แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อายตนะ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อายตนะ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

2554-07-09 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร


西元二O一一年嵗次辛卯月初 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

โลกไม่ได้สิ้นลงเมื่อฉันสิ้นใจ สรรพสิ่งคงเป็นไปตามวัฏจักร
ฉันไม่ได้สิ้นลงเมื่อพรากของรัก วัฏจักรไม่เคยหยุดต้องหยุดเราเอง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

เผลอไผลแม้ทางธรรมก็เป็นได้ ธรรมะเพียงเข้าใจเจ้าแต่งเพิ่ม
ธรรมารมณ์ใดรู้ในท้องขอเสริม ธาตุโขภเหิมบำเพ็ญให้ทันด้วยสำรวมคนไม่รู้บำเพ็ญสิ่งนี้ขวาง จิตไม่วางควรไหนไม่ร่วม
ยากรู้ควรไหนสิ่งที่กำกวม ศึกษาร่วมรู้แล้วลงมือพลัน
ชีวิตยากปลดปลงคงเพราะถือ ถึงเปลี่ยนมือไม่หวั่นก็สะท้าน
กิเลสเป็นเจ้าใจจิตย่อมอุปาทาน น่าสงสารเป็นคนไม่รู้ตน
ข้างในตนนั้นมีตนอมตะ ติดอายตนะเลยเป็นแบบล้นล้น
มีชีวิตเพื่อพ้นนั้นบำเพ็ญตน ความกังวลมีที่ความมีกิเลส
กระหายถูกต้องจึงขันธ์แห่งกาม มีพยายามความเข้าใจถึงสาเหตุ
มีความรู้ทำอะไรระวังเจตน์ คนมีกิเลสบำเพ็ญยิ่งเหนื่อยทวี
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
เวลาฟังธรรมะรู้สึกเวลาผ่านไปไวหรือช้า  ถ้าคนเบื่อก็บอกว่าช้า แต่ถ้าคนนั่งฟังอย่างมีความสุขเวลาผ่านไปไว ใช่หรือไม่ (ใช่)  

“โลกไม่ได้สิ้นลงเมื่อฉันสิ้นใจ สรรพสิ่งคงเป็นไปตามวัฏจักร
ฉันไม่ได้สิ้นลงเมื่อพรากของรัก วัฏจักรไม่เคยหยุดต้องหยุดเราเอง”

เวลาสูญเสียสิ่งที่รักเหมือนใจเราจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยใช่หรือไม่  ทั้งที่จริงๆ แล้ว สิ่งที่รักของเรานั้น  แต่เดิมเป็นของเราหรือไม่  และแต่เดิมเราเคยมีสิ่งที่รักนั้นไหม (ไม่มี)  ถ้าคิดได้อย่างนั้นก็คงไม่เศร้าเสียใจ  แต่ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อความทุกข์มาเราไม่เคยมีปัญญาหยั่งคิดได้แบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดว่าวันหนึ่งสิ่งที่เรารักมากที่สุดเราต้องสูญเสียสิ่งที่เราหวงที่สุดเราต้องกลายเป็นไม่มี เราทำใจได้ไหม (ได้)  ทำใจไม่ได้หรอกถ้าไม่รู้จักใช้ปัญญายั้งคิด ธรรมะเตือนสติ  หรือใช้สติเตือนใจใช่หรือไม่ (ใช่)   เราเห็นคนพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เราก็รู้ว่าเมื่อใดคนอื่นพลัดพราก เมื่อนั้นเราก็ต้องพลัดพราก เมื่อใดที่คนอื่นเจ็บ เมื่อนั้นเราก็ต้องเจ็บเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อคนอื่นได้รับความเจ็บเรากลับไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเราได้รับความเจ็บเรารู้สึกว่ามันยากเสียนี่กระไรที่จะทำใจยอมรับ ใช่ไหม (ใช่)   ตอนคนอื่นเจ็บเราพูดปลอบใจเขาได้ว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แถมยังสอนเขาได้ด้วยว่า ฉันก็เคยสูญเสีย ใครๆ ก็เคยสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอถึงเวลาลูกศรมันย้อนกลับเข้าตัวเราคนที่เราเคยสอนกลับมาสอนเรา ใช่ไหม (ใช่) “ไหนเธอบอกฉันว่าเธอทำใจได้เธอสอนฉันได้แต่ถึงเวลาทำไมเป็นเสียเองล่ะ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าได้เป็นเพียงแค่ผู้รู้ เพราะพอถึงเวลาทำไม่ได้อย่างที่รู้ก็น่าเสียดาย  ไม่อย่างนั้นอุตส่าห์ฟังมากี่ครั้งแล้วก็เปล่าประโยชน์เพราะสิ่งที่ฟังมานั้นกลับไม่สามารถนำเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตได้สักครั้งหนึ่ง  นั่งฟังตรงนี้ต้องได้อะไรกลับไปบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ วัฏจักรไม่เคยหยุดต้องหยุดเราเอง”
ถ้าให้โลกใบนี้ไม่แปรเปลี่ยนเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ให้คนในโลกนี้ไม่แปรเปลี่ยนเลยได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราควรแปรเปลี่ยนคือเปลี่ยน (ตัวเราเอง)  เปลี่ยนความคิดและหัวใจเราเอง เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนผู้อื่นไม่ได้แต่เราเปลี่ยนความคิดตัวเราเองได้  ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์ทำไมไม่ดึงตัวเองให้พ้นทุกข์ ทำไมยังยอมจมปลักอยู่กับความทุกข์ คนที่คิดเช่นนี้ก็น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเวลาที่ท่านดูดอกไม้ในแจกันท่านเห็นอะไรบ้าง มีดอกเล็กก็มีดอกที่ใหญ่ มีดอกที่ใหญ่แล้วก็มีดอกใหญ่กว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นในสิ่งที่เราเรียกว่าความสุขบางครั้งเราพรากจากความสุขเล็กๆ อันนี้แต่ไม่แน่เราทำใจได้เราอาจจะไปพบสุขที่ใหญ่กว่าก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือในทางกลับกันเราว่าสิ่งที่เราพบวันนี้คือความทุกข์แต่ถ้ามองให้ดีสิ่งที่เราพบนั้นอาจจะเป็นแค่ทุกข์เล็กๆ  สิ่งที่วันนั้นเราเจ็บปวดใจแทบแย่แต่จริงๆ แล้วอาจจะเป็นทุกข์เล็กๆ ก็ได้ ก็ไม่แน่จริงไหม (จริง)  ถ้าวันข้างหน้าที่ไปพบทุกข์ยิ่งกว่านี้เราอาจจะหัวเราะว่าที่แล้วมาเราไม่น่าร้องไห้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นทุกข์เล็กน้อยจริงๆ แต่ตอนนี้สิทุกข์ใหญ่เหลือเกินใช่ไหม (ใช่)ดูแค่ดอกไม้เห็นไหมว่าในเล็กก็ยังมีใหญ่ในใหญ่ก็ยังมีใหญ่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้ท่านบอกว่านั่งแล้วเป็นทุกข์ ไม่แน่ ออกไปแล้วถ้าไม่มาฟังธรรมะท่านอาจจะทุกข์ยิ่งกว่าที่ต้องนั่งตรงนี้ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าประมาทเพราะขึ้นชื่อว่าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกวันนี้ฉันมีสุข แต่ก็ไม่แน่วันข้างหน้าเราอาจจะสุขยิ่งกว่า ฉะนั้นก็อย่าได้หลงกับสุขที่เห็นเพียงชั่วครู่ชั่วขณะ และอย่าทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วขณะ เพราะไม่แน่อาจจะมีทุกข์ยิ่งกว่า หรือทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่สามารถหยั่งรู้อะไรได้ในโลก แต่สิ่งที่เราสามารถหยั่งรู้และควบคุมได้คือ หัวจิตหัวใจของเรานี่เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
บางคนในโลกนี้ชอบสำคัญตัวเองผิด คิดว่าเพราะมีตัวเองอยู่ โลกจึงหมุนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเป็นไหม “ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” “ว่าฉันมากๆ ดีล่ะฉันจะไปตาย ถ้าฉันตายแล้วจะรู้สึก” เราเป็นอย่างนั้นไหม แต่ถึงเวลาให้ไปตายจริงๆ เรากล้าไปตายไหม (ไม่กล้า) เพราะคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไม่แน่ท่านตายไปแล้วโลกอาจจะเบาขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราเย้าท่านเล่นนะ อยู่ในโลกนี้ทุกๆ คนล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ อย่าเห็นตัวเองสำคัญจนมองข้ามคนอื่น อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การมาของเราในครั้งนี้อาจช่วยให้ท่านหายง่วงนอนบ้างไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยทำให้ท่านหายง่วงนอนเราก็พอใจแล้วนะ ไม่หวังอะไรมากมาย เพราะหวังมากๆ  มักจะผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่หวังเลยก็ดูเหมือนชีวิตไม่มีแสงชัยในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราอยู่ด้วยความหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หวังอะไรกันหนอ หวังเป็นคนรวย หวังขอเลขสามตัวไหม (ไม่)
มนุษย์โดยทั่วไป สิ่งที่ไม่ควรขาดไปจากหัวใจของการเป็นมนุษย์นั้น ก็คือความเป็นคน ความเป็นคนถ้าทำได้ดีก็เรียกว่าคนดี ถ้าทำไม่ดีก็เรียกว่าคน (ไม่ดี) ไม่มีใครกล้าพูดว่าคนชั่ว เพราะรู้สึกแรงไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วคนในโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนดีไหม
ถ้าอย่างนั้นเราบอกว่า คนในโลกนี้ส่วนใหญ่มีหลายประเภท คนไม่ดีวันนี้เราพูดถึงดีไหม (ดี) เราเชื่อว่าในโลกนี้อย่างน้อย ก็คือคนที่พยายามดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเป็นคนที่ดีแล้วส่วนใหญ่จะพยายามดีแต่ยังดีไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่พยายามดีมีอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่ดีแล้วมีอยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์ ก็ยากคาดเดาได้  แต่ถ้าถามว่าอย่างไรเรียกว่าคนดี อย่างไรเรียกว่าคนพยายามดี เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ คนบางคนเคยเลี้ยงหมู เลี้ยงหมา เลี้ยงไก่ ไหม (เคย)  ถ้าไม่เคยเลี้ยงหมู เลี้ยงหมา เลี้ยงไก่ ก็เคยมีลูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าสมมุติว่าไก่ของเราไปกินผักบ้านของคนอื่น เราบอกว่าช่างมันเถอะ ปล่อยๆ ไปเดี๋ยวมันก็กลับมา ถึงเวลาเรามีลูก มีหลาน ลูกหลานไปรังแกคนอื่น “เราบอกช่างมันเถอะ เก่งจริงๆ ไปต่อยเขาได้” ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แต่คนบางคนนั้นแปลก ไก่ไปกินผักของคนอื่นก็ไม่เดือดร้อน ไม่ใช่ธุระของเรา  ลูกเมื่อไปต่อยตีคนอื่นบางครั้งเรากลับไม่เอาธุระ  ไม่ใส่ใจ แต่ถ้าถูกใครต่อยตีมาเราเอาธุระเราใส่ใจเลย ใช่ไหม (ใช่)  คนโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้นะ ไก่ของเรา สัตว์ของเราไปทำร้ายคนอื่นเราไม่ขอโทษ แม้เราเห็นบางครั้งก็ทำเหมือนไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เวลาพบคนทุกข์ยากลำบากเราช่วยไหม (ช่วย, ไม่ช่วย)  แต่ตอนที่จะช่วยนี้ถ้ามีสามคน เราจะช่วยสักกี่คน ช่วยคนที่ดูหนักที่สุดหรือ จริงหรือ ถ้าในสามคนมีระยะห่างกันอยู่เกือบเมตร ท่านจะยอมกลับมาช่วยคนที่น่าสงสารที่สุดที่อยู่คนแรก จริงหรือส่วนใหญ่เดินแล้วเลยไปเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราพูดตามตรงนะโดยส่วนใหญ่มนุษย์ที่พยายามจะเป็นคนดีคือเวลาเห็นสิ่งที่ผิดแล้วไม่รีบแก้ไข เวลาเห็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้วไม่เร่งรีบกระทำ เห็นคนน่าสงสารแทนที่จะช่วยทันที ก็บอกว่า “เดี๋ยวก่อน” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นคนทำผิดที่เป็นญาติที่เป็นสัตว์ของเรา เราบอกช่างปะไรใช่ไหม (ใช่)  แล้วถึงเวลาเห็นใครตายต่อหน้าต่อตาหรือเห็นใครได้รับอุบัติเหตุต่อหน้าต่อตาเราบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของฉัน  อย่ายุ่งเลยเดี๋ยวเดือดร้อน” ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราพูดแบบนี้เพราะต้องการให้ท่านรับรู้ว่าคนที่พยายามจะเป็นคนดีคือคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกแต่ไม่ยอมทำตามมโนธรรมสำนึก ไม่ยอมทำตามเมตตาในหัวใจ เมื่อมโนธรรมสำนึกไม่ทำตาม เมื่อเมตตามีแล้วเราไม่ปฏิบัติ ต่อไปเราจะตายด้านในการทำความดีจริงไหม เราเห็นคนน่าสงสารเรามักบอกว่าอย่าช่วยเลยช่วยแล้วจะได้ดีหรือเปล่า ช่วยแล้วจะเอาไปทำอะไรหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับเถอะ เรามักคิดว่าไม่อยากช่วย เพราะเดี๋ยวช่วยแล้วเอาไปทำไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราไม่ได้ช่วยหนึ่งครั้งพอพบครั้งที่สองเราก็ใช้เหตุผลเดิมๆ พบครั้งที่สามก็ใช้เหตุผลเดิมๆ ต่อไปเมตตาจิตที่รู้จักสงสารผู้อื่นก็จะค่อยๆ หายไปจากใจจริงไหม (จริง)  เมื่อจะช่วยมักจะคิดว่า “จะช่วยดีไหมเขาจะหลอกหรือเปล่า”ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนเรานั้นถ้าอยากจะดีอยากจะเมตตาไม่ต้องคิดอะไรมาก ช่วยก็ช่วยไปเถอะ ถ้าช่วยแล้วอย่าคิดย้อนหลังเพราะถ้าคิดย้อนหลังบุญนั้นจะไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทำแล้วปลุกจิตเมตตาทำแล้วจะไม่ทอดทิ้งมโนสำนึก ทำไมไม่รู้จักทำ ทำแล้วไม่คิดย้อนหลัง ทำไมไม่รีบทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กลัวอยู่อย่างเดียวเมื่อเป็นคนดีทำดีแล้วไม่ได้ดีก็เลิกทำใช่หรือไม่ (ใช่)  
พุทธะจึงบอกว่าคนที่พยายามทำดีคือ ถ้าทำดีกับคนๆ หนึ่งแล้วแม้เขาไม่ทำดีตอบ ท่านจะไม่หยุดยั้งทำดีแต่ท่านจะหันกลับมาสำรวจตัวเองว่าตัวเองบกพร่องในความเมตตาจริงไหม เขาถึงไม่ดีตอบ เวลาเราเคารพเขาเขาไม่เคารพตอบ ท่านก็หันกลับมาตรวจสอบตัวเองว่าตัวเองขาดสัมมาคารวะหรือไม่ เพราะเราเคารพเขาแล้วเขาไม่เคารพตอบ นี่คือคนที่พยายามดีแล้วดีให้ถึง  แล้วบำเพ็ญธรรมต้องการแค่เพียงคนดีหรือ ไม่ใช่ แต่บำเพ็ญธรรมคืออาศัยความดีขัดเกลาตัวตนจนไม่มีตัวตนแต่คงไว้ซึ่งคุณธรรม
ฉะนั้นวันนี้ท่านมาบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่มาเพื่อเป็นคนดีแต่เอาความดีมาขัดเกลาให้ตัวตนหมดสิ้น คงไว้ซึ่งคุณธรรม ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงเมื่อพยายามปกครองคน อยู่ร่วมกับคนแล้วเขาไม่ดี ท่านก็จะหันกลับมาตรวจสอบตนเองว่า ตัวเองบกพร่องเรื่องสติปัญญาหรือไม่
คนในโลกนี้ถามว่าให้ทำดี ทำได้ไหม ก็ตอบว่า “ทำได้” และความดีที่มนุษย์เรียกว่าทำแล้วทำให้เป็นคนดี นั่นคือทำอย่างไร มนุษย์ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า “ทำทาน ตักบาตร รักษาศีล” พอตักบาตรมาก เป็นคนมีศีล เป็นคนเมตตามากๆ เป็นคนมีน้ำใจมากๆ เรารู้สึกว่านี่คือความดีในชีวิตที่เราได้ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำแล้วเราบอกว่าเราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเป็นคนดีที่รู้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าไปทำบุญวัดไหน ทำบุญแบบไหน ทำบุญอย่างไรจึงได้บุญเรารู้ ถ้าคนที่ทำบุญบ่อยๆ จะรู้เรื่องการทำบุญ จะรู้เรื่องการสร้างกุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่า กฐินคืออะไร ผ้าป่าคืออะไร บุญคืออะไร ทานคืออะไร คนที่เข้าวัดบ่อยจะรู้ความแตกต่างแต่ถ้ากับคนที่ไม่ค่อยได้เข้าวัดนานๆ จะตักบาตรสักที กฐินคืออะไร ผ้าป่าคืออะไร รู้ไหม รู้เพียงกฐินกับผ้าป่าคือซองขาวที่มาเรียกเก็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ทำดีบ่อยๆ จะรู้เรื่องดีได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนทำดีบ่อยๆ ก็ง่ายที่จะหลงดี จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นความยุ่งยากของการเป็นคนดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “การรู้ดี”เมื่อรู้ดีเสร็จแล้วชอบสอนคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสอนคนอื่นจึงกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรู้กว้างขวาง และไม่ยอมรับที่จะแก้ไขที่ตัวเองผิด เหมือนเวลาเราไปทำบุญหนึ่งครั้ง เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดีจังเลย เมื่อถูกว่าไม่เห็นดีเลย เราโกรธไหม (โกรธ)  โมโหไหม (โมโห)  อย่างนี้แปลว่าเราติดดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนดีที่แท้จริง แม้จะทำบุญแล้ว แม้จะทำบุญมาก ก็ไม่ติดในดีและไม่รู้ดีจนทำให้ความดีนั้นขวางกั้นความก้าวหน้าในด้านความดียิ่งๆ ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดขนาดนี้แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นพูดตรงๆ นั่นคือขึ้นชื่อว่ามนุษย์สิ่งแรกที่น่ากลัวที่สุดที่ไม่สามารถไปถึงความดีนั่นคือ เมื่อผิดแล้วไม่รู้จักแก้ไข ชอบแก้ตัว และให้เหตุผลสารพัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยอ้างว่าฉันก็มีดีนะ แล้วเกี่ยวกันไหมกับความผิดที่เรากระทำ ไม่เกี่ยวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ก็คือเป็นคนดีแล้วไม่ถึงดีเพราะว่าผิดแล้วไม่แก้ และให้เหตุผลว่า “เดี๋ยวก่อน” หรือ “ใครๆ ก็ผิด ฉันผิดแค่เรื่องเล็กๆ”  ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราถามท่านหากมีชายคนหนึ่งเป็นคนขี้ขโมย เขาต้องขโมยไก่ทุกๆ วันถึงจะมีกินได้ พอมีคนจับได้ว่าเขาเป็นผู้ผิด เขาบอกว่า “ก็ได้ต่อไปจะเลิก” แต่จากที่ขโมยทุกวัน เป็นขโมยเดือนละครั้งได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นขโมยปีละหนึ่งครั้งได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ (เพราะยังขโมยอยู่)  ฉะนั้นถ้าพูดว่าเป็นเรื่องผิด แม้ผิดเพียงน้อย แต่ถ้าสะสมบ่อยๆ ก็กลายเป็นผิดมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อภัยตัวเองบ่อยๆ  แต่ไม่เคยแก้ไขตัวเองจากที่น้อยๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ คว่ำเรือใหญ่ๆ ให้ล่มได้ก็ด้วยรูเล็กๆ  ฉะนั้นอยากเป็นคนดี สิ่งที่สำคัญคือ หนึ่ง เมื่อผิดต้องรู้จักแก้ไข  เมื่อเห็นอะไรผิดต้องรู้จักหักห้ามใจ เมื่อเห็นอะไรถูกต้องรีบกระทำทันที อย่าลังเล ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนปัจจุบันนี้เป็นคนดีไหม “ดี”  แต่ทำความดีไหม มักบอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ถามว่าเป็นคนดีไหม “ดี”  แต่เวลาผิดแล้วแก้ไขไหม มักบอกว่า “เดี๋ยวก่อน” ฉะนั้นถึงบุญเราจะทำแต่รูรั่วเราก็ขยันเจาะเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นคนดีจึงไม่สามารถดีได้อย่างถ่องแท้ พระพุทธะจึงบอกว่า “ถ้าดีจริง ถ้าเก่งจริง ต้องไม่อวด”  เคยได้ยินไหม (เคย)  คนเก่งจริงจะไม่อวด คนดีจริงจะไม่มีวันโกรธ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ตอนนี้คนดีของเรา ขี้อวด ขี้โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำดีแล้วไม่ได้ดีโทษใครไม่ได้ เพราะตัวเรา ดีแล้วยังขี้โมโห ดีแล้วยังชอบอวดสรรพคุณ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมความดีเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยขัดเกลาตัวตนให้เดินถึงซึ่งคุณธรรมอันถ่องแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดียึดถือไม่ได้ แต่รักษาได้ จึงมีคุณค่า  ความชั่วแม้จะดูน่าเกลียดแต่ถ้าเปลี่ยนแปลงได้ คนนั้นก็คือคนที่มีค่ามีความหมายฉะนั้นเก่งขนาดไหนก็ต้องไม่โอ้อวด ดีขนาดไหนก็ต้องไม่โกรธ  ถึงจะเรียกว่าดีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร ดีขนาดไหนจึงโกรธไม่ได้ ดีขนาดไหนจึงอวดไม่ได้ (ต้องสำเร็จอรหันต์)  ต้องดีขนาดสำเร็จอรหันต์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากจะสำเร็จอรหันต์ก็ต้องละสังโยชน์ให้ได้ ถ้าละสังโยชน์ไม่ได้ก็สำเร็จอรหันต์ไม่ได้ แต่ก่อนจะละสังโยชน์ได้นั้นสิ่งสำคัญก็คือต้องขัดเกลาตัวตนให้หมดจาก กิเลส โลภ โกรธ หลง ให้ได้ก่อน
วันนี้เรามาฟังธรรมะเราศึกษาบำเพ็ญ ไม่ใช่เพียงเพื่อมาเป็นคนดี จำไว้นะ คนดีเป็นแค่หนทางหนึ่งที่ทำให้เราขัดเกลาตัวตนจนเดินไปถึงซึ่งคุณธรรม  ความดียึดถือไม่ได้ เพราะว่าถ้ายึดถือแล้วเราจะเป็นคนที่หลงในความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งหลงเรายิ่งไม่แก้ไขเมื่อไม่แก้ไขเราก็ยากจะพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เรามาบำเพ็ญเพื่อขัดเกลาย้อนมองส่องตน ไม่ใช่ขัดเกลาแก้ไขผู้คน
เรามาเริ่มต้นง่ายๆ ก่อน ที่กล่าวมาเป็นแค่เรียกน้ำย่อย ยังไม่ได้เข้าเรื่อง แต่ถามว่าเข้าใจไหมก็มีคนไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนการได้ทำดีก็เป็นสิ่งประเสริฐแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าก้าวต่อของการเป็นคนดีก็คือการรู้จักขัดเกลาแก้ไขเปลี่ยนแปลง ลดทอนกิเลสตัณหา และสามารถลดทอนจนลืมตัวตน ไม่มีตัวตน เข้าสู่ภาวะแห่งธรรมอันประเสริฐสุด ซึ่งเราจะทำได้อย่างไรล่ะ ก็ต้องหันกลับไปที่ก้าวแรกของการเป็นคนดี เมื่อเราเป็นคนดีแล้วไม่ยึดติดดี  ดีอย่างคนรู้จักแก้ไข ดีอย่างคนปล่อยวางความยึดมั่นตัวตน ดีอย่างคนที่เข้าถึงธรรมอันเที่ยงแท้ คนแบบนั้นจึงจะเรียกว่าบำเพ็ญถึงที่สุดในการมีชีวิต พูดถึงขนาดนี้พอเข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  ถ้าเข้าใจแล้วเราจะได้เข้าเรื่องจริงๆ แล้วนะ
เราอยู่ในโลกนี้ มนุษย์ทุกข์เพราะเรื่องอะไร ปัญหาต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิตมาจากไหน แล้วทำอย่างไรเราจะพ้นโลกใบนี้ได้ เรารู้สึกว่าในโลกใบนี้มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปพบสุขก็สบายใจ แต่ถ้าเมื่อไรพบทุกข์ก็หนักใจ จนบางครั้งเราถามว่าทุกข์เกิดจากอะไร ฟ้ากำหนด หรือว่าคนที่อยู่แวดล้อมเราทำให้เราทุกข์ เกิดจากตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเกิดจากตัวเรา ตัวเราตรงไหนที่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์กับโลกใบนี้ (ทุกข์จากใจ)    ทุกข์จากใจอย่างเดียวหรือ (ทุกข์จากการกระทำ) แล้วใจกับการกระทำมีสิ่งใดเชื่อมกันที่ทำให้เราทุกข์ได้ขนาดนี้ อยู่ๆ ให้เราทุกข์ได้ขนาดนี้ เราจะทุกข์ทันทีไหม อะไรที่เป็นต้นเหตุให้ใจทุกข์ขนาดนี้ (สิ่งแวดล้อม, ความคิดฟุ้งซ่าน) ถ้าอยากจะแก้ทุกข์ต้องสืบหาสาเหตุให้เจอ แล้วค้นหาว่ารากแห่งความทุกข์มาจากไหน อย่ามองแค่ต้น วันนี้ต้องถอนให้ถึงรากเมื่อถอนถึงรากจะไม่เติบโตอีกต่อไปแต่มนุษย์แก้เพียงต้นไม่ถึงราก มันก็เลยเกิดแล้วเกิดอีกจริงหรือไม่ ถ้าอยากแก้ทุกข์แก้ที่ใด ตัวเราเองคือต้นเหตุ เราถามแล้วท่านตอบนับเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราถามท่านตอบแล้วเราให้รางวัล พอถึงเวลาท่านตอบแต่เราไม่ให้รางวัลท่านทุกข์ไหม ฉะนั้นต้นเหตุมาจากไหน (ตัวเราเอง) เราต้องหาให้พบนะ ถ้าเราหาพบได้เราก็ดับทุกข์ในโลกและดับทุกข์ในใจได้ แต่ถ้าเราหาไม่พบเราก็เหมือนคนที่วิ่งวนในอ่าง หาความสุขเพื่อมาดับทุกข์แต่จริงๆ ไม่เคยดับทุกข์ได้สักที  
ทุกข์มาจากไหนเหมือนวันนี้ถ้าสมมุติ มีคนพูดว่า “ใครมาฟังธรรมะวันนี้ฉลาด ใครไม่มาฟังธรรมะวันนี้โง่” เรามาฟังธรรมะแล้วเรารู้สึกดี แต่ถ้าเรากลับบ้านไปมีคนบอกว่า “ใครมาฟังธรรมะโง่ใครไม่ไปฉลาด” เปลี่ยนความคิดไหม (ไม่เปลี่ยน)  จากที่สุขจะกลายเป็นทุกข์ไหม (ไม่) ฉะนั้นเมื่อสักครู่ท่านบอกว่ามนุษย์ทุกข์เพราะสิ่งแวดล้อมก็ไม่จริง  แม้สิ่งแวดล้อมเลวร้ายแค่ไหนถ้าเรามั่นคงในใจ ความทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันนี้ที่เรายังทุกข์อยู่เพราะว่าหัวใจเราเป็นต้นเหตุหลัก  ถ้าเราสามารถไร้ใจกับทุกๆ สิ่ง เราก็จะไม่ต้องทุกข์กับทุกๆ สิ่งใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราทำได้ไหม (ได้,ไม่ได้)  ก็เป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)
เราทุกข์เพราะอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ โลกนี้เกิดเพราะว่ามนุษย์ได้เรียนรู้จักอายตนะ เมื่อมนุษย์รู้จักเรียนรู้ว่าอายตนะภายนอกและภายในเกิดขึ้น โลกจึงเกิดตาม เพราะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เพราะมีใจ เราจึงรู้จักโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเรายึดมั่นในสิ่งที่ตาเราเห็น หูฟัง ใจเรารู้สึกมากเท่าไร โลกก็เกิดขึ้นตามใจของเราที่ยึดมั่น ตามที่ ตาดู หูฟัง ใจรู้สึกมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราวุ่นวายไปกับ ตาดู หูฟัง ใจรู้สึกมากเท่าไร โลกเราก็วุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น โลกเกิดเพราะมีอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน ฉะนั้นถ้าอยากจะหยุดโลกจงรู้จักหยุดอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน นั่นคือเห็นแล้วไม่รู้สึกได้ไหม ได้ยินแต่ไม่กระเพื่อมได้หรือเปล่า
แต่พุทธะกล่าวไว้ว่า มนุษย์รู้จักโลกเพราะมีอายตนะภายนอกภายใน ถ้ามนุษย์อยากตัดขาดโลกก็จงคลายจากอายตนะภายนอกและภายในแล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ นี่คือวิธีแก้ข้อแรก
วิธีที่จะแก้ต่ออีกข้อหนึ่งก็คือ ถ้าอยากจะแก้ไม่ให้เราทุกข์กับโลกภายนอก จงรู้จักมีพร้อมถึงซึ่งศีลและปัญญามีจิตใจที่ตั้งมั่นในความดี มีความหมายรู้ ณ ภายใน มีสติเท่าทันอยู่ทุกขณะ ท่านย่อมสามารถข้ามวัฏฏะสงสารแห่งโลกนี้ได้  

ฟังให้ดีนะทุกข์ไม่ได้มาจากใจ ทุกข์เกิดจากการที่เรามีตัวตน เมื่อมีตัวตนใจเราไปตามตา ใจเราไปตามหู ใจเราเรียนรู้ได้สัมผัส เราจึงรู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าทุกข์ สิ่งนี้เรียกว่าสุข สิ่งนี้เรียกว่าอยาก สิ่งนี้เรียกว่าไม่อยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกจึงเกิดเพราะว่าเรามีร่างกายที่เรียกว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอก ฉะนั้นถ้าเราสามารถคลายความยึดมั่นในอายตนะภายในภายนอก ทุกข์ก็ยากเกิดขึ้นได้ และทุกข์ก็สามารถหมดสิ้นได้ถ้ามนุษย์คลายความยึดมั่นในตาดู หูฟัง ใจสัมผัส แล้วเราสามารถทำได้ไหม ทำได้ เวลาที่ท่านพูดว่า เบื่อๆ เซ็งๆ เวลาเบื่อขึ้นมาแล้ว คลายความอยากอะไรในโลกนี้แล้ว กินก็ไม่อร่อย ฟังก็ไม่เพราะ เห็นก็ไม่น่ามองใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพุทธะสามารถดำรงใจซึ่งความเบื่ออันนี้ แต่เบื่อแบบไม่ใช่ลงไปตกต่ำ เบื่อในความทุกข์สุข ดีร้ายได้เสีย เบื่อแล้วกับการวิ่งวนตรงนี้ หน่ายแล้วท่านคลายความยึดมั่นแล้ว ท่านจึงสามารถไม่ติดกับอายตนะทั้งภายนอกภายใน ทุกข์จึงมากล้ำกรายใจไม่ได้ เหมือนเวลาเราเบื่อๆ เซ็งๆ กินอะไรอร่อยไหม (ไม่อร่อย)  แฟนน่ารักขนาดไหนก็รำคาญ ลูกจะดีขนาดไหนก็บอกว่า “อย่าพึ่งเข้ามาตอนนี้แม่อารมณ์ไม่ดี” ฉะนั้นจิตที่สามารถคลายความชอบไม่มีความเกลียด สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เป็นจิตที่ละวางความยึดมั่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อยากพ้นทุกข์ไหม (อยากพ้นทุกข์) ถ้าอยากพ้นทุกข์ตั้งใจให้ดีหน่อยนะ เพราะว่าตัวตนนี้ คือต้นเหตุแห่งทุกข์ และการยึดมั่นในตัวตนนี้ ก็คือสาเหตุที่ทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเราคลายความยึดมั่นในตัวตนนี้ได้ เราก็คือผู้ที่พ้นทุกข์ได้ แต่มนุษย์ไม่ยอมทำ เพราะรักเหลือเกิน  ห่วงเหลือเกิน แต่ท่านเคยคิดไหมว่าถ้าเกิดสิ่งที่รักมากๆ  แต่บำรุงเลี้ยงไม่ดี เราก็คือคนที่ฆ่าตัวเองทางอ้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าอยากหมดความทุกข์เริ่มต้นคือ ต้องถึงพร้อมด้วยศีลและปัญญา มีจิตใจมุ่งมั่นในความดี มีความหมายรู้ ณ ภายใน สิ่งนี้เป็นเรื่องยาก  ความหมายรู้ ณ ภายใน มีสติอยู่ทุกขณะ ย่อมข้ามโอฆะที่ข้ามยากแสนยากได้ถามว่าเรามีชีวิตถึงพร้อมซึ่งศีลไหม ไม่เคยถึงสักที  เมื่อศีลไม่มีปัญญาก็ยากเกิด  แต่จิตมุ่งมั่นในความดีมีหรือเปล่า (มี) ความหมายรู้ ณ ภายในมีไหม ไม่ค่อยมี เพราะไม่เคยรู้เท่าทันตัวตนภายใน และมีสติทุกขณะที่มีชีวิตไหม ก็ไม่ ชอบเผลอไปตามอารมณ์ ความอยาก ความรัก จึงทำให้ท่านไม่สามารถข้ามทะเลทุกข์ที่ข้ามได้ยากแสนยากสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวิธีที่จะแก้ต่อไปก็คือ พระพุทธะกล่าวต่ออีกว่าถ้ามนุษย์อยากพ้นทุกข์สิ่งที่มนุษย์ควรที่จะระวังและควบคุมให้ดีนั่นก็คือ สำรวมกาย วาจาและใจ และเราจะพ้นทุกข์จากโลกใบนี้ได้ โลกใบนี้เปรียบเหมือนมีสัตว์ร้าย เปรียบเหมือนโลกที่มีอาวุธแหลมคม สัตว์ร้ายและอาวุธแหลมคมที่พร้อมจะทำร้ายมนุษย์ได้ทุกเมื่อได้แก่ความฉ้อฉล อบายมุข ผลประโยชน์ การแก่งแย่งชิงดีชิ่งเด่น ความเห็นแก่ตัว ความรักตัวเองจนลืมรักผู้อื่น เราจะพ้นจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ง่ายที่สุด คือ การสำรวมระวังกายวาจาใจ การสำรวมระวังกายวาจาใจนั้นคืออะไรบ้างได้แก่ สิ่งใดที่ไม่ควรมองก็อย่ามอง สิ่งใดไม่ควรฟังก็อย่าฟัง สิ่งใดไม่ควรพูดก็อย่าพูด สิ่งใดไม่ควรทำก็อย่าทำ แต่เราทำหมดเลยใช่ไหม (ใช่)  
เพราะมนุษย์ไม่รู้จักสำรวมจึงทำให้มีชีวิตอยู่แม้จะกิน ก็กลายเป็นกินแล้วเกิดโรค ถ้ามีชีวิตอยู่ไม่สำรวมระมัดระวัง แม้จะบำรุงเลี้ยงชีวิตก็กลายเป็นเกิดหนี้  หากมีชีวิตอยู่ไม่รู้จักสำรวมในการคบค้าผู้คน การคบค้าผู้คนก็อาจจะเป็นการสร้างศัตรูมากกว่าสร้างมิตรใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัจจุบันนี้มนุษย์เป็นอย่างนี้หรือไม่ มีชีวิตอยู่ยิ่งกินก็ยิ่งมีโรค ยิ่งหาน่าจะยิ่งสบายแต่กลับยิ่งหาแล้วยิ่งมีหนี้มีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  คบกับใครแล้วแทนที่จะได้สบายใจกลับกลายเป็นศัตรูเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้  
ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม แมวต้องฆ่าหนู เพื่อเป็นอาหาร แต่วันหนึ่งแมวไปกินหนู แล้วแมวตายเพราะอะไร ปกติแมวต้องกินหนู หนูตายแล้วแมวจึงได้กิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมกลับกัน วันหนึ่งแมวอยากกินหนู แต่พอกินไปแล้วแมวกลับตาย หมายความว่าอย่างไร (ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว)  ตอบได้ดี แต่จริงๆ แล้วเราต้องการบอกว่า มนุษย์เราถ้าจะกินแต่ไม่พิจารณาในสิ่งที่กิน สิ่งที่กินนั้นแทนที่จะบำรุงเลี้ยงตัวเองกลับไม่ได้บำรุง แต่กลับกลายเป็นหาพิษใส่ตัวใช่หรือไม่(ใช่) เหมือนมนุษย์เราต้องอยู่ในสังคม ต้องหาอะไรกินใช่หรือไม่(ใช่) แต่ทำไมยิ่งกินแล้วยิ่งเป็นโรค เราต้องหาเงินใช่หรือไม่(ใช่) แต่ทำไมยิ่งหายิ่งมีหนี้ เราต้องสัมพันธ์กับผู้คนใช่หรือไม่(ใช่) แต่สัมพันธ์กับคน ทำไมสัมพันธ์ไปสัมพันธ์มา เราสร้างศัตรูมากกว่าสร้างมิตร ถ้าอย่างนั้นเราต่างอะไรกับ แมวที่ไม่รู้จักกิน กินไปกินมาฆ่าตัวเองตาย ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าไม่รู้จักสำรวมระมัดระวัง ไม่ว่าจะตา หู การดำเนินชีวิต ถ้าดำเนินไม่เป็น คนนั้นก็หาทุกข์ใส่ตัวใช่หรือไม่(ใช่)
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลก็เกิดจากตัวเราที่ขาดความสำรวมระมัดระวัง พระพุทธะจึงเอาเรื่องแมวกินหนูมาสอนคนว่า  เมื่อกินอะไรไม่พิจารณา การกินนั้นจะฆ่าเราทางอ้อม เมื่อดู เมื่อฟัง เมื่อรับรู้ ไม่พิจารณา ขาดสติ ขาดการสำรวม การดูการฟังการรับรู้และใจสัมผัสจะทำให้เราทุกข์โดยไม่รู้สาเหตุใช่ไหม(ใช่)
ฉะนั้นอย่าเป็นแมวที่กินหนูแล้วตายนะ  เพราะเราเห็นปัจจุบันนี้คนเป็นอย่างนี้ นึกว่ากินแล้วจะได้มีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นว่ากินแล้วกลับฆ่าตัวเองให้ตายไว นึกว่าแสวงหาเพื่อบำรุงชีวิต แต่กลายเป็นแสวงไปแสวงมากลับกลายเป็นหนี้ชีวิต นึกว่าคบกับเขาแล้วจะเป็นสุข  แต่กลายเป็นคบไปคบมา กลับกลายเป็นว่ามีศัตรูอยู่ใกล้ๆ ภัยอยู่กับตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่มนุษย์ก็ไม่เคยคิดทำนั่นก็คือ การสำรวม การระมัดระวัง อย่าขาดสติในการดำเนินชีวิต อย่าขาดสติในการพิจารณาสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน ใจสัมผัส ไม่อย่างนั้นแล้วรีบกลืนกินในสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน ทุกข์ก็จะเกิดโดยไม่รู้ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  แล้วเรามักจะพูดว่าเวลาใครด่ามา เราก็ด่าไป คือท่านก็กำลังถูกหนูกัดกินตายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใครด่ามาแล้วท่านด่าตอบ ใครร้ายมา ท่านร้ายตอบท่านคือคนที่ทำเวรให้ยืดเยื้อ ทำภัยให้ยิ่งเป็นมหันตภัย ใช่หรือไม่ เข้าใจสิ่งที่เราพูดไหม (เข้าใจ)  
เราไหว้วอนขอให้พระช่วยปลดทุกข์จากใจทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีประโยชน์ ควรไหว้วอนขอตัวเองเหตุที่ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะตาเห็น ทุกข์เพราะหูชอบฟังมากเกินไปหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์เพราะยึดมั่นความคิดเห็นอย่างตายตัว ไม่รู้จักพลิกแพลงหรือไม่
(มีนักเรียนถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกคนโกงเงินจะทำอย่างไร)ถ้าให้เราพูดท่านจะทำใจได้ไหม (ไม่ได้) ท่านเคยได้ยินไหม มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า “ปัจจุบันเป็นอย่างไร เพราะอดีตเคยทำมาและอนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับปัจจุบันนี้เราจะวางตนแบบไหน”  บางอย่างถ้าเสียไปแล้ว ไปตามก็แล้วทวงก็แล้ว ขอร้องก็แล้ว แช่งชักหักกระดูกก็แล้ว บนบานก็แล้ว ไม่ได้คืน ถึงที่สุดสิ่งที่ท่านต้องยอมรับก็คือเป็นเพราะท่านเคยไปทำกับเขาไว้ ตอนนี้เราแค่รับผลสิ่งที่เราเคยก่อ ถ้าท่านทำใจได้ให้อภัยได้ไม่เคืองแค้นไม่ผูกใจเจ็บ ท่านจะจบเวรจบกรรมได้ในชาตินี้ แต่ถ้าท่านผูกใจเจ็บอาฆาตแค้น ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองเคยมีเคยเป็น ท่านก็เป็นคนที่พยายามจะเกี่ยวกรรมต่อไม่จบสิ้น พระพุทธะทำไมเวลาถูกทำร้ายท่านจึงไม่เคืองแค้น ท่านบอกว่าใครร้ายมาจงอย่าร้ายตอบแต่จงแผ่เมตตาจิตเพราะเวรไม่เคยจบด้วยการต่อเวรแต่จบด้วยการให้อภัยไม่ยืดเยื้อ ใช่ไหม ถ้ายังมีปัญญาท่านย่อมหาได้ สิ่งที่แล้วมาจงแล้วไปเรียกขวัญกำลังใจและสร้างสิ่งที่มีตอนนี้ให้ดียิ่งขึ้น อย่าไปนึกถึงสิ่งที่สูญไปแล้วเพราะไม่ทำให้เราดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  จงเข้มแข็งและมองไปข้างหน้า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตท่านย่อมได้ดี เชื่อเราเถอะ ให้อภัยเขานะ
การสำรวมกายใจที่ง่ายที่สุด ที่ดีที่สุดนั่นก็คือหนึ่งเป็นคนอย่าอวดตน สองรู้จักอดทนอดกลั้น ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ เราไล่ตั้งแต่ยากสุดท่านก็ทำไม่ได้ ให้สำรวมง่ายที่สุดท่านก็ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ง่ายลงไปอีกนั่นก็คืออย่าอวดตน มีมากแค่ไหนก็อย่าอวดตนจะได้ไม่ถูกเขายืม เพราะมีแล้วชอบอวดว่ามี พอเขามาขอยืมก็ทำใจไม่ได้ที่ต้องให้เขายืมจริงไหม ไปบอกคนอื่นว่ามี เมื่อเขามายืมจะบอกว่าไม่มีได้ไหม ฉะนั้นมีขนาดไหนเก่งขนาดไหน จำไว้อย่าอวดตน และเกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ดีขนาดไหนก็โกรธไม่ได้  เพราะอะไร เพราะคนที่รู้จักอดทนอดกลั้นและให้อภัยผู้อื่นเป็นนิจ จะสามารถเป็นคนที่เข้าถึงจิตใจที่ยิ่งใหญ่ได้ จะเป็นคนที่สามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งใจที่ถ่องแท้ได้ อดทน อดกลั้นต้องประกอบด้วยสามอย่างคือ  
๑. ไม่เคืองแค้น
๒. ไม่ยึดมั่นถือมั่นตายตัว
๓. เมื่อรู้อะไรแล้วอย่าจับเพียงแค่สิ่งที่รู้ แต่จงมองให้เห็นมากกว่า รู้จะได้ไม่ถูกบดบังปัญญา
สามอย่างเองยากไหมเป็นผู้บำเพ็ญ ง่ายสุดแล้วนะเกิดเป็นคนอย่าอวดตน เก่งขนาดไหน มีขนาดไหน ก็อย่าอวด เพราะคนที่ไม่อวดตนจึงสามารถเป็นคนที่ใครๆ  ก็อยากมอบสิ่งที่ดีให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามเก่งไหม ไม่เก่ง ถามมีไหม ยังไม่มี แต่ไม่ใช่เป็นคนแล้วแล้งน้ำใจถึงไม่มีแต่ก็ยังต้องรู้จักช่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อวดตนรู้จักอดทนให้อภัย การอดทนให้อภัยต้องไม่ยึดติดตายตัว ไม่เคืองแค้น และไม่มองเห็นเพียงเปลือกนอกจนลืมสาระสำคัญ เพราะคนบางคนพอเห็นอะไร มักจะเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเห็น จนลืมเห็นธาตุแท้ภายใน หรือบางทีเห็นธาตุแท้ภายในก็ลืมเห็นปัจจุบันที่เขาเปลี่ยนไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นไหม เป็นไหม (เป็น)  แล้วคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะอะไร เพราะตัวเองรู้ดีใช่หรือไม่(ใช่)  เพราะเราอวดรู้เราจึงคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แล้วแทนที่จะประสานกันได้ แทนที่จะเป็นครอบครัวที่ร่มเย็นก็กลายเป็นครอบครัวร้าวฉาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นรู้อะไรแล้วก็ต้องเหมือนไม่รู้ เพราะถ้ารู้แล้วทำอวดรู้ เราก็คือคนที่ ทำร้ายตัวเอง ยากไหม (ไม่ยาก)  ง่ายที่สุดลงมาแล้วนะ ขอแค่สองอย่างเองคือ ๑. ไม่อวดตัว ๒. อดทนอดกลั้น อดทนอดกลั้นแม้เรื่องที่เล็กที่สุด คำว่าอดทน อดกลั้น ทำให้เราสมานสามัคคี คำว่าอดทนอดกลั้นแม้เรื่องที่เล็กที่สุดเรายังทนได้ จึงทำให้แม้ความแพ้ก็กลายเป็นความชนะ แม้สิ่งที่น่าอัปยศก็กลายเป็นสิ่งที่มีเกียรติ ฟังแล้วไม่เข้าใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจเราจะไม่พูดต่อ เพราะเมื่อครู่เพิ่งบอกถึงจะรู้ขนาดไหนก็ต้องบอก (ไม่รู้)  แล้วใครๆ ก็อยากให้ท่านได้เรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่สามารถอดทนต่อการถูกคนด่าใครโกรธแต่เราไม่โกรธตอบ เราใช้ความอดทนอดกลั้น ตอนนี้จะดูเหมือนว่าเราแพ้ ตอนนี้จะดูเหมือนว่าเราถูกหมิ่นเกียรติ แต่ถ้าเราอดทนได้ คนที่แพ้ คนที่ถูกหมิ่นเกียรติจะเป็นคนที่ชนะในโลกและชนะใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)   คนที่ถูกหมิ่นเกียรติ แต่มีเกียรติที่สุด คนที่ดูเหมือนแพ้ แต่คือคนที่ชนะใจตนเองเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ไม่อยากทุกข์มีสองเรื่อง อย่าอวด และ จงอดทนอดกลั้น จำไว้นะบำเพ็ญธรรมะไม่ใช่เพียงเป็นคนดี แต่การทำดีคือหนทางหนึ่งในการขัดเกลาตัวตนเพื่อเดินให้ถึงซึ่งคุณธรรมอันถ่องแท้ คุณธรรมอันถ่องแท้ถ้าหากสามารถค้นหาได้ในชีวิต มีค่าประเสริฐยิ่งกว่าบุญทานไหนๆ อีกนะ  บุญทานทำอย่างมากสุดก็ขึ้นสวรรค์ แต่การเข้าถึงธรรมทำให้มนุษย์พ้นทุกข์นิรันดร์ ฉะนั้นการทำความดีจึงเป็นเพียงแค่หนทางหนึ่งที่ช่วยให้เราขัดเกลาตัวตนและเดินไปถึงซึ่งคุณงามอันถ่องแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
นั่งก็เมื่อย ยืนก็เมื่อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อยเพื่ออะไร  เมื่อยเพื่อจะได้ลืมตัวตน ถ้าจิตของท่านที่ยืนฟังหรือนั่งฟังเป็นหนึ่งกับเรา ท่านจะสามารถไม่ว่ายืนหรือนั่งก็ลืมตัวตนได้ และเมื่อไรฟังจนเป็นหนึ่งกับสิ่งที่เราพูดและลืมตัวตน ท่านก็คือคนที่สามารถเดินไปถึงซึ่งธรรมะอันแท้ได้ แต่เรายังมีตัวตนอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าถ้ายังยึดมั่นตัวตนท่านก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่ถ้าปล่อยวางตัวตนได้ ท่านก็สามารถพ้นทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าลืมนะถึงที่สุดตัวตนก็เอาไปไม่ได้ ไปได้แค่จิตดวงนี้ดวงเดียว และจิตที่สามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์จึงจะพ้นทุกข์นิรันดร์ จิตที่ไม่เคยโกรธ จิตที่มีแต่อภัย จิตที่มีแต่ไม่อวดตน ไม่ยึดมั่นตน  แม้ตัวตนก็ไม่มี มีแต่ธรรมะ เข้าถึงไม่ยากนะ แต่วันนี้วันเดียวคงยังไม่ถึงธรรม เพราะมนุษย์ยังยึดติดในตัวตนมากันกี่ปีแล้ว เป็นสิบๆ ปีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งแต่เราเกิดมาก็ถูกสอนว่า นี่คือตัวเรา นี่คือของเรา  แต่วันนี้มานั่งฟังให้ปล่อยว่านี่ไม่ใช่ตัวเราและนี่ก็ไม่ใช่ของเรา  เลยทำได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอยากรู้ไหมทำไมเราจึงพูดว่า ตัวนี้ไม่ใช่ของเราไม่ควรยึดอยากรู้ไหม  (อยากรู้) อย่างนั้นพรุ่งนี้มาได้ก็จงมานะ
วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์เพียงแค่นี้ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง คนที่ไม่เคยอดทนแต่วันนี้อดทนจนครบหนึ่งวันได้ คนที่ไม่เคยทนฟังใครได้แต่วันนี้ทนฟังจนครบหนึ่งวันได้ก็คือท่าน ฉะนั้นอีกแค่สองวันเรื่องเล็กๆ ใช่หรือเปล่า  เราก็คิดว่าท่านจะอยู่ฟังจนครบ ทนจนจบนะ มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก ไม่เชื่อเราไม่เป็นไร แต่ขอให้เชื่อความดีและคุณธรรมในหัวใจท่านก็พอนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ปาฏิหาริย์เกิดในความบริสุทธิ์ เกิดในจุดพระวิสุทธิ์มาเบิกชี้
เกิดในผู้มุ่งมั่นทำสิ่งดี เกิดในชีวีพร้อมศรัทธามาพบกัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังง่วงอีกไหม

ช่วงนี้จิตใจไม่รู้เป็นไร สุขทุกข์กลับมาผูกพัน อาจเพราะบางทีศิษย์รู้มานาน ก็ล้าลงในความเหนื่อย อาจถึงเวลาเจ้านั้นควรทำ มิไหลตามความเนิบเนือย เมื่อจิตฟุ่มเฟือย จึงเศร้าสุขหมุนเรื่อยไป
* ศิษย์รักแบกทนแต่หลงแนวทาง อาจถึงสุดในวันนี้
** ศิษย์บำเพ็ญต้องไปบำเพ็ญ อย่าเว้นเป็นบางเรื่องราว กลางแดด แผดขาว เกลี้ยงเกลาไปถึงหัวใจ ศิษย์บำเพ็ญต้องไปบำเพ็ญ ให้เดินตนเองบ้างนา เพียรฝึกหนักหนา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนเดิม เหนื่อยไหม
ข้ารู้ในใจเจ้าท้อเพียงใด แต่ขอบำเพ็ญให้ทัน สิ่งไหนควรวางสิ่งไหนควรปลง รู้แล้วลงมือไม่หวั่น ก็เพราะจิตใจเจ้านั้นเป็นคน ไม่พ้นเลยเป็นแบบนั้น ความที่มีขันธ์จึงต้องทำความเข้าใจ (ซ้ำ *, **, **)
ชื่อเพลง : บำเพ็ญเป็นมากกว่าการทำดี
ทำนองเพลง : ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน
หมายเหตุ :  เนื้อเพลงย่อหน้าสุดท้ายมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ตนในตน”
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์จี้กงเมตตาผู้ร่วมฟังในห้องผู้ร่วมฟัง)
วันนี้มาฟังธรรมะอีกครั้งหนึ่ง ไหนใครมาฟังครั้งที่สองบ้าง ยกมือขึ้น ครั้งที่สองเยอะนะ ใครครั้งที่สาม ยกมือขึ้น ใครนับครั้งไม่ถ้วน อาจารย์ว่าแล้วว่านับครั้งไม่ถ้วน ต้องอยู่แถวหน้าๆ นี่เอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังธรรมะหลายรอบ นับไม่ถ้วนก็แล้ว เราเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างแล้ว ใช่หรือเปล่า สิ่งแรกที่อาจารย์อยากคุยกับศิษย์ง่ายๆ ก็คือว่า ถ้าอยากฝึกฝนบำเพ็ญแม้ความดีเล็กน้อยอย่ามองข้าม แต่ความชั่วเล็กน้อยอย่าลืมแก้ไข เพราะถ้าความดีเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทำก็อาจจะทำให้เราไม่มีโอกาสทำความดีๆ ใหญ่ๆ ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความชั่วเล็กน้อยถ้าไม่รู้จักแก้ก็จะกลายเป็นความชั่วที่ใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นสิ่งดีเล็กน้อย ถ้าทำได้จงรีบทำ สิ่งใดที่เป็นความชั่วในจิตใจ แม้เพียงเล็กน้อย ถ้าเห็นว่ามันผิดจงรีบแก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว อ้างเหตุผลอยู่ร่ำไป ฉะนั้นความดีเล็กน้อยเราหมั่นสะสมไว้ สักวันต้องยิ่งใหญ่ ความชั่วเล็กน้อยเราก็ไม่ให้เกิดในจิตใจ ฉะนั้นเราก็กลายเป็นคนที่ไม่มีความชั่วอะไรในจิตใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ศิษย์ของอาจารย์ เล็กๆ ก็ทำไหม (ทำ)  ไม่ค่อยทำ และที่ผิดน้อยๆ ทำไหม (ทำ)  แล้วแก้ไหม (ไม่แก้)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราเป็นคนที่ความผิดเล็กน้อยอะไรที่ทำบ่อยมาก ก็คือพูดไม่รู้จักคิด ทำอะไรใช้อารมณ์เป็นใหญ่  อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)
ใครๆ ก็อยากตามใจตัวเองทั้งนั้น แต่เราเป็นคนที่บำเพ็ญแล้ว การตามใจตัวเองให้น้อยที่สุดจนไม่มีตัวเองนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีหรือ ยิ่งมีตัวตนมากก็ยิ่งอึดอัดมาก ยิ่งมีตัวตนมากก็ยิ่ง เห็นแก่ตัวมาก ฉะนั้นบางทีเราลดตัวตนให้น้อยลงเรื่อยๆ  จนไม่มีนี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญ แต่เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  แล้วต่อไปจะเป็นหรือยัง  ความดีจะมียิ่งๆ ขึ้น ความไม่ดีจะมีให้น้อยลง รู้จักมีชีวิตแล้วยอมอุทิศชีวิตตนเองเพื่อผู้อื่นบ้างนะ
มนุษย์ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์ เวลาดีใจก็อยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ  แต่เวลาเสียใจก็อยากให้เขาไปไกลๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราวิ่งไปตามอารมณ์อยู่ทุกๆ วัน ตั้งแต่เกิดจนตายเลย เพราะฉะนั้นที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถพ้นจากโลกใบนี้ได้ ก็เพราะว่าติดในอารมณ์รักกับอารมณ์ชังแค่นั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ลองคิดดูนะ ถ้าชีวิตนี้ไม่มีสิ่งที่ศิษย์รักและไม่มีสิ่งที่ศิษย์ชัง อะไรในโลกจะทำให้ศิษย์ทุกข์ และอะไรในโลกจะทำให้ศิษย์สุข มีไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นเราวิ่งอยู่ในวัฏฏะของโลกใบนี้ที่ต้องทุกข์มากมาย ที่ต้องกลุ้มกังวลมากมาย ที่เครียดจนผมขาวจนจะหมดหัวแล้วก็ยังไม่หายสักทีเพราะอะไร เพราะว่าเรากลุ้มกับสิ่งที่รัก เพราะเรากังวลกับสิ่งที่เราชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าวันหนึ่งเราบำเพ็ญจนเรามองว่า ในโลกนี้ไม่ว่ารักขนาดไหน เดี๋ยวถึงสักวันก็ต้องชัง ไม่ว่าชังขนาดไหน เดี๋ยวก็ต้องกลับมารัก แล้วเราจะวิ่งไปรักไปชัง วนเวียนอีกนานเท่าไร
ศิษย์เคยเห็นไหม เวลาเราอุ้มเด็ก อยากให้เด็กดีใจยกเด็กขึ้นสูงๆ  เด็กหัวเราะชอบใจ ทำท่าดีใจ แต่พอเอาเด็กลง เด็กก็เงียบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยกเด็กรอบแรก เราก็มีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  เห็นเด็กยิ้ม เราก็มีความสุขใช่ไหม (ใช่)  ยกอีกไหม (ยก)  เด็กก็หัวเราะชอบใจอีก พอยกสูงสักพักหนึ่ง เราเอาเด็กลงไหม (เอาลง)  ยกอีกครั้งไหม (ยก)  อยากให้เขามีความสุขก็ยกอีก จนมือเราเริ่มสั่น แขนจากที่ยกได้นิ่งๆ เริ่มสั่นแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วยกอีกไหม (ยก) จะยกอีกทีแขนมันก็เริ่มสั่น อยากยกเหมือนกันอาจารย์แต่สังขารไม่ไหวแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ศิษย์ตอนนี้ก็เหมือนกัน สังขารมันไม่ไหวแล้วศิษย์จะวิ่งไปหาสิ่งที่ทำให้มีความสุข หัวเราะร่า มีความสุข ไม่เหนื่อยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  นั่นตอนเด็กนะศิษย์ แต่ตอนนี้สังขารมันไม่ไหวแล้วนะ ทำไมเราไม่ปล่อยวางความทุกข์ ความสุข ความรักความชัง คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรามีบ้าง ถ้าวันนี้ศิษย์ไม่คลาย ศิษย์ก็จะเหมือนคนที่กำลังแบกเด็ก ยึดอะไรล่ะที่ทำให้มีความสุข เช่น ยึดสามี สามีมีความสุข สักพักหนึ่งก็ต้องปล่อยลงแล้วก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยึดเงินทองไหม (ยึด)  ยึดเงินทองมีความสุขไหม (มี)  พอสักพักหนึ่งก็ต้องปล่อยลง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรายึดอะไรอีก เช่นเขาชมว่าหน้ายังไม่แก่เลยเรามีความสุข พอสักพักหนึ่งเขาก็ติว่าฝ้าขึ้นหน้าแล้วนะ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  
เมื่อสักครู่นี้เขาเพิ่งชมอยู่เลย แต่อีกคนมาบอกว่าฝ้าเต็มหน้าเลย เราปล่อยชีวิตจิตใจเราไหลเวียนไปกับสุขทุกข์ที่เรายึดมั่นถือมั่นมาขนาดไหน จนตอนนี้สังขารมันทำให้เราสั่นขนาดนี้แล้วนะ เรายังจะยึดอีกหรือ
ฉะนั้นอย่าปล่อยชีวิตจิตใจไปตามอารมณ์ แต่จงมองอารมณ์ให้เห็นถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศีลเป็นตัวกำหนดความประพฤติ สติเป็นตัวยั้งคิด แล้วปัญญาเกิดได้อย่างไร ปัญญาเกิดได้ด้วยการเรียนรู้ความจริงจนแจ้งเห็นธรรม แล้ววันนี้อายุปูนนี้ เราเรียนรู้ชีวิตมากี่ครั้งแล้ว เราวนเวียนกับความสุข ความทุกข์ ความยินดีชอบชังมากี่ครั้งแล้ว เราเห็นความจริงมากี่รอบแล้ว แล้วเราเห็นธรรมสักรอบหรือยัง เห็นความจริงบ้างหรือยัง
อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าวันหนึ่งศิษย์เลี้ยงหมา เลี้ยงอะไรก็ได้ เลี้ยงอยู่ก็ให้ข้าวมันกิน ให้น้ำมันกิน วันหนึ่งมันดันกัดหัวศิษย์ วันหนึ่งมันดันกัดมือศิษย์ ศิษย์ตีมันไหม (ตี)  ศิษย์เลี้ยงมันต่ออีก คราวนี้มันกัดทั้งแขนเลย เราตีมันไหม (ตี)  ยังเลี้ยงต่ออีกมันก็ยังกัดอีก เราตีมันไหม (ตี) บางคนบอกว่า แค่กัดเรารอบแรกก็ไม่เลี้ยงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อุตสาห์เลี้ยงมามันยังกัดจนเลือดออก ปล่อยมันไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตศิษย์ จิตใจศิษย์เงินที่ศิษย์ยึดถือ สามีที่ศิษย์ยึดถือ ความรักที่ศิษย์ยึดถือ ตัวตนที่ศิษย์ยึดถือมันกัดศิษย์กี่รอบ มันทำให้ศิษย์ทุกข์กี่รอบ เราปล่อยมันไหม วางมันไหม ทิ้งมันไหม ตีมันไหม (ไม่ตี)  บางทีถ้าเราเลี้ยงอะไรก็ตาม ถ้าเราเลี้ยงจนถึงที่สุด แล้วมันยังแว้งกัด ก็ต้องหันกลับมามองคนเลี้ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ไปตีมัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางทียังไม่ทันตี เอามันไปปล่อยเลย หรือบางคนฆ่ามันทิ้งเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) บางทีรักแล้วไม่สมหวังในรักฆ่าเลย แช่งมันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถูกหรือเปล่า บางครั้งเราต้องหันกลับมาก่อน ถ้าครั้งแรกไม่สำเร็จ เราต้องหันกลับมาแก้ไขก่อน เพราะเรารักไม่เต็มที่หรือเปล่า แต่ถ้ารักเต็มที่แล้ว ยังผิดหวังอีก เราควรจะรักเขาอีกไหม (ไม่) ก็ต้องคิดให้ดีๆ บางอย่างถึงแม้เราจะไม่ควรรัก แต่เราก็ต้องทำใจอยู่กับเขาให้ได้เพราะเราเลือกที่จะอยู่กับเขาแล้ว เหมือนชีวิตของศิษย์ ศิษย์เลือกที่จะมีเงิน ศิษย์เลือกที่จะต้องมีภาระ เลือกที่จะต้องมีสามี เลือกที่จะต้องมีลูก ฉะนั้นถ้าเลี้ยงแล้วยังโดนกัดศิษย์ก็ต้อง (เลี้ยง) เลี้ยงให้เป็น เลี้ยงอย่างคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นจนตายตัว เลี้ยงแล้วต้องยอมรับในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่เลี้ยงอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น เหมือนคนที่พยายามเลี้ยงนกให้เป็นม้าก็คือคนโง่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เลี้ยงลูกให้เป็นเทวดาก็คือคนบ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น)
ฉะนั้นศิษย์เอย การบำเพ็ญธรรมสำคัญอยู่ที่ขัดเกลาตัวตน อบรมบ่มนิสัยในใจของเรานี่เอง มองให้ออก รู้ตนให้ทันแล้วแก้ตนให้ได้ อย่าไปคิดแก้หรือเปลี่ยนคนอื่นเลย

(พระอาจารย์จี้กงเมตตานักเรียนในชั้นประชุมธรรม)
อยู่ในโลกต้องได้อย่างเสียอย่างนะ  จะสมหวังทุกอย่างเป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้นะ เรียนรู้ที่จะได้จากสิ่งหนึ่ง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเสียอีกสิ่งหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครโชคดีไปตลอด
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ความดีเพียงเล็กน้อยต้องรีบทำ ความชั่วเพียงเล็กน้อยต้องรีบแก้ไข แต่มนุษย์ความดีเล็กๆ ไม่ทำ ความชั่วเล็กๆ  ไม่แก้ จึงกลายเป็นคนไม่เคยได้ดีมีแต่ได้ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ใครทำดีรู้จักขอบคุณ เราทำผิดรู้จักขอโทษ นี่เรียกว่าความดีเล็กๆ  ความชั่วเล็กๆ  ที่ต้องรู้จักแก้ไขแต่เดี๋ยวนี้ศิษย์มักไม่ค่อยมีออกจากปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อใครทำดีเราต้องขอบคุณและยินดี เพราะเป็นการให้กำลังใจเขาทางอ้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อถึงเวลาเราทำผิดเรากล้าลงโทษตัวเองและกล้ายอมรับผิด คนที่อยู่ร่วมกับเราก็จะเป็นอย่างไร คนนี้เวลาผิดแล้วกล้ายอมรับผิด เวลาผิดแล้วกล้าตำหนิตัวเอง เพราะคนที่กล้าตำหนิตัวเองไม่มีใครอยากตำหนิซ้ำหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่ไม่เคยตำหนิตัวเองมีแต่คนอยากประณามว่าซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่อยากโดนใครว่าจงรู้จักว่าตัวเองเสียก่อน ไม่อยากโดนใครชี้หน้าด่า  จงรู้จักด่าตัวเองเสียก่อนดีไหม (ดี) ทำได้ไหม (ได้)  เริ่มจากกล้าด่าตัวเอง เมื่อเรารู้ว่าตัวเองทำผิด เชื่อไหม เราจะรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วคนที่คบเราก็จะไม่กล้าทำสิ่งที่ไม่ควรกับเรา คนที่มาคบกับเราจะกล้ามาทำไม่ดีกับเราไหม ไม่เพราะเดี๋ยวโดนเราด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)   
ถ้ามนุษย์เราใครทำดีเราขอบคุณเราซาบซึ้งน้ำใจ นี่แหละความดีเล็กๆ น้อยๆ และเป็นการส่งเสริมให้กำลังใจ แต่ถึงเวลาที่เราทำดีเราต้องขอบคุณตัวเองไหม (ขอบคุณ) ขอบคุณตัวเองได้แต่พูดในใจไม่ใช่ไปป่าวประกาศ แต่เวลาทำชั่วต้องกล้าประกาศดังๆ ว่าฉันผิดเองฉันไม่ดีเอง แต่คนในโลกนี้มีใครกล้ายอมรับว่าทำผิดบ้าง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขาดมากๆ ในสังคมปัจจุบัน ไม่มีใครกล้ายอมรับผิด และยิ่งถ้าเราผิดแล้วเราแก้ไขตัวเองและทำตัวเองให้ดียิ่งขึ้น  เราก็คือตัวอย่างของคนที่ดีแท้จริงในสังคม เรียกว่าสอนโดยไม่ต้องพูด แต่ใช้การประพฤติตน การกระทำของตนเป็นตัวแสดงออก ประเสริฐกว่าใช่หรือไม่
เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่าในชั้นนี้ทุกคนเป็นคนโง่ไหม (โง่)  มีบางคนไม่กล้าพูด ถ้าคิดว่าตัวเองฉลาดก็ไม่มีวันได้ฉลาดอย่างแท้จริง แต่คนที่ฉลาดและยอมรับว่าตัวเองโง่จึงมีคนอยากจะนำสิ่งที่ดีๆ มาให้ คนที่กล้าบอกว่าตนเองโง่ได้ยิ่งฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามว่าวันนี้เป็นคนโง่ไหม (โง่)  ต้องฟังเหตุผลก่อนหรือ ถึงจะยอมโง่ ในชั้นนี้ทุกคนเป็นคนโง่ไหม (โง่) เป็นคนโง่ที่พร้อมจะฉลาดหรือคนโง่ที่จะโง่ไปเรื่อยๆ
รู้ว่าศิษย์บางคนอาจจะเชื่อยากแต่ก็ยังอยากใช้วิธีนี้มาผูกบุญสัมพันธ์กับศิษย์ รู้ว่าวิธีนี้อาจทำให้ศิษย์ดูแคลนอาจารย์ แต่ก็ยังอยากใช้วิธีนี้เพื่อมาพบปะแลกเปลี่ยนคุยกันเรื่องธรรมะกับศิษย์ รู้ว่าเป็นการยากที่จะทำให้ศิษย์เชื่อได้ แต่ก็ยังกล้าที่จะทำ อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์เรียนรู้หัวใจอย่างนี้ของอาจารย์ รู้ว่ายากแต่ก็ยังกล้าที่จะทำ
เพิ่งฟังเรื่องกฎแห่งกรรมไป ใช่หรือไม่ ใครทำสิ่งใดต้องได้รับสิ่งนั้น ใครพูดอย่างไรก็ต้องรับผล ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าไม่อยากโดนสังคมบีบบังคับ เราก็ต้องรู้จักแสดงสิทธิและแสดงเสียงของตัวเอง ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็จะ (ยืน)  ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็ (นั่ง)  เริ่มสับสนในตัวเอง อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ เอง ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็ (นั่ง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์บอกความจริงอีกอย่างนะ อาจารย์มาส่วนใหญ่อาจารย์ไม่ค่อยนั่ง อาจารย์จะยืนถามศิษย์ต่อนะ แปลว่าถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็จะ (ยืน)  อุตส่าห์บอกแล้วว่าอาจารย์ไม่ค่อยนั่งนะ บอกความจริงต่ออีกรอบหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะเกินหนึ่งชั่วโมง มากสุดคือสองชั่วโมง หรือมากกว่ามากสุดคือสามชั่วโมง  ฉะนั้นถ้าอาจารย์ยืนศิษย์จะ (นั่ง) อุตส่าห์บอกความจริงของอาจารย์ให้รู้แล้วนะ
ชีวิตศิษย์เองอย่าเอาไปเกี่ยวกับคนอื่นมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นแล้วจะมาโทษว่าคนอื่นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าในเมื่อเขาบอกความเป็นตัวของเขาขนาดนี้แล้ว สิ่งที่เราต้องควบคุมคือตัวเราเอง เหมือนเวลาเราอยู่ร่วมกับคนอื่น ถ้าเราเห็นเขาชัดขนาดนี้ เราเห็นเขานิสัยเป็นแบบนี้ ที่เราควบคุม คือ ต้องหันกลับมาควบคุมและระวังตัว เมื่อเรารู้จักเขาชัดขนาดนี้ เราจะเข้าอย่างไรถึงปลอดภัย เราจะออกอย่างไรถึงจะไม่เจ็บตัว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเรามองเห็นโลกไหม เห็น ใช่หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เห็นคือไม่เห็นตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นโลกชัด เห็นคนชัด แต่ไม่เห็นตัวเอง และก็คุมตัวเองไม่เคยได้ แต่ไปคุมคนอื่นได้ น่าตลกใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้อาจารย์บอกชัดแล้วนะว่าอาจารย์มาส่วนใหญ่ไม่นั่งและจะยืนมากกว่าสองชั่วโมง ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ตอนนี้ว่าอยากนั่งหรือยืน (นั่ง)  อาจารย์ก็ว่าอยากนั่งนะ  
อยู่ในโลกนี้ภัยภายนอกของคนนั้นบางทีถึงจะน่ากลัวเท่าไร แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมตัวเองให้ดีคนข้างนอกก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เพราะบางครั้งเราขาดสติยั้งคิด เราจึงปล่อยให้คนภายนอกมารุกล้ำและทำร้ายหัวใจเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ นะ ก่อนจะถามอาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟังเอาไหม (เอา)  
มีชายคนหนึ่งชอบมังกร ชายคนนี้ไม่ว่าอะไรเขาจะต้องมีมังกรหมด เพราะเขาเป็นคนชอบมังกร ฉะนั้นถ้ากำแพงบ้านโล่งๆ เขาจะต้องวาดมังกร ช้อนเปล่าๆ ไม่เอาต้องมีลาย (มังกร) เสื้อเปล่าๆ ไม่เอาต้องมีลาย (มังกร)  กระเป๋าเปล่าไม่เอาก็ต้องมีลาย (มังกร) เป็นคนที่ชอบมังกรเป็นชีวิตจิตใจ จนวันหนึ่งเจ้าแห่งมังกรอยากมาเจอหน้าคนนี้เหลือเกิน เพราะเป็นคนที่ชอบมังกรจนมีชื่อลือกระฉ่อนไปทั่วแคว้นทั่วทิศ พอวันหนึ่งเจ้าแห่งมังกรลงมาเจอเขาจริงๆ ถามว่าชายคนนี้ดีใจไหม (ดีใจ, ไม่ดีใจ)  เขาไม่ดีใจนะ แต่พอเห็นมังกรเป็นๆ เท่านั้น  เขาตกใจช็อคเกือบตายและหลังจากนั้นมา จากตอนแรกที่ชอบมังกรเขาเริ่มกลัวมังกรเลย
แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม มนุษย์ทุกคนรักชีวิต เรารักชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมยิ่งเรียนรู้ชีวิต ยิ่งรู้จักชีวิตมากยิ่งขึ้น เรายิ่งรักไม่ลง รักลงไหม สิ่งที่มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ หรือสิ่งที่ศิษย์ของอาจารย์พยายามดิ้นรนอยู่ทุกวันนี้เพื่อให้ตัวเองนั้นมีสุขก็ เพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตตัวนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำทุกๆ วิถีทาง บางครั้งยอมกลายเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ บางครั้งกลายเป็นคนขาดศีลขาดธรรม เพียงเพื่อตัวเองจะได้ตามใจชีวิตและร่างกายนี้ ทำทุกๆ อย่างเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารักชีวิตไหม (รัก)  แต่พอเจอความจริงของชีวิตมากเจอเข้าบ่อยๆ เรายังรักชีวิตไหม บางคนก็รัก บางคนก็ไม่รัก บางคนไม่รักชีวิตเขาแต่รักชีวิตเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ในเมื่อเรารู้ความจริงแห่งชีวิตแล้ว เรายังจะรักชีวิตไหม ถ้าคนที่รักก็จะต้องทำชีวิตให้มีสุข ไม่ให้ทุกข์ลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่รักอย่างแท้จริงคือต้องยอมรับให้ได้ แม้ว่าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าชีวิต สิ่งที่เราต้องเรียนรู้คือความเป็นธรรมดาของชีวิตว่าเกิดมาแล้ว เมื่อกินแล้วก็ต้อง (ถ่าย) ใช่กินแล้วต้องถ่าย กินแล้วไม่ถ่ายก็ตายแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเอาแต่ถ่ายแล้วกินไม่ลงก็ตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องจำไว้นะเมื่อเราจะเรียนรู้ชีวิต และจะใช้ชีวิตตัวเองในโลกใบนี้ เราต้องเข้าใจความเป็นพื้นฐานของชีวิตก่อน แล้วธรรมดาของชีวิตยังมีอะไรอีก ชีวิตยังต้องเดี๋ยวยืน เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวเดิน เดี๋ยววิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันไหนนั่งแล้วไม่ได้ยืนวันนั้นก็ตายแน่ๆ หรือวันไหนยืนแล้วนั่งไม่ได้ก็แย่แน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เดินได้แต่วันต่อไปเดินไม่ได้ก็ (แย่)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าแย่มันก็คือ ส่วนหนึ่งของชีวิต คือความเป็นธรรมดาของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมดาของชีวิตยังมีอะไรอีก (นอน)  กิน ถ่าย นอน ถ้ากินได้ ถ่ายได้ แต่นอนไม่หลับตายไหม (ตาย)  กินได้ ถ่ายได้ นอนไม่หลับก็ตาย ฉะนั้นธรรมดาของชีวิตคือ กินได้ ถ่ายได้ เดินได้ วิ่งได้ นั่งได้ นอนได้ หลับลง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วขึ้นชื่อว่าชีวิต มีร้องไห้ได้ไหม มีหัวเราะได้ไหม (ได้)  แล้วขึ้นชื่อว่าชีวิตมีวันดีได้ไหม มีวันร้ายได้ไหม มีวันไข้ได้ไหม เพราะนี่คือธรรมดาของชีวิต แล้วขึ้นชื่อว่าชีวิตมีเกิดแล้วตายได้ไหม เกิดแล้วไม่แก่แต่ตายทันทีได้ไหม (ได้)  เพราะเป็นธรรมดาของชีวิต  
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรความเป็นจริงของชีวิตมาเกิดขึ้นกับศิษย์ เกิดแล้วยังไม่ทันแก่แต่ต้องตาย ศิษย์ก็ต้องคิดว่า “ธรรมดาอาจารย์” วันนี้นั่งได้ เดินได้ อีกสักพักเดินไม่ได้ ศิษย์ก็ต้องคิดว่า “ธรรมดาอาจารย์” ใช่ไหม (ใช่)  เพราะนี่คือธรรมดานะศิษย์ ถ้าวันหนึ่งเกิดแล้ว แก่แล้ว ตายคือ (ธรรมดาของชีวิต) ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าใจธรรมดาของชีวิต เราจะทุกข์กับมันไหม (ไม่ทุกข์) แก้ไปหนึ่งเปลาะแล้วนะ ฉะนั้นถ้าวันนี้ศิษย์มีชีวิต เรามีกี่ตา (สองตา)  ถ้าวันหนึ่งเหลือตาเดียว เป็นอย่างไร (ธรรมดาของชีวิต)  วันนี้มีหู หูไม่ได้ยินแล้ว เป็นอย่างไร (ธรรมดาของชีวิต) แต่ก่อนเคยมีแขนมีขา ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุแขนหายขาหาย (ธรรมดาของชีวิต)  รับได้ไหม (รับได้)  เพราะมันคือ (ธรรมดาของชีวิต)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าใจธรรมดาของชีวิต เราจะทุกข์กับความธรรมดาของชีวิตไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ามนุษย์มองเห็นธรรมดาของชีวิต มนุษย์จะหาทุกข์ใส่ตัวไหม (ไม่)  ฉะนั้นเมื่อใดที่เราต้องพบมังกรจังๆ ตรงๆ เราจะช็อคตายไหม (ไม่ช็อค)  จริงหรือศิษย์ จำคำอาจารย์ให้ดีนะ นี่คือความเป็นธรรมดาของชีวิต มีได้ก็มีเสีย มีหัวเราะก็มีร้องไห้ มีพบก็มีพลัดพราก ใช่หรือไม่ มีวันสุขก็มีวันทุกข์ เคยมีลูกสักวันก็อาจจะต้องจากกัน  เคยมีเพื่อนมากมายสักวันก็ต้องเหลือตัวคนเดียว เคยมีเงินเต็มกระเป๋าถึงเวลาก็ต้องกลับมาจน ทำได้ไหม อย่าลืมว่าเรามาตัวเปล่า  ถึงเวลาวันหนึ่งเรากลับไปตัวเปล่าก็เป็นธรรมดา เราต้องทำใจให้ได้นะ   ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ อาจารย์ถามต่อ จะมีอะไรที่ศิษย์ควรจะดีใจ และจะมีอะไรที่ศิษย์ควรจะเสียใจ ถ้าวันนี้มีแขนดีใจไหม (ดีใจ, ไม่ดีใจ)  ไม่ดีใจ แต่วันใดเสียแขนถึงจะรู้ว่ามีแขนดีขนาดไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่ามีเรื่องอะไรที่เราควรดีใจ เพราะการดีใจอาจทำให้เรารู้จักว่าเสียใจเป็นอย่างไร  ฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรให้ศิษย์ต้องดีใจ ศิษย์จะมีอะไรที่ต้องทุกข์ใจไหม (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แก้ปัญหาได้อีกหนึ่งเปลาะ
ฉะนั้นต่อไปถ้าใครชมศิษย์ว่าหล่อ ดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  ใครชมศิษย์ว่าเก่งจริงๆ เลย ดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  ใครชมศิษย์ว่าศิษย์สวย ดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เพราะไม่อยากเจ็บปวดกับคำว่า น่าเกลียด และไม่อยากมาทุกข์ใจกับคำว่า ทุเรศ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะเรากลัวว่าถ้าเราดีใจมากๆ ด้านตรงข้ามก็จะทำเราเจ็บมากๆ เหมือนกัน และนี่คือความเป็นธรรมดาของชีวิต เมื่อเราสามารถมองเห็นว่าชีวิตคือความเป็นธรรมดา สุขทุกข์ย่อมไม่มีผล ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่า ชีวิต ประกอบไปด้วย
หนึ่ง คือ ธรรมดาของกาย
สอง คือ ธรรมดาของจิต
สาม คือ ธรรมดาของญาณ
ขึ้นชื่อว่าร่างกาย ประกอบไปด้วยกายหนึ่งส่วน จิตหนึ่งส่วน และญาณอีกหนึ่งส่วน ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นสามส่วน แต่มองไปมองมาคือส่วนเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรามองกายเป็นแล้ว มองเข้าไปในจิต จิตมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นธรรมดา คือชอบหวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบ และเวียนเกิดดับไม่จบสิ้นจนกว่ากายนี้จะสูญสลาย ใช่ไหม (ใช่)  
จิตนี้หวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบและเป็นสิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งชอบกระเพื่อมไหวไปตาม สิ่งที่ตาดูหูฟัง ใจเห็นอะไรสัมผัสอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็วิ่งวนกับการเกิดดับไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ากายถูกอำนาจของจิตครอบคลุมกายก็จะวิ่งวนไปตามจิตที่กระทบ จิตที่ยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่กายเราเคลื่อนไหวเรามองเห็นผู้ชายคนหนึ่ง “หล่อไหมหนอ ในนิยามของฉันถ้าผู้ชายต้องขาวๆ สูงๆ อย่าอ้วน”  ถ้าถูกกับสิ่งที่เราสั่งสมเราก็ใจหวั่นไหว ถ้าถูกกับจริตเราที่เรากำหนดไว้ในหัวใจว่า ถ้าฉันจะมีแฟน แฟนฉันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใจเราก็จะกระเพื่อมไหว แล้วกายก็จะไปตามจิตที่ถูกอำนาจครอบงำแล้วก็จะเกิดความหวั่นไหว เมื่อหวั่นไหวแล้วเกิดความอยากได้ จึงเรียกว่า “รูป” ทำให้เกิดเวทนา เวทนาทำให้เกิดสัญญา สัญญาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิด (วิญญาณ)  หรือเรียกว่า รูปทำให้เกิดตัณหา ตัณหาตามด้วยอุปาทาน
มนุษย์เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ภายนอกได้มากมาย ได้แจ้ง ได้เข้าใจ   แต่สิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน” เรากลับไม่ค่อยเรียนรู้และไม่เคยคิดที่จะเข้าใจมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกศิษย์ตั้งแต่สิ่งที่อยู่ภายนอกที่เรียกว่า “กาย”  กายนี้มีความเป็นธรรมดาอยู่ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นธรรมดา เดี๋ยวมีทุกข์ มีสุขเป็นธรรมดา เดี๋ยวมีดี มีร้าย มีสมหวัง มีผิดหวัง เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่ากายนี้จะเคลื่อนไหวไปได้ หรือจะบังคับไปได้ มันไปตามจิต แล้วจิตไปตามอะไร จิตไปตามอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น จิตไปตามอุปาทานอย่างเดียวไหม ก่อนที่มันจะยึดมั่นถือมั่น มันต้องเห็นรูปก่อนแล้วเกิดตัณหาจึงจะเกิดอุปาทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันต้องเกิดการเห็นก่อน แล้วก่อนที่จะเห็นมันต้องเกิดจากไม่พอใจในตัวเองก่อน มนุษย์ที่พยายามวิ่งออกไปสู่โลกแล้วไปหาทุกข์ใส่ตัวก็เพราะว่าไม่สามารถเป็นสุขได้ด้วยตัวเอง ไม่รู้จักพอได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ ทั้งที่ถ้ามนุษย์สามารถเป็นสุขได้ด้วยตัวเองและรู้จักพอได้ด้วยตัวเอง บางครั้งเราอาจจะไม่ต้องทุกข์กับการวิ่งไปหาข้างนอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์บอกว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยให้จิตครอบงำกาย จิตก็เลยวิ่งไปตามสิ่งที่ตาดู หูฟัง ใจอยากได้ แล้วเราก็ปล่อยให้อารมณ์นั้นครอบงำถูกไหม (ถูก)  เมื่อเราเห็นเราอยากได้ไหม ถ้ามันมีในความทรงจำว่า “ฉันขาดแคลน ถ้าได้มาฉันคงเต็ม ฉันคงมีความสุข” ใช่หรือไม่ แต่เติมแล้วเต็มจริงๆ ไหม (ไม่เต็ม)  ได้มาแล้วสุขจริงไหม (ไม่จริง)  พอเราได้มาเรากลับได้เห็นความเป็นธรรมดาอีกอย่างหนึ่ง  ความเป็นธรรมดาของเงิน ความเป็นธรรมดาของภาระหน้าที่  ที่วันนี้เราได้สักวันหนึ่งเราก็ต้องเสีย ที่วันนี้มีคนยกย่องสักวันก็ต้องมีคนด่าทอ ใช่หรือไม่  แปลว่าการที่กายปล่อยไปตามจิตแล้วพยายามแสวงหาอะไรก็ตาม จะทำให้เราเรียนรู้ความเป็นธรรมดาเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง อย่างเช่นเราหาเงินมา เราเห็นความเป็นธรรมดาของเงินไหม (ไม่เห็น, เห็น) ไม่เห็น เห็นแต่เงินใช่ไหม อย่าลืมนะว่าเมื่อได้สิ่งใดมาต้องมองให้เห็นความเป็นธรรมดาของสิ่งนั้น
เมื่อวานท่านแปดเซียนท่านสอนว่าอะไรนะ สอนว่า ก่อนกินอะไรต้องรู้จักพิจารณา ไม่อย่างนั้นสิ่งที่กินจะฆ่าคนให้ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สมมุติว่าศิษย์เลี้ยงอะไรก็ตามสักอย่างหนึ่ง เลี้ยงมันแล้วมันเริ่มโต แต่พอเลี้ยงไปแล้วมันกัดเรา เรายังจะเลี้ยงมันไหม (ไม่เลี้ยง)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าศิษย์เลี้ยงเงินแล้ว มันขึ้นดอก หรือว่าก่อนที่จะขึ้นดอก เงินก็กัดเรา แล้วยังเลี้ยงไหม (ไม่เลี้ยง)  
แล้วสิ่งที่ศิษย์พยายามแสวงหามันกัดศิษย์กี่ครั้ง มันทำเราเจ็บกี่ครั้ง แล้วยังหน้ามืดตาบอดเลี้ยงต่อไปไหม ไม่ควรจะหน้ามืดตาบอด แต่ควรหันกลับมามองตัวเอง และควรมองสิ่งที่เลี้ยงให้ดี มิเช่นนั้นมันจะกลับมากัดเราอีก แล้วถ้ามันกัดเราอีกทีหนึ่งเราก็คือคนโง่ ที่ไม่รู้จักตั้งสติที่จะใช้มันให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เหมือนเรามีความรัก รักทำให้เราเจ็บไหม (เจ็บ)  เรายังรักอีกไหม (รัก)  โง่จริงๆ เลย ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้ทำศิษย์เจ็บไหม (เจ็บ)  แต่ยังรักไหม (รัก)  ฉะนั้นก่อนจะกลับไปรักมันจงรักให้เป็น แล้วมองให้ออก ไม่ใช่มองเขาออกอย่างเดียว ต้องมองตัวเราออกด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นศิษย์จึงต้องรู้จักเรียนรู้ นอกจากมองกายให้เข้าใจแล้วยังต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจจิตด้วยเพราะจิตนี้เป็นต้นเหตุให้เกิดอะไร (เกิดทุกข์)  เพราะการที่เราเข้าใจกายแล้วเรารู้ว่ากายทำงานอย่างไร ต้องเข้าใจธรรมดาของจิตด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าเราปล่อยให้กายไหลไปตามจิต จิตก็ง่ายที่จะกระเพื่อมไหวไปตามสิ่งที่มากระทบจิต แต่ถ้าเรารู้จักอบรมจิตเราตั้งแต่แรกว่าอย่าไปหวั่นไหวกับมัน มันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่แรกว่าอันนี้ก็ธรรมดา เงินก็เป็นธรรมดาที่หนีไม่พ้นว่ามีได้ก็มีเสีย มีคนชมก็มีคนด่า มีสมหวังก็มีผิดหวัง เมื่อเราเข้าใจตรงนี้จิตเราก็ไม่เคลื่อนไหวไปกับสิ่งที่เรามองเห็นหรือสิ่งที่มากระทบใจ เพราะมันคือธรรมดาของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรามองเห็นเป็นธรรมดาของชีวิต การที่เราจะเห็นรูปเราก็จะไม่เกิดเวทนาความรู้สึก แล้วก็ไม่เกิดอุปาทานความยึดมั่น หรือไม่เกิดตัณหา   กิเลสเราก็จะถูกตัดทิ้งทันที แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่แบบนี้ พอเห็นแล้วเกิดความยึดมั่น เกิดตัณหา เกิดกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)   หลงไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง และความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นยังก่อให้เกิดเป็นอกุศลวิตก
ความโลภ ทำให้เกิด กามวิตก  
ความโกรธ ทำให้เกิด พยาบาทวิตก
ความหลง ทำให้เกิด วิหิงสาวิตก  
อาจารย์จะบอกว่าการปล่อยจิตไปตามขันธ์ ไปตามรูปที่มองเห็น ไปตามอายตนะ นอกจากจะเกิดกิเลสที่เป็นภาระ เกิดขันธ์ที่เป็นภาระแล้วยังเกิดวิชามารขึ้นด้วย และวิชามารนั่นเกิดจากโลภ เมื่อโลภแล้วก็เกิดความอยากได้ใคร่มี เมื่ออยากได้ใคร่มีก็ต้องแย่งชิง เมื่อแย่งชิงแล้วไม่ได้ก็เกิดความแค้น ก็กลายเป็นความพยาบาท เมื่อกลายเป็นความพยาบาทก็เกิดการเบียดเบียนทำร้าย เมื่อเบียดเบียนทำร้ายแล้วก็เกิดเป็นวิบากกรรม เมื่อเกิดวิบากกรรมก็เกิดเป็นชาติ ภพ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อชาติภพไม่จบสิ้นก็เกิดเป็นชรา มรณา และเกิดวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย  อาจารย์พูดครบรอบแล้วนะ
ศิษย์เอยแค่กาย จิต และญาณ ถ้าปล่อยให้กายไหลไปตามจิตที่กระเพื่อมไหวกับสิ่งที่มากระทบโดยขาดญาณอีกตัวหนึ่ง ญาณอันนี้ธรรมดาของญาณคืออะไรรู้ไหม  ถ้ากายปล่อยให้จิตควบคุมกายก็จะหวั่นไหว และง่ายที่จะก่อภพ ก่อชาติ และเกิดการเวียนว่าย และเกิดวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรายังมีตัววิเศษอีกอย่างหนึ่งคือญาณ ญาณอันบริสุทธิ์ ญาณนั้นมีความธรรมดาคือความสงบ ไม่เกิด ไม่ดับ และไม่มีวันถูกทำลายได้ และมนุษย์สามารถปล่อยให้ชีวิตอยู่กับญาณเป็นตัวควบคุมได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า สามารถให้ญาณควบคุมกายได้ แต่ศิษย์ต้องเข้าถึงความรู้แจ้งด้วยปัญญา ความรู้แจ้งด้วยปัญญา จะทำให้เราสามารถเข้าใจ กาย  จิตและญาณ  ฟังแล้วยากไปไหม (ไม่ยาก)
กาย  จิต  ญาณ  ถ้าเทียบกับทางพุทธ เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
กาย คือ ศีล   
จิต คือ สมาธิ
ญาณ คือ ปัญญา
ฉะนั้นถ้าหากมนุษย์รู้จักที่จะดำรงศีล ศีลก็จะเป็นตัวควบคุมกาย และ หากสามารถคงศีลได้บริสุทธิ์และมั่นคง เราก็สามารถควบคุมจิต และเมื่อมั่นคงและเห็นโลกในโลกใบนี้ด้วยความเป็นจริง และเป็นเรื่องธรรมดา เราก็จะบังเกิดปัญญาญาณ ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงกล่าวว่าจงถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ จงรู้จักมีศีล สมาธิ ปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตจะเข้าถึงได้อย่างไร ในเมื่อกายยังไม่ค่อยดำรงอยู่ในศีล จิตยังหาความสงบนิ่งไม่ได้ แล้วปัญญาจะเกิดได้ที่ใด จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอยากได้ครบก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่ศีล แต่อาจารย์ก็บอกวิธีง่ายไปตั้งแต่ต้น ถ้าศิษย์มองเห็นความเป็นธรรมดาของกาย ศิษย์จะมีจิตที่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่กระทบไหม (ไม่)  จะมีสิ่งที่ศิษย์รักเกลียดไหม (ไม่มี)  เพราะมันเป็นธรรมดาของชีวิต แล้วเมื่อเรามองเห็นความเป็นธรรมดาของชีวิต เราก็จะรู้แจ้งถึงปัญญา ที่เรียกว่าธรรมอันแท้จริง และมนุษย์ก็จะสามารถเดินไปถึงซึ่งธรรม ไม่ต้องเดินไกล เดินในตัวเรานี่เอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์พูดจนจบแล้ว ศิษย์ก็ไปไม่ถึง ใช่หรือเปล่า เดินให้ถึงหน่อยนะ อาจารย์อุตส่าห์อธิบายจนไปให้ถึงแล้วนะ
อาจารย์ถามศิษย์ว่า มนุษย์มักจะมีสิ่งใดที่ทำให้มนุษย์เข้าไปไม่ถึงศีล เข้าไปไม่ถึงความสงบ อะไรที่เป็นตัวขวางกั้นให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงซึ่งความดีงาม
(กิเลส)  กิเลสตัวที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจศิษย์ คืออะไร (ตัณหา)  ตัณหาแปลได้อีกอย่างหนึ่งคือความอยาก (ความห่วงหาอาทร)  ห่วงลูกก็ยังทำดีได้ใช่หรือไม่ แต่ห่วงด้วยการหาเงินให้เขามากๆ ไม่สู้การปูคุณธรรมให้เขารู้จักดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ความอยาก)  ความอยากได้เงินจนทำให้ไม่รู้จักจะไปทำบุญทำทานช่วยเหลือคนใช่ไหม อยากได้เงินจนไม่มีเวลาไปฟังธรรมะ (ความโลภไม่เคยพอ, ถ้าเรารักษาศีลห้าครบและนั่งสมาธิช่วยปัญญาก็เกิด) สมาธิศิษย์มักจะบอกว่า ต้องเกิดจากการนั่งนิ่งจึงเกิดสมาธิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนโดยส่วนใหญ่เขาจะบอกว่าใช่ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าถ้าเราสามารถมีสมาธิทุกขณะที่ตากระทบ หูได้ยิน ใจสัมผัส อันนั้นเป็นสมาธิที่ยอดกว่า เพราะชีวิตจริงศิษย์ต้องพบกับตากระทบ หูฟัง ฉะนั้นเอาแต่ไปนั่งสมาธิอยู่หน้าโต๊ะพระพุทธไม่มีประโยชน์ ต้องมีสมาธิทุกขณะที่เวลาเราโดนกระทบ เรารักษาศีลไหม เรามั่นคงในจิตใจไหม เจอหญิงสวยเราหวั่นไหวไหม หญิงแต่งตัววับๆ แวมๆ เรายังรักษาศีลได้ครบไหม ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสมาธิต้องเกิดตั้งแต่ตอนที่เราเห็น ศีลต้องมีครบ จิตต้องมั่นคง แล้วปัญญาจะตัดได้เอง ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาพอถึงเวลาก็อยากได้สาวสวย ทองชาวบ้านฉันก็อยากได้ อย่างนี้ไปนั่งสงบในบ้านไม่มีประโยชน์เพราะพอออกนอกบ้านมาตาโตเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  สงบที่แท้จริงคือเราต้องควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยศีลและสมาธิที่มั่นคง ถ้าเราอยากได้แล้วมีความสุขแต่ทำให้คนอื่นทุกข์ เรายอมไม่สุข แล้วให้คนอื่นเขาสุขดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้ฉันอยากสุขไว้ก่อน คนอื่นทุกข์ช่างประไรแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  วิธีง่ายๆ ที่อาจารย์อยากจะบอกก็คือ สุขน้อยหน่อยแล้วให้คนอื่นเขาสุขมากหน่อย เราน่าจะดีมิใช่หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้ขอสุขเต็มที่ก่อน แล้วค่อยไปแบ่งปัน ศิษย์ว่าทันไหม (ไม่ทัน)  ตลอดทางศิษย์ก็ลากเอาความสุขมาแล้วทำให้คนอื่นทุกข์มาตลอดทาง แล้วค่อยคิดมาโปรยทานทีหลังทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  ควรทำตั้งแต่ทุกก้าวที่ศิษย์ทำได้ อดทนได้ สละได้ สุขน้อยหน่อยได้ ยอมหน่อยได้ ไม่เห็นเป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เหมือนที่ศิษย์บอกอาจารย์ว่าขอศิษย์รวยก่อนแล้วศิษย์จะทำบุญมากๆ ถ้าอาจารย์บอกว่าก่อนที่ศิษย์จะรวย ศิษย์ปูหนทางมารมาตลอด อาจารย์จะอยากให้ศิษย์รวยไหม สู้ศิษย์ไม่รวยแต่ทุกก้าวศิษย์ปูหนทางแห่งพุทธะ ทุกก้าวคือการเสียสละ ตัวเองกินน้อยหน่อย ตัวเองสุขน้อยหน่อย แต่ให้คนข้างๆ ได้สุขเท่าๆ กันหรือสุขมากกว่า อันไหนประเสริฐกว่า ปูทางมารแล้วรวยแล้วค่อยมาแจกวิชาพระหรือ อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  
ฉะนั้นทำไมพระพุทธะจึงยอม ทั้งที่ท่านมีโอกาสเป็นกษัตริย์สามารถแจกความสุขคนได้ตั้งมากมาย ช่วยเหลือคนได้ตั้งมากมาย ทำไมท่านไม่เลือกวิชานี้ แต่ท่านเลือกวิชาที่จะก้าวไปเผชิญกับความทุกข์ เอาชนะทุกข์และมาช่วยมวลชน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่คนที่หนีทุกข์ แต่การบำเพ็ญธรรมคือคนที่กล้าสู้กับทุกข์และเข้าใจทุกข์ และเอาสัจธรรมจากทุกข์ไปช่วยคน และเห็นแจ้งในทุกข์ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมยิ่งลำบากยิ่งดี ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วลำบากไม่ได้ บำเพ็ญธรรมแล้วไม่ต้องเจ็บป่วยก็ไม่ใช่ ยิ่งเจ็บป่วยยิ่งได้ลดตัวตน ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจการบำเพ็ญธรรมให้ถูกต้อง อย่าเข้าใจเพียงแค่กระพี้เปลือก แต่ไปแล้วต้องไปให้มันถึงแก่น
อะไรที่เป็นตัวขวางกั้นให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงซึ่งความดีงาม มีใครจะตอบอีกไหม(อุปสรรค) อุปสรรคในเรื่อง (เพราะว่าบางครั้งเราพยายามทำความดีแล้วไปเจออุปสรรคก็ข้ามผ่านไปไม่ได้)  ไม่เคยได้ยินหรือ “อุปสรรคไม่มีบารมีไม่เกิด” ใช่หรือไม่  อุปสรรคและศัตรูอาจจะช่วยละลายคลี่คลายบาปเวรของเราก็ได้ถูกหรือไม่  ฉะนั้นอย่ากลัวอุปสรรค แต่จงกลัวหัวใจที่ไม่สู้กับอุปสรรคมากกว่า
(ความกลัว) ความกลัว ความไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่ดีงามใช่ไหม กลัวเป็นอย่างไร กลัวทำดีแล้วเขินหรือ อย่ากลัวนะ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง  แม้จะลำบากบ้างก็เป็นตัววัดความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่แท้จริง
(กิเลสพาให้เราไป)  กิเลสอะไรที่น่ากลัวในใจ (ความโลภ ความหลง อยากได้ของคนอื่นมาครอบครอง)  กิเลสที่น่ากลัวที่สุดคือความที่ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งใดที่ขวางกั้นให้มนุษย์เดินไปไม่ถึงซึ่งความดีงามอันแท้จริงหรือทำให้เราไม่เคยได้บำเพ็ญธรรมจริงๆ สักที (จิตใจที่ไม่เข้มแข็ง) ในห้องต้องตอบได้และไม่เหมือนกันเพราะว่าแต่ละคนไปไม่ถึงซึ่งความดีมีปัญหาแตกต่างกันออกไป  (ไม่รู้จักปล่อยวาง)  ไม่รู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่อยู่ในใจเราเสียที ทั้งที่อารมณ์นั้นไม่มีรูปร่าง มันครอบงำจิตใจ เมื่อครอบงำใจมากเท่าไรก็ทำให้เราเป็นพญามารมากกว่าเป็นเทวดา เมื่อเราเป็นพญามารก็ทำให้บ้านเราเป็นนรกไม่ใช่สวรรค์   ฉะนั้นเราต้องใช้ธรรมะเข้าข่ม ใช้ขันติเข้าข่มอดทนเข้าไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
(ความโกรธ) เจอใครขัดอกขัดใจ โกรธไหม ถ้าใครชกหน้าโกรธไหม (โกรธ) ต่อไปจะอดทนและใจเย็นๆ ขึ้นนะ โกรธได้รู้ตัวได้แต่ไม่พ่นออกมา มีได้แต่ไม่เอาความโกรธ ฉันมีโกรธแต่พอรู้ตัว “แกมันน่ารังเกียจฉันไม่เอา” เดี๋ยวความโกรธก็หายไปเอง
(ไม่เข้าใจในสิ่งนั้น)  เวลาจะทำดีแล้วไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าดีหรือ ยกตัวอย่างเช่น อยากทำดีแต่ละล้าละลังใจ ใช่ไหม (ใช่) บางทีจิตสงสารเริ่มแรกเป็นสิ่งประเสริฐ ถ้าเอามาย้อนคิดจิตสงสารนั้นจะหายไป ถ้ามุ่งมั่นอยากจะช่วยคนเพราะตอนนั้นเมตตาจิตเกิด รีบช่วยอย่าย้อนคิด เพราะถ้าย้อนคิดเมตตาจะหายไป เพราะจิตแรกมักจะเป็นจิตที่บริสุทธิ์เสมอ
(ไม่กล้า) กลัวอะไร ทำดีต้องกล้า เริ่มจากคนในบ้านก่อน ดีกับพ่อแม่ พูดกับพ่อแม่ให้เพราะๆ ได้ไหม เวลาท่านโกรธ ท่านว่า ทำอย่างไร (ยิ้ม)  เข้าไปกอดเลย “อย่าโกรธนะ หนูผิดแล้ว” ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ตอบว่า (หลงผิด)  เพราะตาเรามืดบอด เราเคยเป็นไหมคิดว่ามองแล้วคิดว่าหน้าตาอย่างนี้เขาไม่ดีแน่ ไม่ต้องไปดีกับเขา แล้วก็ปักใจเชื่อทั้งๆที่ เขาอาจจะมีดีก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือว่าเข้าข้างตัวเอง อันนี้น่ากลัวที่สุด
(รับความจริงไม่ได้ คิดว่าชีวิตตัวเองไม่ธรรมดาอยู่เรื่อย) พอเกิดอะไรขึ้นก็เลยรับไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงมองชีวิตให้เป็นธรรมดา เพราะคนทุกคนก็เหมือนๆ กัน ไม่มีใครแตกต่างกัน แม้กระทั่งพุทธะ ท่านก็เคยต้องทุกข์มา แต่ท่านมองทุกข์แล้วทำให้เกิดความเห็นแจ้ง มองทุกข์แล้วทำให้เกิดสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามในการช่วยผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามัวจมอยู่กับความคิด กิเลสเกิดจากอะไรรู้ไหม กิเลสเกิดจากดำริ ฉะนั้นถ้าจะไม่มีกิเลสก็คืออย่ามัวไปสนใจความคิด
(คิดมาก ตอนเช้าออกไปปากซอย ไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง เดินเข้ามาแล้วบอกขอสตางค์ซื้อข้าวกิน พอดีว่าไม่ได้เอาเงินไป เลยเป็นทุกข์ว่าจะให้เขา เราก็ไม่มี)  เสียใจที่ไม่ได้ช่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงบอกว่าขันธ์ทำให้เกิดกิเลส  กิเลสทำให้เกิดอกุศลวิตก ทำให้เราไม่สบายใจ กังวลใจ อาจารย์จึงอยากบอกว่า หยุดมันบ้างความคิด ถ้าตอนนั้นช่วยเขาไม่ได้ ก็พูดว่าไม่มีจริงๆ  ขอโทษนะ ก็จบแล้ว คิดแล้วได้อะไร ไม่ได้เลย อยู่กับปัจจุบันนะศิษย์นะ คิดมากแล้วก็ไม่ได้อะไรนะ ไม่ต้องหัวเราะเขาศิษย์ก็เป็นทุกคน เพราะเมื่อไรที่หัวเราะเขาสักวันหนึ่งมันจะย้อนกลับมา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกชีวิตเราไม่ควรหัวเราะ ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นเรามองเห็นแล้วเราต้องกลับมาสะท้อนสะเทือนใจว่าสักวันหนึ่งมันต้องเกิดกับเราและเราก็ต้องทำใจให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็หัวเราะทีหลังดังกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากทำอะไรทำให้จบ อย่าลากมันมา เพราะถ้าลากมันมาศิษย์จะสร้างวิบากกรรม แล้วศิษย์จะกลายเป็นว่าเหมือนเราติดค้างเขา เหมือนเราติดหนี้เขา เหมือนเราต้องคืนให้เขา ศิษย์ต้องกลับมาพบเขาอีกนะ อยากพบไหม ถ้าอยากพบก็คิดต่อไป เพราะถ้าเราผูกกับมันอยู่ เราจะต้องเวียนกลับมาพบ แต่ถ้าเกิดในชาตินี้เขาหมดกรรมแล้ว แต่ศิษย์ยังผูกใจอยู่ ยังฝังใจอยู่ ไม่แน่ศิษย์อาจต้องมาพบเขาชาติหน้า ศิษย์จะเอาหรือ ฉะนั้นอย่าไปคิด ผ่านแล้วก็ผ่านไป
สิ่งที่ปิดกั้นไม่ให้ทำความดีอีกอย่างหนึ่งคือผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ใช่ไหม   (การไม่รู้จักความพอดี)  แล้วพอดีบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่พอก็ยังไม่มีดีนะ ใช่หรือไม่ (เพราะเรายังห่วงลูก ห่วงหลานที่ดูแลอยู่) ก็เลยทำดีไม่ได้จริงหรือศิษย์  (ไม่จริง) อย่างนี้ตอบถูกไหม (ไม่ถูก)  เขาเรียกว่าสีไปข้างๆ คูๆ ใช่ไหม ห่วงลูก ห่วงหลานทำไมจะทำดีไม่ได้ใช่ไหม ห่วงลูก ห่วงหลาน ต้องรู้จักสอนให้ลูกได้ดีใช่หรือไม่ สอนให้ลูกไม่เป็นภัยของสังคม สอนให้ลูกไม่เป็นตัวต้นเหตุของภัยอันตราย เราก็คือคนผลิตสิ่งที่ดีออกไปสู่โลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้ไปทำดีไม่ได้ก็คือห่วงอย่างผิดๆ
  (เพราะผมทำตามใจตัวเองมากเกินไป) จนลืมสนใจคนรอบข้าง ห่วงแต่สุขตัวเองจนลืมสุขของคนรอบข้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ห่วงแต่สิ่งที่ตัวเองรักจนลืมคนที่รักเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ดีนะ รู้ตัวก็รีบแก้นะ
(ตัวเองไม่ละอายในความชั่วที่ทำไว้) ต่อไปนี้ให้รู้จักละอายเกรงกลัว รักษาศีลให้ครบก็พอ ต่อไปยุงกัดจะไม่ตี มดกัดจะไม่ตี แต่มนุษย์เรายุงมาก็ตบ มดมาก็บี้ แมลงสาบมาก็ขยี้  เล็กๆก็ต้องรู้จักไม่ทำบาปนะ
(ขาดผู้รู้และผู้แนะนำ) แล้วเราให้เวลากับชีวิตในการจุดแสงเทียนบ้างหรือยัง การจุดได้จึงทำให้เกิดปัญญา การจะได้จุดนั้นเราต้องให้เวลา แล้วเราเคยให้เวลาที่จะไปจุดแสงเทียนให้กับปัญญาในตัวหรือยัง ไม่เคย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่เวลาไปหาเงิน เพิ่มเทียนให้สูงๆ เทียนเล่มใหญ่แต่ไม่มีแสงสว่างให้กับผู้อื่นก็เปล่าประโยชน์นะ  
สิ่งที่ขวางกั้นที่ทำให้เราไปไม่ถึงความดีนั่นก็คือ คิดว่าตัวเราแก่ ตัวเองไม่ไหว ตัวเองไม่มีเงินเลยไม่ช่วยใคร
(กิเลสครอบงำ) เพราะหมากมันครอบงำใจ ใช่หรือไม่ มือถึงสั่นแบบนี้ (ติดมันแล้วค่ะ) รีบหยุดซะนะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันสั่นทั้งตัวจะยิ่งลำบากนะ
(ตัดความโกรธ ความโลภ ความหลงไม่ได้)  เอาอย่างเดียวก่อนนะ เป็นคนใจเย็นๆ ตัดความโกรธให้ได้ดีไหม รู้ทันในสิ่งที่อยาก รู้ในสิ่งที่ควรที่ไม่ผิดศีลธรรม ทำได้ไหม
(ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ) ถ้าทำแล้วมีคนว่าก็อย่าท้อ ที่ไม่มั่นใจเพราะกลัวทำแล้วไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ คนทำดีหรือคนทำชั่วมีใครบ้างที่ไม่โดนนินทาในโลก ไม่มีใช่หรือไม่ ทำแล้วจงมั่นใจ แล้วถ้าถูกว่าก็เอากลับมาแก้ไขเพื่อจะได้ดียิ่งขึ้น การถูกว่า การถูกติ เป็นการพัฒนาตัวเราเองนะ
(ยังยึดติดกับสิ่งรอบๆ ตัวเรา)  ยึดติดกับสิ่งรอบๆ ตัวเราจึงทำให้เราไปไม่ถึงซึ่งความดี
(เราไม่อยากปล่อยสิ่งของเราไป)  ก็เลยทำให้ไม่ได้ดีเลยหรือ
(มันเป็นจุดๆ หนึ่งที่เราไม่อยาก)  เราคิดว่าการอยากก็ยังมีดีใช่หรือไม่ การโกรธก็ไม่ผิดอะไรใช่หรือไม่ การหลงก็ดูไม่ใช่แย่ ใช่หรือไม่ แต่ศิษย์รู้ไหมว่าพออยากมากๆ  ความอยากจะกลายเป็นปรุงแต่งให้อยากน่ากลัวยิ่งขึ้น อยากโดยขาดศีลธรรม อยากจนขาดเมตตาธรรม ใช่หรือไม่ อยากจนกลายเป็นตัณหา และตัณหาที่น่ากลัวคือไม่รู้ผิดชอบชั่วดี บางครั้งเรารู้จักลดทอนบ้าง ก็ดีกว่าปล่อยไปตามใจตัว
(อาจารย์ถามว่าอะไรปิดกั้นความดีใช่ไหมครับ ตัวสำคัญที่สุด คือ   นิวรณ์ ๕ ครับผมขอขยายความให้เพื่อนกัลยาณมิตรฟังนะครับ ข้อหนึ่ง กามฉันทะ ยังติดในรูป รส กลิ่น เสียง ข้อสอง พยาบาท มีความโกรธ ความแค้นอยู่ ข้อสาม  ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ข้อสี่ อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน ข้อห้า    วิจิกิจฉา สงสัยในธรรมะของพุทธเจ้า)  
ปรบมือให้หน่อย ตอบได้ดีนะ ศิษย์มีโอกาสสร้างสิ่งที่ดีได้มาก อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้และสิ่งที่ดีนั้นศิษย์จงทำให้เกิดทานอันยิ่งใหญ่ ทำทานโดยไม่หวังผลเป็นทานที่บริสุทธิ์นะ
(ยังขาดปัญญารู้คิด, ความไม่รู้จักพอ)  แล้วต่อไปนี้จะพอบ้างหรือยัง (พอ)  เพราะถ้าไม่พอเรานั้นล่ะคือผู้ที่ทุกข์ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หัวใจเราไม่มีวันเติมเต็ม และก็ไม่มีใครมาเติมให้เราเต็มได้ถ้าเราไม่พอสักที
(เพราะบุญบารมีมีน้อย)  จริงหรือศิษย์ พระพุทธะบางองค์อ่านหนังสือไม่ออก แต่ท่านยังรู้แจ้งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  องค์นั้นชื่อว่า (ท่านเว่ยหล่าง)  ใช่หรือไม่ อ่านหนังสือไม่เป็นเลยแต่ท่านยังรู้แจ้งได้เลย แม้กระทั่งองค์ที่ร้ายที่สุด ที่ฆ่าคนแล้วตัดกี่นิ้วนะ (๙๙๙)  ใช่องคุลีมาลยังรู้แจ้งได้เลย แล้วเรายังไม่เคยทำบาปถึงขั้นองคุลีมาล แล้วยังรู้หนังสือมากกว่าท่านเว่ยหล่าง ทำไมเราจะเข้าสู่คุณงามความดีที่ประเสริฐไม่ได้ล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  สำคัญว่าเราจะมุ่งมั่นหรือไม่ เราตั้งใจจริงหรือเปล่า  สิ่งนั้นคือตัวสำคัญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทำดีต้องตั้งใจ กลัวอย่างเดียวกลัวศิษย์ไม่ตั้งใจ
(ความยั้งคิด)  ฉะนั้นจงรู้จักมีสติยั้งคิด
(มัวแต่เดี๋ยวไม่ลงมือทำ) เดี๋ยวแล้วนาน จำเพลงของอาจารย์ได้ไหม เดี๋ยวแล้วนานฉะนั้นต่อไปอย่าเดี๋ยว จงรีบทำทันที เริ่มต้นจากพ่อแม่ ใช่หรือไม่ รักในสิ่งที่ท่านเป็น อย่ารักในสิ่งที่ใจเราอยากให้เป็น เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดทุกข์  แล้วก็ต่อด้วยครูบาอาจารย์อย่านินทาท่านบ่อย
(อยากสวย) อยากสวย อยากเด่น แต่สวยแล้วอย่าลืมนะมีคนสวยกว่า แล้วศิษย์เคยเห็นไหม คนสวยๆ ใช่ว่าใครก็อยากจะมอง เพราะบางทีคนที่สวยที่สุด ก็อาจจะเป็นคนที่ไม่มีใครเอาที่สุดก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สวยที่สุดคืออะไร คือ สวยที่ใจ  มีเรื่องเล่าให้ฟัง นางไซซีเป็นคนที่สวยงามที่สุดในสมัยพงศาวดารจีน แต่ถ้านางไซซีขี้เกียจอาบน้ำ ถามสิว่าความสวยนี้จะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  สวยแต่เดินไป (เหม็น)  ฉะนั้นความดีประเสริฐกว่านะ
  (บางครั้งเราตั้งใจทำความดีแต่สิ่งแวดล้อมทำให้เราต้องจำใจทำ เช่นคนในครอบครัวหาปลามาเราก็ต้องทำ)  ถ้าเราบอกว่าเราไม่ฆ่าเขาก็ด่าเรา อย่างนั้นคราวหน้าเวลาทำปลาก็อยู่ใกล้ๆ น้ำแล้วก็บอกสามีว่ามันลื่นลงน้ำไป (อย่างที่จะมาฟังธรรมะสามีก็ไม่ค่อยพอใจแต่ก็มา) ขอให้ศิษย์อดทนและเอาความดีชนะสามี สักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนใจมาตามศิษย์ แต่ศิษย์ต้องเอาความดีคือความอดทนอดกลั้น ยอมให้ได้มากที่สุด ยอมจนไม่มีอะไรจะยอม แล้ววันนั้นเขาจะกลับมาตามศิษย์ เชื่ออาจารย์นะ แต่อย่าไปฆ่าปลานะ ฆ่ามันเขาไม่ได้มารับกรรมกับเราด้วย แต่เรารับกรรมเต็มๆ เลย ถ้าเขาเอาปลาสดๆ มาเราก็บอกว่ามันหลุดไปแล้ว
(ละเลยในการทำความดี) ทำไมถึงละเลยล่ะ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องดีก็ได้ ใช่ไหม อย่างนี้ถูกหรือ ดีไม่ดีเรารับรู้ เพราะความดี  แต่ความดี เป็นความภูมิใจ ความดีทำให้เกิดภพหน้าที่บริสุทธิ์ด้วย
(โกรธ) โกรธแล้วมือไวเท้าไว คราวหน้าโกรธต้องมีสติ  รู้จักควบคุมลมหายใจ หายใจเข้าหายใจออกช้าๆ  แล้วมองว่าโกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วต้องเสียใจภายหลัง ฉะนั้นใจเย็นๆ ดีไหม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้นะ
(มีปัญหารุมเร้าจนทำดีไม่ได้) ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนบางคนจะพ้นปัญหาได้ก็ต่อเมื่อยอมฟันฝ่าอุปสรรคโดยไม่สูญเสียความดีงามในหัวใจ ฉะนั้นถ้าตอนนี้ศิษย์ต้องพบอุปสรรคแล้วศิษย์อยากไปให้ถึงศิษย์ก็ต้องไม่ยอมสูญเสียคุณธรรมในใจ รักษาคุณธรรมให้ดีที่สุดและฟันฝ่าไปให้ได้แม้หนทางที่ฟันฝ่าจะลำบาก และอาจารย์เชื่อว่าอุปสรรคจะคลี่คลายได้แต่ศิษย์ต้องมุ่งมั่นอดทน ไม่แตกคุณธรรมในใจตน กลัวอย่างเดียวคือกลัวลำบากเลยยอมทำไม่ดี
(ครอบครัวความคิดไม่ตรงกัน ก็แยกกันอยู่) แล้วอยากกลับไปอยู่กับเขาอีกไหม (ไม่) ไม่แล้วนะแล้วต่อไปจะทำอย่างไร ศิษย์เข้มแข็งได้หรือเปล่า แยกแล้วดูเหมือนข้างนอกแข็ง แต่ข้างในปวดร้าวเต็มทน ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าถึงเวลาดวงมันจะคู่กันได้แค่นี้ก็คือมีบุญกันมาแค่นี้ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้มแข็งนะ แล้วเกิดมาแต่ก่อนก็ไม่ได้มีเขาอยู่ใช่หรือไม่ แล้วตอนที่เราเกิดมาไม่มีเขาเราอยู่ได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์จะต้องอยู่ให้ได้ มีชีวิตเพื่อชีวิตของตน
ตอบว่า (ความที่ไม่รู้ว่าผิดคืออะไร สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก สิ่งไหนดี หรือ สิ่งไหนเลว)  บางครั้งแยกไม่ออกว่าอะไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามศิษย์ง่ายๆ เลยนะ ศีลห้าคืออะไรบ้าง ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่โกหก ไม่ประพฤติผิด ไม่ดื่มสุรา ใช่หรือไม่ ไม่ฆ่าสัตว์คือ มีจิตใจเมตตาเป็นมิตร ไม่ประพฤติผิดคือมีมโนธรรมสำนึกอันดีงาม ถูกไหม อาจารย์ถามหน่อยนะถ้าวันหนึ่งศิษย์เดินไป แล้วศิษย์เห็นคนกำลังตีงูให้ตาย ในใจศิษย์ลึกๆ ก็สงสารใช่ไหม แล้วถ้าอยากพูดได้ก็อยากบอกว่าอย่าไปตีงูเลย นั่นก็คือมโนธรรมสำนึก เมตตาจิต ที่มีอยู่จงขยายให้มากๆ เอาแค่เมตตาจิตกับมโนธรรมสำนึกที่ดีงามและไม่เคยโกหกใคร เอาสามอย่างนี้เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ศิษย์ก็ยากทำผิดแล้วถูกหรือไม่ ถ้าเราทำด้วยความสงสาร เราจะโกหกคนอื่นได้ลงไหม ถ้าเราทำด้วยเมตตาจิตเราจะเบียดเบียนผู้อื่นและตัวเองมีความสุขได้หรือ ถูกหรือไม่

(พระอาจารย์เมตตาประทาน ชื่อเพลงพระโอวาท “บำเพ็ญเป็นมากกว่าการทำดี” ทำนองเพลง ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน)
(ปิดใจไม่ยอมทำความดี) ใจไม่ยอมทำสักที มัวแต่ห่วงเรียน ห่วงเพื่อนใช่หรือเปล่า เมื่อมีสิ่งใดที่เป็นโอกาสสิ่งใดที่เป็นสิ่งดีจงทำนะ ศิษย์นะ แล้วความดีที่ทำง่ายคือรู้จักรับผิดชอบหน้าที่และมีน้ำใจช่วยเหลือพ่อแม่และคนรอบข้าง  อย่ารักสบายจนเคยตัว
(หลงตัวเอง) หลงตัวเองจนเข้าข้างตัวเอง จนไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิดอย่างนี้ก็ไม่ดีใช่ไหม
(เกิดความกังวล กลัวปฏิบัติไม่ได้)  ก็ลองทำดูก่อน ไม่ใช่ยังไม่ทันทำก็กลัวเสียแล้ว อย่างนี้จะได้อะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนหน้าชั้นเป็นตัวอย่าง)
เรื่องสุดท้ายที่อาจารย์อยากคุยกับศิษย์คือ เรื่องสิ่งที่มนุษย์รักที่สุด มนุษย์พยายามทำทุกอย่างเพื่อตัวตนนี้ที่เป็นที่รักใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์บอกว่าสิ่งที่ศิษย์รักนั้น พระพุทธะกล่าวว่าเหมือนอะไร (ถุงขี้)  สิ่งที่ศิษย์บำรุงบำเรอแล้วทำทุกอย่าง ให้สวยให้งาม เพื่อไปบำรุงถุง (ขี้)  ใช่ไหม แต่นักเรียนในชั้นไม่รู้ และก็มักจะหลงกับมันว่ามันสวย ทั้งที่จริงๆ แล้วมันคือ ถุงที่บรรจุ (ขี้)  ใช่ไหม (ใช่)  ง่ายๆ นะ ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา) ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู)  ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก) ออกจากมือเรียกว่า (ขี้มือ)  ออกจากก้นเรียกว่า (ขี้) ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์หลงใหลแล้วพยายามแสวงหาถึงที่สุดก็เป็นเพียงแค่ถุงขี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ก็พยายามบำรุงบำเรอ หรือพระพุทธะเรียกว่า ขันธ์ทั้งห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีไม่พ้นภาระในการแบกขันธ์  บริหารขันธ์ บำรุงขันธ์อ้วนๆ นี้ใช่ไหม (ใช่)  
มนุษย์พยายามบำรุงถุงขี้นี้ แล้วมีถุงขี้ถุงเดียวพอไหม (ไม่พอ)  อยากกอดถุงขี้อีกถุงไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์มีถุงขี้อีกถุงหนึ่งแล้ว ถุงขี้นั้นมันหนีจากศิษย์ไป จงดีใจเพราะว่าเราได้กอดถุงขี้ถุงเดียวก็พอแล้ว อย่าไปกอดถุงขี้อีกถุงหนึ่งเลย แล้วอาจารย์อยากบอกว่าการปลดภาระในการบำรุงขันธ์ได้ เป็นสุขที่ประเสริฐ เมื่อเราบำรุงขันธ์ก็เกิดกิเลสขันธ์ แล้วขันธ์นั้นก็เกิดเป็นขันธมาร๑๐ กิเลสมาร๑๐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งศิษย์ไม่เคยได้อ่านเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกให้รู้ว่าขันธ์ถุงนี้มันงามไหม (ไม่งาม)  เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  มีตัวตนไหม (ไม่มี)  จริงหรือ ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้เห็นนะ ถ้าเราสามารถมองเห็นสิ่งที่อาจารย์บอกได้ศิษย์จะปลดภาระและปลดทุกข์ได้ ทำไมอาจารย์ถามว่าเที่ยงไหม ใช่หรือไม่ มันไม่เคยเที่ยงนะศิษย์ อ้วนๆ อย่างนี้เดี๋ยวแก่ตัวไปก็ยุบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือแก่ตัวไปอาจจะอ้วนกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือตึงๆ อย่างนี้เดี๋ยวก็เหี่ยว ใช่ไหม (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าขึ้นมายืนเทียบ) สักวันก็เหี่ยวแบบนี้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนนี้ก็คือถุงขี้ก้อนหนึ่ง และอีกคนก็คือถุงขี้ที่เป็นอนาคตของถุงขี้ก้อนนี้ที่จะต้องเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันก็คือถุงขี้ที่เคยเป็นมา ใช่หรือไม่  อาจารย์บอกว่ามีความไม่เที่ยงอยู่ เราเป็นเขาก็ได้และเขาก็เป็นเราก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถุงขี้มีความเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยงอยู่ เราหาความเที่ยงในถุงขี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราพยายามหาความเที่ยงในถุงขี้เราก็คือคนที่ฝืนธรรมชาติ ผู้หญิงมักจะเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผู้ชายก็เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ฝืนธรรมชาติคือคนที่พยายามเพิ่มขี้ให้กับตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือไม่เพิ่มขี้ก็ได้ แต่คือคนที่หลงขี้ในตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ยอมรับความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ฉะนั้นจงจำไว้นะ คือ ๑. มีความไม่เที่ยงอยู่ ๒. มีความไม่งามอยู่จริงไหม (จริง)  งามไหม (ไม่งาม)  
ต้องเอาคนนี้มาเทียบ (พระอาจารย์แมตตาให้นักเรียนฝ่ายหญิงออกมายืนเปรียบเทียบ)  อันนี้งามไหม (งาม) งามหรือ เมื่อครู่ยังบอกถุงขี้อยู่เลย ที่ไม่งามก็คือ อาจารย์เทียบง่ายๆ ถ้าเอาคิ้วออก เอาตาแยกออก เอามือแยกออก งามไหม (ไม่งาม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองง่ายๆ ศิษย์แค่ถุงขี้นี้ไม่มีคิ้ว งามไหม (ไม่งาม)  ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ยึดมั่นหนักหนามองให้ดี เพราะแท้ที่จริงแล้วมันคือการรวมตัวของสรรพสิ่ง หรือที่เรียกว่า อนัตตา คือความว่าง ว่างจากตัวตนเองหมายความว่าอย่างไร ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ แล้วเรียกว่ามนุษย์ เพราะว่าต้องมีหัว ต้องมีคิ้ว ต้องมีปาก แขน ขา ตา จมูก กระเพาะ ลำไส้ แต่ถ้าเอาออกจากกันมันก็คือ ความว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) และอะไรที่เรียกว่า ตัวตนของศิษย์ ชี้ตรงนี้เรียกว่าหัว ตรงนี้เรียกว่าคิ้ว  ตรงนี้เรียกว่าตา แล้วอะไรเรียกว่าตัวตน  ต้องมีทุกๆ สิ่งจึงเรียกว่า ตัวตน แต่ทุกๆ สิ่งคือสิ่งที่ว่างจากตัวตนแท้จริง แท้จริงที่ศิษย์เห็นว่ามีนั้น จริงๆ แล้วคือว่างจากตัวตนที่แท้จริง แต่จะมีได้ต้องเกิดจากการรวมสรรพสิ่งจึงเรียกว่ามี ใช่หรือไม่ (ใช่)   
แต่ถึงเวลาแล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่า นี่คือตัวศิษย์ เกิดมาจากดิน น้ำ ลมไฟ แล้วก็จิตญาณจึงเป็นตัวศิษย์ ถึงเวลาตัวศิษย์อันนี้ก็ไปตามดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรคือตัวตนแท้จริงต้องเป็นตัวตนที่ไม่มีวันเปลี่ยนถึงจะ เรียกว่า ตัวตนที่แท้จริง  แล้วตัวตนที่แท้จริงมีไหม มีอยู่อย่างเดียวคือจิตญาณ นั่นจึงเรียกว่า ของแท้  แต่ถุงขี้ไม่ใช่ของแท้ แล้วเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อบำรุงถุงขี้ที่ไม่เคยแท้และไม่งามซึ่งว่างจากตัวตน แต่สิ่งที่เรียกว่าตัวตนแท้จริงคือ จิตญาณที่สงบ ไม่มีเกิดไม่มีดับ แต่ทำลายไม่ได้ และจิตญาณที่สงบจะกลับได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าถึงสภาวธรรมหรือความบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โลภ โกรธ หลง ทำให้เราไปไม่ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ เราต้องมองให้ออก อย่าปล่อยให้ภาวะภายนอกบดบังปัญญาอันแท้จริง เขาก็มีความไม่งามไม่ต่างกัน เขาก็มีความไม่เที่ยงแท้ไม่ต่างกัน และเขาก็มีความว่างไม่ต่างกัน  แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงสภาวะ ธรรมญาณอันแท้จริงในตัวตนได้ นั่นก็คือ เราต้องละกิเลส ปลดวางขันธ์ได้ เราก็ละอกุศลได้ เข้าใจไหม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “รู้ตนในตน”)
ได้คำว่าอะไร (รู้ตนในตน)  ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์อธิบายไปเมื่อสักครู่ คือความหมายของคำนี้ เราต้อง “รู้ตนในตน” อย่าเป็นคนที่เรียนรู้โลกภายนอกได้มาก แต่ไม่เข้าใจความเป็นจริงในสภาวธรรมอันประเสริฐในตน มนุษย์รู้จักคุณค่าของโลกภายนอก แต่ไม่สามารถรู้จักคุณค่าอันประเสริฐที่แท้จริงภายใน ที่ทำให้มนุษย์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ก็คือการเข้าถึงตัวตนอันบริสุทธิ์แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเรื่องยากหรือ อาจารย์ดูก็รู้ว่าศิษย์ยังทำได้ยากอยู่ แต่อาจารย์ก็ยังอยากหวังนะ ว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่ยากที่สุด ศิษย์จะทำได้ด้วยมือของศิษย์เอง  ศิษย์จะควบคุมจิตใจให้กลับคืนสู่ความสว่างดังเดิม ได้ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นเองนะ รู้จักที่จะรู้ตนในตน ทำอะไรจงมีสติรู้ตน ไม่ขาดศีลธรรม และไม่ลืมความเป็นจริงด้วยปัญญาของตนเอง
วันนี้อาจารย์กลับแล้วนะ มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก เสียดายที่คนหัวแข็งก็ยังหัวแข็ง ใช่ไหมคนหัวแข็ง ไหนลองกำมือแล้วลองเคาะหัวดู แข็งไหม ฉะนั้นอยากเอาชนะใจตนเองก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนความเคยชินนะ ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนความเคยชิน ก็เอาชนะใจตนเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยชินกับการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนนี้ก็คือถุงขี้เหม็นๆ  ที่ไม่งามเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ยังหลงว่ามันงาม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ แล้วพุทธะบอกว่ามันคือของปลอม แต่เรามีของจริงที่ประเสริฐ ทำไมเราไปไม่ถึง แล้วทำไมเราไม่ค้นหาให้พบ แล้วทำให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ที่ชาติหนึ่งเราจะเกิดมาแล้วทำให้จนได้ ใช่หรือไม่
การเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุดเพราะเราสามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่และสร้างทานอันงดงาม และสร้างหนทางแห่งความเป็นพุทธะได้ดีที่สุด ก็เมื่อเราเป็นมนุษย์นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขนาดเป็นเทพเทวาอยากมีบุญกุศลเพิ่ม ยังต้องกลับมาเกิด แล้วสร้างบุญท่านถึงจะพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และบุญใดประเสริฐที่สุด ก็คือการทำโดยไม่หวังผล ทำโดยที่แม้ตัวเองจะทุกข์ขอให้คนอื่นมีสุขนั่นคือบุญที่ประเสริฐ ทำโดยสามารถลดโลภ โกรธ หลง ในใจตัวเองได้ วันนี้อาจารย์ก็ไปแล้วนะ  มีโอกาสทำให้ได้ดังที่อาจารย์บอกนะ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรคนะ ถ้าจะรักษาโรคก็คงรักษาโรคทางใจใช่ไหม ใจที่ไม่รู้จักปลง ใจที่ไม่รู้จักวาง ใจที่ไม่รู้จักเอาชนะตัวเองนี้ให้ได้ใช่ไหม มีโอกาสกลับมาเดินปณิธานของตัวเองสร้างสิ่งที่ถูกต้อง มุ่งมั่นทำสิ่งใดทำให้ถึงที่สุด ลำบากแต่อย่ายอมแพ้นะ  อย่าจากแล้วจากเลยนะ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อตัวเองนะ อาจารย์ไม่เคยหลอกศิษย์นะ กลัวอย่างเดียวกลัวศิษย์หลอกอาจารย์ จงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงาม เดินไปให้ถึงซึ่งธรรมะในตัวเองนะ เราจะได้ข้ามพ้นความทุกข์ที่เวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพ หลายชาติด้วยชาตินี้ชาติสุดท้ายเราจะได้ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เอาชนะทุกข์ในใจของตัวเองให้ได้ด้วยการรู้จักควบคุมโลภโกรธหลง ทำให้ได้นะพุทธะน้อยๆ ของอาจารย์ พุทธะน้อยๆ จะได้ เกิดขึ้นได้ในจิตของศิษย์เอง อย่าเป็นพญามารเลยนะ
วันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทต้าเซี่ยวฝอถง

หยุดนะเจ้าความคิดร้าย ข้าไม่ยอมให้เจ้าอยู่
อย่าคิดครอบงำข่มขู่ ข้ารู้เจ้าแล้วไม่เอา
จงรู้เท่าทันในใจ อย่าให้เป็นทุกข์แผดเผา
รู้ควบคุมตนไม่เขลา รู้เอาตนพ้นทุกข์ไป
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมอัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านมีความสุขไหม

วัฏฏะวังวนเวียนว่าย ทนทุกข์เท่าใดถึงสิ้น
ถ้าอยากพ้นทุกข์จริงจริง อย่าทิ้งเพียรธรรมไปไกล
อย่าอยากจนยึดจนหลง ปลดปลงตื่นรู้เข้าใจ
ยืมมาต้องคืนเขาไป ไม่มีสิ่งใดของตน
สงบท่ามกลางวุ่นวาย นิ่งได้ท่ามกลางสับสน
รู้พอรู้มีรู้ตน คืนตนสู่ความแท้จริง
ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทต้าเซี่ยวฝอถง

(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตาผู้ร่วมฟังในห้องผู้ร่วมฟัง)
ไปหาผ้านวมให้เราสามผืนนะ กินอิ่มแล้วใช่ไหม (ใช่)  ออกกำลังกายหน่อยดีไหม (ดี) ไม่อยากแก่ไหม อยากอายุยืนไหม (อยาก) ถ้าไม่อยากแก่ อยากอายุยืนต้องรู้จักยิ้มบ่อย ๆ มีเรื่องอะไรก็อย่าทุกข์ ต้องรู้จักมองด้วยจิตใจที่เบิกบาน เราจะได้สลายความทุกข์ได้ด้วยรอยยิ้มถูกไหม (ถูก)
เราจะให้ท่านเล่นเกมส่งผ้านวมนะ นักเรียนแถวหน้าจับให้ดี ส่งไปข้างหลังแล้วก็ส่งกลับมาข้างหน้า ได้ไหม (ได้) ส่งให้ดีแล้วส่งกลับมาให้เหมือนเดิม พร้อมหรือยัง
สมมุติว่าผ้านวมนี้คือผ้านวมแห่งความสุข เราจะแบ่งปันความสุขให้ได้ทุกๆ คนดีไหม (ดี)  แต่ส่งแล้วต้องส่งด้วยรอยยิ้มนะ ผ้านวมจะได้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และกลับมาด้วยรอยยิ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ร้องเพลงจับไม้พาย ตอนส่งผ้านวมด้วยนะ มาฟังธรรมะขอให้มีรอยยิ้มกลับไปนะ มาฟังธรรมะขอให้มีความสุขกลับไป และจงเอาความสุข รอยยิ้มและจิตใจที่เข้มแข็ง เอาไปมอบให้ผู้อื่นที่ยังต้องทุกข์ ที่ยังต้องลำบาก ดีไหม (ดี)  พร้อมหรือยัง เดี๋ยวเราจะเอาผ้าห่มไปส่งต่อที่ห้องนักเรียนด้วยนะ
(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตาให้นักเรียนเล่นเกมส่งผ้านวม)
แถวไหนผ้านวมกลับมาถึงช้าที่สุด แถวนี้ใช่ไหม ปกติคนที่ช้าที่สุดจะต้องถูกทำโทษ ใช่ไหม (ใช่) แต่วันนี้เราเปลี่ยนใหม่ คนที่ไวที่สุดโดนทำโทษ ยืนขึ้น เท้าสะเอว ส่ายสะโพก บิดเอวหน่อยนะ จงแบ่งปันความสุขนะ ไม่ต้องอาย ยิ่งมอบความสุขโดยไม่อายนี่แหละคนก็ยิ่งมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นสิ่งที่ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะได้มองอย่างจิตใจที่เบิกบาน เราจะได้สลายความทุกข์ได้ด้วยรอยยิ้ม ถูกไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมส่งผ้านวม)
สมมุติว่าผ้านวมนี้เป็นผ้านวมแห่งความสุข เราจะแบ่งปันความสุขนี้ให้กับทุกๆคน  ส่งแล้วต้องส่งด้วยรอยยิ้ม ผ้านวมจะได้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และส่งกลับมาด้วยรอยยิ้ม มาฟังธรรมะขอให้มีความสุขกลับไป และจงเอาความสุขรอยยิ้มและจิตใจที่เข้มแข็ง ไปมอบให้กับผู้อื่นที่ยังทุกข์

(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตานักเรียนในชั้นประชุมธรรม)
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือความคิดที่เกิดขึ้นอยู่ในหัวสมอง ใช่ไหม (ใช่)  บางทีเราคิดแล้วเราอยากทำทันทีเลยไหม (ทำเลย)  น่ากลัวนะ ก่อนที่จะทำกรุณาคิดให้ดีๆ ก่อน เราบำเพ็ญธรรมะเราไม่ได้มองเห็นคนอื่น แต่เราบำเพ็ญธรรมะเพื่อมองเห็นตัวเอง มองเห็นแม้กระทั่งความคิดที่อยู่ในหัวเรา ความคิดที่อยู่ในใจเรา ถ้าเราสามารถหยุดได้เสียตั้งแต่ความคิดไม่ปล่อยให้กลายเป็นลงมือกระทำ ชีวิตนี้เราก็ไม่มีเรื่องอะไรที่เสียใจ ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นจงรู้จักห้ามตั้งแต่เหตุ อย่าไปแก้ที่ผล เหมือนตบเขาแล้วพูด    “ขอโทษ”  ทันไหม ด่ามันเลยแล้วพูด “ขอโทษ” ทันไหม (ไม่ทัน)  ก่อนท่านจะทำอะไรจงคิดให้ดีๆ เราอาจจะขอโทษแต่เขาจะจบกับเราไหม แล้วถ้าเขาผูกใจเจ็บขึ้นมา ถ้าเขาเกิดแค้นฝังใจ มีโอกาสตบกันเลย ตบกันไปตบกันมา ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองทำผิดแล้วค่อยคิดได้ จงคิดได้และรู้ตัวตนตั้งแต่ความคิดเกิดที่สมองแล้ว
ฉะนั้นประชุมธรรมคราวนี้ท่านได้คำว่า “รู้ตนในตน” ฉะนั้นเวลาทำอะไรให้รู้ตั้งแต่ความคิด อย่าปล่อยให้มันออกลูกออกหลานแล้วคิดได้ว่าไม่น่าเลย ไม่น่าปล่อยมาเลยความโกรธ ไม่น่าปล่อยมาเลยความบ้าบิ่น ปล่อยมาแล้วเป็นอย่างไรเรารับผลของการกระทำเราไหวไหม บางครั้งก็มานั่งกลุ้มไม่น่าเลย ฉะนั้นให้รู้ระวังตั้งแต่ความคิดนะ
“หยุดนะเจ้าความคิดร้าย ข้าไม่ยอมให้เจ้าอยู่
   อย่าคิดครอบงำข่มขู่ ข้ารู้เจ้าแล้วไม่เอา”
ถ้าสิ่งใดเป็นความคิดดี เรารู้ก็รีบทำ ถ้าสิ่งใดเป็นความคิดร้าย เรารู้ก็รีบหยุดทำ ดีหรือไม่ (ดี)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์แจ้งพระนาม “ต้าเซี่ยวฝอถง” แปลว่า รอยยิ้มเบิกบาน,รอยยิ้มใหญ่)
รอยยิ้มใหญ่ๆ อยากมอบความสุขให้ทุกๆ คนดีไหม (ดี)  และขอให้เอาความสุขที่เรามอบให้ท่านไปมอบให้คนอื่นต่อๆไปได้ไหม (ได้)  แล้วความสุขที่มอบให้ง่ายที่สุดและไม่มีวันหมดคือ รอยยิ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนจะยิ้มให้ผู้อื่นได้ก็ต่อเมื่อ ใจนั้นมันยิ้มได้จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดคนเราใจสงบเวลายิ้มก็ยิ้มได้เต็มที่ แต่ถ้าใจเราไม่สงบ ก็คงยิ้มไม่ออก จริงไหม (จริง)  หรือที่เรียกว่าถ้าใจเรายิ้ม หน้าเราก็ยิ้ม แต่ถ้าใจเราเศร้าหน้ามันก็ยิ้มไม่ค่อยออก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ฟังธรรมขอให้ (ยิ้ม)  ยิ้มให้ (กว้าง)  จะเอากว้างหรือจะเอาเบิกบานก็ได้แล้วแต่ท่านนะ
เรามาทำให้ท่านหายง่วงเดี๋ยวเราก็ไป เรามาแบ่งปันความสุข พอเรามอบความสุขให้ท่านเสร็จแล้ว พอท่านมีสุขเราก็กลับ ดีไหม เดี๋ยวเราจะเล่นเกมส่งผ้านวม ผ้านวมนี้เปรียบเสมือนความสุข ที่ใครๆ จับแล้วก็อยากสบาย อยากนอน อยากพักผ่อน คนที่มีธรรมะในหัวใจ คนที่มีความสุขความสงบในหัวใจ ใครอยู่ใกล้ด้วยก็รู้สึกอบอุ่นสบาย ปลอดภัยร่มเย็นเหมือนกับผ้านวมไหม เมื่ออากาศเย็นๆ ได้ผ้านวมผืนหนึ่ง อุ่นสบาย แต่ถ้าอากาศร้อนๆ ผ้านวมก็กลายเป็นร้อน  ฉะนั้นก็ต้องใช้ให้ถูกกาละเทศะด้วยนะใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรามีสุขจนล้นปรี่แล้วไปแบ่งให้คนที่เขากำลังมีทุกข์ ก็ต้องรู้จักค่อยๆ พูด   เดี๋ยวเขาก็จะว่า “นี่เธอไม่รู้จักกาละเทศะคนกำลังเศร้า มาทำให้ฉันสุขได้อย่างไร”  ก็ต้องรู้จักพูดรู้จักปลอบนะ
(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส่งผ้านวม)
เป็นอย่างไรสนุกไหม (สนุก)  ผ้าห่มของเราจากสิ่งที่มีความสุขกลายเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจ ตอนแรกก็รับดี พอถึงเวลาโยนไปโยนมา เห็นไหมว่าบางครั้งสิ่งที่เราเห็นว่ามีความสุข แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป สิ่งนั้นก็อาจกลายเป็นความทุกข์ แล้วสิ่งที่บางครั้งเป็นความทุกข์ที่สุด แต่บางครั้งก็กลายเป็นความสุข ขึ้นอยู่กับที่เราจัดการเหมือนมีคำกล่าวว่า “แม้เราจะหาสิ่งต่างๆ  มาดีขนาดไหนเพื่อมาประกอบอาหาร แต่ถ้าคนประกอบอาหารไม่เป็น วัสดุดีขนาดไหนก็ไม่อร่อย” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในทางกลับกันถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่ปรุงอาหารเป็น แม้วัสดุไม่ดีขนาดไหน เขาก็ยังรู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นรสชาติที่อร่อยได้
ฉะนั้นชีวิตในภายภาคหน้าจะมีสุขหรือมีทุกข์ตอนนี้ขึ้นอยู่กับผู้อื่นหรือไม่ ไม่ใช่ แต่ขึ้นอยู่กับหัวใจของท่าน จะปรุงแต่งโลกใบนี้หรือปรุงแต่งชีวิตนี้ให้ออกมารูปแบบไหน วันนี้ฟังธรรมแล้วพอรู้และเข้าใจแล้วว่า ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร ถ้าเรารู้จักควบคุมตัวเองให้เป็น แม้สิ่งที่ร้ายที่สุด ถ้าเรารู้จักคิดรู้จักทำก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และในทางกลับกันสิ่งที่ดีที่สุดถ้าเราประมาทเลินเล่อมันก็อาจจะกลายเป็นผลร้ายที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นชีวิตนับต่อจากนี้ไปไม่อยู่ที่ฟ้าหรืออยู่ที่ผู้อื่นกำหนด แต่อยู่ที่เราสามารถจะกำหนดให้มันไปเป็นอย่างไร จำไว้นะ วัสดุแม้จะดีขนาดไหนแต่ถ้าคนปรุง ปรุงไม่เป็นก็ไม่อร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วัสดุแม้จะเลวขนาดไหนถ้าเรารู้จักปรุงให้เป็นก็อร่อย  ฉะนั้นชีวิตเราก็เหมือนกัน คนอื่นจะทำให้ทุกข์ คนอื่นจะทำให้แย่ คนอื่นจะทำให้เลวร้าย แต่ถ้าเรารู้จักแปลงสิ่งที่แย่สิ่งที่เลวร้ายให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าใครก็ทำอะไรใจเราไม่ได้  แม้ฟ้าจะให้ใครมาทดสอบ แม้ฟ้าจะเอาเหตุการณ์มาทำร้ายเรา หากเราจะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีให้บังเกิด ฟ้าก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นท่านจำไว้นะความสุขอยู่ที่ตัวเรา ความทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเราเหมือนกัน แต่ถ้าตัวเรารู้จักคิด รู้จักเปลี่ยนแปลง รู้จักควบคุมให้เป็น ทุกข์กับสุขก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวต่อไป แต่เป็นเรื่องที่เราจัดการได้ แม้จะเจอเคราะห์ร้ายที่สุด แม้จะเจอเรื่องเลวร้ายที่สุด แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมให้เป็น เลวร้ายก็อาจจะมีดี ใช่ไหม (ใช่) หรือในดีก็จะมีดียิ่งขึ้น ถ้าเรารู้จักสรรหาให้เป็นไม่หลงมันจนเกินไป
จำไว้นะโลกใบนี้ไม่ใช่ของๆ ใคร เราเพียงยืมเขามาใช้ถึงเวลาก็ต้องคืนไป  แม้แต่ตัวเราเอง เราคิดว่านี่คือตัวเรา แต่ถึงที่สุด ไม่ว่าตัวเรา ไม่ว่าเสื้อผ้า ไม่ว่าสิ่งของ สักวันก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติ สิ่งที่ควรจะเอาไปมีอยู่อย่างเดียวคือ บุญกุศลและความดีงาม แต่ท่านรู้ไหมว่า คนบำเพ็ญธรรมแม้บุญกุศลความดีงามท่านก็ไม่เอา เพราะสิ่งที่ท่านอยากทำไปให้ถึงก็คือ หมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลสและไปสู่ความพ้นทุกข์  เราศึกษาธรรมเรารู้แค่เพียงว่า สิ่งที่เป็นเสบียงในการเดินทางเวียนว่ายในวัฏจักรนี้ก็คือบุญกุศลคุณงามความดี เพราะบุญกุศลคุณงามความดีจะพาให้เราไปทุกภพทุกชาติ และช่วยเราให้รอดปลอดภัย เป็นเสบียงในการนำพาชีวิตไม่ว่าเราจะเกิดในภพภูมิไหน แต่ถ้าเราบำเพ็ญธรรมสามารถดับสิ้นซึ่งกิเลสเราก็ไม่จำเป็นต้องมีบุญกุศลอีกต่อไป เพราะเราหมดสิ้นแล้วซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด
เราทำบุญก็เพื่ออะไร แต่ก่อนเราบอกว่าเราทำบุญเพื่อจะได้ไปสวรรค์ แต่ต่อไปนี้เราจะทำบุญเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อหมดการยึดมั่นถือมั่น เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนียว เพื่อลดอัตตาตัวตน เพื่อลดความโลภ ความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อก่อนเวลากิน นึกอยากกินก็กินๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่กินคำหนึ่งนั้นจะเบียดเบียนใครไม่สนใจ กินอย่างเดียว แต่ต่อไปนี้การแสวงหาปัจจัยสี่ของผู้บำเพ็ญธรรม ก่อนกินให้ยั้งคิดถ้ากินแล้วต้องเบียดเบียน กินแล้วต้องเข่นฆ่า กินแล้วเอาชีวิตเขามาบำรุงชีวิตเรา ควรกินไหม (ไม่ควร)  คิดเอาเองนะ
ถ้าเวลาจะใส่เสื้อผ้า ใส่แล้วดูโก้ ดูดี หรือใส่เสื้อเพียงแค่ปกปิดร่างกายให้อบอุ่น คุณค่ามันต่างกันนะ แค่ใส่เสื้อ แค่ตอนกิน เมื่อเราหาเงิน เราหาเงินเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตแล้วสร้างคุณค่าให้เกิดประโยชน์ หรือเราหาเงินเพื่อจะได้มีบ้านหลังโตๆ มีรถคันใหญ่ๆ มีทีวีจอแบน หรือมีโทรศัพท์ไอโฟน บีบี คุณค่ามันต่างกันนะ ถ้าหาแล้วทำให้เกิดความหลง ลำพอง ฮึกเฮิม ฉันแน่ ฉันใหญ่ อย่างนี้ความมีของเราก็เพื่อพอกพูนกิเลส แต่ถ้ามีแล้วสามารถอยู่กับคนธรรมดาได้ ไม่หลงตน แล้วลดตัวตนได้ ทำไมไม่มีแบบนั้น ฉะนั้นทุกขณะที่ดำเนินชีวิต ไม่ว่ากิน ไม่ว่าใส่ ไม่ว่าแสวงหา เป็นไปเพื่อพอกพูนอัตตาตัวตน พอกพูนกิเลสตัณหา อารมณ์ หรือเป็นไปเพื่อลดทอนกิเลสตัณหา
ต่างกันเลยนะ จริงไหม (จริง)  ถ้ากินหนึ่งคำแล้วลดการเบียดเบียน แล้วฉันขอกินหนึ่งคำ แต่เป็นคำที่ไม่มีเนื้อสัตว์ เขี่ยไปดีหรือเปล่า ถ้าฉันใส่เสื้อหนึ่งตัวแล้ว ยี่ห้อ กุดชี่ เวอร์ซาเช่ โปโล ใส่แล้วยืนแล้วอกมันใหญ่กว่าคนอื่น แล้วกิเลสมันคับอกคับใจ อยากทำก็ทำนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใส่แล้วทำให้ กิเลส อัตตาตัวตนมันลด แล้วทำให้ความเป็นคน หรือคุณธรรมความเป็นคนมันยังมีค่าอยู่ ลดไปหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ท่านเหมือนคนที่มีสามทางเดินให้เลือก ๑. คือนรก ๒. คือสวรรค์ ๓. คือพระนิพพาน  นิพพานฟังดูแล้วไกลใช่ไหม เช่นนั้นเราบอกว่าไม่ถึงสามก็ได้ ถึงทางพ้นทุกข์ แม้จะไปไม่ถึงพระนิพพาน ไปฝึกฝนต่อดีไหม (ดี)  แล้วหนทางแห่งนรกก็คือ อะไร อยากมี มีไปเลยกิเลส อยากโลภ โลภไปเลย อยากโกรธ   โกรธไปเลย อยากหลง หลงไปเลย มีให้เต็มที นั่นแหล่ะหนทางนรก แต่หนทางสวรรค์ก็คือ แม้จะโลภ โกรธ หลง แต่ก็ยังรู้จักแบ่งบัน รู้จักสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ท่านเคยได้ยินไหม เทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ บางทีบุญทานก็ไม่ได้ทำ แต่ถือคุณธรรมอยู่ข้อเดียว สัจจะ วาจา ตลอดชีวิตไม่เสีย สัจจะ วาจา ก็สามารถไปเป็นเทพบนสวรรค์ได้ หรือตลอดชีวิตถืออยู่อย่างเดียวคือ ไม่โกรธ แม้จะถูกทุบถูกตีถูกด่าถูกรังแกตลอดชีวิตก็ไม่ยอมมีความโกรธ ก็ขึ้นสวรรค์ได้ กับอีกอย่างหนึ่ง คือมีแต่ให้ ก็ขึ้นสวรรค์ได้ แต่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริงคือ ลดจนไม่เหลือตัวตนก็พ้นทุกข์นิรันดร์ได้ อะไรง่ายกว่ากันนะ คิดให้ดีๆ
ฉะนั้นชีวิตนี้มีสามทางเดินให้เลือก ถ้าอยากมีอหังการ มีมานะ มีตัณหา ก็เดินไปเลย นรกและนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดอหังการก็ยังมีแต่ก็ยังรู้จักให้แต่ก็ยังเป็นคนรักษาสัจจะ วาจา แล้วก็เป็นคนไม่เกิด ก็คือเดินไปสู่ทางแห่งสวรรค์ แต่เมื่อเสวยบุญแห่งสวรรค์เสร็จก็ต้องกับลงมาเกิดใหม่ แล้วเกิดใหม่นี้จะเป็นอะไรก็แล้วแต่จิตสั่งสม ใช่ไหม (ใช่)
ชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับจิตท่านสั่งสม อยากทำวันนี้ให้จบวันนี้ หรือทำวันนี้แล้วเกิดการเวียนว่ายวน ก็อยู่ที่ว่า กิน หา ใช้ เรานั้นเบียดเบียนเขาไหม เบียดเบียนเขาแล้วคิดว่าจบกัน แต่ถ้าเขาไม่จบ เขาแค้นล่ะ ถ้าเขาจองเวรจองกรรม เราอภัยแต่เขาไม่อภัย ฉะนั้นถ้าเราอยากพ้นทุกข์ ก็คือลดให้มากที่สุด ลดจนแม้กระทั่งตัวตนก็ไม่เหลือ ไม่มีสิ่งใดของตน
“สงบท่ามกลางวุ่นวาย นิ่งได้ท่ามกลางสับสน”
นิพพานคือที่ๆ ดับร้อนแล้วสู่ความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเมื่อไรจิตใจเราสงบ จิตใจเราเย็น เราก็คือคนที่กำลังปูทางแห่งนิพพาน  แต่ถ้าเมื่อไร เราร้อน เราแค้น เราโมโห เราก็คือปูทางแห่งนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วไฟที่เผาใจมนุษย์ให้ตกนรกมากที่สุดก็ คือไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งราคะ และไฟแห่งความลุ่มหลง ชักนำให้มนุษย์เวียนว่าย ฉะนั้นชีวิตท่านมีทางเดินให้เลือกแล้วนะ จะเลือกทางไหน
วันนี้ขอเสนอแนะอะไรอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราของ่ายๆ  จงยิ้มได้กับทุกๆ  เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ยิ้มสู้เข้าไว้
  เพราะจิตใจที่อดทนและยิ้มสู้เท่านั้นแหละจะสร้างภูมิคุ้มกันแห่งจิตใจให้เข้มแข็ง และรับได้กับทุกเรื่องทุกราว เพราะหลังจากนี้ไปชีวิตท่านต้องเจอทุกข์อีกเยอะ เรื่องลำบากอีกมาก แต่จงอดทนและยิ้มสู้ให้ได้ เพราะสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดี ใช่ไหม (ใช่)  คิดให้ได้อย่างนี้นะ มีโอกาสกลับมาศึกษาธรรมเพื่อความรู้แจ้งแห่งปัญญาให้ตัวเองอีกนะ อย่าฟังสามวันจบแล้วจบกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ วันนี้มาสั้นๆ แค่นี้ ไปก่อนนะ


พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “รู้ตนในตน”
ข้ารู้ในใจเจ้าท้อเพียงใด แต่ขอบำเพ็ญให้ทัน สิ่งไหนควรวางสิ่งไหนควรปลง รู้แล้วลงมือไม่หวั่น ก็เพราะจิตใจเจ้านั้นเป็นคน ไม่พ้นเลยเป็นแบบนั้น ความที่มีขันธ์จึงต้องทำความเข้าใจ



เชิงอรรถ
๑. ธาตุโขภ (ทา-ตุ-โขบ) ความกำเริบของธาตุได้แก่ ธาตุทั้ง ๔ ในร่างกายไม่ปกติมีอาหารเสียเป็นต้น
๒. อุปาทาน ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส มี ๔ คือ ๑. กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม ๒. ทิฏฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมั่นในศีลและพรต ๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นวาทะว่าตน
๓. ขันธ์ ตัว, หมู่, กอง, พวก, หมวด
๔. สังโยชน์ ๑๐ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์มี ๑๐ อย่าง
  1. สักกายทิฎฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
  2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
  3. สีลัพพตปรามาส ความยึดมั่นในศีลพรตโดยสักแต่ว่าทำตามๆ กันไป อย่างงมงายเห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วย ศีลและวัตร
  4. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
  5. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง
  6. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
  7. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
  8. มานะ ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่
  9. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
  10. อวิชชา ความไม่รู้จริง

๕. อายตนะภายนอก
  1. รูป (รูป)
  2. เสียง (สัททะ)
  3. กลิ่น (คัทธะ)
  4. รส (รส)
  5. สัมผัส (โผฏฐัพพะ)
  6. ธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจรับรู้, อารมณ์ที่เกิดกับใจ, สิ่งที่ใจนึกคิด)
ทั้ง ๖ นี้ เรียกทั่วไปว่า อารมณ์ ๖ คือ เป็นสิ่งสำหรับให้จิตยึดหน่วง

๖. อายตนะภายใน (อินทรีย์ ๖)
  1. ตา (จักษุ, จักขุ)
  2. หู (โสตะ)
  3. จมูก (ฆานะ)
  4. ลิ้น (ชิวหา)
  5. กาย (กาย)
  6. ใจ (มโน)
๗. โอฆะ   ห้วงน้ำคือวัฏสงสาร ห้วงน้ำคือการเวียนว่ายตายเกิด กิเลสมี ๔ ประการคือ กาม ภพ ทิฐิ อวิชชาอันเป็นดุจกระแสน้ำหลากท่วมใจสัตว์
(หมดเชิงอรรถวันแรก)

๘. อกุศลวิตก ๓  คือ ความตรึกที่เป็นอกุศล, ความนึกคิดที่ไม่ดี
  1. กามวิตก ความตรึกในทางกาม, ความนึกคิดในทางแส่หาหรือพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยาก
  2. พยาบาทวิตก ความตรึกในทางพยาบาท, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยความขัดเคืองเพ่งมองในแง่ร้าย
  3. วิหิงสาวิตก ความตรึกในทางเบียดเบียน, ความนึกคิดในทางทำลาย ทำร้ายหรือก่อความเดือนร้อนแก่ผู้อื่น

๙. นิวรณ์ 5 คือ สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม, ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี, อกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง
  1. กามฉันทะ ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ
  2. พยาบาท ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ
  3. ถีนมิทธะ ความหดหู่และเซื่องซึม
  4. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ, ความกระวนกระวายกลุ้มกังวล
  5. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

๑๐. มาร ๕   (สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุผลสำเร็จอันดีงาม)
  1. กิเลสมาร  (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต)
  2. ขันธมาร  (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ ๕ เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนาอย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง)
  3. อภิสังขารมาร  (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังสารทุกข์)
  4. เทวปุตตมาร  (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามารเพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้)
  5. มัจจุมาร  (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาสที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย)
  1. ขันธ์ ๕  หรือ เบญจขันธ์ (กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกัน
เข้าเป็นหน่วยรวม ซึ่งบัญญัติเรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นต้น ส่วนประกอบห้าอย่างที่รวมเข้าเป็นชีวิต)
๑. รูปขันธ์ (กองรูป, ส่วนที่เป็นรูป, ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย, ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด, ส่วนที่เป็นร่างพร้อมทั่งคุณและอาการ)
๒. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา, ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์, ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ )
๓. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา, ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้นๆ ได้, ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ ๖ เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น)
๔. สังขารขันธ์ (กองสังขาร, ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ , คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิตให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต)
๕. วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ, ส่วนที่เป็นการรู้แจ้งอารมณ์, ความรู้อารมณ์ทางอายาตนะทั้ง ๖ มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ได้แก่ วิญญาณ ๖)
ขันธ์ ๕ นี้ ย่อลงมาเป็น ๒ นามและรูป; รูปขันธ์จัดเป็นรูป, ๔ ขันธ์นอกนั้นเป็นนาม. อีกอย่างหนึ่ง จัดเข้าในปรมัตถธรรม ๔: วิญญาณขันธ์เป็น จิต, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เป็น เจตสิก, รูปขันธ์เป็น รูป, ส่วนนิพพาน เป็นขันธวินิมุต คือพ้นจากขันธ์ ๕


อ้างอิงจาก
- พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พิมพ์ครั้งที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๕๑ มหาจุฬาลงกณ์ราชวิทยาลัย
- พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) พิมพ์ครั้งที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๓๘ มหาจุฬาลงกณ์ราชวิทยาลัย
- พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา