วันเสาร์ที่
๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือฮุ่ย นครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านเสี่ยวตงตง
คนไม่คุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจกัน คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย
คนสนิทมารยาทยังต้องมีด้วย อย่าได้ฉวยโอกาสบนความชอบพอ
เราคือ
เสี่ยวตงตง
(小冬冬) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่าน อยากคุยกับเราไหม
เห็นสิ่งดีเพราะฤดีแสนประเสริฐ กุศลเกิดย่อมดีกว่าสิ่งไหน
ชีวิตดีเพราะคนรู้พอได้ อคติย่อมเกิดร้ายไม่เกิดปัญญา
คำว่าร้ายทุกเรื่องล้วน
สังเวช[๑] คะนึงเหตุปัจจัยอยู่อย่างแกล้วกล้า
อย่าสรุปตามที่เห็นด้วยตา อยากกำหนดอะไรใช้ปัญญาใช่อารมณ์
ปัญญาแยกร้ายดีอย่างเต็มที่ สติมีเกิดขึ้นดับขื่นขม
สติย่อมอยู่ตั้งไปแล้วล้ม เพียงแจ้งในสัจธรรมบ่มสติทน
ตื่นทุกเมื่ออย่างมีชีวิตชีวา วิทยา[๒]
ไม่ถี่ถ้วนเพียรฝึกฝน
รู้ไม่รู้สองลักษณะหนึ่งบุคคล กลายเกิดคนโลกีย์วิญญาณมัวเมา
จิตหวั่นไหวในสู่เสรียาก จดจำเมื่อลำบากไม่สาวเท้า
อุปสรรคจ้องถูกไม่ใช่สบายก้าว สำนึกก็เรามีไม่เศร้าโศก
ทิฐิอยู่เช่นนั้นมีก็ทรมาน ตระหนักการเป็นคนเหงื่อชุ่มโชก
มารยาทไม่กั้นเหมือนคนละโลก เรื่องต่าง อุปโลกน์ [๓] ดำเนินจากจิตดี
สมานรอยแตกแยกทำงานร่วม กำลังรวมกำหนดทางของพรุ่งนี้
อย่าหลงภาพแต่ตนเท่านั้นดี เน้นวิถีสร้างคนเรื่องบำเพ็ญใจ
ฮิ
ฮิ
หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวตงตง
อยู่ในโลกนี้มีความสุขไหม อยู่ในบ้านมีความสุขไหม มาอยู่ที่นี่นั่งแล้วสบายใจขึ้นบ้างไหม บางทีอยากไปเที่ยวให้สบายใจ พอไปแล้วกลับมาก็ต้องมากลุ้มเหมือนเดิม
บางทีบอกว่าอยากไปให้พ้นๆ เผื่อจะได้พบความสุข แต่บางทีไปแล้วยังไม่เท่าไหร่ก็กลับมีความทุกข์เพิ่มมาอีกใช่หรือไม่
(ใช่)
อะไรคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต
(ไม่มีโรคภัย)
เคยเห็นคนมีโรคแล้วมีความสุขไหม (เคย)
ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ นะ มีคนหนึ่งรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีใครรัก
จนกระทั่งเขาป่วยมีคนมาเยี่ยมเขาไม่ซ้ำหน้าเลย
ใครมาเยี่ยมเขาก็หัวเราะเหมือนคนไม่ป่วย เขาบอกว่า
เขาเพิ่งรู้นะว่าตอนเขาป่วยนี้มีคนรักเขาเยอะขนาดไหน
ตกลงคนที่ป่วยนี้ดีหรือไม่ดีกันแน่ บางคนตอนดีๆ อยู่มีคนมาเยี่ยมทุกวันๆ
แต่พอป่วยไม่มีใครมาเยี่ยมเลย
แปลว่าเรื่องราวในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน วัตถุ สิ่งของ
หรืออะไรก็ตามแต่ มันเหมือนเป็นไฟ เรารักเขามากๆ ก็เหมือนเรากำลังเลี้ยงลูกไฟลูกหนึ่ง
บางทีก็ทำให้เราอบอุ่น บางทีก็ทำเราร้อนเสียจนเจ็บปวด
เงินเหมือนกันบางทีก็ทำเรายิ้มแก้มปริที่ได้เงินวันนี้
แต่บางครั้งเงินก็เผาไหม้ใจเราได้
บางทีคำชมของคนๆ นี้พูดแล้วทำให้เราสบายใจ แต่พออีกคนหนึ่งเขาไม่ชม
เปลี่ยนเป็นด่าเรา เราก็รู้สึกเศร้าใจ
เราจะบอกท่านว่าในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสิ่งของ เป็นบ้านเป็นเสื้อผ้า
หรือเป็นคนที่เรารัก เราเหมือนกำลังเล่นไฟอยู่ ไฟนั้นมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ใช่หรือไม่
(ใช่) แล้ววันนี้เรามีลูกไฟในตัวกี่ลูก
แล้วอะไรเป็นลูกไฟในตัวที่เรารักที่สุดก็จะทำให้เราเจ็บปวดที่สุดจริงไหม
(จริง)
ฉะนั้นจึงอยากจะบอกท่านว่าระวังไฟที่เราสร้างมันขึ้นมาเองให้ดี
อย่าให้ไฟมันลนก้น อย่าให้ไฟเผาใจ แม้แต่ตัวเราเองนี่ก็เป็นลูกไฟที่ใกล้ตัวที่สุด
บางครั้งก็ทำให้เราอิ่ม แต่บางครั้งก็ทำให้เราอืด บางครั้งก็ทำให้เราสบายท้อง
แต่บางครั้งก็ทำให้เราถ่ายท้องใช่หรือเปล่า (ใช่)
“คนไม่คุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจกัน
คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย”
บางครั้งพอเราสนิทมาก ยิ่งสนิทเรายิ่งลืมมารยาทที่ควรมีต่อกัน
เคยเห็นไหม อยู่ในบ้านเอะอะโวยวาย
แต่อยู่ข้างนอกบ้านพินอบพิเทา[๔]เขาอย่างกับอะไรดี อยู่ในบ้านอย่างกับพญาเสือ
แต่อยู่ข้างนอกอย่างกับแมวนอนหวด หรือบางคนอยู่ในบ้านเป็นแมวนอนหวด
อยู่ข้างนอกเป็นเสืออาละวาด เราเลยกลายเป็นคนสองบุคลิกในตัวเดียวกัน คนไหนอ่อนหน่อยข่มได้ข่มเอา
คนนี้แข็งกว่าเราหน่อยก็เลยยอม อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) คนแบบนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เป็นพวกไม่มีความมั่นคงในตัวเอง คนเช่นนี้น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ต่อคนดีเขาจะร้าย แต่ต่อคนร้ายเขาจะทำดี เพราะเขาถือว่าคนดีข่มได้ข่มเอา
แต่คนที่ข่มไม่ได้ก็ยอม เราเป็นเหมือนคนอย่างนี้หรือเปล่า
(เป็น) แล้วถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) เราก็จะยิ่งทำให้คนร้ายได้ใจ
คนดีหมดกำลังใจใช่ไหม (ใช่)
“คนสนิทมารยาทยังต้องมีด้วย
อย่าได้ฉวยโอกาสบนความชอบพอ”
พอใครใจดีกับเรามากหน่อย พอข่มเท่านี้น้อยไปต้องเอามากกว่านี้จริงไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกกำลังกายโดยการหันหน้า,
หลัง, ซ้าย, ขวา,
เงยหน้า, ก้มหน้า)
ทำอะไรก็ตามต้องมีจุดยืนเป็นหลักสำคัญ
เวลาจะหันซ้ายหันขวา หมุนไปกี่ทิศอย่าลืมจุดยืน พอเรากลับไปยืนจุดยืนจะเลื่อนซ้ายเลื่อนขวามันก็ง่าย เหมือนชีวิตของท่าน เดินไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่รู้ว่าบ้านเราอยู่ตรงไหนบางทีก็หลง
เป็นคนก็เหมือนกันถ้าไม่มีจุดยืนว่าจะต้องเป็นคนดี
เราก็หลงใหลไปตามความชั่ว ถ้าเราไม่มีจุดยืนว่าฉันจะต้องดีให้ได้
วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดีที่สุด ไม่แน่เราก็อาจจะกลายเป็นชั่วไปก็ได้ ใช่หรือไม่
(ใช่)
ถ้าคนในโลกรู้จักยอมรับผิด
บ้านเมืองคงสันติสุขมากกว่านี้ แต่คนในโลกส่วนใหญ่ยอมรับไหมว่าตัวเองเป็นคนผิดเป็นคนไม่ดี
(ไม่ยอมรับ)
อะไรเอ่ยที่มนุษย์เห็นของตัวเองยากที่สุด แต่เห็นของคนอื่นง่ายที่สุด
สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น ถูกไหม
(ถูก)
ดั่งสำนวนที่เขาบอกว่า “โทษของผู้อื่นเห็นเป็นภูเขา
โทษของเราเห็นเบาเท่าเส้นผม” เราเห็นความผิดของตัวเองนั้นยาก แต่เห็นความผิดของคนอื่นนั้นทุกวันๆ
เห็นจนเบื่อเลย แต่เคยเห็นตัวเองไม่ดีไหม ไม่เคยเลย
ใครว่าตัวเองในที่นี้เป็นคนเลว เป็นคนพาล เป็นคนไม่ดีบ้าง
ยกมือขึ้น ปรบมือให้หน่อย
เพราะคนโบราณกล่าวต่ออีกว่า “คนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลว
คนนั้นแหละคือคนที่ใกล้จะเป็นคนดี คนใดที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอันธพาล
คนนั้นแหละใกล้ที่จะเป็นบัณฑิต”
สำนวนโบราณแต่ปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่
เรามักจะพูดว่าฉันไม่เลวและก็ไม่ดี เป็นพวกกึ่งๆ แล้วพวกกึ่งๆ เป็นตัวปัญหาใช่ไหม จะดีก็ไม่ดี จะเลวก็ไม่เลว คนที่กึ่งๆ นั้นน่ากลัวที่สุด
เพราะไม่รู้ว่าลมจะพัดมาเมื่อไหร่ ไต้ฝุ่นจะลงตอนไหน
วันนี้เราจะมาพูดเรื่องการเป็นคนไม่ดี เพราะว่าคนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลวเป็นคนไม่ดี
แปลว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดีขึ้นมา
เคยได้ยินคำกล่าวคำนี้ไหมว่า คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี
และเมื่อรู้ว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่มันไม่ดี เขาก็ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
และเมื่อพร้อมจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น คนนั้นก็พร้อมที่จะดียิ่งๆ ขึ้นจนถึงดีที่สุดถ้าเขาไม่หยุดนิ่งในการปรับปรุงตัว
แต่ถ้าคนที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว เขาจะเปลี่ยนตัวเองไหม
เขาจะเผลอหลงตัวเองง่ายไหม มีใครบ้างที่ได้รับคำชมว่าตัวเองดีแล้วไม่หลงตัวไม่แก้มบาน
ฉะนั้นคำชมหรือคำว่า “ดี” ของเรา จะทำให้เราง่ายที่จะแย่ลง แล้วก็แย่ถึงที่สุดได้ สู้พยายามบอกตัวเองว่ายังดีไม่พอดีกว่า ยิ่งทุกวันบอกว่าดีไม่พอ
คนนั้นก็พร้อมที่จะดียิ่งขึ้นและก็ดีจนถึงที่สุด
แล้วสังเกตไหมว่าคนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่ดีนั้น
จะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพในความคิดเห็นของคนอื่นและรู้จักตัวเองมากที่สุด
แต่ถ้าคนที่หลงว่าตัวเองดี จะเคารพความคิดเห็นใครไหม
ไม่ค่อยฟัง เธอจะมาว่าฉันทำไม ฉันว่าฉันดีแล้ว ถูกไหม กับอีกแบบเธอจะมาว่าฉันทำไม เธอดีหรือยัง ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้การเป็นคนไม่ดีเพื่อจะเป็นคนดี
ถ้าวันนี้เราไม่เรียนรู้เราก็คงดีไปเรื่อยๆ
จนกู่ไม่กลับ เหมือนคนอีกประเภทหนึ่งที่ตรงกันข้าม คือคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด
เราทุกคนในที่นี้เคยทำผิดไม่มากก็น้อย
เมื่อทำผิดมีคนจับได้เราทำอย่างไร (ไม่ยอมรับ) อย่างน้อยต้องตั้งป้อมก่อนว่าไม่ใช่ฉัน
เรามักจะรักษาหน้าเราไว้ก่อน รักษาตัวให้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่ใจจะผิดพลาดกี่ครั้งก็ช่าง
ขอให้ตัวเองพ้นผิดตอนนั้นไปก่อน
พูดง่ายๆ ว่าจับได้ยังไงก็อย่ายอมรับ ซึ่งจริงๆ
แล้วมันถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง) ในสังคมจึงเต็มไปด้วยคนถูกที่ปกปิดความผิดในหัวใจ
หน้าสวยแต่ใจเหลวแหลกเพราะความผิด
แต่ถ้าวันหนึ่งเรากล้ายอมรับความผิด
เราจะเป็นคนที่ถึงแม้หน้าไม่สวยแต่ใจเราสะอาด และจะมีคนยอมรับเรา คนในโลกรักหน้ามากกว่ารักหัวใจตัวเองใช่ไหม
เพราะอะไรเราจึงปล่อยให้ตัวเองทำผิดบ่อยๆ รู้ไหม
(เพราะว่าความโลภและความหลงทำให้เราทำผิด) มีอะไรอีกที่ทำให้เราขาดสติเผลอทำผิด
ตอนทำนั้นใช้อะไรมากกว่าใช้สติ เพราะว่าปล่อยไปตามอารมณ์ใช่ไหม คนเราทำผิดหลายกรณีหลายเหตุผลใช่หรือไม่
ความโกรธ มีอะไรอีกที่ทำให้คนเราทำความผิด
(ความโกรธ, โมโห, ความอยาก ความหลง, ความรัก, ความเคยชิน,
ความเกลียด, ขาดปัญญาแยกแยะถูกผิด, กิเลสตัณหา, ความเห็นแก่ตัว, ความอิจฉาตาร้อน,
ความกลัว) ความอยากความหลง
เช่นหลงในรูปที่สวย ความรักที่เป็นแบบผิดๆ
ก็คือรักคนที่มีเจ้าของ รักได้แต่รักห่างๆ
อย่าเอามาใกล้ตัวเพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ผิดจริงๆ รักที่เขาเป็นคนดี มีแฟนที่ดี
แต่อย่ารักเขาที่เขามารักเรา เพราะไม่เช่นนั้นจะมีความผิดบาป เพราะไปแย่งของๆ เขา
ส่วนความเคยชินที่ทำให้เราทำความผิดคือ ชอบเถียงพ่อแม่
พ่อแม่ตามใจจนลูกทำผิด เช่นขอเงินก็ให้เงิน แต่อย่าหาความผิดที่คนอื่น
ให้หาความผิดที่ตัวเราเอง
หาออกมาได้มากเท่าไหร่เราก็พร้อมที่ปรับปรุงแก้ไขได้มากเท่านั้น
แต่ถ้าเราเอาแต่มองออกข้างนอกเราจะแก้ไขตัวเองได้ไหม เอาแต่แก้คนอื่นไม่แก้ตัวเอง ขาดปัญญาแยกแยะถูกผิด
บางครั้งความรู้เล็กน้อยเราก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดกันแน่
เคยได้ยินไหมว่าถ้าเราอยากจะมองแอ๊ปเปิ้ลให้รอบทิศอย่าใช้แค่ตามองแต่ให้เราใช้ใจมอง
จริงๆ
แล้วเรามีสติปัญญาที่ยากจะหยั่งรู้ได้ แม้ตาจะมองได้จำกัด หูจะได้ยินได้จำกัด ปากจะพูดได้จำกัด
แต่เรามีปัญญาที่ล้ำเลิศไม่จำกัด
ใครบอกว่าแอ๊ปเปิ้ลนี้มีเพียงด้านเดียว ทุกคนต้องบอกว่ามีหลายด้าน เพราะความรู้พื้นฐานของเรา
ใช่หรือเปล่า
ถ้าอยากรู้จักคนทุกคนให้ชัดจะทำอย่างไร
จะตัดสินใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังกระทำมันถูกหรือผิด เราต้องมีใจอย่างไรจึงจะสามารถมีปัญญาที่ลึกล้ำ
มีตากว้างยิ่งกว่าตามองเห็น
เคยเห็นน้ำยิ่งใสมากเท่าไหร่
อะไรหล่นลงไปก็มองเห็นได้ชัด เหมือนกับใจของเราที่ใสสะอาดมากเท่าไหร่
ไม่มีอารมณ์ ความอิจฉา กิเลสมาครอบงำ เราจะมองสรรพสิ่งได้เด่นชัด
เหมือนกับเราคิดว่าจะกินแอ๊ปเปิ้ล แต่ตอนนี้ในใจเราเกลียดแอ๊ปเปิ้ล เราจะกินลงไหม
แล้วเราจะให้เหตุผลว่าแอ๊ปเปิ้ลนี้ต้องเปรี้ยวแน่นอน อย่าไปกินเลย
เหมือนวันนี้ท่านกินเจ ใครกินเจเป็นมื้อแรกบ้าง
ในใจตอนแรกอาจรู้สึกว่าไม่อร่อย แต่พอตักเข้าปากก็อร่อย เช่นนั้นอย่าให้จิตใจหรือปัญญาเราถูกบดบัง ขาดสติสัมปชัญญะและหลงในอวิชชา
เพราะอารมณ์ความรู้สึกเพียงชั่ววูบนะ พูดว่ารู้แต่บางทีก็ไม่รู้
ผิดเพราะอะไรอีก เพราะความอยากได้ เพราะความเห็นแก่ตัว
เพราะความอิจฉาตาร้อน เพราะมีความกลัว เรากลัวมากๆ เราก็เลยทำผิด
กลัวอะไรที่ทำให้เราทำผิดมากที่สุด
กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ก็เลยคิดมากไป สาเหตุที่ทำให้มนุษย์เราทำผิดมีหลายประการ
แต่เราอยากบอกเพียง ๓ ประการคือ
๑. รับไม่ได้กับความที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในตัวคนๆ หนึ่ง
แล้วเราก็สรุปว่าเขาเป็นคนไม่ดี ก็เลยตั้งข้อรังเกียจเขา
ปฏิบัติต่อเขาด้วยการกระทำที่ไม่ดี มารยาทที่ควรจะพูดให้ไพเราะก็กลายเป็นหยาบกระด้าง
เพราะรับไม่ได้ในด้านตรงข้ามที่เขาไม่น่าจะเป็น
๒. พยายามที่จะทำดี
แต่พอทำดีแล้วโดนคนมองด้วยสายตาดูถูก โดนคนพูดด้วยคำพูดเหยียดหยาม
ทำดีเอาหน้า จากที่ตอนแรกทำดีอยู่
โมโหไม่ทำแล้ว เกลียด แช่งชักหักกระดูก ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีกเลยชาตินี้ ทำดีแล้วกลับทำไม่ขึ้น
ดีของเราเลยเป็นดีแตก
๓. ตัวเองเป็นคนธรรมดามีดีก็มีเลวใช่หรือไม่
เลยปล่อยตัวไปตามสบายไม่เป็นคนดีตลอด
คนที่ปล่อยตัวตามสบายก็ง่ายที่จะเผลอทำผิดมากเข้าๆ จนคนเขาเริ่มจะมาเตือนก็พูดว่า
ถึงฉันจะชั่วอย่างนี้ คนนั้นก็ไม่ดีกว่าฉันสักเท่าไหร่ พอโดนว่า ว่าตัวเองผิดมากๆ
แล้วเราจะเป็นคนอย่างไร ก็ยกตัวเองให้สูงขึ้น และบอกว่าอีกคนที่ชมน่ะไม่ได้ดีกว่าฉันหรอก
ใช่หรือเปล่า ตัวเองไม่ดีแล้วยังป้ายให้คนอื่นไม่ดีด้วย
กับอีกแบบหนึ่ง ยอมรับว่าตัวเองสามวันดีสี่วันไข้
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่สามารถเป็นคนดีสมบูรณ์แบบได้ พอเผลอทำผิดบ่อยๆ
เข้าก็พูดออกมาว่าก็ฉันมันดีได้แค่นี้ ฉันมันเลว แล้วก็ไม่ดีขึ้น ถูกไหม (ถูก)
พูดแบบนี้ก็เหมือนกับคนที่เรายกตัวอย่างไปตอนต้นว่าไม่พยายามแก้ไข
แต่ปกปิดและพยายามป้องกันความผิดของตัวเองอย่างเข้มแข็ง ทำไมไม่ยอมรับแล้วพยายามทำดียิ่งๆ
ขึ้นไป แทนที่จะมาพูดปกปิดความผิดของตนเองให้เหนื่อยเปล่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่านิทานให้นักเรียนฟัง)
มีครอบครัวๆ หนึ่งมีคุณพ่อคุณแม่ มีคุณลูก
แต่ก่อนก็อยู่กันอย่างสงบสุขมีความสุขดี แต่มีวันหนึ่งแม่เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง
ตั้งใจไว้ว่าจะซื้ออะไรมาใช้ในบ้าน เพื่อแม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก
เพราะทำงานหนักเพื่อลูกเพื่อสามีมาเยอะ
แต่ในวันเดียวกันที่แม่เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งนั้น
สามีก็เดินมาพูดกับแม่ว่า แม่เอาเงินนั้นไปซื้อรถดีไหม บ้านเรารถเก่าแล้ว
มีรถพ่อจะได้พาแม่ไปโน่นไปนี่ได้ แม่ก็เริ่มคิดสิ่งที่แม่จะซื้อ
พออีกสักพักหนึ่งลูกก็เดินมาบอกแม่ว่า
ผมขยันมาถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ยังคะแนนไม่ดีอยู่ ผมขอไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมได้ไหม
ทุกคนเหตุผลดีหมดเลย แต่เงินมีก้อนเดียว ก็ยังตัดสินใจกันไม่ได้
แล้วแม่ก็คุยกับพ่อ พอพ่อไปลูกก็มาคุยกับแม่
แม่ก็รับรู้เรื่องทั้งหมด แต่พ่อกับลูกไม่รู้เรื่อง
พอรุ่งขึ้นเช้าอีกวันหนึ่งตกลงกันว่าจะเอาเงินก้อนนี้มาทำอย่างไร
ปรากฏว่าเงินก้อนนี้หายไป พ่อกลับได้รถใหม่มา
ลูกกลับบอกแม่ว่าผมหาที่เรียนพิเศษได้แล้ว
แม่เป็นอย่างไร แถมเงินก้อนนั้นก็หายไปด้วย
แม่ก็ต้องสงสัยพ่อและก็สงสัยลูก ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่คุยกับพ่ออีกเลย พอมีเรื่องอะไรนิดๆ
หน่อยๆ ที่ลูกทำผิด แม่ก็จะด่าว่าลูก
หลังจากเงินก้อนนั้นหาย
ในบ้านนั้นก็ไม่มีความสุขอีกเลย เพราะอะไรแม่จึงไม่คุยกับพ่อ
และเพราะอะไรแม่จึงโมโหลูกง่ายขึ้น
เพราะกลัวว่าทั้งพ่อกับลูกรวมกันแล้วเอาเงินแม่ไป ใช่ไหม
หมายความว่าบางทีถ้าหัวใจเรามีไฟอยู่ในตัว
เราจะปลูกรอยยิ้มขึ้นกับคนอื่นคงเป็นไปได้ยาก
ถ้าในหัวใจเรามีความทุกข์อัดอั้นอยู่ในตัว แต่เราไม่พูดออกมา
แล้วพยายามกลบเกลื่อนด้วยการยิ้ม หรือกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึกอื่น
เราจะไม่สามารถสร้างสันติในครอบครัวได้
เวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ตาม มนุษย์เราทุกคนเคยชินกับการที่จะอยู่กันด้วยผลประโยชน์
และมองกันด้วยดี ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเคยชินกับการโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง ถูกหรือไม่
(ถูก) พอมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
เราง่ายที่จะปรักปรำผู้อื่นมากกว่าที่จะย้อนกลับมาตรวจสอบตัวเรา
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แทนที่เราจะแก้ปัญหานั้นได้
กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ
แล้วเราก็อยู่กันอย่างไม่มีความสุขไปเรื่อยๆ
เหมือนเวลาท่านอยู่กับครอบครัว แรกๆ ก็มีความสุขดี
อยู่กับคนที่เรารัก แต่พอนานไปเราเริ่มเห็นนิสัย เริ่มเห็นความไม่ดี
เริ่มรับไม่ได้ เราเริ่มทุกข์ใจ และพอทุกข์ใจเราไม่พูด
เราเก็บความผิดของเขาไว้ในใจทุกวันๆ พอเก็บมากเข้าเราเริ่มมีความทุกข์
เราสร้างความรุนแรงให้เกิดจากใจแล้วประทุออกไปภายนอก
เราเลยเป็นคนที่ปัจจุบันนี้ยิ้มไม่ค่อยออก เพราะในใจสุมไปด้วยความเกลียด
ความไม่ดีของผู้อื่นเต็มไปหมด ถูกหรือไม่ (ถูก)
แต่ถ้านับจากวันนี้ไปเราพยายามมองและแก้ไขตัวเอง
ทำตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปจับผิดใคร ทำให้ดีจนถึงที่สุด สักวันหนึ่งคนที่ไม่ดีกับเรา
เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงแล้วดีได้ก็ได้
ขอเพียงตัวท่านมีความเข้มแข็งในการที่จะกระทำดีก็พอ ถ้าลูกไม่ฟัง พูดอย่างไรก็ไม่เชื่อ บางครั้งก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ถ้าพูดถึงที่สุดแล้วเขาไม่เชื่อ
แต่อย่างน้อยเขาผิดกลับมาจงปลอบใจเขา
เราเล่าอีกเรื่องหนึ่งให้ฟังแล้วกันนะ
กลับกันกับเรื่องเมื่อครู่ ครอบครัวสามคนเหมือนเดิม พ่อแม่ลูก
พ่อมีของรักของหวงอยู่อย่างหนึ่ง เป็นแจกันใบใหญ่ๆ วางอยู่กลางบ้าน
วันหนึ่งลูกพาเพื่อนมาเล่น ปรากฏว่าแจกันแตกเพล้ง
ลูกเดินร้องไห้ไปบอกพ่อ ขอโทษครับ ผมทำแจกันแตก ผมไม่น่าพาเพื่อนมาเล่นในบ้านเลย
พ่อบอกว่าไม่เป็นไร พ่อไม่ระมัดระวังเอง เอาแจกันมาตั้งไว้ให้ลูกทำแตก
แม่เดินมาบอกว่าไม่ใช่ความผิดพ่อ ไม่ใช่ความผิดลูก
เป็นความผิดของแม่เอง แม่น่าจะเก็บแจกันของพ่อไปไว้ในห้อง
ลูกจะได้ไม่ต้องมาทำแตก
ต่างกับครอบครัวแรกไหม (ต่างกัน) ต่างกันตรงไหน ต่างกันที่ความคิด อันไหนดีกว่า (อันที่สองดีกว่า) แล้วส่วนใหญ่เราเป็นอันที่หนึ่งหรืออันที่สองกัน ส่วนใหญ่เราจะเป็นแบบครอบครัวที่หนึ่ง พอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ
หรือไม่ชอบใจไม่พอใจอะไรของคนอื่นเราจะเก็บไว้ในใจ พอเก็บมากๆ
เราจะสามารถลดความรุนแรงในใจที่เวลาพูดกับคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรานั้นไม่สามารถจะเข้มแข็งในการทำดีแล้วเผลอทำผิดก็เพราะว่าทำดีแล้วไม่มีใครเห็น
ทำดีแล้วไม่ได้ดี พยายามทำดีแล้วแต่คนไม่เห็นก็เลยน้อยใจ ไม่ทำอีกเลย หรือเป็นประเภททำดีแล้วยังหวังผล ใช่หรือเปล่า
ต่อไปนี้เราจะมีความสุขที่ได้ทำ
ส่วนผลจะตอบกลับมาเป็นอย่างไร
ให้ถือว่าผลนั้นจะกำไรหรือขาดทุนก็ปล่อยไปตามสภาพ
ถ้าเราทำจนถึงที่สุดแล้วขาดทุนก็ไม่เป็นไรแต่เราสุขใจที่ได้ทำ
ฉะนั้นตราบใดที่มนุษย์ทำดีแล้วยังไม่สามารถยกความคิดของตัวเองให้เหนือดีเหนือชั่ว
เมื่อนั้นเราก็ยังต้องตกอยู่ในคำว่า “ทุกข์ใจ” เป็นธรรมดา แล้วก็จะตกอยู่วัฏฏะของกิเลสไม่จบไม่สิ้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้พี่เลี้ยงออกมาทำท่าประกอบเพลง
“ฉันอยู่ที่นี่มีความสุข”)
ทำอย่างไรเราจะมีความสุข
แล้วทำอย่างไรจะทำให้คนอื่นมีความสุข ที่สำคัญเริ่มต้นที่จิตใจเราก่อน จิตใจเราต้องมีความสุข ไม่แบกความทุกข์ไว้ จะให้ภายนอกยิ้มต้องเริ่มจากใจยิ้ม จะให้ภายนอกมีความสุขต้องเริ่มจากใจคิดถึงแต่สิ่งที่มีความสุข
เราจะทำอย่างไรให้บ้านเรามีความสุข
เราจะทำอย่างไรให้ตัวเรามีความสุขถ้าใจเรายังสุขไม่เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วจะอายอะไรกับการทำดี
เวลาทำชั่วสิเราต้องอาย เวลาทำผิดสิเราต้องอาย แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์กลับกัน
เวลาทำดีเรากลับอาย เวลาทำชั่วเรากลับไม่อาย
ไม่มีใครอยากเป็นคนผิด แต่ถ้าวันนี้เรายอมรับผิดด้วยใบหน้าที่สำนึกและน้อมรับอย่างแท้จริง
เราจะมีมิตรมากที่สุดและมีแต่คนอยากจะบอกสิ่งที่ดีกับเรา
แต่ถ้าเราเป็นคนที่ไม่เคยยอมรับผิด
เอาแต่โยนความผิดให้คนอื่น เราจะมีคนที่รักเราจริงไหม (ไม่มี) มีแต่คนที่จะมาโป้ปดมดเท็จ โกหกหลอกลวง
ฉะนั้นวันนี้ท่านต้องการโลกสันติ
อยากได้คนดีเริ่มต้นที่ไหน เริ่มต้นที่ตัวเราถูกไหม (ถูก)
ท่านจะลดความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไรถ้าใจของท่านยังเต็มไปด้วยไฟ
ความรังเกียจ ความไม่ชอบคนอื่น
ต่อไปนี้เราจะเริ่มต้นแก้ไขที่ตัวเราเอง
ฉันไม่ดี ฉันจะพยายามให้ดีขึ้นทุกๆ วัน
ใครไม่รับผิด ฉันรับผิดเอง
ฉันกล้าแบกรับความผิดของผู้อื่น
คนที่ทุกครั้งมีเรื่องมีปัญหาแล้วกล้าแบกรับ
คนนั้นคือคนที่น่ารัก
ในสังคมเต็มไปด้วยคนที่อยากจะเป็นคนดีแต่ไม่ยอมทำ
แต่ตอนนี้เราจะเป็นคนดีที่กล้าทำดีและกล้าแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้นดีไหม
(ดี)
ฉะนั้นวิธีการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือทำตัวเองเหมือนฟ้าที่มีแต่ให้
ไม่แก่งแย่งแข่งขัน มีแต่ยอมเสียเปรียบและเป็นผู้แพ้ ไม่เอาแต่ชนะหรือเอาแต่ได้
ถ้ามนุษย์ทุกคนสามารถดำรงจิตใจเช่นฟ้าได้
คนนั้นก็คือคนที่เข้าใกล้แบบอย่างการบำเพ็ญเป็นพุทธะ
เราสามารถอยู่ร่วมกับคนในโลก แล้วรู้จัก “ให้” อย่างไม่เหนื่อยไหม เป็นคนที่ไม่เคยแพ้ไม่เคยชนะเพราะไม่เคยลงแข่งกับใครได้ไหม
คงยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความอยากอยู่เราก็ยังต้องลงไปแข่งกับคนที่ยังอยากอยู่เรื่อยๆ
การบำเพ็ญธรรมก็คืออยากอย่างพอประมาณ อย่าอยากอย่างทำร้ายตน
ขอเพียงดวงใจเราอย่าเก็บสะสมความไม่ดีของคนอื่น
เริ่มต้นที่ใจเราก่อน
ถ้าใจเรามีสุขมีแต่สิ่งที่ดี
การจะหยิบยื่นความสุขความดีงามให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องง่าย
แต่ถ้าตอนนี้ใจเรามีแต่ความทุกข์
อัดอั้นตันใจแต่เรื่องที่ไม่ดี
การจะยิ้มหรือมอบความสุขให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเริ่มต้นที่ตัวท่านก่อนนะ
ทำตัวเองให้ถูกต้อง ทำตัวเองให้ดีงาม แม้บางครั้งต้องเป็นผู้ผิดก็ต้องกล้าที่จะยอมรับผิด
และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งๆ ขึ้นนะ
อย่าคิดว่าเรากำลังแสดงละครหลอกลวงเลยนะ
เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาทุกรอบแล้วก็พูดแบบนี้ทุกรอบ เพราะเรารู้ว่าในใจของบางท่านบางคนยังไม่เชื่อเรื่องพวกนี้
แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ท่านคุยอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ถ้าพิสูจน์ได้จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้นทุกข์) แล้วทำให้ท่านดีขึ้นกว่าเดิมไหม ก็ไม่เห็นดี
อย่างนั้นจะมัวเสียเวลาพิสูจน์กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องทำไม
สู้ตอนนี้เอาเรื่องที่เราพูดไปทำให้ตัวเองดีแล้วขึ้นไปพิสูจน์ข้างบนไม่ดีกว่าเหรอ
เอาความดีที่ตอนนี้ฟังอยู่แล้วและพยายามตั้งมั่นทำดีแล้วขึ้นไปพิสูจน์ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรไปพิสูจน์ข้างบน
ดีไหม (ดี)
ขอให้มีความเข้มแข็งในจิตใจนะ เข้มแข็งที่จะทำดี
แล้วก็ขอให้มีจิตใจอันนี้อยู่ตลอด ไม่ใช่วันนี้ดีแล้ว
พออีกผ่านไปๆ ก็แตก ไม่มีประโยชน์เลยนะ
ใช่ไหม (ใช่)
รักษาโอกาสให้ดีนะ
คนเราดีชั่วอยู่ที่การตัดสินใจชั่วครู่ชั่วขณะนั้น อย่าตัดสินใจผิดเพียงเพราะว่าไม่เอา ไม่อย่างนั้นความดีก็คงยังอยู่ห่างไกล อย่าดูถูกตัวเองนะ ท่านเป็นคนดีที่หนึ่งได้
วันอาทิตย์ที่
๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือฮุ่ย นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระนาจา
คนที่เอาแต่ได้ไร้สง่า ให้เวลาเป็นการให้ที่เป็นเอก
ช่วยเหลือคนจึงรู้ทุกข์ของตนเล็ก คนหนักแน่นใจดั่งเหล็กแสนคงทน
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก
แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม
ปล่อยชีวิตตามอารมณ์ตามความคิด ติดชีวิตไร้กรอบไร้แก่นสาร
เกลียดกฎระเบียบข้อบังคับน่ารำคาญ สุขสำราญไปวันวันเพียงเพื่อตน
น่าสงสารตนเองที่ไม่รู้ หลงมายาสวยหรูแฝงหมองหม่น
ตื่นเถิดหนาค่าชีวิตประเสริฐล้น อย่าหลงภาพมายาจนติดโลกีย์
เคยคิดถึงหัวอกคนห่วงไหม ท่านต้องทุกข์เสียใจกับเหล่านี้
แม้ไม่เคยได้ดั่งใจเลยสักที แต่ยังคงความหวังดีไม่เปลี่ยนแปลง
ฮิ ฮิ หยุด
ท่าทีของใจ
ยังขลาดเขลานักต่อปัญหา แม้สู้ยิบตา
แต่การแก้ขาดจริงใจ
หัวใจเหนื่อยระอา
ต่างหาทางออกไป วิธีทางความคิดใหม่
ล้อมวงให้ดักทางตน
* สุดจะเปลี่ยนใจ
สุดจะหนีไปจากวังวน งามในความหมองหม่น
แลกคนด้วยหัวใจ
ข่มอัตตาให้ลง
พลิกฟื้นพื้นฐานของจิตใจ สมบูรณ์ขึ้นวันใด
ให้ศีลธรรมช่วยปลอบโยน
( ซ้ำ * )
ชื่อเพลง : วังวนของใจ
ทำนองเพลง : ตัดใจไม่ลง
พระโอวาทพระนาจา
(นักเรียนในชั้นเดินออกมาขอพรกับศิษย์พี่นาจา)
ทำไมเวลาศิษย์น้องเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงชอบขอพรกันจัง ขอว่าอะไรกันบ้างล่ะ ขอให้รวย
ขอให้ถูกล็อตเตอรี่ ขอให้มีโชคมีลาภมีวาสนา แต่ศิษย์น้องก็รู้นี่ ชะตาชีวิตถึงแม้ถูกฟ้ากำหนดแต่มนุษย์เป็นผู้กระทำ
เคยได้ยินไหม “เจ็ดสิบลิขิตฟ้า
สามสิบต้องฝ่าฟัน” ถึงฟ้าจะกำหนดมาถึงเจ็ดสิบ
แต่สามสิบนั้นอยู่ที่มนุษย์นั้นเป็นผู้กระทำ
ถึงแม้ฟ้ากำหนดมาแล้วให้โชคดี แต่ถ้าศิษย์น้องปฏิบัติตัวเป็นคนไม่ดีตลอดเวลาฟ้าก็เปลี่ยนแปลงได้
ถึงวันนี้ศิษย์น้องจะแข็งแรง
แต่ถ้าหากกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่เคยออกกำลังกาย ทำแต่งานหนักๆ นอนก็ดึกตื่นก็เช้า
พักผ่อนไม่พอ วันนี้ขอให้แข็งแรงแล้วจะแข็งแรงไหม
วันนี้ให้ความแข็งแรงไป ให้ความสมหวังไป
แต่ถึงเวลาศิษย์น้องไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พรนั้นก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องอยู่ที่ตัวเราเองนะ
ศิษย์พี่ให้ไปแล้ว แต่ถึงเวลาศิษย์น้องไม่ไปทำตามที่ให้โทษใครได้
โทษว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ไม่ได้)
น่าจะโทษตัวเองมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาศึกษาฟังธรรมะ ไม่ได้ขอให้ศิษย์น้องต้องเป็นคนที่สร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่
ขอเพียงแต่ให้รู้จักหมั่นทำดีทุกๆ วัน โดยยืนอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจเห็นใจ
และหมั่นให้อภัยผู้อื่นเสมอๆ ถ้าอยู่บนพื้นฐานนี้ได้ศิษย์น้องจะสามารถทำได้ทุกๆ
วัน
ไม่มีคนไหนที่ศิษย์น้องเกลียดแล้วไม่ต้องแบกความเกลียดของใครคนใดคนหนึ่งไว้ในใจ
เพราะว่าพยายามที่จะเข้าใจและพยายามที่จะให้อภัยทุกๆ คน
คนที่แบกความเกลียดความโกรธไว้ในใจ เวลาที่เจอคนที่ปฏิบัติไม่ดี
คนนั้นยิ่งผูกมากแบกมากก็เจ็บมาก สู้ให้อภัยเขาดีกว่า
และพร้อมจะเข้าใจคนที่เรายากจะเข้าใจ สันติย่อมเกิดขึ้นในโลก ความสุขย่อมเริ่มต้นได้ที่ตัวเราใช่หรือไม่
(ใช่)
แล้วการให้อภัยเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก) ขอเพียงพยายามเข้าใจเขา
เพราะคนทุกคนต้องมีภาวะบีบคั้นที่ทำให้เขาเผลอไปทำผิด
และทำในสิ่งที่บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วทำพลาดไป
ถ้าเราพยายามเห็นใจคนที่ผิดที่สุดในเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
เราสามารถมองเห็นแล้วสร้างความดีได้ คนนั้นก็คือยอดคนใช่ไหม (ใช่)
ในคนที่แย่ที่สุด
แต่เราสามารถมองเห็นสิ่งที่ดีในตัวเขาเล็กๆ น้อยๆ ได้ นั่นก็คือคนที่มีคุณธรรม
แล้วเราทำได้ไหม ในโลกที่วุ่นวายเราหาความสงบได้ไหม
ในโลกที่เลวร้ายเราหาความดีในนั้นได้ไหม ถ้าหาได้เราก็จะเป็นผู้ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้ผู้อื่นได้ทุกๆ
วัน
ฉะนั้นวันนี้ศิษย์พี่มาไม่ได้ต้องการให้สร้างความดีที่ยิ่งใหญ่
แต่ขอให้ทำดีเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น
และให้อภัยผู้อื่นทุกๆ เมื่อ ยากไหม (ไม่ยาก)
เคยได้ยินไหมว่า “ถ้าทำบุญก็จะได้บุญ
ถ้าทำทานก็จะได้กุศล” พระพุทธองค์เคยสอนไว้ว่า คนที่รู้จักทำบุญ
ต่อไปเขาจะได้บุญกุศลของทรัพย์เป็นทานกลับ แต่คนที่ทำบุญแล้วเรียกคนอื่นทำบุญด้วย
เขาจะได้ทั้งทรัพย์เป็นทานและบริวารเป็นทาน เมื่อเขาต้องกลับมาเสวยสุขในชาติหน้า
แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่อยากกลับมาในชาติหน้าอีก
นอกจากทำบุญและเรียกคนทำบุญแล้ว เราต้องรู้จักสร้างกุศลเพิ่ม
เพราะกุศลจะทำให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดมารับผลบุญ
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์น้องจะแค่ทำบุญทำทานแล้วมารับบุญรับทานเท่านั้นหรือ
วันนี้เราได้ศึกษาเพิ่มแล้วว่า
นอกจากทำบุญทำทาน ต้องรู้จักทำกุศลเพิ่มด้วย แล้วกุศลทำอย่างไรรู้หรือยัง
(ช่วยคนตกน้ำ, สละดวงตา, สละร่างกาย)
สละสิ่งที่เรามีอยู่ให้กับคนอื่นเป็นกุศล ท่านว่าถูกไหม บางครั้งเราแยกไม่ออกระหว่างบุญกับกุศล
บุญก็ทำได้ง่ายๆ นะ ก็อย่างเช่นเราสงสารใครเราก็ช่วย
ช่วยไม่หวังผลตอบแทน เราให้ด้วยใจที่ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
ได้ตัดกิเลสตัดความอยากและสร้างความเมตตา นั่นแหละการทำบุญที่กอปรไปด้วยกุศล
ง่ายไหม
บุญเราสร้างมากเท่าไหร่ กุศลเราก็มากตามพร้อมไปด้วย
กิเลสในใจที่หนาก็กลับบางลงและน้อยลง เมื่อนั้นแหละใจของเราที่ไร้ความโลภโกรธหลง
ไร้กิเลสไร้ตัณหา ไร้อุปทานไร้ทิฐิ นั่นแหละใจเราก็จะเริ่มสะอาดบริสุทธิ์
เมื่อเราสะอาดบริสุทธิ์ได้
ใจนี่แหละที่จะสามารถกลับคืนเบื้องบน นั่นก็คือเอากุศลหรือเอาความดีงามนั้นมาขัดเกลาใจของเราให้กลับเป็นพุทธะภาวะเหมือนเดิม
ยากไหม
อย่างนั้นก่อนที่จะไปยากขนาดนั้น เอาง่ายๆ
ตรงที่ว่าทำอย่างไรเราถึงจะชนะทุกข์ได้ก่อน
เมื่อเราเอาชนะทุกข์และรู้เหตุแห่งทุกข์ได้ เราก็ย่อมหลุดพ้นได้ แต่ตอนนี้เรารู้หรือยังว่าอะไรคือทุกข์
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมา ๒ คน)
มีแก้วสองใบ
ใบหนึ่งมีน้ำหวานอยู่แต่ในน้ำหวานนี้ศิษย์พี่จะแอบบีบมะนาวใส่
แก้วน้ำอีกใบหนึ่งเป็นน้ำธรรมดาแต่ใส่เปลือกมะนาว แก้วหนึ่งจะเป็นแก้วที่โชคดี
แก้วหนึ่งจะเป็นแก้วที่โชคร้าย ให้ศิษย์น้องเลือกว่าแก้วไหน
ถ้าศิษย์น้องไม่เห็นการเตรียมแก้วน้ำของศิษย์พี่
ส่วนใหญ่จะเลือกแก้วไหน ถ้าศิษย์พี่ถามว่าแก้วไหนหวานที่สุดศิษย์น้องก็ต้องว่าแก้วที่ใส่น้ำหวาน
และคิดว่าแก้วน้ำธรรมดาที่ใส่เปลือกมะนาวไว้นี้น่าจะเปรี้ยวใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่คือความเป็นจริง มนุษย์เรานั้นบางทีตาดีๆ
แต่ก็เหมือนคนตาบอด หูเราก็ว่าหูฟังชัดเจนแต่บางครั้งก็กลายเป็นคนหูหนวกได้
ใจเราที่เคยเปิดกว้างรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ บางทีมันก็คับแคบได้
เคยได้ยินไหมว่าน้ำเน่าเปลี่ยนธาตุแปลสีสรรพสิ่งได้
ความเคยชินของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้เหมือนกัน
อย่างเช่นเรารักสุขเราเกลียดทุกข์ใช่ไหม (ใช่) ถ้าพูดถึงความสุขเรามักจะพยายามไปหามัน
พอรักมากๆ เราก็หลง พอหลงมากๆ เราก็เหมือนคนตาบอดใช่ไหม (ใช่)
ทุกข์เราเกลียดไหม (เกลียด) พอเกลียดเรารับรู้อะไรของเขาไหม
เกลียดแล้วดีหรือร้ายก็ไม่สนใจ ก็มันเกลียดเลยไม่อยากรู้ พอเราไม่รู้เราจะมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างเป็นจริงไหม
ความหลงและความไม่รู้
ความรักและความเกลียดจึงทำให้มนุษย์นั้นมองสรรพสิ่งอย่างบิดเบี้ยว มีตาแต่เหมือนตาบอดไปข้างหนึ่ง
มีใจที่เปิดกว้างแต่บางครั้งก็กลายเป็นคนคับแคบไปโดยไม่รู้ตัว
ถ้าศิษย์พี่ใส่ฉลากลงไปสองอัน
อันหนึ่งเป็นฉลากแห่งความโชคดี อันหนึ่งเป็นฉลากแห่งความโชคร้าย ฉลากที่โชคดีอยู่ในแก้วที่อัปลักษณ์แต่ฉลากที่โชคร้ายอยู่ในแก้วที่สวยงาม
ถ้าศิษย์น้องไม่ได้จับฉลากขึ้นมา ไม่รู้ความจริง
ใครก็ต้องเลือกแก้วสวยไว้ก่อนแก้วไม่สวย แล้วใครจะรู้ละว่าในแก้วที่ไม่สวยนั้นฉาบทอด้วยสิ่งที่ดีงาม
แก้วที่สวยนั้นอาจจะแฝงไปด้วยความสกปรกโสมมก็เป็นได้
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ อย่าให้ดวงตาของเราที่เปิดกว้างกลายเป็นคนตาบอด
อย่าให้หูที่ดีอยู่ของเรากลายเป็นคนที่หูดับ
อย่าให้ใจของเราที่เคยเปิดกว้างรับรู้สิ่งต่างๆ ได้กลายเป็นคนที่ใจคับแคบ พอฟังแล้วเข้าใจไหม
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม
โดยกำหนดเวลาสองนาที แล้วให้นักเรียนสี่คนไปหาน้ำมาให้มากที่สุด คนที่ ๑ วิ่งไปเอาน้ำขวดได้มาครึ่งขวด คนที่ ๒ ไม่ได้ออกไปหาน้ำ คนที่ ๓ และคนที่ ๔ ช่วยกันไปยกถังใส่น้ำมา)
ก็เหมือนกับตัวมนุษย์นะศิษย์น้อง
แบกมามากขนาดไหนถึงเวลาก็ต้องกลับไปคืนที่เดิม สรรพสิ่งมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป
มาจากตรงไหนก็ต้องไปที่นั่นเป็นสัจธรรม มันเกิดขึ้นก็ต้องดับไป ฉะนั้นสู้แบกน้อยๆ จะดีกว่าใช่หรือไม่
เหมือนกับตัวศิษย์น้องอยู่ในโลกพยายามแสวงหาให้ได้มากที่สุด
คิดว่าหาได้มามากเท่าไหร่แล้วสุขมากเท่านั้น
แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งหามากก็ยิ่งเหนื่อยมาก สู้หาน้อยๆ แล้วสุขวันละน้อยๆ
ไม่ดีกว่าหรือ
พอหามากก็เหนื่อยมากแล้วก็ทุกข์กับสิ่งที่มันมีมาก
แล้วเราก็ยอมรับด้วยว่าแม้เราจะได้มากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ แต่พอถึงเวลาเราก็ต้องปล่อย
แม้ว่าเราจะหาได้มากแต่เราก็จะต้องทุกข์กับสิ่งที่เรามีมากขึ้นเท่านั้น
ท่านที่คิดว่ามีเงินมากขนาดนี้ต้องสุขมาก
แต่กลับกลายยิ่งกังวลมากกว่าเดิม ชีวิตที่ผกผันไปร้อยแปดบางครั้งดวงดีบางครั้งดวงตก
บางครั้งโชคดีบางครั้งโชคร้าย แต่ถึงที่สุดแล้วมันต่างอะไรกันไหม ถึงจะโชคดีก็ยังต้องทุกข์เหมือนกัน
วันนี้เหยียบอึหมา โชคร้ายจริงๆ ออกไปข้างนอกมีแต่คนทวงหนี้
โชคร้ายจริงๆ ใช่ไหม ออกไปข้างนอกมีแต่คนให้เงิน
โชคดีจริงๆ แต่ถามศิษย์น้องว่าโชคดีนั้นทุกข์เป็นไหม โชคร้ายถึงเวลาบางทีมันมีสุขไหม
ฉะนั้นทุกสิ่งในโลกอย่าปล่อยชีวิตไปตามคำที่เขากำหนดว่าอันนี้ดีอันนี้ร้าย
แท้ที่จริงแล้วในร้ายในดีก็มีทุกข์มีสุขเหมือนกัน
อยู่ที่เราจะลิ้มรสช้าหรือเร็ว มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
สรรพสิ่งต้องการสอนให้เรารู้ว่า
ถึงเวลาเราต้องเรียนรู้ชีวิตให้เป็น และความเป็นจริงอันนี้จะคอยผลักดันให้เรามองเห็นถึงแก่นแท้
อย่าไปติดเพียงคำว่า “ดี” “ร้าย” เท่านั้น
คนโชคดีสักวันก็คงต้องโชคร้าย คนโชคร้ายสักวันก็ต้องโชคดี แต่คนที่โชคร้ายสุดๆ แล้วยังหัวเราะยังยิ้มได้
คนนั้นคือยอดคน เพราะเขามองเห็นว่า เขาโชคร้ายจนสุดทนแล้ว ยังจะโชคร้ายกว่านี้อีกไหม
ถ้าเรายังหัวเราะได้
มันก็สุขที่ตัวเราไม่ใช่หรือ
ฉะนั้นเวลาเจอสิ่งใดที่ประดังเข้ามา ขอให้ใช้จิตที่สงบและก้มหน้ายอมรับ
เมื่อนั้นทุกข์ที่สุดก็ทำร้ายจิตใจศิษย์น้องให้หวั่นไหวไม่ได้
ถ้าใจเรายกสูงแล้ว ทุกข์สุขดีร้ายจะมาพัดพาใจเราให้ไปตามนั้นได้ไหม
(ไม่ได้) ขอเพียงมองให้ออก
บางทีแยกไม่ออกระหว่างดีกับร้าย โชคดีกับโชคร้าย แตกต่างกันอย่างไร
ถ้ายังมองแล้วยังติดในรูปมันก็ทุกข์อยู่ทุกๆ วัน มองอะไรต้องมองให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรแล้วต้องมองให้เห็นทั้งด้านหน้าด้านหลัง
แล้วเราถึงจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างเข้าใจชีวิต
และทุกสิ่งที่มากระทบใจ ไม่ว่าจะอ้วนหรือว่าเล็กก็ไม่มีผลกระทบต่อจิตใจ
ถ้าเขาคือความทุกข์และเขาคือความสุข เอาอันไหน
(เอาทั้งสองอย่าง) ถูกต้องต้องเอาทั้งสองอย่าง
อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ตาจะบอดใจจะแคบ
บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมองอะไรจงมองให้เข้าถึงแก่นแท้
มองใครหรือมองวัตถุหรือมองสรรพสิ่งจงมองให้ทะลุปรุโปร่งเหมือนคนที่เข้าถึงจริง
ได้ธรรมะพอหรือยัง (ยัง) พอเอาไปดำเนินชีวิตไม่ต้องมีทุกข์ได้หรือยัง
(ยัง) เพิ่มอีกอย่างหนึ่งให้ก็ได้ ให้รู้จักว่าสิ่งที่เราอยากมี สิ่งที่เราอยากได้
มีเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิต มีเพื่อยกระดับจิตใจ ไม่ใช่มีเพื่อเอาใจไปจมอยู่กับมันแล้วก็ถอนตัวไม่ขึ้น
เคยฟังนิทานของพระพุทธเจ้าไหม ที่ท่านเดินไปกับพระอานนท์แล้วก็ผ่านผืนนาผืนหนึ่ง
แล้วท่านก็พูดว่ามีอสรพิษอยู่ใต้ดิน เผอิญมีชาวนาอยู่ตรงนั้น ชาวนาก็ใคร่อยากรู้ว่ามีอสรพิษจริงหรือ
เขาขุดดินแล้วเจอทองลังใหญ่ก็ดีใจ และคิดต่อว่าพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์
พระอะไรพูดปด ทองชัดๆ บอกอสรพิษ
เขาก็ดีใจและด้วยความดีใจเขาจึงหิ้วทองกลับบ้าน
แต่พอเขาได้ทองมา เขาก็ถูกพระราชาจับตัวไปสอบสวนว่าเอาทองมาจากไหน
เผอิญทองในท้องพระคลังหายไปพอดี เขาก็บอกว่าไม่ได้ขโมยแต่ก็โดนเฆี่ยนโดนตีหลายรอบ
เขาก็บอกว่าน่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่แรก
มันคืองูพิษจริงๆ
เหมือนกับเรามีเงินอยู่ในตัว เราหาเงินเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตใช่หรือไม่
(ใช่) มีเงินเพื่อยกระดับจิตใจ ไม่ใช่มีเงินเพื่อมาทดสอบความเป็นคน เคยไหมที่เราเสียความเป็นคนเพราะเงินตัวเดียว
เราเสียความดีเพียงเพราะเงินตัวเดียว เคยไหมโกรธลูกแทบเป็นแทบตายเพราะให้เงินลูกไปแล้วลูกทำเงินหาย
เราแสวงหาในโลก หาเพื่อยกระดับจิตใจ ไม่ใช่หาเพื่อสั่งสมกิเลสให้พอกพูนในใจ
ถ้าหาแบบนั้นถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตที่หลงในโลก
ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เงินมาทดสอบ
ตำแหน่งเกียรติยศมาทดสอบ ถามตัวเองว่าปล่อยวางได้ไหม
ทำใจได้หรือเปล่าที่จะยอมเอาความดีที่เรามีอยู่ไปแลกกับเงินแค่ไม่กี่บาท ฟังเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “วังวนของใจ” ทำนองเพลง “ตัดใจไม่ลง” )
บางทีเราคิดว่าแบบนี้ทำให้เราทุกข์ ห่วงมากเกินไปทำให้เรากลุ้มกังวลใจแต่เราก็ตัดใจไม่ลง
โดยเฉพาะห่วงที่หนักที่สุดคือห่วงลูกห่วงงานห่วงเงินใช่ไหม (ใช่) ทั้งลูกทั้งงานทั้งเงินทำให้เราทุกข์ไหม
(ทุกข์) แต่เราก็ยังตัดห่วงนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่
(ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
ได้คำว่า “เกิด” ได้คำว่า “ปัญญา” ได้ก็เปล่าประโยชน์นะถ้าเราไม่เกิดปัญญาด้วยตัวเอง
ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรามีสติใช่ไหม แต่เป็นคนที่ชอบเผลอสติหรือเปล่า คนที่ได้คำที่มีความหมายดีก็ต้องรักษาความดีให้อยู่ตลอดนะ
เป็นคนดีก็ยากแล้ว
แต่รักษาดีให้อยู่กับตัวยิ่งยากใหญ่
วันนี้มาฟังธรรมะที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
สังคมสอนให้มนุษย์ฉลาดแต่ธรรมะสอนให้มนุษย์เป็นคน (ดี) ฉลาดแต่ไม่ดี ฉลาดแต่ไม่ซื่อตรง
ฉลาดแต่เจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้ตอนแรกเขาจะไม่รู้
แต่ตอนหลังถ้าเขาจับได้ก็อยู่ได้ไม่นาน
ฉะนั้นวันนี้เราเอาธรรมะไปใช้กับชีวิต เป็นคนถ้าเรียนเก่งแต่ไม่มีความจริงใจกับเพื่อน
ไม่ซื่อตรงกับใคร วันนี้เขาคบกับเรา ต่อไปเขาก็เลิกคบใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วที่ไหนสอนเราล่ะ ที่บ้านสอนไหม พ่อแม่บอกไหม
(บอก) แต่บอกแค่ให้เราเป็นคนดี
แต่ดีอย่างไรล่ะ วันนี้ฟังแล้วต้องให้ได้มากกว่านั้นนะ
พ่อแม่ก็เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ ถ้าคนไม่เห็นคุณค่าพระอาทิตย์พระจันทร์ก็เหมือนคนที่ตาดีแต่มืดบอด
ถ้าใครเคยอ่านประวัติของศิษย์พี่ ตอนเป็นเด็กๆ
ศิษย์พี่ซนมากๆ
ซนแล้วก็ทำความเดือดร้อนไปทั่ว สนุกไปวันๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่ทุกครั้งที่สนุกไปหนึ่งวัน
กลับมาก็มีเรื่องตามหลังมาให้พ่อแม่แก้ปัญหาทุกครั้งไป ไม่เคยคิดถึงหัวอกพ่อแม่
คิดว่าหน้าที่ของท่านห่วงก็ห่วงไป หน้าที่ช่วยลูกก็ต้องช่วยไป เล่นเสร็จสร้างความเดือดร้อน
พ่อแม่เป็นอย่างไรไม่สนใจ
ตอนแรกไม่ทราบยังคิดอะไรไม่เป็น แต่พอวันหนึ่งศิษย์พี่ไปก่อเรื่องใหญ่
ไปฆ่าลูกของมังกรที่อยู่ในแม่น้ำ เพราะว่าเขากำลังทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เลยไปช่วย คิดว่าเราทำถูก แต่เขากำลังทำผิด
แล้วศิษย์พี่ก็ใช้ความเข้มแข็งเอาชนะเขา แต่เขาไม่ยอมแพ้ตามราวีจนถึงที่สุด ศิษย์พี่ก็เลยฆ่าเขาตาย
แต่ผลมันไม่จบแค่นั้น
ศิษย์น้อง… ในโลกนี้เราไม่สามารถชนะใครได้ด้วยความแข็ง
ตัดสินใจใครได้ด้วยกำลัง จะเอาชนะและเปลี่ยนแปลงเขาได้ด้วยความดีเท่านั้น
ที่หลอมละลายเปลี่ยนให้เขาเป็นคนดี ใช้กำลังความเชื่อมั่นในตัวเองเปลี่ยนใครไม่ได้
ชนะเขาได้ครั้งเดียวต้องแพ้เขาเลยตลอดชีวิต
ศิษย์น้องบางคนเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม รู้อะไรดีอะไรไม่ดี
แต่เอาความดีไปพยายามบังคับเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นคนดี มันไม่มีทางสำเร็จ ถึงวันนี้เขาเหมือนจะยอมรับ
แต่ต่อไปเขาจะกลับเป็นคนนิสัยที่เหมือนเดิม ใช้ความอ่อนดีกว่านะ อย่าเอาความแข็งไปชนะเขา
มันชนะได้เพียงครั้งเดียว แต่ต่อไปเราจะแพ้ แพ้ทั้งตัวเองและผู้อื่น
เอาความดีไปหลอมละลายหัวใจเขาให้จงได้ เอาความดีไปชนะคนที่เราเกลียดที่สุด
คนที่เราว่าไม่ดีที่สุด อย่าไปเอาความแข็ง
อย่าไปเอาข้อบังคับ บังคับใครไม่ได้หรอกในโลกนี้
ขอให้ศิษย์น้องที่อายุยังน้อยทำอะไรคิดถึงหัวอกคนอื่นมากๆ
อย่าคิดว่าชีวิตนี้เรารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้
แต่เมื่อไหร่ที่เราทำผิด คนที่ต้องร่วมรับกรรมกับความผิดพลาดของเราไม่ใช่เราคนเดียว
แต่เป็นคนที่รักเราที่สุดนั่นคือพ่อแม่ใช่ไหม
ทำอะไรคิดให้มากๆ หน่อย รักคนที่อยู่ในบ้านให้มากๆ
อย่าเป็นคนที่รักคนนอกบ้านมากกว่าคนในบ้าน
เข้าใจหัวอกคนนอกบ้านมากว่าคนในบ้าน
ศิษย์น้องหลายคนบางทีรำคาญพ่อแม่ เบื่อข้อบังคับกฎระเบียบ
ทำไมต้องเชื่อฟังทำไมต้องบ่น แต่รู้ไหมว่าคนที่บ่นคนที่พูดเพราะห่วง
แต่เรากลับไม่ค่อยรู้ตัว
วันนี้มาฟังธรรมะ สิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการอยากให้ได้มากที่สุดนั้นคือคุณธรรมเรื่องความกตัญญู
รู้จักสำนึกตอบแทนบุญคุณคน เริ่มต้นที่พ่อแม่เราก่อน ถ้าเกิดเป็นคนอกตัญญูได้แม้กระทั่งพ่อแม่
คุณธรรมอะไรในโลกก็ทำไม่ได้
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดี” )
แปลว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรในชีวิตของเราแล้ว ขอให้คิดเสียว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ถ้าคิดว่ามันร้ายเราก็มีแต่อ่อนแอและไม่มีทางที่จะแก้มันได้ใช่หรือไม่
(ใช่) จำไว้นะศิษย์น้องเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต
ไม่ว่าจะหนักขนาดไหนแย่ขนาดไหน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เพราะอะไรศิษย์พี่จึงพูดอย่างนั้น
เพราะว่าจะได้ทำให้เรามีแรงมีกำลังใจที่จะสู้มันต่อไป
แต่ถ้าเราคิดว่ามันแย่ ใจเราจะสู้ไหวหรือ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจำไว้เสมอว่าอะไรที่เกิดขึ้นอันนั้นดีที่สุดแล้วสำหรับเรา
แม้เขาจะเลวร้ายอย่างไร แม้เขาจะเป็นลูกของเรา เขาไม่ฟังไม่เชื่อก็ปล่อยไป
ทำใจให้ได้
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
ขอให้กลับมาศึกษาบ่อยๆ ยิ่งเรียนรู้ธรรมะก็ยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น
ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าไม่มาแล้วศิษย์พี่ก็จนใจแล้วนะ
ขอบคุณศิษย์น้องทุกคนที่ทำให้วันนี้จบลงด้วยดี
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
“สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดี”
สิ่งดีเกิดย่อมดีเพราะว่าดี สิ่งร้ายเกิดย่อมดีเพราะว่าร้าย
ทุกเรื่องล้วนตามเหตุปัจจัย อยู่ที่ใช้อะไรกำหนดแยกร้ายดี
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่ย่อมดับไป เมื่อแจ้งในสัจธรรมอย่างถ้วนถี่
ไม่เกิดคนหวั่นไหวในโลกีย์ สู่วิญญาณเสรีไม่ถูกจองจำ
เมื่อมีเราก็เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่มีก็เหมือนกันไม่แตกต่าง
โลกดำเนินภาพรวมกำหนดทาง
แต่คนสร้างวิถีของตนเอง
รายละเอียดการแก้ไขข้อมูล
------------------------
v.1.1 10 พ.ค. 49
------------------------
- เปลี่ยนรูปแบบของเอกสาร
- แก้ไขคำผิด และแก้ไขคำเพิ่ม
[แก้]
หน้า 3 บรรทัด 2 (จากล่าง)
จาก คนคุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจด้วย
แก้เป็น คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย
หน้า 5 บรรทัด 10
จาก เราก็หลงไหลไปตามความชั่ว
แก้เป็น เราก็หลงใหลไปตามความชั่ว
หน้า 15 บรรทัด 3
จาก คงอยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความยากอยู่
แก้เป็น คงยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความอยากอยู่
หน้า 29 บรรทัด 2
จาก วันนี้เราคบกับเรา
แก้เป็น วันนี้เขาคบกับเรา
หน้า 29 บรรทัด 11
จาก เสร็จสร้างความเดือนร้อน
แก้เป็น เสร็จสร้างความเดือดร้อน
หน้า 30 บรรทัด 10
จาก นั้นคือพ่อแม่ใช่ไหม
แก้เป็น นั่นคือพ่อแม่ใช่ไหม
------------------------
v.1.2 15 มิ.ย. 49
------------------------
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท ณ
เซิ่งเต๋อ วันที่ 21 พ.ค. 49
[แก้]
หน้า 19 บรรทัด 5
จาก สุดจะเปลี่ยนใคร
แก้เป็น สุดจะเปลี่ยนใจ
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท ณ ฉือเหยิน
วันที่ 11 มิ.ย. 49
[แก้]
หน้า 18 บรรทัด 3 (จากล่าง)
จาก อย่าหลงภาพมายาติดโลกีย์
แก้เป็น อย่าหลงภาพมายาจนติดโลกีย์