แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฉือเหริน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฉือเหริน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

2562-07-06 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一九年嵗次己亥六月初四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
เกิดเพื่อดับแน่แท้เชียว บาทเดียวเอาไปไม่ได้
ห่วงไว้ก็ต้องปล่อยเป็นไป เหลือไว้แค่ดีชั่วนา
แบบอย่างให้คนกล่าวถึง ไยจึงเหลือน้อยหนักหนา
มีธรรมก็ทรงคุณค่า ใช้ธรรมความทุกข์ห่างไกล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจมาฟังธรรมะให้ครบสามวันจริงไหม
คนรู้ความคือธรรมเป็นสำแดง คนแก่งแย่งสิ่งเดิมไม่เบื่อหรือ
ใจเที่ยงแท้ความเป็นชีวิตคือ ไม่ยึดถือก่อนมาล้วนบริสุทธิ์
ปฏิบัติธรรมคืนธรรมจากที่เที่ยง ร้อยจำเรียง[1]สู่ธรรมดาคือที่สุด
จันทร์ไร้เว้าไร้แหว่งเพ็ญวิสุทธิ์ ทว่ามนุษย์ตัวต้นเหตุจองใจ
คนมีความทุกข์ที่ชอบประมาท คนฉลาดมีทุกข์ที่ไม่สลาย
ความคิดสิ้นและเกิดใหม่ง่ายดาย สุขทุกข์อย่างไรสุดท้ายทุกข์ไม่มีจริง
เหมือนถนนทุกสิ่งไปมาได้ มาไม่ไปไม่มีแค่สรรพสิ่ง
รู้ชีวิตแค่คืนกลับความจริง กำหนดชีวิตรู้แล้วยิ่งหมั่นทบทวน
ขอจงตื่นจากความฝันสรรพางค์[2] ธรรมยวดยิ่งอนันต์หลังวิบากป่วน
โลกกว้างใหญ่กิเลสสุดผันผวน ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแปรสัจธรรม
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนอย่างงดงาม แจ้งใจความปัจจัยตามไม่ระส่ำ
ทำใจว่างจึงมีมณฑล[3]ธรรม ประกายงำแก้วเปล่าน้ำจึงริน
ผู้ฝึกตนแท้จริงยิ่งประจักษ์ คนมีปากไร้คำรักษาศีล
ฝึกหลุบตาไม่จับผิดอาจิณ[4] เป็นเทวดาเดินดินฝึกทุกวัน
ฮิ ฮิ หยุด

[1] จำเรียง (ก.) แปลว่า ขับลํา, ขับกล่อม, ร้องเพลง. (แผลงมาจาก เจรียง).
[2]สรรพางค์ (น.) แปลว่า ทั้งตัว, ทั่วตัว, มักใช้เข้าคู่กับคำ กาย เป็นสรรพางค์กาย เช่น เจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย
[3]มณฑล (น.) แปลว่า แสง, รัศมี; วงรอบ, วงกลม; เขต, บริเวณ, เขตการปกครองหลายๆ จังหวัดรวมกัน เรียก มณฑล.
[4]อาจิณ (ว.) แปลว่า เคยประพฤติ, ทำมาแล้ว, เป็นนิสัย, สม่ำเสมอ.



พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา



มาฝึกเอาธรรมะหรือมาฝึกตามใจตัวเอง (เอาธรรมะ)  มาฝึกเพื่อความอดทนหรือมาฝึกเพื่อไม่ต้องอดทน (อดทน)  นั่งฟังอย่างเดียวก็เริ่มเบื่อ เริ่มเมื่อย เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม วันนี้ท่านเก่งที่สุดเลย นั่งฟังโดยไม่พูดได้เกือบวันเลย อดทนเก่งไหม (เก่ง)  เมื่อก่อนมักจะพูดไม่หยุด แต่มาที่นี่ต้องหยุดพูดใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการฝึกฝนธรรมอย่างแรกก็คือ หนึ่งมาฝึกเพื่อลดละความเป็นอัตตาตัวตน อย่างน้อยฝึกให้เรารู้จักอดทนอดกลั้น ฝึกให้เรารู้จักฟังมากกว่าพูด ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้จะเข้าใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราฟังมากกว่าพูดได้ แล้วเราก็ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้เหมือนกัน ไหนใครว่าวันเดียวพอแล้ว (3 วัน)  ทั้งชั้นมีคนเดียวเอง
โดยปกติเราอยู่ในโลก เราไม่เคยใช้คุณธรรมหรือใช้ธรรมในการดำเนินชีวิตเท่าไหร่จริงไหม (จริง)  โอกาสที่เราจะเอาธรรมมาใช้ยากมาก อย่างมากสุดก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ แต่จะปฏิบัติให้เข้าใจธรรมบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเรายังห่างไกล แล้ววันนี้ เราจะทำอย่างไรจึงสามารถเอาธรรมมาใช้ในชีวิตได้ อย่างน้อยวันนี้ไม่มีใครสอนไม่มีใครบอกกล่าว แต่สิ่งที่เราสามารถเอาธรรมะมาใช้ได้ทันทีก็คือจะอดทนได้มากแค่ไหน จะพากเพียรวิริยะจนถึงวันที่ตัวเองสัญญาว่าจะครบ 3 วัน ได้หรือเปล่า จะรักษาสัจจะวาจาได้หรือไม่ อย่างน้อยถ้าเราทำได้ครบ 3 วัน ท่านก็ได้ฝึกธรรมะเรื่องความอดทน ได้ฝึกธรรมะเรื่องสัจจะวาจา เช่นนี้ก็ไม่ยากที่จะนำธรรมะมาใช้ในชีวิต แต่การจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตมีแค่นั้นหรือ ถ้าอย่างนี้เรามาคุยกัน ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนสนทนาคุยกันได้หรือไม่ (ได้)
อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วน่าเชื่อถือ คนที่พูดอะไรใครก็รับฟัง ถ้าอย่างนั้นรับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้ จริงไหม แต่ถ้าครั้งหนึ่งพูดแล้วรักษาคำพูดไว้ไม่ได้ก็ไม่มีใครเคารพ พูดแล้วทำไม่ได้ก็ไม่มีใครเชื่อถือ จริงไหม ถ้าอย่างนั้นทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่มีใครลดคุณค่าเราได้นอกจากตัวเราทำตัวเอง จริงไหม
ระหว่างทำดีกับดวงดี ให้เลือกเอาอันไหน (ทำดี)  จริงหรือ ไม่จริง ส่วนใหญ่มักจะเลือกดวงดีก่อนแล้วค่อยทำดีใช่ไหม ถ้าศิษย์น้องเข้าใจ ศิษย์น้องจะเลือกทำดีมากกว่าดวงดี เพราะว่าทำดีแล้วจะมีดวงที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เลือกทำดีและเอาแต่ดวงดี ศิษย์น้องก็จะมีวันหมดดวง และคนส่วนใหญ่เป็นแบบเลือกแต่ดวงดีแต่ไม่ยอมทำดี ก็เลยไม่มีดวง ถูกไหม ฉะนั้นชะตาชีวิตของเรา คุณค่าชีวิตของเรา ความหมายชีวิตของเรา สุขหรือทุกข์อยู่ที่ดวงดีหรือทำดี (ทำดี)  แล้วถึงเวลาเราเลือกดวงดีหรือทำดี ฉะนั้นที่ดวงไม่ดีก็ต้องถามตัวเองว่าทำดีไหม ไม่ใช่ทำนิดหน่อยแล้วขอ แล้วจะได้ดีไหม (ไม่ได้)  เพราะไปขอหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วความหมายของชีวิตนั้นคืออะไร ความสุขของชีวิตคืออะไร บางครั้งเราพยายามค้นหาชีวิต อยากมีความสุขให้กับชีวิต อยากมีชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย เราก็เลยพยายามทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก็เลือกทำดี บางคนก็เลือกทำดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนหวังอยากดวงดีก็คงพยายามรักษาทุกสิ่งที่ดีและทำดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อความดีนั้นจะได้ป้องกัน ไม่ทำให้เราต้องเจอสิ่งร้ายจริงไหม ความหมายของชีวิตคนคืออะไร เคยไหมเราเจอผลไม้ชนิดหนึ่งท่าทางจะอร่อย หวาน ลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  (ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาหยิบแอบเปิลบนโต๊ะพระมายกตัวอย่าง)  เอาสักสามลูกเลย สามลูกมากแล้ว พอก่อนๆ แล้วเราก็บอก อร่อย นี่คือความหมายของชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  เจออะไรที่ดี เราก็เก็บไว้คนเดียว กับอีกอันหนึ่ง อร่อยนะเอาไหม อร่อยนะแบ่งกัน ไม่เอาหรืออร่อยจริงๆ เอาไหม ไม่มีใครเอาเลยหรือ อยากแบ่งนะอร่อยๆ เอาไหม เอาหรือ อยากเอาหรือ เราให้ เอามีดมา เดี๋ยวเราแบ่งให้ ความหมายของชีวิตของคนบางคนได้อะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว ทำไมต้องแบ่ง ไม่ต้องแบ่งไม่ต้องให้ กับอีกแบบความหมายของชีวิต ได้อะไรมาแล้วแบ่งปัน แบ่งปัน ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นแบบไหนหรือ (แบ่งบัน)
ฉะนั้นดวงดีไม่สู้ทำดี ทำดีที่ไหนเราไปอยู่กับใครก็มีดวงดี แต่ชีวิตของคนไม่ใช่ เวลาได้อะไรมาแล้ว เก็บไว้ก่อนแบ่งไหม ยังไม่แบ่ง ให้ไหม ยังไม่ให้ ทำอย่างไรต่อ ไปหาอีกใช่ไหม (ใช่)  พอได้มากแล้วเป็นอย่างไร ฉันรวย พวกแกมันจน  แล้วก็คิดว่าตัวเองมีมากกว่า แล้วก็มองคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขที่แท้จริง ความหมายชีวิตที่แท้จริง คือการมีแล้วเก็บจนอิ่มเลยไม่สนใจใคร หรือทุกขณะที่มีก็แบ่งปัน ทุกขณะที่ได้ก็แบ่งปันจำไว้นะ ดวงดีไม่สู้ทำดี
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของชีวิตคือ ความสุขที่ไม่ใช่แค่เรามี แต่มีแล้วยังรู้จักให้ ถึงแม้ว่าไม่มี แต่ก็ยังรู้จักถาม เป็นอย่างไรเหนื่อยไหม  เมื่อยไหม สวัสดีลุง สวัสดีป้า  เป็นอย่างไรบ้างฟังธรรมะ สบายไหม ไม่สบายหรือบอกได้ ช่วยนวด เมื่อยไหม ความหมายของชีวิตคนจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรสำเร็จ เราเก่งอะไร เราเป็นอะไร แต่คือ เราอยู่กับใคร เราก็ทำให้เขามีความสุข เราอยู่กับใครเราก็จริงใจ มีน้ำใจ รักใคร่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงเรียกว่าชีวิตที่มีค่ามีความหมาย ถ้าอย่างนั้นชีวิตของเรา คุณค่าและความหมาย อยู่ที่ไหน เงินทอง เกียรติยศหรือ แม้ไม่มีเงินทองแต่เรามีน้ำใจ แม้ไม่มีเงินมากมายแต่เรามีความจริงใจ ความซื่อตรง หรือแม้เราจะมีน้อย แต่เราก็ยังรู้จักแบ่งบัน
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่ความสุขแค่เห็นแก่ตัว มีความสุขที่สามารถส่งให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ มีความสุขได้ด้วย และทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมายด้วย  แต่คนบางคนในโลกนี้ความสุขคืออะไร เอามากกว่าให้ รอมากกว่าที่จะแบ่งปัน ใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์พี่เป็นคนที่อยู่ในโลก แต่อยากมีใครสักคนหนึ่ง  เหงาไหม  บางทีเหงานะ ใช่ไหม คุณค่าและความหมายที่แท้จริงคืออะไร มันทุกข์จังเลย ถ้าอย่างนั้นหาใครสักคนมาเติมเต็มความสุขแล้วปกปิดความทุกข์ของเราในใจดีไหม (ไม่ดี)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมดีไหม (ไม่ดี)  จริงหรือ (จริง)  แต่คนบางคนแปลกนะ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม อยู่คนเดียวก็เหงาแล้ว แต่อยู่กับอีกคนหนึ่งแล้วเขาไม่ใยดีสนใจเรา เหงายิ่งกว่า ถูกไหม (ถูก)  การที่เราคิดว่ามีใครสักคนหนึ่ง จะทำให้เราหายเหงา คิดว่าเอาความสุขของคนอื่นมาปิดความทุกข์ของตัวเอง แล้วจะทำให้ตัวเองมีความสุข  แต่เป็นความสุขที่จอมปลอม  ดั่งที่บอกว่า อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว แต่มีเขาข้างกายแต่ไม่เคยอบอุ่นใจสักวันเลย มันเหงายิ่งกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม  ฉะนั้นตั้งแต่แรกความสุขของเรา เราเข้าใจความหมาย ทุกขณะชีวิตเราปฏิบัติกับทุกคนด้วยความสุข ความเข้าใจ ความรักที่เต็มเปี่ยมแล้ว เราจะขาดแคลนความรัก ขาดแคลนความสุขไหม เพราะทุกวันเราทำได้เต็มที่แล้ว เหมือนการเอาแต่รอให้ใครมารัก กับการที่รู้จักมอบความรักให้กับทุกคน ถามว่าใครทุกข์กว่ากัน (รอให้คนมารัก)
มีใครสักคนจะมารักเราไหม รอไปทุกวันก็ไม่มีความสุขสักที แต่ในทางกลับกัน เราจะรักทุกคนให้เต็มที่ เราจะทำดีกับทุกคนให้เต็มที่ ไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่คน (รัก)  แล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นใครจะรักเราหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราให้คนอื่นได้เรามีให้ทุกคน แล้วชีวิตของศิษย์น้องเป็นแบบไหน ความหมายและคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่การเอาแต่รอให้ดวงดี แต่ทำทุกวันให้เป็นวันที่ดี ด้วยการกระทำของตัวเอง ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรารู้คุณค่าตัวเองแล้ว เรามีความสุขอยู่ที่ไหนเราก็ให้ความสุขกับทุกคน ถ้าวันหนึ่งศิษย์น้องโดนคนด่า โดนคนว่า ศิษย์น้องจะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  เพราะอะไร เพราะเรารู้คุณค่าตัวเอง คำด่าของคนอื่นไม่มีผลต่อใจ แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่รู้จักคุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง คำชมคนอื่นก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะถึงเวลาแล้วเราดีตรงไหน มาชมว่าเราดีแต่จริงๆ เราดีไหม จริงไหม (จริง)  คำว่าคุณค่าและความหมาย เมื่อใดที่มนุษย์เข้าใจตัวเองและปฏิบัติตัวเองได้ถูกมนุษย์จะไม่สูญเสีย แม้โดนว่าหรือโดนชมก็จะไม่เสียความเป็นคนของตัวเอง ดีกว่าคนที่ไม่รู้จักตัวเองและไม่รักษาความดีในตัวเอง ไม่ว่าจะโดนชมโดนว่าก็หวั่นไหว ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนคนไม่สวย ศิษย์น้องเคยยอมรับไหมว่าตัวเองไม่สวย (เคย)  ฉะนั้นใครชมว่าสวยมันก็ไม่มีประโยชน์ ใครว่าเราไม่สวยเราก็ไม่โกรธ เพราะรู้ตัวเองและก็ยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ในชีวิตของเราถ้ารู้ว่าความสุขที่แท้จริง มันไม่ใช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง ตัวเราก็จะสามารถทำให้มีความสุขได้ทุกที่ อยู่ที่ไหนแม้ไม่มีคนใดคนหนึ่งเราก็ยังมีสุขได้ แต่มนุษย์ในโลกมักจะชอบมีสุขอยู่แค่คนๆ เดียว พอคนๆ เดียวตายไป เราก็เลยเป็นอย่างไร (อยู่คนเดียว)  อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว มีเขาแต่ไม่อบอุ่น เหงากว่า ใช่หรือไม่ เอาไว้เตือนใจเลย ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไร ถ้าต้องทนอยู่กับคนที่ไม่รัก และถ้าต้องทนอยู่กับสิ่งไม่ถูกใจเรา เคยไหม ศิษย์น้องเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม เอาเปรียบคนอื่นเป็นภัย แต่ถูกเขาเอาเปรียบเป็นวาสนา และถูกเขาเอาเปรียบแล้วไม่ทำร้ายเขาให้เจ็บใจเป็นวาสนาแล้วยังสร้างเมตตาธรรม เหมือนอยู่ในโลกมีคนรังแกเราบ้างทำร้ายเราบ้าง รังแกคนอื่นเป็นภัย แต่อภัยผู้อื่นเป็นวาสนาและสามารถช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้เป็นกรุณา จริงไหม แล้วถึงเวลาเราอดทนให้เขาเอาเปรียบและรังแกไหวไหม ไม่ไหวหรอก ใช่ไหม แม้จะรู้ว่าที่พูดมันดีแต่ถึงเวลามันทำยาก ศิษย์น้องเคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งไหม ถ้าเวลามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันด่าฉัน ถ้าเราไม่นิ่งชีวิตเราจะถูกเขาบงการ แต่ถ้าเกิดว่าเขาด่าเรา แต่เรานิ่งเราจะสามารถควบคุมตัวเอง บงการตัวเอง และสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมาะสม และเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการได้
น้ำดับไฟได้ฉันใด แต่ถ้าหากเรายืนผิดที่ผิดทาง ไฟก็เผาน้ำให้มอดไหม้ได้ฉันนั้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่รู้จักเข้าใจคุณค่า รู้จักชีวิตตัวเอง รู้จักความหมายในการดำเนินชีวิตตัวเอง เขาย่อมสามารถแปรร้ายเป็นดี แปรบาปเป็นบุญ แปรเคราะห์กรรมเป็นโชค ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเราต้องเจอเคราะห์ร้าย คนที่เอาเปรียบเราคือคนที่จะมีภัย แต่เราจะไม่เอาเปรียบใคร เพราะถ้าโดนเขาเอาเปรียบเราจะได้วาสนาและบุญ โดนเขารังแกเราจะได้วาสนา ฉะนั้นถ้าเราโดนเขาเอาเปรียบ โดนเขารังแก เราจะแปรร้ายเป็นดีหรือแปรร้ายเป็นยิ่งร้าย ศิษย์น้องจำไว้นะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตมากระทบใจแล้วเรานิ่งไม่ได้ เมื่อนั้นเราจะตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ทำเราโกรธ เราก็เป็นทาสอารมณ์โกรธและเดินตามไปโกรธ จริงไหม แต่ถ้าเมื่อใดเรานิ่งได้ เราจะไม่เป็นทาสอารมณ์ของใคร แต่เราจะสามารถควบคุมจัดการ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ถูกหรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจงนิ่งให้ได้ก่อน ทำอย่างไรให้นิ่งได้ วิธีแรกที่จะทำให้นิ่งคือ
  1. ใจต้องไม่แปรปรวน ใจต้องเหมือนเดิม ใจตรง เวลาถูกด่ามา ใจตรงไม่ปรวนแปร
  2. จิตใจต้องมั่นคง
  3. จะต้องไม่พยายามหลุดด่าออกมาเป็นวาจาชั่วร้าย
  4. พยายามอนุเคราะห์เขาด้วยวาจาสุภาพ เป็นประโยชน์ และพยายามเมตตาให้มากที่สุด
ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรมา การบำเพ็ญจึงไม่ใช่ไปแก้เขา การบำเพ็ญคือการหันกลับมา เพราะตัวปัญหาคือใจของเรา และใจของเราที่สร้างปัญหาคือกิเลสที่เกิดในใจ ถ้าเราสามารถมีสติเท่าทัน กิเลสจะมากี่ร้อยกี่พัน เราก็สามารถจัดการได้ เมื่อจัดการภายในได้ ภายนอกถึงจะมีปัญหาก็จะง่าย แต่ถ้าจัดการใจตัวเองไม่ได้ ภายนอกก็ตายแน่เลย จริงไหม (จริง)  ทำยากไหม (ไม่ยาก)
กิเลสสามารถขจัดได้ด้วยคุณธรรมและความถูกต้องอันดีงาม เราอยากจะให้โกรธหายไปได้อย่างไร ถ้าไม่เอาคุณธรรมเมตตาออกมาจากใจ เราอยากจะให้ความเกลียดหายไปได้อย่างไร ถ้าเราไม่รักษาใจของเราให้เมตตาเข้าไว้ เมตตาคือไม่เบียดเบียนใครให้ทุกข์  กรุณาคือนำพาเขาให้พ้นทุกข์  ทำยากไหม ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นนักเรียนในชั้นนี้จะเป็นคนอดทนเก่ง ไม่โกรธเก่ง ทำได้ไม่ได้ (ได้)  กลับบ้านไปโดนสามีถาม กลับบ้านทำไมดึกดื่น  โดนภรรยาถามไปเที่ยวอีหนูที่ไหนมา จะนิ่งได้ไหม (นิ่งได้)  ได้แน่หรือ ยังไม่ทันนิ่งเดินหนีก่อนเลย
ฉะนั้นสิ่งสำคัญเราต้องรู้คุณค่า เข้าใจความหมายตัวเองก่อน  ถ้าทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไยต้องกลัวอุปสรรค ความยากลำบาก แต่ถ้าทำไม่ดี ทำสิ่งไม่ถูกต้อง ต้องระมัดระวังกาย ใจ ตัวเอง
เราอยากมีดวงดี หรือดวงไม่ดี (ดวงดี)  อยากอยู่กันแบบมีกรรม หรือมีมิตร (มีมิตร)  ทุกครั้งทำให้เป็นมิตรหรือทำให้เป็นกรรม ทำให้เป็นมิตรหรือให้เป็นศัตรู (เป็นมิตร)
ฟังแบบนี้ก็ไม่ยากนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าจะเริ่มศึกษาหลักธรรม เริ่มศึกษาการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญก็คืออย่าหนีความเป็นจริงของโลก ถ้าท่านยังไม่สามารถอยู่บนโลก และอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วคิดว่าไปปฏิบัติธรรมจะพ้นทุกข์ ไม่มีทางต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสมบูรณ์พร้อมก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราจะไปปฏิบัติธรรมก็สบาย แต่คนบนโลกมักหนีความจริงแล้วไปปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะและเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ถ้ายังปฏิบัติคุณธรรมแห่งความเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ เหมือนคำพูดที่มนุษย์พูดว่า มนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขจะมาได้ก็ต้องสงบและถึงสุข จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังสงบไม่ได้เราก็ (สุขไม่ได้)  แล้วเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสุขไหม การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการค้นหาความหมายแห่งชีวิต และเอาความหมายแห่งชีวิตมาปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยมีทำนองคลองธรรมเป็นพื้นฐาน และทำนองคลองธรรมพื้นฐานก็คืออยู่ในศีลอยู่ในธรรม เมื่อเราอยู่ในศีลในธรรมถูกต้องแล้ว การจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็ไม่ยาก  แต่สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือไม่เคยอยู่ในศีลในธรรมได้แท้จริงสักครั้ง สามวันดีสี่วัน (ไข้)
ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วขาดสติ จุดยืนของการเป็นคนเราก็จะหวั่นไหวไปกับโลกภายนอกได้ง่าย ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์น้องเคยลำบาก เหนื่อย ขยัน มีความสุข กับสบายแต่ขี้เกียจ เอาเปรียบผู้อื่น และผิดศีลขาดธรรม แบบไหนดีกว่ากัน (อย่างแรก)  ถึงแม้เราจะลำบากหน่อย ได้เงินช้าหน่อย แต่เราไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ไม่ขาดความเป็นคน แล้วเรารู้จักพึ่งตัวเอง ก็จะหาความสุขได้ไม่ยาก แต่ดีกว่าเอาสบายเอาเปรียบ แล้วผิดศีลขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกให้ว่า เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนที่สามารถอดทนและนิ่งได้อย่างแท้จริง บางทีก็ยากนะ ยากไหม (ยาก)  ถ้าอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ภัยก็ไม่เกิด แต่ถ้าเล็กๆ น้อยๆ อดทนไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้อง อย่าดูถูกพลังจิตใจของตัวเอง ถ้ารักจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้าคิดจะดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำอะไรแล้วถึงที่สุดเราก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่เรามา แต่ถ้าวันนี้เราทำดีบ้างไม่ดีบ้าง ชีวิตก็จะเป็นอย่างนี้ กระท่อนกระแท่นๆ อยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่ราบรื่นเวลาทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ เต็มเหนี่ยว ให้สุดแรง ไม่ใช่ว่า เดี๋ยวเอาเดี๋ยวไม่เอา ชีวิตเลยเป็นแบบนี้ ลมเพลมพัด ลมพัดลมเพ ฟ้าไม่ได้กำหนดชีวิตเราแต่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง ความสุขอยู่ที่ (เรา)  ความทุกข์ก็อยู่ที่ (เรา)  ฉะนั้นอยากนั่งแบบมีความสุขหรืออยากนั่งแบบคนมีความทุกข์ อยากนั่งแบบคนมีความสุขแล้วไปให้ถึงบุญไปให้ถึงนิพพาน ไปให้ถึงสวรรค์ นั่งแบบไหนดี นั่งแบบเบื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะบอกให้นะ เราอยากนั่งแล้วทำให้เรามีสุขแล้วได้บุญพ้นทุกข์ ไม่ยากเลย  มันอยู่ที่เราวางความคิดแบบไหน ถ้านั่งแล้วดี ได้ฝึกใจตัวเอง ได้ลดความยึดมั่นถือมั่น ดีได้ปล่อยวางได้โล่งเบาบ้าง ดีได้ลืมตัวเองบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่ายิ่งนั่งฟังยิ่งมีสุข ยิ่งได้บุญ เพราะบุญคือขจัดกิเลส แล้วสามารถลดอัตตาตัวตนได้ เพราะบุญนำไปสู่กุศล และพอขจัดตัวตนแล้ว ดีได้ลืมตัวเองบ้าง ชีวิตมันวุ่นวาย กุศลนำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ที่ไม่ยึดติดตัวตน จริงไหม แล้วเรานั่งเพื่อให้ได้แบบนั้นไหม นั่งแล้วทุกข์ สิ่งที่ได้จึงเป็นนรก ใช่ไหม เราว่าใช่นะศิษย์น้อง จริงไหม ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะฝึกความนิ่งความอดทนให้ได้ และสามารถบำเพ็ญเข้าถึงความถูกต้องและความดีงามได้ถึงที่สุด ศิษย์น้องเคยถูกคนถากถางไหม เคยถูกคนต่อว่าไหม เคยถูกคนดูถูกไหม แล้วเวลาโดนดูถูกถากถางเราเจ็บไหม โกรธไหม ด่าไหม นินทาไหม ศิษย์น้องลองแปรเปลี่ยนเคราะห์กรรมให้เป็นบุญวาสนา ลองแปรเปลี่ยนกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ลองแปรเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นพ้นทุกข์ โดยการเข้าใจความทุกข์ให้ถึงแก่นแท้ ถ้าเรารู้ตัวเราดี เรารู้ว่าเราทำอะไร และเรารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน คำดูถูก คำต่อว่า คำด่าทอ มันจะมีผลอะไรกับใจเราไหม และถ้าเราทำมาตลอดชีวิต เราทำดีที่สุดแล้ว เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว คนดูถูกถากถาง มันจะมีผลกับใจเราไหม แต่เราจะรู้สึกดี แปลว่ามันอิจฉาเรา
ทำไมมีแต่คนอิจฉา มีแต่คนต่อว่า แต่คิดอีกที อย่างน้อยก็มีคนสนใจเรา  ถ้าไม่สนใจไม่บ่นไม่ด่าให้เมื่อยปากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเมตตาว่า ถ้าเวลาเราถูกคนต่อว่า เวลาเราถูกคนดูถูกถางถากให้นึกถึงดิน ขุดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด  พอเป็นหลุมเป็นบ่อก็จะมีคนถมให้เต็ม ฉะนั้น ถ้าเวลาเราโดนคนว่า โดนคนถากถาง รักษาใจให้หนักแน่นเหมือนดิน ได้ไหม (ได้)  แล้วเคยไหมที่ถูกคนเข้าใจผิด เคยไหมที่ถูกคนใส่ไคล้  ถูกยุแยงตะแคงรั่ว ถูกคนเลื่อยขาเก้าอี้ ถูกคนนินทา แล้วเราเคยยุแยงและนินทาเขาไหม (เคย)  ดังนั้นก็อย่าไปว่าคนอื่นเพราะเราก็เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว กงกรรมกงเกวียน ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ศิษย์พี่จะบอกนะ เราไม่อยากเจอสิ่งใด อย่าสร้างเหตุปัจจัยให้เราต้องไปรับผลของสิ่งนั้น ถ้าเราไม่สร้างแล้วสิ่งที่เหลือก็คือกรรมเก่าที่เราเคยทำมาแค่นั้นเอง  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่โดนคนยุแยง ใส่ร้ายป้ายสี โดนคนกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ดี ให้ศิษย์น้องทำใจให้เหมือนฟ้า  เขาใจแคบมา เขาดูถูกมา เขาคับแคบมา ฉันจะ (กว้าง)  ได้ไหม  ไม่ใช่เขาคับแคบมาเราก็ (คับแคบไป)  อย่างนี้จะจบไหม  ชีวิตจะหมดทุกข์ไหม อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย  (สงบ)  อยากอยู่อย่างมีทุกข์หรือสิ้นทุกข์ (สิ้นทุกข์)  แล้วทุกวันนี้ทำแบบสิ้นทุกข์หรือหาทุกข์ (หาทุกข์)
ฉะนั้นเขาแคบมา ร้ายมา ฉันจะดีตอบ กว้างตอบ ฉันจะแปรบาปให้เป็นบุญ จะแปรร้ายให้เป็นดี จะแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  เพราะเกิดมากรรมก็เยอะแล้วจริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากมีกรรมอีกไหม กรรมไม่แบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครคับแคบมา เราจะใจกว้างยิ่งกว่ากว้าง  ดีไหม (ดี)  จำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำจิตใจให้เหมือนดิน เหมือนฟ้า แล้วบางทีเรื่องบางเรื่องมันเจ็บปวดใจ ลืมไม่ลง ถ้าอย่างนั้นจงทำใจให้เหมือนน้ำไหลแล้วไม่ย้อนกลับ เพราะชีวิตอยากสงบ ไปแล้วก็ไปลับ แต่เราไปแล้วก็กลับ เขาด่าจบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เขายืมเงินเราไป จบแล้วยัง (จบแล้ว)  แต่เราไม่จบ เพราะอะไรให้เขายืมไปเยอะ ช่วยไม่ได้ก็ให้เขายืมเยอะทำไม
ชีวิตก็แบบนี้นะศิษย์น้อง บางอย่างถ้ามันไปแล้วมันไม่เคยกลับมา ของถ้ามันจะเป็นของเรามันก็เป็นของเรา ถ้าทำบุญกันมาแค่นี้ก็ต้องยอมรับแค่นี้ ฉะนั้นธรรมชาติสอนธรรมะเสมอ บางอย่างผ่านไปแล้วเอาเก็บกลับมาให้มันเน่าในใจทำไม น้ำถ้าไม่ไหลเวียนมีแต่เน่าใน แล้วเราปล่อยให้ผ่านแล้วผ่านไปหรือว่าเราเก็บกักไว้ ไหลผ่านหรือเน่าใน (ไหลผ่าน)
อย่าให้มองเลยคนนั้นเห็นแล้วเบื่อ อย่าให้พูดถึงเลยเจ็บใจ  แล้วอยู่อย่างนี้มีความสุขไหม ฉะนั้นถ้าเรานิ่งได้ ยอมรับความจริงได้ มีจุดยืนในการเป็นคนได้ คนทุกคนไม่ใช่ปัญหา คนทุกคนไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่คนทุกคนกลับมาทำให้เราเข้าใจตัวเองและเรียนรู้ที่จะดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ทำให้เกิดทุกข์ใจ และสร้างปัญหากับคนรอบข้าง บำเพ็ญแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เป็นเหมือน ( ดิน ฟ้าและน้ำ)  ฉะนั้นลองฝึกความอดทน ฝึกความใจนิ่งให้ได้อย่าง ดิน ฟ้า และน้ำ ศิษย์น้องก็จะเป็นถุงหนังที่ฟอกแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ ใครตีอย่างไรก็ไม่ดำ ถ้าฟอกดี บำเพ็ญดี ใครตีอย่างไรก็ไม่ทุกข์
ถ้าเราทำได้ดีก็ไม่ต้องกังวลว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน และเราก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปแขวนอยู่กับดวงราหู เพราะเรารู้จักควบคุมชีวิตตัวเอง คนที่รู้จักควบคุมตัวเองรู้จักคุณค่าความหมายของชีวิตตัวเอง แม้หมอดูก็ดูชะตาชีวิตเขาไม่ได้ เพราะสามารถพลิกผันไปได้ด้วยสติปัญญาของเขา ที่จะดำเนินชีวิตไปเช่นไร แต่สงสัยคงหาได้ยาก  เพราะชีวิตยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เลย จริงไหม (จริง)
ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ขอคุยกับศิษย์น้องเบื้องต้นง่ายๆ  แบบนี้ก่อน ไม่ยาก  ฉะนั้นลองไปฝึกฝนปฏิบัติดู ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรายังทำไม่ถูกต้อง และนิ่งไม่ได้  ก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะต้องหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำถูกต้องและนิ่งได้ อะไรมากระทบ เราก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเรารู้คุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง แล้วเราก็สามารถมีสุขได้
ถ้ามีโอกาสลองมาศึกษาเพิ่มเติม ดีหรือไม่ (ดี)  ให้เวลากับชีวิตตัวเองเพียงวันเดียวเองหรือน่าเสียดาย ชีวิตก็คือธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจเรียนรู้ธรรมจะเข้าใจชีวิตหรือ  แล้วเรียนรู้ธรรม เรียนรู้ชีวิตเพียงวันเดียวจะเข้าใจไหม ไม่มีทาง เพราะทุกวันเรามัวแต่ปล่อยชีวิตไป แต่เราไม่เข้าใจชีวิต การมาฟังธรรมคือการย้อนมองตน เรียนรู้ การเข้าใจความเป็นคนที่แท้จริง คนเช่นไร ที่เรียกว่ามีธรรม และมีธรรมเช่นไร ที่จะนำพาให้เรามีสุขและพ้นทุกข์  ถ้าไม่ใช่การเรียนรู้และเข้าใจความหมายการเกิดเป็นคนที่แท้จริง
ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่คนอื่น คุณค่าความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่อยู่ที่ตัวเราทำเช่นไร เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ หรือแบ่งปันมีน้ำใจ ห่วงแต่ตนไม่ห่วงใคร รู้จักห่วงผู้อื่นหรือห่วงตัวเอง ฉะนั้นคนที่จะเข้าใจชีวิตคนอื่นได้คือคนที่เข้าใจชีวิตตัวเอง เหมือนศิษย์น้องถ้ามีความสุข ก็สามารถแบ่งปันความสุขได้อย่างไม่เหนื่อยหน่าย ไม่มีมีวันหมด
แต่ถ้าเรารู้และเชื่อมั่นในความสุขในใจของตัวเอง แล้วไม่กลัวว่าจะหมดยิ่งให้ก็ยิ่งมี จริงไหม (จริง)  เอาแค่ง่ายๆ ยิ้ม พอเรายิ้มคนอื่นเขาก็ยิ้มตอบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขและความดีก็เช่นกัน ขอเพียงเราให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเต็มใจ มันจะไม่มีกลับมาเลยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคุณค่าและความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันอยู่ที่ตัวศิษย์น้องทำตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพน่ารักน่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ถ้าไม่ทิ้งโอกาสตัวเองนะ


วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เคี่ยวเข็ญตนงำนำแสงประกาย ฝึกบำเพ็ญเป็นหัวใจคนได้ดีเพราะธรรม อวดเบ่งเกินเป็นคางคก ชอบพูดยกตัวหน้าตาคว่ำ ทบทวนการกระทำ      รู้เรารู้เขารู้ตัว
                   ทำนองเพลง : ลูกทุ่งเสียงทอง
ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม

                   เราคือ
 จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว         ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับกันบ้างไหม   
                     
คงเพราะใจวุ่นวุ่นมานาน    ได้คืนบ้านแห่งใจบ้างไหม ไม่ว่าการกระทำและคำพูดใด ที่แล้วล้วนเจอปัญหา
ต่างก็ผ่านชีวิตมานาน เจ้ามีด้านแห่งธรรมบ้างไหม ใช้สติเท่าทันและความชั่งใจเปลี่ยนชีวิตไปด้วยศรัทธา
*ต่างคนต่างช่วยไปมา ต่างกันแต่ไม่เป็นไร
**ต่างบำเพ็ญด้วยหลักธรรม ต่างกันแค่คิดบางอย่าง แต่ช่วยกันดี     ต่างกับเหมือนอยู่ที่ใจ ไม่มีเรื่องไหนเรื่องใหม่ ศิษย์พากเพียรมานักต่อนัก
(ซ้ำทั้งเพลง, **, ** )

ทำนองเพลง : หมื่นคำลา
ชื่อเพลง ต่างคิดแต่ไม่ต่างธรรม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ให้เลือกระหว่าง เรามาแล้วท่านต้องช้าไปอีกสี่หรือห้าชั่วโมง กับอีกอย่างคือให้เรากลับไปเลยท่านจะได้เร็วขึ้น เอาอย่างไหน ให้โอกาสท่านเลือกนะ เพราะอย่างไรก็มีพรุ่งนี้อีกวัน ชีวิตมีโอกาสเลือกได้ไม่กี่ครั้ง จริงๆ  ในโลกนี้เรามีโอกาสเลือกที่จะทำได้ เลือกที่จะเป็นได้ แต่อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เราเข้าถึงธรรมะที่ฟังบ้างไหม (เข้าถึง)  เข้าหูซ้ายออกหูขวา อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจอะไร น่าเสียดาย ถ้ามาฟังวันครึ่ง เกือบสองวันแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร จริงไหม
อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าธรรมะคือความธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ธรรมะคือความเป็นกลาง แต่ถ้าหากว่าเราเอียงซ้ายเอียงขวา ก็แปลว่าเราไม่ค่อยมีธรรมะ เราไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดาได้ ก็แปลว่าเราไม่เข้าใจธรรมะ ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราเห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทำให้เราเจอธรรมะ แต่เราเคยเห็นความเป็นธรรมดาไหม แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เห็นธรรมไหม เห็นทุกข์มากกว่าเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าความหมายของธรรมะคืออะไร ถ้าธรรมคือความธรรมดา ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง และธรรมคือความสามัญ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ซิกซ์เซนส์[1] ใช่หรือไม่ คนมักจะบอกว่าฉันมีเซนส์ ฉันรู้ แต่ว่าตราบใดสิ่งที่ศิษย์รู้ยังมีความหลง ยังมีกิเลสเคลือบแคลง ยังมีความยึดมั่นถือมั่น นั่นก็ไม่ไช่เรียกว่าธรรม นั่นก็ไม่สามารถเป็นธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ได้ เหมือนศิษย์บอกว่า เราก็ดีแล้วจะบำเพ็ญธรรมทำไม แล้วจะรู้ธรรมมากมายทำไม ฉันไม่ได้อยากเป็นอรหันต์ ไม่ได้อยากพ้นทุกข์ จริงไหม
อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  แล้วเป็นคนดีหรือยัง อย่าบอกว่าดีข้างหนึ่งไม่ดีข้างหนึ่งนะ แบบนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  สมมติอาจารย์ก็เป็นคนดีทำบุญตักบาตร แต่พอเจอใครก็บ่น อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าศิษย์ตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญ ศิษย์ต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า การเรียนรู้ธรรมคือสอนให้เราเป็นกลาง ไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวา ยอมรับในความเป็นจริงอันธรรมดาสามัญโดยไม่เกิดทุกข์ เมื่อใดศิษย์เข้าใจธรรมอันธรรมดาสามัญและเป็นกลางได้ ศิษย์ก็ค้นพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เรายอมรับความเป็นจริงไหม เมื่อเราไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาศิษย์ก็เลยต้องทุกข์ เมื่อเราไม่สามารถยืนอยู่ในความเป็นกลางได้ ศิษย์ก็เลยเอียง คนนั้นไม่ดี คนนี้เขาเลว ศิษย์รักษาความเป็นกลางไม่ได้ ศิษย์ก็เลยทุกข์ เพราะธรรมคือความเป็นกลาง เมื่อใดเรายอมรับความสามัญได้ รักษาใจเป็นกลางได้ ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นธรรมง่ายไหม (ง่าย)  แล้วเราเห็นธรรมแบบนี้ไหม เรามักจะรักลำเอียง ถูกไหม เมื่อใจแบ่งแยกแล้วก็ชอบยึดติดในการแบ่งแยกจนไม่สามารถมองเห็นความเป็นธรรมได้
ถ้าวันนี้อาจารย์จะมาคุยกับศิษย์ในเรื่องความทุกข์และทางดับทุกข์ ศิษย์จะอนุญาตให้อาจารย์อยู่ด้วยไหม (อนุญาต)  เต็มใจไหม (เต็มใจ)  เพราะถ้าไม่เต็มใจไม่อนุญาตก็จะไม่ฝืนทำให้ใครทุกข์ ก็ศิษย์ไม่อยากทุกข์ อกเขาอกเราอาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ แล้วก็ไม่อยากเห็นใครทำหน้าทุกข์เวลาอยู่กับอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเกิดเป็นคนทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวของตัวเองยังไม่พอ ยังไปทุกข์กับหัวจรดเท้าของคนอื่นอีก จริงไหม ฉะนั้นเรามารู้วิธีแก้ทุกข์กันง่ายๆ ดีไหม
เขาแต่งตัวประหลาดก็เรื่องของเขา ถูกไหม แต่ปากเรา ใจเรา ทำไมแต่งแบบนี้ ทุเรศจริงๆ ไม่ดูตัวเองเลย ว่าเขาไหม แล้วทุกข์ไหม พูดและบ่นไหม แล้วลืมดูตัวเองว่าแต่งตัวอะไร ใช่หรือไม่ การแต่งตัวก็บ่งบอกความเป็นตัวเองเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้กำลังทุกข์เรื่องการแต่งตัวของอาจารย์ บอกแล้วมนุษย์ทุกข์หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหนถ้าอยากให้คนเคารพให้เกียรติ เราก็ต้องรู้จัก (เคารพให้เกียรติผู้อื่น)  เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคน และนอกจากเคารพให้เกียรติแล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเป็นคนน่ารักยิ่งกว่าคนอื่นก็คือ  การอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่าย และอาจารย์ก็คิดว่านักเรียนชั้นนี้ อ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่ายใช่ไหม (ใช่)
อยากอยู่ที่ไหนให้คนมีสัมมาคารวะ อยากอยู่ที่ไหนให้คนอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องเริ่มที่ตัวเรา อยากอยู่ที่ไหนมีคนให้เกียรติ ก็ต้องอยู่ที่เราให้เกียรติเขาไหม ก็อยู่ที่เราทำดีกับเขาไหม อย่าไปชี้หน้าว่าเขา แต่ตัวเราใจดำ อย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นไม่มีมารยาท แต่ตัวเองไม่เคยมีเมตตากับใคร
มนุษย์เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถ้าเราเป็นคนดี เราจะทุกข์ไหม คนดีทุกข์ไหม (ทุกข์)  ก็ยังมีทุกข์ตามประสาคนดีอยู่ ทุกข์มีหลากหลายแบบ และมีทุกข์อีกแบบที่เราหนีไม่พ้น แม้จะเป็นคนดีอย่างไรก็หนีทุกข์นี้ไม่พ้น ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความแก่ เจ็บ ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  เป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจและทำให้เราพ้นทุกข์ได้
เรามีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เรามักเจอกันคือ ทุกข์แห่งความสุข ทุกข์กับสิ่งที่เรียกว่าดีร้าย สิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ภัย สิ่งที่เราเรียกว่าได้เสีย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเรา คนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเราก็ทุกข์ แค่เพราะว่าเขาชมศิษย์ว่าสวย ปกติออกจากบ้านไม่เคยดูกระจก พรุ่งนี้เวลาออกจากบ้านต้องดูกระจกก่อนว่าสวยหรือยัง วันนี้เขาชมศิษย์ว่าแต่งตัวดูดี พรุ่งนี้ออกจากบ้านเริ่มลำบากแล้วว่า จะใส่ชุดอะไรดี ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์มีทุกข์อีกประเภทหนึ่งที่เกิดจากการกระทำ ทุกข์ที่เกิดจากผลของการกระทำ เป็นทุกข์ที่เราสร้างเหตุมา แล้วเราต้องรับผลของปัจจัยที่เราสร้างเหตุนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทุกข์แรกเราหนีไม่พ้น แล้วทุกข์นี้เราสามารถที่จะควบคุมและทำให้เบาบางได้ไหม ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราเคยมองเห็นไหม (มองเห็น)  แล้วเคยคิดที่จะขจัดทุกข์ไหม (เคย)  ด้วยการไปหาความสุขจนใจทุกข์ นั้นคือการแก้ที่ถูกไหม (ไม่ถูก)  ด้วยการหนีทุกข์ไปเลย แล้วไปเจอทุกข์ใหม่  ด้วยการไปบวชชีสามวันเจ็ดวัน แล้วกลับมาจะได้ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราทุกข์เพราะอะไร อาจารย์จะมาพูดทุกข์อันนี้กัน แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีวิธีแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้มันมีไฟก็ต้องมีน้ำดับ ถูกไหม (ถูก)  ถ้ามันมีทุกข์แล้วจะไม่มีวิธีดับทุกข์หรือ ถ้ามีทุกข์จะไม่มีวิธีพ้นทุกข์หรือ มีแต่เราเคยหาไหม (ไม่เคย)  เอาไว้ก่อนขอสุขก่อน เวลาสุขจนถึงที่สุดมันกลับมาเป็น (ทุกข์)  แล้วตอนนี้จะหันหน้ามาสู้กับมันไหม (สู้)  เหมือนตอนนี้นั่งแล้วเมื่อย สู้ไม้สู้ (สู้)  นั่งต่อไหม (ต่อ)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องหันกลับมาดูก็คือ ความทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้างเอง กำหนดเอง แล้วก็ตายเอง ความทุกข์ที่เราหามาเองแล้วก็หนีไม่พ้นเอง แล้วเราจะแก้อย่างไร เราก็ต้องดูก่อนว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์
อาจารย์ถามหน่อยแล้วเราทุกข์เพราะอะไร เรามาแก้กัน ทุกข์เพราะความคิด จริงไหม ถ้าอย่างนั้นเวลาเราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่เป็นอย่างใจ คิดให้มันไปซ้ายแต่มันไปขวา คิดให้มันดีแต่มันไม่ดี คิดว่ามันจะสำเร็จมันกลับ (ไม่สำเร็จ)  คิดอย่างได้อีกอย่างทุกทีเลย ใช่หรือไม่ แล้วทำอย่างไรที่เราจะแก้ความคิดได้ ถ้าอย่างนั้นศิษย์ไปไหว้พระเก้าวัดเจ็ดวัดศิษย์จะได้หายจากความทุกข์ที่เกิดจากความคิด ศิษย์ไปทำบุญจะได้ถวายส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันต้องแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ความคิดที่เรายึดติดที่ทำให้เราทุกข์ ความคิดที่ขาดสติ เพราะเอาแต่คิดแต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นความทุกข์จะกลายเป็นความพ้นทุกข์ได้ถ้าเรารู้จักพลิกความคิดเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน จริงไหม สมมติว่าตั้งความหวังไว้สูงแต่มันได้แค่นี้ หวังว่ามันจะดีมากแต่มันได้แค่นี้ ทำใจได้ไหม ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยทำใจได้มันก็พ้นทุกข์ ทำใจไม่ได้มันก็ทุกข์ต่อไป เพราะไม่มีใครเปลี่ยนความคิดในใจศิษย์ได้นอกจากศิษย์ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมไม่คิดว่า แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม เพราะไม่แน่ทำใหม่จากที่ตอนแรกมันได้แค่นี้ แต่ตั้งไว้แค่นี้ พอทำใหม่มันอาจได้ (นิดเดียว)  และถ้ามันต่ำกว่านี้ศิษย์จะทุกข์ไหม ถ้าศิษย์ทำเต็มที่ทำดีที่สุดและทำทุกวันให้ถูกต้องงดงาม ผลมันไม่ได้อยู่ที่ตอนท้าย แต่ผลมันอยู่ที่ทุกๆ วันเราทำ เหมือนวันนี้ความสุขของศิษย์อย่าไปกำหนดที่บั้นปลาย แต่ความสุขของศิษย์ควรจะกำหนดอยู่ที่ทุกๆ วันได้ทำอะไร ใช่ไหม
ศิษย์บอกว่า พอถึงเวลาถึงที่สุดแล้ว มีก็ดีกว่าไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยพอไม่มีก็ดีกว่าที่จะไม่เคยได้รู้จักเลยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนความคิดเราให้ได้ คนที่ทุกข์และคนที่เจ็บคือตัวเรานะศิษย์จริงไหม (จริง)  คนที่เราคาดหวัง คนที่เราหวังดีเขาสนใจไหม (ไม่สนใจ)  ก็ไม่สนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาทุกข์กับเราไหม (ไม่)  แล้วเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกของความเป็นจริงนี้ บังคับใครบังคับอะไรให้เป็นดังใจไม่ได้ และควบคุมให้มันเป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ แล้วอยากจะควบคุมไหม ยังอยากจะยึดติดไหม (ไม่)  จริงหรือ (จริง)
ถ้าอาจารย์ถามว่าได้แอปเปิลลูกนี้แล้วมีความสุขเอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยถึงจะรู้ความจริง แต่ถึงที่สุดศิษย์ก็เอา อาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่ควบคุมได้ วันนี้ปากก็บอกว่ามันสุขที่สุด แต่สุขที่สุดที่ศิษย์เคยเจอ มันก็ให้ทุกข์ได้จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์ให้มังคุดลูกนี้ แล้วทำอะไรมันจะคุด มันจะอับเฉา มันจะไม่งอกเงยเลยเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย ทุกสิ่งถึงแม้จะเป็นจริงขนาดไหน แต่มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ถึงเราจะควบคุมมันไม่ได้ และมันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาด แม้ร้ายมันก็มีดี แม้ดีมันก็ไม่ใช่จะดีไปทั้งหมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวมันไม่ได้อยู่ที่ความคิด แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใจเราต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และเราจะควบคุมมันได้หรือไม่ อาจารย์ถามว่า ถ้าสองอย่างนี้เอาไม่เอาสุขด้วยทุกข์ด้วยเอาไหม   มนุษย์จึงหนีไม่พ้นทั้งที่รู้อยู่ว่า มีอะไรสุขแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ต้นเหตุที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมความอยากได้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งนั้นอาจจะทำให้เกิดทุกข์ไม่ต่างกับสุข สุขไม่ต่างกับทุกข์
โดยส่วนใหญ่เราอยากทุกข์หรืออยากสุข (สุข)  รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหน ก็มาจากความสุข มาจากอะไรอีก (ความอยาก)  มาจากความอยาก ความโลภ ความเกลียด ความหลง แล้วศิษย์รู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เมื่อเกิดขึ้นในใจเราแล้ว เราจะหนีไม่พ้นบาป และหนีไม่พ้นทุกข์ เวรกรรม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็ต้องพยายามควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง  ถ้าควบคุมไม่ได้มันก็จะทำโทษเรา เหมือนที่เมื่อไรมนุษย์ไม่รู้จักใจตัวเอง มนุษย์ก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสร่ำไป  ถ้าเรารู้ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งบาป แห่งอกุศล และความทุกข์ และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถ้าเราอยากเป็นทุกข์น้อยๆ  เราก็จะไม่เป็นทาสของโลภ โกรธ  หลง  แล้วเราเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง มีไหม (มี)  ถ้าศิษย์รู้ว่าศิษย์มี แสดงว่าศิษย์มีใจยอมรับ และเมื่อยอมรับให้มีครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที (สอง)   ครั้งที่  (สาม)  ครั้งที่  (สี่)  แล้วหยุดไหม ไม่หยุด ฉะนั้นเรามารู้จัก โลภ โกรธ หลง ในตัวเราหน่อยดีไหม
ศิษย์จำไว้ ถ้าศิษย์อยากจะเอาชนะและควบคุมได้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักมันให้ชัด ถ้ารู้จักมันชัด ควบคุมมันได้ มันก็ไม่มีอิทธิพลต่อเรา อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม มีรูปร่างไหม แล้วนิสัยมันเป็นอย่างไรศิษย์อยากรู้ไหม มันชอบคนเข้าข้าง มันชอบคนใส่ใจ และมันชอบคนให้ค่าและเอาใจ แต่มันมีนิสัยอย่างหนึ่ง คือมันไม่ชอบคนไม่เห็นค่า ถ้าเมื่อไรไม่เห็นค่ามัน มันจะขี้อายและมันจะบอกว่า ไปก็ได้ และมันก็เกลียดคนรู้ทัน เวลาเราจะโกรธ เขาด่ามา โกรธไหม แต่ว่าโกรธมาอย่าไปเห็นโกรธเขา ให้เห็นโกรธในตัวเรา พอโกรธมา บอกเห็นแล้วไม่เอา แล้วโกรธจะอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แต่เวลาเห็นโกรธแล้วให้ค่ามันไหม เอาไหม (เอา)  เป็นไหม (เป็น)  แล้วก็เลยหนีไม่พ้นวิบากกรรม บาป และทุกข์ที่ศิษย์ก่อก็กลายเป็นเวรกรรมที่ต้องมาชดใช้เกี่ยวกรรมกัน ฉะนั้นทางศาสนาพุทธสอนไว้ว่า จงมีศีล สมาธิ ปัญญา แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้ทำที่วัด แต่ทำตอนที่เขาโกรธเรา และเราจะโกรธตอบ อยากมีศีลไหม ศีลคือไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่กระทำผิด ฉะนั้นพอโกรธมา ฉันจะมีศีล ฉันจะมีสมาธิที่มั่นคงในศีล และฉันจะมีปัญญาเห็นแจ้ง เอาสิ่งนั้นมาขจัดให้ฉันพ้นทุกข์และล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ทานคือการสละออกโดยไม่ยึดติด และถ้าหากทานนั้นเป็นธรรมะทานก็เป็นทานอันประเสริฐ ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราเห็นความโกรธ เราไม่โกรธ และเรายังเอาความไม่โกรธนั้นมาทำให้เราไม่ผิดศีล มีสมาธิ มีปัญญาเห็นแจ้ง และชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ คนที่ด่าเรา เรากำลังได้ทำบุญทำทาน จริงไหม
แล้วถ้าหากคนที่ด่าเรา สามารถทำให้เราละความยึดมั่นในตัวตนได้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นอกจากทำบุญทำทานแล้วยังได้กุศลด้วย ฉะนั้นการทำบุญที่แท้จริง จึงไม่ใช่การอยู่แค่ในวัด แต่เราสามารถทำได้ทุกที่ แล้วถ้าบุญนั้นไม่เจาะจงด้วยก็เป็นเหมือนสังฆทานที่ใหญ่ กับใครเราก็ทำบุญ ใครด่ามาเราก็ได้ทำบุญ ใครนินทามาเราก็ได้ทำบุญ ดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราก็สามารถปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ไม่สร้างทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่เขาด่ามา อย่าเห็นแต่เขาให้กลับมาเห็นเรา อย่าเห็นแต่กิเลสในตัวเขาแต่ให้กลับมาเห็นกิเลสในตัวเรา ถ้าหากเห็นอะไรสวยๆ งามๆ อยากไหม (อยาก)  อาจารย์บอกว่ากินอันนี้จะถูกลอตเตอรี่ เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกแล้วนะความโลภมันเกิดแค่นิดหนึ่ง มันก็หนีไม่พ้นบาป กรรม ทุกข์ เลขสามตัวเอาไหม เอา ไปโลภก่อนแล้วทำบุญทีหลังมันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ให้จริงนะ  พออาจารย์จี้กงไปก็หากันอีก เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์เอ๋ยอย่ามองเห็นเป็นความโลภเล็กๆ เหมือนทำบุญทำดี ถ้าอยากให้บริสุทธิ์ อยากให้พ้นทุกข์ บุญนั้นต้องไม่อิงแอบซึ่งความหลง ความโลภ เหมือนทำดีแล้วขอพร ขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้สบาย แบบนี้การทำบุญถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าทำแล้วใจยังอิงแอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็หนีไม่พ้นบาป ถึงบอกว่าทำดีแค่ไหน แต่ถ้ายังละโลภ โกรธ หลง ไปจากใจไม่ได้ ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์แท้จริง
อย่างนั้นเรามาเข้าใจหน่อยนะว่าแล้วทำดีเพื่ออะไร เราทำดีเพื่อป้องกันการเกิดกิเลส บางทีมันอดไม่ได้อาจารย์ เห็นแล้วสวย เห็นแล้วหล่อ เห็นแล้วต้องขูดหน่อยสามตัว ทำไมมันไม่ออก มันต้องออกสิ ขอขูด บ้างดีกว่า ใช่ไหม มันก็อยากอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรที่จะอยู่ในโลก อยากแล้วศิษย์ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ให้ศิษย์เอาศีลมาเป็นตัวกรอง เอาคุณธรรมมาเป็นตัวปกป้อง ศีลทำให้เราไม่ผิด ไม่บาป ใช่หรือไม่ อาจารย์มีธรรมะ มีเมตตา แล้วศิษย์มีเมตตาไหม เมตตาในใจ ศิษย์จะอยากโลภไหม รู้ว่ามันเป็นของคนอื่น ศิษย์จะอยากเอามาเป็นของเราไหม ถ้ามีเมตตาในใจ ถ้ารู้จักซื่อตรงในใจเอาไหม แต่ถ้าหากไม่มีเมตตา ไม่มีความซื่อตรงเอาไหม  อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง คุ้มครองและป้องกันได้ด้วยศีลและธรรม ศีลทำให้เราไม่ผิดพลาด ไม่ทำให้เราหลงใหลไปในทางต่ำ ส่วนธรรมทำให้เวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ปฏิบัติกับเขาได้อย่างสงบสุข เหมือนเราเคารพให้เกียรติกัน เคารพให้เกียรติความซื่อตรงจริงใจกัน เหมือนเราจะทำร้ายเขา ศิษย์ก็บอกอาจารย์ นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร บางทีเราโกรธเขา บางทีเกลียดเขา เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์ถามลึกๆ ไม่โกรธ แต่อย่าเป็นอีก ใช่ไหม
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อย่าบอกว่านิดเดียว โกรธนิดหน่อยเอง   ไปเอามานิดหน่อยเอง เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปแก้ใหม่ได้ หายกันไหม (ไม่หาย)  แล้วบางคนเวลาเอาคืน เขาเอาคืนเบาๆ ไหม (ไม่เบา)  เราตีเขาแปะเดียว เขาทุบเราเอาถึงตาย
ศิษย์อย่าดูเบาเรื่องความโลภ โกรธ หลงในใจ อย่าดูเบาเรื่องความผิดพลาดในชีวิต เพราะถ้าผิดพลาดไปแล้ว ต่อให้เอาน้ำทั้งโลกมาล้าง ก็ล้างไม่ได้ ต่อให้ศิษย์ทำดีตลอดชีวิต ก็แก้ความรู้สึกผิดในใจของศิษย์ไม่หมด จริงไหม ฉะนั้นเราควรที่จะอยู่อย่างคนที่มีสติ  ไม่ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง แล้วศิษย์จะเบาบางทุกข์ไปได้ครึ่งหนึ่งของชีวิตได้เลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ทำนอง : ลูกทุ่งเสียงทอง และทำนองเพลง : หมื่นคำลา)
อาจารย์ให้เพลงสองเพลง เพลงหนึ่งทำนองเพลง ลูกทุ่งเสียงทอง อีกเพลงหนึ่งเป็นแบบวัยรุ่นช้าๆ เนิบๆ ให้เพลงแล้ว อาจารย์จะเอากลอนพระโอวาทมาแยกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายโดยนัย กลับไปให้ศิษย์เอาไว้คิดดีไหม (ดี)  แต่อาจารย์ก็ยังมีธรรมะอีกหลายเรื่องที่อยากจะถกกับศิษย์  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดเรื่องความทุกข์ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ บางทีถ้าเรารู้ว่าเป็นทุกข์ ความแก่เจ็บตาย เราจะพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แก่เจ็บตายเป็นทุกข์ของสังขารหรือเป็นทุกข์ของจิตญาณ (สังขาร)  ในเมื่อเป็นทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของจิตญาณเดิมแท้ แปลว่าญาณเดิมแท้ของเราไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายได้ หรือเป็นเพราะว่าที่เราสามารถพ้นทุกข์ได้ เพราะเรายึดมั่นถือมั่นกับ (กายสังขาร)
เคยนั่งรถไปบนถนน แล้วเห็นถนนพยับแดด รู้จักพยับแดดไหม คือมองไกลเห็นเป็นน้ำ แต่พอเข้าไปใกล้ไม่มี อาจารย์ถามหน่อย ชีวิต สังขาร เหมือนพยับแดดไหม มองไกลๆ เห็นไหม (เห็น)  มองใกล้ๆ เห็นไหม (เห็น)  แต่ในความเห็น ให้มองไปถึงที่สุดมันเห็นไหม มีไหม อย่างนี้เรียกว่า กายสังขาร และอันนี้เรียกว่าตัวเรา ควบคุม บังคับไม่ได้ ไม่เป็นดั่งใจเรา และเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ ตีตรงนี้ก็ (เจ็บ)  หยิกตรงนี้ก็ (เจ็บ)  ดึงตรงนี้ก็ (เจ็บ)  เป็นลางแห่งความทุกข์ ถ้าเรายึดทุกที่ก็ทุกข์ ถ้าไม่ยึดสักที่ก็ไม่เจ็บ อาจารย์ถามว่า ถ้าเราสามารถรู้จนสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เรียกว่าปัญญาตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมะ เหมือนที่พระพุทธะบอกว่า ให้เรามีจิตที่สงบและมองเห็นความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้ง แล้วความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้งนั้น เราสามารถมองเห็นได้ไหม (ได้)  รู้ได้ไหม รู้ได้ เราก็จะพ้นทุกข์ได้ ถามจริงๆ ตัวเรานี้เรียกว่า สังขาร ถูกไหม (ถูก)  มองเข้าไปในผิวหนังเป็นเลือดเนื้อ มองเข้าไปในเลือดเนื้อเป็นกระดูก มองเข้าไปในกระดูกเป็นตับไต ไส้พุง มองเข้าไปในตับไตไส้พุงเป็นธาตุ ใช่หรือไม่ มองผ่านธาตุเป็น (ความว่างเปล่า)  ร่างกายมันเหมือนพยับแดดเราเห็นว่ามันมี แต่ว่าไปถึงที่สุดมันมีไหม (พระอาจารย์เมตตาชี้ส่วนของร่างกาย)  อันไหนตัว ต้องเป็นทั้งหมดถึงจะเรียกว่าตัว แล้วทั้งหมดนี้เรียกว่าตัว แล้วเมื่อก่อนไม่ตัวหรือ เมื่อก่อนที่เล็กกว่านี้ตัวไหม แล้วต่อไปเหี่ยวกว่านี้ตัวไหม แล้วอันไหนตัว
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เห็น สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมันจริงๆ เพราะถ้าศิษย์เห็นเข้าใจมันจริงๆ ที่กำลังด่าเรา ที่กำลังว่าเรามันเหมือนพยับแดด มองใกล้ๆ เข้าไปอีก เขายืนด่าเราไหม ผ่านไปอีกชั่วโมงเขายังด่าไหม ผ่านไปอีกสองชั่วโมงยังด่าไหม ถ้าทั้งวันยังด่าก็เกินไปแล้ว จริงไหม มันก็เหมือนกับพยับแดด เหมือนว่าเห็นเขาด่าเราก็จริง แต่พอเราเข้าไปใกล้จนถึงที่สุด ใกล้จนถึงที่สุด มีก็เหมือนไม่มี และอยู่ตลอดไหม แล้วเราที่โดนด่า มีไหม (ไม่มี)  ยึดติดมันก็มีแต่ถ้าไม่ยึดติดมันก็ไม่มีกลายไปความว่างกับความว่างกำลังด่ากันอยู่ แล้วเราอยากเอาตัวเราไปรับทุกข์ไหม ทั้งที่เขาก็ว่าง เราก็ว่าง เขาก็ไม่มี เราก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นที่เราทุกข์เพราะเขาด่าเราโง่ไม่โง่ โง่ที่เราไม่เคยเห็นความจริง บางคนบอกว่า อาจารย์ก็มันอดไม่ได้ โลกนี้มีดีและไม่ดี ถ้าอย่างนั้นคนดูถูกเรา ดีไม่ดี คนด่าเรา ดีไม่ดี (ไม่ดี)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เห็นจริง เคยเห็นไหม คนบางเอาคำดูถูกมาทำให้ตัวเองสำเร็จ มีไหม (มี)  ถ้าอย่างนั้นบอกว่าคำดูถูกไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้ชัด
      คนชมเรา ดีไม่ดี (ดี, ไม่ดี)  เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักตัวเอง ดีไม่ดีไม่รู้ ฉันรู้แค่เพียงฉันดีหรือไม่ดีแค่นั้น ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องเห็นให้มากกว่าเห็น เห็นชนิดที่ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ความเห็นนั้นจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ใช่ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  แก่ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่อยากแก่ ตายไปเลยตั้งแต่เด็ก เอาไหม แต่ตอนนี้ยังไม่ตาย ยังได้อยู่ แก่ดีไหม (ดี)  แล้วแก่มันไม่ดีตรงไหน เห็นไหมเพราะศิษย์เห็นไม่ชัด ถ้าเห็นชัดมันจะทุกข์เพราะความแก่ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มันจะหัวเราะได้ว่าหกสิบแล้วฉันยังไม่ไปฉันยังอยู่ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเจ็บไข้ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาเจ็บไข้ทีมันก็ทำให้เรารู้ว่าเรากินหวานมากเกิน เรากินรสจัดมากเกิน เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันสมดุล ใช่ไหม (ใช่)  เราหาเงินมากเกิน ร่างกายเลยอ่อนเพลียกินไม่ครบ แล้วก็ทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริงเวลาเราเจ็บป่วย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์มักจะพูดว่าไม่มีหมามาเหลียวแลเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ความตายดีไหม (ดี)  ดีทันทีเลย ศิษย์เอ๋ยถ้าอยู่แล้วทำถูกต้องทำดี เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนมีคุณธรรม ตายดีกว่าอยู่อีก แล้วตายก่อนตายมันดียิ่งกว่ามีชีวิตอยู่ แล้วไม่รู้จักตายให้เป็นอีก แล้วอะไรล่ะน่ากลัว ใจที่ไม่รู้จักยอมรับสักที จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเราขาดสติรู้ความเป็นจริงในโลกใบนี้ หรือเราทุกข์เพราะเราขาดการรู้จักตัวเอง จึงตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าใครตอบได้อาจารย์ให้แอบเปิลแห่งความทุกข์ดีไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ถ้าเห็นชัดในทุกข์มีสุข เอาต้องเอาให้สุดๆ  มีพระนิพพาน มีความสิ้นทุกข์ในโลกแล้ว เอาทำไมเพียงสุข เอาแล้วต้องเอาให้สูง ต้องเอาให้พ้นทุกข์ ถึงเรียกว่าฉลาด เพราะธรรมสอนให้เราฉลาด
ศิษย์เอ๋ยการกระทำอันใดก็ตาม บางครั้งเราคิดว่าเราเอาตัวรอดก็พอ แต่ถ้าตัวเองรอดแล้วเผลอทุกข์หรือเผลอทำผิด เราก็ทำคนอื่นเดือดร้อนได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน กลัวแต่ตัวเองยังเอาไม่ดี กลัวแต่มัวดูเขาจะยืนไหม แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้ยืนใช่หรือเปล่า ศิษย์เอ๋ย มีชีวิตอยู่สำคัญคือ  รู้ตัวเอง มีสติรู้ตัวเอง พอเรารู้ตัวเอง เราจะไม่ทำใครเดือดร้อน แต่ถ้าไม่รู้ตัวเองเราจะทำคนอื่นเดือดร้อน
เราอยู่ในโลกนี้เป็นธรรมดา คนมีหลากหลายแบบ จะให้เป็นดั่งใจเป็นดั่งคิดไม่ได้ เหมือนเอาคนมาสัก สาม สี่ คน เหมือนกันไหม นิสัยเหมือนกันไหม เป็นได้ดั่งใจไหม เป็นได้ดั่งคิดไหม แต่เราเรียนรู้ธรรมแล้ว เข้าใจธรรมแล้ว ต้องจำไว้ว่าความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น อะไรที่ทำให้เรารู้และทำให้เราพ้นทุกข์ คือรู้ยิ่งกว่ารู้ แล้วรู้อะไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์คือ รู้ว่าในความเป็นจริงของโลก ที่มีหลากหลายแบบ บางครั้งเราเห็นแต่ก็เหมือนไม่เห็น ความจริงที่รู้แล้วไม่ทำให้ทุกข์ คือ เห็นเขาก็เหมือนไม่เห็น เมื่อเรารู้ในใจ ว่าจริงๆ  แล้วเห็นแค่ไหน ก็เหมือนไม่เห็น เราจะโกรธไหมที่เขาจะอยู่หรือเขาจะไป จะโกรธไหมเมื่อเขาเปลี่ยนไป เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ จนถึงที่สุดแล้วเห็นก็เหมือนไม่เห็น แล้วเคยไหม รู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เห็นก็แล้ว รู้จักก็แล้ว แต่ถึงที่สุดความจริงเหมือนไม่เห็น และสิ่งที่อาจารย์บอกอีกอย่างบางครั้งทะเบียนก็เป็นทะเบียนของเรา นี่ก็คนของเรา ชื่อก็ชื่อเรา แฟนก็แฟนเรา ของก็ของเรา แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วอาจารย์ถามหน่อยในโลกนี้อะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แฟนใช่ไหม (ไม่)  ลูกและ ร่างกายฟังศิษย์ไหม (ไม่)  บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ อย่าตายก็ไม่ฟัง คงไว้ได้ไหม แล้วยึดทำไมให้เป็นทุกข์  ความรู้จริงอีกอย่างที่รู้แล้วให้เราพ้นทุกข์ได้คือ เห็นเหมือนไม่เห็น  รู้เหมือนไม่รู้  ครอบครองได้ แต่จริงๆ ไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมนี้เราจะไม่ทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ แต่จงจำหลักธรรมนี้ไว้นะศิษย์
รู้อะไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์ (รู้สุขจะได้ไม่ทุกข์)  ศิษย์เอ๋ยรู้ทุกข์ดีกว่านะจะได้เข้าใจทั้งทุกข์และเห็นสุข ดีกว่ารู้สุขแต่ไม่เคยเข้าใจทุกข์ ฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ (รู้เท่าทันอารมณ์, ไม่ยึด รู้ปล่อยวาง)  ศิษย์เอ๋ยคำว่าปล่อยวางก็คือเห็นแล้วไม่คิด ถ้าข้างในไม่มีข้างนอกก็ไม่มีผล แต่ถ้าข้างในมีแม้ข้างนอกไม่มีมันก็มีเรื่อง ฉะนั้นรู้ข้างนอกไม่สู้รู้ข้างใน ปราบผีข้างนอกไม่สู้ปราบผีข้างใน ปราบตัวร้ายข้างนอกไม่สู้ปราบตัวร้ายข้างใน เพราะคนที่ร้ายคือเรา (รู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่สังขารของเราเอง)  ขอให้คิดให้ได้แบบนี้เสมอนะ อย่าเผลอไปโลภมากแล้วผลสุดท้ายทำใจไม่ได้ (รู้เท่าทันตัวเอง)  ตอบได้ดีรู้จักคนอื่นไม่เรียกว่าฉลาด แต่ถ้ารู้จักตัวเองเรียกว่าฉลาดนักแล
เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ แต่บางครั้งมันก็ชอบมาให้เราเห็นมาให้เรารู้ แล้วก็ทำให้เราเจ็บ ฉะนั้นเหมือนที่อาจารย์บอกข้างนอกมีอะไรก็แล้วแต่ข้างในไม่มี ข้างนอกเราก็จัดการได้ (รู้เท่าทันอารมณ์)  ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปรู้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ฉะนั้นใครว่าเราไม่สวยไม่งามก็ไม่เป็นไร (รู้จักเขารู้จักเรา)  แต่อาจารย์จะบอกนะศิษย์เอ๋ย รู้จักเราให้ชัดก็จะรู้จักเขาชัด แต่คนภายนอกชอบรู้เขาชัด แล้วก็มองตัวเองไม่ชัด ฉะนั้นอย่าพูดว่ารู้เขาแล้วจะรู้เราไม่เคยมี มีแต่รู้เราชัดก็จะเห็นเขาชัด เพราะปัญหาทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ตัวเรา (รู้ตัวเอง)  เวลาเรารู้เราชอบ อดตัดสินไม่ได้จริงไหม ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรารู้แล้วเห็นชัดเจนที่สุดก็คืออย่ารู้โดยใช้ความคิด อย่ารู้โดยใช้เหตุผล เพราะความคิดและเหตุผลเป็นรากเหง้าของกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่จงรู้ตามสัจจะความเป็นจริง เมื่อใดที่ไร้ความคิดและเหตุผลเมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างตามเป็นจริง แต่มันยากเพราะเห็นอะไรแล้วอดคิดไม่ได้ เหมือนอาจารย์บอกหนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  เห็นไหมทันทีเลย เพราะสมองเรามันชอบติดกับความคิดกับเหตุผล อาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่งเราอดไม่ได้เราเห็นอะไรแล้วชอบตัดสิน จริงไหม (จริง)
เห็นอะไร (ขาวกับดำ)  นี่แหล่ะเราอดไม่ได้พอเราเห็นเราชอบตัดสิน เราชอบวิพากษ์วิจารณ์เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราเห็นความต่างอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่  ถ้ามนุษย์ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับคำว่าเหตุผลจะทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงที่สุดของความจริงเพราะเหตุผลกับความคิดมันมาจากความรู้ความจำที่เป็นอัตตาตัวตน เหมือนศิษย์บอกว่าอาจารย์คนนี้ไม่มีเหตุผลเลย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยเหตุผลของศิษย์ เป็นเหตุผลที่ยุติธรรมหรือเข้าข้างตัวเอง ความคิดของศิษย์เป็นความคิดที่บริสุทธิ์หรือเอียงเข้าข้างตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ออกจากความคิดความรู้และเหตุผลของศิษย์ เป็นความจริงแท้หรือความหลงผิด  ฉะนั้นเวลาศิษย์เห็นอะไร อย่าเพิ่งรีบตัดสิน ไม่อย่างนั้นศิษย์จะอดเห็นความจริง อย่าเพิ่งผูกขาดไม่เช่นนั้นศิษย์จะไม่เห็นความจริงแท้ เหมือนเวลาเราไม่ชอบคนดำ อาจารย์จะบอกว่าไม่ว่าแบบไหน ล้วนมีทั้งทุกข์และสุข ดีและร้ายในความเป็นจริง ถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกโดยไม่ทุกข์จงอย่าติดแค่สิ่งที่ตัวเองคิด จงอย่าติดในเหตุผลที่ตัวเองมี แต่จงมองให้ลึก มองให้เข้าใจ และสัจจะความเป็นจริงมันจะไม่ไปไหน เราจะตื่นรู้ในธรรมด้วยตัวเราเอง อย่างที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นเมื่อถูกกระทบ จบเลยไม่ต้องเริ่ม
พอถึงที่สุดอันนี้ก็ไม่เอา เพราะเราเอาอะไรไม่ได้เลย เพราะเราเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ และใช้ให้ถูกที่สุด โดยไม่ยึดอะไร เรียกว่าสิ้นทุกข์สิ้นกิเลส เราจะได้สิ้นการเวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์อยากเจออีก ก็เคียดแค้นชิงชังเอากันให้ถึงที่สุด เอาไหม (ไม่เอา)
ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ พึ่งตัวเองให้มากที่สุดและสู้ไม่ถอย ศิษย์จะไม่มีวันลำบาก พึ่งตัวเองให้มากที่สุด ลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย สิ้นก็จะไม่พบความลำบาก ถ้าศิษย์เชื่ออาจารย์  ถ้าศิษย์เอาแต่พึ่งคนอื่น เอาแต่ขี้เกียจ ไม่ยอมสู้ ศิษย์ลำบากแน่ๆ แต่ถ้าตั้งใจบำเพ็ญ พึ่งตัวเอง สู้ไม่ถอย ลำบากอย่างไรก็จะฟันฝ่า ลำบากอย่างไรก็จะไหว เจ็บอย่างไรก็จะสู้ ก็ไม่มีวันลำบาก วันที่ลำบากคือวันที่จบแล้วได้กลับคืน ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ สู้ให้ถึงที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์ขอปรบมือดังๆ ให้ศิษย์หน่อย ทำไมอาจารย์อยากปรบมือดังๆ ให้ศิษย์รู้ไหม เพราะศิษย์ยอมมาลำบาก ยอมฝืนความลำบากเพื่อฟังธรรมะ ให้ไปอยู่บ้านสบายๆ ก็ได้ไม่เอา แต่ยอมมานั่งลำบากเพื่อฟังธรรมะ นี้ถึงเรียกว่ามาสร้างบุญ บุญที่ทำให้เราชำระล้างใจให้เราบริสุทธิ์ บุญที่ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่รู้จักละความยึดมั่นถือมั่น และรู้จักให้เรามีปัญญาในการกระจ่างแจ้งในหลักธรรม ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวไหม (ไหว)  สู้ไหม (สู้)
เมื่อสักครู่ฟังธรรมะที่อาจารย์พูด รู้เรื่องและเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งรู้แล้วแต่ละไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้แล้วยังวางไม่ลงมันน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นชีวิตเราไม่รู้ว่าจะมีอีกชีวิตหนึ่งหรือเปล่า ถ้าชีวิตนี้เป็นชีวิตเดียวทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุด ดีก็ให้ดีสุดๆ เหมือนตอนนี้เราพึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกหลานพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  คนที่ช่วยศิษย์ได้คือตัวเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตัวเองแม้จะแก่ขนาดไหนก็สู้ไม่ถอย เจ็บอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าเป็นคนอายุมากที่ไม่น่ารัก แต่จงเป็นคนอายุมากที่ขยัน สู้ไม่ถอย ยิ้มเก่ง ไม่มีวันลำบาก เชื่ออาจารย์ เจออะไรลูกไม่รัก ไม่เข้าใจก็ยิ้ม อย่างไรแม่ก็รัก พึ่งคนอื่นมันพึ่งไม่ได้พึ่งเราเอง รอลูกให้มันมาดูแลแล้วเราก็นอนรอลูก ฉะนั้นไม่ต้องรอ ธรรมสอนไว้อย่างหนึ่งตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องรู้จักพึ่งตัวเอง มีความสุขได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ฉันสุขมากที่สุดก็คือ อายุปูนนี้แล้วฉันยังอยู่ และอายุปูนนี้แล้วฉันยังไหว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอายุปูนนี้อะไรฉันก็ยังดี มันยังไม่สุขหรือ (สุข)  ฉะนั้นชีวิตถึงจะเหลืออีกแค่ครึ่งหนึ่งก็จงสู้ต่อไป ไม่พึ่งใครพึ่งตัวเอง ถึงที่สุดเวลาอาจารย์ไปก็สบาย เพราะอาจารย์ไม่ยึดอะไรแล้ว และอาจารย์ทำเต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เหมือนที่อาจารย์พูดเสมอ เงยหน้าไม่ผิดต่อฟ้า ก้มหน้าไม่ผิดต่อดิน ต่อผู้คนมีคุณธรรมจริยธรรมครบ ฉะนั้นวันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว เราเกิดมาถึงที่สุดก็ต้องกลับ ศิษย์เอ๋ย ชีวิตยังรู้จักกลับบ้าน แล้วจิตญาณเดิมแท้ ไม่รู้จักกลับบ้านบ้างหรือ แล้วบ้านของจิตญาณเดิมแท้อยู่ที่ไหน เรามาจากธรรม เราก็ต้องกลับสู่ธรรม ฉะนั้นรู้จักกลับบ้านของสังขาร จะต้องรู้จักกลับบ้านของจิตญาณ คือสภาวะธรรมอันไร้ตัวตน จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก เวียนว่ายตายเกิดอีก จะได้หมดห่วงต่อไป สู้นะ ทำให้ได้นะ ทำได้แล้วจะได้กลับสู่ธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ว่างเปล่า ดีไหม (ดี)  แข็งแรง เข้มแข็ง อย่ากลัวลำบาก  มีความคิดที่ดี หมั่นศึกษาให้มากๆ  เพิ่มพูนปัญญานำพาชีวิตผู้อื่นให้ได้ ด้วยหัวใจที่หนักแน่น ไม่มีใครเราก็ต้องเข้มแข็งได้ ไม่มีใครเราก็รักตัวเองได้ รักษาตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พาใจกลับบ้าน”)
อันนี้เป็นแค่รูป แต่ความหมายโดยนัยน์ คือ ทุกข์มีใจอันเดิมแท้เดียวกัน และใจอันนั้นเรียกว่า สัจภาวะ ความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นใช่ไหม (ใช่)  คำว่า “ใจ” อย่ามองเป็นตัว เป็นรูปลักษณ์ ใจอันนี้คือสภาวะธรรมอันหนึ่ง ที่จริงๆ แล้ว มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ที่เรียกว่า สัจธรรม สัจธรรมคือสิ่งที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้วก็ว่างเปล่า อยู่ในทุกชีวิตและอยู่มีในทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าเป็นรูปหรือนามใช่ไหม (ใช่)  สังขารต้องกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้าถูกไหม (ถูก)  แล้วจิตญาณเดิมแท้ต้องกลับคืนสู่ที่ที่มา ฉะนั้นใจกลับคืนสู่บ้าน บ้านไหน บ้านที่ไม่ได้เรียกว่า สวรรค์ เพราะสวรรค์เสวยสุขเสร็จ ยังต้องกลับมาเวียนว่าย แต่บ้านเดิมแท้ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเรียกว่า (นิพพาน)
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา   จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด
ที่ที่ไร้ตัวตนเหตุแห่งความทุกข์       ที่ที่เกิดและสิ้นสุดทุกสิ่งไป
ไม่มีไปไม่มีมาแค่กลับคืน              แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่
ล้วนไม่เที่ยงผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย   ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา” จิตญาณเดิมแท้ของเราคือธรรม “จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด” กลับคืนสู่ธรรม เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับ เดินตามรอยธรรมชาติ เกิดเพื่อดับถูกไหม เป็นแนวทางของธรรมะที่เราหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตญาณเดิมแท้ของเราจึงไม่เรียกว่าตัวเรียกว่าตน แต่จิตญาณเดิมแท้ของเราจริงๆ คือ ธรรม และเรากำลังจากธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมเป็นอย่างไร ธรรมก็คือความธรรมดา ที่ธรรมดาแต่กลับสูงที่สุด และมีอยู่ในทุกชีวิต และในธรรมที่สูงที่สุดและธรรมดานั้น มันไร้ตัวตน มันไร้เหตุแห่งความทุกข์ และมันเป็นที่ที่สามารถเกิดตัวตนได้ และมันก็สามารถสิ้นสุดตัวตนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่า มันไม่มีไปหรือมีมา เพราะมันคือการกลับคืน  แต่มนุษย์มักจะพูดว่า ตายไปเกิดมา นั่นคือการเวียนว่ายและการยึดติด แต่ผู้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงคือ ไม่มีไปไม่มีมา แต่ได้กลับคืน คืนที่ที่ศิษย์จากมานะ มันยากนะ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึง ถ้าเข้าถึงศิษย์จะพ้นทุกข์ที่แท้จริง แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันมี มันไม่มี สิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันคือตัวตนของศิษย์ จริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน แต่ความหลงต่างหากที่ไปยึดเอาตัวตน จึงมองไม่เห็นความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ตัวยังรู้จักกลับบ้าน อย่าลืมพาใจกลับบ้าน หลงมานานแล้ว กลับบ้านกันเถอะ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายในโลกใบนี้ บ้านที่ทำให้ศิษย์สงบเย็นจริงๆ กลับมา ไม่ต้องกลับมาเจออาจารย์ กลับไปบ้านเดิมแท้เลย กลับให้ถึงที่สุด
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็คงต้องกลับบ้านก่อนนะ คิดให้ดีนะ ตรองให้ดี พิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้หลอกศิษย์ไหม หรือว่าเพื่อช่วยศิษย์เอง ขอเพียงศิษย์ศรัทธาในความถูกต้อง มุ่งมั่นในความดีและเชื่อในธรรมของตัวเอง อย่าได้ทุกข์อีกเลยนะ เพราะอาจารย์เห็นศิษย์ทุกข์มานักต่อนักแล้ว แต่ช่วยศิษย์ไม่ได้มันก็น่าเสียชื่อที่เป็นอาจารย์ จริงไหม อยากช่วยศิษย์พ้นทุกข์แต่ศิษย์ก็ไม่ยอมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความทุกข์ อยากให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายแต่ศิษย์ก็เพียรตกไปเวียนว่ายตายเกิด อยากให้ศิษย์พ้นเจ้ากรรมนายเวรแต่ศิษย์ก็หาเรื่องสร้างกรรมเวรไม่จบสิ้น มันเลยจุกพูดไม่ออก เพราะพูดไปถึงที่สุดศิษย์ก็พ่ายแพ้ความเคยชิน พ่ายแพ้นิสัย พ่ายแพ้กิเลสจริงไหม ลองไตร่ตรองให้ดี อาจารย์ห่วงจริงๆ นะ ห่วงจากใจ ดูแลตัวเองให้ถูกต้องมีศีล มีธรรม อย่าหลงผิด อย่าติดอบายมุข อย่าตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ทำอะไรคิดให้ดีเพราะถึงที่สุดแล้วคนที่ทุกข์ไม่ใช่ศิษย์คนเดียว แต่คนที่รักศิษย์ก็ทุกข์ด้วยจริงไหม นอกจากศิษย์ไม่มีค่าจริงๆ ถึงไม่มีใครเขาสนใจ แต่อาจารย์เชื่อว่าฟ้าให้กำเนิดศิษย์ แปลว่าฟ้าเห็นศิษย์มีค่า เห็นศิษย์ดี จึงอยากให้ศิษย์เกิดมาและเข้าใจในความจริง ฟ้าไม่ให้คนเกิดมาไร้ค่า แต่ศิษย์จะรู้จักประโยชน์และคุณค่าตัวเองไหม เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุดนะ อย่าเป็นแค่คนดีแต่เป็นคนที่เข้าใจหลักธรรมและนำพาตัวเองพ้นทุกข์นะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ บุญรักษานะ เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์  รู้จักมีศีลมีธรรม ศีลธรรมจะทำให้ศิษย์เดินทางไปในทางที่ถูกต้อง พ้นจากอันตรายนะศิษย์  ตั้งใจบำเพ็ญนะ ระมัดระวังอารมณ์ตัวเองให้ดี ไหวไหม เหนื่อยไหม ใช้ความเมตตาเป็นหลักนะ  คนที่จับมืออาจารย์แปลว่าจะไม่มีวันทิ้งกัน ตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่มีวันทิ้งกัน  ถ้าให้อาจารย์จับหัว ก็แปลว่ายังด้อยปัญญา ต้องเพิ่มปัญญาเยอะๆ ตั้งใจทำดีเลิกให้ได้ในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง รักษาความดีไว้ด้วยหัวใจที่มั่นคง ตั้งใจบำเพ็ญนะ  ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจนะ ทำได้ดีแล้ว สู้ต่อพยายามต่อนะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องได้ไหม อาจารย์ขอ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหล้าบุหรี่ดีหรือ  ทำให้ได้นะ ศิษย์เป็นคนดีอยู่แล้ว อาจารย์เชื่ออย่างนั้น ขอให้บุญและความดีนำพาศิษย์ให้พบทางที่ถูก นำพาไปสู่ความสว่าง อย่ากลัวความเจ็บไข้ ความยากลำบาก ถ้ามีหัวใจที่มั่นคง ความเจ็บไข้และความลำบากจะมีทางออกเอง ดูแลตัวเอง ความพยายามความตั้งใจดี อาจารย์เห็น รักษาไว้ดูแลให้ดีนะศิษย์ ไปแล้ว อย่าลืมพาใจกลับบ้าน ที่เรียกว่าสภาวะธรรมอันว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน สิ้นแล้วซึ่งกิเลสและเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลไปให้ถึงนะศิษย์
[1]ซิกซ์เซนส์ คือ สัมผัสที่หก หมายถึงบุคคลที่มีประสาทสัมผัสพิเศษที่นอกเหนือไปจากประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิญญาณ


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-30 สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

西元二○一八年歲次戊戌五月十七日                                                                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑               สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  เรื่องในหัวธรรมในใจสารพัน           เท็จจริงเป็นตามอำนาจแห่งคติ
คนในโลกล้วนมากมีคติ                          รู้เช่นนี้ต้องรีบกำราบใจ
                                เราคือ                                                                             
  ศิษย์พี่นาจา                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

  ทบทวนตนมากกว่าโทษใครผิด         คนรู้ผิดปัญหาจึงแก้ได้
คนแกล้วกล้าหน้าที่คือวินัย              ยอมแก้ไขจึงก้าวหน้าชี้ที่พลาด
ข้อบกพร่องให้เตือนตนพัฒนาดู          ไขทุกข้อรู้รู้ไม่ประมาท
ยอมให้สอนทุกข์เตือนมิตรปรามาส[1]     คนฉลาดดูแต่สิ่งมีคุณ
การมองที่ย้อนไปได้อะไร                 เพื่อเข้าใจว่าชีวิตต้องยืดหยุ่น
เมื่อสนิทไม่รู้เกรงใจกลายวุ่น             มีความห่างอาจสมดุลสัมพันธ์ดี
คนรู้คนจริงอะไรอะไรจริง                รู้จักจริงรู้จักตนเรียนเรื่องนี้
บำเพ็ญไม่หยุดนิ่งการทำดี                หมู่คนดีอยู่รู้เคารพกัน
ธรรมพร้อมไหนเที่ยวทุกข์และสับสน        งดฝึกฝนยิ่งทุกข์หลายสถาน
บัณฑิตงามหลงตนยิ่งน่าสงสาร          อย่ายิ่งทุกข์พลาดสวรรค์ชีวิตจริง
                                                                                                 ฮิ ฮิ หยุด



[1] ปรามาส : ดูถูก, ดูหมิ่น

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ท่านมาฟังธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด และสามารถนำพาชีวิตให้ก่อเกิดปัญญาและเข้าถึงความบริสุทธิ์ นั่นแหละเรียกว่าฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมด้วย แต่เราฟังอย่างเดียวใช่ไหม (ใช่)  ปฏิบัติธรรมคือมีสติ รู้เท่าทันความคิดและสามารถยับยั้งอารมณ์นิสัยตน จนก่อเกิดปัญญาเห็นแจ้ง เข้าถึงความบริสุทธิ์สงบเย็นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองว่าการปฏิบัติธรรมคือต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว หรือต้องเดินจงกลม หรือแค่ใส่บาตรทำบุญถวายสังฆทาน แต่เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ ถ้าทุกขณะที่เราทำงาน เรามีสติ เรามีความบริสุทธิ์ใจ เรามีความแจ่มชัด เราไม่มีอารมณ์หรือนิสัยความเคยชินเป็นใหญ่ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ จริงไหม (จริง)
เราอยู่ร่วมกับคนเราปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติต่อกันด้วยนิสัยและอารมณ์ ถ้าอยู่กับเขาด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการให้ธรรม นั่นคือ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ อยู่กับใครเราก็สร้างบุญให้ธรรมได้ แล้วเราเป็นประเภทไหน เราเป็นประเภทปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ ถ้าเราปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ สิ่งที่เราได้คือนิสัยความเป็นตัวตน แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราได้ก็คือธรรมและธรรม นั่นก็คือความสงบและร่มเย็นใจ แต่ทำไมปฏิบัติกับใครแล้วมีแต่ความร้อน ไม่เย็นเลย เหมือนเราถามผู้ปฏิบัติงานธรรม มาทำงานธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม (ปฏิบัติธรรม)  มาทำอะไรตามใจตัวเองหรือมาขัดเกลาใจตัวเอง (ขัดเกลาใจตัวเอง)  ปฏิบัติธรรมคือการลดละนิสัย กิเลส อัตตา ความเคยชินให้เบาบาง ถูกไหม แต่ถ้ายังนั่งแล้วนิสัยยังพอกพูน เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว อยากกลับ อย่างนี้แปลว่าไม่ได้ปฏิบัติเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ใจเย็น สงบ ขอบคุณ อนุโมทนาบุญ นั่นคือการปฏิบัติธรรม
ท่านชอบทำบุญไม่ใช่หรือ ใครพูดดีแล้วเราอนุโมทนาบุญด้วยก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก)  ถ้าช่วงที่อนุโมทนาบุญยังรู้จักอุทิศบุญ ขอให้บุญแห่งการเข้าใจธรรมนี้แผ่ไปยังทุกคน แผ่ไปยังวิญญาณทั้งหลาย แผ่ไปยังสรรพสิ่งทั้งหลาย ขอให้เขามีใจที่สงบเย็นเหมือนข้าพเจ้าตอนนี้ ฉะนั้นทุกที่ทุกขณะเราสร้างบุญได้ ทุกที่ทุกคนเราปฏิบัติธรรมได้ แล้วท่านชอบคนลำเอียงไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนปากว่าตาขยิบไหม (ไม่)  ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  ชอบคนที่ดีจริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราเป็นคนที่ทำดีกับพระ แต่กับคนเราไม่ทำใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราทำบุญแต่กับพระแต่กับคนเราไม่ให้บุญเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นการแสดงออกเพียงภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกปฏิบัติ ภายในก็มีสติรู้เท่าทัน และเห็นแจ้งในความเป็นจริงจนเกิดปัญญา นำพาชีวิตพบความสงบ ถูกไหม (ถูก)  เคยได้ยินบ้างไหม เพราะจุดใหญ่ของการปฏิบัติคือพบความสงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคือทุกขณะที่ทำมีความสงบเย็นและถึงที่สุดก็พบความสงบเย็น หลักในการปฏิบัติธรรมก็มีแค่นี้ คือทำอะไรก็ตามทำแล้วให้เรามีความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมด้วยการฟังไปอย่างมีสติรู้เท่าทัน เกิดปัญญามองเห็นความจริง และนำพาชีวิตกลับคืนความบริสุทธิ์สงบเย็น นั่นก็คือฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมลงแรงที่ใจด้วย  ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)
ใจเป็นต้นธารของความรู้ เมื่อเรามีใจบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด  และความรู้ก็เป็นหลักสำคัญหนึ่งของหัวใจ  ถ้ารู้อย่างแจ่มชัดแล้วไร้อคติ หัวใจก็จะสงบ หรือพูดง่ายๆ ตามที่มนุษย์พูดกันคือเราเป็นตามสิ่งที่เราคิด เราเป็นตามสิ่งที่เราเชื่อ และเราก็ต้องได้รับผลของสิ่งที่เรากระทำ ฉะนั้นตัวคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราคิดเราเชื่อและเรารู้สึกอย่างไร เหมือนตอนนี้ เราบอกว่าเราไม่ชอบท่าน เมื่อคิดไม่ชอบ มองยังไงก็ไม่ชอบ ปัญหาอยู่ที่ท่านหรืออยู่ที่เรา ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะยิ้มสวยงามขนาดไหน ยิ้มน่ารักขนาดไหน ถ้าใจเราไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ยังไงก็ (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนกัน ถ้าตอนนี้ใจเรากำลังสบายใจเรากำลังรู้สึกดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นที่เขาไม่ดีเพราะใจเราไม่ดีหรือเขาไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  จริงหรือ เห็นถึงเวลาโทษเขาไม่โทษใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจเราบริสุทธิ์ เหมือนเราตอนนี้ ถ้าใจท่านสบายใจ มองอะไรมันก็ดูสบายไปหมด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าตอนนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี  ใครพูดอะไรก็ไม่ดีหมด แต่ถ้าตอนนี้ท่านสบายใจ เขาพูดไม่ดีท่านก็ยังรู้สึก (ดี) ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านรู้สึกไม่ดี แล้วใครพูดดี ท่านก็บอกมีอะไรหรือเปล่า จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกจะเป็นอย่างไร ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรอย่าได้โทษฟ้า อย่าได้โทษดิน อย่าได้ก่นว่าผู้คน จงหันกลับมาถามใจตนว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร จึงว่าเขาเป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้นั่งสบายหรือไม่สบาย (สบาย)  รีบพูดทันทีเลย กลัวบอกว่าไม่สบายเพราะใจท่านมีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแต่งตัวก็มีอิทธิพลต่อจิตใจนะ จริงไหม (จริง)  ลองแต่งตัวแบบใส่ชุดทหารสิ ใจมันรู้สึกฮึกเหิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ชายลองแอบใส่กระโปรงสิ ใจมันรู้สึกตุ้งติ้งทันทีเลย ฉะนั้นอย่าพูดว่าการแต่งตัวไม่มีผลต่อจิตใจ ก็มีผลเหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราแต่งตัวสุภาพก็มองดูสุภาพน่าเคารพ เราแต่งตัวล่อแหลมก็มองดูไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าจิตบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้ก็เป็นหลักสำคัญของหัวใจ ถ้ารู้อย่างชัดเจนไร้อคติ ใจนั้นก็จะสงบสุขถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือที่พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด และเราต้องรับสิ่งที่เราทำ เพราะเราเป็นคนสร้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเราเป็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อ เราคิดเราเชื่ออย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นชีวิตของเรา หนึ่งมาจากพ่อแม่ แต่อีกหนึ่งที่จะเป็นไป และเป็นอย่างไร ล้วนเกิดมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจแห่งตัวตนถูกหรือไม่ (ถูก)  ตัวตนเป็นอย่างไร ก็ดูที่ความคิด ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่วันนี้เราทำอะไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าเมื่อก่อนทำอะไร ให้ดูปัจจุบัน อยากรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ให้ดูการกระทำปัจจุบัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้อดีตเราทำอะไรมา ให้ดูผลของปัจจุบันที่เราได้รับใช่หรือไม่ (ใช่)  และอยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ดูวันนี้เราทำเช่นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์ทุกคนอยากทุกข์หรือเปล่า (ไม่อยาก)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เพราะบาปมีผลคือความทุกข์ และน่ากลัวที่สุดยิ่งกว่าทุกข์ก็คือ การเวียนว่ายรับผลแห่งการกระทำของตน ที่เรียกว่า วัฏสงสาร ถ้าเราไม่อยากรับทุกข์ เราก็อย่าทำบาปและรากเหง้าของบาปคือ โลภ โกรธ หลง การยึดติดตัวตน ตัณหา อบายมุข ราคะ กิเลสทั้งหลาย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงอย่าสร้าง (บาป) ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ ความยึดติดตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่านเอง อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุ เราจะได้รับผลไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ทำผิด เราจะได้รับทุกข์ไหม (ไม่)
ในโลกนี้สิ่งที่เราเชื่อมักเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไหม (ไม่)  คนไม่ดี ไม่ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนดี ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอคนไม่ดีเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  ควรด่าไหม (ไม่ควร)  แล้วเวลาเจอคนดี เราควรหลงไหม (ไม่หลง)  ถ้าเราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่เราคิด การดำเนินชีวิตก็อาจจะผิดพลาดได้เพราะหลายครั้งสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ ถูกไหม เหมือนวันนี้เราชนะ พรุ่งนี้เราชนะไหม หรือต่อไปเราจะชนะไหม (ไม่)  มีชนะก็มีแพ้ มีดีก็มีไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เรารู้ว่าในคนไม่ดี อาจจะดีได้ เราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เมื่อไม่เกลียดเราจะบาปไหม (ไม่บาป)  เมื่อไม่บาปเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วตอนนี้เราเกลียด เราบาป เราทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องระวังก็คือ เมื่อศึกษาธรรมอย่าให้ความคิดความเข้าใจมาบดบังความจริงเพราะความจริงทำให้เราเห็นธรรมและพ้นทุกข์ แต่ถ้าเราเอาแต่ความคิดจนไม่มองความจริง จะทำให้เราไม่มีวันพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะสามารถมองเห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่เราคิดและเข้าใจ ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะโทษคนอื่นต้องหัดมามองดูตัวเรา ทำอย่างไรที่จะไม่ปล่อยให้ความคิดมาครอบงำเราจนลืมมองความเป็นจริง เพราะส่วนใหญ่มนุษย์มักจะยึดติดความคิดความเข้าใจ จนทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันว่าอะไรมาบดบังจนทำให้เรามองไม่เห็น
ถามลึกๆ  ในตัวตนคนมีความเป็นจริงที่เหมือนๆ กันอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในโลกก็เหมือนกัน ดูอาจจะร้าย แต่ดี ดูเหมือนดีจริงๆ แอบร้าย ใช่ไหม (ใช่)  เรานี่แหละเป็นเลยจริงไหม
ถ้าอย่างนั้นเรามาดูว่าอะไรบดบังจนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงและตื่นรู้ในความจริงจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้งได้ วิสัยของมนุษย์ที่เหมือนๆ กัน

ข้อแรก ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ จริงไหม ลองโดนว่าซิ เธอนะไม่ดี รับไหม ไม่รับเสียงสูงเลยใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้เรามองไม่เห็นความจริงคือผิดไม่เป็น ว่าไม่ได้ ร้ายไม่ได้ ใช่ไหม
อย่างที่สอง ยอมไม่เป็น ถ้าคนที่เราบอกว่าเขาไม่ดี มันไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเขามีดีอยู่ แต่ถึงเวลาพอเขาไม่ดีกับเรา เรายอมไหม (ไม่ยอม)  เมื่อไม่ยอมเราก็เลยไม่สามารถปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมได้ นี่แหละยอมไม่เป็น  เมื่อยอมไม่เป็น ให้ก่อนเป็นไหม (ไม่เป็น )
ข้อสาม ให้ก่อนไม่ได้ เธอไม่ดีกับฉันก่อนแล้วทำไมฉันต้องดีกับเธอก่อน เธอไม่เคยให้อะไรฉันเลยทำไมฉันต้องให้เธอก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม แล้วเมื่อเป็นอย่างนั้นเราจะสามารถทำดีกับใครได้ไหม แล้วเราจะปฏิบัติธรรมได้ไหม แล้วเราจะมองเห็นความจริงไหม
ฉะนั้นสิ่งเลวร้ายที่ขวางกั้นทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความจริงและมองเห็นธรรมะได้ คือ นิสัยความเป็นคนของเราที่ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คือ ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ยอมไม่ได้ ให้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราทำตรงนี้ไม่ได้ จะปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ เมื่อเราปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ แล้วจะมองเห็นความเป็นจริงในโลกได้หรือ ถ้าว่าได้ ผิดได้ ก็ดีขึ้นได้ แต่ถ้าว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ก็ไม่มีวันเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ ทะเลยิ่งใหญ่เพราะกล้ารองรับทุกสรรพสิ่ง น้ำเล็กกระจ้อยร่อยเพราะไม่เคยคิดรองรับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ปิดกั้นตนไม่เคยรับฟังคำพูดใครและไม่เคยเปลี่ยนแปลงนิสัยใจตน สักวันหนึ่งจะต้องกลายเป็นน้ำเน่าที่ไร้ใครอยากใกล้ชิด และรากฐานของการเป็นคนที่ดีและสามารถปฏิบัติธรรมได้ก็คือต้องยอมให้เป็น และต้องให้ก่อนให้ได้ เขาด่าเราแต่เราอดทน เรายอม เราให้ความเมตตากลับ อยู่ในโลกนี้เราไปเอาก่อนแล้วค่อยให้หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา ไปทำร้ายเขาแล้วค่อยมาทำดีตอบ แก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ไปเอามาน้อยๆ แล้วให้เยอะๆ อย่างไหนดีกว่ากัน หรือไม่เอาเลย คนดีจริงต้องให้ก่อน และเมื่อให้จนถึงที่สุดมีหรือจะไม่ได้ มีแต่ไปเอาจนถึงที่สุด แล้ววันไหนจะได้ ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่สามารถเอาชนะใจที่ไหลลงต่ำอย่างนี้ได้ ท่านก็ไม่มีวันเป็นคนดี และเข้าถึงธรรมได้ จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อท่านยังปล่อยตัวเองเป็นแบบนี้ท่านก็เลยอดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ว่า ทำไมเขาไม่เมตตาฉัน
พื้นฐานของความเป็นจริงของคน
อันดับที่ ๑ มีเมตตา ทำไมเขาไม่เมตตา แต่เราลืมเมตตากับเขา และลืมเมตตากับตัวเอง 
อันดับที่ ๒ มีมโนธรรม ทำไมเขาไม่มีมโนธรรมสำนึกเลย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย แล้วตัวเราเองล่ะ
อันดับที่ ๓ มีจริยธรรม ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย แล้วตัวเองน่ารักไหม เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า พูดได้แต่ทำ (ไม่ได้)
อันดับที่ ๔ มีสัตยธรรม  พูดแล้วได้อย่างที่พูดไหม พูดแล้วไม่เห็นทำได้เลย ขี้โม้เสียเปล่า และเมื่อถึงที่สุด
อันดับที่ ๕ มีปัญญา แต่ถ้าเมื่อไรท่านว่าได้ ท่านผิดได้ ท่านยอมได้ ท่านให้ได้ทั้งเมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม และปัญญาธรรม สิ่งเหล่านี้ก็จะมาโดยไม่ต้องมีการบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ให้ได้ก็เมตตาได้ ยอมได้ก็มีมโนธรรมได้ ผิดได้ก็มีสัตยธรรมได้ ยอมได้ ผิดได้ ให้ได้ก็มีปัญญาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ายอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แบบนี้เรียกว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย เข้าใจไหม ฉะนั้นอยากละบาป โลภ โกรธ หลง ยังเป็นกิเลสอย่างหยาบ แต่บาปที่เกิดจากการยอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แล้วหวังว่าทุกสิ่งต้องเป็นอย่างใจ นั่นแหละที่เป็นกิเลสที่เป็นแก่นแท้ในใจของเรา แก่นแท้ของเรามันมีอยู่ ๒ แก่น หนึ่ง คือแก่นที่ไม่ดี กับ สอง คือแก่นที่ดี ลึกๆ ชอบคนเมตตาไหม (ชอบ)  ชอบคนที่เคารพให้เกียรติไหม (ชอบ)  ชอบคนพูดได้ทำได้ไหม (ชอบ)  ชอบคนมีปัญญาดีไหม (ชอบ)  แล้วเรามีชีวิตอยู่ อยู่กับคนโง่หรือคนฉลาด (ฉลาด)  อย่างนั้นหรือ เห็นเลือกคนโง่ เพื่อที่จะกดขี่ และว่าได้ ใช่ไหม คนที่เลือกเพื่อนโง่กว่า นั่นแหละเรียกว่าคนโง่ที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นลองหันกลับไปดูนะ ว่าเราโง่หรือเราฉลาด ดูที่เพื่อนเรา
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เขียนบนกระดานว่า)
สิ่งที่ควรละ  { ละบาป }   ได้แก่
1. ผิดไม่ได้ ว่าไม่ได้
2. ยอมไม่เป็น
3. ให้ก่อนไม่ได้                   
4. ตามใจ ตามอารมณ์
สิ่งที่ควรมี  { บำเพ็ญบุญ  }   ได้แก่
1. ต้องมีเมตตาธรรม
2. ต้องมีมโนธรรม
3. ต้องมีจริยธรรม
4. ต้องมีสัตยธรรม
5. ต้องมีปัญญาธรรม

ถ้าสิ่งนี้ท่านละได้ สิ่งนี้ท่านก็มีได้ ถ้าสิ่งนี้ท่านทำได้สิ่งนี้ท่านก็ไม่ต้องพยายาม มันก็มีขึ้นเอง จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม ดังที่พระพุทธะสอนไว้ ท่านเป็นคนนับถือศาสนาพุทธถูกไหม “ละบาปก็บำเพ็ญบุญ”  เมื่อละบาปบำเพ็ญบุญ ก็สามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ มันยังมีแก่นธรรมของความเป็นจริงอีกแก่นหนึ่งคือ นอกจากเห็นสิ่งที่ต้องละและสิ่งที่ต้องปรากฏให้มี ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าทำสองสิ่งนี้ได้ และเข้าใจความจริงแห่งโลกอีกสิ่งหนึ่ง จะสามารถเกิดปัญญา และเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “สภาวธรรม” ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าอย่างนั้นตั้งใจฟังก่อนนะ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราถึงต้องศึกษา ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)  แค่นี้ก็เอาตัวไม่รอดแล้วใช่ไหม แค่นี้ก็ทุกข์แล้วใช่หรือไม่ แต่การเลือกทำในสิ่งที่ถูก ผลจะนำพามาให้ทุกขณะที่ทำมีความสุข แต่ถ้าเราเลือกทำสิ่งที่เรียกว่า กิเลส อารมณ์ ผลที่ตามมาคือจุดไฟเผาตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมคือชื่อแห่งความสงบสุข ขึ้นชื่อว่ากิเลส คือชื่อของความทุกข์และความเผาร้อนจิตใจตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าทำไมต้องเป็นคนดี เป็นคนดีเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทำดีโดยไม่หวังผล เข้าใจจุดประสงค์ของการทำดีไม่มีวันเหนื่อย แต่ถ้าทำดีแบบยึดติดว่า ไม่ยอม ไม่ได้ ฉันต้องได้ ฉันต้องอย่างนี้ ทำไปแล้วจะเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนนั่งฟังไปแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสามารถทำได้แบบนี้ รู้ไหมว่าการทำได้แบบนี้ ยังเป็นสาเหตุของการสร้างเหตุที่ดี เมื่อเรามีเมตตา ไม่เคยเบียดเบียนใคร จะถูกใครเบียดเบียนไหม (ไม่)  เมื่อเรารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เคยอยากได้ของใครมาเป็นของเรา ใครจะมาเอาอะไรจากเราไหม (ไม่)  เพราะเราไม่เคยอยากได้ของใครมาก่อนถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดว่าท่านอยากได้เมตตา ถามซิว่าท่านเคยเมตตาใครไหม ถ้าท่านเมตตามากๆ ก็จะอายุยืน คนมีมโนธรรมสำนึกดีก็จะเป็นที่รัก ที่น่าเคารพนับถือ  คนที่พูดจริงทำจริง ก็จะศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นอยากสร้างเหตุที่ดี ถามซิว่าเรามีเหตุอันนี้ที่ครบหรือไม่ อยากได้ครอบครัวร่มเย็นก็ถามว่าเรามีมโนธรรมสำนึกไหม เราเคยให้เกียรติคนในครอบครัวไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือรากฐานของความเป็นคนที่ทุกคนควรมี
แต่จิตใจมักง่ายที่จะไหลลงต่ำ มากกว่าขึ้นสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราฝืนได้เราก็จะพบธรรมได้ และเมื่อเราพบธรรมได้ เราก็จะเกิดปัญญาเห็นแจ่มแจ้งได้ ที่เรียกว่าความเป็นจริงอันเป็นหนึ่งเดียวกันเรียกว่า (นิพพาน)  นิพพานคือความสงบเย็น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่พ้นทุกข์แม้เราจะดีขนาดไหน แม้จะละบาป บำเพ็ญบุญ  ละบาปเพื่อสร้างคุณธรรม ซึ่งทำได้แค่นี้ก็คือคนที่ประเสริฐในโลก ดังพระพุทธะบนแดนดิน แต่ยังไม่พ้นทุกข์นะ จริงไหม (จริง)
เมื่อไรที่ใจเราเที่ยงตรงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น
เมื่อไรที่เรามีใจเมตตา เราจะได้ใจที่สงบร่มเย็นกับทุกคน และกับตัวเรา
เมื่อไรที่เราสามารถใจกว้างเราจึงสามารถรักษาความสมดุลระหว่างดี ร้าย ได้ เสียได้
แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจเรากระจ่างแจ่มชัดความเป็นจริง เมื่อนั้นแหละใจเราจะเป็นอิสระ และกลับคืนสู่สภาวธรรม แต่ไปไม่ถึงเลยใช่ไหม ฉะนั้นถ้าท่านทำได้อย่างที่เราพูด  เราก็จะบอกต่ออีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเหมือนกันนั่นก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” นั่นคือความเป็นจริงอีกอันหนึ่งที่ท่านพิจารณาอยู่เนืองๆ จะบังเกิดธรรมและปลดปล่อยความผิดทั้งหลายให้เบาบางลงได้ ความจริงแห่งธรรมอีกอันหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและกลับคืนสู่ความเป็นจริงก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
ศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ในความเป็นจริงแห่งคน ถ้าเราหมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง คนมีวันเปลี่ยนแปลง เราจะโกรธจะเกลียดใครไหม (ไม่)  เราจะหลงใครไหม (ไม่)  ถ้าลึกๆ เรารู้เสมอว่ามันไม่เคยมีอะไรจริง แล้วเราหลงไหมตอนนี้ หลงไม่หลง (ไม่หลง)  ไม่เข้าใจใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นค่อยๆ พูดทีละเรื่องนะ ถามหน่อยเรามีวันแก่ไหม (แก่)  เรามีวันเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  เรามีวันตายไหม (ตาย)  ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (น่ารัก)  ไม่แน่ ก็เมื่อสักครู่ท่านยังบอกเลยว่าเรามีวันเหี่ยว เรามีวันตาย ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (ไม่แน่)  ถูกไหม เราถามหน่อย เราดีไหม เราร้ายไหม ใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่เมตตา ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนให้นักเรียนในชั้นดูหน้าตา) ท่านนี้ยืนดูหน้าตาหน่อยนะ หันมาโชว์ให้เขาดูหน่อย หน้าตาร้ายไหม ร้ายไหม ไม่แน่นะ ถ้าไม่แน่เราสามารถมั่นใจได้ไหมว่าเขาไม่ดี เราสามารถหลงได้ไหมว่าเขาดี (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ เมื่อไม่ได้แล้วเราจะเกลียดเขาไหม (ไม่)  เมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะดีหรือเปล่าเราจะรักเขาไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นเราถามจริงๆ คนที่ท่านบอกว่ารัก คนที่ท่านบอกว่าเกลียด เขาดีจริงๆ ไหม เขาน่ารักจริงๆ ไหม (ไม่แน่)  เมื่อไม่แน่แล้วเราควรรักไหม (ไม่ควร)  ใช่หรือไม่ ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ท่านจะไม่ทุกข์กับคนในโลก และไม่ก่อเกิดโลภ โกรธ หลงและไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้ใจทุกข์เลย จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นแก่นแท้ที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว โลภ โกรธ หลงจะไม่บังเกิด เพราะมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นถ้าตามใจตามอารมณ์ ธรรมจึงไม่เกิด ปัญญาจึงไม่มี ความเห็นแจ้งในโลกความเป็นจริงจึงไม่เคยชัด ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคือ ตามใจตามอารมณ์ ใช่ไหม จึงหนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งความทุกข์ ทำไมเขาต้องทำให้ฉันเจ็บ ทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ ทำไมเขาต้องลวงฉันอย่างนี้ แต่ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง เราจะไม่ถามว่าทำไม แต่เราจะเข้าใจเพราะเราก็เคยเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยด่าเขาไหม เคยโกงเขาไหม เคยหลอกเขาไหม เคยผิดคำพูดกับเขาไหม ใช่หรือไม่ แล้วตัวเองให้อภัยตัวเองไหม แล้วเคยว่าตัวเองแล้วแก้ไขไหม ฉะนั้นถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์

สิ่งที่เราพูดคือแก่นความเป็นจริงของคนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวสอนไว้ว่า เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นคนในตัวเรา เราจะเข้าใจความเป็นคนในผู้คน เมื่อไรเข้าใจนิสัยของความเป็นคนอันแท้จริง เราจะเข้าใจนิสัยของความเป็นคนในโลกได้ เมื่อไรที่เราเห็นชัดในตัวตน เราจะสามารถเห็นชัดในผู้คน ดังคำกล่าวว่า ไม่ต้องออกนอกบ้าน ถ้าเข้าใจตนก็เข้าใจในมวลสรรพสิ่งในชีวิต แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตนก็ยากที่จะเข้าใจผู้คนได้ เหมือนที่มนุษย์ชอบเป็นกันคือ เอาแต่รอว่าใครจะมารักฉัน เอาแต่รอว่าใครหนอจะเคารพฉัน แล้วก็รอว่าใครหนอจะทำให้ฉันมีความสุข ถูกไหม แต่ผู้ที่เข้าใจธรรม ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้น่ารัก และรู้จักรักคนอื่นให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่รอคนมารักสู้รู้จักรักตัวเองให้เป็นและรักคนอื่นให้เป็นดีกว่าแล้วจะเหงาไหม (ไม่เหงา)  รู้จักเคารพให้เกียรติตัวเองและเคารพให้เกียรติผู้อื่น ใครจะมาดูถูกเราไหม (ไม่)  รู้จักมีสุขไม่ต้องรอสุขในอนาคต เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นอย่ามัวรอจงเริ่มทำที่ตัวเราเองก่อน วันนี้เราก็มาแค่นี้ ขอทวนหน่อยนะ ทำอะไรต้องรู้จักมีสติ มีธรรมยั้งคิดนะดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดไกลเกินเอื้อม อย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดท่านทำไม่ได้ ไม่ลองจะรู้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนกำหนด แต่อยู่ที่เราสร้าง ขอเพียงเราเข้าใจและเห็นแจ้งความเป็นจริงในตัวเอง ธรรมะไม่ได้อยู่ข้างนอก ธรรมะไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ธรรมะต้องค้นหาที่ใจเรา และเริ่มทำออกจากใจเรา เพราะถ้าเราสงบคนอื่นก็เป็นสุข ถ้าเราทุกข์คนอื่นก็เป็นทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นลองไปดูนะสิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยากไกลเกินเอื้อมใช่ไหม (ใช่)
เวลาทำอะไรถามตัวเองก่อนนะ อยากปฏิบัติธรรมและพ้นทุกข์จริงไหม ถ้าไม่อยากปฏิบัติก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าอยากปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ พบธรรม ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดวันนี้ว่า สิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านคิด สิ่งที่ท่านพูดยอมให้ใครไหม ให้ไหม สิ่งที่ยอมให้มีธรรมบ้างไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากพบธรรมในผู้คน ต้องเริ่มจากพบธรรมในใจตน อยากมีธรรมในผู้คน ก็ต้องเริ่มมีธรรมในใจตน ใครไม่มีเรื่องของเขา เราจะมี ใครไม่เป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นธรรมที่ถูกต้องและดีงามให้ได้ คนปัจจุบันนี้ขาดคนดีจริงนะ โลกปัจจุบันขาดคนมุ่งมั่นปฏิบัติจริง เก่งแต่พูดแต่ไม่เก่งกระทำใช่ไหม (ใช่)  ดีแต่ปากไม่เอา อยากให้ดีที่การกระทำ และขอเป็นคนดีจริง ดีที่สุด ดีจนลมหายใจสุดท้าย แล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตมันมีค่า ทุกเวลาประมาทไม่ได้ เพราะผิดกับเขาไปแล้ว ทำดีอย่างไรก็แก้ไม่ทันจริงไหม (จริง)  ถามใจท่านดู ใครว่าเราผิดใจนิดหนึ่ง ขอโทษหายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นยอมก่อนไม่ดีกว่าหรือ สร้างธรรมให้บังเกิด อย่าเป็นทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อไม่ต้องมีทุกข์ อย่ามีทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อจะได้ไม่สร้างทุกข์ ขอให้มีสติ ทำอะไรยั้งคิด ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อิงมองตามจริงโลกอยู่ลำบาก              เจออุปสรรคต้องเข้าใจชีวิตยิ่ง
หอบสติไปข้างนอกได้พึ่งพิง                   คาถาเรียกใจนิ่งไม่จ่ายแพง
สติตรองครองใจใช้เป็นประจำ                 คิดพูดทำเป็นธรรมบารมีแกร่ง
ฟังได้กลางกลางกำราบมารจำแลง           ตื่นใจแจ้งในโลกสร้างบารมี
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อยู่ไปอยู่มาชีวิตไม่เป็นของเรา  เกิดแต่เรื่องเหนือคาดเดา กำกับเราคือนิสัยตน  ปัญหาซ้ำซ้ำเป็นตัวเองง่ายง่ายกลับสับสน  ขาดธรรมในเรื่องตน (อึดอัดในเรื่องของใคร)
บำเพ็ญหมดแล้วเรื่องทุกข์ก็ยังไม่เบา ไม่มีวันเว้นศุกร์เสาร์ดูฌานเราบำเพ็ญถึงไหน ได้เห็นว่าทุกข์ก็พบว่าธรรมมีที่หัวใจ ธรรมะสมบูรณ์จิตใจ สุขทุกข์กลายช่วยให้กระจ่าง
* คนบำเพ็ญหัวร้อนรับกันไม่ไหว รู้มากไปถึงรับแบกให้เป็นปัญหาตัว ติดใจสงสัยกันแล้ววุ่นวายหนักหัว ตระหนักรักตัวต่างคนบำเพ็ญจิตให้มากพอ
** ผู้บำเพ็ญนั้นสติอยู่พร้อมเหมือนเพื่อน เสียงที่ไม่ตักเตือนแม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น โลกไม่พ้นทางคิดถึงปัญหาตกตกหล่นหล่น เสียงคือเสียงบ่นชีวิตไม่เพียรไม่ใช่ของเรา      ซ้ำ (*, **,      )

ทำนองเพลง : เธอเป็นแฟนฉันแล้ว
ชื่อเพลง : ชีวิตไม่เพียรไม่เป็นของเรา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่า (ไม่มา)  ตกลงมาช้าดี หรือมาช้าไม่ดี  ดีกว่าไม่มาเลยใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่มาดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวศิษย์แล้วนะ ถ้าตั้งใจคุยกันเราก็อยู่กันนานๆ แต่ถ้าไม่ตั้งใจคุยกัน  มาสักครู่ก็หายไปดีไหม (ไม่ดี)  อะไรก็ดีอยู่ในโลกนี้จะได้ไม่ทุกข์จริงไหม ถ้าเลือกที่รักมักที่ชังเราก็จะมีความทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าอะไรมันก็ดี เขาด่าก็ดี เขาชมก็ (ดี)  เขาเอาเงินไปไม่คืนก็ (ดี)  ให้พูดได้อย่างนี้ตลอดๆ นะ สามีไปไม่กลับบ้านก็ (ดี)  จริงหรือ  แต่ผลสุดท้ายก็มานั่งเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เก่งจริงนี่นา
อยู่ในโลกนี้อยู่ยากไหม (อยู่ยาก)  บางคนบอกยาก บางคนบอกไม่ยาก ถ้าอยู่แล้วใส่ใจ กังวลทุกคนมันก็ยากนะ แต่ถ้าอยู่แล้วเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจใครมันก็ง่ายใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ แล้วศิษย์เป็นประเภทไหน

อาจารย์ว่าบางทีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้บางทีก็อยู่ยาก เพราะในโลกคนส่วนใหญ่มักจะสอนว่า ต้องเป็นคนเก่ง ต้องเป็นคนดี และต้องมีแต่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
เรามักจะถูกสอนว่าอยู่ในโลกนี้ต้องเป็นคนเก่ง ต้องให้ดี ต้องให้ได้ ต้องให้เด่นให้ดัง ใช่ไหม (ใช่)  สอนลูกว่าต้องเก่ง ลูกต้องดี ทำอะไรก็ต้องได้ และต้องดังใช่ไหม ถ้าลูกไม่ดีไม่เด่นไม่ดัง ไม่เอาใช่ไหม (เอา)  เราถูกสอนมาเป็นแบบนี้ แต่ธรรมะกลับสอนในด้านตรงกันข้าม ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ดีก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ธรรมดาก็ดี เราเคยสอนลูกแบบนี้ไหม เราเคยบอกตัวเองให้เป็นแบบนี้บ้างไหม เราบอกแค่เพียงว่าลูกต้องเก่ง ถ้าลูกไม่เก่งจะยืนบนโลกนี้ไม่ได้ จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราสอนอย่างไร เราสอนเราบอกตัวเราเองเสมอ ฉันต้องเก่ง ต้องได้ ต้องดี แต่เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราเริ่มรู้แล้วว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องเก่ง บางครั้งยอมไม่ดีบ้าง เพื่อให้คนอื่นได้ดีไม่เป็นไร บางครั้งยอมเสียสละ ยอมที่จะไม่ได้บ้าง เพื่อให้ผู้อื่นได้ เพื่อให้มีสุข บางครั้งไม่ต้องเด่นไม่ต้องดัง อยู่ธรรมดาเรียบๆ ง่ายๆ ก็อยู่กับใครได้ เป็นสุขมากกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำไมเวลาใช้ชีวิตเวลาเจอความจริง เราถึงไม่บอกกับลูก บอกกับหลาน บอกกับคนที่เรารัก บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่กลับยัดเยียดให้กับลูกว่า ลูกต้องเป็น ลูกต้องได้ ต้องดี จริงไหม (จริง)  แล้วเราเคยสอนเขาแบบนั้นไหม ไม่เก่ง แม่ก็รัก พ่อก็รัก ไม่ดีไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับมาดีได้ แม่ก็ให้อภัย พ่อก็รัก เคยบอกกันอย่างนี้ไหม (ไม่เคย)
ขอบใจนะที่กล้ายอมรับ เพราะอาจารย์ว่าอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นใครพูดแบบนี้เลย น้อยมาก ส่วนใหญ่รอให้เขาไปผิดพลาดมาแล้วถึงค่อยบอก ถ้าเกิดลูกเขาพูดได้เขาคงบอกว่าทำไมแม่ไม่บอกผมตั้งแต่แรก ทำไมพี่ไม่บอกหนูตั้งแต่แรก ทำไมเพื่อนไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าฉันเป็นแบบนี้ก็ได้ เคยบอกไหมว่าแกไม่ต้องดีที่สุดแต่ขอแกจริงใจกับฉันก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  แกไม่ต้องเก่งที่สุดแต่ขอแกเข้าใจฉันเวลาฉันแย่ก็พอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการเวลาเราอยู่ร่วมกันคืออะไร ความจริงใจ ความเข้าใจ กำลังใจ และการเห็นใจ เวลาเราอยู่ในโลกเราเคยเข้าใจใครไหม เราเคยเห็นใจใครจริงๆ ไหม และเราเคยทำได้บ้างไหม เรามักจะตรงกันข้ามใช่ไหม (ใช่)  แกต้องเก่งแกไม่เก่งไม่ใช่เพื่อนฉัน แกไม่ใช่ลูกฉัน เธอไม่ใช่สามีฉัน ไม่ได้เรื่อง ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วชีวิตเรา เราต้องการคนที่เข้าใจเวลาเราแย่ที่สุด คนที่รับเราได้เวลาที่เราไม่เหลืออะไรและไม่มีอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ความสุขหาง่ายขอเพียงเห็นใจบ้างหรือยัง เข้าใจบ้างหรือยัง จริงใจหรือยัง และรับเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม ถ้ารับได้ เข้าใจได้ เห็นใจได้ และทนได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ความสุขก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ฉะนั้นถ้าเราอยากได้สังคมที่ร่มเย็น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่น่ารัก ลูกที่น่ารัก สามีที่ดี ถามตัวเราเองก่อน เห็นใจเขาบ้างไหม จริงใจกับเขาแค่ไหน แล้วชีวิตที่ร่มเย็น ชีวิตที่เป็นสุขก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ที่ตัวเราพร้อมจะเรียนรู้และเข้าใจคนรอบข้างอย่างจริงใจหรือไม่
อาจารย์ให้กลอนนำ มีคาถาเรียกใจที่ทำให้ใจนิ่งและไม่ต้องจ่ายแพง นั่นคืออะไร (ต้องมีสติ,มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิต)  มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิตใช่ไหม (ใช่)  เป็นคาถาเรียกใจที่เราไม่ต้องจ่ายเลยใช่ไหม (ใช่)  เวลาอารมณ์ร้อนใช้สติ สติจะช่วยยับยั้งให้เราใจเย็นคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลารู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี จงมีสติ สติจะดึงใจให้เรากลับมาให้เราเป็นปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่ดี แต่เรามีสติไหม (ไม่มี)  ถ้าทำอะไรขาดสติบ่อยๆ ก็ง่ายจะตกเป็นทาสอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์คือคนที่ไม่เคยมีสติอยู่กับตัวถูกไหม (ถูก)  แต่คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และยั้งตัวเองได้แปลว่ารู้จักมีสติใช้กับตัวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสติจึงเป็นสิ่งที่มีค่าไม่ต้องเสียเงินเลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไปใช้บ่อยๆ เวลาไปอยู่กับใคร หรือต้องเผชิญกับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบถูกไหม (ถูก)  แปลว่าอาจารย์ต้องอยู่ต่อหรือกลับ (อยู่ต่อ)  นึกว่ากลับ ถ้าตอบถูก แล้วตอบได้ แล้วตอบเป็น อาจารย์ก็ไม่ต้องสอนอะไรแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  ก็รู้แล้วไม่ต้องบอกอะไรแล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  ในโลกใบนี้สิ่งที่จริงก็ไม่จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วสิ่งที่ไม่จริงก็จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดเอง ก็ต้องรับผิดชอบกับผลที่ตัวเองพูด นั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อไป ได้ไหม (ได้)  ศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกอย่าผลักดันให้ใครทุกข์ อย่าผลักดันให้ใครเจ็บปวด แม้ศิษย์บอกว่ามันเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์ทำเขาเจ็บ เขาจะทำเราเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ทำเขาทุกข์ เขาจะกลับทำเราทุกข์ยิ่งกว่า อาจารย์ถามก่อนถ้าเรามีชีวิตแล้วขอได้หนึ่งอย่าง เราอยากขออะไรให้กับชีวิตก่อนจะนั่งดีไหม (ดี)  ขออะไรให้กับชีวิต ขอได้อย่างเดียวและขออีกไม่ได้แล้ว และถ้าตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ระหว่างขอให้รวย ขอให้แข็งแรง และขอให้มีปัญญา ตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ไหนใครอยากขอให้รวยยกมือขึ้น ในใจก็อยากยกแต่ไม่มีใครยกมือเลย พูดมาตามตรงเถอะอาจารย์ไม่ว่า ยกมือไหม ไม่ยกหรือ ขอแล้วขออีกไม่ได้แล้วนะ ใครขอให้แข็งแรงยกมือขึ้น ยกได้ครั้งเดียว แล้วยกไม่ได้แล้วนะ อยากได้แข็งแรงเอามือลง ใครอยากขอให้มีปัญญา ยกมือขึ้น อย่ายกซ้ำนะศิษย์เอย เอามือลง ถ้าใครขอให้มีปัญญาอาจารย์อยู่คุยต่อ แต่ถ้าใครขอแข็งแรงและรวย อาจารย์จะกลับศิษย์ไปหาเอาเองดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์พูดตรงๆ  ทำไมอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกปัญญารู้ไหม มีเงินแต่ไร้ปัญญา มันก็จนได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีเงินแต่มีปัญญาก็รวยได้จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมถึงเลือกอยากรวยก่อนแล้วถึงเลือกมีปัญญา ปัญญาเกิดได้จากการศึกษาเรียนรู้ แล้วยิ่งเรียนวิชาธรรมะด้วย กลับไม่เคยคิดอยากเอา แล้วจะได้ปัญญาไหม ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์เอารวยหรือเอาปัญญา (ปัญญา)
ไหนใครบอกเอาแข็งแรง อาจารย์จะบอกเอาแข็งแรงแต่ถ้าไม่มีปัญญาสู้กับความอ่อนแอ แข็งแรงมันก็กลับไปอ่อนแอได้ จริงไหม (จริง)  แต่คนมีปัญญาเมื่ออ่อนแอเขาจะทำตัวเองให้เข้มแข็งจงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน ควรเลือกเมื่อจะดำเนินชีวิต เราจะก้าวไปตรงไหนเราต้องถามจุดเริ่มต้นเรา ถ้าเราเริ่มต้นผิดชีวิตมันก็เดินผิดทาง แต่ถ้าเราเริ่มต้นถูก ชีวิตมันก็เดินไปได้ มันก็สู้ได้ตลอดทาง แล้วมันมีทางออกตลอดทาง จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ชีวิตศิษย์เอาเงินก่อนเอาปัญญา ใช่ไหม เงินก่อนปัญญาไว้ที่หลัง ใช่ไหม  เหมือนวันนี้เขาบอกให้มาฟังธรรม 3 วัน เดี๋ยวนะค้าขายดีขายก่อน ใช่หรือไม่ จริงๆ นะศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกนี้ไม่อยากเจอคนคับแคบ อย่าตีใจคับแคบ ถ้าอยากอยู่บนโลกกว้างจงเปิดใจกว้าง อะไรก็ได้ อะไรก็ดี เราก็จะมองเห็นโลกกว้าง แต่ถ้าเราตีตนคับแคบ มันต้องอย่างนั้นมันต้องอย่างนี้ เราก็จะเจอแต่คนคับแคบโลกคับแคบ จริงไหม
ถ้าศิษย์เกิดอยากมีปัญญา ศิษย์ก็ต้องรู้จักหมั่นเรียนรู้ แต่บางครั้งการยึดติดยึดมั่นทำให้เราขาดปัญญา และทำให้ไม่สามารถทำอะไรด้วยปัญญาที่แจ่มชัดได้ เหมือนเวลาเรายึดความคิดของเรา เราว่าความคิดของเราถูกต้อง เราก็จะไม่สามารถมีปัญญามองเห็นอะไรแจ่มชัด เหมือนเราคิดว่าคนนี้เป็นคนผิด เราจะมองให้เขาถูกมันก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความคิดของเรามันบดบังปัญญา ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือ อยากมีปัญญาจงอย่ายึดถือความคิดตนเป็นเด็ดขาด เพราะถ้ายึดถือความคิดตน ปัญญาจะบกพร่องทันที เข้าใจนะ (เข้าใจ)
ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันต่อ หลายคนอาจสงสัยว่า ธรรมะที่ฟังไปในวันนี้ มันแตกต่างกับสิ่งที่ผมหรือหนูเคยเรียนรู้เคยเรียนรู้กันมา ต่างไหม (ไม่ต่าง)  เรามาตกลงกันก่อนนะ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์แค่พูดเรื่องธรรมะ ที่เราจะเอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต และที่สุดของการปฏิบัติธรรม ก็คืออยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ และสามารถไม่เป็นทุกข์ได้ นั่นคือจุดประสงค์หลักของการศึกษาและเรียนรู้ธรรม แต่โดยส่วนใหญ่เราศึกษาและเรียนรู้ธรรม เรามักจะเข้าใจว่าจุดประสงค์หลักของการปฏิบัติธรรมคือการทำบุญ ทำทาน และเป็นคนดี
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นเรียนว่าใครชอบทำบุญบ้าง)
ที่บอกว่าชอบนี่ทำบ่อยๆ หรือนานๆ ที (บ่อย)  คนทำบุญติดบุญไหม ขอบุญไหม หลงบุญไหม จุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมหรือการปฏิบัติธรรมอย่างแรก ศิษย์คิดว่าถ้าจะปฏิบัติธรรมต้องทำบุญเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดประสงค์ส่วนใหญ่ในการทำบุญของเราคือ เราทำบุญเพื่อให้ใจสบาย เพื่อสละ เพื่อความโล่งเบา โปร่งเบาในจิตใจ ใช่หรือไม่ ทำบุญเพื่อให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเวลาทำบุญเสร็จ ขอๆๆ อย่างนี้เรียกว่าให้หรือขอ ตกลงว่าทำบุญหรือขอบุญ (ขอบุญ)  จุดประสงค์หลักของการทำบุญคือ ทำบุญเพื่อสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละความโลภหลงในทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไปทำแล้วยังขอ เรียกว่าสละหรือกลับไปยึดเหมือนเดิม ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่เงินเป็นสำคัญแต่อยู่ที่ใจใช่หรือไม่ เราทำเพื่อความสละไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่แล้วมาทำเพื่อให้หรือทำเพื่อเอา ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นศิษย์ก็ต้องเริ่มต้นให้ถูก หลักของการปฏิบัติธรรมคือ ทำบุญเพื่อให้ ทำบุญเพื่อสละ ทำบุญเพื่อไม่ยึดถือ ทำสิบบาทขอร้อยบาทถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าทำเพื่อยึดจะกลายเป็นทำแล้วยังมีกิเลสแอบแฝง ยังมีเจตนามุ่งหวังไม่บริสุทธิ์ ทำบุญแบบนี้ไม่ได้ไปสวรรค์ ใช่ไหม (ใช่)  จะขอต้องขอที่ตัวเอง ขอพระคุณเจ้าให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ทุกวันด่าๆ จะร่มเย็นเป็นสุขไหม (ไม่)  ทุกวันเอาแต่จับเข่านินทา เล่นหวย เล่นพนัน จะมีความสุขไหม (ไม่)  ฉะนั้นอยากขอให้ตัวเองมีความสุข ทำไมไม่ถามที่ตัวเราเอง เพราะจุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมคือทำเพื่อให้ ทำเพื่อละ ใช่หรือไม่
เป็นคนดีที่ชอบเอาความดีว่าตัวเองดี แล้วไปข่มคนอื่นถูกไหม (ไม่ถูก)  เราเป็นคนดีที่ชอบวิพากวิจารณ์ คนนั้นไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ชอบเอาความดีของเราไปตัดสินว่า คนนั้นแย่ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ไม่เคยวิพากวิจารณ์ใคร ไม่เคยไปตัดสินใคร ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบีบบังคับใครใช่ไหม (ใช่)  เราทำดีจุดประสงค์หลักของการทำดีคือ ไม่ประพฤติชั่ว เราทำดีเพื่อกางกั้นใจของตัวเองไม่ให้ทำผิด เราทำบุญทำทานเพื่อป้องกันให้ใจไม่หลงยึดติด ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจให้ได้ก่อน เพราะถ้าศิษย์ไม่เข้าใจกลายเป็นว่าทำบุญแล้วก็ยังไปหลงยึดเหมือนเดิม อย่างนี้ก็ไม่ได้ละอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้วยังไปทำบาปอีกอย่างนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าดี ทำดีเท่าไรก็ไม่เคยได้ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราดีแล้วใครไม่ดีว่าไหม (ว่า)  อาจารย์ ศิษย์ไม่ว่าเลย แต่แช่งมันให้ตายจมดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหยียบให้ตายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย คนดีแล้วมีสิทธิ์ไหมที่บังคับให้ทุกคนต้องดีกับตัวเอง (ไม่มี)  เรียกร้องให้ทุกคนต้องดี คนนั้นไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ฉันดีอยู่คนเดียวเอง เหนื่อย เป็นแบบนี้ไหม (ไม่, เมื่อก่อนเป็นแต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็น)  หลังจากอาจารย์พูดอยากไม่เป็นทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจ ถ้าศิษย์ศึกษาปฏิบัติธรรม บุญยังไม่เข้าใจ การเป็นคนดียังไม่เข้าใจ ศิษย์ก็ยังก้าวต่อไปไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลักสำคัญอันที่สองของการเป็นคนดีก็คือ ทำดีเพื่อให้ตัวเองไม่ประพฤติชั่ว แต่ไม่ใช่ทำดีแล้วเอาชั่วไปให้คนอื่น ไม่ใช่ทำดีแล้วเพื่อบอกว่าคนนั้นชั่ว แล้วตัวเองดี๊ดีถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีจริงยังไงก็ไม่ต้องไปว่าคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เชื่อไหม ถ้าศิษย์เป็นคนดี ศิษย์ยืนเฉยๆ ให้เขาชั่วไปเถอะ ยิ่งเขาชั่วเท่าไร เรายิ่งสุกใสสว่างปิ๊งปั๊งจริงไหม (จริง)  ไม่ต้องไปด่าเขาเลย ยิ่งเขาชั่วเท่าไร ฉันสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยจริงไหม (จริง)  แล้วจะไปด่าทำไมให้ตัวเองสกปรกตามใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเอง     ถ้าศิษย์อยากเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติแล้วไม่อยากชั่ว ไม่อยากเลว ไม่อยากร้าย ถ้าจะเป็นคนดีก็อย่าเอาความดีของตัวเองไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แล้วอย่าไปคิดว่าตัวเองดีนักหนาถึงได้สามารถตัดสินคนอื่นได้ว่า คนนั้นไม่ดี คนนั้นแย่ แน่ใจหรือว่าตัวเองดีจริงๆ (ไม่แน่ใจ)  ไม่แน่ใจแล้วเรามีสิทธิ์ว่าใครไหม (ไม่มี)  จำไว้นะ อย่าว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าว่าเมื่อไร ศิษย์ก็เกี่ยวกรรมกับคนเมื่อนั้น ไม่ว่าศิษย์จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เมื่อว่าแล้วอย่าบอกว่าไม่ตั้งใจ ตั้งใจทั้งนั้นแหละใช่ไหม (ใช่)  อย่าบอกว่าไม่เจตนา เจตนาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่เจตนาจะว่าไม่ออกหรอกจริงไหม (จริง)  แล้วคนส่วนใหญ่ชอบมาคิดว่าที่ว่าคนอื่นได้ มักคิดว่าตัวเองดีเลิศ ประเสริฐศรีใช่ไหม (ใช่)  ถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะว่าคนนั้นมันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แต่อาจารย์ถามจริงๆ คนที่เขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังดีไม่พอ เขาจะว่าใครไหม     (ไม่ว่า)  เขาจะวิพากษ์วิจารณ์ใครไหม (ไม่)  ถ้าเขารู้ตัวเองว่า จริงๆ แล้วตัวเองก็ยังไม่ได้ดีจริง เขาจะว่าใครไหม (ไม่ว่า)  เขารู้ว่าตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ที่เขานินทา เราเคยนินทาไหม (เคย)  ที่เขาทำผิด เราเคยทำผิดไหม (เคย)  ที่เขายักยอกของๆ คนอื่น ฉ้อฉล โกง ทุจริต เราไม่เคยโกงเลยหรือ (ไม่เคย)  ถามจริงๆ ตอนเด็กๆ ใครบ้างพูดได้เลยไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ (หยิบไม่บอก) หยิบไม่บอกเรียกว่าขโมย อย่าพูดว่าไม่ขโมย บางทีเห็นดอกไม้ข้างๆ ทาง เห็นไม่มีเจ้าของเด็ดมาดมเฉยเลย แล้วก็ถือกลับบ้าน อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมย สิ่งที่ไม่ควรมองเราก็ไปแอบมอง ไปแอบรู้ นั่นแหละเขาเรียกว่าขโมย อย่าบอกว่าตัวเองไม่ขโมย ฉะนั้นถ้าเราตรวจสอบจริงๆ เราจะไม่เห็นใจ คนไม่ดีหรือ เราจะว่าคนไม่ดีได้หรือ เพราะตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นเมื่อตัวเองดีไม่พอ จึงพยามยามทำดีเพื่อไม่ทำชั่ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่พยายามยกว่าตัวเองว่าดี จริงๆ นั้นดีไหม (ไม่ดี)  แล้วคนที่ว่าคนอื่นไม่ดี ตัวเองดีไหม (ไม่ดี)  แล้วตอนนี้ตัวเองดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ดีไหม ดีหรือยัง ตัวเองดีไหม ไหนใครกล้าบอกว่าตัวเองไม่ดียกมือขึ้น (นักเรียนทั้งห้องยกมือ)
อาจารย์ทั้งดีใจและเสียใจ เพราะไม่ดีเต็มห้องเลย แต่อีกอันหนึ่งก็ดีใจว่า คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี  คนนั้นแหละพร้อมจะเป็นคนดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นมาคุยต่อ สิ่งที่อยากคุยคือ จุดประสงค์ใหญ่ในการศึกษาธรรมนอกจากเรารู้จักทำบุญเป็นคนดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ศึกษาธรรมเพื่อจะได้ทำให้เรารู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ และไม่ต้องทำให้เราทุกข์กับโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามให้ศิษย์ตอบแล้วมีรางวัลให้ แต่รางวัลนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า กินแล้วทุกข์เหลือเกิน กินแล้วเจ็บจี๊ด เข้าไปถึงใจ เอาไหม (เอา)  นี่แหละสาเหตุหนึ่งของความทุกข์  รู้แล้วว่ามีแล้วทุกข์ ก็อยากมี รู้ว่ามีแล้วว่าเจ็บจิ๊ด ไปถึงใจก็อยากเอา จริงไหม (จริง)  สามีแต่ก่อนมีไหม    (ไม่มี)  ก่อนเคยมีไหม (ไม่มี)  แล้วมีไหม เป็นอย่างไรล่ะ เจ็บจิ๊ดไหม ทุกข์ไหม เอาไหม เอาไปแล้วถอนตัวไม่ได้ รอแต่เพียงเขาไม่เอาเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุอย่างแรกที่มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนหนีไม่พ้นทุกข์ก็คือ หนูอยู่ในโลกคนเดียวไม่เป็น อยู่ว่างๆ ไม่ได้ แล้วจะได้รู้ว่าขึ้นสวรรค์แล้วลงนรกอย่างไร ถูกไหม (ถูก)  ไม่ต้องถามผู้หญิงถามผู้ชายก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าสวรรค์นั้นอยู่ตรงไหน ก็ลองมีสักคนหนึ่ง บุญพาวาสนาส่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอยู่นานไปนานมา กรรมอะไรของฉัน
สิ่งแรกที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ก็คือ ความไม่พอใจกับความไม่มี ไม่พอใจกับความว่างเปล่า ไม่พอใจกับความโดดเดี่ยว ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า โดดเดี่ยว และไม่มี ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามหาแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องวางมันลง มีมันแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้และเข้าใจ แล้วก็ต้องวางลงให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องเจ็บก็คือ (เรา)  คนที่ต้องเจ็บและต้องทุกข์ก็คือคนที่พยายามอยากจะเอา อยากจะมี และอยากจะยึดให้มากที่สุด แล้วผลสุดท้ายถึงเวลา ศิษย์ก็แบกมันไปไม่เคยได้ เราต้องอยู่กับคำว่า (ว่างเปล่า)  ใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์ถามนะศิษย์ ถ้าไม่มีแล้วอยากมีจนมันเจ็บ แล้วค่อยเรียนรู้การวางให้ได้ หรือไม่ต้องมีก็อยู่ได้ หรือมีแต่อยู่ให้ได้วางให้เป็น (อยู่ให้ได้วางให้เป็น)  แต่ละคนเจอไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงได้ถามศิษย์ว่า เมื่อศิษย์จะเลือกดำเนินชีวิต มีอะไรบ้างในโลก มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยเจ็บ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยผิดพลาด (ไม่มี)  มีแล้วไม่ต้องพลัดพรากสูญเสีย (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้ามันไม่มีศิษย์อยากจะเจอมันอีกไหม    ในตัวของเราก็หนีไม่พ้นแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาอีกตัวหนึ่งดีไหม (ดี)  แน่ใจหรือ ถ้าอยากจะมีอีกตัว ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้ทุกข์อีกรอบหนึ่ง เจ็บอีกรอบหนึ่ง เหนื่อยอีกรอบหนึ่ง ช้ำอีกรอบหนึ่ง เสียใจอีกรอบหนึ่ง แล้วมันใช่รอบเดียวไหม (ไม่ใช่)  มันอาจจะมารอบแล้วรอบเล่า เมื่อไรจะหมดกรรมต่อกันสักที มันอาจจะมาแล้วมาอีก อาจารย์จึงบอกว่าหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรมคือ อยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  เหมือนเวลาลูกบอลมันมา  ถ้ามันมาแล้วมันเจ็บ  เอาไม่เอา  (ไม่เอา)  แล้วเวลาเมื่อมันมาแล้วมันทุกข์ รับไม่รับ (ไม่รับ)  แต่ชีวิตจริงรับแล้วเอาใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม ที่มนุษย์บอกว่าเขาจะทำอะไร แย่ขนาดไหน มันไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเลย มันจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เขาจะทำอะไร เขาจะแย่ขนาดไหน ฉันไม่เคยเอาเขามาใส่ใจฉันเลย ฉันจะทุกข์ไหม      (ไม่ทุกข์)  นั่นแหละทำได้ไหมถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วมันทุกข์ รับมันมาแล้วมันเจ็บ มีแล้ว คิดแล้ว มันก็ช้ำ แล้วทำไมโง่เอามันมา สู้เอาไป (ทิ้ง)  ไม่ต้องทิ้งหรอก เดี๋ยวเขาก็ไปตามทางของเขา โลกใบนี้ไม่เขาจากเราไป เราก็จากเขาไป ฉะนั้นเหตุการณ์จบแล้วเราควรวางมันจากใจดีไหม เหมือนที่อาจารย์บอก สิ่งที่เขาทำออกจากปากเราเรียกว่าขี้ปาก ออกจากตาของเราก็เรียกว่าขี้ตา สิ่งที่เขาทำแล้วมันก็เหมือนขี้ แล้วเราจะเก็บขี้มาไว้ในใจไหม (ไม่เก็บ)  แล้วเราเผลอเอาขี้มาเล่นไหม (ไม่)  ทำไมเขาด่าหนู ทำไมเขาว่าหนู ทำไมเขาทำแบบนี้กับหนู แล้วเราก็เอาขี้ไปแบ่งให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ามันทุกข์ อย่าใส่ใจ ถ้ามันเจ็บ อย่าเก็บไว้ในใจ เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ เราเกิดมาเพื่อเห็นทุกข์ แต่ไม่ต้องเอาทุกข์มาทำร้ายใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมะสอนให้เราแค่รู้แต่ไม่ต้องไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่คิดอยากจะเอา ยากไหม (ไม่ยาก)
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาท ทำนองเพลงเธอเป็นแฟนฉันแล้ว)
ดูสิมีใครจะร้องเพลงได้บ้าง เพลงนี้อาจารย์ให้ประจำชั้นนักเรียนชั้นนี้นะ นิสัยขี้ตู่เราชอบเป็นไหม เราเป็นคนขี้ตู่ไหม เห็นเขายิ้ม คิดไปเองว่าเขาต้องชอบฉันแน่เลย เคยเป็นไหม เห็นเขาส่งตาหวาน   คิดไปเองว่าเขามีใจให้ฉัน เราเป็นแบบนั้นไหม มันขี้ตู่ชัดๆ เลย ถูกไหม คิดไปเองว่าเขาเป็นแฟนเรา แล้วค่อยมาถามว่า แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ ใช่ไหม ศิษย์ก็เป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์ในโลกก็เพราะเราขี้ตู่ชอบไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา ถูกหรือไม่ อาจารย์ถามจริงๆ สังขารนี้ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมหลงได้หลงดี ถึงเวลามันก็กลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติแล้วเราหลงมันไหม (ไม่หลง)
อาจารย์ถามจริงๆ  ศิษย์รักเป็นศิษย์ขี้ตู่ไหม เงินมาจากธรรมชาติไหม เสื้อผ้ามาจากธรรมชาติไหม (ใช่)  เราทุกข์เพราะเรารักธรรมชาติใช่ไหม แต่ถึงที่สุดเราเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราต้องงกไหม (ไม่)  แล้วผลสุดท้ายเราต้องทุกข์เพราะความงก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังงกอีกไหม ยอมรับมาตรงๆ  ฉะนั้นเราเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งต้องคืนธรรมชาติ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์เป็นห่วงนะ อยากหลังตรงอยากแข็งแรง ก็ต้องนั่งหลังตรง พออาจารย์พูดก็นั่งตรง แล้วศิษย์ในนี้ทุกข์เพราะอะไรอยากให้อาจารย์ช่วยแก้ บอกมา ศิษย์รู้ไหม ถ้าเรารู้เราเห็นทุกข์ ถ้าเราไม่ยึดมั่นกับทุกข์เราก็จะพบทางออกของทุกข์ ถ้าเราสามารถอยู่ในโลกเราเห็นทุกข์ชัดแล้วไม่ยึดมั่นกับความทุกข์ เราจะเห็นทางของความพ้นทุกข์ เมื่อเราทุกข์ เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน จากที่คิดว่าทำไมต้องทำกับฉัน เปลี่ยนเป็นไม่เป็นไร อยากเอาไปก็เอาไปเลย จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จะต้องรู้จักเปลี่ยนความคิด ถ้าคิดแบบนี้แล้วมันเจ็บ ทำไมไม่เปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง ถ้ามองเห็นชัดแล้วพบทางออก ทำไมไม่ปล่อยวางแล้วมองให้ชัด ทุกข์อะไร ถ้าอยากพ้นทุกข์จะยังยืนยันเอาความคิดของตัวเอง หรือจะยอมรับความจริง ห้ามแก่ เจ็บ ตาย ห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกข์ไหม แก่ เจ็บ ใจก็สู้ไม่ถอยนะ แปลว่าอย่างน้อยชีวิตนี้ตายแล้วไม่อายฟ้า ไม่อายดิน ไม่ผิดต่อผู้คน ไม่เห็นต้องกลัวตายเลยใช่ไหม แต่ถ้าทำแล้วยังอายฟ้า อายดิน ไม่ถูกกับผู้คน อย่าเพิ่งตายเดี๋ยวจะตกนรก ใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบอาจารย์อยากได้แอปเปิลเพิ่มความทุกข์เอาไหม ในเมื่อตัวเองมีปัญญาแล้ว แม้เจอทุกข์ก็จงแปลทุกข์ ให้ใช้เป็นทางพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่  ศิษย์มีปัญญาอย่าดูเบาปัญญาคนอื่น ชีวิตไม่ใช่อาจารย์กำหนด ไม่ใช่ใครกำหนด แต่เรากำหนดตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกแอปเปิลกินแล้วทุกข์ แต่ถ้าศิษย์จะมีสุขก็เป็นเรื่องของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  กลัวไหมกับแอปเปิลทุกข์ (ไม่กลัว, ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วคราวนี้จะปล่อยไหม ทำให้เต็มที่ก่อน ถ้าทำเต็มที่แล้วเราก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ ถ้ายังไม่เต็มที่อย่าเพิ่งปล่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราไม่รับผิดชอบ (ทุกข์เพราะยึดติด)  แล้วคราวนี้จะยังยึดติดอีกไหม ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เรายึดติดได้ ยิ่งยึดติดปัญญาก็ไม่เกิด ทุกข์ก็จะเจ็บ เวลายึดติดมากๆ หันกลับมามองที่มือ เมื่อไรที่มือมันยึดนั่นคือมือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ชีวิตคือสิ่งที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ ถ้ายึดมันก็คือป่วย มันก็คือทุกข์ มันก็คือเจ็บจริงไหม (จริง, ทุกข์เพราะคิดมาก)  คิดแล้วได้อะไร คิดแล้วดีขึ้นไหม   สู้แปลความคิดเป็นกล้ารับความจริงดีกว่าไหม แล้วบางทีคิดไปก็กลายเป็นแช่งคนรอบข้าง ถ้าเกิดจะคิด สมมติลูกไปรบ ลูกไปทำงาน ลูกขับรถออกไป ก็ขอให้เขาปลอดภัย คิดแบบนี้ดีกว่า แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับให้ไหว
(ทุกข์เพราะความเป็นห่วง)  ห่วงไปมันไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นสู้อวยพรให้เขาปลอดภัยดีกว่า มองในแง่ดีมันก็ทำให้เขาไปดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่คนแล้ว รู้ใช่ไหม พ่อแม่คือสิ่งที่เป็นพุทธะบนบ้าน ถ้าพุทธะคิดว่าลูกจะรอดไหมๆ ลูกไม่รอดแน่ มีใครจะตอบอีก ตอบว่า (เมื่อเวลาเป็นทุกข์ทำไมถึงวางยากจัง)  ตกลงถามหรือตอบอาจารย์ (ถามอาจารย์)  ถามว่าทำไมวางยาก วางยากเพราะว่าใจเราไม่ยอมปล่อย ใจเราไม่กล้ารับความจริง  ถ้าใจเรากล้ารับความจริง มันจะไม่ต้องวาง ทุกสิ่งมันเกิดมาจากจิตทุกขณะ จริงไหม เหมือนเขาว่าเราจบหรือยัง ถ้าจบแล้ว เรื่องที่เราทำจบหรือยัง จบแล้ว เราแก้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  สิ่งที่ทำได้คือ สู้กับความเป็นจริง ยังไม่ต้องปล่อย แค่สู้กับความจริงให้ได้ เปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็นหัวใจที่สู้ แล้วจะไม่ทุกข์ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว ล้มได้ก็ลุกขึ้นมาได้ ผิดได้ก็ต้องแก้ใหม่ได้
ฉะนั้นเมื่อไรจะเลิกบุหรี่ (ทุกข์เพราะระแวง)  ระแวงไม่ดีนะ สู้ระวังตัวเองดีกว่า เพราะระแวงมันอยู่กับใครก็ไม่มีความสุข อยู่กับแฟนก็ไม่มีความสุข ขอเพียงแค่เราทำดีพร้อม เขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ ศิษย์จำไว้นะ ทุกสิ่งในโลกนี้ ถ้ามันเป็นของเราอย่างไรมันก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ได้เป็นของเรา อย่างไรมันก็ต้องไป จริงไหม (จริง)  แล้วจะไปรั้งทำไมให้เจ็บ แล้วจะไประแวงทำไมให้ทุกข์ อยากไปไปเลย ถูกไหม (ถูก)  เพราะถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่)  เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่)  เขาไปกับเราไหม (ไม่ไป)  อย่ารักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง
(ยังไม่มีเรื่องก็ทุกข์แล้ว)  ยังไม่มีเรื่องก็คิดไปแล้ว  เอ๊ะ! มันจะมีเรื่องไหม ศิษย์เป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นต่อไป (ทำให้ดีที่สุด)  ทำให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุด และกล้าที่จะสู้กับความจริง ธรรมะสอนให้เรามีภูมิคุ้มกัน ยอมรับความจริงให้ได้นะ
(ทุกข์เพราะอยากครอบครอง)  ฉะนั้นลองหันไปดูมือ เราครอบครองอะไรได้ เรายึดอะไรได้ ถึงที่สุดเราก็มาตัวเปล่า แล้วก็ไปตัวเปล่า ฉะนั้นไม่เคยมีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงนะ
(ห่วงลูกห่วงหลาน)  แก้ไม่ได้นะสิ่งนี้ อย่างที่อาจารย์บอกว่า ห่วงได้ แต่ห่วงอย่างให้กำลังใจ ห่วงอย่างเข้าใจ และห่วงอย่างรัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ารักเขาเต็มที่ดูแลเขาเต็มที่ ถึงเวลาศิษย์ต้องยอมรับ คนทุกคนมีหนทาง ศิษย์ไปห่วงเขาตลอดไม่ได้ ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป จริงไหม (จริง)  เข้มแข็งนะ 
(ทุกข์เพราะมีความห่วง)  อายุปูนนี้แล้วก็ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว ห่วงตัวเองดีกว่า เพราะเขาไปถึงไหนแล้วไม่เคยกลับมาดูแลเราเลยใช่ไหม (อยากได้)  ศิษย์เอยไม่มีใครในโลกที่มีความอยากแล้วไม่อยากทำผิดมีน้อยมาก แล้วพยายามอยากน้อยที่สุดเพื่อให้ไม่ผิดเลยก็ไม่มี ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรพอใจในสิ่งที่มีบ้าง ไม่อย่างนั้นความอยากจะทำให้เราเจ็บ แล้วก็เจ็บ ฉะนั้นรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
(ไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วตอนนี้รู้จักปล่อยได้หรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิด ดับอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องพยายามไปปล่อยมันหรอก พอถึงเวลามันก็ต้องไปตามทางของมัน ขอเพียงเราเข้าใจหลักของความเป็นจริง เราไม่ต้องพยายามบังคับใจให้ปล่อย แต่มันจะตื่นรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เกิดมันก็จบอยู่ทุกขณะ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
(คำพูดคน)  คำพูดคนก็เหมือนขี้ปาก ใช่ไหม เก็บมาก็เหมือนเก็บขี้มาไว้ในตัว แล้วเอามาคิดก็เหมือนเล่นขี้ แล้วเอาไปเล่าคนอื่นก็เอาขี้ไปป้ายคนอื่นอีกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยังสนขี้ปากคนอีกไหม (ไม่สน)  แต่บางทีก็เอามาพิจารณาเขาพูดจริงไหม พูดจริงเราก็เอามาแก้ไข พูดไม่จริงก็ปล่อยมันไป อย่าเก็บขี้เอาไว้ในใจ (กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง)
(กลัวในสิ่งที่มาไม่ถึง)  อายุเท่าไหร่แล้วศิษย์ ตัวใหญ่ๆ  กลัวอะไร กลัวแพ้ พ่าย ผิด แต่อาจารย์ถามหน่อยคนในโลกใครไม่แพ้ ไม่พ่าย ไม่ผิด (ไม่มี)  เมื่อรู้ว่าไม่มี จงเข้มแข็งเมื่อยามแพ้ จงมุ่งมั่นเมื่อยามเจ็บ และจงอดทนเมื่อยามทุกข์ท้อ ดีหรือไม่ (ดี)  อายุเท่าไหร่แล้วเรา
มีใครตอบอีก (คิดมาก)  แล้วคิดดีไหม ความคิดมันง่ายที่จะไหลลงต่ำ ง่ายที่จะฟุ้งซ่าน คิดร้ายมากกว่าคิดดี ฉะนั้นเวลาความคิดมา จงใช้สติ สติจะดึงความคิดมาสู่ความเป็นกลาง และมองเห็นความจริง ฉะนั้นเราคิดมีสติ เวลาคิดได้มีสติ เวลาแย่มีสติ ทำให้ได้นะ
(จะถามอาจารย์หนูมีความทุกข์มากเลยแต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าหนูอยากมาอบรมมาเรียนให้ครบทั้ง 3 วันแต่พรุ่งนี้หนูมาไม่ได้เพราะมีความจำเป็น หนูจะถามอาจารย์ว่าถ้าหนูสะสมไว้ 2 วันแล้วค่อยไปอบรมใหม่อีกวันเป็น 3 วันได้ไหม ทุกข์มากเลยอาจารย์)  เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ต้องทุกข์ๆ เดี๋ยวคราวหน้ามีอบรมอีก มาซ้ำอีกรอบ รับรองยิ่งจำแม่นแน่นอนเลย ไม่ทุกข์ด้วย ดีไหม (ดี)  ยิ่งฟังยิ่งได้ปัญญาแม้จะเข้าใจไม่เข้าใจแต่ปัญญาธรรมสั่งสมไว้ สักวันหนึ่งมันจะปิ๊งออกมาทันทีเลย ฉะนั้นอย่ากลัวการฟังธรรมะนะ ไม่ต้องทุกข์ ดีใจออกได้ฟังอีกรอบหนึ่ง ไม่เป็นไร คราวหน้ามีโอกาสก็มาให้ครบนะ ได้ไหม (ได้)  ได้ตอบไหม (แต่ว่าต้องเป็นวันหยุดอีก)  อ่อ ตกลงว่ามันเป็นปัญหาของอาจารย์ใช่ไหมนี่ ว่าอาจารย์จะยอมให้เขาจบหรือไม่ยอมให้เขาจบใช่ไหม มันต้องมีสักครั้งหนึ่งนะที่มันจะครบทั้ง 3 วันและเป็นวันหยุด เอานะไม่ลองดูจะรู้หรือ ใช่ไหม แล้วถ้าสู้ไม่ถอยมีหรือเขาจะไม่ยอมให้จบ ใช่ไหม ไม่ต้องทุกข์ศิษย์เอ๋ย เรื่องเล็กๆ
(ยอมให้คนอื่นเก่งบ้าง)  แต่มันทำได้ไหม บางครั้งสิ่งที่ดีก็คือเราต้องให้โอกาสคนได้เก่งบ้างอย่าเก่งคนเดียว เก่งคนเดียวมันเหนื่อยให้คนอื่นเก่งแล้วเรายอมไม่เก่งบ้างนั่นแหละเราจึงอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ใช่ไหม  ตั้งใจดีก็ดีแล้ว
(อยากปลดห่วงแต่ปลดไม่ได้)  เมื่อปลดไม่ได้ก็ต้องอยู่กับสิ่งที่มีให้เข้าใจ คนบางคนมีร้ายมากกว่าดีหรือคนบางคนมีร้ายแค่หนึ่งแต่มีดีเป็นร้อยมันอยู่ที่ศิษย์จะเห็นร้ายแล้วจ้องจับผิดหรือจะเอาความดีมากลบความร้าย ใช่ไหม แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลอีก ถ้าเรายอมรับนะ
เราทุกข์เพราะว่าอะไรหรือ มีความสุขดีอยู่กันสองคนไม่ค่อยทุกข์อะไร ใช่ไหม (ลูกอยู่กรุงเทพฯหมด)  ไม่ค่อยทุกข์อะไรใช่ไหม ฉะนั้นโชคดีฉะนั้นเลยไม่อยาก
ศิษย์ไม่มีทุกข์อะไรใช่ไหม ดีแล้วนะ ยินดีด้วย เขาบอกเขามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร โชคดีนะ ใช่ไหม หันมายิ้มหน่อยนะศิษย์ ฉะนั้นศิษย์พูดว่ามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร ไม่เคยทุกข์อะไร ใช่ไหม (อยู่กันสองคน คนหนึ่ง 81 อีกคน 80)  นี่ 80 นะนี่ แข็งแรงดี สบายดี ใช่ไหม (ลูกสามคน)  ถ้าวันหนึ่งต้องสูญเสียก็จงยังสุขอยู่นะ เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ
(เราพูดแล้วลูกไม่เชื่อฟัง)  เราพูดรู้เรื่องไหม เราพูดแต่สิ่งที่เราคิด แล้วเราเคยฟังที่ลูกเป็นบ้างไหม ฉะนั้นถ้าอยากไม่มีปัญหากับลูก ลูกจะเป็นอย่างไรไม่ต้องเรียกร้อง บอกกับลูกว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก แต่ขออย่างเดียวลูกโตแล้วนะถึงเวลาแม่ก็เลี้ยงดูลูกไม่ไหวแล้ว
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เพราะความคิดความรู้ เพราะคิดว่าตัวเองรู้และเข้าใจ แต่จริงๆ บางทีอาจจะไม่รู้และไม่เข้าใจ ฉะนั้นต้องรู้จักเปิดใจกว้างบ้าง และรับฟังเรื่องราวของคนให้มากๆ
(ทุกข์กับคนรอบข้าง)  ถ้ามีเพียงคนเดียวที่ศิษย์พูดกับเขาแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ความผิดเรา แต่ถ้าทุกคน ศิษย์พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง แบบนี้ความผิดศิษย์แล้วนะ เราต้องถามตัวเราเองว่าเราเคยฟังใครบ้างไหม ทุกคนมีแนวความคิดของตัวเอง ทุกคนมีทางเดินของตัวเอง ขอแค่เพียงเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร
(ทุกข์เพราะยึดติดความผิดของตนเอง)  ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์อย่ามัวจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เราต้องกล้าที่จะมองความจริงที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ถ้ากล้ายอมรับเราก็ไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า
(ทุกข์เพราะไม่เป็นตัวของตัวเอง)  เลียนแบบคนอื่นไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น ค้นหาตัวเองให้เจอและรักษาความดีของตัวเองให้ได้ เป็นหญิงจำคำพูดของอาจารย์ไว้ อย่าทำตัวเป็นของสาธารณะ
(ทุกข์เพราะว่าเป็นห่วงแม่)  เราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ดูแลตัวเองให้เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด แบบนี้แม่ก็หายห่วง ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมสบายดี ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมรักแม่ ผมคิดถึงแม่ แค่นี้ก็ดีแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีให้เข้มแข็งให้รอดปลอดภัย
(ทุกข์เพราะเป็นห่วงลูก)  ถึงเวลาต้องปล่อยเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
(ทุกข์เพราะการกระทำ)  ทำอะไรไปไม่คิด ใจร้อน เอาแต่ใจ วิ่งไปหาความรัก จนลืมรักตัวเองใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะ รักตัวเองให้มาก อย่ารักคนอื่นจนทำร้ายตัวเองเข้าใจไหมสาวๆ
(ทุกข์เพราะครอบครัว)  ทุกข์เพราะครอบครัวใช่ไหม แล้วทำอย่างไร แก้อะไรไม่ได้ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เข้มแข็งอดทนรักษาความดีไว้เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(อยากให้ลูกมาบำเพ็ญด้วย)  อยากให้ลูกมาบำเพ็ญ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำตัวเองให้ถูกต้องดีงาม แล้วเขาจะเดินตามมาโดยที่เราไม่ต้องเรียกหรือบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ทำตัวเราให้กว้างที่สุด ให้เย็นที่สุด ให้นิ่งที่สุด ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง รับเขาให้ได้มากที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงพระโอวาท)
อยากได้รางวัลไหม (ไม่อยากได้)  ศิษย์ยังไม่ได้อะไร เขาได้แล้วอาจารย์ไม่ให้นะ เอาไหม (ไม่เอา)  เอานะ ชีวิตจะได้รู้จักทุกข์เป็นอย่างไร
ในเนื้อเพลงอาจารย์ถามคำถามนะ เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น ศิษย์ว่า เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น คือเสียงของอะไร ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (สติ)  เพราะสติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียงถูกไหม (ถูก)  ถ้าเรานิ่งฟังจะเตือนเราให้พบทางออกว่า อย่าใจร้อน ใจเย็นๆ เป็นเสียงที่รอเราฟังอยู่ เมื่อไรที่เราเจอปัญหาจงนิ่ง แล้วสติจะมา เมื่อสติมาปัญญาจะเกิด อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่าน เพราะเสียงที่บ่นอยู่คือเสียงของความคิดที่ไม่รับความจริง แต่สติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียง จะบอกเราว่าหยุดเถอะ พอแล้วมองความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงเวลาต้องรู้จักมีสตินะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอะไรอย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่
ตอนนี้มีใครอยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม สักครู่อาจารย์เล่นเกมส่งแอปเปิลดีกว่า แอปเปิลไปตกที่ใครต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)  เพราะอย่างไรเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ทุกข์ดีกว่าทำให้ตัวเองทุกข์นะดีไหม
(นักเรียนในชั้นขอกอดพระอาจารย์)  ทำไมหรือ (คิดถึงพ่อ)  เข้มแข็งๆ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทำให้ดี ตอนไปแล้วมาเสียใจ มันน่าตีไหม ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามถูกต้องเพื่อเป็นบุญกุศลให้กับพ่อแม่ที่ล่วงลับ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม โดยเปลี่ยนจากแอปเปิลเป็นสับปะรด)
อาจารย์ถามคำถามเดียวอะไรที่ทำให้ทุกข์บ่อยที่สุด ไม่ต้องส่งสับปะรดก็ตอบเลยนะ (ใจ)  แน่ใจนะ เพราะทำอะไรก็เอาแต่อารมณ์  จริงๆ แล้วในทุกข์มีทางพ้นทุกข์ผู้มีปัญญาย่อมพบทางออกในความทุกข์ ดั่งที่เขาเรียกว่ากิเลสมาปัญญาเกิด วางดาบพลันก็พลันเห็นพุทธะ ฉะนั้นอย่ากลัวการตอบอาจารย์ เพราะอาจารย์อยากร่วมบุญกับศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)  อาจารย์ดีใจและปลื้มใจที่คนทางใต้น่ารัก และมีใจใฝ่ธรรมะ และมีใจอุทิศเสียสละ และมีใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะหวั่นไหวอะไรไปบ้างก็ตาม หลักสำคัญในการศึกษาธรรม คือเรียนรู้เข้าใจความทุกข์ และอยู่กับทุกข์อย่างคนไม่ทุกข์ เพราะชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์  และสาเหตุเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นทุกข์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วถึงที่สุด แม้ตัวเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ
เรารู้ว่าเนื้อตัวเรายึดไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าบำเพ็ญแล้วไม่ยึด ไม่เผลอหลงยึดตัวเองไปสร้างวิบากกรรม สิ่งแรกก็คือหมั่นทำอะไรโดยใช้คุณธรรมเป็นหลัก อย่าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ เพราะถ้าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ หนีไม่พ้นกรรมชั่ว แต่ถ้าทำอะไรปฏิบัติกับใครด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเห็นใจ ด้วยธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะตัวเองชอบ เพราะตัวเองคิดแบบนี้ เพราะตัวเองอยากได้แบบนี้ ผลสุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่บำเพ็ญธรรมสอนให้เราถือคุณธรรมเป็นหลัก เพื่อยับยั้งการหลงยึดมั่นถือมั่นและเผลอตามใจตัวเอง   ฉะนั้นปฏิบัติกับเขาเคารพไหม     ปฏิบัติกับเขาเมตตาไหม ปฏิบัติกับเขาจริงใจไหม ปฏิบัติกับเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ถ้าปฏิบัติกับเขาทุกวันมีแต่ให้ธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม    แต่ถ้าทุกวันศิษย์อยากกินอะไร ชอบอะไร อยากได้อะไร จะทำอะไร ทุกวันที่ได้ก็คืออัตตาตัวตน ซึ่งทำให้เราไม่สามารถกลับคืนสู่สภาวะธรรมได้ แต่กลายเป็นว่าเรายึดติดตัวตนใช่ไหม อาจารย์ถามว่า เรากินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยงาม ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เพื่อกลับคืนสู่ธรรม หรือเพื่อเป็นตัวของตน ถ้ากลับคืนสู่ธรรมทุกขณะเราต้องมีธรรม แบบนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมเป็นทาน แต่ถ้าทุกขณะ ฉันอยากได้แบบนี้ ฉันเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ทำไมเขาพูดแบบนั้น ทำไมเขาพูดแบบนี้ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว ถึงที่สุดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นยิ่งศิษย์ยังไม่ได้กินเจด้วย บางคนกรรมก็ไม่ถูกตัด กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็สร้างอีก แล้วแบบนี้จะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แล้วเรียกอาจารย์ช่วยได้ไหม เพราะตัวศิษย์เองยังไม่คิดช่วยตัวเอง ยังตามใจลิ้น กินแล้วสร้างบาป กินแล้วเกี่ยวกรรม อยากกินอีกเหรอ ละได้ก็ต้องละ บาปที่ตัดได้ง่ายที่สุดคือบาปที่ละออกจากปาก ไม่เอาภัยเข้าสู่ตัว และไม่เอาภัยออกจากปาก ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญไปให้ถึง เราต้องละวางตัวตนและถือธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าใจเราเย็นอยู่ที่ไหนก็เย็น ถ้าใจเราร้อนแม้อยู่ที่เย็นก็ร้อน ใช่ไหม ฉะนั้นขอให้ทำอะไรไตร่ตรองในธรรมให้หนัก ถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือนิสัยตนเป็นอารมณ์เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบคำว่า ธรรมของตน ฉะนั้นปฏิบัติกับใครถือธรรมเป็นหลัก เมตตาไว้ จริงใจไว้ ให้เกียรติเคารพไว้ มีธรรมไว้ ซื่อตรงไว้ ไม่ใช่เรื่องยากถูกไหม (ถูก)  แต่ตามใจตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองมีแต่ทุกข์และมีแต่กรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง รักษาความดีงามในใจของตนให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์อยู่ในโลก แต่ไม่ทุกข์กับโลก อยู่ในโลกไม่ทุกข์เพราะคำพูดคน อยู่ในโลกไม่เจ็บเพราะการกระทำของคน แต่เข้าใจความเป็นจริง ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หน้าที่เราจะไปแก้ไข สิ่งที่เราทำได้คือรักษาจิตให้ปกติและดีงามมีธรรมอยู่เสมอเท่านั้นเป็นพอใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากโอบกอดศิษย์ทุกคน อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคน มุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าล้า อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ใจตัวเองนะได้ไหม (ได้)  ให้ได้จริงๆ นะ มีโอกาสกลับมาศึกษา เรียนรู้ เข้าใจตัวเองให้มากๆ นะศิษย์ได้ไหม เข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ก้าวหน้า เดินทางธรรมให้ถึงที่สุดนะได้ไหม (ได้)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันตื้นตันใจไปหมด แค่เห็นศิษย์กลับมาก็ดีใจแล้ว แต่จะดีใจมากกว่านี้ ถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่างคนดีแท้จริง มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างคนมีธรรมแท้จริงใช่ไหม (ใช่)
ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์หรอกนะ อาจารย์รอวันศิษย์เดินได้และปฏิบัติได้จริง และกลับไปหาอาจารย์อย่างคนที่ทำถึงธรรม ทำเข้าถึงธรรมนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  พระอาจารย์ไปแล้วนะ รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ อย่าเป็นเด็กดื้อของอาจารย์ เข้มแข็ง นำพาคนให้ได้ด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สู้ไม่ถอยนะ
ใครที่ตอบแล้ว นั่งลงก็ได้นะ ใครที่ยังไม่ตอบ ยืนตอบอาจารย์ใช่ไหม อะไรที่ทำให้เราทุกข์  ความดื้อหรือเปล่านะ (ความคิด)  ตอบได้ดีนะ ฉะนั้นถ้าคิดแล้วคิดไม่ถูก จงใช้สติยั้งคิด (ความไม่มีสติ ใช้แต่อารมณ์)  อายุเท่านี้แล้วนะ ต้องอารมณ์เย็นขึ้น ใจเย็นขึ้น ใช้ธรรมกำกับความคิดนะ                  (ไม่รักดี)  ชอบดื้อใช่ไหม (จิตใจ)  จิตใจเป็นอย่างไร ใจร้ายมากกว่าใจดี (ใจร้าย)  จริงหรือ คนแบบนี้ใจร้ายไหมศิษย์ ดูไม่ร้ายนะ ใจดีออกใช่หรือไม่ ฉะนั้นพยายามใจดี อย่าใจนักเลง แล้วรู้จักมีศีลมีธรรมได้ไหม (ได้)  อายุเท่านี้แล้วโรคภัยก็เยอะแล้วนะ ไม่รักตัวเองหรือ อยากตกนรกไหม (ไม่)  กลัวตายไหม (กลัว)  แล้วทำดีหรือยัง (ทำ)  ทำอะไร ศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  ศีลห้ายังไม่ครบเลย
(มีสติทุกขณะที่คิด พูด ทำ)  รู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พอแล้วนะศิษย์ อะไรที่มันผิดรีบแก้ไขก่อนที่มันจะก่อภัยก่อทุกข์ อาจารย์เตือนได้แค่นี้นะ
(ใครร้ายร้ายตอบ ใครแรงมาแรงตอบ)  เจ๊งแน่ๆ นะศิษย์ ต่อไปยอมได้ยอมนะศิษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชีวิตมันจะสั้นจริงไหม (จริง)
(สติความคิด)  ทุกข์เพราะการกระทำของตนที่ไม่มีสติยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ชอบกินเหล้า ชอบดูดบุหรี่ ชอบไปดูแข่งนก ชอบดูชนวัว ใช่ไหม (ใช่)  ควรทำอีกไหม (ไม่)  ควรเข้าวัดเข้าวาบ้างนะ อายุปูนนี้แล้ว อบายมุขนำไปสู่นรก เปรตและเดรัจฉานนะศิษย์  มีลมหายใจจงเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องก่อนที่หมดลมหายใจแล้วแก้อะไรไม่ได้นะศิษย์
(ดื้อ)  ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ขี้เกียจ ต่อไปต้องขยัน กล้ารับผิดชอบ อย่าอู้ มีน้ำใจช่วยเหลือพ่อแม่ พูดดังๆ ว่าผมจะ (ขยัน)  และจะรัก (พ่อ แม่)  ดังๆ  เรื่องดีเราต้องกล้า เรื่องไม่ดี เราต้องหด ต้องทำให้ได้นะ วาจาบางทีก็ไม่สำคัญเท่าการกระทำนะศิษย์
(การมีทิฐิมานะของตน, ไม่รู้)  รู้ก็ทุกข์ ไม่รู้ก็ทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่รู้คนอื่นไม่เป็นไร ขอให้ศิษย์รู้และเท่าทันใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสอารมณ์ แล้วต่อไปนี้ อย่ามองแต่ตัวเอง ถ้าสงสารตัวเองมาก เราจะไม่สงสารใคร ถ้าคิดถึงตัวเองมากเราจะลืมคิดถึงคนอื่น มีเราได้ทุกวันนี้ ก็จะต้องมีอีกคนที่เหนื่อยเพราะเรา ฉะนั้นอย่าลืมคนที่เขาห่วงเรา รักคนที่เขารักเราด้วย อย่ามัวแต่รักตัวเอง
(อารมณ์ร้อน)  ถ้าอย่างนั้นใจเย็นนะ (พูดไม่ค่อยคิด)  ตอบได้ดี
รู้จักมีความสุขตลอดยิ้มได้ในทุกเรื่อง ทุกข์มันก็ไม่มี จริงไหม
(ทุกข์เพราะว่าโลภ โกรธ หลง)  โลภ โกรธ หลงยังตัดไม่ได้สักทีนะ อายุเท่านี้แล้วนะ โลภยังตัดไม่ได้ ยังโลภอยู่อีกหรือ ยังโกรธอยู่อีกหรือ หลงหลาน โมโหหลาน แล้วก็โกรธหลาน ช่างเขาเราดูแลก็พอ อย่าไปทุกข์ใจเลย ทุกข์ใจก็เปล่าประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงเองเลย เขาจะได้ไม่ด่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปทุกข์ ทำให้ดีที่สุดเพราะว่าสุดมือแล้วเราก็ควบคุมอะไรไม่ได้ จริงไหม เราเปลี่ยนโลกให้เป็นดั่งใจไม่ได้ เปลี่ยนคนให้เป็นดั่งคิดไม่ได้ ขอแค่เพียงตัวเราทำตัวเองให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรเราห้ามไม่ได้ จริงไหม
(อยู่คนเดียว)  อดไม่ได้ที่ฟุ้งซ่าน เหงาไหม ไม่เหงาใช่ไหม อาจารย์อุตส่าห์ดีใจนึกว่าอยู่คนเดียวนี่คือไม่เหงาแล้วอยู่คนเดียวได้ ศิษย์เอ๋ย ถึงที่สุดศิษย์ไม่เคยพลัดพราก ศิษย์ไม่เคยมีคู่ เวลาคนที่เขามีคู่แล้วเขาพลัดพรากมันเจ็บ แล้วการที่เคยอยู่กับคู่มาตลอดแล้ววันหนึ่งต้องอยู่คนเดียวไม่มีคู่ อาจารย์ไม่เคยเห็นใครเข้มแข็งสักที แต่ศิษย์เข้มแข็งได้ ขอแค่เพียงยอมรับ อย่าฟุ้งซ่าน เมื่อไรที่ฟุ้งซ่านจงมองด้วยสติ อยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี อยู่มาตั้งสี่สิบปี ทำไมอยู่ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจำเป็นจะต้องมีหรือ ไม่มีฉันจะอยู่ให้ได้ ฟุ้งซ่านเมื่อไร สวดมนต์ ฟุ้งซ่านเมื่อไรไปทำบุญใส่บาตร ฟุ้งซ่านเมื่อไรนั่งสมาธิ มันอยากฟุ้งๆ ไปแต่ฉันจะสงบ ฉันจะเด็ดเดี่ยว ทำให้ได้นะ
(เป็นห่วงลูก)  ศิษย์เอ๋ย คนเป็นลูกนี่ทำไมไม่ทำตัวให้น่ารักนะ แต่อาจารย์ถามจริงๆ อยากให้ลูกเป็นดังใจ หรือยอมรับให้ลูกเป็นอย่างที่เขาเป็นอย่างไหนสุขกว่ากัน เห็นเขาดีกว่าไม่เห็นเขา ถ้าแม่เอาแต่บ่น แม่เอาแต่ว่า ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาหนีไปเราก็ช้ำใจ ฉะนั้นรับให้ได้ลูกจะเป็นอย่างไรบอกคำเดียวว่าแม่ก็รักหนูตลอด ไม่ว่าหนูจะถูกจะผิดแม่ก็รัก ไม่ต้องบ่นไม่มีประโยชน์ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะเด็กดื้อเหลือเกิน ถ้าพูดถึงคนโบราณจะกล่าวไว้ว่า ตำแหน่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีคุณธรรมบารมีถึงพร้อม แต่ถ้าคุณธรรมบารมีไม่ถึงพร้อมก็ไม่สามารถเป็นจ้าคนนายคนได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอยู่ที่ตัวเรา แล้วถ้าเขาเป็นเจ้าคนนายคนแล้วเขาโดนกดดัน โดนด่า โดนยัดเยียด ถึงตอนนั้นศิษย์จะบอกว่าให้เขาเป็นคนธรรมดาพอแล้ว
(ชอบคิดกังวล)  ถ้าทำให้ดีที่สุดทำไมต้องคิดกังวล ทำเต็มที่ที่สุดทำไมต้องหวาดกลัว เต็มที่หรือยัง ใช่หรือไม่ (ทุกข์เพราะเป็นห่วงแม่)  ตัวเองดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเราเข้มแข็งเราก็มีแรงดูแลแม่ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้มแข็งเรายอมแพ้เราบ่น แม่ก็เฉาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอแค่เพียงมุ่งมั่นเข้มเเข็งสิ่งที่ดีเราก็ช่วยแม่แล้ว (ไม่ทุกข์เพราะพยายามมีศีลประจำใจ)  ยุงมา เราไม่ตบ เราแค่ขยี้เฉยๆ คนมีศีลประจำใจ ความเมตตาจะทำให้เรามีอายุยืน (ทุกข์เพราะคิดมากสับสน)  เมื่อวานศิษย์พี่นาจาเมตตาว่าความคิดง่ายที่จะไหลลงที่ต่ำมากกว่าขึ้นสูง คิดร้ายง่ายกว่าคิดดี ใช่หรือไม่
(อยากให้แม่แข็งแรง)  ชีวิตนี้หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ และความตายใช่ไหม ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำให้ดีที่สุด เราห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ แต่ขอให้มีปัญญาสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ด้วยการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องมีธรรม แม้ตายก็ไม่น่ากลัว แม้เจ็บก็ไม่ใช่เรื่องที่โหดร้าย แต่ทำให้เรารู้จักปลดปลงสังขารลงได้ด้วยการไม่ยึดติด และกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เราจากมา แต่การยึดมั่นถือมั่นและการห่วงอันนั้นห่วงอันนี้ คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้วางไม่ลง นั่นคือการนำพาให้ตัวเองทุกข์ และเวียนว่ายในกรรมที่เราสร้างร่วมกับผู้คน
(สติมาปัญญาเกิด)  สติเตลิด (จะเกิดปัญหา)  ฉะนั้นขอให้ทำอะไรมีสติ ศิษย์เอ๋ย ปัญหา ความทุกข์ ความผิดพลาด ทำให้เรารู้จักตน สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้มแข็ง สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ แต่เมื่อเจอปัญหา เราจึงได้เห็นชัดว่า เราไม่เคยเข้มแข็ง เราไม่เคยรู้ และเราไม่เคยเข้าใจอะไรจริงๆ
ฉะนั้นมนุษย์กลัวปัญหา กลัวความผิด กลัวความทุกข์ แต่พุทธะไม่เคยกลัวปัญหา ไม่เคยกลัวความผิด ไม่เคยกลัวความทุกข์ เพราะปัญหา ความผิด และความทุกข์ ทำให้เรามองเห็นใจเราชัดเจนขึ้น ว่าจริงๆ เราเข้มแข็ง หรือจริงๆ เราไม่ได้เข้มแข็ง จริงๆ เรารู้หรือจริงๆ เราไม่รู้ เหมือนเราฟังธรรมเข้าใจว่า อดทน ให้อภัย มีเมตตา แต่ถึงเวลาอดทนไหม เมตตาไหม เข้าใจคนอื่นหรือไม่ ทำไม่ได้เลยต่างหาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองเอาไปศึกษาดูนะศิษย์ สิ่งที่อาจารย์ให้คือกลอนสามบทนี้ ถ้าเรามีบุญกันอยู่ เราคงได้เจอกันอีกดีไหม (ดี)  จำไว้นะศิษย์ อยู่ในโลกสร้างบุญ อย่าสร้างบาป อยู่กับใคร จงอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน อย่าอยู่อย่างมีบาปกรรมร่วมกันเลย  บุญ คือสิ่งที่ให้ไปแล้วทำให้จิตเบา จิตว่าง จิตโปร่ง จิตใส แต่ บาป คืออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่หนัก มีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บ แล้วศิษย์อยากอยู่กับคนบนโลกด้วยบุญหรือด้วยบาป (ด้วยบุญ)  แล้วเราให้บุญหรือเราให้บาป (ให้บุญ)  ถ้าให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวด ก็ให้บาป แต่ถ้าให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้ความซื่อตรง ให้ความเข้าใจ นั่นก็คือการให้บุญ ปฏิบัติธรรมเริ่มที่ตัวเรา เอาธรรมออกจากใจ เอาธรรมยื่นให้ผู้คน อยู่อย่างคนมีธรรมและให้ธรรม เราก็จะกลับคืนสู่ธรรมได้ แต่ถ้าอยู่อย่างคนมีอัตตาตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า นรก สวรรค์ และอบายภูมิ ถามตัวเองนะ วันนี้ที่เราทำพ้นเวียนว่ายตายเกิดไหม วันนี้ที่เราทำพ้นทุกข์มีธรรมหรือไม่ อย่าประมาทการดำเนินชีวิต ตายเกิดแล้วไม่จบ ถ้ายังยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ตายแล้วไม่มีวันหมด ถ้ายังมีกรรมและไม่ชำระสะสางให้สิ้นกรรม ฉะนั้นจงอยู่อย่างคนไม่สร้างกรรมใหม่ ใช้กรรมเก่าโดยการมีธรรม ไม่มีกรรม ปฏิบัติธรรมไม่สร้างกรรม แล้วทำอย่างไรล่ะ ก็แค่ทำด้วยธรรม อย่าทำด้วยอารมณ์ความเป็นตัวตน เพราะจะกลายเป็นกรรม ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดนะ
อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ถึงเวลาเป็นเรื่องปกตินะ มีพบก็มีพราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวันศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนไม่ขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เจ็บก็ไม่ต้องกลัว ตายก็ไม่เสียดาย เพราะเต็มที่ที่สุดแล้ว แล้วศิษย์ล่ะเต็มที่หรือยัง ดีแบบคนพ้นกรรมไหม หรือยังอยากเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าไม่อยากลองเอาธรรมที่อาจารย์พูดไปปฏิบัติ ยากไหม (ไม่ยาก)  ถือคุณธรรมเป็นหลัก ไม่ถือตัวเองเป็นหลัก ถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่ถืออารมณ์นิสัยเป็นหลัก ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด ได้ไหม (ได้)  ลองตรองดูสิ่งที่ทำ มีเมตตาไหม จริงใจไหม เห็นใจไหม รู้จักเข้าใจคนอื่นไหม ไม่ยากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งใจนะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงาม รู้คุณค่าของตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง รู้จักรักชีวิตตัวเองนะ ทำให้ได้นะ บุญรักษา ความดีนำพา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ รักษาบุญรักษาโอกาส ดูแลตัวเองให้ได้ เข้มแข็งให้เป็น อย่าดื้อดึง ทำให้ได้ อย่าดื้อมาก รู้จักรักตัวเอง อย่าหลงคำพูดคน จนลืมความมุ่งมั่นของตัวเอง ในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามนะ บุญรักษา นำพาให้ชีวิตร่มเย็น ลำบากไหม เมื่อยไหม เหนื่อยไหม รู้เรื่องหรือเปล่า กินผักนะ ชีวิตจะเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ชีวิตต้องมุ่งมั่นสู้ มีโอกาสมาฟังอีกนะ ได้ไหม อาจารย์ต้องให้กำลังใจอะไรอีกไหม ไม่ต้องแล้วใช่ไหม เจอเรื่องราวอะไร ขอให้ผ่านไปได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ รักษาความถูกต้องดีงามด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ด้วยความเป็นจริง ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผ่านให้ได้นะ
ต่อไปเดินหน้าสู้ ระวังคำพูด ศิษย์ก็คือคนสำคัญ แต่คำพูดเราก็สำคัญ อย่าให้คำพูดเราทำร้ายใคร ศิษย์ต้องเข้มแข็ง มุ่งมั่น เชื่อมั่น อย่ายอมแพ้ อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงอีก หนทางธรรมไม่ยาก สิ่งที่ยากคือหัวใจที่ชอบไม่ยอม หนทางธรรมไม่เคยยาก แต่ที่ยากคือหัวใจที่ดื้อรั้นและไม่ยอมฟังอะไรง่ายๆ อะไรจะเกิดก็เกิด ขอแค่เพียงเราเข้าใจและมองเห็นความเป็นจริง มุ่งมั่นแล้ว ไปให้ถึง ดีแล้วดีให้สุด อย่ายอมแพ้ ร่วมมือกันนำพากันให้ถูกทาง ไม่แข่งกัน ก้าวไปพร้อมกันได้ไหม แม้จะลำบากก็ฟันฝ่าให้ได้ แม้จะทุกข์ก็อย่าท้อ แม้จะล้าก็ไม่มีวันถอย เข้มแข็งได้จริงๆ ไหม มีโอกาสมาฟังธรรมให้เข้าใจ ศิษย์ล้วนมีบุญนะ อย่าดูเบาบุญของตัวเอง เดินหน้าแล้วไปให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยให้ความร้ายมาทำร้ายความดีในใจตนเอง ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ไม่ใช่หวั่นไหวอะไรนิดหน่อยก็ยอมแพ้แบบนี้ไม่ไหวนะ ไปให้ถึงที่สุดได้ด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินแก้ ความดีของตัวเองคืออะไร คือความมั่นใจและรู้คุณค่าของตัวเอง ศิษย์มีคุณค่าแต่ศิษย์ชอบดูเบาคุณค่าตัวเอง รู้จักรักตัวเองนะศิษย์ อย่าทำร้ายตัวเองในสิ่งที่ผิดเลย
เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วง เมื่อไรจะเข้มแข็งมุ่งมั่นแล้วทำให้อาจารย์มั่นใจว่าข้างหน้าอาจารย์ไม่ต้องห่วงศิษย์แล้ว ถามใจตัวเอง ถึงที่สุดหรือยัง ถ้ายังไม่ที่สุด ลงมือให้ที่สุด ถ้ายังไม่ที่สุด ทำให้ที่สุด
กลับแล้วนะ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามไปให้ถึงที่สุด เต็มกำลังที่สุดในชีวิตหนึ่งที่ศิษย์จะทำได้ แล้วศิษย์จะไม่มีวันเสียดายเลยที่เกิดมา แม้จะต้องตายไปในวันนี้ เชื่ออาจารย์เถิดนะ แล้วเราจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อกลับสู่ความเป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่นำพาไปสู่ความว่าง สงบ เย็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น   


          พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติมาปัญญาเกิด”
    รู้ผิดกล้าแก้ไขจึงก้าวหน้า              ปัญหาชี้ข้อบกพร่องให้ตนรู้
ทุกข์สอนให้ตนรู้ตนย้อนมองดู             ที่เข้าใจว่ารู้อาจห่างความจริง
คนรู้จริงไม่หยุดนิ่งการเรียนรู้              คนดีอยู่ที่ไหนพร้อมฝึกฝนยิ่ง
ธรรมงดงามหลงตนพลาดทุกข์ยิ่ง          มองตามจริงอย่าอิงเข้าข้างไป

    สติเรียกใจนิ่งตรอง                      ครองใจเป็นกลางลงได้
ใช้ธรรมกำราบหัวใจ         แจ้งในธรรมตามเป็นจริง


 แก้ไขเพลงพระโอวาทที่ท่านเสี่ยวผีเซียนถง เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมจินจง เมื่อวันที่ 16-18 มิถุนายน 2561    

จากเดิม  เมื่อยังไม่ถาม เจ้าลืมหรือเปล่า
แก้เป็น  เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน
ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา