แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กราบพระ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กราบพระ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2543-11-25 พุทธสถานสกุลหง (อิ๋งเต๋อ) จ.ชัยนาท


PDF 2543-11-25-สกุลหง อิ๋งเต๋อ #21.pdf

#การกราบพระ #หลักการดำรงชีวิต

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

องค์ประกอบแม้ขาดไม่อาจสมบูรณ์ ประธานพูนความสำคัญไม่เย่อหยิ่ง
คุมชีวิตสู่แนวทางอันแท้จริง ชั้นเชิงชิงไม่สำคัญต่อการบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
บรรยากาศแห่งธรรมกระทบฟ้า เรียนธรรมาต้องนำไปปฏิบัติ
ไม่มีใครสามารถมาจำกัด ตนเองเท่าตนจำกัดซึ่งตนเอง
อย่าได้เห็นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ธรรมะคือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ทำเท่าใดได้เท่านั้นรู้แก่ใจ ขอให้ใช้ปัญญาเดินทางธรรม
ทุกคนต่างมีจิตญาณอันเดิมแท้ เพียงแน่วแน่เดินหน้าย่อมดีกว่า
แม้วันนี้ชีวิตแสนขมนา แต่ภายหน้าจะทุเลาเพราะบำเพ็ญ
ทำใจในสิ่งที่ควรทำใจ ชีพคนใช่ผักหญ้าอย่าล้อเล่น
เจออุปสรรคใจนี้อย่าไหวโอนเอน ขอให้เบนชีวิตเลือกทำแต่ดี
ต่างมีบุญมารู้ทางต้องเดินกลับ อันความลับไม่มีในโลกนี้
ขอเพียงแต่ทำตนเป็นคนดี จะไม่มีต้องผวาอยู่เรื่อยไป
ย้อนส่องตนแต่ละคนเร่งขัดเกลา อย่าดูเบาตนเองนี้เมธีท่าน
วันกลายเดือนกลายปีรู้ไม่ทัน อย่าทอนบั่นตนเองด้วยกิเลสเลย
สร้างคุณค่าให้แก่ตนเพื่อคืนบ้าน วัฏสงสารไม่อาจหยุดลงเองได้
พยายามความสำเร็จเริ่มจากใจ ขอให้ใช้หลักสัจธรรมนำชีวิน
สองวันนี้มีค่าสุดประมาณ ทั้งพูดทำให้ประมาณตนเองยิ่ง
ปิดรูรั่วในใจไม่ประวิง และอย่าทิ้งธรรมะจนกว่าหมดลมหายใจ
ทั้งสองวันขอน้องนั้นตั้งใจเถิด คนประเสริฐทำความดีมีคุณค่า
ชีวิตนี้อย่าปล่อยลอยไปลอยมา ขอเดินหน้าบำเพ็ญจิตไม่ทิ้งกลางคัน
ในวันนี้ศิษย์พี่รับบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องตั้งใจยิ่ง
พุทธะฉุดน้องจากนรกที่จมดิ่ง ขอให้ทิ้งใจสงสัยลงชั่วคราว
จิตกุศลใจเปิดกว้างฟังธรรมยอด อย่าได้กอดใจวิตกให้นานนัก
จิตกุศลเพราะลงมือถือคุณธรรมหลัก และตระหนักใดก่อนหลังลงมือทำ
ความอดทนทำให้คนมีคุณภาพ ให้กำราบใจไม่นิ่งของตนนั่น
ความไม่ดีของใครอย่าวิจารณ์กัน ขอแข่งขันแต่ใจที่เสียสละเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอน้องใช้วิจารณญาณปัญญาเที่ยง
รักษาซึ่งพุทธะระเบียบไม่โอนเอียง และร้อยเรียงสิ่งที่ฟังให้เข้าใจ
หลังจากจบชั้นนี้แล้วยังศึกษา สละเวลาเท่าที่จะทำได้
ย่นทางไกลให้ใกล้ด้วยตั้งใจ ศรัทธาในจิตเดิมแท้ดั่งแสงทอง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระนาจา
เมื่อไม่หวังไม่มีอะไรให้ผิดหวัง เมื่อไม่รั้งสุขยากทุกข์ให้หลีกหนี
ไร้ตัวตนว่างเปล่าแล้วซึ่งธุลี เวลามีอุทิศช่วยเหล่าประชา
เราคือ
ศิษย์พี่ของท่าน นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์อันวุ่นวาย    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีหรือเปล่า

ต้องย่ำอยู่กับที่เพราะพะวง ธรรมะลงมาท่ามกลางโลกยุคเข็ญ
ละกิเลสบำเพ็ญด้วยใจเยือกเย็น ทั้งกายใจบำเพ็ญชนะสิ้นงมงาย
มั่นคงไว้คู่ธรรมกรรมต้องสาง สำนึกด้วยสำนึกมีทางพอแก้ไข
ชีวิตอันจริงแท้สติเป็นใหญ่ มองปัญหาหลายมุมหรือผ่านตา
ลงมือกับแลรออย่างไรแย่ อดทนแก้ค่อยค่อยไม่เฉพาะหน้า
แต่บางเรื่องเวลาเท่านั้นคลายปัญหา ขณะตรองปัญญาได้ใคร่ครวญภายใน
สติรู้เท่าทันไม่เท่ากัน ดุจชลรินช้ากระชั้นทัศนาได้
ห่วงสบายดุจตนขังตนไว้ บังคับไปตามร่องถูกจองจำ
ไหล่เคียงไหล่มุ่งครรลองใจสบาย แม้นหมายมั่นอะไรจิตต้องยุติธรรม
บำเพ็ญคล่องให้สี่คำต้องจำ ขยันปลงตื่นรู้นำฤทัยเรา
น่าดูตามจับมาไม่หมด น่าฟังอดฟังไม่โศกเศร้า
ยิ่งพูดเรื่องราวยิ่งยากบรรเทา ยิ่งเดาคนผิดยิ่งมากทวี
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทพระนาจา

มนุษย์อยู่ด้วยความหวังใช่ไหม แต่พุทธะอยู่ได้โดยไม่หวัง เข้าใจคำนี้หรือเปล่า ไม่หวังก็คือหวัง แต่ถ้าหวังก็ต้องได้ ไม่หวังใช่ไหม (ใช่)  ฟังคำนี้ให้ชัดเจนนะ มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง แต่พุทธะอยู่ได้ด้วยไม่หวัง ต่างกันใช่หรือไม่  เมื่อไม่หวังแม้จะสมหวังก็ไม่เสียใจ  แต่ถ้ามนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง ถ้าไม่สมหวังก็ต้องเสียใจ แล้วอย่างไหนดีกว่ากัน ย่อมไม่หวังดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง แต่พุทธะอยู่ได้ด้วยไม่หวัง เพราะอะไรถึงไม่หวัง เพราะถ้าอยู่ด้วยความหวังเมื่อไม่ได้อย่างหวังย่อมเศร้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอยู่ด้วยโดยที่ไม่หวังอะไรเลย แม้จะไม่ได้ก็ไม่เสียใจ แม้จะได้ก็เป็นอย่างไร เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  เหมือนมนุษย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้ได้ มีชีวิตมีลมหายใจอยู่ทุกขณะได้เพราะอะไร  เพราะใครหรือเปล่า เราอยู่ได้ด้วยตัวเราเอง หรือเราอยู่ได้เพราะมีใครช่วย (ตัวเราเอง)  พุทธะต้องอยู่ด้วยใจที่ไม่หวังถึงจะทำใจได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราไม่หวังตัวเราเองแล้ว เราต้องไม่หวังในตัวผู้อื่นด้วย แล้วเราจะไม่ผิดหวังและเสียใจที่เขาไม่เป็นดั่งใจเรานึก  จริงไหม(จริง)  เหมือนวันนี้ท่านอยู่ร่วมกัน อย่าได้คาดหวังว่าต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ เพราะถ้าเกิดเมื่อท่านคาดหวังแล้ว เมื่อไม่สมดังหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่คิดหวังใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม จงตามให้ทันความคิดแล้วจงคิดให้ถูกทาง แล้วเราก็จะไม่เศร้าในความคิดที่เราคิดจะทำสิ่งใดจริงหรือไม่ (จริง)
“เมื่อไม่หวังไม่มีอะไรให้ผิดหวัง  เมื่อไม่รั้งสุขยากทุกข์ให้หลีกหนี” หลายต่อหลายคนเมื่อได้พบความสุข พยายามที่จะหน่วงความสุขให้อยู่กับตัวเองให้นานที่สุด ไม่ให้สุขนี้กลายเป็นทุกข์เด็ดขาดใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านมีเรื่องน่ายินดี ท่านก็จะพยายามประคับประคองความยินดีของท่านนี้เก็บไว้อยู่กับตัวนานที่สุดใช่ไหม  แต่ทำไมยิ่งเก็บยิ่งรักษากลับยิ่งสูญเสีย และทำลายได้ง่ายกว่าที่ไม่เก็บไม่รักษาใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือชีวิตของมนุษย์  ชีวิตที่ทุกๆ คนต้องเจอ เรายิ่งพยายามหวงแหนประคับประคองให้อยู่กับตัวเรา  แต่ยิ่งหวงเท่าไรกลับยิ่งรักษาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งไหนที่ท่านไม่หวง ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ กลับอยู่ยงคงกระพันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่พบความสุข อย่าได้
เหนี่ยวรั้ง อย่าได้ยื้อยุด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วเราจะไม่เป็นทุกข์  เมื่อความทุกข์มาหาตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  จงคิดว่าสุขกับทุกข์คือสิ่งเดียวกัน จงคิดว่าทุกข์ก็อาจจะสุขและสุขก็อาจจะทุกข์ก็ได้  แล้วเราก็จะได้ไม่ทุกข์มากเมื่อความสุขเปลี่ยนเป็นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรงจะเหมือนคนตายทั้งเป็นหรือไม่ (เหมือน)  วันนี้ท่านว่าท่านเหมือนคนตายทั้งเป็นไหม  เรารู้สึกว่าท่านไม่มีความกระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า ไม่มีความกระตือรือร้นเลย  เราได้ตื่นและเตรียมพร้อมที่จะฟังโดยไม่เมื่อย ไม่เหนื่อยล้าแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ปลุกจิตใจตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า เราไม่อยากเห็นพุทธะที่ห่อเหี่ยวและหดหู่หมดแรง เหมือนต้นไม้จะตายไม่ตายแหล่
พูดธรรมะมากๆ เดี๋ยวกลัวท่านจะเบื่อ ลองไปพูดอะไรที่ไกลๆ บ้างทำให้จิตใจท่านกระปรี้กระเปร่า มีความสนุกสนานดีหรือเปล่า (ดี)  ประตูแห่งธรรมะเมื่อจะก้าวอย่าได้จำกัดว่าธรรมะต้องเคร่งครัด ต้องสงบนิ่ง มิใช่เช่นนี้  คำว่าธรรมะคือธรรมชาติ แต่จะทำอย่างไรให้ธรรมชาติแห่งชีวิตมีธรรมะอยู่ในตัวตน  ให้เราไปไหนแล้วสามารถกลมกลืนอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมใช่ไหม (ใช่)  นี่ถึงจะเรียกว่าธรรมะที่แท้จริง และรู้จักนำธรรมะไปใช้ในชีวิตได้อย่างถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ไร้ตัวตนว่างเปล่าแล้วซึ่งธุลี”  ท่านสังเกตเห็นขวดหรือกระป๋องไหมว่าเมื่อมีรูปร่างจึงสามารถบรรจุสิ่งต่างๆ ลงไปในขวดหรือในกระป๋องได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไร้รูปร่างสิ่งต่างๆ จะบรรจุลงในขวดหรือในกระป๋องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วคำว่าไร้อัตตาตัวตนต่างอะไรกับสิ่งที่เราพูดสักครู่ ต่างกันไหม (ไม่)  ใครสามารถตีกลับไป แล้วเอาไปนึกให้สอดคล้องได้ นั่นก็คือตัวตนเราก็เหมือนกับกระป๋องใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีที่ว่างก็มีสิ่งต่างๆ ให้บรรจุ  หากเป็นสิ่งหอมคนก็รุมตอม หากเป็นสิ่งเหม็นคนก็หนีหาย  แต่เป็นแมลงวันตอมใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน ในตัวของบุคคลนั้นไม่ว่าจะมีอะไรบรรจุก็ตาม  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหอมหรือเหม็นอย่างไรก็มีคนหมายปองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เรามีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เหมือนกระป๋องอาหารที่มีหลากหลายชนิดให้เลือกลิ้มรสใช่หรือไม่ (ใช่)  รสต่างๆ ย่อมมีคุณสมบัติที่ดีแตกต่างกันไป ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองที่มีความดีบ้าง ไม่ดีบ้าง  เพราะในความดีบ้างไม่ดีบ้าง สักวันหนึ่งอาจมีคนเห็นคุณค่าและชื่นชม  สักวันหนึ่งอาจมีคนไม่เห็นคุณค่าแล้วทอดทิ้งก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเลือกอาหารก็ปลงว่าเหมือนชีวิตคนเราเลยจริงไหม (จริง)  ชีวิตคนเราก็เหมือนกับกำลังไปเดินซื้อของ เราเข้าไปในที่ขายของ อันนี้ต้องใจเราก็หยิบมาเก็บไว้ อะไรไม่ต้องใจบางครั้งเราก็อดตำหนิติเตียนไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำพูดกล่าวไว้อยู่อย่างหนึ่งว่า ”เมื่ออยู่กับตนเองจงสำรวจข้อผิดพลาดของตน เมื่ออยู่กับผู้อื่นอย่าได้ตำหนิติเตียนผู้อื่น”  เพราะใครๆ ก็ไม่อยากเป็นสินค้าให้ท่านมาตอม  ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนในห้างสรรพสินค้า เราก็จงอย่าได้ต่อว่าตำหนิติเตียนซึ่งกันและกันดีหรือไม่ (ดี)  เพราะต่างคนต่างก็เป็นปลากระป๋องที่มีทั้งหอมทั้งเหม็นใช่ไหม (ใช่)  เอาเป็นผักดองก็แล้วกัน เพราะที่นี่เขาไม่ให้กินเนื้อสัตว์  แต่เราไม่อยากบอกว่าท่านเป็นผักดองเลย เพราะท่านพอตากลมมากๆ ก็เหม็น ตากเย็นมากๆ ก็เหม็นจริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนเนื้อสัตว์ตากทิ้งไว้ก็เหม็น ไม่ว่าจะตากลม ตากร้อน ตากเย็นก็เหม็น แต่ผักนี้ตากลมนานๆ เป็นอย่างไร  แห้งและไม่เหม็นฉุนเท่ากับเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนไม่ว่าจะอยู่เหนือ อยู่ใต้ อยู่ร้อน อยู่หนาว ก็เหม็นได้ทุกสภาวะถูกไหม (ถูก)  ไม่เหมือนผัก แม้เก็บในที่เย็นก็ไม่ค่อยเหม็นใช่หรือไม่ (ใช่)
ปัญหาแรกที่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขนั่นก็คือ ความระแวงสงสัย กินแหนงแคลงใจ  ฉะนั้นไม่ว่าอยู่กับใคร หรือว่าอยู่กับคนในบ้าน หรือว่าอยู่กับผู้อื่นก็ตาม  ถึงแม้ว่าเราจะเคยร่วมงานกันมา แต่ถ้าเกิดมีความระแวงสงสัย ไม่ไว้ใจกันแล้ว จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราอยู่กับผู้อื่นได้อย่างไม่
ราบรื่นและกลมเกลียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่อยู่ด้วยความระแวงสงสัยย่อมเป็นทุกข์ใจมากกว่าคนที่อยู่ด้วยความไม่ระแวงใคร มีแต่ความไว้ใจ ให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ศิษย์พี่จะอยู่กับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะอยู่กับศิษย์พี่อย่างเป็นสุขหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าศิษย์น้องมีความสงสัยในใจหรือเปล่า  ศิษย์น้องมีความระแวงหรือไม่ หากมีจงรีบขจัดทิ้ง เพราะถ้ามีเมื่อไร ศิษย์น้องจะทุกข์มากกว่าศิษย์พี่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีแต่คนที่คิดเท่านั้นที่ทุกข์ ส่วนคนที่ไม่คิดตรงนี้ก็จะไม่ทุกข์ และจะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างสบายใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งอยู่ด้วยความสบายใจ ไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องอยู่กับเขาด้วยการเปิดใจกว้างและวางใจเป็นกลาง เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ร่วมกันแล้ว เราไม่คิดอะไรและเขาก็ไม่คิดอะไรเลยก็ เป็นไปไม่ได้  การอยู่ด้วยกันต้องอยู่อย่างเปิดใจกว้าง และวางใจเป็นกลางอย่าคิดเอาฝั่งไหนมากกว่า  ไม่อย่างนั้นความคิดจะทำให้เราต้องเจ็บและทุกข์คนแรก ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นตัวเรา เหมือนเราทำงานร่วมกับเพื่อน เรารู้ว่าเขาทำได้ไม่เต็มเวลา เราต้องทำเต็มและหนักกว่าเขาเป็นเท่าตัว  ถ้าเราทำไปด้วย แล้วคิดไปด้วยเราทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นหากเราทำไปด้วยแต่เราไม่คิด เราจะสบายใจและจะทำให้เขากลับตัวกลับใจไม่ช้าก็เร็วในวันใดวันหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันขอให้ไว้ใจ เคารพ ให้เกียรติ แล้วเราจะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข  แต่ถ้าหากว่าอยู่กันแล้วเขาไม่เคยให้เกียรติ เขาไม่เคยไว้ใจ เขาไม่เคยให้ความสำคัญ กลับดูถูกดูหมิ่น อันนี้ไม่ต้องเสียใจ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าทำให้เราได้ฝึกตัวตนเองว่าเราเข้มแข็งไหม ว่าเราได้เสียสละอุทิศหรือเปล่า  หากอยู่กับใครก็ตามเขาไม่เคยให้ความสำคัญ เขาไม่เคยเชื่อใจ เขาไม่เคยรักเราอย่างจริงใจ  ไม่ต้องเสียใจ ศิษย์พี่ขอยกนิ้วให้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ศิษย์น้องได้ฝึกตัวเองยิ่งหนักใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะท่ามกลางความยากลำบากจะเกิดบุคคลที่หาญกล้า  ไม่มีใครที่จะเกิดมาท่ามกลางความสบาย และเป็นที่เคารพยกย่องนับถือของใครใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคใดๆ ขอให้ศิษย์น้องคิดให้ดี เพราะในอุปสรรคและความยากลำบากนั้นกลับมีแง่คิดและแง่ธรรมให้เราได้ฝึกฝนตน  แต่ในความสะดวกสบายกลับทำให้เราเผลอและลื่นไหลลุ่มหลงตน ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรในโลกนี้ จะทุกข์ จะสุข จะยากดีมีจน จะมีคนชอบ จะมีคนชัง หากคิดให้ดีแล้วล้วนมีแต่ธรรมะสอนใจทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้ปัญญาและรู้จักนำใจเรานี้โน้มเอียงไปหาธรรมะหรือว่าโน้มเอียงไปใฝ่ต่ำคิดชั่วร้ายกันแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องอยู่กับศิษย์พี่ด้วยใจที่มีแต่ธรรม และมั่นคงในธรรม ทำได้ไหม (ทำได้)  แล้วไม่ว่าปีนี้ปีหน้าหรือปีไหนๆ ศิษย์พี่ก็จะได้เห็นหน้าศิษย์น้องทุกๆ วันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จักนำใจเราให้ใกล้ชิดธรรม ไม่รู้จักคิดในสิ่งที่ดี เอาแต่ใจตัวเองใฝ่ต่ำไป พุทธะจะไม่มีวันได้เจอศิษย์น้องแน่ อยากเอาสิ่งใดพุทธะหรือพญามาร (พุทธะ)  พุทธะเป็นแน่แท้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต้องย่ำอยู่กับที่เพราะพะวง”  คนเรานั้นไม่สามารถก้าวหน้าไปไหนได้หากยังมีความวิตกกังวล ถึงแม้จะก้าวไปก็ยากที่จะก้าวไปได้อย่างเต็มที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้หากศิษย์น้องย่ำอยู่ตรงนี้ แต่ยังมีความพะวงความกลัดกลุ้มในเรื่องส่วนตัว เรื่องทางบ้าน หรือเรื่องปัญหาคาใจ ฟังธรรมะก็จะฟังได้ไม่เข้า คุณธรรมก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มพูนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้จงตั้งใจฟังให้ดีๆ มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมาก็ต้องก้าวเดินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก้าวสั้น บางคนก้าวยาวใช่หรือไม่  บางคนก้าวใกล้ๆ บางคนก้าวไกลๆ ไม่ว่าสั้น ไม่ว่ายาว วัดกันได้แค่ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นแค่ความแตกต่าง  แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ดูแค่ชั่วขณะหนึ่ง หรือชั่วขณะก้าว แต่การจะดูที่แท้จริงคือดูในระยะไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตัวศิษย์น้องบางครั้งรู้สึกท้อแท้ใจ เรารู้สึกหดหู่ใจ คนอื่นก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วทำไมเรายังย่ำอยู่กับที่ คนอื่นสามารถทำงานได้ แต่ทำไมเราถูกซองขาวให้อดทำงานใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนมีเงินมากมาย แต่ทำไมเราได้เงินเล็กน้อย แต่ต้องทำงานเป็นสิบๆ เท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอาจจะดูได้ตรงนี้แค่สั้นๆ แต่เราอย่าได้ดูเบาตัวเอง คนที่เริ่มต้นยากลำบากนั้นหรือคนที่เราเห็นว่าเค้าสบายนั้น ล้วนต้องเกิดจากความมานะพยายาม ลำบากมาก่อนด้วยกันทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าวัดในขณะนี้ เราต้องวัดตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่เขาจะมาถึงตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนตัวเรานั้น เราก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง เราต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็ต้องอดทนกับตัวเองว่าการเริ่มต้นตรงนี้ เป็นการเริ่มต้นที่ก่อพื้นฐานเท่านั้น  เราพร้อมที่จะก้าวกระโดดข้ามต่อไปได้เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเมื่อเราเริ่มต้นจะก้าว เราต้องรู้ด้วยว่าเราเริ่มต้น เมื่อเราก้าวต้องรู้ด้วยว่าเราก้าว นี่แหละคือจุดเริ่มต้นในการทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าเรามีชีวิตเริ่มต้นก้าว ไม่รู้ว่าก้าวอย่างไร ไปแล้วก็ไม่รู้ว่าไปไหน เช่นนี้เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเหมือนตัวศิษย์น้องทุกคนอยู่ในที่นี้ถามว่าไปไหน ตอบว่าไม่รู้ต้องไป มีหลายๆ คนพูดแบบนี้ รู้แต่เพียงว่าอยู่บ้านไม่ได้ อยู่บ้านไม่ติด ต้องออกไป แต่ไปไหน ไปทำไม เคยถามตัวเองไหม ไม่รู้ อย่างนี้เริ่มต้นไม่ถูกแล้วจะไปถึงจุดหมายที่ไหนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตเริ่มต้นต้องวางให้ถูก แล้วก้าวต่อๆ ไป จึงไปได้อย่างมั่นคงและสัมฤทธิ์ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ศิษย์น้องมาเริ่มต้นศึกษาหลักธรรม การที่จะเริ่มต้นศึกษาหลักธรรมนั้น จะไปแต่กายใจไม่ไปไม่ได้ จะมีแต่ใจตัวไม่ไปก็ไม่ดี ต้องไปทั้งใจและกายใช่หรือไม่ (ใช่)  จะไปได้ทั้งใจและกายนั้น เรามาเริ่มต้นที่ใจก่อนดีไหม (ดี) หรือว่าเริ่มต้นที่กายก่อนดี ศิษย์พี่เปลี่ยนใจเริ่มที่กายก่อน
หลายต่อหลายคนนั้นมีตาก็ชอบมอง มีหูก็ชอบฟัง มีมือก็ชอบจับสัมผัสใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่เข้าไปในร้านซื้อของแล้วไม่จับ เขาไม่ให้แกะดู อุตส่าห์มีซองใสๆ ก็ยังแกะดู  เสร็จแล้วไม่เอาวางตามเดิม ขอให้ได้จับได้ดู ได้เห็นสักนิดหนึ่ง นี่เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรานั้นยากที่จะวางใจให้สงบนิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเริ่มที่ภายนอกก่อนแล้วค่อยเข้าไปสู่ใจ แต่ถ้าหากว่าศิษย์พี่เปรียบเทียบกับโลกใบนี้เหมือนโลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ศิษย์น้องเหมือนแมลง บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามหู บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามลูกตา บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามมือไขว่คว้า แต่บางคนเป็นแมลงที่ไม่ไปตามหู ไม่ไปตามตา และไม่ไปตามมือ ศิษย์น้องอยากเป็นแมลงตัวไหน  แมลงที่บินไปตามตาเห็นอะไรสวยย่อมมอง อะไรยิ่งสวยก็ยิ่งมอง แมลงที่บินไปตามหู ได้ยินอะไรก็ฟัง แมลงที่บินไปตามมือเห็นอะไรก็อยากจะไปจับ แต่ถ้าศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องเป็นแมลงที่เหมือนไม่มีหู ไม่มีตา ไม่มีมือคงเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะธรรมชาติให้ศิษย์น้องมาครบหมดแล้ว นี่เป็นโชคดีอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตามีไหม บอดไหม (ไม่บอด)  เหมือนบอดนะศิษย์พี่ว่า มีก็เหมือนบอด  บางครั้งเห็นว่าไม่หล่อก็หล่อ ไม่น่าฟังก็ฟัง ไม่น่าจับ เหม็นก็วาง เรามีหูมีตาไว้ทำไม ในเมื่อมีแล้วก็ทำให้เราเกิดกิเลส ฉะนั้นตัดมันทิ้ง ควักมันออกดีไหม (ไม่ดี)  ดีนะเพราะบางทีตาก็ชอบทำให้เกิดปัญหา หูนี้ชอบให้หาเรื่อง มือชอบไปรังแกเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างน้อยชีวิตนี้ก็เคยได้มองแล้ว ได้ยินแล้ว ได้สัมผัสแล้ว ก็พอแล้ว เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเราจะทำยังไงดี ไม่ตัดก็ไม่เอา แต่ถ้าไม่ตัดเลยกิเลสก็ยังคงหนาอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรก็ยังอยากดูอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าอายุมากอายุน้อยเราก็เห็นตาฝ้าฟางแล้วก็ยังดูเข้าไปเถอะ ตาดีชัดแจ๋วดูใหญ่ จริงไหม (จริง)  พอบอกว่าเป็นเรื่องผิดศีลนะอย่าดู  แหมก็มันล่อตาล่อใจ ใช่ไหม (ใช่)  งั้นเราจะทำยังไงดีถึงจะแก้ให้สิ่งที่มีอยู่นั้นไม่ก่อให้เกิดกิเลส และไม่ก่อให้เกิดตัณหา ใครตอบได้บ้าง (หลับตา, ไม่ยึดติดความสัมผัสทางกายและใจ)  นั่นก็คือไม่ยึดติดในสิ่งที่มอง บางครั้งเราเห็นก็อย่าเชื่อใจในสิ่งที่เห็นมากเกินไป เราอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจนมั่นใจเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าเชื่อในสิ่งที่เราจับมากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะสิ่งที่จับนั้นล้วนเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้ท่านยืนยันว่าของที่ท่านจับอยู่ตรงนี้ แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่อยู่ตรงนี้ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คืออย่ายึดติด
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่งออกมาเดินโดยปิดหูปิดตา)  ตาปิดไว้ หูอุดไว้ แล้วเดินซิ  เดี๋ยวลงไปกินข้าวนะ ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ใช่ไหม ศิษย์พี่บอกตัดทิ้งก็ไม่ได้ จะปิดก็ไม่ได้ เพราะศิษย์น้องเกิดมามีหู มีตา จะทำเหมือนคนตาบอดหูหนวกมือใช้ไม่ได้ ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นห้ามพูดออกมา ถ้าพูดผิดแล้วมีคนทำตาม เขามาว่าท่านจะโกรธเขาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่จะสามารถทำได้นั่นก็คืออะไรรู้ไหม แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ ก็ไม่ยากเลย  เมื่อเวลาจะมอง จงมองให้กระจ่าง หรือง่ายๆก็คือเมื่อจะมองต้องมองให้ชัด เมื่อได้ยินต้องได้ยินให้ถ้วนถี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมือจะทำสิ่งใดต้องรู้จักคิดถึงโทษก่อน เพราะการกระทำเป็นเหตุให้เกิดโทษได้ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด มือจะขยับอะไร ขอให้นึกถึงโทษก่อน เมื่อนึกถึงโทษแล้วมือจะไม่กล้าทำผิด แม้ตาจะเห็น แม้หูจะได้ยิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตัวก็จะไม่ให้เราผิดพลาดด้วย แล้วไม่ก่อให้เกิดกิเลสด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ว่าจะตาดู หูฟัง ทำได้แล้ว ไม่ก่อให้เกิดกิเลสแล้ว คราวนี้ก็มาสู่จิตใจบ้าง  ใจมนุษย์ถ้ามีตัวตนย่อมคับแคบ ถ้ามีความวุ่นวายสับสนย่อมยากที่จะวัดอะไรได้เที่ยงยุติธรรม  จริงไหม (จริง)  เมื่อมีตัวตนทำไมจึงคับแคบ  ไหนใครบอกว่าคลื่นลูกหลังมาแรงกว่าคลื่นลูกแรก  ศิษย์พี่เห็นคลื่นรุ่นหลังยังไม่ทันขึ้นสูง ยอมแพ้แล้ว   ใครตอบได้ว่าอย่างไร (ความเห็นแก่ตัว, เห็นประโยชน์ของตัวเองมาก่อน, มีความทะเยอทะยานสูงในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ)  มีความทะเยอทะยานสูงในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ ไม่ว่าจะผิดหรือจะถูก ขอให้ตัวเองได้สูงๆ ไว้ก่อน เป็นคำตอบที่ถูกต้อง  บางครั้งเราอยากไปให้สูงที่สุด  การไปของเราจึงพยายามที่จะไม่สนใจว่าอะไรก็ได้ขอให้ตัวเองสูงไว้ก่อน ใครที่มาขวางทางสูงโดนเบียดตกไปหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์น้องอีกท่านตอบไว้ก็คือว่า บางครั้งเรามีความเป็นตัวของตัวเรามาก เพื่อตัวเรามากเกินไป จึงไม่สนใจฝ่ายอื่นหรือส่วนรวมว่าจะโดนผลกระทบอย่างไร  แต่จริงๆ แล้วศิษย์พี่ให้คำสรุปง่ายๆ เป็นเพราะว่าเรามีตัวตนจึงคับแคบ  แต่ถ้าเมื่อใดไม่มีตัวตนย่อมว่าง จริงไหม (จริง)  ดูง่ายๆ ที่ผืนหนึ่งพอมีคำว่า “บ้าน”  ที่เลยแคบลงเป็นบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  พอมีคำว่า “ห้อง”  จากบ้านไปแคบลงไหม (แคบ)  จากที่นากว้างๆ กลายเป็นมีบ้าน จากมีบ้านกลายเป็นห้องเล็กๆ จากห้องก็มีมุมของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็นั่งที่นั่งของตัวเอง  สังเกตไหมว่ามนุษย์เราเมื่อมีตัวตน เมื่อได้สิ่งของเราย่อมพยายามตีตัวเองให้แคบ แคบที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จากที่กว้างกลายเป็นเหลือชีวิตอยู่แคบ มุมนี้มุมของฉัน มุมนี้มุมของศิษย์น้อง ห้ามใครมายุ่งพอเคลื่อนที่หน่อย ก็ว่าใครมายุ่งโต๊ะฉัน  ใครมายุ่งบ้านฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความคับแคบจึงบังเกิดเพราะว่ามีตัวตน มีของๆ ตน  เมื่อแคบแล้วจะมองโลกให้กว้าง จะมองคนให้ชัด ชัดไหมดวงตานี้  ไม่มีทางชัดหรอกศิษย์น้อง  แม้ใจจะบอกตอนต้นว่า เมื่อตามองต้องมองให้ชัด  แต่ถ้าตานี้มีตัวตน มีเจ้าของ  มองไม่ชัดหรอก  แม้หูจะได้ยิน  ก็ได้ยินได้จำกัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรที่ชอบหูจะฟัง อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่ชอบที่ชังนั้นยุติธรรมไหม ก็ไม่ค่อยยุติธรรมด้วยจริงหรือไม่ (จริง)  แม้จิตใจจะคับแคบก็ใช่ว่าจะกว้างขวางไม่ได้  แม้จิตใจที่คิดว่ากว้างขวาง ก็ใช่ว่าจะไม่คับแคบหรือคับแคบไม่เป็น มันไม่แน่ไม่นอนและเราจะทำอย่างไร ก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมใจตัวนี้อย่ามีตัวตนมาก อย่ามีขอบเขต อย่ามีความเคยชินมาก  พอมีความเคยชินก็จะจำกัดตัวเองให้แคบลง  พอมีอารมณ์ยิ่งตีซอกความเคยชินให้แคบลงเข้าไปอีก ใช่ไหม (ใช่)  มีเคยชิน มีอารมณ์แล้วพอมีตัวตนเองก็ยิ่งเล็กลงไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวตนทิ้ง ตัดอารมณ์ทิ้ง วางสิ่งต่างๆ ทิ้ง แล้วเราก็จะอยู่อย่างกว้างขวาง ได้ยินอย่างแจ่มชัด มองเห็นอย่างชัดเจน ง่ายไหม  ฉะนั้นแม้ว่าจะแคบตอนนี้แต่ต่อไปจะกว้างใหญ่ขึ้น  แม้ตอนนี้จะมีตัวตน มีความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ต่อไปจะละความเคยชิน ละอัตตาตัวตนให้เบาบางน้อยที่สุด ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกเรื่องใจกว้างแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์น้องจะเป็น นั่นก็คือกว้างแล้วแต่ไม่สามารถทำจิตใจให้ใสสงบและยุติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายอมรับไหมว่าเราเป็นคนที่แม้ตัวจะตรง ยืนตรงแต่ใจไม่ค่อยตรง เป็นไหม (เป็น)  อะไรที่รักมากเราก็จะเอียงมากหน่อย ใช่ไหม  อะไรที่เราเกลียด เราก็จะห่างให้มากใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะแบ่งให้ใคร บางครั้งตัดทีหนึ่ง เรายังรู้สึกว่าแบ่งได้ไม่เท่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี เราถึงจะสามารถขจัดใจที่ไม่ยุติธรรม เอนเอียงนี้ให้ตรงเที่ยงได้ นั่นก็คือลดความปรารถนาใคร่อยากให้น้อยลง  มนุษย์เราเพราะมีความปรารถนาใคร่อยาก ความปรารถนานี้จึงทำให้มนุษย์นั้นเอนเอียง ไม่สามารถตรงเที่ยงได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนเวลาเราอยากได้เงิน เราก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้เงิน ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะคดโกงหรือฉ้อฉล ไม่ว่าจะแอบจิ๊กหรือว่าทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้เรายิ่งมีความปรารถนาบ้าง จิตใจเรายิ่งยากจะตรง  เมื่อมีความปรารถนาใคร่อยากมาก จิตใจเรายากที่จะใสสงบนิ่ง  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีเฉพาะหน้า  น้ำไกลไม่สามารถดับไฟใกล้ได้ ความสุขที่ศิษย์น้องพยายามแสวงหามากมายเพื่อมาถมให้ตนเองมีนั้น บางครั้งไม่สามารถทำให้ตนเองสุขได้เท่ากับตอนนี้  ขณะนี้รู้จักปรับใจตัวเอง เอาชนะใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่างที่ศิษย์พี่บอก แม้จะหามามากมาย  แม้จะเอาเวลาทุ่มเพื่อให้ตนเองมีเงินมากมาย  แต่ถ้าศิษย์น้องไม่มีความสุข ที่วิ่งไปหาแม้ได้มาก็ยากสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขในโลกนี้ไม่ใช่อยู่ที่การแสวงมีเงินทอง  แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเจอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ลาภยศหรือเงินมีอยู่ในกระเป๋าเท่านี้ ศิษย์น้องสามารถสุขได้ไหมกับคนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้ ศิษย์น้องสามารถสานให้เกิดความสุขได้หรือไม่ ผูกบุญสัมพันธ์ให้เกิดความสุขได้หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่อยู่ที่การไปมีคนไกลๆ แล้วเรามีความสุข  แต่อยู่ที่ว่าเราสุขกับคนใกล้ตัวได้หรือไม่  ถ้าศิษย์น้องคิดว่า ต้องไปบ้านโน้นแล้วมีความสุข ต้องเจอคนนี้แล้วเราจะมีความสุข เช่นนี้หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่  ความสุขที่แท้จริงก็คือ อยู่ที่ตัวเองสามารถสุขขณะนี้ได้หรือเปล่า  สุขในเสื้อผ้าแบบนี้ได้หรือไม่ สุขในของเท่านี้ได้หรือเปล่า จริงไหม  เมื่อศิษย์น้องพึงพอใจในสุขเท่านี้ เอาน้ำใกล้ดับไฟที่เกิดใกล้ๆ ตัว ย่อมทันกว่าเอาน้ำไกลมาดับไฟใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากคิดได้เท่านี้ศิษย์น้องก็จะเป็นคนที่ไม่ปรารถนาอะไรเกินตัว  จะรู้จักพึงพอใจตามอัตตภาพ และความคดความลำเอียงก็จะเกิดได้น้อยที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  คือเราเริ่มต้นจากตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้อยู่กับคนนี้แล้วมีความสุข ทั้งที่แต่ก่อนไม่รู้ว่าสุขกับคนนี้เป็นอย่างไร  ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกอมแม้จะเปรี้ยวก็สุขและสุขจริงๆ  นี่คือการสร้างความสุขให้กับตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้นั่งฟังบนเก้าอี้นี้แล้วมีความสุข  ถ้าศิษย์น้องเริ่มต้นทำตรงนี้ได้ แม้จะอยู่โดยไม่มีเงินทอง ศิษย์น้องก็เป็นสุขได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นี่คือการทำความสุขด้วยตนเองง่ายๆ เท่านี้เองไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งแล้วติดใจไม่อยากลุก  นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งของพวกเราใช่ไหม แต่ทำยากเหลือเกิน  กลายเป็นคนมีอัตตามีอารมณ์  มีความสุขต้องเป็นอย่างนั้น มีความสุขต้องเป็นอย่างนี้ ลุกยากไหม (ยาก)  ถ้าเราไม่รู้ว่าเก้าอี้นี้นั่งมากๆ แล้วเจ็บก้น  เราจะลุกไหม (ไม่ลุก)  เหมือนอารมณ์ความเคยชินที่ตัวศิษย์น้องมี หากเรายังพึงพอใจมาเป็นของฉัน ฉันเป็นอย่างนี้ ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันยังไม่สุข  ศิษย์น้องจะลุกจากเก้าอี้ตัวนี้ได้อย่างอิสระไหม (ไม่)  ไม่อิสระลุกได้อย่างง่ายดายและองอาจไหม (ไม่)  จะสลัดก็ไม่หลุด จริงหรือไม่ ฉะนั้นอยากจะแก้ไขสิ่งใดก็ตามให้ตัวเองได้ดีขึ้น คือเมื่อรู้วิธีแล้วจะต้องตัดทันที ถ้าตัดทันทีไม่ได้พยายามมองให้เห็นข้อผิดพลาดที่ตัวเองมีเป็นอย่างไร  เราเป็นคนขี้โมโห เวลาโมโหแล้วหน้าอินทร์หน้าพรหมไม่ฟังทั้งนั้น มากี่คนฟาดเรียบ ใช่หรือไม่ พ่อแม่ไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แฟนไม่เกี่ยวเพราะโมโห จริงไหมศิษย์น้องแล้วแก้ได้ไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนเวลาศิษย์น้องหลงชอบเก้าอี้ตัวนี้ นั่งตรงนี้ก็ดี นั่งตรงนี้ก็สบาย มุมไหนก็ดูดีไปหมด ใช่ไหม  อย่างนี้จะลุกไหม ไม่ลุกหรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะลุกได้จากความหลง เราจะรู้ตื่นได้จากตัวตนนั่นก็คือ เราต้องย้อนมองตนก่อน  เห็นก่อนว่า เรามีอะไรผิด มีอะไรที่ไม่ดี จงมองอย่างแท้ มองอย่างกระจกย้อนตัวเอง แล้วเมื่อเราเห็นว่าอะไรดีไม่ดี เราจะสามารถยุติธรรมกับตัวตน  เมื่อตัวตนยุติธรรมจะกลัวอะไรกับคนอื่น เราต้องเที่ยงธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ง่ายไหมบางครั้งเราลืมไปเลยว่าเรานั่งอยู่ บางครั้งก็ลืมไปเลยว่า เรากำลังโกรธอยู่ เป็นไหม  บางทีกำลังโกรธอยู่ มีคนบอกว่า ต้องรีบขับรถไปทันทีมีคนเกิดอุบัติเหตุ เธอต้องไปช่วยเพราะเป็นลูกเธอ ก็รีบไปไม่ทันได้โกรธ เพราะลืมไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ยากเลยกับการกำจัดกิเลสในใจตน มองตัวตนให้แจ่มชัด  เมื่อมองได้แจ่มชัด คราวนี้ก็สบายแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  สบายอะไร ทำไมสบายใจ  เพราะว่าทำตัวเองได้เบาขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เราอยู่บนโลกนั้นเหมือนคนที่ตอนแรกมาตัวเปล่า นี่สวยเอามาแบกไว้ นี่ดีเอาเก็บไว้  นี่ก็น่าหยิบเอามาแปะไว้เต็มตัวไปหมดเลย  เวลาจะนอนทีนอนไม่หลับ เพราะว่าคิดโน่นคิดนี่ เต็มหัวสมองไปหมด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบางครั้งต้องรู้จักปล่อยบ้าง รู้จักตัดทิ้งบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องต้องคิดไว้เสมอว่า ทุกๆ คนไม่ว่าหนุ่มหรือสาว อย่างไรก็ต้องแก่อายุมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากวันนี้ศิษย์น้องไม่ห่วง ไม่ดูแลผู้สูงอายุ ไม่ว่าเขาจะเป็นญาติพี่น้องเราหรือไม่ใช่ก็ตาม หากเราเห็นเขาเดือดร้อน จงยิ้มด้วยไมตรีแล้วยื่นมือช่วยเหลือ  เมื่อเวลาเราแก่เฒ่า ลูกหลานไม่อยู่ใกล้ คนอื่นก็จะช่วยเหลือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราแก่เฒ่าจงหมั่นยิ้มไว้ เพราะรอยยิ้มของผู้เฒ่าผู้แก่นั้น น่าชิดใกล้ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่า ไม่ว่าอายุมาก ความทุกข์ผ่านมากี่ร้อนกี่หนาวอย่างไรก็ตาม ต้องยิ้มให้ออก  เพราะยิ้มออกเมื่อไร จะเป็นจุดที่ทำให้ลูกหลานชิดใกล้ไม่หนีห่างเราไป  ทำไมเราแก่แล้วอายุมากลูกกลับหนีหลานกลับทิ้ง  เพราะเราทำหน้าบึ้งอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ้มๆ ไว้ เป็นการเริ่มต้นที่ทำง่ายๆ แล้วลูกหลานก็จะมาหา  มากี่ทียายก็ยิ้ม ไม่ใช่มากี่ทียายก็ทำหน้าบึ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงทำไว้จะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
ตอนนี้ศิษย์น้องรู้จักควบคุมตัวเองแล้ว  ทำอย่างไรให้ตัวเองมีกิเลสน้อย ทำอย่างไรให้ตัวเองสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข นั่นคือ ต้องมีใจกว้างและบริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำว่า “ใจกว้าง”  จะทำให้เราอยู่กับเขาได้อย่างเป็นมิตร คำว่า “บริสุทธิ์ ยุติธรรม”  จะทำให้เราอยู่กับเขาได้อย่างยั่งยืนนาน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่เปิดใจกว้างก็ไม่มีใครอยู่กับเราได้แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมีสองอย่างนี้ แล้วศิษย์น้องก็รู้วิธีใช้สองอย่างนี้แล้ว เมื่อรู้แล้วกลับไปทำให้ได้ ใจกว้างทำอย่างไร (เสียสละ)  เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่จะพูด  แต่ตอนแรกที่ศิษย์พี่บอกคือ การที่จะให้เราใจกว้างได้คือ การที่เรามีตัวตนน้อยที่สุด  เพราะเมื่อไหร่ที่มีตัวตนน้อยขอบเขตก็จะจำกัด ความเป็นตัวตนของเราก็จะไม่ถูกตีให้เป็นช่องแคบๆ แต่จะเปิดกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตต้องยุติธรรมและจะทำอย่างไรให้บริสุทธิ์ยุติธรรม (ทำใจเป็นกลาง)  นั่นก็คือต้องมีความปรารถนาให้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าเราปรารถนามากเกินไป ความบริสุทธิ์ยุติธรรมย่อมมียาก มีความปรารถนาน้อยใจย่อมสงบ  เมื่อใจสงบมองสิ่งใดย่อมเที่ยงธรรม  แต่ถ้ามีความปรารถนาอยู่จะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นฝ่ายชายหนักก็ต้องไหว เบาต้องสู้  ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรับต่อและอย่างนี้จะเป็นผู้นำใครได้และจงรู้ไว้ว่า ถ้าตนเองยังเอาไม่รอด ไปเกี่ยวเขาอีกคน จะไม่ยิ่งเพิ่มความทุกข์ไปอีกหรือ  คิดให้ดีนะศิษย์น้อง  ตัวเองเอาไม่รอด เธอมาช่วยแบกรับอย่างนี้หรือเรียกว่า ความรัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากศิษย์น้องจะรัก เราต้องเป็นผู้ที่เสียสละด้วย รักแล้วไม่เป็นไรใช้ให้เธอมาเช็ดหน่อยก็ได้ ถึงจะเรียกว่ารักของเขาถูก รักเขาแล้วเธอมายืนต่อ ฉันไม่ไหวแล้วใครจะเลือกเรา
 เมื่อสักครู่นี้ศิษย์พี่บอกไว้ว่า จะพูดเรื่องความเสียสละ  ในโลกนี้แม้ตัวเองจะดีได้ หากว่าดีแล้วแต่ไม่มีจิตใจเสียสละ ช่วยเหลือใครก็ย่อมไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องรู้จักอุทิศเสียสละด้วย  ปัจจุบันนี้สังคมเต็มไปด้วยความเลวร้ายเห็นแก่ตัว สะสมแต่ให้ตัวเองมีมาก คนอื่นไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนตัวเป็นใหญ่ ส่วนรวมเป็นรอง หาใช่ความคิดที่ถูกไม่  ความคิดที่ถูกต้องคือ ส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตัวเป็นรอง  ฉะนั้นหากเราสามารถขจัดและควบคุมวาง
มาตราฐานของตนเองได้ดีแล้ว  โอกาสที่เราจะออกไปช่วยใครย่อมเป็นไปได้ง่าย  ถ้าหากเราไปยื่นมือขอให้ใครทำตาม ก็ย่อมง่ายด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจะทำอย่างไร การทำตัวทำให้ดีแล้ว แต่ใจยังใฝ่สูงตลอด ใจมิใฝ่น้อมต่ำก็ยากที่จะดึงใคร และโอบอุ้มช่วยเหลือใครได้  จิตใจที่น้อมต่ำเท่านั้น จึงจะสามารถไหลไปได้ทุกที่ และที่สกปรกก็ไม่รังเกียจที่จะไปช่วยเหลือ  นี่คือจิตใจที่สามารถอุทิศช่วยเหลือประชาได้  หลายต่อหลายคนใฝ่ที่ตัวเองจะต้องสูงจะต้องดี จะต้องมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความสูงส่ง ความมีมาก ความมีดีจนไม่แบ่งปันให้กับใครนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย  หากความสูงส่งความดีนั้นไม่เคยช่วยเหลือใคร  จะเป็นความดีแก่ตัวเอง ไม่สามารถเรียกความดีที่แท้จริงได้  ความดีที่แท้จริงมองจากตัวเองดีได้แล้ว ยังสามารถเอื้อและโอบอุ้มความทุกข์ยากของผองชน หรือหมู่ประชาที่อยู่รอบข้างได้  นั่นคือหากศิษย์น้องเริ่มรู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน รักษาสิ่งที่ดี สิ่งใดไม่ดี ขจัดทิ้ง  เมื่อมีโอกาสนำความดีนำคุณธรรมไปฉุดช่วยประชา  ความทุกข์ดับได้ด้วยธรรมะ จิตใจที่วุ่นวายสับสนดับได้ด้วยความร่มเย็นแห่งธรรมะ ใครจะช่วย พุทธะไม่อาจช่วยได้ เพราะพุทธะไร้ซึ่งกายเนื้อแล้ว ก็ต้องรอพุทธะองค์น้อยๆ ที่จะพร้อมบำเพ็ญหรือไม่  หากท่านพร้อมบำเพ็ญ เข้าใจธรรมได้ระดับหนึ่ง จงรีบเอาธรรมนี้ไปช่วยเหลือคน เพราะยังมีชนอีกหมู่มากที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเรา  และยังมีคนอีกมากที่เป็นคนไม่รู้  แล้วต้องการจะรู้เรื่องธรรมะแห่งจิตเดิมแท้ของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มโนธรรมสำนึกในตัวตนเขาลืมไป จงเอาธรรมะนี้ไปให้เขารู้ และจงเอาไปให้คนที่รู้แล้วยังไม่ได้ปฏิบัติ ให้รีบปฏิบัติโดยที่ตัวเองเป็นคนปฏิบัติให้เขาเห็นก่อน ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อไหร่ที่ท่านยอมนำธรรมไปฟื้นในสังคม มหาธรรมจะบังเกิดในโลกนี้  เมื่อไหร่ที่ท่านนำธรรมไปโปรดแผ่ช่วยเหลือคน จิตแห่งโพธิจะบังเกิดในใจตน  หวังว่าศิษย์น้องคงทำได้ไม่ยากเลย ทำตนเป็นคนดี วางรากฐานแห่งความดีให้มั่นคง บริสุทธิ์ ยุติธรรมและความบริสุทธิ์ ยุติธรรมในการกระทำของเรานี้จะนำพาเขาและชี้นำแสงสว่างให้เขา  โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลยก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ด้วยจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อดีแล้วอย่าได้เย่อหยิ่ง อย่าได้หยิ่งผยอง อย่าได้อวด  เมื่อดีแล้วอย่าได้ให้คนอื่นต้องเห็นคุณค่า ต้องมีผลตอบแทน เช่นนี้ยังไม่ใช่ดีที่แท้จริง  ไม่อาจดีบริสุทธิ์  ดีที่บริสุทธิ์ก็คือ อุทิศให้โดยไม่หวังผล  ทำให้โดยไม่รอผลตอบแทนให้เขาไปเท่าที่จะให้ได้ แม้เขาไม่สำนึกรู้ แม้เขามองไม่เห็น แม้เขาไม่เห็นความสำคัญ จนกระทั่งเราให้จนจบแล้ว เขากลับเพิ่งนึกรู้ นั่นแหละเรียกว่า อุทิศเสียสละด้วยใจจริง  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องทุกคนทำได้ แต่ต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ เอาชนะอุปสรรคให้ได้  เพราะบ่อยครั้งเมื่อเราตั้งใจจะทำดี ตั้งใจจะบำเพ็ญตน เรามักเจออุปสรรคความยากลำบาก  แต่เมื่อไหร่ที่เจออุปสรรค จงถืออุปสรรคและความยากลำบากนั้นเป็นเหมือนเกราะที่ทำให้เรายิ่งเข้มแข็ง  เป็นเหมือนด่านที่จะทำให้เรามั่นคง อย่าได้ยอมแพ้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำอะไร
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้หัวหน้าชั้นตอบ  (ทำจิตใจให้เป็นกลางและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น)  บำเพ็ญธรรมคือ เริ่มที่ตนเองและนำไปสู่ผองชน  เริ่มต้นทำดีก่อน อะไรที่ไม่ดีตัดทิ้ง ชะล้างทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตัวเองทำดีได้ ท่ามกลางสิ่งที่ตนเองทำดีนั้น อาจจะมีคนอยากจะเรียนรู้ อาจจะมีคนแอบฝึกตามก็เป็นได้  เมื่อเราทำดีมีคนแอบฝึกตาม เราก็ได้บุญโดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเมื่อทำจงอย่ากลัว  เมื่อกลัวจงทำ เมื่อกลัวก็ต้องทำ เมื่อทำก็อย่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ผิด
แล้วจะรู้หรือว่าอะไรถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ป่วยแล้วจะรู้หรือว่าต้องเข้มแข็ง ไม่ทุกข์หรือจะรู้ว่าสุข ไม่รู้ว่าอะไรเที่ยงแท้หรือจะรู้ว่าอะไรเที่ยงแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ ขยัน ปลง ตื่น รู้”  สี่คำนี้จงจำไว้ คนเราไม่ว่าจะเป็นคนยากดีมีจน หากขยันไม่มีวันอดตาย หากขยันไม่มีคำว่า “ลำบาก”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากขยันไม่มีคำว่า “ไม่มีงานทำ” จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นขยันต้องจำไว้ศิษย์น้อง บำเพ็ญธรรมก็ต้องขยัน ทำงานก็ต้องรู้จักคำว่า “ขยัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขยันก็ต้องรู้จักพอบ้าง ไม่ใช่ขยันทำงานแล้วก็ล้มตาย ชีวิตนี้มีค่าแค่งานเท่านั้นเอง  ต้องรู้จักทำเพื่อคนอื่นด้วย
“ปลง”  อีกคำหนึ่งที่ต้องรู้ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน  วันนี้เห็นท่าน วันนี้เห็นของ วันนี้เห็นเรา  แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่เห็นทั้งท่าน ไม่เห็นทั้งของและไม่เห็นทั้งตัวเรา  วันนี้มั่นใจ พรุ่งนี้อาจจะไหวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เป็นคนดี พรุ่งนี้อาจจะเป็นคน (เลว)  ก็ต้องดียิ่งขึ้น  ฉะนั้นต้องรู้จักปลงด้วย  วันนี้อาจจะยิ้มแย้มแจ่มใส พรุ่งนี้อาจจะมีน้ำตา แต่ไม่ต้องทุกข์เกินไป  ปัญหาเกิดก็ต้องรีบแก้ มองให้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกคำหนึ่งก็คือ “ตื่น  รู้”  จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตื่น จะตื่นได้ก็ต่อเมื่อหลับใหล ถ้าไม่หลับไม่มีวันตื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หลับตื่นนี้ไม่ใช่แค่ความหมาย เปิดตา ปิดตา  แต่หมายถึง ตื่นรู้จักชีวิตที่แท้จริง  ตื่นแล้วซึ่งชีวิต ไม่หลงงมงายในโลกนี้อีกแล้ว  เข้าใจชีวิต ยึดกุมชีวิตให้ถูกทางและนำพาไปให้สว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักชีวิตที่แท้จริงแล้วว่า ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่มืดมามืดไป  แต่มืดมาแล้วต้องสว่างไปให้ได้  เมื่อเกิดเป็นคนแล้วต้องพยายามเป็นพุทธะที่ดีให้จงได้ เมื่อเคยเอาแต่แสวงหาเพื่อตนเองแล้วตอนนี้ต้องตื่นแล้ว ต้องรู้จักช่วยคนบ้าง คือการเปิดคุณค่าของตัวเองให้โลกได้ประจักษ์ว่า เราศิษย์น้องของศิษย์พี่ก็เป็นคนดีในสังคมได้เหมือนกัน จะเป็นพุทธะที่องอาจได้ไม่แพ้กัน ใช่ไหม (ใช่)  จงทำให้ได้ แล้วพุทธะน้อยๆ ก็จะมีเต็มสังคม  ไม่ใช่มารน้อยๆ เต็มไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“น่าดูตามจับมาไม่หมด  น่าฟังอดฟังไม่โศกเศร้า”  ฉะนั้นต้องรู้จักแล้วว่าอะไรน่าดู  แม้จะจับไม่ได้หมดก็ปลงได้ วางได้ เข้าใจแล้วอย่าโลภเกินไป มองมากๆ เมื่อยแสบตา เหมือนดูทีวีทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยเห็นมีคนไหนมานั่งดูพุทธะ  เช้าก็ดู กลางคืนก็ดู เห็นทีวีก็ดูตลอด ดูแล้วนำไปสอนชีวิตไหม ดูแล้วก็ขำ เวลาดูแล้วเราต้องนำกลับมาดูในชีวิตเราด้วยว่า เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นแบบพ่อแม่ที่ทำให้ต้องเสียใจไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นเวลาปลาถูกเชือด วัวถูกฆ่า น่าสงสาร ดูแล้วน้ำตาไหล แล้วก็กลับไปกินต่อ ดูทำไมจริงหรือเปล่า (จริง)  มันเจ็บน่าสงสาร แต่อร่อยเหลือเกินต้องไปกินเนื้อย่าง ต้องไปกินหมูปิ้ง  ดูทำไมศิษย์น้อง  วันนี้มีบุญเขายังไม่มาทำร้าย แต่ต่อไปทำกับใครไว้จงจำไว้ศิษย์น้อง ผลย่อมกลับ อย่าได้สร้างกรรม จงรู้จักสร้างบุญ  วันนี้ผลยังไม่เห็น แต่ต่อไปผลเห็นตอนที่ไม่มีร่างกาย เจ็บหนักยิ่งกว่า  ตอนนี้ยังมีชีวิตมีร่างกาย มีโอกาสให้แก้ไขความผิดพลาดจงรีบแก้ อย่าได้สะสมสิ่งผิดไว้  ถ้าหมดชีวิตศิษย์น้องร้องขอพุทธะ วิงวอนพุทธะก็ช่วยไม่ได้  เพราะตอนศิษย์น้องมีชีวิตรู้ว่าผิด ทำไมไม่รีบแก้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงสำนึกไว้อะไรไม่ดีจงอย่าทำ  เพราะเมื่อไหร่หมดชีวิตไปแล้ว ร้องขอใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้ทำร้ายเบียดเบียนใคร  สังเกตไหมว่า เวลาเราพูดอะไรนั้น ถ้าสังเกตให้ดีจะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเองมาก ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเวลาศิษย์น้องจะพูดอะไรต้องดูด้วยว่า เมื่อพูดไปแล้วมีความเป็นตัวของตัวเองสูงหรือเปล่า เมื่อแสดงความคิดเห็นออกไปแล้ว มีความเป็นขอบเขตของตัวเองมากหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  นี่เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเวลาคุยกับเขา ทำไมคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเราก็มีแบบของเรา เขาก็มีแบบของเขา  ฉะนั้นเวลาจะพูดอะไร พยายามคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนว่า พูดแล้วเป็นกลางหรือเปล่า
คนที่มาไม่ครบไม่ให้ลูกอมดีกว่า ให้ดีไหม  มาให้ครบได้ไหม  จะพยายามแค่ตอบว่า จะพยายามศิษย์พี่ก็ให้แล้ว  เพราะศิษย์พี่ก็รู้ว่า บางคนมีธุระ  แต่ธุระบางครั้ง ลองคิดให้ดีนะว่า เพื่อธรรมะแล้วยอมบ้างไม่ได้หรือ ใช่หรือไม่  หมดเวลาศิษย์พี่แล้ว
กลอนนี้ขอให้ดูให้ดีๆ ว่ายังมีความหมายอะไรแฝงอยู่ข้างใน  แต่ความหมายรวมคงไม่สามารถพูดได้หมดวันนี้แน่  แต่ก็อยากบอกให้รู้ไว้ว่า เมื่อได้ไปแล้วจงเอาไปอ่านให้ดีๆ อย่ามองแค่ผ่านๆ จงพิศทีละคำ  ในความหมายแต่ละคำที่ศิษย์พี่ให้นั้นล้วนนำไปสอนใจได้ ธรรมะไม่ใช่มีอะไรอย่างที่ศิษย์น้องคิด ยังมีอะไรมากมายกว่าที่ศิษย์น้องคิดนึกถึงอีก  จงศึกษาให้ดีและตั้งใจบำเพ็ญให้ดี  จงตั้งใจบำเพ็ญให้มั่นคง อย่าหวั่นไหว อย่ายอมแพ้กับอุปสรรค  เป็นคนดีจะไม่กลัวอะไรกับความชั่วร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนฉลาดฉลาดจริงมักแกล้งโง่ มิอวดโอ้ทำเป็นเก่งทำเป็นรู้
ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งทำเป็นรู้ พินิจดูศิษย์รักอยากเป็นคนไหน
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนหลังจากวันนี้จะบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า
ในวันนี้มาพบศิษย์ด้วยคิดถึง ใจเป็นหนึ่งกันหรือยังศิษย์ทั้งหลาย
การบำเพ็ญต้องลงแรงเสมอต้นปลาย ไม่งมงายติดรูปลักษณ์ยากบำเพ็ญ
จิตใจดีมองไปทางไหนก็งามดี ความตระหนี่จงให้ทานออกมาให้เห็น
จะแก้ไขทุกผู้ทุกนามไม่เว้น ใจโอนเอนก็แก้ด้วยจิตนิ่งพอ
ศิษย์ทุกคนคือสายธารในใจข้า หวังมุ่งหน้าศิษย์ก็อย่ามัวแต่ท้อ
ทำสิ่งใดก็อย่าเอาแต่รีรอ กรรมใดก่อย่อมตกผลในสักวัน
จงรักใคร่กลมเกลียวทางตันกลาย ทางราบรื่นงามดุจทางสู่สวรรค์
ขอศรัทธามีเมตตาเฝ้าแบ่งปัน และผลักดันตนเองไม่ลืมตน
ในวันนี้ออกแรงนิดผลศุกล ธรรมแยบยลงอกงามสู่ทุกแห่งหน
รอสักวันศิษย์ข้าคืนเบื้องบน อย่าอับจนอยู่บนแดนโลกีย์
ขอศิษย์ข้าเลือกทำสิ่งดีเถิด คนประเสริฐเพราะความดีดั่งฉะนี้
บำเพ็ญธรรมผ่านไปนานหลายปี ขจัดร้ายสะสมดีในเร็ววัน
ฮา ฮา หยุด


สายธารไหลรวมเป็นหนึ่ง  เข้าถึงเห็นความสำคัญ  ฟากฟ้านั้นดาวล้อมจันทร์ชวนมอง  หลายคนร่วมงานกันยาก  มากคนมิพ้นปรองดอง  บำเพ็ญยึดตามสายทองพร้อมหน้า
* อยู่ไปอย่างไร้ความหวัง  จริงจังความทุกข์จึงเสียน้ำตา  รุดหน้าแล้วกลัวอะไร  สายลมซ่อนแรงมามอบ  ปลอบขวัญผองคนท้อใจ  ใจคือพลังขุมเดียวรู้ตื่น  (ซ้ำ * )
เพลง : สายธาร
ทำนองเพลง : สายทิพย์


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พ่อแม่ให้กำเนิดมาเป็นเรื่องยากลำบาก เราเกิดมาได้เป็นมนุษย์จนมีโอกาสได้รับธรรมะก็ถือว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์พินิจพิจารณาชีวิตของตัวเองให้ดีๆ ว่าชีวิตของเราที่ผ่านมา เราทำให้ชีวิตของเรามีค่าถึงที่สุดหรือยัง ไหนใครคิดว่าทำให้ชีวิตของตัวเองมีค่าจนถึงที่สุดแล้ว แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมใช่หรือเปล่า ศิษย์ใช้กรรมแล้วศิษย์ไม่คิดจะสร้างบุญ มีชีวิตเพื่อใช้กรรมเท่านั้นเองหรือ แค่ชดใช้กรรมก็เหมือนก้มหน้ารับกรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนคนที่ไม่กล้าฮึดขึ้นสู้เลยใช่หรือไม่ แต่ชีวิตของเรามีความหมายมากกว่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกให้ต่อให้ไม่อยากใช้กรรมก็ต้องใช้ กรรมอย่างไรก็ต้องใช้ เหมือนเราติดหนี้เขามาต้องใช้หรือไม่ (ต้อง)  ตอนนี้ต่อให้เราไม่เป็นฝ่ายเอาเงินไปให้เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็มาทวงเราหรือเปล่า ฉะนั้นใช้กรรมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้อยู่แล้ว แต่ว่าจุดมุ่งหมายปณิธานในชีวิตของเรานั้นชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร เกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อทำให้ดีที่สุด, หาความสงบ)  หาอย่างไร ความสงบ (มีจิตใจที่สะอาดและเผื่อแผ่)  ใช่หรือเปล่า แน่ใจไหมตอบมาและเจอหรือยัง (เจอบ้าง)  แสดงว่าความสงบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจะพยายามต่อไปไหม ความสงบหาได้ที่ภายในตัวเอง ไม่สามารถหาได้จากภายนอก การทำความดีทำให้จิตใจสงบลง สงบลงแค่ไหน (บางส่วน)  และบางส่วนที่เหลือ (ภายในภาคหน้า)  และไม่คิดว่าจุดหมายที่กว้างไกลก็เจออยู่แล้วหรือ (ยังไม่ถึง)
ชีวิตของคนก็เหมือนกับสิ่งของสิ่งหนึ่งที่คับแคบ ขวดน้ำขวดหนึ่งที่บรรจุน้ำลงไป น้ำอยู่ในขวดนั้นคับแคบไหม (แคบ)  ตอนนี้เราก็จำกัดชีวิตของเราอยู่นี้ แต่หากว่าเราเปิดขวดน้ำออกมาและเทน้ำลงไป น้ำนี้กว้างไม่กว้าง จะเทออกไปหมดไม่หมด (หมด, ไม่หมด)  เผอิญขวดน้ำของศิษย์นั้นไม่ใช่แจกันของพระกวนอิม เทออกไปหมดไหม (หมด) เพราะขวดน้ำของศิษย์ไม่ใช่ขวดน้ำวิเศษ เพราะฉะนั้นเทน้ำออกไปก็ต้องหมดเป็นธรรมดาถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ว่าน้ำของเราแม้ว่าจะหมดไป แต่หากว่าหมดไปกับการรดต้นไม้ต้นหนึ่งหรือว่าเททิ้งไปให้ความชุ่มชื่นกับพื้น อย่างนั้นถือว่าน้ำขวดนี้มีคุณค่าหรือไม่ (มี)  น้ำขวดนี้ก็คือชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะหมดไปกับการทำสิ่งใดที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น แต่ถามตัวศิษย์เองว่าสิ่งนี้มีคุณค่ากับตัวเองไหม ถ้ามีถือว่าเราเกิดมานั้นใช้ได้หรือยัง ถือว่าเราเกิดมาอย่างมีคุณค่าหรือยัง (มี)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ชีวิตของเราอยู่ที่ว่าเราจะเปิดขวดน้ำของเราหรือเปล่า ศิษย์มีขวดน้ำอยู่ในมือหนึ่งขวด ขวดน้ำนี้ก็คือการที่เราสามารถเปิดจิตใจของเราออกมาช่วยคน ถ้าหากว่าเราสามารถเปิดจิตใจของเราออก ปราศจากความคับแคบที่จำกัดนี้ ถ้าสามารถทำได้ชีวิตเราก็มีคุณค่าและกว้างไกลขึ้นทันทีไม่ต้องรอภายภาคหน้าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  และคนอื่นอยู่เพื่ออะไร (สร้างบุญประกอบความดี)  ทำไมถึงเชื่อเขา (เชื่อเพราะทำบุญแล้วได้ดี)  และทำได้เยอะหรือยัง (คิดว่าต่อไปคงจะทำได้เยอะ)  ทุกคนไม่มีใครตอบอาจารย์ได้อย่างหนักแน่นเฉียบขาดเลย ทุกคนก็ตอบว่าวันหนึ่งอนาคตข้างหน้า หรือว่าอะไรสักอย่างหนึ่งที่ศิษย์นั้นยังไปไม่ถึง ส่วนวันนี้ที่ถึงแล้วมีแต่ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แล้วเราจะยอมแพ้ให้กับวันนี้ของเราไหม (ไม่ยอม)  และเราต้องทำอย่างไร อยู่เฉยๆ ต่อไปหรือเปล่า ต้องสู้ต่อไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  สู้ด้วยอะไร จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ไม่ได้)  การจับเสือมือเปล่านั้นย่อมไม่ได้ ย่อมต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่มาช่วยให้ศิษย์เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่สิ่งนั้นๆ หาได้จากภายนอกไหม (ไม่ได้)  หาไม่ได้จากภายนอก (หาได้จากภายใน)  คือหาได้จากภายในของศิษย์เอง เสือตัวนั้นก็อยู่ภายในใจของศิษย์ ปัญหาตลอดมาของคนที่จะทำความดีไม่ใช่ว่าเราไม่มีที่ให้ลงในการทำความดีของเรา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใจของเรานั้นไม่ได้ถูกฝึกฝนมาเพื่อที่จะไปทำความดีอย่างแท้จริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีก็ติดอคติบ้าง บางทีก็ติดความลำเอียงบ้าง บางทีก็ติดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะติดเลย อาจารย์พูดคร่าวๆ อย่างนี้ศิษย์คงเข้าใจดี เพราะว่าในจิตใจของเราทุกคนนั้น ศิษย์คงเป็นผู้รู้จักตัวเองดีที่สุด  ในขณะเดียวกันเมื่อเสืออยู่ในใจ อาวุธก็อยู่ในใจ อุปสรรคก็อยู่ในใจ และทำอย่างไรดี เราจึงต้องมาขัดเกลาจิตใจของเราด้วย อยากจะทำดีก็คงจะไปโทษคนอื่นว่าทำผิด เราเลยไม่ยอมทำดีไม่ได้ เห็นคนอื่นทำผิดแล้วเราบอกว่าคนนั้นทำผิดและเราก็อยากจะทำดี แต่เราเห็นคนนั้นทำผิดอยู่เราเลยไม่ทำ โทษคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่ว่าต้องมาขัดเกลาจิตใจตัวเอง มาซ่อมแซมจิตใจตัวเอง และสิ่งนี้เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม มาจับเสือในใจตัวเอง อาวุธ และอุปสรรคในใจตัวเอง เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม ฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นแม้ว่าในวันนี้มีสถานธรรม มีเรือธรรมะให้ศิษย์มารวมตัวกัน แต่การบำเพ็ญตน ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น ถ้าหากว่าเราทำได้เราก็ถือว่าเราเป็นผู้ชนะตัวเอง จับเสือในใจตัวเองได้สำเร็จ แต่หากว่าเราทำไม่ได้เป็นอย่างไร ศิษย์ยังอยู่ในเรือธรรมะลำนี้หรือไม่ ถามว่าคนที่อยู่รอบๆ นี้จับเสือในใจตัวเองได้สำเร็จหรือยัง (ยัง)  มีแต่จับได้แต่ขนหนึ่งเส้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีแต่จับได้กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครจับเสือได้ทั้งตัวเลยใช่หรือเปล่า  ยังไม่มีใครสังหารเสือได้สำเร็จเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทุกคนก็อยู่ที่นี่ และทุกคนก็เป็นศิษย์อาจารย์ ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันนั้นก็เป็นเรื่องที่ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  อยู่ที่นี่อยู่ร่วมกัน ถึงแม้ว่าการอยู่ร่วมกันนั้นอาจจะมีจุดๆ ๆ เยอะแยะไปหมดเลย แต่ว่าทุกๆ คนนั้นเป็นศิษย์อาจารย์ บำเพ็ญธรรมะใครเขาว่ายากเราบอกว่าง่าย อยู่ร่วมกันลำบากไหมเราบอกว่าไม่ลำบาก นั่นจึงเป็นการอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุขจริงๆ
มนุษย์นั้นมีวิชาสะกดจิต ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกับกำลังสะกดจิตตัวเอง การสะกดจิตอันนี้ไม่มีข้อเสียเพราะอะไร เพราะเราสะกดจิตตัวเองว่าการบำเพ็ญธรรมะไม่ลำบาก แน่นอนวันนี้การสะกดจิตคือการหลอกตัวเองอยู่ในกลายๆ แต่ในวันหนึ่งเมื่อศิษย์ผ่านอุปสรรคไปแล้ว การสะกดจิตอันนี้ก็คือวิธีการวิธีเดียวเท่านั้นเองที่ศิษย์ได้ใช้ผ่านอุปสรรคนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะใช้วิธีการอะไรผ่านอุปสรรคของตัวเองคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาถกเถียง บางทีเราก็เห็นคนอื่นทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งเราไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย แต่อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ไม่ต้องเข้าใจเขา ขอให้เขานั้นเข้าใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงเรียกร้องให้ศิษย์บำเพ็ญตัวเอง เข้าใจและรู้จักตัวเอง และทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกที่สุด โดยผ่านมโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งกลั่นกรอง กลั่นกรองให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์และเป็นคนอย่างแท้จริง หากศิษย์เปรียบเสมือนน้ำสายหนึ่ง น้ำอันนี้ก็อาจจะมีทั้งตะกอนมีทั้งตะใคร่มีหลายสิ่งหลายอย่าง แน่นอนน้ำใครก็น้ำมันใช่หรือเปล่า ต่างคนก็ต่างกรองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์มัวแต่ไปมองข้างๆ ว่าเขากรองอย่างไร ใสหรือยังแล้วของตัวเองล่ะ ของตัวเองน้ำที่หลุดการกรองไปก็เยอะแยะใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติว่ามือข้างหนึ่งของศิษย์ถือตะแกรงที่กรองน้ำ มือขวานี้สมมติว่าศิษย์เทน้ำลงไปในนี้ แล้วตาของศิษย์ไปมองว่าเพื่อนของศิษย์กรองดีหรือยัง ของตัวเองหลุดไปหรือยัง (หลุดไปแล้ว)  เรามั่นใจว่าไม่หลุดแล้วคนข้างๆ เห็นว่าหลุดหรือไม่หลุด (หลุด)  แต่ว่าเราเห็นตัวเองไหม (ไม่เห็น) เห็นแต่ของคนอื่น วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็บำเพ็ญเป็นอย่างนี้เห็นคนอื่นชัดกว่าตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นตัวเองจะชัดกว่าตัวเองใช่หรือเปล่า เห็นตัวเองจะชัดมากๆ ก็ตอนเห็นตัวเองในกระจกใช่หรือไม่ (ใช่)  มีประโยชน์ไหมทำอย่างไรดี (มองตัวเองก่อนที่จะมองคนอื่น)  สมมติว่าศิษย์เห็นคนคนนี้ทำตัวได้ยอดเยี่ยม สมมติว่าตอนนี้เขายืนตรงอยู่เฉยๆ แต่ภายในจิตใจของเขากำลังกรองน้ำของตัวเองอยู่ ถ้ากำลังกรองน้ำของตัวเองดีทีเดียว ศิษย์คิดว่าถ้าเขาหันมามองคนอื่นเขาก็จะเห็นไม่ชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่มองแล้วก็บอกว่าฉันดีฉันเลิศฉันประเสริฐแล้ว มองแต่ว่าฉันผิดตรงไหนแล้วฉันจะแก้ตรงไหน พอเวลาคนอื่นมองไปคนนี้เขาไม่ได้สนใจมองคนอื่นเลยนะ ศิษย์มองเขาว่าเป็นแบบอย่างที่ดีไหม (ดี)  ยืนตัวตรงเลยดีหรือเปล่า ศิษย์อยากเอาอย่างเขาไหม (อยาก)  โดยที่เขาไม่ได้ใช้ตามามองคนอื่นเลย ไม่มองใครเลยยิ่งไม่มองก็ยิ่งไม่เห็นว่าใครผิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วก็ดีกับคนทุกคนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาใช้อะไรมาสอนเรา เขาใช้ทั้งตัวและหัวใจนั้นมาสอนศิษย์ โดยที่เขาไม่ต้องขยับไปทำอะไรเลย แต่ว่าศิษย์ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ดีไหม ไม่ต้องใช้ปากพูด เพราะว่าคนเวลาพูดมากเกินไปมักจะลืมสำรวมปากของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะพูดเก่งแค่ไหนแต่หากว่าพูดแล้วไม่สำรวมคนชอบหรือไม่ชอบ (ไม่ชอบ)
การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องมองตัวเองทั้งนั้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ปกติเรามองตัวเองหรือมองคนอื่น (มองคนอื่น)  อย่าว่าแต่ในการบำเพ็ญธรรมเลยนะในบ้านเราก็เหมือนกัน ในครอบครัวเรา เพื่อนบ้านเราก็เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันอยู่บ้านติดกันก็ยังไม่วายมองกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์จะใช้สายตาออกไปมอง ในยามที่ศิษย์ต้องใช้สายตาออกไปมอง อาจารย์บอกศิษย์ยามที่เรามองคนอื่น แสดงว่าเราคิดที่จะช่วยคนอื่น ยามนั้นจึงมองเขา มองแล้วให้ช่วยจริงๆ อย่างที่ใจบอกว่าให้ช่วย ไม่ใช่ว่ามองแต่ตามืออย่าต้อง เดี๋ยวของจะเสียใช่หรือเปล่า ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดที่ไม่ดีในจิตใจของเรานั้นออกหมดแล้ว  เราอยากจะช่วยผู้อื่น ให้เราเริ่มมองคนอื่น  เมื่อใจของเรานิ่งเป็นพุทธะมากพอ  ยามนั้นต่อให้ศิษย์มองคนอื่นก็ไม่หวั่นไหว  ไม่เห็นข้อผิดของคนอื่นจนเอามานอนคิด นอนไม่หลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องวิตกว่าคนอื่นจะทำความเดือดร้อนมาให้ตนเองอย่างไร  ดังนั้นยามนั้นจึงมองผู้อื่น  มองเพื่อช่วย ฟังเพื่อช่วย  ไม่ใช่มองเพื่อที่จะติ  ไม่ใช่ฟังเพื่อจะเก็บบันทึกไว้ในใจให้เรียบร้อย  เหมือนกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอแค่ศิษย์มองมันก็บันทึกไว้ในหัวเสร็จเรียบร้อย ใช่หรือไม่  แต่บันทึกเข้าไปล้างอย่างไร  คอมพิวเตอร์เครื่องนี้หาวิธีล้างเจอไหม  คนที่บอกว่าขี้ลืมก็ขี้ลืมอยู่จริง  แต่เรื่องไม่ดีคนอื่นนี่ลืมไม่ลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คอมพิวเตอร์บันทึกเคาะๆ เข้าไปมันก็บันทึกได้  ล้างเคาะๆ เดี๋ยวมันก็ล้างให้  แต่หัวศิษย์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์จริง  มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยความจำที่ไม่สิ้นสุด  เพราะเวลาจำเข้าไปมักจะลืมยากเหลือเกิน  โดยเฉพาะความผิดของผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เรื่องที่ควรจำก็จำไม่ได้  เรื่องที่ไม่ควรจำก็จำได้หมดอย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เสร็จแล้วซิ  อย่างนี้ต้องให้อาจารย์มาล้างสมอง  กลัวไหมอาจารย์จี้กงมาล้างสมอง (ไม่กลัว)  บางคนก็กลัวเหลือเกิน  มารับธรรมะ มาปฏิบัติธรรมนั้นคือ โดนล้างสมอง  แต่จริงๆ แล้วอาจารย์คิดว่าสมองศิษย์ล้างสักหน่อยดีไหม  แต่อาจารย์ยังล้างไม่สำเร็จไม่รู้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เอามาให้ล้างสักหน่อยดีไหม ดีไม่ดี (ดี)  ทำไมพูดไม่เหมือนคนข้างนอก  โดยทั่วไปบอกว่าโดนล้างสมองไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ของอาจารย์คิดว่าล้างสมองดีไหม  ล้างไม่ดีทิ้งไปเหลือแต่ความดีกลับเข้ามา ดีหรือไม่ (ดี)  ล้างสำเร็จหรือไม่ล้าง (ล้าง)  ล้างให้สำเร็จนะ  เวลาสระผมก็คิดไปด้วย  ฉันจะสระสิ่งที่ไม่ดีออกไป  แม้ตอนนี้จะสระได้แต่ภายนอก  แต่วันหนึ่งคงสระได้ถึงข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาอาบน้ำก็คิดหน่อย  ฉันจะล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวฉัน  แต่วันนี้ล้างได้แต่ข้างนอก  สักวันหนึ่งก็คงจะล้างไปถึงข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาโดนคนอื่นทำให้เจ็บใจ  วันนี้ฉันเจ็บใจฉัน  เดี๋ยวสักครู่ฉันจะใช้ธรรมะเป็นยาสมานแผล  ใจฉันจะไม่เจ็บอีกต่อไป  เพราะว่าใจฉันนั้นสะอาดดีแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ยากไม่ยากนักเรียน  (ไม่ยาก)
“คนฉลาดฉลาดจริงมักแกล้งโง่  มิอวดโอ้ทำเป็นเก่งทำเป็นรู้”  คนฉลาดทุกคนในที่นี้เป็นคนฉลาด ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ที่นี่สงสัยจะไม่มีใครให้อวดใหญ่อวดโต  "ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งทำเป็นรู้"  ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อาจารย์บอกว่าคนฉลาดนั้นฉลาดจริงๆ มักจะทำเป็นแกล้งโง่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดยการไม่อวดเก่ง ไม่ทำเป็นรู้ไปหมดทุกเรื่อง
“ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งแล้วก็ทำเป็นรู้”  เราลองดูตัวเอง  อย่าพึ่งไปสนใจกับคำว่า “ฉลาดและโง่”  โดยปกติเราชอบอวดรู้อวดเก่ง ชอบไม่ชอบ  เราไม่ค่อยชอบ  แต่เราชอบทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เราไม่ชอบมันหรอก  แต่เราทำบ่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว  เมื่อไม่รู้ตัวก็หมายความว่า ไม่มีสติ ถูกไม่ถูก (ถูก)  เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้ในสิ่งที่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นรู้และชำนาญมากๆ นั้น  จำเป็นที่จะต้องทำเป็นโง่บ้าง  ทำเป็นโง่เพื่อให้ผู้อื่นสอนเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ทำเป็นโง่ ในความหมายของอาจารย์  อาจารย์พูดเพื่อให้ศิษย์เตือนใจตัวเองเท่านั้นเอง  เมื่อศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมาถึงสถานธรรม  ตั้งแต่วันนี้ถ้าหากใครมีความตั้งใจว่าตัวเองจะบำเพ็ญธรรม  การเข้ามาสถานธรมอย่างคนที่สนิทใจก็เป็นเรื่องที่สมควร  แม้ว่าจิตใจยังมีความไม่เข้าใจ  ยังมีความเคลือบแคลงอยู่บ้าง  แต่จำเป็นต้องขจัดทิ้งโดยเร็ววัน  เพื่อให้เป็นผลดีต่อเราเอง
พุทธระเบียบวิธีการกราบไหว้ในสถานธรรมนั้น  ถ้าหากมีโอกาสอาจารย์อยากให้ศิษย์ฝึกฝน  เพราะการที่เราฝึกฝน  การกราบพระ ไหว้พระก็เพื่อทำให้ตัวเราเป็นผู้มีระเบียบ และทำให้เราดูกลมกลืนไปกับการที่เราจะมาสถานธรรม  เมื่อเราทำอะไรไม่เป็น  เมื่อเราทำอะไรไม่ดี  การที่เราจะมาสถานธรรมนั้นเราก็จะรู้สึกผิดบ้าง  รู้สึกไม่ชำนาญ และก็เกิดความที่ไม่อยากจะเข้าใกล้  ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ทุกๆ คน เมื่อมีเวลาขอให้กราบไหว้พระ หัดทำให้ตัวเองเป็นระเบียบ  เอาระเบียบอันนี้กลับไปใช้ที่บ้าน  เอาระเบียบอันนี้กลับไปใช้ในทุกๆ ที่ ทุกๆ ย่างก้าวที่ศิษย์เดิน  คำว่า "สมาธิและปัญญา"  ศิษย์มีได้ทุกที่  ไม่จำเป็นต้องเลือกสถานที่  ไม่จำเป็นต้องเลือกเวลา  เมื่อศิษย์ทำได้ ไม่ได้เป็นผลดีต่ออาจารย์  แต่เป็นผลดีต่อศิษย์ทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นผู้ที่มีระเบียบไหม  ศิษย์ของอาจารย์อยากให้ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่สง่างามไหม (อยาก)  เราจำเป็นต้องมาฝึกฝนอย่าได้กลัวความยากลำบาก  อย่าได้กลัวพบเจอสิ่งที่แปลกใหม่  อย่าได้เกิดความท้อแท้และอิดหนาระอาใจต่อสิ่งรอบข้างที่เราเจอ  สิ่งที่ไม่ดีเมื่อเราเจอก็คิดว่า สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นจะมาเป็นตัวผลักเคลื่อนให้เราไปข้างหน้า  เมื่อเจอสิ่งที่ดีก็ให้คิดว่านั่นเป็นโชคและวาสนาของเรา  ที่มีโอกาสจะพบเจอในสิ่งที่ดีเหล่านี้  แต่โชควาสนามักมีอายุสั้นกว่าเคราะห์กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาจึงต้องรู้จักระมัดระวังตัว  วันนี้ทำในสิ่งที่ดีแล้ว  พรุ่งนี้ยังต้องทำในสิ่งที่ดีเพิ่ม  มะรืนนี้ความดีที่สร้างมาก็ขอให้เป็นความดีที่ยึดยาว  อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วันที่ศิษย์ดำรงชีวิต  แต่ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ  เพราะเมื่อทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ  การตอบแทนเมื่อบังเกิดขึ้นเมื่อไหร่  บุญและสิ่งที่ศิษย์ทำมาดีนั้นๆ ก็จะหายไปทันที เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
นักเรียนที่มาใหม่ในวันนี้  หลังจากวันนี้จะตั้งใจบำเพ็ญหรือไม่  (ตั้งใจ)  เสียงนั้นแม้จะออกมาไม่ใช่เป็นเสียงที่ดังมาก  ก็ขอให้เสียงนั้นย้อนกลับไปก้องในจิตใจของศิษย์ทุกๆ เวลา  คำว่า "บำเพ็ญธรรม"   ถ้านับตั้งแต่ศิษย์ของอาจารย์รับธรรมะ  บางคนนั้นฟังมาเป็นรอบที่พันที่หมื่นแล้ว  แต่คำว่า "บำเพ็ญธรรม"  ไม่ใช่อยู่ที่การพูด  แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังว่าเราต้องเป็นคนที่กตัญญูก็จำเป็นจะต้องทำ  ฟังว่าพี่น้องต้องปรองดองกันก็จำเป็นที่จะต้องทำ  ฟังว่าจงรักภักดีเราก็ต้องกลับไปทำ  ฟังสิ่งใดมาก็ต้องกลับไปเริ่มทำ  แม้ว่าจะทำได้นิดๆ หน่อยๆ  ไม่มากไม่มาย  แต่การที่เราจะก่อทรายสักกองหนึ่งขึ้นมา  เริ่มจากทรายเม็ดแรก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เริ่มจากทรายเม็ดที่สองและกำต่อๆ ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งเป็นกองหนึ่งขึ้นมา ถูกหรือเปล่า ไม่มีสิ่งใดเมื่อนึกให้เป็นกองก็เป็นกอง  เมื่อนึกอยากให้ภูเขาเกิดก็เกิดขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภูเขายิ่งแข็ง ยิ่งเป็นสิ่งที่หนักเท่าไหร่  ก็แสดงถึงเวลาที่ผ่านมานานเท่านั้น  การที่เราจะก่อภูเขาขึ้นมาสักลูกหนึ่งก็ต้องใช้เวลาและต้องใช้ความอดทน  ต้องใช้พลังและใช้ความสามัคคี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่  การบำเพ็ญธรรมนั้นแม้จะฟังมารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้  แต่อาจารย์เห็นวิธีการบำเพ็ญธรรมของศิษย์นั้น  แต่ละครั้งๆ เหมือนกับอะไรรู้ไหม  ลองเดา ศิษย์เอาทรายหนึ่งกำมากองไว้เป็นภูเขา  ทรายสองกำมากองไว้  ก็ดูนูนๆ ขึ้นมาจากพื้นหน่อย  กำที่สามกำที่สี่  พูนขึ้นมาเรื่อยๆ วันดีคืนดีก็ละเมอกอบทรายออกไปอีกทีละกอง  กอบทรายออกไปทีละกองๆ เสร็จแล้วภูเขาลูกนี้เหลือไม่เหลือ (ไม่เหลือ)  ทำไมถึงทำอย่างนี้  อาจารย์เห็นวิธีการบำเพ็ญธรรมของศิษย์ก็เป็นอย่างนี้  เดี๋ยวก็เอาเข้า เดี๋ยวก็เอาออก เดี๋ยวก็ชักเข้า เดี๋ยวก็ชักออก อย่างนี้ถามว่าจะได้ผลอะไรไหมในการบำเพ็ญ (ไม่ได้)  ถ้าเทียบเรื่องนี้เป็นเรื่องของการก้าวเดิน  ก็เดินไปสิบก้าว  ถอยกลับมาห้าก้าว  เดินเข้าไปอีกห้าก้าว ถอยกลับมาอีกสองก้าว  สรุปแล้วเดินหน้าหรือไม่เดิน  ดูเหมือนเดินหน้าไหม  เหมือนถอยหลังไหม (เหมือน)  ถ้าหากจากตรงนี้จนกว่าจะถึงฝั่งนิพพาน  ต้องให้ศิษย์ก้าวพันก้าว  ตอนนี้ศิษย์ก้าวไปกี่ก้าว ถึงแม้ว่าก้าวๆ ถอยๆ ชักเข้าชักออก อาจารย์ก็ยังเห็นดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็อย่าประมาทไป คนที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมนั้น แม้ว่าคนที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมเต็มตัว บางทียังทำอะไรดีน้อยกว่าคนที่ยังไม่ได้ชื่อว่าบำเพ็ญธรรมก็มี เพราะฉะนั้นจะดูถูกใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้ แม้ว่าเรายังบำเพ็ญธรรมอยู่ แต่เราก็จำเป็นที่เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน และคิดว่ามีคนที่บำเพ็ญดีกว่าเรามากมาย เพียงแต่เรามีโอกาสดีกว่า
ในปักษ์ยุคสามวาระปลายอาจารย์ได้รับบัญชาลงมาโปรดมนุษย์บนโลก เวไนยสัตว์ทั้งหลายและศิษย์ของอาจารย์ก็โชคดีที่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน อาจารย์จึงบอกว่าต่อให้ในชีวิตประจำวันของศิษย์จะเลวร้ายเท่าไหร่ ต่อให้จะต้องเจอเคราะห์ตลอดชีวิต แต่ศิษย์รู้ไว้ว่าโชคดีของศิษย์ที่ได้ยินได้ฟังธรรม แล้วศิษย์นั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการคัดเลือกสู่การบำเพ็ญธรรม อย่างน้อยก็ได้รับการร่อนดูว่าศิษย์จะแก้ไขหรือไม่ จะเป็นทรายที่ละเอียดหรือเป็นทรายที่หยาบก็แล้วแต่ตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นชะตาชีวิตของเราแม้ว่าต้องเจอทุกข์หนักตลอดชีวิตทำอะไรก็ไม่เคยสมหวัง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความหวังของศิษย์เลย แต่ก็ยังดีที่ศิษย์มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญมากมายใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  ดูสิว่าอาจารย์มาตั้งนานพูดจนคนฟังบางคนหลับไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ศิษย์ทั้งชั้นนี้ได้ผลไม้ไม่ครบเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่อาจารย์บอกให้สู้ก็คงมีเพียงเท่านี้ที่สู้เท่านั้นเองใช่ไหม ผู้หญิงมีตอบอาจารย์กี่คน (๔ คน)  คงเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพียงแต่ว่าศิษย์ต้องเป็นคนรู้จักสังเกตดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอบๆ สิ่งแวดล้อมเรามากมายไปหมดต้องเป็นคนที่รู้จักสังเกตดีๆ เราจึงจะตอบได้ แม้ว่าตัวเราเองจะเป็นคนที่ไม่สงสัยอะไรเลย แต่บางทีก็ยังต้องสังเกต  บางคนใช้ชีวิตร่าเริงสนุกสนาน วันๆ ไม่เคยเครียดกับเรื่องอะไรเลย จึงพูดจาไปเรื่อยๆ จนไปกระทบกับใครก็ไม่รู้ โดยที่ตัวเราไม่ได้สังเกตว่า ชีวิตของเราไม่เคยมีความเครียด แต่ชีวิตของคนอื่นเครียดไม่เครียด จึงต้องรู้จักระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  การระมัดระวังจะรู้ได้จากการสังเกต เพราะหากว่าไม่รู้จักสังเกตจะระมัดระวังได้ไหม (ไม่ได้)  สังเกตกับระมัดระวังอะไรมาก่อน (สังเกต)  สังเกตมาก่อนแน่ใจไหม ต้องหัดสังเกตให้มากๆ ใช่ไหม สังเกตกับการจับผิดต่างกันไหม (ต่างกัน)  และต่างกันอย่างไรล่ะ (การสังเกตคือการมองสิ่งรอบๆ ข้าง แต่การจับผิดคือการมองแต่ข้อเสียของคนอื่น)  ถูกไหม (ถูก)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมลองตอบอาจารย์หน่อยซิ หรือไม่เคยเห็นข้อผิดของใครเลย หรือว่าเห็นเองโดยไม่จับผิดเขา (การสังเกตใช้ตาในมอง แต่ถ้าจับผิดเราใช้ตาเนื้อมอง)  ฟังเข้าใจหรือเปล่า ในการสังเกตและการจับผิดนั้นย่อมมีข้อแตกต่างกันอย่างมาก หากว่าเราสังเกตเราก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่เป็นข้อดี และสิ่งที่เป็นข้อเสียไปพร้อมๆ กัน แต่หากว่าเป็นการจับผิดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่ผิดอย่างเดียว และก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับสิ่งที่ผิดเหล่านั้นได้ มีแต่การโทษคนอื่น ไม่มีการโทษตัวเอง อาจารย์สรุปง่ายๆ เป็นสิ่งที่ศิษย์เป็นอยู่ทุกวัน ไม่ได้สรุปเป็นวิชาการเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
เวลามองเขาอย่ามองว่าเขาหล่อไม่หล่อ  มองว่าเขาพูดดีหรือไม่ดี  พูดธรรมะเก่งไม่เก่ง  เพราะว่าโดยทั่วไปถ้าเป็นหนุ่มสาวสมัยนี้มองหน้ากัน  ก็มองว่าสวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ เสร็จแล้วเป็นอย่างไร  จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  วันๆ ก็ไม่คิดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรม  คิดถึงแต่เรื่องจับคู่อย่างเดียว เสร็จแล้วหัวใจก็ไม่เหลือที่ว่างให้กับการบำเพ็ญ  เหลือแต่อะไรก็ไม่รู้  กิเลสความรัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าจะบอกการให้ทานเป็นการคลายทุกข์เข็ญ ยังไม่ใช่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การให้ทานก็ไม่ทุกข์เข็ญไม่ได้  เพราะบางทีคนให้ทานเองก็มีความเดือดร้อนนิดๆ หน่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนที่ศิษย์เคยฟัง  ถ้าหากทำบุญทำทาน  ต้องไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน  แต่บางคนนิดเดียวก็ไม่ยอมเดือดร้อน  จะให้พูดว่าอย่างไร  บางทีถ้าเดือดร้อนนิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากจะไปช่วยคนที่เขาทำแก้วแตกเศษแก้วตก  เศษแก้วกราดเต็มพื้น  ตัวของศิษย์หารองเท้ามาใส่ไม่ทัน  หากว่าต้องไปช่วยเขาเก็บ  จะโดนบาดไม่โดน (โดน)  โดนบาดอยู่แล้ว  แต่เดือดร้อนนิดๆ หนอ่ยๆ จำเป็นต้องทำไหม  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่เก็บ  คนต่อไปเดินมาไม่รู้บาดไม่บาด  เพราะฉะนั้นการเดือดร้อน  บางทีก็มีเดือดร้อนนิดหน่อย เดือดร้อนมากมาย
การที่เข้ามาในสถานธรรมก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ คนที่อายุมากกว่าเราต้องเคารพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาวุโสทางธรรมเราต้องเคารพ  แต่เราเคารพอย่างไหน  เคารพอย่างเคารพออกมาจากใจและคนที่เป็นอาวุโสก็ต้องทำไมด้วย  จะบอกว่าฉันอาวุโสกว่า  ยึดเต็มที่เลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน  การที่เราจะได้สิ่งใดก่อนคนอื่น  โดยที่เราต้องได้มาจริงๆ  ก็ขอให้ศิษย์แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน  เป็นความอ่อนน้อมที่ออกมาจากจิตใจและการเคารพซึ่งกันและกัน  ก็เป็นการเคารพที่ออกมาจากจิตใจเท่านั้นเอง  ช่องว่างระหว่างศิษย์ทุกๆ คนนั้นก็จะไม่มี  เพราะว่าอาวุโสก็อ่อนน้อม  ส่วนผู้น้อยก็เคารพจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ความตระหนี่จงให้ทานออกมาให้เห็น”  บางคนนั้นเป็นคนที่ตระหนี่  แต่การให้ทานไม่ใช่ว่าไม่อยากจะทำ  อยากจะทำอยู่เสมอๆ  แต่ไม่สามารถที่จะดึงออกมาจากตัวเองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติให้ทานเงิน  คิดว่าเราจะบริจาค  แต่เงินไม่หลุดออกจากกระเป๋า  การจะลงแรง คิดอยู่เหมือนกันว่าจะลงแรง  แต่ก็กลัวเหนื่อย อย่างนี้การให้ทานจึงไม่เป็นผลสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจิตใจจะเป็นจิตใจที่ดี  แต่ว่าในด้านการกระทำนั้นไม่ดี  ฉะนั้นอาจารย์จึงสอนศิษย์ทุกๆ คนเสมอๆ ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเน้นหนักที่การปฏิบัติออกมาให้คนอื่นเห็น  ถ้าหากเราปฏิบัติในวงแคบๆ ผลตอบรับออกมา  ความดีความกว้างของจิตใจของเราก็จะมีแค่วงแคบๆ  แต่ถ้าหากว่าเราทำในที่กว้าง  ผลตอบรับนั้นก็จะออกมากว้างขวาง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำความดีต้องไม่หวังผลตอบแทน  เพราะถ้าหากหวังผลตอบแทน  จะมานั่งห่อเหี่ยวอย่างนี้ไหม  ถ้าหากหวังผลตอบแทนก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้  ก็จะย่ำอยู่กับที่
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนวงคำพระโอวาท)
“ชนะ”  หมายถึงอะไร  (ต้องชนะใจตัวเอง)  ชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า (ต้องทำให้ได้)  แม้ว่าจะวงคำว่า “ชนะ”  แต่ชีวิตต่อไปจะชนะหรือแพ้  อาจารย์ก็ไม่แน่ใจ  อาจารย์รู้แต่ว่าอนาคตกำหนดด้วยวันนี้  อยากจะกินผลไม้ก็ต้องรู้จักปลูกต้นไม้  ปลูกวันนี้วันหน้าก็ได้กิน  แต่อย่าปล่อยให้เมล็ดตัวเองกลายพันธุ์ไปก่อน  วันนี้มีใจวันนี้ลงแรง  แล้ววันนี้จะได้มีผลเกิดขึ้นวันหน้าอย่างรวดเร็ว ดีไหม
“มี”  มีอะไรดี (มีธรรมะ) มีธรรมะอาจารย์ขอให้ศิษย์มีใจและมีกำลังไปช่วยบุกเบิกแพร่งานธรรม ดีไหม (ดี)  อนาคตยังไกลแต่ถ้าหากว่าเราใช้ธรรมะควบคู่ไปในชีวิต อนาคตเราจะไกลและดีด้วย
ใบแบ่งงานมีคนที่ทำงานกันอยู่เท่านี้หรือ อาจารย์เห็นศิษย์แบ่งงานกันแต่ละครั้งต้องมีคนที่ถูกแบ่งงานไม่ถึงใช่หรือเปล่า บางคนแม้ขาดตกไปบ้างก็อย่าได้รู้สึกน้อยใจ งานนั้นมีรออยู่ แต่อยู่ที่ว่าเรานั้นเลือกงานหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราตั้งใจทำ ทำตรงไหนก็ได้ งานในสถานธรรมอาจจะมีน้อย ถ้าเทียบกับจำนวนคนทั้งหมด แต่หากว่าคนทั้งหมดแม้ว่าจะถูกแบ่งงานถึงไม่ถึง ร่วมงานพร้อมๆ กัน งานธรรมะก็จะไปไกลยิ่งกว่านี้ และก็จะมีสิ่งที่ดีมากขึ้นกว่านี้ แม้ว่าชื่อเรานั้นจะถูกลงไปหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอให้เรามีใจและมีความคิดที่จะร่วมใจกันทำงาน ทุกคนทำงานพร้อมกันยิ่งกว่าใบแบ่งงานนี้อีกดีหรือเปล่า (ดี)  แม้ว่างานจะแบ่งไม่ถึงแต่อาจารย์จะแบ่งกุศลให้นะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนที่ออกมาวงพระโอวาท) "ปัญญา" ทั้งหมดนี้คงมีศิษย์ที่ได้วงคำที่ดีที่สุด เพราะปัญญามีประโยชน์มากต่อการบำเพ็ญธรรมและอาจารย์หวังว่าศิษย์จะกลับมาบำเพ็ญธรรมในลักษณะนี้ในด้านนี้ ธรรมะที่อาจารย์อุตส่าห์นำลงมาจากฟ้า มาให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการใช้ปัญญา เดินหน้าต่อไปได้ไหม (ได้)  ขอให้เป็นแรงและกำลังให้อาจารย์ด้วยดีหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง  สายทิพย์ และเมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)  ทุกคนล้วนมีพุทธจิตธรรมญาณ แม้ว่าจะเป็นเด็กก็มีพุทธจิต แต่อาจารย์ว่ายิ่งโตพุทธจิตก็ยิ่งเลือนหายใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเด็กๆ นั้นยังใสๆ อยู่ หวังว่าศิษย์จะรักษาจิตใจเหมือนยามที่ศิษย์ยังเป็นเด็กอยู่ให้คงทนถาวร เพราะหากว่าเราโตก็แสดงว่าเรามีพลังที่สามารถออกไปทำสิ่งต่างๆ ได้มาก แต่จิตใจที่เป็นเด็กนั้นช่วยให้ศิษย์ทำงานได้ราบรื่นขึ้น ตา หู จมูก ลิ้น กายใจของเราดูแล้วเหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของอายตนะทั้ง ๖ นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้ที่จริงเราเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้ เราใช้จิตใจของเราไปรู้สึกกับอายตนะทั้งหมดนั้นมากเกินไป ในที่สุดแล้วบอกว่าเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้ เราใช้ตา หู ปากของเราและอยากเป็นนายของอายตนะทั้งหมดนี้ไหม ขอให้เรามองแต่สิ่งที่ดีๆ หูฟังแต่สิ่งที่ดีๆ ปากพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ใจก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ กินอาหารก็กินอาหารที่ดีๆ ไม่เบียดเบียนชีวิตเขา ทำได้ไหม (ได้)
"มุ่งอะไรมั่นหมายถูกครรลอง"  บางคนมักจะพูดกับตนเองเสมอว่า เรายังเป็นญาติธรรมใหม่ยังไม่รู้อะไรเลย  เป็นญาติธรรมใหม่มากี่ปีก็ยังใหม่อยู่เรื่อย  เมื่อไหร่จะเป็นญาติธรรมเก่าสักทีก็ไม่รู้  ถ้าหากศิษย์แยกแยะระหว่างญาติธรรมเก่ากับญาติธรรมใหม่ได้ออก  ศิษย์จะเข้าใจ  จริงๆ แล้วศิษย์ก็เข้าใจอยู่แล้วว่า ญาติธรรมเก่ามีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเรามีตำแหน่งทางธรรม  ยิ่งหลงไปกันใหญ่ อาจารย์อยากจะบอกว่าคนที่มีตำแหน่งในทางธรรม  โอกาสหลงก็มีสูง  งานก็หนักขึ้น  ถ้าหากว่าศิษย์ตัดใจที่หลงสิ่งเหล่านี้พ้นได้  ศิษย์อาจารย์ก็จะมีแต่ผลงาน  มีแต่กุศลเท่านั้นเอง  ยิ่งเรามีจุดเด่น มีสิ่งที่เด่นกว่าคนอื่น  ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม  เรายิ่งจำเป็นที่จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากๆ  คนอื่นยิ่งเขาสังเกต  เขาก็จะยิ่งเห็นเราอ่อนน้อมถ่อมตน  นี่แหละแบบอย่างของผู้บำเพ็ญธรรม
สถานธรรมที่นี่เป็นสถานธรรมบ้านสกุลหง  ฉะนั้นคนที่อยู่ในตระกูลนี้  ก็จำเป็นที่จะต้องมาช่วยงานกันให้มากๆ  ให้เป็นผลสัมฤทธิ์  ให้เป็นเกียรติแก่วงตระกูลให้มากๆ  แต่ถึงแม้ว่า จะเป็นสถานธรรมในครัวเรือน  แต่ในขณะเดียวกัน  ศิษย์ทุกๆ คนก็มีส่วนร่วมได้  เรือธรรมไม่ว่าจะเรือไหน ไม่ว่าจะเป็นเรือชื่ออะไร  หรือจะเป็นเรือบ้านใคร  ทุกๆ คนล้วนแต่มีจิตที่เมตตา  หวังจะให้คนขึ้นเรือธรรมมากๆ ทั้งนั้น  สถานธรรมถ้าเป็นสถานธรรมในบ้าน  แต่หากต้อนรับคนนอกมาก็คือ สถานธรรมส่วนรวม  แต่หากว่าเป็นสถานธรรมส่วนรวม  แต่หากว่าไม่สามารถช่วยคนจำนวนมากมาในลักษณะของสถานส่วนรวมได้  สถานธรรมส่วนรวมก็ไม่ต่างไปจากสถานธรรมในบ้าน  สถานธรรมนั้นไม่ต้องมีมากมาย  ศิษย์รับผิดชอบอยู่ที่ไหนก็ขอให้ทำให้ดีๆ  ศิษย์ไปไหว้พระอยู่ที่ไหน ขอให้เป็นส่วนร่วมของที่นั่นให้ดีๆ  ทุกๆ อย่างถือว่ามีส่วนร่วมในงานธรรมะเช่นเดียวกัน  มีส่วนร่วมกับงานของอาจารย์แพร่งานในยุค ๓  ของอาจารย์เช่นเดียวกัน  อาจารย์จบท้ายแล้ว  หวังว่างานธรรมะคงจะรุ่งเรือง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง สายธาร)
ทุกคนมีสายธารเป็นของตัวเอง  ทุกคนเปรียบเสมือนสายธารธารหนึ่ง  อาจารย์ให้ศิษย์เป็นสายธารในหัวใจของอาจารย์  หวังว่าสายธารที่เป็นชื่อของเพลงนี้  ก็แล้วแต่ศิษย์ว่า ศิษย์จะต่อสายธารของศิษย์ด้วยสารธารอะไร  สายธารทุกสาย อาจารย์ก็เชื่อว่า เป็นสายธารที่ดีอยู่แล้ว
“สายธารรวมกันเป็นหนึ่ง”  ความหมาย แม่น้ำนั้นไหลรวมไปที่ไหน  ทะเล ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรก็แล้วแต่ที่จะให้อะไรไหลไปสู่สิ่งนั้นได้  แสดงว่าสิ่งนั้นต้องอยู่สูงกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทะเลเป็นที่รวมของแม่น้ำทุกๆ สาย  เพราะว่าทะเลอยู่ต่ำ แม่น้ำอยู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เลือกที่จะเป็นทะเลหรือเลือกที่จะเป็นสายน้ำ  อาจารย์เปรียบทะเลเสมือนผู้อาวุโส  แม่น้ำเปรียบเสมือนผู้น้อย  คนที่เป็นอาวุโส  จึงต้องทำเป็นเหมือนอยู่ต่ำ ก็คืออ่อนน้อมถ่อมตน  แม้ว่าจะเป็นอาวุโส  ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่ำ อยู่เตี้ย คือความอ่อนน้อมถ่อมตน  ส่วนผู้น้อยทุกๆ คนเปรียบเสมือนสายธาร  สายธารนั้นจะมารวมกันได้  ก็จำเป็นจะต้องเกิดความยินยอมพร้อมใจของทุกๆ คน  เหมือนกับการบำเพ็ญธรรมในครั้งนี้  ที่อาจารย์จะเรียกศิษย์ให้บำเพ็ญ  ก็ต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สายธารรวมลงมาเป็นมหาสมุทร  ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะทำให้ศิษย์ทุกๆ คนเป็นคนที่สง่างาม  ความอ่อนน้อมถ่อมตนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่  ไม่อ่อนน้อมจนมากเกินเหตุ  จึงจะคงรักษาความสง่างามได้  เหมือนกับการพูด  คนพูดเก่งก็ไม่พูดมากจนเกินเหตุ  จึงจะไม่เป็นการไม่สำรวม  คนที่มีความกล้าหาญ  ก็ไม่กล้าจนเกินเหตุ  จะกลายเป็นคนบ้าบิ่นไป  ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เป็นคุณธรรมความดี  หลักคุณธรรม หลักสัจธรรมทั้งหลาย ก็ให้ศิษย์ดำรงอยู่ในทางสายกลาง
ที่อาจารย์บอกว่า  "ฟากฟ้านั้นดาวล้อมจันทร์ชวนมอง"  และดาวก็รอบล้อมอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าสิ่งที่เป็นความดีทั้งหลาย ดังเช่นการอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะเมื่อศิษย์เข้าถึงก็จะมองเห็นถึงความสำคัญของการอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ใช่มีมากจนเกินเหตุ เหมือนดาวที่ล้อมจันทร์นั้นน่ามองเข้าใจไหม และทุกๆ บรรทัดก็มีการตีความที่เป็นทำนองนี้ อาจารย์นั้นให้ศิษย์ไปตีความหมายเอง
จบท้ายด้วยคำว่า "ใจคือพลังขุมเดียวรู้ตื่น" จิตใจของศิษย์เหมือนขุมสมบัติทีเดียว เหมือนคลังสมบัติและคลังสมบัตินี้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดคือ ความรู้ตื่นมิใช่ความเมตตา มิใช่ความศรัทธา มิใช่สิ่งใด แต่เมื่อเราจะรู้ตื่นเราจะต้องข้ามสิ่งนี้ไป ข้ามความเมตตา และสิ่งอะไรทั้งหลายที่เป็นสิ่งที่ดีนี้ และสิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้น ข้ามพ้นไปสู่ความรู้ตื่น แต่ก่อนที่จะไปสู่ความรู้ตื่นจะต้องใช้ทั้งความเมตตาและกรุณา สัจจะมโนธรรมใช้ทุกๆ อย่างที่เป็นสิ่งที่ดีเหล่านี้กระโดดข้ามไป แต่สมบัติที่มีค่านั้นอยู่ปลายทางจิตใจของศิษย์นี้คือความรู้ตื่น สิ่งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนตั้งแต่ภายนอกเข้ามาสู่ภายใน และตั้งแต่ภายในออกมาสู่ภายนอก เรียกว่า หากว่าศิษย์ต้องทุกข์จนถึงที่สุด เมื่อศิษย์ต้องสบายถึงที่สุด แต่ในยามที่ศิษย์สบายนั้นหลงตัวเองไหม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมนุษย์ติดความสบายมากก็หลงมากใช่ไหม (ใช่)  กิเลสความรัก โลภ โกรธ หลงก็ดี สิ่งเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์รู้มาตั้งแต่ศิษย์นั้นรู้ความทีเดียว รู้ความก็รู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลส อยู่ที่ว่าเราจะตัดไม่ตัดเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราตัดแม้จะขาดบ้างไม่ขาดบ้างก็ขอให้ได้ตัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าไม่คิดจะตัดขาดไม่ขาด (ไม่ขาด)  ถ้าหากว่าไม่คิดจะตัดย่อมไม่ขาด แต่หากว่าขาดนิดขาดหน่อยไม่สมหวังดังใจก็อย่าไปร้อนรน ขอให้เราได้เริ่ม ขอให้เราได้ลงมือทำ ทำได้ดีทำได้ไม่ดีอาจารย์ก็เชื่อว่าดีกว่าไม่ทำ อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนเมื่อก้าวมาในทางธรรมก็ต้องมาด้วยจิตใจที่ศรัทธา บริสุทธิ์ มุ่งมั่นจะแก้ไขกลับตัวเป็นคนดี ให้สร้างแต่สิ่งดีชำระล้างสิ่งไม่ดี เมื่อไม่มีใครรู้ตัวเองดีเท่ากับตัวเราเอง ก็ขอให้ศิษย์แก้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้อาจารย์มาจี้ไช ไม่ต้องรอให้กรรมมาถึงหน้าจึงสำนึกได้ ในวันที่ศิษย์สำนึกได้มากที่สุดคือวันไหนรู้ไหม ในวันที่กรรมมาตามทวง วันที่อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์บางคนตกนรกไป หรือถ้าเรียกอีกทีหนึ่งก็คือวันที่สายแล้ว วันที่แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ค่อยสำนึก บางคนในโลกนี้เห็นแก่เงิน หน้าตา เห็นแก่ความสบาย เห็นแก่โชคลาภ บางคนเห็นแก่สุรานารี พาชีกีฬาบัตร เป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์พาไปนิพพาน อยู่ในโลกศิษย์ก็ต้องช่วยอาจารย์ขัดเกลาตัวเองให้ดีๆ แต่อาจารย์ถามคำหนึ่งว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วตกนรกได้ไหม (ได้)  นั่นคือคำที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เตือนใจตนเองทุกครั้งที่เราเห็นแก่ภาพมายาลวงตา เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพราะเข้าใจว่าไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราเอง
“จิตตื่นคล่องให้สี่รู้จับตาดู” สี่รู้มีอะไรบ้าง มีฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ คนอื่นรู้ สามอย่างนี้คือ ฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ ต่อให้ขาดไปสิ่งหนึ่งก็คือ คนอื่นรู้ก็ยังมีตัวเองที่รู้ ยังมีฟ้ารู้ ยังมีดินรู้ ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรจะต้องรู้จักระมัดระวัง สี่รู้ที่กล่าวมานี้อะไรที่เป็นคนที่รู้แล้วรุนแรงที่สุด (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองรู้แล้วลงโทษตัวเองยิ่งกว่าฟ้าลงโทษ ยิ่งกว่าดินลงโทษ ก็เพราะต่อให้ฟ้าดินลงโทษอย่างมากกรรมเวรก็เอาแค่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าตัวเองรู้กรรมเวรนั้นเอาศิษย์ขนาดไหน วันนี้เกิดเป็นคนเวียนว่ายตายเกิด เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ วันนี้เกิดเป็นคน เกิดเป็นชายเป็นหญิง วันหน้าเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ ให้คนเขาฆ่า ให้เขาเชือดสมควรหรือไม่สมควร ต่อให้ศิษย์มีอาจารย์ดี แต่แล้วเป็นอย่างไร ครูสอนก็ได้แค่สอน คนทำก็อยู่ที่ตัวเอง ข้อสอบยื่นไปถ้าหากคนทำไม่ทำก็เท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงบอกว่า หากศิษย์อยากตื่นอย่างคล่องๆ จิตตื่นรู้อย่างคล่องๆ ต้องทำอย่างไร ให้สำนึกไว้เสมอว่าเวลาเราทำผิด ทำชั่ว ไม่ได้มีแค่ตัวเราเองรู้คนเดียว ยังมีฟ้ารู้ดินรู้และคนอื่นรู้ ร้ายแรงที่สุดก็คือตัวเองรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาทครั้งนี้อาจารย์จึงให้คำว่า “มีสติยั้งคิด” ศิษย์ของอาจารย์ใช้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ศิษย์มีสติยั้งคิดหรือไม่ บางทีโมโหไปแล้วค่อยมาคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าจะโมโหเลย บางทีไปขโมยเงินเขามาแล้วค่อยคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าจะขโมย บางทีไปทำผิดมาแล้วค่อยมาคิดว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าทำผิด แต่คนที่ทำไปด้วยความไม่รู้นั้นยังพอที่จะให้อภัย แสดงว่าพอต่อไปเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่บางคนนั้นทำไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิดแต่ศิษย์ก็ยังทำ คนอย่างนี้ศิษย์คิดว่าจะมีคนให้อภัยไหม (ไม่มี)  แล้วฟ้าดินอภัยให้หรือเปล่า อาจารย์เตือนศิษย์ไว้คำเดียว อะไรที่เราทำ อะไรที่เราก่อสิ่งนั้นเราต้องรับเอง ไม่อยากจะทุกข์ไปกว่านี้ต้องสร้างเหตุแห่งความสุขให้มากๆ ไม่อยากจะเวียนว่ายตายเกิดก็จงสร้างเหตุแห่งการหลุดพ้น ทำได้ไหม (ได้)  ยามใดที่เขาแก้ไขได้ยามนั้นคนทั่วหล้าจะสรรเสริญ แต่อย่าคิดว่าใครเขาจะสรรเสริญเราอย่างรวดเร็ว เราแก้ทันทีแล้วจะให้เขาสรรเสริญทันทีนั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องรอให้คนเขาแน่ใจว่าเราแก้ไขแล้วเขาจึงสรรเสริญเราได้เป็นเหตุเป็นผลไหม หวังว่าโอวาทนี้กลับไปแล้วศิษย์ของอาจารย์ทำได้ทุกคน เพราะคำว่ามีสตินั้นได้ยินกันมานานรู้กันมามากมาย แต่คนที่ทำได้มีอยู่น้อยนิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ทำผิดก็คือไม่มีสติ ทำผิดเมื่อไรก็คือไม่มีสติ แล้ววันหนึ่งๆ ทำผิดไปกี่หน ศิษย์ของอาจารย์ขาดสติไปกี่หน ศิษย์คงต้องตอบเอง
อาจารย์มักจะกลัวที่ศิษย์ของอาจารย์จะเปลี่ยนใจจากการบำเพ็ญธรรมเพราะว่าเมื่อศิษย์เปลี่ยนใจครั้งนี้ทั้งเราศิษย์และอาจารย์ก็เดินคนละทาง อาจารย์เดินทางพุทธะก็อยากให้ศิษย์เดินทางพุทธะ เดินทางอื่นๆ นอกจากทางพุทธะจะหลุดพ้นได้ไหม เดินทางอื่นนอกเหนือจากนี้ศิษย์ก็น่าสงสารแล้ว ทำจิตใจให้มั่นคง ทำจิตใจให้เข้มแข็ง หากเราไม่ผิดอีกนานเท่าไรก็ไม่ผิด หากเขาไม่ถูกจะช้าหรือเร็วศิษย์ก็คือไม่ถูก
รักษาตัวให้ดีๆ ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์ทุกคนก็เหมือนหน้าตาของอาจารย์อย่าท้อแท้เหนื่อยอ่อนต่อการบำเพ็ญของตัวเอง วันหลังค่อยเจอกันใหม่



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “มีสติ ยั้งคิด”

บำเพ็ญกายบำเพ็ญใจไว้คู่ธรรม ชนะกรรมด้วยสำนึกอันจริงแท้
มีสติกับปัญหาหลายมุมแล ค่อยค่อยแก้หรือรอไม่ได้ปัญญาตรอง
รู้เท่าทันใครไม่เท่าทันตน ดุจสายชลรินไหลไปตามร่อง
มุ่งอะไรมั่นหมายถูกครรลอง จิตตื่นคล่องให้สี่รู้จับตาดู

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2541

2541-03-14 สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี


PDF 2541-03-14-ฉงเต๋อ #2.pdf

#คุณสัมพันธ์ ๕ #พระพุทธเจ้าอยู่หลังพระพุทธรูป  #รูปลักษณ์  #กราบพระ  #มาสถานธรรม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา