แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไท่อิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไท่อิน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

2562-04-20 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二〇一九年嵗次己亥三月十六日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ใจคนนั้นปราบยากกว่าสิ่งไหน ทั้งดื้อรั้นทิฐิไปมากหลงผิด
ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่าใจคิด ขาดสำนึกไม่รู้ผิดยากเปลี่ยนแปลง

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามทุกท่านเกษมฤา

อารมณ์ร้อนรู้สติมีคุณหนักหนา คอยยั้งเตือนทันเวลาไม่พลาดผิด
หมั่นเตือนตนอยู่เสมอไม่ขาดมิตร ใครหงุดหงิดทาสอารมณ์รีบเตือนตน
ทำปล่อยปล่อยเผลอติดจนเป็นนิสัย ทำอะไรจะได้ดีต้องฝึกฝน
มีอะไรกระทบถูกร้ายแรงเกินทน ไม่สับสนในตัวตนย่อมผ่อนคลาย
ถ้าไม่รู้นิ่งหยุดก็จะรู้ สติกู้ให้ไวรู้สอบตรวจง่าย
สงบว่างวางใจไม่โทษใครใคร มุ่งบำเพ็ญตัวตนใจกายลงแรง
อย่าได้ทำนิ่งแต่เพียงภายนอก น้ำกระฉอกปรุงความคิดจิตดื้อแพ่ง
ปล่อยตัวเองฟุ้งซ่านย่อมติดคาตะแกรง ชนกำแพงจำแต่อภัยจิตไม่ลง
โลกโลกีย์ขุ่นหมองแล้วไม่หลุดพ้น ธรรมเข้มข้นผู้สงบอยู่โล่งโล่ง
ชีวิตวุ่นวางเฉยได้ไม่หมุนโคลง เวหาโล่งกมลเย็นอย่ารู้หาความ
เมื่อจิตตื่นรู้ตนย่อมเกิดปัญญา แปรเปลี่ยนอัตตากลายเป็นทางให้ข้าม
แปรเปลี่ยนทิฐิติดวนเป็นความพยายาม ทางต้องข้ามพยายามจึงถึงเส้นชัย
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เราเป็นคนชอบฟังคนอื่นพูดหรือเราเป็นคนชอบพูดมากกว่า
(พูดมากกว่า) มนุษย์โดยส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟัง จริงไหม
“ใจคนนั้นปราบยากกว่าสิ่งไหน ทั้งดื้อรั้นทิฐิไปมากหลงผิด
ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่าใจคิด ขาดสำนึกไม่รู้ผิดยากเปลี่ยนแปลง”
ใจเรานั้นควบคุมยาก ให้คิดดีก็ชอบคิดร้าย หูฟังแต่ใจปฏิเสธ
ใจเราอยากจะทำดีนะ แต่มือมันก็อดทำไม่ดีไม่ได้
ทำความรู้จักกันก่อนดีหรือไม่ มีหลายท่านคงสงสัยว่าเราคือใคร
เราขอแนะนำตัวก่อนและขอเวลาสนทนาธรรมกับท่านในชั้นนี้สักชั่ว
โมงกว่าๆ หรืออาจจะไม่ถึงชั่วโมง ได้ไหม (ได้)
ไม่ต้องยกว่าเราสูงล้ำกว่าใคร เราก็ไม่ต่างอะไรจากท่าน
ในโลกของความแตกต่าง การกระทำอะไรย่อมมีที่แตกต่างกันไปบ้าง
แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่แตกต่างนั้นจะดูน่ารังเกียจ และก็ใช่ว่าจะดูไม่น่าสนใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ได้มาแบบน่ากลัว
และเราก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นก็คงไม่กลัวเราจริงไหม
เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ทุกสังคมย่อมมีกฎระเบียบ
อย่าอึดอัดกับกฎระเบียบ
บางครั้งกฎระเบียบก็ทำให้เรารู้ว่าการยึดติดในความคิดมากเกินไปก็ทำให้เร
าทุกข์ ปล่อยไปบ้างจึงจะทำให้เราสุข จริงไหม
วันนี้มาฟังธรรม เรามาเพื่อละหรือมาเพื่อยึด (มาเพื่อละ)
ฟังแล้วละหรือฟังแล้วยึด
แล้วเรามาเพื่อเห็นธรรมหรือเรามาเพื่อเห็นแก่ความคิดตัวเอง (เห็นธรรม)
จริงหรือ (จริง) เห็นฟังไปก็เอาแต่บ่นๆ ยังไม่ค่อยเห็นธรรมเลย
มีไหมที่ไม่บ่นตัดพ้อต่อว่า ไม่ต่อว่าใครเลย ถ้าอย่างนั้นเราบอกให้นะ
วันนี้ถึงแม้ใครจะถูกบังคับมาหรือไม่เต็มใจมา
แต่คนที่ชวนมาเขาเห็นว่าทุกท่านมีดี จึงอยากให้มาเจอสิ่งที่ดีๆ
เพราะเขาเห็นว่าเรามีธรรมจึงอยากให้เราค้นหาธรรม
แล้วธรรมก็ไม่ได้อยู่ภายนอก
แต่ถ้าสงบจากภายในจะบังเกิดความเข้าใจในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยทำสิ่งที่ดีๆ ไหม (เคย) เวลาที่เราทำสิ่งที่ดีๆ
มีคนไม่เห็นคุณค่าไหม (มี) เคยได้รับการดูถูกไหม (เคย)
เคยได้รับการต่อว่าต่อขานกลับไหม (เคย)
ถ้าเช่นนั้นก็หัวอกเดียวกับเราเลย เคยทำดีแล้วโดนคนว่าหลอกลวงไหม
(เคย) แล้วเคยถูกว่า ทำดีเอาหน้าไหม (เคย) แล้วยังทำดีอยู่ไหม (ทำ)
ฉะนั้นใครดูถูกคุณค่าเราก็ได้ แต่เราอย่าดูถูกคุณค่าความดีในใจเรา
ใครจะว่าเราใจร้าย ใจดำก็ได้ แต่เราอย่าลืมคุณธรรมในใจเรา
มนุษย์ทุกคนล้วนเคยทำดี แล้วพอทำดีกลับถูกคนตั้งแง่รังเกียจ
ทำเท่าไรก็รังเกียจ ถึงขนาดอยากฆ่าเราให้พ้นๆ เคยเจอแบบนี้ไหม (เคย)
เคย
ทำดีแล้วเจ็บแบบนี้ไหม (เคย)
เราเล่าเรื่องของคนๆ หนึ่งให้ฟัง มีคนๆ
หนึ่งเขาเกิดมาไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร ต้องเลี้ยงตัวเอง
อยากเรียนวิชาก็ต้องดิ้นรนหาเรียนด้วยตนเอง
แต่เมื่อไปเรียนก็ถูกคนรังเกียจเพราะความยากจน
อาจารย์ที่ดูเหมือนน่าจะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้
ก็กลับดูถูกดูแคลนเขา จนบางครั้งเขาอดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
เงยหน้ามองฟ้าถามฟ้าทำไมทำดีไม่ได้ดี บางครั้งก็ถามใจตัวเอง
“เราจะทำดีไปเพื่ออะไร เหนื่อยจัง” เพราะไม่มีใครรัก
เพียงแค่ว่าเราไม่มีพ่อแม่ พ่อแม่เราเป็นใครไม่รู้ ในชั่วขณะที่ทุกข์จนถึงที่สุด
เรากลับคิดได้ว่า เกิดเป็นคน ยืนอยู่กลางฟ้าและดิน มองฟ้ามากๆ
ก็น้อยเนื้อต่ำใจ ก้มหน้ามากๆ ก็ดูถูกดูแคลน แต่ในชั่วขณะนั้น
กลับคิดได้ว่า เราเกิดมากลางฟ้าดิน เราเกิดมาอยู่ระหว่างฟ้าดิน
พูดแบบนี้อยู่ 4-5 ครั้ง จน 10 ครั้ง
ความทุกข์ทั้งหลายมันหลุดโพล่งออกไปทันที ถ้าเราทำตัวหนัก ทำตัวแย่
เราก็คือพื้นดินให้คนเหยียบย่ำ แต่ถ้าเรายกจิตให้สูงให้ดี ให้งาม ให้บริสุทธิ์
ให้ใส เราก็คือฟ้าที่คนแหงนมอง ฉะนั้นเราอยากเป็นฟ้าหรืออยากเป็นดิน
(อยากเป็นฟ้า) แล้วถ้ายิ่งเขาเหยียบ เราจะเป็นดินที่ลอยสู่ฟ้าไม่ได้หรือ
แล้วขณะนั้นเราก็คิดได้อีกว่า เราอยู่ระหว่างฟ้าดิน ฟ้าดินสอนว่า
“แม้เราจะไม่ได้สูงเด่นแต่เราก็หาใช่คนที่ต่ำต้อย
เพราะยังมีคนที่ต่ำกว่าเรา” จริงไหม (จริง)
ไม่เคยมีใครทำเราตกต่ำได้นอกจากตัวเราเอง
ไม่มีใครเหยียบย่ำใจเราได้นอกจากตัวเราเอง
และไม่มีใครทำเราทุกข์ได้นอกจากตัวเราเอง ฉะนั้นเรายืนระหว่างฟ้าดิน
นั่นหมายความว่าฟ้าหรือธรรมชาติต้องการบอกเราว่า
“เรามีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและตรงกลางเสมอ”
เราไม่เคยแย่และเราก็ไม่ได้ดีมากมาย
เพราะถึงที่สุดเราก็อยู่ระหว่างคนที่ดีกว่าและคนที่แย่กว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นทำความดีไม่ต้องไปรอพึ่งใคร ขอเพียงมีสติคิดได้
ตื่นรู้ตนและนำสิ่งนั้นมาสอนใจ เพราะถ้ารอใครมาเตือน รอที่จะพึ่งใคร
เขามีวันเปลี่ยนแปลง จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเรารู้จักตื่นด้วยสติ
ด้วยความคิดที่เข้าใจธรรม ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่ตกต่ำ
เหมือนวันนี้ทำไมเราต้องเข้าใจธรรม
เพราะความเข้าใจธรรมจะทำให้เราไม่เคยเกลียดใครได้ลง
และความเข้าใจธรรมจะไม่ทำให้เรารักใครจนทำร้ายให้เราเจ็บปวด
และความเข้าใจธรรมจะทำให้เรารู้จักพึ่งสติปัญญาและธรรมในใจตน
โดยที่ไม่ต้องไปอ้อนวอนหรือขอใคร
อยากเกิดมาเป็นราชาที่ร่ำรวยคำขอบคุณ
หรืออยากเกิดเป็นยาจกที่ขอคนรักคนเห็นใจ คนเข้าใจและคนไม่รังเกียจ
ถามใจท่านดู
คนที่เป็นราชาได้คือคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กแค่ไหนก็ขอบคุณ
แบบนี้ก็ขอบคุณ แต่คนที่เอาแต่ขอก็คือ “ขออีกนิดสิ ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ
ทำไมทำกับฉันแบบนี้” หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยมีความสุขเพราะขอไม่จบ
ใช่ไหม (ใช่) เราอยากอยู่บนโลก
อยากอยู่อย่างคนที่ขาดทุนหรืออยากอยู่อย่างคนที่มีกำไรในความสุข
(คนที่มีกำไร) ฉะนั้นถ้าคนที่มีกำไรเขาเอาแต่ติ ว่า “ไม่ชอบ” จับผิด
หรือว่า “นั่นก็ดี โน่นก็ใช้ได้ นั่นก็น่ารัก นี่ก็สวยหล่อ”
แต่ชีวิตเราขอบคุณหรือตำหนิติเตียน (ขอบคุณ)
สงสัยเพิ่งจะขอบคุณตอนเราพูดใช่ไหม ฉะนั้นลองถามใจท่านเองนะ
ให้ท่านจำไว้เสมอว่า มนุษย์ทุกคนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
ไม่มีใครแย่และไม่มีใครดีเกิน จริงไหม (จริง)
เราอยู่กลางระหว่างฟ้าดิน เป็นฟ้าดี แต่ถึงเวลาเราก็ต้องเป็น “ดิน”
ได้ด้วย แล้วถึงเวลาเราก็ต้องเป็นกลาง
เพราะธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่าอย่ายึดติดสิ่งใด
เพราะถ้าพยายามยึดติดอยากเป็นฟ้า พอโดนคนกดขี่ทำให้เป็นดิน
เราจะเป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราเป็นอะไร (เป็นกลาง,
เป็นอะไรก็ได้) ตอบได้ดีนะ เป็นอะไรก็ได้
เพราะแม้กระทั่งยึดติดคำว่าเป็นกลาง พอโดนเขาว่าลำเอียงเราก็โกรธอีก
จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเรารู้ตัวเองดีที่สุด
สำคัญแค่เพียงเท่านี้ว่าเรารู้ตัวเองดีที่สุดว่าเรามีกลางอยู่นะ
เราเป็นกลางอยู่นะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลาง ใช่ไหม (ใช่)
เดี๋ยวยึดติดอยากเป็นนั่น ยึดติดอยากเป็นนี่ ทั้งที่จริงแล้วเราเป็นอะไรก็ไม่รู้
ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นธรรมะที่เรานำมายกตัวอย่างเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมไหม (ไม่)
แต่เป็นเรื่องที่เห็นในชีวิตประจำวัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราโดนคนว่า
โกรธไหม (โกรธ) เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม เราถามท่านนะ
สมมติว่าวันนี้เรามีดอกไม้อยากให้ท่าน เอาไหม (เอา)
ย่อมมีคนอยากรับและเฉยๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงมักมีคนสามแบบ
แบบหนึ่งคือเอา แบบหนึ่งคือไม่เอา และอีกแบบคือเฉยๆ
ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรก็ตาม ย่อมมีคนที่ชอบ มีคนที่ไม่ชอบ
และมีคนที่เฉยๆ
ฉะนั้นเราจะเอาเวลาทั้งชีวิตที่เรารู้ว่ามันมีจำกัดไปเสียเวลากับการแก้ตัวกับ
คนที่เฉยๆ หรือไปเสียเวลากับคนที่เกลียดเรา
หรือเอาเวลานั้นมาใส่ใจคนที่เข้าใจเราดีกว่า (ใส่ใจคนที่เข้าใจเรา)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น
โดยให้คนที่หนึ่งและคนที่สองทำหน้ายิ้มและให้คนที่สามทำท่าชี้หน้าว่า)
ส่วนใหญ่ท่านใส่ใจคนไหนมากกว่า (หน้ายิ้ม)
ทั้งที่ในโลกของความเป็นจริง เป็นไปได้ไหมว่าจะมีคนยิ้มให้เราตลอด
ไม่มีคนชี้หน้าว่าเรา (ไม่มี) ถ้าอย่างนั้นเราควรใส่ใจกับคนชี้หน้าว่า
หรือใส่ใจคนที่ยิ้มให้เรา (ยิ้มให้เรา)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้นเพิ่มอีกหนึ่งคนและทำท่าชี้หน้า
ว่า)
เราถามท่านต่ออีกว่าในระหว่างสองคนที่ยิ้ม
กับสองคนที่ชี้หน้าว่าเราใส่ใจใครมากว่ากัน (คนที่ชี้หน้าว่า, คนที่ยิ้ม)
เราควรใส่ใจใครมากกว่ากัน เราควรหันกลับมาใส่ใจตัวเอง
เพราะถ้ามีคนยิ้มมากกว่า คนไม่ชอบน้อยกว่านั่นแปลว่าเรายังไม่ค่อยผิด
แต่ถ้าเกิดมีคนยิ้มเท่ากับคนต่อว่า เราต้องตรวจสอบตัวเอง
แต่ถึงเวลาท่านเอาแต่ (เอาแต่มองคนอื่น) ใช่หรือไม่
เราโกรธเพราะเหตุใดหรือ เราโกรธเพราะเขาชี้หน้าเรา
หรือเราโกรธเพราะเราไม่เห็นตัวเอง เพราะมัวเห็นแต่คนที่ทำร้ายเรา ใช่ไหม
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าคราวนี้มีคนยิ้ม 2 คนและชี้หน้าคนเดียว เราควรใส่ใจใคร
หันกลับมาใส่ใจคนที่ยิ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าได้รังเกียจคนที่โกรธ
เพราะเราจะร่วมกันทำให้คนที่โกรธคลายความโกรธได้ ใช่ไหม
ไม่ใส่ใจก็ไม่ได้แล้วจริงไหม เพราะหนึ่งคนที่คด
ย่อมสามารถทำร้ายร้อยคนเที่ยงตรงได้ ถ้าเป็นเรื่องของตัวเราเอง
เราต้องตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวม เราต้องร่วมกันแก้ไข
เพราะเมื่อมีคนไม่ดีหนึ่งคน
คนไม่ดีหนึ่งคนก็พร้อมจะทำร้ายคนดีร้อยพันคนให้สูญเสียใจได้ จริงไหม
(จริง)  ฉะนั้นควรดูใคร ดูตัวเราใช่ไหม
ผู้ใดมักโกรธ ผู้นั้นย่อมพบทุกข์ ความโกรธครอบงำนรชน อยู่ที่ใด
ที่นั่นย่อมมืดมน  แล้วเรารู้ไหมว่าเราโกรธเพราะอะไร (รู้, ไม่รู้)
แม้ว่าเรามีธรรมแค่ไหน แต่ถ้าโกรธหนึ่งครั้งก็หมดธรรมเลย ใจดีแค่ไหน
แต่ถ้าโกรธหนึ่งครั้งก็ร้ายเลย ใช่ไหม (ใช่)
ใครสามารถยกมือบอกเราได้บ้างว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยโกรธเลย
(ไม่มี) ไม่มีให้ชื่นใจเลยเหรอ อย่างนั้นถามใหม่นะ ใครบ้างที่เคยโกรธแล้ว
ไม่โกรธอีกต่อไปเลย (ไม่มี) ฉะนั้นใครฆ่าความโกรธได้ย่อมอยู่เป็นสุข
ใครฆ่าความโกรธได้ย่อมไม่โศกเศร้า พึงตัดความโกรธได้ด้วยการข่มใจ
หรือที่มนุษย์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าพึงชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
อย่างนั้นเรามารู้สาเหตุของความโกรธก่อน ไม่ว่าอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธะล้วนกล่าวไว้ว่า โกรธคือความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง
เมื่อใดที่รู้สึกยินดี เมื่อนั้นจึงรู้จักโกรธ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยินดีอะไรในโลก
เราก็ไม่โกรธ พูดแบบนี้ไม่เข้าใจใช่ไหม (ใช่)  รู้จักรักเป็นก็โกรธเป็น
รักไม่เป็นก็โกรธไม่เป็น ยิ่งรักมากก็ยิ่งโกรธมาก ยิ่งชอบมากก็ยิ่งเกลียดมาก
ถ้าไม่รักไม่ชอบ ก็จะไม่โกรธไม่เกลียด ทำได้ไหม (ได้)  ทำยากใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
เราจะไม่รักใครและเราจะไม่เกลียดใคร เพราะคนที่เราว่าน่ารัก
ยังมีคนที่น่ารักกว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดยังมีสิ่งที่น่าเกลียดกว่า
เราจะรักไหม (ไม่รัก)  แล้วเราเคยเอามาเข้าใจไหม (ไม่เคย)
ฉะนั้นอย่าให้ธรรมเป็นแค่ธรรม
แต่จงเอาธรรมมาพิจารณาจนบังเกิดความเข้าใจในธรรม
อย่าแค่ฟังธรรมเป็นธรรม
แต่จงเอาธรรมมาพิจารณาจนเกิดสติตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรม
พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่โกรธบ่อย โกรธบ่อยๆ ก็ไม่ดี
โกรธทีเราก็ปิดประตูแห่งความสุข และเชื้อเชิญความทุกข์มาสู่ใจ
เวลาโกรธแล้วเราจะแก้อย่างไร ส่วนใหญ่จะพูดว่าข่มใจหรือให้อภัย
ข่มใจแล้วดีขึ้นไหม (ดี)  ถ้าเห็นหน้าคนที่เกลียดแล้วยังนึกโกรธไหม
อย่างนั้นเรามาดูวิธีแก้กันดีไหม (ดี)  โดยส่วนใหญ่เราไม่อยากมีความโกรธ
เพราะความโกรธเป็นศัตรูกับความเป็นคนดี เป็นศัตรูกับธรรมะ
โกรธเมื่อใดก็หนีไม่พ้นทุกข์ โกรธเมื่อใดก็เหมือนจุดไฟเผาตัวเองให้เจ็บปวด
ฉะนั้นถ้าเราไม่โกรธได้คงดีที่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาเราโกรธ
เราพยายามข่มใจ ฉะนั้นถ้าข่มใจได้จนหมด
เห็นหน้าคนเกลียดจะรู้สึกอะไรไหม (ไม่)  แล้วเวลาใครว่าคนที่เราเกลียด
เราจะแอบหัวเราะในใจหรือไม่ (มี)
 บางครั้งน้ำเสียงในคำพูดของเราที่บอกว่า “อย่าไปว่าเขาเลย”
ก็แอบมีความสะใจอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ท่านรู้ไหมเมื่อไรมีคนหนึ่งที่เราโกรธ
แม้เราจะไม่พูดถึงแต่เมื่อเห็นหน้าเขา สิ่งที่เขาเคยว่าเรา
สิ่งที่เขาเคยทำร้ายเรา เรื่องราวต่างๆ กลับไหลลงสู่ใจหมดเลย
จำได้ไม่ลืมเลย ใช่ไหม (ใช่)  แม้ไม่พูดถึงแต่อย่าให้เห็นหน้า
เห็นแล้วสะกิดใจ ท่านรู้ไหมว่าแม้ปากเราไม่แสดงออก
แม้ตัวเราไม่แสดงออก แต่ใจที่คิดแบบนั้น พระพุทธะกล่าวไว้ว่า
“เป็นผู้ที่พยายามผูกเวร ผูกความโกรธและยังอยากจองเวรอยู่”
ฉะนั้นถ้าเราข่มใจแล้ว แต่ใจยังจำได้ไม่ลืม เราวางเฉยแล้ว
แต่ใจยังจำเก็บไว้ไม่ลืมเลือน แถมบ่อยครั้งนำไปพูดต่อ นำไปนินทาต่อได้
พระพุทธะเรียกคนเช่นนี้ว่า “คนที่พยายามทำเวรให้ยืดเยื้อ”
หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือคนที่ยังอยากผูกความโกรธไว้ในใจ หรือเรียกง่ายๆ
อีกก็คือคนที่อยากจองเวรจองกรรม ฉะนั้น เกลียดแล้วควรจำไหม (ไม่ควร)
แล้วรู้ไหมว่าผู้ที่พยายามผูกเวรผูกความโกรธและจองเวรหรือจำไม่ลืมนั้น
ท่านบอกว่าเมื่อเวลาความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธครอบงำใจ
คนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ทำบาปได้ทุกที่ จริงไหม (จริง)
 แล้วบาปนั้นยังให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นกรรม ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ
อยากเจอเขาอีกไหม ถ้าอยากเจอจำให้แม่นนะ
เดี๋ยวจะกลับมาเจอไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน
ฉะนั้นจงอย่าจำความโกรธและให้มองเป็นธรรมดา
เราอยู่กลางฟ้าดินมีสว่างก็มีมืด มีร้ายก็มีดี ฉะนั้นเราอยู่กลาง เราไม่เคยต้องร้าย
และไม่ต้องดี เพราะเราอยู่กลางเสมอ จริงไหม (จริง)
ถ้าท่านเข้าใจธรรมที่เราพูด ท่านจะไม่ทุกข์ และไม่โกรธ
และไม่เกลียด และไม่ต้องจำให้เจ็บปวดใจ แล้วทำอย่างไรดี
ถ้าเจอคนที่ไม่ชอบ ข่มใจแล้ว ไม่ลืมแล้ว แต่ยังวางเฉยไม่ได้
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า อยากวางเฉยแล้วล้างกรรมกับเขาไหม (อยาก)
ไม่ต้องมาผูกกรรมกันอีก เอาไหม (เอา)
เพราะคนที่เกลียดเราต้องมีกรรมเวรกันมาก่อน ใช่ไหม (ใช่)
คนตั้งเยอะแยะไม่เกลียดแต่มาเกลียดเรา คนเยอะแยะไม่ด่าแต่มาด่าเรา
แปลว่าเราคงเคยทำกับเขาไว้ไม่มากก็น้อย กับอีกอย่างหนึ่งก็คือเราคงแย่ไม่
มากก็น้อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราเคยยอมรับไหม (ไม่เคย)
ถ้ายอมรับไม่ได้มีอีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้หมั่นมีสติครองใจ
เตือนตนเสมอเมื่อเจอคนที่เกลียด เขาไม่เคยดีกว่าเรา
และเราไม่เคยแย่กว่าเขา และเขาก็ไม่เคยแย่กว่าเรา
และเราก็ไม่เคยดีกว่าเขา ไม่รู้สึกว่าเรากับเขาเสมอกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ตลอด จะไม่มีจิตที่ก่อเกิดกิเลสและทำให้เราทุกข์อีกต่อไป
ยากไหม (ไม่ยาก) ลองดูสิ ในขณะที่เราเห็นคนที่เราเกลียด ใจเรามันนิ่ง
ไม่รู้สึกว่าเขาแย่กว่า ไม่รู้สึกว่าเขาดีกว่า
ไม่รู้สึกว่าเรากับเขาเสมอกัน ทั้งเขากับเราล้วนไม่มีใครดีกว่าใครหรือแย่ก
ว่าใคร หรือเสมอใคร เพราะเขากับเราล้วนไม่มี
เมื่อนั้นกิเลสจะไม่เกิดขึ้นในใจอีกต่อไปเลย เมื่อนั้นเรียกว่า
“ผู้สิ้นทุกข์สิ้นกิเลส โดยความเกลียดนำพาให้ท่านพ้นทุกข์ขณะที่เห็น”
ฉะนั้นทุกขณะจิต เราเกิดมาเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นกรรม
หรือเราเกิดมาเพื่อจองเวรจองกรรม และทุกข์ไม่จบสิ้น
แล้วเราเคยสิ้นทุกข์ไหม ไม่ต้องไปจัดการกับคนอื่น จัดการที่ตัวเราเอง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเราเปรียบเทียบ
เรายึดติด ทำไมคนนี้เราชอบ แต่เพื่อนเราไม่ชอบ ทำไมคนนี้เราไม่ชอบ
แต่เพื่อนเรากลับชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีไม่ดี เกลียดหรือไม่น่าเกลียด
อยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่ใคร อย่างที่เราพูดตั้งแต่ต้น อย่าลืมคุณค่าธรรมในใจตน
และอย่าละทิ้งความดีในใจตน ถึงเวลาเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม
รักษาใจให้เฉยๆ ไว้ เราก็ไม่ต้องผูกใจเจ็บกับใคร
เพราะหลักการสำคัญของธรรมะ คือความสงบเย็น
ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราสงบเย็นได้ นั่นก็คือจบ
เจอเขาจบไหม (ไม่จบ)  สิ่งสำคัญคืออยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราทำถูกต้อง
ถ้าเราทำดีแล้ว อย่าไปกังวลว่าใครจะเป็นอย่างไร
เอาตัวเราให้ถูกต้องให้ดีก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีสุข
ที่ใดมีร้ายที่นั่นก็มีดี ขอเพียงไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึก ไม่ยึดมั่นตัวตน
ท่านก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนด้วยสติปัญญาที่หลุดพ้นและแจ่มชัด
ถ้าเราไม่ยึดมั่นความคิดตัวเอง คนต่อว่าเราได้ไหม (ได้)  ถูกโกงได้ไหม (ได้)
ถูกเอาเปรียบได้ไหม (ได้)  ใจจะได้โล่งๆ ใจจะได้เบาๆ ไม่ใช่ใจมีไว้เป็นขยะ
เก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่ในใจ ตอนต้นเราก็พูดว่า ใจโล่งๆ เหมือนจะเป็นฟ้า
ใจหนักๆ ถึงจะเป็นดิน แล้วตอนนี้ใจโล่งหรือใจหนัก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ก็คือ (ใจ)  ใจมีทั้งดีและไม่ดีใช่หรือไม่
(ใช่)  แล้วใจที่ไม่ดีก็คือใจที่ประกอบไปด้วยกิเลส อารมณ์
คือใจที่ตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ และหนีไม่พ้นความทุกข์
ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ก็จงอย่าตกเป็นทาสของอารมณ์
ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ดีไม่ร้าย แค่สติพลันคิดก็พ้น เหมือนโดนเขาว่าปุ๊บ
สติคิดได้ปั๊บ เขาร้ายหรือก็ไม่ร้าย เราดีกว่าเขาหรือ ก็ไม่ได้ดี จริงไหม
(จริง)  ชั่วขณะนั้นพ้นความยึดติด ความโกรธ
เป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดที่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ และอัตตาตัวตน
พ้นทุกข์ได้เลยในขณะนั้น แต่จะมีใครทำได้หนอ (มี)  ทำได้ไหม (ได้)
อยากทดสอบไหม (อยาก)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  ไอ้โง่ (ไม่เป็นไร) ขออภัยนะ
แต่ท่านเป็นคนพูดเองว่าอยากลองดู ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น โง่ไหม เราเองก็โง่
ไม่โง่จะฉลาดไหม ถ้าทำตัวฉลาดถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราโง่
เพราะถึงฉลาดอย่างไรก็มีคนฉลาดกว่า โง่ขนาดไหนก็มีคนโง่กว่า
แล้วเราจะโกรธอะไร ฉะนั้นถ้าเรามีสติ พึงระลึกในธรรมอยู่เสมอ
เราจะไม่เกลียดใคร ไม่โกรธใคร และไม่รักใครจนเกินไป
และสามารถมีสติรู้ตน ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร
เพราะเรามีสติตื่นรู้ในธรรมนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่คนที่มาช่วยเราอธิบายธรรม
อยากได้ดอกไม้จากเราบ้างไหม (อยากได้)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาดึงกลีบดอกไม้ทิ้ง)
ถ้าดอกไม้ที่เราให้เหลือแค่นี้ เอาไหม (เฉยๆ)
จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร
อย่าตีค่าสูง อย่าเหยียบย่ำให้ต่ำ แต่จงรักษาใจ
ประคองใจไว้ว่ามันไม่มีอะไรดีที่สุดและแย่ที่สุด จงรักษาความเฉยไว้
นิ่งไว้ แล้วเมื่อนั้นกิเลสจะไม่เกิดขึ้นในใจ
และท่านจะพบทางที่สว่างอย่างแท้จริงนะ
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาแจกดอกไม้ให้นักเรียน)
เผื่อพรุ่งนี้ดอกไม้จะออกดอกและตกผลได้บ้างนะ
ท่านอื่นอยากได้ไหม (อยาก)  บางทีอย่าอยากเลยนะ
เพราะถึงเวลาเราอยากได้ไป เราก็ดูแลได้ไม่ถึงที่สุด
เพราะสุดจากดอกไม้แล้ว ที่สุดก็คือความว่างเปล่า
ฉะนั้นสุดจากมือเราที่สุดแล้วก็คือความไม่มี แล้วเราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด
จริงหรือไม่ (จริง)
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันเรื่องธรรมะอีก ดีไหม (ดี)
เวลาเจอหน้ากันไม่ว่าใคร ไม่บ่นใคร ไม่มีอะไรเจ็บปวดใจ เพราะเราโล่งแล้ว
วางแล้ว จำไว้นะยิ่งบำเพ็ญยิ่งละ ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อยึด
เพราะความยึดเกิดขึ้นในจิตใจใคร
จิตใจคนนั้นย่อมไม่สามารถใช้สติปัญญาได้สมบูรณ์
ทำความดีแม้โดนคนว่า ทำความดีแม้โดนคนด่า
ทำความดีแม้ไม่มีใครเห็นค่า
ก็จงรักษาความดีโดยไม่ทิ้งธรรม เจออะไรไม่ต้องตัดสินว่าดี
จิตที่วางเฉยได้คือไม่เห็นว่าสิ่งใดดีกว่า แย่กว่าหรือเสมอกัน
เมื่อใดที่สามารถมีสติรักษาจิตนี้ได้ตลอด
เมื่อนั้นสติจะทำให้กิเลสไม่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ต้องใช้ความข่มใจ
แต่ใช้การหันกลับมาดูใจ ไม่เปรียบเทียบ ไม่ยกค่า ไม่กดค่า
เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง


วันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไม่มีใครไม่โดนว่านั้นไม่มี หมั่นเตือนตนให้มีสติหนา
ยอมผิดบ้างแย่บ้างเป็นธรรมดา โลกธรรมหนาเตือนตนอย่าหลงไป

เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

* ศึกษาวิธีเพื่อบำเพ็ญที่จิตใจ  รู้ทุกอย่างดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตน
เริ่มตรงนี้นั่นแหละ เริ่มตรงนั้นนั่นแหละ  ไม่รู้ก็จะรู้ได้ด้วยใจ
* * กี่ร้อยวิธี การบำเพ็ญเข้าสู่ใจ มองหาอะไรในทุกอย่างไม่เห็นมี
ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่ เช่นความจริงยิ่งใหญ่ ไม่ทุกข์บ้างเป็นได้อย่างไร
* * * ที่ศิษย์คิดมีเป็นล้าน  ยังไม่พบว่ามีสุขจริงในตอนนี้
ครองปัญญากี่นาที  ให้นึกดูให้ดี ที่มีอันตรธานไปไหน
ก้าวง่ายง่ายในที่นี้ จะสุขทุกข์ร้ายดี ก็มีหนึ่งความหมาย

ฝึกบำเพ็ญเป็นสวรรค์ คืนวันสงบใจ
พรุ่งนี้แม้ไม่ได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์ใจอะไร  (ซ้ำทั้งเพลง, ***,---)

ทำนองเพลง : ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


คิดถึงกันบ้างไหม (คิดถึง)  พอมีความทุกข์ก็ค่อยนึกถึงอาจารย์
(ไม่ใช่)
“ไม่มีใครไม่โดนว่านั้นไม่มี หมั่นเตือนตนให้มีสติหนา
ยอมผิดบ้างแย่บ้างเป็นธรรมดา โลกธรรมหนาเตือนตนอย่าหลงไป”
มีใครบ้างในโลกไม่เคยโดนว่า ไม่เคยโดนนินทา (ไม่มี)
แล้วโดนว่าโกรธไหม (โกรธ)  ในเมื่อไม่มีใครไม่เคยโดนว่า แล้วโกรธทำไม
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ มีใครบ้างที่จะชมเราตลอด 24 ชั่วโมง (ไม่มี)
 แล้วถ้าเขาชมเราทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ศิษย์โกรธไหม (ไม่โกรธ)
 ไม่จริงหรอก เพราะชมบ่อยๆ เข้าก็คิดว่าเขาจะจริงใจกับเราไหม
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์ยิ้มตลอดทั้งวันได้ไหม
ใครผ่านไปผ่านมาก็ยิ้มให้ (ไม่ได้)
 แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะให้คนที่อยู่ตรงข้ามเราหรือคนที่เรารู้จักต้องยิ้มให้เรา
ตลอดเวลา เป็นไปได้ไหมที่เขาจะต้องพูดดีกับเราตลอดเวลา
เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่โดนว่า (ไม่ได้)
 เมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  พุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
การไม่นินทาในโลกไม่มี ใครไม่ถูกนินทาในโลกไม่มี
ทุกคนล้วนต้องถูกนินทา ถูกต่อว่า ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเป็นธรรมดา
เราจะโกรธไหม (ไม่)
คราวหน้าเวลาโดนใครว่า โดนใครนินทา จำไว้ว่า
พระอาจารย์จี้กงบอกแล้ว มันเป็นธรรมดา เกิดเป็นคนผิดบ้าง แย่บ้าง
ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย หนังกำพร้าจะหายออกไปจากใจไหม
ใจเราจะเว้าแหว่งไปไหม หน้าเราจะมีรอยตีนกาเยอะขึ้นไหม
โดนว่าแล้วเราจะหมดหล่อไหม โดนว่าแล้วเงินของเราจะหมดกระเป๋าไหม
แล้วแย่อะไร แล้วทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)
เขาว่าเราแล้วเงินของเราจะหายไปไหมถ้าเราไม่ให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าใครมายืมเงินอย่าให้เยอะ ให้เท่าที่ให้ไหว ให้เท่าที่คิดว่า
เขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วเราจะได้มองหน้ากันติด ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนธรรมแห่งความเป็นจริงในโลกนี้ มีดีก็มีร้าย มีร้ายก็มีดี
มีสุขก็มีทุกข์ มีคนชมก็มีคนด่าเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาเราจะทุกข์ไหม (ไม่)
 มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนเกลียดเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
 เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
มนุษย์จะทุกข์น้อยลง แต่ถ้าเมื่อใดเราไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก
ความทุกข์ก็ยังสุมแน่นอก ก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ศิษย์อยากอยู่อย่างคนที่เรารักกันเป็นมิตรกัน
หรืออยากอยู่กันอย่างศัตรูคู่อาฆาต (เป็นมิตร)  แล้วเวลาเจอหน้ากัน
พูดดีหรือพูดไม่ดี (ไม่ดี)  อ้าปากก็พูดไม่ดีแล้วใช่หรือไม่ เคยพูดหวานๆ
กันไหม ในเมื่อจริงๆ แล้วทุกคนก็อยากได้มิตรมากกว่าอยากได้ศัตรู
อยากได้คนรักมากกว่าคนเกลียด อย่างนั้นทำไมเราไม่ทำสิ่งที่ดีงาม
โลกนี้น่าอยู่เพราะทุกคนต่างเกื้อกูลกัน เข้าใจกันและเห็นใจกัน
ไม่ใช่แค่ดีเท่านั้น คนบางคนชอบดี ใครทำอะไรต้องดีก่อน ฉันดีก่อน
บางทีถอยให้คนอื่นดีบ้าง ให้เขาได้ดีบ้าง ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)
แล้วเราเป็นแบบไหน ติดดีจนใครว่าเราไม่ดีไม่ได้
บางครั้งถ้าเราไม่ดีแล้วคนอื่นดีขึ้นก็สุขใจเล็กๆ ใช่ไหม
คิดถึงกันบ้างไหม (คิดถึง)  เรายังไม่รู้จักกันเลย
ในวันที่ศิษย์ได้รับธรรมะนั้นก็เป็นวันแรกเริ่มที่เราได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน
ศิษย์จะรับไม่รับไม่เป็นไร แต่อาจารย์รับศิษย์ทุกคน
เอาไม่เอาไม่เป็นไรแต่ถ้าได้รับแล้วอาจารย์รักศิษย์ทุกคน
แต่ขอให้ศิษย์รู้จักดูแลตัวเองให้ถูกก็พอ
อาจารย์ถามง่ายๆ มีอะไรในโลกนี้ที่มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)
ถ้าศิษย์ดำเนินชีวิตแล้วพึงมีสิ่งนี้ตลอด
ไม่ว่าศิษย์จะมีอะไรเพิ่มขึ้นมาหรือมีอะไรอยากได้ขึ้นมาก็จะทำให้ศิษย์ไม่ทุก
ข์ได้ อะไรหรือ (สติ)  ความตื่นรู้ มีสติตื่นรู้ในความจริง
เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร สมมติว่าละครชีวิตของอาจารย์ตั้งแต่เกิดจนตาย
อาจารย์สามารถฉายดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่ออาจารย์ดูจบแล้ว
เมื่อถึงเวลาอาจารย์ไปใช้ชีวิตจริง เวลาอาจารย์เจอทุกข์ เจอความผิดหวัง
อาจารย์จะเสียใจไหม (ไม่)  เพราะอาจารย์รู้ก่อนแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เวลาอาจารย์จะตาย อาจารย์จะเศร้าไหม
เพราะอาจารย์รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะต้องตาย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์พลัดพราก อาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)
เพราะอาจารย์มีสติตื่นรู้แล้วว่าอาจารย์ต้องพลัดพราก
ฉะนั้นมีคนมาด่าอาจารย์ อาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)
มีคนมาโกงอาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  มีคนมาดูถูกอาจารย์
อาจารย์จะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เพราะอาจารย์รู้จนจบแล้ว ใช่หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์กลับ ศิษย์ต้องพลัดพรากไหม
(ต้อง)  ศิษย์ต้องตายไหม (ตาย)  ศิษย์ต้องเจ็บไหม
(เจ็บ)  ศิษย์ต้องทุกข์ไหม (ทุกข์)  ศิษย์ต้องโดนด่าไหม (โดน)
 พระพุทธะสอนธรรมะให้เพื่อ “แค่รู้” เมื่อไม่รู้ชีวิตจึงแสดงออกเป็นกิเลส
กรรม การเวียนว่าย ทุกข์ เมื่อตื่นรู้ด้วยสติและปัญญาเห็นแจ้ง
ชีวิตจึงแสดงออกด้วยปัญญา ฉะนั้นธรรมไม่ได้สอนให้คนโง่
แต่ธรรมสอนให้เราฉลาด อยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์กับมัน
ธรรมสอนให้เรารู้ด้วยสติ แห่งความจริง
แต่มนุษย์ทุกข์เพราะไม่มีสติรู้ยอมรับความจริง ยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองคิด
ถ้าเรามองแล้วคิดทันทีว่าเขาด่าเป็นธรรมดา กรรมก็ไม่เกิด
บาปก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่เอา เขาชมก็เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติอาจารย์เหงา อยากมีใครสักคน ลึกๆ เรารู้ไหมว่า
การมีใครสักคนหนึ่ง มีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์
มีรักก็ต้องมีผิดหวังและรังเกียจ อาจารย์ถามจริงๆ
จะเลือกเขาแล้วไม่รู้หรือว่าวันนี้เขาสวย พรุ่งนี้เขาจะไม่สวย รู้ไหม (รู้)
แล้วรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วเห็นเขาดีแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็ร้ายอยู่ รู้ไหม
(รู้)  แต่ก็เอาไหม (เอา)  ฉะนั้นศึกษาธรรมะ ไม่ได้ศึกษาเพื่อสะสม
การนั่งสมาธิเก่ง สวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง
แต่แก่นหลักของการศึกษาธรรมะคือตื่นรู้ในความเป็นจริงด้วยสติปัญญาที่เ
ห็นชัดในสิ่งที่ตัวเองอยากมี อยากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมี จะเอา
จะได้ ก็จะไม่ทุกข์เพราะทำใจไว้แล้วว่าต่อไปเขาก็จะน่าเกลียด
ทำใจไว้แล้วว่าต่อไปเขาก็หุ่นไม่สวย ใช่ไหม (ใช่)
 คนที่แต่งงานตอนแรกคิดว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ไหม (ไม่)
 แล้วรู้ไหมว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ (รู้)
เหมือนรจนารู้ไหมว่าคนที่เลือกเป็นเงาะป่า (ไม่รู้)
คิดว่าเป็นองค์ชายถอดรูป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บังเอิญเขาไม่ยอมถอดรูปเงาะ
ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์ไม่หลอกตัวเอง ศิษย์จะเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ
เห็นอย่างคนมีสติและอยู่กับทุกสิ่งอย่างไม่ทุกข์
หลักสำคัญของธรรมะสอนให้เราแค่รู้ด้วยสติ
รู้ความจริงอันเป็นแก่นของธรรมะที่เหมือนกันหมดทุกอย่าง มีได้ก็มีเสีย
มีดีก็มีร้าย มีสุขมากก็มีทุกข์มาก มีผิดหวังก็มีสมหวัง
มีสมหวังก็มีผิดหวังเป็นธรรมดา
 เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจหลักอันเป็นธรรมดาแล้ว
เราจะสามารถอยู่อย่างไม่ทุกข์ อยู่อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น
ที่เรียกว่าไม่จำเป็นต้องจับแล้วค่อยปล่อย
แต่รู้จักที่จะปล่อยไปตามความเป็นจริง
หน้าที่ของเราคือดีที่สุดกับเขาหรือยัง ดีที่สุดกับทุกคนหรือยัง
ถ้าดีที่สุดแล้วไม่จำเป็นต้องเสียใจว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะทำเต็มที่
สู้สุดใจ จะกลัวอะไรเมื่อมีปัญญา จริงไหม (จริง)  แต่คนบางคนไม่สู้
หวังจะพึ่งเขาๆ แล้วใครเสียใจ (เรา)
 เพราะเขาอาจมีเปลี่ยนใจและรำคาญเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรแล้วไม่ทุกข์ (มีสติตื่นรู้ความเป็นจริงของชีวิต)  ในโลกนี้มี 2
อย่าง อย่างแรกเรียกว่ารูป อีกอย่างเรียกว่านาม
และในรูปนามมีแก่นเดียวกันคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
“มีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา” และถ้าขยายคำว่า
“ธรรมดา” มีอะไรบ้าง
ทุกสิ่งมันเกิดและมันก็ดับอยู่ทุกขณะ แปลว่าทุกอย่างมันเกิดและดับ
และมันก็จบไปแล้ว แต่คนที่ไม่จบคือตัวเรา ที่ยังยึดถือ ถูกหรือไม่ (ถูก)
สิ่งใดมีความเกิด
สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากจะขยายธรรมดา
นั่นก็คือ มันมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
และถึงที่สุดคือความว่างเปล่า ไม่เที่ยงก็คือ มันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เกิดกิเลสตอนไหน
เกิดตอนที่เขาด่าศิษย์จบแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อไม่จบมันเลยกลายเป็นกิเลส
แต่ถ้าเรามีสติรู้ทันความเป็นธรรมดาของทุกสิ่งว่ามันเกิดแล้วดับ
มีสติรู้ทันความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาว่ามันเกิดแล้วดับ
เราจะลากแล้วเอาตัวเรามาขังอยู่ในความเกลียด เขาด่าเรา เขาแช่งเรา
เขาว่าเราไหม (ไม่)
ฉะนั้นมนุษย์คือผู้ที่สร้างความทุกข์แล้วนำความทุกข์นั้นมาขังตัวเอง
ทั้งที่สิ่งที่เป็นทุกข์นั้นมันจบไปนานแล้ว จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาอันธรรมชาติที่มันมีเกิดมีดับอยู่ทุกขณะ
เราจะทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพรุ่งนี้ (ไม่รู้)
ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเกิดแล้วดับทุกขณะ
แล้วศิษย์จะพยายามปล่อยวางทำไม
ถ้าศิษย์พยายามปล่อยวางแสดงว่าศิษย์ยังเอามายึด ถูกไหม (ถูก)
หรือที่ศิษย์ชอบพูดธรรมะอีกข้อหนึ่งเป็นธรรมดาก็คือ มีแค่ปัจจุบัน
ถ้าเมื่อไรลากอดีต ปัจจุบัน อนาคตมารวมกัน
เรียกว่าสร้างกรงขังคำว่าอัตตาตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรมีแค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้
อัตตาตัวตนก็จะไม่มี
คำว่าชีวิตเกิดขึ้นจากอัตภาพที่เรียกว่าจิตใจ
และจิตใจก็แปรเปลี่ยนไปตามความรู้ความคิดที่เราสั่งสม ฉะนั้นเมื่
อไรที่มีความรู้ความคิดที่เราสั่งสม รวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอัตตาตัวตน
เราคิดอย่างไร นั่นแหละตัวเราเป็นแบบนั้น เรารู้เราสนุกเราชอบอะไร
นั่นคือตัวตนเราเป็นอย่างนั้น
เช่นศิษย์ถามอาจารย์ว่าทำไมต้องศึกษาธรรม ทำไมต้องปฏิบัติธรรม
เราศึกษาธรรมก็เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงที่ทำให้เราไม่ทุกข์และเข้า
ใจตัวตนที่แท้จริง สมมติอาจารย์คือต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อมีเกิดขึ้น ก็มีออกดอก
แล้วก็มีออกผล เป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  สุดท้ายแล้วก็ตายไป ใช่หรือไม่
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีเมล็ดพันธุ์ของความอยาก มันจะขึ้นมาได้ไหม (ไม่)
ไม่มีเมล็ดพันธุ์ของความยึดและหลงชอบ ต้นไม้ต้นนี้จะกลับมาไหม (ไม่)
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าตัวเราเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
สิ้นเมล็ดพันธุ์แห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าฉันชอบแบบนั้น ฉันอยากมีแบบนี้
ฉันอยากเป็นแบบนั้นฉันอยากเป็นแบบนี้
ฉะนั้นเวรกรรมของเราเลยไม่จบไปจากการตาย
เวรกรรมของเราเลยจบไปกับเมล็ดพันธุ์ที่เราเพาะลงไปในจิตใจ เข้าใจไหม
(เข้าใจ)  ฉะนั้นเมล็ดพันธุ์ก็เลยไปตามบุญ บาป และกรรม
อย่างที่เรียกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมดี
กรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำอะไรที่สว่าง เบา ใส ก็เรียกว่าเป็นบุญ
ถ้าเราทำอะไรที่ขุ่นมัว หนักก็เป็น บาป หรือเรียกว่าบาปนี้คือ โลภ โกรธ
หลง ซึ่งเป็นทางมาแห่งบาป ทุกข์และการเวียนว่าย
ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตกลับมาสู่ความคิด
ถ้าทุกขณะจิตที่ศิษย์กระทำตามความรู้ตามความเข้าใจด้วยสติที่ตื่นรู้
ในธรรมไม่ได้ทำตามความอยาก กิเลส อารมณ์
สิ่งที่ทำมันก็เลยไปกลายเป็นธรรมดาอันเป็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วเราก็กลับคืนสู่ธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราไม่ใช่แบบนั้น เรามักจะ
“ขออีกนิดสิ ขออีกหน่อยสิ” ใช่ไหม (ใช่)  “ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น
ทำไมไม่เป็นอย่างนี้” ดังตามหลักพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า อวิชชา ตัณหา
อุปาทาน เพราะไม่รู้จึงอยาก จึงยึด แต่ถ้าเรารู้ชัดเราจะไม่อยากเราจะไม่ยึด
เพราะมีแต่ทุกข์ยึดไม่ได้ เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ายึดก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่วที่เราต้องไปแบกรับ ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราเกิดมาพร้อมกับความอยาก อย่างแรกอยากได้เงิน เงินร้ายไหม (ร้าย)
เงินทุกข์ไหม (ทุกข์)  ผู้ชาย ผู้หญิงร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ผู้หญิง ผู้ชายร้ายไหม
(ไม่ร้าย)  มีเงินแล้วอยากมีผู้ชายไหม (ไม่อยาก)
มีเงินแล้วผู้ชายอยากมีผู้หญิงไหม (อยากมี)  จริงไหม (จริง)
พอมีเงินแล้วเราก็อยากได้บ้าน ได้รถ ทรัพย์สินอยากได้ใช่ไหม (ใช่)
ทรัพย์สินร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ทำเราทุกข์ไหม (ทุกข์)
ศิษย์บอกว่าเงินทำให้ทุกข์ บ้านก็ทำให้ทุกข์ รถก็ทำให้ทุกข์
ทรัพย์สินก็ทำให้ทุกข์ เราสะสมทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  และยังเอาอีกไหม (เอา)
แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมะไม่ต้องไปแก้เหตุแล้วถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้
รู้ว่าทุกข์เอาไหม (เอา)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เข็ดไหม (ไม่เข็ด)
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่รู้อยู่ว่าเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน มีแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)
แล้วสิ่งนี้เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เพราะเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน
ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่คนที่ทุกข์คือคนที่พยายามยึดเงิน ยึดบ้าน ยึดรถ
ยึดทรัพย์สิน ต้องมี ต้องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแล้วขับรถคันเก่ากว่าคนอื่น
อายไหม (อาย)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีทำไม
อาจารย์อยากบอกว่าเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน คนรัก ชีวิต จิตใจ
เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากมีแล้วยึดไว้ทุกสิ่ง แล้วรู้ไหมว่ามีแล้วทุกข์ ศิษย์ก็รู้
แต่ศิษย์ก็ยังยึดติด อย่างนั้นเงินทำให้เราทุกข์หรือตัวเราที่ทำให้ทุกข์
(ตัวเรา)  เงิน บ้าน คนรักไม่ได้ร้าย แต่การมีเงินโดยไม่คำนึงถึงธรรม
การมีเงินโดยเห็นแก่ตัวการมีเงินโดยผิดศีล ผิดธรรม
การมีคนรักโดยคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจความจริง
นั่นทำให้มีจิตใจที่เป็นทุกข์ ฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงิน บ้าน รถ
แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่ออยากจะมีแล้ว มีไม่เป็นก็เลยเกิดทุกข์
แล้วเคยนำธรรมะมาสอนใจไหม ก็ไม่เคย ศิษย์มักจะเป็นกันแบบนี้
แล้วศิษย์รู้ไหมบางครั้งผิดครั้งเดียวทำกับเขาเจ็บครั้งเดียว
ใช้คืนทั้งชาติก็ไม่หมด ถ้าเขาจำแล้วก็ไม่ลืม จริงไหม
(จริง)  ยกตัวอย่างง่ายๆ เราตบหัวเขาแล้วค่อยพูดว่า “ขอโทษ”
ศิษย์ว่าเขาจะลืมไหม โกรธไหม จำได้ไหม แค้นไหม (แค้น)
 แล้วพูดว่าขอโทษ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)
ไปตบหัวเขาแล้วท่องบทแผ่เมตตา เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)
 ถ้าเราจะแก้เราต้องแก้ที่ต้นเหตุ
ฉะนั้นมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ มีโดยไม่ขาดศีล มีโดยไม่ขาดธรรม
มีโดยไม่เห็นแก่ตัว มีโดยที่เมื่อเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มีเงิน
มีรถ เมื่อเจอใครก็ไม่ละอายใจแม้รถจะเก่า แม้จะแต่งตัวใส่เสื้อขาดๆ
แต่ก็ยืนข้างๆ กับคนที่แต่งตัวภูมิฐานได้อย่างภูมิใจว่าฉันก็มีดี
ไม่เห็นต้องอายเลย สิ่งสำคัญของการมีก็คือธรรมแห่งความเป็นคน
เราอยู่ในโลกไม่ว่าหาอะไรก็ตาม ถ้าหาแล้วยืนบนความทุกข์ของคนอื่น
การหาของศิษย์ก็ไม่เรียกว่าธรรมะ
เรียกว่าทำให้พ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราหาเงิน หาบ้าน หาทรัพย์สิน
มีคนรักมีชีวิตจิตใจ และศีลไม่ขาด ธรรมไม่พร่อง ความเป็นคนไม่ด่างพร้อย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำเราทุกข์หรอก แต่สิ่งที่ทำเราทุกข์คือ
ใจเราเองที่โลภจนลืมคุณธรรม ใจเราเองที่มันเห็นแก่ตัว จนลืมเห็นหัวใครๆ
ใจเราเองที่สนใจแต่ตัวเอง แต่ไม่สนใจใคร ทั้งที่อาจารย์ถามจริงๆ
ว่าเรายืนบนโลกนี้ เราสามารถยืนโดยไม่พึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)
เราต้องพึ่งกันใช่หรือไม่ แล้วโลกน่าอยู่เพราะว่าคนต่างเห็นแก่ตัว
หรือโลกน่าอยู่เพราะคนต่างเข้าใจกัน เห็นใจกัน เอื้อเฟื้อกัน ใช่ไม่ใช่ (ใช่)
(นักเรียนขอให้พระอาจารย์ตีหัว เพื่อให้ขาแข็งแรง)
ศิษย์เอ๋ย ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจ ไม่มีใครไม่เจ็บป่วย
ไม่มีใครไม่เป็นโรค แต่สำคัญอยู่ที่ใจสู้ไหม
ถ้าสู้เราก็อยู่กับโรคด้วยความสุขได้ แต่ถ้าไม่สู้แม้ไม่เจ็บป่วยเราก็ทุกข์ได้
เพราะคิดไม่เป็น จริงหรือไม่ (จริง)
 การเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่ให้เราเชื่อแต่ปาฏิหาริย์แล้วไม่ยอมพึ่งตัวเอง
การศึกษาธรรมะเพื่อสอนให้เรารู้จักพึ่งตัวเองและยืนอยู่กับความเป็นจริง
อย่าหลอกใจตัวเอง
ถ้าศิษย์รักตัวเอง เคารพตัวเองศิษย์อย่าหลอกใจตัวเอง
และจะไม่มีใครหลอกเราได้ เหมือนที่อาจารย์คุยกับศิษย์ตั้งแต่ต้น
อาจารย์ถามว่าเงินเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้
แต่เงินไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่อยากได้แล้วไม่รู้จักพอ
เพราะคนที่ไม่รู้จักพอหาเท่าไรก็มีแต่คำว่า “ไม่มี” หามาเยอะๆ
ก็เหมือนไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อยากหาเท่าไรแล้วยิ่งมีไหม
ให้ลดความอยากของตัวเองให้น้อย แล้วสิ่งที่มีมันจะเยอะขึ้นมาทันที
จริงไหม (จริง)  แต่เงินพอมีเท่านี้ก็อยากให้มีเท่าโน้น หาเท่าไรมันก็ไม่พอ
ฉะนั้นลดความอยากให้น้อยที่สุด แล้วเงินที่ศิษย์บอกว่าหนึ่งร้อยมันน้อย
อาจารย์จะบอกว่ามันเยอะ จริงหรือไม่ (จริง)
อีกเรื่องหนึ่งศิษย์หลายคนเหงา อ่อนแอแล้วก็ว้าเหว่ ใช่ไหม (ใช่)
เหงา อ่อนแอ ว้าเหว่ ทั้งหมดซึมเศร้าแปบนึง ใครจะมาทำอะไร เหงา
คนที่เอาแต่รอให้คนอื่นรัก จะรักตัวเองไม่เป็น
ส่วนคนที่รู้จักรักคนอื่นให้เยอะๆ ดีกับคนอื่นให้มากๆ ช่วยคนอื่นให้เต็มที่
จะไม่มีวันเหงา หงอย เศร้า
เพราะความสุขของมนุษย์มีแล้วแต่ถ้ามันไม่มีค่าไม่มีความหมายและไม่มีกา
รยอมรับ ความสุขนั้นไม่ใช่สุขที่แท้จริง จริงไหม (จริง)
 เพราะเราไม่เคยได้การยอมรับจากใคร
เพราะเราไม่มีคุณค่าสำหรับใครและเราไม่มีความหมายเพื่อใคร
ความสุขนั้นมันก็เลยกลายเป็นซึมเศร้า
กับอีกแบบหนึ่งรับเรื่องของชาวบ้านมาเยอะเกินไปคนโน้นก็อยากช่วย
คนนี้ก็อยากช่วย คนนั้นก็อยากช่วย ไม่ไหวแล้ว
อะไรทำไมชีวิตมันเยอะขนาดนี้ เข้าสู่ภาวะความเศร้า
อยากจะช่วยคนอื่นแต่ตัวเองเอาไม่รอด
ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติรู้ความเป็นจริง เราเห็นจริง
ไม่ใช่เอามาให้เราทุกข์ แต่เราเห็นจริงเพื่อเอามาเห็นชัดจนพ้นทุกข์
เหมือนชีวิตนี้เกิดมามือเปล่า ไปมือเปล่า เอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)
สามีเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เงินเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกเอาไปได้ไหม
(ไม่ได้)  ภรรยาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)
แต่ศิษย์ก็บอกอาจารย์ว่าให้ศิษย์รวยก่อน ให้ศิษย์สุขก่อน
เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญ พออาจารย์ให้ศิษย์รวย ศิษย์กลับต่อรองอีกว่า
ขอให้ลูกๆ ของศิษย์รวยก่อน
ขอดูแลเลี้ยงหลานก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปบำเพ็ญ
ถึงเวลาต้องตายแล้วตอนนั้นทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  ปลงทันไหม (ไม่ทัน)
แต่ถ้าเรารู้เห็นชัดว่าถึงที่สุดเราก็เอาอะไรไปไม่ได้
โลกนี้ทุกสิ่งที่เหมือนหาได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้ เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มี
ความจริงมันบอกใจศิษย์ทุกอย่าง ศิษย์มีคนรัก ศิษย์มีรถ ศิษย์มีเงิน
ศิษย์มีบ้าน แต่ถึงเวลาทำไมใจลึกๆ เหมือนไม่มีอะไร
เพราะธรรมชาติต้องการบอกว่า ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ศิษย์หา มันก็คือความไม่มี
แล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิต ศิษย์จะยอมเสียเวลาในชีวิต เพื่อได้มาแค่รถ บ้าน คนรัก
ลูกหลาน หรือศิษย์จะรู้จักที่จะมีบ้าน มีรถ มีลูกหลาน
และรู้จักบำเพ็ญตัวเอง เมื่อเราพ้นได้ ลูกหลานเห็น เขาก็พ้นตาม
เราทุกข์ครอบครัวก็ทุกข์ เราสุขครอบครัวก็สุข
เราพ้นทุกข์ครอบครัวก็จะพ้นทุกข์ แล้วทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
คำว่า “ปรามใจตัวเอง”)
นำไปทำให้ได้ก็พอ ถ้าทำได้นะ ดีกว่าคำขอบคุณอีก เวลาที่เรามีลูก
เราอยากให้ลูกด้อยกว่าหรือเก่งกว่าพ่อแม่ (เก่งกว่า)
 อาจารย์ก็อยากได้ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์นะ
สิ่งไหนเรียกว่าบำเพ็ญ แล้วบำเพ็ญแบบไหน
ยังไปทำบุญตักบาตรได้ไหม (ได้)  ยังจะต้องมีศีลห้าครบถ้วนด้วย
เพราะศีลห้าทำคนให้เป็นคนที่ปกติ คนที่ขาดศีลห้าคือคนผิดปกติ
อาจารย์ถามนะ ใครจะเบียดเบียน เข่นฆ่า
ต่อว่าหรือโกหกคนอื่นทันทีที่เกิดมา แบบนี้ใช่คนปกติไหม (ไม่)
 แค่เราปกติก็คือเราไม่คิดเบียดเบียนใคร เราไม่คิดฆ่าใคร
เราไม่คิดทำร้ายใคร นั่นก็คือการมีศีลห้าครบ ใช่หรือไม่
เราไม่คิดอยากมีชู้มีกิ๊กทางไลน์ ใช่ไหม (ไม่)
เราไม่แอบดูสิ่งที่ไม่น่าดูทางไลน์ ทางเฟซบุค ใช่ไหม
(ใช่)  ศิษย์จำไว้นะว่าถ้าเมื่อไรศิษย์เปิดดู เท่ากับศิษย์เพิ่มยอดไลค์การดู
แปลว่าศิษย์ส่งเสริมให้อันนี้มันโดดเด่น มันเด่นดังขึ้นมาในทางที่ไม่ดี
แปลว่าเราร่วมบาปด้วยนะ จริงไหม (จริง)
ภาพคนแก้ผ้ายอดไลค์ทะลุล้านวิว
แล้วหนึ่งในล้านวิวเราเป็นหนึ่งในนั้นที่แอบดู ควรไหม (ไม่ควร)  ดูไหม (ไม่ดู)
การฝึกปฏิบัติเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีไหม (ดี)
อะไรเรียกว่าบำเพ็ญ เป็นคนดีไหม (ดี)  มีน้ำใจไหม
(มี)  ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนมีน้ำใจไม่นิ่งดูดายใคร ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ
ไม่ข่มเหงใคร ใช่ไหม (ใช่)  ที่ต่ำกว่าไม่เคยกดขี่ ที่สูงกว่าไม่เคยนินทา
ใช่ไหม (ใช่)  สูงก็นินทา ต่ำก็กดขี่ แอบใช้แรงเขา จริงไหม (จริง)
ยอมรับได้ก็แก้ได้เปลาะหนึ่ง ถ้าไม่ยอมรับมันก็ผิดอยู่วันยังค่ำนะศิษย์เอย
ฉะนั้นเริ่มต้นแรก อาจารย์บอกให้ง่ายๆ ในการฝึกฝนบำเพ็ญ
คือไม่ต้องเป็นคนดี ขอแค่เพียงชั่วไม่ทำ บาปไม่ก่อแต่ถ้าดีแทบตาย
ชั่วก็ทำ บาปก็ก่อ อาจารย์ไม่รู้ว่าดีตรงไหน บุญทำไหม (ทำ)
แล้วด่าคนไหม (ด่า)  เบียดเบียนเขาไหม (เบียดเบียน)
 ฉะนั้นละบาปบำเพ็ญบุญเรียกว่าการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรม
และมีโอกาสหมั่นสร้างบารมีเป็นทานด้วยการมอบธรรมให้กับทุกคนโดย
ไม่เจาะจง บางคนบอกวันนี้เคราะห์ไม่ดี ดูดวงแล้วไม่ดี ราหูอมจันทร์ จริงๆ
อาจารย์ว่าปากนี่แหละอมสิ่งที่ไม่ดีนิสัยเป็นหนอง ใช่ไหม (ใช่)
 ถ้าจะแก้ไม่ใช่ไปสะเดาะเคราะห์ ต้องแก้ที่ปากและนิสัย
อยากเปลี่ยนชีวิตต้องเปลี่ยนความคิดและความรู้ความเข้าใจในตัวเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก)
วิธีที่ศิษย์จะสร้างบารมีก็คือ อยู่กับใครให้ธรรมะเป็นทาน ให้เมตตา
ผู้อาวุโสกว่าให้ความเคารพซื่อตรง ซื่อสัตย์
ทำหน้าที่ด้วยความสุจริตใจและจริงใจ บำเพ็ญในโลกยากไหม (ไม่ยาก)
ทุกครั้งที่ทำออกไปคือให้ธรรมเป็นทาน ไม่ได้ทำเพราะยึดติดในตัวตน
แต่ทุกครั้งที่ทำล้วนเป็นธรรมะเมตตาที่สุด
พูดกับเพื่อนพูดด้วยความเมตตา จริงใจ แล้วการว่าคน
ว่าด้วยเมตตาได้ไหม (ได้)  ว่าอย่างไร (ว่ากล่าวตักเตือน)  ตักเตือนอย่างไร
(รู้ว่าทำไม่ดี ก็เตือนว่าทำไม่ดี)  ถึงเวลาใครฟังเรา
ฉะนั้นการตักเตือนที่ดีที่สุดคือ ทำตัวเองให้ถูกต้องที่สุด
และทำให้เขาเห็นความดีที่แท้จริงที่สุดในใจเรา
ด้วยการกระทำให้เขาเห็นเป็นประจำ ประเสริฐกว่าคำพูดใดๆ
อยากได้ลูกดีพ่อแม่ต้องทำให้ถูกต้อง แต่ถ้าอยากได้สามีดีเราต้องทำใจ
ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราสร้างเหตุแล้ว เรารู้วิธีดับทุกข์แล้ว
การบำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  แบบนี้ครอบครัวจะอบอุ่นไหม (อบอุ่น)
เพราะทุกคนต่างรู้ที่จะไม่ทุกข์ ศิษย์จำไว้นะ
ถ้าศิษย์ยิ่งรู้จักทุกข์มากเท่าไรศิษย์จะยิ่งรักทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่น่ากลัว
แต่ใจที่ยึดติดจนทุกข์เกินไปนั้นน่ากลัวกว่า
ชีวิตจะหมดสิ้นทุกข์และกิเลสได้ต่อเมื่อเราไม่ยึดติด
อุทิศตัวตน สิ่งสำคัญก็คือได้ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงามหรือยัง
ถ้ายังทำตัวเองให้ถูกต้องดีงามไม่ได้ ก็ยังบำเพ็ญยากอยู่
ต้องเริ่มต้นที่ความเป็นคนสมบูรณ์แบบ
แล้วต่อไปจะบำเพ็ญเป็นพุทธะก็จะไม่ยากอะไร
แต่ถ้าเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แบบ จะบำเพ็ญเป็นพุทธะไม่มีทางเป็นไปได้
ฉะนั้นการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมจึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่ความเป็นคนมีธรรมให้สมบูรณ์ ธรรมหนึ่งเรียกว่าสัจธรรมความเป็นจริง
ธรรมหนึ่งคือคุณธรรมแห่งความเป็นคน ที่เรียกว่าเมตตา มโนธรรม
จริยธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม ยังมีอีกเยอะเลย
ไม่สามารถพูดหมดได้ในสองวัน
ถ้าศิษย์ศึกษาให้มากกว่านี้ ศิษย์จะรู้ว่า
ธรรมแห่งความเป็นจริงถ้ายิ่งมีสติตื่นรู้มากเท่าไร
ศิษย์ก็จะมองเห็นว่าโลกใบนี้ ตัวเรานี้ คนที่ยืนบนนี้ว่างเปล่า
และสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันทุกข์นี้ เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
มันมาเพื่อให้เราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นกลาง
เหมือนที่เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกไว้ ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง
ทุกข์ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ในทุกข์มันมีสุขอยู่
ถ้ามัวแต่ทุกข์เราก็จะไม่เห็นสุข
แต่ถ้าเรายืนให้เห็นชัดเราจะรู้ว่าในทุกข์มันมีสุข
ในกิเลสมันมีปัญญาที่นำพาให้เราหลุดพ้น
ขอเพียงมองให้เห็นความเป็นกลาง แต่มนุษย์นั้นเห็นอะไรก็ยึดติด จริงไหม
(จริง)  เขาด่าก็ไปยึดติดและลืมมองว่าการด่านั้นก็มีดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เขาเกลียดเรา ก็ไปยึดติดอีก ทั้งที่เราลืมไปว่าคนที่เกลียดก็ยังทำให้เรามีสติ
รู้จักชีวิตตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาน่ารัก เราก็ไปยึดติดอีก
แต่ความน่ารักมันก็ทำให้เรารู้ว่าเขาก็มีอะไรน่าเกลียดไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์มีสติตื่นรู้อยู่ทุกขณะในความเป็นจริง
อะไรในโลกก็ทำศิษย์ทุกข์ไม่ได้ ใครก็บีบใจเราให้เจ็บปวดไม่ได้
เราจะรู้จักรักษาใจเราเอง จริงไหม (จริง)
อย่างไรศิษย์ของอาจารย์ก็น่ารัก มีทั้งที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ถ้าลองได้เข้าใจตัวเอง
แล้วศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนพยายามให้ศิษย์มานั่งฟังตรงนี้
เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเอง
แต่เขาทำเพื่อตัวศิษย์ทั้งนั้น เขาไม่ได้ทำเพราะเขาเห็นว่าตัวเองมีดี
แต่ทำเพราะเขาเห็นว่าศิษย์มีดี
มีธรรมะและหวังว่าเมื่อศิษย์เห็นธรรมะในตัวเองแล้ว
นำธรรมะนั้นไปช่วยคนอื่นต่อ เราอาจมองว่าบางคนทำไมมีบุญจัง
ไปไหนก็มีแต่คนรัก เพราะรู้จักสร้างบารมีด้วยการให้ สร้างบุญด้วยการให้
ให้ความจริงใจ ให้ธรรมะ ให้แง่คิด ให้ความถูกต้อง
ให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนที่ดีคนหนึ่งได้ และเป็นคนดีที่พร้อมจะเสียสละ
แม้ตัวเองจะเจ็บ แม้ตัวเองจะถูกต่อว่า
แม้ตัวเองจะสูญเสียจนหมดเนื้อหมดตัวก็พร้อมจะรักษาความดีได้
คนเช่นนี้สมควรเรียกว่า พุทธะบนดิน
อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าโรคภัยไข้เจ็บและปัญหาไม่น่ากลัว ยิ่งรู้จัก
ยิ่งเข้าใกล้ เราจะยิ่งรู้ว่าจะช่วยทำให้เราปลดปล่อยความยึดมั่น
เข้าสู่ภาวะแห่งการพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ใครจะต่อว่า ใครจะเกลียด
ใครจะโกง ใครจะชิงชัง
เราก็จะรู้สึกขอบคุณที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธ
รรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อาจจะมาแล้วทำให้ศิษย์ไม่สบายใจ
แต่อาจารย์ก็หวังว่าสิ่งที่ทำนี้จะมาย้ำเตือนศิษย์หรือมากระตุ้นเตือนศิษย์ว่า
ศิษย์มีดีอยู่นะ ศิษย์มีธรรมะอยู่นะ เราไม่ได้เกิดมาแล้วทุกข์จนตาย
แต่เราสามารถเกิดมาพ้นทุกข์ได้เพียงแค่เข้าใจความจริง
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว ขอบคุณในความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่ง
ขอบคุณในความเสียสละที่ไม่ยอมแพ้
ขอบคุณจิตใจที่รู้จักทำดีโดยไม่ท้อถอย อาจารย์ดีใจที่อาจารย์มีศิษย์แบบนี้
ดูแลตัวเองให้ดี
หนทางสำคัญในการบำเพ็ญไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
แต่แกนหลักของการศึกษาธรรมคือ ทิ้งตัวตนได้เพื่อกลับคืนสู่ธรรม
เจ็บจนถึงที่สุดแล้วขึ้นสู่ธรรมทำได้ก็น่าภูมิใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ให้จนถึงที่สุดได้โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดนั่นคือพุทธะบนดิน
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือสู้เพื่อช่วยคนนะศิษย์ แม้จะโดนว่า แม้จะโดนคนไม่เข้าใจ
แต่จงอย่าลืมว่าเราทำเพื่อธรรม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
เราทำเพื่อให้เขาเห็นธรรมและทำเพื่อให้เราได้เห็นธรรม
ธรรมที่เมตตาจนถึงที่สุด เสียสละจนถึงที่สุดแม้จะเจ็บปวดบ้างก็ดี
ได้ทิ้งตัวตนบ้าง ได้วางตัวตนลงบ้าง ฉะนั้นอย่าท้อ อย่ายอมแพ้
ไปด้วยกันแล้วต้องไปให้ถึงที่สุดนะ ได้ไหมศิษย์ (ได้)
แม้การบำเพ็ญจะยาวนานแค่ไหนก็อย่าได้ท้อ ล้มบ้าง ผิดหวังบ้างไม่เป็นไร
อาจารย์ยังคงรอ รอวันได้พบศิษย์ที่บริสุทธิ์ที่สุกสกาว

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ปรามใจตัวเอง”
มีสติรู้เตือนตนอยู่เสมอ ไม่ปล่อยเผลอทาสอารมณ์ติดดีร้าย
ถูกกระทบหยุดรู้ตัวนิ่งให้ไว รู้วางใจไม่โทษใครตรวจสอบตน
ทำนิ่งแต่ใจฟุ้งซ่าน ปรุงความคิด ยอมอภัยแต่จำติดจิตขุ่นข้น
ผู้สงบแล้ววางเฉยได้เย็นกมล ตื่นรู้ตนอย่าวนติดทิฐิอัตตา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2560-06-02 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร




西元二○一八年歲次戊戌四月十九日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑         ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  จิตสับสนเพราะความคิดไร้ทิศทาง     จิตสว่างเพราะปัญญาเป็นเข็มทิศ
เรื่องวุ่นวายมาจากคนชอบยึดติด              คอยจับผิดมาติดขัดให้ทุกข์ใจ
                                เราคือ
  หลันไฉ่เหอต้าเซียน                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  อันว่ากิเลสเกิดจากความคิดอยากมี    จิตที่ไม่ตื่นข้องคิดพันกันวุ่น
ไร้ความเห็นแต่วนมาคิดหมกมุ่น          มีเยอะก็วุ่นได้เลยก็วุ่นเลย
ถึงมองเห็นแต่ไม่คิดว่างไปทันใด          ในเมื่อทุกข์ไร้ใจเมื่อแจ้งแสร้งเฉย
เมื่อนั้นสิ่งก็ว่างโดยพลันเทียวเอย        ทุกข์หมื่นเท่าสติเกิดพลันเผยหมื่นพุทธา
เมื่อความคิดไม่ขาดสายใจต้องนิ่ง        จงรู้เท่าทันความจริงที่ยิ่งกว่า
รู้ชัดเจนไม่ใช่ใช้แค่หูตา                   ใช้ปัญญามาไถ่จิตเป็นไทเร็ววัน
เพราะหมกมุ่นคิดลบจึงไม่หายขาด       เลิกอคติใจไม่เป็นทาสเป็นเช่นนั้น
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนกิเลสทุกข์แปรผัน   เปลี่ยนความประพฤติความความนั้นทั้งนอกใน
เลือกประพฤติจะกลายเป็นสร้างสุขไม่สิ้น   ความเคยความชินจะพาล้วนเลวร้าย
ความชินความเคยกลายต่างคนต่างใจ   เสียนิสัยนิสัยจะกลายไม่หลงไม่มี
                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



วันนี้มาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับท่านช่วงเวลาหนึ่งได้ไหม (ได้)  จากที่นั่งฟังเฉยๆ เปลี่ยนเป็นการคุยโต้ตอบกันดีหรือเปล่า (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือ หลันไฉ่เหอ การคุยกันได้นานๆ ไม่ต้องมียศไม่มีตำเเหน่ง จะคุยกันง่ายกว่า ถ้าบอกว่ามาจากไหน เก่งอย่างไร บางทีจะคุยก็คุยไม่ออกจริงไหม (จริง)  ถ้ายกตัวเองสูงว่าเรียนจบอะไรมา แล้ววันนี้จะมาคุยกัน บางทีได้ฟังว่าเรียนจบอะไรมา เราก็ไม่อยากคุยด้วยแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะรู้สึกว่าเขาจบสูงเกินไป เรามีความรู้น้อย
เราแนะนำตัวเองแล้ว เราคือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบถือตะกร้าดอกไม้ ถ้าเป็นผู้ชายถือดอกไม้แปลกไหมในยุคปัจจุบัน (แปลก)  บางท่านบอกว่าดูอบอุ่นดีนะ ดูน่ารักดีออก ใช่หรือไม่ คิดดีก็เป็นสุข คิดร้ายก็เป็นทุกข์ คิดดีก็เหมือนอยู่สวรรค์ชั้นฟ้า แต่ถ้าคิดร้ายต่อกันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้คิดร้ายหรือคิดดี (คิดดี)  แปลว่าที่นั่งฟังมา คิดดีตลอดเหมือนอยู่สวรรค์ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวเรานั้นมีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร (ความคิด)  ความคิดที่ดีหรือ
ไม่ดีที่น่ากลัว (ความคิดที่จิตสับสน)  หรือบางครั้ง ความคิดที่หยุดคิดไม่ได้ หรือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้กระทั่งความดีที่เราติดก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายึดติดดีมากเกินไป ความคิดที่พยายามจะต้องเป็นคนดี และต้องดีให้ได้ก็น่ากลัว ยิ่งถ้าพยายามเป็นคนดีแล้วใครว่าไม่ได้นั่นก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  คนเลวบางครั้งดูเหมือนน่ากลัว แต่ถ้าเราคิดอะไรเลวร้ายสักอย่างหนึ่ง แต่เราหยุดได้ทัน บางครั้งการคิดเลวร้ายแล้วหยุดได้ทัน ก็อาจจะดีกว่าความคิดดีที่ยึดติด จริงไหม (จริง)
มนุษย์มักพูดว่าคนนั้นน่ากลัว คนนี้ไม่น่ากลัว คนนั้นน่าคบ คนนี้
ไม่น่าคบ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราทำให้เขาน่ากลัว หรือเราทำให้เขากลายเป็นคนน่ากลัวไม่น่าคบหรือเปล่า เหมือนกับที่เรามองว่าโลกน่ากลัว สังคมเลวร้าย หาคนดีไม่เจอ แล้วท่านดีหรือยัง แล้วเป็นคนดีที่ยึดติดดี
จนกลายเป็นคนเลวร้ายหรือเปล่า
วันนี้เรามาคุยเรื่องธรรมะ ธรรมะที่เป็นกลางๆ ที่ใช้สำหรับการดำเนินชีวิต เเละนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ หรืออยู่กับทุกข์แล้วไม่ทุกข์ เราอยู่ในโลกนี้อย่าหลงในสิ่งที่เห็นจนลืมความเป็นจริงแท้ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้เราเห็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ได้)  ถึงเราจะบอกว่าเรารู้ เเต่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่รู้ คนโบราณจึงสอนไว้ว่า “รู้แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็อย่าบอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง” เพราะถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเก่ง ก็เปลี่ยนแปลงได้ เเละทำให้เราไม่รู้ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ก็เเปลว่าอย่ามั่นใจในสิ่งที่เราคิดว่าใช่และไม่ใช่ และอย่าตัดสินอะไรในทันทีว่าจริงหรือไม่จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้
จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านว่า ท่านเป็นคนดีไหม คนที่บอกว่าฉันก็ยังไม่แน่ใจเลย
ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เพราะเรายังไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะคิดดีหรือคิดร้าย หรือตอนนี้เราจะอารมณ์ดีหรือเราจะอารมณ์ร้าย ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อเป็นคนดีแล้วไม่ชอบคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  หรือเราศึกษาธรรมเพื่อเป็นคนดีแล้วยึดมั่นในความดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร (เพื่อกล่อมเกลาจิตใจตัวเอง)  ถ้าอยากเป็นคนมีธรรมก็ต้องปฏิบัติดี แต่การจะเข้าถึงธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่ธรรมอยู่ที่ความเป็นจริงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เรียกว่า “ธรรม” นอกเหนือจากนี้เป็นความคิด เป็นความหวัง เป็นความยึด ถ้าอยากเข้าถึงธรรมต้องมองตรงนี้ เดี๋ยวนี้
เรายกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเราได้ดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทีแรกเราก็เกิดความดีใจ แต่เมื่อไรที่เราเห็นดอกไม้ดอกนี้ แล้วไปเปรียบเทียบกับดอกไม้ดอกอื่นที่สวยกว่า เราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายอมรับได้แค่ตรงนี้ก็คือ ธรรม แต่ถ้าบอกว่าดอกนี้เล็กไป ไม่สวย ราคาน้อย ดอกนั้นใหญ่กว่า สวยกว่า ดีกว่า ก็กลายเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตของท่านล่ะ ถ้าพบธรรมก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าไม่พบธรรมตรงนี้ หวังตรงนั้น หวังตรงนี้ นั่นแหละ ทุกข์นักแล
ชีวิตเรามีตรงนี้ มีเท่านี้ ได้เห็นธรรม ได้เห็นสุข แต่เรากลับยึดว่าต้องมีอย่างนั้น ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมคือสิ่งตรงนี้ แค่นี้ สุขได้ไหม (ได้)  พอได้ไหม (ได้)  แล้วทุกข์คืออะไร ธรรมคืออะไร
ถ้าท่านยังไม่เห็นธรรมตรงนี้ ท่านก็จะพบทุกข์ตรงนั้น เเละพยายามหาทางดับทุกข์ตรงนั้นด้วยธรรม แต่ถ้าท่านพอตรงนี้ ดีตรงนี้ สุขตรงนี้ ธรรมตรงนี้เราต้องทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มนุษย์พยายามใช้ธรรมเพื่อดับทุกข์เพราะเราไม่เคยพอตรงนี้ เราไม่เคยยินดีกับแค่นี้ เเต่เราหวังว่าต้องเป็นดอกไม้ดอกนั้น ต้องเป็นดอกไม้ช่อนั้น
ตอนนี้เรามีทุกข์เรามีความสูญเสีย มีความเจ็บป่วย ถ้าเราพอใจเข้าใจในธรรมเราก็ไม่ทุกข์ แค่สู้กับสิ่งที่เป็นให้ได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่ตรงนี้แต่คิดถึงตรงโน้น อยู่ตรงนี้แต่อยากเป็นตรงนั้น เราไม่เคยพบธรรมตรงนี้ เราก็เลยไปทุกข์ตรงนั้นก่อนแล้วค่อยมีธรรม เราไม่พบธรรม ไม่พบความจริงตรงนี้ก่อนเราก็เลยไปทุกข์กับข้างหลังและพยายามเห็นธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเห็นตรงนี้ พอใจตรงนี้ อย่ามัวคิดว่าเราเจ็บ อย่ามัวคิดว่าเราสูญเสีย อย่ามัวคิดว่าเราชราวัย แต่สิ่งที่เจ็บ สิ่งที่ทุกข์ตอนนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตท่านยังมีอะไรดีๆ อีกมาก ถ้าวันหนึ่งเราต้องล้มเจ็บ ต้องพลัดพราก ถ้าใครทำให้ทุกข์ อย่าเอาแผลเล็กๆ อย่าเอาความทุกข์เล็กน้อยมาทำร้ายลมหายใจทั้งชีวิต มัวจมอยู่กับความทุกข์ว่าทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ มาทำร้ายชีวิตตัวเองทั้งชีวิต ในเมื่อจริงๆ แล้วธรรมไม่ใช่ตัวหนังสือหรืออิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่อยู่ตรงนี้
เห็นก็มีธรรม ก็เป็นสุข แต่ถ้าไม่เห็นไม่ยอมรับ ก็ต้องทุกข์ทั้งสิ่งที่มีและก็ต้องทุกข์กับความพยายามจะมี แล้วก็ต้องพยายามไปหาธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมไม่ได้อยู่ภายนอก แต่ธรรมอยู่ภายใน ถ้าท่านศึกษาปฏิบัติธรรมจริง อย่ามัวแต่มองออก ถ้าปัญหาทุกปัญหาเริ่มที่นี่ เกิดที่นี่ ก็ต้องจบที่นี่ ผู้ที่เข้าถึงการบำเพ็ญที่แท้จริง จะไม่พยายามไปดับร้อนดับไฟใคร แต่จะหันกลับมาย้อนมองส่องตนเองว่าเขาร้อนแล้วเราจะเย็น เขาไร้ธรรมแต่เราจะมีธรรม ดังที่พระพุทธะบอกไว้ว่า “ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีมาร ที่นั่นมีพุทธะ” เมื่อใดเจออะไรก็ตาม แค่นี้เท่านี้ก็คือธรรม มันเป็นธรรมดาที่เราต้องเจอ ถ้ายอมรับตรงนี้สุขไหม (สุข)  แล้วถ้าสุขตรงนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุขอยู่ทุกๆ วัน เพราะธรรมคือความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์มักหวังและฝันจนลืมธรรมอันเรียกว่า “ความจริง”
ฉะนั้นอยากพบธรรม ก็แค่พบความจริง ยอมรับความจริง เพราะความจริงจะดีหรือร้ายก็ไม่น่ากลัว เพราะคนที่จะทำให้ท่านดีหรือร้าย อยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา เขาทำเราร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  ดีหรือร้ายเขากำหนดหรือเรากำหนด (เรากำหนด)  แต่ถ้าเกิดเขาร้ายแล้วเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วถ้าเขาร้ายแล้วทำให้เราดี ทำให้เราเห็นธรรม ไม่เอาหรือ (เอา)  มนุษย์กำลังกลุ้มอยู่กับความทุกข์ แต่เหล่าพระพุทธะเอาทุกข์มาค้นพบเห็นธรรม สิ่งที่มนุษย์กำลังวนเวียนอยู่กับความทุกข์ พระพุทธะกลับตื่นรู้แจ้ง แล้วค้นพบทางดับทุกข์
มนุษย์ชอบตัดสินและชอบคิดนึกไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้ เราจึงอยู่กับคนแล้ววิพากษ์วิจารณ์ พอวิพากษ์วิจารณ์เราก็อดยึดติดในความคิดเราไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นแหละทุกข์ จริงๆ แล้วเราอยู่ในโลก อยู่กับทุกๆ สิ่ง
อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับใครก็ตาม เราอดที่จะคาดหวังหรือ ยึดติดไม่ได้ เราคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เพราะเราคิดว่าเพื่อนน่าจะพูดแบบนี้ แต่ทำไมเพื่อนพูดแบบนั้น อยู่กับสามีอยู่กับภรรยา เราไม่เคยคุยกันได้จบความ เพราะเธอพูดอีกอย่างแต่ฉันคิดอีกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุข สามารถเป็นธรรมไม่เป็นทุกข์ได้นั้น ก็อย่าเพิ่งตัดสินอะไรว่าเตี้ยหรือสูง เพราะเวลาที่เราอยู่กับคนที่เตี้ยกว่าเราอาจจะสูง แต่พอถึงเวลาเจอคนที่สูงกว่า เราก็อาจจะเตี้ย นี่คือหลักธรรมของความเป็นจริง เมื่อเจออะไรเราสามารถยอมรับในสิ่งที่เราได้แค่นั้นเท่านั้น ก็คือธรรม ก็คือความจริง แต่ถ้าเราไม่เคยยอมรับในสิ่งที่เรียกว่าแค่นั้น เท่านั้น แต่เราหวังว่าต้องเป็นอย่างที่
เราคิด เราเข้าใจ ก็คือทุกข์
อยู่ในโลกทุกข์หรือสุขมากกว่ากัน (ทุกข์)  ทุกข์มากกว่าสุขเพราะเราไม่ยอมรับความจริงที่เรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากค้นพบความจริง อยากพบธรรมแล้วไม่ทุกข์ แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นก็แค่นี้ ก็เท่านี้ แต่ถ้าไม่ยอมรับเราก็มีทุกข์ แล้วก็ต้องพยายามหาธรรมไปดับทุกข์ เมื่อท่านได้มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ระหว่างทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม หรือมีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์ แบบไหนดีกว่ากัน (มีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์)  แล้วปัจจุบันท่านเป็นเช่นไร (มีทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม)
หลายๆ ท่าน มักจะเรียนรู้ธรรมและเข้าใจว่า การเรียนรู้ธรรม ปฏิบัติธรรม ก็คือ การทำความดี เมื่อใดที่เราทำดีเรากำลังปฏิบัติธรรม บางครั้งทำดีแล้วไม่ได้ดีน้อยใจไหม (น้อยใจ)  การปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อละหรือเพื่อยึด (เพื่อละ)  การปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ดีเป็นละหรือเป็นยึด (ยึด)  อย่างนั้นแปลว่าท่านปฏิบัติธรรมถูกหรือปฏิบัติธรรมผิด เราปฏิบัติธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อหลงยึด ถ้าทำแล้วไม่ได้ดี น้อยใจแล้วเลิกทำ ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำดีเพื่อละ แต่เรากำลังทำดีเพื่อยึด ถูกหรือไม่ (ถูก)
รู้หรือไม่ว่าทำดีละชั่วเพื่ออะไร การปฏิบัติสอนให้เราทำความดีละความชั่ว แล้วเราทำดีไหม (ทำดี) แล้วชั่วเราละไหม (ละ, ไม่ละ)  คนปฏิบัติธรรม ถ้าเขาทำดีจริงๆ เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ตกเป็นทาสอบายมุข ไม่ผิดศีล แล้วท่านทำดีไหม (ทำดี)  ถ้าปฏิบัติธรรมต้องละชั่วบำเพ็ญดี
ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าชั่วไม่ละ บุญก็ยังสร้างเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วยังบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ถ้ามือหนึ่งท่านก็ทำดี แต่อีกมือหนึ่งท่าน
ก็ยังไม่ละชั่ว จะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงไหม (ไม่)
ถ้าความชั่วไม่ทำเลยนั่นเรียกว่ายอดบุญ ถ้าความชั่วไม่ปฏิบัติเลยนั่นเรียกว่าคนดี ถ้าความชั่วไม่กระทำเลยเรียกว่ามีธรรม การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือไม่กระทำผิดเลยเรียกว่ายอดบุญ ถ้ายังทำบุญแล้วทำชั่วด้วย เรียกว่าบุญที่อิงแอบไปด้วยบาปกรรม
ธรรมคือการปฏิบัติดีละชั่ว บำเพ็ญบุญ เมื่อใดที่ท่านไม่กระทำผิด เรียกว่ายอดบุญ เรียกว่าผู้มีธรรม แต่คนปัจจุบันเข้าใจความหมายการปฏิบัติธรรมผิด คือดีก็ทำ ไม่ดีก็ทำ แล้วท่านก็อดบ่นไม่ได้ว่า ทำแทบแย่ไม่เห็นได้ดีเลย จะได้ดีได้อย่างไร ในเมื่อความไม่ดีท่านยังไม่ละเลิก ถูกหรือไม่ (ถูก)  รากเหง้าแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความเวียนว่าย ความเจ็บปวดและทุกข์ทั้งมวล ล้วนหนีไม่พ้นการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง และอบายมุขทั้งหลาย ฉะนั้นทำดีแค่ไหนแต่ถ้าความชั่วไม่ละ ท่านก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์ยังคงนอนเนื่องอยู่ในใจที่ยังสร้างบุญและสร้างบาป ฉะนั้นถ้าอยากทำดีก็แค่ (ละชั่ว)  แล้วตอนนี้ท่านดีหรือยัง (ยัง)  ธรรมะสอนให้เราเกลียดทุกข์ หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วตอนนี้มีทุกข์ หนีหรือสู้ (สู้)  เวลาเจอคนไม่ดีสู้หรือยอม (ยอม)  การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นว่าเขาร้อนเขาเย็นอย่างไร แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหันกลับมาจัดการใจตัวเอง ย้อนมองส่องตนเองก่อน เหมือนเราบอกแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังเห็นเป็นทุกข์ พระพุทธะกลับเห็นเป็นธรรม สิ่งที่มนุษย์เห็นเป็นกิเลสมาร พระพุทธะกลับเห็นเป็นหนทางดับทุกข์
ชีวิตนี้มีอะไรครอบครองได้บ้าง (ไม่มี)  ชีวิตนี้สูญเสียไปกี่อย่างแล้ว (หลายอย่าง)  แล้วสิ่งที่สูญเสียทำท่านทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วยังอยากได้อีกไหม (ไม่อยากได้)  อย่างนั้นจะนำสิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์หรือจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของสรรพชีวิตในโลก แล้วเกิดการปลดปลงแล้วปล่อยวาง (ปลดปลงปล่อยวาง)  ตอบได้แต่เมื่อกลับไปเจอหน้าคนที่เกลียดแล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์)
มีอะไรในโลกบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนทุกครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมันเปลี่ยนเเล้วยึดได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อยึดไม่ได้แล้วควรจะทุกข์ไหม (ไม่ควร)  เมื่อไม่ทุกข์แล้วจะปลดปลงหรือแช่งชักหักกระดูกต่อไป (ปลดปลง)  จะให้เขามาเป็นกรรมกับเราหรือจะให้เขามาเป็นธรรมสอนใจเรา (ธรรมสอนใจ)  สิ่งที่เรียกว่าความจริงล้วนคือธรรม เเละธรรมนั้นสอนให้เรารู้ว่า ใดๆ ในโลกก็ยึดไม่ได้ ใดๆ ในโลกก็ปักใจเชื่อว่าอะไรเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่ได้ และใดๆ ในโลกก็ไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริง ธรรมสอนเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราเคยเห็นธรรมไหม เห็นแต่ทุกข์ ทำไมไม่ “เเปรพบทุกข์เป็นพบธรรม” ลองสู้ดูสักตั้ง ไม่ได้สู้กับใครแต่สู้กับตัวเอง วางได้ ปลงได้ เห็นแจ่มชัดได้ นั่นคือหนทางธรรม วางไม่ได้ ปลงไม่ได้ จบไม่ได้ นั่นคือหนทางทุกข์
อย่ามัวจมกับความไม่ดีของผู้อื่น จนลืมคุณค่าสิ่งที่ดีในตัวเขา อย่าเอาแต่จ้องจับผิดจนลืมมองคุณค่าดีๆ ที่เราอาจลืมเลือนและดูถูกดูแคลนไปก็เป็นได้ ในทุกข์ก็มีสุขได้เหมือนกัน และในทางทุกข์ก็มีทางพ้นทุกข์ได้เฉกเช่นเดียวกัน ขอเพียงอย่าดูถูกดูเบาปัญญาตัวเองก็พอ นั่งตรงนี้เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อย่ามัวจมกับความเมื่อยจนมองไม่เห็นคุณค่าต่างๆ ที่เราควรมี อย่ามัวจมอยู่กับความคิดจนลืมคุณค่าของการมานั่งฟังวันนี้นะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ท่านมาศึกษาปฏิบัติธรรม แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกคนทำงานไหม (ทำ)  ถ้าทำงานเพื่อเงินเรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ปฏิบัติธรรมคือแค่ทำบุญใส่บาตรแค่นั้นไหม (ไม่ใช่)  แต่คือการกระทำใดๆ ที่ทำให้เราสามารถนำธรรมมาปฏิบัติต่อกัน ทานแบบใดประเสริฐที่สุด ให้ธรรมะเป็นทานถูกไหม (ถูก)  ท่านสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ไหม (ได้)  ถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติงานเพื่อเงิน แต่ปฏิบัติงานเพื่อธรรม ท่านจะอยู่ที่ไหนท่านก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติด้วยความซื่อตรง รับผิดชอบเต็มกำลังในหนึ่งวันที่ทำงาน แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ทำเพียงแค่เงินเดือน ทำไปวันๆ ให้จบ แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความซื่อตรงที่สุด ดีที่สุด และจริงใจที่สุด ท่านก็กำลังปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบในหน้าที่ให้ดีที่สุด ซื่อตรงที่สุด เช่นนี้ก็เรียกว่าการให้ธรรมะต่อกัน แล้วปัจจุบันนี้เราให้ธรรมตอนไหน เราให้ตอนที่เขาน่าสงสารเราจึงปฏิบัติ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราไม่ปฏิบัติกับทุกคนและทุกขณะ เราไปเอาของเขามาก่อน ไปโกงเขามาก่อน ไปโกหกเขามาก่อน ไปเอาเปรียบเขามาก่อน แล้วเราค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
การปฏิบัติธรรมคือการทำทุกวันให้เป็นธรรม ซื่อตรงต่อหน้าที่ รับผิดชอบและจริงใจต่อภาระที่ตัวเองทำ นั่นแหละให้ธรรมเป็นทาน ถ้าทุกคนต่างรับผิดชอบ ซื่อตรง ไม่ทำผิดต่อกัน สังคมนี้จะมีคนเลวร้ายไหม (ไม่มี)  แต่มนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่ แก่งแย่งกันเต็มที่แล้วค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำทุกที่ ทุกคน ให้มีธรรม นี่คือหลักแท้ของการปฏิบัติธรรม วันนี้เราอาจจะพูดแล้วทำให้ท่านได้ยั้งคิดบ้างสักนิดก็ยังดี
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญอีกนะ รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี อย่าประพฤติผิด อย่าผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน รู้จักสงสารตัวเองก็ต้องรู้จักสงสารผู้อื่น รู้จักเห็นใจตัวเองก็ต้องรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้ว่าเรามีทุกข์ เขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ถ้าเข้าใจหัวอกคนมีทุกข์เหมือนกันจะไม่ทำใครให้ทุกข์ใจ ไม่มีสิ่งใดมงคลเท่ากับการปฏิบัติตนละบาปบำเพ็ญบุญ และปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คน มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญดีกว่าสร้างกรรม ใช่หรือไม่

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑     ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ฝึกใจเป็นกลายสวรรค์                              ประกันสว่างกว่านี้
ใช้กรรมชะตาเป็นปี                                      ฉันทาคติก็ระวังตัว
ดึงตัวภายในธุระ                          ตัวธรรมดาความพ้น
ฝึกใจฝึกกายอุบล                         จงกลสัทธรรมคิดตรอง
จำได้หมายรู้ลิขิต                         ความคิดชีวิตสมอง
ชาตินี้เป็นโอกาสทอง                     เพราะจะประลองปัญญา
อนาคตที่มองไม่เห็น                      จำเป็นกลายเป็นปัญหา
ทัศนคติคุมโชคชะตา                      อนิจจายึดติดทันใด
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม
การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ
หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น
ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกรรมบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทันรวดเดียว)
ทำนองเพลง : พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง : ทำตนสายกลาง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถรักษาใจเดิมได้ ศิษย์ก็ย่อมต้องพลาดและตกหล่นไปอีก คิดให้ดีเลือกว่าจะทำอะไร จะก้าวต้องก้าวให้ถึงที่สุด ก้าวให้ยิ่งใหญ่ให้คุ้มค่าที่เลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญ อย่าพลาดแล้วต้องกลับมาใช้กรรม ก้มหน้าพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ตัวเองผิด อย่าทำเช่นนั้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้น แม้อาจารย์อยู่ข้างๆ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ จงจำไว้เลือกแล้วจงเลือกให้ดีที่สุดเพราะเมื่อถึงวันที่เลือกไม่ได้ ศิษย์จะโทษใครไม่ได้ มีแต่ต้องก้มหน้ารับกรรมเท่านั้น ซึ่งอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ตอนนั้น จงอย่าทำผิด ประคองใจให้ดี เข้มแข็ง ช่วยเหลือผู้คนด้วยใจที่อุทิศเสียสละ ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ เมื่อว่างจากตัวตนแล้ว ใครด่าก็ไม่เจ็บ ใครทำอย่างไรก็ไม่ทุกข์ เพราะตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีตัวตนแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยึดตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เจ็บทุกขณะ ไม่ว่าเจออะไรห้ามใจร้อนวู่วาม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
ทานข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมะอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มแล้วก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วรอย่อยอย่างเดียว ทำไมไม่มีใครตอบอาจารย์ว่าอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  ไม่อิ่มอย่างนี้ก็แปลว่ายังโลภอยู่
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวว่า “ไหว้พระพุทธะพันรูป ไม่สู้ไหว้พระพุทธะไร้ใจ” ถ้าใครสามารถตีธรรมข้อนี้ได้แตก ศิษย์จะอยู่บนโลกอย่างผู้พ้นทุกข์ มีใครตอบได้ไหม
มนุษย์ในแต่ละวันชอบคิดนินทา คิดกังวล หรือไม่ก็คิดไปว่าใครด่าเราบ้าง เมื่อเราเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เวลาที่เจอข้อธรรมแปลกๆ เราลองหย่อนเมล็ดธรรมลงไปในเนื้อนาบุญแห่งจิตใจดูบ้าง เผื่อว่าเนื้อนาบุญนี้จะตอบคำถามด้วยปัญญาอันตื่นรู้ เอาเวลาที่คิดฟุ้งซ่านมาเป็นเวลาหาธรรมะ และหย่อนลงในจิตใจแล้วเกิดความตื่นรู้ที่นำพาให้พ้นทุกข์ เอาเวลาที่คิดกลัวกังวลในภายหน้า เปลี่ยนเป็นเอาข้อธรรมมาคิดแล้วทำให้เราแจ่มแจ้งในวันนี้ แล้วเข้าใจอนาคต เหมือนที่เรียกว่า ถ้าเข้าใจชีวิต รู้จักชีวิตการเรียนรู้ธรรมก็ไม่ยาก ถ้าเข้าใจธรรมรู้จักธรรม การเข้าใจชีวิตก็ไม่ยากเช่นกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายึดตั้งแต่หัวจรดเท้า เท่ากับเราก็ทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าง ใครจะทำให้เราทุกข์ ก็ไม่มี ใครจะว่าเราให้เจ็บ แท้จริงก็ว่าง เมื่อเราเห็นตัวว่าง แล้วใครกำลังทำอะไรกับใคร มันไม่มี มีแต่ธรรมที่เคลื่อนคล้อยไป ศิษย์ลองมองจนถึงที่สุด มองตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนมี เหมือนอยู่ เหมือนใช่ แต่บางครั้งก็ไม่มี ไม่ใช่ ไม่อยู่ ฉะนั้นไหว้พระพุทธะร้อยรูป ก็ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ
มีตัวตน ยึดตัวตน โดนตรงไหนก็เจ็บ แม้ไม่โดนก็เจ็บเพราะยึดชื่อ ยึดคำว่าตัวตน แต่เมื่อไรศิษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งสัทธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าธรรมแท้ที่อยู่ในตัวเรานั้น มีแก่นอันหนึ่งที่เรียกว่า ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ความว่าง ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วเราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่มี)  มีแต่ความหลงผิด ที่สร้างเป็นตัวตนให้เราทุกข์และเจ็บช้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ตีศิษย์แล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  ก็ถ้ายึดมันก็เจ็บ ใช่ไหม ถ้าอาจารย์ตีอีกๆ (ไม่เจ็บเพราะไม่ยึด)  ไม่ใช่หรอกศิษย์ หลังจากอาจารย์ตีเสร็จมันจบแล้ว ถ้ามันว่างมันก็ไม่มี แต่ถ้าศิษย์เอาสิ่งที่มันจบแล้วมาเกี่ยวและขังตัวเอง ว่าเจ็บ มันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทั้งที่ชีวิตเรามีแต่ปัจจุบัน แต่มนุษย์ชอบคิดอดีตแล้วลากมาเจ็บปวดในปัจจุบันและอนาคต ถ้าโดนตีแล้วจบ ก็พบธรรมและสงบ เพราะธรรมคือความสงบ แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นเกี่ยวกรรม แล้วพอเกี่ยวกรรมเสร็จก็ต่อด้วยการจองเวรจองกรรม ฉะนั้น “กราบไหว้พระพุทธะร้อยรูป ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ”
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม เศร้าไหม ที่เป็นแบบนี้เพราะเรายึดไม่ปล่อย เราหวงไม่วาง ทั้งที่จริงๆ แล้วมีอะไรที่เป็นของเรา (ไม่มี)  เหมือนจะได้เหมือนจะมี แต่ถึงเวลาก็ไม่มี เวลาศิษย์สอนลูกว่า “อย่าเล่นกับไฟ เดี๋ยวมันไหม้มือ” ห้ามเท่าไรก็ยังอยากเล่น วิธีของอาจารย์คือให้เล่นไปเลย แต่เราต้องอยู่ควบคุมด้วย
ถ้าเรายึดติดตัวตนสังขารทุกอย่างที่เป็นตัวเรา ไม่ว่าใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาทำอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราก็จะทุกข์กับทุกสิ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงว่าตัวตนที่แท้จริง ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถึงที่สุดแล้วว่างจากตัวตนที่แท้จริง เราจะทุกข์เพราะอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์สามารถทำทุกสิ่งให้จบภายในขณะนี้ ก็จะไม่เกิดอดีตและอนาคต จะไม่เกิดสามกาล เพราะจบลงได้ในตอนนี้ คำว่าตัวตนก่อเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่สามารถจบ ไม่สามารถวางในขณะนี้ได้จนเกิดเป็นอัตตาขังตัวตน ก่อเกิดเป็นชะตากรรม ฉะนั้นเรียนรู้เข้าใจธรรมมีหรือจะไม่เข้าใจชีวิต แต่น้อยคนนักที่สนใจธรรมะ รักชีวิตแต่ไม่สนใจธรรม ทั้งที่จริงแล้วธรรมก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นแก่นแท้ของใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)
ความทุกข์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ารัก อาจารย์พูดเสมอเพราะทุกข์จึงรู้จักปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นก็จะยึดติดไม่จบสิ้น เพราะทุกข์จากการยืนจึงรู้จักความสุขของการนั่ง ฉะนั้นความทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เพราะมีทุกข์ทำให้เราเจ็บปวด เราจึงต้องรู้จักดำรงชีวิตให้เข้มแข็ง เพราะมีทุกข์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความอ่อนแอ เราจึงรู้ว่าชีวิตตอนนี้ต้องรักษาและดูแลใจ ความทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า
อาจารย์จะบอกอะไรอย่างหนึ่งนะ อย่าทำให้ใครทุกข์ เพราะเมื่อไรที่ศิษย์ทำใครคนใดทุกข์ คนที่ทุกข์จะย้อนกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ยิ่งกว่า อย่าทำให้ใครเจ็บ เพราะคนที่ศิษย์ทำให้เขาเจ็บ เขาจะทำให้ศิษย์เจ็บจนลืมไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอใครไม่ดีอย่าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น แต่จงเห็นใจและให้โอกาส อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติม เพราะว่าคนที่ศิษย์ทำลายเขา เขาจะมาป่วนให้เราไม่มีวันมีความสุข ฉะนั้นเวลาเราเจอคนมีความทุกข์ เราจึงต้องรีบช่วยเหลือ เวลาเราเจอคนที่มีความทุกข์ ศิษย์จะช่วยเขาดับทุกข์เป็นครั้งๆ หรือจะสอนให้เขารู้วิธีดับทุกข์ อย่างไหนดีกว่ากัน (สอนให้รู้วิธีดับทุกข์)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์เจอคนประเภทหนึ่ง ที่ฟ้าทำอะไรเขาไม่ได้ และอาจารย์ก็อยากเอาชะตาของคนๆ นี้ มาเล่าให้ศิษย์ฟัง แม้ความทุกข์หรือนรกก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ศิษย์สนใจไหม (สนใจ)  คนประเภทนี้เป็นคนที่ แม้ชะตาทำให้เขาอดอยาก เขาก็ไม่อด แม้ชะตาจะทำให้เขาโดดเดี่ยว เขาก็ไม่เคยโดดเดี่ยว แม้ชะตาจะทำให้เขาสูญเสีย เขาก็ไม่เคยสูญเสีย สนใจชะตากรรมคนนี้ไหมศิษย์ (สนใจ)  คนนี้ๆ ตกนรกไม่กลัว กล้าที่จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ไม่เอา สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ทุกข์ที่สุด เขายังกล้าแบกรับ เขายังกล้ายืนหยัด ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะผ่านไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดเขาก็ไม่รับ เพราะเขาไม่มีตัวตนให้ยึดถือแล้ว
ฉะนั้นจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อะไรก็ไม่หวาดหวั่นไม่หวั่นกลัว ถ้าศิษย์อยากรู้ชะตาคนนี้ ศิษย์ต้องกล้าไปนรก เพราะถ้านรกศิษย์ผ่านได้ สวรรค์ยิ่งกว่าสวรรค์เราก็ไปได้ สวรรค์เขาไม่เอาเพราะเขาอยากเข้าถึงธรรมที่เรียกว่าแม้สวรรค์เขาก็ไม่ยึดถือ แต่เขาขอกลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ทำให้เขาเป็นทุกสิ่ง ไม่ต้องเป็นอะไรเลยที่แท้จริง ถ้าวันหนึ่งศิษย์รู้จักคำว่านรกที่อยู่ในใจ ถ้าต้องเจอทุกข์ขอให้มุ่งมั่นรักษาความดีและก้มหน้ายินดีชดใช้มันจนจบ แต่ถ้าเจอนรกแล้วศิษย์บอกว่า “ทำไมๆ “ มันจะไม่มีวันจบและนรกจะยิ่งเผาไหม้ใจศิษย์ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ต้องเจอกับนรกและความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตศิษย์จงบอกว่า “ขอบคุณๆ” และนรกจะจบได้ คำว่านรกก็คือ ผิดก็กล้ายอมรับ ถูกก็ไม่ยึดมั่นแบ่งปันให้ผู้คน แล้วใครจะกดขี่ข่มเหงเราได้ ความทุกข์ลืมไปบ้างเถอะ จำมันก็มีแต่เจ็บ ยึดมันก็มีแต่ทุกข์
ศิษย์เอยรู้ไหม คนที่ฟ้าก็ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของคนๆ นั้นได้ ก็คือ คนที่แม้ฟ้าจะเล่นตลกให้เขาอับจน ให้เขาโดดเดี่ยว ให้เขาสูญเสีย ให้เขาทุกข์ แต่เขาก็จะไม่อับจน ไม่สูญเสีย และไม่ทุกข์ แล้วศิษย์ทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ถามนะลึกๆ แล้วศิษย์เหงาไหม (ไม่เหงา)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  คนที่มีคู่ก็ตอบได้สิว่าไม่เบื่อ เพราะไม่มีเวลามานั่งเหงา แต่คนที่ไม่มีคู่ก็จะรู้สึกว่าเหงาจังเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเพียงศิษย์สามารถอยู่อย่างเข้มแข็งได้ ความเหงาก็มาเล่นตลกกับศิษย์ไม่ได้ ใครที่ไหนก็มาทำให้ศิษย์โดดเดี่ยวไม่ได้ ศิษย์เหงาเพราะศิษย์รอให้ใครมารัก รอเมื่อไรเนื้อคู่จะมาหนอ เมื่อไรจะมีคนมารักหนอ ศิษย์เป็นอย่างนี้แทบทุกคน การที่ศิษย์เอาแต่รอ ก็เลยได้แต่รอ เราก็เลยกลายเป็นคนที่ใจห่อเหี่ยว เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครมารักเราเลย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีรักที่แท้จริง รักทุกคน รักทุกสิ่ง รักด้วยความจริง รักด้วยใจที่ให้ อย่างนี้จะเหงาไหม โดดเดี่ยวไหม เพื่อนไม่จริงใจ เราจริงใจ เพื่อนไม่ซื่อตรงเราซื่อตรง คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนจะไม่มีใครรักหรือ จริงไหม (จริง) อย่ามัวแต่รอ คนที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต คือคนไม่รอฟ้า สร้างทุกอย่างเองกับมือ ไม่ต้องรอให้ใครมารักแต่เราจะรักทุกคน ไม่ต้องรอใครจริงใจกับเราแต่เราจะจริงใจกับทุกคน ไม่ต้องรอใครเมตตากับเราแต่เราจะเมตตากับทุกคน ดูสิใครจะไม่รักบ้าง จริงไหม (จริง)
คนที่สามารถยึดกุมชะตาได้ ฟ้าจะมาเล่นตลกกับเขาไม่ได้ ฟ้าจะทำให้โดดเดี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อเขาจริงใจ รักทุกคน และเมื่อจริงใจรักแล้วจะมีเวลาจับผิดใครไหม จะมีเวลาตำหนิใครไหม แต่คนที่ไม่เคยจริงใจกับใคร เห็นคนรักกันก็คิดไปว่าคงไปกันไม่รอด เดี๋ยวก็เลิกคบกัน พอเวลาหัวใจว่างไม่เคยจริงใจกับใคร แทนที่จะสร้างบุญแก่กันกลายเป็นแอบแช่งชักกันอีก และก็มีเวลาจับผิดกัน สุดท้ายก็กลับมาอยู่กับตัวเองพร้อมกับความรู้สึกเหงา เดียวดาย
ฉะนั้นถ้าอยากกุมชะตาชีวิตให้อยู่ รักทุกคน เห็นใครก็รัก และเป็นความรักที่แท้จริง เราจะมีเวลาไปจับผิดใครไหม เราจะมีเวลาไปต่อว่าใครไหม มีแต่พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด ฉันต้องจริงใจให้มากขึ้น ฉันต้องรักคนรอบข้างยิ่งขึ้น แล้วคนแบบนี้เหงาไหม (ไม่เหงา)  จะมีเวลาเดียวดาย อาดูร สิ้นสูญแล้วทุกสิ่งไหม ถ้าศิษย์รู้จักคุมชะตาชีวิตให้เป็น ชีวิตนี้จะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย ทั่วทั้งสี่ทิศก็เป็นมิตร เป็นญาติ เป็นคนรักเรา
ศิษย์กลัวสูญเสียไหม (กลัว, ไม่กลัว)  เสียมาเยอะแล้ว เจ็บจนจำแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีเกิดต้องมีดับ เมื่อเจอเรื่องที่สูญเสีย ศิษย์จงอย่าเสียศูนย์ มีใครบ้างไม่สูญเสีย (ไม่มี)  เมื่อคนอื่นสูญเสียก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมเมื่อตัวเองสูญเสียถึงรู้สึกว่าไม่ธรรมดา ทั้งที่เรารู้ว่าความสูญเสียล้วนเป็นสิ่งธรรมดา ตั้งแต่เล็กจนโตมีใครไม่เสียอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้การได้มาล้วนเป็นเรื่องที่ต้องเสียไปทั้งสิ้น มีอะไรบ้างที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี)  แล้วมีอะไรบ้างที่เคยเสียไปแล้วได้กลับมา (ไม่มี)  คนที่ถึงเวลาต้องสูญเสียเขาจะจำไว้ว่าเขาจะไม่เสียศูนย์ ถึงเวลาที่ฟ้าจะให้เขาอับจน เขาจะไม่จนปัญญาและไม่จนใจ ศิษย์จำไว้ว่าทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่าง ฉะนั้นเราเคยเสียไหม (ไม่เสีย)  เรามาจากความว่างเเละกลับสู่ความว่าง ฉะนั้นฟ้าเเค่ให้เรากลับมายืนที่เดิม ที่ๆ เราเคยไม่มี ในความเป็นจริงของทุกชีวิตเเม้จะมีเเค่ไหนถึงที่สุดก็ต้องไม่มี เเล้วจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ถ้ากลัวการสูญเสียก็สู้รักษาโอกาสเมื่อยังมีเเละอยู่กับทุกๆ สิ่งให้มีค่าที่สุด เมื่อถึงเวลาต้องจากกันจะได้ไม่เสียใจ รักเขาที่สุดก็ดูเเลเขาที่สุดเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงวันหนึ่งต้องจากลากันก็ไม่เสียใจ เมื่อวันหนึ่งเราต้องจากกับเขาเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)
กลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถึงแม้ว่าชะตาจะทำให้เราต้องเจ็บ ถึงแม้ชะตาจะทำให้เราต้องทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ความเจ็บเป็นเรื่องน่ารัก ถ้าไม่เจ็บศิษย์จะรู้หรือว่าตอนนี้ร่างกายศิษย์ผิดปกติ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่อยู่แล้วประพฤติผิด ขาดศีลขาดธรรม ขาดความเป็นคน มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายดีกว่า จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความดีเหมือนน้ำ ตายเพราะน้ำ ตายเพราะความดี ยังประเสริฐกว่าเกิดเป็นคนแล้วตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ตายเพราะไฟกิเลส จะทำให้ศิษย์แม้ตายแล้ว ไม่ว่ากี่ภพ กี่ชาติ ศิษย์ก็ต้องกลับไปชดใช้กรรมของกิเลสที่ศิษย์สร้าง
ถ้าศิษย์บอกว่าไม่กลัวตายเพราะศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าศิษย์บอกว่ากลัวตาย แปลว่าศิษย์ยัง (ไม่ทำความดี)  เมื่อเข้าใจว่า ไม่เหงา ไม่กลัวสูญเสีย ไม่กลัวตาย แล้วทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ฉะนั้นพอรอดหรือยัง (รอด)  แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะรอดแต่ไปไม่รอดก็คือ มันอดใจไม่ได้ สิ่งดีก็รู้ แต่สิ่งไม่ดีก็ยังหวั่นไหว ใช่ไหม เมื่อเรายังไม่สามารถห้ามใจเราได้ ถ้าเราเลือกทางที่ผิด ชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตทางที่ผิดก็คือการตกเป็นทาสของความหลงผิด ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์จงรู้ว่า ทุกข์มีสองอย่าง ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความเป็นจริง คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้าง โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล เราไม่สร้างเหตุ เราก็ไม่ต้องมารับผล ถ้าศิษย์สร้างเหตุแห่งกรรมชั่ว ศิษย์ก็ต้องรับผลกรรมชั่ว
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีโอกาสเลือก ถ้าศิษย์ไม่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งที่ดีงาม วันหนึ่งเมื่อกรรมตกผล ศิษย์จะไม่สามารถเลือกอะไรได้นอกจากใช้กรรม
ฉะนั้นถ้ามีโอกาสเลือกระหว่างดีกับไม่ดี ศิษย์เลือกอะไร (ดี)  ระหว่างธรรมะกับอธรรม ศิษย์เลือกอะไร (ธรรมะ)  ถึงเวลาจริงๆ อธรรมล้วนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เทียบง่ายๆ เขาด่ามา ลองเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาก่อน อย่าเพิ่งปล่อย ดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงไหม แล้วเราเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหม ถ้าเป็นจริงให้รีบขอโทษ เพราะตอนนี้เขากำลังทุกข์เพราะเรา แล้วเขาเจ็บมากๆ จนทนไม่ไหว ต้องระเบิดออกมาให้ได้รับรู้ เราไม่ต้องยิ้ม ทำหน้าเศร้าไว้แล้วบอกขอโทษ เพราะถ้ายิ่งยิ้มจะเหมือนยิ่งยั่วเขา เหมือนไม่มีความสำนึก ฉะนั้นเมื่อเขาด่ามา ขอโทษจากใจ รู้สึกผิดจากใจเพราะมันเป็นโอกาสที่ดีที่ศิษย์จะได้ยอมรับกรรม ยอมรับสิ่งที่ศิษย์กระทำ เหมือนที่อาจารย์บอกกับศิษย์ว่า เมื่อเจอนรก ศิษย์อย่ากลัวนรก แต่จงยินดีที่จะชดใช้แล้วกรรมมันจะได้จบ คนตั้งเยอะแยะไม่ด่า มาด่าเรา แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกรรมกันมา คนตั้งเยอะไม่เกลียด แต่เกลียดเรา คนตั้งเยอะแยะไม่ไปใช้แต่มาใช้เรา “คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก” ธรรมะสอนให้เราเลือกทางสายกลาง ถ้าพ้นจากความคิดดีคิดชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกอีกอย่างว่าธรรมแท้แห่งความสงบ ธรรมที่ทำให้เราจบ ว่าง สงบ เย็น
สังขารถูกสร้างขึ้นมาจากพ่อและแม่ แต่ความเป็นตัวตนของเราถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สิ่งที่โกรธ สิ่งที่พอใจ กิเลสก็คือความคิดที่กำลังนึกคิดของตัวตน เมื่อไรที่มนุษย์ว่างจากตัวตนก็จะว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าเมื่อไรศิษย์โดนด่าและว่างจากความคิด สงบ จบ ขอโทษ ธรรมะอยู่ตรงนี้เอง สงบ จบ ก็คือธรรม ถ้าไม่ยอมจบ ไม่ยอมสงบก็ก่อเกิดเป็นกรรมและก็เรียกว่าทุกข์
แอปเปิลผลนี้กินแล้วมีความสุขที่สุดแล้วก็ทุกข์ที่สุด จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  แล้วชีวิตศิษย์ยึดหรือไม่ยึด (ไม่ยึด)  เรายึดเราเอาทั้งนั้น ในเมื่อเอามาแล้วก็เลยหนีไม่พ้นกรรม เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ศิษย์ว่างจากความคิดปรุงแต่ง ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ ว่างจากความคิดแบ่งแยกชอบชัง ศิษย์จะพบกับความว่างบริสุทธิ์ ว่างจากความคิดปรุงแต่งยึดติดรูปลักษณ์จำได้หมายรู้ ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้อันเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่าธรรม เมื่อโดนกระทบเเล้วพ้นจากการคิดเเละการปรุงเเต่งจะกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่าง ตัวตนไม่มี เมื่อตัวตนไม่มีศิษย์จะเป็นอิสระจากภาวะคู่ ไม่มีอุปาทาน ไม่มีกิเลสเเละพ้นจากเวรกรรม เหมือนไม่ยากแต่ทำยาก วิธีเเก้ก็คือให้มีสติ สติจะเป็นกำลังที่ดีของปัญญาเเละของจิตใจ มีสติรู้เท่าทันต่อเนื่องไม่ขาดสายจะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ภัยเเละพ้นอบายภูมิทั้งหลาย เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบแล้วยึดติดดีก็ขึ้นสวรรค์ ยึดติดชั่วก็ตกนรก แต่ถ้าพ้นจากการยึดติดดีหรือชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกว่าธรรมะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง: พูดไม่ค่อยเก่ง ชื่อเพลง: ทำตนสายกลาง)
ศิษย์ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ในใจกันเยอะแยะไปหมด ถ้าสมมติเราเจอเรื่องอะไร ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อารมณ์ก่อเกิดขึ้นมาทันที พร้อมสร้างกรรมขึ้น แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร รีบวางให้ไวที่สุดหรือระเบิดอารมณ์ ศิษย์จำไว้นะ เขาทำศิษย์ ศิษย์ให้อภัย ศิษย์จบได้ แต่เวลาศิษย์ทำเขา กรวดน้ำก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว บางทีเขาไม่ยอมจบ และไม่ยอมลืมง่ายๆ ในโลกนี้มีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา ถ้าเขาทำเรา แล้วเราก็ต้องรู้จัก (ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธ)  แต่สำหรับอาจารย์ถ้าเรายังมีคำว่าให้อภัยแปลว่า เรายังทำใจไม่ได้ ถ้ามันจบเป็นกลาง ศิษย์ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ให้อภัย มันก็แค่นั้นเท่านั้น ถ้าศิษย์ยังต้องพยายามใช้ธรรมะข่มใจ นั่นแปลว่าเรายังทำใจไม่ได้ เรายังยึดติดความคิดอยู่
ท่ามกลางความสับสนขอให้รักษาจิตให้มีสติ เวลาที่เกิดเรื่องราวอะไรก็ตาม ศิษย์จะจัดการเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยการตั้งสติ เมื่อตั้งสติแล้วเรายอมจบยอมวางได้ไหม เมื่อไรที่ต้องคิดให้อภัย แปลว่าศิษย์ยังไม่ยอมจบ และเมื่อไรที่ศิษย์ยังจำได้ไม่ลืม แปลว่าศิษย์ยังผูกใจเจ็บ จบก็แปลว่าจบตรงนั้น เมื่อศิษย์ไม่ยอมจบ ยังจำ มันก็ก่อเกิดเป็นกรรม ที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว เมื่อทำกรรมชั่วมากๆ ศิษย์ก็พยายามทำกรรมดีชดใช้ ศิษย์ด่าเขาไปแล้ว แต่ไปสวดมนต์ แผ่บุญกุศล กรวดน้ำให้ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  เขาจะลืมไหม (ไม่ลืม)
เรามาตัวเปล่า มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว สามีกลับด้วยไหม ภรรยากลับด้วยไหม ลูกกลับด้วยไหม (ไม่กลับ)  จริงไหม (จริง)  คำว่าตัวตนของเราเกิดขึ้นจากความคิดเเละความเข้าใจ ความโกรธ ความรักก็เพราะนึกคิด กิเลสทั้งหลายที่มาจากตัวเรา ก็เพราะเราคิดนึกเเล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ชอบ สิ่งนี้ไม่ชอบ ศิษย์จำไว้ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ารัก ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าเกลียด เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่ชอบ ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าชัง ทำดีที่สุดเเต่ไม่ได้ยึดติด เรารักเขาแต่เขาจะรักหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว เขาต้องรักเราตอบนั่นเเปลว่า เรากำลังสร้างกรรมที่เรียกว่ากรรมร่วม เเต่ถ้าเป็นกรรมด้านเดียวคือทำกรรมแล้วจบไม่เอาอีก จะมีผลตอบโต้ไหม (ไม่มี)  พระพุทธะจึงสอนว่า “การปฏิบัติธรรมเพื่อวาง ไม่ใช่เพื่อยึดถือ” ถ้าศิษย์ยังละกรรมไม่ได้ ยังอดที่จะยึดไม่ได้ว่าคนนี้รัก คนนี้เกลียด คนนี้ชม คนนี้ด่า ศิษย์จึงหนีไม่พ้นกรรมดีเเละกรรมชั่ว เเต่ถ้าเมื่อไรเข้าใจความเป็นจริงแล้วปรับเปลี่ยนความคิดชีวิตศิษย์ก็เปลี่ยน ถูกไหม (ถูก)  ความรู้ ความเข้าใจก่อเกิดเป็นความคิด ความคิดก่อเกิดเป็นนิสัย นิสัยก่อเกิดเป็นความประพฤติเเละความประพฤติก่อเกิดเป็นชะตากรรมที่เรียกว่าเกิดมาใช้กรรม ถ้าเราทำอะไรตามความคิดก็คือเราทำอะไรตามกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมดีเเละกรรมชั่ว ถ้าเราจะเปลี่ยนชะตากรรมเราก็ต้องเปลี่ยนที่ความรู้ ความเข้าใจ เพราะมันมาก่อนความคิด ศิษย์จะรู้เเละเข้าใจจึงมาเป็นความคิดมีใครดีที่สุด มีใครชมเราเเละไม่ด่าเราเลย มีใครบ้างที่สมบูรณ์แบบ (ไม่มี)  เมื่อไม่มีแล้วใครที่น่ารัก ใครที่น่าเกลียด (ไม่มี)  ใครที่เราต้องโมโห ต้องโกรธ ต้องหลง (ไม่มี)  แล้วจบไหม (จบ)  เเล้วเราต้องพยายามเอาอะไรไปข่มความโลภ ความโกรธ ความหลงไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นก็ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจ ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจในธรรม ซึ่งเป็นรากความเป็นจริงของทุกชีวิต
เมื่อเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง หาแก่นแท้ไม่ได้ เราจะปรับเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนนิสัย เราจะเปลี่ยนชะตากรรม อะไรในโลกก็ไม่น่ายึด ไม่มีอะไรที่ยึดได้เลย เพราะเป็นแก่นของทุกชีวิตที่เรียกว่า
สัจธรรม คนพบธรรมก็ค้นพบทางพ้นทุกข์ แต่ถ้ามองไม่เห็นธรรมก็ทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  เพราะทุกชีวิตตายไปก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ศิษย์จะโลภ ศิษย์จะโกรธ ศิษย์จะหลงอะไร ความไม่เที่ยงของโลกทำให้เราไม่อยากโลภ ความทุกข์ของโลก ทำให้เราไม่อยากโกรธ ความไม่มีตัวตนในโลกทำให้เราไม่อยากหลง ฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคือทางดับโลภ โกรธ หลง ได้ด้วยการรู้แจ้งในใจตนที่เรียกว่าสัจธรรม เราอยู่บนโลกอย่าอยู่แบบคนมีกรรมเลย อยู่แบบคนเกิดมาสิ้นกรรมไม่ดีกว่าหรือ
ศิษย์ทำบุญเยอะและหวังว่าจะไปรับผลบุญ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าขอแปลว่ายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับผลบุญ แต่ถ้าศีลห้าไม่ครบศิษย์ไม่สามารถเกิดเป็นคนได้ ใครที่ทำบุญแล้วขอว่า “ขอให้สบายๆ” ระวังจะเกิดมาแล้วสบายจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดเป็นคน ไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถูกต้องในทำนองคลองธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ต่อผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อความเป็นคนต้องสมบูรณ์ก่อน ถ้าความเป็นคนไม่สมบูรณ์ ไม่ประเสริฐอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ต้องปฏิบัติความเป็นคนให้ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องการปฏิบัติต่อผู้คนศิษย์ก็จะสิ้นทุกข์ได้ ระหว่างขอเขาจุดไฟไม่สู้สอนวิธีจุดไฟ สอนวิธีดับทุกข์ไม่สู้ศิษย์รู้จักดับทุกข์ด้วยตนเอง ขอแค่เพียงมีสติ ระมัดระวังตัวเองให้มากๆ
“อะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์” (กิเลส)  กิเลสเป็นความนึกคิดแห่งตัวตน เมื่อว่างจากตัวตนกิเลสก็ไม่มี
(ความยึดมั่นยึดติด)  ที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม แล้วตอนนี้ล่ะ (ยังยึดอยู่)  เมื่อถึงเวลาก็ต้องวางนะศิษย์  รู้จักวางเสียก่อน เรียนรู้แล้วต้องเอาไปฝึกจิต
(ยึดติดในความดีและความไม่ดี)  ต้นเหตุและรากเหง้าของความทุกข์มาจากอะไรรู้ไหม มาจากการไม่ยอมรับความไม่มีแล้วอยากจะมี จริงไหม
(ความทุกข์ความอยาก)  อยากมากก็ทุกข์มาก เกิดมากี่ทีก็ทุกข์ทุกที ฉะนั้นถ้ารู้จักพอมันก็ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ รู้จักสุขกับสิ่งที่มี
(ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ อาจารย์อยากให้ศิษย์ รู้ว่าในโลกนี้ไม่ว่าอยู่กับสิ่งที่รักหรือต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมดาก็เข้าใจชีวิต
(ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกวิธีแก้โลภโกรธหลงไปหรือยัง (ความรู้ความเข้าใจ) ถ้าเรารู้เข้าใจความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เราก็จะไม่มีอะไรในโลกที่น่าโลภน่าโกรธน่าหลง จริงไหม
(ไม่ยอมรับความจริง)  ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ยากรับ แต่ก็ต้องเรียนรู้ เพราะความจริงล้วนเป็นธรรมดา ใช่ไหม
(การยึดติดอยู่กับความสุข)  การนั่งสมาธิบางทีทำให้เรามีสุข แต่ติดอยู่กับความสุขจะทำให้เราไม่พ้น ใช่ไหม เพราะธรรมแท้คือความว่าง ว่างคือสงบเย็น ไม่มีอะไร เหมือนเรานั่งให้สงบไม่จำเป็นจะต้องมีอะไร เพราะการพยายามมี ก็คือการละรูปลักษณ์หนึ่งเพื่อไปยึดรูปลักษณ์อีกหนึ่งนั้นก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่
ฉะนั้นต้องฝึกให้มีสติทุกขณะที่เรารู้ ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ให้ขาดหาย ถ้าเวลาความคิดมา ไม่ต้องไปกดห้ามความคิด แค่อยู่กับความคิดนั้นให้ได้ แต่ไม่ให้ค่า ไม่สนใจ แล้วความคิดเหล่านั้นจะจางหายไป
(การไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ได้ตรงนี้แต่ไปคิดตรงนั้น ฉะนั้นต่อไปตรงนี้ก็ดีแล้ว แล้วความสุขจะอยู่ในใจ จริงไหม (จริง)
สังขารคือความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ใจพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นสังขารเจ็บก็รักษา ถ้าทุกข์ที่รักษาไม่หายจงพิจารณายอมรับว่าเป็นการชดใช้กรรม อย่าทำผิดบาปอีก
(ความรัก รักมากก็ทุกข์มาก)  ต่อไปจะรักใครรักได้ แต่ไม่หวังผลตอบแทน รักแบบไม่คาดหวังผล รักในสิ่งที่เขาเป็น และยินดีรับให้ได้เมื่อเขาเป็นแบบไหน รักให้เป็นแล้วจะไม่ทุกข์ ยินดีรับได้ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน ไม่เช่นนั้นรักใครก็เป็นทุกข์ อย่าเอาอดีตมาทำให้ปัจจุบันทุกข์หรือจะให้แล้วก็ผ่านเลยไป จะได้ชดใช้กันให้หมดสักที (อยากได้ อยากมี อยากเป็น)  เพราะไม่พอจึงเป็นทุกข์ แค่นี้ดีแล้ว แค่นี้สุขแล้ว ได้ไม่ได้ไม่เป็นไร
(การยึดในอัตตาเมื่อไม่ได้ดั่งใจ)  จริง ๆ อัตตาคือรากเหง้าแห่งทุกข์ทั้งมวล ถ้าศิษย์แก้ที่ต้นเหตุได้ ศิษย์ก็ดับทุกข์ทั้งมวลได้ แล้วอัตตาจริง ๆ มีไหม แล้วอัตตาใดที่ใหญ่ที่สุด อารมณ์ไหนมาแรงอารมณ์นั้นจะครอบงำตัวเรา ทั้งที่จริงแล้วอารมณ์นั้นไม่ใช่ตัวตนเรา
เราจะสามารถดับความโกรธได้ ก็ต่อเมื่อเรามองเห็นตามความเป็นจริงว่า แท้จริงสิ่งที่เราโกรธก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ (ความไม่รู้ทำให้ไม่เข้าใจความทุกข์)  จริงๆ แล้วทุกข์มาจากไหนศิษย์ก็รู้ ดับทุกข์ที่ไหนศิษย์ก็รู้ แต่ศิษย์ไม่เคยคิดที่จะรู้จริงๆ สักที รู้แต่ไม่ทำก็เหมือนไม่รู้ อย่าบอกว่าศิษย์ไม่รู้ รู้ไหมว่ากำลังคิดไม่ดี แต่ก็ยังไม่หยุดคิด อย่าแค่รู้แต่จงรู้แล้วกระจ่างแจ้ง
จนสามารถเห็นแล้วไม่ต้องทำอะไร มันจบได้เลย เห็นมันเที่ยงไหม มันทุกข์ไหม ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์จะโกรธทำไม ถ้ารู้ว่าไม่เที่ยงจะรักทำไม ถ้ารู้ว่าหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้จะหลงอะไร  (ความทุกข์เกิดจากการยึดติดในอำนาจลาภยศสรรเสริญ)  ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า แม้แต่อำนาจสูงสุดก็ยังต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แล้วควรหรือที่จะไปยึด
(ความคาดหวัง)  ตัวศิษย์ทุกคนในที่นี้โดนคนอื่นด่า ที่ทุกข์เพราะว่าคาดหวังว่าเขาไม่น่าด่าเรา เขาแค่พูดอะไรธรรมดาไม่ได้ด่า แต่ศิษย์ก็ทุกข์เพราะคิดในใจว่าทำไมเขาพูดกับเราแบบนี้ ฉะนั้นความคาดหวังคือสิ่งที่น่ากลัว เรายึดติดจำได้หมายรู้ว่าถ้าเป็นเพื่อนฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าคุยกับอาจารย์ฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าเป็นแฟนฉันต้องพูดหวานแบบนี้ก็เลยทุกข์
(การให้แล้วไม่ยึด)  นั่นเพราะศิษย์ไม่ได้ละ ศิษย์ให้แล้วศิษย์ยึด เราบำเพ็ญธรรมการให้เป็นสิ่งที่ดี การให้เป็นรากเหง้าของมูลเหตุของการสร้างคุณธรรมเเละกุศลธรรมทั้งมวล ให้ได้เราก็สร้างกุศลได้ ถ้าให้ไม่ได้เราก็สร้างอะไรไม่ได้ เเล้วเราก็ดีไม่ได้ เเต่จงให้เพื่อละ ไม่ใช่ให้เพื่อยึด ไม่อย่างนั้นการทำบุญของศิษย์ก็ยังอิงแอบไปด้วยความทุกข์เเละความหมองเศร้า
(การคาดหวังเเละพะวงกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น)  ถ้าทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็กล้าหาญไว้ ถ้ากล้าจะกลัวอะไร ล้มเหลวก็สำเร็จได้ เเพ้ก็ชนะได้ เเต่บางครั้งเเพ้บ่อยๆ เพื่อให้คนอื่นชนะก็เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ยอมให้คนอื่นก้าวหน้าเเต่ตัวเองไม่ก้าวหน้าแต่มีความสุขก็คือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งคนในโลกไม่มี ไม่ต้องเเก่งแย่ง เเค่รับผิดชอบให้ดีที่สุด ใครก้าวหน้าก็ก้าวไปแต่ฉันขอก้าวหน้าในทางธรรม
(ความเจ็บป่วยของร่างกาย)  ความเจ็บปวดเพียงเสี้ยวเดียวตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ค่าของชีวิตยังมีอีกมาก อย่าให้ความเจ็บปวดแค่เสี้ยวเดียวมาฆ่าชีวิต เพราะความเจ็บปวดเป็นแค่สัญญาณเตือน ถ้าไม่มีสัญญาณ ศิษย์จะไม่มายืนหายใจแบบนี้แล้ว ฉะนั้นความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดีอย่ากลัว แต่จงหาทางสู้อย่ายอมเเพ้
(การตัดสินคนอื่น)  เมื่อเจอใครอย่าเพิ่งตีค่าหรือตัดสินเพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดเเละเขาอาจจะมีค่าอะไรมากกว่าที่เราคาดคิดก็ได้ รักมากก็เกลียดมากแต่ถ้าไม่รักก็ไม่เกลียดใคร ฉะนั้นทำให้เสมอกัน ศิษย์จะได้ไม่รู้สึกว่าต้องเกลียดใครมากหรือรักใครมากเเล้วเจ็บเพราะรักเจ็บเพราะเกลียด
ในโลกนี้ไม่มีใครแย่กว่าใคร ถ้าศิษย์มองคนที่แย่กว่าเรา เราก็คือคนโชคดี แต่ถ้าศิษย์เอาแต่มองคนที่สูงกว่าศิษย์ก็มีแต่ช้ำใจ เรายืนกลางฟ้าดิน ฟ้าสอนเสมอว่าเราเป็นกลาง เราไม่ได้แย่กว่าใครและเราก็ไม่ได้เหนือกว่าใคร มีสิ่งที่สูงกว่าก็คือฟ้า มีสิ่งที่เตี้ยกว่าก็คือดิน เราคือภาวะที่ดีที่สุดที่เรียกว่ากลาง แต่เรามักอดไม่ได้เอาแต่มองฟ้าจนลืมมองดิน
(กิเลสตัณหา)  ถ้าเราอยากดับกิเลสและตัณหาให้ได้เราต้องรู้จักควบคุมใจตัวเอง จงฝึกให้มีพระพุทธะอยู่กับใจเพราะพระพุทธะเป็นผู้ไม่มีกิเลส



 


เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน ชีวิตของศิษย์มักถูกความคิดครอบงำ เราเป็นอะไร ดูที่ความคิด ชีวิตเป็นอย่างไร ดูที่ความคิด ความคิดที่ไม่ดี มันมีปัญหาเราก็ต้องเปลี่ยน การจะเปลี่ยนชีวิตได้ ต้องรู้ทันความคิดแล้วเราถึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าโลกใบนี้หรือความเป็นจริงของโลกใบนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทุกข์ แต่มีเพื่อให้เราตื่นรู้เข้าใจและเท่านั้นเอง เช่นนั้นเอง เราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม”
ใครที่บอกว่ามีเคราะห์มีกรรม จะเปลี่ยนตรงไหนก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิด กิเลสเกิดจากความคิด ถ้าเกิดว่าเห็นแต่เราไม่คิด มันจะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่เห็นแต่เราคิด มันมีไหม (มี)  เหมือนเขาไม่ได้ด่า แต่เราคิดว่าเขาด่า ไม่มีก็เหมือนมี เขาด่าแต่เราไม่คิด มันมีก็เหมือนไม่มี ถ้าเขาทำเราเจ็บปวด มีมันก็เหมือนไม่มี ยังทุกข์อะไรอยู่หรือ
วันนี้อาจารย์ก็ต้องกลับแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา มีพบก็มีพรากจาก ขอให้รู้จักรักษาบุญ รักษาโอกาสให้ดี เจออะไรจงแปรกรรมให้เป็นธรรม แปรทุกข์ให้เป็นทางพ้นทุกข์ เขาพ้นทุกข์แล้วจะคิดทำไมให้ทุกข์ เข้าใจที่อาจารย์พูดหรือยัง เขาพ้นทุกข์แล้วอย่าคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะไม่อย่างนั้นจะลากคนที่เขาไปแล้วให้กลับมาทุกข์ด้วย เข้าใจนะ
บำเพ็ญธรรมอย่าท้อ อย่าล้า ช่วยคนไม่มีคำว่าเหนื่อย มีแต่เดินหน้าสู้ต่อไปทำให้ดีที่สุด เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้ศิษย์มีลมหายใจยังเลือกได้ อย่ารอจนกระทั่งเลือกไม่ได้ แล้วต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่เรียกว่ากรรมของตัวเองเลย อาจารย์เห็นมาเยอะ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตอนมีโอกาสไม่ทำความดี พอเจอกรรมได้แต่เงยหน้าถามอาจารย์ว่าทำไมต้องเจอแบบนี้ อาจารย์ก็จะบอกว่า ตอนศิษย์มีโอกาสเลือกให้ทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ศิษย์ไม่ทำ ศิษย์เคยเห็นคนที่ทุกข์มากๆ ไหม เคยเห็นคนที่แย่ไหม เพราะอะไรศิษย์ เพราะเงยหน้าว่าใครไม่ได้ต้องหันกลับมาแก้ไขตัวเอง อะไรที่ทำให้ฉันเจอคนแบบนี้ อาจารย์ก็พูดได้แค่คำเดียวเพราะศิษย์ทำเขามา
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์โชคดีทำไมไม่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์เลยเพราะกิเลสอารมณ์ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ วิบากกรรมและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ศิษย์คิดว่าทุกข์ในโลกน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่าทุกข์แห่งการต้องกลับไปใช้กรรมที่ศิษย์สร้างไม่จบสิ้นน่ากลัวยิ่งกว่า แล้วไยเกิดมาเป็นคนจึงไม่ทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ทำไมต้องรอชาติหน้า ตอนนี้เขามาจะจบกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจะพบธรรม พ้นทุกข์อยู่ที่เรา ทำดีกับเขา ทำไปเถอะ ทำแล้วสิ้นตัวตนได้นั่นคือกุศล ทำแล้วจิตสว่าง ทำแล้วบริสุทธิ์นั่นคือยอดของบุญ คิดให้ดีๆ นะ เราไม่รู้วันตายของชีวิต ฉะนั้นตอนนี้ทำไมไม่สร้างสรรค์สิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิต ทำให้ดีงาม ทำให้มีค่าสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่หาคุณธรรมไม่ได้ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่ความเป็นคนกลับบกพร่อง ความทุกข์น่ากลัว เชื่ออาจารย์เถอะ แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง จงพากเพียรมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ให้เป็นคนที่ดีจริง ปฏิบัติจริงและพ้นทุกข์ได้จริง เมื่อเราพ้นได้เราก็ช่วยคนรอบข้างได้ จริงไหม (จริง)
ลองไตร่ตรองให้ดี ลองคิดพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อใคร เพื่ออะไร เพื่อให้ศิษย์ทั้งนั้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เวลาทำอะไรต้องระมัดระวังให้มากๆ ผิดแล้วมันแก้ไม่ได้ ผิดแล้วทำดีล้างไม่ได้ ฉะนั้น อย่าทำผิดเลย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นให้ยินดีชดใช้ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ นรกก็ไม่กลัว สวรรค์ก็ไม่เอา ขอกลับคืนสู่สภาวธรรมอันไร้ตัวตน ดูแลตัวเองดีๆ นะศิษย์



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปลี่ยน           ” (เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน)
    กิเลสเกิดจากความคิดของตน          ไม่เห็นแต่วนมาคิดก็วุ่นได้
เห็นแต่ไม่คิดเลยก็ว่างไป                    เมื่อใจไร้ทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน
เกิดสติเท่าทันคิดไม่ขาดสาย                จึงเป็นไทไม่เป็นทาสกิเลสนั้น
ทั้งทุกข์สุขล้วนพาหลงไม่ต่างกัน           วางตัวฉันก็ธรรมดาสัทธรรม

    จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม


(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม)
สถานธรรมหมิงเอิน  วันที่ ๑๒ - ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
แก้ไขเพลงพระโอวาทหน้า ๑๒
เดิม
หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
แก้ไขเป็น

หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงดับไป ว่างไปที่นั่นเลย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-03 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二○一七年 歲次丁酉五月初九日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๖๐       ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น
หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ
หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามศิษย์น้องทุกคนพอจะต้อนรับศิษย์พี่บ้างไหม
  ทุกข์เพราะเขาหรือเราคิดให้ดี          อยากหยุดเขาคนที่เปลี่ยนไม่ได้
ยอมรับหรือหนีความจริงต่อไป           หรือหยุดใจตนหวังดีกับตน
โลกธรรมเตือนคนยึดแบบไม่จบ          คลื่นแม้สงบพึ่งไม่ได้ฟองสับสน
กิเลสไม่ตั้งใจข่มจะขวางทางตน          เจนจบได้ใช่หลุดวนพ้นรำคาญ
ยากยากพบเหนื่อยใจทำใจบ้าง          วิถีทางคลี่คลายแค่เพียงปรับฐาน
รู้การให้ก็จะเกิดบุญสัมพันธ์              อัตตาว่างทุกอย่างพลันดีขึ้นเอง
ความคิดหยุดกวัดแกว่งหยุดคุมได้        สมองว่างทันใดเมื่อใจไม่เคว้ง
เริ่มสงบได้ลงภายในใจตัวเอง             คว้าที่ทันจับแต่เก่งเกษมฤๅ
ใครก็รู้ก็คนดีด้วยสติ                      เมื่อไม่ทำใจปกติเป็นสุขหรือ
ใจที่ทั้งว่างสงบวุ่นปลายมือ               เพราะจิตผูกใจคือธรรมแบบธรรม
ภาวะว่างเดิมทีความว่างไม่มี             ภาวะมีความมีกว่าเดิมมีซ้ำ
สับสนหลงวุ่นวายธรรมไม่ใช่ธรรม        โลกนี้คือสายน้ำคืนฝั่งไป
                                            ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

ท่านเคยได้ยินไหม “เรื่องราวในโลกนี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าท่านไม่คิด” เหมือนตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าท่านไม่คิดจะใส่ใจ ไม่คิดจะดู ไม่คิดจะแล ที่มีก็เหมือนไม่มี จริงไหม เพราะท่านไม่คิดสนใจ ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่เกิดขึ้นได้ อยู่ที่ท่านคิดหรือไม่คิด ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ จริงไหม และเรื่องบางเรื่องบางครั้งมันไม่มีเลยนะ แต่ถ้าเราคิดมันก็มีขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง)  เคยเห็นผีไหม (ไม่เคย)  ถ้าคิดว่าตัวเองเห็นผีจะเห็นผีขึ้นมาทันที ไม่มีมันก็เหมือนมีขึ้นมา ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จะมีหรือไม่มีอยู่ที่ท่านคิด ไม่คิด สนใจ ใส่ใจ หรือไม่ใส่ใจ ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่เราเห็นแล้ว ไม่อยากมีผลกับใจเรา ก็อย่าคิด เขาจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน เพราะเราไม่เคยคิด ฉันใดก็ฉันนั้น บางทีสิ่งที่ไม่มีตัวตนเลย ถ้าเราเผลอคิดขึ้นมามันก็กลายเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามท่านว่า ธรรมเคยมีในใจไหม (มี)  มีเพราะว่าได้คิดหรือว่ามีเพราะไม่เคยคิด เวลาเราเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง พอเห็นแล้วเราใส่ใจ ใส่ใจแล้วเราถือสา ที่เห็นมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มี แล้วทำให้เราวุ่นวายใจ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเมื่อเราเห็น เราไม่คิด เราไม่ใส่ใจ เราไม่ถือสาก็จะกลายเป็น มันไม่มี มันว่าง และมันโล่งทันทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ใจเราเจ็บปวดนั่นเป็นเพราะเราเอาเขามาคิด ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาทำเราเจ็บปวดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เวลาใครเขาด่าเรา ถ้าเราไม่เอามาคิด คำด่ามันจะทำให้เราเจ็บปวดไหม (ไม่)  ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกเกิดขึ้นได้ถ้าตัวท่านไม่คิดใส่ใจถือสา มันจะว่าง โล่ง จบ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอเราเห็นอะไรเราก็เก็บเอามา คิด ใส่ใจ ถือสา เอาจริงเอาจัง เข้มงวด จับผิด จุกจิกจู้จี้ แล้วคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ (คิด)  แล้วคนที่วุ่นวายหาความสงบไม่ได้ก็คือคนที่ (คิด)  คนที่คิดแล้วหยุดความคิดไม่ได้ก็จะต้องทนอยู่กับความทุกข์ของความ (คิด)  ฉะนั้นหยุดก่อนคิดดีไหม (ดี)  แล้วทำอย่างไรเราจะสามารถหยุดก่อนคิดได้ รู้ทันความคิดได้ (ไม่ใส่ใจ)  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ใส่ใจ ท่านลืมไปหรือเปล่า สติสอนให้เราได้ระลึกรู้ ฉะนั้นถึงแม้ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ดูแล แต่ถ้าเราขาดสติ บางทีมันก็คิดไปถึงไหนแล้ว
มนุษย์ได้เจอกัน รู้จักกัน เพราะมีบุญสัมพันธ์กัน มีคำกล่าวไว้ว่า “ถ้ามีบุญแม้อยู่ไกลพันลี้ ก็ได้พานพบ แต่ถ้าเกิดไร้บุญ แค่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้จักกัน” ทุกสิ่งทุกอย่างวนมาทำให้เราเจอกัน รู้จักกัน อยู่ร่วมกัน ล้วนเกิดจากบุญ ใช่ไหม อย่างสมมติเพื่อนเรา ที่เราอยู่ๆ เราสนิทกับเขา คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่สนิทเราสนิทกับคนนี้ ก็เพราะเรามีบุญ (สัมพันธ์)  คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่รัก เรารักกับคนนี้ แล้วคนนี้ทำให้เรามีลูกเป็นคนนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  มีคนตั้งเยอะแยะเราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่เรากลับทำงานกับคนกลุ่มนี้ก็เพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเกิดทุกสิ่งทุกอย่างมาเพราะบุญสัมพันธ์ แปลว่าเราจะถนอมบุญสัมพันธ์ รักษาบุญสัมพันธ์ไว้ไหม (รักษาไว้)  ถ้าบุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ถ้าเราจะถนอมบุญกับคนในครอบครัว ถนอมบุญกับเพื่อน ถนอมบุญกับคนรัก เราก็จะต้องกระทำสิ่งที่เป็นบุญที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แปลว่า เรายิ่งอยู่กับเขาใจเราต้องยิ่งสะอาด ใจเรายิ่งต้องบริสุทธิ์ ใช่ไหม เมื่อเป็นบุญที่ทำให้เรามาเจอกัน แต่ทำไมยิ่งอยู่เรายิ่งจับผิดกัน คิดร้ายต่อกัน จมอยู่กับความไม่ดีของเขา นั่นเรียกว่า เรากำลังผลาญบุญ หรือว่าเรากำลังถนอมบุญ (ผลาญบุญ)
เราอยู่กับพ่อแม่นานๆ แล้วเราบริสุทธิ์ใจไหม เราไม่เคยนินทา ไม่เคยว่าพ่อแม่ไหม เราอยู่กับเพื่อนเราจริงใจไหม เราอยู่กับคนรัก เราอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เราไม่เคยนินทา ไม่เคยจ้องจับผิด ไม่จมอยู่กับความคิดร้ายใช่ไหม เรากำลังผลาญบุญ ถนอมบุญ หรือว่าเรากำลังทำร้ายบุญในการอยู่ร่วมกัน บุญทำให้เราเจอกัน บุญทำให้เราได้มีสัมพันธ์กัน แล้วเราได้สร้างบุญด้วยกันหรือเราสร้างบาปด้วยกัน บุญทำให้เราใจฟู บุญทำให้ใจเราอิ่มเอม แต่ทำไมยิ่งอยู่มันยิ่งกลัดหนอง เจ็บปวด กลุ้มกังวลใจ อย่างนั้นแปลว่าเราไม่ได้อยู่กันด้วยบุญ แต่เรากำลังอยู่กันด้วยกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้เราอยู่กับคนในโลกอย่างคนร่วมบุญสัมพันธ์หรือร่วมเวรกรรมต่อกัน (ร่วมเวรกรรมต่อกัน)  การที่เราเจอแฟนของเรา บุญอะไรทำให้ได้มาเจอกัน ใช่ไหม แล้วเราอยากอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกันหรืออยากอยู่อย่างคนมีกรรมร่วมกัน (มีบุญ) แล้วทุกวันนี้เอาแต่คิดจับผิด มองเขาในแง่ร้าย จมอยู่กับความไม่ดีของเขานั้น เช่นนี้เรียกว่า เราอยู่อย่างคนร่วมบุญหรืออยู่อย่างคนร่วมสร้างกรรม (ร่วมสร้างกรรม)
วันนี้ท่านมาฟังธรรมได้เจอเรา (พระนาจา)  แล้วศิษย์น้องคิดดีเราก็ได้ร่วมบุญกัน ถ้าอยู่กับเราแล้วคิดร้ายคิดไม่ดีก็ได้ร่วมกรรม เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าวันนี้ท่านจะมาร่วมบุญหรือร่วมกรรม (ร่วมบุญ)  ถ้ายิ่งอยู่แล้วใจเรายิ่งบริสุทธิ์ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งอิ่มเอมใจ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งสบายใจนั่นคือการอยู่ร่วมสร้างบุญ ทุกขณะอย่าคิดว่าบุญทำได้แต่ที่วัด แต่บุญทำได้ทุกที่และบุญที่ทำโดยไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ จริงไหม ที่เรียกว่าสังฆทาน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านทำบุญกับทุกคนแล้วทุกขณะไม่ว่าทำอะไรเราก็ทำกับเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ สบายใจ ไม่มีอคติ ไม่มีคิดร้าย ไม่มีจ้องจับผิด ไม่มีคดในข้องอในกระดูก มีแต่ความเมตตา เคารพกัน นั่นไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างร่วมบุญทุกขณะหรือ จริงไหม (จริง)  ตอนนี้กำลังร่วมบุญหรือกำลังร่วมบาป (ร่วมบุญ)  บุญทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  แล้วทุกวันที่มีบุญสัมพันธ์กับสามี มีบุญสัมพันธ์กับลูก ทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)
มีบุญดี ได้งานดี ได้เพื่อนรอบข้างที่ดี เราทำดีเพื่อละหรือทำดีเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  จุดมุ่งหมายหลักของบุญคือเพื่อละวาง ไม่ให้ยึดถือจนบังเกิดทุกข์ ถ้าท่านเข้าใจว่าเรามีบุญสัมพันธ์ด้วยกัน ทำไมยิ่งทำเรายิ่งยึด ยิ่งสร้างเรายิ่งหลง ยิ่งสร้างบุญเรากลับยิ่งทุกข์ใจ บุญยิ่งทำเราต้องยิ่งไม่ยึด ยิ่งทำต้องยิ่งสบายใจ ไม่ลุ่มหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมอยู่กับเพื่อน เรายิ่งยึดจนหลง ยิ่งมีจนทุกข์
คนในโลกปากอย่างใจอย่าง ปากบอกว่ารักคนในบ้านแต่กลับพูดไม่ดีต่อกันทุกวัน แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่สร้างบุญเพิ่ม เคยคิดไหม ส่วนใหญ่พอหมดบุญแล้วก็คิดว่า “หมดเวรหมดกรรมกันไป” เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เป็นการทำบุญเพิ่มได้ทุกวัน เคยคิดบ้างไหม คิดแต่เพียงทำบุญค่อยไปทำที่วัด อยู่ตรงนี้ขอบาปก่อน ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรที่จะเป็นการอยู่ร่วมกันแล้วได้สร้างบุญเพิ่ม (อยู่โดยใช้ปัญญา)  แต่ปัญญามักชอบฉลาดเอาแต่ได้นะ “แม่ต้องแพ้ พ่อต้องชนะ” เวลาอยู่กับเพื่อน ก็แอบคิดว่า “ฉันต้องได้มากกว่า เธอควรได้น้อยกว่า” ใช่หรือเปล่า
ปัญญาเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญญานั้นต้องทำอย่างไรให้เราสร้างบุญได้ทุกขณะ “หนึ่งในการสร้างบุญคือการให้และการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมะเป็นทาน” ถ้าเราอยู่กับพ่อแม่ เรากตัญญูรู้คุณท่านก็เท่ากับเรากำลังสร้างบุญ ถ้าเราอยู่กับเพื่อน เราซื่อตรงจริงใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เราก็กำลังสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยู่กับใครก็ตาม เราเคารพให้เกียรติและมีเมตตาธรรม เราก็กำลังทำบุญ ใช่ไหม (ใช่) เพราะการให้คือส่วนหนึ่งของบุญ เคยได้ยินไหมเมื่อเดินเข้ามาแล้ว เรายกมือไหว้ กล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างบุญ แม้ไม่มีบุญได้อยู่ร่วมกัน แต่การรู้จักให้ธรรม แสดงความอ่อนน้อม เป็นคนที่ซื่อตรง จะทำให้เราสร้างบุญสัมพันธ์ต่อคนที่ไม่เคยมีบุญต่อกัน มาที่สถานธรรมเราใช้ห้องน้ำที่มีคนทำความสะอาดให้เรา มีคนยกอาหารมาให้เรา เราก็สามารถสร้างบุญสัมพันธ์กับเขาโดยพูด “ขอบคุณนะ เหนื่อยไหม” แค่นี้เราก็ได้สร้างบุญสัมพันธ์กับเขา เราจะอยู่อย่างคนที่มีบุญร่วมกันหรือว่ามีบาปร่วมกันดีล่ะ (มีบุญร่วมกัน)
สมมติว่าตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้ว เราอยากอยู่กับคนอย่างมีบุญสัมพันธ์ร่วมกัน แต่ถ้าบังเอิญคนที่มาหาเราอยากหาเวรกรรมกับเรา เราจะทำอย่างไร เคยเจอไหมคนบางคนเพียงแค่เห็นหน้า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมไม่ถูกชะตาเราก็ไม่รู้ แค่เราพูดนิดหน่อย เขาก็ไม่ชอบหน้าเราแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหม “สิ่งที่มืดที่สุด ถ้าเราสามารถแปรเป็นแสงสว่าง นอกจากจะส่องใจเราได้ ยังสามารถส่องใจเขาได้ด้วย” เราเปรียบเทียบง่ายๆ สมมติว่า วันนี้เราเจอคนที่ร้ายมากๆ ด่าคนอื่นไฟแลบ กินแรงคนอื่นที่หนึ่ง แต่เวลามีเรื่องเอาหน้า มาก่อนคนแรกเลย เราจะจัดการกับคนแบบนี้อย่างไร โดยส่วนใหญ่นินทากลับแล้วเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง ใช่ไหม หรือระบายลงเฟซบุ๊กเลย พอมีคนมาคอมเม้นต์เห็นด้วยและด่ากับเราด้วยเราก็ดีใจ กดถูกใจเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราถามท่านนะ เวลาที่เราเจอคนไม่ดี เรายิ่งประณามยิ่งด่าเขา มันทำให้เขารู้สึกดี แล้วอยากเป็นคนดีขึ้นมาไหม (ไม่อยาก)  แล้วทำให้คนไม่ดีอยากกลับตัวเป็นคนดีไหม (ไม่อยาก)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ใช่)  ในเมื่อท่านก็ไม่อยากให้เวรมันยืดเยื้อ ในเมื่อไม่อยากให้ใครร้ายมาแล้วร้ายตอบ ทำไมเราจึงไม่แปรบาปให้เป็นบุญ ทำไมไม่แปรร้ายให้เป็นดีล่ะ วิธีทำอย่างไร อดทนเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์พี่จะบอกว่า ทำไมไม่แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เหมือนถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนเลย มันจะโล่งจะโปร่งจะเบา แต่ถ้าอดทนมันหนัก มันอึดอัด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ใช่ ลองเปลี่ยนเป็นเข้าใจ แล้วจะเข้าใจอย่างไรล่ะ เข้าใจแบบไหน คิดออกไหม ตอนนี้มีข่าวที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนฆ่าคน แล้วก็หั่นด้วย ตัดเป็นชิ้น ผู้ทำก็ไม่ใช่ผู้ชายด้วย แต่เป็น (ผู้หญิง) ศิษย์ว่าเขาร้ายไหม (ร้าย)  ถ้าเรามองให้ชัดๆ ลองเป็นเขาดู ศิษย์น้องว่าอะไรที่ทำให้เขาร้าย ตอบได้ไหม
(ความโกรธ, ความไม่มีสติยั้งคิด, ความโลภ)  ศิษย์พี่จะบอกว่าถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนต่อเขา ไม่ด่าทอเขา ไม่เกลียดเขา และจะไม่แช่งชักหักกระดูกเขา ศิษย์น้องลองมองให้ดีๆ นะ เพราะเขามีความโกรธจึงทำอย่างนี้ แปลว่าตัวเราถ้ายังมีความโกรธ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเรามีความโลภแล้วไม่รู้จักควบคุมความโลภ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเราไม่รู้จักยั้งคิด เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวในผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ตัวเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคืออะไร (จิตใจไม่มีธรรมะ)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจเขาแล้วเราจะไม่โกรธเขา เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เขาร้ายก็คือ เมื่อเขามีอารมณ์โลภ โกรธ หลงครอบงำใจ เขาไม่เคยคิดที่จะควบคุม ยับยั้งให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวศิษย์น้องมีโลภ โกรธ หลง แล้วไม่เคยคิดจะควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม ศิษย์น้องก็อาจจะเป็นเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจเขา เราจะด่าเขาไหม ถ้าเราเข้าใจ เราจะเกลียดเขาไหม เพราะเราก็อาจจะเป็น (เหมือนเขา)  ถ้าเราไม่ควบคุม (อารมณ์)  แล้วเราเคยคิดควบคุมอารมณ์ตัวเองไหม (คิด)  คิดแต่ไม่เคยทำ ถ้าเอาแต่ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติก็เปล่าประโยชน์ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ศึกษาก็ไร้ค่า จริงไหม (จริง)
คนถึงจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง แล้วยังควบคุมไม่ได้ คนนั้นก็อาจจะเป็นรายต่อไปที่เวลาโมโหแล้วฆ่าหั่นศพก็ได้ และอาจจะไม่ใช่ใคร อาจจะเป็นศิษย์น้องก็ได้ ใช่ไหม เพราะเรามีความอยาก อยากกินปลาหนึ่งตัว ฆ่าไหม หั่นไหม แค่ความอยากสิ่งเดียว ศิษย์น้องก็ฆ่าหนึ่งชีวิตโดยไม่สนใจความเมตตาปรานี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อศิษย์น้องอยากได้ตำแหน่งใหญ่ ก็สามารถพูดแล้วทำให้คนหนึ่งจมหายไป แล้วตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง) อยากค้าขายดี ศิษย์น้องก็สามารถโป้ปดมดเท็จทำให้ของตัวเองดูดีมีราคาขึ้นมา แล้วก็ฆ่าร้านข้างๆ ว่า “อย่าไปซื้อเลย ร้านนั้นของปลอม ของไม่ดี” เช่นนี้ศิษย์น้องจะไม่เป็นหนึ่งในฆ่าหั่นศพหรอกหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเข้าใจไยต้องเกลียดชัง เมื่อเข้าใจเราจึงสามารถมีธรรมเตือนสติ แล้วไม่เกลียดใครจนเกินไปและไม่รักใครจนเกินไป เมื่อไม่รัก ไม่เกลียด ไม่มีใจชอบชังอคติ นั่นไม่ใช่การอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจและสร้างบุญต่อกันหรอกหรือ จริงไหม (จริง) 
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เล่นเกมฝึกสติ โดยให้นักเรียนตอบคำตรงกันข้ามกับคำที่บอก เช่น บอกว่า “ใช่” ให้ตอบว่า “ไม่ใช่”)
บางครั้งการฝืนใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะมีความโกรธมาจำเป็นต้องโกรธตอบไหม (ไม่)  เพราะถ้าโกรธแล้วจะสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบาป)  แล้วถึงเวลานั้นเราสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบุญ) 
เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราก็อยากสร้างบุญมากกว่าสร้างบาป เราอยากมีความเข้าใจคนมากกว่าที่จะอยู่กับเขาอย่างอดทนอดกลั้น จริงไหม (จริง) แต่ถ้าศิษย์น้องเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก เชื่อมั่นในเรื่องเหตุผล เวลาทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ต้องมีอะไรทำให้เข้าใจ เมื่อเราพูดถึงเหตุผล เหตุผลใช่ที่สิ้นสุดแห่งความจริงไหม (ไม่ใช่)  แปลว่าถ้ายึดแต่เหตุผลก็อาจจะไม่เจอความจริง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อพูดถึงเหตุผลไปจนถึงที่สุด เหตุผลก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้ เหมือนถามว่าตอนนี้ในห้องนี้มีอากาศไหม (มี)  แล้วอะไรตรวจสอบได้ ใช้ตาวัดได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องใช้เครื่องมือ แล้วกว่าเราจะหาเครื่องมือเจอ เราต้องทุกข์ก่อน ใช่ไหม เหตุผลไม่สามารถวัดความจริงได้อย่างแท้จริง แล้วเหตุผลบางครั้งก็ง่ายที่จะลำเอียงมากกว่าซื่อตรง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์ชอบเลือกรับเหตุผลด้วยความเข้าใจของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ถูกไหม (ถูก)
วันนี้มาฟังธรรมะอะไร ศิษย์น้องคิดว่าเหมือนไม่ใช่พุทธศาสนานะ แบบนี้เราใช้เหตุผลอะไรมาวัด แล้วเราจะเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างไรถ้าเลือกแต่ยึดเหตุผล หลักธรรมจึงสอนว่าถ้าอยากเข้าใจโลกใบนี้ อยากเข้าใจสรรพสิ่งและผู้คนบนโลกใบนี้ จงพยายามคำนึงหรือมองให้เห็นธรรม ศิษย์พี่จะบอกศิษย์น้องว่า คนแบบนั้นก็ธรรม คนแบบนี้ก็ธรรม เสื้อผ้า ผม ทุกสิ่งล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรมและในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นก็คือธรรม มีใจเหมือน กันอยู่อย่างหนึ่งคือมีใจธรรมเหมือนกัน ถึงแม้จะแตกต่างกันเป็นชาย เป็นหญิง เป็นคน เป็นสรรพสิ่ง ก็คือธรรม ใช่ไหม
แล้วในธรรมนั้นถ้าเรามองตามธรรมชาติ ธรรมสอนว่าแม้สรรพสิ่งจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ถ้ารู้จักใช้อย่างกลมกลืนสอดคล้องก็เรียกว่าธรรม แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยก ยึดติดจนก่อเกิดทุกข์จนมองไม่เห็นธรรม ธรรมชาติสอนให้รู้จักอยู่อย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราคือส่วนหนึ่งของธรรมที่อยู่ระหว่างฟ้ากับดิน แปลว่าเราอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่สูงที่สุดและต่ำที่สุด ถ้าเราดำเนินอย่างถูกต้อง เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและในธรรมนั้นก็มีดีร้าย ได้เสีย คำชมคำด่า มีความสำเร็จ ความล้มเหลว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดแบ่งแยก เราเรียนรู้อย่างเข้าใจอย่างกลมกลืนสอดคล้องก็แปลว่าเราเข้าใจธรรม
แต่มนุษย์ชอบดีไม่ชอบร้าย อย่างนั้นถามศิษย์น้องว่า ใครดีที่สุด ใครร้ายที่สุด ใครสวยที่สุด (ไม่มี)  ถ้าเราพิจารณาให้ดี ศิษย์น้องก็จะมองเห็นว่าไม่มีใครร้ายสุด ไม่มีใครดีสุดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม เมื่อธรรมทำให้เรานิ่งเป็นกลาง ไม่โกรธ ไม่เกลียด เราก็คือคนที่กำลังกลับคืนสู่ธรรม แต่มนุษย์เมื่อเจอดีก็ชอบ เมื่อเจอร้ายกลับต่อว่า ก็เลยก่อเกิดเป็นบุญเป็นบาปกรรม ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนว่า “จงรักษาความเป็นกลางด้วยหัวใจอันสงบและปัญญารู้แจ่มแจ้งในความจริง” ซึ่งความจริงนั้นก็คือธรรม เมื่อไรที่ความมืดกลายเป็นความสว่าง ความสว่างนั้นจะส่องใจเราและสามารถสะเทือนส่องใจผู้คนได้ ถ้าเมื่อไรมนุษย์พบธรรมในใจตน ก็จะสามารถนำพาธรรมในใจผู้คนได้ แต่ศิษย์น้องมักจะตามกิเลสมากกว่าตามธรรมอันเป็นจริง ตามใจอยากชอบชังมากกว่าจะตามความจริงอันเป็นธรรม ทุกวันจึงเจอแต่กิเลส อารมณ์ เวรกรรม แล้วก็สร้างบุญบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะเจอแต่ธรรม แล้วเราจะต้องกลับไปเป็น “ตัวตน” เพื่ออะไรอีกเล่า จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์หมดซึ่งความอยาก ชอบ ชังแล้ววัฏฏะแห่งการเวียนว่ายก็ถูกตัดขาดได้ทันทีเพราะกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง เพราะทุกคนคือส่วนหนึ่งของธรรมและมีใจธรรมอยู่ในตัวเอง ธรรมอยู่ในตัวเรา อยู่ที่ท่านเคยหันกลับมามองไหม ดั่งที่ว่า “ถ้าเข้าใจธรรมในตนก็เข้าใจธรรมในผู้คน” ซึ่งใจนี้ในผู้คนมีหนึ่งเดียวแค่นั้น ที่เรียกว่าสัจธรรมหรือกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่เที่ยง ว่างเปล่า เป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราของเรา แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าเมื่อชีวิตผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ เป็นความผิดหวัง คำต่อว่า ความล้มเหลว ศิษย์น้องจะบอกว่า “ขอบคุณที่ทำให้ฉันเรียนรู้เข้าใจธรรม” จะไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียดเพราะความเข้าใจธรรม ไม่ต้องพยายามข่มโกรธเลย ไม่ต้องหลงแล้วพยายามใช้ปัญญาเลย เพราะเห็นแจ้งในทันที
จำไว้นะศิษย์น้อง สิ่งที่ศิษย์น้องเห็นมักไม่เคยเป็นจริงอย่างที่คิดและเข้าใจ อย่าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเห็น ศิษย์น้องเข้าใจ เห็นจริง บางทีถึงที่สุด คนที่รักที่สุด คนที่เราเห็นมากที่สุด เราอาจจะไม่เคยเข้าใจและเห็นเขาแบบจริงๆ เลย เมื่อไม่เห็นจริงจะรักลงหรือ เมื่อไม่เห็นเขาจริง เขาน่าเกลียดหรือ แล้วในเมื่อไม่เห็นเขาจริงจะหลงใหลได้ปลื้มอะไรเขาหรือ เห็นไหมว่าเมื่อโลภ โกรธ หลงหายไป จากบุญจะกลายเป็นกุศล กุศลจะกลายเป็นปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมทันที แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าการกลับคืนสู่ธรรมดีกว่าการกลับคืนสู่สวรรค์ของศิษย์น้องอีก เพราะธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวตนให้ต้องไปแบกรับยึดถือ เกี่ยวบุญ เกี่ยวบาป เกี่ยวกรรมอีกต่อไป แล้วจะเกิดมาเพียงแค่รับบุญเพื่อกลับสวรรค์แค่นั้นหรือ ลองศึกษาเรื่องบุญแล้วกลับคืนสู่ธรรมอันเป็นรากเดิมแท้ของเราดีกว่า ธรรมที่ไม่มีแบ่งแยกศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ธรรมที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันและธรรมที่ทำให้ทุกคนสันติสุขด้วยการไม่ต้องข่มใจ แต่เกิดจากความเข้าใจอันปิติอิ่มในธรรมนั้น
หวังว่าผู้มีธรรมทั้งหลายจะกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริง มีแต่ธรรมเท่านั้นที่มองเห็น ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือตัวบุคคลเป็นที่พึ่งเพราะบุคคลยังมีวันแปรเปลี่ยน ยังมีวันล่มสลายแต่ธรรมแห่งความเป็นจริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและล่มสลาย มีแต่ยิ่งเข้าใจ ยิ่งละวาง ยิ่งกลับคืนสู่ความสงบอันแท้จริง ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์นะ



วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หัวใจแห่งผู้มีจิตสำนึกดี                 ศิษย์นี้มีหัวใจทองคำ
อยู่ให้คนเลื่อมใสการกระทำ              จากให้คนจดจำนิรันดร
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
*ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา ใจหมดพันธสัญญา
**ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา กรงที่เคยขัง เปิดออกมา
***หยุดใจไว้ตรงนี้ ไม่ต้องคิดเท่านี้ สิ้นสุดตรงนั้น หยุดความคิดตอนนี้ อย่าไปคิดเรื่องไม่ดี หยุดที่ใจฉัน สะดุดไปหลายครั้งอย่าหยุด หยุดโดยดีไม่มีเดียดฉันท์ (ซ้ำ *,**,***,*,**)
ทำนองเพลง: เก็บใจ

หมายเหตุ: เนื้อเพลงย่อหน้าแรกเป็นกลอนนำของศิษย์พี่นาจา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ช่วยอาจารย์เลือกรองเท้าหน่อย (คู่สีแดง)  อาจารย์ขอสมมติว่า ถ้ารองเท้าคู่นี้คือความทุกข์ มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ มีความไม่สบายใจ มีความเจ็บ มีความพลัดพราก มีความสูญเสียและมีความน้อยอกน้อยใจ ถ้ารองเท้านี้คือความทุกข์ คือสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราต้องแปดเปื้อนใจ เราจะแบก เราจะถือ เราจะเก็บไว้หรือเราจะเหยียบแล้วก้าวไปต่อ (เหยียบแล้วก้าวไปต่อ)  มนุษย์หนีความทุกข์ไม่ได้ หนีความเจ็บปวดไม่ได้ หนีความพลัดพรากไม่ได้ หนีความสูญเสียไม่ได้ แต่จงจำเอาไว้ว่ารองเท้านั้นก็เหมือนกับสิ่งที่เหม็น เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วทำไมเรายังแบกไว้ที่หัว แบกไว้ที่บ่า เก็บไว้ที่ใจ ทำไมไม่เอามาเหยียบแล้วก้าวไปต่อ
(พระอาจารย์เมตตาขออาสาสมัครนักเรียนในชั้นหนึ่งคน)
ในโลกนี้มีความทุกข์ แล้วก็มีเรื่องราวมากมายในชีวิตที่บางทีเราก็หาทางออกไม่เจอ สมมติว่าอาจารย์เปรียบเทียบความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าความทุกข์เหมือนรองเท้า ศิษย์จะถอดรองเท้าทิ้งไหม อาจารย์ว่าไม่ใช่ หลายต่อหลายคนรู้ว่าเรื่องบางเรื่องยิ่งคิดแล้วยิ่งทุกข์ เรื่องบางเรื่องยิ่งทำแล้วทำร้ายชีวิต แต่เราก็ยังอยากที่จะแบกมันไว้ แล้วก็ยึดมันไว้ แล้วก็ถือไว้ แล้วเราเคยรู้ไหมว่าเป็นทุกข์ ทุกข์ทำให้เราเจ็บก็รู้ แต่เราก็ยังแบกไว้ มีแล้วมันเหม็นเราก็ยัง (แบกไว้)  แล้วเราเคยแบกแค่ทุกข์อย่างเดียวไหม (ไม่)  จริงๆ เราไม่ใช่แค่แบก แต่เรายังเอามาเก็บในใจด้วยจริงไหม (จริง)  ศิษย์รู้ไหม ในสิ่งที่แย่ที่สุด ในสิ่งที่ทุกข์ที่สุด ถ้าเราสามารถยิ้มกับทุกข์ได้ รับกับทุกข์ไหว เรื่องใดๆ ในโลกก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกินรับมือหรอก สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ต่ำที่สุดศิษย์ยังผ่านมาได้ ฉะนั้นถ้าเกิดรับได้ อะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อะไรคือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด เราจะเลือกแบกทุกข์ เลือกจมอยู่กับความคิดที่เราทุกข์ เมื่อไรจะได้ดั่งใจ เมื่อไรจะเป็นแบบนี้สักที เมื่อไรจะดี ศิษย์จะแบกไปถึงเมื่อไร แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าในเมื่อแบกแล้วทุกข์ ทำไมไม่โยนทุกข์ลงแล้วเอามาเหยียบ แล้วก็ก้าวเดินออกไปด้วยหัวใจที่เข้าใจในทุกข์ ด้วยหัวใจที่ฉันเคยทุกข์มาแล้ว เคยเจ็บมาแล้ว ฉันจะไม่ทุกข์และแบกอีกแล้ว อยู่ในโลกนี้ทำอย่างไรที่เราจะรับมือกับทุกเรื่องราวได้ เราจะสู้กับทุกปัญหาได้ ถามตัวศิษย์เองนะว่าเราทำดีที่สุด รับผิดชอบต่อหน้าที่เต็มกำลัง เป็นคนมีศีลมีธรรมถึงที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้แบบนี้ ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ารับ นั่นคือหัวใจแห่งผู้ที่เข้าถึงธรรม อะไรจะเกิดก็ขอให้เข้มแข็ง รับให้ได้
มีใครในโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่เคยแบกทุกข์และไม่เคยช้ำกับทุกข์ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์จะเลือกแบกทุกข์หรือเลือกมาเป็นพลังให้เราก้าวเดินต่อไป (ก้าวเดินต่อไป)  หรือว่าศิษย์จะยอมจมอยู่กับความคิดเช่นนั้นหรือ พระพุทธะบอกว่า “ขออะไรไม่ประเสริฐเท่ากับขอหัวใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องจนลมหายใจสุดท้าย”
คนที่สู้แม้ลำบากเขาก็ต้องกลับมาสบายให้ได้ เข้มแข็งให้ได้ แม้คนที่ล้มเขาก็ต้องกลับมา (ยืน)  แม้คนที่เคยพ่าย เขาก็ต้องกลับมา (ชนะ)  ศิษย์จะแบกความเกลียด ความทุกข์ต่อไป หรือเอาความทุกข์มาตีแผ่แล้วทำความเข้าใจ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับมันอีก วันนี้อาจารย์มาไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์กระจ่างในธรรม ซึ่งไม่ได้อยู่แค่ในคัมภีร์ ในหนังสือ ในวัด แต่มันอยู่ในใจเรา เราตื่นรู้ได้ด้วยธรรมของตัวเรา เราเห็นแจ้งได้ด้วยธรรมของใจเรา แต่เราเคยหันกลับมามองแล้วเชื่อมั่นในตัวเองบ้างไหม เอาแต่ร้องขอให้คนอื่นช่วย ทำไมตัวศิษย์เองไม่ช่วยตัวเองก่อน เอาแต่ขอร้องคนอื่นทำให้เรามีสุข ทำไมตัวศิษย์เองไม่มีสุขด้วยตัวเองก่อน พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่ง (ตัวเอง)  ขอร้องผู้อื่นไม่สู้ขอร้อง (ตัวเอง)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่ขอร้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านศักดิ์สิทธิ์เพราะการประพฤติ ปฏิบัติ เข้าใจธรรม อย่ามัวแต่หลงรูปอันสวยงาม หลงรูป หลงวัด วัดนี้สวย วัดนั้นสวย ไหว้แล้วกลับบ้าน แบบนี้ไม่ได้อะไร ไปแล้วต้องเอาธรรมกลับมาให้ได้ องค์พระที่กราบไหว้องค์นี้ท่านปฏิบัติธรรมอะไรนะ คนถึงศรัทธา เอาธรรมนั้นมาปฏิบัติ ไม่ใช่ไปไหว้เสร็จแล้วกลับบ้าน แล้วพอให้ฟังธรรม ปิดหู ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นนำรองเท้ากลับไป)
เอาอันนี้ไปด้วยไหม ลองใส่สิ ใส่ได้ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ เมื่อก้าวเดินแล้ว ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวางแล้วทำใจ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
เจอหน้าอาจารย์ถึงกับยิ้มไม่ออกแปลว่ามีความทุกข์อยู่หรือ แปลว่าชีวิตหวานอมขมกลืนเลยยิ้มไม่ออก ถ้ายิ้มออกแปลว่าชีวิตไม่ค่อยทุกข์แล้ว คิดได้ก็พ้นทุกข์ คิดไม่ได้ก็จมห้วงแห่งความคิดจนตัวเองต้องเจ็บปวดใจ
วันนี้อาจารย์ไม่ได้มาเอาอะไรจากศิษย์ ไม่ต้องกลัวว่าอาจารย์จะมาหลอกเงิน เพราะอาจารย์ไม่เอา และอาจารย์ก็ไม่ได้มาทำให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมในศาสนายิ่งขึ้น เราตกลงเหมือนกันและปรับความคิดเข้าใจกันแล้วนะ สิ่งที่สำคัญในวันนี้ที่อาจารย์อยากจะมาคุยกับศิษย์คือ ทำความกระจ่างในธรรม อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่า ความกระจ่างในธรรมเกี่ยวอะไรกับชีวิต ศิษย์หลายคนมาฟังธรรม บ่นว่าฟังธรรมทำไม มันเกี่ยวอะไรกับชีวิต เกี่ยวไหม (เกี่ยว)  ถ้ากระจ่างในธรรมแล้วเราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น
(ฟังแล้วมีปัญญา, ทำให้อ่อนน้อมลง)  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในชีวิตได้โดยไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ทุกชีวิตล้วนคือธรรมและทุกชีวิตล้วนมีธรรมเป็นหัวใจ ศิษย์ก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เสื้อผ้า ใบหน้า ผม กิเลส อารมณ์ ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ไม่ว่าเขาหรือเราก็ล้วนคือธรรมชาติ ไม่ว่าจะยืนหรือได้นั่งก็คือธรรม ถ้าเราเข้าใจในหัวใจแห่งธรรม เราก็จะไม่ทุกข์และธรรมจะช่วยเยียวยาใจ ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ แต่อาจารย์ขอถามว่า ศิษย์ฟังธรรมะมากันก็มาก ศิษย์ยังทุกข์กันอยู่อีกไหม (ทุกข์)  ทำดีก็ยัง (ทุกข์) ทำชั่วก็ยัง (ทุกข์)  อย่างนั้นทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูกต้อง)  อะไรเรียกว่าการเข้าใจธรรม เหมือนเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์อยากนั่งหรือยืน (อยากนั่ง)  อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์กำหนดว่าอยากนั่ง แปลว่าถ้าไม่ได้นั่งศิษย์จะทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะชีวิตเราได้ยึดมั่นหมาย กำหนดกฎเกณฑ์เราเลยเป็นคนที่ทุกข์ง่าย แต่ถ้าชีวิตของเราเมื่อเจอเรื่องอะไรแล้วไม่ยึดมั่นหมาย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แล้วเราจะทุกข์อะไร ได้นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ วิชาของอาจารย์ง่ายๆ คือ ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ดี ถ้าศิษย์เลือกแต่ตั้งป้อมรังเกียจ เกลียดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วเมื่อไรศิษย์จะเข้าใจ เพราะในห้วงของความทุกข์ถ้าเราเข้าใจก็จะมีความสุขได้ ด้วยใจตัวเองที่กล้าสู้ ฉะนั้นตอนนี้นั่งหรือไม่นั่ง (นั่งก็ได้ ไม่นั่งก็ดี)  ถ้าคิดได้อย่างนี้อะไรมันก็ดี สูญเสียมันก็มีแต่ได้ เจ็บกายก็จะไม่เจ็บใจ เหมือนเวลาแผลโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัวไหม (ไม่)  บางทีแค่แขนโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัว ทำงานไม่ได้ อวัยวะมีปัญหาหนึ่งส่วน ทั้งหมดในร่างกายทำให้ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ คนที่คิดแบบนี้คือคนที่โง่นะ เพราะร่างกายยังเหลือส่วนดีตั้งเยอะ ยอมให้ส่วนดีทั้งชีวิตตายเพราะมีหนึ่งส่วนตาย ฉลาดหรือโง่ ศิษย์ป่วยเป็นมะเร็ง ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วที่เหลือที่ดีไม่สนใจเลยหรือศิษย์ แล้วต้องตายเพราะว่าเป็นมะเร็ง ใช่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม อกหักขอตาย อยู่ไม่ได้ อาจารย์ว่าชีวิตยังมีอะไรให้สัมผัสอีกตั้งเยอะ ในร่างกายยังมีอะไรดีๆ อยู่เยอะ อย่าแค่ส่วนหนึ่งเจ็บแล้วทำให้เจ็บทั้งตัว อย่าให้ส่วนหนึ่งตายแล้วตายทั้งชีวิต อย่างนี้เรียกว่าคนดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วเราเป็นไหม เหมือนแค่ปวดขาแค่นี้ ถึงกับก่อบาปก่อกรรม คิดในใจอาจารย์เมื่อไรจะได้นั่ง แค่เมื่อยขาแค่นี้ แอบด่าอาจารย์ในใจ ถูกไหม (ไม่ถูก)  เชิญศิษย์รักนั่งลงได้ ก่อนที่ศิษย์รักจะสร้างเวรสร้างกรรมกับอาจารย์ ถ้าศิษย์คิดว่าอนิจจังมันทำให้ทุกข์มา อนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ไป แล้วเราจะยึดมั่นถือมั่นไว้ทำไม ถึงเวลามันก็จบเองโดยเวลาที่มันเป็นไป ความไม่เที่ยงทำให้เกิดทุกข์ ความไม่เที่ยงก็ทำให้ดับทุกข์ได้ แต่มนุษย์ชอบยื้อยุดไม่ยอมหยุด จริงหรือไม่ (จริง)  
อาจารย์มีผลไม้สองอย่าง อย่างหนึ่งกินแล้วไม่อยากกินอีกเลย กับอีกอย่างหนึ่งกินแล้วก็อยากกินอีก ศิษย์คิดว่าสิ่งใดทำให้เกิดทุกข์ สิ่งใดทำให้เกิดสุข (กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดสุข กินแล้วไม่อยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบผลไม้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบทุกข์หรือสุข)
ผลไม้นี้กินแล้วไม่อยากกินอีก สุขหรือทุกข์ (ทุกข์, สุข)  กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ แล้วชีวิตอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  แล้วศิษย์เป็นประเภทกินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ คิดแล้วคิดอีกก็ทำให้เกิดทุกข์ มีแล้วมีอีกทำให้ทุกข์ แล้วที่กินแล้วไม่อยากกินอีก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะอาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดเจนว่า ทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่อยากกินแล้วอยากกินอีกหรือกินแล้วไม่อยากกินอีก แต่ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจเรายึดหรือไม่ยึด ถ้าไม่ยึดก็จบ แต่ถ้าเผลอยึดกลับมาเมื่อไรก็ทุกข์ ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งใดในโลกที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก สิ่งใดที่มนุษย์คิดอยากจะมี แล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มี” และในพระคัมภีร์กล่าวไว้อีกว่า “จิตที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่มีวันพบความสงบได้เลย” ถ้าอยากบำเพ็ญจงอย่ายึดมั่นหมายในสิ่งใด เพราะถ้ายึดแล้ว สิ่งนั้นมันเกิดเปลี่ยนแปลง สูญเสีย แหลกสลาย ใจเราจะได้ไม่เจ็บปวด ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือถ้าอยากแก้ทุกข์ในโลก จงทำเหมือนคนปิดทองหลังพระ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน ดีแค่ไหนขอดีหลังพระ ไม่ต้องมีตัวตนทำแบบคนดีหลังพระ ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ
อาจารย์จะบอกให้ว่าเราทำดีเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังบุญ ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนเขาบอกว่าเราดีหรือชื่นชม ความหมายของการทำดีที่แท้จริงแปลว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่วอันเป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจความดีนี้ศิษย์จะไม่ท้อในการทำดี เพราะเราทำดีเพื่อใจเราจะได้ไม่ไหลลงต่ำ คิดชั่วคิดร้าย แต่คนทำดีสมัยนี้คิดแค่เพียงว่าทำดีแล้วฉันจะได้บุญ ทำดีแล้วฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ยังหวังจะมีตัวตนเพื่อไปรับผลแห่งการกระทำและเวียนทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ความหมายที่แท้จริง พระพุทธะต้องการให้มนุษย์ตื่นรู้ คือเราทำดีเพื่อใจจะได้ไม่หลงไปเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ความคิดชั่วร้าย เพราะสิ่งที่เรียกว่ากิเลสอารมณ์ ล้วนเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ต้องทุกข์ มีเวรกรรมและเวียนว่ายในวัฏฏะไม่จบสิ้น ศิษย์คิดว่าทุกข์แห่งการตายนั้นเจ็บปวดแล้ว แต่ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วทำให้เราต้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีกน่ากลัวกว่าการตายหนึ่งครั้งนะ ศิษย์จำไว้นะ อย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากไหลไปกับความชั่ว ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากสร้างมูลเหตุให้เราต้องก่อกรรมชั่ว ที่เราพยายามประพฤติเป็นคนดีเพราะไม่ต้องการให้คนมาชมว่าฉันดี แต่ที่ฉันทำดีเพราะ “ฉันไม่อยากคิดร้ายกับเธอ” และที่ฉันทำดีเพราะ “ความดีทำให้ฉันสบายใจ” ไม่ทุกข์ใจ เพราะถ้าฉันคิดร้ายกับเธอ คิดแย่กับเธอ ฉันมีแต่เจ็บปวดใจ สู้ฉันทำตัวเองให้ดีที่สุดถึงเวลาเธอจะชอบหรือไม่ชอบ ฉันก็ละวางอย่างเข้าใจแล้ว เพราะหนึ่งการทำความดีจะหวังทุกคนมาชื่นชมคงเป็นไปไม่ได้ และในโลกนี้จะมีแต่คำชม ไม่มีคำต่อว่าก็ยิ่งไม่ใช่ แล้วโลกนี้มีแต่คนสำเร็จ มีแต่คนสวยไม่มีคนอัปลักษณ์ก็ไม่มีจริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจในแก่นแท้ของธรรมเราจะทุกข์หรือ แล้วอะไรหรือคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ (ปล่อยวาง)  ทำให้ดีที่สุดแล้วละวางด้วยความเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่ไหม)
อาจารย์ขอเปลี่ยน ไม่เอาคำว่า “ปล่อยวาง” เปลี่ยนเป็น “ละวาง” ดีไหม (ดี)  เพราะคำว่าปล่อยทำให้เหมือนว่าเราทิ้งไม่รับผิดชอบอะไร แล้วอะไรคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ ใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง
(ทำใจให้เข้มแข็ง)  ใจที่เข้มแข็ง ไม่คิดเลยใช่ไหม ก็ต้องคิดอยู่ดี บางอย่างก็ยังต้องคิด แต่คิดให้ถึงที่สุด ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้างตัวเอง คิดอย่างคนที่มองตามความจริง ไม่ใช่คิดอย่างคนที่มองตามใจ
(เข้าใจทุกข์แล้วเราก็จะเห็นมัน แล้วปล่อยวาง)  เข้าใจทุกข์พอเข้าใจเราจะปล่อยวางได้ทันที ได้ไหม (เราต้องมีสติทัน พอเรารู้ว่ามีความทุกข์เข้ามา)  อาจารย์จะบอกให้ว่า ทำอย่างไรถึงจะสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ทัน ศิษย์เคยมองเห็นความคิดของตัวเอง แล้วหยุดความคิดได้ไหม (ถ้าเรามองเห็น เราจะหยุดได้)  เคยเห็นไหม (เคยเห็น เคยฝึก)  แล้วเวลามีความทุกข์เราเห็นมันไหม (ตอนที่มีทุกข์เราไม่เห็น แต่พอเรามีสติมา เราจะเห็น พอเห็นแล้วความทุกข์มันจะหายไป)  แล้วเราเห็นตอนที่เสร็จแล้วหรือตอนที่กำลังเกิดทุกข์ (เห็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)  ควรจะเห็นก่อนนะศิษย์ ไม่ใช่จบไปแล้วค่อยเห็นว่ามันคือความทุกข์ (ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจความทุกข์)  เราต้องเห็นตั้งแต่ตอนที่มันกระทบ เห็นกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือน เข้าไปในใจ มันแค่กระทบหรือพุทธศาสนาเรียกว่า เห็นแค่อยู่ตรงแค่ผัสสะ แล้วไม่ก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ก่อเป็นรูปเป็นนามเป็นตัวตนความยึดมั่น เหมือนที่ตอนนี้เห็นแค่มันกระทบ  
(ละวางอย่างเข้าใจ)  ถ้าจะทำให้เราละวางได้เราต้องกล้ายอมรับว่า ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง เอาธรรมชาติเราไปวัดธรรมชาติเขาไม่ได้ (เอาตัวเราเป็นตัววัดไม่ได้)  ถึงเวลาทำให้เข้าใจแบบนี้ให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
(การรู้ทันเหตุแห่งทุกข์และดับให้ทันก่อนที่จะทุกข์)  เหมือนเขาด่ามา “ไอ้บ้า” หยุดทันไหม (ไม่ทันค่ะ)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าเขาด่าว่า “ไอ้บ้า” เราหยุดคนด่าได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราควรหยุดและจัดการคือ (ใจของเรา)  เขาด่าเรา “ไอ้บ้า” แต่เราอย่าด่าตัวเองว่า “ไอ้บ้า” ซ้ำแล้วซ้ำอีก หน้าที่ของเราเมื่อเวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ ไม่ได้จัดการเขา ไม่ได้ไปเปลี่ยนเขา ธรรมะสอนให้เราทำดี แต่การเป็นคนดีไม่ใช่การไปบังคับให้ทุกคนต้องดี แต่คนดีคือคนที่ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดี
(ความทุกข์เกิดจากความคิด ถ้าคิดว่ามันทุกข์เราก็เปลี่ยนความคิด) เราทุกข์เพราะใจที่เรายึดถือว่าแบบนี้ฉันชอบ แบบนี้ฉันชัง พอมีแบบนี้ฉันเลยสุข พอมีแบบนี้ฉันเลยทุกข์ จริงๆ แล้วแบบนี้สุขจริงไหม แบบนี้ทุกข์จริงไหม ไม่ใช่ทุกข์เพราะความคิดอย่างเดียว แต่ทุกข์เพราะใจเรายึดมั่นหมายในสิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่เป็นแบบนั้น
(เข้าใจในความทุกข์ และยอมรับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น)  ความทุกข์แปลว่า ตายแน่ๆ เจ็บแน่ๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ความทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ฉะนั้นเมื่อไรที่เรานั่งแล้วเราไม่ทุกข์ เราก็คงกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นต้องดีใจที่มีทุกข์ เพราะทุกข์มันสอนให้เราเข้าใจชีวิตและรู้ว่าชีวิตยังต้องรู้สุข ต้องมองและแยกให้ออกว่าทุกข์นั้น แปลว่าทุกข์ที่ทำให้เจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต จริงไหม (จริง)
ถ้าเราไม่อยากทุกข์ในโลก ลองทำใจว่างๆ พอใจว่างๆ ไม่มีขอบเขต ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความมั่นหมาย อะไรมากระทบเราก็ไม่เจ็บปวด เพราะมันว่าง แต่หัวใจของมนุษย์ มีความยึดมั่น มีความมั่นหมาย มีความคาดหวัง พอโดนกระทบก็เจ็บ
ถ้าเราปล่อยให้ใจว่าง ก็ไม่มีอะไรทำให้เราเจ็บได้ ที่สุดของความทุกข์คือการกลับคืนสู่ความว่าง ยึดว่าฉันเป็นแบบนั้น ยึดว่าฉันเป็นแบบนี้ ยิ่งยึดก็ยิ่ง (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนไปสู่ความว่าง ล้วนกลับคืนไปสู่ความไม่มี ลองถามใจลึกๆ ดูนะศิษย์ ศิษย์บอกว่าใจของศิษย์เป็นอย่างนั้น ใจของศิษย์เป็นอย่างนี้ ศิษย์ลองค้นเข้าไปถึงที่สุดแห่งใจว่ามีตัวตนไหม มีรูปแบบที่ชัดเจนไหม (ไม่มี)  ใจเกิดเพราะอารมณ์มากระทบ พอไม่มีอารมณ์มากระทบ ใจก็ว่างไม่มีอะไร ตัวตนเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เรียกว่ากิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมากระทบตัวตนที่เรียกว่าใจ จะมีไหม (ไม่มี)  เวลาที่ศิษย์อยากกินอย่างนั้น อยากกินอย่างนี้ ก็คือสัญญาจำได้หมายรู้ที่อยู่ข้างในอันเก่า ศิษย์อาจจะคิดว่า ถ้าคนเราเกิดมาตายไปแล้วก็จบ อย่างนั้นเราก็ไปทำความเลว ทำร้ายคนอื่นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คิดแบบนั้นไม่ได้ อาจารย์จะบอกให้นะ เพราะใจมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ อย่าได้เผลอเพาะอะไรลงไปในใจ เพราะเมื่อได้เพาะอะไรลงไปในใจแล้ว ใจนั้นจะมีสัญญาคอยเตือนว่า จำไว้นะครั้งหนึ่งเราเคยขโมยเงินคน จำไว้นะเราเคยนินทาคน จำไว้นะเราเคยแอบคดโกงคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองสังเกตดูนะ จิตสำนึกดีจะคอยบอกว่าเราเคยทำผิด เราเคยไม่ดีและเวลาที่เรานึกถึงความไม่ดีขึ้นมานั้น จะเป็นตัวที่ทำให้เราหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรและรับผลของกรรมนั้น พระพุทธะจึงบอกว่า “ใจเหมือนเนื้อนาบุญที่จะปลูก จะฝังอะไร จงเลือกปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงามและถูกต้อง” หลายคนมักจะพูดกับอาจารย์ว่า ศิษย์ทำดีแล้วแต่ทำไมยังเจอเรื่องร้ายอยู่อีก มาศึกษาธรรมแล้วต้องไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่จน ไม่ตาย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ทำบุญแล้วต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตาย ดวงดีถูกลอตเตอรี่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเวลามาไหว้พระถึงต้องคิดแบบนี้กันเสมอล่ะ คิดแบบนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ถ้ามาไหว้พระประสบอุบัติเหตุแล้วตาย ดีไหม ศิษย์เอย ถ้าชั่วขณะจิตนั้นเป็นกุศลและกำลังน้อมนำสู่ความสงบ ตายไปก็ไปสู่สุคติ จริงหรือไม่ (จริง)  ดีไม่ดีไม่ได้อยู่ที่อุบัติเหตุ แต่อยู่ที่ชั่วขณะจิตดับแล้วศิษย์ฝังจิตตรงนั้นไปสู่อะไร ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าเราทำดีไม่ใช่เพื่อจะเป็นคนดี แต่เราทำดีเพื่อไม่ให้จิตนั้นปลูกฝังความชั่วร้าย แล้วเป็นเหตุให้เราต้องไปเวียนว่ายวน อย่างนั้นถ้าเราทำดีแล้วเรายังต้องเจ็บได้ไหม (ได้)  ตายได้ไหม ประสบอุบัติเหตุได้ไหม โดนด่าได้ไหม โชคร้ายได้ไหม (ได้)  ถ้าเราศึกษาธรรมแล้ว อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวอุบัติเหตุ อย่ากลัวชะตากรรมที่พลิกผัน เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่า “กรรม” ถ้าแม้จะร้ายมา มันมีกรรมมา เราก็ได้ชดใช้ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้ามีคนมาทำให้เราต้องเจ็บ ทำให้เราต้องสูญเสีย เราก็ถือว่าเราได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  ถ้ามีคนด่ามา มีคนมาเอาเงินเราแล้วไม่คืน เราจะจองเวรจองกรรมเขาหรือไม่ (ไม่)  ทวงเขาไหม (ทวง)  อาจารย์จะบอกให้ว่าถ้าไม่อยากมีเวรมีกรรมกับใคร เวลาจะให้ใครยืมเงิน แม้เขาไม่คิดจะคืนเราก็ไม่ต้องคิดจะทวงด้วย เพราะมันจะได้ไม่เกี่ยวกรรมกัน ดีไหม (ดี)  ตอนเราให้เขายืม เราเป็นเจ้านาย แต่พอเขายืมไปแล้วเราเหมือนขี้ข้าเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอยากให้ใครยืมจงคิดว่า ยืมแล้วเขาไม่คืน เราก็ไม่เป็นไร เราจะได้ไม่ต้องติดหนี้ติดกรรมกัน ดีไหม
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราทำอะไรไปแล้ว เขาจะเห็นคุณค่าหรือไม่เห็นคุณค่า นั่นก็คือที่สุดของเราได้ให้ไปแล้ว เราก็จะไม่ต้องมาเกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป อาจารย์ยังไม่ได้บอกที่สุดแห่งความทุกข์ให้ศิษย์ฟังเลย อยากฟังตอนนี้เลยไหม (ฟัง)
ศิษย์เคยได้ยินนิทานของพระพุทธองค์ ที่เราได้ฟังถ่ายทอดกันมาไหม อาจารย์ขอเอาบทนั้นมาให้ศิษย์ได้พิจารณา เพื่อบังเกิดธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำว่า “พาหิยะ” เป็นหนึ่งในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรด เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อไม่มีตัวเธอเกิดในโลกนี้หรือโลกหน้า เมื่อนั้นแหละคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ แต่เราอยู่ในโลกนี้ เราเคยเห็นสักแต่ว่าเห็นไหม ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินไหม (ไม่เคย)  เมื่อเราเห็นเราต้องมีตัวตนไปตัดสิน ชอบไม่ชอบ ดีร้าย ได้เสีย ฟังก็มีดีใจ ไม่ดีใจ เสียงดีเสียงไม่ดี แต่พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากกลับคืนสู่ที่สุดแห่งทุกข์ เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสดมกลิ่นสัมผัส ไม่มีตัวเธอเกิด เมื่อโลกนี้ไม่มีตัวเธอ ก็ไม่มีตัวเธอในโลกหน้า เมื่อไรที่ไม่มีตัวเธอในการดำเนินชีวิตอยู่ ก็คือไม่มีตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ เมื่อนั้นเรียกกว่า “ที่สุดแห่งความทุกข์” ฉะนั้นที่สุดแห่งความทุกข์ ไม่ใช่อยู่ในศีล เป็นอานิสงส์ ไม่ได้อยู่ที่สมาธิเป็นอานิสงส์ แต่อยู่ที่ใจไม่กระเพื่อมแห่งความเป็นตัวตน จึงเป็นแก่นแท้แห่งความสิ้นทุกข์ เหมือนโดนอะไรกระทบ ก็ไม่มีความอยากแล้ว ทำแค่นี้ก็ได้แค่นี้ ทำตามหน้าที่ที่ทำให้เกิดธรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำตามความอยากที่เรียกว่ากิเลส กินก็ต้องอยากก่อนถึงจะกิน ใส่ก็ต้องอยากก่อนถึงจะใส่ ออกไปข้างนอกก็ต้องอยากก่อนถึงจะไป ซึ่งการอยากนี่แหล่ะ มันเป็นตัวเพาะพันธุ์ที่ทำให้เรามีตัวตนไม่จบสิ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนถึงที่สุดก็ไม่มี เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
สังขารนี้ หนีพ้นความแก่ เจ็บ ตายไหม (ไม่พ้น)  เรามีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็น (ธรรมดา)  เราท่องอยู่ทุกวัน ธรรมดาทำให้ใจปกติ เมื่อปกติแล้วใจจึงสงบ เมื่อใจสงบแล้วจึงกระจ่างชัดในความจริง แต่เราไม่เคยเห็นความธรรมดาแล้วใจปกติ เพราะแก่แล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  เจ็บแล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็น (ธรรมดา) 
ถ้าธรรมดาทำให้ใจปกติได้ นั่นเรียกว่าสงบ แต่ถ้าธรรมดาแล้วยังทำใจให้ปกติไม่ได้ ก็ไม่มีวันสงบ และก็ไม่มีวันเห็นแจ้งจริงได้ ถ้าโดนด่าแล้วยังปกติ แล้วยังสงบได้ แล้วยังเห็นแจ้งจริงได้ นั่นคือการกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม เหมือนชีวิตเราทุกคน มีใครไม่แก่ ฉะนั้นโดนว่า ไอ้แก่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไอ้เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  
ศิษย์เอ๋ย อย่าโกรธเลย เวลาโดนว่า ไอ้แก่ ใครๆ ก็แก่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความแก่ เจ็บ ตาย จะมีมาช้าไว มันอยู่ที่ผลของการกระทำของศิษย์ มันจะหนักจะเบาก็อยู่ที่เหตุปัจจัยที่ศิษย์สร้าง ทำไมเพื่อนอยู่กับเราตั้งเยอะ เราแก่วันแก่คืน เพื่อนทำไมไม่แก่เลยนะ บางทีเราอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ ทำไมเพื่อนไม่เคยเจ็บเลย บางทีเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ เราตายไปแล้ว เพื่อนที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ กลับบอกว่าทำไมไม่ตายสักทีนะ ตกลงใครดีที่สุด (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะทุกข์กับอะไร ศิษย์กำลังทุกข์กับสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่เป็นหัวใจแห่งทุกข์ ชีวิตที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์กำลังโกรธกับคนที่ด่า ที่ไม่เคยเที่ยง ที่อยู่แค่ขณะนี้ ถ้าศิษย์มองให้กว้างๆ คนนี้ด่า เดี๋ยวก็มีคนชม ถ้าเปิดใจให้กว้าง มันก็แค่ขณะหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  
แล้วชีวิตเราจะจมอยู่กับขณะนี้ และหน้านี้ คนๆนี้ แล้วก็ทุกข์จนเขาตายเพราะเขาคนนี้ที่ด่าเราหรือ (ไม่ใช่)  เรายังมีอีกตั้งหลายขณะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเลือกคนๆ นี้ที่เขาด่าเรา เกี่ยวกรรมกับเรา จองเวรจองกรรมกับเขาไม่จบสิ้น เอาเขามาด่าแล้วด่าอีก เพื่อทำให้ใจเราเจ็บปวดหรือ (ไม่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (เป็น)  ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดถ้าศิษย์เข้าใจกระจ่างในธรรม ศิษย์จะบอกอาจารย์ว่าขอบคุณนะที่ทำให้ฉันทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวว่า “หาความมั่นคง ถึงที่สุดมันก็เหมือนไม่มั่นคง” เราไม่อยากโดดเดี่ยว เราไม่อยากอ้างว้าง แต่ถึงที่สุดมีสามีดีก็แล้ว มีลูกดีก็แล้ว แต่ทำไมเรายังเหงาจังเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงที่สุดเราก็ต้องโดดเดี่ยว ธรรมสอนให้เรารู้ว่าถึงที่สุดเราก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง กลับสู่ความไม่มี และสิ่งที่เหมือนมีก็คือไม่มี เหมือนที่ศิษย์หาแทบตาย หาเพื่อให้เกิดมั่นคง หาให้สมบูรณ์แบบ หาให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายอะไรดีที่สุด อะไรสมบูรณ์แบบ อะไรมั่นคง (ไม่มี)
ฉะนั้นความกระจ่างในธรรมจะเยียวยาใจให้เรามองเห็นโลกนี้อย่างแจ่มชัด และไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลงอะไรในโลก เพราะในโลกนี้หาความแท้จริงไม่ได้ ไม่ต้องไปพยายามข่มความอยากเลย มันอยากไม่ออกแล้ว เพราะอยากไปเดี๋ยวก็ทุกข์ เกลียดเขาไปเดี๋ยวก็กลายเป็นเวรกรรมเราไม่เอา ถ้าอยากเจอกับเขาอีกจองเวรจองกรรมเลย แต่ถ้าไม่อยากเจอกับเขาอีกขอบคุณที่ทำให้ฉันได้ชดใช้กรรมกับเธอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจธรรมเราจะเบิกบาน เราจะมีชีวิตอยู่แค่วันนี้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่รู้ รู้วันนี้ รู้ตอนนี้ ฉะนั้นใครจะว่าฉันเหี่ยว ใครจะว่าฉันแก่ ใครจะว่าฉันเตี้ย ใครจะว่าฉันไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นไรเพราะฉันเข้าใจว่าชีวิตยังมีต่อไป ได้เรื่องไม่ได้เรื่องฉันรู้ตัวฉันดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราสงบและเข้าใจกระจ่างชัดในตัว เราจะสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ แต่ถ้าเราไม่สงบไม่กระจ่างชัดในตัว เราจะถูกสิ่งแวดล้อมชักนำให้ตกเป็นทาสอยู่ร่ำไป เข้าใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง: เก็บใจ)
กายกับใจวุ่นกับความไม่ว่าง เพราะหลีกหนีความว่างไปให้ไกล เมื่อใจไม่ว่างก็เลยง่ายต่อการถูกการกระทบ เมื่อถูกกระทบก็หนีไม่พ้นเรียกว่าร้าย เรียกว่าดี เรียกว่าชอบ เรียกว่าชัง แล้วร้ายดีก็เรียกอีกอย่างว่าบุญหรือบาป ซึ่งมนุษย์ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกรงที่เรายึดถือไว้ด้วยโซ่ตรวน จริงไหม
มนุษย์กลัวความว่าง พยายามหาทุกอย่าง ต้องมีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดหามาเต็มที่ มีก็เหมือนไม่มี เพราะใจไม่เคยพอ แล้วพอมีก็ก่อเกิดว่าชอบ ไม่ชอบ แล้วก็เกิดทำอะไรร้ายๆ บุญก็สร้าง แล้วก็เผลอสร้างบาป วนเวียนอยู่ในความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วหลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองเข้าใจ กายกับใจของมนุษย์พยายามวุ่นกับความไม่ว่าง เพื่อหนีความว่างไปให้ไกลๆ การเรียนรู้ธรรมคือกลับสู่ความว่าง ความสงบ แต่ถามจริงๆ ว่ามนุษย์ทุกคนลึกๆ ใจอยากว่างไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เรามีก็คือไม่มี แล้วเราก็ไม่สามารถครอบครองอะไรได้เลย เมื่อมนุษย์วิ่งไปหาความไม่ว่าง พอวุ่นมากๆ ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเราชอบและชัง แล้วก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าดีและร้าย เรียกว่าบุญเรียกว่าบาป ที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้ว่านี่คือตัวฉันที่กำลังวุ่นอยู่ เพื่อหนีความว่าง แล้วก็บอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองไม่ได้ยึด จนเหมือนกรงทองที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้เป็นโซ่ตรวนที่อยู่ในกรงนั้น จริงไหม (จริง)
อาจารย์พูดง่ายๆ นะ มนุษย์เมื่อขยับเขยื้อนทำอะไรก็ตาม ถ้าดีก็เรียกว่าบุญ ถ้าไม่ดีก็เรียกว่าบาป แล้วที่เรียกว่าบุญบาปนั้น เพราะมีตัวตนที่ชอบชัง บุญบาปจะหมดได้ก็ต่อเมื่อถ้าเราไม่ชอบ เราไม่มี เราไม่ชัง บุญบาปจะสลายไปแล้วกลายเป็นความว่าง ฉะนั้นใครจะต่อว่ามาหรือเราจะสูญเสียอะไรไป ก็ว่าง จริงไหม ศิษย์อาจจะบอกว่ายาก แต่อาจารย์อยากบอกว่า ทุกขณะชีวิตของเรากลับไปสู่ความว่าง ถ้าศิษย์ไม่พยายามฝึกใจตอนนี้ เมื่อถึงเวลาศิษย์ที่ต้องทิ้งไปสู่ความว่าง ศิษย์จะทุกข์ที่สุด เหมือนที่อาจารย์บอก “ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ” แค่โดนด่าคำเดียว เอาคำนั้นมาขังตัวเอง ว่าเขาด่าเรา เขาทำเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าคิดว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเวลาเจอทุกข์เราจะได้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัว เหมือนอาจารย์ถามว่าใครในโลกนี้ไม่สูญเสีย ใครในโลกนี้ไม่เจ็บปวด ใครในโลกไม่ต้องตาย เป็นเรื่องธรรมดาของทุกชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มี และเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่สังขารแต่คือจิตที่ตื่นรู้ในธรรม กลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก สิ่งนี้ที่ประเสริฐที่สุด ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์กระจ่างแจ้ง เพราะถ้าเมื่อไรเรานำพาตัวเองได้ เราทำให้ตัวเองร่มเย็นได้ เราก็นำพาครอบครัว สังคมให้ร่มเย็นได้
สิ่งที่อาจารย์หวังอยากได้จากศิษย์ก็คือ ขอให้ศิษย์สงบร่มเย็นในใจได้ ไม่หวาดหวั่น ไม่กลัวทุกข์ มีหัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับความจริงและนำความเข้าใจนี้ไปนำพาคนในโลกให้เขาเข้าใจและตื่นรู้และไม่ทุกข์ แล้วแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นสันติสุข ไม่ทำร้ายกันด้วยความโลภ ความอยาก ความเกลียด ความโกรธอีกเลย แต่ให้กันด้วยธรรม ให้กันด้วยความสงบและดีงาม ดีไหม (ดี)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”)
ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มนุษย์ปรารถนาความสงบใจ ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายใจ อาจารย์ยกตัวอย่าง เหมือนถ้าเราเข้าไปในป่า เราจะไม่ได้ยินเสียงนก ไม่ได้ยินเสียงน้ำ ไม่ได้ยินเสียงลมพัด เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะคือธรรมชาติ เพราะถ้าเข้าไปในป่า ต้องมีเสียงนก เสียงน้ำ เสียงลมพัด นี่คือธรรมชาติ เช่นเดียวกันเราอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมที่เราจะหยุดผู้คนไม่ให้พูด ไม่มีมีเสียง เราจะหยุดให้ทุกคนเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเจอเรื่องที่ทำให้เราไม่สงบ ศิษย์จะเอาแต่หนี ข่มใจ หนีเขาไปให้ไกลๆ แล้วไปหาที่สงบ เวลาที่ศิษย์เบื่อ มีความทุกข์มากๆ ศิษย์ก็ไปไหว้พระเก้าวัด เผื่อว่าจะได้หายทุกข์ แล้วหายไหม (ไม่หาย)  กลับมาเจอหน้าเขาก็เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นข่มใจ ขันติไว้หรือยุบหนอพองหนอ อาจารย์ถามจริงๆ นะ แบบนี้ใช่วิธีแก้จริงๆ หรือ การเอาแต่หนี การคอยแต่จะเปลี่ยนคนอื่น การเอาแต่ข่มใจ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง หนทางที่ถูกต้องคือทำใจให้ว่าง ทุกอย่างก็จะว่างโดยทันที ไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ แค่ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง เมื่อยอมรับได้ความสงบก็เกิดขึ้นทันที ไม่เรียกร้อง ไม่หวังวอน ยอมรับความเป็นจริงของทุกสิ่งว่าล้วนมีธรรมชาติและนิสัยที่แตกต่างกัน เมื่อไม่เรียกร้อง ไม่ยึดมั่น ใจก็จะโล่ง ใจก็จะว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่ทำให้เราเจ็บปวด เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้ สงบแล้วก็จบทันที จริงหรือไม่ (จริง)
แต่มนุษย์ไม่กล้าทำใจว่าง ทั้งๆ ที่ใจว่างมาตั้งแต่เดิมที ความว่างคือธรรมที่เรามีมาแต่เดิม แต่เรายิ่งพยายามจะมีก็คือความ (โลภ โกรง หลง) อาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ให้มีนะ แต่มีอย่างคนไม่หลงได้ไหม ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลสแล้วทำบาปผิดศีล ได้ไหม (ได้)  ศิษย์รู้ไหม เมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันได้กลับมาเจออาจารย์อีกต่อไปนะ ถ้าศิษย์ยินดีจะตกเป็นทาสของความโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันเจอหนทางสว่างอีกต่อไป อาจารย์พูดได้แค่นี้ ฉะนั้นทำสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างคนที่มีศีลมีธรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายอีก เพราะหนทางที่ศิษย์บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ตายก็ตาย ทุกข์ก็ทุกข์ เวียนว่ายก็เวียนว่าย ไม่ง่ายอย่างที่ศิษย์คิดนะ ศิษย์เคยเห็นบางคนไหมเกิดมาน่าสงสาร ทำบุญอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น เป็นเพราะเขากำลังใช้กรรมเก่า เขาเคยมีโอกาสทำดีแต่เขาก็ไม่ทำ คิดแต่ว่าทำไมต้องทำ แล้วศิษย์อยากเป็นคนนั้นไหม (ไม่อยากเป็น)  แล้วศิษย์ยังจะทำอย่างนี้อีกหรือ อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าที่ดีงามในตน อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าธรรมในหัวใจตน ใดใดในโลกมันไม่เที่ยง มันทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่ศิษย์จะยึดมั่นว่านี่คือตัวศิษย์ นี่คือของศิษย์ ยึดจนกลายเป็นโลภ โกรธ หลง แล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือศิษย์ควรจะยืมใช้แล้วเข้าใจ และละวาง คิดดูนะศิษย์ แม้อาจารย์จะพูดปากฉีกถึงรูหูก็เปล่าประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่เอาน่าเสียดายนะ อาจารย์มีความจริงใจเต็มร้อย วันนี้อาจารย์ให้เกินร้อย ศิษย์จะเอาหรือไม่เอาก็ขึ้นอยู่กับศิษย์นะ เอาไปปฏิบัติเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังเมินเฉย อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมจากพม่า)
มีคนมาจากแดนไกล ตั้งใจมาฟังธรรมะนี้ แล้วคนข้างหน้าเขาก็หวังว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นแรงผลักดันให้รุ่นต่อไปเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยเพียงใด ทุกคนต่างมีบุญอันดีงาม แต่เราจะรักษาบุญนี้ให้สืบต่อเนื่อง และนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่พึ่งแต่อาจารย์ แต่ต้องเกิดจากการตื่นรู้เข้าใจในธรรมของตัวศิษย์เอง เพราะศิษย์ทุกคนล้วนมีสภาวธรรมอยู่ในตัว ลองใช้ใจสู่ใจ ใช้จิตสู่จิต ใช้ความดีงามสู่ความดีงาม ใช้หนทางที่ถูกต้องนำพาชีวิต และใช้หัวใจอันบริสุทธิ์นำพาผู้คนได้ไหม อาจารย์ให้ผลไม้เป็นกำลังใจแล้วกันนะ ทำอะไรต้องรู้จักคิดรู้จักทำนะ อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบนำพาให้ศิษย์หลงผิด อุตส่าห์เสียสละไปอยู่ที่นั่น ใช่ไหม
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม อาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์จะอยากจับมืออาจารย์ไหม มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะศิษย์ อย่ายอมแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ เข้มแข็ง อดทน รู้จักฟันฝ่าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็งอย่ายอมแพ้ ตั้งใจอย่าอ่อนแอ  เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับนะ พรอันประเสริฐอาจารย์ให้ศิษย์ไปหมดแล้ว รักษาพรให้ดีและประเสริฐด้วยสติ แล้วรู้จักยั้งคิด ความดีงามรักษาไว้ ทำให้ได้นะ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วนะ ตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมให้ดี อย่าหลงตกเป็นทาสของอารมณ์และกิเลสเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ศิษย์กับอาจารย์ไม่มีวันกลับมาเจอกันอีก จงมุ่งมั่นรักษาศีลธรรมที่ดีงามมีคุณธรรมความเป็นคนให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ ทิฐิ ความดื้อรั้น มาทำให้เราต้องผิดศีลผิดธรรมเลย ใช่ไหมผู้มีปัญญา
ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องและดีที่สุดนะ เพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ อย่าให้มีทุกข์แล้วค่อยทำ แล้วค่อยมาคิดได้ ไม่ทันนะ คิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดเพื่อตัวศิษย์ แต่ไม่ใช่เพื่ออาจารย์เลย แต่ศิษย์กลับทำเฉยชาเหมือนอาจารย์โกหก เหมือนอาจารย์หลอกลวง อาจารย์ไม่เคยคิดจะหลอกลวงศิษย์ สัญญาได้ไหมจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ทำให้ได้นะ อย่าเผลอทำผิดคิดร้าย ทำได้หรือยัง ศิษย์ทุกคนเข้มแข็งนะ ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด รักษาแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ในจิตใจตัวเองนะ ทำให้ถูกต้อง ทำให้ดีงามเท่าที่ชีวิตหนึ่งจะทำได้ กิเลสเพียงนิดก็อย่าได้ให้กล้ำกลายจิต จนเป็นเหตุให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลย


หมายเหตุ เชิงอรรถหน้า ๒๖ อยู่บรรทัดที่สองนับจากบรรทัดสุดท้าย
พาหิย
ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ เป็นเอตทัคคมหาสาวก ผู้ตรัสรู้เร็ว พระพาหิยทารุจีริยะเถระ ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว ท่านได้บรรลุพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถี โดยแสดงธรรมโดยย่อว่า ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ในกาลใดเมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในโลกนี้ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสองนี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากพระพุทธองค์เทศนาจบ พาหิยะก็สำเร็จอรหันต์ ในขณะเป็นคฤหัสถ์ และในระหว่างที่กำลังหาเครื่องสำหรับบรรพชาเป็นพระภิกษุ ท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต
(พระอาจารย์ได้มาเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกครั้ง)
อาจารย์อยากจะมาชาร์จแบตให้ศิษย์ทุกคน ให้มีจิตเหมือนอาจารย์ คือมีจิตที่อนุเคราะห์ มีจิตที่เสียสละ เข้าใจจิตนี้ไหม สืบทอดความมุ่งมั่น สืบทอดปณิธาน สืบทอดจิตใจเสียสละ ร่วมมือกันนะศิษย์นะ เหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนเพื่อนที่ให้เกียรติ ที่เคารพ ที่รักกันด้วยความจริงใจ ที่มีความมุ่งมั่นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะนำพาตัวเราเอง และผู้คนไปให้พ้นทุกข์ ด้วยหัวใจอนุเคราะห์เสียสละ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย ได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้กำลังใจ มาๆ ทุกคน มาจับมือกับอาจารย์ เข้มแข็งนะ มือที่จับร่วมกันแล้วคือปณิธานเดียวกัน มีหัวใจเดียวกัน มีความมุ่งมั่นเดียวกัน ที่เราจะอุทิศ อนุเคราะห์ช่วยเหลือเวไนยด้วยหัวใจที่เสียสละเต็มที่ ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย เคารพให้เกียรติกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ได้ไหมศิษย์ (ได้)  เอาหัวใจอาจารย์ไปนะ หัวใจที่สืบต่อปณิธานที่อยากฉุดโปรดเวไนย  ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมแพ้ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังศิษย์นะ พลังแห่งความมุ่งมั่น พลังแห่งหัวใจที่สู้ไม่ท้อ ได้ไหม (ได้)  หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่เข้มแข็ง ไม่ท้อถอย หัวใจที่รักผู้อื่นเยี่ยงเดียวกับรักตัวเอง ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดใคร มีแต่ใจที่อยากช่วยเหลือและนำพาเขานะ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังใจตรงนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจตรงนี้ ใจที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใจที่มุ่งมั่น รักเขาจริงๆ อย่างใจ ช่วยเขาจริงๆ อย่างที่ไม่เหลือใจตัวเองไว้ยึดถือ ได้ไหม (ได้)  รักเขาให้เหมือนที่อาจารย์รักนะ
เราบำเพ็ญเพื่อปลุกหัวใจแห่งพุทธะ ที่รักเขาจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ที่เสียสละมุ่งมั่น เพี่อให้เขาได้ถึงฝั่งที่ถูกต้องและดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้มแข็ง ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นตัวแทนสืบทอดหัวใจอันนี้ของอาจารย์  ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ได้สมานเป็นหนึ่งเดียวกัน สืบทอดหัวใจจี้กงน้อยๆ สืบทอดหัวใจที่งดงาม สืบทอดหัวใจที่ตั้งใจเสียสละมุ่งมั่น สืบทอดหัวใจที่เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในชีวิต สืบทอดหัวใจที่ซื่อตรงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง  เข้าใจไหมศิษย์
เราร่วมมือกันนะ เราต้องรักกัน เราต้องดูแลกัน เราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อาจารย์ให้กำลังใจนะ ทำให้ดีให้สมกับที่เป็นศิษย์ที่มุ่งมั่นไม่ท้อถอยนะ เราจับมือกันต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงามเพื่อส่งต่ออนุเคราะห์นำพาเวไนย  ต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงาม สร้างหัวใจที่บริสุทธิ์ สร้างหัวใจที่เข้มแข็งนะ ทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง ต้องให้อาจารย์พูดอะไรอีกหรือ อยู่ใกล้อาจารย์แล้ว ไม่ต้องกลัวอาจารย์ทิ้งนะ รักษาหัวใจที่ดีงามนี้ไว้นะ  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่ลืมนะ ว่าทุกหยาดเหงื่อ ทุกหยาดน้ำตาที่ศิษย์เสียสละเพื่อช่วยเวไนย อาจารย์เห็นหมด ต่อไปนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะ ต่อไปนี้ไม่น้อยใจแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ท้อใจแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรามีปณิธานเดียวกัน คือช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นหัวใจที่ช่วยเขาให้พ้นทุกข์ คือเป็นหัวใจที่เข้มแข็งนะ ได้ไหม (ได้)  แล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะอาจารย์มั่นใจในศิษย์แล้ว ไม่ต้องห่วงหน้า ไม่ต้องพะวงหลังอีกต่อไป ใช่ไหม (ใช่) 

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”
    หยุดเขาหรือหยุดใจตน                      หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                               ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                               ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                             สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                  ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                           ความมีคือหลงวุ่นวาย

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
วันที่ ๖–๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๓  ย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๒
เดิม     หนทางไม่มีสายกลาง      แก้เป็น   หนทางไม่มีเส้นกลาง
แก้ไขชื่อเพลงพระโอวาท
เดิม     บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ    แก้เป็น บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนนำหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ        หน้า ๑ วรรคที่ ๒ 
เดิม     ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง 
แก้เป็น ศึกษาธรรมมีสติรู้ธรรมตามจริง
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บทแรก
เดิม     รีบรีบขอต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้เป็น          รีบรีบเข้าต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ขอใจชีวิตตัวเอง  แก้ไข  เข้าใจชีวิตตัวเอง  

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา