กับผลไม้ ว่าหนักหรือไม่หนัก คนเราต้องมีทุกข์อยู่แล้วต่อให้หนักหรือเบา แต่ทุกข์นั้นย่อมหายไปได้ตามเวลา คือ เราจะทำอย่างไรให้ผลไม้นั้นไม่หนัก ยิ่งลูกใหญ่เราอาจจะกินไม่หมด ก็แบ่งเพื่อน แต่ถ้าเรากินหมดอย่างเช่นองุ่นลูกเล็กๆ เราก็กินเข้าไป มันก็ไม่หนัก ทุกข์นั้นก็หายไป) แต่บางคนที่กินองุ่นก็อาจจะทุกข์ได้ ถ้าองุ่นนั้นเปรี้ยวและมีหนอนอยู่ข้างใน ฉะนั้นขอให้เรามีสติแบบนี้ได้ตลอดเวลานะศิษย์ แต่อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วผลไม้ทุกอย่าง หรือความทุกข์ทุกอย่างนั้น ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้จนกว่าเราจะไปเผลอยึดมั่นถือมั่น จริงๆ เรามีเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งนี้จะไม่ทำให้เราทุกข์ก็ต่อเมื่อเราไม่คิดว่าเป็นของเรา ถึงแม้จะเจ็บจะแก่จะทุกข์เราก็ไม่เป็นไร แต่เราจะเจ็บจะแก่จะทุกข์ก็ต่อเมื่อ ทำไมฉันต้องแก่ ทำไมฉันต้องเจ็บ ทำไมฉันต้องตาย นั้นห้ามได้ไหม ฉะนั้นสู้เราแค่รู้ แต่อย่าเผลอไปเป็น แค่รู้ทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์
(โรคภัยไข้เจ็บทำให้เป็นทุกข์)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ไว้ว่า โรคภัยไข้เจ็บ อย่างแรกคือเกิดจากกรรมที่เราสร้าง และอนาคตกรรมนี้จะหมดสิ้น ก็ต่อเมื่อเรามีจิตสำนึกขอขมาและยินดีชดใช้ ฉะนั้นต่อไปจะทำอะไร ก็จงระมัดระวัง อย่าเผลอให้คำพูดของเราสร้างกรรม แล้วทำให้เราต้องเจ็บปวดไม่จบสิ้น จงมีเพียงแค่ทุกข์กาย แต่อย่าทุกข์ใจ
(จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสติ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในใจของตัวเองไม่ได้ แล้วนำกลับมาคิดซ้ำไปซ้ำมา จนชีวิตหาความสุขไม่ได้)  แล้วตอนนี้อยากแก้ไหม (อยาก)  ศิษย์เคยได้ยินคำนี้ไหม พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า แค่รู้
ก็พ้นทุกข์
 เราพยายามหาคำว่า รู้อะไรหนอ ที่จะพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่าเขาไม่ดีกับเราอย่างไร ไม่ใช่รู้จักเพียงแค่เขาว่าเราอย่างไร แต่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า ให้รู้จักใจของตัวเอง อย่าพยายามไปแก้ไขเขา
อย่าพยายามไปเปลี่ยนเขา แต่ให้เปลี่ยนที่ใจของตัวเอง ด้วยการรู้เท่าทันความคิด การรู้เท่าทันความคิดจะทำให้เราเกิดปัญญา มองเห็นจิต มองเห็นความคิด
 และเมื่อมองเห็นความคิด เราก็อย่าไปปรุงแต่งความคิด แต่เพียงแค่รู้เท่านั้น แล้วสิ่งนั้นก็จะหายไปตามกาลเวลาของธรรมชาติ ดังที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ แต่ที่เราไม่ดับ เพราะเราไม่รู้เท่าทันใจ
(การไม่ปล่อยวาง)  เพราะว่าสิ่งทั่วไปที่เรียกว่า สรรพสิ่งในธรรมชาตินั้น ต้องเกิด ต้องดับ เป็นธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อเราเผลอไปยึด เราก็จะต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงสอนให้รู้ว่า แค่ยืมใช้ แต่อย่าไปหลงยึดว่าเป็นของเรา
(ความอิจฉาริษยา)  ความอิจฉาริษยา เห็นใครได้ดีก็อดคิดไม่ได้ว่าจริงไหมหนอ อาจารย์จะสอนวิธีแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ศิษย์ เอาไหม (เอา)  คนชอบเดินทางสายบุญ วิธีแก้นะศิษย์ เมื่อเห็นใครได้ดีก็อนุโมทนาสาธุยินดีด้วย แปรความอิจฉา แปรร้ายให้เป็นบุญ อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบไหมถ้าศิษย์ได้ดีแล้วคนนินทาศิษย์ให้ได้ยิน ให้ได้เห็นเลย ศิษย์รับได้ไหม (รับไม่ได้)  ถ้าใครได้ดีศิษย์อย่าเผลอสร้างเหตุปัจจัย ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับผลที่ศิษย์ทำ เราอิจฉาเขา ต่อไปเมื่อเราได้ดี เขาอิจฉาเราเป็นเรื่องธรรมดา อย่าอิจฉาเขา เห็นใครได้ดี ให้เปลี่ยนร้ายให้เป็นสาธุ ถ้าหากใครไม่ดี (สาธุ) ศิษย์เอ๋ยถ้าใครไม่ได้ดี ศิษย์บอกว่า สาธุ ก็เท่ากับศิษย์ยิ่งแช่งให้เขาไม่ได้ดีนะ ถ้าเขาไม่ได้ดีหรือเขาได้รับผลของการไม่ได้ดี เราจะกดไลค์เขียนด่าเขาเลยได้ไหม เท่ากับเราเกี่ยวกรรมกับเขาเลย พอเรากดไลค์เขียนด่า มีคนกดไลค์ชอบ ภูมิใจไหม อย่าภูมิใจนะเพราะนั่นเท่ากับกำลังสร้างบาป เรามีสาวกมากดไลค์ก็เท่ากับมาเพิ่มบาปของเราให้มากขึ้นด้วย เวลาใครไม่ดีแล้วได้รับผลไม่ดี ศิษย์จงเปลี่ยนเป็น “ให้ผลบุญที่ข้าพเจ้ามีจงแปรเปลี่ยนจิตใจเขาให้คิดได้เถิด สาธุ” ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะศิษย์อย่าลืมคนไม่ดีคนหนึ่ง เขาสามารถทำคนทั้งโลกให้ตายโหงได้นะ เวลาเราเจอคนไม่ดีอย่าไปแช่ง อย่าไปด่า เพราะยิ่งแช่ง ยิ่งด่า ก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาชั่ว เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีด้วยการแผ่เมตตาจิต
วันนี้ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ศิษย์ได้ทำบุญหนึ่งอย่างแล้วรู้ไหม การมาฟังธรรมก็ได้บุญ การเดินผ่านคนแล้วรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ก็เท่ากับสร้างบุญแล้วรู้หรือเปล่า (รู้)  รู้ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์จะให้ศิษย์เดินสายบุญ เราอยู่ในโลกนะศิษย์ เราอย่าไปเดินสายบาป อย่าเดินสายกรรมเลย วิธีเดินสายบุญของอาจารย์ง่ายๆ ทำอะไรก็รู้จักให้ แล้วการให้ความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพผู้อื่น เป็นการเดินทางบุญที่ยิ่งใหญ่และง่ายที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งเดินสายบุญด้วยการ เดินไปเจอใครก็ยกมือไหว้ เดินไปไหว้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไหว้มาถึงพระอาจารย์)
อยู่ตรงหน้าศิษย์แล้วทำเลย ศิษย์เอ๋ย จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก แต่จิตที่เย่อหยิ่งทะนงตน อวดดีอวดรู้ ไปอยู่ที่ไหนใครก็เกลียด ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ได้เดินสายบุญไม่ดีหรือ หรืออยากเดินสายบาปก็ได้ เดินไปก็ด่าไป เอาอะไรดี (สายบุญ)  ฉะนั้นเดินไปนะ เจอใครก็ไหว้ ออกนอกประตูกลับมาใหม่ก็ไหว้ ดีไหม (ดี)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอันนี้นะ เพราะบุญอันนี้เป็นบุญที่ทำง่ายที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ
ศิษย์ไม่อยากให้ใครดูถูก ศิษย์ก็จงอย่าดูถูกตัวเอง ถ้าศิษย์อยากให้ใครเคารพ ศิษย์ก็ต้องรู้จักเคารพตัวเอง และศิษย์อยากให้ใครรัก ศิษย์ก็ต้อง (รักตัวเอง)  แล้วรักคนอื่นไหม (รัก)  เขาเดินสายบุญ เรารับบุญแล้วเราทำอย่างไรต่อ สาธุ (สาธุ)  ดีมากศิษย์ ไม่เสียที ฉะนั้นเราต้องต่อยอดบุญ ต่อยอดบุญเสร็จ เขาเดินกลับไปแล้วยังแอบชมลับหลัง โอ้โห เก่งจริงๆ ดีจริงๆ ให้กำลังใจคนทำบุญ เอาแบบออกมาจากใจ ไหว้ออกมาจากใจ สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ โชคดีนะครับ ดีใจด้วยนะครับเดี๋ยวเราได้กลับบ้านแล้วนะครับ ดีไหม ดีนะ
ศิษย์เดินสายบุญ เดินช้าๆ เดี๋ยวบุญจะขาด เคารพด้วยท่าทีที่
นอบน้อม มองอย่างไรก็น่ารัก ศิษย์เอ๋ย จากมืดๆ ก็สว่างทันทีเลย เอาช้าๆ แล้วเราได้บุญต่อ ให้อายุมั่นขวัญยืน พอเราเดินสายบุญ ผู้ใหญ่บางคนพอเราไหว้เขาก็อวยพรเราต่อ ขอให้อายุมั่นขวัญยืนนะหลาน ยากไหมสายบุญของอาจารย์ (ไม่ยาก)  อย่างนั้นพร้อมใจขอบคุณกันอีกที (ขอบคุณ)  ทำดีไม่ยาก ขอแค่อ่อนน้อมแล้วทำจากใจจริง งดงามแถมได้คำอวยพรกลับมาให้ชื่นใจอีก การทำบุญมีแต่ได้ดี
ศิษย์รู้ไหมพระพุทธองค์ท่านบอกว่า กรรมหรือแรงใดๆ ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับแรงบาป เพราะแรงบาปเมื่อตกผลแล้วอะไรก็ยั้งไม่อยู่ เกิดเป็นคนจงสร้างบุญอย่างสร้างบาป แม้แต่พระพุทธองค์ท่านเคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่งศิษย์เคยได้ยินไหมว่า แม้มีน้ำตานองหน้า และต้องอดทนฝืนทำ
ความดีก็จงเลือกที่จะทำดี อย่าทำชั่วเด็ดขาด
 เพราะเมื่อชั่วให้ผลกรรมแล้ว ตอนนั้นศิษย์อยากจะแก้ก็แก้ไม่ได้แล้ว จะขอโทษเขาก็ไม่ให้อภัยแล้ว เพราะคนชอบจำไม่ลืม ถูกไหมศิษย์ ศิษย์ทำดีเป็นสิบ พอศิษย์ทำชั่วกับเขานิดเดียวเขาจำไหม (จำ)  พอเราขอโทษเขาหายไหม ที่อาจารย์เห็นไม่เคยหายเลย เอาคืนยิ่งกว่าเดิมอีก อาจารย์รักศิษย์นะจึงอยากบอกกับศิษย์ว่า เลือกสายบุญอย่าเลือกสายบาป เพราะการทำดีนั้นง่าย ก็แค่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อื่น ได้ไหม (ได้) 
เมื่อเขารู้จักเดินสายบุญแล้วเราเดินสายบุญหรือสายบาป (สายบุญ)  คนที่มีสายบุญและถือคุณธรรมเป็นชีวิตจิตใจ เดินสายบุญแล้วยังได้เป็นคนที่ประเสริฐด้วย แต่ถ้าเกิดคนที่เดินสายบุญและมีคุณธรรมประจำใจดำเนินชีวิต เดินสายบุญและเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้วยังเติมปัญญาธรรมเข้าไปด้วย ก็เป็นผู้ที่เดินสายบุญที่มีชีวิตประเสริฐ และเดินไปสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วย อย่างนั้นเราจะเอาสายไหน สายบุญอย่างเดียวหรือ แล้วสายบุญของอาจารย์แปลว่าอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นไว้แล้วศิษย์ อยู่ในโลกจะทำอย่างไรให้เรามีชีวิตต่อไปไม่เป็นการสร้างกรรม แต่เป็นการสร้างบุญและกรรมที่เหลือก็จะเป็นการชดใช้หนี้เก่า ดีกว่าไหม (ดีกว่า)
ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามที่กอปรไปด้วยบุญ และกอปรไปด้วยคุณธรรมที่เรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ เราจงเลือกทำ เหมือนเมื่อสักครู่ที่อาจารย์บอก ถ้าศิษย์ไปทำงานเจอใครก็สวัสดี พูดอะไรทำงานอะไรก็ถือความซื่อตรงเป็นหลัก ไม่โกหก ไม่เอาเปรียบ ไม่กินแรง มีคุณธรรมประจำใจคือ เมตตาจิต ไม่นินทาใคร อย่างนี้เรียกว่าเดินสายบุญ และกอปรไปด้วยคุณธรรมแห่งมนุษย์ประเสริฐดีไหม แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ทำ)  ศีลไม่ค่อยครบ คุณธรรมไม่ค่อยมี ปัญญาหาไม่เคยได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวิธีปฏิบัติของอาจารย์ก็คือ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร หนึ่งคือความอ่อนน้อม สองคือภายในใจต้องมีศีลธรรม มีเบญจศีลและมีเบญจธรรม แล้วรู้ไหมว่า
เบญจศีลเบญจธรรมคืออะไร (เบญจศีลก็คือข้อห้าม เบญจธรรมก็คือสิ่งที่ควรกระทำ)  อาจารย์ให้ลูกอมแล้วกันนะดีไหม (ดี)  ลูกอมหนึ่งลูกเท่ากับชวนคนมารับธรรมหนึ่งคนนะเอาไหม (เอา) ให้หมดเลยนะ (เอาไปแบ่งเพื่อน)  ให้เพื่อนไปชวนต่อใช่ไหม อาจารย์ให้นะ วันนี้อาจารย์ใจดีแจกศิษย์ แน่ใจนะเอาหมด (เดี๋ยวแบ่งเพื่อนที่ออฟฟิศ)  ใครขอก็ให้นะดีไหม (ดี)
เบญจศีลก็คือคุณธรรมห้า การรู้จักมีศีลก็คือการสร้างบุญ การรู้จักมีธรรมก็คือการสร้างบุญ การรู้จักฟังธรรมก็คือการสร้างบุญ การรู้จักเคารพและให้เกียรติผู้อื่นก็คือการสร้างบุญ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อก็คือการสร้างบุญใช่หรือไม่ การมีน้ำใจช่วยเหลือคน เช่นแค่ถามว่า ร้อนไหม เช็ดเหงื่อให้ นั่นก็คือการสร้างบุญแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญสอนให้เรารู้จักให้โดยไม่เห็นแก่ตัว รู้จักให้โดยไม่เรียกร้องขอผลตอบแทน ถ้าศิษย์ทำได้ ทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์ก็สร้างบุญได้ทุกที่ แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ชอบสร้างบุญแค่เฉพาะที่วัด กับคนอื่นไม่ยอมทำบุญใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น) เป็นคนดีเฉพาะในวัด ถ้าพ้นเขตวัดหรือถ้ายังไม่พ้นเขตวัดก็แอบนินทาคนแล้วถูกไหม
ฉะนั้นบุญจะงดงามขณะให้ ให้ไปแล้ว ให้สิ้นแล้ว ไม่เรียกร้องอะไร บุญนั้นจะเป็นบุญที่บริสุทธิ์ เริ่มต้นที่ศีลก่อน ศิษย์บอกว่า ศีล ศิษย์ก็ยังถือไม่ครบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการมีศีลครบ มันช่วยทำให้อะไรรู้ไหมศิษย์ เคยคิดไหม บางคนเกิดมาแข็งแรง บางคนเกิดมาอ่อนแอ เพราะเรามีชีวิตอยู่ ข้อแรกที่เรามักทำกันไม่ได้ ก็คือ เรามักจะเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น เพื่อสนองความอยากของตนเอง เรามักเบียดเบียนคนอื่น โดยการว่าเขาทางสายตา แอบด่าเขาทางใจ ฉะนั้นใครที่มีชีวิตอยู่ แล้วตอนนี้มักเจ็บไข้ได้ป่วย ก็แปลว่ามักจะเบียดเบียนและทำร้ายชีวิตของคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง ดังนั้นอยากมีร่างกายที่แข็งแรง ก็จงมีเมตตาจิต อยากได้คนซื่อตรง ก็จงรู้จักซื่อตรงก่อน อยากได้คนจริงใจไม่โกหกมดเท็จ เราก็จงอย่าโกหกมดเท็จใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
- ศีล ทำให้เรารู้จักประพฤติได้ถูกต้อง
- คุณธรรม คือสอนให้เราเป็นคนประเสริฐ
- การรู้จักทำบุญ คือทำให้เราสามารถสร้างกรรมที่ไม่ต้องเกี่ยวกรรมต่ออีก
ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเมื่อออกไปจากห้อง (สวัสดี)  แม้แต่เมื่อจบชั้นเรียนเราก็ (ขอบคุณ)  ยากไหม (ไม่ยาก)
เมื่อเราเดินสายบุญแล้ว ต่อไปเราต้องเดินสายธรรม ศิษย์เอ่ย ขึ้นชื่อว่าชีวิต มันต้องยืดหยุ่นได้ดี ถ้ายืดหยุ่นไม่ดี ชีวิตก็คือความตายแล้วนะ อย่าเพิ่งยอมแพ้ ยืดหยุ่นไว้ก่อน ถ้าเส้นยึดเมื่อไร แปลว่าใกล้จะตายแล้วนะ
ชีวิต คือสิ่งที่ต้องยืดหยุ่นได้ จึงเรียกว่าชีวิต สิ่งใดที่ตายนิ่ง ไม่ยืดหยุ่นนั้นแปลว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ชีวิตแล้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคนก็ต้องรู้จักยืดได้หดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรามาเข้าถึงธรรมบ้างดีไหม (ดี)  ไหวไหม (ไหว)  คนในโลกเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  มีสูงก็มีต่ำ มีดีก็มีดีน้อย ถูกไหม (ถูก)  แล้วมีพวกฉลาดก็มีพวกที่รู้ช้า ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำไมเราต้องเข้าใจธรรม ก็เพราะการเข้าใจธรรมจะสามารถทำให้เราไม่เกี่ยวกรรม ไม่สร้างบาปได้ บางทีศิษย์เคยไหม พูดกับเขาครั้งที่หนึ่ง เขาก็บอกว่า “ว่าไงนะครับ พูดใหม่อีกทีสิ” พูดกับเขาครั้งที่สอง “อีกทีได้ไหมครับ ผมฟังไม่ทัน” พูดกับเขาครั้งที่สาม “อะไรหรือครับ” โกรธไหม (โกรธ)  อุตส่าห์ให้เดินสายบุญแล้วโกรธอีก ต้องไม่โกรธ ศิษย์ต้องเข้าใจ คนบางคนพูดหนึ่ง ไม่ใช่รู้หนึ่ง แต่บางทีสอง สามก็แล้ว ยังไม่รู้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะมันเป็นความจริงของโลกใบนี้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งยืนขึ้น)
เหมือนศิษย์บอกว่า อาจารย์ศิษย์ก็พยายามเลือกแล้วนะ หาดีที่สุดแล้วนะ มันได้แค่นี้ โกรธใคร โกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)  โกรธเราทำไม (เพราะเราอยากหาเอง)  เราอยากหาเอง มีดีตั้งเยอะไม่เลือก เลือกแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  “อาจารย์พูดแบบนี้หยาม ศิษย์ไม่ดีตรงไหน ถึงศิษย์จะรู้น้อย ศิษย์ก็รู้ตามหลังได้ ถึงศิษย์จะไม่ขาวแต่ศิษย์ก็ดำแบบสะอาด”
ใช่ไหม (ใช่)  พยายามหาดีเต็มที่ ฉะนั้นการรู้ธรรมก็คือทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงว่า คนในโลกมันไม่เท่ากัน มีตั้งเยอะแยะไม่เจอ มาเจอเขา
มีตั้งเยอะแยะไม่เลือก ดันเลือกเขา ฉะนั้นอย่าพยายามหาความสมบูรณ์แบบในโลก เพราะโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเราเอง
ถ้าเลือกมาแล้วอย่ามัวแต่กล่าวโทษ แต่ให้อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและพยายามปรับความเข้าใจ ดีไหม (ดี)  ศิษย์เอ๋ยอยู่ในโลกเราต้องเข้าใจธรรมอย่างหนึ่ง คนเราแม้พยายามจะหาดีที่สุดขนาดไหน ก็ไม่มีใครดีที่สุดดั่งใจเราได้ จงยอมรับความเป็นจริง เพราะโลกที่สมบูรณ์ที่สุด ก็มีสิ่งที่บกพร่องที่สุด แม้จะมีสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็ยังมีสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกัน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายอีกท่านหนึ่งออกมายืนนอกแถวที่นั่ง)  เพราะความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง
วันหนึ่งสิ่งที่เป็นธรรมชาติของอาจารย์เปลี่ยนจากนี้เป็นแบบนี้ อาจารย์ตอนอยู่ด้วยกันก็ผอมนะ สักพักหนึ่งทำไมเป็นอย่างนี้อาจารย์ อาจารย์ตอนแรกอยู่ด้วยกันก็ดี แต่พอผ่านไปทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะอาจารย์ จำไว้นะศิษย์
โลกใบนี้เป็นโลกแห่งมายา สิ่งที่เรียกว่าธรรมล้วนเปลี่ยนแปลงทุกขณะ ถ้าเราอยากเข้าใจหลักธรรมแล้วไม่ทุกข์กับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราได้ เราจงยอมรับหลักสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า ในมายาล้วนมีรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยน
หารูปลักษณ์ที่แท้จริงได้ไม่
 ถ้าเราเข้าใจความไม่สมบูรณ์ ความไม่เที่ยงของโลกใบนี้ เราก็จะอยู่กับเขาอย่างมีความสุข ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง
ขนาดไหน ศิษย์ก็จะมีความสุข แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ได้ต้องหล่อกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ ต้องขาว ต้องผอมกว่านี้ ถึงแม้ศิษย์จะพยายามเดินสายบุญ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจสายธรรม ศิษย์ก็จะมีทุกข์และก็อยู่กันอย่างเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมกันสักที แทนที่จะบอกว่า บุญอะไรหนุนหนำมาให้เราเจอกัน นานๆ ไปก็บอกว่า กรรมหนอกรรม แต่จะทำให้เราเข้าใจธรรมทันทีเลยว่า ไม่ว่าสิ่งที่เรามีจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เราก็จะมองเห็นสัจธรรมว่า
โลกไม่มีอะไรเที่ยง คนเราเปลี่ยนแปลงได้ ตัวเราเปลี่ยนแปลงได้ เราก็จะกล้ายอมรับและเป็นสุข ด้วยหัวใจที่เข้าใจหลักธรรม อาจารย์ตลกแต่อาจารย์มีธรรมะ อย่าลืมเอาธรรมะของอาจารย์ไปด้วย
ศิษย์จงเข้าใจ อยู่ในโลกแม้อะไรจะเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือความเป็นจริงแห่งธรรมที่เรียกว่า ธรรมชาติ ฉะนั้นจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือธรรมชาติ แต่คนที่มีธรรมและเข้าใจธรรมแล้ว จะแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมเป็นทุกข์กับมันเด็ดขาด แต่จะรู้จักช่วงใช้และอยู่ร่วมกันอย่างก่อบุญก่อกุศล ไม่ก่อบาปก่อกรรม
(พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ผู้ใฝ่รู้”)
เก่งรอบรู้ไม่สู้เก่งเท่าทันใจ     ภัยใดไม่สู้ภัยจากใจหนา
มองผ่านใจยากรู้จริงภาพลวงตา  วางใจตนจึงรู้ว่าใดแท้จริง
อาจารย์อ่านจนจบแล้วศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจคำว่า “รู้” มีประโยชน์อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรารู้เรื่องภายนอกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยรู้คือ “รู้เท่าทันใจตน” ทุกอย่างเกิดจากเหตุที่เรียกว่า “ตัวเรา”  และในตัวเราที่เผลอหลงไปยึดธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าเราประมาทไม่มีสติรู้เท่าทันใจ รู้ความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ความไม่รู้นี่แหละที่จะทำให้เราเผลอไปหลงยึด เราบอกว่าเราแก่ ทำไมถึงแก่ แต่ถ้าเราเข้าใจและรู้ชัดว่า
ทุกคนมีแก่ มีเจ็บ และมีตายเป็นธรรมดา ทุกชีวิตหนีไม่พ้น แต่เราพ้นการเกิดได้ ไม่ธรรมดา มนุษย์กลัวตายแต่พุทธะกลัวเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์เราอยู่ในโลก ไปแสวงบาป ไปแสวงกรรม ไปทำชั่วเพราะสาเหตุใด รู้ไหม (ไม่รู้) ไม่รู้จริงๆ หรือ ไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองไปทำชั่วทำบาปเพราะอะไร รู้ไหม (รู้)  เพราะความอยาก พระพุทธะเรียกว่าตัณหา ตัณหา อนุสัยเกิดเมื่อไรทุกข์เกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นตัณหาคือต้นเหตุแห่งทุกข์และการเกิดที่เวียนว่ายภพน้อยภพใหญ่ไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์หยุดตัณหาได้ มนุษย์ก็หยุดการเกิดได้ แต่เราเคยหยุดตัณหาไหม เราเคยหยุดอยากไหม (ไม่)  มีตัณหาพอไหมยังตามไปด้วยกามราคะหรือกามตัณหา แล้วศิษย์รู้ไหมว่ากามราคะ มันรสอร่อยแต่มันให้ทุกข์ถนัด และไม่มีทุกข์ใดเสมอทุกข์ด้วยกามราคะและกามตัณหา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหลงอยากมีแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าคุณธรรมศีลธรรม ไม่มีจิตสำนึก กามตัณหานั้นแหละจะทำให้เราก่อเกิดภพเกิดชาติเวียนว่ายไม่จบสิ้น พระพุทธะเคยบอกไว้ว่า ความเจ็บและความตายเป็นสิ่งน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ถ้าถามว่ายังกลัวไหม ก็ยังกลัวกัน แต่อาจารย์ว่าความเจ็บความตายน่ากลัว
ขนาดไหน ก็ไม่สู้เท่ากับแรงบาปกรรมที่ศิษย์ทำอะไรไม่มีจิตสำนึกของความถูกต้อง เพราะแรงบาปกรรมมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเจ็บตายอีกหลายๆ ครั้ง
 มองหน้าอาจารย์ไม่มียอมรับบ้างเลย ไม่มีหดหู่บ้างเลย
ใช่ไหม ไม่ต้องกลัวอาจารย์ กลัวใจตัวเองดีกว่า เพราะถ้าศิษย์ทำบาปก็ต้องรับบาปเองใช่หรือไม่
พุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ต่อให้หนีไปสุดล่าฟ้าเขียว ก็ไม่มีใครหนีบาป
ที่ตัวเองทำไว้ได้ และบาปนั้น ไม่น่ากลัวเท่ากับใจของเราที่ไม่รู้จัก
ผิดชอบชั่วดี
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์ฆ่าเขา หนึ่งคนหนึ่งชีวิต ศิษย์จะต้องกลับมาเกิดชดใช้เพื่อให้เขาฆ่าศิษย์กลับ แล้วถ้าศิษย์ยังจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์ก็ต้องเวียนว่ายกลับมาเกิด เจ็บ ตาย ให้ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แล้วเราจะจบกรรมกันได้อย่างไรหรือศิษย์ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงแก้ไขการดำเนินชีวิตของเรา เขาทำเรา เรายังอโหสิกรรมจบกรรมได้ แต่เราทำเขา เขาจะให้อภัยศิษย์ไหม ศิษย์บอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวศิษย์ไปสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาอภัยศิษย์ไหม (ไม่ให้)  เวลาเขาจะล้างแค้น เขาจะเอาคืนอย่างไร เขาเอาคืนกับศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็จะเอาคืนจากคนที่ศิษย์รัก เอาของที่ศิษย์ชอบ เอาให้วอดวายจนไม่เหลืออะไรเลย ตอนนั้นศิษย์จะมีน้ำตานองหน้าขนาดไหนก็ตาม อาจารย์ก็ยืนยันว่า จงทำดีต่อไป อย่ายอมแพ้ แล้วขอให้ชาตินี้ชดใช้กรรม จะไม่สร้างกรรมอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
นะศิษย์
 ดีไหม (ดี)  ไม่ต้องรอให้ใครบอก แต่รู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะจิตที่รู้
จะทำให้เราเกิดปัญญามองเห็นจิต มองเห็นความคิด จิตที่รู้ มีสติรู้เท่าทัน ไม่ว่าอะไรมันจะเกิด มันมากระทบกาย กระทบใจ เราก็จะ ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ได้ชดใช้แล้ว ดีไหม (ดี)  อย่าก่อกรรมต่อไปเลย อย่าเพียงเพราะ
ความอยาก ฆ่ามันให้ตาย เอามันให้ไม่เหลือ หมูย่างหมูกระทะกินให้มันเต็มที่ เวลามันซัดกลับเข้ามาเต็มที่ แล้วศิษย์อย่ามาร้องเรียกอาจารย์จี้กง ทำไมคนบางคนเดินทางปลอดภัยไม่เป็นอะไร แล้วทำไมคนบางคนเป็นโรคมากมาย ทั้งหมดนี้มันคือกรรมทั้งนั้นนะศิษย์
ฉะนั้นรู้แล้ว แล้วอย่ามาบอกว่าไม่รู้ ไม่ได้นะ รู้แล้วยังทำอีก ยังผิดอีก หนักเป็นเท่าตัว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะทำอะไรคิดให้ดีๆ หนทางของการดำเนินชีวิต นับจากวันนี้เป็นหนทางบุญที่กอปรไปด้วยคุณธรรม
อันประเสริฐและเข้าใจในธรรมแห่งความเป็นจริง จะได้นำพาให้ศิษย์
พ้นทุกข์ ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไป
 ดีไหม
ไปให้ถึงนะ อ่อนน้อมเข้าไว้ จริงใจเข้าไว้ อุทิศเสียสละเข้าไว้ อภัยเมตตาไม่เคืองโกรธเข้าไว้ ทุกอย่างล้วนเป็นการกระทำที่มีแต่ให้ ให้เงินให้ทองก็ไม่สู้ให้ธรรม อยากได้ลูกหลานดี ทำไมไม่สอนธรรมให้ลูกหลานดี อยากได้ลูกหลานกตัญญู ทำไมไม่ทำตัวเองให้กตัญญูให้ลูกหลานเห็น อยากได้เพื่อนซื่อตรง ทำไมไม่ซื่อตรงให้เพื่อนเห็น อยากได้คนจริงใจ ทำไม
ไม่จริงใจออกจากใจให้เขาเห็น ไม่ต้องรอไปพึ่งใคร พึ่งตัวเอง เพราะตัวเองจึงได้ดีที่สุด คนอื่นยังมีวันเปลี่ยนแปลง แต่การพึ่งและศรัทธาในความดีของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้เราเป็นทั้งร่มโพธิ์ร่มเย็นให้กับคนอื่นและตัวเองได้ จริงไหม (จริง)  เลือกเดินสายที่ถูกต้อง ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ศิษย์จะได้ไม่ต้องมีน้ำตานองหน้าจะได้ไม่ต้องทำดีอย่างพยายาม แต่ทำด้วยความเข้าใจ ยินดีทำ ยินดีสละให้ ถ้าการให้นั้นทำให้หมดตัวตนไม่ต้องทุกข์ ให้ไปเถอะศิษย์ บุญบารมีมันเกิดจากชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ทำเดี๋ยวนี้ จบเดี๋ยวนี้เลย จะไปรอจบกันทำไมชาติหน้า เพราะชาติหน้าจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถูกไหม (ถูก)  รักตัวเองหน่อยนะศิษย์ รักตัวเองก็ต้องเลือกทางถูก เลือกทำสิ่งที่ดี อย่าทำร้ายตัวเองด้วยหนทางผิด หนทางบาปเลย คนตกนรกมีเยอะแล้ว อาจารย์อยากได้คนบุญ คนบุญที่พ้นทุกข์ พ้นธรรมจริงๆ นะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ดีไหม (ดี)  ตั้งใจบำเพ็ญ
เดินบนสายบุญ สายแห่งความดีงาม มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้นะ ตั้งใจทำให้ได้
จับมืออาจารย์แล้ว เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว ทำให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงเลือกสายแห่งความดีงาม เลือกสายแห่งความถูกต้อง อย่าเอาแต่ใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ คิดถูกทำถูกก็บุญของศิษย์ คิดผิดทำร้ายก็
น่าสงสารยิ่งนัก รักษาสิ่งที่ดีงาม อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ ตั้งใจเรียน
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ อาจารย์ให้ขวัญกำลังใจ อาจารย์ให้มงคลบุญรักษาศิษย์ ฉะนั้นศิษย์ต้องตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง
บุญอยู่ที่เราสร้าง บารมีอยู่ที่เราทำ ร่ำรวยไม่สู้ร่ำรวยปัญญาหรอก สิ่งดีและสิ่งมงคลจะเกิดได้ก็ด้วยจิตของเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ความเป็นมงคลก็มาสู่ใจ แต่ถ้าเราไม่มีศีลธรรม มงคลก็ออกจากใจ ทำได้ดีแล้วก็ต้องรักษาความดีต่อไป สังขารไม่เที่ยงนะศิษย์ จงรักษาจิตแห่งฟ้า สังขารสักวันก็ต้องกลับคืนสู่ดิน จงรักษาใจแห่งฟ้า ใจที่ดีงาม รู้จักคิดรู้จักทำ ตั้งใจบำเพ็ญและทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจบำเพ็ญต่อนะ ศิษย์เป็นศิษย์ที่ดี ศิษย์เป็นศิษย์ที่น่ารัก แต่บางครั้งก็ต้องระมัดระวังความคิดและอารมณ์ ควบคุมให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์พุ่งพล่านและทำให้เราเจ็บปวด อาจารย์ห่วงศิษย์และรักศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ต้องรู้จักรักตัวเองและเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงเดินทางผิด ตั้งใจต่อไปอย่ายอมแพ้ เรียนรู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมด้วยความเข้าใจ
ด้วยหัวใจที่เมตตา
เข้มแข็งนะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งจนทำให้อาจารย์หายห่วงได้หรือยัง เด็กดื้อของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญถึงที่สุดหรือยัง เข้มแข็งไม่หวั่นไหวหรือไม่ มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรมีจิตหนึ่งใจเดียวไม่ท้อแท้หรือไม่ หัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนนี้คือหัวใจที่ประเสริฐ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจและรักษาใจนั้นตลอดไป ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร ใจที่อุทิศเพื่อช่วยคน ใจที่อุทิศเมตตาผองชน ใจที่ทำไม่เหนื่อยท้อ ไม่อ่อนล้า ทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญได้ไหม ทำให้ดีก็ไปให้ถึงที่สุด บำเพ็ญมีรอยยิ้มอย่างนี้ให้ตลอด ทุกครั้งที่มีชีวิตยิ้มสู้นะศิษย์เอ๋ย รักษาศีลรักษาธรรม รู้จักควบคุมตนเองด้วยสติปัญญา ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดีอย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบ จับมือไหม จับแล้วต้องมาบำเพ็ญนะ อาจารย์ขอลาเขานิดหนึ่ง เพราะอาจารย์ไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกไหม ไม่รู้ว่าศิษย์จะรู้จักดูแลตัวเองให้ดีไหม ฉะนั้นศรัทธาความดี
ไม่ศรัทธาอาจารย์ไม่เป็นไร ทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าใช้อารมณ์เท่านั้นก็พอ
มีโอกาสมาฟังให้ครบนะศิษย์ รักตัวเองไม่ทำร้ายตัวเอง
ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีต่อไป เราเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว การบำเพ็ญคือการรู้จักควบคุมตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายให้ตัวเองทุกข์ ไม่ไปว่าคนอื่นตรวจสอบใจตัวเอง ไม่โทษคนอื่นแต่รู้จักโทษตัวเองนั่นเรียกว่า “บำเพ็ญ”  บุญอยู่ที่เรารักษา บารมีอยู่ที่เราสร้าง คุณงามความดีอยู่ที่เรากระทำ มาแล้วเดินต่อให้ถึงที่สุดนะศิษย์ อาจารย์ไม่เคยหลอกศิษย์ อายุมากแล้วจงยิ้มจงสู้ทุกเรื่องราวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาแต่อย่าหลงผิดแค่นั้นพอ หายห่วงหรือยัง ทำได้ดีหรือยัง ทำสิ่งที่อาจารย์บอกได้บ้างหรือยัง ได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วเมื่อไรจะทำ เดี๋ยวกรรม
ตกผลอาจารย์ช่วยไม่ได้แล้วนะ อาจารย์ไปแล้วนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์ เพื่อตัวศิษย์เอง อาจารย์เชื่อมั่นในตัวศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่น
ในความดีของตัวเอง เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อบุญบารมีของตัวเอง อย่า
สร้างบาปอีกเลยอาจารย์ขอ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่รู้”
เก่งรอบรู้ไม่สู้เก่งเท่าทันใจ                       ภัยใดไม่สู้ภัยจากใจหนา
มองผ่านใจยากรู้จริงภาพลวงตา                 วางใจตนจึงรู้ว่าใดแท้จริง

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมหมิงเอิน
วันที่ ๑๔-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
เพลงหน้า ๑๔ วรรคที่ ๒
เดิม         เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าทำตัวเองหลงไป ไม่มองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว
แก้ไขเป็น   เกิดมาเป็นคนทั้งที ต้องไม่ทำตัวหลงไป อย่ามองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

2552-06-13 สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่


西元二〇〇九年歲次己丑五月二十一日        大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒  สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
บนหนทางการดำเนินแห่งชีวิต อย่าพลาดผิดบ่อยบ่อยจนใจหาย
อย่าได้เป็นคนดีที่กลับกลาย ร้ายจนลืมหัวใจดีไม่เป็น

เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

อเนกอนันต์สายน้ำคือแหล่งชีวิต มอบธรรมดุจทานอุทิศกว่าทั้งหลาย
น้ำโอนอ่อนเคี่ยวเข้มจางละลาย ผ่านกรำหินผาได้ด้วยยินดี
ชีวิตประดุจดังเข้าแล้วยากออก อยู่กับสรรพด้วยหมอกอวิชชานี้
ไร้ทุกสิ่งปัญญากลับมากมี สร้างชีวีนอกคุมในไม่ขาดแคลน
ฝึกปรัชญากลมถืออย่าตายตัว มากในเหลี่ยมมุมสลัวอันตรายแสน
ประมาทเป็นเหตุอย่าเผลออารมณ์แทน ประโยชน์ตัวทำคนแค้นอาฆาตคืน
อย่าดูแข็งทื่อบำเพ็ญงามวิเศษ สกัดคือใจกิเลสเป็นทิวคลื่น
ทว่าการล้างสุมจิตไม่ตื่น นำธรรมะมาใช้คืนสงบดู
ทำชีวิตทุกแง่งามในธรรม เท่าทันกับมุมต่ำนิทราอยู่
สุมรุมโดนเมื่อเผลอเต็มประตู โพธิรู้แผ่ความดีสุดกำลัง
หากความเมตตารักมีเท่าเทียม สำนึกดีอย่าต่างเสี้ยมให้บาดหมาง
ขณะเผลอไปทำหากละอายบ้าง ความเกลียดชังข้อต่างยุติลง
แบ่งข้างเข้าอ้างอวดขมวดถูก บาปหนักกลัวตัวผูกละลานหลง
คนหนาคนจำทำไม่จำนง หลากสังคมหลายพวกเลือกพวกใด
คนหลายหน้ามีปัญหากับชีวิต พรหมลิขิตมีเองหรือตัวใฝ่
ท้อไปร่ำอยู่พ้อเป็นอย่างไร คิดมากไปชีวิตมีแค่วันเดียว

ฮิ  ฮิ  หยุด























พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  เสียงพัดลมดังไหม (ดัง)  ลองอยู่กับสภาพเสียงดัง ความวุ่นวาย แต่เรามีจิตที่สงบให้ได้บ้าง ดีไหม (ดี)  เราอยู่ในโลกนี้ เราเพียรพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่ให้ได้แค่นั้นหรือเปล่า “ไม่”  มนุษย์คิดว่าถ้าจะอยู่ในโลกนี้แล้ว ต้องอยู่ให้ได้และต้องอยู่ให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมสุดท้ายแล้วการเพียรพยายามที่จะอยู่ในโลกใบนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ความดีรักษายากเหลือเกิน ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์บอกว่าถ้าจะอยู่ต้องอยู่ให้ได้ และเมื่ออยู่ได้แล้วต้องอยู่ให้ดี ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่สุดท้ายความดีกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลับกลายเป็นสิ่งที่รักษายากที่สุด ทั้งที่จริงๆ แล้วเดิมนั้นมนุษย์เราถ้าไม่ทำอะไรก็เป็นคนดี แต่เมื่อไรที่ทำสิ่งใดแล้วไม่รู้จักควบคุมตนเอง ความดีนั้นอาจจะค่อยๆ หายไปทีละนิดๆ ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามนุษย์เพียรพยายามที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้และให้ดีแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ดีกลับรักษาได้ยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะว่าชีวิตนี้เกิดมาก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาก็ลำบากแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงต้องพยายามหาความสุขความสบายให้ได้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อไรที่เราหาความสุขความสบายนั้นเราไม่ต้องสนใจความทุกข์ได้ไหม “ไม่ได้”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะว่าเมื่อไรที่มนุษย์สามารถเอาชนะความทุกข์ได้ ฝ่าฟันความทุกข์ได้ เราก็จะพบความสุขอันนิรันดร์ แต่หากว่าทุกวันเราหาแต่ความสุขแล้วหนีทุกข์ สักวันหนึ่งเราต้องพบความทุกข์อันแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตอย่ากลัวความทุกข์ ถ้าเราสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ เราจะสามารถพบความสุขอันนิรันดร์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
การศึกษาธรรมะบอกให้ท่านรู้จักพอบ้าง อย่าได้เอาแต่แสวงหา เพราะการแสวงหามากๆ จะทำให้เราสูญเสียความดีในตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือการสอนให้มนุษย์รู้จักพอ  ถ้าโลกกำลังแสวงหา แต่เราต้องรู้จักพอ เราทำได้ไหม  วันนี้บอกให้ท่านพอ ท่านยังบอกว่ายากเหลือเกิน ใช่หรือไม่  บอกว่าขอไปหาเงินก่อน ขอไปมีความสุขก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านว่า ระหว่างคนมีเงินมากๆ แล้วอยู่ๆ ต้องรู้จักพอ ทรมานหัวใจไหม (ทรมาน)  แต่ถ้าทุกวันรู้จักพอ อยู่ๆ ให้ต้องพอจริงๆ จะทรมานไหม (ไม่ทรมาน)  ฉะนั้นการบำเพ็ญให้รู้จักพอก็คือเตรียมตัวไว้เพื่อไม่ประมาท ในเวลาที่เราต้องพอขึ้นมาจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ากลัวกับการรู้จักพอ เพราะการรู้จักพอจะทำให้เมื่อแย่ลงไปเราก็ยังมีใจรับทัน  ดีกว่าพยายามฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม มีไปเรื่อยๆ ถึงเวลาแย่ก็เตรียมใจรับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือสอนให้มนุษย์รู้จักความพอดี เพราะเมื่อเราอยู่ตรงกลาง จะขึ้น จะลงก็ไม่เจ็บปวด แต่ถ้ามนุษย์พยายามไต่ แต่ต้องสูงไว้ๆ พอถึงเวลาต้องตกต่ำกลับทนไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  
อีกประการหนึ่งโลกเต็มไปด้วยความมืดมน คนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ แต่ธรรมะกลับสอนให้ท่านต้องรู้จักพอ แล้วยังต้องรู้จักเสียสละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักพอก็ทำยากแล้วใช่ไหม ยังต้องรู้จักเสียสละอีก ยากไหม   บางคนบอกไม่ยาก บางคนบอกยาก ใช่หรือไม่  คนที่บอกว่ายากเพราะไม่ค่อยได้ทำดี ใช่หรือเปล่า พอจะทำดีก็เลยบอกยาก ใช่ไหม ถ้าคนที่ทำดีบ่อยๆ พอเวลาจะทำก็เลยบอกว่าไม่ยาก ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นแม้คนจะมืดมน คนจะเห็นแก่ตัวแต่เมื่อเราศึกษาธรรมะแล้ว เราต้องรู้จักยอมจุดเทียนเพื่อความสว่างให้กับจิตใจ และรู้จักนำเทียนแห่งความสว่างนี้ เสียสละเพื่อช่วยผู้อื่น ทำยากไหม  ไม่ยากเลย แค่เรารู้จักเสียสละโดยเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน แล้วการเสียสละบางครั้งจะสะท้อนสะเทือนให้คนรู้จักเสียสละตามโดยไม่ต้องเรียกร้อง แต่ต้องเริ่มต้นทำที่ตัวเรา
ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ถูกไหม (ถูก)  ง่ายๆ คือรู้จักพอบ้าง รู้จักเสียสละบ้างและรู้จักรักษาความดีให้เป็นบ้าง สามอย่างแค่นี้เอง ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  พอไหวไหม (ไหว) พอทำได้ไหม  (ได้)  แต่ถึงเวลาไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม่ง่ายอย่างที่พูดจริงหรือไม่
“ร้ายจนลืมหัวใจดีไม่เป็น”
พอผิดบ่อยๆ ถูกว่าบ่อยๆ เข้าก็ไม่อยากเป็นคนดีเลยใช่ไหม ดีก็เลยเหมือนดีไม่เป็น ถูกหรือเปล่า (ถูก)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์แจ้งพระนาม)
เราคือ เสี่ยวเซี่ยวฝอถง (เซียนเด็กผู้ชายที่มีรอยยิ้มเล็กๆ) เล็กๆ ไม่เป็นแล้วจะใหญ่ได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  เล็กไม่ได้แล้วจะใหญ่ได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ดีเล็กๆ ไม่ได้ ดีเล็กๆ ไม่ทำแล้วจะมีดีใหญ่ๆ ให้เห็นไหม (ไม่)  ผิดน้อยๆ ไม่แก้ไข เมื่อผิดใหญ่ขึ้นจะแก้ไขทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นความดีเล็กๆ น้อยๆ ต้องหมั่นเพียรสะสม ความชั่วเล็กๆ น้อยๆ ต้องหมั่นแก้ไข ชะล้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ธรรมะเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจไหม (ไม่ยาก)  แต่ที่ยากตรงที่มีสติอยู่กับตัวไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟังไม่ยากแต่ฟังจนเข้าใจแล้วรู้เรื่องยากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรนะ ในโลกนี้ย่อมจะมีคนที่รู้เร็ว รู้ช้า และรู้ทัน เป็นธรรมดา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราพูดครั้งหนึ่งบางคนเข้าใจได้ทันที แต่มีบางคนยังไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อพูดอีกครั้งหนึ่ง จึงจะมีคนเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และพอเมื่อพูดครบสามครั้งก็ยังมีคนไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงลืมไม่ได้ ในโลกใบนี้ แม้เราจะฉลาดขนาดไหน เราจะดูถูกคนโง่ไม่ได้ เพราะบางครั้ง เรารู้เก่งด้านหนึ่ง แต่อีกด้านเราอาจจะไม่รู้ไม่เก่งก็ได้ ฉะนั้นวันนี้เราลองดูนะว่า การทำอะไรเหมือนๆ กัน บางครั้งจะมีคนทำได้ และทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ปรบมือพร้อมกัน ตามคำสั่ง)
ในโลกนี้ย่อมจะมีคนที่ทำได้ และทำไม่ได้ รู้ทันและรู้ไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักให้โอกาส คนฉลาด คนรู้ทันแล้วจึงต้องให้โอกาส และอดทนรอกับคนที่มาช้าหน่อย ไหวไหม (ไหว)  จนกว่าจะปรบมือพร้อมกัน ท่านจะได้นั่งทันที ดีไหม (ดี)  ในโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ มีคนทำได้ และมีคนทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนทำได้ก็ต้องรอ และในใจก็ต้องฝึกอภัย อย่าโกรธ เปิดใจกว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนที่บอกว่าทำได้ พอถึงเวลาก็พลาดได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  เพราะนึกว่าตนเองได้แล้วเลยใจร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าได้แล้ว ไม่ว่าก้าวต่อไปก็ต้องได้เสมอๆ ไม่ใช่บทเรียนนี้ได้ บทเรียนต่อไปไม่ผ่าน ถูกไหม (ถูก)  แล้วถ้าถึงเวลาคนที่ท่านพยายาม ผลักดันให้เขารู้ ให้เขาดู พยายามพูดให้เข้าใจ แต่พูดเท่าไร เขาก็ไม่เข้าใจเรา เราพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเราไม่ผิดนะ แต่อย่างไรเขาก็มองว่าเราผิดแล้ว จะแก้ตัวอย่างไรก็เหนื่อยเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือคนบางคนเป็นคนที่รู้ช้า พูดไปเป็นสิบรอบ ฝึกไปเป็นสิบครั้งก็ยังรู้ช้า ท่านสมควรจะโกรธเขาไหม (ไม่)  ท่านสมควรจะว่าเขาไหม (ไม่)  สิ่งที่สมควรที่สุดคือ เราต้องยอมรับตัวเราที่ทนเขาไม่ได้ต่างหาก ถูกไหม (ถูก)  เหมือนเราพยายามฝึกท่าน ปรบมือหนึ่งที เห็นไหมว่ายังปรบผิดได้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้นสิ่งที่เรายากทนก็คือการอยู่ร่วมกันกับคนมีนิสัยที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ ฉะนั้นอย่าไปบังคับคนให้เขาเป็นอย่างที่เราเป็นเลย สู้เราบังคับใจของเรา คุมใจของเราให้ทนรับได้กับสิ่งที่ยากเกินทนดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)
“ผ่านกรำหินผาได้ด้วยยินดี”
การจะฝึกฝนตนเองให้รู้จักพอ การจะฝึกฝนตัวเองให้รักษาความดี ท่ามกลางสังคมแวดล้อมที่เลวร้ายเป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ามนุษย์รู้จักควบคุมใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ยากเกินที่เราจะทำได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ เวลาเราอิ่มมากๆ เดินไปในดงอาหาร ถามว่าใจเราหวั่นไหวหรือไม่  (ไม่) เพราะเรากำลังอิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะเดินผ่านอาหารจานโปรดก็รู้สึกผะอืดผะอมใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่หากท้องเราหิว แม้จะไม่เดินผ่านอาหาร หัวใจก็เรียกร้องไม่ว่าจะ ผัด แกง ต้ม คงจะดีไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากหัวใจเราหิวอยู่ ท้องเราหิวอยู่ พอเดินผ่านเห็นอะไรเราก็อยากกินไปหมด  ใช่หรือเปล่า (ใช่) ต่างจากตอนที่ท้องเราอิ่ม แม้ว่าจะผ่านภัตตาคารเลิศหรูอย่างไรเราก็กินไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในอีกทางหนึ่ง ท่านเคยเห็นคนติดเหล้าหรือไม่ (เคย) แม้ไม่ต้องออกไปข้างนอก ใจก็อยากจะดื่ม ปากก็จะรู้สึกเปรี้ยวๆ อยากกินใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ไม่ได้เห็น แต่ใจก็เรียกร้อง ฉะนั้นภาวะภายนอกไม่ว่าจะดีหรือร้าย ร้อนหรือหนาว หากใจเราไม่ส่งไปรับรู้ ภาวะภายนอกก็เปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรกับใจไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) แต่เมื่อมนุษย์ใจไม่บริสุทธิ์ จึงง่ายที่จะหวั่นไหว ลำเอียง และยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ไม่น่ากลัวหรอก  แต่ใจที่ไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้น่ากลัวกว่า ลาภยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ไม่น่ากลัวหรอก แต่ใจที่ไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรม เมื่อไปจับเงิน ทอง น่ากลัวยิ่งนัก จริงหรือไม่ (จริง)  ยกตัวอย่างเช่น ท่านเอาแบงก์ ๕๐๐ บาทวาง กับเอาตุ๊กตาวางที่เด็กตัวน้อยๆ  ท่านว่าเด็กจะหยิบเงิน หรือตุ๊กตา (ตุ๊กตา)  แต่หากเป็นท่านจะหยิบเงินใช่หรือไม่ (ใช่) และจริงๆ แล้วเมื่อเด็กเล่นตุ๊กตาเสร็จแล้ว เด็กก็ปล่อย ใช่หรือไม่ แต่มนุษย์เมื่อจับเงินแล้วปล่อยหรือไม่ (ไม่ปล่อย) เพราะอะไรจึงต่างกัน เพราะอะไรใจเดิมๆ ที่บริสุทธิ์ของเราหายไปไหน จนทำให้มนุษย์นั้นง่ายที่ถูกภาวะแวดล้อมทำให้หัวใจหวั่นไหวตาม  เพราะอะไรใจเราจึงหวั่นไหวและกระเพื่อมไปตามสิ่งแวดล้อม  พูดง่ายๆ ก็คือเพราะมนุษย์มีคำว่าชอบ มีคำว่าชัง  เมื่อไรมีสิ่งที่ชอบก็จะยึดมั่น  เมื่อไรมีสิ่งที่ชังเราก็จะผลักไสไล่ส่ง  ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ภาวะของเด็กมีอะไรที่ชอบมีอะไรที่ชังหรือยัง (ยัง)  เมื่อไม่มีอะไรที่ชอบ ไม่มีอะไรที่ชัง เขาจึงไม่กระเพื่อมไหว และไม่รู้สึกว่าอะไรสุข อะไรทุกข์ แต่เพราะมนุษย์แบ่งว่าอะไรที่ชอบนั่นก็คือสุข มีอะไรที่ชังนั่นก็คือทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น หากมนุษย์สามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์ ไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง ไม่แบ่งแยกว่าอันนี้ขาว อันนี้ดำ  ภาวะภายนอกอาจจะไม่มีผลต่อภาวะภายในก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ระหว่างเงิน ๑๐๐ บาท กับเงิน ๕๐๐ บาท เราเลือกหยิบอันไหน (๕๐๐บาท) ทำไมเลือกหยิบเงิน ๕๐๐ ล่ะ หากเรามองเห็นแบงก์ ๑๐๐ และ ๕๐๐ เป็นเงินเหมือนกันก็ไม่ต่างกัน  เสื้อเก่ากับเสื้อใหม่หยิบตัวไหน (หยิบตัวใหม่)  แล้วถ้าเป็นเสื้อใหม่ทั้งคู่จะหยิบตัวไหนเพราะอะไร ของเหมือนกันทั้งคู่ ทำไมจึงละล้าละลังจะหยิบตัวไหนดีๆ เพราะว่าหัวใจของมนุษย์ชอบแบ่งแยก แล้วเมื่อไรที่ยึดติดกับแบ่งแยก ความวุ่นวายจึงเกิด ความทุกข์จึงตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตประดุจดังเข้าแล้วยากออก อยู่กับสรรพด้วยหมอกอวิชชานี้
ไร้ทุกสิ่งปัญญากลับมากมี สร้างชีวีนอกคุมในไม่ขาดแคลน
ฉะนั้นถ้ามนุษย์สามารถมีสติระลึกรู้อะไรถูก อะไรผิด ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรืออัตตาตัวตนก็คงไม่ทำให้เราหลงใหลฟุ้งเฟ้อจนหยุดไม่ได้ ยั้งไม่อยู่ แล้วก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานจนสั่งสม เหมือนที่เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้หรอกนะ จริงไหม ฉะนั้นหากทำอะไรขอให้มีสติระลึกอยู่เสมอว่า “ได้เท่านี้ก็พอแล้ว” ถูกต้องชอบธรรมไหมถ้าจะเอา ถ้าไม่ถูกต้องชอบธรรมแล้วอย่าเอาดีกว่า เพราะถ้าเอาแล้วกำลังจะหาให้ตัวเองทุกข์โดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์อยู่กันด้วยผลประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหมดผลประโยชน์ก็ทำลายกันได้ลงคอ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ดังที่มนุษย์พูดว่า  “วางแหวางอวนจับปลา  เมื่อได้ปลาแล้วก็ทิ้งแห ทิ้งอวนเสีย”  เหมือนกันเราเกี่ยวกันด้วยผลประโยชน์ เราอยู่กันด้วยผลประโยชน์ เธอหาเงินให้ฉันมาก ฉันก็รักเธอมาก แต่เมื่อไรเธอหาเงินให้ฉันน้อย ฉันก็ไล่เธอส่ง อย่างนี้ดีหรือ (ไม่ดี)  ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะเอามาอยู่ร่วมกัน สิ่งที่ควรจะเอามาสัมพันธ์กัน ควรเป็นคุณธรรมความรัก ความจริงใจและเอื้ออาทร มากกว่าผลประโยชน์ มากกว่าอารมณ์รัก อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่มนุษย์ถนัดที่จะอยู่กับอารมณ์มากกว่าที่จะอยู่กับความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรที่ทำให้มนุษย์ที่เคยใจบริสุทธิ์งดงาม กลายเป็นใจที่ไม่สามารถบริสุทธิ์ ยุติธรรมและงดงาม จึงเป็นคนที่ไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ รักษาความยุติธรรมได้ (ความโลภ)  บางทีเพียงเพราะโลภ จึงทำให้เราไม่สามารถที่จะบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ จริงหรือไม่ (จริง)  
ถ้าจิตใจของเราบริสุทธิ์ยุติธรรม แม้ภาวะภายนอกจะเลวร้ายขนาดไหน ความบริสุทธิ์ยุติธรรมก็ยากจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นถ้ามนุษย์รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ยินดีในสิ่งที่ตนเองได้ แม้คนอื่นจะมีเงินมากมายเต็มไปหมด เราจะอยากมีเงินมากตามเขาไหม (ไม่อยาก)  แต่เพราะอะไรเราจึงอยากตามเขา ก็เพราะว่าหัวใจเราเห็นเขามีเราก็อยากมี เห็นเขาได้เราก็อยากได้ ที่อยากมี อยากได้เป็นเพราะว่าเราไม่ยอมพอ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกันถ้ามนุษย์อิ่มแล้ว ต่อให้ภาวะภายนอก จะน่ากิน น่าดื่มขนาดไหน ก็ทำให้เราอยากไม่ลง ถูกไหม (ถูก)  เพราะเราอิ่มแล้ว แต่ถ้าหัวใจเราหิวตลอดเวลา แม้ไม่ต้องออกไปภาวะภายนอก ใจก็คอยจะหิว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเห็นท้องตัวเอง อย่าลืมเห็นใจตัวเอง รู้จักท้องตัวเองว่าอะไรคือพอดี ก็อย่าลืมรู้จักความพอดีของใจด้วย ได้หรือไม่ (ได้)  แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลงก็จะไม่ทำให้ชีวิตยุ่งยากจนเกินไป เพราะรู้จักพอเป็น จริงหรือไม่ (จริง)
ขอเพียงมีสติรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และรู้จักระลึกชอบว่าอะไรถูก อะไรเหมาะสมจงทำ อะไรไม่ถูก ไม่เหมาะสมอย่าได้ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เป็นผู้กล้า คนบางคนกล้า คนบางคนขี้กลัว มนุษย์ในโลกมีสองแบบ กล้า กับ ขี้กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  กล้าเกินไปก็ไม่ดี กลัวเกินไปก็ไม่ได้ ถึงมนุษย์จะมีความกล้าขนาดไหน หรือถึงจะมีความกลัวขนาดไหน แต่สิ่งที่มนุษย์ทุกคนเหมือนกันก็คือ มีจุดอ่อน ใช่ไหม (ใช่) เรายกนิทานง่ายๆ เรื่องหนึ่งมีชายคนหนึ่งเป็นนักรบ ไปรบที่ไหนเขาก็สามารถรบชนะ ทหารกี่คน ดาบอาวุธน่ากลัวขนาดไหน เขาไม่เคยกลัว แต่สิ่งที่เป็นจุดอ่อนของเขาอย่างหนึ่งคือ แจกันแสนรักแสนหวง ทำด้วยแก้วชั้นดี เผอิญว่าเขาเดินผ่านชนเก้าอี้ที่วางแจกัน คนเก่งกล้าสามารถ รบคนได้เป็นร้อยเป็นพัน  แต่พอแจกันแสนรักแสนห่วงตกมา หัวใจแทบแตกสลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารับแจกันทันเป็นอย่างไร ก็ค่อยโล่งใจ แต่ใจหายทันที ใช่หรือไม่  ถ้ารับไม่ทัน ความเข้มแข็งที่มีอยู่ ที่เอาชนะคนอื่นได้มากเป็นร้อยเป็นพัน กลับแพ้อยู่ใบเดียวคือ (แจกัน)  มนุษย์ทุกคนก็มีจุดอ่อนของแต่ละคน จุดอ่อนที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถรักษาสมดุล ไม่สามารถรักษาความเป็นผู้เป็นคน ไม่สามารถรักษาความดีให้ปรากฏ นั้นคืออะไร ต้องพูดถูกใจ ถ้าพูดไม่ถูกใจ โมโห ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดให้ไม่ถูกใจ ทำอย่างไร ก็ไม่ทำให้ แต่ถ้าพูดถูกใจ ทำเช้ายันเย็นก็ไหว เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  
ถ้าชมหน่อย ที่บอกว่าทำไม่ได้ กลับทำจนได้ แต่ถ้าว่าหน่อย ที่ทำได้ กลับทำไม่ได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)   ทั้งที่ยังไม่ได้ลองเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจิตใจของมนุษย์ล้วนมีจุดอ่อน ถ้าเราไม่เข้าใจจุดอ่อนก็จะง่ายที่คนอื่นเอาจุดอ่อนมายืมใช้ เหมือนมนุษย์ทุกคนต้องการเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และชอบลงทุนอะไรน้อยๆ สบายๆ แต่ได้เงินมากๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงถูกจุดอ่อนนี้ถูกหลอกลวง และเราก็ต้องสูญเสียเงินไปมากๆ  เพราะอยากลงทุนน้อยๆ  แล้วได้เงินมากๆ  จริงไหม (จริง)  
มนุษย์ชอบคำชม ใช่ไหม (ใช่)  ขอให้ชมเถอะ ชมแล้วจะอะไรเราก็ทำหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะเป็นหน้าที่ของเขา เราก็ยอมเสียสละช่วย เพราะอะไร “เขาทำเก่งจังเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมจุดอ่อนเราให้ดี เราอาจถูกกุมจุดอ่อนโดยผู้อื่นแล้วทำให้เราทุกข์เกินจนยากจะรับก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  
ถามว่ามนุษย์ทุกคนขยันไหม “ขยัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยอย่างไรก็ทำไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ว่าแล้ว ขอให้ชมเถอะ แต่ถ้าขยันจนทำให้เราต้องสูญเสียมือ เรายังอยากขยันไหม ถ้าขยันแล้วเราโกงคนอื่นกิน ถ้าขยันแล้วเพื่อจะได้เงินมากๆ  แต่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน เราควรขยันไหม (ไม่ควร)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาชมว่าเราขยัน เราต้องขยันอย่างมีจุดยืน อย่าขยันอย่างร้ายก็ไม่เอา ดีก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ล้วนอันตราย ร้ายก็ไม่เอาแต่ดีต้องเอาให้ได้ ฉะนั้นถ้าขยันแล้วต้องไม่ดูถูกคน ถ้าขยันจนเป็นคนเก่งแล้วต้องรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือผู้คน ความขยันของเราจึงจะสามารถมีประโยชน์ มนุษย์ทุกคนรักสบายไหม (รัก)  ชอบอยู่กับคนที่พูดดีๆ พูดเพราะๆ ชอบอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ ชอบทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำแต่สิ่งที่ตัวเองรัก ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวันๆ  กลับกลายเป็นฆ่าตัวเองโดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งที่รักถ้ามีอยู่มากๆ กลายเป็นเลี่ยน จริงไหม (จริง)  กลายเป็นเบื่อหน่าย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์เราตามใจตัวเองบ่อยๆ ไม่เคยขัดไม่เคยแย้งตัวเอง สิ่งที่ตามใจตัวเองก็อาจจะทำให้เกิดพิษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าพิษแห่งความหวาน ใช่หรือเปล่า และกลายเป็นคนมองโลกไม่อยู่บนความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเราอย่ารักสบายจนไม่รู้จักความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นคนโกหกตัวเองและดำเนินชีวิตด้วยความมืดบอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักสบายต้องรู้จักรักลำบากด้วย รักความสุขก็ต้องรู้จักรักทุกข์เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความรักของเราจะไม่ทำให้เกิดพิษเป็นความรักที่รับได้ทั้งมืดและสว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)   เป็นความรักที่รับได้ทั้งดีและไม่ดี จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าเป็นคนที่รักสบายแล้วเป็นคนที่สูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นคน มนุษย์นั้นบางคนรักสบายแล้วสูญเสียความเป็นคน สูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นคน ด้วยการเกาะคนอื่นกิน ยืมคนอื่นใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นไหม บางทีก็ขยัน บางทีก็ขี้เกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขยันมากๆ ก็ดูถูกคน พอขี้เกียจมากๆ ก็สูญเสียความเป็นคน ใช่หรือเปล่า แล้วสองสิ่งนี้มีอยู่ในตัวเราไหม (มี)  แล้วอะไรคือจุดอ่อนของเรา (ความประมาท, ความโลภ, ความหลง)  หลงอะไร หลงตัวเอง หรือหลงผู้หญิง  หลงตัวเองก็ไม่ดี หลงสตรีก็ไม่งาม ใช่ไหม อะไรอีกคือจุดอ่อนในตัวหากเกิดขึ้นมาแล้ว โมโหทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ชอบก็คือการยัดเยียดให้เราเป็นผู้ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนดี พอถูกว่า เป็นคนผิด พอถูกว่า เป็นคนไม่ดี หรือดีน้อยกว่าคนอื่น เรากลับรับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีคนพูด ขอให้มีสติยั้งคิดหน่อยว่า เขาพูดถูกต้องไหม เขาพูดเป็นจริงไหม ถ้ามีสติยั้งคิดอยู่เสมอเมื่อทำอะไรก็ตาม อารมณ์ก็คงไม่ไหลจนยากเกินยั้ง  ชีวิตก็คงไม่ทุกข์เกินความจำเป็น เพราะมีสติควบคุม รู้จักนำธรรมะมายับยั้งชั่งใจ ใช่ไหม (ใช่)
ทำชีวิตทุกแง่งามในธรรม เท่าทันกับมุมต่ำนิทราอยู่
สุมรุมโดนเมื่อเผลอเต็มประตู โพธิรู้แผ่ความดีสุดกำลัง
ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงควรมีสติอยู่กับตนเสมอและมีจิตสำนึกแห่งความดีงามที่ไม่ควรหายไปจากใจ สติทำให้เรารู้จักควบคุมการดำเนินชีวิต ความละอายรู้จักสำนึกผิดชอบชั่วดี ทำให้เราไม่พลาดพลั้งเผลอไปทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรามีสติไหม (มี)
ถ้าเราสามารถรู้ทุกขณะที่เวลาเราเคลื่อนไหว ไม่ว่าซ้ายไม่ว่าขวา การดำเนินชีวิตก็คงไม่ยาก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือมนุษย์มีนิสัยความเคยชินที่ผิดๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
วันนี้มาฟังเราพูด ไม่มีหวย ไม่มีเลขเด็ด ไม่มีการให้ร่ำรวยนะ แต่มีการให้รู้จักพอดี เพราะคนที่รู้จักพอดี เมื่อเจอภาวะที่ต้องสูญเสีย ก็จะไม่เสียศูนย์จนเกินไป แต่คนที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเมื่อเจอภาวะสูญเสียกลับรับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอกไว้ตั้งแต่ต้นการดำเนินชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือการควบคุมหัวใจของเราให้เป็น ยากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจของเราควบคุมไม่เป็นแล้วก็ย่อมง่ายที่จะ (ถูกชักจูง)  มนุษย์รู้จักเต็มอิ่มในใจบ้างหรือยัง ถ้าเราไม่รู้จักเต็มอิ่ม เราเป็นผู้พร่อง เราจะรอให้ใครมาเติมต่อก็สายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคนบางครั้งต้องรู้จักอิ่มบ้าง และบางครั้งต้องรู้จักพร่องบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าคนที่อิ่มบ้าง คือคนที่เชื่อมั่น แต่ถ้าเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป ไม่มีให้ใครมาเติมบ้างก็จะกลายเป็นคนที่ไม่น่ารัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคนที่พร่องจนเกินไป ก็คือคนที่ไร้ความเชื่อมั่น ถ้าไร้ความเชื่อมั่นในตัวเองจนเกินไปก็กลายเป็นคนที่หาความเป็นตัวตนของตนไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนเชื่อมั่นตัวเองมากเกินก็ไม่ดี แต่ไร้ความเชื่อมั่นหรือพร่องมากเกินไปก็ไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกในวันนี้ก็คือ ความพอดีในหัวใจ ซึ่งมนุษย์ควรจะเรียกร้องให้ชีวิตนี้มี จริงหรือไม่ (จริง)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็เพื่อฟื้นฟูจิตดีงามให้ปรากฏ มนุษย์ปัจจุบันนี้ล้วนละเลยสิ่งที่ดีงามในตัวตนเอง แล้วทำในสิ่งที่เรียกว่าตามใจตามอารมณ์ตามความอยาก แล้วคนที่ตามใจตามอารมณ์ตามความอยากบ่อยๆ นั้น มักจะเป็นคนที่ง่ายที่จะกระทำผิดคิดร้าย จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่คนที่ระมัดระวังรักษาความดีย่อมยากที่จะทำผิดคิดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่เราจะไปเรียกร้องผู้อื่น เราควรมีหัวใจที่เป็นคนดีให้เป็น ถ้าเรายังเป็นคนดีให้เป็นไม่ได้ ไปสอนเขา ไปเรียกร้องเขา เขาก็ไม่เชื่อเท่ากับทำที่ตัวเราให้ปรากฏ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากให้คนทำดี อยากให้คนปฏิบัติต่อเราดี ตัวเราดีอย่างแท้จริงหรือยัง อยากให้คนไม่คดโกง ตัวเราแอบคดโกงให้เขาเห็นหรือไม่ อยากให้เขาซื่อตรง แต่ตัวเราแอบไม่ซื่อตรงหรือเปล่า  
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือ การจุดประทีปส่องตัวเอง ไม่ใช่จุดประทีปเพื่อไปส่องผู้อื่น เข้าใจหรือไม่ ทำความดีเพื่อสำนึกตรวจสอบตนเอง แต่ไม่ใช่ทำความดีเพื่อไปบอกว่า “เธอดี เธอร้าย” ฉะนั้นการฝึกฝนศึกษาความดีก็เพื่อย้อนสำนึกตรวจสอบตน ไม่ใช่ย้อนสำนึกความไม่ดีของผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังธรรมะ พอเขาบอกว่าต้องควบคุมอารมณ์ อย่าใจร้อน อย่าเอาแต่ได้  อย่าเห็นแก่ตน เราไม่ได้นึกถึงตัวเองเลย  กลับนึกถึงคนอื่นว่าคนนั้นเป็นแบบนี้  คนนี้ทำอย่างนั้น จำไว้ว่า ไม่มีใครในโลกนี้อยากให้ท่านเอาเทียนมาส่องหน้า หรืออยากให้ท่านเอาความดีมาล้างเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่เอาความดีมาจุดเทียนเพื่อตนเอง สะท้อนตัวเอง ล้างตัวเองได้ ความดีที่เราทำจนปรากฏนั่นจะสะท้อนใจเขาเอง เพราะเราเป็นตัวอย่าง เราเป็นแบบอย่าง จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่เรียกร้องตัวเองไม่เป็น  รู้จุดอ่อนคนอื่น ไม่รู้จุดอ่อนตนเอง เมื่อไรที่ว่าเขาแสดงว่าท่านก็มีจุดอ่อนที่เหมือนกับเขา เคยได้ไหมว่า เกลียดอย่างไรเป็นอย่างนั้น  ว่าเขาแบบไหนตัวเองก็เป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง แล้วค่อยๆ ลดความเห็นแก่ตัวลง เราก็ได้เสียสละเพื่อผู้อื่น โดยไม่ต้องออกแรงอะไรมาก จริงหรือไม่ (ใช่)  หากมาฟังธรรมะแล้วไม่มีความมุ่งมั่นในหัวใจ ฟังไม่ถึงชั่วโมงท่านก็ทนไม่ไหว หากเกิดมาเป็นคนดี สิ่งที่ดีที่ควรรักษา สิ่งที่ดีที่ควรจะรับฟัง ท่านยังไม่ฟัง แล้วท่านจะเอาอะไรในชีวิตที่ดีได้เล่า ถูกหรือไม่ (ถูก)
บางทีเราโลภเพื่ออนาคต อยากมีมากๆ เพื่ออนาคต แต่ถึงเวลามีอนาคตหรือ  ชีวิตของเรามีแต่ปัจจุบันนะ  มีแต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่โลภมากไปแน่ใจหรือว่าอนาคตจะมี  ที่แก่งแย่งเขามาเพื่อกินคำโตๆ  อยู่บ้านหลังใหญ่ๆ ได้ขับรถคันสวยๆ ว่าน่าภูมิใจ ใช่ไหม (ใช่)
เช่นว่าขับรถคันกระป๋อง กับขับรถคันใหม่เอี่ยม เอาคันไหน (ใหม่เอี่ยม) เอาคันไหนคิดให้ดีๆ จะเอาคันใหม่เอี่ยมอ่องนั้นต้องได้มาอย่างถูกต้อง ชอบธรรม ไม่สูญเสียความดี และไม่แอบปิดหูปิดตาคนอื่น  ถ้าได้มาใหม่เอี่ยมอ่องแต่ปิดหูปิดตา ทำผิดคิดร้าย เอามาทำไม จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นวันนี้เราก็มาแค่นี้ล่ะนะ  พูดเยอะไปท่านก็คงเหนื่อยแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ได้ฟังนานขนาดนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เป็นธรรมดาที่ความอดทนจะมีจำกัด จริงไหม (จริง) อย่างนั้นขอให้วันที่สองวันที่สามกระตือรือร้นมากขึ้น  เข้าใจมากขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่นิยมเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ และอิทธิปาฏิหาริย์ ช่วยคนให้พ้นทุกข์ ช่วยคนให้รู้แจ้งเห็นจริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากท่านศึกษาท่านจะรู้ว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงต้องการให้มนุษย์รู้แจ้งเห็นจริงถึงชีวิต ชีวิตเช่นใด ไม่ใช่ชีวิตที่เรียกว่าสุข แต่เป็นชีวิตที่เอาชนะทุกข์ และค้นหาความทุกข์เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์มาจากไหน แล้วเราจะดับทุกข์นั้นได้อย่างไร  นี่คือสิ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากให้มนุษย์ทุกคนศึกษา และเอาชนะให้ได้ เพราะเมื่อไรที่เราเอาชนะทุกข์ เมื่อนั้นเราจะพบสุขนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่หวังสุข แต่มีทุกข์จะได้ประโยชน์อะไรเท่ากับการกล้าเผชิญความทุกข์และเอาชนะทุกข์ให้ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ เข้มแข็งหน่อย รักษาใจให้รู้จักอิ่ม ภาวะภายนอกจะได้ไม่ทำให้เรานั้นทำผิดคิดร้าย ใช่ไหม (ใช่) ใจที่ไม่รู้จักอิ่มภาวะภายนอกย่อมมีผล แต่ใจที่รู้จักอิ่มแล้วภาวะภายนอกย่อมไม่มีผลต่อใจ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปล่ะนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒  สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เลิกอบายมุขละเบียดเบียนสรรพชีวิต หมั่นปลูกฝังเมตตาจิตให้คงไว้
เกรงกลัวบาปรู้ผิดชอบละอายใจ        ซื่อตรงคงอ่อนน้อมได้ประเสริฐดี

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน หงหยัง แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า

เจ้าอาจใจเข้มแข็งมากมาย   คอยช่วยเหลือใครต่อใครทุกอย่าง        แต่ยังวางบางความทุกข์ใจ     ความเศร้าหมองใจเหมือนจะไม่ลง  หยุดลงตรงที่ความทุกข์ใจ      ใครแอบทึกทักดั่งของเสียแตกฟอง โอ๊ย
ศิษย์บำเพ็ญปัญญาของตน     มิให้สนใจจะเปลี่ยนทุกสิ่ง  หากความจริงใดเกินรับมือ     มองต่างให้เป็นเย็นใจได้บ้าง ศิษย์ต่างคนกำลังใช้กรรม กำลังขัดสน   ขออย่าพลั้งเห็นแก่ตัว โอ๊ย โอ๊ย     ล้วนเด็กต่อความคิดดี  
บำเพ็ญไม่หนีทุกข์จึงสุข    ไม่สุขเพราะหนีใจตนเอง  ไม่ปัดความผิดลึกลึก   บำเพ็ญไม่หวงแหนธรรมหน่ออ่อน   ปลูกฝังวินัย
       *  บำเพ็ญไม่ค้างคับข้องใจ   แต่รู้ซึ้ง โอ๊ย โอ๊ย  
กว่าศิษย์ยอมบำเพ็ญสักคน  ข้าต้องลุ้นไม่กล้ามองรวดหมด    กว่าเจ้ามองปัญหาเหมือนเดิม   ด้วยจิตชนะเหนือโลกหน้ากลอง  กว่าลงแรงไปบนนิสัย บนคุณธรรม   ข้านี้ยังห่วงใย โอ๊ย โอ๊ย  โอ่ยโอ๊ย   ลุ้นเสียลืมตัว  (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง :  อนิจจังรำพัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมื่อวานเซียนน้อยถามว่า ถ้าให้เลือกระหว่างรถคันใหม่กับรถคันเก่า ศิษย์เลือกรถคัน (ใหม่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าเลือกรถคันใหม่ รถใหม่เอี่ยมแต่เจ้าของโทรมเสียนี่กระไร เราจะเปลี่ยนตัวเองไหม (เปลี่ยน)  รถคันใหม่แต่เจ้าของรถแต่งตัวมอซอ พอเปิดประตูรถ คนเห็นก็คิดว่าคนนี้ขโมยรถเขามาหรือเปล่า ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นรถใหม่ ตัวเองก็ต้องดูใหม่ ดูดีด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก)  คราวนี้ตัวเองดูใหม่แล้ว รถก็ดูใหม่แล้ว เวลาเราขับรถไป เราจะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางไหม (ไม่กิน)  เราจะจอดรถไว้ข้างทางไหม (ไม่)  เราก็ต้องหาร้านที่ดูดีพอๆ กับรถที่ไปจอด พอๆ กับคนที่จะลงไปกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะกินร้านธรรมดาก็คิดว่าเดี๋ยวรถไปจอดข้างทางแล้ว จะเสียราคาหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ต้องเลือกร้านดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวนี้รถก็ดูดีแล้ว คนก็แต่งตัวดูดีแล้ว จะไปจอดบ้านที่ดูเหมือนกระต๊อบได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราจะยอมไหม (ไม่ยอม)  ไม่ยอม บ้านก็ต้องดูดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกลายเป็นว่าแค่อยากได้รถคันใหม่ เราต้องเปลี่ยนทั้ง (บ้าน)  ฉะนั้นพอเปลี่ยนบ้านใหม่แล้ว แต่ของในบ้านเป็นอย่างไร ตู้เย็นก็ไม่มี ทีวีก็ไม่มี อย่างนี้ยอมได้ไหม (ไม่ได้)  บ้านออกจะใหญ่โตมโหฬาร แต่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ยอมไหม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นก็ต้องหา (ทีวี ตู้เย็น)  แล้วจะยอมเปิดพัดลมไหม (ไม่ยอม)  ก็ต้องเปลี่ยนพัดลมเป็น (แอร์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะยอมมีเงินแค่ร้อยเดียวไหม (ไม่ยอม)  ก็ต้องมีเงิน (เป็นหมื่น)  ดูสิว่าแค่อยากได้รถใหม่คันเดียวของตัวเรา ยังต้องมีปัญหาตามออกมาเป็น (ร้อย)  หรือเทียบง่ายๆ เวลาศิษย์เดินมากๆ รองเท้าเก่าแล้ว เราก็อยากเปลี่ยนรองเท้าใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รองเท้าใหม่เรียงกันเป็นแถว อันนี้หนึ่งร้อยอันนี้ห้าสิบ อันนี้ห้าร้อย เวลาศิษย์เลือก หนึ่งร้อย ห้าสิบหรือห้าร้อย ตอนแรกก็เตรียมเงินไว้หนึ่งร้อยบาท ใช่ไหม (ใช่)  แต่มองไป มองมา “เอาน่า กัดฟันกินก้อนเกลือหน่อย ซื้อห้าร้อยดีกว่า” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใส่รองเท้าห้าร้อย ศิษย์จะใส่กางเกงหนึ่งร้อยไหมล่ะ (ไม่ใส่)  ศิษย์จะใส่กางเกงร้อยหนึ่ง รองเท้าห้าร้อยก็ไม่เหมาะสม แล้วยอมใส่เสื้อเก้าสิบบาท ไหม  (ไม่ยอม)  รองเท้าห้าร้อย  กางเกงก็น่าจะ (หนึ่งพัน)  เสื้อก็น่าจะ (ห้าร้อย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งตัวห้าร้อย แต่ไม่มีเครื่องประดับ ยอมไหมล่ะ (ไม่ยอม)  เห็นไหมว่า แค่ไม่รู้จักประมาณตัวเอง แค่ความอยากได้ของเราเพียงเล็กๆ น้อยๆ กลับสร้างเหตุบานปลายที่ไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามจริงๆ นะ พอแต่งตัวดูดี ขับรถดูภูมิฐาน มีบ้านโอ่โถง จะยอมคุยกับชาวบ้านไหมล่ะ (ไม่ยอม)  จะเผลอไม่ดูถูกคนแต่งตัวปอนๆ หรือไม่ (เผลอ)  ฉะนั้นอย่าให้ความอยากเพียงเล็กๆ น้อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเรา อย่าให้ความอยากภายนอกเพียงเล็กๆ น้อยๆ เปลี่ยนแปลงความเป็นคนของเรา ใช่ไหม (ใช่)  เคยไหมที่มีร้อยบาทก็ดูเสมอกับคนอื่น แต่วันไหนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง เรารู้สึกว่าคอเราจะสูงกว่าคนอื่น เป็นไหม (เป็น)  อย่างคนอื่นมีสร้อยหนักหนึ่งสลึง แต่วันนี้เราได้แขวนสร้อยหนักห้าบาท คอเรามันแข็งขึ้นทันที เป็นไหม (เป็น)  อย่างตอนแรกเราเรียนจบ ป.๕ ป.๖ เหมือนกัน แต่วันไหนเราจบปริญญาตรี ปริญญาโท    เป็นด๊อกเตอร์ คอเราเป็นอย่างไร (แข็ง)  ตัวเราจากที่อ่อนน้อม กลายเป็น (แข็งกระด้าง)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ภาวะภายนอกทำให้เราเปลี่ยนแปลงจนลืมภาวะภายใน  มนุษย์เราขึ้นชื่อว่า “เท้าเหยียบดิน”
ฉะนั้นถึงจะใฝ่หาสิ่งที่สูงส่งขนาดไหน ก็อย่าลืมว่าเท้าก็ยังต้องเหยียบดิน ฉะนั้นคนเราจะสูงส่งขนาดไหนสักวันหนึ่งก็ต้องต่ำเตี้ยได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างขึ้นที่สูงแล้วไม่ลงสู่ที่ต่ำ แล้วมีใครบ้างล่ะ ต่ำแล้วจะไม่ใฝ่สูงตามเราบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นความอยากนิดๆ หน่อยๆ แต่ความอยากนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถลืมตัวหรือสร้างปัญหา อันบานปลายและยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังคำกล่าวว่า “มนุษย์ไม่สะดุดหินก้อนใหญ่  แต่มักจะล้มพลาดเพราะหินก้อนเล็ก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เติมน้ำจนเต็มล้นก็ไม่สู้เติมน้ำให้พอเหมาะพอดี  ลับมีดจนคมกริบแต่ก็ง่ายที่จะบิ่น และหักง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสวงหาทรัพย์สมบัติมากมาย สุดท้ายก็รักษาไม่ได้สักชิ้นเดียว เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  เสื้อตัวเดียวเรารักษาได้ แต่เสื้อเป็นสิบๆ ตัวรักษาให้สะอาดเท่ากันได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกคนเดียวดูแลก็แทบแย่แล้ว ตัวเราคนเดียวกว่าจะเอาตัวรอดก็สุดกำลังแล้ว แต่นี่ยังหาคนมา (เพิ่มภาระให้)  มากคนก็มากความ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราชอบไหมล่ะ ก็ชอบ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถมองเห็นเหตุเล็กๆ น้อยๆ ได้ เราจะหยุดยั้งปัญหาอันยิ่งใหญ่ได้ ถ้ามนุษย์รู้จักพอ ก็ไม่มีใครดูถูกเหยียดหยาม ถ้ามนุษย์รู้จักหยุด ก็ไม่พบหายนะ  แต่ตราบใดที่มนุษย์ยังพอไม่ได้ หยุดไม่เป็น การดูถูกเหยียดหยามย่อมมี ภัยพิบัติและหายนะย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกชีวิต จริงไหม (จริง)  รู้เรื่องไหม (รู้)  
เลิกอบายมุขละเบียดเบียนสรรพชีวิต
หมั่นปลูกฝังเมตตาจิตให้คงไว้  
อบายมุขมีอะไรบ้าง ใครพอตอบได้บ้าง (สุรา, การพนัน, คบคนชั่วเป็นมิตร, ยาเสพติด, เที่ยวกลางคืน)  ใครชอบเที่ยวกลางคืนบ้าง ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบเที่ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลกจริงๆ นะ  การศึกษาธรรมะต้องเริ่มต้นจากการละสิ่งที่ไม่ดี และหมั่นสร้างสิ่งที่ดี และฝึกฝนทำใจให้บริสุทธิ์ นี่คือพื้นฐานของ “ศาสนาพุทธ” นับถือพุทธหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลีกไกลความชั่วร้าย หมั่นสร้างความดี และรักษาใจให้บริสุทธิ์  แล้วธรรมะมีอยู่แค่ที่หนังสือ  มีอยู่แค่ที่วัด มีอยู่แค่ที่พระ หรือไม่ (ไม่)  ธรรมะมีอยู่ (ธรรมะมีอยู่ทุกๆ ที่)  จริงหรือ (จริง)  แม้แต่ตัวเราก็มีธรรมะ จริงหรือ (จริง)  แล้วตัวเรามีธรรมะอะไรบ้าง (ไม่คดโกงคน, มีความเมตตา, พูดดีทำดี, มีความซื่อสัตย์สุจริต, ความกตัญญู, การรู้จักเสียสละอุทิศให้, เกรงกลัวบาป, รู้จักให้อภัย)
ธรรมะมีอยู่ทั่วไปแม้แต่ตัวศิษย์เองก็ล้วนมีธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่เรามีอยู่ในตัวเราและไม่จากตัวเราไปไหน ขอเพียงแค่ระลึกถึงและหมั่นดึงออกมาใช้บ่อยๆ ใช้ให้เป็นประจำ สิ่งนั้นก็สามารถกลับคืนมาสู่ตัวเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นถามว่า คนทุกคนมีจิตเมตตาสงสารไหม (มี)  เห็นใครเดือดร้อนเราทนนิ่งดูดายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมตตาจิตล้วนมีอยู่ในหัวใจของทุกๆ คน แต่บางครั้งความเห็นแก่ตัวมีมากกว่าจึงทำให้เมตตาจิตจางหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความโลภมีเหนือกว่าจึงทำให้เมตตาจิตหดหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตที่ละอายเกรงกลัวต่อบาปมีไหม (มี)
ถามว่าเวลาตอนเด็กๆ มีใครบ้างไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่บ้าง ยกมือขึ้น ไม่เคยเลยหรือ จริงหรือ แล้วเคยคิดอยากขโมยของคนอื่นไหม แล้วเคยหยิบของคนอื่นโดยไม่ขอไหม (ไม่เคย) แน่ใจนะ  เห็นดอกไม้สวยๆ ไม่รู้ของใคร เด็ดมาดมเฉย อย่างนี้ก็เรียกว่าขโมยแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะทำผิดอะไรก็ตาม มือเราสั่นไหม ใจเรากลัวไหม แล้วตาเราลอกแลกไหม (ลอกแลก)  อย่างนั้นแปลว่าโดยพื้นฐานของมนุษย์นั้นไม่มีใจอยากจะทำผิดคิดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทำผิดคิดร้ายตัวก็เลยไม่ปกติ ฉะนั้นจิตเมตตาสงสาร จิตละอายเกรงกลัวต่อบาปล้วนมีอยู่ทุกผู้คน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และถ้าเราสามารถแผ่จิตเมตตาสงสารออกไปให้กว้าง ออกไปให้ไกล เราจะเบียดเบียนทำร้ายกันไหม (ไม่ทำ)  เราจะโมโหตบตีใครไหม เราจะชี้หน้าด่าใครไหม (ไม่)  เพราะในความเป็นคนของเขาก็มีความเป็นคนของเรา เพราะความเป็นคนของเขา เราก็มีความเป็นคนแบบเดียวกับเขาไม่ต่างกัน ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเราเห็นความเป็นคนของเขา แล้วทำไมเราไม่เห็นความเป็นคนในตัวเราล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักสงสารเขา เราจะตบเขาได้ลงไหม (ไม่)  และถ้าเรารู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป ความโมโหนั้นก็คงไม่ทำร้ายเขาได้ลงคอ จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์มีเมตตาจริงๆ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปจริงๆ เราคงตีใครไม่ได้ เราคงฆ่าใครไม่ลง และเราคงด่าใครไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงหรือ (จริง)  ด่าใครไม่เป็นใช่ไหม  
เวลาเห็นคนแข็งทื่อ มือแข็ง หัวแข็ง เราชอบไหม (ไม่ชอบ)  เราชอบคนสุภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลึกๆ มนุษย์ทุกคนชอบคนอ่อนน้อมถ่อมตนมีสัมมาคารวะ  พูดจาไพเราะสุภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราระลึกอย่างนี้เสมอๆ ศิษย์จะพูดคำด่าคำไหม ศิษย์จะพูดมึงมาพาโวยไหม ฉะนั้นอาจารย์ถามนะว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ศิษย์มีอยู่แต่ทำไมศิษย์ลืมนึก ถ้าศิษย์นึกบ่อยๆ ศิษย์จะเป็นคนน่ารักโดยที่ไม่ต้องแต่งเติมเสริมหน้าเลยนะ  ใช่ไหม (ใช่)  พูดก็เพราะ จิตใจก็กว้างใหญ่ รู้จักสงสารใช่หรือไม่ (ใช่)  ละอายเกรงกลัวต่อบาปก็มี แล้วอย่างนี้จะกลายเป็นคนน่ารักโดยไม่ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องได้เลย จริงไหม (จริง)  แต่เราเป็นอย่างไร ใจคิดอย่างแต่ทำอีกอย่าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนนี้ขอให้ศิษย์ใจเย็นๆ นะ ถ้าใจเย็นอากาศจะร้อนก็ไม่รู้สึก ถ้าใจร้อนอากาศเย็นก็ร้อน จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ใจเย็นหรือร้อน (เย็น)  ถ้ายืนสักชั่วโมงหนึ่งคงเริ่มร้อนแล้วนะถูกหรือเปล่า (ถูก)  
มีคำกล่าวว่าขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่ยืนแล้วก็ไม่นั่งตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งยืนบางครั้งนั่งถึงจะเรียกว่ามนุษย์ ถึงจะเรียกว่าชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้านั่งแล้วยืนไม่ได้ก็ไม่ได้เรียกว่าชีวิต เรียกว่าพิการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้ก็เรียกว่าตาย ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่พิการจึงต้องรู้จักยืนแล้วก็ (นั่ง)  นั่งแล้วก็ (ยืน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง, ยืน)  เสียงยังไม่ประสานกันเป็นหนึ่งเลยนะ
แล้วคุณธรรมของความเป็นคน คุณธรรมในหัวใจของมนุษย์ที่อาจารย์บอกมีเมตตา มีละอายเกรงกลัวต่อบาป มีสัมมาคารวะ มีซื่อตรง และยังมีรู้ผิดชอบชั่วดี สิ่งนี้คือ คุณธรรม และถ้าหากศิษย์สามารถรักษาคุณธรรมทั้งห้านี้ได้ ศิษย์ก็สามารถมีศีลธรรมทั้งห้าได้ ดังที่เรียกว่า ผู้ใดรักษาศีลผู้นั้นจะมีธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นจะมีศีล
คนที่มีจิตเมตตาย่อมไม่เบียดเบียนฆ่าสัตว์
คนรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปย่อมไม่ลักทรัพย์
คนที่รู้จักสัมมาคารวะย่อมไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น รู้จักเคารพผู้อื่นรู้จักให้เกียรติผู้อื่นแล้วเขาจะเบียดเบียนทำร้ายคนด้วยกันเองไหม (ไม่) ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนที่รู้จักผิดชอบชั่วดีก็คือ (ละอายต่อบาป)  มีธรรมข้อนี้จะมีศีลข้อใด ศีลห้ายังไล่ได้ไม่ครบอีกหรือ นับถือพุทธไหม (นับถือ)  ไหว้พระไหม (ไหว้)  ไหว้พระอย่ารู้แต่ไหว้แต่ไม่รู้จักโน้มนำมาปฏิบัติ อย่างนี้เรียกว่าไหว้แต่ภายนอกแต่ไม่ได้ไหว้ด้วยใจที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่ไหว้อย่างแท้จริงคือน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปทำบุญบ่อยไหม (บ่อย)  รับศีลบ่อยไหม (บ่อย)  แล้วรับศีลมาถึงบ้านไหม (ไม่ถึง)  ไม่ค่อยถึงใช่ไหม พระให้ศีลจบแล้วจบกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  น่าเสียดายถ้าศีลห้ายังรักษาไม่ครบ ฉะนั้นอาจารย์ไม่เอาศีลห้าก็ได้ ขอเพียงคุณธรรมห้าประการ
  1. รู้จักเมตตา
  2. รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป
  3. รู้จักมีสัมมาคารวะให้เกียรติผู้คน
  4. รู้จักซื่อตรง
  5. รู้จักผิดชอบชั่วดี
ถ้าศิษย์สามารถมีคุณธรรมห้าข้อ ศิษย์ก็สามารถรักษาศีลห้าข้อได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อพูดถึงธรรมะแล้วจะขาดเสียไม่ได้ต้องพูดถึงบุญกุศล ใครชอบทำบุญทำทานบ้าง มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบทำบุญสุนทาน เห็นใครเดือนร้อนชอบช่วยเหลือแต่เราทำทานเพื่อความมีตัวตนหรือทำทานเพื่อลดตัวตน (ลดตัวตน)  เราทำทานช่วยเขาหรือช่วยเรา (ช่วยเรา)  เริ่มต้นที่เราทำทานเพราะเราอยากช่วยเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักทำทานเพื่อช่วยเขา นานๆ การช่วยเขาจะกลายเป็นช่วยเรา ฉะนั้นการให้ทานคือการที่เรารู้จักรับมาได้และเสียสละเป็น และการให้ทานยังสอนให้มนุษย์รู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น  เมื่อไรที่การทำบุญทำทานยังเขียนชื่อ  ยังเจาะจง  ยังสะสม  นี่ไม่ได้เรียกว่าการทำทานที่ถูกต้อง การทำทานที่ถูกต้องคือการทำทานที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น  ปล่อยวางตัวตน จริงหรือไม่ (จริง) ศิษย์อย่าลืมนะว่าเวลาที่เราไป เราไปแค่บุญกับกุศล และบุญที่จะทำให้เราไปได้เบาก็ต้องเป็นบุญที่ไร้รูปลักษณ์  ไม่ใช่บุญที่มีรูปลักษณ์  
ศิษย์ทุกคนเคยสร้างพระ เคยสร้างวัด เคยช่วยกันอุปสมบทพระหรือบวชพระหรือไม่  ศิษย์ว่าได้บุญใหญ่หรือไม่  (ได้) ศิษย์บอกว่าได้บุญ แต่อาจารย์บอกว่าได้บุญแต่เป็นสวรรค์สมบัติ  ได้แล้วไปเสวยสุข ก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นบุญที่ยึดติดในชื่อ บุญที่คิดจะสะสม เป็นบุญที่เพียงต้องขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์สุดท้ายก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดใหม่  บุญที่แท้จริงคือบุญที่ไม่หวังผล ใช่หรือไม่ (ใช่)
การทำโดยปล่อยวางความยึดมั่น เพราะถึงที่สุดของชีวิตทุกคน คือความว่างเปล่า ฉะนั้นบุญกุศลที่แท้จริงคือการทำโดยไม่ยึดติดรูปลักษณ์ ปล่อยวางความเป็นตัวตน นี่คือการเข้าถึงบุญที่แท้จริง  
เมื่อเข้าถึงบุญแล้วก็ต้องเข้าถึงกุศลด้วย กุศลที่แท้จริงคือการกระทำเพื่อเข้าถึงความรู้แจ้ง เห็นจริงในจิตใจ  รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตความเป็นคน  ว่าถึงที่สุดแล้วเมื่อเรามาตัวเปล่าก็ต้องไปตัวเปล่า สิ่งที่จะไปได้คือความดีที่จะผลักให้เราเบาใส ไม่ใช่หนักอึ้ง  หากทำบุญแล้วหนักอึ้งก็คือ (ตัวตน)  จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ใช่ว่าศิษย์หยุดโลภจากทรัพย์สิน แต่มาโลภในบุญกุศล เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง  ทำบุญเพื่อปล่อยวางไม่ใช่ทำบุญเพื่อเอาหน้า  เพราะตายไปหน้าก็ไม่มีให้เอา จำไว้ ที่เอาไปได้คือความเปล่า ว่าง ปล่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเข้าถึงธรรม เข้าถึงบุญกุศลแล้ว ต่อไปก็มาเข้าถึงแก่น  ศึกษาธรรมก็ต้องเข้าถึงแก่น อย่ามองแค่เปลือกกระพี้แล้วก็ตัดสิน แล้วก็ถูลู่ถูกังทำไป เช่นนี้ทำไปผิดๆ ก็น่าเสียดายที่ชาติหนึ่งได้เกิดมา ชาติหนึ่งได้อุตส่าห์ทำบุญสักทีหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) คราวนี้พอเข้าใจถูกต้องหรือยัง  บุญกุศลคืออะไร ธรรมะมีอยู่ที่ไหน  
บางคนทำบุญสิบบาทแต่ขอร้อยบาท ก็เลยไม่รู้ทำบุญหรือขอบุญกันแน่  เป็นอย่างนั้นหรือไม่  ไหนใครทำบุญแล้วไม่ขอบ้าง  ยกมือขึ้น  ตกลงจะทำบุญหรือขอบุญกันแน่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีไม่ได้นะ เพราะทำดียังไม่ทันทำก็ขอจนหมดแล้ว  แล้วผลจะตกถึงศิษย์ได้อย่างไร เมื่อขอไปหมดแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ผู้ประเสริฐจึงดำเนินชีวิตเฉกเช่นน้ำ เคยได้ยินไหม  น้ำเป็นอย่างไร  เมื่อพูดถึงน้ำให้ความรู้สึกเย็น ใส สะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ประเสริฐจึงดำเนินชีวิตเฉกเช่นน้ำ  อยากเป็นคนที่เข้าใกล้ความเป็นผู้ประเสริฐ ก็จงดำเนินชีวิตไม่แตกต่างจากน้ำ  น้ำเย็นไหม (เย็น)  แล้วเราเย็นไหม (ไม่เย็น)  ใครจำได้ว่าชีวิตตัวเองนี้ตลอดมาตั้งแต่เด็กจนโตจนแก่ ไม่เคยโกรธเลย เป็นคนใจเย็นจริงๆ  ใครๆ ก็บอกอาจารย์ว่าคนเหนือเป็นคนใจเย็นไม่ใช่หรือ พูดอะไรก็เย็นๆ จริงไหม (จริง)  แล้วเราเย็นไหม (ไม่เย็น)  เดี๋ยวเย็นเดี๋ยว (ร้อน)  ไม่มีอะไรกระทบก็เย็นดีหรอก แต่พอมีอะไรกระทบก็ (ร้อน)  อย่างนี้ไม่เรียกว่าเย็น อย่างนี้เรียกว่าโลเล ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คุณสมบัติของน้ำมีความเย็น มีความอ่อน และมีความใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงบอกว่า อยากเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐก็จงเลียนแบบน้ำ  
น้ำใสสะท้อนเงาก็แปลว่า คนมีธรรมย่อมกล่าววาจาสัตย์ซื่อ ไม่ฉ้อฉล ส่องอะไรเห็นอย่างนั้น  แต่ศิษย์ของอาจารย์ปากอย่างใจอย่าง จริงไหม (จริง)  หรือปากไม่เคยตรงกับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  
น้ำมีความอ่อน ความอ่อนของน้ำนั้น แข็งก็ได้ เหลี่ยมก็ได้ กลมก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเทน้ำใส่ภาชนะใด ที่ที่แคบที่สุด น้ำก็ยังไหลลงไปได้ ที่ที่ลึกน่ากลัวที่สุด ก็ยังสามารถขุดพบน้ำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแปลว่าน้ำมีอยู่ทุกๆ ที่ น้ำเข้ากับทุกสภาวะได้  แต่ตัวมนุษย์กลับเลือกที่รักมักที่ชัง คนที่ใจแคบไม่เข้าใกล้ คนใจกว้างประจบเอาใจ เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ฉะนั้นผู้ดำเนินชีวิตเฉกเช่นน้ำย่อมสามารถรู้จักปรับตัวปรับสภาพชีวิต แต่ไม่สูญเสียอุดมการณ์ของความเป็นคน
รู้จักผ่อนปรนเวลาอยู่กับผู้อื่น เข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น นี่แหละคุณสมบัติอย่างที่สองของน้ำ  
คุณสมบัติอย่างที่สาม น้ำหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ล่ะ รู้จักอุทิศเพื่อประชาบ้างไหม เคยหล่อเลี้ยงผู้คนบ้างหรือเปล่า  น้ำหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่ (หวังผล)  มีไหมที่น้ำบอกว่า เธอตักฉันไปกระบวยหนึ่ง เธอต้องแปะคำชมหนึ่งคำ มีไหม (ไม่มี)  เอาน้ำไปสิบกระบวย สักพักหนึ่งน้ำก็ไหลกลับมาเท่าเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือใครอยากตักตวงผลประโยชน์อะไรจากเรา เราก็ไม่โกรธ เคืองแค้น  เพราะสักวันหนึ่ง เมื่อให้มากๆ การให้ก็จะทำให้เราเต็มอิ่มได้โดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ให้โดยไม่หวังผล ทำโดยไม่เรียกร้องคุณ
น้ำมีคุณประโยชน์อะไร (ให้คนดื่มกิน, หล่อเลี้ยงชีวิต, ช่วยชะล้างสิ่งสกปรก, ชะล้างร่างกาย, น้ำหล่อเลี้ยงชีวิต, กัดเซาะได้ทุกอย่าง, ไหลจากที่สูงมาสู่ที่ต่ำเสมอ, น้ำเป็นส่วนประกอบของชีวิต)  ทุกชีวิตขาดไม่ได้ซึ่งน้ำ
น้ำสะอาดได้ น้ำก็สกปรกได้ ศิษย์เคยได้ยินไหม น้ำสะอาดล้างหน้า น้ำสกปรกล้างเท้า ความอ่อนชนะความแข็ง จิตที่สุภาพอ่อนน้อม ย่อมสามารถโน้มนำผู้คนให้คล้อยตามได้ ย่อมนำพามวลชนได้ ย่อมแปรคนที่แข็งกระด้างให้นุ่มนวลลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าน้ำใสใช้ล้างหน้า น้ำสกปรกใช้ล้างเท้า แปลว่าเขาทำอะไรกับศิษย์อย่าบอกว่าเขาไม่ดี แต่ต้องถามว่าเราทำเช่นใดทำให้เขาถึงปฏิบัติตอบเราเช่นนั้น โทษคนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องหันมากลับมามองว่าเราทำเช่นไร  เขาเคารพศิษย์เพราะศิษย์เคารพเขา  เขาดูถูกศิษย์เพราะศิษย์ดูถูกเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นน้ำก็เป็นตัวบอกศิษย์ได้ว่า อยากให้คนปฏิบัติกับเราอย่างไรก็จงปฏิบัติกับเขาเช่นนั้น มนุษย์ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน  ฉะนั้นอะไรที่ทำให้เกิดทุกข์จงอย่าทำกับผู้อื่น แล้วเขาก็จะไม่ทำกับศิษย์เช่นนั้น จริงหรือไม่ (จริง)  แต่เป็นการยาก อยู่ในโลกนี้มีใครไม่เคยโดนนินทา ไม่เคยถูกต่อว่า ไม่เคยถูกด่าทอ ไม่มีในโลก
ฉะนั้นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของน้ำ ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พึงจำไว้คือ น้ำอยู่ต่ำจึงรองรับสรรพสิ่งได้ทั้งมวล  น้ำยอมอยู่ในที่ที่ผู้คนรังเกียจ จึงสามารถเปิดกว้างและรับผู้คนได้อย่างแท้จริง สมัยที่อาจารย์เป็นอาจารย์จี้กง ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่ถูกดูถูก ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่ถูกมองด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
อาจารย์แต่งตัวดีได้ แต่อาจารย์ไม่แต่งกลับแต่งตัวขาดๆ ลุ่ยๆ ทำตัวมอซอ เพราะชีวิตที่ธรรมดาสามัญจึงสามารถเข้าถึงรากหญ้าของจิตใจผู้คน เพราะจิตใจที่สามารถทนรับการดูถูกเหยียดหยามได้  จึงสามารถมองเห็นธาตุแท้ของผู้คนและโน้มนำจิตใจเขาได้ถูกทาง ศิษย์เคยเห็นจันทร์สะท้อนเงาในน้ำไหม น้ำที่สะท้อนเงาจันทร์ถูกคนทำลายได้ แต่พระจันทร์ถูกทำลายไม่ได้
ฉะนั้นฉันใดก็ฉันนั้นคนทุกคนถูกนินทาได้ แต่ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ศิษย์ถูกคนว่าได้ ศิษย์ถูกคนด่าได้ แต่ตัวจริงศิษย์เป็นอย่างเขาว่าไหม ถ้าไม่ได้เป็น ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องเกลียด เพราะพระจันทร์สะท้อนเงา เงาถูกทำลายได้ แต่พระจันทร์ถูกทำลายไม่ได้ จำคำอาจารย์ให้ดีๆ นะ ขึ้นชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์   จี้กง ไม่ได้ต้องการลูกศิษย์ทำตัวสูงศักดิ์ แต่อาจารย์ต้องการลูกศิษย์ที่ทำตัวธรรมดาสามัญ ต่ำได้ก็ต่ำ เตี้ยได้ก็เตี้ย เพราะยิ่งต่ำยิ่งเตี้ยจิตของศิษย์นั่นคือจิตของอาจารย์ รับได้ทุกสภาวะ ไม่ยึดมั่นถือมั่น มีจิตใจสามัญ ที่จะสามารถเข้าถึงรากหญ้าของจิตใจผู้คนได้อย่างแท้จริง อาจารย์ถูกด่ากี่ครั้ง ถูกดูถูกกี่ครั้ง แต่เพื่ออะไร เพื่อต้องการช่วยคน ฉะนั้นถูกด่าบ้าง ถูกดูถูกบ้าง แต่ช่วยคนได้ก็เอา
มีใครอยากตอบอาจารย์อีกไหม คุณสมบัติของน้ำมีอะไรอีก (เกิดทะเล แม่น้ำ) ทำให้เกิดธรรมชาติที่สวยงาม (น้ำมีอยู่ในตัวเรา)  น้ำเป็นส่วนประกอบหนึ่งของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกชีวิตล้วนมีน้ำ แต่ถามว่าน้ำสำคัญไหม (สำคัญ)  แต่ถ้าวันหนึ่งเราหิวน้ำแต่เราไม่ดื่มน้ำได้ไหม (ไม่ได้) “ได้” วันหนึ่งศิษย์ไม่ดื่มได้ สองวันศิษย์ทนไม่ดื่มได้ แต่ตลอดชีวิตศิษย์ไม่ดื่มน้ำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นน้ำก็เปรียบเทียบได้กับธรรมะ ธรรมะสำคัญไหม มองดูอาจไม่สำคัญแต่ชีวิตนี้วันหนึ่งไม่มีธรรมะได้ แต่ตลอดชีวิตไม่มีธรรมะไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  
วันนี้ศิษย์อยากได้เพลงอะไรจากอาจารย์
เวลาถูกตีศิษย์ร้อง (โอ๊ย โอ๊ย) อย่างนั้นรู้หรือยังว่าอาจารย์ให้เพลงอะไร (โอ๊ย โอ๊ย) กว่าจะรู้นะ ต้องบอกว่าเพลงแจ๋วนะ ถึงจะนึกออกนะ
เวลาเราบำเพ็ญธรรมฝ่ายหญิงก็เหมือนแจ๋ว ฝ่ายชายก็เหมือนคุณชาย จริงไหม (จริง) งานหนักไม่เอางานเบาไม่สู้ยกให้ฝ่ายชาย  งานหนักก็เอางานเบาก็สู้ยกให้ศิษย์ฝ่ายหญิง
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลง อนิจจังรำพัน) เข้าใจความหมายของชื่อเพลงไหม ชีวิตนี้ไม่เที่ยงแท้ แล้วเราจะเพ้อรำพันพิลาปไปถึงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทุกข์ก็บอกว่าชีวิตทุกข์ๆ เมื่อไรจะข้ามทุกข์ได้สักที จริงไหม (จริง)  
วันนี้อาจารย์ก็มาได้เวลาพอสมควรแล้วนะ ทุกชีวิตเหมือนกันหมด คือเมื่อถึงเวลามาก็ต้องถึงเวลากลับ ศิษย์ทุกคนก็เหมือนกัน ทุกชีวิตเกิดมา ทุกคนก็ต้องเดินกลับไปสู่จุดสิ้นสุด แต่ก่อนจะไปถึงจุดสิ้นสุด เราเข้าใจเรื่องเราตายก่อนตายหรือยัง เราเอาชนะทุกข์ได้หรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิต และทุกข์ก็ดับไปพร้อมกับชีวิต ผู้ที่เอาชนะทุกข์ได้ ผู้ที่เข้าใจทุกข์ได้ คือผู้ที่เข้าใจชีวิตและสามารถอยู่เหนือชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ธรรมะประดุจสายน้ำ”
ได้คำว่าอะไร “ธรรมะประดุจสายน้ำ” ธรรมะก็คือชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกคนรู้จักมีชีวิตแล้วมีธรรมะด้วย นำธรรมะมาใช้ในชีวิต ทำชีวิตให้เหมือนกับสายน้ำดังที่อาจารย์บอก มีความใจเย็น มีความใส มีความสงบ น้ำยิ่งดิ่งดำลึกมากเท่าไร จิตของศิษย์ต้องเมตตาและมีสัจวาจามากเท่านั้น มีสาระเมื่อเอื้อนเอ่ย ประกอบกิจอย่างคนที่รู้ความเหมาะสมและรู้ถูกต้องอันควร ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐคือผู้มีชีวิตไม่ต่างจากน้ำ ที่พร้อมจะเต็มล้นแล้วหลั่งรินเพื่อมวลชนโดยไม่หวังผลตอบแทน

ฉะนั้นเกิดมาเป็นคน อย่าได้มัวแต่เห็นแก่ตัวจนเสียสละอุทิศเพื่อผู้อื่นไม่เป็น คนที่เห็นแก่ตัว คนที่มีชีวิตแต่เพื่อตัวเองจะไม่สามารถฟื้นฟูคุณธรรมให้ปรากฏขึ้นมาจากจิตใจได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วคุณสมบัติที่อาจารย์เน้นย้ำที่สุดของน้ำก็คือ ยอมอยู่ในที่ต่ำ อดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามให้ได้ เพราะยิ่งต่ำ ยิ่งเป็นที่ๆ รองรับสรรพสิ่ง ยิ่งรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน คนทุกคนย่อมอยากจะมามอบความรู้ มอบความรักให้  แต่จิตที่แข็งกระด้างไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ยึดมั่นถือมั่นล้วนห่างไกลจากการบำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
บำเพ็ญธรรมคืออย่างไร ก็เปรียบได้กับสายน้ำ ถึงที่สุดแล้วก็พร้อมละลายกลับคืนไปสู่เบื้องฟ้า จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทำตัวเหมือนคนสามัญอดทนได้ต่อการดูถูกเหยียดหยาม รับได้ต่อคำตัดพ้อต่อว่า หากรู้ว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร ก็ไยต้องกลัวการดูถูกเหยียดหยามและคนนินทาว่าร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเมื่อตั้งใจจะบำเพ็ญธรรม เมื่อมุ่งมั่นจะเป็นคนดี การก้าวให้พ้นความทุกข์ ก็คือการลงแรงบำเพ็ญตน  การกลับคืนไปสู่เบื้องบนก็คือการรู้จักช่วยเหลือผู้คน ถ้ายังยอมไม่ได้ รับไม่ได้ในเรื่องบางเรื่อง ศิษย์ก็ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับศิษย์เพียงเท่านี้ ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว จะจากก็ยังไม่หมดอาลัยอาวรณ์  เพราะมีศิษย์บางคนยังไม่รู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด ฟังมาถึงวันครึ่งแล้วแต่ก็ยังเข้าใจได้ไม่หมด ใช่หรือไม่ (ใช่) มีโอกาสเอาความรู้ความสามารถมาช่วยอาจารย์ดีไหม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้นะ ขอเพียงสละเวลามา ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ อาจารย์คงต้องไปแล้ว ศิษย์ยังเดียงสานักนะ ยังเห็นอาจารย์เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่สู้การรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตนะ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ช่วยศิษย์ให้พ้นทุกข์ไม่ได้เท่ากับการเข้าใจชีวิตและเอาชนะทุกข์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีเงินทองมีความรัก มีเกียรติยศก็ยังทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่การมีธรรมะศิษย์ทุกข์แล้วเอาชนะทุกข์ได้ และเข้าใจทุกข์ได้ ทำไมไม่รู้จักมีธรรมะไว้ในชีวิตบ้างนะ จริงไหม (จริง) อาจารย์รู้มีอะไรก็ทุกข์ แต่มีธรรมะ ทุกข์แล้วเอาชนะทุกข์ ทุกข์แล้วหาทางพ้นทุกข์ได้ ทำไมถึงไม่มีธรรม มีความรักก็มีทุกข์ มีเงินก็มีทุกข์ ใครก็มีทุกข์ทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีธรรม มีทุกข์แล้วยังมีทางพ้นทุกข์ ทำไมถึงไม่พยายามมีธรรมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้อาจารย์คงต้องไปแล้ว
ชีวิตไม่ใช่ของเล่นจงมีสติ รู้จักดำเนินชีวิตอย่างผู้มีคุณธรรม รู้จักระลึกชอบ คิดก่อนทำ จะได้ไม่ผิดพลาด ดีไหม เมื่อจะทำอะไรก็ขอให้คิดให้ดีๆ  ชีวิตพลาดไปแล้วยากจะแก้ไข เหมือนสายน้ำไหลไปแล้วไม่มีวันกลับ ชีวิตผิดไปแล้วพลาดไปแล้วกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมได้ยากนะ ฉะนั้นมีสติในการดำเนินชีวิต อาจารย์คงต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ นะ


โอวาทซ้อนพระโอวาท ธรรมประดุจสายน้ำ
อันธรรมโอนอ่อนดุจสายน้ำ ทนเคี่ยวกรำประดุจดังหินผา
เข้ากับทุกสิ่งสรรพด้วยปัญญา ถือปรัชญานอกกลมในเหลี่ยมมุม
อย่าเป็นคนทำตัวดูแข็งทื่อ บำเพ็ญคือการล้างใจกิเลสสุม
ใช้ธรรมะกับชีวิตทุกแง่มุม เมื่อโดนรุมสุมแผ่ความเมตตา
รักความดีอย่าเผลอไปทำต่าง หาข้ออ้างเข้าข้างตัวกลัวหนักหนา

คนจำพวกหลายสังคมมีหลายหน้า มีปัญหากับตัวเองอยู่ร่ำไป

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา